[เรื่องสั้น] บรรทัดสุดท้ายฯ (บรรทัดติ่ง) [จบ] หน้า 3 (14-02-2559)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] บรรทัดสุดท้ายฯ (บรรทัดติ่ง) [จบ] หน้า 3 (14-02-2559)  (อ่าน 27282 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





...........................

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2016 21:08:21 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
บรรทัดสุดท้าย (เขียนไว้ว่ารัก)

เรื่องย่อ : ว่ากันว่าช่วงมัธยมเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดและน่าจดจำที่สุดของชีวิต เป็นช่วงแห่งการค้นพบและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และหากโชคดีก็อาจได้พบกับใครคนหนึ่งที่เราจะเก็บเขาเอาไว้ให้อยู่ในความทรงจำไปตลอดกาล...


เรื่องอื่น ๆ


สารบัญ

บรรทัดที่ 1
บรรทัดที่ 2
บรรทัดที่ 3
บรรทัดที่ 4
บรรทัดที่ 5
บรรทัดสุดท้าย



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2016 09:26:05 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
บรรทัดที่ 1 เกริ่นนำ



โฟล์กสวาเกนบีเทิลสีครีมแล่นออกนอกเขตกรุงเทพมหานครมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง กว่าสองชั่วโมงที่ไม่ได้แวะพักที่ไหน และเมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นที่ปลายฟ้า เจ้าของรถก็ชะลอความเร็วพร้อมกับทอดตามองต้นยางพารานับร้อยที่ปลูกเรียงกันเป็นระเบียบบนพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล แดดอ่อน ๆ ทอแสงสาดกระทบช่อดอกสีนวลของต้นอ้อที่ขึ้นล้อไปกับสองฟากถนน ลำต้นยาวไหวลู่ไปตามแรงลมที่บางครั้งก็แผ่วเบาราวกับมือของชายหนุ่มที่แตะลงบนแก้มสาวบางครั้งก็พัดโหมจนกลีบดอกลอยฟุ้ง ผ่านมาตรงนี้ทีไรให้รู้สึกเหมือนใกล้จะถึงบ้านทุกทีไป


ชายหนุ่มหมุนกระจกลงปล่อยให้สายลมพัดวนอ้าแขนกอดกันให้หายคิดถึงหลังจากไม่ได้พบกันเสียนาน ครั้งสุดท้ายที่กลับมาเยือนคือเมื่อช่วงเริ่มฤดูฝน ต้นไม้ใบหญ้าพอได้น้ำก็คืนความเขียวขจีให้กับพื้นที่แถบนี้ เมฆลอยต่ำจนดูเหมือนดินและฟ้าอยู่ไม่ห่างกัน เป็นภาพชินตาคนในพื้นที่หากแต่เป็นภาพประทับใจของผู้ที่นาน ๆ จะได้หวนคืนสู่บ้านเกิดสักครั้ง


ธานัทละสายตาจากทิวทัศน์ข้างทาง คว้าโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนที่นั่งข้าง ๆ กดรับสายพร้อมกับเปิดลำโพงแล้วโยนไว้ที่เดิม ไม่ทันได้กล่าวทักทาย คนปลายสายก็รัวคำถามใส่จนไม่มีจังหวะให้ตอบกลับ


“เอ๋ย แกออกจากกรุงเทพฯ หรือยัง ถึงไหนแล้วเนี่ย แล้วแกไปบ้านพี่เชษฐ์ถูกไหม”


เจ้าของชื่อถอนใจเฮือกขณะที่ดวงตายังคงมองทางข้างหน้า ป้ายบอกทางแสดงให้รู้ว่าอีกไม่นานก็จะเข้าสู่ตัวเมืองจันทรบุรี “จะให้ตอบคำถามไหนก่อน”


คำถามนั้นทำเอาคนโทรมาต้องหยุดไปชั่วขณะเพื่อเลือกสิ่งที่ต้องการรู้ที่สุดขึ้นมาถามก่อน “แกอยู่ไหน”


“ใกล้จะถึงจันท์แล้ว”


“อืม ถ้าอย่างนั้นดีเลย แม่ฉันนัดพี่เชษฐ์ว่าจะให้แกไปหาที่บ้านตอนสิบเอ็ดโมงนะ จำบ้านพี่เชษฐ์ได้หรือเปล่า”


“บ้านแฟนเก่าแกใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ


“แฟนเก่าบ้าอะไร ฉันมีตัวตนไหมเขายังไม่รู้เลย”


“อย่างน้อยก็ต้องรู้สิว่าแกเป็นลูกสาวอาจารย์มยุรีย์ อะ ๆ ฉันถอนคำพูดก็ได้ เปลี่ยนเป็นคนที่แกแอบชอบก็แล้วกัน”


“เออ จะอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้พี่เชษฐ์แกคงแต่งงานมีลูกไปแล้วละมั้ง” ปลายสายถอนใจแล้วกล่าวต่อ “ตกลงไปบ้านพี่เชษฐ์ถูกไหม”


“ถูก ๆ บ้านสวย ๆ ที่อยู่หลังตลาด เปิดสอนศิลปะ”


“นั่นแหละแก ยังไงฉันฝากด้วยนะ แม่ไม่ไว้ใจใครทำเลยนอกจากแก ขนาดบอกว่าช่วงนี้แกเองก็ยุ่ง ๆ ยังรบเร้าให้ช่วยพูดกับแกให้หน่อย”


“อือ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง”


“แล้วนี่แกสัมภาษณ์รุ่นพี่ตามรายชื่อไปได้กี่คนแล้ว”


“อีกไม่กี่คนก็ครบแล้วละ”


“อืม ถ้าอย่างนั้นฝากด้วยนะแกถ้าไม่ทันสิ้นปีละก็มีหวังแม่บ่นจนฉันหูชาแน่ ๆ”


“แกก็หัดกลับบ้านบ้างสิ”


“แหม...ฉันเป็นพยาบาลนะแก ไม่ได้ว่างเหมือนพ่อนักเขียนอิสระอย่างแกนี่ นึกอยากจะไปไหนเมื่อไรก็ไปได้”


“แล้วแบบนี้งานเดือนหน้าแกจะมาได้ไหม”


“ไปสิแก นาน ๆ เพื่อนจะมีงานเปิดตัวหนังสือสักที เอ้อ! เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะแก แม่โทรมาพอดี สงสัยจะถามเรื่องสัมภาษณ์รุ่นพี่ลงหนังสือที่ระลึกงานเกษียณนี่แหละ ถ้ายังไงฉันให้แม่โทรคุยกับแกอีกทีนะ แค่นี้นะแก”


“อะ...อ้าว...” มุ่นคิ้วพลางหมุนกระจกขึ้น มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่ามีเวลาอีกเยอะจึงไม่ได้รีบร้อนเร่งเครื่องแต่อย่างใด
โฟล์กเต่าที่ได้เป็นมรดกตกทอดจากผู้เป็นพ่อยังคงแล่นด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ไม่นานก็เข้าสู่ตัวเมืองจันทบุรี


เมืองจันทบุรีในเวลาเกือบแปดนาฬิกาไม่ต่างกับเมืองหลวงที่จากมาเท่าไรนัก ยิ่งเป็นวันเริ่มงานวันแรกของสัปดาห์ บนท้องถนนก็ยิ่งเต็มไปด้วยรถราที่สัญจรไปมา ที่หน้าโรงเรียนก็ดูชลมุนวุ่นวายเพราะผู้ปกครองต่างจอดรถส่งบุตรหลานให้ทันเวลาเคารพธงชาติ โฟล์กเต่าสีครีมพาธานัทมุ่งหน้าสู่ชมชุนเก่าริมแม่น้ำจันทบูร เมื่อเข้าสู่ตรอกเล็ก ๆ ที่ขนาบข้างด้วยห้องแถวและอาคารทรงโบราณ ก็เหมือนได้ย้อนเวลาหวนคืนสู่อดีต นึกถึงเมื่อครั้งที่วิ่งเล่นไปกับเพื่อน ๆ จนถึงท้ายตลาด ตอนนั้นก็ว่าถนนเส้นนี้ช่างกว้างใหญ่นักจนบรรดาลุงป้าน้าอาต้องคอยร้องบอกให้ระวังรถ แต่มาตอนนี้กลับดูแคบไปถนัดตาทั้งที่เป็นถนนสายเดิม


ย่านเมืองเก่าเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ประตูบานเฟี้ยมของห้องแถวบางห้องยังคงปิดสนิท ส่วนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็พากันเดินออกอาคารโบราณซึ่งเปิดเป็นที่พักเพื่อเก็บภาพบรรยากาศยามเช้าและภาพวาดตามกำแพงด้วยกล้องดิจิทัลในมือ แม้จะเป็นชุมชนริมน้ำ แต่การออกแบบบ้านเรือนกลับต่างไปจากวิถีของตลาดริมน้ำภาคภาคกลางที่มีการซื้อขายของกันบนเรือ ดังนั้นหน้าบ้านจึงต้องหันออกสู่แม่น้ำ แต่บ้านเรือนริมน้ำจันบูรกลับหันหลังให้น้ำ นั่นเพราะสินค้ามาทางเรือก็จริง หากแต่เมื่อมาถึงท่า พ่อค้าแม่ค้าก็นำขึ้นมาขายกันทางบก ดังนั้นบ้านเรือนแถบนี้จึงหันหลังให้น้ำแทบทั้งสิ้น วิถีชีวิตและศิลปกรรมก็เป็นการผสมผสานความเป็นไทยจีนฝรั่งและญวนเข้าไว้ด้วยกัน


เมื่อพ้นตึกฝรั่งที่ก่ออิฐถือปูนตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรปมาได้หน่อย โฟล์กสวาเกนบีเทิลสีครีมก็จอดสนิทที่หน้าบ้านซึ่งเป็นห้องแถวเก่าสีเปลือกไข่ไก่ เหนือกรอบประตูบานเฟี้ยมลูกฟักสีเขียวพาสเทลติดกระจกขุ่นมีป้าย ‘ขนมหวานแม่เอย’ ตั้งตามชื่อเจ้าของก็คือพี่สาวของเขา


ธานัทมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่ายังไม่ได้เวลานัดจึงก้าวลงจากรถ เดินไปตามทาง ข้ามสะพานคอนกรีตเล็ก ๆ พอให้รถจักรยานยนและคนเดินเท้าผ่านได้ก็พบกับโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาธอลิกซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกศิลปะโกธิคตั้งเด่นเป็นสง่า ด้านหน้าเป็นลานกว้างมีรูปปั้นพระนางมารีอา ถัดไปเป็นหอสูงกระหนาบตัวอาคารซึ่งภายในประดับกระจกสีเป็นภาพนักบุญ แม้ธานัทจะไม่ใช่คริสตศาสนิกชน แต่เขาก็มักจะมาปลีกวิเวกที่นี่อยู่บ่อยครั้ง


ทันทีที่เดินผ่านซุ้มประตู ปลายเท้าก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบจากหินอ่อนที่ใช้ปูพื้น ที่นี่ยังคงความศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่อาจารย์มยุรี อาจารย์สอนวิชาสังคมศึกษาพามาทัศนศึกษาหรือครั้งอื่น ๆ ที่มาด้วยตนเอง และไม่ว่าจะครั้งไหนก็ชวนให้หวนนึกถึงเรื่องราวสมัยที่ยังเรียนชั้นมัธยมฯ อยู่ร่ำไป และถ้าหากมาเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย ก็คงได้พบกับใครคนหนึ่งที่เพิ่งขับรถเก๋งสีดำออกไป

..................................................


“นี่สัมภาษณ์มาได้กี่คนแล้ว” หนุ่มผมยาวซึ่งนั่งอยู่ที่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามของศาลาท่าน้ำเอ่ยขึ้นเมื่อการพูดคุยตามหัวข้อในกระดาษสิ้นสุดลง


“ก็เกือบครบแล้วครับ สัมภาษณ์พี่เสร็จ ก็เหลือแค่พี่ที่เป็นนักบาสทีมโรงเรียน อืม...ชื่ออะไรนะ” ตอบพลางกดปิดเครื่องบันทึกเสียง


“อ๋อ ไอ้ที คนนี้น่ะศิษย์รักอาจารย์มยุรี สมัยเรียนเกเรน่าดู” คนพูดทอดตามองไปยังสายน้ำที่นิ่งสนิทราวแผ่นกระจก พลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อนึกถึงเพื่อนเก่า “แต่เชื่อไหมว่ามันไม่เคยโดดเรียนวิชาของอาจารย์เลยสักครั้ง”


“พี่ที ตอนนี้เป็นครูอยู่ที่วิทยาลัยพลศึกษา” ธานัทกล่าวพลางไล่อ่านประวัติย่อ ๆ ของลูกศิษย์ก้นกุฏิที่แม่ของเพื่อนไหว้วานให้มาช่วยสัมภาษณ์ลงหนังสือที่ระลึกงานเกษียณ


“มันเล่นกีฬาเก่ง ใครจะคิดว่าอย่างมันจะมาเป็นครูคนอื่น ตอนที่รู้ เพื่อน ๆ ก็พากันแปลกใจ ซ้ำยังบอกอีกว่ามันก่อกรรมทำเข็ญกลับครูที่โรงเรียนเอาไว้ยังไงบ้าง มันต้องเจอแบบนั้นเน่ ๆ แล้วก็จริงตามคำทำนาย”


“แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนอาชีพ”


“อืม พี่เคยคุยกับมันเหมือนกัน มันบอกว่ามันรักอาชีพนี้ บอกว่าวันหนึ่งจะเป็นครูที่ดีเหมือนอาจารย์มยุรีให้ได้”


คนฟังพยักหน้าก่อนจะสลับแผ่นกระดาษในมือ “ใคร ๆ ก็รักและเคารพอาจารย์มยุรี ทุกคนที่ผมติดต่อไป พอรู้วัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ก็ไม่รีรอเลยที่จะตอบรับ ถ้าสัมภาษณ์พี่ทีเสร็จก็เหลือแค่พี่ตาลคนที่สวย ๆ ที่รับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ รุ่นของพี่ก็ครบแล้วละครับ เป็นม.ปลายรุ่นที่อาจารย์เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา”


“เหนื่อยแย่เลยสิ”


“ไม่หรอกพี่ เวลาผมจะหาข้อมูลเขียนหนังสือก็ต้องคุยกับคนอื่นเป็นเรื่องปกติ ต้องเดินทางไปนู่นมานี่อยู่แล้ว”


“สมแล้วที่เป็นประธานชมชมวารสารของโรงเรียน อาจารย์มยุรีไว้ใจคนไม่ผิดจริง ๆ” เชษฐ์หรือครูเชษฐ์ของเด็ก ๆ กล่าวพลางมองรุ่นน้องที่กำลังหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง มันสั่นพร้อมกับดังเตือนว่ามีข้อความเข้ามาสักพักหนึ่ง หากแต่คู่สนทนาคงเกรงจะเสียมารยาทจึงไม่หยิบออกมา


“ขอโทษครับ” ธานัทกล่าวพลางใช้ปลายนิ้วเลื่อนหน้าจอเพื่อปิดเสียงก่อนจะอ่านข้อความที่ถูกส่งมา


“ไม่เป็นไรตามสบายเลย”


“ว่าแต่พี่เถอะเป็นยังไงบ้าง”


“ก็เรื่อย ๆ น่ะ”


“กับพี่โบว์ยังคบกันอยู่หรือเปล่า หลัง ๆ ผมผ่านมาทีไร ไม่เห็นพี่โบว์ส่งเสียงเรียกลูกค้าให้เข้ามาดูภาพเขียนเลย”


“เลิกกันไปได้เกือบปีแล้วละ”


“ล้อเล่นน่าพี่ ใคร ๆ เขาก็พูดกันว่าคู่ของพี่น่ะเป็นคู่รักมาราธอน รักกันยาวนานมาตั้งแต่ม.ปลาย” ธานัทกล่าวพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดพิมพ์ข้อความ


“ของแบบนี้มันไม่แน่ไม่นอนหรอก ถ้าความรักมันน้อยลงหรือแห้งหายไปหมดแล้ว ยื้อไว้ต่อก็ไม่มีประโยชน์”


“แล้วตอนนี้มีคนมาดามใจหรือยังพี่” ปากพูดไปทั้งที่ตายังคงมองหน้าจอ จริง ๆ คำถามของเขาก็คือคำถามที่คนที่กำลังคุยกันผ่านโปรแกรมสนทนาอยากรู้ต่างหาก


เชษฐ์ส่ายหน้า ไม่ได้กล่าวอะไร


“ข...ขอโทษนะพี่ที่ชวนคุยเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ”


“เฮ้ย ไม่เป็นไรน่า ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” คนพูดถอนใจ “ช่วงมัธยมนี่มันมีทั้งเสียงหัวเราะแล้วก็คราบน้ำตาจริง ๆ นะ บางคนก็ผ่านมาแล้วผ่านไป บางคนก็มาเพื่อให้จำฝังใจ”


“แล้วพี่โบว์เป็นแบบไหนครับ”


“โบว์เป็คนที่พี่ยังลืมไม่ลงว่ะ ทำยังไงได้ ใช้เวลาเป็นสิบปี กว่าจะรักได้ขนาดนี้ จู่ ๆ จะให้เลิกรัก พี่ทำไม่ได้ว่ะ”


“ผมเข้าใจ” เสียงนั้นแผ่วเบาจนคนพูดเองก็ยังรู้สึกได้


“ว่าแต่เราเถอะ มีใครสักคนตอนสมัยเรียนที่ยังจำฝังใจจนถึงทุกวันนี้บ้างไหม”


“คน...ที่ยังจำ...ฝังใจ....อย่างนั้นเหรอครับ” น้ำเสียงฟังกระท่อนกระแท่นหากแต่ดวงตากลับพราวระยับ เมื่อมีบางคนกำลังเอื้อมมือลงควานหา ใครคนหนึ่งก็พร้อมจะทะลึ่งตัวขึ้นจากห้วงแห่งความทรงจำ...



..............................


เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน...

มาแล้วจ้า เรื่องสั้นเรื่องสุดท้ายในชุด "ในความคิดถึง"

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2016 07:29:30 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
แค่อ่านชื่อเรื่องก็จะละลายแล้วค่ะ ตั้งหน้าตั้งตารออ่านค่ะ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
มารอจ้า
เขาคนนั้นเป็นใครกันนะ

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
ต้องเป็น พขร เก๋งสีดำแน่ๆ
ไม่ใช่พี่ทีใช่มั้ย เพราะถ้าใช่ คงมีอาการแล้ว
จะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น รุ่นพี่ หรือรุ่นน้องน้อ
หรือจะเป็นอาจารย์!!!
โอ้ยยยย เดาาาาาาา

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
โอ้ยยยย คิดถึงๆๆ ถธปทฟ ทำให้เราอยากเที่ยวจันทบูรอีกแล้ว

ออฟไลน์ nooklepper

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เข้ามาลุ้นอย่างใจจดจ่อ ใครกันที่ทำให้ลืมไม่ลง

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
เค้าคนนั้นคือใครกันน๊า อยากรุ้จัง
จะใช่คนที่เพิ่งขับรถเก๋งสีดำออกไปรึเปล่า
//มโนไปเรื่อยยย

รอตอนต่อไปนะคะ^^

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ได้ไปเที่ยวที่ใหม่อีกแล้ว

หือม์....ใครกันนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
โอ๊ะโอ เราก็เคยไปนะ อาหารเมืองจันท์อร่อยมากเลย
หลงเสน่ห์เมืองนี้

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ดีใจมากๆเลยค่ะ ได้รับความสุขต้นปีเลย เซอร์ไพรส์เลยค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ

เราได้สถานที่ไว้เดินตามรอยนิยายอีกแล้ว ชอบมากๆค่ะ รีบหาข้อมูลจันทบุรีเลยค่ะ
หารูปโบสถ์คริสต์ดูแล้ว สวยมากๆค่ะ หารูปบ้านเรือนริมนำ้หันหลังให้แม่นำ้เป็นอย่างที่บรรยายไว้เลยค่ะ
นักเขียนทำให้เราสนใจวิถีชีวิตและอยากไปเที่ยวจันทบุรีจังค่ะ

ขอทำนายว่าเอ๋ยช่วงนี้จะเกี่ยวข้องกับคนอกหักค่ะ  ทั้งพี่เชษฐ์(จะเป็นพ่อสื่อให้เพื่อนใช่มั้ย) และโดยเฉพาะใครคนหนึ่ง อิอิ
ส่วนพี่ทีดูมีบทบาทจัง มาแค่ชื่อและมีคนพูดถึงก็น่าสนใจแล้ว555 หรือว่าจะเป็นคู่แข่งกับใครคนหนึ่ง  ขอเดาๆ  เรายังไม่เข็ด555
แบบนี้ก็ยิ่งลุ้นพระนายเลยค่ะ แล้วต้องเล่าเรื่องราวย้อนไปในวัยเรียนบ้างด้วยแล้วยิ่งโรแมนติกมากๆเลยค่ะ  ชอบมากเลยค่ะ
ชื่อเรื่องเราก็ชอบ  อ่านแล้วเขินเลยค่ะ :-[  ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ  :L2:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
บรรทัดที่ 2 บันทึกที่ไม่มีใครได้อ่าน


หม้ายสาววัยสามสิบปีเศษเจ้าของร้าน ‘ขนมหวานแม่เอย’ ชะเง้อหน้ามองหาเจ้าของรถโฟล์กเต่าที่ไม่รู้มาจอดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อไร ขณะนี้เวลาก็ปาไปเกือบบ่ายโมงแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา ด้วยความที่เป็นพี่สาวคนโตและเหลือกันเพียงสองคนอารดาจึงเอาใจใส่น้องชายคนนี้มากเป็นพิเศษ หลังจากพ่อและแม่เสียชีวิตเธอตัดสินใจใช้ความรู้ทางด้านคหกรรมเปิดร้านขนมหวานเพื่อส่งน้องซึ่งกำลังเรียนชั้นมัธยมปลายได้เรียนจนจบ แต่สุดท้ายก็มีอันต้องมาแยกจากกันเมื่อตอนที่ธานัทต้องเข้าไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ สำเร็จการศึกษาแล้วเขาก็เข้าทำงานที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งตามคำชักชวนของอาจารย์ นาน ๆ จึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้ง ซ้ำยังต้องเดินทางเก็บข้อมูลอยู่บ่อย ๆ ทำให้คนเป็นพี่สาวอดเป็นห่วงไม่ได้


หญิงสาวถอนใจ ลุกออกจากเคาน์เตอร์คิดเงิน เดินไปยังหน้าร้านเมื่อมองผ่านกระจกก็เห็นว่าคนที่กำลังรอคอยกำลังเปิดรถคว้าเป้ใบโตขึ้นสะพายก่อนจะผลักประตูเข้ามา ใบหน้ารูปไข่สะอาดสะอ้านนั้นคล้ามเข้มคงเพราะฤทธิ์แดด เหงื่อเม็ดโตซึมเปียกไปทั้งอกเสื้อเชิ้ต เจ้าของร่างสูงยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวทักทาย ปลดเป้แล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตากแอร์ให้ฉ่ำใจหลังจากเดินท่ามกลางแดดเปรี้ยงมาเป็นระยะทางไกล

     
“ไปทำอะไรมา ทำไมเหงื่อไคลถึงได้ไหลย้อยขนาดนี้” พี่สาวกล่าวขณะเดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์เปิดตู้เย็นรินน้ำฝรั่งคั้นสดแล้วยกมาวางตรงหน้า กอดอกรอฟังคำตอบ


“เอ๋ยไปบ้านพี่เชษฐที่หลังตลาดมา ไปสัมภาษณ์ลงหนังสือที่ระลึกงานเกษียณแม่ของมัส” พูดจบก็ยกแก้วขึ้นดื่ม ลิ้มรสหวานของน้ำผลไม้


“มัส...อืม...อาจารย์มยุรี แม่ของมัสลินน่ะเหรอ เวลาผ่านไปเร็วจังเลยนะ เผลอแป๊บเดียวอาจารย์ก็จะเกษียณแล้ว พี่ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งเรียนกับอาจารย์ตอนม.ต้นอยู่เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง”


“ครับ อาจารย์ท่านเกษียณประมาณกลาง ๆ ปีหน้า”


พี่สาวพยักหน้า “แล้วนี่จะกลับบ้านทำไมไม่โทรบอกพี่ก่อน พี่จะได้เตรียมอะไรไว้ให้กิน”


“มันกะทันหันน่ะครับ จริง ๆ เขาให้เวลานานอยู่ แต่เอ๋ยอยากรีบทำให้เสร็จเพราะมีหนังสืออีกสองเล่มที่ต้องส่งต้นฉบับ อีกอย่างโรงพิมพ์บ้านเราก็คิวยาวมาก ๆ ด้วยกลัวว่าไปเร่งทำตอนใกล้ ๆ จะไม่ทัน”


“แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง”


“เอ๋ยกินก๋วยเตี่ยวมาแล้วครับ พี่เชษฐ์เลี้ยง” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่มอีกครั้ง มองพี่สาวที่กำลังเดินไปจัดกล่องใส่ฝอยทองกรอบให้เข้าที่ “เอ้อ พี่เอย เมื่อกี้เอ๋ยเดินผ่านร้านสังฆภัณฑ์ตรงมุมถนน เขาเลิกขายแล้วเหรอ เห็นช่างกำลังต่อเติมอะไรกันยกใหญ่”


“อืม...เห็นว่าคุณลุงเจ้าของร้านแกไม่ค่อยแข็งแรงน่ะ ลูก ๆ มารับไปอยู่ด้วยกันเลยประกาศขาย สงสัยว่าจะมีคนซื้อแล้วมั้ง”
ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่ร่างเล็กหากแต่หัวใจกลับลอยไปไกลแสนไกล


“ว่าแต่เอ๋ยเถอะ คราวนี้จะกลับมาอยู่บ้านสักกี่วัน”


“น่าจะสัก 3-4 วันครับ ว่าจะรีบถอดเทปสรุปที่สัมภาษณ์ให้เสร็จ แล้วกลับไปช่วยเพื่อนปิดเล่มนิตยสาร”


“ดีจัง คราวนี้มาอยู่หลายวัน นี่ถ้ายัยอิงรู้ว่าน้าเอ๋ยมาต้องดีใจมากแน่ ๆ รายนั้นน่ะบ่นคิดถึงน้าเอ๋ยทุกวันเลย”


“ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้เอ๋ยไปรับหลานเองนะ พี่เอยจะได้อยู่บ้าน ทำกับข้าวอร่อย ๆ ให้เอ๋ยกิน”


“โธ่...น้องฉัน” อารดาส่ายหัวดิก “ไอ้เราก็นึกว่ากลัวพี่สาวจะเหนื่อย ที่แท้ก็ประจบจะกินของอร่อยนี่เอง”


น้องชายอมยิ้มก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปสวมกอดร่างเล็กอย่างประจบ “นาน ๆ ทีน้องชายหัวแก้วหัวแหวนจะกลับมานะครับ พี่สาวก็ต้องเอาใจหน่อยสิ”


มือนิ่มตีที่แขนแกร่งเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ไปห่าง ๆ ไป เนื้อตัวมีแต่เหงื่อ”


“ถ้าอย่างนั้นเอ๋ยขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวจะแย่” พูดจบคนน้องก็คว้าเป้เดินขึ้นบันไดไปปล่อยให้พี่สาวได้แต่มองยิ้ม ๆ


...


หลังจากชำระล้างร่างกายจนสบายตัวแล้ว ธานัทในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อยืดก็เดินออกจากห้องน้ำ มือยังคงกำผ้าขนหนูขยี้หัวให้พอหมาด จัดการตากผ้าเช็ดตัวที่ราวนอกระเบียงแล้วจึงกลับเข้ามานั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ ทอดตามองกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ มีทั้งภาพครอบครัวและเพื่อนฝูงเมื่อสมัยเรียน มือขาวเอื้อมดึงลิ้นชัก หยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งออกมา  เป็นสมุดบันทึกเล่มใหญ่ ใช้เงินค่าขนมที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้กับตัวเองควบรวมกับที่สามารถสอบเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดได้ สมุดเล่มนี้จึงใช้เขียนบันทึกเรื่องราวสำคัญ ๆ สมัยเรียนเอาไว้ทั้งหมด และเมื่อพลิกเปิดหน้าแรกความทรงจำครั้งเก่าก็ฟุ้งกระจายโอบล้อมร่าง เหมือนสายลมที่พร้อมจะหอบหัวใจให้หวนนึกถึงอดีตอันหวานหอม...


พถษภาคม 2541


เสียงเพลงมาร์ชโรงเรียนจากลำโพงเสียงตามสายดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนให้นักเรียนมารวมกันที่สนามฟุตบอลเพื่อเข้าแถวเคารพธงชาติ วันแรกของการเปิดภาคการศึกษามักวุ่นวายเป็นปกติ บรรดาเด็ก ๆ ที่ไม่ได้พบหน้ากันเสียนานต่างพากันพูดคุยเสียงดังเป็นนกกระจอกแตกรัง แต่ทันทีที่เสียงบรรเลงเพลงชาติไทยจากวงโยธวาทิตดังแทรกขึ้น ทุกคนก็พากันเงียบกริบก่อนจะพากันเปล่งเสียงร้องคลอตามกันไป


ไม่มีใครคิดว่าเราต่างมีเวลาเพียงหกปีเท่านั้นที่จะได้ทำกิจกรรมเหล่านี้ในรั้วโรงเรียน  พิธีการหน้าเสาธงดำเนินไปโดยใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที จากนั้นผู้อำนวยการก็ก้าวขึ้นบนฐานคอนกรีตยกสูงขึ้นเป็นเวทีเพื่อกล่าวต้อนรับนักเรียนทุกคนกลับคืนสู่โรงเรียน รวมถึงแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานนักเรียนที่กำลังจะมาถึงในอีกวาระหนึ่ง


“เธอชื่ออะไรน่ะ” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมกับปลายนิ้วที่จิ้มลงกลางหลัง


ธานัทละสายตาจากร่างสูงใหญ่ในชุดเครื่องแบบสีกากีที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าเสาธง เหลียวหลังกลับมามองก็พบว่าเจ้าของเสียงคือสาวน้อยหน้าตาน่ารัก ผมตัดสั้นเสมอติ่งหูตามระเบียบ ปอยผมด้านหน้าถูกรวบเก็บติดกิ๊ฟเสียเรียบแปล้ไม่ให้ตกลงมาระลูกตา ยังไม่ทันได้ตอบ คนตาไวก็อาศัยจังหวะนี้ไล่อ่านตัวอักษรที่ปักอยู่บนอกเสื้อก่อนจะกล่าวต่อ


“ธานัท ชื่อเล่นต้องชื่อนัทแน่ ๆ เลย”


“เรียกอย่างนั้นก็ได้”


“อ้าว เธอไม่ได้ชื่อนัทหรอกเหรอ”


“เราชื่อเอ๋ย แต่เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนเก่าเรียกเราว่านัท”


“เอ๋ยเหรอ ชื่อแปลกจัง แต่เราว่าน่ารักดี ถ้าอย่างนั้นเราจะเรียกเธอว่าเอ๋ยนะ เราชื่อมัสลิน เรียกว่ามัสก็ได้”


“อื้อ” เด็กชายยิ้มแก้มปริ นั่นเพราะจำนวนนักเรียนสี่สิบกว่าคนในห้องไม่มีเพื่อน ๆ จากโรงเรียนเดิมเลยสักคน และเธอก็เป็นคนแรกที่เข้ามาคุยกับหนุ่มน้อยขี้อายอย่างเขา


“เราจำได้ว่าเคยเจอเธอครั้งหนึ่งในตลาด”


“พ่อกับแม่เราขายขนมหวานอยู่ในตลาดน่ะ”


“ร้านรถเข็นที่คนต่อคิวกันยาว ๆ นั่นใช่ไหม”


“ใช่”


เด็กหญิงมัสลินตาลุกวาว “เราชอบบัวลอยมาก ๆ เลย แม่เราเคยซื้อมาให้กินครั้งหนึ่ง”


“บัวลอยน่ะ จะทำเฉพาะตอนหน้าหนาว”


“ดีจัง ถ้าอย่างนั้นหน้าหนาวปีนี้ทำขายเมื่อไร เธอบอกเราด้วยนะ เราจะไปอุดหนุน”


“ได้สิ”


สองคนยิ้มให้กัน ราวกับว่าสัญญานี้เป็นสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป...


หนึ่งเดือนแห่งการเริ่มต้นชีวิตมัธยมผ่านไปไวจนแทบจะลืมวันเวลา เสียงเพลงมาร์ชโรงเรียนยังไพเราะทุกครั้งเมื่อได้ฟัง เด็ก ๆ ที่นั่งจับกลุ่มพูดคุยกันต่างทยอยเดินลงไปที่สนาม ส่วนคนที่สุมหัวลอกการบ้านตามโต๊ะหินอ่อนใต้ร่มไม้ก็รีบเก็บสมุดหนังสือลงกระเป๋า ภายในโรงอาหารวุ่นวายไม่แพ้กัน ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปยังจุดหมายเดียวกันนั่นคือสนามฟุตบอลหน้าโรงเรียน สิ้นเสียงเพลงแถวถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยทันเวลาโดยมีอาจารย์ประจำชั้นคอยมองอยู่ห่าง ๆ


เมื่อพิธีการหน้าเสาธงเสร็จเรียบร้อย อาจารย์ฝ่ายกิจกรรมนักเรียนก็เดินขึ้นสู่เวที แจ้งถึงกำหนดการการปราศรัยหาเสียงและเลือกตั้งประธานนักเรียนให้ทุกคนได้ทราบ เสียงฮือฮาดังขึ้นเป็นระยะทันทีที่ได้ยินว่านักเรียนม.ห้าผู้ลงสมัครเป็นใครกันบ้าง บรรดารุ่นน้องหลายคนต่างชะเง้อคอมองหา ใขณะที่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้าด้วยกันก็จับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงห้องคู่แข่ง     


“นั่นไงแก พี่เต้ ม.ห้าทับหนึ่ง” เสียงพูดคุยกันเบา ๆ ของเด็กหญิงแถวถัดไปไม่อาจลอดหูคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้


“คนนี้ใช่ไหมที่จะลงสมัครประธานนักเรียน”


“คนนี้แหละแก เราว่าพี่เขาต้องได้เป็นแน่ ๆ เรียนก็เก่ง หล่อก็หล่อ”


เด็กชายผมเกรียนในชุดนักเรียนใหม่เอี่ยมปักชื่อ ‘ธานัท วนิชทัศน์’ ที่หน้าอกข้างซ้ายใต้ดาวสีแดงหนึ่งดวงสำหรับบอกระดับชั้นเบนสายตาไปยังกลุ่มนักเรียนชายที่ยืนอยู่ท้ายแถวแรกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า ฟังสรรพคุณแล้วไม่ต้องเสียเวลาหาก็พบคนที่เพื่อน ๆ พากันพูดถึง ซึ่งคงจะเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงเจ้าของผิวขาวราวไข่ปอกที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด เขาสวมกางเกงขาสั้นสีดำความยาวระดับเข่า เผยให้เห็นเรียวขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม หน้าคมอย่างนี้นี่เองพวกสาวม.ต้น ถึงได้พากันเหลียวมอง กำลังจะหันกลับเมื่อได้ยินเสียงอาจารย์ปล่อยแถวก็สะดุดเข้ากับอีกคนที่ความสูงพอ ๆ กัน ซึ่งอยู่ถัดขึ้นมา ทั้งที่หน้าตาก็ธรรมดา ๆ แต่หนุ่มน้อยกลับไม่อาจละสายตาจากเขาไปได้
 

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2016 22:28:21 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)




‘นุพันธ์ บุญญาอนันต์’



ตาทอประกายหลุบต่ำแต่ก็แน่ใจว่าสามารถอ่านมันได้ทันทุกอักษร จู่ ๆ กล้ามเนื้อหัวใจก็บีบตัวแรงกว่าปกติเมื่อจมูกได้กลิ่นโคโลญยี่ห้อที่กำลังได้รับความนิยมกันในหมู่วัยรุ่นทันทีที่เจ้าของชื่อเดินสวนกันที่ประตูด้านหลังของห้องเรียน กระนั้นธานัทก็ยังจำตำแหน่งที่นั่งของคนที่เพิ่งเดินผ่านไปได้ มันเป็นโต๊ะริมหน้าต่างที่อยู่ค่อนมาทางหลังห้องเรียน แต่โชคร้ายเหลือเกินที่การเป็นเด็กชายตัวเล็กซ้ำยังสายตาสั้นทำให้เขาต้องระเห็จขึ้นไปนั่งยังโต๊ะแถวหน้า ๆ แทนการได้นั่งตรงนั้น


“วันนี้แม่บอกว่าจะทำบัวลอยนะมัส” ธานัทกระซิบเมื่อเด็กหญิงมัสลินเดินมานั่งลงข้าง ๆ


“ยังไม่หน้าหนาวเลยนะ”


