บทที่สองบางครั้งแรงลมที่พัดผ่าน ก็ช่วยให้ตัวตนของคลื่นชัดเจนขึ้นมา..ผมคิดว่าตัวเองมีความสุขดีอยู่เสมอ ถึงแม้ที่นี่มันจะดูเงียบเหงาไปบ้าง เพราะสำหรับผมการได้มีเขาอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา ก็ทำให้ผมไม่ต้องการใครหรืออะไรในชีวิตอีกแล้ว
“คุณคลื่นไม่ลองลงไปเดินเล่นที่ห้างด้านล่างแก้เบื่อเหรอคะ”
ผมส่งยิ้มให้คุณแม่บ้าน ก่อนจะตอบคำถามกลับไป “ไม่ดีกว่าครับ”
“ทำไมละคะ วัน ๆ อยู่แต่บนนี้ไม่เจอใครเลย ไม่เหงาเหรอคะ”
“ไม่หรอกครับ”
ผมหัวเราะไปกับคำถามของคุณแม่บ้านอีกครั้ง ก่อนจะปลีกตัวออกมานั่งอ่านหนังสือที่ห้องนั่งเล่นเพื่อรอให้เขาละออกมาจากกองเอกสารที่ตั้งเรียงกันอยู่บนโต๊ะตั้งแต่เช้าตรู่ จวนจะบ่ายแล้วแต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักเลย ทั้งที่เมื่อเช้าก็กินไปแค่กาแฟกับขนมปังเพียงสองสามแผ่นที่ผมเอาเข้าไปให้
“หรือควรจะหาอะไรเข้าไปให้กิน..”
พึมพำกับตัวเองได้ไม่นาน ผมก็ตัดสินใจลุกเข้าไปในครัวเพื่อมองหาอะไรง่าย ๆ ไปให้เขากิน ลมไม่เคยละมือจากงานตรงหน้าเพียงเพื่อให้ตัวเองมีมือว่างพอที่จะหยิบช้อนตักอาหารเข้าปาก ผมเลยอยากหาอะไรที่สามารถหยิบเข้าปากได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเสียเวลามากไปให้อย่างเช่นขนมปังปิ้งเมื่อเช้า
“หมดเหรอ”
เมื่อกี้ผมก็ลืมบอกคุณแม่บ้านให้ช่วยหาขนมปังมาเพิ่มให้ทดแทนที่หมด แถมตอนนี้ยังเป็นช่วงพักเที่ยงเสียด้วย ถ้าผมโทรลงไปบอกให้เอาขึ้นมาให้ ทุกคนก็ต้องทิ้งอาหารที่อยู่ตรงหน้าเพื่อเอามันขึ้นมาส่งให้ผม
“ซุปเปอร์มาเกตอยู่ชั้นไหนนะ” ผมว่าพลางเดินไปหยิบกุญแจเพื่อพาตัวเองลงลิฟต์ไปยังชั้นล่างสุดของตัวอาคาร “แค่แปบเดียว คงไม่ต้องบอกลมมั้ง..”
ผมคิดเองง่าย ๆ เพราะเชื่อว่าเขาคงยังอยู่ในห้องนั้นอีกนาน วัดจากกองเอกสารที่ลดลงไปเพียงครึ่งเดียวนั้น
เดิมทีจากที่ตั้งใจจะลงมาซื้อเพียงแค่ขนมปังสักแถว กลายเป็นว่าตอนนี้ผมกำลังเข็นรถเข็นที่เต็มไปด้วยขนมหลายอย่าง ขนมขบเคี้ยวที่ไร้ประโยชน์พวกนี้เป็นของโปรดของผมแต่กลับไม่เคยมีคุณแม่บ้านคนไหนจัดมาให้ผมเลยสักครั้งเดียว อาจเป็นเพราะพวกเธอไม่รู้ว่าผมชอบ หรืออาจจะเป็นคำสั่งของเขาที่ห้ามไว้ไม่ให้ใครเอาขึ้นไปให้ อันนี้ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ
“คุณคลื่น”
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ ๆ ก็มีชายชุดดำสี่ห้าคนเข้ามารุมล้อม ก่อนจะตรงเข้าล็อคตัวผมแล้วออกแรงดึงพาตัวผมเดินตรงกลับมาที่ลิฟต์ตัวเดิมที่ผมใช้อาศัยพาตัวเองลงมา “เอ่อ..พวกคุณจะทำอะไร”
“คุณลมสั่งให้พวกผมมาตามหา และพาคุณกลับขึ้นไปครับ”
ผมพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่าเข้าใจ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างเกรงใจ “แต่ผมยังไม่ได้จ่ายเงินค่าของ..”
