• •* หาคู่*• •วันที่12
ปิดเทมอเป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาหลายคนต่างใฝ่ฝันที่จะให้มาถึงเร็วๆแต่ละคนต่างก็วางแผนการเที่ยวและพักผ่อนกันล่วงหน้าทั้งนั้นแต่สำหรับคนที่ไม่มีนัดอะไรแบบผมนั้นการปิดเทมอเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดแต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าและไม่มีอะไรทำ
ในตอนแรกที่ต้องทำความสะอาดก็ดีอยู่หรอกแต่พอเสร็จแล้วก็ต้องมานั่งนิ่งๆจนรู้สึกอารมณ์เสีย...วันต่อมาเลยไปเดินตลาดเพื่อซื้อพวกของสดมากเตรียมไว้ทำอาหาร การทำอาหารทำให้หายเบื่อได้ดีทีเดียวถึงแบบนั้นก็ใช้เวลาไปได้ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นแถมแต่ละครั้งที่ทำก็จะมากจนสามารถกินได้ทั้งวัน
พอไม่ได้ออกกำลังพลังงานก็จะไม่ถูกระบายออกส่งผลให้ตอนกลางคืนนอนไม่หลับ
ขนาดเหนื่อยมากอย่างตอนทำความสะอาดยังนอนไม่หลับเลย
“เชส...”ผมพร้อมหลับตาลงโดยที่นอนอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องรับแขกด้านล่าง
นี่ผ่านมากี่วันแล้วนะตั้งแต่ที่แยกกับเชส
5วัน
อาทิตย์หนึ่ง
หรืออาทิตย์ครึ่ง
“ไม่อยากคิดแล้ว”เสียงตะโกนจากผมดังขึ้นพร้อมกับซุกหน้าลงบนหมอนที่โซฟาตัวยาว
ไม่เคยคิดว่าการห่างจากใครแล้วจะรู้สึกคิดถึงมากขนาดนี้แม้แต่พ่อกับแม่ยังไม่คิดถึงมากแบบนี้เลยอย่างมากก็แค่รู้สึกเหงาๆในช่วงแรกแต่พอผ่านไปสักระยะก็ไม่เป็นไรแล้ว...
ไม่เหมือนกับเชสที่ต่อให้ผ่านไปหลายวันก็ยังไม่หายคิดถึงมีแต่คิดถึงมากขี้นเรื่อยๆ
อยากเห็นดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั่น
อยากได้ยินเสียงทุ้มที่ชอบกวนโอ๊ยนั่น
อยากนอนตักที่เปรียบเหมือนหมอนส่วนตัวนั่น
อยากได้กลิ่นหอมอ่อนๆที่แสนดึงดูดนั่น
อยากได้สัมผัสอันอ่อนโยนนั่นจากเชส...
“บ้าเอ้ย!...นี่เราเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย”ผมพลิกตัวนอนหงายพร้อมกับบ่นออกมาไม่หยุดในหัวมีเพียงแค่อยากเจอ อยากเจอ อยากเจอ อยู่เต็มไปหมด
ครืดดด~
เครื่องมือสื่อสารที่สั่นอยู่บนโต๊ะถูกคว้าขึ้นมาและเพียงแค่เห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอความขุ่นมัวในใจก็ปลิวหายไปก่อนจะถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว
“เชส!”ผมตะโกนเรียกชื่อปลายสายเสียงดังพร้อมเด้งตัวขึ้นมานั่ง
(เสียงดังไปแล้วนะ)เสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินมานานทำให้รอยยิ้มที่มีกว้างขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“พูดอีกสิ”
(หื้อ?...พูดอะไร?)
“อะไรก็ได้พูดหน่อยเร็วๆ”ผมเร่งปลายสาย
(...เป็นอะไรน่ะอานโน่?...ป่วยเหรอ?...หรือไข้ขึ้น?)
“ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ”
(แต่พูดจาเริ่มไม่รู้เรื่องแล้วนะ)
“ไม่รู้เรื่องตรงไหนกัน?”แค่ให้พูดนี่มันยากตรงไหน
(ทั้งหมดแหละ...เอาเถอะฉันกำลังจะไปที่บ้านนายน่าจะถึงช่วงเย็นเตรียมเปิดบ้านรอได้เลย)
“จริงเหรอ?...เยี่ยมเลย...เดี๋ยวจะทำมื้อเย็นไว้รอ”ผมบอกพร้อมกับนึกรายการอาหารที่จะทำช่วงเย็น
(จะกินได้ไหมนั่น?)
“พูดหาเรื่องกันใช่ไหมเชส?”ผมถามกลับเสียงเข้ม
ประโยคของเขาก็ไม่ต่างกับคำดูถูกที่บอกว่าผมทำอาหารไม่เป็นนั่นแหละ
(แค่เผื่อไว้...ว่าแต่มีร้านขายยาแถวนั้นใช่ไหม?)
