ตอนที่5
“ไอ้เหี้ยซังงงงงงงงงงงงงงงงงงง”เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องของเพื่อนซึ่งปิดไฟมืดสนิทจนนึกว่าไม่มีคนอยู่ ผมก็มองเห็นก้อนกลมๆนอนขดอยู่บนเตียง”สามทุ่มกว่าเองมึงจะรีบหลับไปไหนวะ ตื่นๆๆๆๆๆๆ”
“มีอะไร? เอะอะซะใหญ่โต พี่นารายณ์ของมึงเปิดตัวลูกเมียรึไง”เพื่อนเลวงัวเงียขึ้นมา ตาตี่ๆของมันหรี่ลงจนแทบปิดสนิทเพราะเจอแสงเข้า
“เรื่องใหญ่กว่านั้นอีกมึ๊งงงงง”
“อะไรสำคัญกว่าพี่นารายณ์ของมึง? ฮ้าว~”
“เชี่ยครอสมันจีบกู!!”ผมถลาขึ้นเตียงไปเกาะไหล่มันด้วยใบหน้าแตกตื่น ในขณะที่คนฟังตีหน้าเซ็งใส่
“โถ เพื่อน โถวๆๆๆ...เขารู้กันทั้งบางแล้ว มึงพึ่งเชื่อเหรอ?”
“อ๊ากกกกก”ผมลงไปดิ้นกระแด่วๆบนเตียงเป็นกุ้งเต้น ไอ้เจ้าของห้องถึงกับต้องลุกหนีเพราะกลัวโดนลูกหลงเข้า
.
.
เมื่อคืนนี้ผมนอนไม่หลับตาค้างยันตีสามโน่น แถมยังต้องแหกขี้ตาตื่นมาเรียนตอนแปดโมงครึ่งอีก ผมสลึมสลืออาบน้ำแต่งตัวด้วยความเงียบเชียบ ด้วยความรอบคอบก็เลยหอบเสื้อผ้าตัวเองหลายชุดมาฝากเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าของห้องนี้
ช่วงเช้าวันนี้ไม่มีเรียนวิชาคณะนักศึกษาหลายคนเลยเลือกลงวิชาเลือกเพื่อเก็บเกรด ยกเว้นไอ้ตัวขี้เกียจซังซึ่งยังนอนอยู่บนเตียง และวิชาเลือกที่ว่าก็คือ...ศิลปวิจักษ์
“เห้อ...”ผมถอนหายใจขณะทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง เพราะสะดุ้งตื่นขึ้นมาตั้งแต่หกโมงแล้วนอนต่อไม่หลับผมเลยตัดสินใจลากสังขารมาเป็นผีตายซากเฝ้าห้องเรียนตั้งแต่เจ็ดโมง
วิชาเลือกหนึ่งคลาสจะจำกัดคนแค่ห้าสิบคนเท่านั้นห้องที่ใช้สอนกันเลยไม่ใช่เลคเชอร์รูมจุคนได้หลายร้อยเหมือนตอนเรียกวิชาหลัก ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆมีกระดานไวท์บอร์ดกับโต๊ะอาจารย์ตั้งอยู่หน้าห้อง ตัวผมซึ่งเลือกที่นั่งหลักสุดริมกำแพงได้แต่จิ้มมือถือแก้เบื่อไปเรื่อยๆ จนแปดโมงถึงเริ่มมีคนทยอยมา
ซึ่งผมคิดว่าอยู่คนเดียวซะยังจะดีกว่า...
ไอ้ซังมันทรยศผมครับ ตอนแรกก็ตกลงกันดิบดีว่าจะลงวิชานี้แต่ทำไปทำมันมันดันถอนตั้งแต่เปิดเทอมวันแรกเพราะขี้เกียจตื่นเช้า ทำให้ผมต้องเรียนคนเดียว...ท่ามกลางคนส่วนใหญ่ที่มากับกลุ่มเพื่อน
โต๊ะข้างหน้าผมเป็นกลุ่มสาววิทยา ชอบมาเม้าท์เรื่องผู้ชายให้ฟังบ่อยๆ ส่วนมุมห้องอีกฝั่งเป็นกลุ่มผู้ชายกลุ่มใหญ่ไม่รู้มีคณะอะไรบ้างแต่แม่งดูเถื่อนและสนิทกันจนผมไม่กล้าแทรก
เพราะมัวแต่เขินสุดท้ายพวกที่มาคนเดียวเหมือนกันก็จับกลุ่มกันไปหมด
“โฮยยยย...อยากถอนจัง...”
ผมหยิบชีทกับกล่องดินสอขึ้นมาเตรียมไว้ ปากกาสีที่ซื้อเมื่อวานถูกหยิบออกมาเขียนเล่นบนชีทด้วยความเห่อ
“อ๊ะ สีฟ้านี่สวยจัง”เรื่องมันเหงาจนต้องนั่งพูดคนเดียว น้องเพลินผู้โดดเดี่ยวเริ่มวาดรูปเล่นบนยางลบผู้เคราะห์ร้าย ผมมองหน้ากลมๆมีตาจุดปาดรูปตัววีบนยางลบอย่างภูมิใจ น่ารักชะมัดใครวาดเนี่ย เขียนชื่อตัวเองลงไปก็เป็นอันเสร็จ ผลงานของศิลปินถูกเซ็นต์ชื่อแล้วเรียบร้อย
“ปัญญาอ่อนว่ะกู”
ผมบ่นไปก็ไม่มีใครได้ยินหรอก เพราะที่ข้างๆผมไม่มีคนนั่ง! สังคมรังเกียจอะไรผมโดยไม่รู้ตัวรึป่าว ผมไม่ได้เอากระเป๋าหรือของวางกันใครไว้เลยนะ แง่งงงง
“นี่เธอๆ ดูนี่สิ รูปงานเมื่อวานที่เขาไปเลี้ยงกันไง ดูพี่นารายณ์สิ ขนาดโดนถ่ายตอนเผลอยังหล่อเลย”
สาวๆหน้าผมมาแล้วครับ
ผมหูผึ่งทันทีที่มีคนพูดถึงชื่อรุ่นพี่ที่รัก โฮ่ยๆ ถือเอาประเด็นนี้เป็นเรื่องชวนเพื่อนใหม่คุยดีไหม แบบ...เราก็ว่าพี่เขาหล่อเหมือนกัน นี่ปลื้มมานานแล้วเนี่ย เมื่อวานนี้เจอกันได้ไลน์มาด้วย ฟิ๊นนนฟิน
ถุย
“แก...นี่พี่พีชรองเดือนปีสาม”
“โอ๊ย ขาววิ๊งมากเลย ไหนๆเลื่อนหารูปครอสซิ๊ อ๊ะ”หนึ่งในนั้นหันกลับมาเห็นผมซึ่งตีหน้านิ่งเสตามองพื้นมองเพดาน เธอคงเขินที่ผมไปได้ยินบทสนทนาประสาสาวๆของเธอเข้าหลังจากนั้นประเด็นที่คุยกันเลยเปลี่ยนเป็นพวกเครื่องสำอางค์หรือแหล่งช็อปปิ้งแทน
ผมหน้าตาไม่เป็นมิตรขนาดนั้นเลยเรอะ!?
คุยต่อสิเรื่องผู้ชายอ่ะ เราชอบ
“ว๊าย ดูโน่นสิ!”
ตอนนี้ก็แปดโมงกว่าใกล้ได้เวลาเข้าเรียนคนจึงมากันเกือบครบทำให้เสียงฮือฮาที่อุทานออกมาจากปากของแต่ละคนเพียงเบาๆผสานรวมกันจนเรียกความสนใจจากผมได้ ผมเงยหน้าขึ้นไปก็ต้องอ้าปากค้าง
ครอส!
ร่างสูงเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาที่ฉายแววอ่านยากกวาดมองไปรอบห้อง ผมหยิบชีทขึ้นมาปิดหน้าตัวเองด้วยความตกใจ
มันยังมาเรียนอีกเหรอ!? มันไม่ได้โกรธหรือถอดใจจากผมเพราะถูกปฏิเสธเมื่อวานเหรอ!? หรือว่าผมกับซังจะมโนไปเองว่ามันจีบทั้งที่ไม่มีอะไรในกอไผ่
เห้ย!? ไม่รู้เว้ย กูหลบไว้ก่อน
“เหี้ยครอสหล่อแย่งซีนกูแต่เช้าเลยนะ”กลุ่มเด็กผู้ชายข้างผมทักขึ้น”มึงมาไงวะ ลงวิชานี้อ่อ”
“เออ เพิ่งลงเมื่อวาน”ครอสตอบ โชคดีที่มันเลือกนั่งแถวถัดขึ้นไปจากผมแถวนึงและอยู่ชิดกำแพงอีกฝั่ง มันคงไม่เห็นผมเพราะไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไรเลย...มั้ง ไม่รู้ล่ะ มันไม่ทักแสดงว่าไม่เห็น
“แก๊~ครอสลงวิชานี้ เดือนมหาลัยลงเรียนวิชาเดียวกับเรา!”
แม่คุณหน้าผมร้องเสียงหลงเลย ดูฟินจนอยากจะกรี๊ด
“อ๊ายยย ฉันเห็นๆ แกๆ ย้ายที่มะๆ”
“แต่ตรงนั้นเด็กสาธานั่งนะ”
“โอ๊ย ของอย่างงี้ใครมาก่อนได้ก่อน ป่ะ ใกล้ขึ้นกว่าเดิมสองช่วงโต๊ะก็ยังดีแก”
ว่าแล้วแก๊งค์สาวๆก็รีบเก็บของเตรียมย้ายที่ แต่พวกเธอคงรีบมากไปหน่อยเก็บกันแรงจนชนโต๊ะผมสั่นเลย ไม่มีหันมาขอโทษสักคำ ยางลบน้อยของผมตกพื้นแล้วเนี่ย ชิส์
“อะ...”พอจะก้มลงไปเก็บปลายรองเท้าคัทชูของสาววิทยาก็เตะก้อนโพลิเมอร์สีขาวกระเด็น
เสล่อมากอียางลบ ห้องตั้งกว้างทำไมต้องกระเด็นไปทางครอส!?
ปกติเห็นเรียบร้อยดีพอเติมหน้าให้หน่อยก็ออกลายเชียวนะ กลับมาเดี๋ยวนี้เลย! เห็นหล่อหน่อยก็กระเด็นไปหาเชียว กลิ้งกลับมาเองเลยด้วยไม่ไปเก็บหรอกนะ
“ของใครน่ะ?”
ฮือออ...วินาทีที่เชี่ยครอสก้มลงมองปลายเท้าตัวเองผมก็เป็นบ้าพูดกับยางลบในใจ มันหยิบขึ้นมาแบบงงๆ ถามคนแถวนั้นว่าของใครแต่ทุกคนก็ส่ายหัวไปมา แหงแหละของตรูนี่หว่า
ผมทนมองไม่ได้เลยก้มหน้าติดโต๊ะ
ก๊อกๆ
มีคนมาเคาะโต๊ะผม ไม่ต้องเงยหน้ามองก็พอจะรู้ว่าใคร
“ของเพลินใช่ไหม มันมีชื่อเขียนไว้”
ถ้าเป็นคนอื่นผมคงโดนล้อว่าเหมือนเด็กประถมไปแล้ว แต่นี่เป็นเชี่ยครอสไง ผมเชื่อว่าต้องเจออะไรที่เหนือกว่านั้นแน่ๆ
“อ่า...อืม”ผมเงยหน้าแดงๆขึ้นมารับคำ ทว่าสิ่งที่ผมคิดไว้ก็ผิด ครอสเพียงแค่ยิ้ม วางยางลบไว้บนโต๊ะและเดินจากไป
“!!”
บอกตรงๆว่าใจหาย
ผมมองก้อนยางลบบนโต๊ะสลับกับร่างสูงซึ่งเดินจากไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างสับสน
หากมันจีบผมจริงและผมไม่ได้ชอบมันผลออกมาแบบนี้คือถูกแล้วใช่ไหม แต่ถ้ามันโดนผมหักอกเมื่อวานจริงมันก็ไม่น่ามาลงวิชาที่รู้อยู่แก่ใจว่าผมก็ลงสิ? แสดงว่ามันไม่ได้จีบผมเหรอ เอ๊ะ ถ้างั้นมันจะหมางเมินผมเพื่ออะไร?
หรือจะโกรธที่เมื่อวานผมปิดประตูใส่หน้า...
ต้องง้อป่ะเนี่ย
ถามซังแป๊ป
ผมตั้งใจจะถามเพื่อนเรื่องนี้จริงๆแต่ก็หมดโอกาสเมื่ออาจารย์สาวคนสวยผู้กะด้วยสายตาแล้วอายุไม่น่าเกินเลขสองเดินเข้ามาในห้องตรงเวลาเป๊ะ
“เก็บเครื่องมือสื่อสารแล้วตั้งใจเรียนนะคะนักศึกษา วันนี้ช่วงท้ายคาบที่หนึ่งจะมีงานให้ทำนะคะ”
พูดขนาดนี้ละใครจะไปกล้ายิ่งด้านหน้าผมตอนนี้ไม่มีคนนั่งซะด้วย...เอาไว้แชทถามซังตอนเขาแจกงานก็ได้
ภาพไสลด์กับเสียงอาจารย์วันนี้น่าเบื่อกว่าอาทิตย์ที่แล้วมาก ทั้งๆที่เพิ่งเริ่มเรียนได้ไม่นานประชากรในห้องเกือบหนึ่งในสิบก็ล้มหายตายจากไปเสียแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชายหลังห้อง ไอ้ครอสไม่ได้หลับแต่มันเอาการบ้านวิชาอื่นขึ้นมาทำ มองเห็นไม่ชัดเท่าไหร่แต่ดูจากตัวอักษรคงเป็นภาษาญี่ปุ่น ก็มันเรียนเอกนี้นี่เนอะ ชีทไม่หนาเท่าไหร่แต่มีตัวขยุกขยิกยาวเป็นพรืด คงเป็นการบ้านที่ให้แปลถอดความแต่มันเล่นแปลโดยไม่มีเปิดดิคซักแอะ มีวางมือมาเลคเชอร์วิชานี้บ้างพอหอมปากหอมคอ
ทำไมผมรู้การกระทำมันทุกช็อตเลยวะ
ผมแอบมองมันเหรอ
เออ...กูแอบมองมัน ไม่เห็นแปลก สาววิทยากลุ่มนั้นก็แอบมองมัน เห็นไหมใครๆก็แอบมองมัน
ถุยครับ ผมว่าผมชักอาการหนักละ
พอๆ ฮึบๆ ตั้งใจเรียนอย่าวอกแว่ก
“งั้นพักห้านาทีนะคะ ระหว่างนี้ให้จับกลุ่ม2-3คนแล้วตอบคำถามที่ฉายในไสลด์ส่งท้ายคาบนะคะ”
ชะอ้าว...เจ๊แกรวบเอกสารบนโต๊ะเสร็จแล้วก็เดินออกไปไหนไม่รู้ สงสัยปวกฉี่ถึงได้รีบตัดจบคาบแรกเร็วขนาดนี้
“ไปเยี่ยวมะ”
“ไม่อ่ะ ขี้เกียจ”
เพื่อนไอ้ครอสแม่งไม่ได้หลับแหงเลย มีอย่างที่ไหนตื่นมาได้ตรงเวลาพักเป๊ะขนาดนั้นเมื่อกี้แค่นอนซบแขนเฉยๆใช่มั้ย
ตอบบบบ
มีหลายคนควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายภาพโจทย์เอาไว้ บางคนก็หยิบกระดาษออกมาเขียนเลย
และบางคนก็เริ่มจับกลุ่มกัน...
ความฉิบหายมาเยือนอีกละไง
ผมนี่ตาเหลือกเลยตอนอาจารย์สั่งว่าให้ทำงานเป็นกลุ่ม ปัญหานี้มันร้ายแรงมากเพราะข้างๆและข้างหน้าผมไม่มีคนนั่งอยู่สักที่ ส่วนข้างหลังแม่งก็กำแพง ส่วนใหญ่เขาก็มีเพื่อนของเขาครบคู่อยู่แล้วด้วย
เง้อ~
“อ่า...เอ่อ ขอโทษนะ ขาดคนรึป่าว ขออยู่ด้วยได้ไหม”เรื่องไรจะทำคนเดียวให้อาจารย์รู้ว่าไม่มีคนคบกันล่ะ ผมบากหน้าบางๆเดินไปถามโต๊ะข้างหน้าที่มีกันอยู่หกคน
ทั้งหกคนเงยหน้าขึ้นมามองผมแบบงงๆ ประมาณว่าไอ้นี่มาจากไหน
ผมมองกระดาษสามแผ่นบนโต๊ะซึ่งมีชื่อของคนสองคนเขียนเอาไว้ในแต่ละแผ่นด้วยความหวังนิดๆ เขาให้อยู่ด้วยกันสามคนได้อย่างน้อยก็คงมีสักคู่รับผมเข้าไป
“โทษที ครบคู่แล้ว”
“อะ..เหรอ”
หน้าชาเลยกู โดนสังคมรังเกียจแบบไม่รู้ตัว ผมไปทำอะไรไม่ดีเอาไว้รึป่าว ซันนี่ก็ทีนึงแล้ว?
เคยเป็นไหม อยู่คนเดียวท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่ด้วยกัน มันรู้สึกกดดันเหมือนตัวเองดูด้อยลงทั้งๆที่ไม่มีใครในห้องหันมาหรือรับรู้ความรู้สึกของผมตอนนี้เลยแท้ๆ แต่มันก็ยัง...น่าอาย
ทำคนเดียวก็ทำคนเดียว ไม่ง้อหรอก (T3T)
ผมเดินคอตกกลับมานั่งที่ ค้นกระเป๋าหากระดาษรายงานกะว่าจะทำคนเดียวทว่า...
ลืมเอากระดาษรายงานมา
โฮ่ยยยย ต้องเดินไปขอกระดาษชาวบ้านหลังจากเจอแบบนี้เข้าไปมันก็สะเทือนใจเป็นนะ ผมพยามมองหาคนกลุ่มอื่นที่หน้าตาเป็นมิตร นี่ขนาดเมื่อกี้เดินไปขอผู้หญิงนะยังโดนเฉดหัวกระเด็นเลย ถ้าไปขอผู้ชายจะโดนอะไรวะ
“เอาล่ะค่ะนักศึกษานั่งที่ให้เรียบร้อย ได้เวลาเรียนต่อแล้ว”
เห้ยยยยย ยังไม่ครบห้านาทีเลยเจ๊! รอก่อนอย่าเพิ่งเปลี่ยนไสลด์ ผมยังไม่ได้จดโจทย์ไว้เลย
ฮืออออ เหี้ยซัง กูเข้าใจแล้วว่าโลกใบนี้ที่ไม่มีมึงอยู่มันโหดร้ายขนาดไหน
ผมซบหน้าลงกับโต๊ะเย็นๆอย่างหมดแรง อาจารย์เริ่มสอนแล้ว มีหลายคนยังนั่งคุยเพื่อปรึกษางานกันอยู่ ส่วนผมตัดใจไปเรียบร้อย ไม่ส่งงานสักคาบคงไม่ตาย ผมโคตรขี้ขลาดเลยว่ะ หนีความจริงด้วยการซุกหน้ากับโต๊ะอยู่นานมาก นานจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว
นานจนได้ยินเสียงห้าวๆของผู้ชายที่จำได้ว่านั่งอยู่อีกฝั่งของมุมห้องพูดขึ้นว่า
“เชี่ยครอส มึงจะไปไหน”
เพราะห้องมันเงียบ แค่พูดเบาๆแถมอยู่ใกล้แค่นี้ผมเลยได้ยินทุกอย่าง ได้ยินกระทั่งเสียงเลื่อนเก้าอี้เหมือนมีคนมานั่งข้างๆ
“เงยหน้าได้แล้ว มาหาแล้ว”
“( ‘ ‘)”
“มึงนี่น้า”ผู้ชายที่ย้ายมานั่งข้างๆผมยกมือเกาหัวแกรก ตีหน้าเหมือนกำลังลำบากใจผสมกับอ่อนใจปนๆกันอยู่
“ครอส...”
“อย่าพูดเสียงอ่อยงี้ดิ แค่นี้ก็ใจอ่อนจะแย่แล้วเนี่ย”
“มึง...มาทำไม?”
“ก็บอกว่ามาหาไง มีคู่ยัง เอากระดาษขึ้นมาสิ”ผมส่ายหน้าหงอยๆไปมา”ส่ายหน้านี่คือไม่มีคู่หรือไม่มีกระดาษ?”ผมพยักหน้าหงึกหงัก ใบ้แดกไปชั่วขณะ”ไม่มีทั้งสองอย่าง?”ครอสถามย้ำอีกครั้งผมเลยรีบพยักหน้ารัวๆ
มือหนาควานหาของในกระเป๋าแต่ก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการจึงหันไปขอกับกลุ่มเพื่อนว่า”กระดาษแผ่นดิ”
“ไอ้เหี้ย ทิ้งกูแล้วยังหน้าด้านมาขอของอีก อ่ะนี่”เพื่อนมันบ่นแต่ก็ฉีกกระดาษส่งมาให้ เชี่ยครอสผู้ไม่เคยสำนึกต่อสิ่งใดยักคิ้วแบบกวนส้นตีนแทนคำขอบคุณ
คีตนันต์ ธัชศฤงคารกูล xx17007 ลายมือไก่เขี่ยบนกระดาษที่มันเพิ่งเขียนเสร็จอ่านได้ว่าอย่างนั้น ชื่อมันเหรอ โหย รหัสนักศึกษา 007 โคตรเจ๋งอ่ะ ผมองกระดาษดังกล่าวถูกเลื่อมาตรงหน้าตาปริบๆ
“ทำงง เขียนชื่อดิ”
“มึงจะคู่กับกูเหรอ”ผมดีใจแบบไม่เก็บอาการเลย ก็มัน...ดีใจนี่หว่า!”แล้วเพื่อนมึงอ่ะ”
“ไม่ใช่เพื่อนซะทีเดียว เพิ่งรู้จักกันเมื่อกี้เอง เพลินมาก่อนตั้งนานเพลินต้องสำคัญกว่าดิ”เพิ่งรู้จักกันจริงเหรอ แล้วที่ทักกันแบบสนิทสนมตอนเดินเข้ามาในห้องกับตอนรวมกลุ่มสุมหัวกันคุยตอนพักนั่นคือเพิ่งรู้จักกันเหรอ!? ทำไมสกิลการเข้าสังคมของผมกับมันถึงได้ห่างกันราวฟ้ากับดินขนาดนี้!?
“หง่า...”ผมเขียนชื่อตัวเองลงไปบ้าง รู้สึกซาบซึ้งมันที่อุตส่าห์ใส่ใจกัน
“ลายมือน่ารักว่ะ ปาริฉัตรแปลว่าไรเหรอ”
“ต้นไม้สวรรค์ในสวนพระอินทร์”
“อลังการวุ้ย”
ผมคิดว่าชื่อมันก็เพราะนะแต่ไม่ชมหรอกเดี๋ยวเหลิง พอผมเขียนชื่อเสร็จก็เงยหน้าสบตามันตาแป๋ว เชี่ยครอสก็เหมือนอ่านใจผมออก มันหันไปยืมกระดาษรายงานของเพื่อนที่มีแต่โจทย์ยังไม่เขียนคำตอบสักกะตัวเชิงว่าให้ผมลอกโจทย์ซะ อาจารย์คนสวยหน้าห้องก็สอนต่อไปโดยไม่ค่อยมีคนสนใจฟังนัก
“ตอบไรวะ”ผมผู้ไม่ได้เรียนสักแอะหันไปถามหันที่เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง ไอ้คนที่ทำการบ้านในคาบเรียนขมวดคิ้วพลิกชีทที่อาจารย์เพิ่งแจกต้นคาบไปมา สีหน้าใช้สมาธิ มือควงปากกา มันอ่านอยู่สักพักก็ดึงไปเขียนคำตอบสองบรรทัดและวางปากกา
“สั้นไปป่ะ”แอบเห็นกระดาษคำตอบของกลุ่มที่เฉดหัวผมออกมาเขียนซะค่อนหน้า
“ไม่ทำก็อย่าบ่นครับเพลิน”
“ชิ๊...”ผมแกล้งสะบัดหน้าไม่พอใจครอสเลยหัวเราะพลางส่ายหน้าไปมาเหมือนเอ็นดูลูกหมา
แม้ว่าจะมีคนมานั่งด้วยให้หายเหงาแล้วผมก็ยังไม่สนใจเรียนเหมือนเดิม คนข้างๆผมก็สนใจแต่การบ้านของมัน เราสองคนนั่งอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้พูดอะไรกัน แต่น่าแปลกตรงที่โคตรใจชื้นเลย
“วันนี้อาจารย์ขอหยุดเนื้อหาไว้เท่านี้ อ๊ะๆ แหม รีบเก็บของกันเชียวนะ เหลือเวลีกตั้งยี่สิบนาทีแหนะอาจารย์ยังไม่ปล่อยนะคะ”ตอนแรกผมเกือบเฮแล้วแต่โดนเจ๊แกขัดไว้ก่อน”อาจารย์จะขอสุ่มคนออกมาตอบโจทย์ที่ให้ไปให้ฟังนะคะ เอ...”
อาจารย์คนสวยพลิกกระดาษรายชื่อบนโต๊ะไปมาเหมือนกำลังหาชื่อคนที่ถูกใจอยู่
“แย่ละมึง ถ้าถูกเรียกจะทำไงวะ”ผมหันไปกระซิบถามไอ้คนสบายใจทำการบ้านไม่เลิก
“ไม่โดนหรอก”ครอสตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ จะว่าไปก็จริง มีคนตั้งเยอะถ้าโดนก็โคตรซวยเลย
“อุ๊ย รหัสนักศึกษาสวยจังเอาคนนี้แหละ คีตนันต์ 007 ค่ะ”
ชัดเลย!
ผมอยากจะยกตีนก่ายหน้าผาก คนถูกเรียกถึงกับสะดุ้งเพราะไม่คิดว่ารหัสเกร๋ๆของตัวเองจะพาซวย
“อยู่ไหมคะ แสดงตัวหน่อยเร็ว”
เจ๊หน้าห้องแกเร่งแล้วไอ้ครอสเลยรีบยกมือ”อยู่ครับๆๆๆ”พริบตาที่ได้ยินเสียงมันคนทั้งห้องก็หันหลังมามองพรึบพรับ เด่นได้อีก เด่นจนชักอายละ ครอสลุกขึ้นเดินออกไปหน้าชั้นพอเห็นว่าผมยังนั่งเซ่ออยู่ก็หันมากวักมือเรียกหยอยๆ พอเห็นผมเท่านั้นแหละคนแม่งหันไปกระซิบกันใหญ่เลย
“ตายแล้ว หล่อทั้งคู่เลยลูก อาจารย์สุ่มเลขโดนจริงๆสงสัยวันนี้มือขึ้น สาวๆอมยิ้มกันใหญ่เลยฟินล่ะสิ อ่ะ งั้นขอสัมภาษณ์หน่อยละกัน”โถ...มีอาจารย์อายุน้อยก็ดีตรงเป็นกันเองกับนักศึกษา แต่เสียตรงความเป็นกันเองอีกนั่นแหละ ผมเดินเป๋มาถึงหน้าห้อง ยัดไมค์ใส่มือไอ้ครอสแทนคำสั่งว่ามึงเป็นคนพูดนะ
“พวกเราเป็นเดือนหรือเป็นหลีดรึป่าวคะ”
“เป็นเดือนมหาลัยค๊า~ ส่วนคนนั้นได้ป๊อปปูล่าโหวต”เสียนแหลมขนาดนี้ไม่มีทางเป็นเสียงผมกับครอสหรอก มีตุ๊ดคนนึงช่วยตอบแทนให้เรา
“โอ้ววว มิน่าๆ อย่างงี้เซคเราก็คงคึกครื้นกันน่าดู โอเคค่ะเข้าเรื่องๆ ขอดูคำตอบของเดือนมหาลัยหน่อยแล้วกัน”
“เอิ่ม...ก็ศิลปะตะวันออก เป็นศิลปะที่มีลักษณะเด่นชัดในเรื่องของเอกลักษณ์ จากความคิดที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงของคนในชาติ นอกจากนั้นศิลปะยังแบ่งออกตามฐานะของบุคคล ไม่ได้ยึดถือเอาความจริงตามธรรมชาติเป็นหลักจนเกินไป”
“ค่ะ...พูดต่อสิคะ”
พอครอสหยุดพูดอาจารย์เลยบอกให้พูดต่อ โอ๊ย อับอาย เชี่ยครอสไปเอาความมั่นหน้านี่มาจากไหน แบ่งให้กูบ้าง
“หมดแล้วครับ”
อาจารย์กับเพื่อนในห้องถึงกับเงิบไปเลย
“ฮึ่ม...เดือนมหาลัยจ๊ะ อาจารย์ขอบอกตรงๆนะว่าเวลาที่เราใช้เดินออกมายังนานกว่าเวลาที่นำเสนอเลย”คำแซวนั้นเรียกเสียงฮาครืน แม้แต่ผมยังหลุดหัวเราะเลย”อ่ะๆ กลับที่ได้แล้วจ่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอเรียกคู่ต่อไปเลยแล้วกัน...”
“เฮ้ออออ...”ผมทรุดตัวลงกับเก้าอี้อย่างหมดแรงข้าวต้ม ยังไม่สิบเอ็ดโมงเลยแต่ผมชักหิวแล้ว
จากนั้นก็มีหลายคู่โดนสุ่มเรียกออกไปหน้าห้อง กลุ่มที่เฉดหัวส่งผมถูกเรียกด้วย สมน้ำหน้าที่เขียนเยอะเลยต้องพูดนาน”จะว่าไปก็ดีนะ เขียนสั้นๆพูดน้อยดี”
“ใช่ไหมล่ะ”ครอสทำหน้าภาคภูมิใจเหมือนว่ามันวางแผนเอาไว้แบบนี้แต่แรกผมเลยเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้
ตอนนี้ก็ใกล้หมดเวลาแล้ว”เดี๋ยวมึงเรียนไรต่อ”
“ไม่มีแล้ว เพลินล่ะ”โห ชีวิตว่างดีนะ
“มีแลปเคมีตอนบ่าย”
“งั้นจบวิชานี้ก็ว่างสองคาบเลยดิ จะไปอยู่ไหนเหรอ”
“ก็คงห้องสมุด”
“ให้อยู่เป็นเพื่อนไหม”คำถามนั้นกระตุกหัวใขของผม ทำไมแม่งใส่ใจกันขนาดนี้วะ ผมเสหลบตามันอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไอ้ซังก็มาแล้ว กูต้องลอกแพลนแลปของมันอีก”ผมตอบ”ว่าแต่เรื่องเมื่อวาน...”
“...”ครอสวางปากกา มันตั้งใจฟังเหมือนอยากรู้ว่าผมจะพูดอะไร ผมเลยสูดหายใจเข้าเต็มปอดไล่ก้อนปริศนาที่แล่นขึ้นมาคับอก
“กูขอโทษนะ”ในที่สุดผมก็รวบรวมเสียงพูดออกไปจนได้
“เรื่องอะไรล่ะ”
“ก็...”เรื่องที่ไม่บอกลา? เรื่องที่ไม่ขอบคุณ? หรือเรื่องที่ไม่ให้เบอร์? ไม่ว่าเรื่องไหนก็แลดูเล็กน้อยเกินกว่าจะมานั่งขอโทษขอโพยด้วยสีหน้าจริงจังขนาดนี้ทั้งนั้น ผมกำมือตัวเองแน่น
ถ้ามันไม่ได้ชอบผมเรื่องแค่นี้คงไม่เก็บมาใส่ใจ แต่ถ้ามันชอบผม ผมก็ไม่ควรเก็บเรื่องของมันมาใส่ใจเหมือนให้ความหวังแบบนี้
“มึงแม่ง...กำกวม กูไม่รู้จะวางตัวยังไงถูกแล้วเนี่ย”ผมถอนหายใจพรืดใหญ่ โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่ามือเจ้ากรรมเลื่อนไปหยิบดินสอออกมาและบรรจงเขียนบางสิ่งใส่ชีทภาษาญี่ปุ่นของคนข้างตัว
08163998…
ผมหยุดกึกทันทีที่เรียกสติได้ ผมตกใจแต่ครอสตกใจยิ่งกว่า มันเบิกตากว้างมองเบอร์โทรศัพท์ที่ขาดไปสองตัวบนชีทของมันแบบอึ้งๆ
นัยน์ตาสีเข้มของมันฉายแววอ่อนลง
“กูออกจะชัดเจน มีแต่มึงนั่นแหละที่กำกวม” “!!”
" " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " "
เจ้าตัวเขาบอกว่าตัวเองออกจะชัดเจนนะ คนอ่านเชื่อกันมั้ย 5555
ปล.เรื่องนี้มีตัวละครที่โผล่มาเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่อง 3คนนะคะ
บอสด่านแรก : พี่นารายณ์ บอสคนนี้มาแบบเบาๆค่ะ ปรากฏตัวมาเพื่อให้น้องเพลินเก็บเวล(?) 