บทที่ 9 ผู้มาใหม่
ภายใต้ร่มไม้ใหญ่อันร่มรื่น เด็กชายผู้หนึ่งนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดกระสับส่ายตัวไปมาไม่หยุด ริมฝีปากน้อยขบเคี้ยวก้านหลิวบรรเทาอาการท้องไส้กิ่ว มือหนึ่งก็ลูบท้องอันน่าสงสารป้อยๆ หากยังไม่มีของตกถึงท้องอีก เกรงว่าเขาต้องกลายเป็นงูตากแห้งสถานเดียวแล้ว คิดถึงตรงนี้เงาร่างอันเป็นความหวังก็พลันพาดทอลงมา
หงลิ่วรีบหันไปกล่าวน้ำเสียงสดใส “พี่ใหญ่ในที่สุดท่านก็กลับมาสักที ไหนๆอาหารของข้า”
ฉับพลับที่เห็นสองมือคู่ใหญ่ว่างเปล่า รอยยิ้มของหงลิ่วก็ชะงักค้าง มิใช่ว่าก่อนหน้านี้ท่านบอกจะออกไปหาอาหารหรือ แล้วเหตุไฉนจึงไม่มีสิ่งใดติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง รึมันจะซ่อนอยู่ในอกเสื้อ?
“ไป” น้ำเสียงห้วนเอ่ยขึ้น หงเว่ยก้าวข้ามร่างที่ทำตาโตเท่าไข่ห่านไปเก็บกระบี่เล่มหนึ่งที่วางไว้ข้างกายเจ้าตัวอย่างมิสนใจ
ความเย็นชาแลเผด็จการของพี่ใหญ่ใช่ว่าเขามิคุ้นเคย แต่ครั้งนี้เพียงกล่าวคำเดียวก็ต้องไป แล้วท้องไส้หิวโหยของเขาเล่า “พี่ใหญ่ ท่านทำเกินไปแล้ว ต่อให้ต้องรีบไปพบหงอู่ก็มิเห็นต้องถึงขนาดละเลยท้องของข้า” ประท้วงจบก็โชว์เสียงร้องโครกครากราวกับแผ่นดินไหวให้อีกฝ่ายฟัง
“.......” หงเว่ยเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ปรายตามองผู้เป็นน้องชาย “เจ้าควรบำเพ็ญตนให้มากกว่านี้”
ประโยคเดียวทำเอาหงลิ่วหน้าสลด ตัวซูบซีดลงเฉกเช่นลูกนกที่มิอาจพองขน นับดูแล้วเขาบำเพ็ญตนมาครบเจ็ดวัน ระหว่างวันมีเพียงน้ำสะอาดที่ตกถึงท้อง ล่วงเลยถึงวันนี้ก็ยังต้องอด รู้เช่นนี้เขาคงไม่งอแงออกปากติดตามพี่ใหญ่ไปเผชิญกับโลกหล้า อยู่ช่วงหงอู่ทำนาใช้ชีวิตเรียบง่ายเสียดีกว่า
เด็กน้อยอยากร้องไห้ก็ร้องมิออก ได้แต่เดินตามหงเว่ยต้อยๆ ไปอย่างนั้น กระนั้นพอเห็นพี่ชายเลี้ยวผิดทางก็ส่งเสียง “พี่ใหญ่ทางลงเขาอยู่ทางนี้”
“ข้ามิได้จะลงเขา”
“หือ” หงลิ่วงงงัน เป็นเพราะเขาต้องฝึกตนระยะสั้น ทำให้การเดินทางไปหาหงอู่นั้นล่าช้าไปกว่ากำหนดเดิม แลหากช้าไปกว่านี้...สองมือพลันลูบก้นน้อยๆ “แต่หากมิรีบไปอีก หงอู่จะตีข้าจริงๆนะ”
เงียบงันอยู่เนิ่นนานหงเว่ยก็เอ่ยเสียงเรียบ “ข้า...รับผิดชอบเอง”
“เอ๋ จริงเหรอ” รับฟังแล้วก็โล่งใจ จะอย่างไรหงอู่ก็มิกล้าขัดอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว หงลิ่วเริ่มคึกคักกว่าเดิม จนกระทั่งสังเกตเห็นพี่ใหญ่ตรงไปยังทิศทางหนึ่งก็เริ่มเอะใจ “นี่มันทางไปยังถ้ำที่ข้าบอกเด็กหนุ่มประหลาดคนนั้นนี่นา”
“......”
มองแผ่นหลังที่ไร้วาจาก้าวย่างไม่หยุด หงลิ่วก็อุทานเสียงดัง “เอ๊ะ หรือว่าพี่ใหญ่เจอเขาเข้าแล้ว”
“......” ครานี้หงเว่ยชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินต่อ ทว่าท่าทีเล็กน้อยเหล่านี้กลับมิอาจเล็ดลอดไปจากสายตาฉับไวของหงลิ่วไปได้
“สวรรค์ ท่านเองก็ถูกเขาลวนลาม” นี่ไม่ธรรมดาแล้ว ถึงกับสามารถแตะต้องตัวพี่ใหญ่ได้
“......”
ผู้เป็นพี่ยังคงเมินมิตอบคำถาม ทำให้หงลิ่วต้องลุกลี้ลุกลนวิ่งไปดักหน้าพี่ชายเอาไว้ ครั้นสบใบหน้าคมคายได้เต็มตา เด็กน้อยก็มีอันตะลึงลานไป
“ทำไม? มีกระไรติดหน้าข้ารึ” หงเว่ยกระแอมไอเอ่ยเสียงเข้ม
“อ่ะ...เอ่อ ไม่มีอะไร ไม่มีๆ ฮ่า ฮ่า” หงลิ่วหลบหน้า เหงื่อผุดผาดที่แนบข้างแก้ม เขาใช่ตาฝาดไปรึไม่ พี่ใหญ่ถึงกับ...หน้าแดง
สิ้นสุดบทสนทนาอันสั้น บรรยากาศโดยรอบก็พลันเปลี่ยนเป็นน่าอึดอัด สองพี่น้องนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ จนในที่สุดคนที่มิค่อยกล่าววาจาก็เป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยขึ้นก่อน
“สีหน้าเขาดูไม่ดี มิอาจนิ่งดูดาย”
หือ ประโยคที่คล้ายกล่าวลอยๆขึ้นนั้นทำให้หงลิ่วต้องลอบมองพี่ชายอีกครั้ง ก่อนจะแลเห็นสีแดงระเรื่อที่ฉาบทับบนใบหน้าที่มักตายด้านอย่างทุกที เขาเบิกตาโต...เขามิได้มองผิดไปจริงๆ
พี่ใหญ่ที่มักแสดงสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ขนาดที่เขาโดนหงอู่ตีจนก้นบวมฉึ่งน้ำตาแตกก็ไม่มีแม้แต่ความเห็นใจ ทั้งเสนอตัวช่วยส่งไม้เรียวอันใหม่ให้ ยังสามารถแสดงสีหน้าเขินอายเช่นนี้ได้ด้วย
หงลิ่วค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราว ดูว่าความเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเชื่อของพี่ใหญ่นี้จะเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มที่ตนเคยช่วยไว้ แลระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนักนั้น จู่ๆเจ้าของฝีเท้ามั่นคงที่เบื้องหน้าก็พลันหยุดลง พลอยทำให้เขาต้องหยุดตัวลงถามอย่างสงสัย “มีอะไรรึพี่ใหญ่”
หงเว่ยหลุบตาต่ำก้มหน้ามองดูดอกไม้ป่าที่เบ่งบานบนพื้น “เจ้าหก เจ้าคิดว่า...” บุรุษหนุ่มเว้นเสียงไปเล็กน้อยอย่างสับสน จากนั้นจึงตัดสินใจกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าอ้วนไปรึไม่”
“.......” แท้จริงแล้วคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ต้องเป็นปีศาจจิ้งจอกที่จำแลงกายมาหลอกเขาเป็นแน่ หงลิ่วพยักหน้าสรุปในใจอย่างที่ไม่เคยมั่นใจอะไรได้เท่านี้มาก่อน *****************************************************
ร่างเล็กออกไปได้สักพัก ชายหนุ่มที่อยู่เพียงลำพังก็ค่อยๆยันกายขึ้นพิงผนังถ้ำ ทว่าด้วยร่างกายที่บาดเจ็บทำให้การเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความทุลักทุเล เหงื่อกาฬผุดผาดแนบหน้าผาก ลมหายใจกระชั้น
เห็นทีร่างกายเขาคงยากแก่การฟื้นฟูในระยะเวลาอันสั้น ซวนหยวนหมิงไท่กุมบาดแผลที่หน้าท้อง สีหน้าเคร่งเครียดไปหลายส่วน ตอนนี้มิรู้ว่าเหล่าองครักษ์และเสี่ยวลู่จะเป็นตายร้ายดีเช่นไร อีกทั้งยังมิรู้ว่าเงามืดที่ชักใยอยู่เบื้องหลังกลุ่มนักฆ่านั้นเป็นใครกันแน่
ประหนึ่งศัตรูอยู่ในที่ลับ เขาอยู่ในที่แจ้ง เดิมทีการที่เขาเป็นผู้แทนพระองค์ออกตรวจราชการลับ นอกจากองครักษ์ประจำตัวแล้วนับว่ามีคนรู้เพียงหยิบมือ แต่แล้วทำไมนักฆ่ากลุ่มนั้นจึงโจมตีพวกเขาระหว่างเดินทางกลับไปยังเขาหวงซานได้ถูกที่ถูกเวลากันเล่า
นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้นหรือ?
