กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ  (อ่าน 56583 ครั้ง)

ออฟไลน์ vk_iupk

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 990
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-2
ลุงกับอาแน่ๆๆ เลย อิอิ
รอตอนต่อไปค่า ^___________^

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
แค่ทักทาย ก็เหมือนจะตีกันแล้ว555

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
บทที่ 10 บริพัตร



   มื้ออาหารเย็นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี บรรยากาศภายในโต๊ะอาหารไม่ค่อยเงียบเชียบเท่าไหร่นัก เพราะเด็กชายตัวน้อยพูดจ้อแทบจะผูกขาดการสนทนาแต่เพียง       ผู้เดียว ภูบดินทร์อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น เด็กชายตัวน้อยช่างซักช่างถามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเห็นอะไรเป็นต้องสงสัยไปหมด ภูธนาต้องคอยตอบคำถามเป็นระยะ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นลุงรู้สึกรำคาญแต่อย่างใด


   "ให้ผมล้างเองเถอะครับ"


   "ไม่เป็นไรครับคุณดิน มีจานอยู่ไม่กี่ใบ ล้างแปปเดียวก็เสร็จแล้ว" ภูธนาปฏิเสธน้ำใจของชายหนุ่ม


   "ผมเกรงใจ ไหนจะทำอาหารให้ทาน แล้วยังจะต้องมาล้างจานอีก"


   "ผมไม่ได้ทำเองหรอกครับ วันนี้เข้าไปที่ร้านมา หัวหน้าก็เลยให้มาน่ะครับ"


   "ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ควรช่วยอะไรบ้าง" บดินทร์ยังไม่ยอมแพ้ในเจตนารมณ์ของตนเอง


   "ถ้าอย่างนั้น ล้างน้ำเปล่าแทนละกันนะครับ" เมื่อได้รับคำอนุญาต บดินทร์ก็รีบเข้ามาช่วยทันที


   "น้องภูปกติแล้วเป็นเด็กแบบไหนเหรอครับ" บดินทร์ถามไถ่ถึงลูกชายตัวน้อย


   "น้องภูเหรอครับ แกก็เป็นเด็กที่ทานง่ายครับ กินทุกอย่างเลย ผิดกับแม่ของเขาที่ทานยาก แล้วก็เป็นเด็กที่ไม่ค่อยดื้อหรอกครับ ถ้าเราบอกด้วยเหตุผลแกก็จะเข้าใจได้ค่อนข้างดีในระดับหนึ่งเลยล่ะครับ แต่บางทีก็อาจจะมีอารมณ์ของเด็กอยู่บ้าง เหมือนวันนี้น่ะครับ" ถ้าให้พูดถึงหลานชายของภูธนาแล้วล่ะก็ ชายหนุ่มสามารถเล่าได้เป็นวันๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อ


   "งั้นที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด คงเพราะคิดถึงคุณ"


   "เป็นธรรมดาของเด็กครับ เด็กบางคนอาจจะติดแม่ ติดพ่อ แต่พอดีผมอยู่กับแกแทบจะตลอดเวลา แกก็เลยค่อนข้างที่จะติดผมมากกว่าแม่ แล้วน้องภูล่ะครับ"


   "นั่งเล่นอยู่กับเจ้าพัตน่ะครับ ดูท่า อา-หลาน คู่นี้น่าจะเป็นเพื่อนเล่นกันได้ดี ดูเหมือนจะชอบรถแข่งทั้งคู่เลย"


   "คุณพัตก็ชอบรถแข่งเหรอครับ หรือว่าชอบพวกรถยุโรปไว้ขับเล่นหรือเปล่าครับ" เมื่อเห็นว่า คนร่วมบ้านจะชอบอะไรที่เหมือนกับตัวเอง ภูธนาเลยเริ่มสนใจขึ้นมา


   "ชอบรถแข่งครับ โดยเฉพาะพวกรุ่นที่แข่งในสนามนี่ชอบจริงจังเลยล่ะครับ ห้องของเจ้านั่นมีแต่โมเดลรถเต็มไปหมด คุณธนาสนใจเรื่องรถเหรอครับ"


   "ไม่ใช่แค่สนใจหรอกครับ แต่ชอบเลยล่ะ ผมน่ะชอบรถแข่งมากๆ เลยครับ โดยเฉพาะการแข่งรถ ถ้าไม่เกิดเรื่องเสียก่อน คงได้กินนอนอยู่ที่สนามแข่งรถนั่นล่ะครับ" สีหน้าของภูธนาเวลาที่พูดถึงสิ่งที่ตนเองชอบนั้น ช่างมีสเน่ห์และชวนมองเสียเหลือเกิน ใบหน้านั้นดูผ่อนคลายและดูมีความสุข ตั้งแต่บดินทร์ได้เจอภูธนามา นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าภูธนาผ่อนคลายเป็นพิเศษ


   "มีอะไรติดหน้าผมหรือเปล่าครับ" ภูธนาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบดินทร์จ้องใบหน้าของตนเองอยู่


   "ปะ เปล่าครับ พอดีคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ" ภูธนายิ้มให้บดินทร์แล้วจึงหันไปมองด้านนอกระหว่างอากับหลานที่นั่งเล่นรถแข่งอยู่ด้านนอก

   
   "น้องภูชอบเล่นรถมากมั้ยครับ" บริพัตรชวนหลานชายคุยเพื่อทำลายความเงียบ


   "ชอบฮะ น้องภูชอบเล่นรถม๊าก มาก"


   "แล้วปกติน้องภูเล่นกับใครครับ"


   "กับลุงธนาฮะ ลุงธนาก็ชอบรถ"


   "อ้อ ลุงธนาก็ชอบรถแข่งเหรอครับ  แล้วลุงธนามีแฟนหรือยังครับ" บริพัตรเริ่มยิงคำถามที่หลานชายต่อเรื่อยๆ


   "มีแล้วฮะ มีหลายตัวเลย" บริพัตรแปลกใจเล็กน้อยที่ลักษณะนามที่หลานชายเรียกนั้นใช้คำว่าตัว แทนที่จะเป็น "คน"

   
   "น้องภูเคยเห็นหรือเปล่า"


   "ต้องเคยอยู่แล้ว แฟนอยู่ที่บ้านนะฮะ" ปากอิ่มชมพูพูดเจื้อยแจ้ว ใบหน้ายังก้มหน้าเล่นรถแข่งไม่หยุด


   "อยู่ที่บ้านด้วยเหรอ แต่อาไม่เคยเห็นเลยนะ"


   "เห็นแล้ว อาพัตเตอร์เห็นแล้วนะ"


   "อย่าหลอกอาสิ เป็นเด็กห้ามโกหกรู้มั้ยครับ" มือใหญ่บีบจมูกเด็กน้อยเบาๆ เพราะเริ่มมึนงงกับคำบอกเล่าของหลานชาย


   "น้องภูไม่ได้โกหกนะ แฟนน่ะก็เปิดส่ายไปมาตลอดเวลาเลย มีตั้ง 3 ตัวแน่ะที่บ้าน" น้องภูพูดพลางยกนิ้วมือป้อมๆ ขึ้นมาชู 3 นิ้ว เพื่อยืนยันคำพูดของตนอีกทาง



   บริพัตรได้รับคำตอบแบบนั้นถึงกับบางอ้อ แฟนที่น้องภูพูดหมายถึงพัดลมนั่นเอง เด็กน้อยคงเรียนภาษาอังกฤษมาบ้าง คิดแล้วก็ขำให้กับตัวเอง เด็กน้อยวัยนี้จะไปรู้จักแฟนหรือคนรักของภูธนาได้อย่างไร


   "แล้วลุงธนาดุมั้ยครับ"


   "ไม่ดุฮะ ลุงธนาใจดี แต่ถ้าน้องภูดื้อ ลุงธนาจะดุ" เด็กน้อยพูดตอบไปตามความรู้สึกที่แท้จริง โดยปกติแล้วภูธนามีน้ำเสียงทุ้มและแฝงความอ่อนโยน   อยู่ในนั้นตลอดเวลา


   "ใจดีขนาดไหนครับ บอกลุงให้ชื่นใจหน่อย" จังหวะนั้นภูธนาเดินออกมากับบดินทร์ ทันได้ยินคำตอบนั้นพอดี จึงแกล้งย้อนถามหลานกลับไป


   "ใจดีเท่าฟ้าเลยฮะ" เด็กชายตอบเอาใจลุงธนา มือป้อมๆ กวักมือให้ลุงลงไปเล่นด้วยกัน ภูธนาจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ หลานชาย


   "เล่นกับอาพัตเตอร์สนุกมั้ยครับ" ถึงปากจะถามภูบดินทร์แต่สายตานั้นกลับมองไปที่บริพัตร แค่เพียงแวบเดียว ครั้งนี้บริพัตรไม่ได้หลบสายตา ทำให้ภูธนาเป็นฝ่ายหลบตาก่อนแล้วหันหน้ากลับไปทางหลานชาย


   "สนุกฮะ แต่น้องภูอยากให้ลุงธนามาเล่นด้วยอีกคนฮะ"


   "น้องภูครับ อาคงเล่นต่อไม่ได้แล้วล่ะ น้องภูต้องเล่นกับคุณลุง 2 คนแล้ว อามีงานต้องทำอีกนิดหน่อย ไว้มาเล่นใหม่วันหลังนะครับ เด็กดี" บริพัตรลูบศีรษะหลานชายด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลุกออกไป


   "พรุ่งนี้คุณธนามีแผนจะทำอะไรบ้างครับ" บดินทร์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง


   "ก็ไปส่งน้องภูที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลครับ ขาดโรงเรียนหลายวันแล้ว"


   "แย่จริง ผมก็ลืมไปเลย ทางโรงเรียนได้ติดต่อมาบ้างหรือเปล่าครับ"


   "ผมโทรไปลาโรงเรียนไว้ให้แล้วครับ ทีแรกผมคิดว่าคุณดินอาจจะย้ายโรงเรียนของน้องภูน่ะครับ"


   "ผมไม่รู้เรื่องเลยล่ะครับ อา รู้สึกแย่ชะมัด ขอโทษด้วยนะครับ ที่ทำให้แกต้องขาดเรียน แล้วโรงเรียนที่ว่านี่อยู่ไกลจากที่นี่หรือเปล่าครับ"


   "ก็นิดหน่อยครับ คงต้องออกจากบ้านเร็วขึ้นจากเดิมเล็กน้อย"


   "ถ้างั้น เอารถอีกคันไปใช้นะครับ เป็นรถของเจ้าพัต กุญแจแขวนไว้ตรงมุมนั้น เอาไปใช้ได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจครับ" บดินทร์ชี้ไปบริเวณที่เก็บกุญแจของบ้าน ชายหนุ่มเสนอแนวทางช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อน


   "ไม่เป็นไรครับ เกรงใจคุณพัตเปล่าๆ"


   "บอกแล้วไงครับ ว่าไม่ต้องเกรงใจ เจ้าพัตไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ครับ แล้วอีกอย่างรายนั้นเองก็ไม่ยอมเอารถไปใช้ อ้างว่ารถติดเลยชอบใช้บริการรถไฟฟ้าน่ะครับ"


   "ถ้างั้น รบกวนด้วยนะครับ" ภูธนาตั้งใจจะปฏิเสธในคราวแรก แต่มานึกได้ว่า ถ้าหากต้องออกแต่เช้าตรู่แล้วยังต้องกระเตงหลานขึ้นรถลงเรือหลายต่อ เด็กน้อยคงจะเพลียมากๆ ชายหนุ่มจึงคิดว่าถ้าให้ภูบดินทร์หลับอยู่บนรถในระหว่างที่ไปโรงเรียน ก็น่าจะช่วยบรรเทาความง่วงก่อนที่ถึงโรงเรียนได้บ้าง


   "ตกลงตามนี้นะครับ ถ้างั้นผมเองก็ต้องขอตัวก่อนนะครับ ขอไปคุยเรื่องงานกับเจ้าพัตนิดหน่อย พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้วไม่รู้จะมีปัญหาอะไรเพิ่มขึ้นอีกมั้ย" บดินทร์ยิ้มให้ภูธนาแล้วจึงลุกตามคนที่เดินออกไปก่อนหน้านี้


   "เชิญครับ คุณดิน" 



   นั่งเล่นกับหลานเพื่อให้อาหารย่อยอีกสักพักใหญ่ๆ ภูธนาจึงพาเด็กน้อยขึ้นไปบนห้องเช่นกัน เพราะอีกเดี๋ยวก็จะได้เวลานอนของหลานชายคนเก่งนี้แล้ว


   ก๊อก ก๊อก


   "เชิญครับ" เจ้าของห้องตอบอนุญาตพอเป็นพิธี ร่างของผู้เป็นพี่เดินเข้าภายในห้องพร้อมปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ


 
   บริพัตรเอื้อมมือไปปิดหน้าจอที่เปิดค้างไว้ 2 จอ แล้วหันเก้าอี้กลับมาเพื่อมาคุยกับผู้มาใหม่ บดินทร์นั่งลงบนเตียงนุ่มของน้องชายด้วยความเคยชินก่อนจะเอ่ยทัก


   "วันนี้ งานเป็นไงบ้าง"


   "พี่ถามแบบนี้ทุกวันเลยนะครับ พี่ดิน" น้ำเสียงแฝงความเบื่อหน่าย  ของบริพัตรย้อนกลับไป


   "ถ้าพี่ไม่ถามเรา แล้วพี่จะไปถามใครล่ะ ว่าไงเรื่องงาน" คำถามเดิมๆ ที่บดินทร์เฝ้าถามตั้งแต่รู้เรื่องว่าบริพัตรถูกกลั่นแกล้ง ผู้เป็นพี่ไม่อยากให้เรื่องต้องถูกปล่อยปะละเลยแต่อย่างใด ชายหนุ่มจึงสอบถามน้องชายทุกวันด้วยความเป็นห่วง


   "ก็เหมือนเดิมทุกทีล่ะครับ" บริพัตรรู้ดีว่าที่บดินทร์มาถามเขาทุกวันนั้นเพราะห่วงใยในตัวเขา แต่เขาเองก็ไม่อยากให้พี่ชายลำบากใจจึงตอบเหมือนๆ เดิมแทบทุกครั้ง


   "พี่ขอเถอะนะ พัตเองก็รู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม วันนี้โดนแกล้งอะไรมา"


   "ช่างมันเถอะครับ มันก็เหมือนเดิมทุกๆ วัน"


   "พัต บอกพี่" บดินทร์ถอนหายใจด้วยความอ่อนใจกับน้องชายจอมดื้อด้านคนนี้


   "ให้พี่จัดการให้มั้ย"


   "อย่าเลยครับ แค่นี้ทุกคนก็มองว่าผมเป็นเด็กเส้น ถ้าพี่ดินลงมาทำอะไรมากไปกว่านี้ จะลำบากกว่าเดิมได้นะครับ"


   "นายทำงานที่นี่มากี่ปีแล้ว ทุกคนก็เห็น ว่านายทำงานได้เพราะตัวนายเอง ต่อให้พี่ฝากนายเข้าทำงาน แต่ถ้านายทำงานไม่ได้ คิดเหรอว่าพี่จะยอมให้นายทำงานต่อไปได้ แต่ที่นายยังโดนแกล้งอยู่แบบนี้ พี่ไม่ค่อยชอบ"


   "ผมไม่เป็นไรจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ลำบากอะไรด้วย พี่ดินไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ตอนนี้พี่ต้องห่วงน้องภูให้มากๆ ต่างหาก"


   "ไม่ว่าจะนายหรือน้องภู ก็สำคัญต่อพี่ทั้งคู่ ยังไงพี่ก็ปล่อยไปไม่ได้หรอก ถ้านายไม่บอก งั้นพี่จะให้ญาญ่ามาคอยรายงานพี่เอง"


   "อย่าสร้างงานเพิ่มให้พี่ญาญ่าเลยครับ แค่นี้งานเธอก็เยอะอยู่แล้ว" ญาญ่าหรือมนัธญา หัวหน้าสาวสวยคนเก่งของแผนกที่บริพัตรทำงานอยู่ แล้วหญิงสาวก็เป็นรุ่นน้อง ของบดินทร์ด้วย จึงไม่แปลกหากจะขอพึ่งพาไหว้วานกัน


   "นายต้องเลือกแล้วนะพัต ว่าจะบอกพี่เองหรือให้ญาญ่ามาบอกพี่ แล้วพรุ่งนี้ก็ไปทำงานพร้อมกับพี่ล่ะ"


   "ไม่เอาล่ะครับ พี่ดินเข้าสายได้ แต่ผมต้องไปให้ตรงเวลานะครับ เพราะฉะนั้นผมไปเองดีกว่า แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมก็ไม่ค่อยชอบรถติดด้วย"


   "คุณธนา เขาบอกพี่เรื่องโรงเรียนเตรียมอนุบาลของน้องภูให้พี่ฟัง พี่เพิ่งรู้ว่าลูกชายเข้าโรงเรียนแล้ว เลยยังไม่ได้ดูโรงเรียนใกล้ๆ แถวนี้เลย ช่วงนี้คงต้องเรียนที่โรงเรียนเดิมไปก่อน จนกว่าจะปิดเทอม แล้วโรงเรียนก็ไกลจากบ้านเราเพราะอยู่ใกล้กับห้องพักของคุณธนา"


   "พี่เห็นว่าไหนๆ พัตเองก็ไม่ได้ใช้รถอยู่แล้ว ก็เลยอยากจะขอยืมรถพัตให้คุณธนา เขาใช้ไปก่อนสักระยะหนึ่ง แล้วพี่จะหาทางขยับขยายให้ใหม่ ทั้งเรื่องโรงเรียนของน้องภู หรือรถของพัตเองนะ แล้วคุณธนาก็ชอบรถเหมือนกับพัตเลยนะ เรื่องรถคงดูแลดีไม่แพ้กันหรอก พัตคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย" บดินทร์พูดยาวเหยียดเป้าหมายทั้งหมดก็คือขออนุญาตเจ้าของรถเพื่อให้ภูธนาได้เอาไปใช้นั่นเอง อย่างหนึ่งที่บดินทร์ไม่ได้บอกภูธนาตรงๆ ก็คือ นอกจากบริพัตรจะชื่นชอบพวกโมเดลหรือรถแข่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่น้องชายคนนี้ แม้กระทั่งรถทั่วไปก็ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีไม่แพ้กัน




   ถึงแม้ในวันทำงานบริพัตรจะไม่ได้ขับรถไปทำงาน แต่ในวันหยุดพักผ่อน ชายหนุ่มชอบขับรถไปไกลๆ เพื่อพักผ่อน บริพัตรชอบความเร็วแต่ไม่ประมาท ที่บอกว่าไม่ชอบรถติดนั่นมันก็ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ชอบขับรถ บดินทร์นั่งรอคำตอบของน้องชายใจจดใจจ่อ หากบริพัตรไม่ยินยอม พรุ่งนี้ตัวเขาเองคงจะต้องเป็นฝ่ายนั่งแท็กซี่ไปทำงานแทน


   "ก็ได้ครับ พี่ดินเอ่ยปากขนาดนี้ ผมจะไม่ให้ได้ยังไงกัน"


   "ขอบใจนายมากนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพี่จะรับผิดชอบเองนะ นายไม่ต้องเป็นห่วง" บดินทร์รู้สึกโล่งอกที่ได้ฟังคำตอบจากน้องชายเพราะไม่คิดว่าบริพัตรจะยอมให้ง่ายๆ


   "น่าห่วงอยู่นะครับ ตอนนี้พี่แทบไม่เหลือเงินสดไว้สำรองจ่ายแล้วนะครับ จำได้มั้ย" บริพัตรขยับแว่น เหล่ตามองผู้เป็นพี่ชายเล็กน้อยพอเป็นพิธี เพื่อกระตุ้นความจำชอบบดินทร์


   "อย่าพูดอย่างนั้นสิ เงินสำรองนั่นไม่มีก็จริง แต่ถ้าฉุกเฉินก็คงต้องเอาเงินที่ไม่ควรใช้ แล้วเอามาใช้ละนะ ยังไงก็แล้วแต่ นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก"


   "เงินนั่นพี่เอาไปเลยก็ได้ ผมไม่ได้ติดใจอะไรหรอก น้องภูน่ารักมาก ผมคิดว่าคุ้มครับ ที่ยอมจ่ายเงินไป"


   "ขอบใจนายจริงๆ นะพัตเตอร์ น้องรัก"


   "พอๆ ได้แล้ว มาทำเสียงหวานซึ้งแบบนี้ ผมขนลุกจะอ้วก ตอนนี้ผมง่วงแล้ว พี่ออกไปได้แล้ว " พูดว่าง่วง บริพัตรก็หาวออกมาทันที ทำให้พี่ชายที่กำลังจะพูดเรื่องที่ทำงานต่อต้องหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านี้  ไว้ค่อยคุยใหม่วันหลังก็ได้ บดินทร์คิดแล้วจึงออกจากห้อง





   
   บริพัตรลุกขึ้นตามไปส่งพี่ชายที่ประตูหน้าห้อง ปิดประตูลงเมื่อพี่ชายคล้อยหลังไปแล้วจึงปิดไฟในห้อง สายตาที่ดูง่วงนอนเมื่อยล้าเมื่อสักครู่นี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่เอาจริงเอาจังไม่เฉื่อยชา ชายหนุ่มเอาแว่นคาดศรีษะเพราะรำคาญผมที่ยาวปิดตาแล้วเดินไปนั่งหน้าโต๊ะคอมเพื่อทำงานต่อ  มือใหญ่แต่กลับคล่องแคล่ว พิมพ์คำสั่งโปรแกรมด้วยความรวดเร็ว เขาถูกขัดจังหวะในการทำงานเมื่อสักครู่ ทำให้เสียเวลาไปพอสมควร ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องรีบเร่งมือก่อนที่จะไม่ทันเวลา




   บริพัตรทำงานให้กับองค์กรลับแห่งหนึ่งของประเทศ ชายหนุ่มมีหน้าที่เข้าไปเจาะลึกล้วงข้อมูลออกมาเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ ถึงจะเป็นงานที่เหมือนทำคุณความดีให้กับประเทศชาติ แต่ทว่าก็เหมือนเป็นดาบสองคม การเข้าไปเจาะข้อมูลฝ่ายตรงข้ามก็ถือเป็นความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อยู่ดี เพราะฉะนั้นงานเลยมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก แต่ก็ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับมีมูลค่าสูงกลับมาเช่นเดียวกัน




   ในช่วงปี 4 ที่บริพัตรดรอปเรียนอย่างกะทันหัน ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มหายไปไหน บริพัตรในช่วงนั้นไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับใคร ชายหนุ่มอยากอยู่เพียงลำพัง ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหมดแรง และไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้อีก ความเชื่อมั่นที่มีกลับไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว จนเขาได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง




   บริพัตรหนีจากสังคมไปพักที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลุงชาครเป็นเจ้าของที่พักแห่งนี้ ในแต่ละวัน บริพัตรจะนั่งที่ริมระเบียงและดื่มกาแฟไปทีละแก้ว พอหมดก็สั่งแก้วใหม่แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงตอนพลบค่ำถึงจะลุกกลับไปห้องพัก จนกระทั่งวันหนึ่งลุงชาครได้เข้ามานั่งพูดคุยด้วย ตอนนั้น ลุงชาครมีอายุราว 55 ปี อายุอานามยังไม่เยอะนัก แต่ใบหน้ากลับดูแก่ราวผู้ชายวัย 70 ปี ผมสีขาวทั่วศีรษะ ผิวหนังเหี่ยวย่นและหยาบกร้าน แต่ดูสงบและชวนให้เคารพ ลุงชาครเล่าเรื่องราวของตนเองให้บริพัตรฟังทีละเรื่องๆ ลุงชาครไม่ได้สอนอะไรบริพัตรเป็นเรื่องเป็นราวแต่ในเรื่องราวที่ลุงเล่าให้ฟังนั้นกลับสอนข้อคิดของการใช้ชีวิตทุกครั้ง  ผ่านไปหลายเดือน บริพัตรเริ่มสนิทกับลุงชาครบ้างขึ้นแล้ว จนกระทั่งลุงชาครยอมเล่าเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตให้ฟัง




   "ลุงเป็นมะเร็ง อีกไม่นานก็จะตายแล้วนะ" ลุงชาครบอกไว้อย่างนั้น บริพัตรไม่เข้าใจว่าทำไมลุงถึงไม่ยอมไปรักษาอาการให้ดีขึ้น จากที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาสักระยะหนึ่ง บริพัตรแน่ใจว่าลุงไม่ได้ป่วยเป็นมะเร็งหรอก บริพัตรถามลุงชาครเรื่องอาการป่วยอีกครั้ง ลุงไม่ตอบแต่ส่งยิ้มจางๆ มาให้ชายหนุ่มเพียงเท่านั้น


   "ชอบคอมพิวเตอร์มั้ย พ่อหนุ่ม" เช้าวันหนึ่งในหน้าฝน ลุงชาครก็ถามขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


   "ไม่มั้งครับ ผมใช้คอมฯ เวลาที่ต้องทำรายงานเท่านั้น" บริพัตรตอบลุงไปตามความจริง


   "อยากทำงานเพื่อประเทศชาติมั้ยล่ะ"


   "หมายความว่ายังไงเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ"


   "ก็หมายความตามที่บอกไปยังไงล่ะ"


   "โธ่ ลุงอย่าล้อผมเล่นสิครับ แค่มีชีวิตเพื่อตัวเองยังลำบากเลย ผมจะไปทำงานแบบนั้นได้ยังไงกัน"


   "มาลองดู ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องสนใจ"





   จากที่ลุงชาครบอกไว้ ลุงก็ทำตามคำพูดจริงๆ ที่ว่ามาลองดู ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องไปสนใจ แต่บริพัตรกลับชอบและสนใจ และยังทำได้ดีและน่าทึ่งจนลุงต้องเอ่ยปากชม บริพัตรเลยรู้ว่าก่อนหน้าที่ลุงชาครจะมาเปิดที่พักแห่งนี้ ทั้งชีวิตของลุงทำงานให้กับองค์กรลับแห่งนี้มาโดยตลอด แต่เมื่อร่างกายไม่เอื้ออำนวยก็ทำให้องค์กรทำงานล่าช้าลง



   ลุงชาครไม่เคยบังคับบริพัตรให้ทำงานเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นชายหนุ่มเองที่อยากทำงานนี้เองและอยากสานต่อเจตนารมณ์ของลุงชาครด้วย และเพียงไม่นานหลังจากที่บริพัตรเข้าทำงานในองค์กรลับ ลุงชาครก็ต้องจากไปอย่างที่เคยบอกไว้แต่แรก



   'ลุงเป็นมะเร็ง อีกไม่นานก็จะตายแล้ว'



   
   บริพัตรสอบถามพนักงานที่ทำงานในเกสต์เฮาส์ ปรากฎว่าไม่มีใครรู้จักญาติของลุงชาครเลย ลุงไม่เคยบอกว่ามีลูกหลานหรือพี่น้องที่ไหน บริพัตรเลยจัดงานศพเล็กๆ ให้กับลุงชาคร ผู้ที่เปรียบเสมือนเป็น พ่อ เพื่อน พี่ หรือครูให้กับชายหนุ่ม



   ลุงชาครรอบคอบเสมอ ในวันเผาศพ มีทนายหนุ่มคนหนึ่งมุ่งหน้าเดินตรงเข้ามาหาบริพัตร และแจ้งว่าเนื่องจากลุงชาครไม่มีญาติหลงเหลือแล้ว จึงขอมอบเกสต์เฮาส์แห่งนี้ให้กับบริพัตรดูแลต่อ พร้อมเงินสดที่มีมูลค่าไม่น้อยมอบให้กับบริพัตรและพนักงานที่ทำงานในเกสต์เฮาส์ด้วย บริพัตรเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมลุงชาครถึงไว้ใจให้เขาดูแลที่นี่ต่อ




   หลังจากเสร็จจากงานศพของลุงชาครแล้ว  บริพัตรจึงตัดสินใจกลับเข้ามาเรียนต่อให้จบอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้จิตใจที่เสียความร้สึกไปก่อนหน้านี้จะยังไม่หายขาด แต่ก็ดีขึ้นจนสามารถก้าวต่อสู้ได้อีกครั้ง และทุกครั้งเมื่อถึงวันหยุดหากไม่ติดธุระอะไรบริพัตรก็จะกลับไปที่เกสต์เฮาส์นั้นเสมอ



   บริพัตรจำต้องปกปิดตัวเองทุกอย่างจากงานที่ทำ หลังจากเรียนจบเขาเข้ามาทำงานในตำแหน่งธรรมดาทั่วไป แต่งตัวและปกปิดหน้าตา เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้  ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงที่ชื่อ



   ' มิ้น หรือ มินตรา'





Talk:.

