☂ฮาร์ฟ 50/50 แบบว่าเกินกว่าเพื่อน
5/50
..
คุณเคยไหมที่จะฝันถึงอนาคต..หรือนิยามของคำว่า 'ครอบครัว' ท่ามกลางคนนับพันล้านมีแค่คนๆ เดียวเท่านั้นล่ะที่จะตื่นมาพร้อมกัน กินข้าวพร้อมกัน อยู่ด้วยกันและหลับลงไปพร้อมๆ กันนอกจากต้นไม้แล้วผมก็ชอบทำอาหารนะ บางทีผมเลยคิดว่า..
ใครคนนั้นของผมก็เลยคงจะต้องชอบทานอาหารที่ผมทำมันคงแปลกไปซักหน่อยที่ทุกๆ เช้ามีผู้ชายคนหนึ่งตื่นขึ้นมาทำกับข้าวให้คุณคนพิเศษ ผมจะตื่นเช้าในทุกๆ เช้าปลุกคุณด้วยกลิ่นหอมๆ ของข้าวสวยร้อนๆ ยิ้มและมองคุณทานอย่างมีความสุข..
ผมจะเป็นขุมพลังที่ทำให้คุณผ่านเรื่องเลวร้ายไปได้ในทุกๆ วันเราจะจับมือหลับลงไปพร้อมกันแต่ก่อนคุณจะนอนผมจะถามคุณว่า ..
‘พรุ่งนี้จะทานอะไรดีครับ?’
คุณครับ...ผมของคุณยืนอยู่ตรงนี้ ..แล้วคุณของผมอยู่ที่ไหนครับ? เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันสักทีครับ
'คุณ...'
**
..
“ไอ้คุณป้องคุณปกอยากกินผัดกะเพราะอร่อยๆ ไม่เผ็ดด้วยนะสาส กลับไปคุณปกต้องได้กินนะมึง นี่กูอยู่ฝรั่งเศษ มาเคลียร์เรื่องเอกสารของพ่อแล้วเดี๋ยวกูจะบินไปลาวต่อ เดือนนี้กูไม่ได้กลับนะ มีนัดรับรองลูกค้า แต่อยากกินผัดกะเพราฝีมือมึงฉิบหายเลย ”
เสียงปลายสายสั่งการณ์มาอย่างกับคนรับเป็นร้านอาหารตามสั่ง ปล่อยให้คนที่เอาโทรศัพท์หนีบกับไหล่ไล่จดรายการแล้วหันไปดูกระดาศโน๊ตจดตารางส่งของให้ลูกค้า
“มึงไปลาวเมื่อไหร่?. ”
ปากถามไปมือก็ถือปากกาวงบนปฎิทินในทันทีที่ปลายสายแจ้งวัน ซ้ำยังไม่ลืมที่จะโน๊ตเอาไว้ในโทรศัพท์เผื่อลืมอีกขั้น แต่ก็สาระวนทำได้แค่นั้นเมื่อหน้าร้านเริ่มจะมีลูกค้าทยอยเข้ามาแล้ว
“นอกจากผัดกะเพราแล้วอยากกินอยากได้อะไรอีกหรือเปล่า?”
“...”
“เอาอะไรนะ? กูไม่ได้ยิน”
“...”
“ว่าอะไรนะ?...”
“คิด.....”
“หือ? คิดอะไรว่ะ? ว่าไง? เร็วๆ ปกลูกค้าเข้าร้านแล้ว”
“กูคิดถึงมึงไอ้สัสป้อง!!”
ปลายสายตะโกนตอบมาแค่นั้นล่ะก่อนจะตัดสายทิ้ง..ป้องชะงักนิ่งไปพักนึงถึงได้สติหยุดหัวเราะแล้วฉีกยิ้มกว้าง ปลอกปากกาในมือถูกดึงขึ้นออกอีกครั้งแล้วเขียนคำว่า Miss you ทับลงไปในตัวเลขวันที่ที่ปกบอก
“รอหน่อยนะมึงอยู่แค่ลาว..คนจนๆ อย่างกูยังคงพอหาทางไปหาได้น่า.. ”
ในตอนนั้นป้องคิดแค่ว่าจะหาทางทำอะไรให้ปกมันบ้างก็แค่นั้น เรื่องระยะทางจะว่าเป็นปัญหาก็ไม่เชิง ความจริงก็โทรคุยกันได้ แต่การได้ไปเจอหน้า ได้กอด ได้ใกล้ ยังไงมันก็ดีกว่าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
**
..
“เปลี่ยนแพลนอีกแล้วว่ะป้อง..”
