• BEGINNING •
'คุณเคยเชื่อในโชคชะตาไหม?
ผมก็ไม่เคยเชื่อมาก่อนเหมือนกัน
ชีวิตของผมเต็มไปด้วยความเรียบง่าย ซ้ำซาก และจืดจาง
จนกระทั่งในวันนั้น... วันที่ผมได้พบกับคนๆหนึ่ง...
...คนที่มาเปลี่ยนแปลง มาเติมเต็มโลกทั้งใบของผม...
.
.
.
ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง...'
ให้ตายเถอะ...
ผมเหลือบมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเบาะที่นั่งข้างคนขับ บนหน้าจอแสดงวันที่ 24 ธันวาคม โดยด้านล่างแสดงการแจ้งเตือนขึ้นว่ามีสายที่ไม่ได้รับไม่ต่ำกว่าสิบสาย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย... แม่ผมเองครับ
ตอนนี้ผมกำลังขับรถอยู่ครับ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าผมไม่ได้มาขับรถเล่นหรืออะไรเทือกนั้น แต่ผมกำลังหนีแม่...
ใช่ ตอนนี้ผมกำลังหนีแม่แท้ๆของตัวเองอยู่!
ส่วนสาเหตุก็ไม่มีอะไรมากเลยครับ ก็แค่หนีแม่ตัวเองที่กำลังจะจับผมแต่งตัวใส่สูทแล้วต้อนขึ้นรถไปดูตัวครั้งที่สิบสี่กับสาวสวยก็เท่านั้นเอง...
ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แต่ผมไม่ชอบวิธีการแบบนี้เลยสักนิด ไม่ว่าฝ่ายนั้นเขาจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม แต่ที่แน่ ๆ ผมไม่เคยเต็มใจเลยสักครั้ง ช่วงที่โดนหลอกไปนั่งติดแหง็กครั้งแรก ๆ ก็พอสนใจอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นบอกได้เลยว่าไม่เอาแล้วครับ! ส่วนครั้งต่อ ๆ มาน่ะเหรอ? หึ ก็โดนผมตีเนียนชิ่งออกมาทุกครั้งเลยน่ะสิ! จนถึงตอนนี้ผมทนมาได้ตั้งสิบสามครั้งก็เก่งแล้วครับ ถึงแม่ผมจะพยายามกล่อมผมหลายครั้งว่า ดู ๆ กันไปก่อนเดี๋ยวก็ดีเอง แต่ผมกลับแปลได้ว่า มันเหมือนจะออกแนวคลุมถุงชนยังไงชอบกล...
โอเค ผมยอมรับก็ได้ว่าผมเรื่องมาก ถึงแม่ผมจะพยายามหาสาวสวยเพียบพร้อมมาให้ผมมากมายก็ตาม แต่เข้าใจไหมครับ ถ้าคนที่ไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยผูกพันกันมาก่อน อยู่ ๆ จะให้มารักกันได้ยังไง ต้องดูใจกันมานานพอสมควร ไม่ใช่มาปุบปับอะไรแบบนี้ ถึงฝ่ายหญิงอาจจะพึงพอใจเพียงเพราะผู้ใหญ่แนะนำก็เถอะ แต่ในขณะที่ผมไม่รู้สึกอะไรกับเธอเลย คิดดูสิครับ มันจะไม่เป็นการทำร้ายเธอหรอกเหรอ?
