Fallen and Destined 4
ตลอดบ่าย เขาเหม่อลอยจนมีคนสังเกตเห็น จึงโดนหัวหน้าเรียกไปตักเตือนว่าถึงใกล้จะย้ายแต่ก็ไม่ควรเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานนัก เขาไม่มีคำแก้ตัวจึงได้แต่ก้มศีรษะขอโทษรับผิดแต่โดยดี
ไม่ว่าอักษรจะชวนคุยอะไร ขอบฟ้าก็พยักหน้ารับจนอีกฝ่ายเลิกคุยไปเองและปลอบว่าไม่ต้องคิดมากเรื่องผลการสัมภาษณ์ เพราะยังไงๆ ก็แน่ใจว่าต้องได้แน่ๆ
เมื่อได้ยินคำปลอบใจดังกล่าว ขอบฟ้าถึงเพิ่งนึกออกเพราะเกือบจะลืมเรื่องหางานใหม่ไปถนัด
ความกระตือรือร้นไม่หลงเหลืออยู่ ภายในใจมีแค่ความสับสน ทำไมเขาถึงต้องเห็น อีกแค่ไม่กี่วันแล้วแท้ๆ เส้นทางของพวกเขาก็คงไม่วนเวียนมาพบเจอกันอีก
ทั้งที่เรียนไม่เก่ง ความจำก็ไม่ดี ทำไมแค่เห็นหน้า เรื่องเก่าๆ ในอดีตถึงได้หวนกลับมาแบบไม่ขาดสาย
เขารอ หวังมาตลอดว่าสักวันอาจจะได้พบกรอีกสักครั้ง แค่อยากเจอ อยากเห็นหน้า อยากรู้ว่าอีกฝ่ายใช้ชีวิตที่ดี อยู่อย่างมีความสุข
ทว่าลึกๆ ในใจ มันเป็นความหวังที่เขาไม่เคยคิดอยากให้สมหวัง เพราะกลัวว่าถ้าได้พบกันแล้ว เมื่อได้รู้ว่าต่างคนต่างมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ เมื่อนั้น ระหว่างพวกเขาสองคนก็คงไม่เหลือเรื่องค้างคาใจกันอีกต่อไป
ทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอ อยากได้ยินเสียงแต่ก็หวาดกลัวการเผชิญหน้า ขอบฟ้ารู้สึกขัดแย้งจนกลายเป็นสองซีก ซีกหนึ่งคือสมอง...ส่วนที่กระทำด้วยเหตุผล อีกซีกคือหัวใจ...ส่วนที่เอาแต่ใจและไร้เหตุผลเป็นที่สุด
เขาหมกมุ่นครุ่นคิดกับเรื่องพวกนี้เอามากๆ มากจนกระทั่งพลชนะสังเกตเห็นจนได้
“...ฟ้า ขอบฟ้า!” เสียงเรียกดังจนใกล้จะเป็นการตะโกนที่ข้างหูทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงสุดตัว เหลียวขวับไปทางต้นเสียงแล้วต้องผงะเมื่อเจอหน้าคนเรียกในระยะประชิด โชคดีที่พลชนะคว้าแขนเขาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงได้หัวทิ่มลงกาละมังซักผ้าเป็นแน่ “เป็นอะไรไป ฟ้านั่งซักไอ้กางเกงตัวนี้มาสิบนาทีแล้วนะ ใจลอยไปถึงไหน”
“ไม่...ไม่มีอะไร” หัวใจเขายังเต้นตึกตักด้วยความตกใจ “ไม่ได้ใจลอย แค่กำลังคิดเรื่องสัมภาษณ์งาน”
“นั่นล่ะ เขาเรียกใจลอย” พลชนะเอ่ยกลั้วหัวเราะ “แล้วเป็นยังไงบ้าง สัมภาษณ์ยากไหม”
ร่างสูงถอยไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างประตู นั่งมองเขาซักผ้าตรงระเบียงแคบๆ ไปพลาง จิ้มโน่นดูนี่ทางโทรศัพท์ในมือไปพลาง ท่าทางคุณชายทุกกระเบียดนิ้ว แม้จะขัดกับฉากหลังอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ขัดตาเท่ากับครั้งแรกที่มานอนเล่นในห้องเขา ส่วนสาเหตุที่พลชนะต้องมานั่งเก้าอี้แข็งๆ ทำงานผ่านมือถือเช่นนี้เพราะเขาปฏิเสธจะออกไปข้างนอก โดยให้เหตุผลว่าต้องซักผ้า ทำความสะอาดห้องเสียทีเพราะมัวแต่โดนเจ้าตัวลากไปโน่นมานี่ตลอดวันหยุดทุกที
“เห็นบอกว่าต้องรอสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายอีกครั้ง อาจจะเป็นอาทิตย์หน้า” พูดแล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้ว “พี่พลว่าถ้าเราขอเร่งเขาจะยอมไหม เร็วขึ้นอีกแค่วันสองวันก็ได้ ผมไม่อยากไปทำงานที่บริษัทนี้แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่าบอกว่าไม่มีอะไร ปกติฟ้าไม่ใช่คนไร้เหตุผล จะบอกพี่เองหรือให้พี่ไปถามเอาจากน้องโอ้”