คราวนี้ปลายสายโทรมารายงานเขา นี่ผ่านมาแค่วันสองวันพ่อนักธุรกิจก็ขึ้นเหนือล่องใต้ไปไหนต่อไหน เหนื่อยมากๆ ถึงได้โทรมาบ่นมาบอก ป้องได้แค่รับฟัง จะว่าไปช่วงนี้ที่ร้านต้นไม้ก็ยุ่งๆ อยู่เหมือนกัน ตอนนี้มีคนติดต่อมาให้เขาลองเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ในร้านต้นไม้ เอาพวกของจุ๊กจิ๊กมาลองขายดู เอาชาแปลกๆ มาลองตั้งวาง แล้วก็ขนมพอดีคำที่พอจะขายกล้อมแกล้มไปได้ ไม่รู้ว่าเขาตัดสินใจถูกหรือเปล่า ความจริงร้านต้นไม้ก็พอไปได้เรื่อยๆ แต่ไอ้เรื่อยๆ นี้หมายถึงต้องมีเงินสำลอง เงินงวดก่อนเขาหมดไปกับการลงทุนเรื่องราสพ์เบอร์รี ที่ส่วนใหญ่เสียหายไประหว่างการขนส่ง เงินจมลงไปมากอยู่ แล้วมาคราวนี้อีกที่ คนรู้จักแนะนำเรื่องร้านกาแฟมา เพราะเป็นของคนรู้จักป้องเลยลองเสี่ยงแล้วพอเอาเข้าจริงๆ ไอ้ร้านเล็กๆ อย่างที่เขาว่ามันใช้ทุนเยอะใช่เล่นเลยล่ะช่วงนี้นอกจากวิ่งวุ่นหาเงินแล้วป้องเลยไม่ค่อยได้จะโทรหาคนไกล นอกเสียแต่เวลาที่มันเหนื่อยมากจริงๆ ถึงได้บอกตัวเองให้ชาร์ตแบตหัวใจบ้าง แล้วการได้ยินเสียงปกที่ปลายสายนั่น มันก็ทำให้รู้สึกหายเหนื่อยไปได้เยอะ
“จะกลับไทยเมื่อไหร่?”
คำถามนี้เล่นเอาปลายสายเงียบไปนาน นานจนป้องได้ยินเสียงถอนหายใจ
“ความจริงพรุ่งนี้กูก็อยู่ไทย แต่อยู่ที่จังหวัดเลย พาลูกค้ามารับรอง ข้ามจากฝั่งลาวไปแต่อยู่ได้แค่ครึ่งวันก็กลับแล้ว.. ”
“ไปไหนกันวะ?”
“ไปพระธาตุศรีสองรัก เลขาเขาจัดการ นี่ติดต่อให้คนในพื้นที่ประสานงานให้แล้ว แล้วหลังจากนี้ก็มาเลเซีย..จบที่เวียดนามอาทิตย์หน้า”
“ไม่เลยไปภูเรือด้วยล่ะ ไหนๆก็มาแล้ว”
“เลขากูเขาแพลนให้แล้ว นี่ไปวันเดียว ข้ามจากฝั่งลาวไป วันพระถ้าอยู่ฝั่งนี้ยังพอหาเรื่องข้ามฝั่งได้อยู่ แล้วที่เหลือก็ให้คนทางฝั่งไทยอำนวยความสะดวก น่าจะอยู่ไม่นาน ร่างกูจะแหลกอยู่แล้ว”
“ไหวไหมมึง?”
“ไม่ไหวก็ต้องไหวล่ะ มาถึงขั้นนี้ นี่ถ้าลาออกจากบริษัทได้กูลาออกไปล่ะ ”
“แต่มึงลาออกจากการเป็นลูกไม่ได้นะปก..”
ป้องหัวเราะให้กับอะไรไม่รู้ ที่ดูจะขวางหนทางการเจอหน้ากันของคนสองคนเสียเหลือเกินแล้วบังเอิญไอ้คนสองคนที่ว่ามันดันเป็นเขากับปกเสียด้วยสิ
“คิดถึงกูไหมป้อง...”
อีกฟากของสัญญาณโทรศัพท์กรอกคำถามเดิมๆ มายังปลายสาย ป้องเอาโทรศัพท์ของตนออกห่าง เขาสูดหายใจยาวแล้วพ่นลมหายใจคลายจะระบายความคิดถึงที่อัดแน่นออกมา พยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้คงที่แล้วตอบกับไปว่า
“คิดถึงทำไม เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว”
“เดี๋ยวของมึงนี่...อีกเดือนสองเดือนเหอะสัสป้อง”
ดูท่าว่าจะเริ่มอารมณ์เสีย น้ำเสียงฟึดฟัดเริ่มมาดังรอดเข้ามา ดูท่าว่าจะไม่ดีป้องเลยจะเอ่ยปากขอวางสาย แต่ก็ไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายตัดสายทิ้งไปก่อนเสียดื้อๆ ปล่อยให้อีกฝั่งได้แต่มองหน้าจอโทรศัพท์
“วันพระ วันพระ วันพระข้ามมาฝั่งไทย..”