อืม... ยอมรับอีกก็ได้ว่าผมเป็นคนขวางโลกพอสมควร แต่ที่แน่ ๆ ผมเป็นคนจริงจังกับความรักมาก ผมคิดเสมอว่า ถ้าจะมีความรักแล้วล่ะก็ ควรจะใส่ใจ ทุ่มเท ให้เวลากับมัน ทั้งคนที่ผมรัก และทั้งคนที่รักผม อีกอย่างตอนนี้หน้าที่การงานผมกำลังไปได้สวย และแน่นอนภาระหน้าที่ก็ต้องหนักขึ้นเป็นธรรมดา ผมถึงยังไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่นโดยเฉพาะเรื่องความรัก
...ถึงผมจะยังไม่เคยรักใครจริง ๆ จัง ๆ เลยก็เถอะนะ
แน่นอนว่าผมอธิบายให้แม่ฟังทั้งหมดแล้วทุกครั้งที่มีการดูตัวเกิดขึ้น แต่ผมก็ยังต้องมาดูตงดูตัวไม่เว้นแต่ละเดือนแบบนี้อยู่ดี ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมถึงต้องมานั่งซบพวงมาลัยรถอยู่บนถนนแบบนี้ เฮ้อ... ทำไมไม่มีใครเข้าใจผมเลยนะ ใช่ว่าผมจะไม่ต้องการมีความรักสักหน่อย เพียงแต่มันยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้นเอง เพราะผมไม่อยากรักใครเพียงแค่แรกสบตาอะไรแบบนั้น ผมทำไม่ได้จริง ๆ และที่สำคัญ...
เพราะผมไม่เคยเชื่อ... เรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิตอะไรนั่น
ผมขับตามทางมาเรื่อย ๆ ผ่านร้านค้า ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ที่เริ่มมีการประดับตกแต่งสถานที่รวมถึงต้นคริสต์มาสน้อยใหญ่ทั้งหลาย แสงไฟสว่างไสวสวยงามละลานตาตลอดสองข้างทาง ผมอดที่จะถอนหายใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
คริสต์มาสปีนี้ก็อยู่คนเดียวอีกแล้วสินะ...
ผมขับออกนอกชานเมืองมาได้สักพัก โทรศัพท์มือถือที่ตอนแรกนิ่งสนิทก็ได้สั่นขึ้นอีกครั้ง ผมเลยแวะจอดข้างทางแถวนั้น แล้วหยิบมันขึ้นมาดู เมื่อเห็นรายชื่อคนโทรฯเข้าผมก็ต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อกทันที ไม่รับอีกก็คงไม่ดีแน่ ผมเลยตัดสินใจกดรับสายในที่สุด
"สวรรค์! ตาฮัก! ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน!? แม่โทรฯหาสิบกว่ารอบติดบ้างไม่ติดบ้าง เฮ้อ... รู้ไหมว่าคนอื่นเขาตามหาลูกกันให้ควั่กขนาดไหน วุ่นวายไปหมดแล้วตอนนี้"
"อา... แบบว่าวันนี้อากาศดี๊ดีผมเลยออกมาขับรถเล่นน่ะครับ"
"อ๋อ อย่างงั้นเหรอจ๊ะ แหม บังเอิญจังเลยเนอะ ตรงกับเวลานัดพอดิบพอดีเลย ไม่ได้ตั้งใจจะหนีตั้งแต่แรกแล้วหรอกเหรอจ๊ะ หืม?"
"หนีเหนออะไรกันครับแม่ ไม่มี๊!" งานเสียงสูงต้องมาครับ
"เฮ้อ... นี่ใครกันจ๊ะตาฮัก แม่จะไม่รู้เชียวเหรอว่าลูกของแม่แผนสูงและลื่นไหลเป็นปลาไหลขนาดไหน"
"แม่ก็ชมผมเกินไปครับ ฮ่ะฮ่ะ"
"ไม่ต้องมาเนียนเลยนะ ลูกคนนี้นี่ ดื้อจริง ๆ เลย ไม่รู้แหละ กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้าไม่กลับมาล่ะก็ พรุ่งนี้เตรียมซักสูทรอได้เลย!"
"ก็ได้ครับ..."
ในที่สุดผมก็ต้องจำใจกลับรถไปหาคุณแม่สุดที่รักจนได้...
แต่ในระหว่างที่ผมกำลังขับรถไปเรื่อย ๆ เพื่อหาจุดยูเทิร์น ทันใดนั้นเอง...
ปึก!
"เฮ้ย!!!"
เอี๊ยดดด!
ผมรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรผ่านหน้ารถผมไป มันเกิดขึ้นเร็วมากจนผมต้องรีบเบรครถกะทันหัน ดีนะที่แถวนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านไปผ่านมาเท่าไร
ผมรีบลงจากรถก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งก้มหน้าอยู่ตรงข้าง ๆ ล้อรถของผม
"คุณ... คุณครับ เป็นอะไรรึเปล่าครับ?"
"..." ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากชายคนนี้ ผมเลยกลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่พอสำรวจดูแล้วกลับไม่มีบาดแผลร้ายแรงอะไรนอกจากรอยขีดข่วนกับแผลถลอกเล็กน้อย แล้วเนื้อตัวก็มอมแมมใช้ได้เลย ภายนอกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่ว่าภายในล่ะ?
เมื่อเห็นเขานั่งนิ่งไม่ขยับเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ผมเลยค่อย ๆ พยุงเขาขึ้นมา แล้วพาไปนั่งในรถ แทนที่จะได้กลับรถไปหาแม่ ผมเลยต้องขับไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดแถวนี้แทน เพื่อไปตรวจดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ
คือว่าแม่ครับ ครั้งนี้ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะหนีจริง ๆ นะครับแม่...
ตอนนี้ผมอยู่ที่โรงพยาบาลครับ... หรือถ้าจะให้ถูกก็คือนั่งอยู่ตรงม้านั่งหินอ่อนในสวนหย่อมของโรงพยาบาล คนที่มาใช้บริการคนอื่น ๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนี้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้พวกผมเลยครับ เพราะผู้ชายที่นั่งก้มหน้าอยู่ตลอดเวลาข้าง ๆ ผมนี่แหละ สภาพเขานี่แบบ... ดูไม่ได้เลยล่ะครับ มอมสุดยอดเลย
แต่อาการบาดเจ็บเขาไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ มีก็แค่พวกแผลถลอกเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ก็จัดการทำแผลเรียบร้อยแล้วด้วย
อืม... แต่ที่ผมสงสัยคือ เขาเป็นใบ้รึเปล่าเนี่ยสิ... ก็เล่นไม่พูดอะไรเลยมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ถึงเขาจะดูมอมแมมไปหน่อย แต่เท่าที่ผมสังเกต เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเขาน่ะ นั่นมันของแบรนด์เนมชัด ๆ เลย!
"คุณครับ เอ่อ... ถ้าคุณไม่เป็นอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ"
เอาล่ะ จะได้กลับไปหาแม่สักที ป่านนี้คงบ่นแย่แล้ว...
แต่พอผมจะลุกจากที่นั่งก็มีมือข้างหนึ่งที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์ปิดแผลคว้ามือผมไว้ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ คนข้างๆผมนี่แหละ
"?"
"อย่า... อย่าเพิ่งไป"
...ก็พูดได้นี่? ไม่สิ นี่ไม่ใช่ประเด็น
"มีอะไรเหรอครับ? ก็คุณไม่เป็นอะไรแล้วนี่"
"..."
"อ้อ ถ้าเรื่องค่ารักษาพยาบาลล่ะก็ไม่เป็นไรครับ ถือว่าเป็นค่าปลอบขวัญก็แล้วกัน อีกอย่าง... คุณเองก็ไม่มีอะไรพกติดตัวมาเลยนี่ แล้วก็..."
"ขอผมไปด้วย"
ห๊ะ?
"ขอผมไปกับคุณด้วย"
เดี๋ยวนะ
"เมื่อกี้... คุณว่าอะไรนะครับ" เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ? อะไรไป ๆ สักอย่าง
"ผมขอ... ไม่สิ ผมจะไปอยู่กับคุณด้วย"
"..."
"ตกลงตามนั้นนะ"
เดี๋ยวนะ ไอ้หมอนี่มันเพี้ยนรึไง เจอกันไม่กี่ชั่วโมงจะมาขอไปอยู่ด้วยเนี่ยนะ!? เป็นมิจฉาชีพเรอะ!
