Just Love ❤ รักนะครับ
6
แม้ดูเหมือนว่าเขาสนิทกับเดือน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เลย ... เดือนแทบจะกลายเป็นใครคนอื่นที่เขาไม่รู้จักซึ่งความจริงข้อนี้เพิ่งจะรู้ตอนที่เดือนย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันนี่แหละ
ใครคนอีกคนที่มาอยู่ในร่างเดือนแสดงตัวตนออกมาทันทีในช่วงบ่ายหลังจากที่แม่ๆ กลับไปแล้ว
“ซันๆ เค้าออกไปข้างนอกนะ” เดือนบอกอย่างนั้นแล้วตามมาด้วยเสียงประตูปิดดังปัง!
ทิ้งให้เขาที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่กับพรมหน้าโทรทัศน์หันขวับไปมองก็ไม่ทันเสียแล้ว
ไปไหน กับใคร ทำอะไร กลับเมื่อไหร่ จะมาทานข้าวด้วยกันไหม เขาต้องทำกับข้าวเผื่อหรือเปล่า จะกินเหล้าไหม ที่ร้านไหน ให้ไปรับหรือเปล่า
คำถามผุดขึ้นมาในยาวเป็นขบวนรถไฟ ไม่ได้สนใจเกมจนตัวแพ้สีแดงขึ้นเต็มจอ จะว่ายังไงดีล่ะ คือไม่ใช่ว่าจะอยากรู้เพื่อเข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรหรอกนะ แต่ก็อยากรู้เรื่องของอีกฝ่ายไว้บางไหนๆ ก็มาอยู่ห้องด้วยกันแล้ว ฐานะของเราก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ไม่ใช่แค่แปลกหน้าของกันและกันสักหน่อย แค่บอกกล่าวกันบ้างก็พอ
แต่บางทีก็นั่นแหละ เดือนอาจติดนิสัยจากที่อยู่กับคนมากๆ ที่ไม่ค่อยสนใจใครสักเท่าไหร่ก็ได้ ...คิดในทางบวกอย่างน้อยก็บอกว่าจะไปข้างนอกละวะ
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงเลิกสนใจ กลับไปเล่นเกมต่อ สักทุ่มก็อุ่นกับข้าวที่แม่ๆ ทำเผื่อไว้ ทานเสร็จก็อุ่นกับข้าวเผื่อไว้ให้ลูกชายเพื่อนแม่ที่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันไว้บนโต๊ะ ควบฝาชีไว้เรียบร้อย กลับไปเล่นเกมต่อ
มองนาฬิกาอีกทีก็ใกล้เวลาห้าทุ่มกว่าๆ พรุ่งนี้มีเรียนเช้าเลยรีบอาบน้ำแล้วเข้านอน กับข้าวบนโต๊ะคงเย็นไปหมดแล้ว ช่างเถอะ ถ้าเดือนกลับมาก็คงอุ่นทานอีกรอบได้
ตอนเช้าตื่นมายังเห็นว่ากับข้าวยังวางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แสดงว่าเดือนยังไม่กลับหรือ เปิดฝาชี ยกกับข้าวขึ้นดูยังไม่เสีย เลยอุ่นทานตอนเช้า ตอนที่ใส่รองเท้ากำลังจะออกจากห้องก็เห็นรองเท้าแตะคีบคู่สีดำแปลกตาถอดวางไว้ พลิกคว่ำพลิกหงาย เขาจัดรองเท้าคู่นั้นใส่ไว้ในตู้ใกล้ประตู แล้วย้ำกับตัวเองว่าคงต้องหาเวลาคุยกับเดือนเรื่องที่วางรองเท้าสักหน่อย แล้วจึงไปเรียน