ป้องไล่เลื่อนดูปฏิทินที่วงไว้ พอเห็นตัวแดงๆ ใกล้ๆ กันกับวันพระใหญ่ถึงได้ตัดสินใจคว้าเสื้อผ้ามาม้วนๆ โยนใส่กระเป๋าเป้ใบย่อม มองดูนาฬิกาแล้วพยายามทำเวลา
“จากนี้ไปเลยประมาณ 5-6 ชั่วโมงออกจากนี่เย็นนี้แล้ว..ไปดักเจอพรุ่งนี้คงได้เจอ..โอ้ยยย รอหน่อยนะไอ้ปก”
**
..
คุณเคยไหมที่จะฝันถึงอนาคต ท่ามกลางคนนับพันล้าน มีแค่คนๆ เดียวเท่านั้นล่ะ ที่จะตื่นมาพร้อมกัน กินข้าวพร้อมกัน อยู่ด้วยกันและหลับลงไปพร้อมๆ กัน โอเคมันอาจจะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันมันอาจจะมีคนแบบนี้อยู่ในโลกใบนี้ อาจเป็นคนไหนก็ได้ แต่คงไม่ใช่คนที่ชื่อปกปฐพี อุดมคตินั่นมันอาจจะใช้ได้กับทุกคน ยกเว้น ปกปฐพี เวลาของเขาเป็นเงินเป็นทองมากเกินไปกว่าที่จะหยุดและเดินให้ช้าลง
ปกได้อ่านนิตยสารสุขภาพฆ่าเวลาเล่นเมื่อวันก่อน ไอ้พวกชีวิตสโลว์ไลฟ์ หรือที่เขาเคยกระแนะกระแหนว่า ‘ช้าบัดซบ ‘ นั่นไม่เคยได้อยู่ในวงจรชีวิต ณ ตอนนี้ โอเค ถ้าเป็นเมื่อก่อนสมัยตอนเรียนๆ นอกจากเรียนแล้วก็เรียน เขาทำอะไรอีกบ้างนะ
เออ..ก็ไม่แย่ซะทีเดียว ยังพอมีความทรงจำเกี่ยวกับไอ้ป้องนิดหน่อย ปกเป็นเด็กเรียน ส่วน ป้อง หรือเด็กชายป้องนาวี เป็นเด็กกิจกรรม ปกจำได้ว่าเขาเริ่มที่จะสนิทกับป้องช่วงประมาณมัธยมต้น วันนั้นไอ้บ้านั้นซ้อมกิจกรรมเพลินจนไม่มีรถกลับบ้าน และก็เขาเองที่ชวนมันมาค้างคืนที่บ้านด้วย หลังจากนั้นก็สลับกันไปค้างบ้านของอีกคน บ้านป้องเป็นสวนมะพร้าวเรียกว่าดงเลยจะดีกว่าตอนกลางวันมันช่างน่าตื่นตาที่จะเดินบุกป่าฝ่าสวนมะพร้าวแต่พอตอนกลางคืนเท่านั้นละกลับกลายเป็นหนังคนละม้วน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ชอบสวนมะพร้าวนั่นอยู่ดี..
“คุณคำนึงเรียนสายค่ะ”
สภาพเหตการณ์ปกติตัดภาพอดีตออกไปโดยสิ้นเชิง ปกถอนหายใจเฮือกใหญ่สลัดความคิดเก่าๆ ออกแต่ยังไม่วายเผลอหลุดห้วงความคิดออกมา
“อยากไปสวนมะพร้าวไอ้ป้องจัง..”
“คะ?”
“เปล่าครับคุณปอ ผมเผลอคิดอะไรนิดหน่อย ส่งสายคุณคำนึงมาเลยครับ ใช่เรื่องที่เรานัดกับลูกค้าข้ามไปเที่ยวไทยหรือเปล่า?”
“ค่ะ เรื่องที่จะข้ามไปเที่ยวชมพระธาตุศรีสองรักค่ะ..”
**
..