หึ ซวนหยวนหมิงไท่เหยียดยิ้มมุมปาก เกรงว่าเป็นเพราะข้อมูลรั่วไหลเสียมากกว่า ในกลุ่มองครักษ์จะต้องมีเกลือเป็นหนอน เพราะในทุกๆเมืองที่พวกเขาผ่าน ล้วนมีองครักษ์ประจำพระองค์อีกกลุ่มหนึ่งเดินทางล่วงหน้าเพื่อเตรียมการช่วยเหลือในพื้นที่
รัชทายาทถอนหายใจยาวได้แต่สรุปว่าเพลานี้มิควรหุนหัน ถึงตอนนี้กองไฟที่เคยให้แสงสว่างก็ดับมอดลง เขาพลันทอดสายตาไปยังปากทางเข้าถ้ำ ความจริงร่างเล็กออกไปนานแล้วมิใช่หรือ ไยจึงยังมิกลับมาอีก
นั่งชะเง้อรอคอยอยู่ได้ไม่นาน ก็ฝืนยืนหยัดออกไปตามหาคนอย่างร้อนใจ นี่เป็นเขาเลอะเลือนปล่อยให้ร่างเล็กออกไปเพียงลำพัง หากเจ้าตัวพบกับพวกนักฆ่าเล่า “ไป๋เซ่อ” เขาตะโกนร้องเรียกไปทั่วบริเวณ
ถึงเพลานี้ก็มิกลัวพบมือสังหารอีก เพียงกลัวมิได้พบร่างเล็กเสียมากกว่า ซวนหยวนหมิงไท่พร่ำเรียกราวกับคนเสียสติ ต่อเมื่อมาถึงทางลาดชันสองขาที่ก้าวอย่างเร่งรีบก็เกิดไม่สัมพันธ์กัน ส่งผลให้เขาสะดุดล้มกลิ้งไปหลายตลบ ทว่าไม่นานนักเสียงร้องตกอกตกใจก็ดังขึ้นไม่ไกลนัก
“ซวนหยวนหมิงไท่” เห็นคนที่กลิ้งลงมาคลุกฝุ่นด้วยสีหน้าเจ็บปวด ไป๋เซ่อซึ่งมือหนึ่งหอบหิ้วผลไม้ อีกมือหนึ่งถือใบบัวที่บรรจุด้วยน้ำสะอาดก็รีบวิ่งเข้าไปหา
“เจ้าเป็นบ้าอะไร ถึงได้มากลิ้งเล่นแถวนี้ มิกลัวพวกมือสังหารจะมาตัดศีรษะเจ้ารึ หากต้องการไปพบยมบาลนักก็บอกข้ามา ข้าจะส่งเจ้าไปเอง” ไป๋เซ่อถลกแขนเสื้อขึ้นอย่างมีโทสะ ก่อนที่จะเผลอสบกับดวงตาใสแป๋วคล้ายเด็กที่กระทำความผิดก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
จะมีสักกี่คนกันเชียวที่กล้าตำหนิเขาด้วยความห่วงใยเช่นนี้
ซวนหยวนหมิงไท่จับจ้องมองร่างเล็กอย่างลึกซึ้ง มาตรแม้นถูกตำหนิก็ไม่คิดจะตอบโต้ แต่ทว่าท่าทีเหล่านี้ไป๋เซ่อกลับไม่คุ้นเคย ยังผลให้อึกอักทำตัวไม่ถูก สุดท้ายจึงแสร้งทำรำคาญใจ
“ยังจะจ้องหาอันใด ไปๆ ข้าจะพยุงเจ้ากลับ”
กว่าที่คนทั้งสองจะกลับเข้าไปในถ้ำได้สำเร็จ ไป๋เซ่อที่สองมือเต็มไปด้วยข้าวของ อีกทั้งยังต้องช่วยพยุงร่างสูงก็หอบแฮก ด้านชายหนุ่มที่นั่งพิงผนังถ้ำเย็นชืดก็แลดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ริมฝีปากบางแตกระแหง
“เจ้าดื่มน้ำสักหน่อย”
รับน้ำที่ยื่นส่งมาขึ้นดื่มอย่างว่าง่าย ด้านไป๋เซ่อก็หันไปง่วนกับผลไม้ป่าที่เก็บมา ซวนหยวนหมิงไท่มองคนที่กินอย่างมีความสุข จากนั้นจึงกล่าว “หากข้าเป็นเพียงคนธรรมดามิได้มีอำนาจอันใด เจ้ายังจะช่วยข้าแบบนี้อยู่อีกรึเปล่า”
“เรื่องของเจ้า” ไป๋เซ่อกัดสาลี่คำโตกล่าวตอบห้วนๆ
สีหน้าของรัชทายาทหนุ่มพลันหม่นหมอง ความผิดหวังและความโดดเดี่ยวกอบกุมภายจิตใจลึกๆ ในอกคล้ายมีบางสิ่งที่อัดอั้นมิอาจระบายมันออกมาได้
“เจ้าจะเป็นใครก็เรื่องของเจ้า ข้าน่ะเป็นงูเผือกสวรรค์ มือขวาของท่านมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ก็พอแล้ว”
รับฟังแล้วดวงตาที่เฉกเช่นแสงตะวันก็ทอประกายระยิบระยับ นี่หมายความว่าไม่ว่าเขาจะเป็นใคร อีกฝ่ายก็มิได้สนใจตั้งแต่แรกใช่รึไม่ ความผิดหวังที่ได้รับก่อนหน้ากลับสลายหายไปปลิดทิ้ง ริมฝีปากขยับยกยิ้ม ก่อนที่จะเผลอเอ่ยประโยคในใจออกมา
“ข้าชอบเจ้า”
ทว่าเสียงที่ดังออกมากลับเป็นเพียงน้ำเสียงเบาบางและอ่อนโยน ไป๋เซ่อหันหน้าไปยังต้นเสียง คลับคล้ายอีกฝ่ายกล่าวอะไรบางอย่าง อะไรข้า อะไรเจ้า ฟังไม่รู้เรื่อง “หือ เจ้าพูดกระไรงั้นรึ”
“ไม่มี ไม่มีอะไร”
ไป๋เซ่อมองซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มจนตาเป็นเส้นโค้งอย่างงงัน ก่อนจะกลับไปเคี้ยวแก้มตุ้ยๆ เอ่ยเสียงอู้อี้ “ว่าแต่เจ้าเถอะ แผลเป็นเช่นไรบ้าง อักเสบรึไม่”
“อ่อ” ชายหนุ่มอือออ จากนั้นก้มหน้าลงแหวกสาบเสื้อ ผิวกายที่ขาวซีด หัวไหล่นวลเนียนค่อยๆเปิดโล่งสู่สายตา เส้นผมที่ไร้การมวยมุ่นปล่อยยาวสยายขับดันให้เจ้าของร่างดูมีเสน่ห์มากขึ้น
สาลี่ครึ่งลูกที่กัดค้างอยู่ในปากร่วงผล็อย ไป๋เซ่อเผลอชมดูเรือนร่างเปล่งประกายแม้ในยามเจ็บป่วยอย่างโง่งม กระทั่งน้ำลายเอ่อล้นจนถึงมุมปาก เขาก็ได้สติ “ว๊ากกก โรคจิต เจ้าจะทำอะไร”
โรคจิต...ซวนหยวนหมิงไท่กรอกตาไปมา หากคนอย่างเขาโรคจิต แล้วคนที่ลอบมองร่างกายผู้อื่นจนถึงขั้นน้ำลายหก ยังจะมีสิทธิ์ว่ากล่าวผู้อื่นอีกกระนั้นหรือ เขาพ่นลมทางจมูก แสร้งกล่าวน้ำเสียงซื่อ
“อา จะว่าไปแล้ว วันนี้ข้าตื่นขึ้นมาเพราะคล้ายรู้สึกถึงหยดน้ำจำนวนหนึ่ง แต่มาตอนนี้ดูๆไปแล้วถ้ำแห่งนี้ก็มิได้อับชื้นถึงขั้นมีน้ำค้างเกาะ เช่นนั้นเจ้าว่ามันคืออะไรกัน”
ร่างเล็กผงะ นึกถึงเรื่องน่าอับอายก่อนหน้านี้ “ฝะ...ฝน เมื่อคืนฝนตกหนัก ต้องเป็นเพราะฝนแน่ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พร่ำพูดจบก็พยายามหัวเราะกลบเกลื่อน “แต่เดี๋ยวๆ เจ้าเข้ามาใกล้ข้าทำไม”
“อ้าว มิใช่เจ้าอยากดูหรือ”
“มารดามันเถอะ ใครอยากดูเรือนร่างเจ้ากัน” ไป๋เซ่อสบถ ทั้งรีบยกสองมือขึ้นปิดตา แต่แล้วทำไมถึงยังเห็นกล้ามหน้าท้องอันแน่นขนัดของอีกฝ่ายชัดนักล่ะ
“เอ่อ ข้าให้เจ้าดูแผล” เขาบอกคนที่มองลอดหว่างนิ้ว สติดูเลื่อนลอยไปอีกครั้ง
“อ้ะ อื้อ...ก็แผลเจ้าน่ะสิ” เมื่อตั้งสติกลับมาได้อีกครั้ง ไป๋เซ่อก็ถลึงตาตวาดกลบเกลื่อน
“......” ซวนหยวนหมิงไท่มองคนที่กล่าวขัดแย้งกับความเป็นจริงแล้วก็ต้องลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ มือหนึ่งเลิกชายเสื้อให้มากขึ้นกว่าเดิม
“หนอย เจ้าคิดปั่นหัวข้าชัดๆ”
“ข้าไม่เข้าใจ เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร” ***********************************************
ระหว่างที่ทุ่มเถียง เสียงฝีเท้าสองคู่กลับใกล้เข้ามา ซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อที่ประสาทสัมผัสไวต่างรีบพากันอุดปากของแต่ละฝ่าย ก่อนจะจ้องมองไปที่ปากทางเข้ากันอย่างพร้อมเพรียง หวังว่าคงจะมิใช่กลุ่มนักฆ่าหรอกนะ
“เฮ้ ที่นี่มีใครอยู่บ้าง”
ลุ้นกันเสียจนเหงื่อแทบตก สุดท้ายกลับกลายเป็นเสียงเด็กชายอายุราวสิบถึงสิบสอง ไป๋เซ่อรีบงับฝ่ามือชายหนุ่มจนร้องโอ๊ยทีหนึ่งแล้วตะโกนถามคนที่อยู่ด้านนอก “เจ้าเป็นใคร”
“พวกเราเป็นหมอที่เดินทางไปทั่วทุกสารทิศ หากพวกท่านไม่ว่ากระไร ขอพวกเราพักที่นี่สักสองสาม...เฮือก” เด็กน้อยผู้มีดวงตากลมเดินเข้ามาในถ้ำต้องสะดุ้งเฮือก
ด้านในถ้ำปรากฏเป็นภาพบุรุษสองคน ซึ่งผู้หนึ่งอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน ท่าทางอิดโรยไร้เรี่ยวแรง แต่ที่สะดุดตาคือฝ่ามือที่มีรอยกัดชุ่มด้วยน้ำลายที่เยิ้มหมาดๆ ส่วนอีกผู้หนึ่งสาดสายตาหิวกระหาย ริมฝีปากเหยียดยิ้มประหนึ่งผู้ที่อยู่เหนือกว่า
“เอ่อ ข้ามิรบกวนแล้ว ประเดี๋ยวจะกลับมาใหม่ พวกท่านมิต้องรีบกันนัก” โอ้ สวรรค์ ข้ายังเด็กถึงเพียงนี้ มิสมควรรับรู้เรื่องเช่นนี้ หงลิ่วบิดตัวอายม้วน ก่อนจะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว หากแต่กลับชนเข้ากับบุรุษร่างสูงอย่างจัง ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องสบเข้ากับใบหน้าดำทะมึน
ด้านไป๋เซ่อก็รีบผละตัวจากซวนหยวนหมิงไท่ไล่ตามเด็กชายไป “เดี๋ยว พวกเจ้าบอกว่าเป็นหมอหรือ”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ใช่แล้ว” หงลิ่วตอบ ดูว่าถ้าเขาตอบว่ามิใช่แล้วหันหลังจากไป พี่ใหญ่ที่ยืนคุมด้านหลังต้องเอาเขาตายแน่
“ดีๆ ทางนี้” ไป๋เซ่อฉีกยิ้ม สองมือฉุดลากตัวเด็กชายตัวน้อยเข้าไปในถ้ำ “เจ้าลูกเต่า หมอมาแล้ว”
“หมอ?” ซวนหยวนหมิงไท่เลิกตามองเด็กที่ยังไม่โตถูกลากเข้ามาอย่างฉงน แลต่อเมื่อบุรุษร่างสูงก้าวเข้ามาทีหลังอย่างแช่มช้า ดวงตาสีดำก็สับเปลี่ยนเป็นคมกล้าในทันที “เจ้าเป็นหมอ”
เป็นเพราะน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความสงสัยดังขึ้น หงเว่ยที่ไม่เคยจะเห็นหัวใครนัก จึงค่อยๆชายตามองไปทางบุรุษที่กึ่งนั่งกึ่งนอนตรงหน้าอย่างชืดชา “ใช่”
ถ้อยคำห้วนสั้นจบลง บรรยากาศโดยรอบแปรเปลี่ยนเสมือนพายุโหม ดวงตาสองคู่ประจันมองกันอย่างไม่ลดละ ด้านไป๋เซ่อและหงลิ่วได้แต่มองคนทั้งคู่จ้องกันราวจะกินเลือดกินเนื้อกันอย่างงงงัน
ครั้นเห็นท่าไม่ดี หงลิ่วผู้ฉลาดเฉลียวก็ตัดสินใจดึงชายเสื้อปรามผู้เป็นพี่ชาย รอจนหงเว่ยหลุบตาลงอย่างสงบเสงี่ยม เด็กน้อยก็กล่าวเจื้อยแจ้ว “พี่ชายท่านนี้ ข้าหงลิ่ว ส่วนคนนี้เป็นพะ”
“พี่ชาย ข้าเป็นพี่ชาย...มิใช่บิดา” จู่ๆหงเว่ยก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สีหน้าจริงจังนั้นจ้องเขม็งไปที่ไป๋เซ่อ
ด้วยท่าทีแปลกประหลาดของหงเว่ยส่งผลให้หงลิ่วเหงื่อตกรีบเสริมกล่าว “ใช่ เขาเป็นพี่ชายข้า นามหงเว่ย ส่วนพวกเจ้า...”
“ข้าไป๋เซ่อ ส่วนเจ้าคนที่นอนแบบอยู่ตรงนั้นเรียกว่า”
“หมิงไท่ ข้ามีนามว่าหมิงไท่” ซวนหยวนหมิงไท่ตัดบท เนื่องด้วยการบอกนามแท้จริงในตอนนี้ มิต่างกับการรนหาที่ตาย โดยเฉพาะเมื่อศัตรูเขาอยู่ในที่ลับ ดังนั้นเขามิอาจวางใจใครได้ “พวกเจ้าดูท่าทางไม่เหมือนหมอ” ประเมินมองแล้วหนึ่งเด็กหนึ่งบุรุษตรงหน้ามิได้มีลักษณะของหมอเลยสักนิด กระทั่งกลิ่นอายที่ติดตัวก็มิได้มีกลิ่นสมุนไพรแม้แต่น้อย และยิ่งท่าทีเย็นชาราวน้ำแข็งที่ไร้ความเมตตาของ...
“ใช่รึไม่ ลองให้พี่ชายข้าตรวจดู พวกท่านจะรู้เอง” ก่อนที่ศึกสายตาจะเริ่มต้นอีกครั้ง หงลิ่วก็ขัดจังหวะ ครั้นพูดจบก็ผลักพี่ชายเข้าไปใกล้คนทั้งสอง
ถึงตอนนี้หงเว่ยที่ถูกดันตัวไปข้างหน้าก็ก้าวออกไป ใช้นิ้วมือที่เรียวยาวคว้าจับมือเรียวเล็กขึ้นมาอย่างมิให้ตั้งตัว แตะสัมผัสชีพจรที่เต้นเป็นจังหวะอย่างอ่อนโยน ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับถลึงตากร้าว เนื่องด้วยมิชอบใจกับการกระทำนี้นัก
“นี่เจ้าตรวจผิดคนแล้ว คนเจ็บอยู่ทางนู้นต่างหาก” ไป๋เซ่อกล่าวด้วยอาการมึนงง ไม่ว่าใครต่างดูก็รู้ว่าเขามิใช่คนป่วยทั้งนั้น
“หงเว่ย เรียกข้าหงเว่ย” หงเว่ยขมวดคิ้วขึ้นน้ำเสียงทุ้มแกมบังคับ แม้เบื้องนอกฟังดูเย็นชา หากแต่ลึกๆแล้วกลับซ่อนไว้ด้วยความชิดเชื้อประการหนึ่ง “ตอนนี้ดวงตาของเจ้าทื่อนัก เป็นเพราะเจ้าฝืนใช้กำลังเกินตัว ต่อไปนี้ห้ามกระทำการหุนหัน”
“เจ้ารู้” ไป๋เซ่อขึ้นเสียงสูง อาการเหล่านี้มิใช่ว่าหมอธรรมดาจะตรวจพบได้ เห็นทีพวกเขาโชคดีเจอหมอเทวดาเข้าแล้ว
หมายความว่าเยี่ยงไร ดวงตาทื่อ ใช้กำลังเกินตัว ซวนหยวนหมิงไท่ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ รึมีบางอย่างเกิดขึ้นกับไป๋เซ่อในตอนที่เขาหมดสติไป
“ส่วนเจ้า มิจำเป็นต้องตรวจ” หงเว่ยกล่าวโดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลซวนหยวนหมิงไท่ เขาหันไปบอกกับน้องชาย “เจ้าหก เจ้ารับผิดชอบหาสมุนไพรมารักษาเขา”
“เห ข้าเหรอ ทำไมข้า? แล้วท่าน?” เลิกตาโตพร้อมทั้งชี้หน้าตนเอง กระทั่งผู้เป็นพี่ใหญ่สาดสายตาอำมหิตใส่ เด็กน้อยก็หุบปากโดยเร็ว
“ข้าจะดูแลรักษา...ไป๋เซ่อ” ถึงประโยคนี้สายตากร้าวก็ดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด หงเว่ยมองใบหน้าเย้ายวนขี้เล่นคราหนึ่งก็หลุบตาลงกล่าวเสียงเบา “เจ้ามิต้องห่วง มีข้าเจ้าจะมิเป็นไร”
คนผู้นี้กล่าวราวกับตนป่วยหนักแทบเป็นแทบตาย ไป๋เซ่อเกาศีรษะจนดังแกรกๆ ด้านบุรุษแปลกหน้าเองก็มิรอให้เขาหายงุนงง กลับก้าวฉับๆมุ่งมั่นไม่เหลียวแลสิ่งใดออกไป เหลือไว้เพียงหงลิ่วที่อ้าปากเหวอ ก่อนจะผลุนผลันติดตามพี่ชายไป
“พี่ใหญ่ รอข้าด้วย” *****************************************************
ผู้มาใหม่ประเดี๋ยวมาประเดี๋ยวไป ทำให้บรรยากาศกลับมาสงบอีกครั้ง ซวนหยวนหมิงไท่ที่นั่งเงียบมาพักหนึ่งก็โพล่งถาม กลิ่นอายรอบตัวเปี่ยมไปด้วยความกดดัน “ไปเซ่อ ก่อนหน้านี้เจ้าช่วยข้ามาได้อย่างไร”
ไป๋เซ่อผงะไปเล็กน้อย แต่แสร้งทำเป็นแค่นเสียงกลบเกลื่อน “เฮอะ ถามโง่ๆ หลังจากที่เจ้าหมดสติไป ข้าก็ย้อนกลับไปลากตัวเจ้ามาที่นี่น่ะสิ”
“แล้วระหว่างที่เจ้าพาข้ามาที่นี่ เจ้ามิได้พบกับคนร้ายชุดดำสักคน”
“ไม่ ไม่นี่” ไป๋เซ่อตอบสั้นๆ ก่อนจะหลบสายตาอย่างมีพิรุธ
“เจ้าโกหก” ถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็ลุกพรวดตวาดเสียงแข็ง พลางก้าวเข้าไปประชันหน้ากับร่างเล็ก “แล้วทำไมเขาถึงบอกว่าเจ้าฝืนใช้กำลังเกินตัว ยังมีดวงตาที่ทื่อลงนั้นอีก เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดจึงต้องปิดบังข้า หรือแท้จริงแล้วสำหรับเจ้าข้ามิใช่...” คนสำคัญหรอกหรือ
“แล้วทำไมข้าต้องบอกเจ้า” เมื่อโดนไล่ต้อนไป๋เซ่อก็แหงนคอมองคนที่เสียสติ ก่อนจะโต้ตอบอย่างไม่พอใจ
“เจ้ายังไม่รู้?” ซวนหยวนหมิงไท่กัดฟันแน่น ริมฝีปากเม้มจนเห็นเป็นเส้นตรง กระทั่งครู่หนึ่งจึงสามารถพรั่งพรูประโยคที่อัดอั้นภายในออกมาได้ “แล้วเจ้าไม่คิดบ้างว่าข้าจะเป็นห่วงเจ้า”
ดวงตาสีดำที่มักเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ในเพลานี้กลับมีแต่ความเศร้าเสียใจประการหนึ่ง รัชทายาทหนุ่มถ่ายทอดคำดังกล่าวจบแล้วก็หันตัวกลับไป แผ่นหลังอันโดดเดี่ยวสะท้อนเข้าสู่ดวงสีฟ้าอมเขียว ไป๋เซ่อพลันสะอึก รู้สึกพูดเกินไปอยู่บ้าง
“นี่ ซวนหยวนหมิงไท่”
ลองร้องเรียกคนที่กลับไปนั่งหลับตากอดอกอยู่เงียบๆ แต่กระนั้นก็มิได้มีเสียงตอบรับกลับมา คล้ายตนถูกขวางกั้นไว้ด้วยกำแพงที่มองไม่เห็น หัวใจของไป๋เซ่อพลันเจ็บหนึบอย่างไรบอกไม่ถูก ครั้นหันรีหันขวางอยู่พักหนึ่งก็เข้าไปทรุดนั่งใกล้ๆชายหนุ่มอย่างหงอยๆ
“ความจริงแล้วข้ามิได้ต้องการปิดเจ้า เพียงแต่ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องกังวล”
“.......”
ไป๋เซ่อง้องอน หากแต่ก็มิได้ผล ในที่สุดได้แต่ยอมเปิดปาก“บนพิภพมนุษย์นั้นทุกสรรพสิ่งล้วนมีชะตาชีวิตเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะดีเลวเช่นใด พวกเราได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามครรลอง มิอาจก้าวก่ายตัดสินทำลายชีวิตใดด้วยอารมณ์ความรู้สึกของตนได้ นี่ถือเป็นกฎเบื้องต้นของเหล่าเทพเซียนบนพิภพสวรรค์ ไม่เว้นแม้แต่สัตว์เทพเทวะอย่างข้า หากแต่ว่าวันนั้น...”