เลิกเรียนไปดูน้องๆ ซ้อมบอลกับไอ้กาย ไอ้แมนเข้ามาปรึกษาเรื่องการคุมน้องนิดหน่อย ปีสองทุกคนก็ดูทุ่มเทรักใคร่กับน้องปีหนึ่งดีซึ่งเขาก็ดีใจที่น้องสนิทกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว แน่นอนว่ามันจะเป็นผลดีมากเมื่อเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย บอกเลยว่าไม่มีเพื่อน เปอร์เซ็นต์ในการเรียนไม่จบสูงสุดมาก ดูอย่างไอ้กายที่เกือบลงทะเบียนเรียนไม่ทันเพราะมัวแต่ทำกิจกรรม โชคดีที่พอเขาลงทะเบียนเรียนของตนเองเสร็จแล้วถาม มันยังไม่ได้ลงเลยจัดการให้เสร็จสรรพ
เขาเปิดประตูเข้ามาห้องพักปิดไฟมืดสนิท สงสัยเดือนออกไปข้างนอกอีกแล้ว วางข้าวถุงที่หิ้วมาเผื่ออีกคนไว้บนโต๊ะกะว่ารอจนหายร้อนแล้วค่อยเอาใส่ตู้เย็น
ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่กินแล้วถูกวางทิ้งไว้ในอ่างล้างชาม คงเป็นฝีมือของคนที่วางรองเท้าไม่เป็นระเบียบอีกแน่ ข้อสองที่จะบอกเดือนคือเรื่องทิ้งขยะ
จนเกือบเที่ยงคืนเดือนก็ไม่กลับมา เขาจึงปิดหนังสือ ปิดไฟ ล้มตัวนอน
วันถัดมาก็คล้ายๆ สองวันแรกคือไม่เจออีกคนที่เข้ามาอยู่ในห้องด้วยกันเลย เจอแต่เศษซากขยะและความรกรุงรังไม่เป็นระเบียบของอีกฝ่ายที่ทำให้รู้ว่าที่ห้องนี้ยังมีใครอีกคนอยู่ด้วย
ในที่สุดเขาก็เจอเพื่อนร่วมห้องในวันพุธ เขาไม่ได้ออกไปไหนอยู่ห้องเพราะไม่มีเรียนเช้ากำลังจัดการกับห้องน้ำที่เลอะเทอะพอดีกับที่เดือนกลับมาถึงห้อง
“ไง” เดือนทักเมื่อเห็นเขาโผล่ออกมาจากห้องน้ำ หยุดทักอย่างไม่สนใจคำตอบเดินผ่านตรงไปยังห้องนอนของตน
“คุยกันก่อนสิ”
เดือนหันตัวกลับมา ยืนเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขานั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะกินข้าว อีกฝ่ายจึงนั่งตรงข้าม ระหว่างเรามีโต๊ะไม้ขนาดสองฟุตครึ่งกั้นอยู่
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เดือนถามขึ้นเมื่อเขาเงียบ เอาแต่มองคนตรงข้ามนิ่ง
“สองสามวันนี่...ได้กินข้าวครบสามมื้อไหม” เขาคิดว่าเดือนน่าจะเห็นกับข้าวที่ซื้อมาวางไว้บนโต๊ะนะ ทุกครั้งที่กลับมาทำไมกับข้าวยังวางอยู่ที่เดิมก็ไม่รู้
“..ก็ถ้าหิววันละสามครั้งก็คงครบแหละ” เดือนตอบ
“ถ้าหิววันละครั้งล่ะ”
“ก็กินเท่าที่หิว”
“แสดงว่าถ้าวันไหนไม่หิวก็ไม่กิน” เดือนพยักหน้ากับคำพูดนี้ของเขา
“แม่บอกให้กินข้าววันละสามมื้อ” คนอย่างเดือนจะให้บอกตรงๆ ว่าให้ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะจะต่อต้านโดยการทำตรงกันข้ามทันที ต้องค่อยๆ ตะล่อมให้เจ้าตัวรู้สึกและคิดเอง
“บางทีมันก็ลืมน่า...ซัน” ทอดเสียงอ่อนตรงชื่อเขา หวังจะอ้อนล่ะสิ
“อืม อย่าเผลอลืมบ่อยจนต้องไปหาหมอนะ” คำว่า ‘หมอ’ ทำให้เดือนรีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เดือนไม่ชอบหมอซึ่งไม่ชอบในที่นี้แปลว่ากลัวนั่นแหละ อย่าไปพูดให้เจ้าตัวได้ยินนะ เพราะจะเถียงทันทีว่า ‘ใครบอกกลัว แค่ไม่ชอบเฉยๆ’
เมื่อเจ้าตัวเริ่มคล้อยตาม เขาก็พูดต่อไป
“เค้าเลยจะชวนตัวกินข้าวด้วยกันจะได้ไม่ลืม ดีไหม”
“...บางทีเค้าก็ต้องทำงานที่สตูฯ กับเพื่อน ไม่ได้กลับห้องนะ” อ้อ แสดงว่าที่หายไปสองสามวันนี่ไปทำงานที่สตูดิโอของคณะ
“ไม่เป็นไร ถ้าวันไหนตัวไม่ว่างก็โทรมาบอกก็ได้ ถ้าเค้าไม่ว่างก็จะโทรไปเตือนตัวเหมือนกัน” แค่โทรเตือนให้ทานข้าวให้ตรงเวลา ไม่ต้องกินข้าวพร้อมกันทุกมื้อก็ได้
“เออ แบบนั้นก็ได้” เดือนยอมตกลง ขีดฆ่าข้อที่สาม กินข้าวให้ตรงเวลาในกระดาษออก
“วันก่อนเค้าเดินเข้าห้องมา แล้วรีบไปหน่อย สะดุดรองเท้าตัวล้มเลย” ชี้มั่วๆ ไปแถวข้อศอก ผิวคล้ำกับสีช้ำๆ มันไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกมั้งนะ
“เอ้า จริงดิ ซุ่มซ่ามว่ะซันๆ” เดือนมองที่ข้อศอกแล้วส่ายหน้าอมยิ้มที่มุมปากกับความซุ่มซ่ามของเขา
นี่!! เดือนเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า คนที่ควรทำท่าเหนื่อยใจแบบนั้นคือเขาไม่ใช่หรือไงเล่า!
“เออ!! เค้าซุ่มซ่ามก็เลยต้องเก็บของให้เป็นระเบียบคราวหลังตัวเอารองเท้าวางไว้ในตู้ด้วยสิ เดี๋ยวเผลอไปเหยียบแล้วลื่นอีก”
“โอ๋ๆ น้องซันๆ ไม่ต้องกลัวจะล้มนะครับ เดี๋ยวพี่จะเอารองเท้าไปซ่อนไว้อย่างดี ไม่ให้น้องซันๆ ลื่นล้มได้อีกเด็ดขาด” คนตรงหน้าล้อเสียงเล็กเสียงน้อย ...บางทีเราก็ต้องยอมที่จะโกหกเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมหรือความจริงคือประโยชน์ของคนตรงหน้าที่พูดจาล้อเลียนเขาอยู่ตอนนี้ต่างหาก ยอมๆ ไป ไม่ว่ากัน
ขีดฆ่าเรื่องวางรองเท้าให้เป็นระเบียบได้แล้ว เหลืออีกข้อ ทิ้งขยะ
“แล้วอย่างนี้ถ้วยมาม่าที่เราวางไว้ไปไหนแล้วล่ะ ซันๆ เก็บไปทิ้งแล้วหรือ” เดือนเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน ดีเลย เขากำลังคิดว่าจะแต่งเรื่องอะไรตะล่อมคนตรงหน้าพอดี
“ใช่” ตอบสั้นๆ อยากรู้ว่าเดือนจะพูดอะไรต่อ
“คราวหลังจะเก็บไปทิ้งให้สะอาดเลย เดี๋ยวคนแถวนี้ทำหน้าบึ้งอีก” เดือนส่งยิ้มตาหยีมาให้ ...บางทีก็รู้สึกว่าเดือนเหมือนจะรู้ตัวว่าเขาต้องการจะบอกอะไร
“เออดี บางทีเราก็เหนื่อย ไม่มีอารมณ์มาตามเก็บขยะเหมือนกัน”
รอยยิ้มของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามนั้นเลือนไปเล็กน้อยเมื่อเขาบอกความรู้สึกออกไปตรงๆ
“บางทีก็ลืมไปว่าซันๆ เจ้าระเบียบน่ะ” เดือนบอกเบาๆ
“เค้าเป็นภูมิแพ้”
“จริงสินะ ลืมไปเลย เห็นแข็งแรงดี” เดือนนึกขึ้นมาได้
“แล้วเค้าก็อยากรู้ด้วยเวลาตัวออกไปข้างนอก บอกกันบ้างว่าจะไปไหน ทำอะไร กลับกี่โมง รอตัวมาสองวันแล้วเนี่ย” เดือนเริ่มยอมรับฟังความต้องการของเขาแล้วจึงไม่ต้องคิดมุกมาเพื่อตะล่อมบอกความต้องการของตนเองอีก
“หือ ทำไมละ จะโทรไปรายงานแม่หรือไง”
“เฮ้ย ไม่ใช่ ก็ไหนๆ ก็อยู่ห้องด้วยกันแล้ว รู้ไม่ได้หรือ เป็นห่วงน่ะ”
จากที่พูดคุยมองหน้ากันอยู่ พอพูดจบ เดือนก็ก้มหนาลงไม่สบตา พูดอืออารับคำในคอเบาๆ ทำไมเนี่ย เขาจะรู้ไม่ได้หรือไงเล่า
“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”
“เปล่าๆ บอกได้ แค่ไม่ชินน่ะ” เดือนยกมือขึ้นเกาท้ายทอย
“เดี๋ยวเค้ามีเรียนบ่าย ตัวกินข้าวเที่ยงยัง ออกไปกินด้วยกันไหม” เดือนตกลง เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเราก็เดินลงมาทานข้าวกันที่ร้านใกล้หอพัก เลือกได้ร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำ สั่งอาหารกันคนละจานแล้วก็นั่งรอ
ระหว่างที่รออาหารอยู่นั้น เดือนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดเสียงห้วน ระคายหูแบบที่พวกแม่ๆ ได้ยินแล้วเดือนคงโดนบ่นยาว
‘ไรมึง’
‘เออ กูทำเสร็จแล้ว ส่งแล้ว เมื่อเช้า’
‘ห่าเอ้ย แล้วทำไมมึงไม่ดูดีๆ เล่า เดี๋ยวรอกูแดกข้าวก่อนแล้วจะไปช่วย แค่นี้นะ....เออ ใช่ เชี่ย!!!’
ว่าแต่เดือน เขาก็พูดเถอะ คำหยาบน่ะ แค่ต้องระวังไม่ให้แม่ได้ยินเท่านั้นเอง ตอนเด็กๆ มีเพื่อนสอนคำว่า กู กับ มึง ให้รู้จักครั้งแรก เอามาพูดกับเดือน พอแม่ได้ยินเข้าเท่านั้นแหละ โดนลงโทษ แม่ให้เอามือตบปากตัวเอาสิบทีกับบ้วนน้ำยาบ้วนปากเผ็ดๆ อีกสิบรอบ
ดังนั้นคำพูดไพเราะที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเดือนจึงเป็นคำที่แม่ๆ เป็นผู้คัดกรองให้แล้วนั่นเอง พูดอย่างนี้กันมาตั้งแต่เด็กจนติดจนมาถึงปัจจุบัน
“ซันๆ กินแตงกวาด้วย” นั่นพลาดละ ไม่น่าสั่งข้าวผัดเลย
“มันเหม็น” ใครเคยกินข้าวกล่องแล้วเจอแตงกวาเน่าไหม นั่นละ เขาเลยเกลียดแตงกวามาจนถึงทุกวันนี้ แค่เห็นกลิ่นแตงกวาเน่าๆ ในวันนั้นก็ลอยมาเหมือนมาจ่ออยู่ใต้จมูก นี่แอบเขี่ยออกไปชิ้นหนึ่งแล้วนะ เหลือชิ้นเดียวเดือนยังเห็นอีก
“ถ้าไม่กินก็เอามานี่” เดือนคว้าข้อมือเขาที่ถือส้อมจิ้มแตงกวาอยู่แล้วส่งมันเข้าปากตัวเอง เคี้ยวกรวบๆ อย่างอร่อย เห็นแล้วแหยงๆ พิกล
“ทำหน้าแปลกๆ” เดือนถาม
“กินเข้าไปได้ไง”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนิ ทำไมกินช้อนเดียวกันไม่ได้ไง?” เดือนทำหน้ายุ่ง หน้าผากย่น
“ไม่ใช่ หมายถึงแตงกวาน่ะ” กินด้วยท่าทางอร่อยแบบนั้นได้อย่างไร เหม็นจะแย่
“ก็เหมือนกับที่ตัวชอบบังคับให้กินคะน้านั่นแหละ” เดือนว่า ...อ้อ ชักเข้าใจความรู้สึกของเดือนที่ถูกเขาบังคับให้กินคะน้าบ่อยๆ แล้วแฮะ แต่รายนั้นเจ้าตัวแค่บอกว่า คะน้ามันขม ไม่เหมือนเขาที่เจอแตงกวาเน่าเสียหน่อย
.
.
.
หลังจากที่ได้คุยกับเดือนไปหลายวันก่อน รองเท้าก็ไม่รกแล้ว เขากลับห้องก็ไม่เจอถ้วยบะหมี่ทานแล้วหรือเศษขยะทิ้งเกลื่อนนอกถังขยะเลย บางทีเดือนก็ไปกินข้าวพร้อมกับเขาที่คณะบ้าง เขาไปทานกับเดือนที่คณะบ้างถ้ามีโอกาส แล้วทุกเย็นเราก็จะกลับห้องมาทานข้าวพร้อมกัน
บางวันถ้าเกิดอารมณ์ดีๆ ก็ทำกับข้าวทานเอง
“ซันๆ วันนี้เค้าอยากกินแกงเขียวหวาน” เดือนบอกตอนเช้าขณะที่เรากำลังจะออกจากห้องไปมหาวิทยาลัย
“ขนมจีนด้วยไหม” คิดรายการของที่ต้องซื้อในใจ ตอนเย็นหลังเลิกเรียนจะไปซื้อที่ตลาดใกล้ที่พัก
“อยู่แล้ว ใส่หมูนะ หมูเด้งก็ได้ ไม่เอาไก่ เบื่อมากกก” เดือนลากเสียงยาวตรงคำว่ามาก เรากินกับข้าวถุงกันมาหลายวันแล้วซึ่งกับข้าวถุงพวกนั้นก็มีแต่รายการอาหารที่มีไก่เป็นส่วนประกอบให้เลือก เขากำลังจะรอดูว่าเมื่อไหร่เดือนจะลุกมาขันตอนเช้า ตีปีกพับๆ อยู่
“อืม” ว่าแล้วก็ต้องจดสินะว่าต้องซื้ออะไรบ้าง
สลัดไอ้กายที่เกาะติดเพื่อลากเขาไปดูน้องๆ ซ้อมกีฬามาได้โดยบอกมันว่า ไปทานแกงเขียวหวานที่ห้องได้ ถ้าดูน้องซ้อมเสร็จ มันถึงยอมปล่อยตัวออกมา จากนั้นเขาก็ตรงดิ่งไปซื้อของเพิ่มเติม
แกงเขียวหวานที่จะทำนี้เป็นสูตรที่แม่ทำทานเองที่บ้าน ใส่มะเขือยาวแทนที่จะใส่มะเขือเปราะ ใส่หมูเด้งปั้นเป็นก้อนกลมๆ ใส่น้ำตาลมะพร้าว น้ำพริกต้องใช้เจ้าประจำ แม่เอามาใส่ตู้เย็นไว้ให้คราวก่อนที่มาหา พูดแล้วน้ำลายสอ รีบซื้อของแล้วกลับห้องไปทำดีกว่า
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นกลิ่นหอมๆ ของแกงเขียวหวานก็หอมฟุ้งไปทั้งห้อง
ตอนที่กำลังซอยพริกเพื่อทำพริกน้ำปลาอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น สงสัยเป็นไอ้กายที่แวะมาเร็ว ทำไมเลิกซ้อมกันไวผิดปกติ เขาคิดพลางเดินไปเปิดประตูโดยไม่มองที่ตาแมว
“อ้าว”
เดือนยืนอยู่หน้าประตู ส่งยิ้มแหย่ๆ มาให้ เคาะประตูทำไมเล่า
“พอดีมีเพื่อนจะมากินด้วยน่ะ ขอโทษที่ไม่ได้บอก” เดือนกระซิบเบาๆ เขาจึงสังเกตว่ามีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่โดนประตูบังไปเกือบครึ่ง อ้อ ‘เพื่อน’ คนที่เจอที่บ้านเช่าคนนั้นเอง
“หวัดดี” เพื่อนของเดือนเอยทักทาย
“สวัสดีครับ”
“คนนี้พี่นนท์ แล้วนี่ซัน”
เดือนพูดแนะนำแค่นั้นแล้วก็เดินนำเข้าห้องไป เขาให้พี่นนท์เดินเข้าไปก่อนแล้วจึงเดินกลับเข้ามาเป็นคนสุดท้ายพร้อมปิดประตูห้อง สองคนนั้นหายเข้าไปในห้องนอนของเดือน เขาจึงกลับไปซอยพริกต่อ
ในใจมีคำถามมากมายแต่ไม่คิดจะถามออกไป
“ทานได้แล้วนะ” เคาะประตูเรียก ประตูเปิดผัวะออกมาจนเกือบโดนหน้า ดีนะที่หลบทัน