สวัสดีค่ะ ศุกร์ลัลลา นะคะ ^^ ชื่อตอนที่ 10 นี้ยกให้พ่อพระเอกเค้าหน่อยค่ะ พระเอกของเราดูมีปมเล็กๆ นิดหน่อย รับรองว่าเรื่องนี้ไม่ดราม่าค่ะ ขอเป็นโมเมนท์ซึมๆ เล็กๆ ก็พอ คนแต่งไม่ชินกับดราม่าจ้าาา

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย (มั้ย ?) รักษาสุขภาพและสภาพเงินด้วยค่ะ กลางเดือนแล้ว นึกว่าสิ้นเดือนแล้วเนี่ย 55555  :z3: :z3:


ขอบคุณคอมเมนท์ทุกๆ ท่านเลยนะคะ กำลังใจชั้นเยี่ยมเลย
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:




ด้วยรัก
เขมกันต์

ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
เปิดเผยพระเอกแล้ว น่ารักอ่ะพัตเตอร์  :o8:

อยากให้ลุงธนามีความสุขมากๆ เสียที

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โห บริพัตร ชีวิตนายอย่างกับนิยายเลย
ว่าแต่อะไรทำให้พัตเตลิดไปได้ขนาดนั้นนะ แล้วมิ้นเป็นใครล่ะ

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

บทที่ 11


   ล่วงเข้าวันใหม่ หลานชายคนเก่งหลับเข้าสู่ห้วงนิทราไปนานแล้ว แต่ภูธนายังนอนไม่หลับ ชายหนุ่มนอนกระสับกระส่ายพยายามข่มตา แต่พอหลับตาลงทีไร ภาพของชายหนุ่มก็กลับผุดขึ้นมาในหัว



   ชายหนุ่ม เจ้าของชื่อ บริพัตร ยังคอยวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของภูธนาตลอดเวลา ไม่อาจสลัดออกไปได้  ตอนเย็นที่ผ่านมา แว่นสายตาที่คาดผมของอา หนุ่มไว้นั้น เพียงเสี้ยววินาทีที่ภูธนาบังเอิญได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่ปราศจากแว่นตากรอบหนาอันใหญ่ และผมยาวที่ปกปิดดวงตา



   ความคิดแรกที่พุ่งเข้ามาในหัว




   'เลิกใส่แว่น แล้วโยนทิ้งไปได้มั้ย ให้ตายเถอะ โคตรจะเสียดายใบหน้าหล่อๆ แทนว่ะ'



   ภูธนาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อใบหน้าไร้กรอบแว่นหนาและทรงผมอันแสนเชยนั่นแล้ว บริพัตรหน้าตาดีชนิดที่เรียกได้ว่าหาตัวจับได้ยาก ถึงจะเป็นสายตาของผู้ชายด้วยกันเองก็คงต้องยอมรับว่า เจ้าตัวนั้นมีใบหน้าที่หล่อมากเลยทีเดียว ทั้งสัดส่วนบนใบหน้าต่างลงตัวได้รูปรับกันหมด


   คิดมาถึงตรงนี้ทีไร ภูธนารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าทำไมชายหนุ่มถึงต้องปิดบังใบหน้านั้น ซ้ำยังบุคลิกท่าทางที่ดูไม่มั่นใจอีก น่าสงสัยอยู่ไม่น้อยเลยแฮะ อยากรู้จริงๆ 


   ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจถึงพฤติกรรมต่างๆ ของบริพัตร แต่เดี๋ยวก่อน ดูเหมือนตัวเขาเองกำลังให้ความสนใจอาของหลานเกินไปหรือเปล่า ภูธนายอมรับว่าเขาไม่ค่อยมีความรู้สึกเชิงชู้สาวกับใครเท่าไหร่นัก ภาระที่ผ่านมาในอดีตทำให้ชายหนุ่มไม่มีเวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่น่าจะมาสนใจผู้ชายด้วยกันเองแบบนี้





   เช้าวันรุ่งขึ้น ภูธนารีบอาบน้ำแต่งตัวให้ตัวเองและหลานชาย เพราะชายหนุ่มตื่นสายกว่าปกติ เมื่อคืนกว่าชายหนุ่มจะเคลิ้มหลับไปก็เกือบรุ่งสางเข้าไปแล้ว ภูธนาอุ้มหลานลงมาข้างล่าง หยิบกุญแจรถที่บดินทร์อนุญาตไว้แล้วรีบพาน้องภูไปที่รถคันใหญ่ทันที


   "ลุงขอโทษนะครับ น้องภู หนูเลยกินข้าวเช้าได้นิดเดียวเอง"  ภูธนาอุ้มหลานขึ้นนั่งข้างคนขับพร้อมรัดเข็มขัดให้เรียบร้อย แล้วจึงค่อยๆ ขับออกตัว


   "อะไรเหรอฮะ ลุงธนา" เด็กน้อยหันมาถามด้วยความสงสัย ในมือขาวป้อมยังถือกล่องนมที่ภูธนาเอามาเสริมให้เป็นมื้อเช้าอีกอย่างหนึ่ง


   "เปล่าครับ อิ่มมั้ยครับ หรือยังหิวอยู่" คุณลุงยิ้มหลานตัวน้อยด้วยความเอ็นดู


   "น้องภูอยากกินขนม" เจ้าตัวน้อยเริ่มขอขนมเพิ่มเติม


   "ไม่ได้หรอกครับ ดื่มนมให้หมดนะครับ ขาดโรงเรียนมาตั้งหลายวัน น้องภูคิดถึงโรงเรียนมั้ยครับ "


   "ฮะ น้องภูคิดถึงมีมี่แล้ว" มีมี่เป็นเด็กน้อยผมถักเปีย 2 ข้างหน้าตาน่ารักทีเดียว และเป็นเพื่อนเล่นกับภูบดินทร์ตั้งแต่เข้าเรียน


   "อ้อ คิดถึงแต่น้องมีมี่คนเดียวสินะ ฮ่าๆ" ชายหนุ่มหัวเราะให้กับความใสซื่อของเด็กน้อยที่ยังไม่รู้จักเรื่องของความรัก


   "นั่นอาพัตเตอร์นี่ฮะ" บริพัตรเดินเลียบถนนภายในซอยของหมู่บ้านก่อนจะออกไปถนนใหญ่ ภูธนาจึงค่อยๆ ชะลอจอดรถเทียบข้างชายหนุ่มที่เดินอยู่พอดี




   บริพัตรแต่งตัวเหมือนเช่นทุกวัน ชายหนุ่มจะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวขนาดใหญ่กว่าตัวเอง กางแกงสแลคเอวสูงตัวหลวมโคร่ง มองเผินๆ นึกว่าคุณลุงวัย 50 ปีเสียอีก ภูธนาส่ายหน้าเบาๆ ให้คะแนนติดลบในเรื่องการแต่งตัวของผู้ชายคนนี้ หากวันหนึ่งมีโอกาสที่คุ้นเคยกันกว่านี้ เขารับรองได้เลยว่าชายหนุ่มจะต้องเลิกใส่เสื้อผ้าขนาดใหญ่ไซส์เผื่อโตและจะเอาไปโยนทิ้งอย่างแน่นอน


   เอ่อ บริจาคดีกว่า ดูจะมีประโยชน์มากกว่า


   "อาพัตเตอร์ฮะ" ภูธนากดปุ่มลดกระจกให้หลานชายตัวน้อยร้องเรียกหาอาหนุ่มคนนี้ บริพัตรกำลังเดินอยู่เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเลยหันไปมองข้างๆ พบว่า เป็นรถยนต์คันโปรดของเขาเองที่มาจอดเทียบข้างอยู่


   "ว่าไงครับ น้องภูจะไปโรงเรียนใช่มั้ยครับ"


   "ฮะ อาพัตเตอร์จะไปไหนฮะ น้องภูกับลุงธนาไปด้วยได้มั้ย" เด็กชายนึกว่าอาหนุ่มคนนี้อาจจะไปเที่ยวจึงขอตามไปด้วย


   "ไม่ได้หรอก เด็กดีต้องไปโรงเรียนนะครับ" เสียงทุ้มของภูธนาขัดขึ้นมาเสียก่อนที่บริพัตรจะได้พูดอะไรออกไป


   "คุณจะไปทำงานเหรอครับ ให้ผมไปส่งมั้ยครับ" ภูธนาถามชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของที่เขากำลังขับอยู่


   "ไปส่งผมด้วยรถของผมเองเนี่ยนะครับ" บริพัตรไม่ตอบคำถามแถมยังยอกย้อนคนที่หวังดีแทนเสียอีก


   "นี่อาพัตเตอร์ครับ ที่จะไปส่งคุณก็เพราะเห็นว่าผมใช้รถของคุณอยู่ต่างหาก ก็ไม่อยากให้เจ้าของรถต้องเดินขาลากกว่าจะไปถึงถนนใหญ่หรอก"


   "อาพัตเตอร์ขึ้นมาสิฮะ ขึ้นมา ขึ้นมาฮะ" ภูบดินทร์แทรกขึ้นมาระหว่างผู้ใหญ่ 2 คนที่กำลังปะทะคารมกันอยู่



   บริพัตรตั้งท่าจะปฏิเสธความหวังดีหรืออุตส่าห์หวังดีของฝ่ายตรงข้ามแต่ทว่า


   
   ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน



   เสียงบีบแตรยาวจากทางด้านหลัง ซอยนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก พอให้รถวิ่งสวนกันเท่านั้น พอชายหนุ่มจอดรถนิ่งทำให้ด้านหลังเริ่มติดเป็นขบวนยาว


   "ขึ้นมาเร็วๆ สิครับ เห็นมั้ยว่ารถเริ่มติดแล้ว" ภูธนาพูดน้ำเสียงเชิงตำหนิ    บริพัตรว่าเป็นสาเหตุของรถติดในครั้งนี้ บริพัตรก้าวขึ้นรถทางด้านหลังของตัวรถ ชายหนุ่มหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะตัวเขาก็ไม่ได้อยากขึ้นรถเป็นทุนเดิม เดินไปอีกไม่ไกลก็จะถึงรถไฟฟ้าแล้ว เมื่อภูธนาเห็นว่าบริพัตรเข้านั่งในรถเรียบร้อยแล้ว รถยนต์คันหรูเริ่มออกตัวอีกครั้งอย่างนุ่มนวล


   "แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง" ภูธนาพูดเสียงไม่ดังนัก แต่ภายในห้องโดยสารที่ค่อนข้างเงียบ น้องภูดื่มนมหมดกล่องแล้ว เด็กน้อยตาเริ่มปรืออีกครั้ง


   "ผมก็ไม่ได้บอกให้คุณลุงต้องมารับไปด้วยสักหน่อยนี่ครับ" บริพัตรเองก็ไม่ยอมที่จะให้ภูธนามาว่าตนแต่ฝ่ายเดียว


   "นี่คุณพัต พูดเกินไปแล้วนะครับ" ปกติแล้วภูธนาเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างเย็นไม่ฉุนเฉียว แต่ไม่รู้ทำไมแค่เรื่องไม่เป็นเรื่องชายหนุ่มจึงรู้สึกโมโหง่ายขึ้นมาทันที


   "เหรอครับ" บริพัตรตอบรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


   "ใช่สิครับ ผมไม่รู้ว่าคุณไม่พอใจผมตรงไหนหรือเปล่า"


   "เดี๋ยวก่อนนะ ผมว่าคนที่ไม่พอใจเนี่ย น่าจะเป็นคุณหรือเปล่าครับ ลุงธนา"


   "หยุดเรียกผมว่าลุงเสียที ผมอายุน้อยกว่าคุณอีกนะ" ภูธนาเริ่มเสียงดังขึ้นแต่ก็ต้องรีบสงบจิตใจเมื่อเห็นว่าหลานชายกำลังหลับ


   "งั้นคุณก็ช่วยหยุดเรียกผมว่าอาพัตเตอร์ด้วยครับ ผมอายุมากกว่าคุณอีกนะครับ" บริพัตรยังไม่ยอมลดราวาศอกใดๆ ให้กับภูธนาเลยแม้แต่น้อย


   "ผมเรียกตามหลาน" ภูธนายังเถียงต่อไม่หยุด


   "ผมเองก็เรียกตามหลานเหมือนกับครับ ลุงธนา" แต่มีหรือที่บริพัตรจะยอม เล่นกับผู้ชายที่กำลังขับรถนี่ ดูๆ ไปก็น่ารักดีนะ ปากแดงๆ ที่กัดริมฝีปากล่างด้วยความโมโหที่ไม่ได้ดั่งใจก็ดูเป็นอีกสีหน้าหนึ่งที่เจ้าตัวคงไม่ค่อยได้แสดงออกมาบ่อยนัก


   "จะให้ผมไปส่งคุณตรงไหน" ภูธนาพยายามข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติ


   "ข้างหน้าก็แล้วกันครับ ตรงรถไฟฟ้า" บริพัตรแจ้งจุดหมายที่ต้องการลงอยู่ไม่ไกล



   ภูธนาจอดรถเทียบทางขึ้นรถไฟฟ้า บริพัตรกล่าวขอบคุณชายหนุ่มแล้วเปิดประตูลงจากรถไปด้วยท่าทีไม่รีบร้อนอะไรนัก แล้วก้าวยาวๆ ขึ้นบันไดเพื่อไปทำงาน ทิ้งให้คนที่ขับรถกำพวงมาลัยแน่นด้วยความโมโหขึ้นมาอีกครั้ง


   "ขอบคุณนะครับ อ้อ ขับรถคนอื่นเขาก็ช่วยดูแลมันดีๆ ด้วยล่ะครับ ผมหวง" คำพูดที่บริพัตรทิ้งท้ายเอาไว้  ถ้าหวงของมากนักทีหลังก็ไม่ต้องอนุญาตให้ยืมสิ เขาจะไม่ขับรถคันนี้อีกแล้ว เอาคืนไปเลย



   กว่าภูธนาจะอารมณ์เย็นลง รถยนต์คันใหญ่ก็จอดหน้าประตูโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภูธนายกนาฬิกาบนข้อมือขึ้นมาดู ทันเวลาเข้าเรียนพอดี ชายหนุ่มปลุกหลานชายด้วยเสียงไม่ดังนักเกรงว่าหลานชายจะตกใจ ภูบดินทร์พอตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่หน้าโรงเรียนแล้ว เด็กน้อยก็ยิ้มร่ารีบบอกให้คุณลุงรีบอุ้มลงจากรถ ส่งเด็กน้อยให้ครูประจำโรงเรียนที่ยืนคอยรับเด็กทุกคน ภูธนากล่าวขอโทษที่หลานชายขาดเรียนหลายวัน ครูสาวหยอดยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม ภูธนาจึงรีบบอกลาหลานชายแล้วขอตัวลากับคุณครูทันที



   ด้านบริพัตรหลังจากแยกกับภูธนา ลุงของหลานชายแล้ว บริพัตรรู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องราวครั้งใหญ่ในชีวิตของชายหนุ่ม เขาไม่มีความรู้สึกที่อยากหยอกล้อ ก่อกวนอารมณ์ของใครแบบนี้ นานมากแล้ว ภูธนาเป็นคนแรก ที่ทำให้บริพัตรอยากจะทำให้ลุงของหลานนั่นโมโหดิ้นพล่านแทบอยู่ไม่สุข


'สนใจใช่มั้ย'



   บริพัตรเกิดคำถามนี้ขึ้นมา ทั้งที่เจ้าตัวยังเดินเข้าตึกที่ทำงานไปพร้อมกัน ชายหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นดูเล็กน้อย พบว่าทันเวลาเข้างานพอดี ชายหนุ่มถอนหายใจ  โล่งอกก่อนจะลงเวลาเข้าทำงาน


'สนใจใช่มั้ย'





   คำถามนี้ผุดขึ้นอีกครั้ง เมื่อบริพัตรถึงโต๊ะทำงาน ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกดสวิตซ์คอมพิวเตอร์บนโต๊ะ เครื่องคอมพิวเตอร์แสดงหน้าจอว่าเตรียมพร้อมที่จะทำงานแล้ว บริพัตรหันไปมองกองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ เมื่อวานนี้เขาทำงานเสร็จหมดแล้ว แต่เช้านี้กลับมีกองใหม่เพิ่มมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่แปลกใจเพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกๆ ครั้ง



   เขาถูก 'กลั่นแกล้ง' มาหลายรูปแบบตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ คนถูกกลั่นแกล้งก็ไม่ใช่ใครอื่นก็กลุ่มหญิงสาวในแผนกเดียวกันนั่นแหละ ใช่ บริพัตรรู้ตัวดี แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจกับงานที่มากมายแบบนี้ เขากลับรู้สึกดีด้วยซ้ำ  เพราะยิ่งงานเยอะ ก็จะได้ไม่คิดเรื่องอื่นๆ  โดยเฉพาะ มินตรา คนที่เขาไม่อยากคิดถึงมากที่สุด


   บริพัตรเอื้อมมือหยิบเอกสารขึ้นมาแฟ้มแรก เปิดดูเนื้อหาและข้อความด้านใน เพื่อตรวจดูว่าต้องแก้ไขหรือเพิ่มเติมอะไรบ้าง มือเรียวเริ่มวางมือบนแป้นคีย์บอร์ด



'สนใจใช่มั้ย'



   โธ่เว้ย บริพัตรเริ่มหงุดหงิดใจขึ้นมาเป็นครั้งแรกของวัน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน งานเยอะมากมายขนาดนี้ แต่สมองของเขาก็ยังอุตส่าห์ไปคิดถึงคำถามเดิม อยากให้ตอบใช่มั้ย ก็ได้


'ใช่ สนใจ'



   บริพัตรตอบคำถามเพื่อให้จบ แต่มันไม่ใช่


'ทำไมถึงสนใจ'



   มาถึงคำถามนี้ บริพัตรไม่แน่ใจตัวเองเสียแล้วว่าทำไมถึงสนใจผู้ชายคนนั้น ถ้าพูดถึงผู้ชายที่ชื่อ ภูธนา ชายหนุ่มมีรูปร่างสูง เมื่อยืนเทียบกับเขาแล้ว ความสูงแทบไม่ต่างจากเขามากนัก ผอมไปหน่อย คงเพราะทำงานหนัก ผิวสีขาว ขาวเกินไปสำหรับผู้ชาย แต่กลับเป็นผิวที่ผู้หญิงคนไหนๆ ก็อยากได้ เพราะชาตินี้จะได้ไม่ต้องไปซื้อครีมแพงๆ มาประโคมผิวให้วุ่นวาย



   ส่วนหน้าตาน่ะเหรอ ต้องยอมรับล่ะว่าไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ เพราะเจ้าตัวเป็นถึงดาราหนุ่มมาก่อน แต่ถ้าให้พูดตามตรงแล้ว หน้าตาของภูธนาไม่ได้โดดเด่นอะไร ยิ่งตอนอยู่กับน้องสาวด้วยแล้ว ภูสิตาสวยและหน้าตาดีกว่าพี่ชายมาก ถ้าหากภูสิตาเกิดเป็นผู้ชายล่ะก็ คงเนื้อหอมมากกว่าพี่ชายแน่นอน


   เมื่อหลายปีก่อน บริพัตรเคยเห็นผลงานของชายหนุ่มมาบ้างแต่หลังจากนั้นก็ไม่เห็นมีผลงานอะไรออกมาอีกเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงจำใบหน้าของภูธนาได้ แต่วันที่ไปรับหลานครั้งแรก แล้วได้พบกับเจอภูธนา เขากลับจำชายหนุ่มได้ทันที สำหรับบริพัตรในตอนนี้ก็ยังหาเหตุผลให้กับตัวเองไม่ได้


   บริพัตรคิดเรื่องภูธนาเพลิน เสียเวลาทำงานไปมากพอดู แต่ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่า ความคิดถึงนี้ ไม่มีคำว่ามินตราเข้าในความคิดเขาเลยแม้แต่น้อย   
   


   หลังจากภูธนาไปส่งหลานชายเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มขับรถไปเรื่อยจนถึง ร้านอาหารที่ชายหนุ่มเคยทำงานอยู่ เพราะความเคยชินที่ต้องมาทำงานทำให้ขับรถเพลินมาถึงที่นี่โดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มหัวเราะให้ตัวเองเบาๆ ที่ใจลอยไม่รู้ตัว ภูธนามองป้ายชื่อร้านแล้วค่อยๆ เคลื่อนรถจากไป



   ปกติแล้ว ถ้าวันไหนที่ภูธนาไม่ได้ทำงาน ชายหนุ่มก็จะทำความสะอาดห้อง ซักเสื้อผ้า หรืองานบ้านจุกจิกที่คั่งค้างอยู่ ซึ่งกว่าจะเสร็จงานก็ใกล้เวลาเลิกเรียนของภูบดินทร์พอดี ชายหนุ่มก็จะออกไปรับหลานชาย พาอาบน้ำ ป้อนข้าว เข้านอน   ก็หมดไป 1 วัน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เรื่องงานบ้านงานเรือนต่างๆ ที่บ้านของบดินทร์มีแม่บ้านคอยมาทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ เพราะทำงานนอกบ้านเป็นงานหลัก กลับมาก็พักผ่อน ทั้งคู่จึงไม่ถนัดงานบ้านเท่าไหร่นัก


   ภูธนาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี กลับไปที่บ้านหลังใหม่ก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจไปสถานที่แห่งหนึ่งที่เขาโปรดปรานเป็นที่สุด


   'สนามแข่ง'



   ภูธนาเคลื่อนรถเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวลแล้วดับเครื่องยนต์ โดยไม่ลืมที่จะลอคประตูรถคันหรูนี่ด้วย ตรวจสอบอีกครั้งว่ารถถูกลอคแล้วจริงๆ ถ้าหากมันหายไปล่ะก็ เจ้าของคงหน้าตาตื่น โวยวายเป็นเจ้าเข้าแน่ๆ และตัวเขาเองก็คงรู้สึกผิดไม่น้อยเช่นกัน เพราะฉะนั้นก็ดูแลรถให้ดีๆ ตามที่เจ้าของเขาสั่งเถอะ


   ชายหนุ่มสาวเท้ายาวมุ่งหน้าขึ้นไปนั่งบนสแตนด์ มองรถแข่งหลายคันที่กำลังวิ่งผ่านหน้าไปด้วยความเร็ว ภูธนามีความสุขแม้ว่าจะได้แค่มองจากตรงนี้ บรรยากาศที่คิดถึง มันดีจริงๆ นั่งเพลินๆ อยู่ไม่นาน ก็รู้สึกว่าข้างกายเขามีใครบางคนลงมานั่งข้างๆ ชายหนุ่มจึงหันไปมองผู้มาใหม่


   "อ้าว สวัสดีครับ พี่จอม มาที่นี่เหมือนกันเหรอครับ" ภูธนายิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นคนรู้จัก


   "แน่นอนอยู่แล้ว ที่นี่เป็นบ้านพี่ไปแล้วล่ะ แล้วนายล่ะมาทำอะไรที่นี่ ไม่ทำงานหรือไงวันนี้"


   "ตอนนี้ว่างงานครับ ดูแลหลานอย่างเดียว"


   "เฮ้ย แล้วไงจะไหวเหรอ ทำไมว่างงานได้ล่ะ"  จอมเดชเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเพราะพอจะเข้าใจสถานการณ์การเงินของภูธนาอยู่บ้าง


   "ล้อเล่นน่ะครับ พอดีมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย ตอนนี้คุณพ่อของหลานผมเลยจ้างผมเลี้ยงหลานน่ะครับ แปลกดีนะครับ ว่างั้นมั้ยพี่"


   "อย่าไปคิดมากเข้าล่ะ ธนา นายน่ะดีแทบทุกอย่าง แต่เรื่องจิตใจนี่อ่อนไหวง่ายจริงๆ เข้มแข็งหน่อยนะ รู้มั้ย" จอมเดชตบบ่าชายหนุ่ม 2-3 ทีเพื่อปลอบใจ


   "ครับ ผมไม่คิดมากเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับพี่จอม ที่จริงได้เลี้ยงน้องภูต่อก็มีความสุขครับ ตอนที่น้องภูไปอยู่กับพ่อเค้า วันแรกๆ นี่ผมอยากจะไปบุกบ้าน ขโมยหลานออกมาให้เสียให้ได้ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำหรอกครับ"


   "ดีแล้วล่ะ ธนา เออ จะว่าไป ถ้าว่างงานขนาดนี้ มาอยู่สังกัดบริษัทพี่มั้ยล่ะ"


   "จริงเหรอพี่จอม" ภูธนาแทบไม่เชื่อหูในสิ่งที่ตนได้ยิน


   "จริงสิ การแข่งรอบนั้นน่ะ นายทำได้ดีมากเลยนะ ดิศเองยังชมนายเลยนะ ขนาดร้างมือมานาน แต่ขับได้ขนาดนี้ เยี่ยมมาก"


   "ขอบคุณพี่จอมและพี่ดิศมากเลยนะครับ"


   "ไม่เป็นไร แล้วยังไง ตกลงมั้ย"


   "เอ่อ ผมก็อยากรับคำชวนของพี่นะครับ แต่ผมไม่แน่ใจเรื่องตาราง เพราะงานหลักก็ต้องดูแลน้องภูก่อนครับ"


   "เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก พี่จะดูตารางงานให้แล้วกัน ว่าไง ตกลงนะ"


   "ถ้าพี่จอมแน่ใจ ผมก็ยินดีครับ ขอบคุณพี่มากครับ" ภูธนายกมือไหว้ขอบคุณจอมเดชที่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มอีกครั้ง


   "ไม่เป็นไรหรอก ธนา นายเองก็มีฝีมือ ไม่ใช่ว่าพี่จะเลือกใครก็ได้หรอกนะ ตอนนี้ในทีมเรามีนักแข่งอยู่แล้ว 2 คน คนแรกก็เป็นศดิศ หรือไอซ์แมน ที่นายรู้จักไปแล้ว ส่วนอีกคนรายนั้นไม่ค่อยได้ลงแข่งหรอก นอกจากนัดสำคัญๆ หรือนัดที่เจ้าตัวอยากลงแข่งจริงๆ เท่านั้น ฉายาเจ้านั่นคือ ไวท์เดวิล (White Devil)"



   "แล้วแบบนี้บริษัทไม่ว่าอะไรเหรอครับ ที่ให้นักแข่งตัดสินใจตามอำเภอใจแบบนั้น"


   "ไม่หรอก เพราะว่าเจ้านั่นเป็นนักแข่งอิสระ แต่ก็เลือกสังกัดที่บริษัทเราเวลาที่มีแข่งน่ะ ฝีมือดีนะ แต่ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ ปัญหามันเยอะ อย่าไปพูดถึงมันเลย เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะ แล้วก็พรุ่งนี้เอาเอกสารมาให้พี่ด้วยล่ะ อย่าลืมนะ เดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะ ไปดูดิศ มันเสียหน่อย อาการมันใกล้จะหายดีแล้ว"


   "สวัสดีครับ ขอบคุณมากครับพี่จอม" ภูธนายกมือไหว้จอมเดชอีกครั้ง แล้วก็นั่งดูรถที่กำลังซ้อมแข่งอยู่แบบนั้นอีกนาน แต่สายตากลับไม่ได้เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของรถแข่งเหล่านั้นเลย ในหัวสมองคอยเฝ้าแต่จะคิดถึงผู้ชายที่ชื่อบริพัตร



   เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ คุ้นตา แต่นึกไม่ออก



   บ่ายคล้อย ภูธนาแวะซื้อของสดต่างๆ ที่ตลาดเสร็จเรียบร้อย ภูบดินทร์ก็ได้เวลาเลิกเรียนพอดี ภูธนาขับรถไปจอดหน้าโรงเรียนเพื่อรอรับหลานชายคนดี เด็กน้อยพอขึ้นรถมาได้ก็พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด เล่ากิจกรรมเกี่ยวกับน้อง มีมี่ไม่หยุด ภูธนารับคำหลานชายและคอยถามคำถามเป็นระยะ รถยังไม่ติดเท่าไหร่นัก แค่เพียงไม่นานก็ถึงบ้านที่พักหลังใหม่เป็นที่เรียบร้อย


   ภูธนาจัดการอุ้มหลานลงจากรถ หอบหิ้วของสดในมือมากมาย พากันเข้าบ้านไป ชายหนุ่มทำทุกอย่างตามความเคยชินและเป็นขั้นตอน พาหลานชายไปอาบน้ำ แต่งตัวชุดใหม่ แล้วอุ้มลงมาด้านล่างภายในครัว จัดแจงให้หลานชาย  นั่งเล่นอยู่ที่พื้น หาของเล่นให้เล่นไปพลาง วางผลไม้ให้หยิบทานเล่นเพื่อแก้หิวไปพลาง ระหว่างนั้นภูธนาจะจัดแจงทำอาหารสำหรับมื้อเย็น เหมือนในแต่ละวันที่ทำตลอดมา


   อาหารวันนี้ มี 3 อย่างด้วยกัน ผัดผักรวมมิตร ผัดกะเพราหมูสับ และต้มจืดเต้าหูหมูสับใส่สาหร่าย ภูธนาไม่รู้ว่า หนุ่มโสดอีก 2 คนนั้น ทานอะไรได้บ้าง หรือมีอะไรไม่ชอบบ้าง มื้อเย็นวันนี้ก็เลยทำอาหารพื้นๆ ทั่วไปก่อน เพื่อหยั่งเชิงท่าทีของทั้งคู่ไปก่อน


   ภูธนาเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง ใกล้จะได้เวลาเลิกงานแล้ว อาหารก็เกือบจะเสร็จแล้วเหมือนกัน ข้าวก็หุงเรียบร้อยแล้ว ยังไงต่อดีล่ะ รอเจ้าของบ้านกลับบ้านสินะ



   
อืมม บริพัตร


   
ผู้ชายคนนั้นก็จวนจะใกล้กลับมาแล้วสินะ





Talk:.

กลับมาลงตอนใหม่แล้วนะคะ วันหยุดที่ผ่านมาไปไหนกันมาบ้างมั้ยคะ คนแต่งไม่ได้ไปไหนเลย ระบบดาวน์ดูแลอย่างต่อเนื่องเลยค่ะ   :katai4:

ปล อยากไปทานข้าวฝีมือลุงธนาจัง



 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:


ด้วยรัก
เขมกันต์


ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
พัตเริ่ดมากที่กล้าคิดกล้าตัดสินใจ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
คุณลุงกะคุณอา อิอิ แรกๆคิดว่าพี่ดินเป็นพระเอก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
ไม่ได้ไปไหนเหมือนกันค่ะ อืมมม อยากไปชิมฝีมือลุงธนาจริงๆ ไวท์เดวิลนี่หรือจะเป็นอาพัตเตอร์0.0? คู่นี้เขาเถียงกันน่ารักเนอะ 555555 ไม่ธรรมดา เล่นคิดถึงกันทั้งวันเลย อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

บทที่ 12


   ภูธนาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ 3 เดือนแล้ว ภูสิตายังคงเงียบ ไร้การติดต่อเหมือนเดิม ช่วงเวลาที่ผ่านมาชายหนุ่มหมั่นแวะไปที่ห้องพักอยู่เสมอ กระดาษโน้ตที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร ยังอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน เป็นห่วงน้องสาวก็เป็นห่วง แต่อีกใจหนึ่งก็โกรธที่พอยกลูกชายให้พ่อเขาไปแล้ว ภูสิตากลับไม่แม้แต่จะไต่ถามถึงสารทุกข์สุกดิบของลูกเลย



   ชายหนุ่มโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทของน้องสาวบ้างเป็นครั้งคราว ได้รับคำตอบว่า ภูสิตายังอยู่ดี ใช้เงินเป็นเบี้ย และเจ้าตัวยังไม่คิดกลับบ้านตอนนี้ ขนาดเพื่อนสนิทอย่างอิงธารเองก็ยังไม่รู้ว่าภูสิตาอยู่ที่ไหนในตอนนี้ เพราะหญิงสาวจะเป็นฝ่ายติดต่อมาเอง และเล่าเรื่องที่ตนเองไปพบเจอมาสั้นๆ จบแล้วก็จะวางไป แทบจะไม่เปิดโอกาสให้ได้ถามเรื่องของตนเองเลย



   ภูบดินทร์ หลานชายคนเก่งเริ่มสนิทกับคุณพ่อและคุณอามากขึ้นแล้ว ภูธนาตัดสินใจที่จะย้ายออก เพราะตอนนี้ตัวเขาเองไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกต่อไปแล้ว น้องภูสามารถอยู่ที่นี่ได้ เด็กน้อยยอมรับคนมาใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว



   สถานการณ์ชีวิตตอนนี้ของภูธนานับว่าค่อนข้างเริ่มต้นได้ดี หลังจากที่เริ่มเป็นนักแข่งให้สังกัดของพี่จอมเดช  ชายหนุ่มจะไปซ้อมอยู่เสมอไม่เคยขาด วินัยเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าไม่เกิดเหตุสุดวิสัยจากหลานตัวน้อย ภูธนาคิดแบบนั้นมาตลอด



   "อ้าว ธนา วันนี้วันหยุด ทำไมมาได้ล่ะ" จอมเดชทักทายภูธนาด้วยความแปลกใจ เพราะปกติแล้ว ภูธนาจะไม่มาสนามแข่งในวันหยุดเลย ถ้าหากตรงกับวันหยุดของหลานชาย


   "วันนี้ คุณพ่อเขาพาน้องภูไปเที่ยวเขาดินน่ะครับ ผมเลยว่าง"



   "งั้นก็ดีเลย ตั้งแต่นายมาอยู่ที่นี่ ยังไม่เคยเจอกับไวท์เลยใช่มั้ย วันนี้ท่าน อุตส่าห์ให้เกียรติมาซ้อม มาทางนี้สิ จะได้รู้จักกันไว้ ป่านนี้คงอุ่นเครื่องเสร็จแล้ว"  จอมเดชว่าพลางเดินนำภูธนาไปที่พิท สต็อป เด็กในทีมกำลังวุ่นวายเปลี่ยนยางให้รถที่เพิ่งเข้าพิทมา


   "ไง ไวท์ เครื่องเริ่มติดหรือยัง" จอมเดชทักชายหนุ่มที่ออกมาจากตัวรถทั้งที่ยังสวมหมวกกันน็อคอยู่


   "นิดหน่อยครับ แต่ยังไม่ค่อยคุ้นมือเท่าไหร่ ร้างไปเสียนาน"


   "ก็นายมันเรื่องเยอะ ติสก์ไม่เข้าเรื่อง" จอมเดชพูดด้วยเสียงที่ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่นัก เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว


   "พี่ยังไม่ชินอีกเหรอ ผมยังฟังพี่จนชินเลยนะเนี่ย"


   "เออๆ นายนี่มันเถียงคำไม่ตกฟากเลยจริงๆ เอ้านี่ คงยังไม่รู้จักกันหรอกมั้ง ภูธนา นี่ ไวท์ เดวิล ที่พี่เคยพูดถึงนะ ส่วนนี่"


   "คุณภูธนา หรือว่า แบล็คสกาย สินะ" ผู้ชายที่ยังคงสวมหมวกกันน็อคอยู่พูดแทรกขึ้นมาเสียเอง


   "อ้าว รู้จักกันแล้วเหรอ" จอมเดชถามด้วยความประหลาดใจ


   "เปล่าหรอกครับ เห็นใครๆ ก็พูดถึงเด็กใหม่ทั้งนั้น ไอ้ดิศเองยังชมไม่ขาดปาก คงฝีมือดีจริงๆ"


   "จะฝีมือจริงหรือเปล่า ทำไมนายไม่ลองแข่งดูล่ะ สัก 5 รอบ เป็นไง สนมั้ย" คนเสนอไม่ใช่ใครแต่เป็นจอมเดชที่อยากเห็นฝีมือของทั้งคู่


   "เอ่อ คือผม" ภูธนาชักเริ่ม งง กับ 2 คนนี้เสียแล้ว


   "ไม่กล้าเหรอ" คนที่ยังใส่หมวกอยู่ ถามย้อนกลับไปด้วยความท้าทาย


   "ใครว่าไม่กล้าครับ พี่จอมครับ เตรียมรถให้ผมหน่อยครับ" ภูธนาไม่ชอบ การถูกท้าทายเลยจริงๆ ชายหนุ่มยอมรับการแพ้ชนะได้ แต่ต้องไม่ใช่การถูกปรามาสว่าเขาไม่กล้าแบบนี้


   "ได้เลย ไอ้น้อง" จอมเดชพูดเสร็จแล้ว รีบเข้าไปสั่งเด็กข้างในให้เตรียมรถคู่ใจให้ภูธนาทันที


   "ถ้าแค่เอาผลแพ้-ชนะ คงจะดูธรรมดาไปหน่อย งั้นเรามาพนันอะไรกันสักหน่อยดีมั้ย" ให้ตายเถอะ ภูธนาไม่ชอบน้ำเสียงของคนนี้เลยจริงๆ ดูท้าทายกวนประสาทชอบกล


   "ได้สิ จะพนันอะไรล่ะครับ"


   "ก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรนักหรอก กติกาก็มีง่ายๆ ถ้าหากใครแพ้ ก็ต้องทำตามคำขอจากผู้ชนะ 1 ข้อ แค่นั้นเอง ง่ายๆ " 1 ข้อเท่านั้น แต่ทำให้ภูธนารู้สึกไม่อยากจะรับพนันนี้เลย


   "ว่าไงครับ ไม่กล้าพนันเหรอ"


   "ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือเป็นปัญหา ก็ตกลงครับ"


   "นึกอยู่แล้วคงไม่ชอบการถูกท้าทายใช่มั้ยล่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ผิดกฎหมายหรือเรื่องไม่ดีแน่นอน รับรองได้เลย"


   "รถพร้อมแล้ว" เสียงจอมเดชร้องบอกเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ทำให้ทั้งคู่ต้องแยกย้ายเพื่อไปสู้กันบนสนามแทน




   หลังจากที่นักแข่งเข้าประจำที่เรียบร้อย รถแข่ง 2 คัน เร่งเครื่องเตรียมออกตัว เมื่อจอมเดชตรวจดูว่าทุกอย่างพร้อม สัญญาณไฟปล่อยตัวจึงเริ่มทำงาน รถแข่ง 2 คัน ออกตัวแทบจะพร้อมกัน ทันทีที่เห็นสัญญาณไฟเขียว



   รอบแรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว จอมเดชสังเกตว่าทั้ง 2 คนขับคู่มาค่อนข้างสูสีกันมาก แทบไม่ยอมกันเลย ซัดแรงกันตั้งแต่เริ่มเกมส์ จอมเดชไม่ได้ให้ทั้งคู่ต้องสู้กันเป็นศัตรูคู่แค้น แต่เพื่อความสนุกเท่านั้น บางทีการซ้อมแข่งคนเดียวก็ออกจะน่าเบื่อไปสักหน่อย ถ้ามีคู่แข่งบนสนามแล้ว การซ้อมแข่งมันคงน่าตื่นเต้นขึ้น



   ในสายตาคนที่คร่ำหวอด ด้านรถแข่งมามากมายอย่างจอมเดช   หากให้พูดตรงๆ ฝีมือของภูธนายังเป็นรองไวท์อยู่พอสมควร ถึงแม้ไวท์จะไม่ค่อยมาซ้อม แต่ก็ฝึกฝนมาหลายปี ต่างกับภูธนาที่ห่างหายจากสนามแข่งไปเลย แล้วเพิ่งจะกลับมาซ้อมจริงจังเมื่อไม่กี่เดือนนี้ เพราะฉะนั้นลูกเล่นหรือเทคนิคบนสนามจึงไม่เจนจัดเท่าอีกฝ่าย



   รอบที่สี่ ภูธนาตกเป็นรองเพราะอีกฝ่ายควบคุมโค้งวงในได้ดีมาก ชายหนุ่มแทบจะหาช่องทางเข้าไปในวงในนั้นได้ค่อนข้างยาก ฝ่ายตรงข้ามเข้าโค้งแตะเบรคน้อยมาก ชายหนุ่มควบคุมได้ดี ผิดกับเขาที่ยังมีแกว่งอยู่บ่อยครั้งที่เข้าโค้ง แต่มันจะต้องไม่จบแบบนี้หรอก ภูธนาเหยียบคันเร่งให้จมลึกกว่าเดิมแล้วขึ้นแซงรถคันหน้าได้ในที่สุด



   รถแข่งเข้าเส้นชัยไปนำหน้าคันที่ตามอยู่ไม่ถึง 2 วินาที และตอนนี้รถของภูธนาวิ่งกลับเข้ามาที่พิท สต๊อป เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มถอดหมวกกันน็อค ออกมายืนรอรถคันสีขาวที่เพิ่งเข้ามาตามหลังภูธนา เจ้าของรถออกก้าวออกมาจากตัวรถทันทีเช่นกันแต่ก็ยังไม่ถอดหมวก เปิดเพียงแค่กระจกเท่านั้น



   "เก่งมากทั้ง 2 คน วันนี้ทั้งคู่ทำได้ดีนะ ธนา ไม่ต้องเสียใจไปล่ะ นายซ้อมน้อยกว่าเจ้านั่นตั้งเยอะ ฝึกอีกนิดเดียวเดี๋ยวก็ชนะได้เจ้านั่นได้แน่นอน " จอมเดชปรบมือให้กับการแข่งขันในวันนี้


   ภูธนาเป็นฝ่ายแพ้ แล้วก็แพ้เพราะประมาทคนข้างๆ มากเกินไป ถึงจะเร่งเครื่องในตอนโค้งสุดท้ายแล้ว แต่ก็ไม่ทัน เพราะอีกฝ่ายเข้าโค้งได้ดีและควบคุมความเร็วได้ดีกว่าเขา เรื่องนี้ภูธนาจำต้องยอมรับความจริงและจะต้องกลับไปฝึกให้มากกว่านี้



   ดวงตาของผู้ชนะที่สบตาอยู่กับเขาทำให้ภูธนาหงุดหงิดใจมากกว่าเดิม มันเป็นสายตาของผู้ชนะ ที่กำลังบอกเขาว่าเรื่องผลแพ้ชนะนั่นน่ะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องเป็นชายหนุ่มคนนี้ที่เป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน



   "ใกล้เที่ยงแล้ว เดี๋ยวไปทานมื้อเที่ยงกัน พี่เลี้ยงเอง"


   "พี่จอมไปกันเลยนะพี่ วันนี้ผมขอตัว"


   "ทำไมล่ะ เบี้ยวตลอด"


   "มีธุระที่ต่างจังหวัดนิดหน่อย วันนี้คันมือเลยมาซ้อมเฉยๆ"


   "เออ ตามใจเอ็ง มาซ้อมให้มันบ่อยๆ หน่อยอย่างธนาเขาล่ะ"


   "คร้าบๆ"


   "งั้นพี่ไปเก็บของข้างในก่อน  ธนา ถ้าเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วไปรอพี่ที่ห้องรับรองล่ะ" จอมเดชหันมาบอกภูธนาก่อนจะเดินกลับเข้าไป


   "ครับ พี่จอม"


   "หวังว่ายังคงไม่ลืมเรื่องพนันของเรานะครับ"


   "ไม่ลืมหรอกครับ จะให้ผมทำอะไรก็ว่ามาเลย"


   "ถ้านึกออกเมื่อไหร่ แล้วจะรีบบอกทันทีเลยนะครับ น้อง" น้ำเสียง          กวนประสาทไม่หยุดหย่อน ทำให้ภูธนาเริ่มจะโมโหขึ้นมาเสียแล้ว


   "ผมไม่ใช่น้องของคุณ กรุณาเรียกผมว่าธนาเฉยๆ ก็พอ"


   "จุ๊ๆ โมโหร้ายจริงๆ เลย ไม่เอาน่า แพ้แล้วต้องไม่พาลนะครับ" น้ำเสียง  เยาะเย้ยของคนชนะพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินจากไปอีกทาง ปล่อยให้ภูธนาที่ยังโมโหอยู่ได้แต่ด่าอาฆาตอยู่ภายในใจ




   ภูธนานั่งแท็กซี่กลับมาบ้านด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นไปทั้งช่วงบ่าย น้องภูและคุณพ่อของเด็กน้อยกลับมาจากสวนสัตว์แล้ว ตอนนี้ทั้งพ่อและลูกต่างก็นอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องด้วยความอ่อนเพลียมาทั้งวัน แต่คนที่อยากเจอมากที่สุด ภูธนากลับไม่เห็นแม้แต่เงา



   ระยะเวลาที่ผ่านมา ภูธนาแทบจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่ว่ากับคนพ่อหรือกับคนที่เป็นอาของหลาน ยกเว้นหลานชายคนโปรดของเขาที่เข้ากันได้ดีกับคนในบ้านหลังนี้แล้ว หลังจากวันที่ภูธนาขับรถไปส่งบริพัตรที่รถไฟฟ้านั่นแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ยอมให้เขาขับรถไปส่งอีกเลย บริพัตรออกจากบ้านเร็วขึ้น และกลับบ้านช้ากว่าเดิม อาของหลานพยายามหลบหน้าเขาตลอด แม้กระทั่งมื้ออาหารที่เตรียมไว้ ชายหนุ่มก็ปฏิเสธไม่เคยทานเลย



   ภูธนาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าตนไปทำอะไรให้ชายหนุ่มโกรธหรือเปล่า เพราะเหตุการณ์ในตอนนั้นดูไม่น่าจะหนักหนาถึงขนาดที่จะต้องโกรธจนไม่มองหน้ากันแบบนี้ เขาอุตส่าห์คิดว่าความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่จะพัฒนาไปได้มากกว่านี้แท้ๆ แต่ความจริงแล้วกลับถอยหลังลงคลองเสียมากกว่า



   "กลับมานานแล้วเหรอครับ ดูท่าทางเหนื่อยเชียว" บดินทร์เดินลงมาจากชั้นบน เห็นภูธนานั่งเหมือนคนหมดแรงที่ตรงโซฟาห้องรับแขก


   "อ่ะ ครับ พอดีวันนี้เจอคนนิสัยไม่ค่อยดีมาน่ะครับ"  ภูธนาเงยหน้าขึ้นสบตาผู้มาใหม่


   "แย่เลยนะครับ"


   "วันนี้เป็นไงบ้างครับ น้องภูงอแงมั้ย" ภูธนาชวนพ่อของหลานคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไปนัก


   "ไม่เลยครับ แกเป็นเด็กดีมาก ไม่ดื้อเลย"


   "น้องภูคงเข้ากับคุณพ่อได้แล้วนะครับ"


   "ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ ดีใจจริงๆ ที่ลูกอยู่กับผมได้แล้ว" บดินทร์ดีใจจนแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน


   "ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณดินหน่อยครับ"


   "ได้สิครับ เรื่องอะไร" บดินทร์ก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้ด้านข้างของโซฟาตัวใหญ่


   "ผมคิดมาสักพักแล้วว่าช่วงนี้น้องภูเริ่มเข้ากับคุณได้แล้ว ผมเลยอยากจะที่กลับไปอยู่ที่ห้องเดิมน่ะครับ"


   "จะดีเหรอครับ ถ้าไม่เห็นคุณลุงของแก น้องภูอาจจะงอแงขึ้นมาอีกก็ได้นะ"


   "คิดว่าไม่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะครับ น้องภูน่าจะปรับตัวได้ดีกว่าตอนนั้น"


   "ถ้าคุณธนากลับไปที่ห้องเดิมแล้ว  จะทำอะไรต่อ หรือว่าหางานได้แล้ว"


   "ก็ไม่เชิงครับ ตอนนี้ผมก็มีงานอยู่บ้าง แต่ยังไม่ได้เต็มเวลา เพราะว่ายังดูแลน้องภูเป็นเรื่องหลัก"


   "หรือว่าตอนนี้คุณภูสิตากลับมาแล้วครับ" บดินทร์ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย


   "เปล่าหรอกครับ ยัยสิตายังไม่ติดต่อกลับมาเลย พอจะรู้ข่าวของเขาผ่านทางเพื่อนสนิทเท่านั้นบ้างเป็นครั้งคราว"


   "ถ้าอย่างนั้น ก็อยู่ที่นี่ไปอีกสักระยะนึงก่อนดีมั้ยครับ หรือจนกว่าคุณภูสิตากลับมาก็ได้ คุณธนากลับไปอยู่ที่บ้านตอนนี้ก็อยู่คนเดียว ผมคงไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ อยู่คนเดียวมันอันตราย" บดินทร์เอ่ยชักชวนด้วยความเป็นห่วงจริงๆ


   "ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมอยู่ที่นั่นมาหลายปีก็ไม่เคยเกิดเรื่องไม่ดี อีกอย่างผมเองก็เป็นผู้ชาย ไม่ต้องกังวลหรอกครับ"


   "คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ค่อยได้หรอกครับ ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็มีข่าวโดนทำร้ายออกจะบ่อยไป ยังไงผมก็เป็นห่วง เอาตามนี้แหละครับ คุณธนาอยู่ที่นี่ไปก่อน แล้วถ้าคุณภูสิตาติดต่อมาค่อยมาว่ากันใหม่อีกที"


   "คือ ผมเกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่" ภูธนาคิดว่าถ้าไม่ได้ดูแลน้องภูเต็มตัวแล้ว การที่มาอยู่ที่นี่เฉยๆ และกินเงินเดือนไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มเองก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย


   "ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ยังไงเราก็คนกันเอง เรื่องที่คุณธนาอยากจะทำงานก็บอกผมมาได้เลย  เดือนหน้าก็ใกล้ปิดเทอมแล้ว ผมจะเตรียมหาโรงเรียนใหม่ให้แกอยู่พอดี คุณธนาจะได้ไม่ต้องลำบากขับรถไปไกล หรือผมจะได้แวะไปส่งตอนเช้าได้สบายๆ"


   "ไม่ดีกว่าครับ ยังไงก็ควรจะต้องฝึกให้น้องภูอยู่กับคุณให้ได้ แต่ช่วงแรกๆ ผมจะไปๆ มาๆ ที่นี่ก่อนละกันครับ คงต้องรบกวนคุณดินอยู่เรื่อยๆ"


   "ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณธนาเถอะครับ แต่คุณคงต้องคุยกับคุณหลานเอง ไม่รู้ว่าแกจะยอมให้คุณลุงกลับบ้านหรือเปล่า" บดินทร์ยิ้มให้ชายหนุ่มก่อนที่จะลุกขึ้นไปหาอะไรกินรองท้องในครัว



   บริพัตรขับรถมุ่งหน้าไปเกสต์เฮาส์ของลุงชาคร บริพัตรได้ปรับเปลี่ยนที่พักแห่งนี้เป็นรีสอร์ทไว้พักผ่อนหย่อนใจ พื้นที่ทำเลของรีสอร์ทที่นี่ ช่างเหมาะแก่การพักผ่อนเติมพลังให้ร่างกายได้เป็นอย่างดี   ด้วยแวดล้อมของแม่น้ำที่ทอดผ่าน เป็นสายน้ำยาว และด้านหลังของรีสอร์ทที่เป็นวิวของภูเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์เขียว ชอุ่มตลอดปี



   หลายปีที่ผ่านมา บริพัตรบุกเบิกที่แห่งนี้จนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในนามว่า 'เกสต์เฮาส์ลุงชาคร' ลูกค้าแทบทุกรายต่างพากันประหลาดใจเพราะชื่อเป็นเกสต์เฮาส์แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นรีสอร์ทสวยงาม อีกทั้งห้องพักยังมีหลายรูปแบบและหลายราคา ตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้พักอาศัยได้เป็นอย่างดี สวนงดงามภายในรีสอร์ท บริพัตรลงแรงทำไปพร้อมกับคนงานเกือบทั้งหมด หากชายหนุ่มมีเวลาว่างเป็นต้องมาลงมือทำด้วยตนเองเสียทุกครั้งไป ชายหนุ่มเลือกที่จะทำงานให้มากและหนักเข้าไว้ เพื่อหัวสมองจะได้ไม่ต้องไปคิดเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมา




   "สวัสดีค่ะ คุณพัต เชิญดื่มน้ำก่อนค่ะ" ผู้จัดการรีสอร์ทออกมาต้อนรับทันทีเมื่อเห็นรถยนต์ประจำตัวของบริพัตรแล่นเข้ามา บริพัตรรับแก้วน้ำจากหญิงสาวไว้และเดินมานั่งบริเวณส่วนที่เป็นสถานที่นั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ ดื่มกาแฟ หรือชมวิว  ที่แล้วแต่จะศรัทธา


   "ขอบคุณครับ ที่นี่เป็นไงบ้าง ราบรื่นดีมั้ย"


   "เหมือนเดิมค่ะ เรียบร้อยทุกอย่าง ลูกค้าชอบรีสอร์ทเรามากเลยค่ะ ชมไม่ขาดเลย ลูกค้าสาวๆ ก็คอยถามหาแต่คุณพัต  เสน่ห์แรงจังเลยนะคะ" ผู้จัดการสาวหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มแสดงความเบื่อหน่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด


   "แล้วเรื่องที่ให้ลงต้นไม้เพิ่มไปถึงไหนแล้วครับ" บริพัตรเปลี่ยนเรื่องดีกว่า 2 สัปดาห์ก่อน ชายหนุ่มได้สั่งต้นไม้ใหญ่มาจากทางเหนือ เพื่อที่จะมาทำเป็นมุมนั่งพักผ่อนใต้ต้นไม้ภายในรีสอร์ท


   "ต้นไม้มาลงตั้งแต่เมื่อวานค่ะ คุณพัตพักก่อนดีมั้ยคะ เพิ่งมาถึง เหนื่อยๆ เดี๋ยวให้เด็กหาอะไรให้ทานรองท้อง"


   "ไม่เป็นไรครับ ไปดูเลยดีกว่า เดี๋ยวถ้าเย็นเกินไป จะมองเห็นไม่ค่อยชัด"


   "ได้ค่ะ งั้นเชิญทางนี้ค่ะ" ผู้จัดการสาวออกเดินนำพาเจ้านายไป



   ชายหนุ่มค่อนข้างพอใจ เมื่อเห็นว่าต้นไม้ที่มาลงไว้มีสภาพดี ไม่บอบช้ำ  ได้รับการดูแลเอาใจใส่และมีการจัดการได้เป็นอย่างดี บริพัตรบอกให้ผู้จัดการกลับไปทำงานในส่วนของตนเองได้ ส่วนชายหนุ่มขอเดินไปสำรวจรอบๆ บริเวณรีสอร์ทก่อน หากมีอะไรที่ต้องซ่อมแซมหรือชำรุดเสียหายจะได้สั่งการได้ทันท่วงที



   บริพัตรมาที่นี่เสมอๆ ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าของที่นี่ที่ต้องดูแล แต่ชายหนุ่มเองก็ต้องการเพิ่มพลังกายและพลังใจให้กับตนเองด้วยเช่นกัน ที่นี่เป็นเหมือนวิมานบนดินของเขา ที่ทำให้ได้ทบทวนเรื่องราวในแต่ละวันที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี



   ที่ผ่านมา บริพัตรคอยหลบหน้าภูธนาโดยตลอด บริพัตรไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองขี้ขลาดเกินกว่าจะเปิดหัวใจตัวเอง เขาไม่เคยคิดที่จะสนใจใครอีก และยิ่งเป็นผู้ชายด้วยแล้ว ความคิดนี้ไม่เคยอยู่ในหัว แต่ภูธนาเป็นคนแรกที่เขารู้สึกอยากอยู่ใกล้ และอยากพูดคุยด้วย แต่เขารู้สึกยังไม่พร้อมที่จะเปิดรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต และเขากลัวว่าถ้าหากเขายอมเปิดใจแล้วล่ะก็ ใครจะรู้บ้างว่าภูธนานั้นมีใจให้เขาเหมือนกันหรือไม่ เขายังไม่พร้อมจะรับความเจ็บปวดนั้นอีกครั้ง




   เขาแข่งรถกับภูธนา เพราะวันนี้เป็นวันหยุด ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าจะเจอภูธนา โดยปกติแล้วภูธนาจะดูแลหลานชายอยู่ที่บ้านไม่ออกไปไหนแน่นอน แต่ทุกอย่างย่อมมีเรื่องผิดคาดได้เสมอ เขาเจอภูธนาที่สนามแข่ง เขาประหม่าเกินที่จะเปิดเผยตัวตนให้กับลุงของหลานรู้ ชายหนุ่มจึงต้องจำใจใส่หมวกกันน็อคไว้ตลอดเวลา เมื่อได้มาแข่งรถด้วยกัน ฝีมือการขับรถของภูธนาอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี แต่เพราะยังซ้อมไม่มาก ทำให้ไม่มีความมั่นใจมากพอ ถ้าได้ซ้อมมากกว่านี้ ต้องเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เหตุการณ์วันนี้เลยทำให้บริพัตรแน่ใจว่า ภูธนาคือคนที่สลับตัวกับศดิศในการแข่งขันเมื่อตอนนั้น




   ดึกสงัด เสียงจิ้งหรีดร้องระงม บริพัตรหยิบสมุดบันทึกของลุงชาครขึ้นมาบนหน้าปกนั้นเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า 'มอบให้ บริพัตร' สมุดบันทึกเล่มนี้ บริพัตรอ่านมาหลายรอบแล้ว ชายหนุ่มแทบจะจำข้อความในแต่ละหน้าได้หมด แต่มีอยู่เพียง 1 หน้าเท่านั้น ที่ชายหนุ่มมักจะข้ามไปหรืออ่านผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว ทว่าครั้งนี้มือเรียวหนากลับพลิกเปิดมาหน้านี้ด้วยความตั้งใจ



   "ลุงไม่รู้ว่า จะมีวันที่พัตอยากจะอ่านหน้านี้จากใจจริงมั้ย แต่ลุงอยากให้พัตอ่านและทำความเข้าใจกับมันให้มากนะ ลุงอาจจะไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญหรือเก่งกาจอะไร แต่ลุงเชื่อในความรู้สึกและประสบการณ์ของลุงว่ามันคงจะช่วยพัตได้บ้างก็เท่านั้น"



   บริพัตรอ่านถึงบรรทัดนี้ชายหนุ่มก็ปิดสมุดบันทึกนั้นลง ข้อความต่อไป ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยอ่าน แต่ครั้งนี้เหมือนมันเข้าใกล้ความรู้สึกตนเองมากเกินไป บริพัตรนั่งมองสมุดบันทึกเล่มนี้โดยไม่ละสายตาไปไหนอีกครู่ใหญ่ จึงตัดสินใจเปิดสมุดกลับไปหน้าเดิมอีกครั้ง ตั้งใจอ่านมันตามที่ลุงชาครได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้



   "พัต ... ความเสียใจมันยากที่จะลืมใช่มั้ย ลุงรู้และก็เข้าใจพัต แต่มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่ลุงบอกพัตว่าคนเราต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้า แล้วตอนนี้ล่ะพัตก้าวไปได้แล้วหรือยัง หรือพัตยังไม่ลุกขึ้นยืนและนั่งอยู่ที่เดิม เวลาผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว พัตไม่เสียใจหรือที่ต้องวนเวียนฉายภาพซ้ำกลับไปเหมือนวันเก่าๆ"



   "ถึงพัตจะไม่เสียดาย แต่ลุงเสียดาย โอกาสของคนเราไม่ได้มีกันได้เสมอไป ลุงเองก็เคยทิ้งโอกาสของลุงนั้นไป ลุงรักผู้หญิงคนหนึ่ง ลุงรักเขามาก แต่ลุงไม่กล้าทำตามหัวใจของตัวเอง ลุงขี้ขลาดและกลัวเกินกว่าจะดึงเขาเข้ามาอยู่กับลุง และลุงยอมให้ผู้หญิงที่ลุงรักมากคนนั้นไปอยู่กับคนอื่นที่ลุงคิดว่าเขาดีกว่าลุง ในตอนนั้นลุงคิดว่าลุงทำถูกและตัดสินใจไม่ผิด ลุงออกมาจากจังหวัดนั้น แต่ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ลุงจะลืมเขาได้ และเมื่อวันหนึ่งเมื่อลุงมีทุกอย่างแล้ว ลุงพร้อมแล้ว ลุงกลับไปจังหวัดนั้นอีกครั้ง แต่ลุงไม่เจอเขาแล้ว ผู้หญิงนั้นเขาเสียชีวิตแล้ว"




   "เธอไม่ได้ป่วยตาย แต่ถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต ผู้ชายที่ลุงคิดว่าเพียบพร้อมและเหมาะสมกับเขา กลับกลายเป็นคนคร่าชีวิตของเขาไป ลุงเฝ้าคิดย้อนกลับไป ถ้าตอนนั้นลุงไม่เลือกหนทางแบบนั้น เขาอาจจะไม่พบกับเรื่องราวที่เป็นแบบนี้ก็ได้ พัตคงจะคิดว่าไม่ใช่ความผิดของลุง แต่ลุงคิดมาตลอดว่าลุงมีส่วนที่ทำให้เรื่องราวเป็นแบบนี้"




   "สุดท้ายลุงแค่อยากจะเตือนพัต ด้วยความหวังดีจากลุงแก่ๆ คนหนึ่งที่เคยทำอะไรผิดพลาดไปว่า ในบางเรื่อง เราอย่าไปตัดสินใจหรือคิดแทนอีกฝ่าย ปล่อยให้หน้าที่ของความรู้สึกมันชนะสมองเสียบ้าง ทุกอย่างมันจะแจ่มชัดขึ้น ถ้าไม่ลองสักตั้ง พัตจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่ที่แน่ๆ พัตอาจจะเสียใจที่ไม่ทำตามความรู้สึก"



   บริพัตรปิดสมุดบันทึกแล้วเก็บใส่ในลิ้นชักข้างเตียงก่อนที่จะปิดไฟแล้วล้มตัวนอนลงในความมืด แต่ดวงตากลับไม่อาจข่มให้หลับลงได้เพราะผู้ชายที่ชื่อ



   
'ภูธนา'



Talk:.

ตอนนี้ดูจะเรื่อยๆ แต่ก็มีอะไรให้เปลี่ยนแปลงอยู่น้า  :katai5:  ตอนหน้ามาลุ้นกับพระเอกของเรากันต่อ
เอายังไงดีกับชีวิต บอกมาสิ อาพัตเตอร์ ตอบบบบบบบ  :z6:


รักษาสุขภาพด้วยนะคะ วันหยุดพักผ่อนเอนจอยกันนะคะ

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ด้วยรัก
เขมกันต์



ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
จะเอาไงหาอาพัตเตอร์ ลุงธนาจะกลับบ้านแล้วเน่ออออออออ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

บทที่ 13



   การลาจากไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ต้องการ แต่ความเหมาะสมและความถูกต้องมันบังคับให้มนุษย์ที่รู้จักผิดชอบชั่วดีได้พึงกระทำ ภูธนานอนกอดหลานชายคนโปรดไว้ทั้งคืน เช้านี้เด็กน้อยตื่นขึ้นมาพร้อมความสดใส พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดระหว่างที่กำลังรออาหารมื้อเช้าจากคุณลุง



   ภูธนาเตรียมมื้ออาหารง่ายๆ ให้หลานชาย ตอนนี้ภูบดินทร์เริ่มใช้ช้อนส้อมได้คล่องขึ้นแล้ว เพราะที่โรงเรียนก็ได้รับการฝึกใช้อุปกรณ์เหล่านี้อยู่เสมอ ภูธนาเห็นพัฒนาการของหลานชายที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชายหนุ่มภูมิใจในตัวหลานคนนี้ไม่น้อยเลย



   "น้องภูครับ"


   "ฮะ" เด็กน้อยพูดตอบรับคำจากลุง พลางใช้ส้อมจิ้มไส้กรอกคำเล็กๆ ใส่ปาก


   "ลุงธนาจะขออนุญาตน้องภูกลับไปอยู่บ้านนู้นนะครับ" ภูธนาพูดกับหลานเป็นทางการเพื่อให้ภูบดินทร์เข้าใจว่าเรื่องที่พูดนั้นไม่ได้เป็นการพูดเพียงเล่นๆ


   "ทำไมฮะ" เด็กน้อยจ้องลุงตาแป๋ว


   "ลุงต้องกลับไปทำงาน แล้วจะได้มีเงินพาน้องภูไปเที่ยวบ่อยๆ ไงครับ"


   "น้องภูไปด้วยได้มั้ยฮะ" เด็กน้อยเริ่มเสียงเบา หน้าจ๋อยลงอย่างเห็นได้ชัด


   "ไม่ได้หรอกครับ แต่ลุงสัญญาว่าจะมาหาน้องภูบ่อยๆ"


   "ฮือ ฮือ" หลานคนเก่งบัดนี้ร้องไห้งอแงขึ้นมาเพราะไม่ได้ดั่งใจตนเอง


   "ไม่ร้องนะครับ ภูบดินทร์ มองลุง"


   "ฮือ ฮือ" เสียงร้องไห้ยังไม่หยุด ใบหน้าเต็มไปคราบน้ำตาแต่ก็ยอม สบตามลุงตามคำสั่ง


   "ถ้าน้องภูเป็นเด็กดื้อ ลุงธนาจะไม่มาหา แล้วก็ไม่พาน้องภูไปเที่ยวด้วยนะครับ"


   "น้องภูจะไม่ดื้อฮะ" เด็กน้อยใช้มือป้อมปาดน้ำตาออกไปให้พ้นทาง


   "ดีมากครับ คนเก่ง แล้วลุงจะมาหาบ่อยๆ ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ ถ้าคิดถึงลุงก็ให้คุณพ่อพาไปหาลุงก็ได้นะครับ รู้มั้ย" ภูธนาเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อยเบามือ ความรักที่มีให้หลานคนนี้ยังไงก็ไม่มีวันหมด แต่เพื่ออนาคตของเด็กตรงหน้า ภูธนาก็ยินดีทำ


   "จะมาหาน้องภูบ่อยๆ จริงๆ นะฮะ ฮึก" เด็กน้อยหยุดร้องไห้แล้วแต่ยังมีอาการสะอื้นอยู่


   "จริงสิครับ ลุงเคยโกหกน้องภูหรือเปล่า" คำตอบของหลานชายคือการส่ายหน้าเป็นพัลวัน


   "รักน้องภูนะครับ" ภูธนาก้มลงจูบหน้าผากเด็กน้อยด้วยความรักสุดหัวใจ


   "น้องภูก็รักลุงธนาฮะ" เด็กน้อยยื่นหน้าหอมแก้มคุณลุงฟอดใหญ่ ภูธนาเอ็นดูหลานคนนี้เหลือเกิน






   คุณพ่อและคุณลูก พากันเล่นกันอย่างสนุกที่สนามข้างบ้าน ภูธนาจึงมีเวลามาเก็บเสื้อผ้าและของใช้ ชายหนุ่มคิดว่าจะเหลือเสื้อผ้าและของใช้ไว้ที่นี่บ้าง เพราะหากมานอนค้างจะได้ไม่ต้องเตรียมของมาให้ลำบาก ตอนนี้บริพัตรยังไม่กลับมาบ้าน เขาควรจะต้องบอกลาชายหนุ่มหรือไม่ ภูธนาคิดเพียงไม่นานก็ตัดสินใจไม่รอบริพัตรกลับมาบ้าน อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ยังไม่ค่อยเจอกัน  เจ้าตัวไม่ได้สนใจอยู่แล้วนี่ว่าเขาจะอยู่หรือไป




   ช่วงเย็นวันนั้น บดินทร์ขับรถมาส่งภูธนาที่ห้องพักพร้อมกับหลานชาย การร่ำลาครั้งนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยแต่ไม่ได้ยาวนานเหมือนกับครั้งแรกที่ต้องจากกัน แค่เพียงไม่กี่เดือนหลานชายเติบโตอีกขั้นแล้ว เหลือแต่เพียงภูธนาที่พอลับสายตาจากพ่อลูกคู่นั้น เจ้าตัวกลับร้องไห้ออกมาด้วยความคิดถึงหลานเหมือนเดิม


   "กลับมาแล้วครับ" บริพัตรทักทายพี่ชายที่นั่งเล่นกับหลานอยู่ที่พื้นหน้าโซฟา


   "อ้าว กลับมาแล้วเหรอ กินอะไรมาหรือยัง"


   "กินมานิดหน่อยแล้วครับ แล้วนี่พี่อยู่กับน้องภู 2 คนเหรอ ลุงของน้องภูล่ะ" บริพัตรเอ่ยถามคนที่อยู่ในความคิดของเขาตลอดเวลา


   "คุณธนาย้ายกลับไปอยู่บ้านเขาแล้วล่ะ"


   "อะไรนะ แล้วพี่ยอมให้เขากลับบ้านไปได้ไง แล้วน้องภูล่ะจะไม่ร้องไห้เหรอ แล้วถ้าน้องภูร้องไห้อีกล่ะ จะทำไง" บริพัตรตกใจเมื่อได้ยินคำตอบพี่ชาย ชายหนุ่มจึงรัวคำถามออกมาเป็นชุด


   "เดี๋ยวๆ เจ้าพัต นายเห็นหลานมันร้องไห้หรือยัง น้องภูร้องไห้หรือเปล่าครับ ไหนบอกพ่อซิ"


   "ไม่ร้องฮะ ลุงธนาบอกว่าถ้าร้องจะไม่มาหาน้องภู" เด็กน้อยเงยหน้าฉีกยิ้มให้กับพ่อก่อนจะแจกยิ้มเผื่อมาถึงอา


   "เห็นมั้ยล่ะ จะตกใจอะไรขนาดนั้น" บดินทร์ถึงกับแปลกใจในพฤติกรรมของชายหนุ่ม แต่บดินทร์กลับรู้สึกดี เพราะมันเหมือนกลิ่นอายตัวตนของบริพัตรเมื่อก่อน


   "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า" บริพัตรแสร้งทำเป็นเดินไปดื่มน้ำที่ครัว


   "นี่เจ้าพัต"


   "ครับพี่"


   "แว่นนายหายไปไหน" บดินทร์รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป กว่าจะคิดออกก็คือแว่นตาหนาๆ อันใหญ่ของน้องชายนี่เอง


   "อ้อ มันมองเห็นไม่ค่อยชัด ก็เลยไม่ใส่แล้วล่ะ"


   "จะไม่ใส่ได้ยังไง ถ้ามองเห็นไม่ค่อยชัดก็ไปตัดใหม่สิ" บดินทร์แปลกใจความคิดของน้องชายเสียจริง มองไม่ชัดทำไมไม่ไปหาแว่นที่ชัดๆ ใส่กันเล่า มาปล่อยแบบนี้จะมองเห็นได้อย่างไรกัน หรือว่าน้องชายของเขาจะเพี้ยนไปแล้ว


   ไม่ นะ .....


   "ก็ใส่แล้วมันมองเห็นไม่ค่อยชัดต่างหาก"


   คำตอบของน้องชายนั้น


   ไม่ นะ .....


   "เจ้าพัต ไม่เป็นไรใช่มั้ย" บดินทร์เอื้อมมือไปแตะหน้าผากน้องชาย เผื่อว่าน้องชายจะไข้ขึ้นสูง


   "พี่ทำอะไร ผมไม่ได้ป่วยสักหน่อย" บริพัตรปัดมือพี่ชายออกเบาๆ


   "หรือนายจะเป็นบ้าเปล่าวะ พัต"


   "ไปกันใหญ่แล้วพี่ดิน  แล้วผมก็ไม่ได้สายตาสั้นสักหน่อย แล้วแว่นน่ะ มันเริ่มเก่าแล้ว กระจกก็มีรอยขูดขีดเต็มไปหมด ก็เลยมองเห็นไม่ค่อยชัด พอใจหรือยังครับพี่"


   "สายตาไม่ได้สั้น แล้วใส่แว่นทำไมวะ อยากเท่เหรอไง"


   "คือใส่แว่นหนาเตอะนี่มันทำให้เท่เหรอครับ เพิ่งรู้นะ"


   "ชักจะกวนพี่กวนเชื้อนะ เจ้าพัต แล้วใส่ไปทำไมกันวะ ชักเริ่ม งง สรุปคือนายไม่ได้บ้า แต่พี่เองที่บ้าใช่มั้ย"


   "พี่เล่นตลกให้ผมขำหรือไง อ่ะ จะบอกให้เอาบุญนะคร้าบ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมใส่แว่นหนาๆ แบบนั้นเพราะไม่อยากให้ใครมาสนใจผมไง "


   "ถ้างั้นเรื่องเสื้อผ้า ท่าทางพวกนั้นด้วยหรือเปล่า"


   "พี่นี่ฉลาดใช้ได้นะเนี่ย" สายตายียวนของชายหนุ่มมองพี่ชายอย่างขำๆ


   "ชักกวนโมโหกูหนักขึ้นละ"


   "อ๊ะๆ ต่อหน้าเด็ก พูดไม่เพราะได้ยังไง เดี๋ยวตีเลย" บริพัตรยกมือทำท่าจะตีพี่ชาย แต่ถูกบดินทร์ยกเท้าขึ้นมาขวางทางมือเสียก่อน


   "แล้วมีคนมาสนใจไม่ดีตรงไหน พัต"


   "ก็ผมไม่ชอบ แล้วก็เพราะเรื่อง มินตราด้วยไง พอเริ่มเก็ทยัง"


   "เออๆ ก็พอเข้าใจนายอยู่หรอก แต่ไม่เห็นจะต้องถึงขนาดนี้เลยนี่"


   "คือคนมันหล่อ และหล่อมากด้วย อย่าให้ผมพูดเยอะเลยนะ เพราะเรื่องจริงทั้งนั้น"   


   "น่าถีบจริงๆ ไอ้น้องคนนี้ แล้วนี่จะไปไหน" บดินทร์ร้องทักเมื่อเห็นน้องชายลุกขึ้นยืน


   "จะไปอาบน้ำไง  เหนียวตัวไปหมด เสร็จแล้วจะมาดูหลานต่อให้"


   "พัต" บดินทร์เรียกน้องชายที่กำลังขึ้นบันได ทำให้บริพัตรหยุดเดินแล้วหันมาสบตาพี่ชาย


   "ว่าไงครับ"


   "พี่รู้สึกเหมือนได้น้องคนเดิมกลับมา ดีใจว่ะ"


   "ผมก็กลับมาเป็นบริพัตรคนเดิมอย่างที่พี่เคยรู้จักไง" บริพัตรพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินเข้าห้องนอนของตนเองไป
   






   "สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การแข่งขันซุปเปอร์ จีที เรซ ครั้งแรกของประเทศไทย กับการแข่งขันรถทั้งสิ้นทั้งหมด 32 คัน"



   เสียงผู้บรรยายประกาศดังไปทั่วสนาม ภูธนาเข้าร่วมการแข่งขันนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ชายหนุ่มไม่อาจจะหยุดความตื่นเต้นเอาไว้ได้เลย ถึงจะซ้อมมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันรอบแล้ว แต่เมื่อลงสนามจริงก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่รายชื่อของชายหนุ่มได้ประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ โดยไม่ได้เป็นตัวปลอมในการแข่งของใครอีก



   "รถแข่งทั้งหมด 32 คัน เครื่องยนต์เสียงดังกระหึ่มขึ้นมาอยู่หน้าสแตนด์ ตอนนี้เป็นสัญญาณสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วนะครับ สัญญาณของธงเขียวที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว"



   ภูธนาอยู่ในรถคู่ใจ เวนอม จีที หมายเลข 14 สมาธินั้นเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อภูธนาออกตัวก็ลืมความตื่นเต้นก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว สายตาจับจองอยู่เพียงสนามที่ต้องวิ่งผ่านไปทีละรอบ ๆ




   "เอาล่ะครับ เริ่มมีตำแหน่งเปลี่ยนแล้วครับ ตอนนี้หมายเลข 6 ขึ้นมาแทนที่เบอร์ 4 ได้เรียบร้อยแล้ว หมายเลข 6 เป็นนักแข่งสัญญาติญี่ปุ่น คุณยามาดะ ยูโตะ แล้วอย่าลืมจับตามองหมายเลข 14 นะครับ นักแข่งไทยเพียงคนเดียวของเราในวันนี้ คุณภูธนา หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อเขาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าได้เห็นหน้าของชายหนุ่มคนนี้ต้องคุ้นตาแน่นอนครับ อดีตดาราหนุ่มของเราผันตัวมาเป็นนักแข่งรถเต็มตัวแล้วล่ะครับ"



   ภูธนาตั้งใจขับขึ้นแซง ไปทีละคันๆ จนมาอยู่ที่อันดับ 2 ปัญหาของชายหนุ่มยังคงเป็นเรื่องของการเข้าโค้งที่มักจะหลุดโค้งอยู่บ่อยทำให้แซงรถคันแรกไม่ได้สักที



   "การแข่งขันเข้มข้นมากทีเดียวครับ แล้วเข้าสู่รอบสุดท้ายแล้ว ผู้ชนะในวันนี้ของเราจะเป็นใครระหว่างเบอร์ 14 นักแข่งชาวไทย คุณธนา ที่ยังตาม รถหมายเลข 42 อยู่ นักแข่งชาวอังกฤษ มิสเตอร์จอห์น นะครับ อีกไม่กี่อึดใจเราจะได้รู้กันแล้ว ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร"



   "และมาถึงโค้งสุดท้ายแล้วล่ะครับ พ้นโค้งนี้ไปจะเป็นเส้นทางตรงและมุ่งเข้าสู่เส้นชัย หมายเลข 14 ยังตามมาติดๆ ไม่สามารถขึ้นแซงได้ จะเป็นยังไง จะเป็นยังไง ผ่านโค้งสุดท้ายมาแล้วครับ !! เข้าสู่ทางตรงแล้ว รถ 2 คัน ขับเคี่ยวกันอย่างสูสีทีเดียว  แล้วรถก็เข้าเส้นชัยไปพร้อมกัน ไม่น่าเชื่อจริงๆ ใครกันที่เข้าถึงเส้นชัยก่อน เราต้องมาเช็คภาพช้ากันแล้ว"


   "แหม่ น่าเสียดายจริงๆ นิดเดียวแท้ๆ และผู้ชนะในวันนี้คือรถหมายเลข 42 ครับ และลำดับต่อไปจะเป็นช่วงเวลามอบรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศ กับการแข่งขันซุปเปอร์ จีที เรซ"


   "แชมป์ หมายเลข 42 ครับ มิสเตอร์ จอห์น


   อันดับที่ 2 ครับ หมายเลข 14 คุณธนาครับ รูปหล่อไม่เบาเลยทีเดียว


   และอับดับที่ 3 ครับ หมายเลข 6 คุณยามาดะ


   ขอเสียงปรบมือดังๆ ให้กับผู้ชนะและผู้เข้าแข่งขันในวันนี้ครับ" เสียงปรบมือกึกก้องดังทั่วสนาม นักข่าวจากหลายสำนักต่างพากันกรูเข้ามาสัมภาษณ์หลังพิธีมอบรางวัลเสร็จสิ้นลง



   "ทำไมคุณธนาถึงผันตัวเองมาเป็นนักแข่งรถคะ" นักข่าวช่องน้อยสี ยืนไมค์มาจ่อหน้าเขาทันทีที่เข้าถึงตัว


   "ผมชื่นชอบรถแข่งอยู่ก่อนหน้านี้แล้วครับ ตอนที่เข้าวงการเลยหยุดไป พอได้รับโอกาสจากสังกัดอีกครั้งก็รู้สึกยินดีมากครับที่จะได้กลับมาแข่งรถอีกครั้ง"


   "แล้วงานด้านวงการบันเทิงยังรับงานอยู่มั้ยคะ" นักข่าวช่องเคเบิ้ลยื่นไมค์มาถามต่อทันที


   "ยังรับอยู่ครับ แต่ทั้งนี้คงต้องปรึกษากับทางสังกัดก่อนว่าจะสะดวกหรือเปล่าครับ"



   คำถามอีกมากมายยิงยาวมาที่ภูธนาไม่หยุด หากจอมเดชไม่เข้ามาจัดการ ดึงตัวเขาออกไป เห็นทีชายหนุ่มคงจะต้องถูกสัมภาษณ์อีกนานแน่ๆ


   "เป็นไง ธนา " จอมเดชยื่นขวดน้ำให้ชายหนุ่มรับไปเพื่อดื่มแก้กระหาย


   "มันเหมือนฝันน่ะครับ พี่จอม ไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาแข่งในชื่อตัวเองแบบนี้ ดีใจมากๆ เลยพี่ แต่น่าเสียดาย อีกนิดเดียวก็จะชนะแล้วแท้ๆ"


   "ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า นายเพิ่งมาซ้อมได้ไม่นาน ลงครั้งแรกก็ได้รองชนะเลิศซะแล้ว ตำแหน่งชนะเลิศอยู่ไม่ไกลหรอกน่า"


   "ขอบคุณครับ"


   "หลังจากนี้ คงมีงานเข้ามาเยอะขึ้น เตรียมตัวไว้เลยนะ ธนา"


   "ครับพี่จอม"


   "พ่อฮะ ลุงธนา ทีวี ลุงธนา ทีวี" เด็กน้อยส่งเสียงดังร้องเรียกผู้เป็นพ่อที่กำลังเตรียมมื้อเย็นในครัว เดือดร้อนให้บดินทร์รีบวิ่งออกมาด้วยความตกใจ


   "อะไรกันครับ คนเก่ง มีอะไรครับ"


   "ลุงธนาฮะ ทีวี ทีวี" มืออวบอ้วนชี้ไปที่จอโทรทัศน์ที่มีใบหน้าของภูธนาที่กำลังถูกสัมภาษณ์จากนักข่าว


   "โห ลุงธนาจริงๆ ด้วยนะ น้องภู"


   "ลุงธนา ออกมาสิ ออกมา"


   "ลุงธนาออกมาไม่ได้หรอกครับ คนเก่ง"


   "ทำไมล่ะครับ" คำถามของลูกชายทำให้พ่อถึงกับเหงื่อตกที่ต้องหาคำตอบ


   "อยู่ในทีวี ออกมาไม่ได้หรอกครับ"


   "น้องภูคิดถึงลุงธนา"


   "ถ้าคิดถึงเราก็ไปหาลุงธนาเลยดีมั้ย" บดินทร์รีบตามใจลูกชายทันที


   "ไปเดี๋ยวนี้เลยฮะ นะฮะ" เด็กชายรบเร้าเกาะแขนผู้เป็นพ่อ


   "ตอนนี้ไม่ได้หรอกนะครับ เย็นแล้ว"


   "ทำไมล่ะฮะ"


   "ลุงธนาก็ต้องทานข้าวแล้วก็นอนหลับเหมือนน้องภูไงครับ เดี๋ยววันหยุดพ่อจะพาไปหาลุงนะครับ"


   "ฮะ พาไปจริงๆ นะฮะ น้องภูอยากเอารถแข่งคันใหม่ไปอวดลุงธนา"


   "แน่นอนครับ งั้นเรามาทานข้าวกัน"
   



   ภูธนากลับเข้ามาในวงการบันเทิงอีกครั้ง สื่อบันเทิงหลายช่องต่างพากันจับจองตัวภูธนาเพื่อไปออกรายการเกมส์โชว์บ้าง สัมภาษณ์ช่วงเวลาที่หายไปบ้าง หรือแม้กระทั่งโฆษณาก็เริ่มมีเข้ามาแล้ว



   'คิดถึงน้องภู'



   ช่วงนี้ชายหนุ่มไม่ได้ไปหาหลานชายตัวน้อยเลยเพราะงานที่เริ่มทยอยเข้ามาเรื่อยๆ ได้คุยกันผ่านโทรศัพท์พอให้บรรเทาความคิดถึงได้



   ภูธนายังพักอยู่ที่เดิม ยังไม่ได้ย้ายไปไหน ที่นี่ก็อยู่มาหลายปีแล้ว สะดวกในการเดินทางได้เป็นอย่างดี วันนี้เขาได้หยุดพักเลยรีบทำงานบ้านให้เรียบร้อย จะได้ไปหาหลานชายให้คลายความคิดถึง
   


   ก๊อก ก๊อก



   มือเรียวขาวที่กำลังหยิบเสื้อผ้าลงใส่เครื่องซักผ้านั้น ชะงักมือด้วยความแปลกใจ ใครกันที่มาแต่เช้า




   "ลุงธนาฮะ ลุงธนา น้องภูมาแล้ว" เสียงโหวกเหวกหน้าห้องทำให้ชายหนุ่มทิ้งทุกอย่างแล้วรีบไปเปิดประตูทันที


   "ลุงธนาฮะ น้องภูคิดถึง" เด็กน้อยโผเข้ากอดลุงเมื่อเห็นหน้า ชายหนุ่มอุ้มหลานชายตัวน้อยขึ้นมา


   "ลุงก็คิดถึงน้องภูนะครับ นี่ตัวหนักขึ้นนะเรา จะอุ้มไม่ไหวแล้วมั้ง" จมูกโด่งกดทับบนแก้มกลมๆ นั่นฟอดใหญ่ หลานชายก็ไม่ยอมน้อยหน้า กอดหอมลุงผลัดกันไปมา


   "อ่ะ แฮ่ม" เสียงกระแอมไอทำให้ทั้งคู่ออกจากภวังค์


   "อาพัตเตอร์" ภูธนาหลุดปากเรียกชื่อออกไป ใจเต้นแรงเพราะไม่คิดว่าจะเป็นผู้ชายคนนี้


   "ไม่เชิญเข้าบ้านหน่อยเหรอครับ ลุงธนา"


   "เชิญครับ" ภูธนาเปิดประตูให้กว้างขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าไป


   "ทานอะไรมาหรือยังครับ น้องภูหิวหรือเปล่า"


   "ยังเลยครับ น้องภูอยากมาหาคุณลุงไวๆ เพราะคุณลุงสัญญาว่าจะมาหาแต่ไม่เห็นมาเลย" บริพัตรพูดแกมประชด


   "โกรธลุงหรือเปล่าครับ" ภูธนาหันไปคุยกับหลานตัวน้อย


   "ไม่ฮะ แต่น้องภูคิดถึงลุงธนาม๊าก มาก"


   "ลุงขอโทษนะครับ คนเก่ง ช่วงนี้ลุงทำงานเยอะมากเลย"


   "น้องภูหิวแล้วฮะ" เพราะเลยเวลาอาหารเช้าของเด็กน้อยมานานแล้ว ภูธนาจึงรีบไปทำมื้อเช้าให้หลานก่อน


   "ทานนี่รองท้องก่อนนะ น้องภู ส่วนของคุณ นี่ครับ" มือเรียวยื่นจานให้คนตรงหน้าที่นั่งรออยู่บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว


   "ขอบคุณฮะ ลุงธนา" 2 เสียงพูดขึ้นพร้อมกัน ทำให้ภูธนาอดที่จะมองค้อนคนตัวโตเสียไม่ได้


   "ทานดีๆ อย่าให้หกเลอะเทอะนะ คนเก่ง" ภูธนาบอก พลางทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ หลานเพื่อทานมื้อเช้าเช่นเดียวกัน


   "คุณดินไปไหน คุณถึงพาน้องภูมาได้"


   "พี่ดินอยู่ที่บ้าน แต่ผมขออาสาพาหลานมาเอง" คำตอบทำให้แปลกใจแต่ภูธนาก็ไม่ได้ถามต่อ


   "แล้วแว่นไปไหนล่ะครับ"


   "เพิ่งรู้ว่า ใครๆ ก็สนใจแว่นผมนะ"


   "ก็แว่นหนาเตอะขนาดนั้น ใครไม่ทักก็คงแปลกแล้วล่ะ" จะมีสักครั้งมั้ยที่จะตอบคำถามให้มันดีๆ โดยไม่กวนอารมณ์แบบนี้


   "อ้อ อย่างนั้นเหรอครับ นึกว่าสนใจผมซะอีก"


   "ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ"


   "หรือลุงธนาไม่สนใจอาพัต"


   "เหลวไหล พูดเอง เออเองทั้งนั้น" ภูธนาก้มหน้าก้มตาตักอาหารเข้าปากไม่หยุด


   "แล้วตกลงว่าแว่นไปไหนล่ะครับ"


   "ไม่ใส่แล้ว" คงต้องยอมรับว่าชายหนุ่มตัดสินใจถูกแล้วที่เลิกใส่แว่น เพราะมันทำให้คนตรงหน้านี้สะดุดตาขึ้นเป็นกอง ที่ยังขัดตาอยู่คงจะเป็นทรงผม ไปตัดให้มันสั้นลงหน่อยจะดีมั้ยนะ


   "แล้วมองเห็นชัดเหรอครับ หรือว่าใส่คอนแทกส์" คนถามยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา


   "ไม่ได้ใส่หรอกครับ แล้วก็มองเห็นชัดดีอยู่แล้ว"


   "นี่ ถ้าคุณไม่คิดจะตอบดีๆ งั้นผมก็ไม่คุยด้วยแล้วนะครับ" คำตอบของบริพัตร ทำให้คนถามชักไม่สบอารมณ์เข้าแล้ว


   "ไม่เอาน่า ขี้งอนเหรอครับ คุณลุง"


   "ผมไม่ได้งอนสักหน่อย อย่าเหมาไปเองได้มั้ย แค่รำคาญที่คุณตอบยอกย้อนไปแบบนี้ ถ้าไม่อยากคุยก็น่าจะบอกกันตรงๆ สิครับ" ภูธนาอธิบายยืดยาวเพราะความรู้สึกที่บริพัตรหลบหน้าตนเองยังทำให้ตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย


   "ขอโทษนะ" ภูธนาแทบไม่เชื่อหู


   "ว่าอะไรนะ"


   "ผมบอกว่าขอโทษไง อ่ะตอบดีๆ แล้ว ที่ผมเลิกใส่แว่น ก็เพราะกำลังจีบคนๆ  นึงอยู่ กลัวว่าเขาจะไม่ยอมไปไหนมาไหนด้วย ถ้าผมยังทำตัวแย่ๆ" ภูธนารู้สึกหน่วงๆ อยู่ในอก เมื่อรู้ว่าบริพัตรมีคนที่สนใจแล้ว


   "ระ เหรอ" กระซิบถามเสียงเบาหวิวออกไป


   "ใช่ แล้วไม่อยากรู้เหรอว่าเขาเป็นใคร"


   "ถึงจะบอกออกมา ผมก็คงไม่รู้จักอยู่ดี"


   "คนนี้ลุงธนารู้จักเขาแน่นอนครับ" คุณลุงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย


   "คนที่ผมกำลังจะจีบ ก็คือคนตรงหน้านี่ไงล่ะครับ" บริพัตรฉีกยิ้มกว้าง ส่วนคนตรงหน้าน่ะเหรอ อึ้งไปแล้วน่ะสิ





   'ลุงธนาน่ารักชะมัด'








Talk:.

ท้า ดาาาา และแล้ว อาพัตเตอร์ของเรา ก็เดินเครื่องเดินหน้า เต็มที่ให้สมกับผ่านมา 13 ตอน T-T เริ่มซะทีล่ะนะคะ
ตอนนี้ ดูเหมือนชีวิตของแต่ละคนดี๊ดีนะคะ เขมเองอยากจะกระโดดปลอมตัวเป็นลุงธนาแทนที่เลย   :beat:
แต่สงสัยจะไม่ได้แฮะ ไหนๆ ก็เครื่องติดแล้ว การรุกเร็วของอาไม่ธรรมดาหรอกค่ะ ใครว่าอาพัตเราจะสงบเสงี่ยมนี่ ไม่มีทาง :z2:

แต่

แต่

แต่

ขอแจ้งข่าวร้ายหน่อยค่ะ T_T  :mew2:

คือว่า ตอนนี้มีแต่งล่วงหน้าไว้อีกประมาณ 2-3 ตอนค่ะ แล้วเขมมีธุระเรื่องงานต้องไปใช้ชีวิตเป็นกะเหรี่ยงอยู่ต่างบ้านประมาณ 2 อาทิตย์ หากไม่โดนเลื่อนเพิ่มเวลาออกไปนะคะ อาจจะทำให้มาลงไม่ได้เหมือนเดิม

แต่จะพยายามให้ได้สัปดาห์ละ 1 ตอนค่ะ แต่ถ้าโชคร้ายโดนบลอกเน็ตด้วย กว่าจะได้มาลงให้อ่านต่อคงอีกราวๆ ปลายมีนา ไม่ก็ต้นเดือนเมษาค่ะ

เข้าใจหน่อยน้า  :mew6: ไม่ไปก็ไม่ได้ค่ะ ชะตาชีวิตอาจขาดสะบั้นลง ขอโทษค้าบ


ยินดีต้อนรับคนอ่านที่หลงผิด เอ๊ย แวะเวียนเข้ามาอ่านเรื่องนี้กันนะคะ ผิดพลาดในภาษาหรืออื่นใด ขออภัยด้วยนะคะ


 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ด้วยรัก
เขมกันต์



ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
อาพัตเตอร์บุกแรงมาก 5555555555555555555 ลุงธนาน่ารักจริงๆ รอเสมอนะคะ  :katai5:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
อร๊ายย. อาพัตเตอร์รุกจีบลุงธนาแล้วนะ.  อิอิ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter


บทที่ 14



   "จะเล่นอะไรอีกล่ะครับ" ภูธนาบอกหลังจากที่เริ่มสงบอาการภายในจิตใจได้แล้ว


   "ไม่ได้เล่นเลยแม้แต่นิดเดียว พูดความจริงล้านเปอร์เซนต์" อาพัตเตอร์ชูสามนิ้วให้คำปฏิญาณด้วยเกียรติของลูกเสือ


   "ผมไม่สนุกกับคุณหรอกนะครับ"


   "แล้วถ้าบอกว่าผมจริงจังล่ะ คุณจะว่าไง" บริพัตรชะโงกหน้าเข้ามาจ้องตาภูธนา


   ภูธนาจ้องตาได้ไม่นานก็ต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน สายตาของคนนี้ เขาคงสู้ไม่ไหวจริงๆ


   "ตามใจคุณเถอะครับ" ภูธนาบอกอย่างปลงๆ


   "หมายความว่าให้ผมเดินหน้าต่อไปใช่มั้ยครับ"


   "ก็อย่างที่บอกแหละครับ" ภูธนาพูดจบก็หยิบกระดาษเช็ดปากให้หลานชายก่อนจะลุกขึ้นเก็บจานให้เรียบร้อย


   ภูธนาเดินกลับออกมาพร้อมแก้วน้ำใบโต ชายหนุ่มค่อยๆ ประคองแก้วน้ำให้หลานชายดื่มหลังจากมื้ออาหาร เช็ดปากให้เด็กน้อยอีกครั้งเป็นอันเสร็จพิธีช่วงเช้า


   "ลุงธนาฮะ น้องภูเอาของเล่นมาเล่นนะฮะ" เด็กน้อยบอกคุณลุงก่อนจะพาร่างกลมๆ ไปมุมของเล่นที่เก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


   "ครับ แต่ถ้าเล่นเสร็จแล้วต้องเก็บให้เรียบร้อยเหมือนเดิมด้วยนะ"


   "ฮะ" เด็กน้อยรับคำ


   ภูธนาเดินเข้าไปกดปุ่มให้เครื่องซักผ้าทำงาน ชายหนุ่มสาละวนกับการเก็บกวาดครัวให้เรียบร้อย แต่ยังไม่ได้เริ่มอะไรมากนักก็มีผู้ชายไม่ได้รับเชิญเข้ามาในครัวเพิ่มอีกคน


   "ผมช่วยนะ" เสียงทุ้มบอกเสียงเบาข้างหูชายหนุ่ม ทำเอาภูธนาขนลุกขึ้นมาทันที


   "ช่วยถอยไปจะดีกว่าครับ" ชายหนุ่มบอกพลางเขยิบหนี


   "อย่างนั้นเหรอ น่าเสียดาย" มือหนาของบริพัตรเฉียดแก้มภูธนาไปนิดเดียว


   "นี่คุณ" ภูธนาชักเริ่มไม่ชอบใจเท่าไหร่แล้ว นี่ถือวิสาสะเกินไปมั้ย


   "ว่าไงครับ ลุงธนา" คนต้นเรื่องกลับไม่ได้สนใจการกระทำตนเอง แต่ยังตอบรับด้วยความทะเล้น


   "ผมไม่ชอบให้คุณทำตัวรุ่มร่าม"


   "คำว่ารุ่มร่ามนี่ หมายถึงแบบนี้หรือเปล่า" บริพัตรยื่นหน้าเข้าไปใกล้ จนริมฝีปากเกือบจะชนกับฝ่ายตรงข้าม ภูธนาเห็นท่าไม่ดี ชายหนุ่มรีบถอยหลังตามสัญชาตญาณ


   "ถ้าคุณยังไม่หยุด ผมจะโกรธแล้วนะครับ" ภูธนาหน้าตาแดง เสียงดังด้วยความโมโห


   "เอาล่ะๆ  ผมไม่แกล้งคุณแล้ว ขอโทษด้วยนะครับ" บริพัตรขยับตัวออกมา ยกมือทำท่าแสดงว่ายอมแพ้


   "ถ้าคิดจะคุยกันดีๆ ก็อย่าทำอีก" ภูธนาคาดโทษด้วยสายตาก่อนจะหันไปจัดการจานตรงหน้าอีกครั้ง


   "ผมฝากคุณดูแลน้องภูด้วยนะ ผมมีธุระต้องไปทำ คงต้องรบกวนด้วยนะครับ"


   "ได้ครับ แล้วพรุ่งนี้เช้าผมจะไปส่งน้องภูให้เอง" ภูธนาบอกทั้งที่ยังไม่ละมือจากการล้างจาน


   "สุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ทำตัวให้ว่างด้วยนะครับ ผมจะพาคุณกับน้องภูไปค้างต่างจังหวัดสัก 2-3 วัน"


   "ผมไม่ไปครับ ถ้าคุณจะพาน้องภูไปเที่ยวก็พาไปเลย"


   "ตกลงตามนี้นะครับ" บริพัตรพูดทิ้งท้ายก่อนจะก้าวออกจากครัวไป  ร่ำลาหลานชายตัวน้อยที่กำลังเล่นของเล่นอยู่

   "ผมไม่ไปนะคุณพัต" ภูธนารีบก้าวตามออกมาทันชายหนุ่มที่กำลังจะพ้นประตูไป


   "ไปเหอะ อยากให้ไป แล้วผมจะมารับแต่เช้านะครับ" บริพัตรรีบปิดประตูโดยเร็วกลัวว่าคนหลังประตูจะท้วงอะไรขึ้นมาอีก


   'ค่อนข้างจะหวงตัว'


   และการเรียนรู้ภูธนาของบริพัตรนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว


   วันหยุดที่ผ่านมาทำเอาภูธนาแทบเสียศูนย์ ความรู้สึกมันผสมปนเปกันไปหมด ผู้ชาย 2 คนจะรักกันงั้นเหรอ


   ไม่ใช่หรอก


   แล้วบริพัตรมาบอกว่ากำลังจะจีบเขา เนี่ยนะ


   ยิ่งไม่ใช่


   เป็นไปไม่ได้ อาหนุ่มคนนี้คงอยากจะเล่นอะไรแผลงๆ เป็นแน่


   เข้าใจว่าสมัยนี้สังคมเปิดกว้างสำหรับคู่รักที่เป็นชายรักชายก็จริง ภูธนามั่นใจว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดแม้แต่จะสนใจผู้ชายด้วยกันเอง แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไม่ว่าจะเวลาไหน ภูธนาก็เฝ้าสนใจแต่บริพัตร ถึงจะโมโหที่ชายหนุ่มหลบหน้าหลบตาไปก็เถอะ แค่เจอหน้าอีกครั้ง หัวใจก็เต้นแรง



   สุดสัปดาห์นี้จะพาเขากับหลานไปค้างต่างจังหวัด นี่คิดว่าเขาเป็นคนอย่างไร คิดจะชวนไปไหนก็ไปได้ง่ายๆ เลยเหรอ



   ไม่ไปหรอก



   "ธนา ธนา นี่ ใจลอยไปถึงไหน" เสียงจอมเดชเรียกเสียงดังทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์


   "พี่จอมครับ เสาร์อาทิตย์นี้ผมขอหยุดซ้อมได้มั้ยครับ" ภูธนาสวนคำถามขึ้นมา


   "เอ้า ไม่ได้ยินที่พี่ถามเลยเหรอ"


   "พี่ว่ายังไงนะครับ" คำถามกลับของชายหนุ่มทำให้จอมเดชส่ายหน้าเบาๆ


   "พี่ถามว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยได้นอนเหรอ ดูเหมือนคนอดนอน"


   "ก็ไม่เชิงหรอกครับ" ก็ไม่เชิงได้ยังไง ที่นอนไม่ค่อยหลับ ก็เพราะคนที่มาชวนไปเที่ยวด้วยไม่ใช่เหรอไง แต่จะให้พูดไปตรงๆ พี่จอมได้ งง กันพอดี


   "พี่เห็นว่าช่วงนี้นายน่ะ มีงานเข้ามาค่อนข้างเยอะ กลัวจะจัดเวลาซ้อมได้ไม่ค่อยดี พี่เลยให้ผู้จัดการของดิศ มาช่วยก่อนที่จะหาผู้จัดการคนใหม่ได้"


   ก๊อก ก๊อก


   "มาพอดีเลย เข้ามาเลย คุณกันต์" จอมเดชอนุญาตให้คนข้างนอกเข้ามา


   "สวัสดีครับ คุณจอม" ผู้มาใหม่ยกมือไหว้คนสูงวัยกว่า


   "สวัสดี คุณกันต์ ไม่เจอกันนานเลยนะช่วงนี้ นั่งก่อนสิ"


   "ก็แล้วแต่งานของลูกค้าน่ะครับ"


   "ผมมีงานให้ดูแลลูกค้าเพิ่มคนนึงน่ะ ภูธนา นี่คุณชนกันต์  (ชะ-นะ-กัน) คุณกันต์ นี่คุณภูธนา นักแข่งคนล่าสุดของบริษัทเรา"


   "สวัสดีครับ" 2 หนุ่มทักทายขึ้นมาพร้อมกัน


   "คุณกันต์ อาจจะต้องเหนื่อยหน่อยเพราะธนาน่ะเขาเป็นดาราด้วย เพราะงั้นก็จะมีงานด้านบันเทิงด้วย พอจะดูแลไหวมั้ย"


   "ไหวครับ"


   "ถ้าไม่ไหว ก็บอกละกัน ระหว่างนี้ผมจะรีบหาผู้จัดการส่วนตัวให้ธนา คุณจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก"


   "ไม่เป็นไรครับ คุณจอม แค่เพิ่มคุณธนามาอีกคนผมก็ดูแลได้ครับ"


   "แต่เจ้าดิศเองก็คอยแต่จะสร้างปัญหาให้คุณเยอะอยู่แล้วนะ" จอมเดชบอกอย่างเป็นห่วง เพราะรู้จักกิตติศัพท์ของนักแข่งในสังกัดดี


   "ผมยินดีครับ จะได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง"


   "ถ้าอย่างนั้น เอาเป็นว่าช่วงนี้ผมฝากดูแลธนาไปก่อนละกันนะ" จอมเดชกล่าวสรุปอีกครั้ง


   "ได้ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ คุณธนา"


   "ทางผมก็เช่นกันครับ คุณกันต์"


   "เดี๋ยวผมต้องไปจัดการธุระต่อ คุณ 2 คนก็รู้จักทำความสนิทสนมกันไว้ล่ะ อ้อ ธนา แล้วเรื่องที่จะขอหยุดซ้อมน่ะ ให้คุณกันต์เขาดูตารางให้เลย" จอมเดชทิ้งท้ายก่อนจะออกจากห้องไป


   "เริ่มจากตรงไหนก่อนดี งั้นเริ่มจาก เราไปทานข้าวเที่ยงกันดีมั้ยครับ จะได้คุยรายละเอียดด้วย" ชนกันต์เอ่ยปากชวนก่อน


   "ตกลงครับ"


   ร้านอาหารที่ชนกันต์เลือกมา เป็นร้านอาหารไทยที่ตกแต่งเรียบง่าย ตั้งอยู่ในบรรยากาศรอบๆ ของสวนทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย


   อาหารทยอยมาเสิร์ฟจนครบ ชายหนุ่ม 2 คนเริ่มรับประทานอาหารทันที


   "เห็นคุณจอมพูดว่า คุณธนาจะขอหยุดซ้อมใช่มั้ยครับ"


   "ครับ เสาร์อาทิตย์นี้ พอจะเป็นไปได้มั้ย" ภูธนาหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มหลัง จากอาหารตรงหน้าหมดเรียบร้อยแล้ว


   "เท่าที่ผมดูตารางของคุณในตอนนี้ วันเสาร์ มีถ่ายแบบให้นิตยสารอยู่เล่มนึง"  ชนกันต์เปิดแท็ปเล็ตที่หยิบออกมาจากกระเป๋าเป้เพื่อตรวจเช็คตารางทำงานของภูธนา


   "อ่า อย่างนั้นเหรอครับ"


   "ไม่ต้องกังวลไปหรอก แต่คุณธนาอาจจะต้องเหนื่อยเพิ่มนิดนึงนะครับ เดี๋ยวผมจะโทรขอแจ้งเลื่อนวันถ่ายเข้ามาเร็วหน่อย" ชนกันต์ยิ้มเหมือนรู้อะไรบางอย่าง


   "มีอะไรเหรอครับ"


   "นัดแฟนไว้เหรอครับ บอกผมตรงๆ ได้เลย เรื่องรักษาความลับของคนที่ผมดูแลก็คืองานของผมอย่างหนึ่งเหมือนกัน"


   "ไม่ใช่ครับ พอดีจะพาหลานไปต่างจังหวัดต่างหาก" ภูธนารีบแก้ตัวออกมาทันทีด้วยเกรงว่าชายหนุ่มจะเข้าใจผิด


   "ถ้าพาหลานไปเที่ยว ไม่เห็นจะต้องหน้าแดงแบบนี้เลยนี่ครับ หรือว่าหลานคนนี้จะโตแล้ว"


   "ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ หลานผมเพิ่งจะ 3 ขวบกว่าเองครับ"


   "ไม่ล้อแล้วล่ะครับ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ผมไม่ได้ว่าอะไร แต่อยากจะเตือนในฐานะคนที่ทำงานร่วมกัน ตอนนี้คุณธนาเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นแล้ว หากคุณมีแฟน หรือมีคนไปเห็นว่าคุณไปกับใคร อาจจะเป็นข่าวได้ แล้วถ้าเกิดมีข่าว ผมจะได้แก้ไขได้ทันครับ"


   "จริงๆ ก็มีอีกคนไปด้วยครับ เขาเป็นอาของหลาน รวมผมด้วยก็เป็น 3 คน" ภูธนาอ้อมแอ้มบอกเสียงไม่ดังนัก เพราะการที่จะต้องพูดถึงเรื่องส่วนตัวไม่ใช่สิ่งที่ภูธนาถัดแต่อย่างใด


   "ครับ เที่ยวให้สนุกนะครับ" ชนกันต์ไม่พูดอะไรอีก กลับส่งรอยยิ้มที่จริงใจในความรู้สึกของภูธนา


   ภูธนาคิดว่าคงทำงานร่วมกันกับชนกันต์ได้ไม่ยากนัก เพราะดูท่าทางเจ้าตัวเป็นคนที่ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรได้ไม่ยากนัก และดูจะเป็นคนที่ค่อนข้างอารมณ์ดีไม่น้อยเลยทีเดียว


   "ขอโทษนะครับ จะว่าอะไรมั้ย ดูไป คุณกันต์ดูยังอายุไม่เยอะเลยนะครับ สำหรับการเป็นผู้จัดการดูแล" ภูธนาเอ่ยถามอย่างเกรงใจ


   "ใครๆ ก็คงคิดว่าผมอายุน้อยแหละครับ เห็นแบบนี้ จริงๆ แล้วผมอายุ 35 เข้าไปแล้วนะครับ ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้าย" ผู้จัดการหนุ่มหัวเราะกับคำถามที่เจ้าตัวคงตอบอยู่บ่อยๆ


   "จริงเหรอครับ หน้าเด็กมากเลย ถ้างั้นผมควรเรียกพี่จะดีกว่ามั้ยครับ พอรู้แบบนี้แล้วกระดากที่จะเรียกว่าคุณเลยน่ะครับ"


   "แล้วแต่คุณธนาสะดวกเลยครับ ผมน่ะยังไงก็ได้"


   "ถ้างั้นเรียกผมว่าธนานะครับ พี่กันต์ ฝากเนื้อฝากตัวอีกครั้ง"




   "ทานให้อร่อยนะคะ พี่พัต
               จาก พลอย"




   "พักผ่อนเยอะๆ นะคะ
               จาก เชอร์รี่"




   มือหนาหยิบถุงขนมที่มีโน้ตบอกขึ้นมาอ่านทีละถุงๆ ก่อนที่จะเอาไปไว้ที่มุมโต๊ะ เพื่อให้ไม่เกะกะในเวลาทำงาน


   " ตั้งแต่ร่ายคาถาเงาะถอดรูป เนื้อหอมจริงๆ เลยน้า" มนัธญาหรือญาญ่า หัวหน้าของชายหนุ่มเดินมาทักทายด้วยความหมั่นไส้ในความฮอทของชายหนุ่ม


   "พี่ญาญ่าก็พูดเกินไป"


   "ทำมาพูด พี่ญาญ่าก็พูดเกินไป พี่รู้นะพัต ว่านายก็รู้ตัวเองดีอยู่แล้ว" มนัธญาล้อเลียนเสียงนั้นเพราะรู้ว่าลูกน้องคนนี้แกล้งพูดถ่อมตัว


   "คนจริงต้องไม่พูดสิครับ"


   " นี่ไปตัดผมมาด้วยใช่มั้ย ก็ดีนะ เข้ากับหน้าเลย"


   "พอไม่มีแว่นแล้ว ผมมันก็เลยทิ่มตา รำคาญเลยไปตัดน่ะครับ"


   ทรงผมที่บริพัตรตัดมาใหม่ไม่ได้เป็นทรงพิเศษอะไรมากนัก จากผมที่ค่อนข้างยาวก็ตัดให้สั้นขึ้นเท่านั้น แต่ก็ทำให้ใบหน้าที่โดดเด่นอยู่แล้ว ยิ่งเห็นชัดเพิ่มขึ้นไปอีก


   "พี่ว่าแบบนี้ดีแล้วล่ะ ตั้งแต่นายถอดแว่น เปลี่ยนทรงผม โอ้ยสาวๆ แผนกนั้นแผนกนี้ ตาละห้อยกันเชียว เสน่ห์แรงจริงๆ นะพ่อคุณ"


   "เสียงดังเลยใช่มั้ยพี่ ขอโทษด้วยครับ"


   "ไม่ต้องมาขอทง ขอโทษหรอกย่ะ พี่รู้ว่านายไม่ได้อยากขอโทษจากใจจริง"


   "พี่ญาญ่านี่รู้ทันผม พอๆ กับพี่ดินเลยนะ"


   "พี่รู้จักนายมานานเท่าไหร่แล้ว พัต เรื่องแค่นี้เอง เออจะว่าไปแล้ว พวกที่คอยกลั่นแกล้งนายก็เงียบไปด้วยเหมือนกันนะ" มนัธญาพูดตามความรู้สึก


   "ก็จริงครับ รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน ทำไมงานดูน้อยๆ ลง"


   "ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยก็ดูเป็นสัญญาณที่ดีล่ะมั้งนะ"


   "แล้วพี่มีอะไรอีกหรือเปล่าครับ ผมจะได้ทำงาน" บริพัตรถามเพราะเจ้าตัวยังไม่ได้เริ่มทำงานเสียที ชายหนุ่มไม่อยากกลับบ้านช้า เพราะอยากกลับไปเล่นกับหลานตัวน้อยที่บ้าน


   "พี่เป็นหัวหน้าแกนะ กล้าไล่กันได้ยังไง เสียการปกครองหมด"


   "ก็ถ้างานผมไม่เสร็จก็แย่สิ ผมไม่อยากกลับบ้านช้า"


   "ย่ะ พ่อคนขยัน พี่จะไม่ถามหรอกนะว่าทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่พัตคนเดิมนั่นแหละ พี่ว่าดีที่สุดแล้ว" มนัธญาตบบ่าน้องชาย 2-3 ที ก่อนจะเดินกลับไปทำงานของตน



   ช่วงกลางสัปดาห์ ชนกันต์ไม่ได้พูดโกหกเลยที่ว่าตัวเขาเองจะต้องเหนื่อยขึ้นนิดหน่อย แต่แค่เหมือนจะพูดไม่ครบก็เท่านั้นว่าจริงๆ แล้ว โคตรเหนื่อย เลยต่างหากล่ะ


   ชนกันต์เลื่อนนัดถ่ายแบบนิตยสารให้มาถ่ายเร็วขึ้นได้ ตารางงานที่ดูพอเหมาะพอเจาะกำลังดีของภูธนาจึงถูกบีบแน่น เพื่อให้เสร็จก่อนวันเสาร์ตามที่ชายหนุ่มได้ขอลาไว้ล่วงหน้า


   หลังจากวันที่บริพัตรพาน้องภูมาที่ห้องพักของเขาแล้ว ชายหนุ่มก็หายหน้าไป

 
   ที่บอกว่าไปต่างจังหวัดน่ะ ล้อเล่นหรือเปล่า


   ภูธนาครุ่นคิด พลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาทั้งคืน


   "ลุงธนาฮะ ลุงธนา น้องภูมาแล้วฮะ ลุงธนา" เสียงอะไรโหวกเหวกแต่เช้ากัน ภูธนารู้สึกตัวตื่น พยายามเงี่ยหูฟังเสียงนั้นอีกครั้ง


   "ลุงธนาฮะ น้องภูมาแล้ว ลุงธนาเปิดประตูสิฮะ ลุงธนา" เสียงทุบประตูไม่ดังนักเมื่อเทียบกับเสียงที่ตะโกนมา


   กว่าประสาทสัมผัสจะทำงานเต็มตัว ภูธนาก็จำเสียงนั้นได้ว่าเป็นของหลานชาย จึงรีบลุกออกไปโดยทันที


   ชายหนุ่มรีบเปิดประตูโดยแรง ร่างเล็กของหลานชายจึงเซล้มลงเพราะเจ้าตัวตั้งท่าจะเคาะประตูอีกครั้ง


   "โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะครับ ลุงขอโทษนะ น้องภู ลุงตื่นสายไปหน่อย" ภูธนารีบก้มไปอุ้มหลานชายขึ้นมาเพื่อปลอบขวัญ


   "ทำไมลุงธนายังไม่แต่งตัวอีกล่ะครับ" อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าประตู ทำให้ภูธนาเงยหน้าขึ้นมอง


   "อ้าว คุณ"


   "อ้าว คุณ อ้าวอะไรครับ ผมบอกว่าจะมารับแต่เช้า"