ใช้เวลาจริงๆ ร่วม 5 ชั่วโมงกว่าที่จะเข้าเขตจังหวัดเลย เส้นทางไม่ใช่ยากจนเกินไป ป้องเคยมาแถวนี้แล้วหลายครั้ง เดินทางบ่อยๆ ก็จะเป็นช่วงหน้าหนาวที่เอาไม้หนาวจากแหลางลงไปขายที่ร้าน แต่ไม่มีครั้งไหนที่เดินทางตอนหกโมงเย็นแล้วดันมาถึงเกือบห้าทุ่มกว่าอย่างนี้ ถ้าจะโทษก็คงโทษฟ้าฝนที่ดันเป็นใจตกกระหน่ำจนต้องค่อยๆ ขับมอไซค์ประครองมาตลอดระยะทางให้ได้ใกล้กับพระธาตุศรีสองรักมากที่สุด อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องกระวนกระวายว่าจะตื่นทันปกหรือเปล่า
เช้านี้ป้องตื่นแต่เช้า อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวแล้วเช็คเอ้าส์ออกจากโรงแรม ข้าวของไม่ได้มีอะไรเยอะเพราะคาดว่าแค่มาเจอหน้าปกแล้วก็จะกลับ แม้ปากจะบอกมันไปว่าเดี๋ยวก็ได้เจอกัน แต่ความคิดถึงมันดันมาย้อนแย้งเอาเข้ากับตัวเขาเอง ความคิดถึงที่แทบจะฆ่ากันให้ตายได้อยู่แล้ว
วันนี้วันพระ คนมาเที่ยวรู้สึกว่าจะหนาแน่น ยิ่งตอนขึ้นบันได้สูงๆ นั้น ป้องแทบจะไหลไปตามกระแสผู้คน แต่จนแล้วจนรอดก็ขึ้นมาจนได้ ชายหนุ่มเดินตรงดิ่งไปหากระดาษเซียมซี ฆ่าเวลาโดยการอ่านและเลือกกระดาษทุกใบจนสะดุดอยู่กับเซียมซีสองแผ่น ไม่ลังเลเลยด้วยซ้ำที่จะดึงมันทั้งคู่ออกมา เขาพับม้วนใส่กระเป๋าเสื้อแล้วเดินดูอะไรรอบๆ ลังเลใจว่าจะโทรหาปกดีไหม แต่ก็ไม่กล้าที่จะโทร กลัวตัวเองหลุดปากบอกมันไปว่ามาหามันที่นี่
เกือบจะเที่ยง ที่รอจนเดินรอบพระธาตุ รอจนต้องมานั่งหลบมุมที่ศาลา รอจนคิดว่าถ้าเป็นคนตอนนี้เขาคงโดนไอ้คนที่ชื่อ ‘ความคิดถึง’ กำลังกระหน่ำแทง แล้วก็ผ่านไป บ่ายกว่าๆ ป้องยกนาฬิกาขึ้นมาดู สายฝนทำทีท่าจะเทลงมาในไม่ช้า ป้องเลยถือโอกาสวิ่งลงจากพระธาตุไปหาซื้อของฝากเท่าที่พอจะนึกได้
จากซุ้มข้างล่างนั้นเขาได้มะพร้าวแก้วมาถุงนึง เลือกสีขาวให้ไอ้คนไม่ค่อยรักสุขภาพ แล้วก็ซื้อน้ำเย็นๆ มาให้ตัวเองด้วยขวดหนึ่ง สายฝนบางๆ เริ่มโปรยเม็ดลงมาในตอนที่เขาก้าวขาขึ้นพระธาตุอีกครั้ง
**
..
“คุณคำนึง..”
ป้องตัดสินใจเรียกชายหนุ่มที่เดินจ้ำตามกลุ่มคนที่ลงมาจากรถตู้คันใหญ่มากันหลายคนอยู่ แต่ไม่มีสักคนที่เป็นคนที่เขาต้องการ
“อ้าวคุณป้อง ไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่นี้ครับ”
“แล้วปกล่ะครับ? เห็นปกบอกว่าจะมาที่นี้..วันนี้..”
‘เดี๋ยวก็คงตามมา’ มันเป็นประโยคที่ป้องหวังแต่ชายหนุ่มเบื้องหน้าเขากลับตอบกลับมาโดยแตกต่างจากประโยคนั้นอย่างสิ้นเชิง
“บินไปเมเลย์ฯ แล้วครับเมื่อเช้านี้เอง นี่ผมเลยพาพวกลูกค้ามาเอง”
“...”
ป้องรู้สึกนะว่าตัวเองหน้าชา หัวใจมันเต้นแล้วเหมือนจะหยุดลงเอาดื้อๆ ..
“นัดคุณปกไว้หรือครับ? ”
คราวนี้ทงฝ่ายนั้นรุกถาม ป้องได้แต่ส่ายหน้าอย่างหมดแรง ก็ไม่ได้นัดหรอกในเมื่อมันเป็นแค่เขาเองต่างหากที่ถือวิสาสะมาดักเจอมันล่วงหน้าอย่างนี้ แบบนี้เลยเป้นทางเขาเองต่างหากที่เซอร์ไพร์สจนสมใจ..
ใจจะขาดเอาเองสิไม่ว่า...
“แล้วอย่างนี้คุณป้องมีนัดที่ไหนต่อหรือเปล่าครับ? ”
คุณคำนึงเปิดช่องคำถาม ป้องถอนหายใจยาวสงบสติบอกไปตามตรงเลยว่าเขาคงต้องกลับกรุงเทพฯ ถ้าถามว่ารีบร้อนไหม ความคิดคงไม่ แต่ในความเป็นจริงมันใช่เลย เขาทิ้งงานที่ร้านมาเพื่อรอพบหน้าคนที่ไม่ได้แม้แต่มาเหยียบที่นี้ด้วยซ้ำ
“ทานข้าวด้วยกันสักมื้อไหมครับ?”
“แล้วพวกลูกค้าล่ะครับ?”
“ไม่เป็นไรครับ คุณปอเธอก็มาด้วย ผมแค่ตัวแถมแค่นั้นเอง นี่มันก็บ่ายแล้ว ไม่ทราบคุณป้องทานอะไรหรือยังครับ?”
อย่างกับหมอดูเดาใจ และดูท่าจะเป็นหมอดูแม่นๆ เสียด้วย มาถึงชั่วโมงนี้แล้วเขายังไม่ได้ทานอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่าคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าเจอปกจะลองชวนฝ่ายนั้นไปกินข้าวไอ้ที่คิดเอามอไซค์บิดตรงมาจากกรุงเทพฯ ก็เพราะการณ์นี้ล่ะ
“ทานข้าวด้วยกันนะครับ”
คราวนี้ทางฝ่ายนั้นยึดมือเขาไว้ แล้วพาเดินลงจากบันไดลิ่วๆ ความจริงมันก็หิวอยุ่หรอกนะ แต่มันไม่คิดจะทานอะไรเลยตั้งแต่รู้ว่า ปกไม่ได้มาที่นี้ด้วย ไม่เหมือนที่ตั้งใจไว้สักนิด
**
..
สุดท้ายก็ได้พาคุณคำนึงไปทานข้าว ฝ่ายนั้นดูตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้ซ้อนมอไซค์คันโต เอ่ยปากชมแทบไม่ขาดจนคล้ายๆ น่ารำคาญ มันก็ไม่ใช่คำนึงหรอกที่น่ารำคาญ แต่มันเพราะความเบื่อหน่ายความไม่ได้ดั่งใจของเขาเองต่างหากที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันน่ารำคาญไปหมด
“ไว้ไปทานข้าวด้วยกันอีกนะครับ”
รอยยิ้มกับคำพูดของอีกฝ่ายแทบทำเอาเขาสำนึกผิดไม่ทัน เมื่อทางนั้นยื่นไมตรีมาให้แต่เป็นเขาเองต่างหากที่แสดงท่าทีเบื่อหน่ายอาละวาดพาลไปกับคนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วย
“เอาไว้คราวหน้าเจอกันแล้วผมเลี้ยงแล้วกันครับ”
ใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่เห็นทางนั้นยิ้มกว้าง ป้องขอตัวลาแล้วเอื้อมมือไปหยิบหมวกกันน็อคคืนจากอีกฝ่าย ความจริงมันก็ไม่ได้แย่มากมายอะไรถ้าอีกฝ่ายเป็น ‘ไอ้ปก’
“คุณป้องชอบมะพร้าวแก้วหรือครับ”
“เออ..เปล่าครับ บังเอิญที่บ้านปลูกมะพร้าวเลยเฉยๆ ”
“แล้วซื้อมะพร้าวนี้ไปฝากใครหรือครับ?”
อีกครั้งที่หมอดูทักแบบโจ้งๆ กับไอ้ถึงมะพร้าวแก้วที่เขากะซื้อให้ปกกิน ใช่ซื้อให้มันนั่นล่ะถ้ามันมานะ
“ปกชอบกินมะพร้าวครับ..”
“เอ๋?”
“งั้นผมฝากมะพร้าวนี่ให้ปกด้วยแล้วกัน”
เขายื่นถุงมะพร้าวให้คนที่ทำหน้าทำตาแปลกๆ ไอ้ดวงตาพราวระยับคู่นั้นมันส่อความหมายอะไร เขาไม่ได้คิดหรอก ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ ตอนนี้ความสนใจและความเบื่อหน่ายทั้งหมดทั้งมวลมุ่งไปอยู่ที่ ระยะทางประมาณ 5-6 ชั่วโมงที่จะต้องบิดรถกลับคนเดียวมากกว่า..
**
..
“ซื้อของฝากมาจากตรงไหนคะคุณคำนึง?”
ปอหันไปถามคนที่กอดถุงมะพร้าวแก้วไว้แน่น เขาได้แต่ยิ้มๆ แล้วแกะมะพร้าวเนื้อนุ่มออกมากิน ค่อยๆเคี้ยวไปแล้วยิ้มๆ
“มีคนซื้อมาให้ผมน่ะครับ แต่ถ้าจะซื้อของฝากลงไปด้านล่างทางด้านซ้ายมือมีครับ แต่ถุงนี้ของผม”
**
..
กลับมาถึงก็โดนงานยากเสียงโทรศัพท์ดังออกมาจากตัวร้านตั้งแต่เขายังไม่ทันได้จอดมอไซค์ด้วยซ้ำ เพิ่งนึกหงุดหงิดตรงที่ว่าเขาดันปิดโทณศัพท์มือถือของตัวเองไปตอนไหนก็ไม่รู้ พอเปิดขึ้นมาถึงได้รู้ว่ามีเบอร์โทรเข้าสิบกว่าสาย
“ครับ ‘ร้านต้นไม้ใบหนา’ ครับ”
“...”
“ครับ?”
เล่นเอาแทบหมดแรง เสียงจากปลายสายมีแต่ต่อว่า ในเวลานั้นป้องไม้รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ไม่รู้และแทบจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก เขาได้แต่รับแล้วกล่าวคำขอโทษซ้ำๆ เวียนรับเวียนขอโทษกับคู่สายเกือบสิบสาย
จนกว่าจะได้มีเวลาหยุดคิดและรวบรวมสติ นาฬิกาเข็มสั้นก็ชี้ไปที่เลข 11 แล้วป้องใช้เวลาตรวจดูรายละเอียดลูกค้าและสินค้า ถึงได้พบว่าทุกรายการมันส่งผ่านจากที่ที่เดียว ของทุกรายการที่จัดส่งไม่เคยมีปัญหา รอบก่อนๆหน้านี้ ต้นไม่ทุกต้นได้รับการแพ็คอย่างดี แต่ทำไมมารอบนี้สินค้าที่ส่งไปให้ลูกค้าทั้งขาจรขาประจำถึงได้เสียหายเกือบหมด เขาเอารายการที่เสียหายออกมาดู มันดึกเกินไปกว่าที่จะโทรหาต้นตอ ซ้ำเขายังไม่รู้ด้วยว่าทางฝ่ายนั้นเล่นอะไรกันแน่ มันเป้นการผิดพลาดจริงๆ หรือเป็นการวางยา..
ไม่ได้นอน ไม่ได้พัก ป้องพยายามจดรายการลูกค้าที่มีปัญหาทุกเคส ของที่จะต้องส่งเคลมให้ใหม่ทั้งหมดแทบจะไม่ได้มีอยู่ในสต็อคเพราะนี่ถือเป็นแค่เจ้าเดียวที่เขาเชื่อใจและค้าขายกันมา มันเกิดอะไรขึ้นวะ? เขาพยายามตั้งสติแล้วคิด คิดแล้วรอคอยเวลา กระสับกระส่ายจนมันผ่านไปถึงช่วงเช้า
คำตอบจากทางคู่ค้ายิ่งพาให้เรื่องมันย่ำแย่ เมื่อทางฝ่ายนั้นสวนกลับมาว่า จะเลิกส่งต้นไม้ตัวนี้แล้ว และให้เขาหาคู่ค้าใหม่เอาเอง ป้อง ชะงักไปหนทางเหมือนถูกปิด และด้วยความเกรงใจในช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้บอกแม้กระทั้งว่าสินค้าล็อตสุดท้ายเสียหาย จะเอาสินค้าจากที่ไหน?
จะเอาเงินสำลองจากตรงไหน? แล้วจะตอบลูกค้ายังไงกับการเคลมของที่เขาแทบไม่มีของในสต็อคเลย ทุกอย่างมันดูจะแย่ไปหมด ทุกอย่างมันดูเหมือนจะดูดสูบพลังของชีวิตได้ดีจริงๆ
แล้วเสียงโทรศัพท์เขาอีกสายก็ดังขึ้น เขาแทบไม่อยากจะขยับตัวไปรับ ฝืนตัวเองอีกพอสมควรกับการคุยสายนี้ แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา ป้องได้แต่ฟังปลายสายนิ่งๆ ฟังเหตผลที่คนปลายสายจะยกมาอ้างทั้งร้อยแปดแล้วจากนั้นเขาก็ถอนหายใจพร้อมรับคำขอที่อีกฝ่ายขอมาแบบไม่ให้ปฏิเสธ
ป้องวางสายแล้วหลับตานิ่ง มันจะมีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีกไหม? ร้านกาแฟที่ตกลงร่วมหุ้นกันกับคนรู้จักถูกถอนหุ้น และเพราะความสนิทที่มากเกินไปทำให้เขาไม่ได้คิดที่จะทำสัญญาอะไรให้แน่ชัด ไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าทางนั้นจะโกง ไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะถูกทำแบบนี้จากคนสนิท สรุปคือตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรเลย ทั้งสินค้าที่จะเข้าร้านและความเชื่อใจจากลูกค้า ทุกอย่างที่เขาสร้างมาเหมือนพังทลายลงไปต่อหน้าต่อตาโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ เหนื่อยเกินไป เขาถอนหายใจคล้ายกำลังไล่ความผิดพลาด ก่อนจะไขกุญแจเปิดเกะโต๊ะตัวใหญ่ของร้าน
ในนั้นมีเงินวางกองอยู่ประมาณ สามสี่พัน ถนัดจากนั้นก็กระบอกปืน..