“โอ้ไม่รู้เรื่องนี้หรอก...” หลุดปากไปแล้วก็นิ่งขึง พลชนะยิ่งคาดคั้นหนัก
“นั่น...ฟ้ากำลังปิดบังพี่อยู่จริงๆ ด้วย” พอรู้ว่ามาถูกทางก็ถึงกับลุกมานั่งขัดสมาธิตรงขอบระเบียงอย่างไม่กลัวกางเกงจะสกปรกและไม่ยอมให้เขาวิ่งไปหาผ้ามาเช็ดพื้นก่อนด้วย “เปื้อนก็ช่างมัน ฟ้าบอกพี่มาดีกว่าว่ากำลังกลุ้มเรื่องอะไร”
เขานิ่งไป ไม่แน่ใจว่าควรพูดออกมาดีหรือเปล่า แต่เมื่อมองเห็นความห่วงใยที่ฉายชัดก็คิดว่าต่อให้ไม่รู้วันนี้ วันหน้าพลชนะก็ต้องรู้อยู่ดี อีกอย่าง เขาเข็ดหลาบแล้วกับเรื่องปิดบังความลับ สู้บอกไปเสียตั้งแต่แรก บอกเสียตั้งแต่แต่ตอนนี้เลยดีกว่า
“ผมเจอพี่กร” เริ่มต้นแบบตรงประเด็น แม้บรรยากาศระหว่างซักผ้าไม่ค่อยเหมาะกับการพูดคุยแบบจริงจังเท่าใดนักก็ตาม แต่คิดในแง่ดี มันคงช่วยให้การสนทนานี้ไม่ตึงเครียดเกินไปก็เป็นได้ “เมื่อวันก่อน ผมเจอพี่กรที่บริษัทแต่เขายังไม่เห็นผมหรอกนะ”
สีหน้าคนฟังคล้ำเครียดขึ้นทันตาเมื่อได้ยินชื่อแสลงหู หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พลชนะจึงเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “มันไปทำอะไรที่นั่น”
“ผมยังไม่แน่ใจแต่ถ้าจะให้เดา...” ใช่ หลังจากเห็นกร เขาไม่ได้วิ่งเตลิดเปิดเปิงไปตามล่าหาความจริงหรอกว่าฝ่ายนั้นโผล่มาที่บริษัทได้ยังไง เขาทำแค่หดหัวซุกหางอยู่ในมุมเหมือนตัวขี้ขลาด “พี่พลจำที่ผมเล่าให้ฟังได้ไหม สาเหตุที่ผมโดนย้ายงานเพราะบริษัทกำลังจะถูกควบรวมน่ะ... มันเป็นเรื่องบังเอิญที่แย่ที่สุดเลย”
“ใช่ เป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่น่าเชื่อ” กัดฟันกรอดแล้วชายหนุ่มก็ลุกพรวด “วันจันทร์นี้รีบไปลาออกจากบริษัท แล้วย้ายออกจากห้องนี้ไปอยู่กับพี่พลางๆ ก่อน”
ยังนั่งอ้าปากค้าง พลชนะก็ทำท่าฉุกคิด
“ไม่ดี พี่ว่าฟ้าไม่ต้องกลับไปบริษัทอีก ส่งแค่จดหมายลาออกไปก็พอ ส่วนเรื่องห้อง...กระเป๋าเสื้อผ้าเก็บหมดแล้วใช่ไหม งั้นไม่ต้องรอแล้ว ย้ายมันวันนี้เลย”
ขอบฟ้ายึดขอบกาละมังแน่นเมื่อมือแข็งเอื้อมมาคว้าต้นแขน
“ผมยังซักผ้าไม่เสร็จ” มันไม่ใช่เหตุผลที่ดีที่สุดหรอกแต่เป็นแค่เหตุผลเดียวที่นึกออก เขาจะไม่แปลกใจเลยถ้าพลชนะจะหัวเราะเยาะเหตุผลมั่วซั่วนั่น หากตรงกันข้าม นอกจากจะไม่ขำแล้วชายหนุ่มกลับมีอาการฉุนเฉียวขึ้นทันตา
“งั้นก็ทิ้งมันไปทั้งหมดนั่นล่ะแล้วรีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้” เพราะออกแรงกระชากแบบกะทันหัน ขอบฟ้าก็ไม่ยอมปล่อยมือที่ยึดไว้ ผลคือเขาล้มลงก้นกระแทกพร้อมกับทำกาละมังพลิกคว่ำ ครึ่งล่างเปียกปอนไปทันที
“อ๊ะ พี่ขอโทษ ฟ้าเจ็บหรือเปล่า” พลชนะพูดด้วยความตกใจและรีบเข้ามาพยุงคนนั่งหน้าเบี้ยวแต่กลับโดนปัดมือทิ้ง
“ไม่ต้องช่วย” เขากลั้นน้ำตา ความเจ็บร้าวจากสะโพกแผ่กระจายลุกลามจนต่อให้อยากลุกก็ลุกไม่ขึ้น เงยหน้าบอกพลชนะ หวังให้ฝ่ายนั้นเข้าใจว่าเขาโมโหแล้วจริงๆ “พี่พลกลับไปได้แล้ว ยังไงๆ ผมก็ไม่ย้ายและจะยังไม่ลาออกด้วย”
เป็นครั้งแรกที่ขอบฟ้าออกปากไล่และพลชนะก็อึ้งไปพักใหญ่กว่าจะพูดอีกครั้ง “ถึงขนาดนี้แล้ว...ฟ้ายังหวังจะกลับไปหามันได้อีกเหรอไง โง่ชัดๆ!”
ตวาดคำสุดท้ายใส่หน้าก่อนจะยอมผละถอยไป คว้าเสื้อนอกได้ พลชนะก็กระแทกประตูปิดดังปัง ทิ้งให้เขานั่งคุดคู้อยู่บนระเบียงเปียกๆ นึกปฏิเสธทั้งตัวเองและพลชนะว่าเขาไม่ได้หวังจะกลับไปหากรอีก ไม่ได้หวัง ไม่เคยหวังและรู้ว่าต่อให้หวังก็มีแต่จะต้องผิดหวังเท่านั้น
ทั้งๆ ที่คิดได้ ทั้งๆ ที่บอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่กระนั้นก็ยังอดปวดหน่วงหนักในอกไม่ได้อยู่ดี
++++++++++
สุดท้าย ขอบฟ้าก็ไม่ได้ยื่นใบลาออก เขากลับไปทำงานตามปกติ หากมีสิ่งเดียวที่ไม่ปกติคือดูเหมือนเขาจะเริ่มได้ยินชื่อกรบ่อยขึ้นจากคนรอบข้าง
“เห็นว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน คนของทางโน้นมาที่บริษัทแค่แป๊บเดียวแต่เล่นเอาสาวๆ ตื่นเต้นกันทั้งตึก” อักษรพูดแจ้วๆ กลางโต๊ะอาหาร “เห็นเรียกกันคุณกรๆ เราอยากเห็นบ้างจัง อยากรู้ว่าหล่อมากเลยเหรอ จะหล่อสู้พี่บอสหรือพี่พลของฟ้าได้ไหม”
คนฟังตักข้าวเข้าปากเงียบๆ ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ในใจยังครุ่นคิดถึงแต่เรื่องย้ายงานกับเรื่องสัมภาษณ์งานใหม่ ตอนนี้จะเป็นอย่างไหนก็ได้ นึกอยากเร่งวันเร่งคืนให้มาถึงเร็วๆ
“สงสัยงานเลี้ยงฉลองประจำปีของบริษัทคงมีแขกพิเศษมาเปิดตัวด้วยแหงๆ ถ้าเป็นคุณกรที่ว่าก็ดีสิเนอะ จะได้เห็นหน้าใกล้ๆ แต่กลัวว่าจะเป็นแค่ข่าวลือมากกว่า ใครจะหล่อกว่าพี่พลได้อีก...”
เพิ่งจะรู้สึกสะกิดหูเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ขอบฟ้ามองหน้ายิ้มระรื่นของเพื่อนแล้วกระซิบเบาๆ “ชอบพี่พลเหรอ”
“เฮ้ย! เปล่าสักหน่อย” อักษรรีบร้อนปฏิเสธ โบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน ใบหน้าหวานๆ นั้นแดงก่ำ “เราแค่เห็นพี่เขาหล่อดี นิสัยก็อบอุ่น ดูพึ่งพาได้ แถมท่าทางจะเทคแคร์คนเก่งด้วย แค่...แค่อยากมีพี่ชายแบบนี้บ้าง”
“แน่ใจ” ขอบฟ้าเริ่มนึกสนุก ถามคาดคั้นพลางมองเห็นพิรุธเต็มตัว
“แน่...” ตอบอุบอิบแล้วเหลือบตามองเขาเป็นพักๆ ก่อนอักษรจะถอนหายใจ ยอมสารภาพ “โอเค เรายอมรับก็ได้ว่าแอบปลื้มๆ อยู่บ้าง แต่ก็แค่นั้น เรารู้ว่าพี่พลน่ะของฟ้า...”
“โอ้เข้าใจผิดแล้ว” บอกตามตรงว่าเขาก็เห็นอักษรเป็นคนที่เหมาะกับพลชนะไม่น้อย ท่าทางร่าเริงแจ่มใสที่ช่วยให้คนใกล้ชิดสบายใจ ถ้าเขาจะต้องเห็นพลชนะคบกับใครสักคนขึ้นมาล่ะก็ หากเป็นไปได้เขาก็อยากให้เป็นอักษร “เรากับพี่พลเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันจริงๆ ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น”
“แค่รุ่นพี่รุ่นน้อง...ขนาดเราเชื่อว่าฟ้าไม่ใช่คนโกหก แต่เรายังไม่เชื่อเลย” บอกหน้าซื่อตาแป๋วเสียจนขอบฟ้าสะอึก
“ใช่สิ สำหรับในเวลานี้น่ะ” พยายามหาทางออกพร้อมคำยืนยันแต่เหมือนจะยิ่งย่ำแย่เสียมากกว่าเมื่ออักษรเริ่มซักไซ้
“แสดงว่าเมื่อก่อนหรือในอนาคตก็ไม่ใช่สิ มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ ฟ้าเล่าให้เราฟังได้ไหม” หากเป็นคนอื่นอาจไม่กล้าถามตรงๆ แต่อักษรก็มีลักษณะพิเศษคือสามารถทำให้มันดูเหมือนเรื่องธรรมดาสามัญไปได้ เจ้าตัวทำเหมือนถามว่าเมื่อเช้าเขากินข้าวกับอะไรประมาณนั้น
“เรา...เคยคบกัน” เวลานี้ขอบฟ้าเริ่มคอตีบจนต้องวางช้อนส้อม ยกแก้วน้ำขึ้นจิบแล้ววาง คิดว่าอธิบายเพียงพอแล้ว
“เหรอ แล้วไงต่อ คบกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเหรอ แล้วเลิกกันได้ยังไง พี่พลไปเรียนต่อเหรอ แล้วคงคิดว่ารักแท้แพ้ระยะทางเลยจำต้องเลิกกันก่อนจะกลับมาเจอกันอีกรอบใช่ไหม โรแมนติกจัง...” คิดเองเออเองเสร็จ อักษรก็ทำหน้าปลื้มๆ ในขณะที่คนฟังเริ่มกลืนน้ำไม่ลงคอ
“ไม่ใช่หรอก เราเลิกกันก่อนหน้านั้น อันที่จริง เราคบกันได้แค่ไม่กี่เดือนหรอก” นิ่วหน้าตอบพลางคิดทบทวน ใช่ แค่ไม่กี่เดือน สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิตเขา ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่เดือน ทุกอย่างเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงและล้วนจากไป หลงเหลือไว้แค่ความทรงจำ “มันมีอะไรหลายอย่าง...ที่เราไม่อยากพูดถึง แต่มีอย่างหนึ่งที่เราบอกได้ คือพี่พลไม่ใช่คนผิดหรอก”
“พี่พลไม่ผิด งั้นก็หมายความว่า...” อักษรพูดแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ไม่ได้เซ้าซี้หรือคาดเดาต่อออกมาเป็นคำพูด ส่วนขอบฟ้าก็ไม่นึกโทษเพื่อนหากคำตอบในใจกำลังกล่าวโทษเขาอยู่
เพราะมันอาจจะจริงก็ได้ ...ไม่ใช่คนที่ทำผิด แต่คนที่ทำผิดพลาดมากที่สุดคงเป็นตัวเขาเองนั่นล่ะ เป็นตัวเขาเองที่ทำให้ใครต่อใครเสียใจ ไม่ว่าจะเป็นป่าน พลชนะ กรหรือแม้แต่ตัวเขาเอง จนกระทั่งทุกวันนี้ แววตาของกรในครั้งสุดท้ายยามที่ยอมเอ่ยปากขอร้องเขายังติดอยู่ในความทรงจำ ชนิดที่ว่าต่อให้อยากลืม...ก็ลืมไม่ลง
++++++++++
เขาได้รับโทรศัพท์จากแผนกบุคคลเรื่องนัดสัมภาษณ์งานใหม่อย่างกะทันหันตอนเริ่มงานช่วงบ่ายได้ไม่เท่าไหร่ ทางนั้นให้เหตุผลว่ามีผู้สมัครงานคนหนึ่งถอนตัวกะทันหันแต่ทางผู้ใหญ่อุตส่าห์มีคิวว่าง ซึ่งหากผ่านผู้ใหญ่ท่านนี้ได้ก็เท่ากับได้งานทันที แต่เนื่องจากเป็นการนัดแบบกะทันหัน ทางนั้นจึงจะไม่ว่าอะไรหากเขาไม่สามารถไปได้ โดยบอกว่าให้เขารอการโทรศัพท์นัดหมายครั้งต่อไปอีกสักระยะตามขั้นตอนปกติ
แม้จะรู้ว่าไม่ค่อยดี แต่ด้วยอารามอยากไปจากที่นี่ใจจะขาด เขาจึงลองขออนุญาตหัวหน้าแผนกดู แม้จะไม่ได้บอกตรงๆ ว่าขอไปสัมภาษณ์งาน หากดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้และพยักเพยิดหน้าอนุญาต ราวกับจะไม่ถือสาเพราะเห็นว่ายังไงเสีย ขอบฟ้าก็คงอยู่ที่แผนกนี้อีกไม่นาน
รีบโทรศัพท์กลับไปแจ้งและรับปากว่าจะรีบไปให้ถึงเร็วที่สุด เขารีบร้อนหยิบเอกสารที่เตรียมพร้อมไว้ตลอดหอบหิ้ววิ่งสวนคนส่วนใหญ่ที่กำลังเริ่มงานตอนบ่ายอย่างง่วงเหงาตรงไปยังลิฟต์เพื่อไปให้ทันนัดหมาย
เมื่อลงมาถึงบริเวณทางออก ขอบฟ้าก็มัวแต่รีบจนไม่ทันได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติกระทั่งเขากำลังจะก้าวออกจากบริษัทนั่นล่ะถึงได้มองเห็นรถคันหนึ่งจอดเทียบลงตรงหน้า จึงได้รีบก้าวหลบให้พ้นทางและต้องแตกตื่นหนักเมื่อมีพนักงานระดับสูงวิ่งกรูกันไปรอรับคนที่กำลังลงจากรถ
แว่บแรกเขาคิดจะหาทางหลบ แต่คิดอีกที มันคงน่าสงสัยยิ่งกว่า จึงได้แต่ยืนตัวแข็งมองร่างสูงที่ก้าวพรวดลงจากรถโดยไม่รอให้ใครวิ่งมาเปิดให้ ดวงตาคมกวาดตามองบรรดาคนที่มารายล้อมรอบตัวอย่างติดจะเบื่อหน่ายและเพียงแค่พยักหน้ารับส่งๆ เมื่อผู้อำนวยการกล่าวต้อนรับรวมถึงขอโทษที่ไม่ได้เตรียมการรอรับล่วงหน้า
“ช่างมันเถอะ ผมมาแบบกะทันหันเอง” เสียงทุ้มกว่าในความทรงจำเอ่ยเรียบ ถึงจะพูดจาไม่มีหางเสียงเหมือนแต่ก่อน ทว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้ฟังห้วนห้าวท้าตีท้าต่อยอีกแล้ว
เจ้าตัวเอียงหน้าลงฟังใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พูดบางอย่างแล้วพยักหน้ารับ กรกวาดตามองรอบด้านรวมถึงจุดที่เขายืนอยู่ด้วย
แว่บเดียว เพียงแค่แว่บเดียวเท่านั้นที่ขอบฟ้าคิดว่าเขาสบตากับกร แว่บเดียวที่หัวใจเต้นรัวแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก และเพียงแค่ชั่ววินาทีต่อมา ชายหนุ่มก็แลเลยไปแล้วเดินแหวกขบวนต้อนรับตรงลิ่วเข้าบริษัท เดือดร้อนก็แต่บรรดาพนักงานอาวุโสที่ต้องวิ่งตามให้ทันทั้งที่แต่ละคนถ้าไม่ลงพุงก็สูงอายุกันทั้งนั้น
กรคงไม่ทันเห็นเขา ชายหนุ่มจะมองเห็นได้ยังไงในเมื่อมีผู้คนรายล้อมมากหน้าหลายตา จะมองเห็นเขาได้ยังไงในเมื่อเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร กรคงจะมองไม่เห็นเขา...ขอบฟ้าเลือกที่จะบอกตัวเองเช่นนั้นซ้ำๆ
แม้จะรอดพ้นจากการเผชิญหน้ามาได้แบบหวุดหวิด แต่ก็เริ่มตระหนักถึงความจริงบางอย่างว่าต่อให้เขาไม่วิ่งแจ้นหนีหน้าอีกฝ่าย หากก็ใช่ว่าพวกเขาจะได้พบเจอกันโดยง่าย ดูแต่หนนี้ ขนาดอยู่ใกล้เสียจนสามารถได้ยินเสียงของกร แต่เขาก็ยังไม่ได้อยู่ในสายตาคู่นั้นอยู่ดี
+++++++++
เวลาที่กระชั้นเข้ามาทำให้ขอบฟ้าเริ่มรู้สึกเหมือนกำลังถูกบีบให้จนตรอกเข้าไปทุกขณะ อันที่จริงถึงตอนนี้แล้ว เขาก็ไม่คิดเกี่ยงงอนกับการย้ายออกต่างจังหวัดหรือจะให้ได้งานใหม่ก็จะยิ่งดีที่สุด
ยังมีเรื่องของพลชนะอีก ชายหนุ่มไม่ได้ติดต่อมาอีกตั้งแต่ทะเลาะกันคราวก่อน แม้ขอบฟ้าจะพยายามเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหา แต่ดูเหมือนพลชนะจะยังไม่หายโกรธถึงได้ไม่ยอมรับสายเลยสักครั้ง
คิดจะไปหาถึงที่ เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าตอนนี้พลชนะกลับไปต่างประเทศแล้วหรือยัง จึงทำได้เพียงโทรศัพท์ไปฝากข้อความทิ้งไว้เป็นระยะเท่านั้น
“พี่พล พี่ยังอยู่ที่กรุงเทพฯ หรือเปล่า ผมติดต่อพี่ไม่ได้เลยคิดว่าพี่อาจจะไปฮ่องกงแล้ว” การพูดคนเดียวนี่ค่อนข้างสร้างความสับสนให้เขาพอควร “ครั้งก่อนผมขอโทษนะครับที่ไล่พี่ ผมเสียใจจริงๆ แล้วก็...ผมไปสัมภาษณ์มาแล้วนะ แต่เขายังไม่ติดต่อกลับมาสักที ผมเลยเก็บกระเป๋าต่อคิดว่าเพราะคงจะต้องไปภายในอาทิตย์หน้า ยังไงก็อยากเจอพี่ก่อนสักครั้ง ถ้าพี่หายโกรธแล้วโทรกลับมาหาผมด้วยนะครับ ผมจะรอ”
เขาฝากข้อความทางโทรศัพท์เสร็จแล้วจึงค่อยเดินเข้าแผนกเพื่อเริ่มงานภาคบ่ายอันแสนจะง่วงเหงา หากวันนี้กลับไม่มีบรรยากาศดังกล่าวเมื่อพนักงานส่วนใหญ่เริ่มเก็บกวาดโต๊ะทำความสะอาดให้เป็นระเบียบ ในขณะที่พนักงานสาวๆ ส่วนใหญ่หมกมุ่นกับการตรวจสอบทรงผมและเติมแต่งเครื่องสำอางบนใบหน้ากันให้วุ่น
ขอบฟ้าเดินงงๆ ขณะกำลังสงสัยว่าเป็นการทำความสะอาดประจำปีหรือเปล่า จึงคิดจะเริ่มทำความสะอาดโต๊ะบ้าง เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งก็หันมาให้ความกระจ่างแก่เขา
“ผู้จัดการจะพาผู้ถือหุ้นคนใหม่มาเดินทำความรู้จักแผนกต่างๆ ของบริษัท ถึงนายใกล้จะย้าย แต่เตรียมตัวไว้บ้างก็ดีนะ”
พยักหน้ารับและเริ่มลงมือเก็บเอกสารบนโต๊ะบ้าง หากไม่นานก็เสร็จเพราะบนโต๊ะเขาแทบไม่เหลืองานอะไรให้ทำมากแล้ว ถือโอกาสทำความสะอาดเลยก็คงดีเหมือนกัน คนที่ต้องมาใช้โต๊ะตัวนี้ต่อจากเขาจะได้ไม่ต้องเช็ดถูให้เสียเวลา
หลังจากใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดจนสะอาด ขอบฟ้าก็เริ่มตงิดๆ กับเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของบรรดาสาวๆ เขาหันไปถามเพื่อนอีกครั้ง “ผู้ถือหุ้นคนใหม่เนี่ยใช่คนที่...”
“คุณกรที่พวกผู้หญิงชอบพูดถึงไง” ไม่รอให้เขาถามจนจบ คำตอบที่มาแบบกะทันหันทำเอาคนฟังอึ้ง “ไม่ต้องห่วงหรอก คงเดินดูผ่านๆ พอเป็นพิธี เพื่อนฉันที่แผนกประชาสัมพันธ์เพิ่งบอกว่าแค่ยืนมองอยู่ด้านนอกด้วยซ้ำ ขืนให้เดินแนะนำตัวกันทุกแผนกคงเดินกันขาลาก ทั้งวันก็ไม่เสร็จ”
ขณะที่คนอื่นเตรียมตัวแสดงความตั้งใจในการทำงาน ขอบฟ้ากลับเริ่มหันรีหันขวางเลิ่กลั่ก คิดจะลุกไปเข้าห้องน้ำและหลบอยู่ในนั้นสักพัก ผู้จัดการก็เดินตัดหน้าไปขวางทางออกไว้เสียก่อนและประกาศกับลูกน้อง
“ทุกคนไม่ต้องตื่นเต้นเพราะนี่ถือเป็นการเยี่ยมชมกันแบบสบายๆ แต่ก็ห้ามแสดงอะไรน่าเกลียดกันออกไปล่ะ เอ้า พวกสาวๆ เลิกแต่งหน้ากันได้แล้ว กลับไปนั่งทำงานกันให้เรียบร้อย คิดว่าน่าจะใกล้มาถึงกันแล้ว” ถึงปากจะบอกว่าไม่ต้องตื่นเต้น แต่ตัวคนพูดเองกลับเดินไล่เช็คความเรียบร้อยบนโต๊ะทำงาน ขยับจัดโน่นจับนี่จนกระทั่งมาถึงโต๊ะของลูกน้องที่กำลังจะย้าย “อ้าว หางานอะไรสักอย่างขึ้นมาทำสิ เอาแฟ้มอะไรมาเปิดไว้ก็ได้ ถึงคุณจะกำลังย้ายงานแต่จะมานั่งว่างๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก มันดูไม่ดี เดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่าคุณเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน”
ขอบฟ้าเริ่มสติกระเจิดกระเจิง หยิบเอาแฟ้มมาเปิดส่งๆ แล้วก้มหน้างุด เหงื่อเริ่มแตกเมื่อได้ยินเสียงจ้อกแจ้กดังมาจากด้านหน้า
“...เป็นแผนกเล็กๆ มีพนักงานไม่ถึงยี่สิบคน หัวหน้าแผนกที่รับผิดชอบคือคุณวีรวุธ เขาดูแลแผนกนี้มาเกือบสิบปีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องปรับปรุงแก้ไข ท่านจะผ่านไปเลยไหมครับ”
เสียงอธิบายดังแว่วๆ มา ขอบฟ้าก้มหลบอยู่หลังจอคอมพิวเตอร์ แทบจะไม่กล้ากระดุกกระดิก
“ขอผมเดินดูหน่อย”
คราวนี้เสียงชัดขึ้นเพราะคนพูดก้าวผ่านประตูเข้ามาแล้ว
เสียงฝีเท้าหลายคู่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขอบฟ้าคิดจะมุดลงไปใต้โต๊ะ ติดที่ตัวมันไม่ยอมขยับ
“ถ้ารวมบริษัทเมื่อไหร่ แผนกนี้อาจยุบรวมเข้ากับแผนกอื่น เพราะพนักงานก็น้อยอยู่แล้ว”
“อืม” เสียงทุ้มหนักๆ รับคำแบบไม่สนใจ ร่างสูงหยุดยืนห่างจากโต๊ะเขาไปไม่ถึงห้าก้าวและทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้กว่านั้น
ขอบฟ้าเหงื่อแตกพลั่กๆ มือเริ่มเย็นเฉียบ
“อย่างที่ทราบว่าพนักงานส่วนหนึ่งกำลังจะย้ายไปทำงานในส่วนของสาขาย่อยแทน แผนกนี้ก็มีใช่ไหม คุณวีรวุธ” ประโยคหลังผู้นำชมสถานที่เอ่ยถามกับผู้จัดการแผนกซึ่งเดินตามมา
“ครับ ผมก็คัดเลือกให้คนที่หน่วยก้านดี ประวัติการทำงานดีได้มีโอกาสก้าวหน้าเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดกับทางบริษัทอยู่แล้วล่ะครับ” ผู้จัดการแผนกตอบด้วยความนอบน้อม “เจ้าตัวเขาก็อยู่นั่นไงครับ ขอบฟ้า คุณก็ลุกมาหน่อยสิ”
เจ้าของชื่อสะดุ้งก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ แบบติดจะงุ่มง่าม ในสายตาเขามองเห็นแต่ร่างสูงที่ยืนเอามือไพล่อยู่ด้านหลัง ทอดสายตาดำจัด ลึกล้ำเสียจนไม่เห็นก้นบึ้ง นิ่งเสียจนไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ จะตื่นเต้นหรือตกใจเท่าเขาสักนิดหรือไม่ และยังจำ...เรื่องราวในอดีตได้บ้างหรือเปล่า
หากความคิดสับสนก็หยุดชะงักลงเมื่อเสียงห้าวพูดเอื่อยๆ “ลำบากคุณหน่อยนะ”
คนฟังแทบไม่เข้าใจความหมายของคำพูดดังกล่าว เขาเห็นแค่เพียงแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปพร้อมกับผู้คนรายล้อมรอบตัว บรรยากาศตึงเครียดกับความเงียบแบบแปลกๆ จบลงเมื่อกลุ่มผู้เยี่ยมชมลับตาไป ภายในแผนกตอนนี้มีเพียงเสียงพูดคุยถึงชายหนุ่มที่ถูกกล่าวขวัญมานาน
แต่ภายในใจของขอบฟ้ากลับด้านชา ทำได้เพียงแค่รับรู้ถึงบางสิ่งภายในซอกมุมหนึ่งของหัวใจซึ่งกำลังแตกสลายลงอย่างช้าๆ และเงียบงัน
++++++++++
การจราจรที่ติดสาหัสเป็นพิเศษเนื่องจากฝนตกหนักช่วงเลิกงานทำให้ขอบฟ้ากลับถึงห้องพักช้ากว่าเคยเกือบชั่วโมง เขาเหนื่อยจนไม่อยากเดินต่ออีกแม้แต่ก้าวเดียว ปวดหัวจนอยากจะล้มตัวลงนอนแล้วหลับสนิทให้นานๆ หลับไปจนกว่าโลกจะแตกเลยได้ยิ่งดี
ถึงจะเลยเวลาอาหารเย็นมาแล้วแต่เขาก็ไม่นึกอยากอาหาร ในใจนึกอยากนอนพักอย่างเดียวจนไม่คิดจะหาซื้อข้าวเย็น ได้แต่เดินลากขาช้าๆ ตรงกลับห้องพักด้วยความเมื่อยล้า
ลิฟต์เพียงตัวเดียวของอพาร์ตเมนท์ที่เขาอาศัยอยู่มักจะเสียเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ขอบฟ้าที่พักอยู่ชั้นสองไม่ค่อยได้สนใจมันมากนัก เพียงแต่เวลานี้เขาอยากให้มันทำงานได้อย่างที่สุด คาดหวังถึงขนาดลองกดปุ่มสีขาวขุ่น แต่ความนิ่งสนิทของมันกลับทำให้เขานึกอยากร้องไห้
อาศัยราวบันไดลากขาขึ้นทีละขั้นๆ บอกตัวเองว่าอีกนิดเดียว จนกระทั่งขาทั้งสองข้างมาหยุดยืนอยู่บนพื้นชั้นสองได้ เขาก็ถึงกับถอนหายใจพรู ยกมือลูบเหงื่อเย็นๆ แล้วล้วงหากุญแจห้องในกระเป๋า
เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตานับก้าว เขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นคนที่ยืนรออยู่หน้าห้อง จนมีเสียงเรียกชื่อดังขึ้นนั่นล่ะถึงได้ตกใจจนทำกุญแจตก
“ฟ้า” พลชนะก้มลงเก็บพวงกุญแจขึ้นมาส่งให้ “พี่ขอคุยด้วยหน่อย”
เขามองหน้าฝ่ายนั้นก่อนรับกุญแจกลับมา ฝืนเกร็งตัว ยืดขาเดินไปไขห้อง “เข้ามาก่อนสิครับ”
วางกระเป๋าลงบนโต๊ะใกล้ประตูแล้วค่อยเดินไปเปิดตู้เย็น รินน้ำเทใส่แก้วและยื่นให้ชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาเงียบๆ “พี่พลมารอผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่โทรมาก่อนล่ะ ข้างนอกนั่นยุงเยอะจะตาย”
ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร นอกจากรับแก้วน้ำเขาไปจิบนิดหนึ่งแล้ววาง
ขอบฟ้าเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียง แม้ภายนอกจะไม่แสดงทีท่าอะไร แต่ในใจเขากลับแทบจะจุดพลุฉลองกันเลยทีเดียว
เขารอให้อีกฝ่ายเริ่มพูด หากจนแล้วจนรอด พลชนะกลับเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดสลัวกับฝนที่ขาดเม็ดไปแล้วทำให้บรรยากาศยิ่งอึมครึม หนักหน่วงจนหายใจแทบไม่ออก เพราะความเงียบนี้เอง ขอบฟ้าจึงเริ่มกระสับกระส่าย
“เป็นอะไรไปครับ พี่พลยังไม่หายโกรธผมอีกเหรอ ผมขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่พี่” คำขอโทษรอบที่ล้านของเขาถูกเพิกเฉยคล้ายคนฟังจะไม่ได้ยิน พลชนะยังมีสีหน้าเคร่งเครียดจนเขาต้องเอ่ยต่อ “ไหนบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผม ทำไมพี่พลทำตัวแปลกๆ ไม่สบายหรือเปล่าครับ”
ตั้งใจจะยันตัวลุกขึ้นไปแตะหน้าผากฝ่ายนั้นดูว่าตัวร้อนหรือเปล่า ก็พอดีกับที่ชายหนุ่มหันกลับมาจ้องหน้าเขาและถามเสียงแห้ง
“...ขาเป็นแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
++++++++++