   "ก็ไม่รู้ว่าคุณจะมาจริงๆ หรือเปล่า" ภูธนาบอก


   "ผมบอกว่าจะมาก็ต้องมาสิ"


   "จะไปรู้คุณได้ยังไง ว่าคุณพูดจริงหรือเปล่า"


   "ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องแจ้งให้ทราบว่า คนอย่างบริพัตรเนี่ย พูดคำไหนคำนั้นนะครับ ขอคุณลุงธนา โปรดจงเข้าใจ"


   "ผมไปเก็บของก่อน ฝากดูน้องภูให้หน่อยครับ" ภูธนาส่งหลานชายให้กับอาหนุ่มก่อนจะลับหายเข้าไปในห้องนอน


   รถยนต์คันหรูมุ่งหน้าออกต่างจังหวัด ภูธนาถามอีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอกว่าไปไหน จนต้องแอบสังเกตไปตลอดทางจึงพบว่าเข้าสู่เมืองกาญจนบุรีแล้ว


   เมื่อผ่านตัวเมืองออกมาก็พบกับธรรมชาติที่สุดลูกหูลูกตา ที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก หันไปมองเด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างหลัง ตอนนี้หลับไปเรียบร้อยเสียแล้ว


   รถคันใหญ่เลี้ยวเข้าสู่รีสอร์ทใหญ่แห่งหนึ่ง ภูธนาอ่านป้ายชื่อรีสอร์ทตรงทางเข้า 'เกสต์เฮาส์ลุงชาคร' ก่อนจะหยุดลงทางเข้าของตัวล็อบบี้รีสอร์ท


   "ลงมาเลยคร้าบ คุณลุง" บริพัตรเปิดประตูด้านหลังแล้วค่อยๆ อุ้มเด็กน้อยที่ยังหลับสนิทอยู่


   ภูธนาก้าวลงมาจากรถด้วยความรู้สึกที่สดชื่นด้วยบรรยากาศโดยรอบ เสียงน้ำที่ไหลผ่านอยู่ไม่ไกล ต้นไม้เขียวขจีล้อมรอบ ด้านหลังเต็มไปด้วยภูเขาที่  เรียงรายมากมายหลายลูก   


   ชายหนุ่มสูดหายลมหายใจลึกให้เต็มปอด ก่อนที่จะเดินตามผู้นำในการเดินทางครั้งนี้


   "สวัสดีค่ะ คุณพัต แหม พาใครมาด้วยคะ" ผู้จัดการสาวรีบรุดหน้าออกมาต้อนรับด้วยตนเองเมื่อเห็นว่าแขกที่มาเยือนเป็นใคร


   "คุณศรีครับ นี่คุณธนากับน้องภู หลาน ของผมเอง" บริพัตรแนะนำแขกหน้าใหม่อย่างเรียบง่าย


   "สวัสดีค่ะ คุณธนา ดิฉันเป็นผู้จัดการของที่นี่ ชื่อ ศรีวราค่ะ เรียกดิฉันว่าศรี ได้เลยค่ะ" ผู้จัดการสาวยกมือไหว้ต้อนรับแขกคนสำคัญ


   "สวัสดีครับ คุณศรี" ภูธนายกมือไหว้ตอบกลับไปเช่นกัน


   "เชิญด้านในก่อนค่ะ" ศรีวราผายมือก่อนที่จะเดินนำทางพาแขกเข้าไปในตัวรีสอร์ท


   'มารยาทดี ไม่ถือตัว'


   และการกระทำของชายหนุ่มไม่ว่าจะอิริยาบทไหนๆ ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของบริพัตรได้เลย



-----

มาต่อแบบเร่งรีบค่ะ คนแต่งโดนเลื่อนอยู่ต่อที่แดนไกลจนถึงสิ้นเดือนนะคะ
คงจะห่างหายต่อไปอีก อย่าลืมกันนะคะ >< ต้องขออภัยด้วยค่ะ

 :z3: :z3:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
เย่ มาแล้ว ดีใจ เค้าจะ/ด้ใกล้ชิดกันละ อิอิ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
บทที่ 15


   "เชิญนั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะให้พนักงานเอาน้ำมาให้"


   "ขอบคุณครับ" ภูธนากล่าวขอบคุณและนั่งลงบนโซฟาในส่วนบริเวณที่รับรองแขก


   "คุณพัตคะ ดิฉันขอรบกวนเวลาสักครู่ค่ะ" บริพัตรจึงฝากหลานชายที่กำลังหลับอยู่ให้นอนหนุนตักภูธนาแทน


   ศรีวราเดินนำเจ้าของรีสอร์ท เพื่อออกมาคุยเป็นการส่วนตัว


   "มีเรื่องอะไรครับ"


   บริเวณที่ศรีวราเลือกนั้นเป็นสระว่ายน้ำค่อนข้างมีขนาดใหญ่ มีม่านน้ำตกตั้งอยู่กลางสระว่ายน้ำทำให้โดดเด่นอยู่ไม่น้อย


   "เรื่องห้องพักน่ะค่ะ พอดีสัปดาห์นี้ลูกค้าจองเข้ามาเต็มเลยค่ะ ดิฉันเลยไม่มีห้องเหลือพอที่จะเตรียมให้คุณธนาได้ทันค่ะ ดิฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ คุณพัต" ศรีวราบอกด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างลำบากใจไม่น้อย


   "ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต่างหากที่ควรจะขอโทษ เพราะไม่ได้โทรมาบอกล่วงหน้า" ชายหนุ่มกำลังคิดเพื่อหาทางออก


   "ดิฉันคิดว่าน่าจะให้คุณธนาพักที่ห้องคุณพัตนะคะ" ผู้จัดการสาวออกความเห็น


   "หืม ไม่ได้หรอกครับ ห้องเล็กเกินไปที่จะอยู่ด้วยกัน 3 คน ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปนอนที่ห้องพักของคนงานในรีสอร์ทแทนก็ได้ครับ"


   "ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ดิฉันหมายถึง ห้องของคุณมีอีกห้องที่เชื่อมต่อกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ"


   "แต่ห้องนั้นไม่ได้เปิดใช้งานนานแล้วนะครับ"


   "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะให้เด็กเข้าไปทำความสะอาดให้เอี่ยมอ่องเลยค่ะ คุณพัตวางใจได้เลยค่ะ"


   "ขอบคุณคุณศรีมากนะครับ ผมก็ลืมไปเลยว่ายังมีห้องที่ติดกันอยู่"


   "ยินดีค่ะ แต่กลัวว่าคุณธนาจะรู้สึกไม่ดีเท่านั้นเองค่ะ คงไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ"


   "เรื่องนั้น เดี๋ยวผมจัดการเองครับ ไม่ต้องห่วง คุณธนาเขาไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร"


   "ถ้าอย่างนั้น ดิฉันขอตัวไปจัดห้องให้คุณธนาเลยนะคะ"


   "เชิญครับ" แก้ปัญหาได้เรียบร้อย บริพัตรเดินกลับเข้าไปหาคุณลุงและหลานชายที่เวลานี้รู้สึกตัวตื่นแล้ว


   "ว่าไงครับ คนเก่ง หิวมั้ย" บริพัตรถามหลานชายเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวมองชายหนุ่มตาแป๋ว


   "หิวครับ"


   "น้องภูอยากทานอะไรครับ"


   "น้องภูอยากกินไส้กรอกอันใหญ่ๆ เลย" เด็กมือยกมือกว้างเพื่อบรรยายขนาดของไส้กรอกที่ตนอยากทาน


   "ได้เลย เดี๋ยวอาจัดให้เลย"


   "ขอบคุณฮะ อาพัตเตอร์"


   "แล้วคุณลุงล่ะครับ หิวหรือเปล่า"



   สายตาที่มองเด็กน้อยเมื่อสักครู่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนปนเอ็นดู แต่ดวงตาคู่เดิมหากเปลี่ยนเป้าหมายการมองทำไมทำให้ภูธนารู้สึกเหมือนทำอะไรไม่ถูกไปเสียอย่างนั้น



   "นิดหน่อยครับ"


   "ถ้างั้นทานเหมือนน้องภู รองท้องไปก่อนละกันนะครับ เดี๋ยวมื้อเย็นจะทานอะไรไม่ลงเอา"


   "ขอบคุณครับ"


   "เพื่อลุงธนา ผมยินดีครับ ผมจะไปสั่งอาหารให้นะ คุณพาหลานไปตรงมุมนั้นก่อนนะครับ วันนี้บรรยากาศค่อนข้างเย็นสบาย จะได้สดชื่น"



   ตรงมุมนั้นของบริพัตรคือมุมลานอาหารที่เป็นระเบียงกว้างยื่นยาวออกไปจากตัวอาคาร ทำให้มองเห็นทิวทัศน์โดยรอบได้ชัดเจน พืชพันธุ์ไม้สีเขียว ทำให้รู้สึกสบายตา


   "อาหารมาแล้วครับ" บริพัตรบริการยกอาหารมาเสิร์ฟด้วยตนเอง แต่ด้านหลังของชายหนุ่มก็มีพนักงานอีก 1 คนที่ยกน้ำและนมสดแก้วโตมาด้วย


   "รอนานมั้ยครับ น้องภู" บริพัตรถามเด็กน้อยพลางนั่งลงคั่นกลางระหว่างหลานชายและคุณลุง


   "ไม่นานฮะ" เด็กชายตัวน้อยหันมายิ้มกว้างก่อนจะเริ่มใช้ส้อมจิ้มไส้กรอกที่หั่นเป็นคำรอไว้แล้ว


   "ทานเยอะๆ นะครับ" บริพัตรลูบผมเด็กชายด้วยความเอ็นดู


   "ท่าทางคุณดูคุ้นเคยกับที่นี่นะครับ"  ภูธนาถามออกมาเพราะเห็นว่าใครที่เดินผ่านมาเจอบริพัตรต่างก็หยุดทักทายและให้ความเคารพชายหนุ่มด้วยกันทั้งหมด


   "ผมมาที่นี่บ่อยๆ"


   "คงต้องบ่อยมากสินะครับ ถึงมีคนรู้จักเยอะขนาดนี้" ภูธนาอดจะค่อนขอดไม่ได้ เมื่อคิดว่าทุกสุดสัปดาห์ที่ชายหนุ่มหายไปนั้น น่าจะมาที่สถานที่แห่งนี้แน่นอน


   "ถ้าไม่ติดอะไร ก็มาทุกสัปดาห์แหละครับ"


   "ชอบอะไรที่นี่เหรอครับ"


   "ชอบผู้หญิงที่นี่ครับ" บริพัตรตอบหน้าทะเล้น


   "อ้อ เหรอครับ" คนได้ยินคำตอบถึงกับอยากจะกลับทันที


   "ล้อเล่นครับ คุณนี่ตลกจริงๆ เลย แสดงความรู้สึกทางสีหน้าออกมาซะชัดเลย"


   "ผมเปล่าสักหน่อย" ภูธนาไม่เชื่อว่าตนเองจะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกไปชัดเจนขนาดนั้น เพราะปกติแล้วชายหนุ่มควบคุมอารมณ์และสีหน้าของตนเองได้ดีทีเดียว


   "คงเป็นเพราะว่าผมได้รับสิทธิพิเศษนี้สินะครับ"


   "อย่าคิดเอง เออเองได้มั้ยครับ"


   "ลุงธนานี่น่ารักดีนะครับ" อยู่ๆ บริพัตรที่จ้องหน้าภูธนาก็พูดขึ้นมา


   "ครับ?"


   "จริงมั้ยครับ น้องภู ลุงธนาน่ารักมั้ย" บริพัตรหันไปถามเด็กน้อย


   "น่ารักฮะ ลุงธนาน่ารักที่สุดเลย"


   "อาพัตก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน"



   คำชมตรงๆ ของบริพัตร ทำให้ภูธนาคิดอะไรแทบไม่ออก ไม่เคยมีใครมาชมว่าเขาน่ารักแบบนี้ เพราะเขาเป็นผู้ชาย การที่มีใครมาชมแบบนี้ มันไม่รู้สึกแปลกๆ ไปหน่อยเหรอ


   "ชักไปกันใหญ่แล้ว" ภูธนาหวังให้เปลี่ยนเรื่องการสนทนานี้ไปซะ


   "ไม่ล้อแล้วครับ แต่ที่บอกว่าคุณน่ารักน่ะ ผมพูดจริงนะ"


   แน่ะ ยังวกเข้าเรื่องเดิมอยู่อีก


   "เอ่อ.."


   "คุณธนาชอบที่นี้มั้ย" ในที่สุดบริพัตรก็ยอมเปลี่ยนหัวข้อการคุย


   "ผมยังเห็นไม่ทั้งหมด แต่เท่าที่เห็น ผมชอบมากเลยครับ"


   "ดีใจที่คุณชอบ"


   "คุณพัตรู้จักเจ้าของรีสอร์ทที่นี่มั้ย"


   "รู้จักครับ ทำไมเหรอ"


   "ถ้าเขามา คุณเรียกผมหน่อยนะ" ภูธนาบอก


   "ถ้าเขามาเหรอ คุณธนาจะทำอะไร"


   "ไม่บอกหรอกครับ ต้องบอกกับเจ้าของเอง"


   "บอกให้ผมฟังก็ไม่ได้เหรอ ถ้าเจ้าของไม่มาล่ะ"


   "ถ้าไม่มา ก็อดครับ ไว้เจอเมื่อไหร่ ตอนนั้นก็รู้เองล่ะครับ"


   "ทำเป็นมีลับลมคมใน" บริพัตรอยากรู้แต่เขาก็ยังไม่อยากบอกว่าใครกันที่เป็นเจ้าของรีสอร์ทที่แห่งนี้


   "ไม่ใช่ความลับอะไรหรอกครับ แค่คิดว่าเรื่องพวกนี้ควรจะบอกกับคนที่สร้างมันมาให้ได้ฟังก่อนยังไงล่ะครับ"


   "อ้อ เกือบลืม เรื่องห้องพักน่ะครับ คุณศรีบอกว่าสัปดาห์นี้ห้องจองเต็มหมดแล้ว คุณศรีก็เลยจัดห้องติดกันไว้ให้คุณกับผม คงไม่ว่าอะไรนะครับ"


   "แค่ห้องติดกัน ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยครับ ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว" บริพัตรมองคนที่บอกว่า 'ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว' แล้วก็อมยิ้มน้อยๆ ที่เจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องราวอะไรเสียเลย


   "ยิ้มอะไรครับ"


   "เปล่าครับ เดี๋ยวผมจะรอดูว่าถ้าเห็นห้องแล้วจะยังไงก็ได้อยู่อีกหรือเปล่า"


   "คุณพัต มีอะไรก็บอกมาเลยครับ" ภูธนาเสียงเข้มขึ้นเพราะรู้สึกเหตุการณ์ชักไม่น่าไว้วางใจ


   "ไม่มีอะไรนอกจากที่บอกไปทีแรกเลยครับ ถ้าทานอิ่มแล้ว เราลงไปเดินเล่นกันมั้ย" บริพัตรรีบเบนความสนใจก่อนที่คนข้างๆ จะพาลเอาได้


   "ก็ได้ครับ จะได้เดินดูรอบๆ ด้วย" ภูธนาจัดการดูแลหลานชายหลังมื้ออาหารนี้ให้เรียบร้อย และอุ้มพาลงไปด้านล่าง


   "น้องภู วิ่งดีๆ นะครับ ระวังจะหกล้ม" เสียงภูธนาตะโกนบอกหลานชายตัวน้อย เมื่อลงมาถึงสนามรอบรีสอร์ท ภูบดินทร์ก็พยายามที่จะลงจากอ้อมแขนของชายหนุ่ม เพื่อไปวิ่งเล่นให้เต็มที่


   "ลุงธนา จะห่วงหลานไปหรือเปล่า"


   "นี่คุณ จะไม่ห่วงได้ยังไง ถ้าหกล้มลงไปล่ะ"


   "ถ้าแกไม่ระวังจนหกล้ม ก็ต้องปล่อยให้รู้จักความเจ็บเสียบ้าง คุณจะคอยปกป้องแกตลอดเวลาไม่ได้"


   "คุณพัต" ภูธนาเสียงแข็ง เริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมานิดหน่อย เมื่อถูกติเตียนเรื่องการดูแลหลานชาย


   "เชื่อผมเถอะ ถ้าเรามัวแต่กางปีกโอบอุ้มเด็กน้อยไปเรื่อยๆ แกจะพึ่งพาตนเองไม่ได้"



   2 หนุ่ม คุณลุงและคุณอา เดินไปด้วยกันเรื่อยๆ โดยไม่มีบทสนทนาใดๆ สายตาของภูธนาคอยแต่จะเป็นกังวลด้วยเกรงว่าภูบดินทร์ หลานชายจะได้รับอุบัติเหตุหรืออันตรายใดๆ แต่ก็ไม่สามารถจะแสดงออกนอกหน้าได้



   "เริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวเราเข้าที่พักกันเถอะ ป่านนี้คุณศรีคงจัดการห้องของคุณเรียบร้อยแล้วล่ะ" บริพัตรบอกเมื่อเห็นว่าน่าจะได้เวลาสมควรแล้ว


   "คุณพัตคะ อยู่นี่เอง ดิฉันเตรียมห้องเรียบร้อยแล้วค่ะ เชิญคุณพัตและคุณธนาไปที่ห้องพักได้เลยค่ะ"


   "ขอบคุณครับคุณศรี" บริพัตรกล่าวขอบคุณผู้จัดการสาวที่ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี


   "กระเป๋าคุณพัตกับคุณธนาล่ะคะ ดิฉันจะได้ให้เด็กยกไปให้"


   "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมยกไปกันเอง" บริพัตรบอก


   "ถ้างั้น ตามดิฉันมาทางนี้ได้เลยค่ะ"


   "คุณพาหลานไปที่ห้องก่อน เดี๋ยวผมจะไปยกกระเป๋าให้" บริพัตรบอกเสร็จก็เดินออกไปทางรถยนต์ที่จอดอยู่


   "ขอบคุณครับ" ภูธนาบอกตามหลังคนที่เดินออกไป ส่วนชายหนุ่มก็พาหลานชายเดินตามผู้จัดการศรีวราไปบ้างเหมือนกัน


   "ห้องนี้ล่ะค่ะ" หญิงสาวไขกุญแจห้องพักก่อนจะเดินนำเข้าไป


   "ห้องนี้เหรอครับ" ภูธนากวาดตามองรอบๆ ห้อง ลักษณะของห้องเหมือนมีคนมาอาศัยอยู่เป็นประจำ ข้าวของหลายอย่างดูไม่เหมือนห้องพักตามโรงแรมหรือรีสอร์ททั่วไป


   "ไม่ใช่ค่ะ ห้องนี้ต่างหากค่ะ เพียงแต่ประตูหน้าห้องที่คุณธนาจะพักนั้นปิดตายน่ะค่ะ เลยจะต้องเข้าจากห้องนี้แทน"


   ศรีวราเดินไปยังประตูที่ปิดอยู่ภายในห้องก่อนจะเปิดประตูเพื่อพาลุงกับหลานเข้าไปพัก


   "ห้องนี้แหละค่ะ ห้องอาจจะมีกลิ่นอับนิดหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะคะ ห้องพักของเราเต็มจริงๆ" ผู้จัดการขอลุแก่โทษเพราะเจ้าตัวรู้สึกถึงความบกพร่องในการบริการ


   "ไม่เป็นไรครับ แล้วคุณพัตล่ะ" ภูธนาถามถึงห้องพักของอีกฝ่าย หากผู้จัดการสาวยืนยันว่าห้องพักเต็มแล้วชายหนุ่มอีกคนล่ะจะไปนอนที่ไหน เพราะเตียงที่จัดมานั้นแค่เพียงพอให้ตัวเขากับหลานนอนเพียงเท่านั้น


   "ก็ห้องที่คุณธนาเดินผ่านเข้ามาไงคะ ห้องนั้นเป็นห้องพักประจำของคุณพัตค่ะ"


   "ห้องพักประจำเหรอครับ" ภูธนาเอ่ยทวนคำตอบ


   "ใช่ค่ะ ปกติคุณพัตจะพักที่ห้องติดกันนี่แหละค่ะ ส่วนห้องนี้ไม่ได้เปิดใช้งานมานานแล้วค่ะ"


   "คุณพัตจองห้องที่นี่ไว้ตลอดเลยครับ" ภูธนาเริ่มคิดอย่างงงๆ เพราะชายหนุ่มไม่รู้ราคาที่พักแต่ถ้าจองประจำนั่นหมายถึงจองทิ้งไว้ระยะยาวเลยใช่หรือไม่


   บริพัตรคงชื่นชอบที่นี่มากจริงๆ ถึงเช่าทิ้งไว้ระยะยาวแบบนี้


   "ไม่ใช่จองหรอกค่ะ ห้องนี้เป็นของคุณพัตค่ะ ถ้าคุณพัตมาที่นี่ก็จะพักที่ห้องนี้แหละค่ะ"


   "ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คือคุณพัตซื้อห้องนี้ไว้หรือยังไงครับ" สีหน้างงงวยของภูธนาทำเอาผู้จัดการสาวหลุดขำ


   "คุณธนาล้อดิฉันเล่นหรือเปล่าคะ คุณพัตจะซื้อห้องไว้ได้ยังไงกันล่ะคะ ในเมื่อคุณพัตเป็นเจ้าของที่นี่เอง"


   "ครับ?"


   "กระเป๋ามาแล้ว ลุงธนา รับไปสิครับ" ภูธนารับกระเป๋ามาอย่างงงๆ พูดถึงเจ้าตัว เจ้าตัวก็มาพอดี


   "ดิฉันไม่รบกวนแล้วนะคะ ถ้าคุณธนาสงสัยก็ถามเจ้าของเขาเองได้เลยค่ะ พักผ่อนให้สบายนะคะ ขาดเหลืออะไรเรียกดิฉันได้เลยนะคะ" หญิงสาวเอ่ยขอตัวลา แล้วปิดประตูด้านนอกให้เรียบร้อย


   "หมายความว่าไงกันครับ คุณเป็นเจ้าของที่นี่เหรอ"


   "อา ความแตกจนได้ คุณศรีนะคุณศรี" ใบหน้าของบริพัตรเหมือนเด็กน้อยที่ทำความผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้


   "คุณพัต" ภูธนาไม่รู้ว่าวันนี้ตนเองใช้เสียงแบบนี้กี่ครั้งแล้ว แต่คนๆ นี้ช่างก่อกวนให้เขาควบคุมอารมณ์ไม่ได้แทบจะทุกครั้งไป


   "ก็ประมาณนั้นล่ะมั้งครับ" บริพัตรยังเฉไฉไม่ตอบให้ตรงคำถาม


   "คุณพัต" น้ำเสียงภูธนาเริ่มบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่สบอารมณ์ด้วยแล้ว


   "ใช่ๆ ผมเป็นเจ้าของที่นี่เองแหละ"


   "แล้วทำไมคุณไม่บอกผมตรงๆ"


   "ก็ไม่รู้จะบอกไปทำไม ไม่เห็นมีอะไรน่าบอก เนาะน้องภู" บริพัตรหาผู้ช่วยโดยการหันไปคุยกับหลานชายที่ขึ้นไปนั่งบนเตียงพร้อมรถแข่งของเล่นในมือ


   น้องภูพยักหน้า โดยไม่ได้สนใจว่าคุณอานั้นชวนคุยเรื่องอะไร


   "แต่ตอนบ่ายผมถามคุณว่ารู้จักเจ้าของที่นี่มั้ย"


   "ใช่ ผมก็บอกว่าผมรู้จัก"


   "แต่ผมบอกให้คุณเรียกผมด้วยถ้าเจอเขาไง" ภูธนาเสียงอ่อนลงมานิดหน่อย แต่ยังไม่หายจากความรู้สึกไม่พอใจที่ตนเองเหมือนโดนหลอก


   "ผมก็ถามคุณว่าถ้าเจอเขาแล้วคุณจะทำอะไร แต่คุณไม่บอกเองนี่นา"   

        "ก็คุณไม่ใช่เจ้าของนี่นา"


   "แต่ตอนนี้ผมเป็นแล้วนี่ไง ลุงธนาจะบอกอะไรหรือฮะ" บริพัตรล้อเลียนเสียงหลานชายมาใช้กับคุณลุง


   "ไม่บง ไม่บอกมันแล้ว นี่อย่าเล่นเป็นเด็กได้มั้ย เด็กทำน่ะดูน่ารัก แต่คนอายุแบบคุณทำมันไม่น่ารักหรอกนะ" ภูธนาระอาในท่าทีเหมือนเด็กไม่รู้จักโตของบริพัตร


   "ลุงธนาหลงหลาน รักหลานใจจะขาด ผมก็อยากให้คุณธนาหลงผม รักผมใจจะขาดบ้าง" ภูธนาเกือบจะหลงเชื่อแล้วเชียว ถ้าไม่เห็นนัยน์ตาที่เต้นระริกแฝงความทะเล้นนั้นเอาไว้


   "คุณนี่มันร้ายกาจจริงๆ นะคุณพัต"


   "ผมไม่ร้ายกาจกับใครเลย ลุงธนา แต่ผมอยากให้คุณรักผมจริงๆ"


   ภูธนาไม่รู้ว่าจะพูดกลับไปว่าอย่างไรดี บริพัตรเดินเกมส์เร็วจนเขาตั้งรับแทบไม่ทันแต่ก็มีคนมาช่วยทันเวลาพอดี "น้องภูก็อยากให้ลุงธนารักน้องภูจริงๆ ฮะ"


   เสียงแจ๋วๆ นั้นดังขึ้นในช่วงเวลาที่ภูธนาหาทางออกไม่ได้พอดี ทำให้ชายหนุ่มยิ่งรักหลานชายมากขึ้นไปอีก

 
   "ลุงธนารักน้องภูจริงๆ อยู่แล้วครับ" ภูธนาเดินเข้าไปหาหลานชายพร้อมก้มลงหอมแก้มหลานชายคนโปรด


   "ตัวเริ่มเหม็นแล้วนะเนี่ย เล่นอีกสักพักแล้วไปอาบน้ำนะ น้องภู"


   "ฮะ ขอเล่นอีกนิด" เด็กชายไม่ได้อิดออดอะไร แค่ขอทดเวลาเพิ่มเท่านั้นเอง


   "คุณเองก็เหมือนกัน คุณพัต ออกไปได้แล้ว ผมอยากพัก"


   "ไล่กันตรงๆ เลยเหรอเนี่ย ทำไมลุงธนาต้องใจร้ายกับอาพัตด้วย" เสียงออดอ้อน แต่ไม่น่าเห็นใจ แต่กลับกวนอารมณ์เสียมากกว่าทำให้ ภูธนาต้องปรายตาขึ้นมองการกระทำของคนตรงหน้า


   "ผมเหนื่อย อยากพักจริงๆ สัปดาห์ที่ผ่านมาผมต้องเคลียร์งานเยอะแค่ไหนถึงจะได้มากับคุณแบบนี้" ภูธนาตัดสินใจพูดตามความจริง


   "งั้นผมไม่กวนแล้ว อีกสัก 2 ชั่วโมงไปเจอกันที่โต๊ะอาหารนะครับ" บริพัตรไม่ได้ตื้อหรือเซ้าซี้อะไรอีก


   ชายหนุ่มทำแค่เพียงเดินเข้าไปหาภูธนา ไล้นิ้วมือที่แก้มขาวนั้นเบามือแล้วออกจากห้องไปโดยไม่ลืมจะปิดประตูให้ด้วย


   ตอนนี้ภูธนาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นแล้ว มีงานเข้ามาไม่น้อยเลยทีเดียว สิ่งที่ชายหนุ่มพูดคงมาจากความรู้สึก คงเหนื่อยมากจริงๆ



   บริพัตรออกจากห้องพักของตนเองออกไปจัดการเรื่องอาหารมื้อค่ำเพราะไม่อยากให้ลุงกับหลานชายนั้นต้องรอนาน หากคนทั้ง 2 รู้สึกหิวขึ้นมากระทันหัน



   ภูธนาพาหลานชายไปอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ ให้สบายตัว เพราะ ช่วงเย็นเด็กชายวิ่งเล่นเต็มที่ทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ


   ภูธนาพาหลานอาบน้ำและพากันเล่นน้ำกันเสียงดังจนไม่ได้ยินเสียง โทรศัพท์ที่มี สายโทรเข้ามา สายปลายทางนั้นรอจนสัญญาณดับไปแต่เจ้าของเครื่องก็ไม่ได้รับ




   
1 missed call


   
   
'ภูสิตา'





-------------------------------------

Talk :

สวัสดีค่าา >< มาต่อดึกเลย ที่นี่เข้าวันใหม่มาแล้วล่ะค่ะ

และแล้วในที่สุด ทั้งคุณลุง คุณอา คุณหลาน ก็ได้มาพักผ่อนแล้วววว คนแต่งอยากพักผ่อนบ้าง ฮ่าๆ

ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามอ่านนะคะ

ขอบคุณ คุณyisren. และ iceman555 มาเมนท์ตลอดเลย ขอบคุณค่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2016 22:58:33 โดย akanae »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
นังสิตาโทรมาเพื่อ เงินหมดแล้วละสิ  :z6: :z6: :z6:

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
นังสิตาโทรมาเพื่อ เงินหมดแล้วละสิ  :z6: :z6: :z6:

มารอลุ้นกันนะคะ ว่าสิตาโทรมาทำไม ^^ :hao6:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7

ออฟไลน์ monoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ๊ากกกก

ไม่ได้เข้ามาอ่านตั้งนาน

ตกลงเป็น ลุง กะ อา ใช่ม่ะ

ลุ้นๆๆๆ  เหมือนน้องสาว จะมาสร้างปัญหาให้ต่อล่ะ


ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

บทที่ 16


   ภูธนาห่อหลานชายให้ร่างกายอุ่นด้วยผ้าขนหนูสีขาว อุ้มออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นแสงไฟที่โทรศัพท์ก่อนจะดับแสงลง แต่ภูธนาก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก


   เสียงจากโทรศัพท์ที่ดังขึ้น เขาได้ยินตั้งแต่อยู่ในห้องน้ำแล้ว  เพียงแต่ชายหนุ่มไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่ต้องออกมารับโทรศัพท์ในเวลานั้น เสียงเรียกเข้าเฉพาะที่ไม่เหมือนเบอร์อื่น มีหรือชายหนุ่มจะจำไม่ได้ว่าใครโทรมา


   ภูธนารับรู้ทันทีว่าเป็นน้องสาวของตนโทรมา แต่ภูธนายังไม่อยากรับใน ช่วงเวลาที่ได้ผ่อนคลายแบบนี้ ลางสังหรณ์มันบอกว่าจะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่ดีแน่นอน ขอตั้งหลักอีกสักหน่อยแล้วจะโทรกลับไปนะ ภูสิตา


   มื้ออาหารค่ำไม่ได้มีอาหารอะไรโดดเด่นป็นพิเศษนัก เหมือนกับบริการจากรีสอร์ทหรือโรงแรมทั่วไป แต่ภูธนากลับรู้สึกว่ามื้อนี้รสชาติอาหารค่อนข้างอร่อยเป็นพิเศษอาจจะเพราะค่อนข้างหิว แต่ชายหนุ่มกลับทานอาหารสวนทางกลับกระเพาะ เพราะต้องดูแลหลานชายตลอดเวลา


   ภูบดินทร์หลานชายตื่นตากับอาหารที่เมนูแปลกๆ ไม่เหมือนกับที่บ้าน เด็กชายถามเจื้อยแจ้วตลอดมื้ออาหารว่าจานนั้นคืออะไร ทานได้มั้ย เผ็ดมั้ย ภูธนาคอยตักอาหารให้หลาน และคอยดูแลตลอดเวลาทำให้ไม่ค่อยได้ทานอาหารในส่วนของตนนัก



   ผ่านไปไม่นานเสียงเล็กๆ ที่ผูกขาดการสนทนาเริ่มเงียบลงเรื่อยๆ ภูธนาอมยิ้มในความน่ารักของหลานชาย เด็กชายแทบจะหลับคาจานอาหารแล้ว วันนี้วิ่งเล่นเต็มที่ ไม่แปลกที่จะง่วงนอนไวขนาดนี้



   ภูธนาขอตัวแล้วอุ้มหลานชายเข้าไปนอนพักในห้อง จัดแจงวางหลานลงนอนดูว่าท่านอนไม่อึดอัดแล้ว จึงหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำบ้าง



   ชำระล้างร่ายกายจนสบายตัว ชายหนุ่มได้ยินเสียงเคาะประตูจากห้องข้างๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร ภูธนาลุกขึ้นไปเปิดประตูโดยไม่มีทีท่ารีบร้อน


   คนเคาะประตูยิ้มกว้างให้กับคนในห้อง มือใหญ่ยื่นจานใส่แซนด์วิชมาให้ภูธนา แต่ชายหนุ่มไม่รับ หากยังเลิกคิ้วใส่เชิงคำถาม


   "ผมเอามาให้ ตอนเย็นเห็นคุณทานไปนิดเดียว" 


   "ขอบคุณครับ แต่ผมไม่หิว" ภูธนาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสุภาพ


   "ไม่เอาน่า ยังโกรธอยู่เหรอ"


   "ไม่ได้โกรธครับ"


   "ปากแข็งจริงๆ"


   "ผมเปล่า" ภูธนาเสียงดังขึ้นจากเดิม ถ้าต้องลับฝีปากกันทีไร ทำไมต้องเป็นชายหนุ่มที่มักจะควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้นะ


   "ออกมานอกห้องก่อน เดี๋ยวน้องภูจะตื่น" บริพัตรบอกเสียงเบา


   "ไม่ดีกว่าครับ ผมจะนอนแล้ว"


   "ถ้าไม่ได้โกรธ ก็อย่าปฏิเสธสิครับ" ภูธนาเลยจำใจต้องออกมาจากห้อง แต่แง้มประตูไว้นิดหน่อย หากหลานชายตื่นจะได้ยินเสียง



   บริพัตรเดินเอาจานแซนด์วิชไปวางที่โต๊ะเล็กข้างเตียง และขึ้นไปนั่งบนเตียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี ภูธนาที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรกับห้องนี้ ยังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่



   เจ้าของรีสอร์ทเกือบหลุดขำที่เห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้า เขาไม่รู้ว่าจะบรรยายว่าอย่างไรดี คนที่ดูมั่นใจแทบจะตลอดเวลา บัดนี้เหมือนทำตัวไม่ค่อยถูก


   มือใหญ่ขาว คว้าข้อมือคนที่ยังยืนอยู่ลงมานั่งที่เตียงด้วยกัน


   "นี่คุณ" ภูธนาเรียกด้วยความตกใจกับการกระทำนั้น


   "ยืนนานเมื่อยนะคุณ" พูดพลางหยิบจานแซนด์วิชนั้นให้อีกครั้ง



   ภูธนาหยิบขึ้นมา 1 ชิ้นอย่างเสียไม่ได้ ชายหนุ่มกัดลงขนมปังนุ่มหวังจะให้รีบทานให้หมดๆ ไป คนข้างๆ จะได้เลิกยุ่งกับตนเสียที แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด



   "ผมทานแล้ว งั้นขอตัวกลับห้องก่อนนะครับ" ภูธนาเอ่ยลา


   "เดี๋ยวก่อนสิ ลุงธนาง่วงแล้วเหรอ"


   "สัปดาห์ที่ผ่านมา มีงานเยอะ ผมเลยไม่ค่อยได้พัก"


   "งั้นก็นอนที่นี่มั้ย" ดวงตาคมจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่นิ่ง


   ภูธนาเป็นฝ่ายหลบตาลงก่อน ไม่ว่าจะกี่ครั้งตนเองก็จะไม่สามารถจ้องตาสู้คนข้างๆ ได้แน่ แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม


   มือขาวเชยคางคนผอมบางกว่าให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากันอีกครั้ง แต่ทว่าภูธนาเลือกที่จะหลับตาลง


   "ลืมตา มองผมหน่อยสิ ธนา" น้ำเสียงทุ้มชวนคล้อยให้ทำตาม แต่ภูธนาก็ยังไม่ยอมลืมตา


   "ผมว่าผมกลับห้องก่อนดีกว่า เดี๋ยวน้องภูตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นใครจะตกใจเอา" ภูธนาหันหน้าไปอีกทางพร้อมจะยันกายลุกขึ้นยืน แต่ก็ถูกมือแข็งแรงจับให้นั่งลงอย่างเดิม


   "มองผมหน่อย คุณไม่กล้ามองผมเหรอ คุณกลัวอะไร กลัวผมงั้นเหรอ"


   "ไม่ได้กลัวสักหน่อย" ใบหน้าขาวยังไม่ยอมหันมาตรงๆ


   "ถ้าไม่ได้กลัว ก็ต้องกล้ามองหน้าผมสิ" การถูกปรามาสไม่ใช่สิ่งที่ภูธนาชื่นชอบ ชายหนุ่มจึงหันหน้ามาสบตาอีกครั้ง



   รู้ทั้งรู้ หากฝืนสบตาของอีกฝ่าย ไม่แคล้วคงจะต้องพ่ายแพ้ให้กับคนตรงหน้าและแพ้ให้กับใจตัวเองแน่นอน ความคิดที่จะอยากเอาชนะนั้นรวดเร็วเสียจนทำให้สมองคิดไตร่ตรองได้ไม่ถี่ถ้วนดี



   ภูธนาพลาดเสียแล้ว



   เหมือนตกอยู่ในมนต์สะกด ไม่อาจละสายตาจากคนตรงหน้าได้อีกต่อไป ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในหัวใจมันมีมาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน วันที่ต้องบอกลาจากบ้านหลังนั้นมาหัวใจแทบจะขาด อยากจะอ้างว่าเป็นเพราะหลานคนเดียว แต่ลึกๆ ในใจแล้ว ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าเหตุผลสำคัญที่ไม่น้อยไปกว่าตัวเล็กเลยก็คือ บริพัตร



   ทั้งที่ไม่อยากจะยอมรับว่ารักไปเพราะอะไร ตลอดเวลาแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลย แล้วจู่ๆ บริพัตรก็เริ่มเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาแน่ใจได้ใช่มั้ยว่าสิ่งที่บริพัตรแสดงออกมามันคือความรู้สึกของความรัก หรือ จริงๆ แล้ว ชายหนุ่มแค่ล้อเล่น


   ถ้ารักนี้จะทำให้ตัวเองเจ็บ ก็ยินดียอมรับผลของมันใช่มั้ย



   คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพราะไม่ว่าคำถามจะเป็นเช่นไร คำตอบก็มีเพียงแค่คำตอบเดียว เลือกแล้วก็ต้องยอมรับสิ่งที่ตามมาให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม


   "นอนที่นี่นะ" เจ้าของดวงตาที่ทำให้ตกอยู่ในมนต์สะกดเอ่ยเสียงเบา


   ภูธนาถูกร่ายมนตร์ พยักหน้าช้าๆ เป็นคำตอบ


   มือใหญ่ดึงร่างเล็กกว่าเข้ามากอดแนบอก ประคองกอดราวกับว่าลุงที่รักของหลานชายจะหายไปในอากาศ ปากอิ่มสีสดกดแน่นลงมาที่ขมับคนในอ้อมกอด ก่อนจะลากผ่านมายังแก้มขาวนวลเจือไปด้วยกลิ่นแป้งเด็กจางๆ


   "รู้สึกเหมือนกำลังจะพรากผู้เยาว์เลยแฮะ" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นในความเงียบ


   "ผมอายุ 27 ไม่ใช่เด็กแล้ว" ภูธนาแย้งเสียงอู้อี้ทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมกอดคนสูงวัยกว่า


   "รู้แล้วคร้าบ ว่าไม่ใช่เด็ก แต่กลิ่นหอมๆ ที่แก้มนี่เหมือนกับกลิ่นน้องภูเลย" บริพัตรก้มลงหอมแก้มเพื่อพิสูจน์อีกครั้ง


   "ไม่ชอบเหรอ" ภูธนาเอ่ยเสียงแผ่ว


   "ไม่ชอบ" ตอบว่าไม่ชอบ แต่การกระทำสวนทาง บริพัตรจูบแก้มซ้าย แก้มขวาไปมา จนทำให้เจ้าของนั้นต้องเอ่ยห้าม


   "และอีกอย่าง ถ้าเด็กก็คงทำแบบนี้ไม่ได้"


   ภูธนาสงสัยได้เพียงไม่นาน เพราะอีกฝ่ายก้มลงมาที่ปากนุ่มของตนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ชายหนุ่มตกใจเพียงครู่ก่อนจะหลับตาลงแล้วปล่อยให้เป็นไปตามที่ใจรู้สึก



   ภูธนาแทบจะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มากนัก ช่วงแรกชายหนุ่มไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ลิ้นที่เคยอยู่ในปากดีๆ บัดนี้ดูจะเกะกะไปหมด ไม่รู้จะต้องจัดการอย่างไรกับมันดี



   "กลัวหรือ" บริพัตรถอนปากออกไปด้วยความเสียดาย แต่เพราะกลัวคนตรงหน้าจะขาดอากาศหายใจเสียก่อน ซ้ำร่างกายในอ้อมกอดยังดูตัวสั่นเทา



   บริพัตรขยับถอยหลังพิงเตียง และดึงอีกฝ่ายให้ขึ้นมานั่งคร่อมบนตัวเอง ยื้อยุดกันอยู่พักใหญ่ เพราะลุงของหลานออกจะเขินอายด้วยความไม่เคยมาก่อน แต่ก็โดนสายตาเว้าวอนจนยอมทำตามใจคนตรงหน้า



   บริพัตรกอดร่างบนตัวแนบอกไว้อีกครั้งให้คลายความเขินอายเสียหน่อย หากรุกหน้าเดินเกมส์เร็ว ภูธนาคงจะถอยหนีเป็นแน่



   ชายหนุ่มเริ่มต้นการจูบเสียใหม่ แต่คราวนี้ภูธนาเริ่มจะจัดการสถานการณ์นี้ได้ดีขึ้นแล้ว ลิ้นหนาของคนข้างล่างสำรวจกวาดไปทั่วโพลงปากแดง ลิ้มรสความหวานไม่รู้จักเบื่อ



   "อือ อืมม" เสียงตอบรับในคอด้วยความพึงพอใจ ทำให้บริพัตรยิ้มอยู่กับตัวเองที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีกับตน



   มือหนาเริ่มลูบไล้แขนขาวเบามือก่อนจะย้ายมาที่กระดุมด้านหน้าแล้วเริ่มปลดมันโดยที่ภูธนานั้นไม่รู้สึกตัวเลย จนกระทั่งความเย็นเข้ามาปะทะที่หน้าอก ชายหนุ่มจึงรู้สึกแล้วว่าสาบเสื้อได้หลุดออกจากกันไปแล้ว



   หน้าอกขาวเนียนละเอียด ถูกลูบไล้ไปทั่ว ภูธนารู้สึกร้อนรุ่มทั่วร่างกายจนแทบจะทนไม่ไหว ร่างเล็กเริ่มบิดกายด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้อง บริพัตรเลื่อนริมฝีปากมาที่ต้นคอขาว



   "อืมม" ภูธนายิ่งรู้สึกมากกว่าเดิมเมื่อริมฝีปากอุ่นคลอเคลียบริเวณต้นคอ


   "ตรงนี้ใช่มั้ย" บริพัตรถามเสียงเริ่มพร่า แต่อีกฝ่ายไม่มีเสียงตอบนอกจากพยักหน้ากลับมา แค่นั้นก็ทำให้ชายหนุ่มเดินหน้าต่อไป



   มือใหญ่เริ่มดึงกางเกงนอนลง เผยให้เห็นสะโพกเนียนของคนตรงหน้า บริพัตรแทบจะทนไม่ไหว อยากจะดึงร่างนี้ลงบนที่นอนแล้วจัดการให้สมกับความต้องการ แต่เขาจะต้องอดทนเพราะเรื่องนี้ หากไม่ระวังให้ดีก็จะเจ็บได้



   บริพัตรล้วงมือเข้าไปในกางเกงนอนของภูธนา เริ่มกอบกุมสิ่งที่ตื่นตัวอยู่ภายใน การสัมผัสนี้ทำให้ภูธนาแทบจะปลดปล่อยเดี๋ยวนั้น แต่บริพัตรอยากแกล้งคนตรงหน้าอยู่จึงละมือออกมา



   "ฮึ" เสียงกึ่งขัดใจของภูธนา ทำให้บริพัตรแทบจะเอ่ยแซว แต่คงไม่ใช่จังหวะที่ดีเท่าไหร่นัก เอาไว้ค่อยพูดถึงวันหลัง เจ้าตัวคงอายพอดู



   ภูธนารับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างข้างใต้ เขารู้สึกเหมือนบางอย่างเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ก็เข้าใจในเวลาต่อมาว่าเป็นอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ชายที่ตนเองนั้นก็เป็นเช่นกัน



   บริพัตรชักจะอดทนไม่ไหวเสียแล้ว ร่างตรงหน้าทำให้ร่างกายเขาแทบจะระเบิด จะมีใครที่จะได้เห็นสีหน้าของภูธนาในยามนี้บ้าง จะมีใครที่จะได้เห็นท่าทางเย้ายวนแบบนี้




   อดีตนั้น เขาจะหลับตาและไม่สนใจ แต่ต่อจากนี้ไป



   ต้องเป็นเขาคนเดียวเท่านั้น !!




   บริพัตรพลิกร่างที่อยู่ข้างบนให้ลงมานอนที่เตียงเปลี่ยนเป็นฝ่ายอยู่ข้างล่างแทน บริพัตรแทบจะครองสติไว้ไม่ค่อยอยู่แล้ว ปากนุ่มลากไล้ผ่านตั้งแต่ต้นคอ ระเรื่อยมาถึงอกขาวเนียน ก่อนจะหยุดทักทายเลียเม็ดเล็กสีชมพูอ่อน สร้างความรู้สึกเสียวซ่านรัญจวนให้ภูธนายิ่งนัก




   ชายหนุ่มดึงกางเกงนอนใต้ร่างร่นมาถึงเขา ฝ่ามือหนาบีบบั้นท้ายกลมมนเต็มมือนั้น ยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ให้พุ่งสูงขึ้นไปอีก ปากอิ่มยังจูบไล่มาถึงหน้าท้องแบนราบ จนมาถึงสิ่งที่ชูชันอยู่ข้างหน้า



   "ยะ อย่า" ภูธนาพยายามปัดป้องไม่ให้บริพัตรก้มหน้าลงมาที่สิ่งนั้น แต่แรงห้ามนั้นดูจะไม่เป็นผลเท่าไหร่ ชายหนุ่มจึงยกมือคู่นั้นปิดตาตนเองดีกว่าเพราะอายเกินกว่าจะมอง



   บริพัตรครอบครองความร้อนนั้นไว้ในโพลงปาก ลิ้นหนาค่อยๆ ดื่มด่ำตัวตนของคนตรงหน้า โดยไม่เร่งรีบเกินไปนัก เพราะกลัวว่าความสุขสมจากภูธนาจะมาเร็วเกินไปนัก


   จะมีความสุขได้มันก็ควรจะทรมานก่อนสิ ชีวิตมันจะได้สนุก



   "มะ ไม่ไหวแล้ว" เสียงพร่าดังขึ้นจากทางด้านบน ทั้งที่เจ้าตัวยังใช้มือปิดตาตนเองอยู่


   บริพัตรใช้สายตาเหลือบขึ้นมอง ก่อนจะดึงมือคู่นั้นลงมาให้เห็นทุกการกระทำ แต่ภูธนาก็เลือกที่จะหลับตาเองทำให้ชายหนุ่มต้องละริมฝีปากจากด้านหลัง มาจูบแผ่วเบาดวงตาที่ยังหลับอยู่ ทำให้ภูธนาแปลกใจจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง


   "อย่าหลับตา" เสียงพร่าของบริพัตรบอก


   "ก็ ก็มัน"


   "ไม่ต้องอาย ลุงธนาไม่อยากเห็นเวลาที่ลุงอยู่กับอาพัตว่าเป็นยังไงเหรอครับ" ทำไมจะต้องมาพูดเย้าแหย่กันตอนนี้ด้วยนะ ภูธนาคิดในใจพลางนึกหมั่นไส้คนตรงหน้าที่ยังเล่นอยู่อีก


   "มองให้ชัดๆ ว่าคนตรงหน้านี้เป็นใครดีกว่านะ" บริพัตรยิ้มให้ก่อนจะก้มลงเบียดริมฝีปากลงบนร่างข้างใต้อีกครั้ง



   มือหนากำรูดสิ่งที่ยังค้างคาคนด้านล่าง เพียงไม่นานนักความสุขที่รอมาตลอดก็ปลดปล่อยออกมา ภูธนาหายใจหอบหนักราวกับถูกสูบลมหายใจหมดแล้ว



   บริพัตรใช้เสื้อนอนของเจ้าของที่เพิ่งจะสบายตัวนั้นเช็ดเนื้อตัวให้คนนั้นลวกๆ พอไม่ให้เหนอะหนะ


   "ถอดให้ผมบ้างสิ" คำขอของผู้สูงกว่าทำเอาคนอายุน้อยกว่าคิดหนักแต่บริพัตรไม่ได้รอคำตอบ จับมือเล็กมาที่ขอบกางเกง บริพัตรยังไล่จูบรวบรวมความหวานจากต้นคอชายหนุ่มไม่รู้จักเบื่อ



   ภูธนารู้สึกเหมือนถูกร่ายมนต์ใส่อีกครั้ง มือเรียวขาวค่อยๆ ทำตามคำขอของบริพัตร   


   "แง๊ ฮือ ฮือ ลุงธนา อาพัต น้องภูกลัว ฮือ ฮือ"


   "ลุงธนาไปไหน น้องภูกลัว ฮืออออ" เสียงสะอื้นดังในความเงียบจากประตูข้างๆ ทำเอาผู้ใหญ่ 2 คนหยุดชะงักการเคลื่อนไหวทันที ภูธนารีบดึงกางเกงตนเองขึ้นแล้วถอยหนีลงจากเตียงอีกฝั่ง วิ่งไปดูหลานชายทันที


   "ฮือ ลุงธนา" เด็กชายร้องไห้จ้าเสียงดัง มือเล็กเช็ดน้ำตาลวกๆ แต่น้ำตาเม็ดเล็กๆ ก็ไหลรินมาไม่รู้จักเหนื่อย


   "ลุงมาแล้วครับ ไหนให้ลุงดูหน่อยสิ เป็นอะไรครับ"


   "น้องภูปวดฉี่ฮะ ฮึก ฮืออ" เด็กน้อยสะอื้นฮักไม่หยุด


   "มาครับ เดี๋ยวลุงพาไปห้องน้ำนะ" ภูธนาอุ้มเด็กชายพาเข้าห้องน้ำไป


   "ลุงธนาไปไหนมาฮะ น้องภูตื่นมาไม่เห็น น้องภูกลัว" เด็กน้อยกอดลุงแน่นเพราะยังคงตกใจอยู่


   "ลุงอยู่กับอาพัตเตอร์ไงครับ ที่ห้องข้างๆ นี่เอง" ภูธนาเช็ดน้ำตาให้หลานชายเบามือ


   "ลุงธนาทำไมไม่ใส่เสื้อ"



   คำถามของเด็กชายเสียงไม่ดังนัก แต่เพราะความเงียบ ทำให้คนที่อยู่อีกห้องได้ยินเสียง เลยทำให้เกิดเสียงหัวเราะดังออกมา


   "คือ ลุงร้อนน่ะครับ"


   "ลุงธนาร้อนเหรอฮะ แต่น้องภูหนาว" เด็กน้อยชวนคุยเรื่อย


   "มาครับ เดี๋ยวลุงจะพาไปนอนนะ" ภูธนาอุ้มหลานชายออกมาจากห้องน้ำมานอนที่บนเตียงอีกครั้ง


   ภูธนาวางเด็กน้อยลงและห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วค่อยๆ กล่อมเด็กน้อยจนผลอยหลับไปอีกครั้ง


   "ลุงธนา" เสียงทุ้มไม่ใช่ของเด็กดังขึ้นจากปลายเตียง


   "ชู่ว เบาๆ ครับ น้องภูเพิ่งหลับ" ภูธนาบอกเสียงเบาจนแทบกระซิบ


   บริพัตรคว้ามือคนผอมบางกว่าให้ลุกขึ้นยืนประจัญหน้ากัน ก่อนจะจุมพิตเบาแต่ย้ำหลายๆ ครั้งบนริมฝีปากสวย


   "จะรับผิดชอบผมยังไงดีครับ ลุงธนา" บริพัตรถามหาคนรับผิดชอบ


   "ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย"


   "คุณเรียบร้อยไปแล้วนี่ เหลือแต่ผมคนเดียว" เสียงทุ้มพูดแผ่วเบา กระซิบลงที่ข้างหู ทำให้ภูธนาขนลุกซู่ขึ้นมาเลยทีเดียว


   "ช่วยไม่ได้จริงๆ นี่ครับ น้องภูตื่นพอดี"


   "หลานตื่นปุ๊ป อาก็โดนทิ้งปั๊ป"


   "คุณอาคนนี้เนี่ย รอก่อนได้ครับ แต่หลานน่ะรอไม่ได้" ภูธนาบอกก่อนจะยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้า


   "ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องมารับผิดชอบผมด้วย" ชายหนุ่มพูดเสร็จก็หันหลังจะออกจากห้องไป


   "เดี๋ยวก่อนสิครับ"


   "ผมไม่ได้ตั้งใจ" ภูธนาเอ่ยรั้งคนที่กำลังจะกลับออกไป


   "ไม่ได้ตั้งใจเรื่องอะไรครับ เรื่องที่ทิ้งให้ผมค้างแบบนี้ หรือเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา" น้ำเสียงฟังดูก็รู้ว่าคนที่พูดไม่ได้พูดเล่น


   "ผมหมายถึงเรื่องที่ทำให้คุณเป็นแบบนั้น"


   "งั้นก็แล้วไป ผมนี่ใจหายเลย" เสียงทุ้มกลับมาเล่นเป็นปกติอีกครั้ง เมื่อได้รับคำตอบที่ถูกใจ


   "แต่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ผมชอบนะ" คนตัวผอมบางกว่าพูดแผ่วเบา ใบหน้าขาวก้มหน้าโดยไม่สบตากับฝ่ายตรงข้าม


   "อย่าพูดแบบนี้นะครับ ผมยังไม่ได้จัดการคุณด้วย ฝากไว้ก่อนละกัน" บริพัตรคาดโทษชายหนุ่มไว้ก่อน


   "ถ้าอยากจะเอาคืนเมื่อไหร่ ก็บอกมาได้เลยนะครับ ผมพร้อมเสมอ" ภูธนาพูดเสร็จก็รุนหลังชายหนุ่มให้ออกจากห้องไปแล้วรีบปิดประตู เพราะตอนนี้เจ้าตัวเขินอายจนกว่าจะพูดอะไรออกไปได้อีก



   อีกฟากของประตู บริพัตรที่ยืนอยู่อีกฝั่ง สายตาของชายหนุ่มเด็ดเดี่ยวและมั่นคงเกินกว่าจะเอ่ยมาเป็นคำพูด



   "ธนา ร่างกายคุณเป็นของผม นับตั้งแต่นี้ไป ห้ามคุณไปทำแบบนี้ไม่ว่ากับใครทั้งนั้น เข้าใจมั้ยครับ"


   "ทำไมครับ" คนที่อยู่ในห้องถามกลับไป แต่ภายในใจกลับรู้สึกอิ่มเอมเหลือเกิน


   "เพราะผมเป็นคนที่หวงของ และยิ่งถ้าเป็นคนที่รักผมยิ่งหวงมาก"


   "ครับ"


   "จะทำให้ผมได้มั้ย ธนา" เสียงอีกฟากคาดคั้นรอฟังคำตอบ


   "ตามที่คุณพัตต้องการครับ"


   "ขอบคุณครับ ธนา ฝันดีนะ" บริพัตรบอกเสร็จก็เดินไปพักผ่อนเช่นกัน



   "ฝันดีครับ"



   คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่ใครหลายๆ คน คงฝันดี





----------------

Talk:.
 