"นี่คุณครับ ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณมีจุดประสงค์อะไร แต่การที่จะให้คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกไปอยู่ด้วยเนี่ยมันไม่พิลึกไปหน่อยเหรอครับ?"
"แต่... คุณก็รู้นี่ว่าผมไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แล้วคุณก็ขับรถมาเฉี่ยวผมด้วย ถือว่าเป็นค่าตอบแทนกับค่าทำขวัญในส่วนที่เหลือก็แล้วกัน อีกอย่างผมไม่ได้จะอยู่ถาวรซะหน่อย"
...ได้ข่าวว่าหมอนี่มันกระโจนมาหารถผมเองไม่ใช่เรอะ! แล้วไหงถึงพูดซะเหมือนมันมีเหตุผลเสียเต็มประดาขนาดนี้ได้ล่ะเนี่ย...
"คุณไม่มีบ้านรึยังไง บอกไว้ก่อนเลยนะ อย่ามาหลอกผมว่าเป็นนักท่องเที่ยวหลงทางอะไรแบบนั้น ถึงสภาพคุณตอนนี้จะแย่ยิ่งกว่าคนไม่อาบน้ำมาสามวันก็เถอะ แต่เสื้อผ้าที่คุณใส่อยู่น่ะ เผลอ ๆ อาจจะเท่ากับเงินเดือนครึ่งปีของผมเลยก็ได้!"
"แต่ว่าผม... ยังไม่อยากกลับไปตอนนี้"
"..."
มีบ้านแต่ไม่อยากกลับ? ท่าจะเพี้ยนแฮะ
"เงียบแบบนี้ แสดงว่าคุณให้ผมไปอยู่ด้วยชั่วคราวแล้วใช่ไหม?"
"ห๊ะ ดะ เดี๋ยวสิ ผมยังไม่ได้ตอบตก..."
"ขอบคุณมากเลย! คุณเป็นคนดีจริง ๆ "
"..."
ไอ้หมอนี่มัน...
หน้าด้านสุด ๆ !
แต่ก็แปลกนะ ไปขอบ้านชาวบ้านอยู่ทำไมกัน? เอ๊ะ คะ คงไม่ใช่ว่าหมอนี่ไปติดหนี้อะไรใครเข้าแล้วโดนพวกแก๊งมาเฟียตามล่าทวงหนี้อะไรเทือกนั้นหรอกนะ!? ถ้าเป็นแบบนี้ก็แย่น่ะสิ!
แต่ก่อนที่ผมจะได้มโนอะไรไปมากกว่านี้เสียงคนข้าง ๆ ก็ขัดขึ้นมาซะก่อน
"ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอก ผมแค่มีปัญหานิดหน่อยก็เท่านั้นเอง"
แล้ว... แผลพวกนั้นอ่ะ?
"เกิดการผิดพลาดทางเทคนิคตอนออกมาจากบ้านเฉย ๆ ไม่มีอะไรหรอก"
อืม... แบบนี้นี่เอง ว่าแต่... หมอนี่รู้ได้ยังไงว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่?
"แค่มองหน้าคุณผมก็รู้แล้ว ก็คุณเล่นแสดงสิ่งที่คิดทุกอย่างออกมาทางสีหน้าหมดเลยนี่"
อะ อ้อ เหรอ...
"อื้ม"
"เอ่อ... อะแฮ่ม! ก็ได้ ๆ เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ผมไม่รับรองเรื่องความปลอดภัยกับความเป็นอยู่ของคุณหรอกนะ" ขืนปฏิเสธไปยังไงหมอนี่ก็ต้องตื๊ออยู่ดี ตกลงไปก่อนก็แล้วกัน
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมดูแลตัวเองได้น่าคุณ...?"
"ฮัก ผมชื่อฮัก"
"คุณ... หัก?"