“มาถึงนายโดนแน่!”ผมตะโกนบอกปลายสาย
(ฮะฮะฮะ...จะรอดู เจอกันตอนเย็นนะอานโน่)
“ได้”
การสนทนาที่จบไปทำให้คนที่ซึมอยู่เกือบ10วันกลับมามีแรงใจอีกครั้ง ผมลุกขึ้นไปยังห้องครัวก่อนจะเปิดตู้เย็นเพื่อดูวัตถุดิบว่าเหลือพอจะเอามาทำอาหารมื้อเย็นอะไรได้บ้าง
จากที่มองภายในตู้เหลือเพียงไข่3ฟองกับน้ำเปล่าอีก2ขวดใหญ่เท่านั้น
“ออกไปซื้อของดีกว่า”ผมตัดสินใจก่อนจะเดินไปจัดการตัวเองที่ปล่อยผมสีเงินแซมน้ำเงินโดยการใส่วิกและคอนแทคเลนส์ถึงจะบอกว่าไม่กลัวที่ใครจะรู้ความจริงแต่ก็ไม่อยากโดนถามในระหว่างไปซื้อของหรอก
พอเสร็จจากการปลอมตัวก็หยิบกระเป๋าเงินแล้วออกจากบ้านไปยังห้างสรรพสินค้าใกล้ๆโดยปกติผมมักจะไปที่ตลาดเพราะสามารถต่อราคาได้แต่ถ้าต้องรอตลาดก็ต้องรอตอนเย็นก็เลยตั้งสินใจว่าไปห้างดีกว่า
ระหว่างทางที่เดินไปยังแผนกของสดในหัวก็คิดถึงเมนูที่อยากทำเพราะไม่มีอะไรที่อยากทำเป็นพิเศษเลยต้องมาคิดหนักว่าจะทำอะไรดี...ขณะที่นึกอยู่ๆอาหารชนิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัว
“สตูเนื้อ”ผมพึมพำออกมาโดยจำได้ว่าเชสชอบกินสตูเนื้อ
นั่นทำให้อาหารอย่างแรกที่จะทำคือสตูเนื้อ...อาจเป็นโชคดีที่แม่เคยสอนวิธีทำสตูเนื้อให้ตอนอยู่บนเกาะ ช่วงเวลาที่แม่ว่างจากภารกิจก็มักจะสอนทำอาหารบ้าง พาไปผจญภัยบ้างหรือพาไปทำการทดลองที่แล็บบ้างตามแต่สะดวกความรู้ที่ผมมีจึงอยู่ในระดับที่สูงกว่ามนุษย์ปกติที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันมากพอควรจึงอดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กๆที่เชสได้คะแนนพอๆกัน
ไม่แปลกเลยที่เขาจะถูกเรียกว่าอัจฉริยะตั้งแต่ยังเด็ก
เมื่อซื้อวัตถุดิบที่ต้องการเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ต้องลงมือทำสตูเนื้อนั้นจะอร่อยต้องเคี่ยวให้นานหน่อยผมเลยตัดสินใจเริ่มทำจากสตูก่อน...ส่วนอย่างอื่นที่คิดจะทำก็มีสลัดผักกับแซลมอนอบสองอย่าง
ใช้เวลาเรียกว่านานพอสมควรกว่าที่ทุกอย่างจะเสร็จ สลัดผักกับแซลมอนอบไม่ได้ยากเท่าสตูเนื้อที่ต้องใช้เวลาทำนานกว่าหลายเท่า กว่ารสชาติจะได้ตามที่ต้องการก็ปาไปช่วงเย็นแล้ว
เชสบอกจะมาถึงตอนเย็นแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเย็นแค่ไหน
จะไปรอข้างหน้าก่อนดีไหมนะ?
ผมคิดในหัวเรื่อยเปื่อยพร้อมๆกับถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินไปที่ประตูแต่ก่อนที่จะเปิดออกไปก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นมาหยุดอยู่แถวๆหน้าบ้านแถมไม่นานกลิ่นของคนที่คิดถึงมาตลอดก็ลอยเข้ามา...