ขออภัยที่มาช้าค่ะ

ตอนนี้ไม่มีอะไรพูดเลยยยย

 :pighaun: :pighaun:

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
โอ้ย ตอนนี้นึกว่าจะมีดราม่าน้องสาว กลับหวานกันซะงั้น อาพัตเตอร์รุกเร็วมาก ชอบอ่ะครับ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

บทที่ 17


   เช้านี้อากาศแจ่มใส หลังจากมื้อเช้าผ่านไปเรียบร้อยแล้ว บริพัตรก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าของบ้านที่ดีพาผู้มาเยือนชมบรรยากาศรอบๆ พร้อมคอยให้คำแนะนำต่างๆ ให้กับลุงกับหลานคู่นี้


   “อยากกลับกรุงเทพหรือยังครับ” บริพัตรเอ่ยถามขึ้นระหว่างเดินกลับไปตัวอาคารที่พักของรีสอร์ท


   “ยังไม่อยากกลับเลย แต่พรุ่งนี้มีงานรออีกเยอะเลยครับ” คนตอบพูดพลางถอนหายใจเบาๆ


   “ถ้าอย่างนั้น เราค่อยกลับกันสักช่วงบ่ายๆ ก็แล้วกัน”


   “แล้วแต่คุณพัตเถอะครับ”


   บรรยากาศยามเที่ยง แดดค่อนข้างแรง บริพัตรจึงให้พนักงานนำอาหารกลางวันเข้ามาทานในห้องพัก ด้วยเกรงว่าหากอยู่ท่ามกลางไอแดด อาจจะทำให้น้องภูไม่สบายได้



   หลังอิ่มมื้อกลางวัน เด็กชายตัวน้อยนั่งเล่นอยู่อีกสักพัก ตาก็เริ่มปรือและผลอยหลับไปทั้งที่ยังถือของเล่นไว้ในมือ ภูธนาเห็นแล้วก็อดที่จะเอ็นดูในความน่ารักไร้เดียงสาของเด็กชายไม่ได้ ชายหนุ่มแกะของเล่นออกจากมือหลานอย่างเบามือ และอุ้มน้องภูไปนอนบนเตียงพร้อมห่มผ้าให้เรียบร้อย



   เสร็จภารกิจดูแลหลานชายเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มตั้งใจจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียหน่อย แต่เมื่อเปิดประตูห้องนอนของตนออกมา จึงได้พบกับบริพัตรที่นั่งพิงหัวเตียงกำลังอ่านหนังสืออยู่



   บริพัตรได้ยินเสียเปิดประตู ชายหนุ่มเงยหน้าจากหนังสือและตัดสินใจวางหนังสือที่ยังอ่านค้างไว้นั้นลง เพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่าการนั่งอ่านหนังสือเป็นไหนๆ  ภูธนาเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย บริพัตรดึงมือเรียวขาวนั้นให้เจ้าตัวนั่งลงข้างๆ ตน


   “เช้านี้ยังไม่ได้ชื่นใจเลย”


   “อะไรครับ”


   “อุตส่าห์มาเป็นไกด์กิตติมศักดิ์ให้เลย แต่กลับไม่ได้รางวัลอะไรเลย น่าน้อยใจจริงๆ”


   “หัวก็ไม่ล้าน  ตัวก็ออกจะโต ไม่น่าจะคนที่ขี้น้อยใจอะไรง่ายๆ เลยนะครับ” ภูธนาเอื้อมมือไปจับผมของชายหนุ่มตรงหน้าพอเป็นพิธีเพื่อประกอบคำพูด


   บริพัตรคว้ามือที่กำลังเย้าแหย่นั้นมาจูบ นานจนเจ้าของมือนั้นอดประท้วงไม่ได้


   “พอได้แล้วล่ะครับ แล้วคุณพัตไม่ออกไปไหนเหรอ”


   “ก็อยากออกไปเหมือนกัน แต่รอคนในห้อง รอตั้งนานกว่าจะออกมา”


   “ผมก็ต้องดูแลน้องภูก่อนสิครับ คนที่โตแล้วไว้ทีหลังก็ได้”


   “ถ้าจะอิจฉาหลานตัวเองนี่ผิดมั้ย”


   “อย่าไปอิจฉาหลานเลยครับ ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่สนใจอาของหลานนี่ครับ” ภูธนาพูดพลางยิ้มกว้างให้กับบริพัตร



   บริพัตรก้มลงจูบปากคนที่คอยพูดปั่นหัวเขาทันที ภูธนาไม่ทันตั้งตัว ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เตรียมที่จะผละหนี แต่ก็ถูกมือใหญ่รั้งเอวเอาไว้ไม่ให้หนีไปได้ ส่วนมืออีกข้างยังกดท้ายทอยให้แหงนรับจุมพิตให้ถนัดถนี่จากคนที่มอบให้



   กว่าบริพัตรจะยอมปล่อยให้ภูธนาเป็นอิสระอีกครั้ง ภูธนาก็แทบจะขาดอากาศหายใจ บริพัตรได้ยินเสียงหอบหายใจเพื่อสูดอากาศให้เข้าปอดให้มากที่สุด ก็หัวเราะเบาๆ กับคนตรงหน้า


   หลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ภูธนาก็ลุกขึ้นยืน พร้อมฉุดมือคนตรงหน้าให้ลุกขึ้นยืนไปด้วย บริพัตรได้แต่เลิกคิ้วมองคนตรงหน้าคำถามว่าชายหนุ่มคิดจะทำอะไร


   “ออกไปข้างนอกกันครับ ได้มาที่สวยๆ แบบนี้ ไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในห้องอย่างเดียว”


   “เอาสิ แดดร้อนๆ แบบนี้ ถ้างั้นผมจะพาไปแถวริมน้ำละกัน ตรงนั้นค่อนข้างมีร่มเงาเยอะ” คนเสนอตัวพูดพลาง ไม่ลืมยกหูโทรศัพท์แจ้งคุณศรีวราให้หาเด็กพนักงานมาคอยเฝ้าแถวหน้าห้อง หากภูบดินทร์ตื่นขึ้นมาจะได้ไม่ตกใจเพราะไม่เจอใคร


   “ทำไมคุณไม่ยอมบอกผมตั้งแต่ทีแรกว่าคุณเป็นเจ้าของที่นี่ครับ คุณพัต”


   “คุณมันน่าแกล้งน่ะ”


   “คุณพัต!” เสียงภูธนาจริงจังไม่ยอมให้คนขี้แกล้ง เล่นสนุกต่อไป


   “เอาล่ะๆ คือผมรู้สึกแปลกๆ ถ้าต้องบอกไปว่าผมเป็นใคร”


   “แปลกยังไงล่ะครับ” ภูธนาหน้านิ่วด้วยความสงสัย


   “ยังไงดีล่ะ ผมเองก็อธิบายไม่ค่อยถูกอ่ะ เอาเป็นว่ามันเขินปากล่ะมั้ง”



   2 หนุ่มเดินมาถึงที่หมายพอดี สายน้ำไหล่เอื่อยเรื่อยๆ ไปตามทาง เสียงน้ำไหลแผ่วเบา ชวนให้ความรู้สึกได้ผ่อนคลาย พนักงานได้จัดที่นั่งไว้ใต้ร่มไม้ ริมแม่น้ำให้เรียบร้อยแล้ว ที่นั่งเป็นเบาะหนานุ่มอย่างดี มีโต๊ะไม้เล็กๆ วางข้างหน้า บนนั้นมีเครื่องดื่มที่รินไว้อยู่ก่อนแล้ว



   บริพัตรพาภูธนาเข้าไปนั่ง ที่นั่งนี้จัดได้พอเหมาะลงตัว ทั้งคู่นั่งหันหน้าเข้าหาริมน้ำ คอยมองสายน้ำไหลผ่าน มือหนาเอื้อมมาเกาะกุม มืออีกฝ่ายเอาไว้แน่นโดยไม่ปล่อย ไม่มีบทสนทนาใดๆ แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าเพียงพอแล้ว



   ลมพัดแรงมาวูบหนึ่ง ทำให้ฝุ่นที่ปลิวลอยในอากาศปลิวเข้าสู่นัยน์ตาของภูธนา ชายหนุ่มยกมือข้างที่ว่างขยี้ตาทันทีเพราะความระคายเคือง


   “ไหนว่าไม่ใช่เด็กๆ แล้วไง พอฝุ่นเข้าตาทำไมขยี้ตาแรงแบบนั้น” บริพัตรเอ็ดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก พร้อมทั้งดึงมือที่ยังขยี้ตาไม่หยุดนั้นลง


   “ผมแสบตาน่ะครับ คุณพัต” ภูธนาพยายามลืมตามองคนตรงหน้า บริพัตรเลยเห็นว่า ดวงตาที่เจ้าตัวบอกว่าแสบนั้น บัดนี้แดงก่ำและมีหยดน้ำตาร่วงหล่นลงมาอันเนื่องปฏิกิริยาที่ชะล้างสิ่งสกปรกของร่างกาย


   “ไหน ให้ผมดูหน่อย” บริพัตรขยับเข้าไปใกล้คนข้างๆ เพื่อที่จะมองเห็นได้อย่างถนัด ชายหนุ่มประคองใบหน้าของภูธนาไว้ และก้มลงดูใกล้ๆ


   จากตรงนี้ หากมีใครเดินมาจากด้านหลัง คงจะเห็นว่าภาพดังกล่าวเหมือนว่าภูธนากำลังถูกบริพัตรล่วงเกินอยู่อย่างไงอย่างนั้น แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจ


   แชะ


   แชะ


   “อ่ะ ผมเขี่ยออกให้แล้ว เดี๋ยวล้างตาเสียหน่อย” บริพัตรเอื้อมไปหยิบขวดน้ำเปล่าที่ยังไม่เปิดใช้ให้ภูธนาล้างตาอีกทีเพื่อความสะอาด


   “ขอบคุณครับ คุณพัต แต่สักครู่นี้ คุณได้ยินเสียงอะไรมั้ย” เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกดชัตเตอร์ หลังจากที่กลับเข้ามาในวงการบันเทิงได้สักพัก ภูธนาเริ่มคุ้นชินกับเสียงพวกนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว จึงพอจะแยกออกบ้างว่าน่าจะเป็นเสียงจากกล้อง


   “ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า”


   “เปล่าครับ ผมคงหูแว่วไปเอง ช่างเถอะครับ” ชายหนุ่มรู้สึกไม่มั่นใจเท่าไหร่นักเนื่องจากพื้นที่เปิดกว้างอาจทำให้ได้ยินสับสนไปเอง


   ภูธนาสลัดความคิดนั้นออกไป ช่วงเวลาแบบนี้ไม่ควรมาคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง


   “คุณพัต คุณธนาคะ น้องภูตื่นนอนแล้วค่ะ” ศรีวราเดินเข้ามารายงานพอดี


   “ตื่นแล้วหรือ ถ้างั้นรบกวนคุณศรีเตรียมขนมกับนมให้น้องภูด้วยนะครับ แล้วอีกสักพักผมจะกลับกรุงเทพเลย” เจ้าของสถานที่เอ่ยปากไหว้วานผู้จัดการสาวอย่างเกรงใจ


   “ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะจัดการให้ค่ะ คุณพัตไม่ต้องเป็นห่วง” หญิงสาวกล่าวจบแล้วก็ขอตัวไปจัดการตามที่ได้รับมอบหมาย


   “คุณก็ทานของว่างรองท้องไปพร้อมกับน้องภูด้วยนะครับ ระหว่างทางกลับจะได้ไม่หิวจนเกินไป” บริพัตรพูดพลางลูบผมคนตรงหน้าอย่างเบามือ


   “ให้ผมทานกับน้องภูแค่สองคนได้ยังไงกัน คุณพัตก็ต้องทานด้วยกันสิครับ เดี๋ยวคนขับรถหิวจนแสบท้องจะโทษผมไม่ได้นะ” ภูธนาพูดแซวคนตัวโตกว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินนำออกไป ทิ้งให้บริพัตรได้แค่อมยิ้มตามร่างสูงที่กำลังเดินไป


   “มัวแต่ยืนยิ้มอยู่นั่นแหละ รีบตามมาสิครับ” คนที่เดินนำไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่เดินตามมา อดไม่ได้ที่จะไม่พูดกวนอีกฝ่าย


   “คร้าบๆ ไม่ทันไรเลย เริ่มสั่งเป็นซะแล้ว”


   อิ่มเรียบร้อยกันแล้ว บริพัตรก็ไปหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ามาไว้ในรถให้เรียบร้อย ชายหนุ่มสั่งงานเกี่ยวกับรีสอร์ทกับศรีวราอีกสองสามอย่าง จึงเตรียมตัวออกตัวเดินทางกลับกรุงเทพ



   “ถ้าชอบที่นี่ คุณธนากับน้องภู ก็มาบ่อยๆ นะคะ ดิฉันจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ” ศรีวรายกมือไหว้บอกลาคนที่กำลังจะเดินทาง


   “แน่นอนครับ ถ้าผมมีเวลาว่างล่ะก็จะมาที่นี่เป็นที่แรกเลย” ภูธนายิ้มตอบกลับไป


   “ชอบที่นี่จริงๆ หรือตอบเอาใจคุณศรีเขาน่ะ” บริพัตรเอ่ยถามขึ้นเมื่อออกตัวไปได้สักระยะ


   “ชอบจริงๆ สิครับ ที่นี่บรรยากาศดี ร่มรื่น ได้ครบทั้งแม่น้ำ ภูเขา”


   “ชอบแค่สถานที่เหรอ แล้วเจ้าของล่ะ ชอบมั้ย” คนถาม ถามทั้งที่ไม่ละสายตาออกจากถนนเลยแม้แต่น้อย ทิ้งคำถามไว้ให้คนตอบต้องเดือดร้อน


   ภูธนารู้สึกเขินเกินกว่าจะตอบคำถามของอีกฝ่าย จึงได้แต่นั่งนิ่งไป


   “อ้าว เงียบไปเลย ไม่ชอบผมเหรอ” คราวนี้ บริพัตรไม่ได้ถามอ้อมค้อมอีก กลับยิงตรงประเด็น


   “ใครจะตอบกันล่ะ! น้องภูก็อยู่ด้วย เราไม่ควรพูดจาเรื่องพวกนี้ต่อหน้าเด็กนะครับ” ภูธนาเฉไฉ เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ดี


   “มันเป็นยังไงล่ะ แค่ชอบไม่ชอบ มันดูไม่เหมาะกับเด็กเลยเหรอ น้องภูครับ ชอบอาพัตมั้ยครับ” ประโยคหลังบริพัตรตั้งใจหันไปถามเด็กชายที่ยังดูดนมกล่องไม่หมด


   “ชอบฮะ น้องภูชอบอาพัตเตอร์ที่สุดเลย” เด็กชายตอบออกมาทันทีที่ถูกถาม


   “แล้วน้องภูคิดว่าลุงธนาจะชอบอาพัตมั้ยครับ”


   “ชอบสิฮะ น้องภูชอบ ลุงธนาก็ชอบด้วยอยู่แล้ว”


   “แล้วถ้าลุงธนาไม่ชอบอาพัตล่ะครับ จะทำยังไงดี”


   “ลุงธนาไม่ชอบอาพัตเหรอฮะ” เด็กชายถามโดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝง แต่คำถามนี้กลับถูกใจบริพัตรยิ่งนัก


   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ น้องภู”


   “อาพัตแกล้งลุงธนาเหรอฮะ” เด็กชายยังยิงคำถามต่อ


   “เปล่าหรอกครับ อาพัตไม่ได้แกล้งลุง”


   “แล้วทำไมลุงธนาไม่ชอบอาพัตล่ะฮะ”


   “เปล่าครับ ลุงธนาก็ชอบอาพัตครับ” นี่เขาต้องมาสิ้นหนทางกับความไร้เดียงสาของเด็กน้อยหรือนี่


   “หึหึ ก็แค่นั้นเองเนาะ น้องภู” คนที่กำลังขับรถหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อได้ยินคำตอบที่ถูกใจตนเอง


   “ฮะ ถ้าลุงธนาชอบอาพัตก็บอกตรงๆ สิฮะ น้องภูยังชอบน้องมีมี่เลย” เด็กน้องพูดเจื้อยแจ้ว โดยไม่เห็นว่าตอนนี้ใบหน้าของลุงธนานั้น เริ่มแดง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอร้อนของแดด หรือเรื่องเมื่อสักครู่นี้กันแน่


   “ถ้าคุณง่วงจะนอนพักก่อนก็ได้นะ ถึงกรุงเทพแล้วผมจะปลุกเอง” บริพัตรเอื้อมมือสัมผัสแผ่วเบาที่แก้มขาวคนนั่งข้างๆ


   “ก็ดีครับ ฝากคุณคุยเล่นกับน้องภูด้วยนะครับ”


   “เดี๋ยวสักพักน้องภูก็ง่วงตามคุณแน่นอนล่ะ รถแล่นกับเด็กหลับเป็นของคู่กัน”


   แล้วก็เป็นจริงอย่างที่บริพัตรพูด หลังจากที่ภูธนาหลับไปไม่นาน เด็กชายตัวน้อยที่นั่งอยู่ด้านหลังก็เอนตัวหลับไปเช่นเดียวกัน



   แสงสว่างค่อยๆ หมดไป พร้อมกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับ บริพัตรก็มาถึงที่พักของคนที่กำลังหลับสบายนั้นพอดี



   “ธนา ธนา” บริพัตรเรียกเสียงเบาเพราะกลัวว่าเสียงจะดังจนทำให้หลานชายตื่นขึ้นมา


   “อือ รู้แล้วๆ ตื่นแล้ว เรียกอยู่ได้ คนกำลังนอน” คนถูกปลุกตื่นขึ้นมาหน้ามุ่ย น้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย น้ำเสียงแบบนั้นทำให้บริพัตรแปลกใจไม่น้อยกับในมุมนี้ของคนข้างตัว


   น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ภูธนาไม่ชอบการโดนปลุกให้ตื่นจากการนอน ถึงแม้สถานการณ์ก่อนหน้านี้ที่ทำให้ชายหนุ่มต้องทำงานหนักและต้องตื่นมาดูแลหลานแต่เช้านั้น ก็ไม่มีใครได้มาเห็นอาการยามตื่นนอนแบบนี้



   โดยปกติแล้ว ภูธนาจะตื่นจากเสียงนาฬิกาปลุกที่ทำให้เขาหงุดหงิดใจอยู่แล้ว แต่เมื่อปรับร่างกายสักพักหนึ่งชายหนุ่มจะเริ่มลดความหงุดหงิดลงและเริ่มทำอย่างอื่นต่อไปได้ แต่ครั้งนี้บริพัตรที่ไม่เคยรู้นิสัยส่วนตัวของชายหนุ่มมาก่อน และภูธนาที่แทบจะไม่ได้สัมผัสการโดนปลุกจากสิ่งมีชีวิต จึงทำให้คนที่ถูกปลุกลืมตัวที่จะเอ่ยถ้อยคำแบบนั้นออกมา




   ในคราแรกบริพัตรแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงแบบนั้น แต่สักพักต่อมาชายหนุ่มก็รู้สึกกึ่งขันในอีกมุมของคนข้างๆ ในมุมที่คงไม่มีใครได้เห็น และเป็นอีกมุมที่ทำให้เขารู้สึกรู้จักภูธนามากกว่าเดิม ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีใจลึกๆ ที่ได้เห็นเวลาที่ลุงธนานั้นหลุดมาดของตัวเอง



   นี่แหละนะที่เขาเรียกความรักคงทำให้คนตาบอด อะไรก็เป็นสิ่งดีๆ เรื่องแปลกใหม่ทั้งนั้น



   หลังจากปรับอารมณ์สักพัก ภูธนาจึงลืมตาขึ้นและพบว่าคนที่ปลุกเขากำลังมองเขาด้วยสายตาล้อเลียน ใบหน้าคมคายระบายรอยยิ้มต้อนรับเขา ทำให้ภูธนาเริ่มดึงสติกลับมาได้ว่าเมื่อสักครู่นี้เขาทำอะไรออกไปบ้าง


   “เอ่อ ขอโทษนะครับ”   


   “ขอโทษผม? ขอโทษเรื่องอะไร”


   “ก็ที่ผมพูดจาไม่ดีออกไป”


   “คุณนี่ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจริงๆ แล้วก็มีนิสัยแบบนี้ด้วย” บริพัตรหัวเราะออกมาเหมือนเป็นเรื่องขำขันเรื่องหนึ่ง


   “ใครๆ ก็ต้องมีนิสัยไม่ดีบ้างสิครับ แล้วนี่ถึงไหนแล้วครับ”


   “ลองมองรอบๆ ดูสิ” ภูธนากวาดสายตามองรอบๆ ตามคำบอกของคนขับรถมาตลอดทางและก็พบว่าเป็นลานจอดรถที่พักของตนเอง


   “นี่ผมหลับยาวเลยเหรอเนี่ย ขอบคุณมากนะครับ ที่มาส่ง”


   “ไม่เป็นไร แล้วพรุ่งนี้คุณเลิกงานกี่โมง”


   “ยังไม่รู้เลยครับ ยังไม่ได้คุยกับคุณกันต์เลย”


   “หืม คุณกันต์?” บริพัตรเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ


   “ครับ ตอนนี้คุณกันต์มาเป็นผู้จัดการดูแลงานให้ผม ระหว่างที่ยังหาคนมาแทนไม่ได้น่ะครับ”


   “อ้อ” บริพัตรรับคำสั้นๆ


   “มีอะไรหรือเปล่าครับ”


   “ผมแค่อยากรู้ตารางงานของคุณ”


   “รู้ตารางงานของผมไปทำไมกันครับ”


   “ผมจะได้รู้ไงว่าตอนนี้คุณอยู่ไหน ทำอะไร และทำกับใคร”


   “คุณพัต พูดจาอะไรแบบนั้น ผมจะไปทำอะไรกับใครกันเล่า” ภูธนารีบสวนย้อนกลับไปเมื่อได้ยินคำพูดสองแง่สองง่ามของอีกฝ่าย


   “บอกผมด้วยละกัน”


   “นี่คุณจะเป็นสตอกเกอร์หรือไง”


   “สตอกเกอร์น่ะมันแอบตาม แต่นี่ผมบอกคุณว่าผมอยากรู้ ก็แสดงว่าอยากรู้  คุณก็บอกผมมาก็แค่นั้นเอง หรือว่าคุณลำบากใจ”


   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ แต่ไม่คิดว่าคุณจะสนใจขนาดนั้น”


   “ที่ผมพูดเนี่ย ผมพูดจริงนะ ไม่ได้ขอตารางงานคุณไว้มาดูเล่นๆ” เสียงของชายหนุ่มจริงจังให้เห็นว่าไม่ได้พูดเล่นแม้แต่น้อย


   “แต่ถ้าคุณไม่สะดวกใจ...”


   “ครับๆ เดี๋ยวผมจะส่งให้ ไม่ต้องมาประชดประชันผมหรอก” ภูธนาตัดบทเพราะถ้ายังขืนพูดต่อไป เรื่องคงไม่จบในวันนี้แน่นอน


   “ดีมาก เด็กดีต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่นะครับ”


   “นี่คุณคิดว่าคุณแก่กว่าผมกี่ปีกัน”


   “เอาเป็นว่า มากกว่าคุณก็แล้วกัน ผู้ใหญ่บอกอะไรก็ทำตามเถอะน่ะ อย่าดื้อ” บริพัตรพูดจบ ไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว ก็คว้าคนข้างๆ เข้ามาจูบปิดปากทันที



   ภูธนาไม่ทันตั้งตัวจึงปิดปากแน่นด้วยความตกใจ บริพัตรค่อยๆ ใช้ลิ้นอุ่นแทะเล็มริมฝีปากคนที่กำลังตกใจให้คลายความรู้สึกนี้ออกไป แวะเวียนแทะเล็มริมฝีปากบางจนอีกฝ่ายยอมเปิดปากให้ลิ้นหนาเข้าไปควานหาความหวานภายในปาก



   “อือ อืม” ภูธนาหลุดเสียงคราวแผ่วเบาออกมาโดยไม่รู้ตัว


   “เด็กดี” บริพัตรพูดเพียงเท่านั้นก็ก้มลงจูบปากคนตรงหน้าอีกครั้ง



   กว่าที่ทั้งสองจะผละออกจากการก็ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ มือแกร่งกอดร่างที่บางกว่าเอาไว้ในอ้อมแขน ปลายจมูกโด่งกดหนักลงมาที่ขยับของคนในอ้อมกอดก่อนจะไล่เรื่อยลงมาที่พวงแก้ม


   “พอได้แล้วล่ะครับ เดี๋ยวใครมาเห็น”


   “ถ้าหากว่ามีคนเห็น ก็คงจะไม่ทันแล้วมั้งครับ” บริพัตรพูดเย้าอีกฝ่าย หากว่ามีแสงสว่างมากพอ คงได้เห็นว่าคนที่ห้ามเขานั้นคงมีใบหน้าที่แดงเป็นแน่


   “คุณพัต อย่าพูดอย่างนี้สิครับ” น้ำเสียงภูธนาค่อนข้างร้อนรน เพราะตอนนี้เจ้าตัวไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนแต่ก่อน หากทำอะไรแล้วมีคนพบเห็นคงจะเป็นเรื่องเป็นราวแน่นอน


   “ไม่มีหรอกครับ อย่ากังวลไปเลย คิดเหรอว่าผมจะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ให้ดาราหนุ่มต้องเดือดร้อน”


   “ขอบคุณครับ”


   “ถ้างั้นผมกลับก่อนดีกว่า คุณจะได้พักผ่อนด้วย แล้วอย่าลืมเรื่องที่ผมขอไปล่ะ”


   “เรื่องที่ผมของั้นเหรอครับ นึกว่าเรื่องที่ผมสั่ง”


   “แล้วแต่คุณเลย จะคิดแบบไหนก็ได้ถ้าคุณจะสบายใจ” นอกจากคนตัวใหญ่กว่าจะไม่ขุ่นเคืองกับคำพูดแล้วยังยอกย้อนภูธนากลับไปให้อีกฝ่ายรู้สึกขุ่นเคืองแทนเสียอีก


   “คุณพัต! คุณนี่มันปากร้ายจริงๆ”


   “คุณเองก็เหมือนกันแหละน่า คุณเองก็ชอบผมที่ผมเป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”


   บริพัตรพูดออกมาอย่างกับเป็นภูธนาเอง หากวันที่พบกันนั้นบริพัตรไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาหรือเงียบขรึม ภูธนาคงไม่ได้รู้สึกอยากสนใจจนเปลี่ยนความรู้สึกมาชอบคนตรงหน้าแบบนี้หรอก


   “ผมพูดถูกใช่มั้ยล่ะ เด็กดื้อ” มือใหญ่ดีดหน้าผากคนข้างๆ ไม่เบานัก


   “โอ้ย ผมเจ็บนะ คุณทำอะไรเนี่ย”


   “ก็แกล้งคนแล้วสนุกดี”


   “ผมไม่อยู่กับคุณแล้ว ไปละ” พูดจบภูธนาก็รีบลงจากรถทันที แล้วรีบเดินกลับไปยังทางเข้าที่พักทันที แต่เมื่อออกเดินได้สองสามก้าว ก็รีบเดินกลับมาที่รถอีกครั้ง บริพัตรแปลกใจในการกระทำนั้นหรือว่าจะลืมของ


   บริพัตรลดกระจกลงเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินมาถึงตัวรถแล้ว


   “กระเป๋าครับ”


   “จริงสินะ” บริพัตรนึกขึ้นได้เช่นเดียวกัน ชายหนุ่มเตรียมจะลงจากรถเพื่อไปหยิบกระเป๋า


   “ไม่ต้องหรอกครับ คุณเปิดหลังรถมาก็พอ เดี๋ยวผมหยิบเอง”


   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมหยิบให้”


   “ผมบอกว่าไม่ต้องยังไงเล่า เดี๋ยวผมหยิบเอง”


   “คร้าบๆ ใครกันแน่ที่ชอบออกคำสั่ง” บริพัตรตั้งใจพูดให้อีกฝ่ายได้ยิน ในขณะที่เปิดหลังรถ


   สักพักก็ได้ยินเสียงประตูด้านหลังปิดลง ภูธนากลับมาที่เดิมอีกครั้งและมองเข้าไปที่คนนั่งหลังพวงมาลัย


   “ขอบคุณครับ ผมไปล่ะนะ ฝากดูแลน้องภูด้วยนะครับ เขาสำคัญกับผมมาก”


   “ถึงคุณไม่บอก ผมก็ต้องดูแลเขาอย่างดีอยู่แล้วครับ ไม่ต้องห่วง ผมกลับแล้วนะ” บริพัตรโบกมือลาให้คนที่ยืนอยู่ข้างรถ และปรับระดับหน้าต่างรถขึ้นปิด เตรียมที่จะออกตัว


   แต่ยังไม่ทันจะได้ออกตัว ภูธนาก็เคาะกระจก บริพัตรจึงลดระดับหน้าต่างลงอีกครั้งหนึ่ง


   “ลืมของอะไรอีกหรือ”


   “เปล่าครับ ไม่ได้ลืมของ แต่ลืมบอกไปน่ะครับ”


   “ว่า?”


   “ลืมบอกไปว่าอย่าขับรถเร็วเกินไปนัก และขับรถดีๆ ด้วยนะครับ ผมเป็นห่วง”


   “พูดแบบนี้เปลี่ยนใจค้างที่นี่เลยได้มั้ย”


   “กลับไปได้แล้ว ถึงบ้านแล้วบอกผมด้วย ฝันดีนะครับ”


   “ตกลงครับ เดี๋ยวผมจะทำตามคำสั่งทุกประการเลยครับ”




----------

Talk :.

ขอโทษทีค่า หายไปอาทิตย์กว่าๆ เลย มาต่อตอนใหม่ให้แล้วนะคะ หมดสต๊อกที่แต่งล่วงหน้าไว้แล้ว
ตอนต่อไปจะรีบปั่นมาให้อ่านกันนะคะ

กลับมาเมืองไทยแล้ว อากาศร้อนมากกกก ถึงมากที่สุด ฮ่าๆ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านเน้อ แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด