(ต่อค่ะ)
RACHA’s part
คำพูดนั่นทำให้ผมที่นั่งฟังอยู่ถึงกับทนไม่ไหวคว้าตัวของข้าวจ้าวมากอดไว้อีกครั้งหนึ่งด้วยความสับสนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าใครที่ได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มจางๆและหยาดน้ำตาที่ไหลรินเมื่อพูดประโยคเหล่านั้นออกมาก็คงจะคิดเหมือนกับผมในตอนนี้...
ไม่อยากให้ใครได้เห็นใบหน้าแบบนั้นของข้าวจ้าว
อยากเป็นเจ้าของรอยยิ้มที่ดูมีความสุขนั่น
“ข้าวจ้าว...”ผมเรียกชื่อของคนในอ้อมกอดที่ครั้งนี้ไม่ผลักไสแต่กลับกำเสื้อที่ผมใส่อยู่แน่นราวกับจะไม่ให้ความฝันนั้นมันหายไปต่อหน้า
ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรักผมมากแค่ไหน
ไม่รู้ว่ารักมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
ที่ผมรู้มีเพียง...เขารักผมมากเหลือเกินแถมยังเป็นรักที่ไม่ต้องการให้รักตอบด้วย เพียงแค่ได้มองหรืออยู่เคียงข้างเขาก็พอใจแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่รับรู้ถึงความรู้สึกรักจากใครสักคนมากขนาดนี้
ไม่รู้ว่าทุกครั้งที่ข้าวจ้าวอยู่ใกล้ผมจะรู้สึกยังไง...อึดอัด...อดกลั้น...พยายาม...หรือเจ็บปวด
อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อคนที่อยู่ในอ้อมกอดนี้ได้บ้าง...
แม้เพียงสักนิดก็ยังดี...
มีคำพูดหนึ่งที่คิดได้และอยากบอกออกไป...
บอกเพื่อย้ำให้อีกฝ่ายมั่นใจ...
“มันไม่ใช่ความฝันข้าวจ้าว”ผมก้มหน้าลงกระซิบเบาๆที่ใบหูของคนในอ้อมกอด
“...”
“ต่อให้คุณจะหลับและตื่นอีกสักกี่ครั้ง...สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันคือความจริง”ผมบอกคนในอ้อมกอดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังแล้วทำบางสิ่งที่พึ่งเคยทำเป็นครั้งแรกในชีวิต
นั่นก็คือ...
การจูบเบาๆที่เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของข้าวจ้าวอย่างอ่อนโยน
อ่อนโยนมากจนตัวเองยังรู้สึกได้
ผมไม่เคยทำแบบนี้กับใครและก็ไม่อยากทำแบบนี้กับใครด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้คิดแต่ร่างกายกลับขยับไปเองพอรู้สึกตัวมันก็เป็นอย่างที่เห็นไปแล้ว...แทนที่ผมจะผละออกแต่กลับกดย้ำสัมผัสนั้นที่เส้นผมนุ่มสลวยที่ยังเปียกชื้นอยู่อีกครั้ง
“...ระ...ราชา”เสียงนุ่มที่เรียกชื่อผมอย่างสั่นๆพร้อมสัมผัสของเสื้อที่ถูกอีกฝ่ายกำไว้จนแน่น
เขาคงจะอาย
ไม่ใช่แค่ข้าวจ้าวหรอกที่อาย...คนที่เป็นฝ่ายทำก็อายไม่ต่างกันหรอก
“ข้าวจ้าว...”
ยิ่งอยู่ใกล้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกไม่พอ...
ยิ่งอยู่ห่างมากเท่าไหร่กลับยิ่งคิดถึง…
ผมไม่ได้รู้สึกโกรธที่ได้ของจากคนไม่รู้จัก...
ไม่ได้รู้สึกแย่กับคำว่าชอบที่ข้าวจ้าวบอก…
และไม่ได้รู้สึกลำบากใจเมื่ออยู่ใกล้ๆ
ตรงกันข้าม...
รู้สึกดีที่เจ้าของรูปภาพพวกนั้นคือข้าวจ้าว
รู้สึกดีที่ได้เห็บรอยยิ้มกับใบหน้าแดงๆเมื่อถูกแหย่
รู้สึกดีที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน
ความรู้สึกแบบนี้...มันคืออะไรกัน?
จะบอกว่ามันคือ...รักงั้นเหรอ?