อื้อหือ... คำที่ออกมาจากปากหมอนี่ทำเอาผมมือเท้ากระตุกเลยทีเดียวล่ะครับ
"ฮัก ฮอนกฮูก ไม้หันอากาศ กอไก่"
"อ้อ ฮักที่แปลว่ากอดหรือรักในภาษาเหนือสินะ"
"จะแปลยังไงก็แล้วแต่คุณเถอะ เรียกไม่ผิดเป็นหักก็พอ"
"หึหึ เข้าใจแล้ว อ้อ ผมชื่อคิสนะ"
"โอเค คุณคิด ผมจะบอกอะไรเอาไว้อย่าง ผมไม่ให้คุณอยู่ฟรี ๆ หรอกนะ"
เรื่องอะไรล่ะ! มาอยู่บ้านคนอื่นเขาแบบนี้ มันก็ต้องมีอะไรตอบแทนกันบ้าง กำลังขาดคนทำความสะอาดห้องอยู่พอดีเลย หึหึ
"หือ...?"
"ก็ตามนั้นแหละ เอาล่ะ แล้วจะไปกันได้รึยังครับ?"
เมื่อผมหันไปมองก็เห็นคนที่นั่งอยู่ส่งยิ้มบางมาให้
เออ... ยิ้มก็เป็นนี่
ตอนนี้ผม... ไม่สิ พวกผมอยู่ที่คอนโดฯของผมเองครับ ขืนพาหมอนี่กลับไปที่บ้านล่ะก็โดนซักจนซีดแน่ อ้อ ส่วนเรื่องแม่ผมไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ ผมจัดการโทรฯบอกเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าตอนกลับไปก็คงต้องโดนขูดรีดข้อมูลชุดใหญ่แน่ ๆ ...
ตอนนี้ผมให้ไอ้หมอนั่น... เอ่อ ผมหมายถึงให้คิดไปอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อน สภาพแบบนั้นนึกว่าไปฟัดกับหมาที่ไหนมา ผมก็เลยต้องมานั่งคุ้ย ๆ ดูเสื้อผ้าที่เขาพอจะใส่ได้ โชคดีที่ขนาดตัวเขากับผมไม่ค่อยต่างกันเท่าไร และผมก็เป็นพวกชอบใส่เสื้อตัวหลวมๆอยู่แล้วด้วย พอผ่านไปสักพักนึงผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ
"นี่ฮัก ไม่มีเสื้อคลุมอาบน้ำเหรอ แบบนี้ผมไม่ค่อยชินเท่าไรเลย"
เรื่องมากจริงวุ้ย!
"ก็มีเท่าที่คุณเห็นแหละครับ แล้วก็นี่เสื้อ..." พอผมหันไปทางอีกคนก็ได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่
ผมขอถอนคำพูดที่ว่าขนาดตัวเขากับผมไม่ต่างกันเท่าไรเมื่อกี้ครับ!
ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพผ้าขนหนูคาดเอวผืนเดียวเหมือนผู้ชายทั่วไปหลังอาบน้ำเสร็จ แต่ที่ไม่ทั่วไปก็คือหุ่นของเขานี่แหละครับ ใครจะคิดล่ะว่าเขาจะซ่อนรูปแบบนี้! ที่สำคัญหน้านั่น...
"หน้าผมมีอะไรติดอยู่งั้นเหรอ?" เมื่อเห็นผมนิ่งไป ไอ้คนตรงหน้าก็ยื่นมือมาโบกไปมาอยู่ตรงหน้าผม
คุณพระช่วย... นี่มันใช่คน ๆ เดียวกันแน่เรอะ!
"เฮ้ ได้ยินผมรึเปล่า?"
ใครจะคิดล่ะว่าหมอนี่จะหน้าตาดีขนาดนี้! เส้นผมดกดำ ดวงตาคมเรียวยาว แล้วนั่นจมูกหรือสันเขื่อน? ให้ตายสิ แค่อาบน้ำล้างคราบสกปรกออกถึงกับเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยเรอะ!
"ฮัก? เป็นอะไรไป?" กว่าผมจะหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง ก็เห็นหน้าของอีกฝ่ายลอยเด่นอยู่ตรงหน้าแล้ว
อย่าเข้ามาใกล้นักเซ่! มันเหมือนเป็นการเปรียบเทียบเลยนะนั่น...
"เปล่า ๆ ไม่มีอะไร เอ้า เอาไปเปลี่ยนซะ" ผมขยับออกมา ก่อนจะยัดเสื้อผ้าให้เขา แล้วเตรียมตัวไปอาบน้ำ จะได้เข้านอนซะที
ในที่สุดวันอันยาวนานนี้ก็จบลงซะที...
25 ธันวาคม
เช้าแล้ว...
นอกจากวันนี้เป็นคริสต์มาสแล้วก็ยังเป็นวันหยุดด้วยครับ แต่วันนี้ผมก็ยังต้องตื่นเช้าอยู่ดี ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะไอ้ตัวต้นเหตุข้างหน้าผมนี่แหละครับ!
ตอนนี้ที่ระเบียงห้องของผม เต็มไปด้วยฟองสีขาวโพลน...
"โทษที ผมไม่คิดว่ามัน เอ่อ จะออกมาในสภาพนี้"
"..."
"ก็คุณบอกให้ผมจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองเองนี่นา แล้วผมก็เห็นว่ามีเครื่องซักผ้าอยู่ตรงระเบียงก็เลย..."
"ผมมีคำถาม"
"?"
"คุณใช้เครื่องซักผ้า... ไม่สิ ซักผ้าเป็นรึเปล่า?"
"อา... ก็เคยเห็นมาบ้าง"
"..." เคย 'เห็น' อย่างนั้นเรอะ!? ให้ตายสิ ถึงผมจะไม่ค่อยได้ใช้เจ้านี่เท่าไรเพราะส่งซักเอา แต่ก็จะมีซักเองบ้างตอนที่เร่งด่วน ทำให้มันยังใหม่ใช้งานได้ดีอยู่ สงสัยคงต้องได้เวลาเปลี่ยนเครื่องใหม่ก็คราวนี้ซะแล้วมั้งเนี่ย...
"ซักไม่เป็นก็รอถามผมก่อนสิครับคุณ เฮ้อ... แล้วนี่ทำอีท่าไหนฟองถึงได้เยอะขนาดนี้ล่ะเนี่ย" ผมเตะๆฟองแถวนั้นออก แต่ก่อนที่ผมจะเดินไปยังเครื่องซักผ้า ก็เห็นกล่องผงซักฟอกนอนแหมะอยู่บนพื้นเลยหยิบมันขึ้นมา
หือ ทำไมถึงเบาแบบนี้ล่ะ? คราวก่อนยังเหลือเยอะอยู่เลยนี่
"พอดีว่าผมเห็นมันเหลืออยู่แค่ครึ่งนึงเอง แล้วก็กลัวผ้าจะไม่สะอาดด้วย ก็เลยเทลงไปหมดเลย"
"..."
"แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้นี่นา เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมช่วย..."
"คุณคิด"
"หือ?"
" กรุณาออกไปรอข้างนอกด้วยครับ"
"ไม่ให้ผมช่วยเหรอ เผื่อจะได้เร็ว..."
"ออกไปรอข้างนอก"
"แต่..."
"เดี๋ยวนี้เลย"
"...ก็ได้"
กว่าจะจัดการเจ้าฟองพวกนี้เสร็จก็สายแล้วครับ ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กินเลยด้วย... แต่แล้วในตอนนั้นเองผมก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่าง กลิ่นมันเหมือน
...มีอะไรไหม้
ผมเลยรีบเข้าไปในห้องก็เห็นคนที่ผมไล่ให้ออกไปก่อนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงโซฟากลางห้องประหนึ่งเป็นบ้านของตัวเอง
"นี่คุณคิด... คุณได้กลิ่นอะไรแปลก ๆ บ้างรึเปล่า?"