“แม่บอกว่ามีลูกค้าถามถึงเยอะก็เลยจะทำขายน่ะ”


“ดีเลย เดี๋ยวโรงเรียนเลิกเราจะให้แม่พาไปซื้อ”


“พรุ่งนี้เช้าเราตักมาฝากก็ได้”


“ไม่เอาหรอก เราไปซื้อดีกว่า”


“ไม่เป็นไรน่า เราจะบอกแม่ว่าเอามาฝากเพื่อนสนิท” คนพูดยิ้มแป้นในขณะที่คนฟังก็อยู่ในอาการเดียวกัน


“ขอบใจนะ” คำขอบคุณนั้นไม่ใช่สำหรับบัวลอยแสนอร่อยหากแต่เป็นสถานะที่อีกฝ่ายมอบให้ต่างหาก 


เด็กชายหยักหน้าก่อนจะหยิบหนังสือเรียนออกจากเป้ เสียงโวกเวกโวยวายเรียกสายตาของเขาและเพื่อน ๆ อีกหลายคนให้มองไปที่หลังห้อง ไม่นานกลุ่มนักเรียนหญิงหัวโจกที่ย้ายมาจากโรงเรียนเดียวกันก็เดินเข้ามานั่งแถวหลังซึ่งยังว่างอยู่ กระเป๋านักเรียนและหนังสือถูกโยนโทรมลงบนโต๊ะก่อนจะพากันลากเก้าอีกมานั่งสุมหัวคุยกัน หลังจากสัมผัสกันมาร่วมเดือนเพื่อน ๆ ในห้องต่างลงความเห็นว่าพวกนี้ไม่มีพิษมีภัยอะไร แค่ช่างพูดช่างคุย รักสวยรักงามและไม่ค่อยใส่ใจในกฎระเบียบก็เท่านั้นเอง


“แก ๆ คนตัวสูง ๆ ที่เดินกับกลุ่มพี่ผู้หญิงเมื่อกี้ชื่ออะไรน่ะ ลงสมัครประธานนักเรียนด้วยหรือเปล่า” เด็กหญิงผมหยักศกบางหันไปถามเอากับคนเจ้าเนื้อที่นั่งอยู่แถวหลังสุด


“อ๋อ พี่นุห้องหนึ่ง ลงสมัครประธานนักเรียนเหมือนกันแต่อยู่คนละกลุ่มกับพี่เต้นะ เป็นหลานชายคุณลุงขายเครื่องสังฆภัณฑ์ในตลาด แม่เป็นรอง ผอ.โรงเรียนข้าง ๆ” ตอบเสียละเอียดให้สมกับที่เพื่อน ๆ ยกให้เป็นซ้อเจ็ดจุดห้าเจ้าแม่ข่าวกรองประจำห้อง


“ทำไมแกรู้ดีจังวะนุ่น” สาวน้อยหน้าตาสะสวยโต๊ะข้าง ๆ เอ่ยขึ้น แม้จะกำลังก้มหน้าก้มตาลอกการบ้านแต่ก็อดสงสัยไม่ได้


“แม่เรารู้จักกับลุงเจ้าของร้าน เราก็ตามแม่ไปซื้อของที่ร้านลุงแก ได้เจอพี่นุอยู่เหมือนกัน” ตอบพลางสะกิดถามคนเปิดประเด็น


“ว่าแต่แกเถอะ ถามทำไม ชอบพี่เขาเหรอ”


“เปล่า เราแค่รู้สึกคุ้นหน้าน่ะ เหมือนจะเคยเห็นเขาไปช่วยพวกผู้ใหญ่จัดดอกไม้ที่โบสถ์อยู่บ่อย ๆ”


“ก็น่าจะใช่มั้งแก ลุงของพี่นุแกเป็นกรรมการชุมชน ไปช่วยงานนั้นงานนี้อยู่บ่อย ๆ พี่นุก็คงตามไปด้วย”


เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นหินแกรนิตที่ดังใกล้เข้ามาทำให้บรรดานกกระจิบกระจอกพากันรูดซิปปิดปากเงียบ ส่วนแก๊งหัวโจกหลังห้องพากันสลายตัวลากเก้าอี้กลับไปนั่งยังโต๊ะของตนเองตามเดิม และเมื่ออาจารย์สอนวิชาสังคมศึกษาหอบเอกสารและตำราก้าวเข้ามายืนยิ้ม หัวหน้าห้องร้องบอก “นักเรียนทำความเคารพ” สมาชิกในห้องต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียง  “สวัสดีครับ/ค่ะ”


อาจารย์มยุรีมองกวาดไปทั่วห้องเพื่อสำรวจจำนวนสมาชิก เธอคงมีความสามารถพิเศษในการจำชื่อและหน้าของนักเรียนอย่างที่รุ่นพี่ ๆ ร่ำลือจริง ๆ กระมัง จึงไม่ต้องอาศัยการเปิดสมุดขานชื่อให้เสียเวลา กิตติศัพท์ที่เล่าสืบกันมารุ่นต่อรุ่นนี้ ทำให้นักเรียนพากันไม่กล้าที่จะโดดเรียนในวิชาของอาจารย์เลยสักครั้ง เพราะหากทำเช่นนั้นก็จะพลาดการสอบเก็บคะแนนท้ายชั่วโมงที่วันดีคืนดีอาจารย์ก็แจกข้อสอบทำให้โดยไม่บอกล่วงหน้า หญิงวัยกลางคนวางตำราเรียนและเอกสารแบบฝึกหัดลงบนโต๊ะแล้วไปยืนที่กลางห้อง เธอนำเข้าสู่บทเรียนโดยการถามถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่นักเรียนมักจะทำในวันหยุด คำตอบที่ได้มีตั้งแต่ดูการ์ตูน ไปเที่ยว ช่วยผู้ปกครองทำงานบ้าน จนถึงไปทำบุญที่วัดหรือไปโบสถ์ กระทั่งจบด้วยคำถามที่ว่า “นักเรียนนับถือศาสนาใดกันบ้าง”


สมาชิกในห้องต่างแย่งกันตอบเสียงดังฟังไม่ได้ศัพท์จนคุณครูเจ้าของคำถามต้องบอกตัวเลือกและให้ยกมือ จากนั้นจึงประมาณด้วยสายตา ซึ่งเสียงส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มีจำนวนน้อยที่ยกมือว่าตนเองและครอบครัวเป็นคริสเตียน ซึ่งทั้งหมดนี้นำไปสู่เนื้อหาในบทเรียนซึ่งเกี่ยวกับการประชากรและการนับถือศาสนา ท้ายชั่วโมงอาจารย์มยุรีนัดแนะเรื่องการไปทัศนศึกษาในวันหยุดอีกครั้งหลังจากที่เกริ่นเอาไว้เมื่อช่วงเปิดภาคเรียน โดยหนนี้เป็นการแจ้งรายละเอียดให้ทราบว่าจะพานักเรียนสำรวจรอบ ๆ ชุมชน โดยจะแบ่งนักเรียนเป็นสามกลุ่ม เพื่อให้สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง ซึ่งก็ทำให้เด็ก ๆ พากันตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยแม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนในพื้นที่ก็ตาม 


เช้าวันต่อมาธานัททำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้ โดยการตักบัวลอยไข่หวานร้อน ๆ ใส่ปิ่นโตเถาเล็กมาให้เพื่อนรักได้ลิ้มลองในตอนพักกลางวัน หลังรับประทานอาหารลูกชายเจ้าของร้านขนมหวานก็จัดการเปิดปิ่นโตก่อนจะเลื่อนไปตรงหน้าคนที่กำลังทำตาโตเมื่อเห็นเม็ดแป้งหลากสีในน้ำกะทิ กลิ่นของมันหอมหวานจนเด็กหญิงวัยสิบสามปีไม่อาจหักห้ามใจตัวเองได้อีกต่อไป มือเล็กจับช้อนตักน้ำกะทิขึ้นชิมก่อนจะยิ้มราวกับได้ขึ้นสวรรค์


“มัสกินไปก่อนนะ เดี๋ยวเราไปซื้อน้ำให้” พูดจบก็ลุกขึ้นตรงไปยังร้านขายน้ำข้างโรงอาหารก่อนจะกลับมาพร้อมกับน้ำลำไยสองแก้ว


ธานัทวางน้ำแก้วหนึ่งที่ใกล้มือเพื่อน จากนั้นจึงเดินอ้อมกลับมานั่งยังที่ของตนเอง มองเด็กหญิงที่กำลังเคี้ยวตุ้ย ๆ “อร่อยไหม”


“อื้อ อร่อยมาก ๆ เลยละเอ๋ย” ว่าแล้วก็ตักแป้งเม็ดกลมนุ่มลิ้นเข้าปาก


“ถ้ามัสชอบ วันหลังเราจะขอให้แม่ตักมาให้อีก”


“แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว ยังไงเราฝากขอบคุณคุณแม่ของเอ๋ยด้วยนะ”


“อื้อ ได้สิ” พูดจบเด็กชายใช้หลอดคนน้ำลำไยก่อนจะดูดขึ้นจากแก้วที่วางอยู่ตรงหน้า เสียงกระเป๋าที่กระแทกโครมลงบนโต๊ะข้าง ๆ ทำเอาต้องเหลียวไปมอง ที่แท้ก็กลุ่มของสาว ๆ หัวโจกที่มักจะยึดพื้นที่หลังห้องที่ป้อมปราการนั่นเอง


“แกสองคนเป็นแฟนกันเหรอ” สาวน้อยร่างตุ้ยนุ้ยถามพร้อมกับเดินอาด ๆ เข้ามา ในขณะที่สองคนมองหน้ากันก่อนจะพร้อมใจหันไปส่ายหน้ารัวเป็นคำตอบ


“ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วทำไมตัวติดกันยังกับตังเม” เสียงห้าวห้วนทำเอาเพื่อน ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์พากันล้อมวงเข้ามา


“นุ่น แกเสียงดังทำไมวะ แม่มัสเป็นครูนะเว้ย” คนที่อยู่ใกล้ที่สุดกระซิบ แต่เมื่อเห็นสายตาพิฆาตที่ส่งกลับมาราวกับจะบอกว่า ‘ลูกครูแล้วยังไง’ ก็จำต้องหุบปากถอยห่างออกไป


นุ่นเบนสายตาไปยังหนุ่มน้อยหน้าที่ยังคงนั่งเงียบ ถามอย่างเด็ดขาด “ตอบมาไอ้นัท แกกับยัยมัสเป็นแฟนกันใช่ไหม”


“ก็บอกอยู่ว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน” เด็กชายกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“แล้วไป”


“ทีอย่างนี้ทำไมเข้าใจอะไรง่ายจังวะ แล้วเมื่อกี้แกจะโมโหทำไมนังนุ่น” คนเดิมเอ่ยขึ้น


“ก็ฉันนึกว่านัทกับยัยมัสเป็นแฟนกันน่ะสิ” พูดจบก็ทำค้อนขวับก่อนจะประกาศกร้าว “บอกไว้เลยนะว่าคนนี้ฉันจอง”


“คนนี้?” มัสลินทวนคำ 


“ใช่” พูดพลางชี้ไปที่เด็กชายผมเกรียนที่ยังไม่รู้ตัวเองว่ากำลังถูกจีบซึ่ง ๆ หน้า “ยังไงนัทก็ต้องคู่กับนุ่น จริงไหมจ๊ะนัทจ๋า”


ภาพของเด็กหญิงตัวโตที่นั่งกระแซะเบียดกับเพื่อนตัวผอมทำเอามัสลินแทบสำลักบัวลอย เธอยิ้มกว้างมองคนที่พยายามขยับหนีด้วยสายตาล้อ ๆ หลังจากเหตุการณ์ในโรงอาหารวันนั้น ‘นัท-นุ่น’ ก็คือชื่อที่เพื่อน ๆ เอามาล้อกันในห้องอย่างสนุกปาก และนุ่นเองก็ตามติดธานัทอย่างกับเงาตามตัว 


เช้าวันเสาร์ เด็ก ๆ กลุ่มแรกนัดพบกันที่หน้าโรงเรียนก่อนจะตามอาจารย์มยุรีไปสำรวจย่านชุมชนเก่าแก่ ระหว่างทางได้รับความร่วมมือจากลุงป้าน้าอาเป็นอย่างดี บางคนที่อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เล็กก็คอยให้ความรู้ บอกเล่าเรื่องราวเมื่อในรุ่นปู่ย่าตายายให้เด็ก ๆ ฟัง บ้านโบราณบางหลังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้เข้าชมเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตรวมถึงศิลปวัฒนธรรมของคนในชุมชนตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต อาจารย์มยุรีพานักเรียนเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยกระทั่งมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำจันทบุรี มุ่งหน้าสู่อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล ไม่ลืมที่จะกำชับเด็ก ๆ ให้ทำตัวสุภาพเรียบร้อยให้เกียรติสถานที่


เด็กชายหญิงจำนวนสิบห้าคนเดินตามผู้เป็นครูเข้าไปภายในด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมแม้จะตื่นตาตื่นใจกับสเตนกลาสภาพนักบุญที่หน้าต่างวิหารซึ่งเป็นโถงขนาดใหญ่ มีเก้าอี้นั่งตัวยาวซึ่งทำจากไม้เรียงกันไปจนเกือบถึงแท่นพิธี พากันนั่งลงที่มุมหนึ่งเพื่อฟังคุณครูอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ หูฟังเสียงหากแต่สายตากลับวอกแวกมองสำรวจรอบ ๆ นั่นเพราะหลายคนต่างก็เพิ่งจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก วัน-สองวันนี้คงจะมีงานสำคัญ พวกผู้ใหญ่จึงได้มาช่วยกันทำความสะอาดและจัดดอกไม้ ธานัทจ้องเขม็งไปยังร่างสูงที่ผุดลุกขึ้นจากหลังแท่นพิธีและกำลังเดินตรงมาทางนี้ เขายกมือไหว้พร้อมกับกล่าวทักทายอาจารย์มยุรีซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชั้นด้วยกริยาท่าทางนอบน้อม ส่วนรอยยิ้มละไมนั้นก็สะกดสายตาคนมองไม่ให้ไปไหน


“มาทำอะไรจ๊ะนุ”


“วันนี้ตามลุงมาช่วยจัดดอกไม้ครับ เห็นว่าพรุ่งนี้ที่โบสถ์จะมีงาน” นุพันธ์กล่าว


“ดีจ้ะ ช่วยกันหลาย ๆ มือจะได้เสร็จไว ๆ น่าจะชวนเพื่อน ๆ มาด้วย เจ้าทีน่ะแรงเยอะให้มาช่วยยกของ ส่วนเจ้าเชษฐ์ก็หัวศิลปะเผื่อจะช่วยอะไรเรื่องจัดตกแต่งสถานที่ได้บ้าง”


“นัดกันไว้ครับอาจารย์ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะตามมา”


“ดีแล้วละ ชวนกันทำเรื่องมีประโยชน์แบบนี้”


“แล้วนี่อาจารย์มาทำอะไรเหรอครับ”


“วันนี้ครูพาน้อง ๆ มาสำรวจชุมชนของเราจ้ะ เข้าวัด เดินตลาดแล้วก็มาที่นี่เป็นที่สุดท้าย”


“ดีจังเลยนะครับ เหมือนกับสมัยที่พวกผมเรียนกับอาจารย์เลย” พูดจบก็กวาดมองนักเรียนรุ่นน้องก่อนจะบังเอิญสบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่ไม่สำรวจไปรอบ ๆ เหมือนกับเพื่อนคนอื่น ๆ หากแต่กำลังมองมาทางนี้


“จ้ะ พามาเรียนรู้วิถีชีวิต จะได้ไม่ลืมถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเอง”


นุพันธ์ยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปทำงานต่อก่อนนะครับ อาจารย์จะได้สอนน้อง ๆ ต่อ” พูดจบเด็กหนุ่มก็เดินกลับไปจัดดอกไม้ที่แท่นพิธีต่อ ในขณะที่คนเป็นครูประจำชั้นก็อดยิ้มอย่างภูมิใจไม่ได้


“เห็นไหมเด็ก ๆ ว่านี่เป็นตัวอบ่างของการอยู่ร่วมกันในชุมชน พี่เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนแต่พอมีเวลาว่างก็อาสามาช่วยงานในโบสถ์” อาจารย์มยุรีหันมากล่าวกับเด็ก ๆ ก่อนจะชวนกันเดินสำรวจรอบ ๆ


“นัท อาจารย์ไปทางโน้นแล้ว” เด็กหญิงตุ้ยนุ้ยสะกิดเมื่อเห็นว่าคนข้าง ๆ ยังคงนั่งนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด ในขณะที่เพื่อน ๆ พากับแยกไปชมความสวยงามของวิหาร “ไปกันเถอะ”


“อื้อ ไปสิ” ธานัทกล่าวก่อนจะเดินไปสมทบกับเพื่อน ๆ ซึ่งมีมัสลินรวมอยู่ด้วย


เด็กชายผอมแห้งแรงน้อยเดินมาหยุดข้าง ๆ คนตัวเล็กที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองภาพที่เกิดจากการนำกระจกสีมาเรียงต่อเป็นลวดลายอย่างสนอกสนใจ


“ดูอะไรอยู่”


“สวยเนอะ” เด็กหญิงกล่าวขณะมองไปยังบานหน้าต่าง “ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำจากกระจก”


“อืม สวยจัง” อีกฝ่ายทำเออออทั้งที่สายตายังคงจับจ้องไปที่บริเวณแท่นพิธี


“นี่ มองทางนี้สิ” มัสลินว่าพลางเขย่าแขนเพื่อน


“ก็มองอยู่นี่ไง” พูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองบานหน้าต่างสเตนกลาส


“เห็นนะว่าจ้องตาไม่กะพริบเลย” เด็กหญิงกระซิบ


“จ...จ้องอะไรเหรอ”


“ก็พี่นุไง เอ๋ยชอบพี่นุเหรอ”


“เปล่าชอบนะ” ปากปฏิเสธแต่แก้มแดง ๆ กลับแสดงออกค้านสายตายิ่งนัก


“นั่นแน่ หน้าแดงเชียว”


“ไม่ใช่สักหน่อย” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นเกาแก้มตัวเองก่อนจะเดินหนีสายตาจ้องจับผิด...


โค้งสุดท้ายของก่อนการเลือกตั้งประธานนักเรียนที่กำลังจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้าส่งผลให้กลุ่มของนักเรียนผู้ลงสมัครแต่ละพรรคพากันหาเสียงอย่างหนัก โรงอาหารถูกใช้เป็นเวทีปราศรัย แสดงวิสัยทัศน์และแผนการดำเนินงานเพื่อจะพัฒนาโรงเรียน สมาชิกพรรคต่างก็ลงพื้นที่เพื่อแนะนำตัวให้คนทั้งโรงเรียนได้รู้จัก รวมถึงเชิญชวนให้ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องไม่นอนหลับทับสิทธิ์ นักเรียนห้องม.ห้าทับหนึ่งพากันไปอออยู่ที่หน้าโรงเรียนเพื่อรอแจกสารหาเสียงให้กับคนที่เดินผ่านเข้าออก


ธานัทรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยกับการได้มีโอกาสเข้าใกล้คำว่าประชาธิปไตยเป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาเคยได้อ่านจากในตำราเรียนหรือฟังที่ครูสอน คราวนี้จะได้มีโอกาสเลือกตั้งจริง ๆ สักที ยิ่งเวลาเห็นรุ่นพี่ร่วมมือร่วมใจกันทำงานก็ยิ่งสนุก รู้สึกว่าชีวิตในรั้วมัธยมนั้นช่างมีค่าจนอยากจะบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เก็บเอาไว้   


“น้องคะ ๆ” เสียงหนึ่งที่ดังแว่วมาจากด้านหลังทำให้เด็กชายต้องชะลอฝีเท้าก่อนจะหันไปหาต้นเสียง แน่ใจว่าเขาไม่เคยรู้จักกับเด็กสาวในชุดนักเรียนม.ปลายคนนี้มาก่อน


“พี่นุฝากมาให้ เลือกพี่นุเบอร์สามนะคะ” พูดจบก็ยื่นกระดาษสีใบเล็ก ๆ มีข้อความ ‘พี่นุ เบอร์สาม’ ให้


“ข...ขอบคุณครับ” ธานัทรับกระดาษสี่เหลี่ยมเกือบจะจัตุรัสจากมือของอีกฝ่าย จ้องมองมันไม่วางตา ประโยคที่ว่า ‘พี่นุฝากมาให้’ ดังก้องอยู่ในหูแต่ก็ยังน้อยกว่าหัวใจที่กำลังเต้นจนแทบจะทะลุออกจากอกในตอนนี้ จัดการสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อ นี่ขนาดคนอื่นเอามาให้ยังรู้สึกตัวเบาหวิวขนาดนี้ หากผู้ลงสมัครประธานนักเรียนเบอร์สามส่งมันให้กับมือยังนึกสภาพตัวเองไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่หนุ่มน้อยก็ทำเพียงเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดมันออกไป ขอเพียงแค่สองปีข้างหน้ารู้ว่ามีอีกฝ่ายอยู่ก็พอ ลืมไปเลยว่าบางครั้งเวลาก็เล่นตลกกับหัวใจของมนุษย์


หนึ่งปีผ่านไปไวเสียจนทำให้บางคนลืมไปเลยว่าตนเองสามารถผ่านสามร้อยหกสิบห้าวันนั้นมาได้อย่างไร เปิดเทอมวันแรกของปีการศึกษาใหม่ ดวงตาฉายแววแห่งความหวังยังคงมองหาใครบางคนแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา กระทั่งวันหนึ่งคำถามที่เฝ้าถามตนเองว่า ‘ใครคนนั้นหายหน้าไปไหน’ ก็ได้รับการเฉลย


“นี่ ๆ วารสารเล่มใหม่ของโรงเรียนออกแล้ว อย่าลืมไปลงชื่อรับที่ห้องกิจกรรมนะ ปีนี้มีพี่ ๆ ม.สามจากปีที่แล้วสอบเข้าโรงเรียนดัง ๆ ได้หลายคนเลย พี่ม.หกก็สอบติดคณะเจ๋ง ๆ ตั้งเยอะ” นุ่นที่เดินรั้งท้ายเข้ามาในห้องเอ่ยขึ้นพร้อมกับชูวารสารที่เพิ่งขอยืมมาจากเพื่อนห้องอื่นขึ้นก่อนจะนั่งลงยังที่ประจำกลางเล่มในมืออกอ่าน


“ปีนี้ไม่นั่งใกล้เอ๋ยแล้วเหรอนุ่น” มัสลินตะโกนถามจากหน้าห้อง


“ไม่ย่ะ” เจ้าของชื่อค้อนขวับให้หนุ่มน้อยที่เหลียวหลังมามองครั้งหนึ่ง “ทำดีด้วยมาเป็นปีไม่เคยสนใจกันเลย ฉันไปหาคนอื่นก็ได้ พี่ม.สี่ที่เข้ามาใหม่ปีนี้มีแต่น่ารักทั้งนั้น” สิ้นเสียงสาวหัวโจกประจำห้อง เพื่อน ๆ ต่างก็พากันหัวเราะครืนรวมถึงธานัทด้วย


“นุพันธ์ บุญญาอนันต์” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ที่แท้ก็ย้ายตามผู้ปกครองไปเรียนที่กรุงเทพฯ นี่เอง ถึงว่าตั้งแต่เปิดเทอมมาไม่เห็นเลย”


ประโยคนั้นฟังแล้วใจหายนัก...



“เอ๋ย มองอะไรอยู่น่ะลูก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นขณะที่โฟล์กเต่าสีครีมกำลังเลี้ยวไปในตรอกแคบ ๆ


“ปละ...เปล่าครับ” ลูกชายตอบทั้งที่ดวงตายังคงจับจ้องไปยังร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ที่อยู่หัวถนน แขนเล็กกอดกระเป๋านักเรียนแน่น ในใจยังหวังว่าจะได้พบใครคนนั้นอีกไม่วันใดก็วันหนึ่ง


และเมื่อความหวังยังคงอยู่ดวงตาคู่นี้ก็ไม่ทดท้อที่จะมองหา กระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งปีก็แล้ว สองปี สามปี สี่ปี จนเข้าสู่ปีที่ห้าก็ไม่เคยได้พบเขาคนนั้นแม้แต่ครั้งเดียว... 



“บ้าที่สุด ตอนนั้นคิดได้ยังไงกันว่าเขาฝากมาให้จริง ๆ”


เจ้าของสมุดบันทึกพึมพำพร้อมกับใช้ปลายนิ้วไล้ไปบนกระดาษสีแผ่นเล็กที่เขียนด้วยลายมือ ‘พี่นุ เบอร์สาม’ และเมื่อพลิกหน้ากระดาษที่เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเหลืองเก่า ๆ มาจนถึงกลางเล่ม รอยยิ้มก็ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าเมื่อพบว่าหน้านี้ถูกเขียนเนื้อเพลงเอาไว้เต็มหน้า เป็นท่อนหนึ่งในเพลงโปรดของเขาเมื่อตอนกำลังเรียนชั้นมัธยมปลาย ชอบมากถึงขนาดที่ต้องรออัดด้วยเทปคาสเซ็ทเพื่อเก็บไว้เปิดฟังซ้ำ ๆ 


...อยากจะเผยหัวใจให้เธอฟัง แต่ฉันก็ยังไม่เคย

ต่อให้รักเท่าไรก็ยังไม่กล้าเอ่ย อึดอัดจังเลยไม่รู้ทำไง

เก็บเอาไว้ยิ่งนานก็ยิ่งหนัก แบกแต่รักหนักเกินรับไหว

ได้แต่เขียนถึงเธอ ระบายความในใจ ทุกอย่างที่เขียนลงไปคือใจฉัน

รักเธอแล้วหมดใจยิ่งเก็บไว้ยิ่งหนัก เขียนซ้ำ ๆ ว่ารักมันหนักเหลือจะทาน

เป็นบันทึกจากใจที่ไม่มีใครได้อ่าน สมุดหนาขึ้นทุกวัน ดินสอสั้นลงทุกที

ไม่อาจบอกรักที่มีได้หมดดวงใจ...


...


ใครเป็นเด็กหลังห้องบ้าง... ^^ 555

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ และขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2016 09:40:14 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
งื้อออ ป้อปปี้เลิฟหรอน้องเอ๋ยยยย

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ว้าย...พี่นุจากเรื่องเฮียบะหมี่มาเป็นพระเอกเรื่องนี้ใช่ไหม อืออออ ดีใจ ...

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ขอบคุณนักเขียนที่ทำให้เรา14อีกครั้ง  ได้กรี๊ดพี่นุเก่งวิชาการ  กรี๊ดพี่ทีเก่งกีฬา  กรี๊ดพี่เชษฐ์เก่งศิลปะ
เอาสามคนนี้รวมกันเป็นคนเดียวได้มั้ยค่ะเราไม่อยากหลายใจเลย555

ชอบแก๊งสาวหลังห้องมากๆค่ะ โดยเฉพาะน้องนุ่น เธอตรง รู้เยอะและเป็นคนตลกมาก ฮาหลายครั้งมาก
ถึงจะเห็นใจในความพยายามจีบของนุ่นมาก  แต่นุ่นเธอเองก็พูดให้เพื่อนๆหัวเราะซะงั้น  เอาใจไปเลย555

ฮาอาจารย์มยุรีมากๆ  พี่ทีคงเป็นศิษย์รักจริงๆค่ะ เลยแนะนำให้มีหน้าที่ยกของซะเลย555
ตอนนี้พี่ทีก็ยังคงมาแค่ชื่อเราก็เอ็นดูแล้วค่ะ555

เราว่ารักแรกพบของพี่ตังนานแล้ว  มาเจอรักแรกพบของน้องเอ๋ยนานกว่าอีก พี่นุยังคงอยู่ในความทรงจำของเอ๋ยเสมอมา :o8:
อยากรู้จังว่าพี่นุคิดอะไรหรือรู้สึกอะไรตอนสบตากันที่โบสถ์  และพี่นุฝากมาให้จริงมั้ย :katai1:

ดวงของเอ๋ยคงจะข้องเกี่ยวกับคนที่มีชื่อ"น"เสมอ เช่น นุ่น(มาจีบเอ๋ย)  นุ(เอ๋ยแอบรัก) 555

ไม่รู้ว่าเราคิดมากไปหรือเปล่า หมอนุอาจไม่ใช่พระเอกก็ได้  เพราะพระเอกของนักเขียนที่ผ่านมาจะเป็นคนที่รักนายเอกก่อน
แต่คิดแบบนี้ก็ดีเพราะจะได้ลุ้นว่าพระนายเป็นใคร  ลุ้นสนุก  เชียร์สนุก  ใครอกหักเราจะปลอบใจเองค่ะ555 ดีงามทุกคน อิอิ

ต่อไปก่อนอ่านนิยายนักเขียนคงต้องกินข้าวให้อิ่มๆก่อนอ่าน  ไม่อย่างนั้นจะหิวและอยากกินของกินในนิยายมากๆค่ะ555
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ เรื่องสนุกมากๆและน่าติดตามเสมอเลยค่ะ :L2: :กอด1:



ออฟไลน์ cinnsin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ง้อววววว รักแรกพบของพี่เอ๋ย > < แล้วมาต่อไวๆนะคะะะะ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
ลุ้นให้สองคนกลับมาเจอกันอีกครั้ง

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
พี่นุหายไปไม่ล่ำลาน้องเอ๋ยเลย
แล้วตอนนี้พี่นุอยู่ไหนกันน้า~~~

---
บางทีก็เป็นแก๊งข้างถังขยะค่ะ 5555 (ก็เกือบๆหลังห้องแหละเนอะ)
จะชอบเลือกที่นั่งใต้พัดลมซะมากกว่า เย็น~

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mizzmizz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 477
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
ละมุนจังงงงงงงง
เมื่อไหร่จะได้เจอกันนะ
ปล. รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
บรรทัดที่ 3 เมื่อลมพัดหวน


‘ว่ากันว่าช่วงมัธยมเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดและน่าจดจำที่สุดของชีวิต เป็นช่วงที่ต่างคนต่างมีพลังงานเหลือเฟือ สนุกได้สุดเหวี่ยง ทำอะไรห่าม ๆ ตามที่ใจตัวเองต้องการ นอกจากเรียนหนังสือก็ยังได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นช่วงแห่งการค้นพบและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน บางคนค้นเจอว่าตัวเองชอบอะไร สนใจด้านไหน ในขณะที่หลายคนใช้ช่วงเวลานี้ค้นหาเพื่อนที่รักที่สุด  และหากโชคดีก็อาจได้พบกับใครคนหนึ่งที่เราจะเก็บเขาเอาไว้ให้อยู่ในความทรงจำไปตลอดกาล  กลิ่นไอแห่งมิตรภาพยังคงอบอวลในขณะที่บางบทเพลงยังคงแว่วอยู่ในห้วงคำนึง ได้ยินครั้งใดก็ให้หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่มีทั้งเสียงหัวเราะและคราบน้ำตา...’


ร่างสูงยืนกวาดตามองตัวอักษรบนหน้าหนังสือในมือของเพื่อนร่วมอาชีพที่กำลังนั่งหันหลังให้ก่อนเดินอ้อมไปอีกฝั่งของโต๊ะอาหาร ถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งลง ความสนิทสนมทำให้เขาไม่ต้องเอ่ยปากขออนุญาตคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความบนถนอมสายตา


"อ่านอะไรอยู่"


บารมีเงยหน้าขึ้นพลางปิดหนังสือให้คนถามได้เห็นหน้าปกก่อนจะตอบ “หนังสือชุดของสำนักพิมพ์ปลายทางฝันน่ะ  ออกมาเดือนละหนึ่งเล่ม เป็นผลงานของสิบสองนักเขียนหน้าใหม่” ความจ้อกแจ้กจอแจในโรงอาหารของโรงพยาบาลทำให้เขาต้องเพิ่มระดับเสียงขึ้นมาอีกนิด


“รู้ละเอียดจัง”


“ก็กู๋ของเราเป็นหนึ่งในนั้นนี่ ตัวแทนของเดือนมกราคม มุมมองของการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ”


นุพันธ์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จ้องตัวอักษรที่เรียงกันเป็นชื่อหนังสืออย่างสนอกสนใจ  “บรรทัดสุดท้าย เขียนไว้ว่า...” พลันคิ้วหนาก็มุ่นเข้าหากัน “...ว่าอะไร”


“ไม่รู้เหมือนกัน กว่าจะรู้ก็คงต้องอ่านจนถึงบรรทัดสุดท้ายละมั้ง นักเขียนที่เขียนเล่มนี้เขาเป็นตัวแทนของเดือนธันวาคม เดือนสุดท้ายของปีที่เรามักจะใช้ช่วงเวลานี้คิดทบทวนสิ่งที่ผ่านมา เล่าถึงความทรงจำเมื่อสมัยเด็กที่ผู้ใหญ่มักโหยหาอยากให้เวลาหมุนกลับ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนได้ย้อนไปเป็นนักเรียนม.ต้นอยู่เหมือนกัน เห็นว่าเดือนหน้าจะมีงานเปิดตัวหนังสือด้วยนะ อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นที่ไหน เพราะที่ผ่านมานักเขียนตัวแทนแต่ละเดือนจะเลือกสถานที่ให้เข้ากับเรื่องที่ตัวเองเขียนทั้งนั้น”


“ฟังดูน่าสนใจจัง สงสัยต้องยืมมาอ่านบ้างแล้ว”


“เอาสิ เราให้ยืม”


“หมี่อ่านให้จบก่อนเถอะ ช่วงนี้เราคงไม่มีเวลาได้อ่านหรอก” พูดแล้วก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับถอนใจยาว “ยุ่งชนิดหัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้นจริง ๆ”


“จริงสิ แล้วเรื่องคลินิกไปถึงไหนแล้ว”


“ยังปรับปรุงไม่เสร็จ เราก็เลยต้องไป ๆ มา ๆ ตอนนี้ปล่อยให้น้องชายคุมงานน่ะ”


“ไม่คิดจะย้ายกลับไปอยู่บ้านบ้างเหรอ เดินทางแบบนี้เหนื่อยแย่”


“ยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แล้วใบหน้าเคร่งขรึมก็กลับปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ไม่มีแรงจูงใจแบบหมี่นี่”


“แรงจูงใจอะไรกัน” คนถูกแซวทำเฉไฉก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ


นุพันธ์โคลงหัวเมื่อเห็นพวงแก้มขึ้นสีของอีกฝ่าย “แล้วนี่เลิกงานแล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีก วันนี้ไม่เปิดคลินิกหรือไง”


“หยุดหนึ่งวัน”


“ทำไมล่ะ”


“ก็...” บารมียังไม่ทันจะอ้าปากอธิบาย เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของคนนั่งฝั่งตรงข้ามก็ดังขึ้น ตาละจากหน้าคมก้มลงกวาดมองตัวอักษรในหน้ากระดาษต่อ แต่หูก็ยังได้ยินเสียงสนทนาที่ดูว่าจะไม่ได้เป็นความลับอะไร


“ว่าไงไอ้ที”


“อืม...ปลายเดือนหน้าเหรอ คิดว่าน่าจะกลับนะ ที่บ้านมีงานพอดี แกมีอะไรหรือเปล่า”


“อ๋อ...เอาสิ ๆ จองเผื่อฉันด้วยนะ” น้ำเสียงตื่นเต้นทำให้บารมีต้องเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง


“เออได้ ๆ แล้วเดี๋ยวเจอกัน”


นุพันธ์กดวางสาย หากแต่ดวงตายังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามระนาบสัมผัสที่เป็นภาพเมื่อสมัยที่ยังคงเป็นนักเรียนที่เพื่อนส่งมาให้ตั้งแต่เมื่อวันก่อน


“มีอะไรหรือเปล่า พอวางสายก็นั่งยิ้มกับโทรศัพท์” ทันตแพทย์บารมีเอ่ยขึ้นพร้อมกับปิดหนังสือในมือ


“ไม่มีอะไร พอดีเพื่อนเก่าโทรมาคุยน่ะ” พูดจบก็เก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง “เมื่อกี้พูดอะไรค้างไว้นะ”


“นุถามเราว่าทำไมวันนี้ไม่เปิดคลินิก”


“อืม ใช่ ๆ ปกติหมอบะหมี่น่ะขยันทำงานจะตาย”


“ก็...พอดีมีนัดน่ะ”


“มีนัด ไปลอยกระทงกับไอ้ตี๋น้อยละสิ”


“ไม่ใช่หรอก แต่พ่อชวนไปกินข้าวด้วยกันน่ะ” ทั้งที่เป็นเรื่องน่ายินดีแท้ ๆ แต่ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของคนพูดกลับตรงกันข้าม


“ทานข้าวกับพ่อก็ดีแล้วนี่ แทนที่จะดีใจ ทำไมทำหน้าแบบนั้น”