ผมไม่รู้เพราะไม่เคยรักใครมากก่อน
ถ้าถามว่าชอบข้าวจ้าวไหม?
ก็ตอบได้อย่างไม่ต้องคิดเลยว่าชอบ...
ชอบมากด้วย
คำว่าชอบที่มอบให้ข้าวจ้าวนั้นต่างกับที่มอบให้กับเหล่ามิตรสหายที่เรียนมาด้วยกันอย่างสิ้นเชิง
จะบอกว่าพิเศษก็ไม่ผิด
แต่จะมั่นใจได้ยังไงว่ามันคือรัก
ไม่อยากให้ข้าวจ้าวต้องเจ็บเพราะความรู้สึกครึ่งๆกลางๆของตัวเอง
“...ราชา...ขอบคุณ...ขอบคุณ”คำพูเดิมๆถูกพูดซ้ำหลายต่อหลายรอบโดยที่เจ้าของคำพูดขยับตัวเข้าหาผมมากขึ้น...ข้าวจ้าวที่เป็นคนขี้อายกลับเข้าหาผมเอง
แบบนี้จะไม่ให้ดีใจได้ยังไงกัน
“...ข้าวจ้าว...ผมอยากได้ยินคำคำหนึ่งจากคุณ”หลังจากที่เงียบอยู่นานผมก็ตัดสินใจบอกอีกฝ่ายไปตามตรงพร้อมกับค่อยๆคลายอ้อมกอดนั้นออกด้วยความรู้สึกแปลกเหมือนไม่อยากปล่อยให้คนในอ้อมกอดออกไปตอนนี้
“...อะไรเหรอ?”ดวงตาสีเขียวปนเทามองผ่านเลนส์แว่นที่ขึ้นเป็นไอด้วยความร้อนจากน้ำตาที่ไหลลงมา นั่นทำให้ผมเอื้อมมือไปถอดแว่นสายตาของข้าวจ้าวออกมาแล้วเช็ดฝ้านั่นออกให้
“ราชาไม่ต้องทำก็ได้...ผมทำเอง”เสียงของข้าวจ้าวดังขึ้นก่อนแว่นที่อยู่ในมือผมจะถูกมือขาวนั่นคว้ากลับไปเช็ดเองอย่างรวดเร็ว
ผมที่ถูกอีกฝ่ายคว้าแว่นไปก็เปลี่ยนไปมองใบหน้าขาวที่ปราศจากแว่นด้วยความเผลอไผล...ใบหน้าที่ไม่มีแว่นปกปิดทำให้อีกฝ่ายดูดีขึ้นเป็นกอง...ดวงตาสีสวยแปลกตาเด่นขึ้นมาในทันทีและเส้นผมสีน้ำตาลซอยระต้นคอนั่นยิ่งทำให้ข้าวจ้าวดูมีเสน่ห์ขึ้นอีกหลายเท่า
ถ้าสาวๆได้มาเห็นคงจะส่งเสียงกรี๊ดเพราะความดูดีนี่ไม่ต่างจากที่เห็นผมแน่นอน
ครั้งแรกที่เห็นใบหน้าที่ไม่มีแว่นก็ตอนที่ไปเกาะทางตอนใต้เพื่อนทำการโปรโมทเกาะเมื่อนานมาแล้ว...ยิ่งเห็นใบหน้านั่นใกล้ๆอีกครั้งก็รู้สึกเหมือนตัวเองทำตัวไม่ถูก
พอข้าวจ้าวสวมแว่นกลับดังเดิมก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมด้วยแววตาสั่นระริกราวกับกำลังต่อสู้กับความเขินอายของตัวเองอยู่...
“เอ่อ...ราชา”
“หื้ม?”
“...จะให้ผมบอกอะไรเหรอ?”คำพูดของข้าวจ้าวทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองมีอย่างหนึ่งที่อยากทดสอบให้แน่ใจนี่นา
“ช่วยบอกว่าคิดยังไงกับผมอีกครั้งได้ไหม?”ผมบอกออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“...อะ...เอ่อ...”ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ผมตรงการแกฝ่ายก็ทำท่ากระอักกระอ่วนพร้อมใบหน้าขาวที่ค่อยๆแดงขึ้นเรื่อยๆ
“ได้ไหม?”ผมถามย้ำอีกครั้ง
อยากให้ตัวเองแน่ใจในความรู้สึกนี้ก่อนจะบอกกับอีกฝ่าย
“...จะดีเหรอ...ความรู้สึกผมมันยังไม่เปลี่ยนนะ”
“ดีสิ”
“...อื้อ”ใบหน้าแดงขยับขึ้นลงเล็กน้อยเป็นการตอบตกลง
“...”นั่นทำให้ผมคลียิ้มออกมาบางๆเมื่อจะได้ยินคำนั้นอีกครั้ง
“...ผม...ชอบราชา”
“แค่ชอบเหรอ?”ตอนนี้ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าต้องการคำพูดแบบไหนออกมาจากปากของคนตรงหน้าแม้จะรู้สึกดีที่ได้ยินคำว่าชอบแต่ในใจกลับอยากฟังอีกคำที่มันมากกว่านี้...
“...ไม่ได้แค่ชอบ”เสียงนุ่มตอบรับเบาๆพร้อมส่ายหัวไปมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“งั้นอะไรล่ะ?”
“...ผมรักราชา”คำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดังขึ้นราวกับเสียงกระซิบแต่น่าแปลกที่ผมกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน
คืนนั้นผมได้ค้างที่ห้องของข้าวจ้าวแต่นอนที่โซฟาเท่านั้น...ถึงตอนแรกอีกฝ่ายจะบอกให้ผมไปนอนเตียงแล้วตัวเองจะนอนโซฟาเองแต่คิดเหรอว่าคนอย่างผมจะยอม...ในเมื่อมารบกวนก็ไม่ควรทำให้เจ้าของบ้านลำบาก
ใจหนึ่งก็อยากนอนเตียงเดียวกันเหมือนอย่างเพื่อนคนอื่นแต่ด้วยความสับสนทำให้ไม่กล้าพูดคำขอนั้นออกไป...สิ่งที่รู้ยังคงเหมือนเดิมคือไม่ว่าจะฟังสักกี่ครั้งคำว่าชอบที่ดังออกมาจากปากข้าวจ้าวก็น่าฟังที่สุด...
ไม่สิ...คำที่น่าฟังมากที่สุดตอนนี้ไม่ใช่ชอบแต่เป็น...
รัก
วันต่อมาผมก็กลับไปทำงานที่บริษัทตามปกติ อีกไม่กี่วันก็ถึงเวลายายไปทำงานที่หอศิลป์ขนาดใหญ่ที่พ่อทุ่มทุนไปหลายพันล้านแล้ว...ทั้งที่อยากจะคุยกับข้าวจ้าวเรื่องนี้แต่เพราะความรู้สึกสับสนนี่เลยยังไม่ได้คุยสักที
การทำงานยังคงผ่านไปเรื่อยๆโดยไม่มีอะไรให้น่าจดจำ ชีวิตวัยทำงานเป็นช่วงที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับผมเพราะนอกจากนั่งเซ็นเอกสารแล้วก็ยังต้องไปเข้าประชุมอีก...หลายวันที่ผ่านไปสร้างความเบื่อหน่ายให้อย่างมากแม้ว่าจะอยากขับรถไปหาข้าวจ้าวมากแค่ไหนก็ไม่มีเหตุผลดีๆที่จะไปหา
ถ้าเข้าใจความรู้สึกของตัวเองเมื่อไหร่ผมจะรีบตรงไปหาอีกฝ่ายทันที
ตอนนี้ผมต้องการเวลาเพื่อคิดทบทวนตัวเองแต่ไม่ว่าจะทบทวนเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกนี้สักที
ครืดดดด~
เสียงสั่นของเครื่องมือสื่อสารดังขึ้นทำให้ผมที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ที่โซฟาภายในห้องนอนลุกขึ้นไปยังโต๊ะที่วางโทรศัพท์ไว้และเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นแทบจะทันที
ไม่อยากรับแต่ก็ต้องรับ
“ครับพ่อ”รับสายเสร็จก็ทักทายปลายสายด้วยเสียงเซงๆ
ไม่รู้ว่าที่โทรมาจะมีเรื่องอะไรอีก
(แกรู้รู้ไหมว่าฉันโทรมาเรื่องอะไร?)เสียงเข้มของชายวัยกลางคนดังมาจากปลายสาย
“ไม่รู้ครับ”คำตอบแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดเลย
(คงไม่ได้ลืมที่สัญญากันไว้หรอกนะ)
“เรื่องไปดูแลหอศิลป์ของพ่อใช่ไหมครับ?”
มันไม่น่าจะมีเรื่องอื่นแล้ว
(เรื่องนั้นฉันพูดจบไปแล้วไม่มีอะไรต้องพูดอีกนอกจากตั้งใจบริหารงานให้ดีก็พอ)
ตั้งใจเหรอ?
แค่ตั้งใจมันคงไม่เพียงพอกับพ่อหรอกมั้ง
ต้องทำให้ได้
นี่สิถึงจะเป็นสิ่งที่พ่ออยากพูด
“ถ้าไม่ใช่เรื่องงานแล้วเรื่องอะไรล่ะครับ?”
(ลืมจริงด้วยสินะ...แกมีเวลาอีกอาทิตย์เดียวในการหาคนรักถ้าไม่ได้เตรียมไปดูตัวกับหนูมุกได้เลย)คำพูดจากปลายสายทำให้คิ้วผมผูกเข้าหากันโดยอัตโนมัติ
ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย
สองเดือนนี่ผ่านไปเร็วจริงๆ
“ผมขอเวลา....”
(ฉันให้แกมามากแล้ว...ในวันศุกร์หน้าถ้าหามาไม่ได้ก็อย่างที่บอกไป)
“ทำไมต้องบังคับผมขนาดนั้นด้วยพ่อ?!...ทำต้องรีบให้ผมมีคนรัก?!...ต่อให้ไปดูตัวอีกสักกี่ครั้งก็ไม่มีทางที่ผมจะถูกใจพวกเธอเหมือนกับขะ...”ทันทีที่ชื่อของบุคคลที่สามกำลังจะถูกเอ่ยขึ้นร่างกายผมก็ชะงักพร้อมกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่พึ่งรู้สึกตัวว่ากำลังจะพูดอะไรออกไป
‘ต่อให้ไปดูตัวอีกสักกี่ครั้งก็ไม่มีทางที่ผมจะถูกใจพวกเธอเหมือนกับข้าวจ้าว’
นั่นคือประโยคที่ผมกำลังจะพูดออกไป
ไม่ถูกใจเท่าข้าวจ้าวเหรอ?
ก็จริงที่ถ้าให้เลือกว่าจะอยู่กับใครระหว่างคู่ดูตัวกับข้าวจ้าว
นั่นคงเป็นอีกคำถามที่ผมไม่ต้องเสียเวลาคิดคำตอบเลยสักนิด
(เหมือนกับอะไรราชา?...ที่เงียบไปแปลว่ามีคนที่ถูกใจสินะ)เสียงของพ่อทำให้สติที่ถูกดึงไปเริ่มกลับมาอีกครั้ง
ลืมไปเลยว่ายังถือสายอยู่
“...เปล่าครับ”จะให้เรียกว่าถูกใจก็ไม่ผิดแต่จะให้บอกพ่อก็ไม่กล้าอีก
(...ฉันไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใครแต่ในเมื่อมีคนที่ถูกใจก็พามาพบฉันด้วย)
“พ่อ...ผมบอกว่าเปล่าไง”
(ฉันไม่โง่ขนาดที่จะแยกคำโกหกกับความจริงไม่ได้ราชา)
“...พ่อ”
(สับสนงั้นสิ)
“...”คำพูดจากปลายสายทำให้ผมถึงกับสะอึก
ทำไมถึงรู้ได้
(มีลูกชายคนเดียวก็เป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ...จะบอกอะไรแกสักอย่างนะราชา...เชิญแกสับสนซะให้พอเถอะ)
“หมายความว่ายังไงพ่อ?”
(แกจะสับสนได้แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ...ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับคนที่รู้สึกสับสนด้วยฉันบอกได้เลยว่าความสับสนนั่นมีจะปลิวหายไปในชั่วพริบตาแล้วความรู้สึกจริงๆจะออกมาเอง)
“พ่อ...”
(อย่าลืมพามาหาฉันด้วยล่ะ)
“...ขอบ...”
ปิ๊บ!