“เดี๋ยวผมจะให้คนจัดการเอาขึ้นไปให้คุณเองครับ” เขาสวนกลับมาทั้งที่ยังฟังผมพูดไม่จบ “ตอนนี้คุณรีบกลับไปหาคุณลมดีกว่า”
“เอ่อ..ครับ”
ผมเดินออกจากตัวลิฟต์เมื่อชายชุดดำหนึ่งในสี่คนผายมือเป็นเชิงให้ออกมา ก่อนจะเดินตรงไปหาลมที่นั่งทำหน้านิ่งอยู่บนโซฟาในส่วนห้องรับแขก เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำเดียว ทำเพียงแค่จ้องผมนิ่ง ๆ ด้วยสายตาอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมานานแล้ว
“ลม..”
“ไปไหนทำไมไม่บอก”
เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่เขาพูดกับผมด้วน้ำเสียงเรียบนิ่งจนเกือบฟังดูเย็นชาแบบนี้ “ลม..”
“แค่บอกกันมันเสียเวลามากเลยเหรอ”
“เอ่อ..” ผมกัดริมฝีปากตัวเอง นึกคำพูดแก้ตัวดี ๆ สักอย่าง “เรา..”
“รู้ไหมว่าทำไมเราตกใจแค่ไหน”
“...”
“อย่าทำอีก” เขาว่า กดเสียงต่ำลงไปกว่าเดิมอีก “ได้ไหม”
“ขอโทษ”
ผมทิ้งตัวลงไปกอดเขาเอาไว้แน่น ก่อนจะพึมพำคำว่าขอโทษซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น
“ขอโทษจริง ๆ นะ”
.
.
.
.
บางครั้งที่ทะเลเงียบสงบ อาจเกิดจากการที่สายลมพัดเปลี่ยนทิศทางไป ด้วยเพราะหวาดกลัวว่าหากพัดไปแล้ว คลื่นนั้นอาจจะสลายหายไปทันทีที่กระทบถึงฝั่ง..ผมดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากความมัวเมา ฉุดตัวเองให้พ้นจากความหงุดหงิดโมโหที่เกิดจากการหายตัวไปเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงของเขา ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ข้าง ๆ อย่างแผ่วเบา
“ดีแล้วที่เก็บเอามาไว้ข้างตัว..”
ดีแล้วจริง ๆ ที่จับขังเอาไว้ในโลกของผมอย่างนี้..
ผมนึกภาพตัวเองตอนไม่มีเขาอยู่ข้างกันไม่ออกแล้วจริง ๆ แค่เขาหายไปไม่นานอย่างนี้ผมยังรู้สึกกระวนกระวายจนแทบบ้า คลั่งจนคุมสติตัวเองไม่อยู่จนเผลอระบายความรู้สึกทั้งหมดลงไปบนตัวเขาจนหลับไปกลางอากาศอย่างนี้
ถ้าวันหนึ่งเกิดไม่มีเขาจริง ๆ ผมจะทำยังไง ?
“เจ็บ..”
“ชู่ว..ขอโทษ”
ผมปลอบคนเพ้ออยู่อย่างนั้นทั้งคืน ผมรู้ดีว่านั่นไม่ใช่เพราะพิษไข้ เพราะคลื่นไม่ได้มีอาการป่วยหรือตัวร้อนอะไร แต่ที่เขาร้องไห้อยู่นี่ เป็นเพราะกำลังฝันร้าย
“ขอโทษ..”
จะทำยังไงดี..ผมจะทำยังไงให้เขาหยุดฝันร้าย แล้วนอนหลับสนิทอย่างเหมือนอย่างเคยได้สักที..
“ลม”
“...”
“ลมตื่น”
“อือ..”
ผมลืมตาขึ้นมาทั้งที่ยังงัวเงีย ไม่ลืมที่จะดึงคลื่นลงมาเพื่อกดจูบลงที่แก้มทั้งสอง “ปล่อยยย..”
“...”
“ลมมมม..”
“หึ ๆ”
ถึงเปลือกตาของเขาจะยังบวม ๆ แต่อย่างน้อยเช้านี้เขาก็กลับมาเป็นคนที่ดูสดใสคนเดิมแล้ว
“เช้านี้มีคนทำอาหารมาให้แล้ว” เขาบอกขณะพยายามดันตัวออกจากอ้อมกอดผม “ลมปล่อย..”
“อีกนิดหนึ่ง..”
“...”
“นะ..”
เขามีท่าทีลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมทิ้งตัวลงมาให้ผมกอดเอาไว้เหมือนเดิม “แปบเดียวนะ”
“ครับ”
และในตอนนั้นผมก็นึกได้ว่าควรจะชดเชยความรู้สึกผิดที่ทำเอาไว้กับลมยังไง
“พรุ่งนี้กลับไปเที่ยวบ้านคลื่นกัน”
เขาหันมามองผมทันทีที่ได้ยิน “จริงเหรอ”
“อืม..”
“...”
“สักสองสามวันน่าจะได้”
“ขอบคุณนะลม” เขาว่าแล้วฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ “ขอบคุณจริง ๆ”
“เราต่างหากที่ต้องขอบคุณ..”
“...”
“ขอบคุณนะที่ไม่โกรธกัน”
ขอบคุณจริง ๆ
Ma-NuD_LaW