ผมไม่รอให้เชสแม้แต่จะเคาะประตูหรือกดกริ่งรีบเปิดประตูบ้านสีขาวสะอาดออกก่อนจะพุ่งเข้าไปกระโดดกอดคนที่สะพายเป้อยู่ที่หลังอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายเซไปเล็กน้อยเพราะตั้งหลักไม่ทัน
“คิดถึงจัง”ผมบอกพร้อมกับซุกตัวลงที่คอของเชสแล้วสูดกลิ่นที่แสนคิดถึงจนเต็มปอด
“เว่อร์ไปแล้วอานโน่”เสียงทุ้มที่ได้ยินข้างหูรู้สึกดีมากกว่าได้ยินทางโทรศัพท์หลายเท่า
“เว่อร์ที่ไหนกัน”เขาไม่รู้หรอกว่าหลายวันมานี้มันผ่านไปอย่างอยากลำบากขนาดไหน
“หึ...ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”พูดจบมือแกร่งก็ยกขึ้นกอดตอบพร้อมกระชับตัวผมให้แนบสนิทกันมากขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่คลอเคลียบริเวณต้นคอทำให้รู้สึกสยิวแปลกๆ
“ยะ...อย่าหายใจรดต้นคอแบบนั้นสิ”
“ทีนายล่ะ?”เสียงทุ้มสวนกลับ
“ฉันไม่ได้หายใจรดสักหน่อย”
“อืม...ไม่ได้หายใจรดแต่ดมเอาโต้งๆเลย”
“ไม่ต้องพูดก็ได้น่า”พอได้ยินแล้วมันอายนะ
“...อานโน่”เสียงเรียกทำให้ผมผละออกแล้วเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่แสนคิดถึง
“...??”
“คิดถึงเหมือนกัน”คำธรรมดาๆที่ได้ยินคนอื่นพูดด้วยมากมายแต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่หัวใจเต้นแรงขนาดนี้ มือของผมยกขึ้นกำที่หน้าอกแน่นพร้อมกับเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นอย่างไม่เข้าใจ
ความรู้สึกนี้...
มันคืออะไรกัน?
“อานโน่?”
“ห๊ะ?...อะไร?”เจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้งเมื่อใบหน้าคมขยับเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม
“เหม่ออะไรน่ะ?”
“เปล่านี่”
“ฉันต้องเชื่อคำโกหกนั่น?”อีกฝ่ายถามด้วยใบหน้าจริงจัง
“เออ!...เพราะงั้นห้ามถามด้วย”พูดจบผมก็หันหลังวิ่งเข้าบ้านโดยไม่หันไปมองคนที่ยืนหัวเราะอยู่ด้านหลังด้วยความสนุกที่ได้เห็นผมทำท่าทางเป๋อๆนั่น
ก็รู้อยู่แล้วไม่มีทางโกหกได้แต่จะให้ทำยังไงล่ะปากมันหลุดออกไปเองนี่
พอเดินเข้ามายังห้องครัวแล้วจัดการตักสตูเนื้อที่กำลังร้อนอยู่ใส่ชามทำท่าเป็นไม่สนใจคนที่เดินตามเข้ามาทั้งที่เอียงหูฟังอยู่ไม่ห่าง เสียงฝีเท้าของเชสดังขึ้นก่อนจะมาหยุดอยู่ด้านข้างที่เป็นเคาน์เตอร์ไว้สำหรับกินข้าว
“นี่”
“ใครชื่อนี่?”ผมหันไปมองแขกคนเดียวของบ้านพร้อมทำหน้าบึ้ง
“อานโน่ก็ได้ครับ”
“น้ำเสียงไม่จริงใจเลยแฮะ”ผมบ่นอุบอิบพร้อมยกถ้วยสตูเนื้อมาตั้งไว้บนโต๊ะเคาน์เตอร์โดยที่มีเชสอยู่มองอยู่
“สตูเนื้อ?”
“อืม...ใช้ได้ใช่ไหมล่ะ?”ผลงานที่ภาคภูมิใจขนาดนี้เป็นใครก็ต้องอยากอวดบ้างแหละ
“ของแบบนี้ต้องดูที่รสชาติ”สายตาที่ส่งมาราวกับจะท้าทายนั่นทำให้ผมถึงกับคิ้วกระตุกก่อนจะหันหลังไปหยิบช้อนที่ถูกทำความสะอาดอย่างดีจนขึ้นเงาส่งให้คนที่กล้ามาท้าทายอาหารที่แสนภาคภูมิใจของผม...
“ลองเลยสิ...ถ้านายบอกไม่อร่อยฉันยอมโดนทำโทษเลย”คำพูดที่เอ่ยออกไปอย่างไม่คิดทำเอาคงตรงหน้าถึงกับคิ้วกระตุกแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
“จริง?”
“...เอ่อ...ล้อเล่น”
“เสียใจด้วยที่ฉันไม่ยอมรับคำว่าล้อเล่นนั่น”เชสว่าก่อนจะใช้ช้อนที่ให้ไปตักสตูเนื้อเข้าปากคำโต
“เป็นไงบ้าง?”ผมเร่งถามเพราะอีกฝ่ายใช้เวลากลืนมันนานไปแล้ว
“หึ...”