“โทษทีซัน ไหนแกงเขียวหวานเสร็จแล้วเหรอ ไปกินกันเถอะ” เดือนว่าแล้วก็ลากแขนเขาไปทางครัว ไม่สนใจพี่นนท์ที่เดินตามมาเลยแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวไอ้กายก็จะมาทานด้วย”
ระหว่างที่เราสามคนนั่งทานกันอยู่ เขาบอกเดือนเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัด จะไม่อึดอัดยังไงไหว ไอ้พี่นนท์ก็เอาแต่จ้องหน้าเดือน ตั้งแต่คำว่าหวัดดีเมื่อครู่ แกก็ไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย เดือนก็ทำเป็นเฉย ไม่สนใจราวกับว่าคนที่มาพร้อมกันเป็นธาตุอากาศ แล้วเขามาเกี่ยวอะไรกับสองคนนี้วะเนี่ย
เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นไอ้กายชัวร์ ขอบใจมันที่มาตอนนี้ ไม่งั้นแกงเขียวหวานของเขาคงรสชาติแย่ที่สุดเท่าที่เคยทำมาแน่ๆ ให้ตายสิ! มันน่าจะเป็นมื้อที่เขาและเดือนทานข้าวด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย มีความสุข เจริญอาหารสิวะ ไม่ใช่มานั่งเขี่ยมะเขือไปมาในจานแบบนี้ !
“หอมสัสๆ อะไอ้ซัน กูโคตรหิวเลยว่ะ” ไอ้กายมาถึงก็พูดเสียงดังแล้วตรงดิ่งไปที่ครัวก่อนจะร้อง ‘อ้าว’ ออกมาเสียงดัง
“หวัดดีคุณ” ไอ้กายทักทายเดือน ทำหน้าตาสงสัยใคร่รู้ไปยังผู้ชายอีกคนที่นั่งตรงข้ามกับเดือนอย่างออกนอกหน้า เขาจึงดึงมันไปตักอาหาร
“ใครวะมึง” นั่น มันกระซิบถามทันที
“พี่นนท์”
“แฟนคุณเหรอ” จะเล่นมุกว่า ไม่ใช่แฟนกู มันจะเงิบใช่ไหม งั้นก็ผ่านเถอะ
“ไม่รู้ เดือนบอกว่าเพื่อน” ถึงลึกๆ แล้วจะอยากรู้สถานะของ ‘พี่นนท์’ แค่ไหนก็คิดว่าไม่ควรไปถามอยู่ดี ไอ้กายตักพูนจาน เราจึงพากันเดินกลับมาที่โต๊ะ
“อร่อยว่ะไอ้ซัน” ไอ้กายนั่งลงข้างพี่นนท์ ตักแกงเขียวหวานเข้าปากแล้วพูดออกมาทั้งที่ยังเคี้ยวไม่หมด
“เออดิ ฝีมือกูซะอย่าง” ต่อบทสนทนาหวังคลายบรรยากาศน่าอึดอัด
“กูเพิ่งรู้มึงทำกับข้าวอร่อยก็วันนี้ บอกมาว่าหมดรสดีไปกี่ซอง” ไอ้กายพูดติดตลก ทำให้เดือนขำพรึดออกมา บรรยากาศผ่อนคลายลงนิดหน่อย
“ระดับซันไม่ต้องเพิ่งผงชูรสหรอกน่าไอ้กาย” เดือนพูดแก้ต่างให้ ค่อยสมกับที่เขาทำอาหารให้ทานหน่อย
“อร่อยมาก” พี่นนท์พูดชมบ้าง เขายิ้มรับ
“ขอบคุณพี่ ทานเยอะๆ ไม่ต้องกรงใจ ไอ้กายด้วย”
ไม่นานหม้อแกงเขียวหวานก็ถูกย้ายลงไปอยู่ในอ่างล้างชาม หมดเกลี้ยง พ่อครัวอย่างเขาก็ได้แต่ยิ้มหน้าบานอยู่ในใจ
กายมาช่วยล้างจาน ปล่อยให้เดือนกับพี่นนท์อยู่ที่ห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงพี่นนท์พูดอะไรแว่วๆ จับความไม่ได้ ไม่ได้ยินเสียงเดือนตอบเลยสักคำ
“กูเพิ่งรู้ว่ามึงทำอาหารเป็นด้วย” ล้างจานเสร็จกายก็พูดขึ้น
“เออ อยู่คนเดียวกูก็ไม่ทำหรอกว่ะ พอดีเดือนอยากกิน”