ยังไม่ทันที่จะได้ขอบคุณปลายสายก็รีบวางไปราวกับไม่อยากได้คำขอบคุณจากผมแต่นั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่สักนิด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้คำแนะนำจากผู้เป็นพ่ออย่างจริงจังแบบนี้
“...ข้าวจ้าว”เมื่อวางสายไปได้สักพักผมก็เดินไปยังเตียงก่อนจะล้มตัวลงแล้วยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างใช้ความคิด
นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่สับสนที่สุดในชีวิตก็ว่าได้
ยิ่งสับสนก็ยิ่งเครียด พอเครียดมากๆก็เริ่มปวดหัว
“โอ๊ย!...เรื่องง่ายๆทำไมถึงไม่เข้าใจนะ!”ผมด่าตัวเองก่อนจะพลิกตัวไปมาบนเตียงกว้างเป็นการทำโทษ ไม่นานดวงตาคมสีน้ำตาลก็หันมาหยุดที่ลิ้นชักข้างหัวเตียงที่ภายในมีภาพถ่ายพร้อมข้อความสั้นๆอยู่หลายใบ
ไม่นานผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงก่อนจะขยับไปยังลิ้นชักที่อยู่ด้านข้างเพื่อนำภาพถ่ายทั้งหมดที่ได้รับจากคนคนเดียวกันออกมาวางเรียงไว้รอบๆตัว รูปถ่ายใบแรกที่ได้รับถูกหยิบขึ้นมามองก่อนจะวางลงแล้วหยิบภาพต่อๆไปขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงรูปภาพใบล่าสุดที่ได้รับ
ระหว่างที่มองรูปถ่ายในมือสลับกับที่วางอยู่รอบเตียงคิ้วคมสีดำของผมก็ค่อยๆขมวดเข้าหากันอย่างเชื่องช้าโดยที่ในหัวเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง...
ถึงจะไม่ใช่มืออาชีพทางด้านการถ่ายรูปแต่ก็พอจะสัมผัสได้ว่ารูปภาพทุกใบที่เรียงรายอยู่ตอนนี้เป็นฝีมือของคนคนเดียวกันถ่าย มันคงไม่แปลกเพราะรูปถ่ายพวกนี้ผมได้รับมาจากมือของเจ้าตัวเอง
แต่สิ่งที่ผมรู้สึกคือมีอีกใบที่มีความรู้สึกแบบเดียวกันอยู่
พอคิดได้ผมก็รีบลุกจากเตียงออกไปยังห้องรับแขกที่มีห้องเก็บของเล็กๆอยู่ด้านข้างก่อนถึงระเบียงห้อง...ภายในเป็นห้องขนาดเล็กที่มีชั้นขนาดใหญ่วางไว้สองข้างทาง บนชั้นมีของต่างๆที่ไม่ได้ใช้นำมาเก็บไว้ตั้งแต่ของที่ได้ตอนชั้นประถม...
เห็นแบบนี้แต่ผมเป็นพวกชอบเก็บของที่มีคนให้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว แต่ละชั้นจะมีเขียนติดไว้ว่าเป็นของตอนช่วงไหนและชั้นที่กำลังมองหาคือของในช่วงจบมหาวิทยาลัย
กล่องขนาดใหญ่สีน้ำตาลเปลือกไม้วางเรียงกันหลายกล่อง...ช่วงมหาลัยเป็นช่วงที่ผมป๊อบมากทำให้มีของที่ได้รับมาไม่เว้นวัน แม้จะตอบรับความรู้สึกของพวกเธอไม่ได้ผมก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดไม่รับของที่ตั้งใจทำมาให้หรอก
กล่องแล้วกล่องเล่าที่ถูกเปิดออกเพื่อค้นหาภาพถ่ายเพียงใบเดียวที่ไม่รู้ว่าตัวเองจำผิดไปรึเปล่า...เรื่องมันเกิดเมื่อนานมาแล้ว นานมากจนลืมไป
ไม่นานมือที่ค่อยๆยกของที่อัดแน่นอยู่ภายในกล่องก็ชะงักเมื่อพบกระดาษอัดรูปที่คว่ำหน้าไว้วางนอนอยู่ที่ก้นกล่อง...ผมหยิบมันขึ้นมาโดยที่ภวนาในใจว่าขอให้เป็นอย่างที่ตัวเองคิดด้วยเถอะ...