“ไม่เอาหึดิ”
“งั้นจะเอาอะไร?”อีกฝ่ายถามกลับ
“เอาคำว่าอร่อยมาก”ผมบอกอย่างไม่ต้องคิดแต่ถึงจะบอกไปแบบนั้นก็ไม่คิดว่าเชสจะพูดมันออกมาจริงๆหรอก...ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่คนตรงหน้ากลับยกยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ยคำพูดหนึ่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ใบหน้าผมร้อนขึ้นทันตาเห็น...
“อร่อยมากเลยอานโน่”
“...”
“อานโน่?”
“...คนขี้โกง”ผมบอกพร้อมกับยกมือขึ้นปิดใบหน้าตัวเองที่แผ่รังสีความร้อนออกมาจนสัมผัสแล้วหันหลังหนีเชสที่จ้องมาอย่างไม่วางตา
“ขี้โกง?”
“ใครจะคิดว่านายจะพูดชมล่ะ”ผมบอกเสียงเบา
“ว่าอะไรนะ?”
“ฉันบอกว่า...อ๊ะ...”ทันทีที่หันไปใบหน้าของเชสก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏขึ้น มือของคนตรงหน้าจับข้อมือผมไว้ก่อนจะดึงเข้าไปหาจนช่วงอกเราสัมผัสกันเบาๆ
“ว่าอะไร?”เสียงทุ้มเอ่ยถามต่อด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“...ใครจะคิดว่านายจะพูดชมเล่า?!!”ผมตะโกนออกไปเสียงดังก่อนจะผลักเชสออกไปเต็มแรง
“แล้วไม่ดีใจ?”
“ดีใจสิ...ดีใจจนจะแย่แล้วเนี่ย!”ผมตะโกนตอบคำถามนั่นด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีกว่าเดิม
“หึ...”
“ไม่ต้องมาหึเลยนะ”
“พาลกันนี่”
“ไม่รู้ล่ะ...กินมื้อเย็นได้แล้ว”ในที่สุดก็สามารถเปลี่ยนเรื่องได้สำเร็จ
“กินก็ได้แต่นายต้องถอดวิกกับคอนแทคเลนส์ที่ใส่อยู่ออกก่อน”คำพูดของเชสทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังใส่วิ่งกับคอนแทคเลนส์อยู่ตั้งแต่กลับมาจากไปห้าง
ลืมถอดได้ยังกัน
“ลืมไปแล้วนะเนี่ย...ความจริงไม่เห็นต้องถอดก็ได้นี่”ถึงปากจะบ่นแต่มือก็จัดการถอดวิกที่สวมอยู่ออกก่อนจะตามด้วยคอนแทคเลนส์
“ฉันไม่ชอบ”
“ไม่ชอบอะไร?”
“...ต้องบอกอีกเหรอ?”เสียทุ้มดังขึ้นพร้อมจ้องมาทางผมเขม็ง
“ไม่บอกแล้วจะรู้ไหมเล่า”
“งั้นก็ไม่ต้องรู้มันอยู่แบบนี้แหละ”พูดจบเชสก็นั่งลงที่เก้าอี้อย่างแรงราวกับไม่พอใจอะไรสักอย่างอยู่
“เชส”ผมเรียก
“...”
“นี่”
“ใครชื่อนี่?”
“นายย้อนฉัน?”ผมถึงกับคิ้วกระตุกที่โดนย้อนกลับ
“หึ”
“เชส!”เสียงเรียกชื่อทวีความดังขึ้นอีกขั้นเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองที่พอใจ
“กินข้าวได้แล้ว”
“ก็บอกมาก่อนสิว่าโกรธอะไร?”ผมยังคงไม่ยอมแพ้
“ไม่ได้โกรธ”
“งั้นก็โมโห?”
“ไม่ได้โมโห”อีกฝ่ายยังคงยืนยัน
“งั้นเป็นอะไรล่ะ?”
“แค่หงุดหงิด”
“หงุดหงิด?...เรื่องอะไร?”ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ
“ไว้กินเสร็จจะบอก”
“พูดแล้วนะเชส...ห้ามลืมด้วย”ดวงตาสีแดงอ่อนจ้องไปยังดวงตาสีน้ำเงินเข้มเพื่อสื่อไปว่าจะไม่ยอมให้กลับคำแน่
“รู้แล้ว”
หลังจากตกลงกันได้พวกเราก็ลงมือจัดการมื้อเย็นที่มีทั้งสตูเนื้อ สลัดและแซลมอนอบผ่านไปอย่างไม่รีบร้อนตามวัฒนธรรมของคนฝรั่งเศสที่จะกินมื้อเย็นนานกว่ามื้ออื่นพอสมควร
::เชส::
เจ้าของบ้านชั่วคราวลุกขึ้นเก็บจานชามที่เหลือเพียงจานเปล่าไปล้างท่ามกลางสายตาของแขกผู้มาเยือนอย่างผมที่จ้องตามตาไม่กระพริบ...ผมมองแผ่นหลังที่กำลังล้างถ้วยชามอยู่ในครัวด้วยความรู้สึกที่อึดอัดขึ้นทุกวันๆตั้งแต่ได้เจอกัน
อึดอัดเพราะไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้ดั่งใจ
อึดอัดเพราะไม่สามารถบอกความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ออกไปได้
และอึดอัดที่คนตรงหน้าแสดงออกราวกับกำลังยั่วให้ผมหมดความอดทน
แค่คำสั้นๆที่บอกว่าคิดถึงก็ทำให้ความเครียดจากครอบครัวหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“เชสกินเสร็จแล้วนะ”เสียงจากคนที่ล้างจานดังขึ้นพร้อมกับเหล่มองมายังผม
“แล้ว?”รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรแต่ก็อดไม่ได้ที่จะแหย่ไปแบบนั้น
“เชส”
“หึ”น่ารักซะจริง
ไม่อยากเชื่อว่าอานโน่จะเป็นเป็นไดโนเสาร์เกร็ดเงินที่ตัวยาวกว่า8เมตรนั่นได้...ไดโนเสาร์ แค่ได้ยินชื่อก็รับรู้ถึงความดุร้ายแทบจะทันทีแต่อานโน่กลับไม่เหมือนกับไดโนเสาร์ที่จินตนาการไว้สักเท่าไหร่
“หึตลอด...บอกมาได้แล้วว่านายหงุดหงิดอะไร?”น้ำเสียงคาดคั้นดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าผม มือสองข้างที่ท้าวเอวนั่นดูก็รู้เลยว่าคงจะไม่ยอมแน่ถ้าไม่ได้คำตอบ
“อยากรู้?”
“ไม่อยากแล้วจะถามทำไมเล่า!”
“นั่นสินะ”
“เชส”
“รู้แล้วน่า...ฉันไม่ชอบให้นายใส่ทั้งวิกและคอนแทคเลนส์ต่อหน้าฉันแบบนี้...”
“แค่ดูก็รู้แล้วน่าเรื่องนั้น...ที่อยากรู้คือทำไมถึงไม่ชอบ?”
“ฉันยังพูดไม่จบประโยคเลยนะ”ผมบอกพร้อมถอนหายใจแรงๆที่ถูกขัดสิ่งที่พูด
อุตส่าคิดคำพูดดีๆไว้แล้วเชียว
“...งั้นเหรอ...โทษที...ว่าต่อเลย”
“เฮ่อ...ก็การที่นายใส่วิกและคอนแทคเลนส์ต่อหน้าฉันก็เหมือนว่านายกำลังปิดบังตัวตนจริงๆอยู่นั่นเป็นเหตุผลที่หงุดหงิด”
“...เชส”ดวงตาสีแดงอ่อนที่ได้ยินคำตอบดูเหมือนจะอึ้งไปพอสมควร
“อย่าปิดบังอะไรฉันอานโน่”ผมบอกสิ่งที่ต้องการออกไปตามตรงพร้อมเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาที่สั่นระริกนั่น ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีเล็กน้อยก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นเมื่อรอยยิ้มกว้างของคนตรงหน้าปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงนุ่มๆที่เอ่ยบางคำออกมา...
“ได้เลยเชส”
การมาค้างคืนที่บ้านของอานโน่ผ่านไปหลายวัน ในตอนเช้าว่าที่ผู้นำตระกูลเฟวรีเย่อย่างผมก็ลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงบางอย่างที่เข้ามาในหูอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นเสียงคนอื่นก็คงไม่ทำให้คนที่นอนอยู่ลืมตาขึ้นมาได้แต่นี่เป็นเสียงของอานโน่ผมจึงค่อยๆลืมขึ้นพร้อมฟังบทสนทนาบางอย่างข้างกาย
“แม่จะให้ผมไปเหรอ?”เสียงนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงข้างกายผมดังขึ้น
“ก็ไม่ใช่ไม่ว่างหรอก...แล้วพวกพี่บราวล่ะ?”
ชื่อของบุคคลที่สามที่เข้ามาในบทสนทนาทำให้ผมเด้งตัวขึ้นพร้อมจ้องไปยังอานโน่ที่กำลังคุยโทรศัพท์กับปลายสายอยู่...นาฬิกาพึ่งบอกเวลา8โมงซึ่งถือว่าเช้ามากสำหรับนักศึกษาที่กำลังปิดเทมออยู่แบบนี้
“อ้อ...เข้าใจแล้วครับถ้าแค่นั้นละก็...”