ร่างเล็กนิ่งเงียบนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วก็ตัวสั่นน้อยๆ แม้ตนจะกำจัดปีศาจไปมากมาย แต่กระนั้นกลับเป็นครั้งแรกที่ตนลงมือฆ่าคน “ข้าจำต้องฝืนกฎนั้น”
ราวกับแผ่นดินถล่ม ประโยคดังกล่าวทำให้ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่เบิกโพลงวูบ มองไป๋เซ่อที่นั่งกอดเข่าเอ่ยน้ำเสียงเศร้า
“ดังนั้นข้าจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน ดวงตาพันลี้ของข้าก็เลย” นี่เป็นเหตุที่ทำให้เขาเดินวนเวียนตามหาทสถานที่ปลอดภัยอยู่นานสองนาน ซึ่งการที่ดวงตาเขามิอาจใช้ออกได้เหมือนเดิม ยังผลให้เขาตื่นกลัวอยู่ลึกๆ
“พอแล้ว ไป๋เซ่อ มิต้องพูดแล้ว” พลันโถมตัวกอดร่างเล็กที่ตัวเริ่มสั่นเทาไว้ ถึงตอนนี้จึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดทำไมร่างเล็กต้องปิดบังเอาไว้
มาตรว่าต้องสูญเสียพลังฝีมือที่มีอยู่ มีใครบ้างที่ไม่รู้สึกสิ้นหวัง ยิ่งคนที่มั่นใจในตนเองเช่นไป๋เซ่อ กลับต้องสูญเสียความสามารถไป...เพราะเลือกช่วยเขา
“ไป๋เซ่อ ข้า...ข้า” พอคิดว่าร่างเล็กซ่อนความทุกข์ไว้บนรอยยิ้มแฉ่งแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็มิอาจเอ่ยถ้อยคำใดได้อีก สิ่งที่เจ้าต้องจ่ายออกไป ข้าจะตอบแทนเช่นไรได้
ขณะที่ครุ่นคิดอย่างรู้สึกผิด ฉับพลันนั้นก็รู้สึกถึงของเหลวเยียบเย็นแปลกๆตรงหน้าท้อง เขาพลันก้มหน้าลงโดยปริยาย อืม ดูว่าเขาลืมสวมเสื้อให้มิดชิดสินะ ซวนหยวนหมิงไท่เงยหน้าที่ราวกับคนตายด้าน ท้ายที่สุดแล้วจึงสามารถคิดหาทางปลอบประโลมใจ ทั้งสรรหาคำพูดได้แล้ว
“โรคจิต”
อีกทางด้านหนึ่ง ระหว่างที่หงลิ่ววิ่งตามออกมาก็ส่งเสียงหยุดฝีเท้าหงเว่ยเอาไว้ “พี่ใหญ่ๆ ท่านจะไปไหน”
“ข้าจะไปหาดอกพราวแสง”
“หา” หงลิ่วอุทาน ดอกพราวแสง สมุนไพรวิเศษหายาก ซึ่งเติบโตอยู่ในส่วนลึกของทะเลตงไห่ที่กว้างใหญ่ ร้อยปีออกดอกเพียงครั้ง มีสรรพคุณเพิ่มพูนตบะเทียบเท่าร้อยปี ทั้งยังสามารถรักษาโรคนานาชนิด เหตุใดพี่ใหญ่จึงทุ่มเทให้กับคนที่พึ่งรู้จัก ทั้งเพียงพบหน้ากันไม่กี่ครั้งด้วย
“พี่ใหญ่ ทำไมท่านต้องทุ่มเทช่วยเขาถึงเพียงนี้ หากท่านไม่บอกครานี้ข้าไม่มีทางปล่อยท่านไปแน่” เด็กน้อยเบ้ปากพลางก็กระโจนเข้าไปเกาะท่อนขาแข็งแรงของอีกฝ่าย
“ปล่อยข้าหงลิ่ว ครั้งนั้นข้ามิได้อยู่ข้างกายเขา มิได้ช่วยปกป้องคุ้มครองเขา ทำให้เขาต้องประสบเคราะห์ร้ายเพียงลำพัง ดังนั้นครานี้ข้าตัดสินใจแล้ว จะไม่มีวันออกห่างจากเขาอีก” ขณะที่เอ่ยแววตาคมกล้าก็ดูล่องลอยไปไกล ผิดกับหงลิ่วที่ตกตะลึง
“ท่านกำลังบอกว่าเขาคือคนคนนั้น” ดวงตากลมโตเลิกกว้างบุคคลที่ทำให้พี่ใหญ่บ้าคลั่ง จนเกือบถูกท่านพ่อตัดขาดจากตระกูล สุดท้ายถูกลงโทษกักอยู่บนเขานานนับร้อยปีนั้นน่ะหรือ
“ข้าจะกลับมาก่อนตะวันตกดิน”
“ตะวันตกดิน ท่านบ้าไปแล้ว” ของวิเศษขนาดนั้นใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ยังมีปีศาจนับไม่ถ้วนที่หมายตาดอกพราวแสง ซุ่มซ่อนรอคอยโอกาสจะชิงของวิเศษ กว่าจะได้มันมาเกรงว่าคงต้องเกิดการนองเลือดกันไปข้าง
หงเว่ยไม่รอฟังหงลิ่วโวยวายแตกตื่น เพียงเงยหน้ามองตะวันที่ขึ้นเหนือศีรษะแล้วก็กลับกลายร่างดุจดั่งเช่นหมอกควัน พวยพุ่งทะยานขึ้นไปเหนือฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว ในใจคิดเพียงสิ่งเดียว
ต่อให้ต้องพลิกทะเลตงไห่ เขาก็ต้องหาดอกพราวแสงมาให้จงได้
**********************************************************
บทนี้ออกจะไม่ค่อยมีอะไร ตันถึงตันที่สุด เลยช้ามากก 55555+
นิยายอัพอาทิตย์ล่ะบท เร็วกว่านี้เค้าจิร้องไห้ เมื่อวันอาทิตย์เขาไปทำบุญเสี่ยงเซียมซี ปรากฏได้คำทำนายว่าจับปลาสองไม่รอดทั้งสองอย่าง หึ หึ คือปัจจุบันเค้าจับทั้งนิยายเเละThesis เครียดมากๆ หลังจากนี้อาจจะพักผ่อน หาไอเดีย จัดเวลาใหม่ เพราะตอนนี้หัวตื้อจริงๆ สู้ๆค่ะ