"กลิ่นเหรอ ก็ไม่นี่... อ้อใช่ ผมทำอาหารเช้าเอาไว้ให้แล้วนะ"
"อาหารเช้า?"
"ใช่ ตอนนี้เหลือแค่อีกอย่างเดียว แต่คงใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ"
เดี๋ยวนะ ใกล้จะเสร็จแล้ว? ก็หมายความว่ายังทำไม่เสร็จสินะ แล้วไหงเจ้าตัวถึงมานั่งสบายใจเฉิบอยู่ตรงนี้ล่ะ หรือว่า...
"คุณกำลังจะบอกผมว่า คุณปล่อยอาหารไว้บนเตาอย่างนั้นเหรอ?"
"ใช่"
"รอให้มันเสร็จเอง คุณก็เลยมานั่งรออยู่ตรงนี้?"
"ก็... ใช่"
ไอ้หมอนี่...
"มีอะไรเหรอ?"
"คุณคิด... ตอบผมมา คุณทำอาหารไม่เป็นใช่ไหม?"
"เอ่อ... ก็เคยเห็นมาบ้าง"
"..."
"มีอะไรเหรอ? "
"ตามผมไปที่ห้องครัว เดี๋ยวนี้เลย!"
"ทำไมเหรอ?" ผมไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ แต่รีบพุ่งไปทางห้องครัวทันที
ไอ้บ้าเอ้ย! ทำอะไรเป็นมั่งเนี่ย!?
และแล้ว โครงการทานมื้อเช้าของผมก็เป็นอันต้องพับเก็บไปก่อน...
ตอนนี้ผมอยู่ในลิฟต์ครับ...
ข้าง ๆ ผมนั้นมีตัวปัญหาที่กำลังหาทางชวนผมคุยอยู่หนึ่งคน
"ไม่เอาน่าฮัก ยิ้มหน่อยสิ"
"...ต่อไปนี้คุณห้ามหยิบจับอะไรในห้องผมเด็ดขาด"
"ก็ได้... แล้วนี่เราจะไปไหนกันเหรอ?"
"กินข้าว"
พอออกจากลิฟต์ ผมก็เดินตรงไปยังประตูทางออกทันที แต่ก็โดนอีกคนที่เดินตามมาดึงตัวเอาไว้ก่อน
"ไม่ไปเอารถเหรอ?"
"นี่ คุณคิดว่าสภาพการจราจรในช่วงนี้เป็นยังไงครับ ขืนเอารถไปเองก็ได้กินข้าวเที่ยงแทนข้าวเช้าแล้วล่ะครับ"
"แล้วจะไปกันยังไง?"
ได้ยินดังนั้น ผมเลยหยุดเดินแล้วหันไปตอบอีกฝ่าย
"รถเมล์"
เฮ้อ...
ตอนนี้ผมกำลังยืนโหนอยู่บนรถเมล์ครับ ซึ่งมันก็เป็นกิจวัตรประจำวันอันแสนปกติของผมและคนทั่ว ๆ ไป
...แต่คงไม่ปกติสำหรับคนแถวนี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม
"ฮัก อยู่ ๆ ก็ขึ้นมาแบบนี้เลยจะดีเหรอ ไม่ต้องซื้อตั๋วก่อนเหรอ?"
"ไม่ต้องครับ"
"แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าต้องนั่งตรงไหน"
"ตามอัธยาศัยครับ"
"แต่นี่พวกเรายืนอยู่นะ แบบนี้ก็แปลว่ารับผู้โดยสารเกินอัตราน่ะสิ"
"นี่มันรถเมล์นะคุณ ไม่ใช่รถตู้"
"แต่..."
"พอเลยคุณคิด ยืน ๆ ไปเถอะ ป้ายหน้าก็ถึงแล้ว เฮ้อ... คุณนี่จริง ๆ เลย เคยออกไปไหนบ้างไหมเนี่ย?"