“ครับๆ...คิดถึงเหมือนกันครับ...ไว้เจอกัน...บาย”ไม่นานบทสนทนาก็หยุดลงโทรศัพท์สีเงินถูกวางลงที่หัวเตียงตามเดิมก่อนดวงตาสีแดงอ่อนจะหันมาสบผมที่นั่งจ้องอยู่
“อรุณสวัสดิ์”เสียงทักทายยามเช้าดังขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“อืม...อรุณสวัสดิ์”
“วันนี้ฉันมีธุระล่ะนายรออยู่บ้านสักครึ่งวันนะ”
“ไม่”ผมสวนกลับอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายบอก
“เชส”
“จะไปไหน?”ผมถามต่อ
“...ไปทำธุระไงก็บอกอยู่”
“ก็นั่นแหละ...ธุระอะไร?”ผมยังคงถามย้ำ จากที่คิดวิเคราะห์ด้วยบทสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่ก็ไม่อยากที่จะเดาได้ว่าธุระที่ว่าเป็นเรื่องอะไร
ทั้งชื่อของบุคคลที่3อย่างพี่บราว
ทั้งคำเลี่ยงที่ไม่อยากให้ผมไปด้วย
ทั้งหมดนั่นพอเอามารวมกันก็รู้ได้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วอย่างไดโนเสาร์แน่นอน
“นี่มันเรื่องส่วนตัวฉันนะเชส”คำพูดที่ได้ยินสร้างความหงุดหงิดได้ในทันที
ผมไม่ตอบอะไรแต่จัดการผลักร่างอานโน่ที่นั่งอยู่ให้นอนราบบนเตียงก่อนจะขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว...ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของผมจ้องไปยังคนด้านล่างด้วยความหงุดหงิดอย่างมากที่ถูกทำเหมือนตัวเองเป็นคนนอกที่ไม่มีสิทธิจะรับรู้อะไรได้เลยสักอย่าง
“...เชส”
“...นั่นสิ...มันเรื่องส่วนตัวนายนี่”มือของผมทั้งสองข้างกำแน่นอย่างข่มอารมณ์ที่กำลังจะปะทุขึ้น ผมรีบลุกขึ้นจากเตียงเดินไปยังประตูก่อนที่ตัวเองจะเผลอทำอะไรแย่ๆลงไป
มันถูกแล้วที่อานโน่พูด
เขาก็มีเรื่องส่วนตัว
มีสิ่งที่ไม่สามารถบอกได้
มีหลายอย่างที่ยังคงเป็นความลับ
ทั้งที่รู้แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด
“เดี๋ยวเชส!”เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับมือของเจ้าของเสียงที่ดึงข้อมือผมไว้แน่น
“ปล่อย”ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรทั้งนั้นแหละ
“เชสฟังฉันก่อน”
“ไม่...ปล่อยเดี๋ยวนี้”ผมยังคงยืนยันแล้วสะมือที่จับข้อมือผมไว้ออก
หมับ!
“เดี๋ยวก่อน...ฟังฉันก่อนมันไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิด...ไม่ใช่จริงๆ”ครั้งนี้ไม่ใช่มือที่จับเพื่อไม่ให้หนีแต่อานโน่กอดเอวผมจากด้านหลังก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง
“...”
“ให้ฉันได้อธิบายหน่อยนะครับ...นะ”น้ำเสียงอ้อนๆที่ไม่ได้ยินมานานมีอิทธิพลกับหัวใจอย่างรุนแรงจนต้องถอนหายใจออกมาดังๆ
“ว่ามาสิ”สุดท้ายก็ต้องยอม
“ฉันแค่ไม่อยากให้นายเข้ามายุ่งไปมากกว่านี้...ถ้านายเข้ามาก็อาจเป็นอันตรายได้”
“เกี่ยวกับไดโนเสาร์ใช่ไหม?”ผมถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบดี
“...อืม...แม่ให้ฉันไปที่สวนสัตว์เพื่อจัดการกับไดโนเสาร์ที่กำลังทะเลาะกันอย่างไม่ทราบสาเหตุ พอดีหน่วยปฏิบัติการพิเศษของพี่บราวกับพี่โชกำลังติดภารกิจใหญ่อยู่คนที่พอช่วยได้เลยมีแค่ฉัน...แต่ถ้าบอกไปนายก็คงจะขอตามไปฉันก็เลยต้องพูดไปแบบนั้น...ขอโทษนะเชส”คำอธิบายทั้งหมดดังขึ้นพร้อมกับคนด้านหลังที่กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นพลางซุกหน้าลงบนแผ่นหลังผมจนสัมผัสได้ถึงเสียงของลมหายใจ
“แสดงว่าเป็นสายพันธุ์ที่อันตรายสินะ?”ผมลองถามต่อเพื่อจะได้เก็บข้อมูล
“ไม่ได้อันตรายขนาดนั้นหรอก...ฉันจะกลับมาอย่างไม่บาดเจ็บให้ดู”
“ฉันไปด้วย”
“เชส”
“นายบอกเองนะว่าไม่อันตรายขนาดนั้น”
“ก็ใช่แต่ว่าถ้านายได้รับอันตรายอะไรขึ้นมาฉันจะทำยังไงล่ะ?”น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงทำให้ความหงุดหงิดที่มีหายไปอย่างรวดเร็ว
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ยอมให้เป็นแบบตอนนั้นอีก”
“แต่...”