**
..
ปกเริ่มที่จะหัวเสีย ตั้งแต่คุยกันครั้งสุดท้ายเขาไม่ได้ติดต่อป้องอีกเลย หมอนั้นไม่ได้รับโทรศัพท์ ไม่แม้แต่จะโทรหา ไม่สิ ความจริงหมอนั่นโทรมา แต่ก็แค่พูดคุยได้สามสี่คำ ไอ้งานผู้บริหารที่จะต้องมารับรองแขกคู่ค้าบ้าๆ นี้มันยุ่งยากกว่าที่เขาคิดไว้เยอะ เวลาว่างแทบจะไม่มี เวลาส่วนตัวที่เหลือเลยยิ่งน้อยเท่าน้อย
“หงุดหงิดอะไรครับคุณปก”
เสียงทักทายดังมาจากหน้าประตูห้อง เป็นอันให้เดาได้ว่าปอเลขาสาวของเขาคงไปฟ้องอะไรคณะที่ปรึกษาล่ะมั้ง ไอ้คุณคำนึงนี้ถึงได้ถลามาหาเขาถึงที่ ทั้งๆที่ความจริงมันน่าจะไปสัมมนาที่เซียงไฮ้
“มีเบอร์คุณป้องไหมครับ?”
อยู่ๆ คำนึงก็พูดขอต่อหน้า พอเห็นว่าปกชะงักไปซ้ำยังมีทีท่าแปลกๆ เขาถึงได้รุกต่อ ด้วยความสะใจอย่างไรไม่รู้ บอกไม่ถูกว่าทำไมตัวเองถึงได้พูดอะไรมากมายเกินกว่าที่จะแค่ขอเบอร์ของคนที่อยากได้
“ผมจะขอลาพักร้อนน่ะครับ เลยอยากขอเบอร์คุณป้อง เห็นว่าคุณป้องมีสวนมะพร้าวเลยอยากจะลองติดต่อไปขอพักดู”
ปกได้แต่จ้องหน้ายิ้มๆ ของอีกฝ่าย เขาบอกความรุ้สึกตัวเองไม่ถูก ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเอ่ยปากบอกเบอร์ของป้องไปให้คำนึงในตอนไหน กว่าที่จะรุ้สึกตัวไอ้ปากพาซวยของเขาก็ถามคำนึงออกไปโดยแทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ
“จะลาพักร้อนไปเมื่อไหร่หรือครับ?”
“คงประมาณอาทิตย์หน้าครับ”
ทางนั้นตอบชัดถ้อยชัดคำ ซ้ำยังฉีกยิ้มเสียจนกว้าง ก่อนจะผิวปากแล้วเปิดประตูห้องเดินออกไปทิ้งให้ปกได้แต่มองตาม เมื่อก่อนแค่เฉยๆ นะ แต่ทำไมไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดหมั้นไส้ไอ้คำนึงนี่ขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล ปกนั่งจ้องไปที่ประตูหมุนปากกาในมือเล่นไปเรื่อยจนตัดสินใจที่จะโทรหาไอ้ตัวต้นเหตุ
‘หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดให้บริการ’
เสียงระบบตอบกลับอัตโนมัติดังสวนขึ้นมาในสาย ปกแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาอ่านทวนเบอร์อยู่สองสามครั้งถึงได้ตัดสินใจโทรอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะติดต่อไปอีกกี่ครั้ง ทุกอย่างก็เหมือนเดิม..
‘หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดให้บริการ’
ไม่ต้องตัดสินใจอะไรแล้ว เขากดโทรศัพท์หาเลขาส่วนตัวให้หยิบเอกสารเข้ามาในห้องก่อนจะสั่งให้คุณปอเธอโทรจองตั๋วเครื่องบินจากหลวงพระบางไปกรุงเทพฯ
“จองเที่ยวบินวันไหนดีคะคุณปก”
“ด่วนที่สุด!”
“คะ?”
**
..
เอาไงก็เอากันเมื่อไอ้คำว่าด่วนที่สุดของปกมันหมายถึงห้าชั่วโมงก่อนหน้านี้ ปกไม่รู้หรอกว่าเลขาตัวเองต้องยุ่งยากแค่ไหน ในตอนนี้เขารู้แค่มันต้องมีปัญหาอะไรกับไอ้เหี้ยป้องสักอย่าง ไม่งั้นคงไม่มีทางขาดการติดต่อกับมันขนาดนี้ ทั้งที่โทรศัพท์ส่วนตัวทั้งที่ร้าน มันปิดทุกเบอร์ ทุกช่องทางการติดต่อ ไอ้ป้องไม่เคยเป็นอย่างนี้ ครั้งล่าสุดที่เขาจำได้คือช่วงที่มันโทรมาบอกว่าอะไรสักอย่าง แต่มันก็ไม่ได้บ่นหรือปรับทุกข์อะไร มันเรียบง่ายเสียจนเขาไม่เอะใจอะไรเลยสักอย่าง
“ป้อง!! ป้อง!! ไอ้ป้อง!!”
ปกรั่วกริ่งหน้าร้านอย่างกับคนบ้า เขาพยายามตะโกนเรียกมันที่หน้าร้าน แต่ไร้วี่แววมันไม่เคยปิดร้านแบบนี้ ความจริงนับตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาเขาไม่เคยเห็นร้านต้นไม้มันปิดเลยสักครั้งมากกว่า เขาจำได้ว่าทุกครั้งที่มาหามันจะต้องอยู่ ไม่ว่าจะดึกดื่นค่อนคืนแค่ไหน ไอ้ป้องก็ยังจะรอเขาเสมอ..
“อ้าว..คุณนั่นเอง”
เสียงทักดังมาจากข้างๆ ปกขมวดคิ้วคิดทบทวนความทรงจำตัวเองแต่กลับว่างเปล่า
“ผมอิมเพื่อนพี่ป้องไง”
“...”
“พี่ป้องไม่อยู่หรอกพี่ หายไปหลายวันแล้ว ผมต่านมาก็เห็นร้านแก่ปิด แล้วพออีกวันก็มีรถมาขนของออกไป แต่เอาไปไม่เยอะนะ แต่ผมไม่เห็นพี่ป้องนะตอนเขาขนของกันอะ”
“รู้ไหมมันไปไหน? ”
“ไม่รู้พี่ กลับบ้านด่วนมั้ง? หรือไม่ก็กลับบ้านเกิดไปแล้ว”
คนพูดพูดติดตลกไม่คิดอะไร แต่ไอ้คนขี้ห่วงอย่างปกคิดไปไกล ยิ่งคิดยิ่งขมวดคิ้วแน่น เขามองขึ้นไปยังปลายรั้วสูงชั่งใจอยู่สักพักถึงได้พับแขนเสื้อเชิ้ตที่ใส่ทั้งสองข้าง
“...”
“เฮ้ย! พี่ทำอะไร?”
อิมตะโกนลั่นที่เห็นปกตัดสินใจกระโดดเกาะรั้วสูงแล้วปีนข้ามไปยังรั้วเหล็กอีกฝาก
“ขอกูเข้าไปดูให้เห็นกับตาหน่อยว่ามันยังไม่ตาย”
พูดได้นั้นแล้วหันหลังวิ่งเข้าไปในร้าน พวกต้นไม้ใบหญ้าที่เคยเขียวครึ้ม พอไอ้ป้องไม่อยู่สักคน ต้นไม้พวกนั้นมันเหี่ยวแห้งเฉาลงจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม
“มึงอยู่ไหนวะป้อง?”
เขาลองค้นแล้วหาแล้ว แต่ทุกอย่างมันก็ว่างเปล่า ไม่มีอะไรหลงเหลือสักอย่างว่าคนที่เคยอยู่ยังที่นี้กลับมา อาทิตย์หรือสองอาทิตย์? เขาแค้นคำตอบออกมาจากสมองไม่ได้เลยว่า ป้อง หายไปในตอนไหน?
**
..
“ว่าไงพี่เจอพี่ป้องไหม?”
“...”
“แล้วจะเอาไงล่ะพี่?”
“ถ้าไม่ใช่ไอ้ป้อง กูก็ไม่เอาใครหน้าไหนทั้งนั้น...”
“....”
คราวนี้เขาบ่นกับตัวเองพยายามตั้งสติแล้วสูดลมหายใจยาว ปลายนิ้วเรียวเกี่ยวดึงเนคไทที่ไอ้ห่ารากป้องซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดมาขยุมใส่กระเป๋ากางเกง นาทีนี้แล้วถึงไหนก็ถึงกันวะ อีกครั้งที่เขาเค้นความทรงจำให้หัวออกมาหาสถานที่ ที่คิดว่าเป็นที่สุด
ท้ายที่มันจะอยู่
“ไปไหนครับ?”
“ผมเหมาไปดำเนินไปไหม?”
“ส่งรถครับ” “...”