"ก็ออกนะ บ่อยด้วย"
"แต่คงไม่ใช่วิธีแบบนี้สินะ"
"ครั้งแรกเลยล่ะ" อีกฝ้ายยิ้มจนตาหยีตอบกลับมา
ถึงไม่บอกก็รู้อยู่แล้วน่า...
พอรถหยุด พวกผมก็รีบลงทันที ก่อนที่ผมจะเดินเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ ข้างป้ายรถเมล์ ก็เจอกับซุ้มร้านโจ๊กเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง
"เข้ามาสิคุณ ไปยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น ไม่หิวรึไง นี่ก็จะสายแล้วนะครับ" ผมหันไปเรียกอีกคน เมื่อเห็นว่าไม่ยอมเดินตามเข้ามาสักที
"กินที่นี่เหรอ?"
"ก็ใช่น่ะสิ นี่ร้านอร่อยเลยนะ"
พอผมพูดแบบนั้น เขาก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาในร้าน มองซ้ายทีขวาทีทำท่าเหมือนจะสำรวจดูรอบ ๆ ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงข้ามกับผม
ไม่ต้องเดาเลย ไม่เคยมาร้านแบบนี้แหง ๆ
"จะสั่งอะไรครับ"
"อา... เอาเหมือนคุณก็แล้วกัน"
ได้ยินแบบนั้นผมก็มองหน้าเขา แล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า 'แน่ใจนะ' พอเขาพยักหน้ายืนยัน ผมก็หันไปสั่งกับเด็กในร้านทันที
"คุณมากินที่นี่บ่อยเหรอ?"
"ก็เป็นบางวันครับ ผมกินก่อนไปทำงานน่ะ"
"อ้อ แล้ว... คุณทำงานอะไร?"
"พนักงานบริษัทธรรมดา ๆ ครับ" พอผมพูดจบ โจ๊กร้อน ๆ ก็ถูกยกมาเสิร์ฟ
"หวังว่าคุณคงเคยกินโจ๊กหมูใส่ไข่นะ"
"เคยสิ ตอนเด็ก ๆ กินบ่อยเลยล่ะ"
"...นานไปนะครับ"
"ผ่านมาไม่กี่ปีเองคุณ"
"อ้อเหรอ"
ผมลงมือกินไปได้สักสองสามคำ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นคนตรงหน้าผมหน้าแดงเถือกเลย
"เป็นอะไรไปคุณคิด?"
"...เผ็ด"
"ห๊ะ? เผ็ดอะไร? พริกก็ไม่ได้ใส่นี่ครับ"
"ไอ้นี่" พอผมมองตามนิ้วอีกฝ่าย ก็เข้าใจทันที
"อ้อ แค่ขิงเอง"
"ไม่ใช่แค่นั้นนะ มันมีพริกไทยด้วย"
"อย่าบอกนะว่าคุณกินเผ็ดไม่เป็น?"
"..."
"คุณนี่มันเหลือเชื่อเลย ขิงกับพริกไทยแค่นี้เนี่ยนะ" ผมยื่นทิชชู่ไปให้อีกฝ่ายที่ตอนนี้น้ำหูน้ำตาเล็ดหมดแล้ว
"ลองมาเป็นผมสิ" เจ้าตัวรับไป แล้วกระดกน้ำตามจนหมดแก้ว ผมเลยรินให้ใหม่ทันที เพราะกลัวไม่ทันใจคุณชายเขา ที่ตอนนี้ยังหน้าแดงเถือกไม่หายเลย
"กินน้ำเยอะก็ยิ่งเผ็ดนะคุณ"
"ทำไงได้ล่ะ..."
"หึหึ"
"ขำอะไรน่ะฮัก"
"เปล่า... เอาล่ะ หายเผ็ดแล้วก็รีบกินต่อเถอะครับ" ผมอมยิ้มมองคนหน้าบูดตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังนั่งเขี่ยขิงกับส่วนที่มีพริกไทยออกอยู่
รู้สึกเหมือนพาเด็กโข่งมากินข้าวเลย...
// เดี๋ยวมาต่อจ้า