“นายคงไม่คิดว่าตลอด10วันที่ผ่านมาฉันกลับไปนอนเล่นที่บ้านเฉยๆหรอกนะ”
“หมายความ...ว่ายังไง?”
“ทักษะการต่อสู้...ทักษะการใช้อาวุธ...ตอนนี้ฉันมีหมดทุกอย่างแล้ว”ผมบอกออกไปตามตรง ในช่วงที่แยกจากอานโน่ผมกลับบ้านจริงแต่ไม่ถึงวันด้วยซ้ำที่เหลือก็ไปอยู่ที่สนามฝึกทั้งศิลปะป้องกันตัวและอาวุธอย่างปืนและมีด
“เวลาสั้นๆแบบนี้นายจะชำนาญได้ยังไง?”
“ถ้าบอกว่าฉันเคยเรียนมาล่ะ?”
“ห๊ะ?”
“ฉันเป็นถึงว่าที่ผู้นำตระกูลเฟวรีเย่คนต่อไปเลยนะ ต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้ตั้งแต่เด็กแต่เพราะไม่ได้สนใจเลยไม่เก่งเท่าที่ควร...ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วฉันอยากเก่งขึ้นไม่ใช่แค่ปกป้องนายแต่จะปกป้องตัวเองไม่ให้นายต้องมาคอยผะวงเวลาที่ต่อสู้...เชื่อฉันอีกครั้งเถอะอานโน่”ครั้งนี้จะไม่ยอมให้ทั้งตัวเองหรือคนสำคัญต้องเจ็บอีกแล้ว
“...เชส”
“นะอานโน่”
“...แค่ครั้งนี้นะ”
“ขอบคุณ”
“เราจะไปสวนสัตว์ที่อยู่กรุงปารีส”มือที่ผมอยู่คลายออกก่อนที่อานโน่จะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าที่อยู่ติดผนัง
“งั้นก็ต้องนั่งเครื่องไป”
“ใช่”
“แล้วจองรึยัง?”ช่วงปิดเทมอแบบนี้ควรจะจองเครื่องก่อนล่วงหน้าสักอาทิตย์กันไว้
“ของฉันไม่มีปัญหาหรอกแต่ของนายน่ะสิ”
“ฉัน?”ทำไมของผมต้องมีปัญหาด้วย?
“อืม...ถ้าไปแล้วไม่มีที่นั่งฉันจะทิ้งนายไว้ที่สนามบินแน่”ถึงน้ำเสียงที่พูดนั่นจะปกติแต่แววตานั่นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเอาจริงแน่
“หึ...นายมากกว่ามั้งที่จะถูกทิ้ง”มาดูถูกคนของตระกูลเฟวรีเย่ที่มีอิทธิพลมากที่สุดแบบนี้ก็แย่สิ
แค่ตั๋วเครื่องบินใบเดียวถ้ายังหาไม่ได้ก็เสียชื่อแล้ว
“ก็มารอดูกัน”
สนามบินเป็นอย่างที่คาดที่ผมได้คาดการณ์ไว้เพียงแค่มาถึงก็มีผู้คนมากมายยืนออกันอยู่ที่บริเวณทางเข้าออกและด้านในของสนามบิน ไม่ต้องลองก็รู้ได้ในทันทีว่าคงไม่มีทางที่จะได้ตั๋วของวันนี้มาแน่ถ้าไม่ใช่ผม...อย่างที่บอกไปว่าตระกูลเฟวรีเย่เป็นตระกูลที่มิทธิมาก ไม่เพียงเท่านั้นด้วยความที่คนในตระกูลมักจะต้องเดินทางด้วยเครื่องบินอยู่เสมอเลยมีการทำข้อตกลงกับทางสายการบินว่าในทุกๆเที่ยวบินต้องมีที่ว่างอยู่ประมาณ2ที่เพื่อให้คนของตระกูลได้ขึ้นในเวลาที่ต้องการ
แต่ทุกอย่างล้วนมีข้อแลกเปลี่ยนทั้งนั้นการที่จะได้ตามที่ต้องการก็ต้องเสียเงินให้กับสายการบินในแต่ละเดือนซึ่งถือว่ามากโขเลยทีเดียว
“อานโน่”ผมเรียกคนที่เดินนำไปยังที่จำหน่ายตั๋ว เรือนผมสีเงินแซมน้ำเงินที่ปล่อยยาวกับดวงตาสีแดงอ่อนทำให้ผู้คนโดยรอบหันมามองเป็นตาเดียวแต่ก็ไม่กล้าเข้ามาพูดคุยอะไร
นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายเปิดเผยตัวต่อสาธารณะ...ความรู้สึกหวงนั้นเข้ามาภายในใจอย่างรวดเร็วยิ่งเห็นว่ามีทั้งหญิงชายที่มองมาด้วยสายตาที่สนใจทำให้ผมเดินเข้าคู่กับคนที่ไม่รับรู้ถึงสายตาเหล่านั้น
อยากให้ทุกคนเห็นว่าคนคนนี้มีเจ้าของแล้ว
แม้ในความจริงผมจะไม่ใช่เจ้าของก็ตาม
“มีอะไรเชส?”