และทันทีที่พลิกรูปถ่าย ภาพที่ไม่ได้เห็นมานานหลายปีก็ปรากฏขึ้น...รูปของตึกคณะที่ผมเรียนตอนอยู่มหาวิทยาลัยถูกถ่ายจากมุมสูงทำให้รู้ว่าคนถ่ายต้องอยู่บนตึกอีกฝั่งหนึ่งแน่ รูปใบนั้นให้ความรู้สึกเหมือนภาพที่วางเรียงรายอยู่บนเตียงผมในตอนนี้
“...Congratulations!...ยินดีด้วยที่จบการศึกษา”ผมอ่านข้อความที่ถูกเขียนด้วยปากกาหมึกดำที่จางไปบางด้วยกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
ลายมือแบบนี้เคยเห็นมาก่อน...ไม่สิ...ต้องบอกว่าภาพนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นลายมือของ...
ข้าวจ้าว
จำไม่ผิดจริงๆด้วย
ผมเคยได้ภาพจากข้าวจ้าวมาก่อนในวันจบการศึกษา?!
เรื่องในตอนนั้นจำได้แค่ว่าหลังจากหอบดอกไม้กับตุ๊กตาตัวใหญ่หลายสิบชิ้นกลับห้องก็ได้เจอภาพนี้ใส่อยู่ในกระเป๋าแล้ว ด้วยความที่ไม่คิดอะไรเลยนึกว่าคงเป็นหนึ่งในเพื่อนที่เรียนด้วยกันโดยไม่เอะใจเลยสักนิดว่ามันจะเป็นของคนที่แอบชอบตัวเองมาตลอด
“...นี่คุณชอบผมมาตั้งแต่ตอนไหนกันแน่นะข้าวจ้าว”ผมพึมพำด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะนำรูปถ่ายที่พึ่งหาเจอไปเก็บรวมไว้กับใบอื่นๆ
วันต่อมาผมก็มาทำงานที่บริษัทเหมือนในทุกๆวันแต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คงจะเป็นความรู้สึกอัดอั้นด้วยความอยากรู้...ตั้งแต่เมื่อคืนที่รู้ว่าข้าวจ้าวเคยให้ภาพถ่ายกับตัวเองมาก่อนคำถามมากมายก็ไหลออกมาราวกับน้ำป่าไหลหลาก...
คุณเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันใช่ไหม?
คุณเรียนคณะอะไร?
คุณรู้ใช่ไหมว่าผมเรียนอยู่คณะไหน?
คุณเป็นคนเอาภาพถ่ายมาใส่ในกระเป๋าผมตอนวันจบการศึกษาใช่ไหม?
และคำถามที่ผมอยากรู้มากที่สุดก็คือ...
คุณรักผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่...ข้าวจ้าว?
คำถามมากมายดังขึ้นสลับกันไปมาจนไม่มีสมาธิในการทำงานเลยสักนิดผมเลยตัดสินใจลาพักแล้วขับรถออกจากที่บริษัทโดยมีจุดหมายอยู่ที่ร้านแกลลอรี่เล็กๆที่ชื่อVI&Kโดยที่มีใบหน้าของชายหนุ่มที่อายุเท่ากันปรากฏอยู่ในหัวตลอดการขับรถ
รถหรูสีดำเงาเคลื่อนที่มาจนถึงหน้าร้านก่อนจะดับดับเครื่องแล้วเตรียมลงจากรถในขณะเดียวกันกับที่สายตาของผมหันไปเห็นร่างของคนที่คุ้นเคยกำลังเดินมาแต่ในตอนที่จะก้าวเท้าไปหาก็เห็นชายหนุ่มอีกคนที่ดูจะอายุมากกว่าวิ่งตามมาจากด้านหลังแล้วใช้มือคว้าคอของข้าวจ้าวอย่างรวดเร็วจนร่างกายบางๆนั่นเซเข้าไปหาชายด้านข้างทันที
ดวงตาคมสีน้ำตาลของผมมองภาพที่เห็นด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานหลายปีตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่น
ความรู้สึกนั้นคือหงุดหงิด
ขาของผมเตรียมจะก้าวไปหาข้าวจ้าวทันทีเพราะคิดว่าเจ้าของดวงตาคู่สวยกำลังถูกชายอีกคนตามรังควานอยู่แน่แต่ฉากต่อมาที่เห็นทำให้ขาที่กำลังจะก้าวเข้าไปช่วยหยุดชะงักในทันที...ภาพที่ข้าวจ้าวหันไปยิ้มกว้างให้ชายที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกระโดดกอดคออีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม...
ไม่เหมือนกับคนที่ถูกตามรังควานเลยสักนิด
เหมือนเป็นคนที่สนิทหรือรักกันมากๆมากกว่า...
รักเหรอ?
อย่าบอกนะว่าชายคนนั้นเป็นคนรักของข้าวจ้าว?
เพียงแค่คิดความหงุดหงิดที่มีก็เริ่มมีความโมโหเพิ่มเข้ามา...
ทั้งที่วันก่อนยังบอกชอบผมด้วยใบหน้าแดงระเรื่อแบบนั้น...อย่าบอกนะว่าทำหน้าแบบนั้นให้หมอนั่นเห็นด้วยน่ะ?
“บ้าเอ้ย!”ผมถึงกับทนเห็นภาพตรงหน้าไม่ได้
ภายในใจมันเจ็บไปหมดเพียงแค่เห็นภาพที่ข้าวจ้าวหันไปยิ้มกว้างให้คนอื่น
ไม่อยากให้ใครได้เห็นรอยยิ้มกับน่าทางน่ารักๆนั่น
ผมอยากเป็นคนเดียวที่เห็นมัน
‘ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับคนที่รู้สึกสับสนด้วยฉันบอกได้เลยว่าความสับสนนั่นมีจะปลิวหายไปในชั่วพริบตาแล้วความรู้สึกจริงๆจะออกมาเอง’
คำพูดพวกนั้นที่ได้ยินมา...ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นความจริง
อย่างที่พ่อบอกเลย...
ความสับสนที่มีมันหายไปในพริบตา
เหลือเพียงความรู้เพียงอย่างเดียว...
ดวงตาสีเขียวปนเทานั่นต้องสะท้อนเพียงภาพของผม...
ใบหน้าสีขาวอมชมพูนั่นต้องแดงระเรื่อเพราะคิดเรื่องของผม...
รอยยิ้มสวยนั่นต้องส่งมาหาเพียงผม...
และน้ำเสียงนุ่มหวานนั่นต้องเอ่ยเรียกเพียงชื่อผมเท่านั้น!
ในตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความรู้สึกจริงๆของตัวเองคืออะไร....
ผมรักข้าวจ้าว!
เพราะแบบนั้นจะไม่ยอมให้ใครได้แตะข้าวจ้าวของผมเด็ดขาด!!
..............................................................................................
สวัสดีค่ะ
มายาวๆให้อ่านกันจุใจจจ
อย่างที่สปอยไป...ตอนนี้ราชารู้ตัวแล้วว่าชอบข้าวจ้าว ซึ่งนานมากกกกก...คนอ่านเขารู้กันตั้งแต่ตอนแรกแล้วมีแต่พระเอกเรานี่แหละที่ไม่รู้ตัวสักที
ก็อย่างนี้แหละคนที่ไม่เคยมีความรัก
แต่ตอนนี้พระเอกเราดูเหมือนจะคิดเองเออเองมากไปนิดเนอะ
ข้าวจ้าวของใครนะ...ของผมเหรอนายราชา
อยากบอกว่าถ้ารู้ตัวช้ากว่านี้ข้าวจ้าวคงตกเป็นของคนอ่านแล้วล่ะ555
ในเมื่อราชารู้ตัวแล้วต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นนะ?
แล้วผู้ชายที่อยู่กับข้าวจ้าวเป็นใคร?
ไม่ต้องต้องเตรียมหม้อไว้ต้มมาม่านะคะเพราะไม่มีแจกค่ะ อิอิ
เรื่องนี้อ่านสบายๆไม่ต้องเครียดนะคะ...ในความเป็นจริงอาจไม่มีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นแต้ถ้าจะให้แต่งตามหลักความจริงทั้งคนแต่งและคนอ่านคงได้กินมาม่ากันจนเบื่อไปข้างแน่
ตอนหน้าพบกับ...อะไรดีนะ?
ในเมื่อความรู้สึกตรงกันแล้วก็ต้อง...
...(เว้นให้คนอ่านคิดเอาเอง)...
เอาเป็นว่าไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า
ขอบคุณทุกๆกำลังใจและทุกๆคอมเม้นต์นะคะ
ถึงจะไม่ได้ตอบคอมเม้นต์แต่อ่านอยู่นะคะ
มีหลายคนที่ตามมาจากเรื่องอื่นๆต้องขอบคุณมากนะคะ(พึ่งมาขอบคุณ?)
บ๊ายบายค่าา
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