ตั้งแต่อยู่หอมาจนตอนนี้ปีสาม ยังไม่เคยทำอาหารทานเองที่หอแบบจริงจังเท่านี้มาก่อน ปกติอยู่คนเดียวแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เจียวไข่ก็พอแล้ว ทำไปก็ขี้เกียจไม่มีคนทานด้วย กลับบ้านไปทำทานกับครอบครัวอร่อยกว่าเยอะ อบอุ่น
“กูต้องไปขอบคุณไอ้คุณสินะ ที่อยากแดกน่ะ” ไอ้กายว่าพลางเดินนำไปห้องนั่งเล่น
แล้วเราก็ต้องชะงัก เมื่อจู่ๆ เดือนก็ตะโกนเสียงดัง
“พี่นี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไงว่ะ บอกว่าจบก็จบสิ” ไอ้กายและเขามองหน้ากัน เราก็หยุดยืนฟังเงียบๆ อยู่ในห้องครัว ไม่ยอมเดินไปต่อ
จะว่าแอบฟังก็ไม่ถูกนะ เดือนตะโกนให้ได้ยินเอง
“........................”
พี่นนท์พูดเสียงเบา แต่เดือนคงโมโหมากตะเบ็งเสียงตอบเต็มที่
“เออ!! ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว มาเห็นกับตาแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือไง” “.......................”
“คนนี้จริงจังที่สุด ขอบคุณพี่มากที่เสียเวลากับผม เชิญเถอะครับ ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่”
เดือนลดเสียงตะโกนลง แต่ก็ยังดังอยู่ดีถ้าเทียบกับระดับปกติ แล้วก็มีเสียงเปิดและปิดประตู
ไอ้กายโผล่หน้าไป มันบอกว่าสองคนออกไปแล้ว
“โห เวลาไอ้คุณมันโมโหนี่ก็เอาเรื่องนะ”
“อืม อย่าไปมีเรื่องเข้าล่ะ” เห็นเงียบๆ นิ่งๆ แบบนั้น ยามโมโหก็ร้ายเอาเรื่องไม่หยอก
“ไอ้ซัน กูไม่อยากเดาเลยวะ” ไอ้กายทำหน้าลังเลใจ
“เดาอะไร”
“ก็เรื่องที่คุณพูดเมื่อกี้ มึงว่าคุณมันหมายถึงใครวะ เป็นมะ---“ ไม่รอให้กายพูดจบประโยค เขาก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ไม่ต้องเดาห่าไรหรอก มันโมโหก็พูดไปเรื่อยแหละ”
ต้องรีบบอกมันก่อนที่มันจะพูดออกมา...เขายังไม่อยากได้ยิน
เรื่องบางเรื่องแม้จะรู้อยู่เต็มอกทำเป็นนิ่งเฉยเสียบ้างอาจจะดีกว่าพูดออกมาก็ได้
เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังคำพูดแค่ไม่กี่คำ
อย่างที่แม่เคยบอกเสมอ
สามสิ่งที่ไม่สามารถคืนมาได้คือ เวลา คำพูดและโอกาส
และเขายังไม่พร้อมที่จะเสียทั้งสามสิ่งนี้ไปพร้อมกัน
-----------------------------------------------------
[24.12.58]
คุณ B52 น้องแมนอาจจะโดนคนแก่กินก็ได้นะคะ
คุณ sentpai #ขออนุญาตถามหน่อยนะครับ ว่าเรื่องนี้จะมีประมาณกี่ตอน: มี 24 ตอนค่ะ
คุณ ammchun ขอบคุณค่ะ ดีใจจัง ตอนนี้มีแต่ที่แต่งไม่จบ 5555 เลยเอาที่แต่งจบแล้วมาลงไปพลางๆ *วิ่งหนี*
คุณ Kaemmiizz ใครจะเสร็จใครอันนี้ต้องดูอีกทีค่ะ 555
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
Lavender’s blue