“ตั๋วฉันหาให้สองใบได้นะให้ฉันจัดการเถอะ”
“นายจะหามาจากไหน?”คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่พร้อมหันมามองอย่างสงสัย
“ตระกูลเฟวรีเย่น่ะทำสัญญากับสายการบินไว้”
“นั่นแปลว่าไม่ใช่นายที่หามาได้แต่เป็นตระกูลนายไม่ใช่รึไง?”
“...”สิ่งที่อานโน่พูดทำให้ผมชะงัก
ก็จริงอย่างที่ว่า...ไม่ใช่ผมที่หาได้แต่เป็นตระกูลเฟวรีเย่
“นายไม่ชอบใช้ชื่อตระกูลตัวเองนี่”
“ก็ใช่แต่ถ้าไม่ใช้เราจะไปยังไงล่ะ?”ผมถามกลับ
“เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องตั๋วให้ละกัน”อีกฝ่ายพร้อมเข้าไปคุยกับพนักงานที่ขายตั๋วเครื่องบิน
“ซื้อตั๋วที่ไปปารีสเร็วที่สุดครับ”
“ขอโทษด้วยคะ...ตอนนี้เครื่องเต็มแล้วคะ”พนักสาวตอบกลับมาด้วยประโยคที่ผมคาดการณ์ไว้
ว่าแล้วเชียว
“อานโน่...”ยังไม่ทันได้พูดอะไรผมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนตรงหน้าหยิบบัตรสีดำที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่องค์กรทั่วทั้งโลกรู้จัก
บัตรนั่นเป็นบัตรที่ใครต่างก็ใฝ่ฝันที่จะได้รับมัน...แค่มีมันในครอบครองก็เหมือนกับมีเหล่าอัจฉริยะทั้งสามของโลกคอยหนุนหลังเพียงแต่คนที่จะได้รับบัตรนั่นมีน้อยคนนักและส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีความสามารถระดับหัวกะทิเท่านั้น
ทำไมอานโน่มีได้กัน?
“ทางเราต้องขออภัยที่เสียมารยาทคะ...นี่เป็นบัตรที่นั่งวีไอพี2ที่....เชิญขึ้นเครื่องAC8ที่ประตู8ได้เลยคะ”พนักงานสาวรีบเอ่ยขอโทษพร้อมยื่นบัตรให้อย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณครับ...ไปกันเถอะเชส”อานโน่ว่าพร้อมกับเดินไปยังเครื่องที่ต้องขึ้นท่ามกลางความสงสัยของผมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
.............................................................................
สวัสดีค่ะ
มาอัพต่อแล้วว
ตอนหน้ามีการบู๊เล็กน้อย
เชสเองก็มีส่วนบู๊ด้วยนะ อิอิ
วางให้เชสเป็นพวกการต่อสู้อยู่ก่อนเพราะง่ายต่อการแต่งค่ะ
แถมด้วยความที่เป็นตระกูลดังก็ต้องมีการเรียนทักษะการต่อสู้อยู่บ้างจึงเป็นโอกาสดีที่จะให้เชสเป็นการต่อสู้มาก่อน
แต่ที่ครั้งก่อนสู้ไม่ได้อาจเพราะอะไรหลายๆอย่าง ไม่พร้อมบ้าง ตกใจบ้าง ไม่ได้ฝึกมานานบ้าง หรือลืมพวกการต่อสู้ไปบ้าง
จากนี้เชสคงจริงจังกับการฝึกมากขึ้นแล้ว 555
หลังจากตอนนี้ไปจะเริ่มเข้าเนื้อหาเข้มข้นแล้ว
ยังไงก็รอติดตามกันนะคะ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆกำลังใจนะคะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