“ม...มัน...” บารมีถอนใจ “ก็แค่ไม่ชินน่ะ”


“เอาน่า เดี๋ยวก็ชิน”


“คงอย่างนั้น” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวพลางใช้ลูบปลายคางตนเองที่ตอนนี้เริ่มจะมีขนแข็ง ๆ โผล่ขึ้นพ้นผิวหนัง


“ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อย” พูดจบนุพันธ์ก็ลุกขึ้น


“แล้วนี่นุจะไปไหน”


“ว่าจะไปเดินเล่นแถวนี้แหละ กลับไปที่หอก็ไม่รู้จะทำอะไร เพื่อน ๆ เขาคงออกไปลอยกระทงกันหมด”


“เอาเล่มนี้ไปอ่านก่อนไหม” บารมีกล่าวพร้อมกับยื่นหนังสือให้แต่อีกฝ่ายนั้นส่ายหน้าปฏิเสธ


“ไม่ละ หมี่เอาไว้อ่านเถอะ” คนพูดยิ้มละมุนก่อนจะทิ้งท้าย “เราไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” พูดจบเจ้าของร่างสูงก็เดินผ่านประตูกระจกเปิดปิดด้วยระบบอัตโนมัติออกไป


นุพันธ์เดินเตร็ดเตร่จากอาคารหลักผ่านสวนพักผ่อนมาจนกระทั่งถึงศูนย์หนังสือของโรงพยาบาล ดูจากป้ายเห็นว่าเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชาวโมงกว่าจะได้เวลาปิด ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปด้านในโถงกว้างที่ล้อมรอบด้วยกระจก มีชั้นวางแสดงหนังสือหลายร้อยเล่ม ทั้งตำราสำหรับนักศึกษาแพทย์และหนังสืออ่านเล่นสำหรับผู้ที่มาใช้บริการโรงพยาบาลได้เลือกซื้อหา บรรยากาศในศูนย์หนังสือเมื่อเวลาเกือบหนึ่งทุ่มสุดแสนจะเงียบเชียบ ได้ยินเพียงเสียงเปียโนบรรเลงเป็นท่วงทำนองที่คุ้นหูแต่กลับนึกชื่อเพลงไม่ออก กระนั้นก็ยังสามารถฮัมตามได้เกือบทุกเมโลดี้


ทันตแพทย์หนุ่มกวาดตาไปรอบ ๆ ที่เคาน์เตอร์มีพนักงานกำลังห่อปกพลาสติกให้ลูกค้า เห็นหญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีขาวเพิ่งผลุบหายเข้าไปที่ด้านหนึ่ง คงจะเป็นพยาบาลที่เพิ่งออกเวรมาหาซื้อหนังสือก่อนกลับบ้าน ร่างสูงแทรกตัวย่างกรายไปตามช่องทางเดินระหว่างชั้น ไล่มองหนังสือที่วางเรียงกันหวังว่าจะได้สักเล่มติดไม้ติดมือกลับไปอ่านก่อนนอนคืนนี้ กระทั่งมาหยุดที่เล่มหนึ่ง ขนาดเท่ากับพ็อกเก็ตบุ๊กซึ่งเหลืออยู่เพียงเล่มเดียว หน้าปกเป็นภาพของดอกอ้อสีขาวขุ่นเอนลู่ไปตามลม มีข้อความ ‘บรรทัดสุดท้าย เขียนไว้ว่า...’ จำได้ทันทีว่าเป็นหนังสือเล่มเดียวกันกับที่บารมีจะให้ยืมอ่าน กำลังจะเอื้อมมือหยิบก็ต้องชะงัก เพราะใครอีกคนคว้ามันไปเสียก่อน


“อุ้ย ขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าคุณจะหยิบเล่มนี้เหมือนกัน” พยาบาลสาวสวยกล่าว


“ไม่เป็นไรครับ”


“ถ้าอย่างนั้น นี่ค่ะ” เธอพูดพร้อมกับยื่นหนังสือในมือให้


“คุณเอาไปเถอะครับ เดี๋ยวผมลองถามพนักงานก็ได้ว่ามีในสต็อกไหม”


“อย่าลำบากเลยค่ะ รับไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีลังเลจึงกล่าวต่อ “ดิฉันมีแล้วเล่มหนึ่งค่ะ ก็เลยอยากให้คุณได้อ่านด้วย”


“ขอบคุณนะครับ” พูดจบนุพันธ์ก็รับหนังสือเล่มนั้นมาถือไว้ลอบอ่านนามปากกา ‘วรปรัชญ์’ ที่ใต้ชื่อหนังสือ  “คุณทำงานที่โรงพยาบาลนี้เหรอครับ”


“ใช่ค่ะ แล้วคุณล่ะคะ”


“ผมก็เป็นทันตแพทย์อยู่ที่นี่เหมือนกัน”


หญิงสาวยิ้มให้พลางลอบมองชายหนุ่มแปลกหน้า “อ่านให้สนุกนะคะ”


“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ คุณ...”


“มัสลินค่ะ เรียกมัสเฉย ๆ ก็ได้ค่ะคุณหมอ”


“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณมัส ผมชื่อ...” นุพันธ์จำต้องกลืนชื่อตัวเองลงคอ เมื่อเสียงเรียกเข้าบทเพลงชาติไทยดังขึ้น 


“อุ๊ย! ตายจริง! แม่โทรมาค่ะ มัสขอตัวก่อนนะคะหมอ” ว่าแล้วก็ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายใบโตออกมากดรับสายก่อนจะเดินออกจากศูนย์หนังสือไปอย่างรีบร้อน


ทันตแพทย์หนุ่มมองตามคนเอวบางร่างน้อยที่เพิ่งจากไปพลางอมยิ้ม อดคิดไม่ได้ว่าแม่ของเธอเป็นคุณครูหรือไงนะ ถึงต้องตั้งเสียงเรียกเข้าเป็นเพลงที่ชวนให้นึกถึงการเข้าแถวหน้าเสาธงในตอนเช้าเช่นนั้น   


....


วันนี้ร้านขนมหวานแม่เอยปิดเร็วกว่าทุกวัน สมาชิกในครอบครัวไปรวมตัวกันที่ระเบียงริมน้ำเพื่อทำกระทงลอย อุปกรณ์หลัก ๆ ได้แก่ ใบตองพับใหญ่กับฐานกระทงต้นกล้วยและไม้กลัดเป็นสิ่งที่คุณตาบ้านตรงข้ามแบ่งมาให้ ส่วนดอกไม้ที่ใช้ประดับกระทง เด็กหญิงอิงฟ้าก็เก็บเอาจากกระถางที่ผู้เป็นแม่ปลูกไว้หน้าบ้าน


“พรุ่งนี้น้าเอ๋ยจะไปรับอิงที่โรงเรียนไหมคะ” เด็กหญิงวัยหกขวบเอ่ยขึ้นขณะที่มือเล็กยังบรรจงพับใบตองเป็นกลีบกระทง


“น้องอิงอยากให้น้าเอ๋ยไปรับหรือเปล่าคะ” ถามพลางยกฐานต้นกล้วยขึ้นแล้วหุ้มด้วยใบตองตัดพอดีกับขอบรอบฐาน จัดการกลัดด้วยทางมะพร้าวตัดสั้นเหลาปลายจนแหลม 


“อยากค่ะ อิงอยากให้น้าเอ๋ยไปรับไปส่งทุกวันเลย”


“แม่ไปรับไม่ดีเหรอจ๊ะ” อารดาที่เดินผ่านประตูออกมาพร้อมกับจานขนมหวานในมือเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างสูงสาว


“ดีค่ะ แต่ถ้าน้าเอ๋ยไปรับ อิงก็จะได้กินลูกอมทุกวันเลย” เด็กหญิงกล่าวเสียงแจ๋ว ทำเอาผู้เป็นน้าพลอยยิ้มตามไปด้วย


“กินมาก ๆ ระวังจะฟันผุนะลูก” อารดาลูบศีรษะเล็กอย่างเบามือก่อนจะเป็นสายตามายังน้องชาย “เอ๋ยก็อย่าตามใจหลานนัก” 


“ครับ ๆ ทราบแล้วครับคุณแม่” ชายหนุ่มลากเสียงล้อ ๆ


“น้าเอ๋ยจะกลับกรุงเทพฯ วันไหนคะ”


“ไปรับน้องอิงพรุ่งนี้อีกวัน ตอนเช้าน้าเอ๋ยก็ต้องกลับแล้วละ”


“ว้า...คิดว่าจะอยู่นาน ๆ เสียอีก” หนูน้อยทำหน้าละห้อย “อิงคิดถึงน้าเอ๋ย อยากให้น้าเอ๋ยเล่นิทานให้ฟังก่อนนอน”


“เดี๋ยวน้าเอ๋ยกลับไปทำงานให้เสร็จก่อน แล้วน้าเอ๋ยสัญญาว่าจะกลับมาอยู่กับน้องอิงนาน ๆ ดีไหมคะ”


“เย้!!! ดีค่ะ น้าเอ๋ยสัญญานะคะ”


จากนั้นสองน้าหลานก็เกี่ยวก้อยสัญญากัน...


พระจันทร์ดวงกลมฉายรัศมีสีนวลอย่างเดียวดายท่ามกลางท้องฟ้าสีดำสนิท ไม่มีดาวสักดวงไว้เป็นเพื่อนคุยคลายเหงา การต้องบนนั้นเพียงลำพังคงให้ความรู้สึกอ้างว้างจับจิต แต่หากดวงจันทร์มองลงมาสักนิดก็คงจะเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังมองดวงจันทร์จากบันไดท่าน้ำ ธานัทละสายตาจากดาวซึ่งเป็นบริวารหนึ่งเดียวของโลก มองกระทงใบตองสี่ใบซึ่งถูกผูกโยงต่อกันด้วยเชือกปอเส้นเล็ก ๆ ที่ผู้เป็นพี่สาวปล่อยลงสู่สายน้ำเป็นเครื่องสัการะและขมาลาโทษต่อแม่พระคงคาได้พักใหญ่ ๆ  เห็นแล้วให้นึกถึงคนที่ริเริ่มวิธีการนี้ขึ้นมายิ่งนัก


“คิดถึงพ่อกับแม่เนอะพี่เอย” ชายหนุ่มกล่าวพลางจุ่มปลายเท้าลงในน้ำเย็นเฉียบ


“อืม...นั่นสินะ ถ้าตอนนี้ท่านยังอยู่ คงได้ทำกระทงด้วยกัน วันลอยกระทงแบบนี้ ถ้าขาดใครสักคนหนึ่งไป แม่ก็จะทำกระทงเผื่อ แล้วก็ลอยไปพร้อม ๆ กัน”


“เราไม่ได้กินบัวลอยฝีมือแม่มานานเท่าไรแล้วนะ”


“ก็คงเท่ากับจำนวนปีที่พ่อกับแม่จากไปนั่นแหละ เกือบสิบปีแล้วละมั้ง”


“เดี๋ยวเอ๋ยส่งต้นฉบับหนังสือเรียบร้อยก็จะมีเวลากลับมาช่วยพี่เอยดูร้านแล้ว หน้าหนาวนี้เรามาทำบัวลอยขายกันไหม”


“เอาสิ ลูกค้าเก่า ๆ ถามหาตลอดเลย แต่พี่ไม่กล้าทำ กลัวไม่อร่อยเหมือนฝีมือแม่” อารดากล่าวพร้อมกับบีบมือน้องชายเบา ๆ “แต่ถ้ามีเอ๋ยช่วยละก็ มันต้องออกมาดีแน่ ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นเรามาช่วยกันนะ” พูดจบธานัทก็เอียงศีรษะวางบนไหล่เล็ก แม้จะมีกันเพียงสองคนพี่น้อง แต่ก็รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ ๆ กัน


...

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-06-2017 14:36:27 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
นาฬิกาที่แผดเสียงจนแสบแก้วหูเหมือนมือกระชากให้ชายหนุ่มที่กำลังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มให้ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ธานัทควานหาแหล่งกำเนิดเสียงทั้งที่ตายังไม่ลืม เมื่อคว้าได้ก็จัดการกดปิดก่อนจะล้มตัวลงนอน เช้าวันทำงานในมหานครใหญ่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หากแต่ร่างกายกลับยังคงต้องการการพักผ่อนนั่นเพราะต้นฉบับที่ต้องตรวจคืนให้สำนักพิมพ์ทำให้เขาเพิ่งได้นอนไปเมื่อตอนเกือบรุ่งสาง แสงแดดอุ่น ๆ กลิ่นข้าวสวยกับไข่เจียวร้อน ๆ ฝีมือพี่สาวยังเป็นสิ่งที่โหยหาแทบแม้จะจากบ้านเกิดมาร่วมสองสัปดาห์แล้ว กำลังจะเคลิ้มหลับเสียงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนตู้ลิ้นชักข้างหัวนอนก็ทำเอาสะดุ้ง เห็นทีคงต้องตื่นเต็มตาจริง ๆ เสียแล้ว


นักเขียนหนุ่มปรือตาลุกขึ้นจากเตียง คว้าโทรศัพท์มากดดูก็พบว่ามีข้อความมากมายถูกส่งมา ทั้งทวงต้นฉบับ ทั้งทักทายในยามเช้าและหนึ่งในนั้นก็มีข้อความจากเพื่อนรักตั้งแต่สมัยมัธยมต้นรวมอยู่ด้วย


“ว่างแล้วโทรหาฉันหน่อยนะ มีเรื่องสำคัญอยากคุยกับแกน่ะ”


กว่าธานัทจะพาตัวเองหลุดจากที่นอนได้ก็เมื่อตอนนาฬิกาบอกเวลาเกือบแปดโมงเช้า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็แปดโมงครึ่งพอดี จะคว้ากุญแจรถใส่กระเป๋าสะพายก็ต้องวางลงเพราะหากจะเอาเจ้าเต่าน้อยของพ่อออกไปคลานในช่วงเวลาเร่งด่วนเช่นนี้คงได้ติดแหงกอยู่บนถนนเป็นแน่ ดังนั้นเมื่อออกจากคอนโดเขาจึงเดินดิ่งไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินมุ่งหน้าสู่ใจกลางเมืองเพื่อไปถึงที่หมายให้ได้ทันเวลานัด สำนักพิมพ์ปลายทางฝันเป็นสำนักพิมพ์ใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนตึกสูงในย่านธุรกิจ นอกจากธานัทจะมีงานเขียนกับสำนักพิมพ์แห่งนี้แล้ว ยังถูกขอให้เข้ามาช่วยงานในกองบรรณาธิการเป็นครั้งคราว เนื่องจากเจ้าของสำนักพิมพ์เป็นเพื่อนกับอาจารย์ที่ปรึกษาของเขา


ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือขณะออกจากลิฟต์ เห็นว่าจวนได้เวลานัดจึงเดินไปหยุดที่หน้าห้องของอรณภัทรซึ่งเป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ มองผ่านกระจกเห็นว่าเจ้าของห้องกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานพอดีจึงเคาะเบา ๆ แล้วผลักประตูเข้าไป


“สวัสดีครับพี่อ้อน” ธานัทยกมือไหว้ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลงอย่างคนคุ้นเคยกัน


“ไงจ๊ะ ไม่เจอหน้ากันเลยนะพักนี้”


“ผมกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดมาน่ะครับ” พูดจบก็หยิบซองกระดาษสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋า “นี่ครับต้นฉบับ”


“ตรงเวลาเหมือนเคยเลยนะ”


“ขืนไม่ตรงก็โดนพี่อ้อนบ่นหูชาน่ะสิครับ”


หญิงสาวมองค้อนนิดหนึ่งก่อนจะดึงซองเอกสารมาไว้ใกล้ตัว “แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณเอ๋ยมาก ๆ เลยนะที่ช่วยตรวจให้ พี่เองละเกรงใจจะแย่ เพราะเอ๋ยเองก็มีต้นฉบับของตัวเองที่ต้องส่ง แต่งานนี้ยากแล้วก็สำคัญมากจริง ๆ พี่ไม่เห็นใครเลยนอกจากเอ๋ย”


“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่อ้อน”


“อืม แล้วนี่เลือกสถานที่ที่จะใช้จัดงานเปิดตัวหนังสือได้หรือยังจ๊ะ”


“วันนี้ผมก็ว่าจะเข้ามาคุยกับพี่อ้อนเรื่องนี้แหละครับ”


“ตัดสินใจได้แล้วเหรอ”


“ครับ คิดว่าน่าจะเป็นแกเลอรีของคนรู้จักน่ะครับ เขาเป็นบ้านที่อยู่ริมแม่น้ำเป็นโรงเรียนสอนศิลปะแล้วก็ขายภาพด้วย”


“ฟังดูโรแมนติกเหมาะกับหนังสือของเอ๋ยจัง ชักอยากเห็นสถานที่จริงแล้วสิ”


“พี่อ้อนน่าจะชอบครับ ไว้ผมจะส่งรายละเอียดให้ทางอีเมลนะครับ”


“จ้ะ” อรณภัทรยิ้ม นึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้น “เอ้อ...เมื่อวันก่อนพี่คุยกับพี่บอยเรื่องโปรเจ็กต์ใหม่ของเอ๋ยน่ะ เห็นว่าเป็นหนังสือภาพ ถ้าหาช่างภาพไม่ได้ละก็บอกพี่ได้นะ พี่มีเพื่อน ๆ เป็นช่างภาพอยู่หลายคน คิดว่าเขาน่าจะช่วยได้”


“ครับพี่อ้อน แต่ผมอยากจะลองถ่ายแบบที่ตัวเองทำได้ก่อน อาจจะถ่ายด้วยกล้องจากโทรศัพท์มือถือนี่แหละครับ ตั้งใจจะให้เป็นการบันทึกเรื่องราวที่พบเจอ ณ ขณะนั้น แต่ถ้าฝีมือห่วยจน บก. บ่นแล้วบ่นอีก ค่อยให้พี่ ๆ ช่างภาพมืออาชีพไปช่วยถ่าย” คำพูดกลั้วหัวเราะในตอนท้ายทำเอาคนฟังโคลงหัวน้อย ๆ


“อินดี้ตลอดเลยนะเรา แล้วนี่แวะมาส่งต้นฉบับเฉย ๆ เหรอ ไปไหนต่อหรือเปล่า”


“เดี๋ยวว่าจะแวะไปดูเชอรี่น่ะครับ ไม่รู้ว่าป่านนี้โดนต้นฉบับล้มทับตายไปแล้วหรือยัง”


“จะว่าไปก็ไม่เห็นหน้ามา 2-3 วันแล้วนะ สงสัยงานจะเยอะจริง ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปหาเชอรี่ก่อนนะครับ” พูดจบเจ้าของร่างสูงก็ลุกขึ้นก่อนจะเปิดประตูเดินออกจากห้อง


ขายาวก้าวไปตาแนวทางเดินติดผนังกระจก เห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและทางยกระดับที่พาดกันไปมาชวนปวดหัว ธานัทหยุดทอดตาออกไปอย่างไร้จุดหมายก่อนจะหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดอ่านข้อความของมัสลินอีกครั้งจึงกดโทรออก รออยู่เพียงไม่นานอีกฝ่ายก็รับสายด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเช่นเคย


“ว่างแล้วเหรอจ๊ะพ่อนักเขียน”


“อื้อ เพิ่งคุยงานเสร็จ มัสมีอะไรหรือเปล่า”


“มีเรื่องจะรบกวนแกน่ะ”


“อะไรเหรอ”


“คือ...แม่น่ะสิ เพิ่งโทรมาบอกว่ามีรายชื่อที่ตกหล่น”


“ยังมีคนที่ยังไม่ได้สัมภาษณ์อีกเหรอ เราคิดว่าครบแล้วเสียอีก วันก่อนที่ไปสัมภาษณ์พี่ตาล พอเห็นรายชื่อเพื่อนในรุ่นพี่ตาลยังบอกว่าครบแล้ว” ธานัทกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นั่นเพราะถึงจะต้องสัมภาษณ์เพิ่มอีกกี่คน เขาก็ยินดีช่วยเหลือเต็มที่อยู่แล้ว 
“เหลืออีกคนจริง ๆ แก แม่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ บอกว่าเพิ่งหาติดต่อเขาได้ แถมไปนัดกับเขาเสร็จสรรพ แล้วก็ให้ฉันโทรมาบอกแกนี่แหละ”


“นัดไว้เมื่อไร”


“พรุ่งนี้น่ะ เขาสะดวกพรุ่งนี้ แกว่างหรือเปล่า ขอโทษแทนแม่ด้วยนะแก ที่ทำอะไรไม่ปรึกษากันก่อนเลย”


“ไม่เป็นไรหรอก ส่งต้นฉบับเรียบร้อยก็พอจะมีเวลาหายใจหายคอแล้วละ ว่าแต่ใครกันเหรอ แล้วอาจารย์มยุรีนัดเขาไว้ที่ไหน”


“ตอนนี้รู้แต่ว่าเป็นหมอฟันน่ะ” ปลายสายถอนใจ “เห็นว่าเขาจะตามอาจารย์หมอไปบรรยายที่มหาวิทยาลัย บ่าย ๆ คงเสร็จ เรื่องสถานที่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจนะ เอาไว้ฉันจะทวงทั้งรายละเอียด สถานที่นัดพบ คำถามที่จะถามจากแม่ แล้วจะรีบส่งให้แกไม่เกินแปดโมงเช้า แกจะได้มีเวลาเตรียมตัว”


ธานัทกดวางสายโทรศัพท์ จากนั้นจึงเดินไปยังห้องกองบรรณาธิการเพื่อช่วยเพื่อนปิดเล่มนิตยสารในเครือ กระทั่งอาทิตย์ลับขอบฟ้าจึงได้ขอตัวกลับ ไม่ลืมที่จะแวะร้านหนังสือซึ่งอยู่ไม่ห่างจากคอนโดเหมือนเคย ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่หนึ่งนอกเหนือจากหอสมุดแห่งชาติและห้องกองบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ปลายทางฝันที่ชายหนุ่มมักจะมาขลุกอยู่ได้เป็นวัน ๆ นอกจากจะเป็นขายหนังสือแล้วข้าง ๆ กันยังแบ่งพื้นที่เป็นคาเฟ่เล็ก ๆ ให้เหล่านักอ่านได้มีที่สงบ ๆ สำหรับนั่งอ่านหนังสือและดื่มเครื่องดื่มไปด้วย


มีคนเคยบอกว่าถ้าหากเราลองมองหาใครบางคนในสถานที่ที่เราชอบไป เปิดใจยอมรับ ยิ้มหรือกล่าวทักทายคนที่บังเอิญเดินสวนมา บางทีเราอาจจะได้พบกับคนที่มีความชอบคล้ายกัน คุยกันถูกคอ พูดจาภาษาเดียวกัน ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาธานัทก็พยายามจะทำเช่นนั้น แต่ก็ไม่พบใครที่ว่าเลยสักครั้ง อาจเพราะด้วยหน้าที่การงานทำให้วัน ๆ เขาต้องมีสมาธิอยู่กับตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงจะมีโอกาสออกเก็บข้อมูล ได้พบปะผู้คนต่างสายงานอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีใครตรงใจจนคิดสานต่อด้วยเลยสักคน (แม้อีกฝ่ายจะคิดก็ตาม) กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยวนั่นเพราะเขามีหนังสือเป็นเพื่อนคลายเหงา ถ้าวันไหนที่แวะมาที่นี่และโชคดีได้พบเล่มถูกใจก็เป็นอันต้องจ่ายเงินซื้อติดไม้ติดมือกลับไปทุกครั้ง ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ธานัทมีหนังสือให้กลับมาอ่านก่อนนอน ทำให้ค่ำคืนอันแสนเงียบงันภายในห้องสี่เหลี่ยมผ่านไปอย่างรวดเร็ว


นักเขียนหนุ่มตื่นขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ นั่นเพราะมัสลินที่โทรมาหาแต่เช้า เธอแจ้งสถานที่นัดพบในการสัมภาษณ์รุ่นพี่โรงเรียนเก่าซึ่งเป็นคนสุดท้ายของนักเรียนชั้นม.ห้าห้องที่แม่ของเธอเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ทันทีที่ได้ยินชื่ก็ให้รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะมันคือบุ๊กคาเฟ่ที่เขาเพิ่งแวะไปเมื่อหัวค่ำของวันก่อนนั่นเอง แต่ก็นับว่าเป็นโชคที่ไม่ต้องรีบร้อนนัก ธานัทตัดสินใจไปที่นั่นก่อนเวลานัดเพื่อให้มีเวลาละเลียดจิบกาแฟและวางคอนเซปต์ของหนังสือเล่มต่อไป เช้านี้โฟล์กเต่าสีครีมจึงได้มีโอกาสพานายของมันไปยังที่หมาย ไม่ถึงสิบห้านาทีเจ้าเต่าน้อยก็มาจอดสนิทอยู่ที่ริมบาทวิถีด้านหน้าบุ๊กคาเฟ่ ชายหนุ่มเปิดประตูลงจากรถไม่ลืมคว้าสมุดบันทึกคู่ใจติดมือไปด้วย เมื่อเข้าไปภายในร้านก็เลือกนั่งโต๊ะแบบเคาท์เตอร์ซึ่งหันหน้าออกสู่ถนน จัดการกางสมุดบันทึกออกขีด ๆ เขียน ๆ ระหว่างรอให้นัดพบในตอนบ่ายสองโมง


“แกอยู่ไหนแล้ว”


ข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือทำให้ต้องละจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ ธานัทคว้าโทรศัพท์มาวางตรงหน้าก่อนจะแตะปลายนิ้วพิมพ์ข้อความส่งตอบกลับไป


“อยู่ที่บุ๊กคาเฟ่แล้ว”


“มายังไง ขับรถมาหรือเปล่า”


“ขับ แกมีอะไรหรือเปล่า”


“ฉันจะได้ให้แม่บอกพี่เขาไงว่าแกคือเจ้าของรถเต่าสีครีม”


“ทำไมดูมีลับลมคมใน ตกลงบอกได้หรือยังว่าให้มาสัมภาษณ์ใคร”


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้คุยกับแม่เลย พอดีมีเคสหนักน่ะ ใกล้เวลานัดแล้วฉันทักมาอีกทีนะแก ทำงานก่อน”


ธานัทพ่นลมหายใจก่อนจะกดปิดหน้าจอแล้วเลื่อนโทรศัพท์วางไว้ที่เดิม ในเมื่อทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ก็ต้องนั่งคอยกันต่อไป ชายหนุ่มนั่งคิดคอนเซปต์งานไปพลางจดบันทึกไปพลางกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เสียงเตือนข้อความเข้าจึงดังขั้นอีกอีกหนเมื่อใกล้เวลานัด


“แก ฉันได้รายละเอียดกับคำถามมาจากแม่แล้วนะ เดี๋ยวค่อย ๆ ทยอยบอก พอดีวันนี้ยุ่ง ๆ นิดหน่อยน่ะ”


“พี่เขาชื่ออะไร” มัวแต่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความจึงไม่ทันได้เห็นรถเก๋งสีดำที่เพิ่งมาจอดต่อท้ายรถของตนเอง


“ทันตแพทย์นุพันธ์ บุญญาอนันต์”


ข้อความที่ปรากฏขึ้นทำให้จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ธานัทรีบเงยหน้าขึ้นก่อนจะกวาดตามองไปรอบ ๆ กระทั่งหยุดที่รถคันที่จอดอยู่ ครู่หนึ่งชายหนุ่มรูปร่างตุ้ยนุ้ยแต่งตัวภูมิฐานก็เปิดประตูลงมา หากนั่นคือเจ้าของชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์และตอนนี้เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้วละก็ คงจะเป็นคุณพ่อร่างหมีสุดแสนใจดีที่มีพุงพลุ้ย ๆ เอาไว้ให้ลูก ๆ วิ่งชนแน่ ๆ 


“พ...พี่นุ...” เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับปุยนุ่นที่ลอยเคว้งอยู่ในอากาศ แต่ก็คงเบาสู้เสียงที่ดังอยู่ใกล้หูไม่ได้


“น้องคือเจ้าของรถเต่าที่จอดอยู่หน้าร้านใช่ไหมครับ”


ธานัทสะดุ้งโหยงละสายตาจากหนุ่มร่างหมีที่เดินผ่านรถของเขาไปแล้วหันกลับมามองเจ้าของคำถาม


‘ไม่เปลี่ยนเลย แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะรอยยิ้มนั่น ต่อให้เจอที่ไหนก็จำได้ไม่ลืม’


“ช...ใช่ ใช่ครับ” พูดจบก็รีบรวบเก็บสมุดบันทึกก่อนจะลากมาแอบไว้อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ จริง ๆ อยากจะเอาตัวเองแอบไว้ที่ไหนสักแห่งด้วย เพราะรอยยิ้มของคนที่เพิ่งมาถึงทำเอาใจเต้นแทบจะไม่เป็นจังหวะอยู่แล้ว


“พี่คือคนที่อาจารย์มยุรีนัดเอาไว้ว่าจะสัมภาษณ์ คิดว่าอาจารย์ท่านคงบอกแล้วใช่ไหม”


“อ...เอ้อ ครับ บ...บอกแล้วครับ” แทบอยากตบปากตัวเองให้หายติดอ่าง


"แสดงว่ามาบ่อยใช่ไหม พอดีถามพนักงานว่าเจ้าของรถเต่าที่จอดอยู่ข้างหน้าคือคนไหนเขาก็ชี้มาทางนี้เลย"


“ค...ครับ เชิญนั่งก่อนครับ”


นุพันธ์เลื่อนเก้าอี้ออกก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ “ขอโทษด้วยนะที่พี่บอกกะทันหันไปหน่อย พอดีพี่จะต้องเดินทางไปต่างประเทศ เกรงว่าจะทำให้งานของอาจารย์ต้องชะงักก็เลยเรียนอาจารย์ว่าขอเป็นวันนี้”


“ม...ไม่เป็นไรครับ ร...เริ่มกันเลยไหมครับจะได้ไม่เสียเวลา” 


“อื้อ เอาสิ”


เจ้าของคำถามพยักหน้าก่อนจะควานหาเครื่องบันทึกเสียงในกระเป๋า ไม่ลืมที่จะขออนุญาตคู่สนทนา “ผ...ผมขออนุญาตบันทึกเสียงนะครับ”


‘ไม่เจอ หาไม่เจอ อยู่ไหนวะ’


ท่าทางลุกลี้ลุกลนทำเอาคนมองอดยิ้มไม่ได้ “ค่อย ๆ หาเถอะ พี่ไม่ได้รีบไปไหน”


ได้ฟังดังนั้นธานัทก็จำต้องเทข้าวของในกระเป๋าออกมากองตรงหน้าจึงได้พบเครื่องบันทึกเสียงตัวจิ๋ว กำลังจะเก็บของคืนกระเป๋า คนนั่งข้าง ๆ ก็เอ่ยขึ้น


“รู้หรือยังว่าบรรทัดสุดท้ายเขาเขียนไว้ว่าอะไร”


“ค...ครับ?”


“ก็หนังสือในมือนั่นไง พี่ก็ซื้อมาเล่มหนึ่ง ยังไม่มีเวลาได้เปิดอ่านเลย ชื่อแปลกดีนะว่าไหม”


“ครับ ก็...” เจ้าของหนังสือรับคำเบา ๆ ก่อนจะกางหนังสือออก


“อ่านหนังสือกลับหัวแบบนี้เสมอเลยเหรอ”


คำถามของทันตแพทย์หนุ่มทำเอาธานัทต้องสำรวจหนังสือในมือตนเอง เห็นว่ามันกลับหัวกลับหางตามที่เขาบอกจริงจึงรีบยัดลงในกระเป๋าทันที


“น้ำแครอทสักแก้วไหม ช่วยบำรุงสายตา”


“แครอทเหรอครับ” แค่นึกถึงก็เหม็นเขียวแล้ว


“ใช่ แครอทที่กระต่ายชอบกินน่ะ เห็นไหมว่าไม่มีกระต่ายใส่แว่นเลยสักตัว” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ขำกับคำพูดของตนเองซ้ำยังทำหน้าเหรอหรา นุพันธ์จึงจำต้องพูดแก้เก้อ “ไม่ขำเลยเหรอ เห็นเกร็ง ๆ พี่เลยชวนคุย สงสัยมุกจะเก่าไป”


“อ...เอ้อ ข...ขำครับขำ” ธานัทหัวเราะแห้ง ๆ ในหัวยังคงงุนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จู่ ๆ คนที่ไม่พบหน้ากันเป็นสิบปีก็มานั่งอยู่ตรงหน้า รู้สึกกึ่งฝันกึ่งจริงจนอยากจะหยิกตัวเองแรง ๆ หลาย ๆ หน


“ถ้าอย่างนั้นเราเริ่มกันเลยก็แล้วกันนะ ถามได้ตามสบายเลย”


“ครับ ผมขออนุญาตบันทึกเสียงนะครับ” พูดจบคนอายุน้อยกว่าก็ทำตามที่ว่าแล้วจึงจัดการเปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือเริ่มอ่านคำถามถูกส่งมา “ตอนนี้พี่นุทำอะไรอยู่เหรอครับ”


“รู้จักพี่ด้วยเหรอ”


“ค...ครับ” ธานัทลอบถอนใจ “คือผมอ่านตามที่อาจารย์มยุรีส่งมาให้น่ะครับ”


นุพันธ์พยักหน้าเข้าใจแล้วจึงตอบคำถาม “ตอนนี้พี่เป็นทันตแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลรัฐบาลน่ะ”


“สมัยเรียนมีกิจกรรมที่ชอบทำไหมครับ”


“อืม...พี่เล่นกีฬาไม่เก่ง ศิลปะก็ไม่เอาไหน ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง”


“แต่ก็เรียนเก่ง”


“อยู่ห้องหนึ่งทุกคนก็เหมารวมหมดแหละ ลองไปดูเกรดเฉี่ยจริง ๆ สิ” นุพันธ์พูดกลั้วหัวเราะ


“มีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เคยเข้าร่วมบ้างไหมครับ” พูดจบคนถามก็เงยหน้าขึ้นรอฟังคำตอบ 


“เคยลงสมัครประธานนักเรียนนะ แต่แพ้ ถ้าจำไม่ผิดคนที่ได้เป็นธานนักเรียนคือประพันธ์ที่อยู่ห้องสองละมั้ง ทั้งที่ใคร ๆ ก็พากันพูดว่าคะแนนของเต้น่าจะลอยลำ เพราะใคร ๆ ก็ชอบเต้กันทั้งนั้น”


ธานัทหลุบตาลงนึกเถียงในใจว่าไม่ใช่สักหน่อย อย่างน้อยก็ตัวเขาหนึ่งคนที่ไม่ได้คิดแบบนั้น ในขณะที่ใจกำลังคิดไปถึงไหนต่อไหน ปากก็ดันอ่านคำถามที่ตากำลังจ้องเขม็งเสียนี่


“มีแฟนหรือยังครับ”


“อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์ด้วยเหรอ”


“เอ้อ! ขอโทษครับ อ...อันนี้พี่ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ คำถามไร้สาระ" ธานัทลอบถอนใจ รอให้สัมภาษณ์เสร็จเรียบร้อยเมื่อไรจะไปจัดการถามมัสลินเสียให้รู้เรื่องว่าทั้งหมดนี่เป็นแผนการที่เธอคิดขึ้นหรือเปล่า "อยากให้พี่ช่วยเล่าความรู้สึกสมัยเรียน โดยเฉพาะช่วงที่อาจารย์มยุรีเป็นที่ปรึกษาหน่อยครับ จบตรงนี้ก็เสร็จแล้ว”


นุพันธ์พยักหน้าก่อนจะเล่มเล่าย้อนไปในสมัยวัยรุ่น แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ยอมรับว่ามันสนุกไม่เบาเมื่อเทียบกับปีสุดท้ายของชั้นมัธยมปลายที่ต้องย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ สองคนคุยกันอยู่พักใหญ่ กระทั่งธานัทกดปิดเครื่องบันทึกเสียงเป็นสัญญาณบอกว่าการสัมภาษณ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว


“มีแฟนหรือยัง” ทันตแพทย์หนุ่มถามขณะมองอีกคนที่กำลังเก็บของลงกระเป๋า แต่ดูท่าว่าเสียงจะเบาเกินไปจนอีกฝ่ายไม่ได้ยินจึงไม่คิดตอบ หารู้ไม่ว่าที่ธานัทไม่ตอบนั้นเพราะหัวใจของเขากำลังลอยไปตามสายลมที่พัดหวนคืนสู่อดีตเสียแล้ว


“ถามไม่ตอบ”


“ครับ?”


“พี่ถามว่า มีแฟนหรือยัง”


ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อหู ดวงตายังคงจ้องหน้าคนพูดเขม็ง


“เอ้า! ถามว่ามีแฟนหรือยัง จ้องหน้ายังกับพี่ถามว่ามีเงินให้ยืมหรือเปล่า”


“ย...ยัง ยังครับ”


“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ได้รีบไปไหนใช่ไหม พี่จะชวนกินข้าวต่อ”


“อ...เอ้อ...คือ ผมมีนัดส่งงานให้หัวหน้าน่ะครับ อุ้ย…พูดถึงก็โทร.มาพอดีเลย ขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับ” นักเขียนหนุ่มรีบตัดบทคว้าโทรศัพท์ที่กำลังแผดเสียงก้องและกระเป๋าสะพายจ้ำอ้าวออกจากร้านไปทันที ทิ้งให้นุพันธ์ได้แต่เกาหัวแกรก


“อ้าว ไปเสียแล้ว เลยไม่ได้รู้จักชื่อเลย” ตาคมจ้องมองโฟล์กสวาเกนบีเกิลสีครีมที่ค่อย ๆ คลานออกจากริมบาทวิถี ในที่สุดก็ก้มดูนาฬิกาข้อมือ กำลังจะลุกขึ้นก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบเห็นสมุดบันทึกห้อยพวงกุญแจรูปลิงที่วางอยู่บนโต๊ะ ชายหนุ่มโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อคิดว่าการนำสมุดส่งคืนเจ้าของคงเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ต้องรีบทำให้เสร็จสิ้นก่อนเดินทางไปต่างประเทศ


“ลิงน้อยเอ๊ย แล้วทีนี้จะเอาไปคืนได้ที่ไหนล่ะเนี่ย”




...

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-06-2017 14:45:32 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ได้เจอกันแล้ว แถมเอ๋ยยังทิ้งสมุดบันทึกสื่อรักไว้อีก ฮา

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
นี่หมอนุจาก ในอ้อมกอดฯ นี่นา  *0*

พอเจอกันแล้วน่ารักจังค่ะ
เอ๋ยที่เจอพี่นุแล้วทำอะไรลนลานไปหมด

แต่พี่นุจำน้องได้ไหมอ่าาา (อยากหวังว่าจริงๆแล้วจำได้  :mew2: )

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ต้องเป็นแผนของมัสแน่เลย
อุตส่าห์เจอคนที่แอบชอบมานานน่าจะเก็บเกี่ยวอะไรไว้มาก ๆ มัวแต่ตื่นเต้น
พี่เขาอ่อยแล้วเอ๋ยไม่เก็ทซะงั้น เอ๊ะ หรือเอ๋ยก็อ่อยกลับเหมือนกัน

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
กรี๊ด เฮียหมี่น่ารักเสมอ รู้ว่าเพื่อนเหงาก็เลยใจดีจะให้เพื่อนยืมหนังสือที่ตัวเองยังอ่านไม่จบ  สุดยอด

หมอนุกับหมอหมี่คงเป็นเพื่อนรักกันไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนกันไม่นาน แถมหมอนุอกหักจากหมอหมี่อีก
เราชอบความคิดบวกของหมอนุมากๆ รักแบบคู่รักไม่ได้ แต่ก็ยังคงรักและปรารถนาดีแบบเพื่อนอยู่  เยี่ยมจริงๆเพื่อนคู่นี้

คู่เพื่อนซี้อย่างมัสลินกับเอ๋ย เราก็ชอบ  เป็นเพื่อนกันมานานเลย คงรู้ใจกันทุกอย่างเลย แม้กระทั่งยังจำได้ว่าเพื่อนชอบใคร
เชียร์เพื่อนสุดๆเลยนะนี่  น่ารักจริงๆ  แต่มัสลินก็วางแผนซะให้เพื่อนตั้งตัวไม่ทันเลยนะ555

เราเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของเอ๋ยเลย  ตื่นเต้นไปด้วยเลย  เอ๋ยเลยดูโก๊ะๆ เปิ่นๆ ไปเลยเนอะ555
แต่ดูแล้วน่ารักมากๆเลย ว่าไหมค่ะหมอนุ เราอ่านไปยิ้มไปเลยค่ะ ยังไม่ทันจีบกันก็น่ารักมากๆเลยคู่นี้ เอ๊ะหรือว่าหมอนุเริ่มจีบแล้ว

ลิงน้อย  เอ้ย  เอ๋ยจ๋า มีโอกาสได้ใกล้ชิดและได้รู้จักกันมากขึ้นแล้วนะ  คราวหน้าอย่าหนีคำชวนกินข้าวด้วยกันอย่างนี้อีกนะคะ
เห็นมั้ย ยังไม่ได้บอกชื่อเลย  หมอนุเลยเรียกเป็นลิงน้อยแทนเลย555  ชอบจริงๆคู่นี้ เจอกันแป๊บเดียวก็น่ารักน่าลุ้นมากๆเลยค่ะ

ชอบนิยายของนักเขียนทุกเรื่องจริงๆเลยค่ะ รอตอนต่อไปเสมอนะคะ  ขอบคุณมากๆค่ะ :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ Fish129

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 747
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-3

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
บรรทัดที่ 4


ธานัทถอนใจพรืดในขณะที่เท้าแตะเบรกให้รถหยุดหลังจากเจ้าเต่าน้อยของเขาคลานออกจากบุ๊กคาเฟ่มาได้สักพัก มือคว้าโทรศัพท์ที่โยนไว้บนที่นั่งข้างคนขับขึ้นมากดดูหมายเลขที่ไม่ได้รับสาย คนโทรมาไม่ใช่หัวหน้าตามที่บอกกับนุพันธ์ แต่เป็นมัสลินเพื่อนสาวตัวดีต่างหาก กำลังคิดจะกดโทรกลับหวังจะคุยกันให้รู้เรื่อง อีกฝ่ายก็โทรสวนเข้ามาเสียก่อน


“ว่าไง” ชายหนุ่มกล่าวเสียงขรึม


“เป็นยังไงบ้างแก ตื่นเต้นไหม”


ได้ฟังน้ำเสียงร่าเริงเช่นนั้นก็พอจะเดาออกว่าทั้งหมดคงเป็นแผนการที่อีกฝ่ายคิดขึ้นไม่ผิดแน่ “ฝีมือแกใช่ไหม แกวางแผนทั้งหมดใช่หรือเปล่า”


“ทำไมแกทำเสียงน่ากลัวอย่างนี้วะ” แม้จะแสร้งเฉไฉพูดติดตลก หากแต่สิ่งที่ได้คืนมากลับไม่ใช่เสียงหัวเราะอย่างที่คิด มีแต่ความเงียบปะปนกับเสียงถอนหายใจยาวเหยียด


“ตอบมา”


“ก็ได้ ๆ” ปลายสายเสียงอ่อย “แม่ฉันให้มาสัมภาษณ์พี่นุจริง เพิ่งได้เบอร์เขามาจากพี่ทีน่ะ แกรู้ไหมว่ามันบังเอิญมากเลยนะ เพราะพี่นุเขาเป็นทันตแพทย์ที่โรงพยาบาลเดียวกับฉัน แถมเจอกันแล้วหนหนึ่งด้วยแต่ฉันจำเขาไม่ได้ ฉันว่าเขาดูดีขึ้น ตัวใหญ่ขึ้น ไม่ผอมแห้งเป็นเสาไฟฟ้าเดินได้เหมือนเมื่อก่อน”


“แล้วยังไง”


“ส่วนเรื่องที่ไม่บอกแกก่อน ก็แค่...อยากทำให้แกประหลาดใจ” ไม่เว้นช่วงให้โดนบ่นก็รีบยกเอาบุคคลที่สามขึ้นมาอ้างทันที “แต่แกจะต่อว่าฉันคนเดียวไม่ได้นะ แกต้องไปว่านังนุ่นมันด้วย รายนั้นน่ะเจ้าแผนการยิ่งกว่าฉันเสียอีก มันเป็นคนไปเอาเบอร์พี่นุมาจากพี่ที”


เมื่อได้ฟัง ธานัทก็พ่นลมหายใจร้อนออกจากโพลงจมูกอีกครั้ง ที่แท้ก็มีอีกหนึ่งคนอยู่เบื้องหลังนี่เอง “พวกแกมันบ้าที่สุดเลย” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย


“อะไรกัน คนเขาอุตส่าห์ช่วยนะ”


“ช่วยบ้าอะไรเล่า” พูดไปก็ขยี้หัวตัวเองจนผมยุ่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อสักครู่


มัสลินหัวเราะ พอจะนึกหน้าและกริยาอาการของเพื่อน ณ ขณะนั้นออก “เออนี่ แกถามคำถามที่ฉันส่งให้ครบหรือเปล่า เขาตอบว่ายังไง ข้อที่ถามว่ามีแฟนแล้วหรือยังน่ะ”


“คำถามไร้สาระแบบนั้นจะถามเข้าไปได้ยังไงกัน”


หญิงสาวหัวเราะคิก คิดอยู่แล้วว่าต้องออกมาเป็นแบบนี้ “อืม แต่เท่าที่รู้ พี่นุก็ไม่ได้สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษนะ ฉันแอบถามเอาจากพวกผู้ช่วยทันตแพทย์ก็พูดกันเป็นเสียงเดียวว่าหมอนุพันธ์ยังโสดสนิท อ้อ...มีบ้างที่โดนพวกสาว ๆ แอบจิ้นกับหมอฟันคนหนึ่ง แต่ก็ไม่น่ามีอะไร”


“เขาจะเป็นยังไงก็ช่างเขาเถอะน่า” ธานัทกล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ


“ช่างก็ได้ ว่าแต่แกเถอะ เจอพี่นุครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีเป็นยังไง คุยอะไรกันบ้าง” น้ำเสียงของคนถามดูจะกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า


“หน้าเขาเรายังไม่กล้ามองเลย ก็คุยกันแค่คำถามที่แกให้มานั่นแหละ”


“อะไรกัน มีโอกาสได้พบกับคนที่แอบชอบแล้วแท้ ๆ ถามจริง ๆ เถอะ แกยังชอบเขาอยู่หรือเปล่า”


เป็นคำถามที่ทำเอาถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว ธานัทผ่อนลมหายใจยาวพลางทอดสายออกไปนอกกระจก ใจรู้คำตอบนั้นดี หากแต่ปากไม่อาจพูดมันออกไปได้


.... 


เมื่อกลับมาถึงอาคารที่พักบุคลากร ทันตแพทย์นุพันธ์ก็ตรงไปยังห้องของตนเองทันที เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องวางสมุดบันทึกของหนุ่มแปลกหน้าลงบนโต๊ะทำงานก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำชำระล้างร่างกายเพื่อคลายความเมื่อยล้าหลังจากต้องเบียดเสียดกับผู้คนบนรถไฟฟ้ามาร่วมชั่วโมง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เจ้าของห้องก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งหยิบหนังสือที่เพิ่งซื้อมาใหม่ซึ่งวางอยู่บนตู้ลิ้นชักข้างหัวเตียงมาถือไว้ ตาคมทอดมองตัวอักษรพิมพ์นูนที่หน้าปกก่อนมือใหญ่จะพลิกไปยังหน้าแรก


ใครบางคนเคยพูดว่า การนึกถึงอดีตคือความเสียเวลาที่สุดของชีวิต แต่สำหรับผม หากหัวใจเป็นดั่งสมุดบันทึก เรื่องราวที่ผ่านมาก็เหมือนกับข้อความที่ถูกเขียนลงไปเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ในช่วงหนึ่งของชีวิต เอาไว้เตือนความจำ เอาไว้เป็นบทเรียนหรือแม้แต่เอาไว้เป็นพลังสำหรับการก้าวเดินในปัจจุบัน และหากเรื่องราวเหล่านั้นมีใครสักคนซึ่งเป็นคนสำคัญอยู่ด้วยแล้วและก็ ผมก็พร้อมจะเสียเวลานั่งลง ฟังเพลงเก่า มองฝนที่กำลังตกพรำ ๆ เปิดสมุดบันทึกและคิดทบทวนเรื่องของเขาซ้ำ ๆ ยิ้ม หัวเราะ และร้องไห้ไปด้วยกันกระทั่งถึงบรรทัดสุดท้าย...


นุพันธ์ล้มตัวลงนอนคว่ำดึงหมอนมาหนุนคางในขณะที่ดวงตายังคงไม่ละจากตัวอักษร ที่หน้าสารบัญแจกแจงชื่อของเรื่องสั้นจำนวนสิบเรื่องให้เลือกอ่าน และเขาก็ไม่คิดจะข้ามไปสักเรื่องเดียว ดังนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มอ่านมันตั้งแต่บรรทัดแรก อยากรู้เหลือเกินว่าบรรทัดสุดท้ายตามชื่อหนังสือนั้นจะเขียนไว้ว่าอย่างไรกันแน่


...เมื่อไรที่คุณพยายามดึงความคิดให้หวนคืนสู่ปัจจุบัน ใช้ชีวิตตามปกติ ไปในที่ที่กำลังเป็นกระแส ฟังเพลงที่กำลังได้รับความนิยม เสพงานศิลปะหรือวรรณกรรมร่วมสมัย แต่ทันทีที่เดินผ่านสถานที่หนึ่งที่เคยได้พบกับใครบางคน ฟังเสียงกีตาร์โปร่งบรรเลงเพลงที่เคยได้ฟังในช่วงเวลาที่มีกัน ดูภาพเมื่อครั้งยังเด็กตอนคุณครูจับแต่งตัวแล้วส่งขึ้นไปเต้นกับคนอื่น ๆ บนเวที แม้กระทั่งอ่านจดหมายที่เพื่อนต่างโรงเรียนส่งให้เพียงเพราะป็นสิ่งที่ต้องทำในการเรียนวิชาภาษาไทย มันก็เหมือนคุณได้รับกุญแจดอกสำคัญที่ใช้เปิดประตูให้หัวใจได้ดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความคิดถึงอีกครั้ง


...ผมเชื่อว่าทุกที่ล้วนมีแต่ความคิดถึง และในความคิดถึงของหลาย ๆ คนก็มักจะมีใครคนหนึ่งซ่อนอยู่ ที่นี่ก็เหมือนกัน ที่ที่ต้นอ้อไหวล้อไปตามแรงลม ยางยืนต้นตรงแตกใบอ่อนเมื่อได้น้ำฝนทำให้สองฟากถนนเขียวขจี ชวนให้หยุดมองทุกครั้งที่ผ่านมา ที่แห่งนี้ไม่ต่างอะไรกับประตูมิติเชื่อมสองช่วงเวลาไว้ด้วยกัน และถนนสายนี้ก็กำลังจะพาผมหวนคืนสู่อดีต...


หน้ากระดาษถูกเปิดไปหน้าแล้วหน้าเล่า พร้อมกับเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ ทันตแพทย์หนุ่มปล่อยความคิดลอยละล่องไปตามตัวอักษร เมื่อผู้เขียนบรรยายถึงย่านชุมชนเก่าในยามแดดร่มลมตก  ชวนให้นึกถึงกลิ่นควันเทียนอบขนมกับสุมนไพรร้านขายยาจีนในตรอกเล็ก ๆ ที่บ้านเกิดของตนเอง นุพันธ์ยกมือขึ้นถูกปลายคางเป็นระยะ ไม่รู้ว่าเรื่องราวที่นักเขียนเจ้าของนามปากกา ‘วรปรัชญ์’ ได้ถ่ายทอดผ่านอักษรจะเป็นเพียงจินตนาการหรือไม่ แต่ตัวเขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่ที่ถูกกล่าวถึง เหมือนตนเองเคยมีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์ต่าง ๆ แม้เพียงเศษเสี้ยวก็ตาม



...ว่ากันว่าช่วงมัธยมเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดและน่าจดจำที่สุดของชีวิต เป็นช่วงที่ต่างคนต่างมีพลังงานเหลือเฟือ สนุกได้สุดเหวี่ยง ทำอะไรห่าม ๆ ตามที่ใจตัวเองต้องการ นอกจากเรียนหนังสือก็ยังได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นช่วงแห่งการค้นพบและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน บางคนค้นเจอว่าตัวเองชอบอะไร สนใจด้านไหน ในขณะที่หลายคนใช้ช่วงเวลานี้ค้นหาเพื่อนที่รักที่สุด  และหากโชคดีก็อาจได้พบกับใครคนหนึ่งที่เราจะเก็บเขาเอาไว้ให้อยู่ในความทรงจำไปตลอดกาล  กลิ่นไอแห่งมิตรภาพยังคงอบอวลในขณะที่บางบทเพลงยังคงแว่วอยู่ในห้วงคำนึง ได้ยินครั้งใดก็ให้หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่มีทั้งเสียงหัวเราะและคราบน้ำตา หลายคนได้รู้จักความรักในอีกรูปแบบที่นอกเหนือจากการรักคนในครอบครัว หลายคนสลัดความเห็นแก่ตัวแบบเด็ก ๆ มารู้จักใส่ใจและทำอะไรเพื่อคนอื่น ความรักรักที่มีต่อโรงเรียน ความรักที่มีต่อเพื่อนร่วมโรงเรียน เหล่านี้ล้วนเป็นความรักที่ต่างคนต่างก็แสดงออกอย่างเปิดเผยผ่านการกระทำ


 
เมื่อหลับตาลง ภาพในวันที่ยังคงเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปรากฏก็ขึ้นแจ่มชัดราวกับกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนริมหน้าต่างมองดูความเป็นไปของรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียน

 
...แต่เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมรักใครสักคน กลับต้องซ่อนมันไว้ไม่ให้เขาได้รู้ จนเมื่อถึงสภาวะที่หัวใจเสียการควบคุม คนเราก็มักทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่น แกล้งเดินช้า ๆ เพื่อจะได้มีเวลามองหาเขา แอบมองเขาจากบนระเบียง หรือแม้แต่ไปในที่ที่คิดว่าเขาน่าจะไป ลองนั่งบนเก้าอี้ที่เขาเคยนั่งพร้อมกับมองไปยังทิศทางเดียวกัน เพียงแค่จะได้รู้ว่าใครกันที่อยู่ในสายตาของเขา แต่มันจะสำคัญอะไรในเมื่อการมีเขาอยู่ในดวงตาคู่นี้ต่างหากที่เป็นสิ่งวิเศษสุด


 
นาฬิกาที่หัวเตียงเตือนให้รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีวันนี้จะกลายเป็นเพียงอดีต จำนวนหน้าที่เพิ่มขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว 


...ผมเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของตัวเอกในภาพพยนตร์เรื่องหนึ่งซึ่งเคยสร้างกระแสและยังตรึงความรู้สึกของผู้ชมเอาไว้จนทุกวันนี้ เพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดในฉากสุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะจดจำภาพของเด็กหญิงผมเปียที่เคยเล่นกระโดดยางกันมาตั้งแต่เด็ก  แม้ว่าเธอจะเติบโตขึ้นจนแต่งงานมีครอบครัว เพราะผมเองก็เลือกที่จะจดจำเขาในแบบนั้นเช่นกัน


เราไม่รู้หรอกว่าเวลาจะพาใครคนนั้นเปลี่ยนแปลงไปแบบไหน ลักษณะภายนอกของเขาจะเป็นอย่างไร ความคิดอ่าน นิสัยใจคอจะต่างไปจากเดิมหรือไม่ ดังนั้นภาพในวันวานของเขาจึงเป็นสิ่งที่ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของผม แม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะจากกันโดยไร้ซึ่งคำร่ำลาใด ๆ


สมุดบันทึกของผมจึงจบลงด้วยคำสั้น ๆ ในบรรทัดสุดท้าย


คำที่มีแต่ผมเท่านั้นที่พูดมันออกมา.



ทันตแพทย์นุพันธ์ถอนใจเฮือก ตัวอักษรตัวสุดท้ายสิ้นสุดลงไปแล้ว ความคิดของคนอ่านกลับยังคงโลดแล่นไปไกลเกินกว่าจะเรียกคืนได้ทัน แม้บรรทัดสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้จะไม่ได้รับการเฉลย หากแต่อารมณ์หม่นหมองที่สัมผัสได้ก็พอจะทำให้รู้ว่าคืออะไร

...


ธานัทนั่งลงที่หน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเงี่ยหูฟังเสียงจากการสัมภาษณ์ที่เพิ่งทำการถ่ายโอนข้อมูลจากเครื่องบันทึกเสียงเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ชายหนุ่มจับเมาส์คลิกข้ามไปจนกระทั่งถึงการสนทนาช่วงหนึ่ง


“...ตอนนั้นอาจารย์มยุรีบอกให้พวกเราทำกิจกรรมต่าง ๆ บ้าง อย่าเอาแต่เรียนอย่างเดียว ใครชอบเล่นกีฬาก็สนับสนุน ใครชอบศิลปะก็ไม่ได้ขัดขวาง พี่เองต่างหากที่ไม่รู้จะไปทางไหน รู้สึกเหมือนหายใจทิ้งไปวัน ๆ จนกระทั่งถูกเพื่อน ๆ บังคับให้ลงสมัครประธานนักเรียน”


“บังคับเหรอครับ”


“ใช่ ไม่ได้อยากลงสมัครเลย รู้อยู่แล้วว่าสู้เขาไม่ได้หรอก ก็เราไม่ได้เด่นดังอะไรนี่นา ใครเขาจะเลือก อุตส่าห์พูดขนาดนั้น ทุกคนในกลุ่มก็ยังลงความเห็นว่ายังไงก็ต้องสมัคร พวกผู้หญิงน่ะจัดการให้ทุกอย่าง ทั้งป้ายหาเสียง ทั้งแผ่นพับใบปลิว แถมยังช่วยลงพื้นที่ไปแจกให้ด้วย อืม...เราน่ะทันรุ่นพี่ใช่ไหม”


“ช...ใช่ครับ”


“แล้วตอนนั้นเลือกใคร”


“ล...เลือก เลือก...จำไม่ได้แล้วพี่ มันนานมากแล้วใครจะไปจำได้”


“นั่นสินะ พี่ยังจำเราไม่ได้เลย”


“อ...เอ้อ...ครับ”



เสียงเมาส์คลิกเมาส์ดังขึ้นทำให้เสียงสัมภาษณ์หยุดลง ธานัทผ่อนลมหายใจเบา ๆ นึกถึงกระดาษใบเล็กที่ได้รับจากการหาเสียงเลือกตั้งประธานนักเรียนเมื่อคราวนั้น คำพูดที่ได้ฟังตอกย้ำความคิดเมื่อก่อนหน้านี้ที่ว่าตัวเขาเองไม่มีตัวตนอยู่ในความทรงจำของอีกฝ่าย...


“แล้วเราล่ะ จำพี่ได้หรือเปล่า เราเคยคุยกันบ้างไหมเมื่อตอนที่อยู่ในโรงเรียน”


“ไม่ครับ”


“หมายถึงจำไม่ได้ หรือว่าเราไม่เคยได้คุยกัน”


“ท...ทั้งสองอย่างครับ”


นิ้วเรียวแตะที่หน้าจอโทรศัพท์เพื่อหยุดเสียง คงถึงเวลาที่จะต้องกลับไปฟังเพลงที่ชอบเสียที แทนที่จะฟังเสียงสัมภาษณ์นี่ซ้ำไปซ้ำมา ตลอด 2-3 วันที่ผ่านมาธานัทเอาแต่ฟังเสียงนี้จนแทบจะจำได้ทุกประโยค คิดได้เช่นนั้นก็ดึงหูฟังออกจากโทรศัพท์มือถือแล้วเก็บลงในกระเป๋า เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดพยาบาลที่เดินมาหยุด เธอยิ้มให้แล้วนั่งลงพร้อมกับวางบางอย่างลงบนโต๊ะ


“ของแก”


ทันทีที่เห็นว่ามันคือสมุดบันทึกที่ใช้จดข้อมูลและวางคอนเซ็ปต์สำหรับเขียนหนังสือเล่มใหม่ ธานัทก็ทำตาลุกวาวดีใจดังลิงโลด คิดว่าจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เสียแล้ว นั่นเพราะเขาหามันมาร่วมสัปดาห์ ทั้งที่คอนโด ที่สำนักพิมพ์หรือแม้กระทั่งที่บุ๊กคาเฟ่ แต่ก็ไม่พบ ที่แท้ก็อยู่กับมัสลินนี่เอง แต่เมื่อคิดว่าในระยะนี้ทั้งเขาและเธอมีโอกาสคุยกันก็แค่ทางโทรศัพท์หรือผ่านข้อความในโปรแกรมสนทนาก็ให้อดสงสัยไม่ได้


“หาตั้งนาน ไปอยู่กับแกได้ยังไง”


“ก็แกไปลืมไว้ที่บุ๊กคาเฟ่ไม่ใช่หรือไง พี่นุเขาเก็บไว้ให้แล้วก็ฝากฉันมาคืนแก”


“พ...พี่นุ?”


“ก็ใช่น่ะสิ เขาต้องตามอาจารย์หมอไปต่างประเทศ เลยฝากฉันมาคืนแก”


ชายหนุ่มถอนใจก่อนจะเก็บสมุดบันทึกใส่ลงในกระเป๋า “ถ้าอย่างนั้นฝากขอบคุณเขาด้วยก็แล้วกัน” พูดจบคว้าเมนูอาหารมาเปิดดูอย่างไม่ใส่ใจ


“ไปคุยกันเองสิ ฝากกันไปฝากกันมาอยู่ได้ ฉันเป็นพยาบาลนะไม่ใช่นกพิราบสื่อสาร” ถ้อยคำยียวนของเพื่อนสาวทำให้คนฟังจำต้องละสายตาจากรายการเครื่องดื่ม


“แกยังมีความผิดนะ”


“อะไรกัน นี่ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ” ท้ายประโยคนั้นอู้อี้ แต่ก็ยังพอจับใจความได้


“ถามบ้างไหมว่าเราต้องการหรือเปล่า”


“โธ่...ฉันขอโทษแกแล้วไง นะ ๆ หายโกรธเถอะนะ” พูดพลางมือเรียวก็เขย่าแขนเพื่อนรักไปพลาง


ธานัทสบสายตาเว้าวอนอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ในที่สุดก็ส่ายหัวยิ้ม ๆ


“นั่นไง ยิ้มแล้ว แสดงว่าแกไม่โกรธฉันแล้วใช่ไหม”


“เออ ไม่โกรธก็ได้ แต่ถ้าแกรวมหัวกับนุ่นทำแบบนี้อีกเราจะโกรธจริง ๆ แล้วนะ”


“พวกฉันทำอะไร” มัสลินยิ้มหวาน “ทำให้แกได้เจอกับพี่นุเพื่อบอกความในใจที่ทนเก็บมาสิบกว่าปีน่ะเหรอ”


“จะอะไรก็ช่างเถอะ สั่งอะไรกินดีกว่า”


“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง” พยาบาลสาวกล่าวพลางดึงเมนูอาหารออกจากมือคนที่นั่งตรงข้ามกัน “ตอบมาก่อนว่าแกยังคิดกับพี่นุเหมือนเดิมหรือเปล่า”


“คิดอะไร”


“ก็ชอบเขาไง แกยังชอบเขาอยู่หรือเปล่า”


“เปล่า”


“โกหก ถ้าไม่ชอบแล้วหนังสือเล่มใหม่ของแกมันคืออะไร” มัสลินเอนหลังพิงพนักกอดอกจ้องหน้าเพื่อนรัก “ใครอ่านแล้วจะตีความไปยังไงฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ฉันอ่านแล้วฉันเห็นพี่ของแกอยู่ในทุกตัวอักษร ถามจริง ๆ เถอะ ตอนนี้ได้พบกันอีกครั้ง ไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอ”


“แกจะให้เราทำยังไง จะให้เราเดินเข้าไปบอกเขาว่าผมแอบชอบพี่มานานแล้วอย่างนั้นหรือไง”


หญิงสาวไม่ตอบ หากแต่ถามกลับ “ยากเหรอ?”


“ถ้ามันง่ายนักแล้วทำไมแกไม่บอกพี่เชษฐ์แบบนี้บ้างล่ะ”


สิ้นสุดคำถามก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ


“ถ้าตอนนี้ฉันยังชอบพี่เชษฐ์อยู่ก็คงเลือกจะบอกให้เขารู้แหละ”


“ทั้งที่ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงน่ะเหรอ”


มัสลินพยักหน้า “ตั้งแต่มาทำอาชีพพยาบาลฉันถึงคิดได้ ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอนหรอกนะเอ๋ย ทำอะไรไม่ควรผัดวันประกันพรุ่ง ฉันรู้นะเอ๋ย...ว่าแกไม่ได้คาดหวังว่ามันจะต้องจบลงแบบไหน แกแค่อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า มันก็เท่านั้นเองไม่ใช่หรือไง ที่ฉันกับนุ่นทำแบบนี้ก็เพราะเห็นว่าเป็นโอกาสที่แกจะได้ทำความรู้จักกับเขา ต่อไปแกสองคนอาจจะเป็นแค่คนรู้จักกันก็ไม่เห็นจะเป็นไร อย่างน้อย ๆ ก็จะได้ไม่ใช่แค่เขาที่มีตัวตนอยู่ในความทรงจำของแก แล้วแกเองก็จะได้จดจำเขาในแบบที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้”


“หรืออาจจะดีกว่า ถ้าหากมันจะเป็นแบบที่แล้ว ๆ มา” ธานัทกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนจะรั้งเมนูอาหารกลับคืนมา และหลังจากที่เขาพูดจบลง เรื่องนี้ก็ไม่ถูกยกขึ้นมากล่าวถึงอีกเลยตลอดมื้ออาหาร


...
(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2017 11:08:56 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


ชายหนุ่มที่กำลังฟุบหลับอยู่กับโต๊ะทำงานต้องสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกเมื่อได้ยินเสียงของโทรศัพท์มือที่สั่นอยู่ไม่ห่างหู ธานัทยืดตัวขึ้นปรือตาดูเวลาที่มุมจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจึงได้รู้ว่าเป็นเวลาเกือบหนึ่งนาฬิกาแล้ว ไม่รอช้าเอื้อมคว้าโทรศัพท์มาเปิดดูทันทีด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะมีเรื่องด่วนจึงได้ส่งข้อความมาในยามวิกาลเช่นนี้ แต่แล้วสิ่งที่ได้เห็นก็แทบทำให้ฉุนขาด


“สติกเกอร์...ส่งมาตอนตีหนึ่งเนี่ยนะ” พูดพลางขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิดในขณะที่ดวงตายังคงจ้องมองภาพการ์ตูนอนิเมชันรูปลิงฉีกยิ้มบนหน้าจอสัมผัส ชายหนุ่มจัดการปิดโปรแกรมสำหรับการพิมพ์จากนั้นจึงปิดเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กแล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนนุ่ม กำลังจะวางโทรศัพท์ที่หัวเตียงก็ต้องชะงักเมื่อเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าดังขึ้นอีกครั้ง


“ยังไม่นอนอีกเหรอ”


‘ก็ใครล่ะที่ส่งข้อความาปลุก’ เจ้าของใบ้หน้างัวเงียคิดในใจ ยังไม่ทันได้ตอบกลับ ข้อความใหม่ก็ปรากฏขึ้นที่หน้าจอ


“ได้สมุดบันทึกคืนแล้วใช่ไหม”   



“สมุดบันทึก” ธานัทขยับปากเป็นคำตามที่ตาเห็น จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาเสียได้ ความง่วงเหงาหาวนอนเมื่อครู่ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน ไม่ต้องเสียเวลาถามไถ่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพราะคำตอบนั้นกระจ่างอยู่ในสิ่งที่เขากำลังพูดถึงอยู่แล้ว และมันต้องเป็นฝีมือของมัสลินอีกแน่ ๆ คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกตอบกลับไปด้วยรูปการ์ตูนลิงชูป้ายข้อความ ‘ใช่’ และ ‘ขอบคุณ’


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว นอนเถอะพี่ไม่กวนแล้ว”


ทันทีที่อ่านข้อความนั้นจบ ธานัทก็ล้มตัวลงนอน ดวงตายังคงทอดมองไปยังหน้าจอโทรศัพท์ในมือจนกระทั่งเมื่อหน้าจอดับเขาก็กดเปิดมันขึ้นมาใหม่ เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก


“ใครจะไปหลับลง”



กว่าจะข่มตาให้หลับก็เกือบเช้า...


เมื่อแสงแดดอุ่น ๆ ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทักทาย นักเขียนหนุ่มก็ปรือตาตื่นขึ้นอีกครั้งทั้งที่เพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง   คิดจะงีบต่ออีกสักหน่อยเพราะไม่ได้มีนัดที่ไหน แต่เสียงเตือนข้อความเข้าก็ทำลายบรรยากาศการนอนจนหมดสิ้น


ข้อความสวัสดีตอนเช้ากับรูปการ์ตูนยังคงถูกส่งมาจากเพื่อน ๆ และคนรู้จักตามปกติ แต่วันนี้กลับมีอีกคนเพิ่มขึ้นมา


Nupan ส่งข้อความใหม่



“ตื่นหรือยัง ขอโทษนะที่เมื่อคืนส่งข้อความไปรบกวนกลางดึก” ข้อความนั้นถูกส่งมาพร้อมกับการ์ตูนรูปลิงทำหน้าสำนึกผิด


ธานัทยันตัวลุกขึ้นนั่ง ดวงตาจ้องมองข้อความที่ปรากฏขึ้น ในหัวกำลังเรียบเรียงประโยค ขณะที่นิ้วก็แตะแป้นอักษรบนหน้าจอไปด้วย พิมพ์ไปได้หน่อยก็ตัดสินใจลบทั้งหมดทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นส่งภาพลิงยิ้มกลับไปแทน


ลิงน้อย ส่งสติกเกอร์



“เป็นนักเขียนทำไมขี้เกียจพิมพ์” ทันตแพทย์นุพันธ์บ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นสิงโตยักษ์กำลังพ่นน้ำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศที่เขาอยู่ในขณะนี้


“บ่นอะไร” คนที่ยืนข้างกันหันมาถาม


“เปล่าสักหน่อย” พูดจบก็สอดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง


“ก็ได้ยินอยู่ว่าบ่น” บารมีมุ่นคิ้ว


“ไปทางโน้นกันดีกว่า อาจารย์เดินไปโน่นแล้ว” นุพันธ์ตัดบท กระชับเป้สะพายหลังก่อนจะเดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปตามแนวโค้งของอ่าวกระทั่งหยุดที่ใกล้กับรูปปั้นสิงโตมากที่สุด ชายหนุ่มยกกล้องมิเรอร์เลสที่คล้องอยู่กับคอขึ้นบันทึกภาพสิงโตพ่นน้ำเป็นที่ระลึกจากนั้นจึงทอดตามองไปยังตึกรูปเรือที่ตั้งตระหง่านอยู่ฝั่งตรงข้าม 


“ไปซื้อมาอ่านตั้งแต่เมื่อไร” ชายหนุ่มที่เดินตามมาหยุดยืนข้าง ๆ ถามพลางดึงหนังสือที่โผล่ออกมาจากช่องเก็บของด้านหน้าของเป้สะพายหลัง


“ก็ตั้งแต่วันที่หมี่จะให้เรายืมอ่านนั่นแหละ”


“แล้วอ่านจบหรือยัง” ทันตแพทย์บารมีกล่าวพลางพลิกหน้ากระดาษลวก ๆ


“จบแล้วละ”


“เป็นยังไงบ้าง รู้หรือยังว่าบรรทัดสุดท้ายเขาเขียนไว้ว่าอะไร”


“หมี่ละ คิดว่าเขาเขียนว่าอะไร”


“ลาก่อนละมั้ง เราว่ามันเป็นบรรยากาศเก่า ๆ ที่นึกถึงทีไรก็ชวนยิ้มได้ เพราะทุกคนน่าจะมีประสบการณ์คล้าย ๆ กัน แต่ถึงจะทำให้ยิ้มได้ก็ยังรู้สึกถึงอารมณ์หม่น ๆ อยู่ดี แล้วนุล่ะ คิดว่าบรรทัดสุดท้ายของเขาคืออะไร”


“ไม่รู้สิ เอาไว้ถ้ามีโอกาสได้เจอคนเขียนจะถามให้นะ”


“พูดยังกับรู้จักเขาอย่างนั้นแหละ” พูดจบก็ส่งหนังสือคืนให้เจ้าของ


“ก็พูดไว้ เผื่อว่าวันหนึ่งได้รู้จัก” นุพันธ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม รับหนังสือมาถือเอาไว้


...


ธานัทละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูก็พบว่าตลอดทั้งวันยังคงมีข้อความถูกส่งมาเรื่อย ๆ จากคนคนเดิม


“เป็นนกฮูกหรือไงนะ ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่นอน” นักเขียนหนุ่มบ่นกับตัวเองพลางเปิดอ่านข้อความ


“งานยุ่งเหรอ เห็นอ่านแล้วไม่ตอบ”


คนอ่านถอนใจเฮือกก่อนจะกดส่งเจ้าลิงจ๋อปาดเหงื่อกลับไป


“พี่กำลังจะบินกลับแล้วละ”














...เป็นเวลานานทีเดียวกว่าข้อความหนึ่งจะถูกส่งกลับไป...



“เดินทางปลอดภัยครับ”




...


ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเมนต์นะคะ ^^



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2017 17:26:00 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด