The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (บอกกล่าวการกลับมาของจุ้ย 02/08/16)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (บอกกล่าวการกลับมาของจุ้ย 02/08/16)  (อ่าน 18178 ครั้ง)

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 28 : บอกความจริง
อ๊อดวางกล่องไวโอลินลงบนโต๊ะกลางที่กลุ่มเพื่อนนั่งอยู่
“เอามาทำไม” ฮ้อยถาม มือก็พลิกนิตยสารที่ยืมเพื่อนร่วมคณะมาอ่านเล่น
“ไม่มีวิชาเรียนดนตรีไม่ใช่เหรอ”
จุ๊ยมองหน้าเพื่อน
“กูไปรับงานเขาไว้  เขาแอตFace มาแล้วก็เสนองานให้ไปเล่น” อ๊ฮดตอบแล้วนั่งลงข้างจุ๊ย
แล้วก็ทิ้งตัวนอนลงบนตักจุ๊ย
“ง่วงวะ  นอนแป่บนะ ปลุกด้วย”
จุ๊ยมองลงมาเห็นอ๊อดหลับตาจริงๆอย่างปาก
แล้วเขาก็นึกถึงวันหนึ่งที่เมื่อปีที่แล้ว  ที่อ๊อดนอนลงแบบนี้  แล้วเขาก็สังเกตเห็นเสื้อที่ปักมีอักษรที่อ่านได้ว่า
เมืองฟ้า  ยอดสิริตรา
“อ๊อด” จุ๊ยดันอ๊อดให้ลุกขึ้น  แล้วก็ดึงแขน
“มากับกูหน่อยสิ”
 
ห่างออกมาพอสมควร  จุ๊ยจ้องตาอ๊อดอย่างจริงจัง
“มึงเป็นเพื่อนกูที่สนิทมาก  ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานแบบไอ้ฮ้อย  แต่กูก็สนิทกับมึงมาก” จุ๊ยกล่าวแล้วหยิบโทรศัพท์มือถืออกมา
“จงอธิบายภาพนี้อย่างเหมาะสม 10คะแนน”
อ๊อดอึ้งไปเมื่อได้เห็น
เป็นภาพของเขาเอง  เดินกอดคอเมืองฟ้า
“มึงสองคนสนิทกันมากขนาดจับเนื้อต้องตัวกันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
อ๊อดถอนหายใจ
“ก็ปีกว่าๆแล้ว ที่กูกับเมืองคบกัน”
แล้วอ็อดก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“ก็อย่างนี้ล่ะ กูก็ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยกับพวกมึงยังไง” อ๊อดมองลงไปในสระน้ำของมหาวิทยาลัย  เห็นเต่าสองตัวโผล่ผิวน้ำมามองหาอาหาร
จุ๊ยยังไม่ได้พูดอะไร
อ๊อดจึงพูดต่อ 
“มึงรังเกียจไหมวะจุ๊ย... รังเกียจเพื่อนที่เป็นเกย์ไหมวะจุ๊ย”
ความเงียบทำให้อ๊อดอึดอัด  แต่เขาก็ยังไม่กล้าหันมามองหน้าจุ๊ย
“ไอ้สัตว์” แล้วตบป๊าบที่ไหล่อย่างแรง จนอ๊อดถลาจะลงสระ
“เฮ้ยๆ” จุ๊ยดึงไว้แขนมันไว้แถมรวบเอว
“ไอ้จุ๊ยนี่มึงเล่นเหี้ยอะไร” อ๊อดท้วง เขาใจหายวาบ
“กูว่ายน้ำไม่เป็นมึงก็รู้”
จุ๊ยหัวเราะ
“ก็มึงน่ะดูถูกกู”
อ็อดสะดุดหู
จุ๊ยจึงเอามือกอดคอไว้
“มึง จำไว้นะเฟ้ยกูไม่มีทางรังเกียจเพื่อนกู  กูรักเพื่อนกู  ไม่ว่าเพื่อนกูจะชอบแบบไหน อย่างไรมันก็คือเพื่อนกู  มึงอย่าหมิ่นน้ำใจกูอีก  ไม่งั้นกูจะให้มึงลงไปนอนในบ่อ  ให้เต่าตอดหำด้วนไปเลย” แล้วก็ทำท่าจะดันอ๊อดให้ตกสระ
“เฮ้ยๆ” อ๊อดกอดเอวจุ๊ยแน่น
“ลงไป” จุ๊ยเอาเอวกระแทกอีกที
“ไอ้เหี้ย”
“ลงไปซ้อมไว้ก่อน  เวลากูถีบจริงจะได้ไม่เขิน”
“พ่อมึงเหอะ ไอ้จุ๊ยกูกลัวจริงๆนะมึง”
“ลงไป..”
“ไอ้เหี้ยจุ๊ยกูว่ายน้ำไม่เป็น”
ตอนนั้นอ๊อดกอดจุ๊ยจนแน่น... แล้วเจ้ากรรม รถโดยสารของมหาวิทยาลัยก็วิ่งผ่านมา  คนในรถก็มองคอหัน
จุ๊ยก็คงทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะผละออกจากอ๊อด
“ไอ้สัตว์คนเข้าใจกูผิดหมด” จุ๊ยกล่าวพร้อมจัดเสื้อตัวเองให้เรียบร้อย
“มึงล่ะ สัตว์ มึงจะผลักกูตกน้ำ กูก็ต้องกอดมึงสิวะ” อ๊อดโต้
แล้วสองสหายก็กอดคอกันไปพร้อมหัวเราะแซวหยอกกันคิกคัก

“ผมให้ป๊าครับ” จุ๊ยวางซองเงินที่ได้รับมาจากการแสดงดนตรีไว้บนโต๊ะ
“เอามาให้ทำไม” ป๊าตอบ  โดยไม่มองมัน
“เอ็งมีใช้แล้วเหรอ”
“มี แล้วครับ  ผมเก็บไว้ใช้ส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนนี้เอาไว้ให้ป๊าจ่ายค่าน้ำค่าไฟ” จุ๊ยตอบแล้วนั่งลงที่ต๊ะบัญชีเอาใบวางบิลและสมุดบัญชีและเอกสารอื่นๆมาวาง ไว้
บิดาเหลือบมามองเขา
“มัวแต่ไปตะลอนๆเล่นดนตรี  ประเดี่ยวก็เรียนตามเพื่อนไม่ทัน”
จุ๊ยเปิดสมุดบัญชี  ตีเส้นหน้า
“ไม่หรอกครับ  เพราะผมเรียนดนตรี  การเล่นคือการเรียน  ดังนั้นผมไปเล่นก็เหมือนกับไปเรียน แถมได้เงิน”
แล้วเขาก็หันไปเรียงเอกสารวางบิล
“เฮียมันมีแฟนแล้วใช่ไหม”
จุ๊ยเงยหน้ามองบิดา
“ป๊ารู้มาจากไหนครับ”
“หมวยออย  ลูกเจ๊กเอิน ที่อยู่ตลาดสดบอก  เคาบอกว่าเฮียของลื้อมีแฟนแล้วเป็นนักเรียนหมอเหมือนกัน”
จุ๊ยคิด
ออ ย... อ้อเพื่อนของหลิวที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน  แต่ตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับจุ๊ย  และอยู่คณะที่ตึกเรียนใกล้กับตึกเรียนคณะของเฮียตี้  ไม่แปลกหรอกที่จะเคยเห็น  แต่เขาเองเรียนมาจนเข้าเทอมสองแล้วก็ยังไม่เคยเห็น เพราะตึกเรียนของเขาอยู่ห่างจากตึกเรียนของเฮียมาก  เจอกันเองยังนับครั้งได้
“ผมไม่ค่อยได้เจอเฮียที่ม.ครับ  เราเรียนคนละตึก  เอาไว้ผมถามให้นะครับ”
ป๊าไม่ได้ตอบในทันที เงียบไปแล้วกล่าวขึ้น
“เดี่ยวนี้มันทำอะไรไม่ค่อยเห็นหัวป๊าหรอก  บอกมันด้วย  ไม่ต้องแอบๆซ่อนๆ  พามาให้รู้จักกันก็ได้”
จุ๊ยนึกถึงคำพูดของเฮียตอนที่เขาถามเรืองนี้
“ครับแล้วผมจะบอกเฮียเอง”
ซัวกลับมาจากข้างนอกด้วยท่าทางอิดโรย
“ไปทำอะไรมา” จุ๊ยถาม
“เปล่า ก็ไปเรียน” ซัวตอบ
 จุ๊ยหันมองนาฬิกา แสดงเวลาสองทุ่มแล้ว
“เรียนจนถึงป่านนี้เลยเหรอ”
“ก็บอกว่าไปเรียนไง ฟังไม่รู้เรื่องเหรอเฮีย” ซัวตอบเสียงดัง หันมามองหน้าตาเขม็ง 
แต่เห็นตาจุ๊ยที่สบด้วยแล้วก็อ่อนลง  ก่อนเดินไปเงียบๆ
จุ๊ยก้มหน้าลงทำงานต่อไป เพื่อไม่ต้องถูกตั้งคำถามโดยป๊า  แต่ในใจยังสงสัยเรื่องแววตาคู่นั้นอยู่
 
กว่าจุ๊ยจะเคลียร์บัญชีเสร็จ ก็เกือบเที่ยงคืน  แต่จุ๊ยก็ยังอยากจะลองดูว่าน้องชายหลับหรือยัง
จึงเดินขึ้นไปที่ห้องนอนบนชั้นสี่  แต่พอดีกับซัวเดินสวนลงมา
ทั้งคู่เลยหยุดมองหน้ากันที่กลางบันได
“เฮียมีอะไรรึเปล่า”
จุ๊ยมองหน้าน้องชาย
“แล้วมึงละมีอะไรจะคุยกับเฮียไหม”
ซัวหันหนีแววตาของจุ๊ย
แต่จุ๊ยกลับดึงเขามาใกล้ๆ
“ไหน ดูสิว่าเป็นหนุ่มขึ้นไหม... ไอ้ห่า... สิวขึ้นนี่ สิวเครียดหรือสิวเงี่ยน  อย่างมึงนี่ไม่น่าจะมีสิวเงี่ยนเลยนี่หว่า  มีสาวมากดบัตรคิวรอ”
ซัวเผลอยิ้มออกมา
“อาบน้ำแล้วไปนอนไป  อย่าลืมเอาแป้งโรยไข่ด้วย  จะได้นอนสบาย” จุ๊ยขยี้หัว  แล้วกำลังจะเดินลงมา
แต่ซัวกลับดึงร่างเขามากอดจากข้างหลัง
“ผมขอโทษครับเฮีย ผมเสียงดังกับเฮีย”
จุ๊ยก็เอนหัวไปให้หัวตัวเองโดนหัวของซัว
“กู ก็ผิดที่พักนี้ไม่ค่อยได้ดุยกับมึง  ถ้ามึงอยากจะคุยกับเฮีย  ก็มาที่ห้อง  หรือไม่เดี่ยวกูไปเล่นดนตรีมา แล้วจะซื้อโทรศัพท์มาให้มึงจะได้โทรหาได้”
ซัวถอนหายใจแล้วตอบ
“ผมมีแล้วเฮีย  ผมไปทำงานพิเศษได้เงินมา  ก็เลยเอาไปซื้อโทรศัพท์  รุ่นถูกๆน่ะเฮียทัชก็ไม่ค่อยไป”
จุ๊ยขานว่าอืม
“แล้วเป็นไงบ้างตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” จุ๊ยถาม
ซัวไม่ตอบในทันที แต่แค่การกอดทีแน่นขึ้นก็ทำให้จุ๊ยรับรู้ได้
“ถ้า ผมไม่ไหว  ผมจะบอกเฮียเองเมื่อผมไม่ไหว  แต่ขอผมจัดการเองก่อนนะเฮีย  ผมอยากเก่งเหมือนเฮียที่จัดการได้ทุกเรือง  ผมอยากพึ่งตัวเองได้บ้าง”
จุ๊ยเอาหัวโขกมันสองทีเบาๆ
“หัว ขี้เลื่อยโง่ๆอย่างมึงจะทำอะไรได้  แต่ก็เอาวะ  โตแล้ว  เอาเป็นว่ากูไว้ใจมึง  ถ้ามึงอยากจะขอความช่วยเหลือ ก็อย่าลืมว่ากูยินดีจะช่วยมึงเสมอ”
“ครับเฮีย”
“ไปอาบน้ำเหอะ” จุ๊ยปลดมือแล้วหันมาขยี้หัวมันเบาๆ
“ไปทำงานร้านเซเว่นมาแหง่เลยใช่ไหม  กลิ่นนมกลิ่นไส้กรอกติดตัวมึงเต็มไปหมด เดี่ยวกูก็เผลอแดกเข้าไปหรอก ยิ่งหิวๆอยู่”
“เอาแขนไปกินก่อนไหมเฮีย...วันนี้ล้างท่อดักไขมันพอดีเลย”
“อี๊แล้วมึงมากอดกูเนี่ยนะ”
“อ้าวก็นึกว่าเฮียชอบ”
 
ซัวอาบน้ำเสร็จแล้ว  เขาก็เดินมานั่งขยี้หัวตัวเองบนเตียง
มองไปก็เห็นรูปถ่ายของเขากับเฮียจุ๊ยตอนที่เป็นเด็กที่ไปเที่ยวลาวกันแล้วยืนแฮ๊กท่ายอดมนุษย์กันหน้าประตูชัย
กี่ปีแล้วหนอ..
ตอนนั้นอาม๊ายังอยู่เลย 
พออาม๊าตายไป  ก็มีเฮียจุ๊ยนี่ล่ะเอาใจใส่ดูแลเขา  เฮียจุ๊ยเป็นทั้งเพื่อนและพี่ชาย  เป็นคนที่ซัวรักมากที่สุดในชีวิตนี้
“ผมจะพยายามครับเฮีย” เชากล่าวกับใบหน้าทะเล้นๆของพี่ชาย
 
 จุ๊ยถอนหายใจยาวกับเรื่องที่อาจารย์บรรยายอยู่หน้าห้อง
“ไม่ยักรู้ว่าทฤษฏีมันจะยากเย็นขนาดนี้” จุ๊ยส่ายหัว
“ก็แม่งเล่นมาตั้งแต่ห้าขวบ ไม่ยักเคยรู้ว่า...ไอ้บรรพบุรุษของเปียโนเป็นอะไร  แล้วกูก็ไม่อยากรู้ด้วย  กูก็แค่เล่นมัน  มันก็ส่งเสียงไปตามที่กูเล่น  มาเรียนแบบนี้กูก็เลยรู้เลย  วันหลังเจอเปียโนกูต้องกราบสักการะบรรพชนมันด้วยริปล่าวะ”
“เอาน่าเรียนๆไป” อ๊อดกล่าวแต่ตาก็จะหลับแล้ว
“เรียนแล้วเอามาเล่าให้กูฟังด้วย กูไปเฝ้าพระอินทร์ก่อนนะ  มีนัดเล่น Four season ให้ท่านฟัง”
ฮ้อ ยที่กำลังจดยิกๆหันมา  มันเป็นเอกลักษณ์ของฮ้อย  เพราะเขาไม่ได้มีพรสวรรค์เลิศเลออย่างจุ๊ย และไม่ได้เป็นศิลปินตัวจริงเหมือนอ๊อด  ดังนั้นการเรียนรู้ของฮ้อยจึงใช้ความขยันขันแข็งและใฝ่รู้
“แต่อาจารย์ก็บรรยายน่าเบื่อเกิน” ฮ้อยว่า
จุ๊ยถอนหายใจแล้วหันไปมองนอกห้องบรรยาย
“นายนทีธาร”
จุ๊ยสะดุ้ง
“ครับผม” เขาขานเสียงหวาน
“นอกหน้าต่างมันไม่มีสิ่งที่ออกข้อสอบหรอก  หันมามองหน้าฉันนี่  ตรงนี้มีข้อสอบ” อาจารย์สาววัยกลางคนกล่าว
“คร๊าบ... มิน่า.. อย่างกับพิณโบราณเลย” จุ๊ยตอบออกไปตามภาษาปากไว
เพื่อนหัวเราะกันครื้น
“นี่เธอว่าฉันแก่เหรอ” อาจารย์เสียงเขียว
“อ้อเปล่าครับ  ผมหมายถึงเสียงอาจารย์เหมือนฮาร์ฟไม่มีผิด  ไพเราะจับใจ”  จุ๊ยแก้คำพูด  แล้วยิ้มหวานอีก
เพื่อนโห่ฮากัน
“แล้วนั้นใคร  อธิการ ใช่ไหม”
จุ๊ยเอาศอกถองอ๊อด
“ตื่น เฮ้ยตื่น..”
แต่อ๊อดลองได้หลับ ก็คอพับไม่รู้เรื่อง
“อ้อ  มันไปเฝ้าพระอินทร์ เล่น Four season Vivaldi ให้ฟัง  อาจารย์รอหน่อยนะครับ  เดี่ยวจบมันก็ลงมาเอง” จุ๊ยกล่าวแล้วถองซอกซ้ำ
อาจารย์ส่ายหัว ก่อนจะกวักมือเรียก
“มานี่เลยทั้งคู่ มายืนตรงนี้จะได้ไม่เบื่อ  มาฟังเสียงฮาร์ฟใกล้ๆตรงนี้เลย”
“ครับ” จุ๊ยลุกขึ้นแต่ อ๊อดก็ยังไม่ตื่น
เขาเลยดันมันจนตกเก้าอี้
เพื่อนหัวเราะกันลั่นห้อง
 
“เรื่องหัวหินอาทิตย์นี้ว่าไง”
พอโดนถามจุ๊ยเลยเงยหน้า จากนิตยสารที่กำลังอ่าน

“อ้อ เออ... กูบอกพ่อกูไว้แล้วหละ  ก็คงไปน่ะ”
“ดีๆ ขาดมึงไป ก็ไม่มีตัวโจ๊กสิวะ” เจ้าของฝ่ามือที่ตบลงมาคือหน่อง เพื่อนร่วมคณะ
“กูไม่ว่างนะ” อ๊อดตอบ
“กูมีงานทั้งสองวัน”
หน่องทำหน้าเซ็ง
“ได้ไงวะ  ขาดคู่หูคู่ฮา  งานก็กร่อยไปครึ่งสิวะ”
“โอ้ย...” ฮ้อยร้อง
“แค่ไอ้จุ๊ยปล่อยหมาในปากออกมา  พวกมึงก็ฮากันท้องแข็งแล้ว”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 29 : พายุกระหน่ำ ความสัมพันธ์ในหนึ่งคืน
ที่จริง แม้ปากจะบอกว่าไปเที่ยวกัน แต่ก็เหมือนไปตั้งวงกินเหล้านอกสถานที่มากกว่า เพราะมาถึงก็เข้าที่พักและเตรียมตั้งวงกินเหล้า  ตอนแรกจุ๊ยคิดว่ามีแต่เพื่อนที่เรียนคณะเดียวกัน  แต่กลับมีเพื่อนๆของเขาจากคณะอื่นมาร่วมด้วยหลายคน  หนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขารู้จักดี
“ไม่เจอกันนานเลยนะจุ๊ย” การทักทายจากหญิงสาวใบหน้าสวยทำให้จุ๊ยต้องงง
“ออยเหรอ.. โหสวยจนจุ๊ยจำเกือบไม่ได้” จุ๊ยร้องออกมาหลังนึกอยู่ครู่
ที่จริงเขาก็ดูออกว่าเธอเหมือนจะไปทำศัลยกรรมจมูกมานิดหน่อย
“ใครๆก็ว่าจุ๊ยปากปีจอ  แต่รู้สึกจอตัวนี้จะปากหวานนะเนี่ย” ออยกล่าว แล้ววางมือบนต้นแขนของจุ๊ย
จุ๊ยมองมือของเธอ
“จุ๊ยมาช่วยกูยกถังนี่หน่อยวะ” เสียงตะโกนคืออ้นที่ยืนอยู่กับเต้ สองเพื่อนในคณะ
แล้วจุ๊ยก็ยกมือบอกออยในลักษณะขอตัว
ออยมองจุ๊ย เดินไปช่วยเพื่อนยกถังน้ำแข็งใบใหญ่ขึ้นไปบนระเบียงของบังกะโล
ออยยิ้ม เธอเป็นลูกสาวของญาติห่างๆของจุ๊ย  จุ๊ยเรียกบิดาเธอว่าเจ๊กเอิน  สมัยเด็กๆเธอจุ๊ยและหลิวเคยวิ่งเล่นด้วยกัน  แต่ตอนหลังพ่อของเธอย้ายไปบ้านไปเปิดของชำที่ฝั่งตลาดสด  ก็เลยห่างๆกันไป  แต่กระนั้นเธอก็ยังสนิทกับหลิวเพราะเรียนโรงเรียนเดียวกัน
เธอ ยอมรับว่าอิจฉาหลิวมากๆ ที่ยังใกล้ชิดกับจุ๊ย  เพราะเธอนั้นชอบจุ๊ยตั้งแต่เด็กๆ  แล้วยิ่งชอบขึ้นอีกเมื่อจุ๊ยไปเล่นดนตรีที่โรงเรียน  ภาพจุ๊ยกับแซกโซโฟนพิมพ์ใจเธอมานานมาก
เธอแอบเก็บรูปทุกรูปของจุ๊ยที่เพจแซกเสียงหวานเอามาโพสต์ และถึงขนาดเคยใช้เป็นวอลเปเปอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้าน
แล้วออยก็ยิ้มออกมา
“ในเมื่อเธอไม่อยู่เฝ้าของเธอเอง  ฉันขอแล้วกันนะหลิว”
 
บรรยากาศ ริมทะเล  ออยนั่งมองจุ๊ยเล่นมุกเลียนเสียงอาจารย์ผู้สอนให้เพื่อนดู  แล้วทุกคนก็หัวเราะกันสนุกสนาน  จุ๊ยเป็นเหมือนเมือสมัยก่อนไม่ผิด  ยังคงเป็นคนอารมณ์ดีทีสร้างความสุขให้คนอื่นได้
สักพักจุ๊ยก็ขอตัวไปห้องน้ำ  ออยจึงหันไปหยิบเอาแก้วมาผสมเครื่องดื่ม 
ตอน ไปเข้าห้องน้ำ มีโทรศัพท์เรียกเข้า เป็นสายจากเดฟ  นั้นทำให้จุ๊ยแปลกใจที่เดฟก็ถูกชวนมาด้วย  เดาว่าฮ้อยคงยุ  เพราะอยากจะให้เดฟมาแกล้งเขา 
แต่ด้วยความที่ว่า บรรดาเพื่อนๆเริ่มองค์ลง  เอาเครื่องดนตรีมาเล่นกันเสียงดังพอสมควร  ทำให้เขาต้องมายืนตอบสายเดฟในระยะห่างพอสมควร
 “เออ แล้วเจอกัน” จุ๊ยตอบแล้วกดโทรศัพท์วางสาย 
หันมาออยยืนอยู่ข้างหลัง  ยืนแก้วเหล้าผสมให้
“แอบหยดกระทิงกับน้ำแดงลงไปรึเปล่า” เขารับแก้วมาไกวดู
“จุ๊ยแพ้นะ  ลองได้กินสองอย่างนี้พร้อมเหล้า  เมาหลับทุกที”
“เปล่าหรอก แต่หยดยาเซ๊กซ์ลงไปสองหยดเอง” เธอกล่าวกลั้วหัวเราะ
จุ๊ยทำเสียงหึๆ
“ไม่ต้องพึ่งยาหรอก  เจอสวยๆอย่างออย จุ๊ยก็หื่นแน่นอน”
ออยยิ้มและหยอดหางตาให้
“เออ แล้วหลิวเขาจะกลับมาเมือไหร่” เธอถามแล้วเอาเอวพิงกับขอบระเบียง
“เห็นว่าปีนี้ไม่กลับนะ  เพราะกำลังปรับตัว  กลับปีหน้า” จุ๊ยตอบแล้วพิงระเบียงในอาการเดียวกัน
ออยนิ่งไปสักพัก
“ตกลงจุ๊ยกับหลิวก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆใช่ไหม”
จุ๊ยหันมามองหน้าเธอ  เขาบอกตามตรงว่าเริ่มประติดประต่อภาพของออยกับเด็กหญิงกะโปโลสมัยเด็กไม่ได้แล้ว
“ก็ยัง  จุ๊ยว่ามันเร็วไป” จุ๊ยตอบแล้วจิบเครื่องดื่มอีก
“เราเป็นเพื่อนกันแบบเดิมก่อน  แล้วค่อยคิดว่าจะเป็นอะไรต่อหลังจากเธอกลับมา”
ออยยิ้ม
“หลิวนี่โง่นะ”
จุ๊ยหันมามองหน้าเธอ
“ถ้าเป็นออย เจอคนอย่างจุ๊ยจะรีบคว้าไว้เลย  ยิ่งเนื้อหอมๆอยู่ด้วย ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายรุมกันขนาดนี้”
จุ๊ยหัวเราะ
“ผู้หญิงยังพอว่า  แต่ไอ้ผู้ชายนี่สิ...” แล้วเขาก็นึกถึงหน้าเดฟขึ้นมา
“ปวดหัว” เขากล่าวแต่ก็อมยิ้ม
 
จุ๊ยรู้สึกหัวมึนๆขึ้นมากระทัน  จนต้องสั่นหน้าบ่อยๆ 
“เป็นอะไรวะจุ๊ย  เมาเหรอ”
ฮ้อยถามเพราะตอนนี้หน้าของจุ๊ยเหมือนมึนงง
“ไม่รู้วะมันงงๆ มึนหัว”
แล้วเขาก็ลุกขึ้น  แล้วเซไปนิดหนึ่ง
“เฮ้ยๆ” หน่องร้องตอนหันมาเห็น
“อะไรวะไอ้จุ๊ยเมาแล้ว”
“พวกมึงต้องมีใครแอบหยดกระทิงกับน้ำแดงให้กูแดกชัวร์  กูไปนอนแป๊บเดียวออกมา”  แล้วเขาก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน
ออยนั่งสังเกตเหตุการณ์ทั้งหมด  แต่เธอก็ยังหันไปคุยกับเพื่อนกลุ่มของเธอต่อไป
 
จุ๊ย รู้สึกหัวหมุนแปลกๆ  แม้จะล้มตัวลงนอนแล้วก็ยังรู้สึก  เขาเริ่มแปลกใจกับอาการตัวเอง เพราะมันทำให้เขาทั้งงงงวยและพลุ่งพล่านแปลกๆ
สักครู่หนึ่งเขาก็ได้ยินเหมือนคนเข้ามาภายในห้อง
“เป็นยังไงบ้างจุ๊ย” แล้วก็ประคบลงมาด้วยผ้าอุ่นๆที่ข้างแก้มจุ๊ย
จุ๊ยลืมตามอง 
“ไม่เป็นไรเดี่ยวจุ๊ย..” จุ๊ยชะงักไปแค่นั้น  เพราะริมฝีปากอุ่นของเธอประกบลงมา
ตอน นี้จุ๊ยรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น  มือของเธอลูบไล้บนอกของจุ๊ย แล้วเลื่อนลงไปเรื่อยจนกระทั้งถึงขอบกางเกง  แล้วก็ต่ำลงช้าไปเหนือซิบ
ความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้ผลักด้นจากภายใน
ออยพรมรอยจูบบนคอของจุ๊ย
“ออยชอบจุ๊ยมากเลยนะ” เธอกระซิบ
จุ๊ยไม่อยู่ในอาการจะควบคุมสติ  เขาจึงตอบสนองไปตามความรุ้สึก
อารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้เตลิดไปไกลลิบ  ร่างกายสัมผัสร่างกาย  แนบชิดและเบียดไปมา  ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีของธรรมชาติ
จุ๊ยขยับกายไปตามแรงพลักดันนั้นอย่างไม่สามารถยับยั้ง 
ทว่าเมื่อความรู้สึกไปใกล้ถึงจุดสูงสุด
“พี่รักจุ๊ยนะ” เสียงกระชิบกระเส่าแผ่วเบาที่ข้างหู  แต่คือเสียงจากอดีตกาล
“พี่รักจุ๊ยนะ”
“พี่ไตร” เขาพึมพำออกมา ก่อนทิ้งตัวลงบนกายของหญิงสาว 
 
จุ๊ยพล่อยหลับไปแต่สักครู่ก็รู้สึกตัวตื่น 
พอหันไปมองข้างตัว ก็รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน
ออยหลับสนิท
จุ๊ยรู้สึกว่ามันอลม่านไปหมด  เขาสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เขาหันไปเห็นเสื้อผ้าตัวเอง จึงสวมใส่
พอ ใส่เสื้อผ้าแล้ว ก็ลูกขึ้นจะเดินออกจากห้อง  แต่ก่อนออกก็หันไปมองออยที่หลับซุกอยู่ในผ้าห่ม เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่กับเรื่องที่เกิดขึ้น... 
“นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย  นี่กูทำอะไรลงไปวะ”
 
พอออกมาเพื่อนก็เป่าปากกันเกรียวกราว  สังเกตว่าตอนนี้มีแต่เพื่อนผู้ชายเท่านั้น ส่วนสาวๆคงกลับไปที่บังกะโลของตัวเองกันหมดแล้ว
“เว้ย.. เฮ้ยไอ้จุ๊ย  เป็นไงวะ  กูนึกว่าจะไม่ออกมาจนกว่าสว่างเสียแล้ว” อ้นแซว  แล้วรินเหล้าส่งให้
“เด็ดเปล่าวะ เซ๊กซี่ขนาดนั้น”
จุ๊ยไม่ตอบแต่รับแก้ว นั่งลงข้างฮ้อยที่มองหน้าเขา
พอนั่งลงฮ้อยก็กระซิบ
“มึง... ไอ้เดฟมาแล้วนะ มันนี่หล่ะเป็นคนเข้าไปเจอ ไอ้หน่องมันเห็นมันยืนอยู่หน้าประตู  แล้วก็เดินออกไป  แล้วพวกมันถึงได้เริ่มนับคน  ถึงได้รู้ว่ามึงกับออยอยู่ด้วยกันข้างใน”
จุ๊ยนิ่งไป  แล้วโดยที่ฮ้อยไม่ตั้งตัว  จุ๊ยก็กระแทกแก้วแล้วลุกขึ้น
“เดฟอยู่ไหน” จุ๊ยถาม
“กูเห็นมันไปทางโน้น” ฮ้อยตอบ  แต่ยังงงๆกันท่าทีของจุ๊ย
แล้วจุ๊ยก็เดินฉับๆไป
เพื่อนมองหน้ากัน
“เฮ้ยเป็นเรื่องเว้ย ศึกชายสองหญิงหนึ่งเว้ยเฮ้ย”
“ไม่ใช่ๆ  ชาย หนึ่ง  หญิง หนึ่ง เกย์หนึ่ง”
เพื่อนตีมือกันกราว
แต่ฮอยไม่ขำด้วย
 
รถของเดฟจอดอยุ่ที่ลานซึ่งมองออกไปเห็นทะเล  เขาจึงเปิดประตูแล้วนั่งอยู่ข้างในมองออกไปในความมืดของท้องทะเล
เสียงฝีเท้าเดินฉับมาๆ  เขามองเห็นจุ๊ยเดินมาจากกระจกมองข้างของรถ
จุ๊ยเดินมาถึงก็ยืนนิ่ง
“กู..” เขาลากเสียง แต่นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อ
“ผมเข้าใจ “เดฟตอบ
“จุ๊ยเป็นผู้ชายนี่เนอะ  เจอสาวๆก็ต้องเป็นแบบนี้หล่ะ”
แล้วก็เงียบไปทั้งคู่
“ผมก็แค่ไม่เข้าใจว่า ทำไมคนที่ต้องเจ็บปวดที่สุดคนหนึ่ง ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้คนแรกด้วยตัวเองทุกครั้งไป  มันก็แค่สงสัยน่ะจุ๊ย”
จุ๊ยขยับมาตรงหน้าเดฟ
เดฟเงยหน้ามอง
“ผมโอเคจุ๊ย  ผมเตรียมใจมาตั้งแต่เริ่มชอบจุ๊ยแล้ว  ผมโอเค”
แต่น้ำตาก็ร่วงลงมา
เขากำลังจะปาดน้ำตา ทว่าจู่ๆจุ๊ยก็ขยับเข้ามาใกล้ย่อตัวลงสบตา 
แล้วอย่างรวดเร็ว  จุ๊ยก็ประกบปากจุมพิตเดฟ
แม้จะตกใจและตื่นเต้นต่อสัมผัสของจุ๊ยเพียงไร  แต่กลายเป็นเดฟที่หันหน้าหนี
“อย่าจุ๊ย อย่าเลย... อย่าทำแบบนี้  ผมบอกจุ๊ยแล้วว่าผมจะเป็นคนเดิมให้จุ๊ย  เราพอแค่ตรงนี้  แล้วผมกับจุ๊ยจะได้เป็นเหมือนเดิม”
จุ๊ยที่อยุ่ในอาการย่อตัว  ทิ้งกายลงกับพื้น
“กูขอโทษเดฟ”
แล้วทั้งสองก็นั่งกันอยู่ในท่านั้นอยู่นาน
“แล้วจุ๊ยจะทำยังไง  ตอนนี้เพื่อนๆรู้กันหมดเลยนะจุ๊ย”
จุ๊ยส่ายหน้า
“ไม่รู้เหมือนกัน...”
เดฟก็ลุกมานั่งข้างๆ
เงยหน้ามองฟ้า
“ไม่ว่ายังไง  ผมจะเป็นกำลังใจให้จุ๊ยเอง”
จุ๊ยเงียบมองกรวดทรายบนพื้น
“กอดกูหน่อยได้ไหม”
เดฟหันมองหน้าจุ๊ย  เห็นคล้ายจะเป็นเกล็ดน้ำบางๆจับที่ขอบตา
แล้วเขาก็โอบจุ๊ยไว้  จุ๊ยก็ซบหัวลงบนไหล่ของเดฟ
“กูขอโทษที่ทำให้มึงเจ็บปวดเสมอ... แล้วก็ขอบใจที่มึงไม่เคยทิ้งกูไว้ลำพังเลย” จุ๊ยกล่าว
 

เพื่อนที่ตามออกมาดูเห็นได้ไม่ถนัดนักเพราะอย่างแรกคือตรงนั้นมืดมาก  แถมตัวรถของเดฟยังกีดขวางสายตา
“อะไรของมันวะ  มันทำอะไรกัน” อ้นถามกับหน่อง
“กูจะไปรู้มันไหม”  หน่องตอบ
ฮ้อยที่ตามมาด้วย กอดอกมองไป
เขา คือคนที่รู้เห็นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มากที่สุด  ปัญหาของไอ้จุ๊ยคือปัญหาจากตัวมันเอง  ไม่ใช่คนที่เข้ามา  ปัญหาคือไอ้จุ๊ยมันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไงกับความรู้สึกของตัวเองดี ต่างหาก  หวังว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้มันรู้  และทำให้มันเลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้จริงๆ
“ไม่ว่ามึงจะตัดสินใจยังไง จุ๊ย... มึงรู้อะไรไว้อย่างหนึ่ง  กูก็จะเป็นเพื่อนมึงเหมือนเดิม” แล้วเขาก็หันหลังกลับ
“พวกมึงก็แอบกันอยู่ได้  อยากจะรู้ก็เข้าไปดูใกล้ๆเลย” ฮ้อยว่าแล้วเดินไป
“เฮ้ยแล้วปล่อยมันไว้อย่างนี้เลยเหรอ” หน่องถาม
“จะดีเหรอ”
“ดี” ฮ้อยหันมาตอบ
“มันไม่มีอะไรมากกว่านี้หรอก มึงเชื่อกูสิ”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 30 : รอยยิ้มที่หายไป
ฮ้อยกับอ๊อดนั่งมองจุ๊ยนั่งอ่านนิตยสารดนตรี  และขานตอบต่อออยที่มักจะขัดด้วยการเอาภาพบนอินสตราแกรมให้ดู
ตอน นี้ก็ผ่านไปได้สองเดือนแล้วที่สองคนนี้เริ่มคบหากันจริงๆจังๆ  จากที่สังเกตผิวเผินแล้วทั้งคู่ก็ไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนคู่แฟนคู่อื่นๆ  เพียงแต่ในสายตาคนที่รู้จักจุ๊ยมาก่อน  ต่างก็รู้สึกผิดปกติ 
ความผิดปกติอยู่ที่การแสดงออกและอารมณ์ของจุ๊ย
แต่จนป่านนี้อ๊อดก็ยังไม่กล้าถามกับจุ๊ยว่าตกลงรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“มึงว่ามันโอเคไหมวะ” อ๊อดถามกับฮ้อยเสียงเบาๆ
“ก็ คงโอเคมั๊ง เมื่อเช้ากูก็เห็นมันออกมาจากคอนโดของออยนะ  ออยเขามีคอนโดอยู่ใกล้ๆนี่ด้วย เห็นไอ้จุ๊ยมันบอกว่าออยเขาขอพ่อให้ซื้อเพราะอ้างว่าเดินทางไกล กลัวกลับบ้านดึก”
“เฮ้ยขนาดซื้อคอนโดเพื่ออยู่กับไอ้จุ๊ยเนี่ยนะ” อ๊อดทำตาโต
“เอ๊ยไม่ใช่  มีมาก่อนแล้ว  แค่ไอ้จุ๊ยมันต้องไปส่งทุกเย็น” ฮ้อยแก้
“แปลว่ามันคงโอเคใช่ไหม” อ๊อดทำหน้าคิด
“ก็ดูสนิทสนมกันดีนี่น่า”
“ไม่รู้สิ”  ฮ้อยถอนหายใจ  กลายเป็นเขาที่แย้ง
“มึงว่าสองเดือนมานี่ อะไรที่หายไปจากไอ้จุ๊ย”
อ๊อด มองหน้าเพื่อน แล้วก็หันกลับไป  ตอนนี้จุ๊ยกำลังเอาโทรศัพท์มาดู แล้วก็พิมพ์ๆ จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์  แล้วอ่านนิตยสารต่อ  ส่วนออยกํยังเพียรเอาภาพจากอินสตราแกรมมาให้จุ๊ยดู จุ๊ยดูแล้วก็ทำหน้าเฉยๆ เหมือนจะเบื่อด้วยซ้ำไป
“มันไม่ค่อยยิ้มเลยรึเปล่าวะ สองเดือนมานี่มันไม่เล่นไม่กวนตีนเหมือนเมื่อก่อนเลย” 
“เออ... แล้วมึงคิดว่ามันใช่ไอ้จุ๊ยที่เรารู้จักไหมล่ะ” ฮ้อยตอบแล้วหยิบถั่วอบที่แกะห่อวางแล้ว วางไว้บนโต๊ะมากิน
“กูว่าจะถาม แต่แม่ง ออยก็ประกบมันแจ  จะคุยๆ ออยก็โผล่มาทุกที”
“เดี่ยวกูถามเอง” อ๊อดยักคิ้ว
“วันนี้ไอ้จุ๊ยมันมีงานตอนค่ำกับกู เดี่ยวกูจะหาโอกาสคุย  แล้วถ้าออยไม่ไปก็ยิงสวยเลย”
 
“มึงไม่สบายรีเปล่าวะจุ๊ย” ฐาถามหลังจากจบการแสดงแล้ว 
จุ๊ยกำลังเก็บแซกโซโฟนใส่กล่องขานว่าหือ
ก่อนจะส่ายหน้า
“ทำไมอะพี่ หน้าผมเหมือนป่วยเหรอ”
“ก็ไม่ขนาดนั้น  ที่จริงเอ็งมีแฟนแล้ว พึ่งคบกันใหม่ๆ น่าจะโลกเป็นสีชมพูสิวะ”
จุ๊ยเผยอปากส่งเสียงฮึ
“ก็ชมพูอยู่... แต่ว่าพี่รู้แล้วเหรอเนี่ย”
“รู้หมดมหาลัยแล้วมั้ง” โย่งกล่าวออกมา
“ก็ทั้งฝั่งคณะเรา คณะแฟนมึงคุยกันแซด  ว่าแฟนมึงเข้าหามึงก่อน เขายังบอกว่า...”
“ไอ้โย่ง” ปานปราม
แล้วเขาก็เดินมาตบบ่าจุ๊ย
“เฮ้ยอย่าคิดมาก  แค่มึงสองคนรักกันก็ ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน”
จุ๊ยไม่ได้ตอบ  หยิบนั่นหยิบนี่
จนปานกับโย่งเดินออกไป
“ตกลงเอ็งก็เลือกแบบนี้ใช่ไหม” ฐาถาม
จุ๊ยหันมามองหน้า
ฐาเป็นหนึ่งคนที่รู้เรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับเขา
“ผมมีทางเลือกอื่นด้วยเหรอพี่” เขาตอบ  “ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วผมก็ควรรับผิดชอบใช่ไหมครับ”
 
จุ๊ยยืนรออ๊อดอยุ่ตรงประตูทางออกห้างสรรพสินค้าที่เป็นสถานที่ทำงานในวันนี้
สักพักอ๊อดก็วิ่งมาพร้อมกับกล่องไวโอลิน
“เฮ้ยขอโทษ  พอดีมัวแต่คุยเรื่องงานหน้า”
แม้จะเล่นงานเดียวกัน  แต่อ๊อดกับจุ๊ยก็เป็นคนละวง  จึงเล่นไม่พร้อมกัน
“ไปหาอะไรกินกัน  กูหิว” จุ๊ยเป็นออกปากก่อน
อ๊อดก็กำลังจะออกปากพอดีเลยไม่ต้องตอบแต่กอดคอจุ๊ยไป
 
ระหว่างนั่งกินก๊วยเตี่ยวเจ้าอร่อย  อ๊อดคอยเหลือบมองจุ๊ย เป็นระยะเพื่อสังเกตุอาการ
“มึงโอเคปล่าววะ” อ๊อดถาม
“มึงรู้ตัวไหมว่ามึงเหมือนคนวิญญาณหลุดจากร่าง หรือไม่ก็อกหักมากกว่ามีความรักนะเว้ย”
“กูก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายนี่หว่า” จุ๊ยตอบ แล้วยิ้มออกมา  แต่นั่นดูฝืนมากๆสำหรับอ๊อด
“มึงคิดมากหรือเปล่า”
อ๊อดถอนหายใจ  พักตะเกียบ
“มึงมองตัวเองไม่เห็นจุ๊ย  ตอนนี้มึงไม่เล่นไม่แกล้งกู ไม่หยอกอาจารย์มาเป็นเดือนๆแล้วนะจุ๊ย”
จุ๊ยถอนหายใจ
“เฮ้ยเดียวสิวะ  กูกำลังปรับตัว  กูแค่ไม่ชินกับการมี.. แฟน”
การวรรคของจุ๊ยมันทำให้รู้สึกเหมือนจุ๊ยจะพูดคำนั้นออกมาได้ยาก
“จุ๊ย  กูไม่เข้าใจนะเว้ย  ที่จริงมึงจะไม่ต้องทำอะไรอย่างนี้ก็ได้  มันแค่เซ็กซ์คืนหนึ่งรีเปล่าวะ  อย่าหาว่ากูเลวเลยนะ  ในเมื่อเขาเข้าหามึงเอง  มึงจะปฏิเสธเลยก็ได้ในวันรุ่งขึ้น”
จุ๊ยเงียบไป
“กูทำไมได้หรอก  เขาเป็นผุ้หญิงนะเว้ย  ถ้าขืนกูทำห่างเหิน คนอื่นเขาจะมองออยว่ายังไง” จุ๊ยตอบ
“กูไม่ได้เลวขนาดได้แล้วทิ้งหรอกนะ”
อ๊อดถอนหายใจ
“พูด ซะหล่อไอ้จุ๊ยเอ้ย... แต่ที่มึงเป็นแบบนี้มึงรู้ไหมว่าเพื่อนเป็นห่วงกัน  ขนาดไอ้หน่องกับไอ้อ้นยังถามกูเลยว่ามึงโอเคไหม  มันยังบอกว่าไม่น่าชวนมึงไปด้วยเลย”
จุ๊ยเงียบไปอีก แต่ก็ตอบออกมาในเวลาไม่นาน
“เฮ้ยพวกมึงอะไรมากไปรีเปล่าวะ  นี่กูมีแฟน นะเว้ย  ไม่ใช่โดนเอาไปขังคุก”
“ก็เหมือนละวะ  แม่งแฟนมึงตามมึงแจขนาดนั้น  นี่ยังสงสัยว่าออยเขาไม่เรียนหรือไงวะ วันๆมาติดหนึบแต่กับมึง” อ๊อดส่ายหัว
จุ๊ยยิ้มจางๆ  คีบลูกชิ้นกิน
“แต่ ทั้งหมดมันแปลว่าเขารักกูรึเปล่าวะ  มึงคิดดูดีๆ  เค้าเป็นผู้หญิง  แต่กลับกล้าทำอะไรแบบนี้  ก็แสดงว่าเขารักกูจริงๆ  แล้วมึงจะทำยังไงกับคนที่รักมึง  มึงจะใจร้ายกับเขาได้หรือวะ”
อ๊อดไม่อยากจะโต้ตอบ  เพราะที่จริงก็ถูกต้อง 
เสียงบีบแตรรถขัดจังหวะการสนทนา
มองไป เห็นรถสปอร์ตคันหรูของอาราอิเทียบเข้ามาข้างถนน
“อ้าวมาได้ยังไงหล่ะนี่ พ่อดาราใหญ่” อ๊อดกล่าว เพราะคาดไม่ถึง

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 31 : ที่พักใจ จุ๊ยขอหลบฝนชั่วคราวนะ อาราอิ
พอส่งอ๊อดแล้ว  อาราอิจึงกล่าวกับจุ๊ย ในระหว่างขับรถมุ่งหน้าไปบ้านจุ๊ย
“เห็นเดฟบอกว่าจุ๊ยมีแฟน”
จุ๊ยไม่ได้หันมา แต่มองไปตามข้างทาง  มองสูงมองต่ำเหมือนค้นหาอะไร
“เขาว่าชื่อออย” อาราอิกล่าวต่อ  พอดีรถติดไฟแดงเพราะมีการซ่อมถนนข้างหน้า หันมาก็ยังเห็นจุ๊ยมองขึ้นมองลงเหมือนเคย
“มองอะไรน่ะจุ๊ย” อาราอิชักสงสัย
“ก็หาไง  ว่ามีใครเขาขึ้นคัทเอาร์ทประกาศหรือไงว่าฉันมีแฟน  ทำไมใครต่อใครก็รู้ไปหมด” จุ๊ยตอบ
อาราอิหัวเราะ
“นี่หาว่าฉันสอดรีเปล่าเนี่ย”
จุ๊ยยิ้ม
“เปล่า แค่... ขอโทษนะ” แล้วขยับหน้ามาใกล้ๆ
“เสือก”
อาราอิสะดุ้งเพราะน้ำลายของจุ๊ย
“โอ้โห แค่ด่าอย่างเดียวก็ได้ไม่ต้องพรมน้ำมนต์”
จุ๊ยหัวเราะออกมาบ้าง  นี่เหมือนจะเป็นเสียงหัวเราะอย่างจริงจังแรกในรอบหลายๆวันของจุ๊ยเลยก็ได้
พอหัวเราะแล้วจุ๊ย สีหน้าของจุ๊ยก็ดีขึ้น
แต่แค่เดี่ยวเดียวเท่านั้น
โทรศัพท์ดังขึ้น  จุ๊ยเอาออกมารับ
“ครับออย” จุ๊ยกล่าวทัก
ออยพูดอะไรบางอย่างที่โยชิไม่ได้ยิน
“ไม่ได้หรอกออย  จุ๊ยนะไปที่นั้นบ่อยๆตอนกลางคืนได้ยังไง มันไม่เหมาะ”
พูดแล้วเหลือบตามองอาราอิ
แม้จะฟังอยู่แต่อาราอิก็แกล้งทำเป็นมองโน่นมองนี่
“ก็ไม่ใช่ อย่างนั้น  ออยอย่าทำอย่างนี้สิ  เมื่อวานจุ๊ยก็ไปแล้วไง  จุ๊ยก็ต้องกลับบ้านมาช่วยป๊าทำงานบ้างสิ”
ออยพูดบางอย่าง
จุ๊ยถอนหายใจ แล้วตอบไปว่า
“ได้ครับ... ได้”
แล้วเขาก็วางสาย
จุ๊ยเงียบไปนานเลยที่เดียวจนกระทั้งรถเคลื่อนตัวได้  อาราอิก็ทำท่าจะออกรถ
“ไปกินเหล้ากันไหม” จุ๊ยกล่าวออกมา
อาราอิหันมามองหน้า
“อะไรนะ”
“กินเหล้าไง  สาเกก็ได้  อะไรก็ได้” จุ๊ยตอบแต่ไม่มองหน้าอาราอิ
 
อาราอิเลยตัดสินใจพาจุ๊ย ร้านเหล้าญี่ปุ่นที่เขาไปนั่งดื่มประจำ  พอสั่งสาเกมา จุ๊ยก็ดื่มเอาดื่มเอาแม้นอาราอิจะเตือนว่าอาจเมาได้
แล้วก็จริงๆ  ปรากฏว่าขาออกจากร้าน อาราอิต้องโอบประคองจุ๊ยออกมาจากร้าน
“ไปนอนบ้านฉันแล้วกันนะ  ถ้ากลับบ้านจุ๊ยตอนนี้มีหวังพ่อจุ๊ยว่าแน่ๆ  ผมจะพลอยซวยไปด้วย  พาลูกชายเขาไปเมาขนาดนี้” อาราอิกล่าว
แต่จุ๊ยตอบได้แค่อือ...
อาราอิถอนหายใจเฮีอกโตหลังจากทำการปล้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของจุ๊ยและเช็ดตัวแล้ว  ดูเหมือนจุ๊ยจะเมามากจนไม่ได้สติอะไรแล้ว  เคราะห์ดียังไม่อ๊วกออกมา  แต่กระนั้น อาราอิก็เตรียมพร้อม เรียกให้แม่บ้านเอาทั้งถุงขยะและสารพัดอุปกรณ์มาไว้ในห้องนอน
และเพราะจุ๊ยยึดเตียงไปแล้วอาราอิก็เลยต้องต้องมานอนที่เก้าอี้นวมใช้นอนเอกเขนกแทน 
มองไปจุ๊ยก็นอนอุตุ แถมกรนออกมาด้วย
เขาอมยิ้มแล้วนึกถึงวันแรกที่เจอกัน
 
ตอนนั้นเป็นตอนที่พ่อของอาราอิประสบอุบัติเหตุหนักมาก  จนหมอบอกให้เขาทำใจแล้ว  แต่อาราอินึกอยากให้แม่เขามาดูอาการพ่อจึงเดินทางมาประเทศไทยเพียงคนเดียว  เพื่อหวังจะตามหาแม่ ทั้งที่เขามีเพียงหมายเลยโทรศัพท์ของแม่เท่านั้น 
และจากบทสนทนาสั้นๆ  ทำให้เขารุ้ว่าแม่ไม่ได้อยู่กรุงเทพแต่ไปพัทยา  แต่เขามีเวลาไม่มากนักจึงตัดสินใจตีตัวรถโดยสารเดินทางไป แต่ตอนนั้นเขานั้งรถผิดก็เลยเลยไปถึงระยอง  แล้วก็ได้เจอกับจุ๊ย
ตอนแรกก็ไม่ได้สะดุดใจอะไรกับเด็กผุ้ชายที่น่าจะอายุน้อยกว่าเขา  แต่พอเขาคุยไลน์กับนามิจังถึงอาการของบิดา  เขาก็หลั่งน้ำตาออกมาอย่างลืมตัว
“เฮ้ๆ ยูน่ะ” เสียงพร้อมสะกิดเรียกจากข้างตัว
หันไปก็เห็นดวงหน้าจีนๆ ที่จริงก็คล้ายๆคนญี่ปุ่นอยู่  มีสิ่งโดดเด่นคือดวงตาที่แจ่มใสมองเขาแต่ฉายแววอาทร
“วอท์ไปแคนเฮลไหม  ยูหลง..เอ้ย...” แล้วเกาหัว...
“เหี้ยอะไรวะ... ลูสหรือลอส... สัตว์เอ้ย  ลอสก็ได้วะ”
“ยูน่ะลอสเหรอ.. ไอ เอลยูไหม” 
ตอนนั้นที่ทำให้เข้าไม่เข้าใจคือภาษาอังกฤษของเด็กชาย แต่ภาษาไทยน่ะชัดเจนทุกคำ
 
“นาย น่ะน่ารักตอนยิ้มตอนหัวเราะ  ถ้านายไม่ยิ้มไม่หัวเราะ  โลกจะสดใสได้ยังไง”  อาราอิกล่าวแล้วหลับตาลง นึกถึงตอนที่     เดฟมาบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังและร้องขอ
 
“โยชิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”  เดฟบอกกับเขาตอนที่เดินเจอกันระหว่างไปเข้าเรียน
“เอาสิ”
แล้วเขากับเดฟก็ออกมาคุยกันที่สวนข้างตึก
“พักนี้ได้คุยกับจุ๊ยบ้างไหม” เดฟถาม
“ก็คุยนะ ทางไลน์บ้าง เฟสบ้าง โทรคุยบ้าง  แต่พักนี้จุ๊ยเขาเหมือนไม่ค่อยว่างคุย” อาราอิตอบ
เดฟพยักหน้าช้าๆ
“แล้วรู้รีเปล่าว่าจุ๊ยมีแฟนแล้ว”
อาราอินิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบ
“เหรอ  มิน่าไม่ค่อยว่างคุยกันเลย สงสัยมัวแต่คุยกับแฟน”
“ไม่หรอก  ตอนนี้เขาเหมือนไม่อยากคุยกับใครมากกว่า  ตอนนี้  เขาแทบไม่ยิ้มเลยด้วยซ้ำ” เดฟกล่าว
ก่อนจะเล่าให้ฟังทั้งหมด
“นาย สนิทกับจุ๊ยพอสมควรเลย  ฉันก็เลยคิดว่านายน่าจะช่วยได้  คือตอนนี้เพื่อนสนิทๆก็ลองคุยกับเขาไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมพูดว่าทำไมเขาเปลี่ยนไป คือตอนนี้เดฟเป็นห่วงเขานะ  เพราะจริงๆแล้วเขาควรจะมีความสุขใช่ไหม  แต่ทำไมรอยยิ้มของเขาหายไป” เดฟพูดออกมาเหมือนรำพึง  มองไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าอาราอิ
จากนั้นก็นิ่งไปสักครู่  แล้วก็กล่าวออกมาโดยหันมามองหน้าอาราอิด้วยแววตาร้องขอ
“ตอน นี้ก็คงมีแต่นายมั๊งที่ยังไม่ได้ลอง  เพราะดูเหมือนจุ๊ยจะไว้ใจนายมากพอสมควรเลยหล่ะ  ถ้านายลองคุยกับเขาดู  เขาอาจเล่าก็ได้ว่าทำไม”
 
“นายจะไม่ถามฉันเหรอว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้” จู่ๆเสียงของจุ๊ยก็ดังขึ้น
อาราอิลืมตา
จุ๊ยที่เขาคิดว่ากำลังนอนสบาย ตอนนี้อยู่นั่งอยู่บนเตียง
“อ้าวนี่ไม่ได้เมาหลับหรอกเหรอ” อาราอิแปลกใจ
“ก็ อยากจะเมาเหมือนกัน  แต่ฉันมันเป็นประเภทประสาทแข็งน่ะ ไอ้สาเกของนายมันไม่ได้ทำให้เราเมาขนาดไม่ได้สติหรอก  แต่ก็เมาอยู่นะตอนที่นายลากตัวเราออกมาเนี่ย” เขายิ้มจางๆ
“แต่นายนี่แรงเยอะเป็นบ้า ปล้ำจนถอนเสื้อผ้าฉันหมดได้  นี่ขนาดใส่กางเกงยืนต์ฟิตๆแล้วนะ ชัดขืนก็แล้ว  ก็ไม่รอด  นึกว่าจะโดนข่มขืนเสียแล้ว”
อาราอิหัวเราะ
“นายนี่มันสุดยอดจริง” อาราอิส่ายหัว
“มิน่า ทำไมมันถึงได้แรงเยอะนัก  เกือบใช้คาราเต้จัดการให้หลับไปจริงๆแล้วรู้ไหม”
“แบบ ที่นายถีบประตูเหรอ... ก็กลัวเหมือนกันนะ  ตัวล็อกตั้งสองตัวนายถีบทีเดียวหักเลย  ถ้าเป็นยอดอกเรา  มีหวังตาย” แล้วจุ๊ยก็ลูบอกเบาๆเหมือนเสียวจะโดนถีบอย่างปากว่า
แล้วทั้งคู่ก็เงียบกันไป ก่อนจุ๊ยจะกล่าวออกมา  โดยก้มหน้ามองผ้าปูที่นอน
“เรา ไม่คิดเลยนะ ว่าการมีแฟนครั้งแรกจะกลายเป็นแบบนี้  โดนแฟนเข้าหาก่อน  แถมยังต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่อยากทำตั้งหลายอย่าง” จุ๊ยกล่าวเสียงปนความเศร้าแม้จะมีรอยยิ้ม
“เดฟมันเล่าให้ฟังถึงขนาดไหน” จุ๊ยถามเพื่อตรวจสอบดู
“ก็เยอะ” อาราอิตอบ  แล้วเดินมานั่งบนเตียง
“ก็ ตั้งแต่ต้น  ว่านายรู้จักแฟนคนนี้มาก่อน เพราะเป็นเพื่อนของหลิว  แล้วก็เกิดอะไรขึ้นที่หัวหิน  แล้วตอนนี้นายเป็นยังไง  อาการผิดปกติอะไรบ้าง”
จุ๊ยนิ่งไป
นานพอสมควรก่อนเขาจะถอนหายใจ
“เราเหมือนโดนแบล็กเมล์ยังไงก็ไม่รู้น่ะอาราอิ”
อาราอิมองหน้าเขา
จุ๊ยมองลงต่ำ แต่ไร้จุดหมาย
“ที่จริงฉันก็ไม่ควรเล่านะ  แต่ไม่รู้สิมันอึดอัดนะ  อาราอิ”
อาราอิยังไม่พูดอะไร  จนจุ๊ยเล่าต่อไป
“คือจริงแล้ว  มันก็เข้าใจหรอกนะว่าออยชอบฉันจริงๆ  แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน  ควรจะทำยังไง หรือรู้สึกยังไง ดีใจไหม  เพราะออยจู่โจมฉันอย่างกับสายฟ้าฟาดขนาดนั้น  มันยังมึนไปหมดเหมือนโดนหมัดแมนนี ปาเกียวเข้าปลายคางเลย  ฉันก็พยายามจะคุยกับเขาแล้วนะ  ว่าขอให้มันหยุดแค่ตรงนั้น  แต่เธอบอกว่า..” จุ๊ยสูดลมหายใจยาว
“ถ้าฉันไม่คบกับเธอ  เธอจะเล่าเรื่องนี้ให้หลิวฟัง”
 
แล้วเขาก็เงียบไป นึกถึงตอนที่เขาพูดกับออยอย่างจริงจังในวันที่กลับมาจากหัวหินและไปส่งเธอที่คอนโดมิเนียมที่พัก
“เธอยืนยันท่าเดียวว่าจะคบกับฉันให้ได้  และไม่ยอมแน่ถ้าหากฉันจะทิ้งเธอไป  ถ้าฉันทำแบบนั้นเธอจะโทรไปบอกกับหลิวเรื่องของเธอกับฉัน”
จุ๊ยเงียบไปนิดหนึ่งก่อนเล่าต่อ
“ฉัน หลิวแล้วก็ออยเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่อนุบาล  สำหรับฉันออยก็เห็นเพื่อนที่ดีในวัยเด็ก  ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมออยถึงมาชอบฉัน  แถมทำอะไรขนาดนี้   แล้วเธอกับหลิวก็เป็นเพื่อนสนิทกัน  ถ้าออยบอกเรื่องนี้  มันจะกลายเป็นแตกหักความสัมพันธ์ระหว่างเราจนหมดเลย  แถมฉันก็คงรู้สึกแย่ไปอีกถ้าหากหลิวจะต้องมารับรู้เรื่องนี้แบบกะทันหัน  หลิวคงต้องเสียใจมากๆ  ฉันก็เลยไม่รู้จะทำยังไงดี”
ตาของจุ๊ยเคยแจ่มใสเป็นนิตย์ แต่ตอนนี้หม่นหมองและสับสน
อาราอิขมวดคิ้ว  กดลมหายใจลึกๆแล้วกล่าว
“แต่ จริงๆแล้วก็ไมเกี่ยวกันนี่  นายกับหลิวก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย  แล้วอีกอย่าง  ต่อให้ปิดตอนนี้  จะปิดตลอดไปได้ไหม  ตอนนี้เรื่องของจุ๊ยเป็นเรื่องซุบซิบในหมู่เพื่อน  ถ้าไม่รู้จากเพื่อนคนอื่น  หลิวเขาก็อาจรู้จากคนใกล้ตัวนายอย่างพี่ชายของนายที่เรียนที่เดียวกัน  คือยังไงไม่ช้าก็เร็ว  เธอก็ต้องรู้อยู่ดีใช่ไหม”
จุ๊ยเงียบไป  แล้วนอนลง
“อาจเป็นฉันเองก็ได้นะที่ไม่พร้อม... ฉันอาจไม่พร้อมจะเห็นคนเสียใจเพราะฉันมากไปกว่านี้แล้วก็ได้  ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วหละ  นายรู้ไหมตอนที่ฉันเห็นเดฟร้องไห้เพราะฉัน  ฉันอยากจะร้องตามไปด้วยเลย  นายรุ้รึเปล่าว่าฉันรู้ว่าเดฟรักฉันมากแค่ไหน  เดฟทำหลายอย่างมากมายเพื่อฉัน  แต่ฉันก็ทำให้เดฟเจ็บปวดซ้ำไปซ้ำมาด้วยตัวฉันเอง  คือฉันรู้สึกว่าเป็นคนที่ทำร้ายเขาตลอด ทั้งที่ก็รู้ว่าเขารักฉัน”
อาราอิมองหน้าจุ๊ย  ก่อนนอนลงข้างๆ
“ถ้าฉันต้องทนเห็นหลิวที่รักฉันมากเหมือนกันอีกคนหนึ่ง  ต้องมาร้องไห้เพราะฉันอีก  มันไม่ไหวนะ  หลิวเป็นเพื่อนฉันมาแต่เด็กๆ  เลย สนิทกันมาก.. การทำให้เธอต้องร้องไห้  มันเป็นเรื่องเลวร้ายมาเลยสำหรับฉัน”
แล้วเขาก็หลับตาลง  แต่กล่าวต่อไป
“ส่วนจะให้เราปฏิเสธหรือหนีออย  มันก็ไม่ใช่วิสัยลูกผุ้ชายรีเปล่า  ในเมื่อฉันกับเขามีอะไรกันขั้นนี้ไปแล้ว  ฉันจะบอกเลิก หรือเมินเธอมันก็ไม่ควรใช่ไหมหล่ะ  แล้วแน่นอนเธอก็ต้องเสียใจมากด้วย แล้วเธอเป็นผุ้หญิงจะแบกหน้าทนคนนินทาได้หรือ  ฉันก็เลยต้องทำแบบนี่เพื่อรักษาหน้าเธอไว้ด้วยเหมือนกัน”
อาราอิถอนหายใจยาว  เขาชั่งใจที่จะพูดออกไป  แต่ก็ตัดสินใจพูด
“ปัญหาของนาย จุ๊ย.. คือตัวนายเอง  นายคือคนที่เป็นปัญหา  นายใจอ่อนและรักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง  ห่วงคนอื่นและไวต่อความรู้สึกของคนอื่น  นายคิดแต่จะถนอมน้ำใจคนอื่นจนไม่คิดถึงหัวใจตัวเอง  นั้นยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง... ถ้านายใจแข็งกับเธอ  เธอก็เสียใจก็จริง  ซึ่งจริงๆแล้วเธอก็ควรจะทำใจให้ได้แต่แรกเพราะเธอคือคนที่เข้าหานายก่อน  ถ้านายปฏิเสธไป มันก็จบไง  ถึงหลิวจะรู้  ก็คงต้องให้อภัยนาย เพราะจะว่าไปนายก็ไม่ได้ผิดอะไร  นายเป็นผู้ชาย  ถ้าโดนผู้หญิงเข้าหาเวลาเมา  แล้วเผลอใจไปบ้าง  นั้นก็เพราะมันคือสัญชาติฌาณของผุ้ชาย คิดว่าหลิวน่าจะพอเข้าใจและอภัยให้นายได้”
 “แต่ ถ้านายเลือกออย  เพราะนายถือว่าเธอเป็นคนของนายแล้ว  นายก็ควรจะปล่อยหลิวไปให้เร็วที่สุด  ไม่ใช่รั้งไว้อย่างนี้  ยิ่งเวลาผ่านไปแล้วปรากฏว่าหลิวไปรู้จากคนอื่น... มันจะไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่เหรอ  สู้นายเป็นบอกเธอเอง  แบบนั้นเราว่าน่าจะดีกว่า  เพราะไม่ว่านายเลือกแบบไหน  ที่สุดนายก็ต้องบอกเธออยู่ดี  แล้วไม่ว่าเลือกแบบไหน  ที่สุดก็ต้องมีคนเสียใจอยู่ดี”
“แต่ตอนนี้กลายเป็นนายก็ต้องมาทนแบกโลกเอาไว้คนเดียว  แล้วเรื่องก็ไม่ได้จบ  คาราคาซังไปเรื่อยๆ  ครั้งนี้นายคิดผิดมากๆ”
 จุ๊ยไม่ได้ตอบ  แต่ถอนหายใจออกมา
“ส่วนเดฟ  ถ้านายไม่ใจอ่อน เกินไป ตั้งแต่แรกๆ  ถ้าไม่ได้ชอบก็บอกไป  เดฟก็จะไม่ถลำหัวใจรักนายจนเป็นอย่างนี้  ฉันว่า ถ้าตอนนั้นถ้านายปฏิเสธจริงๆจังๆ  เขาอาจจะเจ็บ แต่ก็คงจะตัดใจได้เร็วกว่านี้  และเจ็บน้อยกว่านี้  แต่เพราะนายไม่ได้ทำ  เขาเลยมีความหวังไปเรื่อยๆ  แล้วทำโน่นทำนี่ให้นายจนนายเองก็คงลำบากใจมากขึ้น  และเริ่มได้เห็นว่าเดฟรักนายแค่ไหนอย่างจริงจัง”
“มา ตอนนี้กลายเป็นว่านาย ก็กลัวหลิวเสียใจ กลัวออยเสียใจ กลัวเดฟเสียใจ  แล้วที่สุดถ้านายพบว่าตัวเองไม่รักออยจริงๆ  นายเองก็เสียใจด้วย” อาราอิขมวดปมตอนท้าย
จุ๊ยฟังแล้วก็เงียบไปนานมากพอๆกับที่อาราอิพูดกับเขา  จนอาราอิเองชักอึดอัดขึ้นมา  เขาก็เลยกำลังจะถาม แต่จุ๊ยก็พูดออกมาเสียก่อน
“ขอบใจนะที่พูดตรงๆ  ฉันเป็นอย่างนั้นจริงๆนั้นหล่ะ  นายพูดเหมือนใครคนหนึ่งเลยนะอาราอิ”
อาราอิหันมา เจอกับสายตาจุ๊ยที่หันมาก่อนแล้ว
แล้วจุ๊ยก้บอาราอิก็จ้องตากันอยู่อย่างนั้น
แล้วโดยที่อาราอิไม่ทันได้ตั้งตัว  จุ๊ยก็พลิกตัวมากอดเขาไว้  แล้วซบกับไหล่ของอาราอิ
“ขอที่ให้ฉันพักสักนิดอาราอิ  ฉันเหนื่อยเหลือเกิน”
อาราอิหลับตาลงแล้วพลิกตัวกอดจุ๊ยไว้บ้างเอาแก้มแนบกับผมของเขา
“ฉันยินดีเสมอจุ๊ย  ขอให้นายสบายใจก็พอ”
ทั้งสองกอดกันอย่างนั้น  จนจุ๊ยที่สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากอาราอิ นั้นทำให้เขาอบอุ่นหัวใจ  จนค่อยๆพล่อยหลับไป
ส่วนอาราอิเมื่อรู้สึกว่าจุ๊ยหลับไปแล้วเขาก็ไม่อาจห้ามใจให้รั้งรวบร่างจุ๊ยแนบชิดแล้วก็ซุกหน้ากับผมของจุ๊ยจนตัวเองหลับไปบ้าง

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 32 : รอยยิ้มที่คืนมา
ความไม่คุ้นเคยทำให้จุ๊ยตื่น  แต่พอตื่นมาก็พบว่าหน้าของอาราอิอยู่นั้นอยู่เกือบชิดกัน  ริมฝีปากก็เกือบจะสัมผัสกัน  เขาเลยค่อยๆผลักออกไปเพราะกลัวอาราอิจะตื่น
พอปลดวงกอดแล้วเขาก็ลุกขึ้นจากเตียง  หันไปมอง อาราอิที่ยังหลับอยู่พลิกตัวนอนหงาย   แล้วก็เขาก็เดินเข้าห้องน้ำไป
 
จุ๊ยยืนอยู่หน้ากระจกนาน พอสมควรแล้ว แต่ทั้งหมดที่ทำคือมองหน้าตัวเอง
 “ปัญหาของนายจุ๊ยคือตัวนายเอง  นายคือคนที่เป็นปัญหา  นายใจอ่อนและรักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง “
คำพูดของอาราอิช่างคล้ายคลึงกับคำพูดของใครบางคนในอดีต
เขาถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
“หรือไม่จริงๆแล้ว เรามันแค่คนเห็นแก่ตัวอาราอิ  เราก็อาจแค่กลัวจะเสียความรักของพวกเขาไปก็ได้”
แล้วจุ๊ยก็ก้มลงวักน้ำล้างหน้า
แต่พอเงยหน้ามาก็ต้องสะดุ้ง  เพราะเห็นอาราอิยืนอยู่ข้างหลัง
“ขวัญอ่อนจริงๆ” อาราอิว่า แล้วเอาผ้าขนหนูส่งให้  จากนั้นก็แปรงสีฟัน
จุ๊ยก็เลยหันไปหยิบยาสีฟันที่เสียบไว้ในกระบอกข้างกระจก
“ขอบใจนะ  รบกวนนายมากเลย”
อาราอิยิ้ม
“ก็วันหลังฉันจะไปค้างบ้านของนายบ้าง  นายก็ดูแลฉันบ้างก็แล้วกัน”
จุ๊ยเริ่มต้นสีฟันไปแล้ว จึงขานว่าอือ
“อาบน้ำก่อนนะ  เดี่ยวไปส่งที่บ้าน”
ว่าแล้วอาราอิก็ถอดเสื้อ
“อือออ” จุ๊ยส่งเสียงท้วง
อาราอิมองหน้า แต่ก็ยังถอดกางเกงอีก
จุ๊ยบ้วนยาสีฟันทิ้ง
“ทำอะไร”
อาราอิเอามือเกาะที่ขอบกางเกงในบีกีนี่
“ก็อาบน้ำ  จะให้อาบทั้งใส่เสื้อผ้าได้ไง”
“เฮ้ยบ้าเหรอ  แต่เรายังยืนอยู่นี่  นายจะมาแก้ผ้าอะไรตรงนี้” จุ๊ยท้วง
“อ้าว..” อาราอิไม่ได้หยุดแต่ถอดกางเกงในออกอีกต่างหาก
“จะเป็นอะไรไป เราเคยชินแล้วจุ๊ย  ที่ญี่ปุ่นผู้ชายเขาก็แก้ผ้าอานน้ำด้วยกันเป็นปกตินั้นหล่ะ”
จุ๊ยหันขวับหนี
“ไอ้บ้า แต่นี่เมืองไทย”
พอเห็นจุ๊ยหน้าแดง  อาราอิเลยนึกสนุก แกล้งเดินมาแนบชิดแล้วกระซิบ
“ก็ฝึกไว้สิ  เอาไว้จะพาไปเที่ยวญี่ปุ่น  ไปออนเซนกันสองคน”
จุ๊ยก็เลยถองศอกเข้าให้
“ไปเลยไป  อาบให้เสร็จมายืนโทงเทงอยู่ได้”
อาราอิหัวเราะแต่กุมท้องตรงที่โดนศอก
“อาบด้วยกันเลยไหม”
“ไม่..”
“เอาน่า.. เดี่ยวถูหลังให้”
“ไปเลยไป”
“ถูอย่างอื่นให้ด้วยก็ได้นะ”
“ไปไกลๆเลย  นี่นายมันหื่นพอกับไอ้เดฟเลยนะเนี่ย”
 
ซัวเดินลงมาโดยมีเสื้อชุดพนักงานร้านสะดวกซื้อพาดบ่าไว้
เดือนเลี้ยวเข้าครัว  ไม่เห็นมีอาหารเตรียมไว้  แสดงว่าจุ๊ยไม่ได้กลับบ้าน
ก็เลยยักไหล่แล้วเดินออกมา 
ตอนนั้นบิดากำลังจะยกกล่องใบใหญ่  แต่ก็ชะงักแล้วลูบที่หลังทำหน้าเจ็บปวด  แต่กระนั้นก็ทำท่าจะยกอีก
“ป๊าผมช่วย” ซัวออกปากแล้วรีบเข้าไป
บิดามองลูกชายยกกล่องบรรจุอุปกรณ์การก่อสร้างออกไปวางหน้าร้าน
“วันหลังถ้าเฮียไม่อยู่ ป๊าก็เรียกผมก็ได้นะ” ซัวกล่าว  แล้วก็หันไปยกลังไม้อีกใบ
“อันนี้ไว้ตรงไหน”
“ก็ถัดไปนั้นหล่ะ” อาป๊าตอบ
ซัวก็ยกไปวาง  แล้วหันไปคว้าไม้สอยมาเอาพวงสินค้าออกไปแขวน
“ลื้อกินอะไรรึยัง”
“ยังเลยป๊า” เขาตอบ
“ป๊ากินอะไรไหม เดี่ยวผมไปซื้อให้” ซัวตอบแล้วเหลือบมองบิดา
บิดาก็หันหลัง
“ไปซื้อปาท่องโก้มาสักยี่สิบ แล้วก็ซื้อน้ำเต้าหู้ของอาแปะก็พอแล้ว  ลื้อจัดร้านไปเถอะ เดี่ยวอั๊วเดินไปซื้อมาให้”
ซัวมองตามหลังบิดา  เขาเห็นบิดาลูบหลังขณะเดินไปที่โต๊ะบัญชีเพื่อหยิบเงิน
 
จุ๊ยมองไปเบาะตอนหลังเห็นกล่องแซกโซโฟนยังอยู่ที่เดิม
อาราอิเปิดประตูรถแล้วนั่งลง
“ไปบ้านก่อนหรือจะไปเรียนเลย”
จุ๊ยจะตอบว่าบ้าน  เพราะตอนนี้แม้เขาจะสวมเสื้อสีขาว  แต่เป็นเสื้อของอาราอิ”
แต่โทรศัพท์ดังขัดจังหวะก่อน
“มอร์นิ้งงง ดาร์ลิงก์” จุ๊ยกรอกเสียงหวาน
แต่อาราอิก็รู้ว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งคนใด
“มึงทำไมยังไม่มาอีก” อีกฝ่ายสวนมาเสียงดังจนอาราอิได้ยิน
จุ๊ยก็เลยนึกได้ว่าวันนี้มีเทสทักษะดนตรี
“ตายห่าละ  โทษๆ จะรีบไปเลย  พวกมึงก็ซ้อมของพวกมึงไปก่อนนะเว้ย”
 
อ๊อด กำลังตรวจสอบสายไวโอลินอีกรอบเพื่อให้แน่นใจว่ามันตั้งไว้อย่างถูกต้อง  มองเห็นจุ๊ยมือจัดวางกระดาษชาร์ตโน้ตกับ สแตนด์ที่วาง  แต่ปากก็หยอกอาจารย์สาวที่เคยเป็นนักร้องและนักดนตรีชื่อดังในทำนองว่า วันนี้สวยเป็นพิเศษ
เขาหันไปสบตากับฮ้อยที่กำลังจัดสแนร์ของชุดกลองให้เข้าที่
แล้วเขาก็หันไปมองอาราอิที่ยืนกอดอกพิงบานประตูห้องอยู่ด้านหลังถัดไปจากกลุ่มเพื่อนๆที่นั่งรอชมและรอสอบเป็นกลุ่มถัดไป
“เอ้าเริ่มได้ แจ้งชื่อเพลง แนะนำตัวด้วย”อาจารย์สาวกล่าว
ฮ้อยเป็นคนบอก
“ผมบารมี  ครับเล่นกลองครับ “
“อธิการ ไวโอลินครับ”
“หล่อที่สุด ผมนทีธาร  แซกโซโฟนครับ” พูดแล้วเก็กเสียงหล่อ เพื่อนเลยโห่กันใหญ่
“พอๆ” อาจารย์ปราม
“เพลง”
สามคนมองหน้ากันก่อน
“Noting gonna change my love for you” ทั้งสามกล่าวออกมาพร้อมๆกัน
แล้วทั้งห้องก็เงียบ
อ๊อด เริ่มก่อน เสียงไวโอลินของเขาเปล่งออกมาอย่างอ่อนหวานนุ่มนวล  ทำให้อาจารย์พยักหน้าช้าๆ  จนกระทั้งถึงท่อนประสานกลองของฮ้อยเริ่มเล่นสร้างจังหวะ  และแซกโซโฟนของจุ๊ยก็ปลดปล่อยพลังออกมา  ทว่าเขาควบคุมให้เข้ากับไวโอลินของอ๊อดอย่างลงตัว 
ตรงนี้สร้างความประหลาดใจไม่น้อย  เพราะคิดว่ากลุ่มนี้จะมาโดยเอาจุ๊ยเป็นตัวชูโรง  แต่กลายเป็นอ๊อดที่เด่นในบทนำแทน
อาราอิกอดอกแล้วอมยิ้มฟังเพลงอย่างเพลิดเพลิน
 
“เอาหล่ะ” อาจารย์เงยขึ้นจากการจดอะไรยิกๆ
“ผ่านนะ” เธอกล่าว
“วันนี้ อธิการเล่นไวโอลีนได้เสียงหวานมาก  แล้วก็แม่นโน้ตมาก  ตรงนี้น่าชมเชย  แต่ยังต้องฝึกพลังอีกนิดเพราะเธอเล่นนำ ฟังแล้วเลยยังอ่อนไปนิดๆ  แต่ก็ใช้ได้ดีเลยหล่ะ”
หันมาฮ้อย
“กลองตรงจังหวะ แล้วก็แน่นมาก  แต่ลงเสียงสแนร์ยังแปร่งไปนิด  แก้หน่อยหนึ่งนะ  แต่ก็เรียกได้ว่าช่วยส่งเครื่องดนตรีอื่นได้ดี”
แล้วก็หันมาหาจุ๊ย  อาจารย์สาวมองหน้าเขาที่ยิ้มทะเล้นๆอยู่ ก่อนจะกล่าว
“ฉัน เคยได้ยินชื่อเธอมาจากหลายๆที่  นึกว่าเธอจะเป็นประเภทโซโลอย่างเดียว... แต่วันนี้ได้มาฟังเธอในแบบวง คงต้องบอกว่าฉันมองเธอผิดไปจริงๆ  จากที่เคยแอบฟังเธอเล่น concerto ในคาบอาจารย์จินไตย ต้องบอกว่าเธอควบคุมพลังเสียงของตัวเองได้อย่างดีเลยในวันนี้ เพราะถ้าเธอปล่อยหมดอย่างวันที่เล่น Concerto เพื่อนเธอคงเอาไม่อยู่ ต่อให้พวกเธอเล่นกันมานานขนาดไหนก็เถอะ”
แล้วอาจารย์ก็ก้มหน้านิดหนึ่ง
“นที ธาร  เธอควรคิดใหม่เรื่องการเรียน... ที่นี่ไม่ใช่ที่จะทำให้เธอเติบโตไปได้อีกแล้ว  เพราะหลักสูตรและบุคลากรที่เชียวชาญมีจำกัด  เธอควรจะไปเรียนรู้จากที่อื่นๆ ที่เขามีความเชียวชาญ กว่า” เธอสบตาจุ๊ยโดยตรง
“ฉัน ก็ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร หรือมีปัญหาอะไร... แต่ฉันแค่ไม่อยากให้คนอื่นๆในโลกพลาดโอกาสจะได้ยินเสียงแซกโซโฟนของเธอ  นั่นมันเห็นแก่ตัวนะ  สำหรับคนที่มีจิตวิญญาณดนตรีดีอย่างเธอ”
“บอกตามตรงฉันดีใจมากที่ได้สอนเธอ  แต่ฉันอยากจะให้เธอไปมากกว่า  เพราะนั่นคืออนาคตของเธอเอง คิดดูให้ดีๆแล้วกัน”
จุ๊ยเงียบไปนิดหนึ่ง  ซึ่งอาราอิเองก็อยากรู้ว่าเขาจะตอบว่าอะไร
แต่สิ่งที่จุ๊ยตอบออกมามีเพียงคำว่า
“ครับ”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 33 : สายฟ้าฟาด เรื่องราวที่ไม่คาดฝันจากออย
“ที่อาจารย์พูดมันถูกนะเว้ยจุ๊ย” ฮ้อยกล่าวขณะร่วมโต๊ะกินข้าว
“หือ” จุ๊ยขานปากยังเคี้ยวข้าวมันไก่หยับๆ
“ก็เรื่องที่อาจารย์สาพูดในห้องไง”อ็อดต่อให้เพราะรู้ดีว่าฮ้อยหมายถึงอะไร
“มันต้องยอมรับว่าทักษะของมึงมันไกลกว่าพวกกูไปเยอะแล้ว  มึงควรไปเรียนกับมืออาชีพเฉพาะทางมากกว่าจะมาจมกับพวกเรา นะเฟ้ย”
จุ๊ยยังไม่ตอบ  ยกน้ำขึ้นจิบกินก่อน
แล้วหันมาทำเป็นเกาะแขนฮ้อยแกล้งร้องไห้กระซิก
“พี่ฮ้อยขา พี่ฮ้อยเบื่อน้องจุ๊ยแล้วใข่ไหมค่ะ  ถึงได้ผลักไสไล่ส่ง กระซิก กระซิก”
“ประเดี่ยวก็จิ้มด้วยตะเกียบ” ฮ้อยกำตะเกียบชูประกอบ
แม้อ๊อดจะหัวเราะขบขัน แต่ก็กำลังสังเกตุอาการที่ผิดไปจากเมื่อวานเป็นคนละคนชองจุ๊ย
 
“ไม่ใช่ไม่ใช่” จุ๊ยโบกนิ้วช้าๆ
“ไม่ได้เลยนะฮ๊า  คุณน้อง คุณน้องต้องผ่อนลมช้ากว่านี้  เอาใหม่สิฮ้า”
“โอยจุ๊ยเราเป่าจนลมจะหมดตายแล้ว “ แหวนเพื่อนในคณะท้วง
“ก็มันยังไม่ได้  จะสอบไหม “ จุ๊ยกล่าวเสียงเข้ม  แต่ก็ดัดเสียงเหมือนเดิมในตอนหลัง
“เอาใหม่นะฮ้า  หายใจออกช้าๆ แต่ต้องให้มีกำลังพอจะเป่า  มันก็ต้องยากหล่ะฮ้า ก็คุณน้องเล่นเลือกเพลงระดับบรมครู  ก็ต้องทนนะฮ้า”
ฮ้อยเอียงคอมองจุ๊ย
“เมื่อวานไอ้โยชิมันเอาอะไรให้ไอ้จุ๊ยกินวะ  ทำไมมันหายบ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมเร็วจัง”
“เออ” อ๊อดประสานความเห็น
“กู ก็งง  แม่งพวกเราคุยกับมันก็แล้ว ปลอบก็แล้ว  แม่งก็เป็นบ้ามาสองเดือนเต็มๆ  ไปกับไอ้โยชิคืนเดียว  กลับมาหายเฉย  นี่ถ้ามันสองคนไม่มีแฟนทั้งคู่  กูต้องคิดว่าไอ้โยชิมันจับไอ้จุ๊ยกดไปรอบสองรอบ ก็เลยหายบ้า เลยนะเนี่ย”
ฮ้อยหัวเราะเบาๆ
“ก็อาจจะก็ได้นะเว้ย”
อ๊อดทำหน้าแปลกๆ
“ไม่มั้ง...”
ตอนนี้จุ๊ยเอามือแตะที่หลังของแหวน กำกับคำพูดว่าช้าๆ
แต่แล้วอ๊อดก็เหลือบไปเห็น
“เฮ้ยๆ” อ๊อดตื่นตัว
“แม่มันมา” เขาจะลุกไปเตือนจุ๊ย ทว่าไม่ทัน
“จุ๊ย” ออยลงเสียงกระแทกพร้อมกับเท้าที่ย่ำลงไปอย่างแรง
“ทำอะไรน่ะ”
แล้วเธอก็ดึงจุ๊ยออกมา
“อะไร.. ก็จุ๊ยสอนแหวนเขาหายใจ”
แหวนลดฟรุ๊ตทื่ถือไว้ ลงหันมามองหน้าออย
ออยเห็นทุกคนหันมามองกันหมด ก็เลยดึงจุ๊ยออกไปจากตรงนั้น
“ตายมึงตาย” ฮ้อยว่าแล้วถอนหายใจยาวๆแล้วมองตามไป
“อะไรวะ  แค่นี้ก็หึงละ” แหวนกล่าวกับอ้น เพราะไม่สบอารมณ์อย่างแรง
“ไม่ล่ามคอไอ้จุ๊ยไว้เลยวะ จะได้ไม่มีใครมายุ่ง”
 
ออยไม่ได้พูดเรื่องเมื่อสักครู่  แต่กลายเป็นว่าต่างคนต่างนั่งหันไปคนละทาง
“เมื่อคืนจุ๊ยไปไหนมา  ออยโทรไปที่บ้านเจอเฮียตี้ บอกว่าจุ๊ยไม่ได้กลับ”
จุ๊ยถอนหายใจ
“นี่ออยโทรไปทำไม  มือถือจุ๊ยก็มีแล้วทำไมไม่โทรมาถามจุ๊ย”
“ก็ถ้าถามจุ๊ยจะตอบเหรอ  จุ๊ยก็ต้องโกหกออยอยุ่แล้วหล่ะ” ออยตอบเสียงเข้ม
จุ๊ยเงียบแล้วหันไปทางอื่น
“ก็ไปนอนบ้านเพื่อนคนอื่น  จุ๊ยมีเพื่อนหลายคน ออยอยากรู้จักหมดเลยหรือไง”
ออยอารมณ์ขึ้น แต่พยายามจะควบคุม เพราะมีเรื่องสำคัญกว่า
“ช่างเถอะ  แต่อย่าบ่อยแล้วกัน” เธอกล่าว  แต่จุ๊ยไม่หันมามองหน้าเธอ
เธอก็เลยลุกไปยืนตรงหน้า
“ออยอยากให้จุ๊ยบอกเรื่องของเรากับหลิวซะที”
จุ๊ยเงยหน้าขึ้นมองหน้าเธฮ
“เราคุยกันรู้เรื่องไปแล้วนี่” จุ๊ยทวง
“ไหนออยบอกว่าจะไม่บังคับจุ๊ยเรื่องนี้”
ออยถอนหายใจหันไปทางอื่น
“ออยประจำเดือนไม่มาสองเดือนแล้ว”
จุ๊ยงงในตอนแรก  แต่คิดไปคิดมา
“ออยนี่ออยจะบอกว่า ออยท้องเหรอ” จุ๊ยถามออกมา ใจก็ภวานาให้เขาเข้าใจผิด
“ใช่ จุ๊ย  ออยท้อง  ถึงเราจะมาป้องกันตอนหลัง  แต่อย่าลืมว่าตอนที่เรามีอะไรกันครั้งแรกจุ๊ยไม่ได้ป้องกันเลย  แล้วออยก็ซื้อชุดตรวจครรภ์มาตรวจแล้วด้วย  ที่เมื่อวานออยโทรตามจุ๊ยก็เพื่อจะคุยเรื่องนี้หล่ะ”  ออยนั่งลงที่เดิม
“ออ ยก็ไม่เรียกร้องอะไรมาก  เรายังไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้  แต่จุ๊ยก็ต้องดูแลออยให้ดีกว่าที่เป็นอยู่  แล้วก็ต้องดูแลเด็กที่จะเกิดมาด้วย  แล้วอย่าคิดว่าออยจะทำแท้ง  เพราะนั้นมันคือการฆ่าลูกของเรา...”
ออยพูดไปมากมาย  แต่จุ๊ยได้ยินแค่ประโยคยืนยันของเธอเท่านั้น
 
 หญิงสาวตักมะม่วงจากถ้วยตัวเองใส่จานของตี้
“ขอบใจนะ” เขายิ้มแป้น
“ก็ตี้ชอบ” เธอตอบ
ตี้จะตอบ แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อน
“เดี่ยวนะ” เขาว่าแล้วมองหน้าจอ
“น้องชายตี้”
 
จุ๊ยนั่งเขี่ยกาแฟปั่นแทนจะดื่มจนมันละลายไปหมด
“อะไรของเอ็งเนี่ยจุ๊ย  สั่งมาก็ไม่กิน  มันแพงนะเอ็ง” ตี้ถาม
“นั้นแฟนเฮียเหรอ” จุ๊ยถามแล้วเหลือบมองหญิงสาวที่แยกไปนั่งรอที่โต๊ะห่างไปพอสมควร
“สวยเนอะ  ทำไมไม่พาไปให้ป๊าดูหน้าสักทีหล่ะ”
ตี้หันไปแล้วหันกลับมา
“ก็คงจะอีกนิดหล่ะตอนนี้ยังก่อน”
“งั้นผมคงต้องขอแซงก่อนนะ” จุ๊ยกล่าว
ตี้หันมากำลังจะบอกว่านึกไว้แล้วว่าจุ๊ยมีแฟนแล้ว เพราะจุ๊ยดูแปลกๆไป
แต่สีหน้าจุ๊ยไม่ค่อยดี
“มีอะไรวะ ไปทำผู้หญิงท้องหรือไง” ตี้ตั้งใจจะหยอก
แต่จุ๊ยกลับพยักหน้า
ตี้นิ่ง  ประเมินน้องชาย
ปกติจุ๊ยเป็นคนขี้เล่นมาก  แต่ขณะเดียวกันก็จริงจังในหลายๆเรื่อง
“จริงหรือเปล่าจุ๊ย”
จุ๊ยก็พยักหน้าซ้ำ
“ท้องกับเอ็งนี่เหรอ” ตี้ย้ำ ก่อนถามต่อ
“คบกันมากี่เดือนแล้ว”
“ก็สองเดือนนิดๆได้น่ะเฮีย”
ตี้ขมวดคิ้วยุ่ง
“จริงเหรอ” เขาถามย้ำ
จุ๊ยก็พยักหน้าอีก
“เฮียช่วยหาวิธีบอกป๊าหน่อยสิ  จุ๊ยนึกไม่ออกเลย”
แต่ตี้ยกมือปราม
“แกแน่ใจเหรอ”
จุ๊ยถอนหายใจ
“ก็อยากไม่แน่ใจนะเฮีย  แต่จุ๊ยพึ่งจะซื้อชุดตรวจให้เธอตรวจก่อนมานี่หล่ะ  ไม่ผิดหรอกเฮีย”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 34 : ความจริงที่เก็บไว้ของออย และความรู้สึกของอัศวะ
ออยนั่งใจลอยเพราะเธอกำลังก้ำกึ่งระหว่างความดีใจที่จุ๊ยรับปากจะคุยกับครอบครัว  แต่ใจหนึ่งก็กังวลอย่างบอกไม่ถูก
แต่แล้วเธอก็ประจักษ์ว่าความกังวลของเธอมาจากอะไร
เพราะเห็นมาจากระยะไกล  เธอจึงคิดจะลุกหนี  แต่เขาวิ่งตามทันก่อน
“ออยเราคุยกันก่อน” ชายหนุ่มผิวสองสีดึงเธอไว้
“เราคุยกันไม่รู้เรื่องนะออย  ทำไมออยไม่รับโทรศัพท์ฮาร์ท”
ออยปลดแขนเขาออก
“เราคุยกันแล้วฮาร์ท  ออยมีแฟนใหม่แล้วด้วย  ระหว่างเราเป็นอันจบแค่นั้น  เพราะฮาร์ทเองต่างหากที่ผิดกับออยก่อน”
“ไอ้ จุ๊ยเด็กดนตรีน่ะเหรอ... ออยก็รู้ว่ามันน่ะแปลกๆ  ใครก็รู้ว่ามันมีดาราเดฟคอยตามประกบ  มันเป็นเกย์รีเปล่ายังไม่รู้เลย” ฮาร์ทพูดเสียงดัง
ออยมองไปรอบๆ เพราะตอนนี้มีนักศึกษาและเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยหลายคนหยุดดู
“พอได้แล้วนะ  สถาบันนี้เป็นสถาบันทรงเกียรติ  อย่ามาพูดอะไรแบบนี้” ออยเสียงแข็งใส่
“ทรงเกียรติ... “ ฮาร์ททวนคำ
“ตอน นั้นไปนอนกับฮาร์ทไม่ทรงเกียรติบ้างหละ  เออฮาร์ทมันโลว์  มันไม่ได้เรื่อง สอบไม่ติดอย่างออย แล้วก็ไม่ได้เก่งกาจเหมือนไอ้จุ๊ย  แต่อย่างน้อยผุ้หญิงทรงเกียรติอย่างออยก็เป็นเมียฮาร์ทแล้วไง...”
“ฮาร์ท” ออยเสียงดังออกมาจนแหลมสูง
“ทำไม รับไม่ได้  ก็ให้มันรู้กันไป  รู้ไปเลยว่านิสิตทรงเกียรติที่นี่มีคนอย่างออย  ผุ้หญิงที่เข้าหาผู้ชายก่อน ออยมันก็แค่...”  พูดได้แค่นั้นแล้วเซไป
ชายหนุ่มร่างสูงทว่าผอมบางพุ่งเข้าผลักเขาอย่างแรง
ฮาร์ทตั้งหลักได้ก็พุ่งเข้ามาคว้าคอ
“ไอ้เนมึงเสือกอะไร”
“ก็มึงหน้าตัวเมียรังแกผู้หญิง” เนติตอบ  เขากับฮาร์ทเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกันมาก่อน คือโรงเรียนสหศึกษาใกล้ๆกับโรงเรียนของออย
“ไอ้สัตว์” ฮาร์ทคำรามแล้วโยนหมัดใส่หน้าเนติจนล้มคว่ำ
ฮาร์ทจะเข้าไปซ้ำแต่โดนนักศึกษาชายสองคนที่หยุดดูเหตุการณ์ขวางไว้ก่อน  นั้นก็คือเดฟกับอัศวะ
เดฟกับอัศวะซึ่งเดินผ่านมาเพื่อไปตึกเรียน ถูกดึงดูดด้วยชื่อจุ๊ย และชื่อของเขาเองก็เลยแอบฟัง
เดฟเหวี่ยงฮาร์ทไปอย่างง่ายดาย ด้วยรูปร่างสูงใหญ่  ฮาร์ททำท่าจะฮึดฮัดแต่อัศวะก้าวเข้ามาขวางทางเขาเลยจำเป็นต้องถอย
ชี้หน้าแล้ววิ่งไป
อัศวะเก็บแว่นของเนติที่กระเด็นไป แล้วเดินกลับมาจุดที่เดฟย่อตัวลงประคองเนติให้ลุกขึ้น
“โอเคไหม  ไปห้องพยาบาลดีกว่าไหม” เดฟกล่าวแล้วส่งผ้าเช็ดหน้าตัวเองให้เนติ
เนติส่ายหัว ก่อนจะหันไปมองออยที่ยืนห่างออกไปด้วยอาการตกใจ
พอโดนมองหน้าออยก็ได้สติ  จะเดินเข้ามาหา  แต่เนติกลับกล่าวกับเดฟ
“ขอบคุณนะ ผมโอเค” แล้วก็เดินจากไป
ส่วนเดฟก็หันมามองหน้าออย ก่อนจะเดินไปโดยมีอัศวะเดินตามไป
 
“เราควรบอกไอ้จุ๊ยไหม” อัศวะถามตอนที่ทั้งคู่นั่งเงียบอยู่ที่ทางเดินของอาคารเรียนที่มีม้านั่งตั้งให้นิสิตรอเข้าเรียน
“ไม่ดีกว่า  จุ๊ยคงจะเสียใจมาก” เดฟกล่าว
อัศวะถอนหายใจแล้วบอก
“ก็ตามนั้น”
จากนั้นก็นั่งเงีบบไปทั้งคู่
“นายนี่รักจุ๊ยมากเลยจริงๆนะ  แคร์ความรู้สึกมันมากเลย” อัศวะกล่าวออกมา
เดฟยกแขนขึ้นโยกเบาๆ  เขารู้สึกเคล็ดเพราะออกแรงฉับพลัน
“ก็ทำไงได้  ผมมันโง่  ถึงขนาดนี้ยังตัดใจไม่ได้สักที”
“แต่ ก็ยังดีที่เดฟกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่เหมือนใครหลายคนที่ไม่กล้า  เพราะมัวแต่กลัว” อัศวะกล่าวแล้วมองบนผนังตึกที่มีโปสเตอร์งานเปิดโลกวิชาการที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้
“บางทีการที่เราเปิดเผย  บางทีมันอาจดีกว่าปิด  แม้จะผิดหวัง  ที่สุดก็ยังได้เปิดเผยตัวเอง  แต่คนบางคนขี้ขลาด  กลัวว่าตัวเองจะผิดหวัง  แต่เดฟไม่เป็นอย่างนั้น  รู้อยู่ว่าจะผิดหวัง  แต่เดฟก็ยังคงซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง”
เดฟมองหน้าอัศวะ
ตอนนี้อัศวะเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเล็กน้อย  คงเพราะการบำรุงอย่างต่อเนื่องตามโปรแกรมเตรียมนักร้องใหม่ของค่ายเพลง ทำให้ผิวสองสีของเขาดูผ่องสะอาด  แต่จริงๆแล้วอัศวะก็นับเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งอยู่แล้ว  ซึ่งจริงในแง่ความหล่อ ดูดีมากกว่าจุ๊ยอยู่เยอะ  จมูกก็โด่ง ดวงตาก็คม คิ้วเข้มแบบคนมีเชื้อสายมอญ
“นายพูดอย่างกับนายแอบชอบใคร  ให้ฉันไปบอกให้ไหม” เดฟกล้าแซวอัศวะมากขึ้นกว่าแต่ก่อน 
ทั้ง ที่สมัยเรียนมัธยมไม่ค่อยได้คุยกัน  แต่มาตอนนี้เนื่องจากอัศวะออกมาช่วยพ่อทำงานของบริษัทเกี่ยวข้องกับแสงเสียง ของงานอีเวนท์มากขึ้น  ทำให้มีโอกาสได้เจอกับเดฟเวลาไปออกงาน  ก็เลยได้คุยกันมากกว่าเดิม  แถมยังเรียนด้วยกันอีก  ตอนนี้เขาและอัศวะจึงไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ และสนิทสนมมาก
และพอได้รู้จักกันมากขึ้นเดฟจึงรู้สึกว่าอัศวะก็เป็นคนน่าคบหา  ออกจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เขาคิดด้วยซ้ำ
อัศวะถอนหายใจ แล้วก็เงียบไป
“อย่า เลย... นอกจากเขาคนนั้นจะเปลี่ยนใจ กับตัดใจก่อน  ถ้าเขาไม่เปลี่ยนใจ  หรือตัดใจต่อให้ฉันที่แอบชอบเขามาตั้งนานแล้วก็ไม่สามารถไปบอกเขาได้หรอก  เพราะเขามีตาไว้มองคนคนเดียว  มีใจไว้รักคนแค่คนเดียว”
คำพูดนั้นมันทำให้เดฟรู้สึกแปลกใจ  และใจหวิวอย่างประหลาด
ทั้งที่นั่นหมายถึงใครก็ได้ทั้งนั้น  และน่าจะหมายถึงผู้หญิงมากกว่า เพราะอัศวะไม่เคยมีท่าทีว่าชอบเพศ.. เดียวกัน
แต่กระนั้น  เดฟอดรู้สึกไม่ได้จริงๆว่าอัศวะหมายถึง..
เดฟนิ่งไปเพราะคิด  เขาหาคำพูดที่จะตอบ  ทั้งนี้เพื่อสองเหตุผล
“แล้วถ้าแค่เปิดใจหล่ะพอไหม  ขอเปิดใจลองให้คนอื่นเข้ามาแทน”  เดฟกล่าวออกไปเพื่อนำทาง
และเหตุผลที่สอง คือให้รู้ว่ากันไปว่า หมายถึงใครกันแน่
“จะให้ลืมบางทีมันยากนะ  แต่ถ้าค่อยๆเปิดใจ  ก็อาจทำได้  เพียงแต่นายจะทนได้ไหม  เพราะความฝังใจมันไม่ได้ลบได้ง่ายๆ”
อัศวะเงียบไป หันไปมองทางอื่น 
เดฟเริ่มตีความว่าอัศวะคงไม่ได้หมายถึงตัวเขาเอง
พลันความรู้สึกสองอย่างเกิดขึ้น  คือ โล่งใจที่อย่างน้อยก็ยังวางตัวได้ถูก  แต่ก็รู้สึกคล้ายจะเจ็บจี๊ดๆ
“ฉัน ขอแค่นั้นล่ะ  ขอแค่นั้นจริงๆ  ขอที่ให้ฉันยืนในหัวใจที่มีไอ้จุ๊ยอยู่เกือบเต็ม  ขอให้ได้ยืนตรงนั้นบ้าง  อย่างน้อยถ้าวันหนึ่ง  นายไม่สามารถให้ฉันยืนได้จริงๆ  ฉันก็จะเดินออกไปอย่างไม่ค่อยเจ็บปวดมาก เพราะทำใจไว้แล้ว  แล้วก็ยังดีกว่าเจ็บโดยไม่มีโอกาสเลย”
อัศวะกล่าวออกมาไม่ได้หันมาเต็มๆเพราะหวั่นใจ  แค่เพียงชำเรืองมองมา
เดฟรู้สึกว่าถึงความแปรผันไปอย่างฉับพลัน  ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าตกลงตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่กับสิ่งที่เกิด
 นี่อัศวะกำลังสารภาพรักเขาอย่างนั้นหรือ
“ขอแค่นั้นจริงๆ” อัศวะกล่าวย้ำแล้ววางมือตัวเองบนมือของเดฟอย่างแผ่วเบา
แม้จะเหมือนเยือกเย็น  แต่ใจของเขากำลังเต้นระรัว  กลัวว่าเดฟจะดึงมือออกไป
อัศวะไม่สามารถระบุได้ว่าเขาชอบเดฟตอนไหน  แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าทำไม 
อัศวะรู้ตัวอยู่แล้วว่าตัวเองชอบผู้ชายด้วยกัน  แต่เพราะเขากลัวว่าคนอื่นจะมองเขาไม่ดี ก็เลยปิดบังความรู้สึกเรื่อยมา 
จริงๆแล้วจะว่าไปคนแรกที่เขาชอบคือจุ๊ยด้วยซ้ำไป เพราะตอนม.สองที่เขามีปัญหากับพ่อจนหนีออกจากบ้าน  เขาก็ไม่รู้จะไปไหน  เลยมานั่งที่โรงเรียน   
แต่ปรากฏว่าวันนั้นจุ๊ยอยู่ซ้อมดนตรีจนดึกเกือบสองทุ่มก็เลยมาเจอกับเขา จุ๊ยทำให้เขาสบายใจ  แล้วยังไปส่งเขาที่บ้าน  เขาประทับใจในตัวจุ๊ยมาก 
แต่กับเดฟมันเริ่มจากการที่เขารู้สึกทึ่งที่เดฟกล้าเปิดเผยตัวเองกับคนอื่น  และกล้าบอกรักจุ๊ย  ต่อมายิ่งได้รู้ว่าความรักของเดฟบริสุทธิ์แค่ไหน  เขาก็ยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวเดฟมากขึ้น  เรื่อยๆ  จนกระทั้งเมื่อยิ่งเจอบ่อยๆ เขาก็ยิ่งอยากเจอเดฟ  กว่าจะรู้ตัวเขาก็เริ่มรู้สึกหึงขึ้นมา  ไม่ใช่หึงตัวจุ๊ยแต่หึงตัวเดฟ  เขาเริ่มไม่พอใจที่เดฟไปใกล้ชิดกับจุ๊ย...
การ รอคำตอบจากใครแม้เป็นช่วงเวลาไม่นานเท่าไหร่แต่ช่างทรมานใจอัศวะ  แต่เขาก็ทำใจไว้แล้ว  เพราะเขาสัญญากับตัวเองว่าสักวันจะต้องบอกเดฟให้ได้ว่าเขาชอบเดฟ  ไม่ว่าเดฟจะรู้สึกอย่างไรกับเขา
กระนั้นมันนานจนอัศวะเกือบยอมแพ้แล้ว เขาคิดจะพูดออกไปเองว่าไม่เป็นไร  แต่ทว่า.. เป็นเดฟที่เอ่ยออกมา
“อืมได้...แต่ ตอนนี้ก็ให้ได้แค่นี้หล่ะ  ตกลงแค่นี้ก่อน  แล้วสักพักฉันคงจะหาที่ให้นายยืนได้เต็มตัว”  เดฟกล่าวโดยหันไปมองทางอื่น
สองคนมองไปคนละทาง  แต่มือของทั้งสองตอนนี้กุมกันไว้แล้วแน่น
ใน แสงแดดที่ส่องลอดใบไม้ละผ่านช่องระเบียงเข้ามา  รอยยิ้มของสองหนุ่มที่หันไปคนละทางช่างเหมือนกันเหลือเกิน  คืออิ่มไปด้วยความรู้สึก...

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 35 : เหตุผลของออย
ออยตัดสินใจไม่เข้าเรียนในวันนี้  เธอจึงกลับมาที่พัก
เธอนั้งลงเตียงนอนที่ว่างเปล่า  แต่เมื่อคืนก่อนนั้นยังมีจุ๊ยนอนอยู่และเธอก็กอดเขาไว้จากด้านหลังร่าง สัมผัสแนบชิดโดยไร้อาภรณ์ภายใต้ผ้าห่ม...
จะว่าไปแม้จุ๊ยต้องทำตามใจเธอเพื่อแลกเปลี่ยนสัญญาว่าเธอจะไม่บอกเรื่องนี้กับ หลิว  แต่จุ๊ยก็ดีกับเธอไม่น้อยเหมือนกัน  เวลาอยู่ด้วยกันแม้จุ๊ยจะไม่ค่อยสนใจว่าเธอทำอะไรอยู่แต่ก็ตอบรับทุกครั้ง ที่เธอเรียก ถ้ามาค้างเขาก็จะปรุงอาหารเข้าให้เธอไว้ก่อนไปทุกครั้ง แล้วยังเก็บเอาเสื้อผ้าของเธอลงไปใส่เครื่องชักผ้าหยอดเหรียญแล้วเอามาตาก ให้ด้วย
เธอนึกถึงคำพูดของแม่ที่เล่าว่าพ่อของเธอก็ไม่ได้รักใคร่อะไรกันกับแม่มาก่อน  ต่างคนต่างมารู้จักกันเพราะผู้ใหญ่แนะนำ  แต่พอผ่านเวลาไปก็จะรักกันไปเอง  เธอก็จะใช่สิ่งเดียวกันกับจุ๊ย
เธอจับจุดของจุ๊ยได้จากคำพูดของหลิวที่เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับตัวจุ๊ย
จุ๊ยมีจุดอ่อนตรงเป็นคนที่ขี้สงสาร  และอีกอย่างที่เป็นจุดอ่อนคือเขาไม่ค่อยปฏิเสธคนอื่นแม้จะไม่เต็มใจ
ดังนั้นในวันที่กลับจากหัวหินเธอจึงต้องสวมบทบาทน่าสงสาร  เอาภาพที่สะสมไว้ของจุ๊ยให้เขาดู  แล้วก็บรรยายความรู้สึกของเธอต่อเขา  ปรากฏว่าได้ผลชะงัด  จุ๊ยท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด 
แล้วโจมตีต่อมาด้วยการให้สัญญาว่าถ้าจุ๊ยคบกับเธอต่อไป  ไม่บอกเรื่องนี้กับหลิว  เพราะเธอรู้ว่านี่คือความกังวลใหญ่ของจุ๊ย  เธอก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วจุ๊ยคิดกับหลิวอย่างที่หลิวคิดกับจุ๊ยหรือไม่  แต่แน่ๆคือถ้าอะไรทำให้หลิวเดือดร้อนเจ็บปวด จุ๊ยจะไม่ยอมแน่นอน เพราะอย่างน้อยที่สุดคือเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาแต่เด็กๆ
แต่จะว่าไปแล้ว  ถึงจุ๊ยจะอยู่กับเธอ  เธอก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถจะชนะใจเขาได้โดยง่าย
เพราะสองเดือนนิดๆที่ผ่านมา  ความสัมพันธ์ที่มีเกิดจากการเริ่มก่อนของเธอที่รุกเข้าหาจนจุ๊ยทานไม่ได้ แล้วตอบสนองเธอออกมา  ไม่มีสักครั้งที่จุ๊ยจะเข้าหาเธอก่อน... มันแสดงว่าใจของจุ๊ยยังไม่ได้อยู่กับเธอ  ที่เธอมีคือตัวของเขาเท่านั้น  ซึ่งเธอก็ต้องอดทนต่อไป
แต่ตอนนี้อาวุธของเธอคือสิ่งที่เธอไม่คาดคิด  เธอสังเกตว่าประจำเดือนไม่มาได้ระยะหนึ่งแล้ว  จึงไปทดลองซื้อชุดตรวจครรภ์  แล้วก็ได้พบว่าเธอตั้งครรภ์แน่นอน 
แต่ถ้าถามว่าแน่ใจหรือไม่ว่าเป็นลูกของจุ๊ย  เธอไม่แน่ใจนักหรอก ...
แต่ตราบใดที่จุ๊ยเป็นสุภาพบุรุษพอ ไม่ได้เจ้าชู้ประตูดินอย่างไอ้ฮาร์ท เขาก็คงไม่ทำอะไรที่เกินเลยไปกว่าสอบถาม  ดังนั้นวันนี้เธอจึงตัดสินใจบอกไปตรงๆว่าเธอท้อง  แม้จะไม่มั่นใจในปฏิกิริยาของจุ๊ย   แล้วมันก็ได้ผล  จุ๊ยตอบรับโดยดีด้วยการสัญญาว่าจะไปบอกกับครอบครัว  โดยไม่บ่ายเบี่ยงสักคำ
เธอคิดถูกแล้วที่เลือกจุ๊ยไม่ใช่ไอ้ฮาร์ท  เพราะขนาดจับได้คาหนังคาเขาขนาดนั้น  มันก็ยังไม่ยอมกับเลิกกับเธอโดยดี  แล้วยิ่งมารู้เรื่องจุ๊ยก็ถึงขนาดมาอาละวาดที่มหาวิทยาลัย
พอคิดถึงตรงนี้ออยก็รู้สึกผิดขึ้นมาเมื่อเห็นเนติ ผู้ชายที่เธอทอดกายให้โดยไม่ตั้งใจตอนเสียใจกับเรื่องของฮาร์ท ออกมาปกป้องเธอทั้งที่เขานั้นปกติหัวอ่อนไม่สู้คน  แถมเคยเป็นเพื่อนสนิทกับฮาร์ทด้วย
เธอไม่คิดว่าเซ๊กซ์แค่ไม่กี่ครั้ง และเป็นความสัมพันธ์แค่ช่วงราวๆเดือน จะทำให้เขากล้าต่อกรกับฮาร์ทที่เคยเป็นเพื่อนและทั้งที่รู้ก็รู้ว่าแข็ง แรงกว่าเขา
พอคิดมาต่อตรงนี้ ความกังวลก็เกิดอีก
เดฟดันมาเห็นเหตุการณ์นั้น  เดฟอันตรายมากที่สุดคนหนึ่ง  แม้เรื่องเล่าของเดฟที่เธอได้ฟังจากหลิวจะเป็นเหมือนเรื่องขำขัน  แต่ก็ลืมไม่ได้ว่าเดฟคือเพื่อนที่คบกันมายาวนานที่สุดคนหนึ่งของจุ๊ย   แล้วก็อย่างที่ฮาร์ทพูดคือ จุ๊ยแปลกๆกับกรณีเดฟ  ยิ่งที่จุ๊ยออกไปหาเดฟคืนนั้น แม้เธอไม่เห็นว่าทำอะไรกันบ้าง เพราะอยู่ไกลมาก  จะไปใกล้กว่านี้ก็ไม่กล้า  แต่อย่างหนึ่งที่รู้คือ คือเขาอยู่กับเดฟจนกระทั้งเช้า
ตอนนี้เดฟรู้เรื่องฮาร์ทแค่บางส่วน  แต่เธอก็เกรงเดฟจะสืบต่อ เพราะด้วยอำนาจเงินกับชื่อเสียงที่เดฟมี คงไม่ยากที่จะรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นมาอย่างไร
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดความคิดของเธอ
เธอหยิบมาดูเป็น  หมายเลขของจุ๊ย
 
จุ๊ยเทข้าวต้มที่มีหมูสับตับและปลาลงในชามแล้วยกมาให้ที่ชุดรับแขก
“เฮียฝากมาบอกว่าดีต่อคนท้องใหม่ๆ  เพราะช่วยเรื่องอาการแพ้ท้องได้” จุ๊ยกล่าว
ออยยิ้มจนหน้าบาน
ความกังวลใจของเธอหายไปจนสิ้น
“กินสิ  กินเยอะๆ  แม่แข็งแรงเด็กก็จะแข็งแรงนะ”  จุ๊ยบอกแล้วก็เอนหลังกับโซฟาแล้วหยิบสวิทต์มาเปิดโทรทัศน์
ออยตักขึ้นมาดมๆ ชิมคำหนึ่งก็พอใจในรสชาติใช้ได้ ก็เลยกินต่อ
“จุ๊ยได้เจอเดฟหรือเปล่า”
จุ๊ยหันมามองหน้าเธอ
“ทำไมเหรอ  ออยเจอมันเหรอ แล้วมันทำอะไรออยหรือเปล่า” จุ๊ยถามแบบต่อเนื่อง
“อ้อ เปล่าไม่มีอะไร แค่ถามเฉยๆ พอดีเมื่อกี้ก่อนออกมาเห็นเขาเดินไปกับผู้ชายคนหนึ่ง  ไม่รู้ใครหน้าเข้มๆ หล่อไม่เบาเลยหล่ะ” เธอตอบแล้วกินต่อ  แต่ลอบสังเกตอาการของจุ๊ย
จุ๊ยก็ไม่ได้ว่าอะไรดูทีวีต่อไป
จนสักครู่เธอกินเสร็จ  จุ๊ยก็เอาชามไปล้างที่ส่วนครัวให้
“ออยพรุ่งนี้เฮียให้ไปหาหน่อย  เฮียอยากจะคุยก่อนที่จะไปพบป๊า พอดีพรุ่งนี้เฮียเขาจะไปติวกับรุ่นพี่เขาที่คลินิกของรุ่นพี่เขา แล้วเขาจะค้างที่นั้นเลย  ก็เลยอยากให้เราไปหาจะได้คุยกันก่อน” จุ๊ยบอกตามที่ตี้บอกเล่ามา
“ทำไมที่ต้องคลินิก” ออยรู้สึกแปลกๆ
“ก็เฮียเขาเป็นหมอนี่ จะติววิชากันก็ต้องที่คลินิก” จุ๊ยตอบ
ก่อนออกไปจุ๊ยยังตามเก็บข้าวของที่ออยหยิบออกมาแล้วยังไม่ได้เก็บเข้าที่ 
“ถ้าแพ้ท้องมากไม่ไหวจริงๆ ก็โทรตามจุ๊ยนะ  วันนี้จุ๊ยต้องกลับบ้านแล้วหล่ะ เพราะไม่ได้ทำความสะอาดบ้านหลายวันป่านนี้รกเป็นรังหนูไปแล้วมั้ง”  แล้วเขาก็ยิ้มออกมา
รอยยิ้มที่ทำให้หน้าของผู้ชายธรรมดาอย่างจุ๊ยดูสว่างและสดใส 
แล้วเขาก็เปิดประตูออกไป
ออยมองรอบตัว  ห้องที่ไม่มีจุ๊ยเหมือนจะเงียบเหงาลงทันที 
ทำไมจุ๊ยแสนดีนัก  และทำไมที่ใดก็ตามที่จุ๊ยไปอยู่จะมีความสุขติดตามไป..
ใจหนึ่งก็อยากจะครอบครองเขาไว้เพียงคนเดียว  แต่อีกใจก็บอกตัวเองว่าเธอกำลังผิดต่อจุ๊ยหลายต่อหลายอย่าง
 
จุ๊ยกลับถึงบ้านตอนเย็นก็เริ่มต้นทำความสะอาดบ้านไปที่ละส่วน  ไล่ลงมาจากชั้นบนสุดจนลงมาถึงข้างล่าง
ระหว่างกำลังจัดการกับขี้หนูที่อยู่ใต้ตู้โชว์สินค้า  ก็สังเกตเห็นว่าป๊ากำลังทาน้ำมันที่หลัง
“ปวดหลังเหรอครับ” จุ๊ยถามเมื่อโกยขี้หนูออกมาใส่ถุงเรียบร้อย
“เอ้อ.. ตอนยกของตอนเช้า คงก้มผิดท่าไปหน่อย” ป๊าตอบ
“ให้เฮียดูรึยังครับ” จุ๊ยถามแล้วถอดหน้ากากอนามัย
“ไม่ต้องหรอก แค่ปวดนิดหน่อยๆ ก็ทาน้ำมันเอาได้” ป๊าตอบแล้วก็นั่งดูทีวีต่อ
จุ๊ยมองไปรอบๆ
“ถ้าบ้านเรามีผู้หญิงสักคนก็ดีนะครับ อย่างน้อยเวลาผมต้องไปเล่นดนตรี  จะได้มีคนดูแลป๊า”
บิดาส่งเสียหึ
“ไอ้ คิดมันก็ดี  แต่ลื้อจะหวังให้ผู้หญิงเดี่ยวนี้มาทำงานบ้าน  ก็ผิดไปแล้วหล่ะ  ดูอย่างลูกสะใภ้ร้านข้าวมันไก่สิ  วันๆอั๊วเห็นอีเอาแต่แต่งตัว  สับไก่ยังไม่ขาด  จะทำงานบ้านให้  แปะมุ๊ยบ่นจะตายแล้วลื้อไม่ถามดู”
จุ๊ยไม่ตอบ  เพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไร  แล้วก็เดินเอาขี้หนูไปทิ้งหน้าบ้าน
เขาอยากจะบอกเรื่องของออย  เพราะยังไงก็ต้องบอก  แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่กล้าปริปากออกไป...
แต่เขาก็ยังพอเบาใจได้ เพราะยังไงพี่ชายของเขาก็คงหาวิธีบอกแทนเขาได้แน่ๆ
 
หมวกแก็ปที่สวมไว้บนกล่องโซบราโนแซกโซโฟนยังคงอยู่ที่เดิมอย่างเดิม  เขาหยิบมันมาสวมแล้วก็เปิดกล่องเอาแซกโซโฟนตัวนั้นออกมา
วันนี้จุ๊ยนึกอยากเล่นเพลงนั้น     
เพลงสุดท้ายเจ้าของแซกโซโฟนตัวนี้ใช้มันเล่น

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 36 : เหตุการณ์พลิกผัน
“จริงเหรอวะ” อ๊อดถามออกมา ทำหน้าเหมือนโลกจะแตกวันนี้
“เอ็งแน่ใจเหรอจุ๊ย” ฮ้อยก็ถามย้ำ
จุ๊ยพยักหน้าช้าๆ
“ก็ตามนั้น  ต่อไปพวกมึงก็คงต้องรำคราญออยมากขึ้นอีกนิด  เพราะเธอคงจะมาหากูบ่อยๆ” 
อ๊อดส่ายหัวดุกดิก
“ไอ้จุ๊ยเอ้ย... มีเพจเป็นของตัวเอง มีคนไลก์เป็นหมื่นๆ มีทั้งผู้หญิงผู้ชายมาชอบ เสือกมาตกม้าตายเพราะผู้หญิงคนนี้”
จุ๊ยตบหัวอ๊อดเบาๆ
“มึงอย่าพูดแบบนั้น  พูดอย่างนั้นเขาเสียหาย”
ฮ้อยถอนหายใจกอดคอจุ๊ย
“เอาวะ  ถ้าลูกมึงออกมา กูจะช่วยเลี้ยงเอง”
 
คลินิก ของพี่หมอวัฒน์คือสถานที่ซึ่งพี่ชายนัดจุ๊ยให้พาออยไป  หมอวัฒน์รุ่นพี่ของทั้งตี้และจุ๊ยเนื่องจากเขาก็เคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน  แม้จุ๊ยจะไม่เข้าเรียนไม่ทันพี่วัฒน์จบการศึกษา  แต่ก็รู้จักกันดีเพราะพี่วัฒน์เคยอาศัยอยู่ในย่านเดียวกับครอบครัวจุ๊ยมา ก่อน
พอเข้าไปตอนนั้น  คลินิกปิดแล้วแต่หมอวัฒน์กับเฮียตี้นั้งคุยกันอยู่ในห้องตรวจ พอเห็นจุ๊ยกับออยเดินเข้าไป
วัฒน์ก็ทักทายตามปกติ  แล้วก็ขอตัวออกไปบอกว่าจะไปเตรียมอุปกรณ์   
“อุปกรณ์อะไรค่ะ” ออยถาม
“อ้าวนี่ยังไม่ได้บอกเหรอว่า พี่จะทำอัลต้าซาวน์ให้ จะได้กำหนดอายุครรภ์ได้  แล้วจะทำเรื่องฝากครรภ์” พี่วัฒน์ตอยออย  แล้วตบบ่าจุ๊ย
“คุณพ่อนี่ไม่ไหวเลยนะ  บอกกล่าวคุณแม่หน่อยสิครับ”
พูดจบก็เดินออกไป
จุ๊ยสังเกตสายตาของออยที่แปรไปอย่างชัดเจน
“นั่งก่อนสิ” ตี้กล่าว แล้วชี้ที่เก้าอี้
ออยหันมามองหน้าจุ๊ยก่อนจะนั่งลง
เฮียตี้เหมือนกำลังแสดงละครในบทหมอ  ซึ่งจริงๆแล้วเขาก็เป็นนักเรียนหมอนั้นละ 
แต่ กริยาที่นิ่งสงบ  เขียนอะไรอยู่สักครู่ จุ๊ยรู้สึกว่ามันผิดไปจากปกติ  เขาเริ่มสงสัยว่าพี่ชายมีจุดประสงค์อื่นนอกจากจะตรวจครรภ์เพื่อความปลอดภัย
“ก็ต้องถามเบื้องต้นนะ”  เขาถามแต่ตาไม่ได้มองหญิงสาว
“ออยรู้ตัวว่าประจำเดือนไม่มาเมื่อไหร่”
“ก็เมื่อวานนี้” เธอตอบ
“ไม่ใช่สิ... เมื่อเดือนก่อนไม่สังเกตเหรอว่าตัวเองประจำเดือนไม่มา” ตี้เงยมองหน้าเธอ
ปกติ แววตาของพี่ชายจะค่อนข้างดุอยู่แล้ว  ยิ่งเวลาเงยขึ้นมองจากอาการอ่านหรือเขียนหนังสือ  ทำให้จุ๊ยเองก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าออยน่าจะตกใจ
“ก็... ออยมีปัญหานี้มาก่อน  ออยก็คิดว่าไม่มาเพราะสาเหตุอื่น ก็เลยไม่สนใจ” ออยตอบ
แรงกดดันเริ่มมากขึ้นจนเธอเผลอบีบมือที่ประสานบนตักแน่น
“ไอ้ การที่ประจำเดือนไม่มานี่  มันหลายสาเหตุนะ  อย่างหนึ่งคือเครียด  ซึ่งก็อาจเป็นไปได้เพราะเรียนหนังสือหนัก  อีกอย่างในอีกหลายสาเหตุคือ  การรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำ”  คำพูดของตี้เรียบๆ ตกท้ายเหมือนเน้นย้ำ
ออยไม่ตอบโต้อะไร  ตี้จึงสรุป
“ถ้าออยบอกอย่างนี้แปลว่าออยค่อนข้างมั่นใจว่า  น่าจะท้องประมาณสองเดือน”
ออยมองหน้าจุ๊ย  ตอนนี้จุ๊ยกำลังจ้องหน้าพี่ชายตัวเองอยู่
“เหม่เอ็งนี่เชื้อแรงดีนะ  เปิดปุ๊บติดปั๊บ”  ตี้หันมากล่าวกับจุ๊ยด้วยรอยยิ้ม
“เอ้าเรียบร้อย” พี่วัฒน์เดินลงมาจากชั้นสอง
“อุปกรณ์พร้อม เชิญคุณแม่ได้แล้วครับ”
ออยไม่ขยับนั่งเม้มปาก
“ไม่ตรวจไม่ได้เหรอ  ออยรู้สึกไม่ค่อยสบายนะจุ๊ย  มันรู้สึกเหมือนจะแพ้ท้อง”
จุ๊ยหันมามองหน้าเธอ กำลังจะตอบ
“ตรวจสิ  สำคัญมากนะ  การกำหนดอายุครรภ์นี่  ยิ่งเธอต้องเรียนหนังสือ  จะได้รู้ว่าช่วงไหนที่เธอต้องลายาวๆเพื่อคลอด” ตี้กล่าวขัด
“แล้วมันจะเห็นอะไรหล่ะพี่ อายุท้องสองเดือนนี่” จุ๊ยถามกับหมอวัฒน์
“ก็ นี่ไงพี่เลยจะเตรียมทำอุลตร้าซาวน์ที่ช่องคลอดแทน  แต่อาจลำบากหน่อย เพราะต้องขึ้นขาหยั่ง  แต่เดียวพี่จะถ่ายรูปมาให้ดู จุ๊ยจะได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก หรือจะรอเข้าไปดูตอนมาตรวจครั้งหน้าก็ได้นะ เพราะจะเปลี่ยนเป็นทำที่หน้าท้องแทน” เขาตอบ
“ส่วนอาการแพ้  ไม่ต้องห่วง  เดี่ยวพี่จัดยาให้” พูดตรงนี้นักเรียนหมอกับนายแพทย์ก็มองหน้ากัน
ออยรู้สึกผิดปกติอย่างมาก
เธอจึงตัดสินใจถามออกไป
“พวกพี่ไม่เชื่อใช่ไหมว่าออยท้องกับจุ๊ย”
จุ๊ยจับแขนออยเพราะตอนนี้เธอกำมือแน่นจนแขนสั่น
“ก็ไม่ใช่นะ  ที่เราทำเพื่อความปลอดภัยของเธอเองนะ ออย  อย่างน้อยเธอก็มีสามีเป็นน้องของว่าที่นายแพทย์” ตี้กล่าวอย่างใจเย็น
“ก็อย่างที่บอก  ตรวจซะ พี่วัฒน์จะได้กำหนดอายุครรภ์แล้วกำหนดวันคลอดได้คร่าวๆ  สะดวกต่อเธอจะได้ทำเรื่องลาเรียน”
จุ๊ยก็เลยจับมือเธออย่างอ่อนโยน เพราะตอนนี้เธอกำลังร้องไห้
“เอา น่าออย  เฮียเขาหวังดี  อย่าคิดแบบนี้สิ  ตรวจก็ตรวจสิ ไม่เห็นเป็นไรไม่ใช่เหรอ ดีเสียอีกมีรูปไปให้ป๊าดู ป๊าอาจใจอ่อนไม่เอ็ดเราตอนไปบอกท่านก็ได้นะออย”
พี่วัฒน์กอดอก
“ก็ตามใจแล้วกัน” พี่วัฒน์กล่าว  แล้วมองหน้าตี้ในเชิงให้จัดการเอง
พี่วัฒน์เดินออกไปแล้ว 
ตี้จึงกล่าว
“เธอไม่ตรวจแต่ไอ้จุ๊ยต้อง”  แล้วตี้ก็หยิบขวดใบเล็กและหนังสือปลุกใจออกมาวางบนโต๊ะ
จุ๊ยมองหน้าพี่ชาย
“เฮ้ยอะไรน่ะเฮีย”
“วันนี้ยังไม่ได้มีอะไรกันใข่ไหม” ตี้ถามโดยไม่ได้สนใจหน้าตาของจุ๊ยเลยว่ากำลังพิศวงขนาดไหน
“เฮียให้เวลาเอ็งสิบนาที  เก็บอสุจิมา เฮียจะตรวจ”
จุ๊ยปล่อยมือจากออย ลุกขึ้นยืน
“นี่เฮียจะทำอะไรกันแน่  ถ้าจะเล่น มันก็แรงไปแล้วนะ”
เขาเหลือบตามองออยที่ปาดน้ำตาอย่างน่าสงสาร
“จุ๊ย” พี่ชายลุกขึ้นเผชิญหน้า
“ตอนเฮียเรียนเรื่องระบบสืบพันธุ์เคยขอของนาย กับของซัวใช่ไหม จำได้หรือเปล่า”
จุ๊ยจำได้  เพราะตอนนั้นเขาขำก๊ากในตอนแรก แต่พอเฮียทำท่าจริงจังมากก็เลยยอมทำให้
“อสุจิของไอ้ซัวน่ะ  พ่อพันธุ์อย่างดีเลย เฮียเลยขอไปแค่ครั้งเดียว  แต่ของเอ็ง ตอนหลังเฮียมาขออีกรอบใช่ไหม” ตี้กล่าวแล้วถามอีก
จุ๊ยก็พยักหน้า
“เฮียก็ไม่ได้บอกเอ็งสินะ  ขอโทษที.. “ ตี้ถอนหายใจ
“ตอน นั้นผลตรวจออกมา บอกว่าเอ็งเป็นหมัน  แต่เฮียไม่ได้บอกเอ็งเพราะกลัวเอ็งจะรู้แล้วไปเที่ยวซุกซนเพราะคิดว่ายังไง ก็คงไม่ทำให้สาวท้องได้”
จุ๊ยอึ้ง  รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างแรง
“แต่ ของอย่างนี้มันอาจคลาดเคลื่อนกันได้ เฮียอาจจะเก็บรักษาอสุจิของเอ็งไม่ดีพอ  ดังนั้นวันนี้เฮียเลยต้องการเชื้อสดๆ และคำยืนยันจากนายแพทย์วิชาชีพสูตินารี” ตี้กล่าวอย่างเยือกเย็นลงอีกครั้ง
จุ๊ยหันไปมองหน้าออย  เธอมองหน้าจุ๊ยกลับมาด้วยแววตาที่เหมือนจะมองส่งเขาไปออกรบหรืออะไรก็ตามที่แสนเศร้า
“โอเค..” เขากล่าวออกมาอย่างลำบากในลำคอ เพราะเหมือนมีก้อนอะไรไปอุดตันในนั้น  เอื้อมหยิบกระปุกเล็ก และหนังสือ
“รอเดี่ยวนะเฮีย”
แต่พอจุ๊ยจะออกไป
“ไม่ต้องหรอกจุ๊ย..”ออยลุกขึ้น  ปาดน้ำตา แต่มันก็ไหลออกมาอีก
“เราไม่ได้ท้องกับจุ๊ย”


ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 37 : ความรักของเนติ
แม้ออยจะผลักไสแต่จุ๊ยก็ยืนยันว่าจะไปส่งเธอที่ห้องพัก
ระหว่างทางนั่งรถแท็กซี่มาด้วยกัน  ทั้งสองนั่งเงียบกันมาตลอดทางจนกระทั้งถึงอาคารชุดที่พักของออย
จุ๊ย จะขึ้นไปส่งถึงห้อง  แต่ออยปฏิเสธบอกว่าอยากอยู่คนเดียว  จุ๊ยเองก็ไม่อยู่ในอารมณ์จะง้อหรือจะตามไป เขาก็เลยบอกลาแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น
ที่จริงเขามีคำถามมากมาย  แต่กลับไม่สามารถเอ่ยออกมาได้สักคำ  เพราะความรู้สึกที่สับสนไปหมด
เขา อยากจะโทรหาใครสักคน  แต่ฮ้อยก็ไม่รับสาย  มันคงจะลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องแล้วลงไปซื้อข้าวกิน  เพราะมันชอบเอาโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายของมัน  โทรหาอ๊อดก็กลายเป็นเมืองฟ้ามารับแล้วบอกว่าอ๊อดอาบน้ำอยู่ ก็เลยหมดอารมณ์จะคุยต่อ โทรหาเดฟ ก็กลายเป็นอัศวะรับ บอกว่าเดฟอยู่บนเวที  ตัวอัศวะเองก็ไม่ว่างจะคุย  เขาก็เลยเดินไปเรื่อยๆแล้วก็เหนื่อยจนนั่งพักอยู่ที่ป้ายรถเมล์
แล้ว โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นหมายเลขที่จุ๊ยคิดจะโทรเป็นหมายเลขแรกเลยด้วยซ้ำแต่เขากลับเปลี่ยนใจ เพราะไม่รู้ว่าควรจะคุยกับเจ้าของเลขหมายว่าอะไร และเพราะอะไร
“อาราอิ... มารับฉันหน่อยสิ” จุ๊ยไม่ได้กล่าวคำทักทายเลยด้วยซ้ำ
 
จุ๊ย รู้ดีว่าตัวเองไม่ควรเล่าเรื่องนี้ เพราะมันหมายถึงการประจานออย  แต่ตอนนื้เขาอยากให้มีใครสักคนรับรู้ความรู้สึกของเขา  จุ๊ยจึงพรั่งพรูออกมาเสียตั้งแต่เจอหน้ากัน
พอเล่าจบ ทั้งคู่ก็ยังอยู่บนถนนเพราะรถติดมากเพราะเป็นเวลาย่ำเย็น คนกำลังเลิกงานกลับบ้าน

อา ราอิมีสีหน้าพิศวงมาก กับเรื่องทั้งหมด  แต่พอจุ๊ยเล่าจบ  เขากลับไม่ถามอะไรสักคำ  ขับรถอย่างเงียบๆไปตามจังหวะการเคลื่อนตัวของการจราจร
จุ๊ยก็เงียบไปเหมือนกัน  เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป  แต่สักครู่
จุ๊ยเองก็กล่าวออกมาเอง
“ถ้าเป็นนาย เป็นนามิจัง  นายจะทำยังไง”
อาราอิหันมามอง  ยกคันเบรกมือขึ้น
“ฉันถึงได้เข้าใจนายไง  เพราะฉันรู้ดีว่าเป็นฉันก็คงสับสนมาก”
คำตอบนั้นฟังได้หลายแง่  เหมือนให้กำลังใจ เข้าใจจริงๆ หรือแม้แต่ตัดบท
แต่จุ๊ยกลับรู้สึกอบอุ่นใจกับคำพูดนั้น  และยิ่งเมื่ออาราอิเอามือมาจับที่หัวไหล่จุ๊ย
“ตอน นี้เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า  ลืมเรื่องนี้ไปก่อน  เพราะนายก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว  จากนั้นนายอิ่มนายสบายใจขึ้นแล้วเราค่อยมาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงกับ สถานการณ์นี้”
 
อาราอิจิบน้ำชาเขียวร้อนช้าๆ เหลือบมองจุ๊ยที่กินเอากินเอา
“นี่นายระบายออกด้วยการกินเหรอ”
จุ๊ยชะงักมือมองหน้าก่อนจะโยนปลาทอดครึ่งชิ้นเข้าปากเคี้ยวๆแล้วกลืนก่อนจะตอบ
“ไม่ใช่  แต่ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่สายๆ  เพราะมัวแต่ทำโน่นทำนี่  แล้วยังมาเจอเรื่องแบบนี้อีก มันเลยหิวเป็นพิเศษ”
สีหน้าจุ๊ยดีขึ้นมาเยอะแล้ว  คงเพราะได้ระบาย
 
พอกินอิ่มก็พากันเดินมาตามถนนสุขุมวิทยามค่ำเพื่อจะกลับไปยังอาคารที่อาราอิจอดรถเอาไว้
“ตกลงนายคิดตกหรือยังว่าจะจัดการกับเรื่องนั้นยังไง” อาราอิถามเพราะเห็นจุ๊ยเริ่มคุยและหัวเราะได้แล้ว
“ก็..”เขาลากเสียงแล้วก็หยุดเท้ามองไปรอบๆตัว
“ก็ คงต้องให้วันพรุ่งนี้ตัดสินไง  แม่ของเราบอกว่า  ถ้าอะไรที่มันทำอะไรไม่ได้  บางทีเราก็ต้องทำใจแล้วปล่อยมันไปตามครรลอง  ตอนนี้เราก็ทำดีที่สุดแล้วนี่”
แล้วทั้งคู่ก็เดินคู่กันไป
“พูดไปมันก็เศร้านะ  จริงๆฉันก็เข้าใจหรอกว่าเพราะอะไร  แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องเป็นฉัน  ฉันมีอะไรที่ทำให้ออยถึงขนาดต้องทุ่มทั้งตัวขนาดนั้น  แล้วก็เกือบจะสำเร็จด้วย  ถ้าไม่ปรากฏว่าฉันเป็นหมันเสีย” จุ๊ยกล่าวขึ้นตอนเดินมาถึงรถพอดี
อาราอิมองหน้าจุ๊ย  เขาหยิบกุญแจรถออกมากปุ่มเพื่อเปิดประตู  ตอนนี้ลานจอดรถว่างเปล่าแล้วเพราะเป็นลานจอดรถของตึกสำนักงาน  แถมวันนี้ก็เป็นวันศุกร์
“ก็เพราะนายคือนายไงล่ะจุ๊ย  ไม่เห็นต้องสงสัย  แต่ละคนก็มีความดีในตัวเองไม่เหมือนกัน  นายดีในแบบของนาย  แล้วก็ไปโดนใจคนอย่างออย อย่างหลิว อย่างเดฟเข้า   มันก็แค่นั้น”
“แล้วโดนใจนายรีเปล่า” จุ๊ยถามออกไป 
ในวินาทีนั้นเขาไม่รู้ตัว  แต่ถามไปเพราะอยู่ดีๆใจมันคิดจะถาม มันเลยถามไปโดยไม่ได้ยั้งคิด
อาราอินิ่งเงียบไป 
จุ๊ยรู้ตัวตอนนั้นเองที่เห็นสีหน้าของอาราอิ
“เอ่อ” จุ๊ยคิดจะแก้คำพูดเป็นว่า จะถามว่าอาราอิคิดว่าเขาเป็นคนอย่างไร
“ก็โดนใจฉันเหมือนกันยังไงล่ะ  นายคงไม่รู้สินะตั้งแต่ฉันเจอกันครั้งแรก  ฉันก็ไม่เคยลืมรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของนายได้เลย  ฉันถึงได้มาจากญี่ปุ่น  เพื่อตามหานาย”
ตอนนี้ลานจอดรถมีเสียงเล็กน้อยๆ ดังอยู่เรื่อยๆ  แต่สำหรับจุ๊ยและอาราอิความเงียบครอบครองอยู่ระหว่างคนทั้งคู่
โดยไม่อาจถอนสายตาทั้งสองสบตาอยู่อย่างนั้น  แม้อาราอิจะขยับเข้ามาใกล้จนชิด
ความสูงทำให้จุ๊ยต้องเงยหน้าตามดวงตาคู่นั้นขึ้นไปเรื่อยๆตามระยะที่กระชับเข้ามาใกล้
“แต่พอมาเจอกันอีกครั้ง  นายมีมิติที่มากมายจนทำให้ฉันยิ่งสับสน  แต่ยิ่งสับสนฉันก็ยิ่งอยากใกล้ชิดนาย”
อาราอิเอามือมาจับที่แก้มของจุ๊ยข้างหนึ่ง อีกข้างก็รวบเอวเขาไว้
จุ๊ยเหมือนโดนเสกด้วยมนตรา  ขยับไม่ได้  แม้แต่หายใจยังไม่กล้า 
อาราอิค่อยก้มหน้าลงมาอย่างช้าๆ  เหมือนกลัวร่างของจุ๊ยจะหายไปกับตา
แต่ จุ๊ยไม่อาจหนี ไม่อาจขยับ  หัวใจของเขาเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ  ยิ่งหน้าของอาราอิใกล้เข้ามา  เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาเสียให้ได้
แค่นิดเดียวปากของอาราอิก็จะประกบกับจุ๊ยแล้ว  จุ๊ยจึงทำได้เพียงหลับตาลง
แต่พลัน
เสียงเรียกเข้าทำให้จุ๊ยสะดุ้ง  อาราอิเองก็เช่นกัน
“ขอโทษ” เขากล่าวแล้วล้วงโทรศัพท์ออกมามือไม้สั่น 
อาราอิก็ไม่แพ้กัน  เขาต้องซุกมือลงในกระเป๋าแล้วหันหนีไปทางอื่น
“เออว่าไง...” จุ๊ยตอบสาย
แล้วเขาก็เงียบไปจนผิดสังเกต
อาราอิจึงหันมาด้วยความแปลกใจ
“โอเค ฉันจะรีบไปเดี่ยวนี้” จุ๊ยตอบแล้วกดตัดสัญญาณโทรศัพท์
 
ออยนั่งอยู่ตรงขอบกั่นของดาดฟ้าตึกมานานแล้วแต่เหมือนพึ่งจะมีคนรู้แค่ไม่ถึง สามสิบนาที  ข้างล่างมีคนมามุงกันโกลาหล  ตำรวจกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็พึ่งมา 
เดี่ยวจุ๊ยก็คงมา ออยแน่ใจ  ในคอนโดมินเนี่ยมนี้มีเพื่อนร่วมคณะของจุ๊ยอยู่ด้วยสองคน  ป่านนี้จุ๊ยคงจะรู้แล้วและเดินทางมา
แต่จะมาเพื่ออะไร  ในเมื่อออยละอายแก่ใจจนเกินจะพบหน้าเขาได้
เธอจะโทษใครได้อีก  เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอเลือกทำเองทั้งหมด
ตอน แรกก็ฮาร์ท  ที่เธอเจอเขาตอนไปค่ายเตรียมสอบ  และเป็นเธอเองที่หยอดน้ำตาลล่อมดให้ตามจีบเธอและก็เธอเองที่ยอมพลีกายให้ ฮาร์ทเพราะความหล่อเหลาและความเข้มแข็งของนักกีฬาโรงเรียน
แต่ ฮาร์ทก็นอกใจเธอ  ฮาร์ทมีผู้หญิงอีกคนทีเป็นเคยเพื่อนร่วมโรงเรียน  กระนั้นฮาร์ทก็ดูอาลัยอาวรณ์กับออยมาก  เพราะเขาไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี  เป็นเธอเองต่างหากที่คอยวิ่งหนีเขา
ส่วน จุ๊ยเป็นรักแรกที่เธอฝังใจมาโดยตลอด  และเธอก็สบโอกาสเมื่อได้พบกันอีกครั้งโดยไม่มีหลิวมาขวางตรงกลาง  เธอเกือบจะได้เขามาครอบครองแล้ว  แต่อุปสรรคกลับกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากตัวเธอเองอีก  คือเด็กในท้องที่ตอนแรกเธอคิดโง่ๆว่าจะใช้เขาเป็นเครื่องมือผูกมัดจุ๊ยไว้  แต่กลับเป็นพี่ชายของจุ๊ยที่แทรกเข้ามาเปิดโปง  ทำให้เธอต้องกลับมาเผชิญความจริง
ความ จริงแล้วในวันที่เธอกำลังเหงาเพราะพึ่งเลิกรากับฮาร์ทได้แค่ไม่กี่วัน  เธอได้เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มคนหนึ่ง เข้ามาหาเธอถึงห้อง  เนติ...
เด็ก หนุ่มขี้อาย  ที่แค่เธอยิ้มก็ทำให้เขาเขินได้  เวลาเขินก็ดูน่ารักไม่น้อย  เธอจึงให้โอกาสเขามาดามพ์หัวใจให้ชั่วคราว  และแม้เธอจะพบว่าเธอกับเขาคงไปด้วยกันไม่ได้  เพราะเธอลืมสัมผัสอันร้อนแรงของฮาร์ทไม่ได้  และความรู้สึกที่เธอมีต่อจุ๊ยก็ยิ่งทวีขึ้นเมื่อเขาและเธอได้มีสัมพันธ์กัน  จึงบอกกับเขาถึงการเลิกรา
เนติก็เดินออกไปเงียบๆ ไม่ทักไม่ท้วงดังกับที่เขาสัญญาเอาไว้แต่แรกว่าหากออยไม่ต้องการเขาแล้วก็ให้บอก แล้วเขาจะไปโดยดี
เสียงประตูดาดฟ้าเปิดออก
เธอไม่คาดหวังว่าจะเป็นจุ๊ย  แต่คิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยหรือตำรวจ
แต่ปรากฏว่าคนที่นั่งลงข้างเธอกลับเป็นเนติ
“ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนนะ” เนติกล่าว
แล้วเขามองลงไป
“สูงเนอะ ตกลงไปเจ็บมากแน่ๆเลย”
ออยมองลงไปบ้าง  ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะนี่มันชั้นยี่สิบ
“นายจะมากล่อมฉันเหรอ  คงไม่สำเร็จหรอกนะ  เพราะฉันตัดสินใจแล้ว  แต่แค่รอเห็นหน้าจุ๊ยอีกครั้งเท่านั้น  พอเขามาฉันจะกระโดดลงไป”
“ใครว่า  ผมจะมากระโดดพร้อมออยต่างหากหล่ะ”
คำตอบทำให้ออยหันมามองหน้าเนติ
เนติขยับแว่นตา
“ผม มันอ่อนแอออย  ผมรักออยแต่กลับปกป้องออยไม่ได้  และผมก็ไม่มีปัญญาดูแลออยได้เหมือนจุ๊ย  แต่ผมก็รักออยมาก  ถ้าหากออยตายไป ผมก็ไม่รู้ว่าโลกของผมจะเหลืออะไรอีก”
แล้วเขาก็หันมามองหน้าออย
“พอออยกระโดด ผมก็จะกระโดดตามลงไปด้วย  ออยไม่ต้องกลัวนะ  ถ้าเราตายเป็นวิญญาณเฝ้าตึกนี้  ผมก็จะเฝ้าเป็นเพื่อนออย”
“ทำไมนายทำอย่างนี้” ออยถาม น้ำตาเริ่มไหลอีกครั้ง  ทั้งที่คิดว่าเธอร้องไห้จนน้ำตาแห้งไปแล้ว
“นายทำเพื่ออะไร  นายรู้ไหมตอนนี้ออยท้อง... ออยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าออยท้องกับใครกันแน่  ออยเป็นผู้หญิงเลวนะเน”
เนติหันไปมองภาพทิวทัศน์ยามราตรี
“แต่ ผมเป็นผู้ชายโง่ออย  ผมมันโง่เกินกว่าจะเลิกรักออยได้  ผมไม่อยากรู้หรอกว่าออยผ่านผุ้ชายกี่คน  ผมรู้แต่ว่าคืนนั้นที่ผมกอดออยไว้คือคืนที่ผมมีความสุขที่สุดในโลก”
แล้วเขาก็ยิ้มออกมา  ดวงตาของเขาผ่านแว่นมันวาวด้วยความสุขอย่างที่ว่าจริงๆ
“ถ้า เด็กไม่ใช่ลูกฮาร์ท ไม่ใช่ลูกจุ๊ย  ผมก็อาจเป็นพ่อก็ได้ใช่ไหมหล่ะ  ผมว่าดีออก ถ้าเราสามคนตายไปพร้อมๆกัน  เราสามคนจะได้อยู่ด้วยกัน  ออยก็จะหนีผมไปไหนไม่ได้  ผมจะดูแลออย และดูแลลูกของเราด้วย  ผมสัญญา”
เนติไม่ได้มองหน้าออยในตอนนั้น  กระทั้งออยซบลงมาบนไหล่ของเขา
“ฉันขอโทษนะเน”
ออยปล่อยน้ำตาเปียกไหล่ของเขา  เนติก็โอบเธอไว้อย่างอ่อนโยน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 38 : ฟ้ากระจ่าง ความรักของวาทิต
เจ้าหน้าที่กู้ภัยพึ่งจะเสร็จจากการขอกำลังเสริม  แต่พอหันกลับมากลายเป็นว่าสองคนนั้นหายไปแล้ว  และตนที่มุงอยู่ข้างล่างปรบมือกันเกรียวกราว  เขาจึงได้เข้าใจหันกลับไปบอกทางวิทยุ
“ว.หนึ่งเรียกศูนย์ครับ  ไม่ต้องส่งกำลังมาแล้วนะครับ  เหตุการณ์คลี่คลายแล้วครับ”
จุ๊ยมาถึงตึกด้วยการวิ่งเพราะรถของอาราอิที่ติดอยู่ในระยะไกลเพราะเจ้าหน้าที่ ปิดการจราจร  แต่สิ่งที่จุ๊ยได้เห็นทำให้ความร้อนใจของเขามลายไป
แม้ว่าจะไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด  แต่ก็โล่งใจที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี
อาราอิเดินเข้ามายืนเคียงข้างเขาทั้งสองมองหน้ากัน  แล้วจุ๊ยก็ยิ้มออกมากล่าวว่า
“กลับกันเหอะ  สงสัยเขาคงไม่ต้องการจุ๊ยแล้วหล่ะ”

จุ๊ยเปิดตู้หยิบเอาเทรนเนอร์แซคออกมา  เขาสุ่มเพลงจากแฟ้มชาร์ต  ได้เป็นเพลง What a Wonderful World - Louis Armstrong
จุ๊ยสูดลมหายใจ  แล้วจรดริมผีปาก  แตรของแซกโซโฟนเทนเนอร์ก็ส่งเสียงต่ำที่สร้างแรงสะเทือนสัมผัสใจ  ครั้งถึงเสียงสูงก็นุ่มนวลอย่างยิ่ง 
จุ๊ยนึกไปถึงนาทีสั้นๆที่เขารู้สึกว่ามันนานเนิ่น  กลิ่นกายและสัมผัสยังคงค้างอยู่ในห้วงคำนึง...
ในลานจอดรถที่ร้างผู้คนนั้น  ที่เขากับอาราอิเกือบจะจุมพิตกัน
 
ตี้ที่จะมาถามความเป็นไปจากจุ๊ย  ก็หยุดหน้าประตูเมื่อเขาได้ยินเสียงเพลงแว่วออกมา  เขาเอาหูแนบประตู  จึงได้ยินอย่างชัดเจน
เขาคิดไปเองหรือเปล่า เสียงแซกโซโฟนของน้องชายนั้น  หวานหูมากกว่าทุกวัน...
พอเพลงจบ ตี้จะเคาะประตู  เพลงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง..
จำไม่ผิดนี้คือ What a wonderful world
คนที่พึ่งจะพ้นเหตุการณ์วุ่นวายมาอย่างจุ๊ย  เล่นเพลงนี้...  แถมเล่นอย่างไพเราะกว่าปกติเสียอีก
ตี้ยักไหล่แล้วก็เดินกลับไป เหมือนจุ๊ยจะไม่ได้อยากได้คำปลอบใจจากเขาแล้ว
 
 
อาราอิยืนจิบเบียร์กระป๋องอยู่ที่ระเบียงห้องของตัวเอง  เขาทอดสายตาไปในสวนของบ้านตระกูลฉัตรอัครที่เงียบสงบในเงาของราตรี
เขาอมยิ้มให้ภาพในห้วงความทรงจำ  ใบหน้าของจุ๊ย  ดวงตาที่หลับพริ้มลงอย่างไม่ขัดขืน  อาการเกรงตัวจนแม้เขาก็ยังสัมผัสได้ชัดเจน..
แล้วหูของเขาคล้ายจะได้ยินเพลงจากที่ไหนสักแห่ง...
What a wonderful world...
 
จุ๊ย ไม่เจอออยอีกเลยนับจากวันนั้น  ได้ยินมาว่าเธอลาออกไปแล้ว  แต่เมื่อได้พบเนติโดยบังเอิญระหว่างเขากำลังเดินอยู่ก็เลยอดจะถามไม่ได้
“ตกลงก็คือนายคือพ่อของเด็ก” จุ๊ยถามย้ำ
เนติพยักหน้า  แต่ก็ตอบว่า
“แค่เป็นไปได้  แต่ก็คงแค่ผมกับฮาร์ทสองคนนี่หละ”
จุ๊ยงง
“ฮาร์ ทคือแฟนของออย ก่อนจะเลิกรากันไปเพราะฮาร์ทไปแอบมีกิ๊ก ประมาณเดือนหนึ่งก่อนมาคบกับจุ๊ย  ส่วนผมก็แทรกระหว่างช่วงของจุ๊ยกับฮาร์ท” เนติเล่าโดยดี
“ตอน นี้พ่อแม่ผมกำลังไปสู่ขอออยตามประเพณี  ดูเหมือนทางผู้ใหญ่จะไม่มีใครรู้เรื่องของจุ๊ยกับออยนะ เพราะเหมือนออยจะไม่ได้บอกกับที่บ้านเรื่องของจุ๊ย”
“ก็ อาจจะนะ  เพราะจริงๆผมกับออยเป็นญาติกัน  ถ้ารู้แล้วผมคงโดนพ่อเรียกไปด่านานแล้วหล่ะ  แต่นี่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร” จุ๊ยพยักหน้าเห็นด้วย
เขามองหน้าเนตินิดหนึ่งก่อนจะกล่าว
“ผมขอโทษนะ  ที่ทำให้คุณต้องเป็นทุกข์อยู่ตั้งสองเดือน”
เนติถอนหายใจ
“ช่างเถอะครับ  เอาเป็นว่าเราสองคนก็เป็นเพื่อนนะครับ” แล้วเนติก็ยื่นมือออกมา
จุ๊ยสัมผัสด้วยตบบ่าไปสักที
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกเลยนะ  ผมยินดี” จุ๊ยยิ้ม
เนติเดินไปแล้วแต่จุ๊ยยังมองตามไป  เขารู้สึกมั่นใจอย่างไรบอกไม่ถูกว่าเนติจะต้องดูแลออยได้ดีกว่าเขาแน่นอน
“อันนี้กูเรียก Happy Endingได้ไหมวะ”  ฮ้อยที่ถอยออกไปก่อนหน้านี้ เดินมากลับกอดคอจุ๊ย
“ก็ได้  อย่างน้อยเขาก็มีความสุข”  จุ๊ยตอบ
“แล้วเอ็งหล่ะ” อ๊อดที่เดินเข้ามายืนอีกข้างของจุ๊ยถาม
“ไม่เศร้าหน่อยเหรอ”
จุ๊ยมองหน้าเพื่อนสองคน
กระโดดกอดคอทั้งคู่
“จะเศร้าทำไมก็กูมีเมียอยู่ตรงนี้ตั้งสองคน”
“มั่วละ... ใครเมียมึง” ฮ้อยแย้งแต่ก็เดินไปตามทางในลักษณะนั้น
“กูเป็นผัวได้ไหมวะจุ๊ย” อ๊อดว่า
“เฮ้ยอันนี้มันต้องแล้วแต่ใครพลิกได้ก่อน”
“โอ้ย.. อย่างงั้นกูสบายประสบการณ์พลิกกูคล่องมาก”
“ประสบการณ์  มึงไปพลิกไปกดใครมาวะถึงได้ชำนาญ”
“อ้อ เปล่า... ก็แค่พูดเฉยๆ”
“เฮ้ยแต่หมู่นี่มันพลิกยากเอาการนะเว้ยเพื่อนฮ้อย เพื่อนอ๊อด...”

เพราะติดสอบพวกพี่ฐาก็เลยงดรับงานไป  กลับมารับอีกทีก็ในหลังสอบเสร็จแล้ว  วันนี้จึงเป็นวันแรกหลังจากพักไปหนึ่งเดือน  แถมเป็นงานใหญ่อีกต่างหาก  มีดารานักร้องมามากมาย 
จุ๊ยกำลังตรวจสอบแซกโซโฟนอยู่ในบริเวณที่จัดไว้สำหรับผุ้ที่จะเข้ามาทำการแสดงบนเวทีใช้เป็นจุดพัก 
อาราอิที่อยู่ในชุดหล่อหันมาเห็นระหว่างเดินออกมาจากห้องแต่งตัวก็เลยเดินมาทัก
กลายเป็นว่าทั้งสองคุยกันน้อยยิ่งกว่าเดิมจนฐาสงสัย เพราะเคยเห็นจุ๊ยคุยกับอาราอิอย่างสนิท
“มีอะไรวะ  ทำไมพูดกันแค่คำสองคำ”  ฐาพูดแล้วก็เอาทรัมเปตมากอดไว้ นั่งลงข้างจุ๊ย
“อ้อเปล่า ก็ไม่เห็นเหรอเขาแต่งตัวซะหล่อขนาดนั้น  คงกำลังรีบไปขึ้นเวทีนะพี่  เขามันดาราหญ๊าย”
“แล้วอย่างอื่นล่ะหญ๊ายด้วยไหม” โย่งที่นั่งฟังอยู่ถามตามภาษาปากไว
“อืมมม อันนี้พี่ต้องไปลองดูนะ  แต่ดูท่าจะ... อืมมม ได้จุกเลยหล่ะ ถ้าโดนไปที” จุ๊ยตอบแล้วทำตาโตๆปะหลับปะเหลือก
โย่งหัวเราะ
แต่สายตาปานอยู่กับอีกด้านหนึ่ง 
“เอ็งดูเมียเอ็งสิ  ทำไมเดี่ยวนี้สนิทกับลูกชายเจ้าของบริษัทเครื่องเสียงจังวะ”
จุ๊ยหันตามไป  เดฟในชุดที่หล่อไม่แพ้อาราอิกำลังยืนหันหลังให้อัศวะจัดสาบเสื้อด้านหลังให้
เออ... จะว่าไปพักนี้เดฟก็ไม่ค่อยมากวนเขาเท่าไหร่ นอกจากผ่านมานานๆครั้งก็จะตอดนิดตอดหน่อยไปตามภาษา  แถมทุกครั้งที่มาก็จะมีอัศวะเดินมาด้วย  และดูจะสนิทกันมากอย่างที่ปานตั้งข้อสังเกต
“น้องๆครับเตรียมตัวครับผมคิวต่อไป” เจ้าหน้าที่เวทีเดินมาเรียก
 
บนเวทีวง Quartet Love ของพวกรุ่นพี่คณะดุริยางค์ กำลังบรรเลงเพลงSing Sing Sing อยู่
 อัศวะที่พึ่งตอบวิทยุจากหลังเวทีไปก็มายืนดู
เพื่อนจุ๊ยเด็กปีหนึ่งต่อปีสองกลับกลมกลืนไปกับพวกรุ่นพี่ได้อย่างแนบเนียน 
หันไปอีกทางก็เห็นเดฟที่อยู่ข้างเวทีก็ยืนดูอยู่ด้วยกัน
เป็นการยากที่จะอ่านความรู้สึกของเดฟจากตรงนี้  แต่ตอนนี้อัศวะไม่สนใจแล้วเดฟจะรู้สึกอย่างไร  เขาสนแต่ว่าตอนนี้พัฒนาการของความรู้สึกของเขากับเดฟพัฒนาไปมากแล้ว  เขาก็เลยหันหลังแล้วเดินออกไปด้านนอกเพราะมีวิทยุเรียกจากช่างไฟที่มีปัญหาอยู่
 
พอจัดการธุระของช่างไฟเรียบร้อยอัศวะก็เดินผ่านมาตรงที่มีกลุ่มเด็กหัวเกรียนในชุดวงโยธวาทิตนั่งอยู่  สังเกตให้ดีจึงได้รู้ว่าคือวงจากโรงเรียนเก่าของเขานั้นเอง  แต่พอจะเดินเข้าไปใกล้  ก็ประสบเหตุพอดี
เด็กหนุ่มกำลังกระชากคอเสื้อกันไปมาอย่างรุนแรงไม่ใช่การเล่นแน่นอน
“เฮ้ยๆอะไรกัน” อัศวะร้อง และแทรกเข้าตรงกลาง
“อะไรกันวะเรียนโรงเรียนเดียวกันกัดกันเป็นหมา”
สองคนออกจะงงกับการเข้ามาห้ามของอัศวะ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” อัศวะถามแล้วมองหน้าทีละคน
คนหนึ่งหลบตา อีกคนกลับถามกลับ
“พี่ยุ่งอะไร”
อัศวะเชิดหน้าขึ้นก่อนจะกล่าว
“อ้อกูไม่ยุ่งก็ได้  แต่กูจะให้พ่อมึงจัดการ” 
 
จุ๊ยพึ่งเดินลงจากเวทีเข้ามาในส่วนพักของนักดนตรี ฐาก็เดินเข้าบอกว่ามีรีเควสพิเศษเพราะเขาเป็นคนที่เดินไปคุยกับผู้จัดการเวที
“เขาขอให้เราเล่นอีกไปอีกสองเพลง  พอดีนักร้องที่มีคิว รถติดอยู่”
จุ๊ยพยักหน้าเงิ่ดๆ
“จุ๊ย” เสียงเรียกพร้อมกับการเข้ามาของอัศวะ
“ลูกหลานลิงมึงก่อเรื่อง”
 
จุ๊ยกับฐานั่งเผชิญหน้ากับเด็กสองคนหายซ่าเป็นปลิดทิ้งเพราะทั้งสองเป็นเด็กวงโยธวาทิตรุ่นมัธยมต้นตอนที่จุ๊ยเป็นหัวหน้าวง
“มึงกัดกันเป็นหมาอย่างนี้แล้วจะเล่นร่วมวงกันได้ไง” จุ๊ยกล่าวแล้วเหลือบไปมองหน้าสมาชิกวงคนอื่นที่พากันมานั้งล้อมอยู่ในบริเวณ
“วง คือวง  คือความสามัคคี  พวกมึงกัดกันแบบนี้เค้าเรียกสามัคคีหรือวะ  ดนตรีขัดเกลาให้เราเป็นคนอ่อนโยน  แต่มึงสองคนนี่เป็นเหี้ยอะไรมากัดกันเอง แล้วนี่อายเขาไหม  ชื่อสถาบันก็อยู่บนสายสะพายไอ้ดรัมที่นั่งหัวโด่อยู่นั้น  มึงทำอะไรไม่นึกถึงวงก็นึกถึงโรงเรียนบ้างวะ  เดี่ยวเขาจะหาว่าโรงเรียนเรานักเลง”
สองคนมองหน้ากัน แล้วก็กล่าวออกมาพร้อมก้มหน้า
“ผมขอโทษครับ”
“ตามกฎ  เดี่ยวพวกมึงกลับโรงเรียน ไปแบกกลองใหญ่วิ่งรอบสนามสามรอบ อาจารย์ถามว่าใครสั่งก็บอกไปว่ากูสั่ง เข้าใจไหม”
ฐารู้สึกทึ่งกับความเด็ดขาดของจุ๊ย  ก็สมแล้วที่เป็นอดีตหัวหน้าวงที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะเป็นนักดนตรีตัวหลักตั้งแต่ชนะเลิศครั้งแรก  และยังเป็นคนนำชัยชนะมาให้กับวงอีกครั้งในสมัยตัวเองหัวหน้าวง
“แล้วนี่หัวหน้าวงไปไหน” ฐาถามขึ้นมา
เงียบไม่มีใครตอบ
“ใครเป็นหัวหน้าวง” จุ๊ยถามเสียงเข้ม เพราะตั้งแต่เข้าปีสองเขามัวแต่วุ่นวายด้วยเรื่องต่างๆก็เลยไม่ติดตามเรื่องของวงโยธวาทิต
“แล้วมันไปไหนวะ ปล่อยให้พวกมึงกัดกันเป็นหมาอย่างนี้  ไปตามมันมาเดี่ยวกูจะจัดการให้เข็ด”
หนึ่งในเด็กที่นั่งล้อมวงก็ยกมือตอบว่า
“พี่วาครับ  พี่เขาบอกว่าจะไปกับคุยกับผู้ประสานงาน”
อัศวะที่ยืนดูอยู่ตรงนั้นด้วย  ได้ฟังป้องปากหัวเราะ
“เอาสิวะพี่จุ๊ย  จัดการเลยน้องวาของมึงเอง  โน่นมาโน่นแล้ว”
จุ๊ยมองตามไปอาการพยักเพยิบของอัศวะ
เด็กหนุ่มผัวขาวจัดเดินกึ่งวิ่งมา คงมีใครบอกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“เอาเลยพี่จุ๊ยใจร้าย  แดกหัวน้องวาของมึงเลย”  อัศวะยั่วอีก จุ๊ยเลยเขกหัวมันไปทีหนึ่ง
วาทิตวิ่งมาถึงก็ยกมือไหว้
“วา” จุ๊ยเสียงเข้มด้วยแล้วลุกขึ้น
“มานี่”
สองคนเดินตามกันออกไป
ฐาทำหน้างง
“ใครวะ”
“อ้อ” อัศวะตอบปนรอยยิ้มสะใจ
“เด็กมันพี่ เด็กมัน”
 
วาทิตอธิบายเหตุผลโดยมีจุ๊ยนั่งกอดอกมองหน้าเขาอยู่
“ผมขอโทษครับเฮีย  ผมไม่คิดว่าน้องๆจะทะเลาะกัน”
เอาเข้าจริง  แค่เห็นหน้าขาวๆของวาทิตยิ่งซีดลงไปอีก  เขาก็ใจอ่อนแล้ว 
“นี่เราโตขึ้นนะ  ไม่ได้เจอกันนาน” จุ๊ยถามแล้ววางมือบนหัววาทิต
วาทิตเปลี่ยนสีหน้าจากที่เหมือนจะร้องไห้  ยิ้มออกมา
“ไอ้การเป็นหัวหน้าวงน่ะ  เราต้องมีทั้งปราบและปลอบ  วาเป็นคนอ่อนโยน  พวกน้องเลยอาจได้ใจ  นานๆที่ก็ต้องทำให้เขาเห็นว่าเราจริงจังบ้าง  เข้าใจไหม”
วาทิตพยักหน้า  แววตาของจุ๊ยยังอบอุ่นเหมือนเคยไม่มีผิด
“พี่จุ๊ย” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นขัด
อู๊ดเดินฉับๆมา
“ทำอะไรแฟนผม  เด็กมันก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเขาไปคุยกับผู้ประสานงานอยู่  แล้วพี่จะมาอะไรกับวามากไปเปล่าวะพี่”
อู๊ดเดินมาเผชิญหน้ากับจุ๊ย 
“เอ้ย พี่อู๊ด” วาทิตเอามือจับแขนอู๊ด
“ไม่ต้องเลยวา  พี่ไม่ยอมหรอก” อู๊ดปลดแขนวาออก
“ถ้าพี่ลงโทษวา  ไม่ยอมหรอก  ผมก็อดีตหัวหน้าวงเหมือนกัน  เราศักดิศรีเท่ากัน  ผมไม่ยอมแน่ๆ”
จุ๊ยหันมองหน้าอัศวะที่เดินตาม  เขายักไหล่แล้วหันไปอีกทางเหมือนบอกว่าไม่รู้ไม่ชิ
“อะไรของมึง  นี่มึงกล้ากับกูแล้วเหรอไอ้อู๊ด  นี่กูเป็นคนสอนมึงเล่น สอนมึงทุกอย่าง  มึงขึ้นเสียงกับกูเหรอวะ” จุ๊ยทวงบุญคุณ
“เรื่องอื่นผมไม่ว่า  แต่พี่มารังแกแฟนผมไม่ได้” อู๊ดประกาศ
จุ๊ยชักสงสัย
“นี่มึงพูดว่าแฟนสองรอบละ” เขาขมวดคิ้ว
“ก็วาเป็นแฟนผม” อู๊ดยืนยัน
จุ๊ยอึ้งกับท่าที่หนักแน่น
“วา ไปเป็นแฟนไอ้หมาอู๊ดตั้งแต่เมื่อไหร่”
วาทิตยิ้มเจื่อนๆ แล้วตอบออกมา
“ก็นานแล้วครับเฮีย”
“อุ๊บบะ... มาแรง” อัศวะร้องออกมา
“เฮ้ย..” จุ๊ยถึงกับลุกขึ้น
“นี่สองคน  เป็นแฟนกัน... อะไรวะกูงง ล้อเล่นรีเปล่าเนี่ย”
“ไม่ได้ล้อเล่นครับ” อู๊ดว่าแล้วดึงตัววาทิตลุกขึ้นมาโอบเอวไว้
“พี่ห้ามรังแกวา  แล้วก็ห้ามหลีวาด้วย”
จุ๊ยทำหน้าเหยเก
“กูนี่นะ หลีน้องวา”  จุ๊ยชี้อกตัวเอง
“เออ... พี่เลิกทำเป็นเอ็นดูวาได้แล้ว  อย่างนี้แฟนผมหวั่นไหว  พี่ก็มีพี่เดฟอยู่..”

“เฮ้ย” อัศวะขัดคออู๊ด
“อย่าลามปาม  เดฟน่ะของกู”
จุ๊ยหันขวับไปมองหน้า
“อะไร มึงจัดการเรื่องของมึงไป อย่ามายุ่งเรื่องกูกับเดฟ” อัศวะดันจุ๊ยให้หันกลับ
จุ๊ยมองหน้าทั้งคู่
“นี่ซีเรียส” จุ๊ยถาม
สองคนมองหน้ากัน  ก่อนอู๊ดจะพยักหน้ายืนยัน
“เฮ้ยจุ๊ย” ฐาเดินกึ่งวิ่งมา
“เร็วไปเร็วจะถึงคิวแล้ว”
จุ๊ยก็เลยต้องเดินไป
“กูต้องการคำอธิบายไอ้อู๊ด มึงรอกูเดียว  อย่าพึ่งกลับ ส่วนน้องวา  กลับไปได้  ต้องพาน้องกลับบ้านใช่ไหม” เขาหันมาสั่งก่อนจะเดินไป
อู๊ดหันมามองหน้าวาทิต  แล้วทั้งสองก็กุมมือกัน 
อัศวะตบบ่าอู๊ดก่อนจะเดินไปทางเดียวกับจุ๊ย
“สู้ๆ อย่าไปกลัวมัน”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 39 : ใช้กำลัง
แต่วาทิตก็ไม่ได้กลับ  ยังคงชมการแสดงของ The Quartet love ที่เล่นเพลง Killing Me Softly ต่อด้วย Unchained Melody ซึ่งเป็นการโชว์ของจุ๊ยเพราะเน้นที่เสียงแซกโซโฟน
วาทิต ยิ่งได้ฟังยิ่งทึ่ง  ว่าไปแล้วเขาก็ไม่ฟังจุ๊ยเล่นจริงๆจังๆและสดๆมานานมากแล้ว  ฟังอีกที่เขาว่าจุ๊ยก้าวมากกว่าที่เขาจำได้ไปอีกขั้นแล้ว
“ไอ้พี่จุ๊ยมัน..” อู๊ดกล่าวออกมาทั้งที่กำลังหลับตา
“จะเก่งไปไหนวะเนี่ย เล่นขนาดนี้กูก็ตามพี่ไม่ทันสักทีสิวะ”
อา ราอิที่แอบมองจุ๊ยมาจากหลังเวที  บนเวทีนั้นมันเหมือนโดนครอบครองไปแล้วด้วยจุ๊ย  แม้นี่จะเป็นงานอีเว้นท์ ที่ด้านล่างก็มีกิจกรรมต่างๆมากมาย  แต่เหมือนคนหันมาสนใจกับการแสดงบนเวที  ตอนนี้คนเริ่มมุงเข้ามาหน้าเวทีมากขึ้นเรื่อยๆ 
“โยชิ” ผู้ประสานงานมาเรียก
“ครับ” อาราอิขานแล้วเดินมาหา
ในระหว่างนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นหญิงชายคู่หนึ่งเดินเข้ามา  ทั้งคู่หยอกล้อต่อกระซิกกัน
แต่เพราะอาราอิกำลังฟังผู้ประสานงานชี้แจ้งการเปลี่ยนแลงรายการเพราะมีศิลปินบางคนมีปัญหาเรื่องการเดินทาง  ดังนั้นเขาจึงได้แค่มองไป
 
“ตกลงสองคนคบกันจริงๆ ว่างั้น” จุ๊ยมองหน้าทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“แล้วไปทำกันท่าไหน ถึงได้ตกลงเป็นแฟนกัน”
“ก็...” อู๊ดลากเสียง
“ก็หลายท่านะพี่”
โครมเดียวตกเก้าอี้  แต่อู๊ดก็ยังลุกมายิ้มแหะๆ
จุ๊ยลดขาลง  ยังดีที่กางเกงที่เขาใส่เป็นกางเกงทรงย้อนยุคทำให้มันคับแน่น  ไม่อย่างนั้นจะกระทืบซ้ำเสียอีกสองที
“เออ... กูรู้ท่าเดียวก็เมื่อยแย่สิวะ” จุ๊ยตอบ
แล้วก็มองรุ่นน้องทั้งสอง  เพราะอู๊ดเองก็ถือเป็นศิษย์เอกของจุ๊ยที่เคยเคี่ยวมากับมือตั้งแต่มัธยมต้น 
“เอาวะ  มันเรื่องของพวกมึง  แล้วยังไงดีวะกูต้องอวยพรรีเปล่าวะ”
วาทิตยิ้มอายๆ
“เรายังไม่ได้แต่งงานกันนะเฮีย” 
“เออว่ะ” จุ๊ยเกาหัวแกรกๆ
“จุ๊ย  เพิ่มอีกสองเพลงมึง” ปานเดินเข้ามาบอก
“เออๆ พี่เดียวไป” จุ๊ยตอบ
อู๊ดเลยมองหน้ากันกับวาทิตแล้วก็ลุกขึ้นพร้อมๆกัน
“งั้นเรากลับก่อนนะเฮีย” อู๊ดลากเสียงพูด
จุ๊ยขยี้หัวอู๊ดแรงๆ
“แหม่กระแดะ  มึงน่ะเชื้ออะไรมาเรียกกูเฮีย”
อู๊ดหัวเราะแล้วก็ขยับเข้ากระซิบ
“พี่.. บางทีการได้เปิดเผยในสิ่งที่เราอยากจะเปิดเผยมันก็ทำให้เราเหมือนปลดปล่อยเนอะพี่เนอะ”
จุ๊ยมองหน้าอู๊ด คำพูดนั้นช่างสะกิดใจ

จุ๊ยหันกลับไปหาวา

“หัวหน้า   ดูแลน้องดีๆ  มีอะไรก็ไม่ต้องปรึกษาเฮียแล้วนะ  ไอ้เหี้ยนี่มันช่วยเราได้  ถึงมันจะบวมๆ บ้าๆ ก็พอใช้ได้อยู่”
วาทิตมองหน้ากับอู๊ด แล้วก็พยักหน้า
สองคนเดินคู่กันไป  แม้ไม่ได้จับมือแต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างโยงทั้งคู่เอาไว้ 
บาง ทีโลกก็จะเล่นตลกกับเรา  บางทีเราก็อาจไม่เข้าใจเหตุผลบางอย่าง... และบางทีก็อาจต้องปล่อยให้หัวใจชักพาแทนจะเป็นเหตุผล...  นั้นคือคำพูดของมารดาของเขานั้นเอง
 
อาราอิหมดคิวไปแล้วเพราะนักแสดงหนุ่มคนที่ต้องรับช่วงต่อจากเขามาถึงด้วยอาการกระหืดกระหอบ
เขาก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งให้ช่างแต่งหน้าจัดการลบเครื่องสำอางออกให้ 
แต่ระหว่างนั้น  เขาก็เห็นใครคนหนึ่งจากกระจก
ผู้ชายวัยห่างจากเขาแค่ไม่ถึงหกปีดี  ก็เหมือนจะมองเห็นว่าอาราอิมองอยู่ก็เลยทัก
“ว่าไปไงอาราอิ ไม่เจอกันตั้งนาน” เชาวางนิตยสารที่อ่านอยู่ลุกมายืนกอดอกด้านหลัง
“โตขึ้นจากที่เจอกันครั้งที่แล้วเยอะนี่”
อาราอิไม่ตอบ  เขาพยายามควบคุมอารมณ์
นาย คนนี้ชื่อเทียน  เคยเป็นวีเจวัยรุ่นชื่อดัง แต่เพราะมีข่าวฉาวนับไม่ถ้วน  เริ่มจากที่มีความสัมพันธ์กับสไบทองมารดาของเขา แล้วยังมีข่าวมั่วยา และไปมีความพัวพันกับการตั้งครรภ์ของดาราสาวอีกคน  ซึ่งมารดาเขาเองนั้นล่ะจัดการจนหมด  แล้วจับส่งไปเรียนที่อังกฤษเพื่อชุบตัว
“ที่ จริงเราควรจะดีๆกันไว้นะ  ก็เห็นอยู่ว่าเราคงหนีกันไม่พ้น  เพราะแม่ของนายกับฉันก็รักกัน  สักวันนึงฉันก็อาจต้องเรียกนายว่าลูกชายก็ได้”เทียนกล่าวต่อไป
อาราอิลุกขึ้น  แม้ช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองที่รู้เรื่องดีจะพยายามรั้งก็ตาม
“ขอโทษ ผมมีพ่อคนเดียว  ไม่คิดจะมีพ่อที่อายุใกล้เคียงกัน”
“อ้าว...” เทียนยักคิ้ว
“ถ้า ฉันกับแม่นายแต่งงานกัน  เราก็เรียกว่าเป็นพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยงกัน  นายน่าจะเข้าใจ  ไม่อย่างนั้น  แม่ของนายคงไม่หย่ากับพ่อของนายเพื่อฉันหรอกจริงไหม”
อาราอิยักหน้าช้าๆ  สูดลมหายใจทีเดียวลึกๆ
แล้วโดยไม่คาดฝันเขาก็ชกเปรี้ยงไป 


ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 40 : ไตร เงาของอดีต จูบแรกของจุ๊ย
ไม่ใช่สองเพลงแต่เป็นสี่  ดังนั้นพอลงจากเวทีก็รู้สึกว่าเหนื่อยอยู่เหมือนกัน เพราะต้องเล่นติดต่อกันนานมาก  มองไปอีกทีก็เห็นรุ่นพี่ทุกคนอยู่ในอาการที่เหนื่อยกว่าเขาเสียอีก
แต่เสียงวุ่นวายจากส่วนที่เต้นผ้าฝาทึบขนาดใหญ่ใช้สำหรับเป็นห้องแต่งตัวของดารา  ก็เรียกความสนใจจากพวกเขาทั้งหมด
 
อาราอิแม้จะร้างราจากคาราเต้มาแรมปี  แต่เขาก็ยังมีทักษะ ดังนั้นแม้มีร่างกายกำยำแค่ไหน เทียนก็โดนเล่นงานจนลงไปนอน  อาราอิก้าวเข้าไปจะซ้ำให้หน่ำใจ  แม้นมารดาจะวิ่งเข้ามาร้องห้าม เขาก็ไม่สนใจ
อาราอิกระชากคอเสื้อแล้วกระแทกหมัดลงไป  และกำลังจะกระแทกซ้ำ
“พอแล้ว อาราอิ อย่า” เสียงที่คุ้นหูและสัมผัสที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นจากด้านหลัง
แม้จะใช้แรงไม่มาก  จุ๊ยก็สามารถลากตัวอาราอิที่กำลังชะงักไปเฉยๆออกมาได้
“นายทำบ้าอะไร  บ้าไปแล้วหรือไงจะฆ่ากันเลยเหรอ” จุ๊ยตำหนิ
“มันจะมากไปแล้วนะอาราอิ  ป่าเถือนเกินไปแล้วนะ” สไบทองเอ็ดตะโรตอนที่เข้าประคองให้เทียนลุกขึ้น
อาราอิหันมามองก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
จุ๊ยมองหน้าสไบทองทีหนึ่งก่อนจะวิ่งตามออกไป
 
เพราะความโมโหทำให้อาราอิออกมาโดยไม่ได้เอากุญแจรถออกมาด้วย  มีแค่กระเป๋าสตางค์  พอจุ๊ยจะเข้าไปเอาให้  เขาก็ห้ามไว้  แล้วก็โบกแท็กซี่ที่วนเข้ามาส่งผู้โดยสาร ในสนามกีฬาที่เป็นพื้นที่จัดงาน
“ไปไหนครับ” คนขับถามตอนที่ทั้งอาราอิกับจุ๊ยเข้าไปภายในรถแล้ว
“แถวบ้านของนาย เรียกว่าอะไร” อาราอิหันมาถามจุ๊ย
“หือ...” จุ๊ยแปลกใจ
 
อาราอินั่งนิ่งๆอยู่ที่เก้าอี้หนุนของชุดโต๊ะเขียนหนังสือในห้องของจุ๊ย ให้จุ๊ยเอากล่องยาสามัญมาทำแผลที่โดนหมัดสวนของเทียนที่หางคิ้ว
จุ๊ยไม่ต้องถามเรื่องราวทั้งหมดเลย  เขาคาดเดาได้เพราะรู้เรื่องดี
เมื่อ สี่ปีก่อนตอนเจอกันครั้งแรก แม้จะสื่อสารกันค่อยไม่รู้เรื่อง แต่จุ๊ยก็เข้าใจได้ว่า อาราอิขอให้เขาพาไปที่โรงแรมห้าดาวในพัทยา ที่อาราอิบอกว่ามารดาของอาราอิพักอยู่ในตอนนี้
ทั้งคู่ก็เลยลงรถที่พัทยา

ตอน นั้นพอไปถึงจุ๊ยก็สอบถามกับพนักงาน แต่พนักงานปฏิเสธจะให้ข้อมูล แม้อาราอิจะแสดงพาสปอร์ตให้ดู ก็เหมือนจะไร้ผล เพราะเขาใช้นามสกุลพ่อ ดูยังไงก็หาความเกี่ยวข้องกับดาราสาวใหญ่อย่างสไบทองไม่เจอ

ครั้งพอจะกลับออกมา กลับได้พบกับสไบทองกับเทียน เดินตัวติดกันกลับเข้ามาโรงแรม 
ตอนนั้นอาราอิปรี่เข้าไปสนทนากับสไบทองด้วยภาษาญี่ปุ่น  ซึ่งจุ๊ยจับความไม่ได้  แต่ก็เดาได้ว่าเป็นการโต้เถียงอย่างรุนแรง  แล้วเขาก็วิ่งออกมาจากโรงแรม 
จุ๊ยก็ตามมาไปจนเจอเขานั่งอยู่ริมทะเล แล้วร้องไห้
จุ๊ยตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไง  ก็เลยตัดสินใจเล่นแซกโซโฟนให้ฟัง  อาราอิได้ฟังก็หยุดร้องไห้และนั่งมองเขาเล่นเพลงต่อเพลงจนกระทั้งอาราอิยิ้ม ออกมา
 
พอทำแผลให้เสร็จ  เขาก็เอากล่องแซกโซโฟนที่พี่ฐาเอาขึ้นแท็กซี่มาส่งให้มาตรวจสอบแล้วจะเก็บใส่ตู้
อาราอิก็รู้ว่าจุ๊ยรู้เรื่องราวดี  จึงไม่ได้พยายามเล่าอะไร  มองตามจุ๊ยจนกระทั้งเขาเดินไปเปิดตู้ออก
เขาก็มองเห็นหมวกแก็ปใบหนึ่ง
“โตเกียว โยมิอูริ ไจแอ้นท์” เขากล่าวแล้วเดินมา
“นายเป็นแฟนทีมไจแอ้นท์ด้วยเหรฮ”
จุ๊ยหันมามองหน้าอาราอิ  เห็นสีหน้าของเขาดีขึ้นมากแล้ว  เขามองหมวกก่อนจะหยิบมันออกมา
“เปล่า หรอก  เป็นของรุ่นพี่ของเราเอง  เขาชอบทุกอย่างที่เป็นญี่ปุ่น  เคยฝันว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่น  แต่ก็ไม่เคยได้ไปสักที” จุ๊ยกล่าวแล้วส่งหมวกให้อาราอิ
อาราอิรับหมวกมาพลิกดู 
“แล้วนี่ได้มาจากไหน”
“ก็ได้จากญาติของพี่เขาที่ไปเรียนอยู่ที่นั้น  กลับมาแล้วซื้อมาเป็นของฝาก”  เขาว่าแล้วก็หยิบแซกโซโฟนโซบราโน่ออกมาด้วย
“สองอย่างนี้เป็นของพี่ไตร”
 
อาราอิมองหน้าของจุ๊ยที่หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
“เขาเสียชีวิตแล้วใช่ไหม”
จุ๊ยนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะพยักหน้าช้า  ถือแซกโซโฟนเดินมานั้งลงบนเตียง
“เขาเป็นเพื่อน เป็นพี่  และเป็นคนที่รู้จักฉันดีที่สุดในโลกคนหนึ่งถ้าไม่นับแม่"

เพราะเตียงของจุ๊ยตั้งชิดผนัง  ดังนั้นเขาและอาราอิจึงขึ้นมานั่งพิงพนังเคียงกัน
“ก็เหมือนที่เล่าให้ฟัง  แม่อยากให้เราฉันเล่นดนตรีท่านก็เลยพาฉันไปฝึกกับอาจารย์ถนอมตั้งแต่ห้าขวบ  ซึ่งตอนนั้นอาจารย์ถนอมมีลูกศิษย์อยู่แล้วสองคน  คนหนึ่งคือพี่ไตร”
จุ๊ยนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกัน  พี่ไตรเป็นเด็กชายอายุมากกว่าเขาสองปี  ผิวสองสีค่อนข้างเข้มและค่อนข้างเงียบขรึม  เกือบไม่พูดกับจุ๊ยเลยทั้งวัน  จนกระทั้งตอนเย็นเพราะทนความช่างพูดของจุ๊ยไม่ได้เลยหัวเราะออกมาตอนที่จุ๊ย ถามอะไรตลกๆกับอาจารย์ถนอม
“แล้วอีกคนหล่ะ” อาราอิถาม
“พี่ปลา เธอกับพี่ไตรบ้านใกล้กัน  และชอบคนตรีเหมือนกัน ก็เลยมาเรียนกับอาจารย์ถนอมด้วยกัน  ฉันต้องเจอพี่ไตรกับพี่ปลาทุกอาทิตย์ เราก็เลยเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ  แต่ตอนหลังพี่ปลา พบตัวเองว่าไม่ได้มีพรสวรรค์ดนตรีเธอก็เลยเลิกเรียนไป"

"แต่ก็ยังมาหาพวกเราที่ร้านบ่อยๆตอนเราเลิกเรียน  พี่ไตรกับพี่ปลา อายุมากกว่าฉันสองปี  พอพวกพี่เริ่มเข้าวัยรุ่น  ฉันก็เริ่มสังเกตุว่าพี่เขาเริ่มมองกันแปลกๆ  แต่ก็ยังให้เราไปไหนมาไหนด้วยตามปกติ ฉันมันก็เด็กเนอะประถมหกได้เองมั๊ง  แอบเห็นพี่เขาจูบกัน จับมือกัน ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร” จุ๊ยเล่า
“เขาเป็นแฟนกัน  แถมไม่ได้เป็นแฟนกันเฉยๆด้วยนะ  คือพี่ปลาเป็นเด็กกำพร้าที่ฝรั่งชาวเยอรมันเอามาเลี้ยง  พอสามีภรรยาชาวเยอรมันจะกลับประเทศ  เขาสองคนก็นัดไปเจอกันที่บ้านของพี่ไตรที่ไม่ค่อยมีใครอยู่ เพราะแม่กับพ่อของพี่ไตรทำงานสายการบินทั้งคู่  ฉันตอนนั้นสิบสองขวบยังไม่ประสีประสาอะไร  ก็ยังต้องหน้าที่ดูต้นทางให้เขา ตอนที่...” จุ๊ยหน้าแดงขึ้นมา
“มีอะไรกัน” อาราอิกล่าวเอง
“อืม...” จุ๊ยพยักหน้า 
“แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรหรอกนะ ก็ยังเด็กนี่น่า”
เขาหัวเราะ
“ก็ซื่อเนอะ... นึกแล้วขำวะ”
อาราอิพลอยยิ้มไปกับรอยยิ้มของจุ๊ยด้วย
“พอสองคนจะจากกันเขายังให้ฉันเป็นพยาน สาบานรักเลยนะ” 
แล้วจุ๊ยก็หยิบหมวกมาพลิกดูอีกรอบ
“ต่อมาฉันก็เข้าเรียนโรงเรียนเดียวกับพี่ไตร ก็คือโรงเรียนที่พวกเราเจอกันนั้นล่ะ   แถมฉันยังอยู่วงโยธวาทิตเหมือนกันด้วย  เราสองคนเลยยิ่งสนิทกันเข้าไปใหญ่  เรียกว่าไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด”
จุ๊ยเล่า
“พี่ไตรชอบแซกเหมือนๆกับฉัน  พวกเราเล่นเครื่องดนตรีชนิดเดียวกัน ซ้อมด้วยกัน  แล้วตอนนั้นพอดีมีวันหนึ่งเครื่องเสียงเสีย  ครูอติก็เลยให้เราสองคนไปเป่าแซกโซโฟนบรรเลงเพลงชาติ  แล้วก็กลายเป็นธรรมเนียมไปเลยว่าจะต้องเล่นเพลงขาติสดๆ”
“ฉันกับพี่ไตรตัวติดกัน แม้จะเรียนห่างกันสองชั้นปี  ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรหรอก เพราะฉันคิดว่าพี่ไตรก็มีแฟนอยู่แล้วคือพี่ปลา เพราะสองคนถึงอยู่กันคนละประเทศก็ยังโทรคุยกันตลอด  ส่งอีเมล ติดต่อกันไม่ได้ขาด  ฉันก็มองพี่ไตรเป็นพี่ชายอีกคนหนึ่ง  เพราะพี่ไตรอายุน้อยว่าเฮียตี้” จุ๊ยยิ้มกับช่วงเวลาที่น่าจดจำ
“จนฉันโตขึ้นเรื่อยๆ  พี่ไตรก็เหมือนกัน  แล้วฉันก็เริ่มสังเกตอย่างหนึ่ง  คือสายตาของพี่ไตรมองฉันลึกซึ้งมากขึ้นทุกที  จนแทบจะเหมือนกับเวลาพี่เขามองพี่ปลา จนกระทั้งราวๆปลายม.สอง  มีใครคนหนึ่งมาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป  นั้นคือไอ้เดฟ”
จุ๊ยก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อพูดชื่อนี่  และยังก็นึกถึงหน้าอัศวะตอนที่แสดงความเป็นเจ้าของเดฟ
“อยู่ดีๆมันก็ยอมรับว่าเป็นเกย์  แล้วไม่นานหลังจากนั้นมันก็บอกรักฉันต่อหน้าเพื่อนวงโย  ตอนแรกก็นึกว่ามันพูดเล่น  แต่มันกลับบอกว่าจริงจัง  แล้วพอขึ้นม.สาม มันก็ยิ่งรุกเข้าหาฉัน  ตอนนั้นพี่ไตรเริ่มมองมันอย่างไม่เป็นมิตร  แต่ไอ้เดฟมันเป็นประเภทไม่กลัวใครแต่ไหนแต่ไร  ก็ชนกับพี่ไตรตลอด ขนาดเกือบจะต่อยกันในโรงอาหาร ไอ้เดฟน่ะ สมัยก่อนมันเป็นทั้งนักบาสของโรงเรียน แล้วก็เป็นดรัมเมเยอร์ของวงด้วย  ก็เลยตัวโตพอๆกับพี่ไตร เกือบจะต่อยกันหลายครั้งในโรงอาหาร" 
"แต่ฉันก็นึกว่าพี่ไตรแค่อยากจะปกป้องฉัน เพราะไอ้เดฟเวลามันเข้าหาฉันทีไรก็กลายเป็นลวนลามทุกครั้งไป”
จุ๊ยถอนหายใจ  แล้วอยู่เขาลุกขึ้นนั่งตรง
“พอเถอะอาราอิ  ถ้าเราเล่าต่อนายอาจ...” แล้วเขาก็ทำท่าจะลุกไปจากเตียง
ทว่าอาราอิกลับรั้งเขาไว้
“เล่าสิฉันอยากฟังต่อ”
จุ๊ยหันไปมองหน้า  แว่บหนึ่งเขาคล้ายจะเห็นเงาของพี่ไตรซ้อนเข้ามา
“ตอน นั้นฉันสองคนเป็นตัวหลักในการแสดงประกวดของวง  ฉันกับพี่ไตรเลยต้องซัอมหนักว่าใคร  จนมีอยู่วันหนึ่ง  ก็ซ้อมกันจนค่ำ  เลยเหลือแค่เราสองคน  แล้วระหว่างพักพี่ไตรก็พูดเรื่องเดฟขึ้นมา”
 
“พี่ไม่ชอบให้จุ๊ย ยุ่งกับเดฟเลย”  พี่ไตรกล่าวแล้วก็ยกขวดน้ำดื่มจากปากขวด
“เดฟมันไม่ได้ล้อเล่นนะจุ๊ย มันเอาจริง จุ๊ยก็ยังไปอยู่เป็นเพื่อนมันซ้อมโยนคฑากับมันทุกวันเสาร์อาทิตย์  ถ้าพี่ไม่ติดต้องกลับบ้านเร็ววันอาทิตย์  พี่จะอยู่ด้วย  เกิดมันปล้ำจุ๊ยขึ้นมาทำไง”
จุ๊ยหัวเราะเสียงใส
“ก็ลองดู  ผมก็เอาคฑายัดตูดมันแม่งเลย อยากเงี่ยนดีนัก” จุ๊ยตอบพลางขยับหมุนเมาท์พีชให้เข้าที่
“พี่ไตรไม่ต้องกลัว ถึงมันจะตัวใหญ่กว่า  ผมก็สู้มันไหวน่า  รับรองผมปกป้องตูดตัวเองได้แน่นอน”
ไตรส่ายหัวกับอาการตบตูดประกอบของจุ๊ย
แล้วทั้งสองคนก็เงียบกันอยู่พักหนึ่ง
“จุ๊ย”
“หือ” จุ๊ยขานแล้วหันหน้ามา
ตกใจนิดหน่อยที่หน้าของพี่ไตรเข้ามาใกล้จนชิด
“ขอพี่จูบจุ๊ยได้ไหม”  ไตรถาม
แต่ไม่ได้รอคำตอบ  เขาประกบปากกับจุ๊ย
 
“ตอนนั้นฉันทั้งงง ทั้งตกใจ ที่อยู่ดีๆพี่เขาก็จูบฉันแบบนั้น” จุ๊ยที่เอาแซกโซบราโน่มาถือไว้ เขาลูบเบาตรงเม้าท์พิช
“แล้วจุ๊ยทำยังไงหล่ะ” อาราอิถาม
“ลองทายดูสิ  ว่าคนอย่างฉันทำยังไง” จุ๊ยยิ้มท้าทาย
“ก็...  จากบุคลิก  ฉันว่าจุ๊ยต้องต่อยสวนไปแน่นอน  หรือไม่ก็ผลักล้มไปเลย” อาราอิตอบ
จุ๊ยหัวเราะ
“พี่ไตรตัวสูงกว่าฉันตั้งเยอะ  ฉันจะเอาแรงที่ไหนมาต่อยพี่เขา”


ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 41 : ไตร เงาของอดีต ความทรงจำสุดท้ายก่อนจากลา
“ฉัน..” จุ๊ยลากเสียง
นั่นทำให้เกิดช่วงเวลาที่นานในความรู้สึกของอาราอิ
“ฉันจูบตอบเขาไปเฉยเลย”จุ๊ยเฉลยออกมา
แล้วก็เงียบไปทั้งคู่  ก่อนจุ๊ยจะขยับตัวก่อน

เขาหันมองหน้าอาราอิ  หาร่องรอยความแปลกใจ หลากใจ และแม้แต่ความรังเกียจ  แต่กลับไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย
“อืมเหรอ” อาราอิกล่าวออกมาหลังความเงียบ แล้วถาม
“ทำไมล่ะ”
จุ๊ยนิ่งไปกับคำถาม เขามองเพดานก่อนจะตอบ
“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม  แต่ฉันก็จูบตอบพี่ไตรไป ไม่รู้เพราะอะไร" เขาตอบ แล้วหันมองหน้าอาราอิ
ตอนนี้อาราอิมองหน้าเขาอย่างจริงจัง จุ๊ยจึงเล่าต่อ

"จนมีเสียงเหมือนคนอยู่นอกห้องซ้อม  ก็เลยผละออกจากกัน  แต่พอเก็บของจะกลับบ้าน  จู่ๆพี่ไตรก็ชวน”
 
“จุ๊ยไปค้างบ้านพี่ไหม” ไตรกล่าวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
จุ๊ยหันมา  ตอนนี้เรือนร่างที่สูงกว่าเขาเกือบสองฝ่ามือยืนต่อหน้าเขา
“เฮ้ยพี่  เดี่ยวจุ๊ยต้องกลับบ้าน  มีการบ้านด้วย”
“ก็ให้พี่สอนไง” ไตรบอกแล้วขยับมาจับมือจุ๊ย
“ไปค้างบ้านพี่นะ เดี๋ยวพี่ทำการบ้านให้แทนเลยก็ยังได้”
“แล้วแม่พี่ไตรไม่ว่าเหรอ อยู่ดีๆจุ๊ยก็ไปค้าง” จุ๊ยมองตารุ่นพี่  ตอนนี้แววตาของไตรมองอย่างลึกซึ้ง

“ไม่หรอก  แม่พี่รักจุ๊ยมากกว่าพี่ด้วยซ้ำ  ท่านเคยบอกบ่อยว่าให้พาจุ๊ยมานอนที่บ้านจะได้เป็นเพื่อนฉันด้วย”
จุ๊ยมองหน้าไตรอยู่ครู่ก่อนจะถอนหายใจ
“เอาเถอะไหนๆพรุ่งนี้ก็จะไปซื้อReed ใหม่กับพี่อยู่แล้วนี่  จะได้ออกจากบ้านพร้อมๆกัน  แต่พี่ไตรต้องขี่รถไปส่งจุ๊ยที่บ้านด้วยนะ”
ไตรยิ้มอย่างยินดี  กอดคอจุ๊ยพาเดินไปปิดไฟและลงกลอนประตูห้องดนตรี
 
จุ๊ยเคยมานอนที่บ้านพี่ไตรหลายครั้งแล้ว  โดยเฉพาะเวลาที่ต้องไปแข่งวงโยธวาทิตที่ต่างจังหวัด เพราะแม่พี่ไตรมีรถ ท่านสามารถขับพาไตรกับจุ๊ยไปส่งที่โรงเรียนได้ในตอนเช้ามืด ซึ่งเป็นเวลานัดหมายขึ้นรถ
ดังนั้นเมื่อจุ๊ยอาบน้ำเสร็จแล้ว  เขาก็มาหาหนังสือการ์ตูนอ่านจากตู้เก็บของพี่ไตรที่ใหญ่กว่าตู้เสื้อผ้าของจุ๊ยเสียอีก
แต่ระหว่างเลือกการ์ตูนอยุ่นั้น  เขาสังเกตเห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในของชั้นหนังสือ  พอดึงออกมาดู  จังได้รู้ว่าเป็นดีวีดี ที่เขียนว่า
Coat West Japan บ้าง  Ko Eros บ้างเขาสงสัยก็เลยดึงออกมาดู  แต่พอได้ยินเสียงเหมือนคนขึ้นบันไดมาก็เลยยัดมันกลับไปที่เดิม  แล้วเอาหนังสือการ์ตูนออกมาอ่านแทน
“จุ๊ยนี่ผ้าห่มของหนูนะ” น้าเก๋แม่ของพี่ไตรกล่าวเมื่อเปิดประตูเข้ามา จุ๊ยก็รีบวิ่งไปรับเอาผ้าห่มมาโดยไม่ลืมจะไหว้ขอบคุณ
“แล้วก็อย่านอนกันดึกนะ วันนี้น้ามีตารางทำงานตอนดึก น้าทัดก็ไปอังกฤษ  อยู่กันสองคนอย่าซนนะ ถ้าออกไปซื้อขนมก็อย่าให้ดึกมาก ล๊อกบ้านให้ดีด้วย ”
น้าเก๋สั่งเหมือนกับจุ๊ยเป็นลูกอีกคน
”ครับ” แล้วเขาก็ยกมือไหว้อีกที
พอน้าเก๋ไปแล้วจุ๊ยก็มาอ่านหนังสือการ์ตูนต่อไป  จนกระทั้งพี่ไตรอาบน้ำเสร็จกลับมา พร้อมกลิ่นสบู่หอมฉุย
“แม่ไปแล้วเหรอจุ๊ย”
“อืมไปแล้วล่ะ” จุ๊ยตอบ
แล้วก็พลิกหน้าอ่านต่อไป
พี่ไตรทำอะไรอยู่หน้ากระจกสักครู่  แล้วก็เดินมานั่งข้างจุ๊ย
จุ๊ยเหลือบมองเห็นเขาไม่ได้สวมเสื้อใส่แค่กางเกงขาสั้นตัวเดียว
“อ่านอะไรอยู่” ไตรถาม
“ก็เรื่อง” แล้วจุ๊ยก็ตอบชื่อการ์ตูนออกไป
แล้วไตรก็ขยับมากอดจุ๊ยหลวมๆจากด้านหลัง  เขาดมที่ข้างๆกกหูจุ๊ย
“จุ๊ยนี่กลิ่นหอมจัง”
จุ๊ยหัวเราะ
“พี่พูดเหมือนไอ้เดฟเลย”
แล้วก่อนจุ๊ยจะตั้งตัวไตรก็รวบร่างของจุ๊ยแน่น  แล้วซุกไซร้ลงบนคอของจุ๊ย  ร่างของจุ๊ยก็ระทวยลงในอ้อมกอดของเขา
ไตรกระซิบของหูจุ๊ย
“พี่รักจุ๊ยนะ  รักมากเลย  พี่ไม่เคยรู้สึกกับใครมากอย่างนี้มาก่อนเลยจุ๊ย”
มือที่กอดเขาไว้ค่อยเลือนมาเป้ากางเกง  แล้วก็สอดมือเข้าไปในกางเกง
จุ๊ยต้องหลับตาลงเพราะความรู้สึกที่ทวีขึ้นฉับพลันเพราะการสัมผัสนั้น
“พี่รักจุ๊ย”  เขากระซิบอีกครั้งแล้วก็พลิกจุ๊ยให้หันนอนหงายลง  จูบที่ริมผีปากก่อนจะไล้โลมต่ำลงเรื่อยๆ
จุ๊ยสะท้านไปหมดด้วยสัมผัสนั้น  เสียงหายใจของจุ๊ยหอบถี่แต่ประสานเข้ากับเสียงหายใจของไตรอย่างลงตัว
บท เพลงคราสซิค อันคุ้นเคยดังในหู  จุ๊ยปลดปล่อยอารมณ์ที่ค้างคามาตั้งแต่ตอนจูบกันในโรงเรียนไปในการบรรเลงบท เพลงอันนุ่มนวลทว่าเต็มไปด้วยความต้องการของไตร
“พี่ไตร...” เขาเรียกชื่อนั้นออกมา

“แปลว่านายกับเขาก็ไม่ใช่แค่พี่น้อง” อาราอิถามตรงๆ
จุ๊ยก็พยักหน้าช้าๆ
“เราคบกันอย่างนั้น  ประมาณเกือบครึ่งปี  เรื่องของเราเริ่มมีคนรู้  แล้วในวงก็เริ่มระแคะระคาย ฉันก็เริ่มกดดันเพราะถูกคนรอบตัวตั้งคำถาม  แถมมียังพี่ไตรยังมาบอกอีกว่าพี่ปลากำลังจะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยในช่วงฤดู ร้อนของที่นั้น  ตอนที่พี่เขาบอกฉัน ตอนนั้นเราไปแข่งวงโยที่บุรีรัมภ์ ฉันก็เลยตัดสินใจ บอกเลิกกับพี่ไตร"

 
ไตรนั่งอยู่ปลายเตียงมองหน้าจุ๊ยที่ยืนอยุ่ตรงหน้า  แวดตาบอกได้ว่าทั้งตกใจและเจ็บปวด

“หมายความว่ายังไง พอแล้ว...” ไตรถาม
“จุ๊ยกำลังจะบอกเลิกกับพี่ใช่ไหม”
จุ๊ยที่แม้จะตั้งใจมาแน่วแน่แล้ว  แต่กลับใจอ่อนลงเพราะอาการของพี่ไตร
“พี่ไตร  ผมรู้สึกดีกับเรื่องของเรา  ผมมีความสุขกับมัน  แต่ปัญหาคือ... พี่ไตร  เราต่างคนต่างเป็นผู้ชาย  มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะคบหากันไปตลอดแบบนี้  พี่ปลาก็กำลังจะกลับมา  ผมไม่อยากให้พี่ไตรมีปัญหากับพี่ปลา”
“มันเป็นปัญหาของพี่ จุ๊ย  ไม่ใช่ปัญหาของจุ๊ย  พี่จะเคลียร์กับพี่ปลาเอง  จุ๊ยไม่ต้องห่วง” ไตรจับแขนจุ๊ย
“จุ๊ยไม่เข้าใจหรือไง  ว่าพี่รักจุ๊ย  พี่รักจุ๊ยมาก  ก่อนหน้านี้ความรู้สึกของพี่กับปลาเป็นเพราะพี่ยังไม่รู้ใจตัวเอง  แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วพี่รักจุ๊ย”
จุ๊ยสูดลมหายใจลึกๆ
“พี่ครับ  เราเป็นผู้ชาย  พี่กับพี่ปลาคบกันมาตั้งนาน  แล้วอยู่ดีๆพี่จะไปบอกพี่ปลาว่าเลิกเพราะคบกับจุ๊ย  พี่ว่ามันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอครับ  ที่ผู้ชายสองคนรังแกผู้หญิงคนเดียว”
“ตอนนี้เรื่องของเราไม่ได้เป็นความลับ  ทุกคนเริ่มสงสัย  หลิวเองก็ถามผม  พี่ครับผมไม่รู้จะอธิบายยังไงกับพวกเขา  พี่จะให้ผมทำยังไง  แล้วยังพี่ปลาอีก  อย่างน้อยผมกับพี่ปลาก็รู้จัก  สนิทกัน  มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปไหม ถ้าเราสองคนทำอย่างนี้  แล้วยังมีพ่อแม่ของพี่อีก  พี่จะบอกท่านยังไง  ท่านคาดหวังกับพี่ไว้มากนะครับพี่”
“พอจุ๊ย” พี่ไตรลุกขึ้น
“ก็บอกมาเลยว่าจุ๊ยอายที่ต้องบอกคนอื่นว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย  ชอบผู้ชายด้วยกัน”
จุ๊ยอึ้ง...
“มันไม่ใช่แค่นั้นนะครับพี่  ชีวิตของเรายังมีคนอื่นด้วย  เรามีครอบครัว  ผมมีป๊ามีเฮีย มีซัว มีฮัว... ส่วนพี่ก็มีพ่อมีแม่  แล้วยังมีพี่ปลา เราอาจบอกว่าไม่แคร์พวกเขาก็ได้  แต่ถ้าทำแบบนั้นมันเห็นแก่ตัว  ต่อให้ผมเดินจูงมือพี่ไปบอกทุกคนว่าเรารักกันแล้วยังไง  พวกเขาจะดีใจ หรือพวกเขาจะเสียใจ  พี่เองก็รู้ว่าคำตอบคืออย่างหลัง”
ไตรจ้องตาจุ๊ยสายตาของเขาเจ็บปวดเหลือเกิน
“ปัญหาของจุ๊ยคือตัวจุ๊ยเอง  จุ๊ยคิดถึงแต่คนอื่น  จุ๊ยกลัวคนอื่นจะเสียใจ”
แล้วน้ำตาพี่ไตรก็ร่วงลงมา
“พี่ไม่สนใจพวกเขา  พี่รู้แต่พี่รักจุ๊ย  ถ้าจุ๊ยรักพี่  เราไปด้วยกัน  พี่จะบอกเลิกกับปลา  แล้วออกจากบ้าน  เราไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่เราจะใช้ชีวิตร่วมกันได้  จุ๊ยจะทำอย่างนั้นได้ไหมหล่ะ”
จุ๊ยไม่สามารถสู้สายตาของไตรได้
“ผมพูดได้แค่นี้  ผมอยากจะให้พี่ทบทวน  เรายังพอที่จะถอยกลับไปได้  เรากลับไปในที่เราเคยอยู่ได้นะครับพี่  ผมสามารถกลับไปเป็นน้องของพี่ได้เหมือนเดิม  พี่ไม่ได้สูญเสียจุ๊ยไป  จุ๊ยจะอยู่ตรงนี้ให้พี่เหมือนเดิม” เขากล่าว แล้วเดินออกจะออกจากห้องไป
“ผมรักพี่ผมบอกได้  แต่ผมไม่สามารถให้ใครมาเจ็บปวดเพราะผมได้ โดยเฉพาะคนที่รักผม”
“แล้วพี่หล่ะจุ๊ย  พี่ก็คือคนที่รักจุ๊ย  จุ๊ยไม่แคร์ไม่ห่วงบ้างหรือว่าพี่จะเป็นยังไง  นี่คือความรักในแบบของจุ๊ยอย่างนั้นเหรอ  จุ๊ยยินดีจะเสียสละตนเอง บูชายัญคนที่รักจุ๊ยเพื่อคนอื่น  ถ้าจุ๊ยถามว่าที่พี่ทำมันเห็นแก่ตัวไหม  นี่ต่างหากที่เห็นแก่ตัว  เพราะจุ๊ยกำลังจะฆ่าพี่ด้วยมือของจุ๊ยเอง” ไตรกล่าวออกมา
จุ๊ยหันมามอง  แต่เขาก็หักใจให้แข็งแล้วเดินออกมา
“ไปเถอะครับสายแล้ว เอาไว้เราค่อยคุยกัน”
 
พอลงมาที่ห้องอาหารของโรงแรม ก็เห็นเพื่อนกินกันล่วงหน้าไปแล้ว  จุ๊ยก็ตักอาหารสำหรับตัวเองและเผื่อสำหรับพี่ไตรด้วย  แต่พอยกไปวางที่โต๊ะซึ่งมีเพื่อนอยู่สี่ห้าคนนั่งอยู่
“มองเหี้ยอะไร” จุ๊ยถาม 
“แน่ะ แน่ะ  ทำเป็นหงุดหงิดเมื่อคืนพี่ไตรไม่ปล้ำหรือไง ถึงได้หงุดหงิด” ไก่ตอบโต้
เพื่อนก็หัวเราะกันครื้น
จุ๊ยส่ายหัว
แล้วหยิบเอาซอสมาราดลงบนไส้กรอก
“เฮ้ยเอาน่า แจ่มใสหน่อย  หรือว่าหนักไป  โถๆ  มาๆกูไปทำไข่ลวกให้” ไก่ลุกไปแล้วกลับมาพร้อมไข่ลวกจริงๆ
“เอ้านี่จุ๊ยกูปรุงให้พิเศษสำหรับมึงเลย”
จุ๊ยมองหน้าไอ้ไก่  เขารู้ดีว่าเพื่อนเป็นคนกวนตีน  แต่ปกติเขาจะโต้ได้สนุก  แต่วันนี้เขาไม่อยู่ในอารมณ์นั้น
“ไปเลย กูจะกิน” แล้วจุ๊ยก็สะบัดแขนที่เกาะกุมโดยไก่ออก
“โถๆ  เดี่ยวพี่ไตรลงมาน้องจุ๊ยก็คงอารมณ์ดีสินะ” ไก่ตบบ่า
แล้วกำลังจะเดินกลับไปนั่ง  ทันใดเขาเซล้มลงไปด้วยแรงหมัด
“มึงพูดเหี้ยอะไรไอ้ไก่” แล้วก็จะเดินเข้าใส่อีก
ทว่าจุ๊ยถลันเข้าขวาง  จ้องตาไตร
“อะไรวะพี่ ก็พูดเล่นกัน  ทำไมต้องรุนแรง”
“แต่มันว่าจุ๊ย” ไตรว่าแล้วจะเข้าไปอีก  แต่ฐากับเพื่อนรุ่นเดียวกันอีกสองคนเข้ามารั้ง
“นี่มันอะไรกัน” ครูอติคงได้ยินเสียงเอะอะ เลยรีบเข้ามาภายในห้องอาหาร
“ชกต่อยกันในสถานที่ของคนอื่น แบบนี้ได้ยังไง”
 
“พี่ไตรเลยโดนสั่งให้ไปนั่งกับรถขนเครื่องดนตรี  ภาพสุดท้ายทีจุ๊ยเห็นพี่ไตร ตอนยังปกติคือ เขาเอาแซกตัวนี้มายืนเป่าอยู่ข้างรถ..เพลง Summertime Sadness” จุ๊ยน้ำตาเริ่มเกาะที่ขอบตา
 
จุ๊ยไปนั่งอยู่บนรถแล้ว  เขาหมดอารมณ์จะหยอกกับใคร  มองไปด้านหนึ่งไก่ที่นั่งปากเจ่ออยู่ ก็หันมามองหน้าเขาแล้วหันกลับไป 
ฮ้อยนั่งลงข้างๆ
“โอเคไหมวะ” ฮ้อยถาม
จุ๊ยพยักหน้าช้าๆ
“จุ๊ย” เสียงเรียกจากข้างรถ พอเขาหันมองลงไป 
พี่ไตรยืนถือโซบราโน่ของเขา เขาหมุนปีกหมวกแก็ปไปข้างหลัง
“พี่ให้เพลงนี้กับจุ๊ย”  แล้วไตรก็จรดปาก
Summertime Sadness …
เสียงแซกโซโฟนของพี่ไตร  แม้จะโดนวิจารณ์ว่าเป็นรองจุ๊ยอยู่  แต่เป็นเสียงแซกโซโฟนเดียวที่จุ๊ยอยากฟัง...
ภาพพี่ไตรสบตาเขาตอนที่เป่าแซกโฟโฟนตัวโปรดในแสงอ่อนๆยามสายนั้น  สร้างความรู้สึกระคนกันในใจของจุ๊ย 
เสียงแซกโซโฟนนั้นคร่ำครวญ  มันบอกเล่าความรู้สึกของการเว้าวอน..

 และเมื่อเพลงจบ  เขาก็เดินเข้ามา ถอดหมวกแก็ปแล้วส่งมา
“พี่ให้”
จุ๊ยรู้ดีว่าพี่ไตรชอบหมวกใบนี้มาก
เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมจุ๊ยถึงรับมันมา
รถออกเดินทางตามกำหนด  จุ๊ยไม่มองกลับไปอีก  แต่เอาหมวกใบนั้นแนบอกไว้
 
“แต่รถขนเครื่องดนตรีชนกับรถบรรทุก  พี่ไตรบาดเจ็บสาหัส  เขาทนจนฉันไปถึงโรงพยาบาล เพื่อจะพูดกับฉันแค่คำเดียวว่า”
อาราอิมองหน้าจุ๊ยที่เหมือนดำดิ่งในห้วงแห่งอดีต
 
ใบหน้าที่พันไว้ด้วยผ้าพันแผลไปครึ่งหน้า  เหลือแค่ดวงตาข้างเดียวมองมา  ริมผีปากขาวซีด
จุ๊ยจับมือเขาไว้  เห็นริมผีปากนั้นขยับ  เขาจึงเข้าไปใกล้ๆเพื่อให้ได้ยิน
“พี่รักจุ๊ยนะ”
นั้นคือเสียงสุดท้ายที่จุ๊ยได้ยินจากผู้ชายที่เขารัก... พี่ไตร
 
"ตอนนั้นเพราะรถบัสมันเต็ม  ฉันก็เลยต้องเอาแซกของฉันใส่ไปกับรถขนเครื่องดนตรี  เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินเล่าว่าตอนที่หน่วยกู้ภัยไปช่วยพี่ไตรออกจากรถ  พี่ไตรกอดกล่องแซกโซโฟนของฉันไว้แน่นไม่ปล่อย แม้จะสลบ  จนพวกเขาต้องแกะมันออกมาอย่างลำบาก  พี่เขาพยายามปกป้องสิ่งที่ฉันรักไว้จนถึงที่สุด"

แล้วจุ๊ยก็กลั่นไม่อยู่  น้ำตาหยดลงบนแซกโซโฟนโซบราโน่ 
อาราอิจึงกอดจุ๊ยไว้เอาหน้าจุ๊ยซบกับไหล่
“เขารักฉันมาก  แต่ฉันกลับคิดจะทิ้งเขาไว้เพียงเพราะกลัวคนอื่นจะรู้ความสัมพันธ์ของเรา.. ฉันมันเลวใช่ไหม”
อาราอิลูบหัวจุ๊ยเบาๆ  แต่ก็หาคำใดมาปลอบใจไม่ได้เลย...

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 42 : Come Again, sweet love doth now invite เริ่มบทใหม่แห่งความรัก
อาราอิใส่เสื้อของจุ๊ยได้  แต่กางเกงแม้จะเป็นตัวใหญ่ที่สุดก็ยังดูสั้นเตอะ อวดขาขาวๆ
ตอนที่จุ๊ยหันมาเห็นอาราอิซึ่งกำลังยืนเฝ้ากระทะทอดปลา จึงแกล้งด้วยการตีที่น่องดังเปียะด้วยความหมั่นเขี้ยว
“อะไรเล่า..” อาราอิว่า
“ประเดี่ยวก็จิ้มด้วยตะหลิว”
 
“ตกลง เราชื่ออาราอิหรือโยชิ  เพราะเห็นจุ๊ยเรียกเราว่าอาราอิ” ป๊าถามขึ้นมาในขณะร่วมโต๊ะอาหารค่ำที่มีกันแค่สามคน เพราะวันนี้เฮียค้างที่มหาวิทยาลัย ส่วนซัวก็บอกว่าทำงานกะบ่ายจะกลับดึก
“ผมชื่ออาราอิ  แต่นามสกุลโยชิฮิสะ ครับ  แต่ตอนแนะนำตัวชอบติดแนะนำแบบญี่ปุ่น  เป็นโยชิฮิสะ  อาราอิ  ใครๆในประเทศนี้ก็เลยเรียกผมว่าโยชิ” อาราอิตอบ  แล้วคีบกุนเชียงส่งให้บิดาของจุ๊ย
บิดาก็รับมาแต่โดยดี แถมกินด้วย
“งั้นอั๊วก็เรียกลื้อว่า อาราอิแล้วกัน”
 
พอเก็บล้างทำความสะอาดเสร็จ  ทั้งสองก็ขึ้นมาที่ห้องของจุ๊ย
ตอนที่จุ๊ยกำลังหยิบแซกโซโฟนออกมา  อาราอิก็เริ่มกวาดตามองรอบๆห้อง
แล้วก็ลุกไปที่ตู้ที่เต็มไปด้วยถ้วยรางวัลและโล่ประกาศเกียรติคุณ 

"นี่นายชนะมาแล้วกี่เวที"

"ก็เยอะน่ะ จำไม่ได้หรอก  เพราะโรงเรียนก็ส่งฉันไปประกวดอยู่เรื่อยๆ ตามแต่อาจารย์อติท่านจะหาเวทีให้ฉันได้  ประกวดไปเรื่อยๆ เอาประสบการณ์"

"นายไม่คิดจะเรียนต่อต่างประเทศบ้างเหรอจุ๊ย  คือฉันว่าประเทศนี้ดนตรีแบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่  ถ้านายไปต่างประเทศนายน่าจะไปได้ไกลกว่านี้" อาราอิถาม
จุ๊ยหยุดมือที่กำลังทำความสะอาดชิ้นส่วนแซกโซโฟนอัลโต้แสนรัก

"ถ้าฉันไป  ป๊าจะทำยังไงล่ะ  นายก็เห็นครวบครัวเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร  เฮียก็ไปเรียนทุกวันแถมเรียนหนักด้วย  ส่วนไอ้ซัวมันก็ไม่ค่อยลงรอยกับป๊า  บ้านช่องไม่ค่อยอยู่ ถ้าฉ้นไป ป๊าจะทำยังไง  จะให้ท่านมาทำงานหนักๆเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ได้แล้วนะ"

อาราอิหันมามองหน้าจุ๊ย

จุ๊ยกลับมายิ้มแล้วเริ่มต้นประกอบแซกโซโฟน

พอประกอบเสร็จก็หันมาถาม

“อยากฟังเพลงอะไรหล่ะครับน้อง” จุ๊ยดัดเสียงหล่อถาม
อาราอิมองจุ๊ยประกอบแซกโซโฟนอย่างคล่องแคล่ว
“อะไรก็ได้ครับคุณพี่”
จุ๊ยแย้มริมผีปากส่งเสียงหึๆ
“ประเดี่ยวเล่น Concerto ให้ฟังเสียเลยนี่”
“โอ้ยไม่ไหวอะ  ไอ้เพลงที่มันเก่าๆใช่ไหม ไม่ไหวไม่ไหว”
“งั้นนี่” จุ๊ยว่าแล้วหันไปหยิบแฟ้มชีทเพลงจากบนโต๊ะส่งให้
“ให้โอกาสนายเลือก”
“เพลงอะไรก็ได้เหรอ” อาราอิถาม เพราะเป็นแฟ้มขนาดใหญ่
“ก็ฉันจำได้เกินครึ่ง  ทีเหลือต้องดูชีท ไม่งั้นจำไม่ได้”
"เกินครึ่ง" อาราอิทำตาโตเท่า

"นี่มันกี่เพลงนี่  เท่าที่ดูเกินร้อยแล้วมั๊งนี่ จำเข้าไปได้ยังไง"

จุ๊ยทำหน้าคิด

"ที่จริงฉันก็สงสัยนะ  คือตอนเด็กๆฉันก็งงเหมือนกัน  เพราะเวลาฉันฟังเพลงอะไร  จำโน้ต จำทำนองมันได้เลย  พอเขียนชาร์ทเป็นก็เริ่มบันทึกโน้ตที่จำได้จากเพลง  อาจารย์ถนอมเห็นก็เลยเอาไปอ่าน  ท่านก็เลยถามว่าฉันทำได้ยังไง ฉันก็บอกไม่รู้  ฟังแล้วก็แยกโน้ตได้  แยกได้ก็จำได้  จำได้ก็เขียนได้ ตอนแรกฉันก็นึกว่าทุกคนต้องทำได้เหมือนฉันนะ  แต่อาจารย์หัวเราะ แล้วบอกว่า ไม่ใช่นะ ลองถามไตรดูสิว่าทำได้ไหม”
”พอฉันไปถามพี่ไตร พี่ไตรก็งง  ท่านก็เลยบอกว่าฉันมีระบบประสาทหูดีกว่าคนอื่นที่เรียกว่า Absolute Pitch แล้วก็มีระบบจำทำนองเพลงที่ดีกว่าคนอื่น อันนี้เขาเรียก Relative Pitch แถมหูก็ได้ยินเสียงมากกว่าคนอื่นด้วย พอได้ยินมันจำได้ พอจำได้ มันก็เขียนได้ พอเขียนได้ก็เล่นได้"

อาราอิยังคงมองหน้าจุ๊ย

"ถ้าฉันจำอะไรได้อย่างโน้ตก็ดีนะ  เพราะเรื่องเรียนนี่ไม่ไหวเอาเลย  อ่านหนังสือทีไรก็ได้เฝ้าพระอิศวรทุกที  จำอะไรไม่ได้สักกะอย่าง"

"เอ้าตกลงจะเอาเพลงอะไร  เลือกเอาเลย" จุ๊ยถามอีกรอบ

"หลับตาสุ่มเอาเลยก็ได้"

อาราอิก็เลยหลับตา แล้วพลักเปิดแฟ้มไปแบบสุ่มๆ แต่พอมองลงไป เห็นชื่อเพลงเขาก็ชะงัก 
อีกด้านแม้จะอยู่ห่างออกมา แต่จุ๊ยก็เห็นมองเห็นชื่อเพลง
“ไม่ต้องเล่นก็ได้นะ” อาราอิบอก
แต่จุ๊ยยิ้มออกมา
แล้วก็จรดปาก
Summertime Sadness ดัง อีกวาระ  จากอัลโต แซกโซโฟนไม่ใช่โซบราโน่  เสียงของมันทั้งเลื่อนไหล และต่อเนื่อง  หางเสียงฟุ้งอบอวลในอากาศ ยิ่งในห้องที่แคบขนาดนี้ มันยิ่งทำให้รู้สึกถูกล้อมเอาไว้ด้วยเสียงเพลง

อาราอินั่งมองจุ๊ย  หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเฉกเดียวกับที่เคยเป็นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของแซกโซโฟนของจุ๊ย 

แล้วเขาก็ไม่อาจจะยั้งใจตัวเอง  เขาลุกขึ้นมายืนตรงหน้าจุ๊ย

จุ๊ยมองตามอาราอิที่ก้าวมายืนตรงหน้า ระยะห่างของคนทั้งคู่ตอนนี้แค่แซกโซโฟนกั่น

ทว่าเขาเป่าต่อไปจนโน้ตสุดท้าย  ลดแซกโซโฟนลงข้างตัว
อาราอิขยับเข้ามาจนทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงครึ่งฝามือ ห้องของจุ๊ยเก็บเสียง ในทางกลับกันมันก็กันเสียงจากภายนอก
ใน ความเงียบ ทั้งสองได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน  จุ๊ยกลายเป็นฝ่ายที่ขยับเข้าหา  แล้วเขาโอบเอวไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง อีกข้างเกาะที่หัวไหล่
อาราอิก็รวบเขาไว้ด้วยสองแขน  ก้มหน้าลงมาประสานริมผีปาก  ครั้งแรกแตะกัน  ครั้งที่สองบดลงมาแรงขึ้น  และครั้งที่สามก็บดแรงขึ้นและดูดดื่ม
จุ๊ยดันอาราอิให้ถอยไปจนถึงเตียง  เขาก็นั่งลงโดยริมฝีปากยังไม่แยกจากกัน
แล้วจุ๊ยก็ถอนการจูบ สบดวงตากับดวงตาที่มองมา  ลมหายใจทั้งคู่รดกันในอาการหอบถี่
จุ๊ยจูบที่ข้างหูแล้วซุกไซร้ไปบนคอยาวได้รูป อาราอิก็ปล่อยอารมณ์ตอบสนองต่อการสัมผัสอันนุ่มนวลทว่าเปี่ยมไปด้วยความปรารถาของจุ๊ย
ไม่ชอบดนตรีคลาสซิค  แต่อาราอิกลับได้ยินบทเพลงอันอ่อนหวานของบทโอเปร่าก้องในความรู้สึก "Come Again, sweet love doth now invite” ประพันธ์โดย John Dowland


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อ่านจบไปแล้วเมื่อวาน (อยากอ่านมาก...เลยไปตามหาที่อีกเว็ปหนึ่ง) แล้วก็คอมเม้นท์ให้แล้วนะคะ
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

ปล. ลงกฏของเล้าด้วยนะคะ

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 43 : ไปญี่ปุ่นกันไหม
อาราอิโดนพักงานสองเดือนหนึ่งเต็มๆเพราะเรื่องชกต่อย  แต่เขาก็ไม่แคร์  เพราะตอนนี้สถานที่ซึ่งเขาอยากไปคือทุกที่ซึ่งจุ๊ยอยู่
จุ๊ยเองก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้น  ถ้าวันไหนที่อาราอิไม่โทรหา  เขาจะเป็นฝ่ายโทรหาอาราอิ  และมักจะชวนออกไปโน่นมานี่ด้วยกัน
อย่างวันนี้จุ๊ยก็เป็นคนชวนเขาให้มาเดินเล่นจตุจักร
จุ๊ยยืนพลิกดูเนื้อหาของหนังสือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับดนตรีเล่มใหญ่ เขาอ่านไปเรื่อยๆเพื่อตรวจสอบว่าตรงกับสิ่งที่ต้องการหรือไม่
“ไม่ยักรู้ว่านายเก่งภาษาแล้ว” อาราอิกล่าว
“แน่นอน” เขายักคิ้ว
“สมองที่ดีย่อมมีการพัฒนา  สมองไร้ค่าก็ไม่ปัญญาเรียนรู้เพิ่ม”
อาราอิสะอึก เพราะรู้สึกเหมือนโดนด่า
“นี่นายด่าฉันหรือ” อาราอิดึงหนังสือมาซ่อนข้างหลัง
“เฮ้ยด่าอะไร แค่พูดคำคม” จุ๊ยว่า แล้วก็กอดอกลอยหน้าลอยตา
“แต่นายร้อนตัวรับไปเอง  ก็ดี  ไม่ต้องด่าตรงๆ”
“กวนตีน” อาราอิเอาหนังสือเคาะหัวจุ๊ย  แล้วส่งคืนให้
“หิวแล้วอะ กินอะไรดี”
จุ๊ยมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ตัวก็ไม่อ้วน แดกล้างแดกพลาญนะเนี่ย พึ่งกินลูกชิ้นไปสองไม้ไม่ใช่เหรอ”
“ก็มันหิวนี่หว่า...” อาราอิลูบท้องประกอบ
จุ๊ยส่งเสียหึ
แล้วหันไปเห็นหนังสือที่มีภาพอาหาร หยิบแล้วส่งให้
“เอ้าอ่านซะ  จะได้หายหิว” จุ๊ยว่า
“ถ้าไม่อิ่มก็ฉีกแดกไปสักหน้าสองหน้า  แล้วก็อย่าลืมจ่ายตังค์เค้าด้วยหล่ะ”
“โอยก็ยิ่งหิวสิว๊า... ไปเหอะจุ๊ย  ฉันหิวจะแย่”
“ก็บอกว่ายังไม่เสร็จ  ขี้เกียจเดินกลับมาตรงนี้อีกรอบ”
“เอ้านี่ วิธีทำซูซิ แดกซะจะได้อิ่มๆ”
“โอยไม่เอา  จุ๊ยก็เลือกเร็วๆสิ”
“เร็วได้ไงเล่า  ก็หาหนังสืออยู่”
ตรงมุมที่ทั้งคู่มองไม่เห็น  อ๊อดกับเมืองฟ้าแอบดูอยู่  ทั้งสองมองหน้ากัน
“มันจะสนิทกันเกินไปรีเปล่าวะ” อ๊อดว่า
เมืองฟ้าก็พยักหน้าช้าๆ
“เล่นเอาเมืองไม่กล้าออกไปทักเลยนะเนี่ย  กลัวไปเป็นก้างของพวกเขา”
 
จุ๊ยสั่งข้าวผัด  ส่วนของอาราอิเป็นมักโรนีผัด
“เอามากินบ้าง” จุ๊ยว่าแล้วตักมักโรนีเข้าปาก
“เฮ้ยเอาของนายมาบ้างสิ” อาราอิทวง
“ก็ตักเอา” จุ๊ยเลือนจานออกมา
แต่พออาราอิจะตัก เขากลับดึงจานหลบ
“เฮ้ย...” อาราอิร้อง
จุ๊ยหัวเราะ
แล้วตักใส่ช้อนมาคำหนึ่ง
“เอ้าอ้าม...”
อาราอิก็อ้าปากรอ
แต่จุ๊ยกลับเอามือซ้ายหยิบต้นหอมใส่ปากอาราอิแทน
“ไอ้จุ๊ย” อาราอิร้องเมื่อเอาต้นหอมออกจากปาก
จุ๊ยหัวเราะร่วน
 
ระหว่างเดินๆดูของไปเรื่อยๆ  จุ๊ยก็ชวนคุยนั้นคุยนี่ไปตามเรื่อง  แต่อยู่ๆเขาก็เงียบ  แล้วดึงอาราอิให้หยุด
“ไปทางอื่นดีกว่า” เขาว่าแล้วจะดึงตัวอาราอิหันกลับ
แต่อาราอิขืนตัวไว้
เขารู้จากที่เดฟเคยเล่าให้ฟัง
เขากอดคอจุ๊ยไว้ในลักษณะล๊อก  แล้วลากตัวเดิน
“กระต่ายเต็มเลย... น่ารักจะตายเนอะ”
“ไม่เอา” จุ๊ยจะดิ้นหนี ก็ไม่ได้เพราะอาราอิใช้การล๊อกแบบคาราเต้
“ทำไมหล่ะจุ๊ย ก็ฉันอยากดูกระต่าย” อาราอิแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินหน้าเข้าหาแผงค้าที่มีกรงกระต่ายอยู่ทั้งสองข้างทาง
“ไม่เอา  ไม่เอา” จุ๊ยดิ้นขลุกขลัก  แต่ดิ้นไม่ออก
“ไอ้ญี่ปุ่นขี้แกล้งงงงง”
“ตัวเองนั้นหล่ะ ขี้แกล้ง... มาเลยมาเล่นกับน้องต่ายแสนน่ารัก”
“ไม่อ๊าววว”


“อันนี้เก็บไว้กินพรุ่งนี้ก็ได้  อันนี้ก่อนนะครับลุง”  แล้วเขาก็แกะห่อขนมที่ซื้อมาให้บิดาของจุ๊ย
“ขอบใจ” ไฮ้จุ้งกล่าว
“เรียกอั๊วว่า ป๊าก็ได้  เรียกลุงๆ ฟังดูแปลกๆ”
อาราอิยิ้ม
“ครับป๊า”
“เฮ้ยอาราอิ ขึ้นมาช่วยฉันยกโต๊ะหน่อยสิ  ฉันจะถูใต้โต๊ะ” เสียงจุ๊ยดังจากชั้นลอย
ไฮ้จุ้งรู้สึกชอบเด็กคนนี้ขึ้นมา เพราะเวลามาทุกครั้งนอกจากมีของฝากมาด้วยแล้ว  เขาก็ยังช่วยทำงานในร้านโดยไม่รังเกียจว่าจะเปื้อน  คราวก่อนก็ช่วยตักจารบีแบ่งขายจนเสื้อเลอะ แต่ก็ไม่บ่นสักคำ
จะว่าเพราะต้องการเอาใจก็ไม่ใช่  ไฮ้จุ้งดูออกถึงความแตกต่างของการเอาอกเอาใจ กับความเอื้ออาทรตามนิสัยแท้จริง
การเห็นอาราอิมันทำให้เขานึกไปถึงคนหนึ่ง  เด็กหนุ่มชื่อไตรคนนั้น   ไฮ้จุ้งยังจำได้ดี... รวมทั้งจำได้แม่นถึงความเสียอกเสียใจของลูกชายตอนที่ไตรจากไป..
“เหือมไอ้จุ๊ย  แกล้งอีกแล้วนะ ดูดิเนี่ย  มันเลอะ” เสียงอาราอิดังจากข้างบน
 
เสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยดังสะท้อนในบรรยากาศยามค่ำ  บทเพลง Mack the Knife สร้างบรรยากาศอันแจ่มใส
ลมเย็นที่เกิดจากฝนตกในที่หนึ่งที่ใด  ตีเรือนผมของจุ๊ย  เขาขยับไปตามจังหวะ  แล้วส่งสายตาขี้เล่นมาเป็นระยะ
แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
อาราอิมองหมายเลข  เขาเกิดความลังเลที่จะรับ  จุ๊ยกำลังจะเล่นโน้ตสุดท้ายอยู่แล้ว สังเกตเห็น
ดังนั้นเมื่อถอนปากจากเม้าท์พิช
“รับเถอะ  นามิจังใข่ไหมล่ะ”
อาราอิมองหน้าจุ๊ย ก่อนจะกดรับแล้วทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วเดินไปในระยะห่างพอสมควร
จุ๊ยถอนหายใจเบาๆ  แล้วนั่งลง  เขาถอดแซกโซโฟนออกเป็นชิ้นเพื่อจะเก็บ
มองไปอีกที่เหมือนอาราอิจะมีอาการนิ่งอึ้งต่อข่าวสารทางโทรศัพท์  ต่อมาเขาจึงกล่าวขอบคุณแล้วก็วางโทรศัพท์
แล้วยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
จุ๊ยเห็นผิดปกติ  จึงเดินเข้าไป
“มีอะไรเหรอ  หน้าตาไม่ดีเลย”
อาราอิถอนหายใจแล้วเก็บโทรศัพท์
“จุ๊ย” เขากล่าวแล้วจับมือจุ๊ย
“ไปญี่ปุ่นกันไหม”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ตอนที่ 44 : Next Station Kansai Airport เจอกับความจริงอันน่าตกใจ
จุ๊ยไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน  ไม่คิดว่าการเดินทางครั้งแรกในชีวิตจะกลายเป็นการเดินทางไปต่างประเทศ แถมเป็นประเทศที่เคยหวังว่าจะได้ไปสักครั้งในชีวิต
อาราอิเห็นจุ๊ยมีปัญหากับSeat Belt ก็เลยช่วย  แต่ก็แกล้งวนไปวนมาอยู่บนเป้าจุ๊ย
“เฮ้ยๆ พอละ  คาดเข็มขัด  จะยุ่งอะไรกับน้องชายฉัน” จุ๊ยว่าแล้วดันหัวอาราอิออกไป
“ลามกจะนายเนี่ย”
อาราอิหัวเราะ  แล้วก็หยิบหมากฝรั่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ 
“เอาเคี้ยวจะได้หูไม่อื้อ”
จุ๊ยก็รับมามอง
“แล้วถ้ายังอื้ออีกทำไง” จุ๊ยถามอีก
อาราอิหันมายิ้ม
“ก็จูบกับฉันไง  จะได้หายอื้อ”
จุ๊ยก็เลยยิ้มบ้าง
“มานี่สิเข้ามาใกล้ๆ”
อาราอิก็เอียงหน้ามา
จุ๊ยก็เลยเอาหัวโขกหัวเขาตังป๊อก  อาราอิร้องโอย
“รุนแรงอะ..”
“ก็อยากลามกทำไมหล่ะครับ”
“ไม่ได้ลามกฉันพูดจริงๆ “
“ไอ้ลามก...”
 
ตอนที่เครื่องบินมาวิ่งแท็กซี่มาหยุดเพื่อเตรียมตัวออก  อาราอิก็กุมมือจุ๊ยไว้เพราะเห็นจุ๊ยดูหวาดๆ
เสียงกัปตันบอกกับลูกเรือผ่านลำโพง
“จะไปแล้ว” อาราอิให้สัญญาณ แล้วกุมมือจุ๊ยแน่นขึ้น

เครื่องบินขับกำลังมหาศาลผ่านเครื่องเจ็ท  แล้วมันก็พุ่งไปตามทางวิ่ง  จากนั้นก็ค่อยๆลอยขึ้นไปในอากาศ  มุ่งไปสู่ท้องฟ้ายามรุ่งสาง
 
จุ๊ยออกจากด่านตรวจคนเข้าเมืองมา  ก็หันซ้ายแลขวา  อาราอิที่ต้องแยกออกไปบอกให้เขารอตรงจุดที่ออกมาเดี่ยวเขาจะมารับ
แต่นานพอสมควรเขาก็ยังไม่เห็น
เล่นอะไรวะ  จุ๊ยบ่นกับตัวเอง  คิดจะเข็นรถออกไปตามหา  ก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหน
ใจชักแป๋ว... นี่โดนไอ้อาราอิหลอกมาทิ้งไว้ญี่ปุ่นรึเปล่าวะเนีย
แต่สักครู่ก็มีมือมาสะกิด
หันไปก็เจอกับดอกไม้ดอกหนึ่ง กับรอยยิ้มของอาราอิ
“สุขสันต์วันเกิดครับ”
จุ๊ยแปลกใจแต่ก็รับดอกไม้มา
“รู้ได้ยังไง”  จุ๊ยรับดอกไม้มาแล้วก็เอาเสียบไว้กับรถเข็น
“ก็มันอยู่ในพาสปอร์ต”
จุ๊ยหัวเราะหึกับ รอยยิ้มหวานๆ
“ไร้สาระ” จุ๊ยกล่าวแล้วเข็นรถเดินไป
“มาเหอะ  ฉันหิวอยากกินข้าวเช้าแล้ว”
อาราอิมองตาม
“แค่นี้เหรอ... เราอุตส่าห์เซอร์ไพร์ส”
“ไร้สาระ” จุ๊ยตอบหน้าตาย
อาราอิทำหน้าจ๋อยๆ แต่ก็มาช่วยจุ๊ยเข็นรถที่มีกระเป๋าเดินทางตั้งอยู่
“ก็จะให้ฉันจูบนายตรงนี้ได้ยังไงเล่าคนเยอะแยะ  อยากจะจูบจะแย่อยุ่แล้วเนี่ย” จุ๊ยเอ่ยปากออกมาโดยไม่มองหน้า
อาราอิหันมามองหน้าจุ๊ย  แล้วเขาก็ยิ้มออกมา
แกล้งเอามือวางบนมือจุ๊ย  จุ๊ยก็ไม่ได้ว่าอะไร
 
จุ๊ยลากกระเป๋าเดินตามอาราอิที่สะพายกระเป๋าแค่ใบเดียว
เขามัวตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างรอบตัว  จนเกือบจะพลัดหลงไปหลายครั้ง  อาราอิต้องเดินกลับมาตาม
“นี่นาย  เดี่ยวก็หลงหรอก  เดี่ยวได้นอนสถานีรถไฟ  กินข้าวลิง”
จุ๊ยทำหน้าเย้ยแล้วตบกระเป๋าตัวเอง
“เรามีเงิน  แล้วก็ไม่ได้โง่นี่  โรงแรมเยอะแยะก็นอนโรงแรมเอาก็ได้”
“เอาเหอะ  คุยกับเขาให้รู้เรื่องก่อนเถอะจุ๊ย” อาราอิว่าแล้วเดินมาช่วยลากกระเป๋า
 
บ้านของอาราอิอยู่ในโอซาก้า แถวย่านเทนโนจิ มองจากภายนอกก็เหมือนบ้านคนญี่ปุ่นทั่วๆไป หลังไม่ใหญ่โตอะไร

กดกริ่งที่ประตู สักครู่ก็มีผุ้ชายวัยราวๆสี่สิบปลายไอเบาๆตอนเปิดประตูตัวบ้านที่เป็นบานเลื่อนเพื่อดูว่าแขกที่มาเป็นใคร
“อาราอิ” เขากล่าวเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้ว
อาราอิตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า
“พ่อครับ  ผมกลับมาแล้ว”
จุ๊ยก็เลยยกมือไหว้บ้าง
 
เข้ามาภายในบ้านที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่ตกแต่งแบบญี่ปุ่นน่ารักพอสมควร มีภาพเขียนติดผนังหลายรูปและมีหนังสืออยู่แทบทุกมุมห้องรับแขก
พ่อของอาราอิยกน้ำชาออกมาพร้อมกับขนมในจานเล็ก
“อาราอิบอกเพื่อนให้ ชิมดูสิ” บิดาของอาราอิกล่าว  จุ๊ยสังเกตว่าบิดาของอาราอิมีท่าเดินที่แปลกๆ คงจะเพราะอุบัติเหตุที่อาราอิเคยเล่า
“แล้วก็น้่งขัดสมาธิก็ได้  นั่งแบบญี่ปุ่นคงเมื่อยแย่แล้ว”
อาราอิบอกกับจุ๊ยตามนั้น
“พ่อครับ จุ๊ยเขาพูดภาษาอังกฤษได้” อาราอิกลับมาบอก
“โอเค” พ่อของอาราอิรับคำ
แล้วเริ่มต้นพูดกับจุ๊ยเป็นภาษาอังกฤษที่มีสำเนียงดีพอสมควร
“ทำตัวตามสบาย  ไม่ต้องเกร็งหรอกนะ  ฉันเคยได้ยินเรื่องของเธอจากอาราอิ  เขาบอกว่าเธอเล่นดนตรีเก่งมาก”
จุ๊ยมองหน้าอาราอิก่อนจะตอบ
“ไม่ได้เก่งหรอกครับ”จุ๊ยตอบ
“ไม่เก่งก็เป็น แชมป์เปี้ยนไม่ใช่เหรอ  เอาไว้เล่นให้ฉันฟังบ้างสิ”
จุ๊ยยิ้มตอบ  แต่ก็สังเกตเห็นพ่อของอาราอิมีสีหน้าไม่สู้แจ่มใสนัก  แม้จะยิ้ม
“ขนมอร่อยนะ กินสิ แล้วเดี่ยวไปอาบน้ำก่อน  จะพักพ่อนก็ได้  แล้วค่อยออกไปเที่ยวกันภาษาหนุ่ม”
 

อาราอิบอกว่าจะไปเอาเครื่องนอนมาให้  แล้วก็ทิ้งจุ๊ยเอาไว้ในห้องนอนของเขา 
ในห้องไม่มีเตียง มีแต่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วก็ตู้เสื้อผ้าอีกหนึ่งใบ ที่หลังตู้ก็มีถ้วยรางวัลของอยู่สองใบ 
มองไปอีกฝั่ง  จุ๊ยเห็นเป็นรูปถ่าย  พอเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นเป็นภาพอาราอิกับผุ้หญิงที่จุ๊ยจำได้ว่าเป็นนามิจัง
แต่ชุดที่สวม.. อาราอิสวมกิโมโนดำตัดด้วยขาวที่ขอบแขน และคาดผูกด้วยเชื่อกสีขาว  ส่วนฝ่ายหญิงเป็นกิโมโนสีขาวล้วนคลุมผมด้วยผ้าสีขาว
ชุดแต่งงาน...
พอดีอาราอิเปิดประตูเข้ามา เขาชะงักที่เห็นจุ๊ยยืนมองภาพนั้นอยู่
“นายต้องการคำบรรยายภาพ และเรื่องราวประกอบไหม” อาราอิถามแล้วก็วางที่นอนแบบญี่ปุ่นไว้
จุ๊ยหันมามองหน้าเขาโดยไม่ได้พูดออกไป เพราะเขากำลังงงงวยและสับสน

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
 ตอนที่ 45 : ความจริงของอาราอิ
“ฉันกับนามิจังแต่งงานกันแล้วเมื่อห้าปีก่อน” อาราอิเล่า
จุ๊ยก็มองหน้าเขา ตอนนี้ทั้งคู่นั่งลงกับพื้นห้อง

“มันเป็นเรื่องซับซ้อนนะจุ๊ย  นายอย่าพึ่งโกรธฉัน  ฉันไม่ได้อยากปิดบัง  แต่ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไง”
จุ๊ยถอนหายใจ แล้วยกขาขึ้นชันเข่าข้างหนึ่ง
“ก็คือปิดบังนั้นหล่ะ  อาราอิ  ทำไมนายไม่บอกฉันว่านายสองคนแต่งงานกันแล้ว แล้วนี่นายยังเด็กทั้งคู่แล้วทำไมใจร้อนแต่งงานกัน”
“แต่ฉันอายุมากกว่านายสองปีนะจุ๊ย” อาราอิแย้ง
จุ๊ยอึ้ง  ก่อนจะเฉไฉ
“ก็น้อยนั้นหล่ะ  ดูในรูปสิยังเด็กเลย  ญี่ปุนเขาแต่งงานกันได้ด้วยเหรออายุแค่นี้”
“ได้สิ ถ้าพ่อแม่รับรอง อย่าลืมว่าประเทศนี้มีปัญหาการหดตัวของประชากร” อาราอิตอบ
“แต่มันเป็นความจำเป็นนะจุ๊ย  เราไม่ได้อยากแต่งงานกัน”
 
“ฉัน กับนามิจังเป็นเพื่อนสนิทกันก็จริง  เราสนิทกันมากก็จริง  แต่เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากการเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง  คือ อิโต้ซัง” อาราอิเล่า
“อิโต้ซังเป็นกัปตันชมราคาราเต้  ส่วนฉันเป็นคนหนึ่งที่อิโต้ซังให้การดูแลเป็นพิเศษ  และก็เหมือนนายกับพี่ไตร ก็คือเราสนิทกันมาก  แต่ต่างตรงที่ฉันกับอิโต้ซังไม่ได้รักกัน  ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะอารมณ์พาไปล้วนๆ วันหนึ่งฉันนอนค้างที่ชมรมกับเขาสองคน  แต่เพราะอารมณ์เด็กวัยรุ่น  ฉันกับเขาก็เลย มีอะไรกัน”
“มัน ก็เป็นเซ๊กซ์ที่ดีใช่ได้  แต่ที่นี่ญี่ปุ่น  สังคมของเราไม่เปิดเผยและกับพี่อิโต้ต่างคนต่างได้รับการอบรมให้เป็นลูก ผู้ชาย เป็นสุภาพบุรุษผ่านการเรียนคาราเต้  ตอนนั้นฉันสับสนมาก ไม่รู้จะทำยังไง  ก็เลยตัดสินใจปรึกษากับนามิจัง  แต่ปรากฏว่านามิจังกลับไม่ได้ตกใจหรือรังเกียจ  เขาบอกว่ารักฉันมานานมากแล้ว  และเพราะความสับสน ฉันก็เลย...”
“จับปล้ำทำเมียเสียเลย” จุ๊ยสรุปแทน
แล้วเขาก็ส่ายหัวดุกดิก
“นี่ นายพาฉันมาญี่ปุ่นเพื่ออะไรกันแน่  จะบอกเลิกก็บอกที่เมืองไทยก็ได้  ไม่ต้องพามาเลิกกันยันประเทศตัวเอง  แล้วยังไง... นายจะเอาฉันมาฆ่าไกลถึงญี่ปุ่นเพื่อ...”
น้ำเสียงจุ๊ยตอนนี้  ยากที่จะเดาได้ว่าเขารู้สึกยังไง  เพราะจุ๊ยเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เอ้าๆ เล่าต่อ ไหนๆก็ไหนแล้ว” จุ๊ยโบกมือเมิ่อเห็นอาราอิหน้าเจื่อนลง
“ตอนแรกฉันก็สับสน..” อาราอิกล่าวต่อ
“ก็แน่หล่ะ... เมื่อวานได้ผู้ชาย วันนี้ได้ผู้หญิง เลือกไม่ถูกหล่ะสิว่าจะเอาไง  หน้าดี หรือหลังดี” จุ๊ยอดปากไวไม่ได้
“ก็ประมาณนั้น” อาราอิรับคำออกมาอีกต่างหาก
“เอ้าเวร... ไม่ต้องตรงขนาดนั้นก็ได้... “ จุ๊ยจับหน้าผากส่ายหัว
“แต่เราก็ไม่ได้ถึงขนาดจะแต่งงานกัน ถ้าไม่ปรากฏว่ามีคนแอบถ่ายคลิปที่เรามีอะไรกันไปโพสต์ในทวีตเตอร์” อาราอิถอนหายใจ
“เอ้าดังเลยสิ... เป็นดาราเอวีทวีตเตอร์” จุ๊ยกล่าวแล้วโคลงหัว 
“แล้วไงต่อ”
อาราอิมองที่รูป
“พ่อ แม่ของนามิจังเป็นคนหัวเก่า  และก็ยังเป็นหัวหน้าของพ่อฉันด้วย  เขาก็เลยไม่ยอม  เขาต้องการให้ฉันแต่งงานกับนามิจังเพื่อรักษาชื่อเสียงของเธอ  พ่อก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยต้องจับเราแต่งงานกัน”
จุ๊ยมองหน้าอาราอิซึ่งไปที่มองภาพแต่งงาน
“นาย จะบอกว่าอะไร... นี่เหรอความจำเป็นของนาย  ตอนนี้นายก็ยังรักกันนี่  ก็ดีแล้ว  ฉันรับทราบ” จุ๊ยกล่าวแล้วถอนหายใจยาวมองไปที่รูปบ้าง
“เอาเป็นว่า  ฉันรู้แล้วหล่ะ รับทราบแจ่มแจ้ง”
แต่พอหันกลับก็เห็นอาราอิจ้องมาที่เขา
“นายพูดอย่างนั้นได้ยังไง  นายยังฟังไม่จบ” เขาเข้ามารวบแขนจุ๊ยไว้ทั้งสองข้าง
“เบาๆก็ได้  พ่อนักคาราเต้... “ จุ๊ยทำหน้าจ่อยๆ เพราะตอนนี้แววตาของอาราอิแข็งกร้าว
“ทุกอย่าง จะเป็นไปด้วยดี  ถ้านายไม่เข้ามาจุ๊ย  การเจอกันระหว่างฉันกับนาย มันเปลี่ยนฉันไปทุกอย่าง  ฉันทนทำใจให้เป็นเหมือนเดิมกับนามิจังไม่ได้อีก  ฉันหลงรักนายตั้งแต่ตอนนั้น” อาราอิพูดไปก็เขย่าจุ๊ยจนหัวคลอน
“เบาๆสิ  เจ็บ..” จุ๊ยอุทธรณ์
อาราอิจึงปล่อยจุ๊ย
จุ๊ยต้องลูบแขนตัวเองเบาๆทั้งสองข้าง
“อาราอิฉันพูดตามตรงนะ  นามิจังเขาก็รักนายดี  นายทำไมทำอย่างนี้”  แล้วจุ๊ยก็หลังตาลง  เลือนตัวเองไปพิงพนัง
“นายทำให้ฉันอยู่ในฐานะเดียวกับที่ฉันเป็นกับพี่ไตร”
อาราอิมองเห็นเหมือนเกล็ดน้ำตาจากตาจุ๊ย
“ไม่หรอก... เพราะฉันต่างตรงที่ฉันบอกกับนามิจังตามตรงตั้งแต่วันที่กลับจากญี่ปุ่น ฉันบอกเธอว่าฉันเจอคนที่ประทับใจมากที่สุดแล้ว”
จุ๊ยอึ้ง 
“นายใจร้ายมาก” จุ๊ยร้องออกไป
เขาส่ายหัว  แล้วมองออกไปด้านนอกผ่านหน้าต่าง
“นายทำร้ายคนที่รักนายอย่างนี้ได้ยังไง”
“เขาต่างหากที่ทำก่อน” อาราอิกล่าวออกมา

“นา มิจังกับฉัน  หลังจากต้องแต่งงานกัน  ความสัมพันธ์ของเราก็เป็นไปอย่างเรื่อยเปื่อย  เราถึงได้รู้ว่าจริงๆเราไม่ใช่คนที่ใช่ของกันและกัน  แล้ววันหนึ่งฉันก็รู้ว่าเธอแอบมีความสัมพันธ์กับรุ่นที่คนหนึ่งที่เรียนสูง กว่าเราหนึ่งปี  แต่ฉันก็ไม่กล้าจะพูดออกไป”
“เพราะ ยังไงเราสองคนจะเลิกกันก็ไม่ได้  พ่อของนามิจังเป็นคนทีอิทธิพลมาก  แถมพ่อของฉันที่สุขภาพไม่ดี ต้องอาศัยพึ่งพาพ่อของนามิจัง  เธอเองก็รู้ตรงจุดนี้  แล้วเธอก็กลัวว่าคิมูระซังที่เธอรัก จะได้รับอันตรายจากพ่อของเธอด้วย"

"เรา ก็เลยต้องทนอยู่กันไป  ระหว่างนี้เองพ่อก็ประสบอุบัติเหตุหนักมาก  ฉันอยากให้พ่อได้เจอแม่ ฉันเลยไปเมืองไทย แล้วได้เจอกับนาย  พอกลับมาฉันก็เลยกล้าบอกความจริง  ตอนนี้เราสองคนอยู่ด้วยกันก็แค่ร่างกาย  แต่ใจเราสองคนมีใครคนอื่น”
“ฉัน เริ่มเรียนภาษาไทย เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อจะได้สามารถกลับไปเมืองไทยได้ ทั้งหมดก็เพื่อจะได้กลับไปหานาย" อาราอิหันมามองหน้าจุ๊ย ก่อนจะหันกลับไปหน้าตรง

"แล้ว ฉันก็บอกกับพ่อว่าจะไปเมืองไทย พอดีตอนนั้น แม่ติดต่อมา เพื่อขอหย่ากับพ่อ แต่พ่อก็แกล้งดึงเรื่องเอาไว้  ก็เพราะพ่อห่วงความรู้สึกของฉัน  ฉันก็เลยอ้างกับพ่อว่าจะกลับไปเปลี่ยนใจแม่ ซึ่งจริงๆก็มีส่วนครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งแล้วคือฉันต้องการไปเจอนายอีกครั้ง  ส่วนนามิจังก็เข้าแผนของเธอ เธอตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยในโตเกียว เพื่อจะได้เรียนที่เดียวกับคิมูระซัง”
จุ๊ยมองหน้าอาราอิเพื่อหาร่องรอยการโกหก  แต่เขาก็ไม่พบ
“จุ๊ย  ฉันพานายมาที่นี่ไม่ใช่มาเลิก  หรือต้องการให้เจ็บปวด  แต่มาบอกให้นายมั่นใจว่าฉันรักนาย  ถ้านายไม่เชื่อฉันจะพานายไปเจอกับนามิจัง  แล้วให้นายได้ฟังจากปากเธอเอง”
อาราอิหันหลังจะลุกขึ้น
เขาเหลือบมามองหน้าจุ๊ย
“ฉัน จะลงไปคุยกับพ่อ  ส่วนนาย  อาบน้ำเสร็จแล้วจะนอนก็ปูที่นอนเอาเองนะ  อยู่ที่นี่ฉันเป็นแค่คนธรรมดา  ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่หลานมหาเศรษฐี  บ้านก็เป็นอย่างนี้หล่ะโทรมๆ  ขอโทษด้วยแล้วกัน”
 
จุ๊ย อาบน้ำแล้วก็หลับไปงีบหนึ่งด้วยความอ่อนล้า  พอตื่นขึ้นมาก็พบอาราอิปูที่นอนอยู่ข้างๆ  เขารู้สึกตัวตอนจุ๊ยขยับเพราะไม่ได้หลับสนิท
สองคนมองหน้ากันเงียบๆ
“อาราอิ พาเพื่อนลงมากินข้าวได้แล้ว”
 
จุ๊ยมองกับข้าวบนโต๊ะแล้วรู้สึกเกรงใจ  เพราะจัดเป็นชุดๆ  ในชุดจะมีปลาหนึ่งตัว น้ำแกงถ้วยหนึ่ง  ผักสลัดอีกจาน
“เป็น รูปแบบ อาหารญี่ปุ่นน่ะ  เรากินกันแบบนี้  ไม่ค่อยจะทำออกมาเป็นจานๆแล้วตักกินกันเหมือนไทยหรอก” นายโยชิฮิสะบอกกับจุ๊ยเหมือนรู้ใจ
จุ๊ยยิ้มแทนคำตอบ มองอาราอิที่กำลังปรุงรสปลาด้วยโชยุโดยไม่ได้หันมามอง
“เดี่ยวนายพาก็ไปเที่ยวแถวมินามิสิ” นายโยชิฮิสะหันไปหาลูกชาย โดยใช้ภาษาอังกฤษสนทนา
“ครับ” อาราอิขานคำเดียวว่า ไฮ้
จุ๊ยช่วยทำความสะอาดด้วยการล้างจาน  ตอนนั้นเองที่เขาอยู่กับบิดาของอาราอิเพียงลำพังเพราะเขาขอตัวไปห้องน้ำ
“ทะเลาะกันอย่างนั้นเหรอ” นายโยชิฮะสะถาม อย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย
“เพราะเรื่องการแต่งงานใช่ไหม”
จุ๊ยแปลกใจมาก

จุ๊ยหันมามองเขาแต่ไม่ได้ตอบ
“อาราอิกับนามิจัง แรกๆก็เหมือนจะไปด้วยกันได้ เพราะเคยเป็นเพื่อนกันก่อน  แต่ตอนหลังๆ เขาก็เริ่มมีปัญหากัน  อาจเพราะยังเด็กด้วยกันทั้งคู่  ฉันเองก็เข้าใจนะ  เพราะก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการแต่งงานเท่าไหร่  แต่ทำยังไงได้ ก็เป็นไปตามนั้น”
แล้วบิดาของอาราอิก็วางมือบนไหล่จุ๊ย
“ฉันเก็บข้าวของที่อาราอิทิ้งไว้ในตู้เก็บที่นอน  ลองไปดูนะ  เพราะเธอควรจะได้เห็น”
 
อาราอิออกไปซื้อของตามที่พ่อบอก จึงเป็นโอกาสให้จุ๊ยขึ้นไปตามที่ได้รับการบอกเล่า
ของที่ว่าเป็นกล่องใบหนึ่ง  พอเปิดออกดูก็เห็นว่ามีอะไรหลายอย่าง  เช่นชุดคาราเต้  ถุงมือเบสบอล  หมวก  สมุดบันทึก..
พอ จุ๊ยเปิดดู แรกๆก็เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบหวัดๆ  เปิดต่อมาก็พบว่ามันมีหน้าหนึ่งที่ภาพที่น่าจะปริ๊นด้วยปริ๊นเตอร์สี  เป็นรูปของจุ๊ยเอง.. น่าจะเป็นตอนที่อาราอิถ่ายเขาไว้ด้วยกล้องมือถือในตอนเจอกันครั้งแรก  จากนั้นก็มีรูปเหน็บอีกหลายหน้า แต่เป็นภาพจากเว็ปไซด์ของโรงเรียน  บางภาพยังมีภาพของพี่ไตรอยู่ด้วย
วาง สมุดบันทึกแล้วมองลงไปในกล่อง ก็เห็นม้วนกระดาษ  พอคลี่ดูก็เป็นภาพของเขาเอง  มีร่องรอยว่าเคยติดอยู่บนอะไรสักอย่าง มีบทกวีภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า
“In My darkest day, You show me the way of light
 During my darkest sky, your smile shines like a sun”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 46 : สัญญาที่ริมน้ำ
ในรถไฟใต้ดินไปสู่นัมบะย่านช๊อบบิ้งใจกลางนครโอซาก้า  เมืองใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น  อาราอิสวมหมวกแก็บกับแว่นตาเพื่ออำพราง  เนื่องจากพ่อของอาราอิบอกว่าเดี่ยวนี้คนไทยมาเที่ยวกันมาก  จึงเป็นการดีที่เขาจะอำพรางไม่ให้คนสังเกตเห็นได้ง่ายๆ 
จุ๊ยนั่งเงียบๆมองไปนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ  ทั้งสองยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยตั้งแต่ออกมาจากบ้าน
“ขออภัยท่านผู้โดยสาร สถานีต่อไป นัมบะ  นัมบะ  กรุณาเตรียมตัวลงจากรถและตรวจสอบสิ่งของของท่านด้วยครับ  นัมบะ”
 
สองคนเดินไปตามทางใต้ดิน นัมบะวอร์ก  จุ๊ยก็มัวแต่ตื่นตาตื่นใจ จนไม่ได้สังเกตว่าอาราอิมองเขาด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข  แต่กระนั้นสองคนก็ยังไม่ได้สนทนากัน  นอกจากอาราอิจะบอกกับจุ๊ยเป็นช่วงๆว่านี่คืออะไร 
จาก นั้นสองคนก็เดินออกจากทางเดินขึ้นไปที่ย่านโดทนบุริ อาราอิก็พาจุ๊ยไปถ่ายภาพกับป้ายโฆษณาชื่อดังตามหน้าร้านต่างๆ อันเป็นจุดเด่นของย่านนี้  จากนั้นก็พาเดินเรื่อยๆ จนมาถึงสะพานข้ามคลอง  อาราอิก็เลยออกปากชวนลงไปนั่งที่ริมน้ำ
จุ๊ยจิ้มทาโกะยากิกินอย่างอร่อย  ตาก็มองไปที่ชิงช้าสวรรค์ทรงยาวที่มีรูปชายแก่ยิ้มอย่างใจดีเป็นส่วนประดับ
“นี่รูปอะไร” จุ๊ยถาม
“ฟุกุโรกุยู เทพแห่งโชคลาภ  ตึกนี้เป็นร้านปาจิงโกะ” อาราอิตอบ
จุ๊ยก็พยักหน้า
“นายเคยเล่นไหม”
อาราอิส่ายหน้า
“เขาไม่ให้เข้าหรอก  ตอนฉันไปจากไป ฉันอายุสิบแปดเองนะ”
“อ้าว  แต่นายเป็นคนมีครอบครัวแล้วนี่” จุ๊ยตอบ
“ทำหน้าแก่ๆเดินเข้าไป หัวเราะโฮ่ๆ  เฮ้ยวันนี้จะหาเงินไปซื้อนมเลี้ยงลูกสักหน่อย อะไรอย่างนี้” จุ๊ยพูดทั้งดัดเสียง
อาราอิหัวเราะ
“หน้าเด็กๆอย่างฉันเนี่ยนะ  เขาคงเชื่อหรอก ขอดูบัตรขึ้นมา  เขาก็โยนฉันออกจากร้านเลย” อาราอิตอบ
“เหม่ๆ  ชมตัวเองเชียว... หน้าเด็ก... ถุ้ย” จุ๊ยทำท่าประกอบ
“ถ้านายหน้าเด็ก ฉันก็ทารกแล้วหละ”
อาราอิหัวเราะอีก
แล้วจุ๊ยก็มองไปที่ตึก
“เอา อย่างนี้ไหม  นายไปหาชุดทำงาน  แล้วฉันก็จะไปหาขุดนักเรียนม.ปลาย  พอไปถึงหน้าร้าน ฉันก็เรียกนายว่าพ่อ แล้วก็จะทำท่าจะดึงไม่ให้นายเข้า  แต่นายหันมาเอ็ด” จุ๊ยเล่าแผน ตามด้วยดัดเสียงและแสดงท่า
”โฮ่ย.. นี่ฉันกำลังจะเข้าไปหาค่าเทอมให้แกนะ  ไปกลับบ้านไปช่วยแม่ทำงานได้แล้ว”
อาราอิหัวเราะคิกคัก เพราะนึกภาพตามไปด้วย

“ตอนนั้นนายน่าจะอยู่ที่นี่นะ  เวิร์คนี่  ถ้านายเล่นละคร รับรองได้เข้าไป”
จุ๊ยเลิกคิ้วสูงยิ้มท้าทาย
“ลองดูไหมเล่า”
อาราอิส่ายหน้า
“ปีนี้ฉันยี่สิบเอ็ดแล้ว  เดินเข้าไปเฉยๆเขาก็ให้เข้า”
จุ๊ยสะอึก ก่อนจะยิ้มแหย่ๆพลางเกาหัว
“เอ่อ ลืมไป”
แล้วทั้งคู่ก็เงียบกันไปนานพอสมควร
“จุ๊ย” อาราอิกล่าวขึ้นก่อน  จุ๊ยจึงหันมา แต่ตอนนั้นอาราอิยังไม่ได้หันมา
“ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้บอกความจริง  ฉันไม่รู้จะพูดยังไงกับนายเรื่องนี้  ฉันกลัวนายจะโกรธ” อาราอิหันมาเผชิญหน้ากับจุ๊ย
“นายอาจไม่เข้าใจ นายอาจโกรธฉันอยู่  แต่อย่าพูดว่าเราจะเลิกกัน  ฉันรับคำนั้นไม่ได้จริงๆ”
จุ๊ยมองตาที่เต็มไปด้วยความหมายของการเว้าวอน
เขาหรี่ตาลง  แล้วหันไปมองในลำคลองที่สะท้องแสงไฟเป็นประกายราวกับดาวบนฟ้า
“อาราอิ  ในทางพระพุทธศาสนามีอยู่คำหนึ่งที่เที่ยงแท้ คือ ทุกสิ่งมันไม่แน่นอน  มีตั้งอยู่ มีดับไป... วันนี้นายรักฉันเพราะเราพึ่งจะคบกัน  แต่วันข้างหน้า นายอาจพบว่านายรักคนอื่น หรืออาจจะรักนามิจังมากกว่าฉันก็ได้  นี่คือความจริงแท้อาราอิ”
แล้วจุ๊ยก็เงียบไป  เป็นช่วงเวลาที่อาราอิผู้รอคอยคำพูด ทุกข์ใจต่อสิ่งที่จุ๊ยจะพูดออกมา
“แต่กว่าจะถึงวันนั้น  ฉันจะอยู่กับนาย ไปจนกว่านายจะบอกฉันว่า  ให้ฉันไปจากนาย”
ตอนนั้นจุ๊ยไม่ได้หันมามองหน้าอาราอิ  แต่ใบหน้าที่พูดแดงระเรื่อ
อาราอิเหมือนได้ยินเสียงสวรรค์  เขาจะกอดจุ๊ย
แต่จุ๊ยหลบ
“ใจเย็นๆ คนเยอะขนาดนี้  ฉันขี้เกียจเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ตอนกลับเมืองไทย”
“ว้า..” อาราอิทำหน้าผิดหวัง
จุ๊ยลุกขึ้น แล้วยื่นมืออกมาให้อาราอิ
“เราไปเดินเล่นกันต่อเถอะ  ฉันอยากจะไปร้านขายเครื่องไฟฟ้า ร้านขื่ออะไรนะบิ๊กคาเมร่า  นายรู้จักไหม”
อาราอิมองมือข้างนั้นแล้วก็จับแล้วลุกขึ้นกอดคอจุ๊ย
“ไปสิ.. ฉันจะซื้อมือถือใหม่ให้  ของเก่ามันตกรุ่นไปแล้ว”
“บ้ามันยังใช้ได้เลย”
“เอาเถอะน่า... เอายี่ห้ออะไร ผลไม้ไหม”
“ไม่เอาหล่ะ ผลไม้ใช้ยาก  ขออย่างเดิมแต่รุ่นใหม่ก็พอแล้ว”
“เสื้อผ้าด้วย  เสื้อผ้านายมันมีแต่เชยๆ  เดี่ยวฉันเลือกให้ใหม่  คนเขาจะได้ไม่ว่า ว่าฉันไปพาขอทานที่ไหนมาเดินด้วย”
“ขอทานเลยเหรอ..”
“เออ..”
“แล้วรักไหมหล่ะ”
“อืมม..โคตรอะรักเลยล่ะ”

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 47 : เสียงแซกยามบ่าย Osaka Jo Koen
ออกมาจากบริเวณถ่ายทำ  เดฟก็นั่งพักรอคิวต่อไป  ระหว่างนั้นก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดเฟสบุ๊คดู  แล้วเขาก็เลื่อนลงเรื่อยๆเพื่ออ่านข่าว
แต่พอถึงภาพหนึ่ง เขาก็หยุดเลื่อนหน้าจอ

จุ๊ย ถ่ายเซลฟี่ โดยมาฉากหลังเป็นรูปวัดโทไดจิ แห่งนารา ที่ญี่ปุ่น  แล้วพอเลื่อนไปอีกก็มีอีกภาพที่ภาพที่มีผุ้ชายคนหนึ่งอยู่ในภาพ  ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นกำลังล้างมือที่ตรงบ่อน้ำก่อนเข้าวัด
“โยชินี่” เสียงดังจากข้างหลัง ผู้จัดสาวกล่าว
พอหันไปก็เห็นทิพย์ยืนกอดแฟ้มอยู่
“นี่กลับญี่ปุ่นไปเหรอ”
เดฟรีบกดปิดหน้าจอ
“เขาไปกับใคร... กับเพื่อนของเดฟที่ชื่อ อะไรน๊า  จุ๊ยใช่ไหม รีเปล่า  พักนี้สองคนนี้เขาสนิทกันมากไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”เดฟตอบปัดไป แต่ก็กลัวจะโดนซักไซ้เหมือนกัน แต่มีระฆังช่วยดังก่อน

“เดฟมาซ้อมบทหน่อย  พี่เขามาแล้ว” ผู้กำกับเรียก
เดฟก็เลยรีบเดินไป
 
อัศวะรู้ว่าเดฟมาถ่ายละครอยู่แถวนี้  พอดีเขามาธุระก็เลยมารับ เพราะว่ารถของเดฟพึ่งโดนชนและเข้าอู่ไปทำสี
แต่พอเดฟขึ้นรถมาก็นั่งเงียบเหมือนอยู่ในห้วงความคิด
“คิดเรื่องไอ้จุ๊ยใช่ไหม”
เดฟหันมามองหน้า
“เขาไปญี่ปุ่นกับโยชิ  อัศโทรไปเช็คกับที่บ้านจุ๊ยมา  เห็นว่าจะไปสิบห้าวันนะ”
เดฟพยักหน้าช้าๆ
“ก็ดีนี่  จุ๊ยเขาอยากไปญี่ปุ่น  ผมยังเคยคิดว่าจะพาไปเลยนะ”
อัศวะเคาะพวงมาลัยช้าๆ
“หึงสินะ”
เดฟนิ่งไป  มองออกไปที่หน้าต่าง
“ก็ต้องมีบ้างล่ะ”
อัศวะปลดเบรกมือแล้วเข้าเกียร์
“ตอบมานี่คิดบ้างรึเปล่าว่า อัศจะรู้สึกเหมือนกัน”
เดฟหันมามองหน้าอัศวะ ที่มองไปตรงไปข้างหน้า
แล้วก็ถอนหายใจ
“อัส... ฉันเข้าใจ แต่ฉัน...” เดฟก็ไม่รู้จะพูดยังไง
อัศวะยังคงขับรถต่อไปเงียบๆ ไม่ตอบโต้

แล้วเดฟก็เงียบไป  หันออกนอกรถสักพักไปสักพัก แล้วหันกลับมา
“เราไปกันบ้างไหม”
“ญี่ปุ่นเหรฮ” อัศวะถาม
“เปล่า... ไปได้ยังไงหล่ะ ฉันมีคิวติดกันหลายวัน “ เดฟปฏิเสธ
“อ้าวแล้วจะพูดทำไม” อัศวะส่ายหัว
“แต่ถ้าเป็นแค่ภูเก็ตสักสามวันก็พอจะไปได้นะ  อัศอยากไปไหมหล่ะ” เดฟกล่าวแล้วจับบนไหล่ของอัศวะ
อัศวะเหลือบมอง 
“ได้.. แต่ขอเปิดห้องเดียวนะ”
“เฮ้ย... ฉันไม่เคยนอนกับใคร” เดฟท้วง
อัศวะยักไหล่
“ก็หัดไว้สิ... เดี่ยวก็คุ้นไปเอง”
 
ปราสาทงดงามตระหง่านอยู่บนฐานหินที่เรียงตั้งกันเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ คือจุดสนใจกลางนครโอซาก้า ปราสาทโอซาก้าอันเลื่องลือ 

และ เพราะเป็นวันอาทิตย์ จึงมีคนมามากเป็นพิเศษ  แต่อาราอิก็จงใจมาวันนี้ เพราะจะมีศิลปินเปิดหมวกมาแสดงการแสดงหลากหลายในบริเวณสวนของปราสาท
จุ๊ย ดูกิจกรรมต่างๆอย่างสนใจ  แต่ที่สุดก็มาตรงที่มีวงสามคนกำลังแสดงดนตรีแจ๊ส  คนหนึ่งเล่น แซ็กโซโฟน  คนหนึ่งเล่น ไวโอลีน อีกคนคนเล่นคีย์บอร์ด
จุ๊ยยืนฟังจะจบ แถมบริจาคเงินไปให้เขาอีกต่างหาก
“เขาเก่งจังเลยนะ ถ้าจุ๊ยเอาแซกมาจะขอเขาเล่นด้วยแล้ว  ไม่บอกไม่งั้นจุ๊ยจะเอามาด้วยแล้วนะเนี่ย” จุ๊ยกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

อาราอิอ่านจากป้ายก็เห็นว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย หาทุนเรียนหนังสือ
“จุ๊ยอยากเล่นไหมล่ะ”
แต่ไม่รอให้จุ๊ยตอบ  อาราอิก็เดินเข้าไปสนทนากับนักดนตรีทั้งสาม  สักพักพวกเขาก็หันมามองจุ๊ยทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะสนทนากันต่อไป
สักพักอาราอิกวักมือเรียกจุ๊ยมา
“ฉันบอกเขาว่านายเป็นแชมป์ประเทศไทย เขาก็เลยให้เล่นด้วย”
จุ๊ยทำหน้าจืด  ซึ่งปกติก็จืดอยู่แล้ว  แต่ก็รับแซกโซโฟนจากคนที่เป็นเจ้าของแซกโซโฟนเทนเนอร์
“ไปบอกเขาทำไม  เกิดเล่นไม่ดี อายเขาตายเลย อับอายไปถึงประเทศไทยเลยนะนั่น”
 
“ทุกๆ ท่านครับวันนี้เรามีเพื่อนมาจากประเทศไทย  เขาเป็นนักดนตรีเหมือนกัน วันนี้เขาก็เลยอยากจะแสดงร่วมกับพวกเรา หนุ่มมือไวโอลีนกล่าวแนะนำเพื่อเรียกคนดู
“ซึ่งเขาคนนี้มีดีกรีเป็นถึงแชมเปี้ยนในระดับประเทศของไทย”
พอได้ยินอย่างนั้นก็เลยมีหลายคนสนใจมามุงดูด้วย
อาราอิมองไปก็อมยิ้ม แล้วหันไปทำท่ากำหมัดกับจุ๊ย
“ไฟท์” เขาว่า
“Moonlight in Vermont ครับ เชิญรับฟัง”
จุ๊ยหันไปมองคนเล่นคีย์บอร์ดที่เริ่มต้นเพลง  จากนั้นเมื่อถึงจังหวะ  เขาก็สูดลมหายใจแล้วจรดเป่า..
เทนเนอร์กระจายสำเนียงเสียงต่ำอันนุ่มละมุ่น  บทเพลงของจากปี40 ถ่าย ทอดออกมาจากการเป่าของเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีอย่างละเมียดละไม  บรรยากาศรอบตัวจากที่เคยอึกทึก  กลับค่อยๆซาลง  ไม่ช้าคนจำนวนมากก็มามุงดู  บางคนต้องจับที่หัวใจเมื่อเด็กหนุ่มทิ้งหางเสียงกังวาลในอากาศยามบ่าย
“สุโค่ย...” นั้นคือปากคำของเจ้าของแซกโซโฟนเทนเนอร์ในมือจุ๊ย...
หันมาถามจากอาราอิ
“แน่ใจนะว่าไม่ใช่มืออาชีพ นี่มันยอดเยี่ยมไปเลยนะ”
“เขาก็เป็นนักศึกษาดนตรีเหมือนคุณนั้นล่ะ” อาราอิตอบ
เสียงปรบมือดังกึกก้องตอนที่จุ๊ยลากหางเสียงสุดท้ายกังวาน
จุ๊ยเดินไปจับมือกับนักคีย์บอร์ด แล้วก็ยกมือไหว้ตอบการโค้งของเขา
“คนไทยเหรอ” เสียงดังจากกลุ่มคน  อาราอิได้ยินก็กระชับแว่นตาดำก่อนจะหันไป
เห็นเป็นหนุ่มสาวชาวไทยสามสี่คน น่าจะวัยราวๆเดียวกับจุ๊ย

“อ๋อ... นี่ไงนักดนตรีที่เป็นตัวนำของวงโยที่ชนะสามสมัยซ้อน  อาจารย์ดนตรีโรงเรียนเก่าของฉันยังบอกเลยว่าจะเป็นสุดยอดนักดนตรีคนต่อไป  ชื่ออะไรน๊า..รู้สึกจะชื่อนทีธาร ฉันอ่านบทสัมภาษณ์ของเขาในนิตยสารดนตรี”
จุ๊ยกำลังยืนคุยกับเจ้าของแซกเป็นภาษาอังกฤษ  และยังถ่ายเซลฟี่เป็นที่ระลึกด้วย
อาราอิเดินเข้ามา
“ไปเถอะ เหมือนจะมีคนจำนายได้นะ”
จุ๊ยก็เลยเดินหันไปบอกลากับนักดนตรีทั้งสามคนแล้ว  อาราอิก็พาเขาเดินไป
สามนักคนตรีมองหน้ากัน
“เก็บไว้นะรูปที่ถ่ายกั[เขาไว้นะ  อีกหน่อยเขาต้องกลายเป็นคนมีชื่อเสียงแน่นอน  ถ้าเล่นได้ขนาดนี้” คนเล่นคีย์บอร์ดบอก
 
“อ๊อด” เมืองฟ้าเรียก
อ๊อดที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกก็หันมา
“นี่จุ๊ยหรือเปล่า”
“มี คนพึ่งกลับมาจากญี่ปุ่นเขาโพสต์กระทู้ในพันทิป  บอกว่าตอนแรกตั้งใจจะถ่ายการแสดงเปิดหมวกที่โอซาก้า  แต่กลับได้เจอนักดนตรีระดับเทพ  แถมเป็นคนไทย” เมืองฟ้ากล่าว
แล้วเขาก็เล่นคลิป
อ๊อดจำเสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยได้ดี  ต่อให้เสียงที่อัดมาจะไม่ดีนัก 
“เออ..” อ๊อดหันมาดูจอคอมพิวเตอร์ของเมืองฟ้า
“ใช่จริงๆ  มันไม่เห็นบอกนี่ว่าไปญี่ปุ่น”
เมืองฟ้าปล่อยคลิปเล่นไปเรื่อยๆ  จนกระทั้งถึงตอนที่จุ๊ยไหว้ตอบคนเล่นคีย์บอร์ดที่โค้งให้เขา
“วันนี้รับงานอีกแล้วเหรอ” เมืองฟ้าถาม
“อืม พี่สรรค์จะมารับ  คงจะดึกมากน่ะ ไม่ต้องรอนะ”
“เดี่ยวนี้อ๊อดกับพี่เขาสนิทกันมากเลยนะ” เมืองฟ้ากล่าวพลางพิจารณาตัวอ๊อด
“เสื้อตัวนี้เขาก็ซื้อให้ไม่ใช่เหรอ  แล้วยังซื้อให้ตั้งหลายตัว สีที่อ๊อดชอบทั้งนั้นเลยด้วย”
อ๊อดนิ่งไปนิดหนึ่ง  ก่อนจะเดินเข้ามา ก้มลงจูบที่เรือนผมของอ๊อด
“อ๊อดไปทำงานเฉยๆ  อย่าพูดเหมือนหึงสิเมือง  อ๊อดไม่สบายใจ ถ้าเมืองไม่ชอบอ๊อดก็ไม่ไปก็ได้นะ”
เมืองฟ้าส่ายหน้า
“ไปเถอะเมืองก็แค่ล้อเล่น”
อ๊อดก็จูบอีกที แล้วก็ออกไปจากห้อง
จู่ๆเมืองฟ้าก็มีแววตาหม่นลง และกล่าวออกมา
“เมืองรักอ๊อดมากเลยนะ”
 
อาราอิเปิดลิ้นชักหนึ่งที่เป็นโต๊ะส่วนตัวของบิดา  ภายในมีเอกสารใบหนึ่ง  พอเปิดดูก็เห็นหัวโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์โอซาก้า
เขาถอนหายใจ
“พ่อ สามีน่ะท่าทางจะไม่ยอมรักษา ขนาดพ่อของฉันมาพูดเองท่านก็ยังปฏิเสธ  ท่านบอกว่าท่านก็ไม่มีอะไรห่วงแล้ว  เพราะตอนนี้อาราอิเองก็มีรายได้จากการเป็นดาราที่เมืองไทย  ดูแลตัวเองได้แล้ว  แถมใกล้จะเรียนจบ  ดังนั้นท่านก็เลยไม่ยอมไปหาหมออีกโดยปริยาย”  นามิจังเล่า
“นามิจังว่าอาราอิควรมาด้วยตัวเอง  เพราะโรคแบบนี้ยิ่งรักษาเร็วยิ่งมีโอกาสหาย  ถ้าช้าไปอาจแย่นะอาราอิ”
เขามองอ อกไปที่สวน  จุ๊ยกำลังช่วยพ่อของเขาจัดการลงต้นไม้ใหม่  โดยอาสาขุดดินให้  ดูไปแล้วก็เหมือนพ่อลูกกันจริงๆมาเสียยิ่งกว่าเขาอีก
 
เรือเฟอรี่วิ่งออกจากฝั่งไปสู่เส้นทางประจำของมัน
อาราอิมองเหม่อในสายน้ำ ในขณะที่จุ๊ยกำลังบันทึกภาพด้วยมือถือเครื่องใหม่ โดยถ่ายกลับไปยังตัวเมืองฮิโรชิม่า
“มีอะไรรึเปล่า  เหมือนนายจะไม่สบายใจใช่ไหม
อาราอิหันมองจุ๊ยที่นั่งลงข้างๆ
“จุ๊ยที่ฉันพานายมาญี่ปุ่นนี่ นอกจากจะเรื่องของเราแล้ว  ยังมีอีกเรื่องนะ” อาราอิกล่าว

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 48 : กำลังใจ
พอฟังจบจุ๊ยก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
แล้วตบบ่าอาราอิ
“ทำไมไม่ชวนเขากลับไปรักษาที่เมืองไทยล่ะ  หมอของเราก็เก่งเหมือนกันนะ  แถมถูกกว่าแน่นอน”
“พ่อเคยปธิฌานไว้แล้วว่าจะไม่กลับเมืองไทย” อาราอิตอบ
“อืม.. ก็แปลว่านายต้องพยายามหาทางให้เขาไปรักษาตัว  จริงๆนายตอนนี้ก็พอจะช่วยได้ไม่ใช่เหรอ  เพราะงานของนายก็กำลังรุ่งเลย” จุ๊ยชี้แนะทั้งที่ก็คิดว่าอาราอิอาจคิดไว้แล้ว
“แต่ ค่ารักษามันแพงมากเลยนะ  ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะอยู่ในวงการไปได้อีกเท่าไหร่  ประเดี๋ยวกระแสซามันก็ถึงขาลง  ตอนนั้นฉันจะเอาเงินที่ไหนรักษาพ่อต่อไป” อาราอิกล่าว
จุ๊ยก็เห็นด้วย  ก็เลยไม่รุ้จะแนะนำยังไงต่อ
แต่จุ๊ยคิดอะไรได้อย่างหนึ่งแต่ไม่กล้าพูดออกไป
“นี่อาราอิ” จุ๊ยกล่าว
“ป๊าบอกฉันว่ายังไงรู้ไหม...”
อาราอิหันมามอง
จุ๊ยมองออกไปในทะเล  แล้วยิ้มในคำพูด
“ป๊าบอกว่า.. ถ้าเรามองแต่ปัญหา ทุกอย่างก็เป็นปัญหา  แต่ถ้าเราไม่มองปัญหา  แล้วมองทางอื่นบ้าง บางทีก็อาจพบคำตอบ”
 
แม้ อาราอิจะมีความในใจ  แต่ทั้งหมดก็เริ่มเลือนหายไปเพราะความร่าเริงของจุ๊ย  ตั้งแต่ให้อาหารกวางแล้วปรากฏว่ากวางฝูงใหญ่มารุมจนเขาต้องเผ่นหนี  เดือดร้อนคนดูแลต้องมาไล่ให้  ถ่ายรูปทำท่าเหมือนพิงเสาโทริกลางน้ำ  แล้วก็หงายล้มไปจริงๆ
เล่า โจ๊กล้อเลียนคนที่ผ่านไปผ่านมาตอนระหว่างที่เขาสองคนนั้งกินหอยนางรมกันอยุ่ ที่ร้านข้างทาง  แล้วยังกรรมตามทันโดนน้ำจากในตัวหอยกระเด็นใส่ตาตอนพยายามงัดเนื้อกิน  กินซาลาเปาใส้หมูร้อนๆแล้วร้องโอดโอย
แม้ตอนนี้เขาจะมืดแปดด้านกับปัญหาของพ่อ  แต่ตราบเท่าที่ยังมีจุ๊ยอยู่ใกล้ๆ  เขาจะต้องผ่านปัญหาไปได้ในที่สุดเขามั่นใจอย่างนั้น
ดัง นั้นในแสงยามบ่ายตอนออกจากเกาะมิยาจิม่า  อาราอิจึงมองรอยยิ้มของจุ๊ยที่มองกลับไปยังเสาโทริด้วยความสุขใจ...  ความกังวลมันละลายไปหมดกับรอยยิ้มของจุ๊ยนั้นเอง
 
จุ๊ยจัดการทำความสะอาดบ้านจนสะอาดแม้จะพึ่งกลับมาจากไปเที่ยว  นายโยชิฮิสะกลับมาเห็นจุ๊ยกำลังเช็ดโคมไฟเพดานอยุ่ก็มายืนมอง
“ตอนที่เธออยู่บ้านนี่คงทำบ้านด้วยใช่ไหม  เพราะเธอทำคล่องแคล่วมาก”
เขากล่าวแล้ววางกระเป๋าลง 
“ครับ แต่บ้านของผมไม่ได้สะอาดอย่างนี้หรอก  มันรกมากเพราะเป็นร้านขายของ” จุ๊ยตอบแล้วลงจากเก้าอี้
“คุณโยชิฮิสะจะกินอาหารเย็นไหมครับ  เราซื้อของมาหลายอย่าง เดี่ยวผมจัดการอุ่นให้”
“ไม่ต้องหรอก” โยชิฮิสะบอก
“ไปอาบน้ำเถอะ  นี่ดึกแล้ว”
จุ๊ยมองนาฬิกาบนผนังก็ราวๆสามทุ่มแล้วจริงๆ
“แล้วนี่อาราอิไปไหน”
จุ๊ยซักผ้ากับน้ำในถัง
“อยู่ข้างบนน่ะครับ  เห็นบอกว่ามีคนส่งข้อความทางไลน์มาเรื่องงาน  ก็เลยพึ่งขึ้นไปคุยเมื่อสักครู่นี่เอง”
เขาพยักหน้า  จุ๊ยเห็นแววเหนื่อยอ่อนตอนเขานั่งลง
“อา ราอิ  เป็นเด็กเข้มแข็งแค่เปลือกนอก จริงแล้วเขาอ่อนแอมากนะ  ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาไม่ได้มีโอกาสได้รับความรักจากพ่อและแม่เหมือนกับคน อื่นๆ  ฉันเองก็งานยุ่งตลอดตอนเป็นหนุ่ม ก็ไม่ได้มีโอกาสดูแลเขาใกล้ชิด” แล้วโยชิฮิสะก็ถอนหายใจ
“เธอ น่ะ เป็นคนที่ใกล้ชิดกับอาราอิมากที่สุดแล้ว  แม้แต่กับนามิจังเองเขาก็ยังไม่เคยเป็นแบบนี้  แล้วเธอเองก็ดูเป็นคนพึ่งพาได้  ฉันจังอยากจะฝากให้ดูแลเขาด้วยนะ”
จุ๊ยก็เลยวางถังน้ำที่ถือไว้ลงเสียก่อน
“ที่จริงผมว่าคุณโยชิ..”
“เรียกว่าพ่อเถอะ  เรียกอย่างงั้นมันเยิ่นเย้อ”
จุ๊ยก็เลยกล่าวขอบคุณ  ก่อนจะกล่าวต่อไป
“หากว่าคุณพ่อจะดูแลอาราอิไปนานๆ  เขาอาจรู้สึกดีกว่าก็ให้คนอื่นดูแลก็ได้นะครับ”
โยชิฮิสะเงียบไป
“เขาโตแล้ว  เขาต้องมีชีวิตของตัวเอง  ชีวิตที่ไม่มีฉัน  ฉันก็ทำให้เขาได้แค่นี้ จริงๆ ส่งเขาได้แค่นี้”
“แต่ คนเรา พอประสบความสำเร็จ เราก็อยากจะให้มีใครสักคนร่วมฉลองนะครับ  ไม่ใช่แค่คนรัก  แต่รวมถึงคนที่รักเรามาตั่งแต่เด็กด้วย” จุ๊ยแย้ง 
“ไม่ใช่แค่พ่อแม่ที่อยากเห็นลูกมีความสุข  แต่ลูกเองก็อยากเห็นพ่อแม่มีความสุขด้วยเช่นเดียวกัน  อันนี้ผมพูดจากมุมมองของลูกนะครับ”
โยชิฮิสะนิ่งไปอีก  ก่อนเขาจะถอนหายใจ
“ในโลกนี้มีเรื่องที่เราทำได้และทำไม่ได้อีกเยอะนะ  ดังนั้นเราก็ควรทำใจในสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้”
จุ๊ยเม้มปากอยู่ครู่
“ครับ ผมเข้าใจ  แต่เรายังไม่ทดลองทุกวิธีไม่ใช่เหรอครับ  ถ้าเราทดลองทั้งหมดแล้ว แล้วเรายังทำไม่ได้  แต่ความหวังยังมี  เราก็ทดลองทำต่อไป  อันนี้เป็นสิ่งที่แม่ผมสอนเอาไว้”
“การไม่ถอดใจ  คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการต่อสู้นะครับ  ถ้าเราถอดใจ  เราก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้สู้ ไม่ใช่เหรอครับคุณพ่อ”
โยชิฮิสะมองหน้าเพื่อนของลูกชาย
“เธอเป็นเด็กที่มีความคิดแง่บวกมาก  ฉันอยากให้เธอรักษาความคิดนี้ไว้..” แล้วเขาก็ลุกขึ้น
“เอาหล่ะ เป็นอันว่าฉันจะไม่ถอดใจ  แต่ฉันก็ต้องทำใจเผื่อไว้บ้าง  เธอก็เหมือนกัน  แล้วถ้าหากคนนั้นเขาถอดใจ ฉันก็หวังว่าเธอจะอยู่ข้างๆเขา”
แล้วโยชิฮิสะก็วางมือบนไหล่ของจุ๊ย
“ขอบใจมากนะ”
อาราอิที่จริงกำลังจะลงไปข้างล่างอยู่แล้ว  แต่เขาก็หยุดแค่ตรงประตู  จากประตูที่เปิดไว้  ทำให้เขาได้ยินการสนทนาทั้งหมด
 
จุ๊ยปูที่นอนเรียบร้อย  ก็หันไปมองอาราอิที่ยังนั่งมองเขาอยู่
“เฮ้ยนอนได้แล้ว  ปูเสร็จแล้วเนี่ย  จะนั่งมองหน้าทำไม  ประเดี่ยวก็จืดหมดพอดี”
อาราอิยิ้ม
“นายมันจืดอยู่แล้วจุ๊ย  จืดกว่านี้ก็คงไม่ทำให้ฉันชอบมองหน้านายน้อยลงหรอก”
“บ้านนายสิ” จุ๊ยชว้างหมอนใส่
อาราอิก็รับไว้ได้
“คำก็จืดสองคำก็จืด.. ก็เกิดมาหน้าตาไม่ได้เป็นพระเอกซีรี่เหมือนนายนี่หว่า...”
แล้วเขาก็ตีหมอนสองที่ให้มันพองขึ้น
“มานอน.. พรุ่งนี้จะไปเกียวโตไม่ใช่เหรอ”
ว่าแล้วจุ๊ยก็ทิ้งตัวลงนอน
อาราอิก็คลานเข่ามาบนเสื่อตามาตะ แล้วมุดเข้าไปในผ้าห่มของจุ๊ย
“โอ๊ยทำอะไร” จุ๊ยโวยวาย
“อย่าเสียงดังสิ  เดี่ยวพ่อก็ได้ยินหรอก” อาราอิบอกแล้วก็แทรกเข้ามานอนข้างจุ๊ยได้สำเร็จ
จุ๊ยก็พลิกตัวหันหนี
อาราอิก็เลยกอดเขาไว้จากด้านหลัง แล้วเบียดอย่างแนบชิด
“ไปปิดไฟก่อนสิ” จุ๊ยว่า  อาราอิเลยเอื้อมออกไปที่โคมไฟตรงหัวนอน
พอแสงไฟดับลง  เขาก็กลับลงมากอดร่างจุ๊ยไว้จนแน่น
“ชอบใจนะ  นายนี่ไม่เคยนิ่งดูดายกับความทุกข์ของคนอื่นได้เลยจริงๆนะ”
จุ๊ยยิ้มแล้วหันมา
“ฉันพูดมากไปรึเปล่า”
อาราอิมองตาจุ๊ยในแสงสลัว
“มากไปเยอะมาก  แต่ก็ขอบใจ”  แล้วเขาก็จุมพิตที่หน้าผากจุ๊ย
จุ๊ยก็ซุกลงบนอกของอาราอิ
“ตัวนายอุ่นจัง”
“นายก็เหมือนกันกอดแล้วไม่ต้องห่มผ้าอีกเลยยังได้”  แล้วอาราอิก็ยิ่งกอดจุ๊ยแน่นขึ้น

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 49 : เปิดเทอมใหม่
แดดอ่อนๆยามสายส่องลงมาบนเรือนผม ใต้เงาไม้จุ๊ยนั้งอ่านนิตยสารดนตรีต่างประเทศอยู่อย่างสนอกสนใจ  ไม่รู้เพราะช่วงแสงหรืออะไรตอนที่อ๊อดเห็นจุ๊ยจึงรู้สึกว่าจุ๊ยตอนนี้ก็ดูดี อยู่ใม่น้อย
“กูเริ่มเข้าใจละว่าทำไมไอ้เดฟถึงได้ขอบมึง ดูๆไปมึงก็หล่อนะเนี่ย”
จุ๊ยเลิกคิ้วมองหน้า
“ทำไม  มึงจะเอาอะไรรึเปล่า มาชมกูเนี่ย  ของฝากจากญี่ปุ่นก็ให้แล้วนะเว้ย”
“ไม่ใช่ จังหวะแสงเมื่อกี้  มึงแม่งโครตหล่อ  เหมือนพระเอกซีรี่เกาหลียังไงอย่างนั้น”  อ๊อดว่าแล้วนั่งลง
“ความรักมักทำให้คนดูดีรึเปล่าว๊า”
จุ๊ยไม่ได้ตอบแต่โคลงหัวเบา ๆ
“เฮ้ยพวกมึง  มาช่วยกันหน่อยดิว๊า”  ฮ้อยเดินมาพร้อมกับอุปกรณ์เข้าจังหวะ
“ช่วยอะไร มึงจะไปเข้าค่ายลูกเสือหรือไง แบกกลองทอมมาเนี่ย”
จุ๊ยเงยหน้ามอง
“ก็วันนี้เปิดเทอมวันแรกไง  พวกไอ้หน่องมันเลยให้กูมาตามมึงกับอ๊อดไปดูหน้าน้อง”
“ดูทำไม  ไหนว่าไม่รับน้อง” จุ๊ยย้อนแล้วอ่านต่อ  อ๊อดก็ถอดร้องเท้าถุงเท้ามานั้งแคะเล็บเท้า
“เออ  มันก็ต้องมีการต้อนรับกันบ้างตามธรรมเนียม” ฮ้อยว่า
“แล้วมีคนหนึ่งมึงต้องอยากเจอแน่นอน”
จุ๊ยเลยชักสนใจ
 
เด็กหนุ่มผิวสองสีดวงหน้าคมเข้ม  เขากำลังมองหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า 
“น้องชื่ออะไรคะ” เธอยิ้มหวาน
เด็กหนุ่มทำตาเชื่อม
“อิทธิครับผม”
หญิงสาวก็ไล่ไปตามรายชื่อ กระทั้งเจอ
“ชื่อเล่นล่ะคะ”
เด็กหนุ่มก็ยิ้มหยาดเยิ้มเหมือนเคย
“ออสซี่ครับ”
“ออสซี่พ่อสิมึง” เสียงมาจากข้างหลังไม่ดังนัก 

พ่อหนุ่มออสซี่ทำท่าสะดุ้ง แต่ไม่ได้หันไปดูหน้า เพราะแค่เสียงก็พอแล้ว

“เอาป้ายชื่อไปนะค่ะ” หญิงสาวยื่นให้
ออสซี่รับแล้วรีบเดินไป
“จะไปไหน” มือของเจ้าของเสียงที่พึ่งปรากฏตัว คว้าคอเสื้อเอาไว้
“มานี่เลย”
“จุ๊ยอยากแกล้งน้องสิ  นี่เป็นกิจกรรมแนะนำตัวเฉย  ไม่ใช่ว๊าก”หญิงสาวติง
“โอ้ยไม่ได้ล่ะ พลอย.. ไอ้นี่ผมขอ”  จุ๊ยบอกแล้วกอดคอเอาไว้
“ทำไมล่ะ รู้จักกันเหรอ น้องออสซี่”
เด็กหนุ่มทำหน้าเจื่อนๆ
จุ๊ยทำหน้าเหมือนผะอืดผะอมแล้ว ขยี้หัว
“ออสซี่ไม่รู้จัก  แต่ไอ้เด็กที่ชื่อไอ้เหี้ยอู๊ดนี่รู้จัก  ใช่ไหมครับน้องออสซี่”
อู๊ดทำหน้าจ๋อยๆก่อนจะยกมือไหว้
“หวัดดีครับพ่อ”
 
เสียงกลองอึกทึกและยิ่งสนุกไปกันใหญ่เมื่อจุ๊ยจงใจเต้นให้อุบาทถ์ที่สุดเพื่อแกล้งอู๊ดที่ต้องเต้นตาม
“โหยพี่  นี่ฆ่าผมเลยดีกว่า ให้เต้นตามพี่น่ะ” อู๊ดอุทธรณ์
เพื่อนก็หัวเราะกันกับเสียงอุทธรณ์นั้น
“นี่เหรอวะพี่นทีธาร จุ๊ย  ที่เขาว่าเป็นอัจฉริยะดนตรี  นี่มันต๊องนะเนี่ย”  เด็กสองคนด้านหลังคุยกัน
“แต่ฉันเคยดูพี่เขาเล่นนะ... เสียงแซกของพี่เขานี้มืออาชีพยังอาย  บาดใจโคตรๆ” อีกคนตอบ
“อ้าวออสซี่น้องรัก... ทำไมใจมดอย่างงี้ล่ะว๊า” จุ๊ยว่า
“ไม่ได้ใจมดแต่พี่เต้นอุบาทถ์” หนุ่มออสซี่เถียง

“โถๆๆ งั้นเอาใหม่  เดื่ยวพี่ให้ท่าใหม่นะ”
“พอๆ พอเลย  ผมรู้จักพี่ดี  เดี่ยวจะยิ่งอุบาทถ์กว่าเดิม”
“อ้าว ทำไมรู้จักกันแล้วหล่ะน้องออสซี่  พี่ไม่เคยมีน้องชื่อออสซี่เลยนะ  เอาอย่างนี้นะครับน้องออสซี่  พี่จะเต้นใหม่ให้ถึงใจน้องออสซี่เลย”
ฮ้อยส่ายหัวอ่อนใจแล้วมองหน้ากันกับเพื่อนๆ
“นี่ใครวะ โดนไอ้จุ๊ยเล่นงานอย่างนี้จะรอดไหม  ไม่ใช่พรุ่งนี้มันลาออกเป็นเรื่องนะเฟ้ย” หน่องถามกับอ๊อด
“มิวซิค” จุ๊ยหันมาสั่ง
อ๊อดก็ลงจังหวะกลอง
“ไอ้อู๊ด ลูกศิษย์ไอ้จุ๊ยมัน  เคี่ยวมาตั้งแต่ยังไม่เป็นอะไรเลย  ไม่ต้องห่วงมันหรอก  สองคนนี้มันกัดกันอย่างนี้มานานแล้ว”
 
ในโรงอาหาร จุ๊ยกำลังหยอกกับเพื่อนๆส่งเสียงเฮฮากันดังพอสมควร  แต่พออาราอิเดินเข้ามาทั้งกลุ่มจุ๊ยกลับเงียบไปเฉย ๆเพราะจุ๊ยหยุดเล่นมุก
อาราอิเลยทำหน้าเก้อๆ เพราะโดนจ้องหน้า
“อะไรกันครับ  ผมมาหาจุ๊ยเฉยๆ”
จุ๊ยเลยขยับให้นั่งข้าง
เพื่อนก็มองกันไปมา
“อะไรเล่า... พวกมึงเนี่ย  ก็เพื่อนกันปล่าววะ” จุ๊ยว่า
“ใช่” มีต้นเสียงสนับสนุน
“เพื่อนหล่ออย่างนี้แหวนยินดีต้อนรับ” ว่าแล้วแหวนก็เข้มาแทรกข้างๆอาราอิ
“แหม่แหวน  ไม่ได้เชียวนะกับผู้ชายเนี่ย  ระวังไอ้จุ๊ยมันหึงนะมึง” เพื่อนอีกคนว่า
จุ๊ยหัวเราะหึๆ แล้วก็เริ่มต้นเล่าต่อจากเมื่อกี้ เป็นเรื่องที่เขาเข้าไปขัดขวางไอ้โรคจิตที่ปีนอาคารหอพักขโมยกางเกงใน
อ๊อดกับฮ้อยมองหน้ากัน แล้วยิ้มอย่างรู้กัน
 
จุ๊ยเลื่อนเปลี่ยนคลื่นสถานีวิทยุไปเรื่อยๆ จนกระทั้งเจอเสียงที่คุ้นหู  ก็เลยหยุดฟัง
“เสียงนี้มันคุ้นๆไหม” อ๊อดที่นั้งอยุ่เบาะตอนหลังโผล่หน้ามาระหว่างจุ๊ยกับอาราอิ
“เสียงไอ้อัสไง” จุ๊ยแยกแยะได้ทันที
“กูจำหางเสียงมันได้  มันจะตวัดๆหน่อย น่าฟังดี”
อาราอิไม่แปลกใจเพราะเมื่อเช้าเขาพึ่งเจออัศวะ ก็เลยถามในฐานะเพื่อนและรุ่นน้อง
“กูได้ยินมาว่าตอนนี้มันคบกับไอ้เดฟจริงรึเปล่าวะ” อ็อดเอนกลับไปพิงเบาะ
“สอง คนนี้แม่งก็ใจกล้ามาก  คนหนึ่งจะออกเทป อีกคนก็มีละครติดกันสามเรื่อง แถมดัง  แต่แม่งออกตัวกันสุดๆ ไม่กลัวสังคมเล่นงานหรือไงวะ”
จุ๊ยกับอาราอิสบตากัน  ก่อนอาราอิจะกล่าว
“เดฟเขาลอยตัวแล้ว  เพราะแต่แรกเข้าวงการเขาก็เปิดเผยตัวเอง  แถมเขาก็ดูแมนดี  สาววายเลยกรี๊ดกันสนั่น  แถมเรื่องไหนเล่นกับคู่ผู้หญิง  ก็เล่นได้เนียน  เพราะผู้หญิงเขาไม่เกร็ง”
“แต่อัศนี่สิจะแย่” จุ๊ยกล่าวแล้วขมวดคิ้ว
“พ่อของอัศมันประเภทเกลียดตุ๊ดเสียด้วย”


ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 50 : เผชิญหน้า สไบทอง
พ่อของจุ๊ยไปต่างจังหวัดเพื่อร่วมงานศพของญาติผู้ใหญ่ หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ วันนี้จุ๊ยก็เลยมาค้างบ้านของอาราอิได้อย่างสะดวกใจมากขึ้น  และไม่ต้องให้อาราอิรีบไปส่งตอนเช้ามืดเหมือนทุกครั้ง
ตอนที่จุ๊ยออกมาจากห้องน้ำหลังอาบน้ำเสร็จก็เห็นอาราอิยืนคุยโทรศัพท์ภาษา ญี่ปุ่นอยู่ที่หน้าบานประตูกระจกของระเบียงที่ปิดไว้  เขาเดาว่าน่าจะไม่ใช่นามิจัง  เพราะช่วงหลังๆนามิจังเริ่มรับรู้ตัวตนของจุ๊ยมากขึ้นเวลาโทรศัพท์มาก็จะไม่ คุยนาน  แถมกิริยาการพูดของอาราอิก็เป็นการลงท้ายด้วยไฮ้ๆ ตลอดแสดงว่าเป็นการสนทนากับพ่อ
เขารู้ดีว่าเดี่ยวอาราอิคุยเสร็จจะต้องออกอาการหงุดหงิดหรือไม่ก็เศร้า  ก็เลยหันไปหันมาเพื่อหาตัวช่วย มองไปเห็นขวดสีขาวตั้งเรียงกันสามขวดเหนือตู้เย็นใบเล็กในห้อง

อาราอิคุยโทรศัพท์จบลงก็ถอนหายใจยาวเหยียดมองออกไปนอกบานประตูสักครู่  แต่พอหันมา
“เชิญ คุณชายรับประทาน สาเกอุ่นเจ้าค่ะ” จุ๊ยทำท่าหมอบกับพื้นเหมือนในหนังญี่ปุ่น  โดยมีสาเกขวดสีขาวอุ่นอยู่ในหม้ออุ่นไฟฟ้าตั้งตรงหน้า
อาราอิอดหัวเราะไม่ได้
 
“พ่อบอกว่าไปหาหมอมาแล้ว หมอบอกผลตรวจไม่ดี  เพราะเนื้อร้ายมันขยายตัว  อาจต้องรักษาอย่างเร็วสุด” อาราอิเล่ามือก็ถือจอกรอให้จุ๊ยรินให้
พอจุ๊ยรินเสร็จก็เอนหลังพิงกับขอบเตียงคู่กันกับอาราอิ
“พ่อเลยกำลังคิดว่าจะไม่รักษา เพราะหมอเองก็ไม่ได้ยืนยันว่ารักษาแล้วจะหายขาด” อาราอิจิบสาเก
“รักษามีโอกาสหาย  แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะหาย หรือหายขาด  แต่ถ้าไม่รักษาก็คือตายแน่นอน”
จุ๊ยถอนหายใจก่อนจะโอบเอวอาราอิไว้  เขาก็สบลงมาหัวชนกับจุ๊ย
“พ่อ บอกว่ายังพอมีเงินก้อนหนึ่ง  แต่ท่านก็ยังลังเล  เพราะถ้าเอาออกมาใช้ก็คือหมดแน่นอน  แล้วยังไม่ได้ครอบคลุมรายจ่ายด้วย  ส่วนตอนนี้ฉันก็ต้องรอให้ถ่ายหนังเสร็จ  กว่าจะได้เงินอีกก้อน  รวมกันแล้วก็ยังไม่พออยู่ดี” อาราอิกล่าว
“ตลก เนอะ ระดับพระเอกอย่างฉัน อยู่บ้านหลังเป็นสิบๆล้าน มีรถคันละสิบล้านขับ  แต่เอาเช้าจริงก็ไม่ได้มีอะไร  แม้แต่จะช่วยพ่อตัวเองยังไม่ได้”
 
อาราอิแปลกใจที่ไม่เห็นจุ๊ยอยู่ข้างกายเมื่อตื่นขึ้น  แต่พอลุกขึ้นแล้วมองไปก็ยังกระเป๋าสะพายของจุ๊ยวางอยู่
เขาเลยลุกไปอาบน้ำเพราะมีคิวถ่ายละครตอนสายๆ
ครั้ง พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ยังไม่เห็นจุ๊ย  หากพอเดินลงมาด้านล่าง  แล้วเดินเลี้ยวเข้าครัว  ก็เห็นจุ๊ยสวมผ้ากันเปื้อนยืนจัดเรียงอาหารใส่กล่องเบนโตะอยู่
“อาหารเช้าอยู่โน่น” เขาบอกทั้งพยักเผยิบไปทางโต๊ะอาหาร
อาราอิเดินเข้ามากอดเอวจุ๊ยมองหน้าตาอาหารกล่อง
“น่ารักนะเนี่ย เหมือนข้าวกล่องรถไฟเลย”
“ก็จำมาจากที่กินนั้นหล่ะ  เห็นมันน่ารักดี” จุ๊ยตอบ
“แล้วทำไมจุ๊ยลุกมาทำเองหล่ะ”
“อ้าว” จุ๊ยหันมามองหน้า
“ก็ นายจะได้เอาไปกินที่กองถ่าย  ถ้าไม่ห่อไปเดี่ยวนายก็ไปซื้อกิน  แล้วแต่ละอย่างที่นายซื้อก็แพงๆทั้งนั้น  กินธรรมดาเหมือนชาวบ้านเขาที่ไหน  นี่นายต้องเก็บเงินไว้รักษาพ่อไม่ใช่เหรอ  ถ้าไม่ประหยัดจะเอาเงินที่ไหน  ต่อไปนี้เราต้องประหยัด  ข้าวเที่ยงกินในโรงอาหาร ข้าวเย็นถ้าไม่กินบ้านฉันก็กินบ้านนาย  รถนายก็เหมือนกัน  เห็นบอกรถคันนี้เป็นของลุงใช่ไหม  ลุงนายรวยจะตาย น่าจะมีรถคันอื่นอีก  เอารถญี่ปุ่นหรือเก๋งซีดานมาสักคันดีกว่าประหยัดน้ำมัน  รถสปอร์ตมันเปลือง เติมน้ำมันที่ฉันอยากจะเป็นลม”
อาราอิ ถอยออกมามองจุ๊ยให้ถนัด
“โหนี่วิญญาณศรีภรรยาสิงหรือเปล่าเนี่ย" แล้วก็กลับมาโอบเอวจุ๊ย
"ไปเราไปจดทะเบียนกันพรุ่งนี้เลย  แล้วมาอยู่ด้วยกัน ฉันจะได้ให้นายบริหารชิวิตให้เต็มที่เลย”

จุ๊ยส่ายหัว เหลียวมองหน้า

“ก็ จดซ้อนสิ  นายจดทะเบียนกับนามิจังไปแล้วนี่  อีกอย่างเมืองไทยไม่มีนะเว้ยจดทะเบียนสมรสผู้ชายด้วยกัน” จุ๊ยกล่าวพลางห่อกล่องข้าวด้วยผ้า
“ไปกินข้าวได้แล้ว จะได้ไปทำงาน”
อาราอิยืนตรง ก่อนจะโค้ง
พูดเป็นภาษาญี่ปุ่น
จุ๊ยงง
“อะไรวะ”
“ครับผม ภรรยาที่เคารพ” อาราอิตอบแล้วรีบเผ่นให้พ้นรัศมีการตอบโต้
โดยที่สองคนไม่รู้  สไบทองที่พึ่งจะกลับมาบ้านได้ยินการสนทนานั้นโดยตลอด
 
สไบทองอาบน้ำเสร็จก็เดินลงจากชั้นสองมาในชุดลำลอง  เมื่อลงมาชั้นล่างก็เห็นจุ๊ยกำลังทำความสะอาดห้องรับแขกด้วยเครื่องดูดฝุ่น
“ไม่ต้องทำหรอก  เดี่ยวจะมีเด็กมาทำเองหล่ะ  คนรับใช้ที่นี่จะมาส่วนกลาง ทำความสะอาดทุกบ้าน  เธอถึงไม่ค่อยได้เห็นแม่บ้านเท่าไหร่”
จุ๊ยหยุดแล้วยกมือไหว้สไบทอง
“คุณน้ากลับมาเมื่อไหร่ครับ ผมไม่ได้ยินเสียงเลย”
“ก็เธอมัวแต่เล่นกันอาราอิอยู่  จะไปได้ยินเสียงฉันได้ยังไง” เธอตอบ แล้วนั่งลง
“ไปล้างมือล้างไม้แล้วมานั่งคุยกันดีกว่า  ฉันอยากจะคุยกับเธอ”
จุ๊ยรู้สึกใจแป่ว  หรือว่าสไบทองจะได้ยินที่เขากับอาราอิหยอกเอินกัน
“คุณน้าจะรับอาหารเข้าไหมครับ  ผมทำเอาไว้ยังพอมีอยู่บ้าง”
“เอาสิ แต่เอาของไม่ค่อยมันนะ” เธอตอบ
 
สไบทองกินสลัดผักที่จุ๊ยยกออกมาพร้อมน้ำส้มคั้นสด
“เธอนี่น่ารักจังเลยนะ  พ่อแม่คงสอนมาดีมากเลย  ใครมีลูกอย่างนี้รักตายเลย” สไบทองกล่าว แล้วชิมสลัด
“อร่อยนะ  น้ำสลัดนี่ใสแต่อร่อยมาก  จดสูตรไว้ให้กันบ้างสิ  เดี่ยวฉันจะให้แม่บ้านทำให้กิน”
แต่พอกินไปได้หลายคำ เธอก็กอดอกมองหน้าจุ๊ย
“ถามจริงๆ เธอกับอาราอิเป็นแฟนกันใช่ไหม”
จุ๊ยสะอึก 
“คือว่า” เด็กหนุ่มลากเสียง
“ไม่ต้องคือว่า... ฉันไม่ได้ห้ามหรอก  ที่จริงครอบครัวของเรา  ฉันหมายถึงฉัตรอัครเปิดเรื่องนี้มานานมาก  ก็ตั้งแต่ลูกลุงเนมของอาราอิ  ที่ชื่อภูธนะ รักกับเพื่อนสมัยเด็กของเขาชื่อนราชล จนทิ้งงานร้องเพลงทั้งที่กำลังดังเปรี้ยงไปอยู่ด้วยกันที่เมืองนอก  บ้านของเราก็เลยเปิดเผยเรื่องนี้กัน  ไม่มีใครว่าอะไรใครเรื่องนี้หรอก” สไบทองยิ้ม เพราะคาดเดาความรู้สึกของจุ๊ยได้
“เพียงแต่ว่าเธอต้องรู้ว่าอาราอิน่ะกำลังเป็นที่สนใจมาก  ถ้ามีเรื่องแบบนี้กับเธอจะกระทบกับงานเขาไม่มากก็น้อย  เพราะภาพพจน์ของอาราอิคือพระเอกแมน หล่อ ขวัญใจสาวๆ  ไม่ใช่อย่างนายเดฟที่เปิดเผยตัวเองแต่แรกอย่างนั้น ก็เลยอยากให้ระวังตัวหน่อย”
จุ๊ยก้มหน้าลง
“ผมทราบครับ”
“แต่ฉันก็ไม่ใช่ประเภทแม่แฟนใจร้ายกีดกันหรอกนะ  เธอจะเข้าจะออกบ้านนี้ตามสบาย  เดี่ยวจะให้เด็กทำกุญแจไว้ชุดหนึ่งด้วย  ดีซะอีกจะได้ช่วยฉันทำหน้าที่ที่ฉันไม่มีโอกาสได้ทำ” สไบทองพูดต่อ
”ยังดีที่เธอน่ะเป็นแบบแมนๆ ไม่ใช่ตุ๊ดแต๋ว  ก็เลยดูไม่ออก ถ้าทำเนียนๆไป คนก็อาจคิดไปว่าแค่เพื่อนสนิท  ก็ขอให้ทำอย่างนี้ต่อไป เอาไว้สักวันอาราอิกระแสลาลง  หรือถ้าเขาจะออกจากวงการ แล้วจะแต่งงานกันฉันก็ไม่ว่าหรอก  จะจัดงานให้ด้วย”
จุ๊ยรู้สึกใจชื้นขึ้น  ทว่าท่าทางขยับนั่งตรงของเธอเป็นสัญญาณว่ายังมีเรื่องอื่น
“แต่ทีอยากคุยด้วย คือเรื่องที่เธอบอกให้อาราอิประหยัด  ส่งเงินช่วยรักษาพ่อ  นี่มันอะไร  ไหนเล่าให้ฟังสิ”


ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ตอนที่ 51 : ความช่วยเหลือที่ไม่ได้ต้องการ
ใจ แล้วจุ๊ยไม่อยากจะเล่า เพราะหนึ่งคือรู้ดีว่าอาราอิไม่อยากให้สไบทองเข้ามาเกี่ยวข้อง  แต่นี่คือทางเดียวที่จุ๊ยคิดเอาไว้  ถ้าหากสไบทองไม่มาพูดเองในวันนี้  เขาก็คิดอยู่ว่าจะหาวิธีให้สไบทองทราบอยู่ดี
สไบทองฟังเรื่องจบ ก็นั่งนิ่งอยุ่นานพอสมควร
“ฉัน กับอากิระ  พ่อของอาราอิ  แล้วก็ตัวอาราอิเองน่ะ  มีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันมากโขเลยหล่ะ   ก็เริ่มจากตัวฉันเองนี่หละ  ที่ไม่ใช่ศรีภรรยาตามคอนเซ็ปของญี่ปุ่น  เราก็เลยทะเลากันบ่อยๆ  แถมช่วงนั้นฉันก็มัวแต่เพลินกับงานในวงการ  ก็เลยไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี  จนที่สุดความสัมพันธ์มันก็พังไม่เป็นท่า” เธอกล่าว
“แต่ ไม่ว่าอาราอิจะคิดว่าฉันไม่รักเขา หรือไม่รักพ่อเขายังไง  แต่ฉันจะบอกว่าไม่ใช่เลย  ฉันกับพ่อของเขาไม่ได้คบหากันด้วยความบังเอิญ  ไม่ได้จับฉลากได้จากงานสอยดาว  แต่เราคบหาและเข้าใจกันมาก่อน  ดังนั้นอาราอิจึงไม่ผลพวงของความผิดพลาด  แต่เป็นความรักของฉันกับเขา” สไบทองยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ
“ฉัน เป็นนักแสดงโดยอาชีพ  ถึงแสดงออกว่ารักยังไง  อาราอิก็อาจไม่เชื่อหรอก  เพราะเขาได้เห็นภาพการทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกันมาหลายครั้งก่อน เราจะตัดสินใจแยกกันอยู่”
แล้วสไบทองก็ถอนหายใจ
“อา ราอิก็คงไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากฉัน และไม่มีทางที่พ่อของอาราอิจะยอมรับความช่วยเหลือจากฉันด้วย  เรื่องนี้มันยากมากกับการที่จะเข้าไปทำอะไร”
จุ๊ยก็ทราบข้อนี้ดี 
“แต่ เราก็ต้องทำนะครับ  ผมก็คิดอยู่หลายครั้งเรื่องนี้  และคิดเหมือนคุณน้า   และคุณพ่อ.. ผมหมายถึงคุณโยชิฮิสะ  ก็ดูเป็นคนดื้อดึงไม่แพ้กัน  คงจะเป็นอย่างที่คุณน้าพูดแน่นอน”
“แม่ก็ได้นะ  ฉันไม่รังเกียจ  เพราะถ้าอากิระยังยอมให้เธอเรียกเขาได้ว่าพ่อ ก็แปลว่าเขายอมรับเธอแล้ว  ฉันก็เหมือนกัน” สไบทองออกปาก
จุ๊ยแม้จะรู้สึกเขิน  แต่เพราะมีเรื่องสำคัญกว่าจะต้องคุยความรู้สึกจึงหายไปอย่างรวดเร็ว
“แล้วจะ ทำยังไงได้ ขนาดตอนหย่า สินสมรสเขายังโอนให้ฉันเกือบหมด  อากิระน่ะประเภทลูกผู้ชายบูชิโด เขาไม่ยอมแน่ๆ” สไบทองตักสลัดคำสุดท้ายเข้าปากเคี้ยวช้าๆ
“แล้วไม่มีใครเลยเหรอครับที่คุณพ่อวางใจ หรือเกรงใจ” จุ๊ยถาม
“มันก็มีนะ” สไบทองตอบ
“ถ้าเธอบอกว่า พ่อของนามิจัง  ก็พูดไปแล้ว  ก็คงเป็นคนนี้แล้วหล่ะ  ที่พูดได้”
“ใครหรือครับ” จุ๊ยมองหน้าสไบทอง
แล้วสไบทองก็ถอนหายใจ
“เอา เป็นว่า  เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง  แต่ตัวเถอะ เตรียมรับพายุจากอาราอิได้เลย  ฉันเดาว่าก่อนเขาจะฟังเหตุผล  เขาต้องฟาดงวงฟาดงากับเธอก่อน  เด็กคนนี้นิสัยไม่ดีตรงนี้หล่ะ”
“ครับ” จุ๊ยก็ตระหนัก  แต่เขาเตรียมใจอาไว้แล้ว
แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น 
“จ๊าเทียน” สไบทองตอบสาย
“เออม  ได้แต่ขอเป็นบ่ายๆได้ไหม  พี่พึ่งกลับจากฮ่องกงเมื่อเช้ายังเหนื่อยอยู่เลย”
แล้วเธอก็วางสาย
แล้วมองหน้าจุ๊ย
“ส่วนนี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะวาน  ฉันไม่อยากให้ อาราอิตีกับเทียนอีก  เธอเข้าใจใช่ไหม  มันลำบากใจนะ” สไบทองกล่าวกับจุ๊ย
“ครับ” จุ๊ยรับคำ
“ผมจะพยายาม”
แล้วจุ๊ยก็ขอตัว
แต่ก่อนจะออกไป สไบทองก็กล่าวขึ้น
“เรื่องอาหารกล่องน่ะ  ไม่ต้องทำหรอกนะ” เธอยิ้มเมื่อจุ๊ยหันมามอง
“เพราะกองถ่ายปกติเขาจะมีอาหารเลี้ยงอยู่แล้วนะ  ไม่ต้องห่วง  เขาไม่ปล่อยให้พระเอกอดตายหรอก”
จุ๊ยเลยเกาหัวเบาๆ
ขานตอบว่าครับ
 
พอกลับมาอาบน้ำอาบท่า  อาราอิก็มานั่งท่องสคลิปต์อยู่ในห้องนอนตอนจุ๊ยยกเอาขนมมาให้
“ขอบคุณนะภรรยาที่รัก”
แต่พอจุ๊ยไม่ตอบ  อาราอิก็เลยหยุดมือที่จะหยิบขนม
“เป็นอะไรน่ะ”
จุ๊ยมองไปมองมาก่อนจะกล่าว
“วันนี้ฉันคุยกับแม่ของนายเรื่อง..” จุ๊ยกล่าว  แล้วก็ต้องอึกไปเพราะอาราอิเปลี่ยนสีหน้า
“เรื่องพ่อของนาย”
อาราอิฟังได้แค่นั้น เขาฟาดสคลิปต์ลงบนตัก
“จุ๊ยทำอะไรน่ะ”
“เฮ้ย.. ก็จุ๊ยอยากจะช่วย” จุ๊ยท้วง
“ช่วยอะไร.. จุ๊ยก็รู้ว่า ฉันไม่อยากจะให้เขามายุ่ง”
“แต่แม่ของนายยินดีจะช่วยนะ” จุ๊ยแย้งอีก
“แต่ฉันไม่ต้องการ” อาราอิเอ็ดใส่หน้าจุ๊ย
จุ๊ยเลยเงียบ
“ผู้หญิงคนนั้น ก็เลิกกับพ่อไปแล้ว  ยังมีอะไรต้องมาข้องเกี่ยวกับเราอีกหล่ะ” อาราอิคุมอารมณ์ไม่ได้
“จุ๊ย ทำอย่างนี้นึกว่าฉันจะดีใจเหรอ  ทางที่ดีนายอย่ามายุ่งเลยดีกว่า  จุ๊ยไปยุ่งเรื่องครอบครัวของจุ๊ย แล้วจัดการมันให้ดีก่อนดีกว่าไหม  เรื่องฉัน  ฉันจะจัดการเอง”
จุ๊ยไม่ได้ตอบ  ไม่ได้พูดอะไร  เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
อาราอิมองตามไป  แต่เขากำลังพลุ่งพล่าน  จึงไม่มีอารมณ์ลุกตามไป

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 52 : เมื่อนายสายน้ำงอน
เพราะเห็นอาราอิไม่ได้มาหลายวันแล้ว  อ๊อดก็เลยชักสงสัย  ตอนที่จุ๊ยนั่งคุยกับฮ้อยเรื่องเพลงที่จะเล่นในการทดสอบอาทิตย์หน้า
เขาก็เลยถาม
“เฮ้ยอาราอิมันหายไปไหนวะ”
จุ๊ยเหลือบมามองแล้วตอบแบบเฉยๆ
“ไม่รู้กูไม่ได้หำติดกัน”
“อ้าวไอ้นี่ ถามดีๆ” อ๊อดดันหัวมันออกไป
“งอนอะไรกันวะ” ฮ้อยถามบ้าง
“ไม่ได้งอน  กูก็แค่ทำตามคำร้องขอของมัน  มันไม่อยากให้กูยุ่งกูก็ไม่ยุ่ง  เรื่องของแม่ง ก็ปล่อยมันจัดการเอาเอง” จุ๊ยตอบแบบไม่สบอารมณ์นัก 
อ๊อดกำลังจะพูด  แต่เสียงปู๊นดังมาจากด้านหนึง
จุ๊ยหันไปเห็นอู๊ดกำลังสอนเพื่อนสองคนให้เป่าแซกโซโฟนตามวิธีที่จุ๊ยสอน
“เว้ย อ่อนว่ะ” แล้วจุ๊ยก็ลุกไป
“ไอ้เหี้ยอู๊ด  ใครบอกมึงให้ทำอย่างนี้  เดี่ยวเขาก็หาว่าวิชากูห่วยกันพอดี”
“โอ้ยอะไรอะพี่  ที่พี่ทำได้ ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้หรอกนะ”อู๊ดท้วง
“ขืนมาทำตามพี่  มีหวังไม่ต้องเป่ากัน ใครมันจะเก่งอย่างพี่ทุกคน”
“มึงห่วยเองต่างหากไอ้อู๊ดมากูสอนเอง ไม่ต้องมาทำเท่ห์”
 
อาราอิเปิดประตูรถเข้ามานั่ง  แล้วก็โยนปึกบทละครไปไว้เบาะตอนหลัง  ได้ยินเสียงดังป๊อกก็เลยหันไปดู  เห็นกล่องข้าวที่จุ๊ยเตรียมให้เขานั้นวันนั้น
เขาถอนหายใจหยิบโทรศัพกดเรียกเลขหมาย
แต่ก็เหมือนเดิมไม่มีการตอบรับ
อาราอิเอาหัวกระแทกกับขอบพวงมาลัยหนัง
“ขี้งอนชิบหาย” เขาบอกตัวเอง
ไม่ใช่ไม่อยากง้อ  แต่เพราะเขาพึ่งจะเสร็จจากการถ่ายละครที่ลำปางวันนี้เอง  แล้วก็พึ่งจะบินกลับมากรุงเทพแล้วก็มาเอารถที่จอดทิ้งไว้ที่สนามบิน  แต่เขาโทรหาจุ๊ยตลอด  แต่จุ๊ยก็ไม่รับสาย  จุ๊ยคงไม่รู้ว่ามันทำให้อาราอิร้อนอกร้อนใจแค่ไหน

จุ๊ยเดินออกมาตามทางไปสู่ถนนใหญ่โดยสนทนามากับอ๊อดและฮ้อย 
“กูว่ามันไม่น่าจะเวริ์ค ถ้ากูเปลี่ยนไปเล่นฟรุ๊ตอาจจะดีกว่า” จุ๊ยว่า  แล้วก้มมองกล่องแซกโซโฟนในมือ
“เฮ้ย  เดี่ยวก็ยิ่งเละ ถ้าปรับไปอีกมีหวังพัง” ฮ้อยไม่เห็นด้วย
“แต่ทุกคนคาดหวังว่าจะได้ยินไอ้จุ๊ยเป่าแซก  มันก็น่าสนุกดีออก ถ้าไอ้จุ๊ยไม่เป่าแซก เป่าอย่างอื่นแทน” อ๊อดกล่าวอีกแง่
“เออ... กูก็ว่า  กูก็กะจะเป่าไอ้นี่มึงอยู่พอดี...” ว่าแล้วก็ตบลงไปบนเป้าอ๊อดดังป๊าบจนอ๊อดตัวงอ
“ไอ้สัตว์จุ๊ย” อ๊ฮดกัดฟันด่าด้วยความจุก
“เอาน่า... กูก็ทดลองดูก่อนว่ามึงตายด้านไหม ก็ไม่ด้านนี่หว่า  ใช้ได้”  เขาหัวเระคิกคัก
“พวกมึงก็เล่นกันอยุ่ได้... “ ฮ้อยติง
“นี่จะสอบอีกสองวันแล้ว นะเฟ..” ฮ้อยหยุดไปแค่นั้น  เพราะอาราอิเดินฉับๆมาถึง
 
ที่เบาะตอนหลังสุดบนรถเมล์ปรับอากาศ อาราอิยิ่งนั่งก็ยิ่งเบียดจุ๊ย
“เฮ้ยที่นั่งก็กว้างนายจะเบียดทำไม” จุ๊ยเอ็ดออกมาอย่างเหลืออด
“ไม่จนกว่าจุ๊ยจะอภัยให้” อาราอิยืนยัน
“อภัยอะไร  พูดบ้าๆ” จุ๊ยหันไปมองนอกหน้าต่าง
“ก็อภัยที่ฉันพูดไม่ดีกับจุ๊ยไง  ฉันขอโทษ  ตอนนั้นมันโมโห  ขอโทษน๊า” อาราอิทำเสียงอ้อน  แล้วทำท่าจะซบไหล่
จุ๊ยดันหัวออกไป
“ไปเลยไป  คนเยอะแยะ  ประเดี่ยวก็ได้ลงหน้าหนึ่ง”
แล้วจุ๊ยก็ถอนหายใจ
“ก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก เพราะนายก็พูดถูกนั้นหล่ะฉันมันยุ่งไม่เข้าเรื่อง  เรื่องของตัวเองก็ไม่รู้จักดูแลมัวแต่ไปยุ่งเรื่องคนอื่น”
“ฉันขอโทษ  ฉันโมโหน่ะ  นายก็รู้ว่าฉันมันสันดานเสีย โมโหร้าย” อาราอิเว้าวอน
“อย่าโกรธเลยนะนะ”
จุ๊ยก็เงียบหันไปทางอื่น
“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ”
อาราอิถอนหายใจ
“ฉัน คิดมาตลอดหลายวันเลยนะจุ๊ย  ว่าไปแล้วก็ไม่มีทางอื่นนอกจากทางนี้แล้วหล่ะ  แต่จะให้ฉันทำใจง่ายๆ มันไม่ได้หรอก  แม่ทำร้ายจิตใจพ่อหลายครั้งมากเลย  ฉันเองก็เหมือนกัน”
จุ๊ยหันมามอง
“จุ๊ยนายเข้าใจรึเปล่า  ว่าการที่โดนทำร้ายบ่อยๆ มันก็ฝังใจนะ  จะให้ทำใจมันยากเลยหล่ะ”
จุ๊ยถอนหายใจมองไปรอบๆก่อนจนแน่ใจว่าไม่ได้มีใครสนใจ จึงจับมืออาราอิ
“ฉันเข้าใจนาย  แต่นายก็ต้องเข้าใจคนอื่นด้วย  บางทีคนเราอาจมีเหตุผลกันไปคนละอย่าง  แต่ถ้าหากเราไม่รับฟังกันและกัน  มันก็จะกลายเป็นเราต้องหันหน้าหนีกันไปตลอด  ถึงยังไง นี่ก็คือครอบครัวของนาย  แถมแม่นายก็เป็นคนออกปากให้ความช่วยเหลือเองด้วยซ้ำ  ไม่มากก็น้อย แม่ของนายก็ยังคงรักพ่อของนายอยู่  ถ้านายบอกว่าแม่ทำร้ายพวกนาย  นายก็ควรจะให้โอกาสเขาได้ชดเชยบ้างไม่ใช่เหรอ”
อาราอิมองมือของจุ๊ยที่กุมมือตัวเอง
“ฉันก็เข้าใจแล้วไง... ฉันสัญญาจะพยายามทำดีกับเขาให้มากอีกนิด”
จากมุมที่ไม่ใครมองเห็น อารากุมมือจุ๊ยไว้แน่น  ทั้งสองเพียงสบตากันแต่ก็เปี่ยมความหมายเสียยิ่งกว่าการกอดอย่างแนบแน่นเสียอีก

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 53 : พายุลูกใหญ่ก่อตัวที่ปลายฟ้า
เด็กหนุ่มร่างเล็กผิวขาวจัดใน ชุดนักเรียนของโรงเรียนรัฐชื่อดัง นั่งอ่านนิตยสารเงียบๆอยู่หน้าตึกเรียนของคณะดุริยางค์   ตอนนั้นพวกเอกดนตรีสากลพึ่งจะจบจากการเรียนลงเดินลงมาเป็นกลุ่ม
“เฮ้ยเด็กหลงที่ไหนน่ะ น่ารักจัง”แหวนว่าแล้วชึ้ไปที่เด็กหนุ่ม
อ๊อดได้ยินก็หันไปมองตามมือแหวน
“ไอ้จุ๊ย  เมียน้อยมึงมา”
จุ๊ยทื่กำลังวิจารณ์เพลงใหม่ของศิลปินต่างประเทศให้อ้นฟังก็หันไปมอง
 
“วา” เสียงทำให้วาทิตตื่นตัว
พอเห็นเป็นจุ๊ย วาทิตก็รีบลุกขึ้นไหว้
“มาทำไมเนี่ย มาธุระเหรอ”
“โรงเรียนพามาดูละครน่ะครับ”  เขาตอบ
“ผมก็เลยมาที่นี่”
แล้ววาทิตก็มองไปบนตึก
“ปีหนึ่งยังไม่เลิกหรอก  วิชาของอาจารย์ปกรณ์  พี่เห็นตอนเดินผ่านมา  อาจารย์คนนี้สอนจนนาทีสุดท้าย” จุ๊ยกล่าวอย่างรู้เท่าทัน
“ไปหาอะไรกินกัน  พวกพี่นั่งกันอยู่ทางโน้น เดี่ยวพี่แนะนำให้รู้จักเพื่อนๆ  พี่ฮ้อยพี่อ็อดก็อยู่ไม่ต้องกลัว”
 
“วาเล่นแซก... ตัวแค่เนี่ยแบกแซกไหวด้วยเหรอ  พี่นึกว่าเล่นฟรุ๊ต  หรือไม่ไวโอลิน” แหวนส่งเสียงแหลม
“อ้าวแน่นอน นี่ศิษย์เอกผม” จุ๊ยอวด แล้วขยี้หัววาทิต
“เป็นไงหล่ะอย่าดูถูกนะ ตัวเล็กนี่หล่ะพลังลมเหลือกิน “
แหวนเลยเอามือมาจับมือน้อง
“จริงเหรอ  ดีจังพี่มีปัญหาเรื่องลมตลอดเลย  ไอ้จุ๊ยก็สอนไม่รู้เรื่อง  วาสอนหน่อยสิ”
วาทิตโดนจับมือและอ้อน อายจนหน้าขาวๆแดงเป็นลูกตำลึง
“เฮ้ยๆ” จุ๊ยปัดมือแหวนออกไป  แล้วดึงวาไปมาใกล้ตัว
“อย่าเลย  ไม่ต้อง  น้องคนนี้หวงเฟ้ย”
“พี่จุ๊ย” เสียงมาจากข้างหลัง  แล้วก็เดินฉับๆมาคว้าวาทิตมาจากจุ๊ย
“มันมากไปแล้วนะ  ผมบอกแล้วไงอย่ามายุ่งกับแฟนผม” 
อู๊ดก็โอบไหล่วาทิต แล้วพาเดินไป  วาทิตหันมาโบกมือบายบาย  ก็โดนอู๊ดเอ็ดอีก
“ไม่ต้องเลย”
 ทุกคนงงกัน  ไม่เว้นแม้แต่อ๊อดกับฮ้อย
“นี่มันอะไรวะจุ๊ย  ไหนว่าเมียน้อยมึง” หน่องถาม
“เมียน้อยกู แต่แฟนไอ้อู๊ด”จุ๊ยตอบยิ้มๆ
ฮ้อยทำหน้างง
“ไอ้อู๊ด... เฮ้ยอะไรวะ  ไอ้กวนๆ ดิบๆ เถื่อนอย่างมันเนี่ยนะ  เป็นแฟนน้องวา ไอ้สัตว์..อย่างกับบิวตี้แอนเดอะบีส”
“โอ้ยเจ็บปวด”แหวนหันไปกอดคอกับเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน
“ชะนีไทยไร้ที่ยืน”
“มายืนกลางใจผมก็ได้นะ” อ้นทำเสียงหล่อ  “รับรองผมไม่มีได้หลังลืมหน้าแน่นอน”
จุ๊ยหันมาเหล่...
“โถไอ้เวร หน้าอย่างมึงให้เกย์ยังเมิน  ใครเขาจะให้มึงได้หลังแล้วลืมหน้า”
“อ้าวจุ๊ย อย่าว่านะครับ ผมระดับเดือนโรงเรียนนะคร๊าบ” อ้นทำท่าเก็กหล่อต่อ
จุ๊ยหัวเราะแบบขืนๆ
“สงสัยโรงเรียนมึงนี่จะเป็นผู้หญิงหมดรึเปล่าวะ แล้วมีมึงเป็นผุ้ชายคนเดียวไอ้อ้น  ถุ๊ย”
เพื่อนหัวเราะกันสนุก
ระหว่างนั้นอย่างเนียนและเงียบๆ อาราอิก็มานั่งอยู่ด้วย 
อ้นหันไปเห็น
“อ้าว.. นั้นเมียน้อย  ไอ้เดฟเมียหลวง แล้วไอ้นี่ใคร”
จุ๊ยนิ่งอึ้งไป เพื่อนได้ทีจะล้อ
“ก็ผัวชาวบ้านไง  เมียกูที่ไหน” จุ๊ยไม่ยอมเสียทีสวนออกไปทัน
อาราอิยิ้มกับการแก้ตัวของจุ๊ย 
 
ฮ้อยนั่งกดโทรศัพท์ตลอด  แต่ก็เงยขึ้นมาฟังการสนทนากันระหว่างอาราอิกับจุ๊ย
“น้าทิพย์เป็นคนไปคุยกับพ่อเอง  ทีสุดท่านก็ยอมเข้ารักษา  แม่ก็เลยพึ่งจะโอนเงินก่อนใหญ่ไปให้  แต่ฉันก็ยังไม่ได้เจอท่านเหมือนกัน เพราะท่านไปต่างประเทศกับไ.. เทียน” อาราอิเกือบจะหลุดกล่าวคำนำหน้าเทียนออกมา
“แล้วน้าทิพย์ นี่หมายถึงผู้จัดละครใช่ไหม”  จุ๊ยถามแล้วก็หันไปยกขวดซอสชูเชิงถามกับฮ้อย อ๊อยโบกมือ  แล้วก็วางโทรศัพท์แล้วตั้งต้นกินสปาร์เก็ตตี้
“ท่านเป็นเพื่อนสนิทของแม่  แต่ในขณะเดียวกันก็สนิทกับพ่อ  เพราะท่านไปเรียนด้านการละครที่ญี่ปุ่น แล้วเจอกับเราที่นั้น  จริงๆ ฉันว่าพ่อกับน้าทิพย์อาจชอบกันนะ  แต่ท่านสองคนก็ไม่เคยเกินเลยจากความเป็นเพื่อน   แม่ก็รู้ดีก็เลยให้น้าทิพย์ไปลองคุยดู  ปรากฏว่าพ่อยอมรับความช่วยเหลือนั้น  แต่ก็พูดอยู่สองวันกว่าจะใจอ่อน”
พอดีหัวหอมทอดมาเสริพ อาราอิเลยตักให้ฮ้อยก่อน 
“แล้วไปหาหมอมาบ้างหรือยัง” จุ๊ยถาม
ขนมปังกระเทียมก็มาเสริพ  จุ๊ยก็เลยตักใส่จานฮ้อยไปอีกอัน
“ก็ไปล่าสุดนี่หล่ะ  ก็บอกว่าไม่มีอะไรคืบหน้า  เนื้อร้ายยังอยู่ในปริมาณเดิม”
แล้วลาซานย่าก็มา  ทั้งจุ๊ยและอาราอิก็พร้อมใจกันตักลาซานญ่าใส่จานฮ้อย
“แต่ก็นัดเข้าทำการรักษาครั้งแรกเดือนหน้า  ฉันก็อยากจะไปดูท่านนะ  แต่คิวมันเต็มเอี๊ยดเลย”
อาหารจานสุดท้าย ก็ยกมาคือซีซาร์สลัด  จุ๊ยทำท่าจะเอื้อมไปตัก
“เฮ้ยๆ” ฮ้อยร้องห้าม
“มึงดูจานกูบ้าง  นี่กูแดรกสปาร์เก็ตตี้อยู่ มึงสองคนตักใส่เอาใส่เอา  ดูสินี่ มึงดูสิว่ากูจะกินยังไง”
ทั้งคู่หันมาดูจานฮ้อยที่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด
“อ้าวก็ฉันกลัวนายเกรงใจ” อาราอิกล่าว
“กูก็กลัวเพื่อนจะอด” จุ๊ยว่าบ้าง
ฮ้อยส่ายหัวแต่ก็เลือกกินทีละอย่าง
 
พอออกมาจากร้าน ฮ้อยถึงกับต้องลูบท้องด้วยความอิ่ม
“มากับพวกมึงบ่อยๆรับรองกูกลายเป็นหมู”
“อย่างมึงจะกลัวอะไร  ขนาดหุ่นดีสเลนเดอร์..” จุ๊ยกล่าวลากเสียง
“อะแน่นอน” ฮ้อยทำท่าเบ่งกล้าม
“สาวแม่งยังเมิน  อ้วนไปก็ไม่ได้ต่างหรอกวะ” จุ๊ยต่อ เล่นเอาฮ้อยเหี่ยวไปทันตา
อาราอิกำลังถ่ายรูปกับแฟนละครใจกล้าที่เดินเข้ามาทักก่อนออกจากร้าน
“มึงจะคบกันแบบนี้ไปเรื่อยๆเหรอวะ” ฮ้อยกล่าว
จุ๊ยถอนหายใจ
“ก็ต้องทนเอานะ  บางทีเราก็ต้องทำใจใช่ไหมหล่ะ  ในเมื่อก็หลวมตัวไปแล้วนี่หว่า”
รอยยิ้มของจุ๊ยเมื่อมองอาราอิช่างมีความหมาย  เป็นรอยยิ้มเดียวกับที่ฮ้อยเคยเห็นมาก่อน  เป็นรอยยิ้มที่จุ๊ยไม่เคยให้ใครนอกจากพี่ไตร
 
อาราอิต้องเอาแว่นดำมาสวมอีก แล้วก็ใส่หมวกก่อนจะเดินไปจับจุ๊ยเพียงสองคนเพราะฮ้อยขอตัวกลับไปก่อนแล้ว
ระหว่างอาราอิกำลังยืนดูโมเดลเรือรบอยู่นั้นเอง จุ๊ยก็หันไปหันมาจนกระทั้งไปเจอหน้าคนคุ้นเคย
“นั้นแฟนเฮียตี้นี่หว่า” จุ๊ยกล่าว
“หือ” อาราอิส่งเสียงแล้วหันมา
“อ้อเจอคนรู้จักน่ะ แฟนพี่ชายจุ๊ย เดี่ยวมานะ”
อาราอิพยักหน้าแล้วก็กลับมาดูโมเดลเรือต่อ 
“จะซื้อดีไหมน๊า กลัวไม่มีเวลาต่อ” อาราอิพึมพำ
จุ๊ยเดินไปเกือบถึงตัวหญิงสาวที่ยืนอยู่คนเดียว  ทว่าเขาก็หยุดเสียก่อน  เมื่อมีผุ้ชายวัยกลางคนเดินมาสนทนาด้วยอย่างสนิทสนม
จุ๊ยจำได้แม่นยำว่าเขาคนนั้นคือใคร  จุ๊ยไม่มีทางลืมแน่นอน แม้จะไม่ได้เจอกันเกือบสิบปีแล้ว
เขาหยุดตรงนั้นเหมือนโดนแช่แข็ง
อาราอิที่ตัดใจจากเรือรบได้แล้วก็เลยเดินมาหา
พอเห็นจุ๊ยอาการแปลกๆก็เลยถาม
“เป็นอะไรน่ะจุ๊ย” อาราอิถาม
จุ๊ยสะดุ้ง  แล้วหันมาปฏิเสธก่อนจะดึงอาราอิให้เดินออกจากตรงนั้น


ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ตอนที่ 54 : Disband The Quartet Lover
จุ๊ยอยู่ในห้วงความคิดของเขากระทั้งถึงบ้าน  อาราอิจอดรถลงตรงลานจอดสาธารณะ กดล๊อกรีโมทล๊อกประตู
“เห็นไหม  เอารถอย่างนี้มาขับประหยัดกว่าตั้งเยอะ  แถมเวลาไปไหนมาไหน คนก็ไม่มอง  คนก็จำไม่ได้ด้วยว่าเป็นรถของนาย” จุ๊ยว่าแล้วมองรถคันใหม่ของอาราอิที่เป็นเก่งซีดานสี่ประตูสีดำสนิท
“แล้วไปเอามาจากไหน”
“ก็พอเอารถไปคืน  ป้าเพลงก็ให้คันนี้มาใช้แทน” อาราอิตอบ
จุ๊ยพยักหน้าแล้วเดินไปด้วยกัน
 
อาราอิสัมผัสได้ว่าเหตุการณ์ที่เขาเจอจุ๊ยยืนมองหญิงสาวและชายวัยกลางคนนั้น ต้องไม่ใช่ธรรมดา  เพราะตอนที่จุ๊ยกลับถึงบ้าน เขาก็เหมือนมีอะไรจะพูดกับป๊า แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
“อาราอิ นี่ลื้อไม่ต้องซื้อมาทุกครั้งก็ได้นะ  ไม่มีของมาฝากอั๊วก็ให้เข้าบ้าน” ป๊ากล่าวตอนที่นั่งลงที่โต๊ะอาหารมองกับข้าวสารพัดอย่าง
“ก็เห็นว่ามันน่ากิน  ผมก็เลยซื้อ  ถ้ากินไม่หมดก็เอาเข้าตู้เย็นไว้ก็ได้นะครับ กินได้หลายมื้อ” อาราอิตอบ  แล้วก็ตักขาหมูให้ไฮ้จุ๊ง
“อันนี้เป็นสาขาของร้านดัง  เขาพึ่งมาเปิดในห้าง ป๊าลองชิมดูครับว่าอร่อยไหม”
ไฮ้จุ๊งก็ตักชิม
“อร่อยนะ  แต่ไม่เหมือนที่เคยไปกินที่ร้านตรงบางรัก”
อาราอิยิ้ม
หันมาจุ๊ยพึ่งตักข้าวให้ตัวเองเสร็จ  นั่งลง
“พรุ่งนี้มีเรียนไหม” ไฮ้จุ๊งถามลูกชาย
“ไม่มีครับ  แต่ต้องไปงานตอนบ่าย แต่เย็นๆก็น่าเสร็จแล้ว”
“แล้วลื้อหละอาราอิ”
อาราอิต้องเอาโทรศัพท์มาเปิดตารางงานดู
“ไม่มีครับ ไม่มีงานด้วยครับ ป๊าจะให้ผมทำอะไรเหรอครับ”
“ก็วันครบรอบวันตายแม่ไอ้จุ๊ยยังไง  คงไม่ได้ลืมใช่ไหม” ไฮ๊จุ๊งหันมามองหน้าจุ๊ย
“ครับไม่ได้ลืม  ผมก็คิดจะเอาไว้ว่าจะซื้อของไหว้ตอนเช้าอยุ่แล้ว” จุ๊ยตอบแล้วก็กินข้าวไปเงียบๆ
 
พอจัดเรียงอาหารที่ซื้อมาจากตลาดบนโต๊ะแล้ว จุ๊ยก็หยิบธูปมาจุด  อาราอิก็เลยหยิบบ้าง
“อ้าวจะไหว้เหรอ” จุ๊ยถาม
“อ้าวทำไมหล่ะ  ก็ไหว้แม่จุ๊ยนี่” อาราอิทำหน้างง
จุ๊ยมองหน้าอาราอิ
“แล้วนายจะบอกแม่ฉันว่ายังไง ไหว้ฐานะอะไร”
อาราอิลากเสียงว่าก้ออ
“แฟนจุ๊ยไง” เขากระซิบข้างหู
จุ๊ยส่ายหัวอ่อนใจ
พอนั่งลงไหว้เสร็จแล้ว  อาราอิลุกก็ปักธูป  หันมาจุ๊ยยังคงพนมมือถือธูปไว้อย่างนั้น  ดวงตาหม่นหมองมองหน้ารูปถ่ายของแม่
อา ราอิไม่กล้าจะถาม  แม้จะรู้ว่าจุ๊ยผิดปกติ  แถมเมื่อคืนจุ๊ยยังเล่นแซกโซโฟนส่งเสียงเศร้าสร้อยออกมาในหางเสียงอย่างขัด เจน นอนก็นอนไม่ค่อยหลับ  ลุกไปนั่งที่โต๊ะหนังสืออยู่นาน กว่าจะกลับมานอนอีกครั้ง
จุ๊ยยังอยู่ในท่านั้นจนกระทั้งซัวเดินลงจากมาขั้นบน
“อ้าววันนี้ไหว้เหรอ” ซัวถามเอาจากอาราอิ เพราะจุ๊ยกำลังอยู่ในอาการอธิษฐาน
“อืม” อาราอิก็หันไปหยิบธูปมาจุดแล้วส่งให้
“ขอบใจนะเฮีย” ซัวกล่าว  ตอนนี้ซัวเรียกอาราอิว่าเฮียไปอีกคนหนึ่งแล้ว
พอซัวคุกเข่าลงจุ๊ยก็หันมามอง  ก่อนจะลุกไปปักธูป
จุ๊ยจุดธูปอีกชุดส่งให้

“ไหว้แทนเฮียด้วย  เฮียติดเคสกลับมาไม่ได้”
 
วันนี้แม้จะมีเรื่องให้คิดตลอดแต่เสียงแซ็กโซโฟนของจุ๊ยก็ยังคงคุณภาพ  เรียกเสียงปรบมือดังสนั่นเหมือนเคย
เมื่อลงจากเวที  เขากลับสังเกตได้ว่ารุ่นพี่ดูผิดปกติไป
“เฮ้ยเป็นอะไรพี่ๆ  ทะเลาะกัน  แย่งพริ๊ตตี้กันหรือไง” จุ๊ยถามขณะเก็บแซกโซโฟนลงกล่อง
ฐามองหน้าเพื่อนๆ
“จุ๊ย” ฐาเดินมานั่งข้าง
“ปีหนึ่งผ่านมาเนี่ย  พวกกูก็ยอมรับนะว่าวงของเรามีรายได้มาก  มันเพราะมึงนั่นล่ะดูดงานเข้ามา”
จุ๊ยมองหน้ารุ่นพี่ที่ละคน
“นี่พี่จะไล่ผมออกเหรอ” จุ๊ยถามตามใจคิด
“เปล่า”  ปานเดินมากอดคอ   โย่งก็นั่งข้างๆ
“พวกเราจะเลิกแล้วว่ะจุ๊ย” ฐาอธิบาย
“คือปีนี้พวกเราเรียนหนัก แล้วก็มีโปรเจคคอนเสริ์ตด้วย  พวกเราก็คงไม่มีเวลามาเล่นแล้ว  งานนี้ก็งานสุดท้ายแล้วนะ”
จุ๊ยพยักหน้าเข้าใจ
“แต่ไม่ได้ห่วงนะเฟ้ย  พวกเราก็ไม่ได้ทิ้งมึง  พวกเราหางานใหม่ให้แล้ว  พวกเราไปปรึกษากับพี่สรรค์ พี่แกก็กว้างขวางในวงการอยู่แล้ว  แกก็เลยแนะนำว่ามึงกับไอ้อ๊อด แล้วก็ฮ้อยน่าจะรวมวงกัน  เพราะพวกมึงเล่นด้วยกันมานานมาก  น่าจะเข้าขากันดี” ฐากล่าวต่อไป
“เดี่ยวพี่เขาก็คงโทรติดต่อมา  ส่วนอ๊อดมันก็คุยกับไอ้ฮ้อยเรื่องนี้อยู่ ส่วนมึงก็รอเฉยๆ  เพราะมึงน่ะลอยตัวอยู่แล้วใครๆก็อยากได้มึง”
“ขอบคุณมึงมากนะเว้ย  มึงทำให้พวกเรามีงานเยอะขนาดนี้  แล้วก็ช่วยพวกกูพัฒนาด้วย  เล่นกับมึงนี่มันสุดๆ  กว่าพวกกูจะเอาอยู่นี้พวกกูรู้สึกเก่งขึ้นอีกเยอะเลยล่ะ” โย่งกล่าว
“ขอบใจนะเฟ้ย”
จุ๊ยยิ้ม มองพี่ๆทั้งสามที่ละคน

“ผมก็เหมือนกันพี่  ผมก็เรียนรู้เพิ่มขึ้นมากเหมือนกันครับ”
 
“อืม ก็สลายวงไปสินะ” อาราอิสรุปความ
“อืม... น่าเสียดายเนอะเราเล่นกันเข้าขาดีแล้วแท้ๆ” จุ๊ยถอนหายใจ
“แต่เขาก็ฟอร์มวงใหม่ มีอ็อด มีฮ้อย  พวกนี้ไม่เข้าขากับจุ๊ยดีกว่าเหรอ” อาราอิถาม
“มันก็เข้ากันได้ดีอยู่แล้วแล้วหล่ะ ปัญหาคือไอ้ฮ้อยจะเอาด้วยไหมเท่านั้น  ฮ้อยบ้านมันมีฐานะ  ไม่ต้องดิ้นรนเหมือนพวกเรา” จุ๊ยตอบ แต่ไม่วายจะยิงมุก
“ไอ้ฉันมันก็มีฐานะ... แต่ฐานะยากจนนะ  เลยต้องดิ้นรน”
อาราอิยิ้ม
“เฮ้ย ใจเย็นๆ  บางทีฮ้อยเองก็อาจอยากลองก็ได้นะ  แต่เพราะจุ๊ยไปกับพวกฐา ส่วนอ๊อดก็ไปเล่นกับวงอื่น  ตอนนี้จะเอามารวมตัวกัน  เขาอาจจะสนใจก็ได้”
จุ๊ยหันมามองหน้าอาราอิ
“แต่ถ้าไม่เล่น จุ๊ยก็ขาดรายได้เลยนะ  เดี่ยวเงินไม่พอใช้ต้องยืนขายตัวแถววังสราญรมภ์เลยนะ”
อาราอิหัวเราะสั้นๆดังหึๆ
“งั้นฉันจะไปเหมาทุกคืนเลย”
“อ้าวแล้วถ้านายไม่มาทำไง  เจอเกย์กล้ามเป็นมัดๆจุ๊ยไม่แย่เหรอ”
“เอาน่า จะได้คล่องๆ”
“ขี้คล่องล่ะไม่ว่า..”
“อ้าวไม่ชอบเหรอ”
“ก็ชอบนะ  แต่กลัวประเภทขอให้หมู่อะไรอย่างนี้  เคยดูหนังโป๊ไหมสองอันหนึ่งรู... ตายๆๆ ไม่อยากจะคิด”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 55 : สายน้ำปั่นป่วน
อาราอิกำลังเล่าให้จุ๊ยฟังเรื่องแคสงานละคร ตอนที่ทั้งคู่กำลังเดินมาถึงหน้าบ้านของจุ๊ย
จุ๊ยล้วงจะหยิบกุญแจ แต่ทว่า
“คำถามอั๊วยากไปหรือไง ตี้  อั๊วถามว่านี่แฟนลื้อใช่ไหม”
จุ๊ยชะงัก  อาราอิก็หยุดไปด้วย
ตี้มองภาพถ่ายที่บิดาเอามาวางบนโต๊ะ  เธอคือแหวนแฟนสาวของเขาอย่างแน่นอนที่สุด
“เราสองคนรักกันป๊า  ไม่ว่ายังไงเราก็รักกันจริงๆ”
ไฮ้จุ๊งปกติจะมีบุคลิกเงียบขรึม แต่วันนี้กลับเกรี้ยวกราด
“รักกัน...” ไฮ้จุ๊งเข่นเสียงประชด
“ลื๊อไปรักกับลูกไอ้พ๊งได้ไง  นั้นมันไอ้พ๊ง  ไอ้สารเลวที่ทำเรื่องเลวๆกับอั๊ว กับอาม๊าของลื้อ”
อาราอิหันมามองหน้าจุ๊ย  เสียงของไฮ้จุ๊งไม่ได้ดังจนได้ยินกันชัดเจนสำหรับเขาแต่ก็จับใจความได้
แต่เขาคิดว่าหูของจุ๊ยต้องชัดเจนแจ่มแจ้ง
“ป๊านี่มันลูก นั้นมันพ่อ  อีกอย่างเจ๊กพ๊งเขาก็ขอโทษกับเราแล้วด้วย  ตอนนี้เขารู้แล้วด้วยว่าตี้คบกับแหวน  เขาไม่ได้ว่าอะไรสักคำ  แถมยังดีกับตี้อีกต่างหาก” ตี้แย้ง
“ก็มันจะเยาะเย้ยอั๊วอีกไง.. มันจะได้หัวเราะเยาะอั๊วได้เต็มที่  ที่ได้ทั้งเมีย แถมได้ลูกชายคนโตอย่างลื้อไปอีกคน” ไฮ้จุ๊งสวนกลับทันที
อาราอิเห็นจุ๊ยตัวสั่น  น้ำตากำลังอาบลงมาที่แก้ม
“ป๊าจะหมกหมุ่นกับตรงนี้นานแค่ไหน  ทั้งหมดมันคือความผิดของป๊าด้วย  ถ้าป๊าไม่ติดนักร้อง จนม๊าต้องออกไปตามหา  เรื่องมันจะเกิดรึเปล่า  เจ็กพ๊งจะมีโอกาสข่มขีนม๊าไหมเล่า” ตี้ตอบโต้ออกไปอย่างรุนแรง
“ไอ้ตี้” บิดาลุกขึ้นยืนอย่างลืมตัว
 “ไอ้ตี้ ไอ้เก๊าเจ๊ง” แล้วไฮ้จุ๊งก็บันดาลโทสะ ตบหน้าตี้ไปหนึ่งครั้ง
ตี้สะบัดหน้ากลับ
“เอา เลย ป๊าจะตีตี้ให้ตายก็ได้  แต่ตี้จะไม่เลิกคบกับแหวน  เจ๊กพ๊งกับแหวนเป็นคนละคน  ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความผิดของเจ๊กเลยแม้แต่นิดเดียว” เขาคำราม
“ป๊า น่ะเห็นแก่ตัว  จริงตอนนั้นเจ็กพ๊งก็ออกมารับผิดชอบแล้ว  เขาก็บอกว่าจะรับผิดชอบจุ๊ย  จะเอาจุ๊ยไปเลี้ยง  แต่ป๊าก็ไม่ยอม  แล้วป๊าต้องการอะไร  ป๊าก็ได้ลูกของเขาไว้แล้วไง  ป๊าก็ใช้มันงกๆตั้งแต่เด็ก มันก็ทำตัวดี เป็นเด็กดีกับป๊า  ป๊ายังไม่พอใจอีกเหรอ  ป๊าต้องการอะไรอีก  จะให้เจ๊กพ๊งมาฆ่าตัวตายต่อหน้า  ป๊าถึงพอใจหรือไง”
“รับผิดชอบ ไอ้คนไร้มนุษยธรรมอย่างมันหรือจะรับผิดชอบ  มันมีเมียอยู่แล้วยังมายุ่งกับเมียชาวบ้าน  นี่หรือคนมีความรับผิดชอบของลื้อ” ไฮ้จุ๊งย้อนถาม
“แล้วมันต่างอะไรกับป๊า  ป๊าก็ไปติดนักร้อง  ป๊าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นม๊าเสียใจแค่ไหน  ถึงอั๊วจะแค่สามขวบแต่อั๊วก็จำได้  เจ๊กพ๊งอาจจะผิด แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับป๊าหรอก” ตี้ตอกกลับน้ำตาเริ่มเอ่อออกมา
“ป๊าน่ะห่วงแต่ตัวเอง  ถ้าป๊ารู้จักมองความผิดของตัวเองบ้าง  ป๊าก็คงไม่รั๊งไอ้จุ๊ยไว้  เพราะป๊าก็รู้ดีว่าเจ็กพ๊งอยากได้ตัวจุ๊ย ยี่อี้เล่าให้ผมฟังหมดแล้วว่า เจ็กพ๊งน่ะอยากได้ตัวจุ๊ยมาก เพราะเขารักม๊าแล้วก็เลยรักไอ้จุ๊ยด้วย  ถึงขนาดมากราบเท้าป๊าขอตัวมันไป  แต่ป๊าไม่ให้  ป๊าคิดอะไร  ป๊าต้องการแก้แค้นเขาด้วยไอ้จุ๊ยอย่างนั้นใช่ไหม”
“ไอ้ตี้  หยุดพูดได้แล้ว  เดี่ยวไอ้จุ๊ยก็กลับมาแล้ว  เรื่องของลื้อเอาไว้คุยกันที่หลัง” ไฮ้จุ๊งได้สติขึ้นมา  เพราะเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาสามทุ่ม
ตี้ยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ป๊าคิดว่าจุ๊ยมันไม่รู้อย่างนั้นสิ”
อาราอิเอาขยับเข้าไปใกล้จุ๊ย เอามือจับที่บ่าของจุ๊ยที่กำลังสั่นเหมือนหนาวเหน็บ
“มันรู้เรื่องทุกอย่าง  มันเป็นคนถามเรื่องนี้จากม๊าเอง ม๊าก็เลยเล่าให้มันฟังเพราะไม่รู้จะทำยังไง.. ทุกวันนี้ป๊านึกว่ามันอยู่บ้านนี้เพราะรักป๊าหรือไง  มันอยู่เพราะม๊าบอกให้มันอยู่  บอกให้มันชดเชยทุกอย่างแทนพ่อจริงๆของมัน  มันถึงได้อยู่  มันถึงได้ทำงานทุกอย่าง รับผิดชอบทุกอย่าง ดูแลผมกับน้องๆ ถึงขนาดไม่ยอมไปต่างประเทศ  ก็เพราะมันต้องการชดเชยป๊าแทนพ่อของมันไง”
อีกด้านหนึ่ง โดยการแอบลงมาฟัง  ซัวก็ห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้เหมือนกัน เขาต้องปาดน้ำตาซ้ำๆ
ไฮ้จุ๊งทรุดลงนั่งเหมือนเดิม
แล้วก็ไม่มีคำพูด
“ผมจะแต่งงานกับแหวน  ผมจะไม่ยอมเลิกเพราะความคิดเห็นแก่ต้วของป๊า  ถ้าป๊าไม่ชอบ ป๊าก็ต้องเลือกเอา  ว่าจะให้ผมไปจากที่นี่ ไม่กลับมาอีก หรือจะเลิกทิฐิบ้าๆของป๊าสักที” ตี้ยื่นคำขาด ตามสิ่งที่เขาเตรียมตัวมาเพื่อเผชิญหน้ากับบิดา  แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้
“อย่านะเฮีย” จุ๊ยออกเสียงไป  แล้วเขาก็ไขประตูบ้านเปิดเข้าไป
“อย่านะเฮีย  เฮียคือความหวังของป๊า  อย่าทำอย่างนี้เลย  เฮียไม่รู้หรอกว่าที่ป๊าทำไปก็เพื่อเฮียทั้งนั้น”
ทั้งบิดาและพี่ชายหันมา
ตอนนี้จุ๊ยน้ำตาอาบแก้มจนชุ่ม
แล้วจุ๊ยก็เดินมาคุกเข่าลงต่อหน้าบิดา
“ป๊า ผมขอร้อง ป๊าอย่าบังคับเฮียอีกเลย  ถ้าป๊ายังโกรธ  ป๊าตีผมเถอะตีให้ตายเลยก็ได้  แต่ป๊าอย่าทำอย่างนี้  อย่าทำร้ายตัวเอง  อย่าทำร้ายเฮียเพราะเรื่องนี้อีกเลยนะครับป๊า.. ผมขอร้อง”
ไฮ้จุ๊งไม่ตอบ  หันไปทางอื่น
“พอแล้วจุ๊ย” ตี้จับบ่าจุ๊ย
“เฮียก็ทนไม่ได้แล้วเหมือนกัน  ตลอดเวลาเฮียต้องทำโน่นทำนี่ตามใจเขามาโดยตลอด  ขนาดอยากจะเรียนยังต้องเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ  แกด่าเฮียว่าอกตัญญูก็ได้ แต่นี่มันเกินไปแล้ว  เฮียจะไม่ทน  พอสักที” แล้วตี้ก็หันไปหยิบกองเอกสารของตัวเอง
“ดูตัวเองนะจุ๊ย  แล้วก็อย่าไปทำตามใจเขามาก  เขาไม่ได้รักใครหรอกนอกจากตัวเขาเอง”
“เฮีย” จุ๊ยคว้ามือตี้เอาไว้
ตี้ชะงักแต่ก็สะบัดแล้วก็วิ่งออกไป
“เฮีย เฮียอย่าไป เฮีย”จุ๊ยลุกตามตอนนี้เขาร้องไห้ราวกับเด็กๆ  วิ่งตามออกมา ทว่าด้วยความรีบร้อนจึงสะดุดกับรางประตูเหล็กแล้วล้มลง
อาราอิรีบเข้าไปประคองไว้
ตี้หันมามองเห็นจุ๊ยในอ้อมกอดอาราอิ
“ฉันฝากน้องด้วยอาราอิ  ดูแลเขาแทนฉันด้วย” แล้วตี้ก็เดินจากไป
จุ๊ยจะลุกวิ่งตาม แต่ข้อเท้าของเขาแพลงเสียแล้วจึงล้มลงเหมือนเดิม แต่ก็ทำท่าจะลุกขึ้นอีก  อาราอิก็เลยเข้ามารั้งจุ๊ยไว้
“จุ๊ยอย่า ไม่ได้นะจุ๊ย”
จุ๊ยจึงกอดอาราอิไว้แน่น  แล้วปล่อยโฮออกมา
 
อาราอิเป็นนักคาราเต้  การปฐมพยาบาลตัวเองเขาต้องทำอยู่บ่อยๆ  ดังนั้นข้อเท้าของจุ๊ยที่อาราอิพันไว้ด้วยผ้าอีลาสติกจึงดูเรียบร้อยดี  เขาเอาหมอนข้างรองขาข้างนั้นด้วยให้เท้ายกขึ้นสูง
จุ๊ยนั่งมองอาราอิปฐมพยาบาลตัวเองจนเสร็จ
แล้วเขาก็มานั่งข้างจุ๊ยบนเตียง
“นายนี่น่ารักจังเลยน๊า  มินานามิจัง ขนาดมีคนใหม่แล้วก็ยังอดรักนายไม่ได้”
อาราอิหัวเราะหึๆ
“เรื่องของฉันกับนามิจังน่ะมันยังมีอะไรอีกมาก  นามิจังเขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงเรียบร้อยอย่างหน้าตา  เป็นสาวไฟแรงสูง แล้วก็ประเภทอยากได้ก็ต้องได้”
“เอ้ยพูดอย่างนี้ไม่ได้  มันน่าเกลียดยังไงเขาก็เป็นผู้หญิง” จุ๊ยปราม
อาราอิหันมามองหน้า
“นายก็สุภาพบุรษจังเลยน๊า  มินาทั้งออยทั้งหลิวถึงได้รักนัก รักหนา”
จุ๊ยหัวเราะหึๆบ้าง
แต่ก็เงียบไปทั้งคู่
“ขอบใจนะ  เราสองคนเริ่มจากการที่เจอกัน  ฉันปลอบใจนาย  นายก็บอกว่านายประทับใจฉันจากตรงนั้น  แต่เจอกันอีกทีฉันกลับต้องให้นายดูแล นายอยู่ด้วยทุกทีเวลามีปัญหาหนักๆ เรื่องวันนี้ ถ้าไม่มีนายอยู่ด้วยฉันอาจรับไม่ไหวก็ได้นะ” จุ๊ยกล่าวแล้วพลุบตาลงต่ำ
อาราอิเอามือจุ๊ยมากุมไว้

“ไม่หรอกนายเป็นคนเข้มแข็งออก  ถ้าเป็นฉัน  ฉันคงทำอะไรได้เลย  แต่นายนี่รู้ก็รู้มานานหลายปี  ก็ยังทนได้  แถมแสดงออกอย่างน่ายกย่องอีกต่างหาก  นายทำให้ฉันรู้สึกเลยว่าปัญหาของฉันมันช่างเล็กน้อย  ถ้าเทียบกับสิ่งที่นายต้องเผชิญตลอดมา”
จุ๊ยยิ้ม
“จริงๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น  เพราะแม้ป๊าจะไม่ใช่พ่อ แต่ป๊าก็ดูแลฉันดีนะ  ตอนฉันหกขวบเคยป่วยหนักมาก  อาม๊าก็ไม่อยู่เพราะไปเฝ้าไข้อากงที่ระยอง  ป๊ายังอุ้มพาฉันวิ่งไปโรงพยาบาลที่อยู่ไกลเป็นกิโลๆ  ตอนนั้นฉันเห็นเลยว่าป๊ารักฉันมาก  ฉันก็เลยไม่เคยเอ๊ะใจสักนิดว่าป๊าไม่ใช่พ่อของฉัน”  แล้วจุ๊ยก็ถอนหายใจ
“แต่เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งอาม๊าไปได้รางวัลจากงานนิทรรศการ เป็นตรวจสุขภาพฟรีทั้งครอบครัว  เราก็ได้รู้กันหมดบ้านว่าใครกรุ๊ปเลือดอะไร  ซึ่งเป็นคราวเดียวกับรู้ว่าม๊าเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดด้วย พอรู้อย่างนี้ฉันกับเฮียก็เลยค้นเรื่องเลือดกันใหญ่  แต่ดันไปเจอเรื่องของเกี่ยวกับกรุ๊ปเลือด”
“ป๊า เลือดกรุ๊ปโอ  ส่วนม๊ากรุ๊ปเอ  เฮียกรุ๊ปโอ  ไอ้ซัวกรุ๊ปเอ  ส่วนฮัวกรุ๊ปโอ  แต่ฉันดันเลือดกรุ๊ปเอบีอยู่คนเดียว  ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ถ้าพ่อแม่เลือดกรุ๊ป โอ กับ เอ”
อาราอิต้องพยายามทำความเข้าใจ เพราะเขาก็ห่างชีววิทยามานานมาก
“ฉันก็เลยถามอาม๊าตรงๆ”
จุ๊ยยังจำได้ดี  เรื่องในวันนั้น..
 
เขาลังเลอยู่นานมากกว่าจะเข้าไปหาอาม๊าที่นอนอยู่ในห้องนอน  อาม๊าตอนนี้ดูอ่อนแอลงไปมาก  ต้องนอนแทบจะทั้งวัน 
“มีอะไรรึเปล่าจุ๊ย  จุ๊ยเหมือนอยากจะพูดอะไรใช่ไหม” ม๊าถามขึ้น  เพราะอย่างไรเขาก็เป็นลูก  ความผิดปกติเล็กๆน้อยๆของจุ๊ยย่อมปิดบังสายตาของเธอไม่ได้
จุ๊ยนั่งลงข้างๆเตียง เอามือจับมือมารดา  ตอนนี้มารดาผิวกร้านและผอมจนแทบจะเหลือหนังหุ้มกระดูก
“อาม๊า วันนี้จุ๊ยไปถามอาจารย์ที่โรงเรียนมา  คือจุ๊ยสงสัยว่าทำไมจุ๊ยเลือดกรุ๊ป AB อยู่คนเดียว”
มารดามีแววตาหม่นลงอย่างชัดเจน จนจุ๊ยเริ่มลังเลจะพูดต่อ
“เล่าต่อสิจุ๊ย” มารดากล่าว
จุ๊ยสูดลมหายใจลึกๆ
“อาจารย์ ไม่รู้หรอกว่าเป็นจุ๊ย เพราะจุ๊ยบอกว่าแค่ถามเฉยๆ แต่ท่านบอกว่า คนที่มีเลือดกรุ๊ปเอ กับ โอ จะแทบไม่มีทางมีลูกที่เลือดกรุ๊ป เอบีได้เลย”
ทั้งสองคนนิ่งไปนาน  จนจุ๊ยตัดสินใจถอดใจยิ้มกลบเกลือน
“แต่มันก็แค่แทบจะ  ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไม่ได้เลยนี่  อาจารย์เคยบอกว่าจุ๊ยหูดีกว่าคนอื่น  เป็นคนหนึ่งในหมื่น เลือดของจุ๊ยเลยอาจเป็นแบบนั้นก็ได้ แบบว่าแปลกว่าคนอื่น” 
“จุ๊ยรักป๊าไหม” อาม๊าถาม
จุ๊ยพยักหน้า
“ถ้าจุ๊ยไม่ใช่ลูกอาป๊าล่ะ  จุ๊ยจะยังรักอาป๊าอีกไหม”
จุ๊ยอึ้ง... เด็กวัยแค่สิบสามปีกำลังจะได้รับฟังความจริงที่น่าตกใจ

มารดา เล่าว่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง  ตั้งแต่ต้นเหตุคืออาป๊าไปติดนักร้องแล้วก็ไม่กลับบ้านหลายวัน  อาม๊าร้อนใจจนต้องขอร้องให้เจ๊กพ๊งพาไปตามหา  แต่ว่าไม่คิดว่าเจ๊กพ๊งจะคิดไม่ซื่อและข่มขืนเธอ  ต่อมาพอป๊ารู้เรื่องก็ได้สติ  แล้วกลับมา  แต่ไม่นานหลังเหตุการณ์ อาม๋าก็ท้องจุ๊ย  ทั้งป๊าและม๊าต่างรู้แก่ใจว่าจุ๊ยไม่ใช่ลูกของป๊าแน่นอน
จุ๊ยได้ฟังก็เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหมุนเหวี่ยงกลับตาลปัตร 
“จุ๊ยอย่าเกลียดป๊านะ  เพราะคนที่ผิดคือม๊าเอง ถ้าม๊า..” มารดาเอามือจับแขนจุ๊ย
“ไม่หรอกครับ ม๊าไม่ผิด” จุ๊ยตอบออกมา
แล้วหนุ่มน้อยก็ลุกขึ้น
“ม๊าครับ  ผมจะทำตัวเป็นคนเดิม  ผมจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เพราะยังไง คนที่เลี้ยงจุ๊ยมาก็คือป๊า  ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นเสียหน่อย”
 
“ตอนนั้นฉันอยู่ม.หนึ่งเองนะ  สับสนเลยหล่ะ  แต่ก็เลี้ยงฉันมาไม่ใช่เหรอ  ฉันก็เลยคิดได้ว่าเออ นะ ป๊าก็รักเรานี่น่า ขนาดฉันไม่ใช่ลูกเขา  ฉันก็เลยได้สติ  ต่อมาพอม๊าจะตายก็สั่งเสียให้ฉันดูแลครอบครัวแทนท่าน  ฉันก็เลยทำตามนั้น  เพราะต้องการตอบแทนที่ป๊าเลี้ยงดูฉันมา เฮียตี้ที่ไม่เคยรังเกียจฉันด้วย แถมฮัวกับซัวก็รักฉันมาก”
จุ๊ยถอนหายใจอีกรอบ
“ส่วนเรื่องพ่อ ตัวจริงของฉัน  ฉันก็รู้จากคนอื่นอีกทีว่าเขาเป็นเพื่อนรักของป๊า  แล้วแอบชอบแม่ของฉัน  แต่แม่ของฉันเลือกป๊า  เขาก็เลยแต่งงานไปกับผู้หญิงคนอื่น  ฉันคิดว่าเขาเป็นคนไม่รับผิดชอบคนหนึ่ง.."
"แต่ที่ไม่เคยรู้ก็คือเขาเคยมาขอฉันกลับคืนไป “
จุ๊ยแล้วก็ซบลงบนบ่าอาราอิ
“ตอนนี้  ฉ้นควรทำยังไงดีอาราอิ  ฉันจะทำยังไงเพื่อทำให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้  ฉันสงสารป๊าก็จริงแต่ก็สงสารเฮียด้วย  จะทำยังไง ให้เรื่องมันจบลงด้วยดี”
อาราอิก็เลยกอดจุ๊ยไว้แนบอก

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 56 : เกินทนได้
หยุดไปวันเดียว จุ๊ยก็ต้องมาเรียนโดยอาราอิต้องวนรถมาจอดที่หน้าตึกคณะ
“อ้าวเฮ้ย... ไปทำอะไรมาวะ  ขาเดี้ยง  เล่นท่ากันผิดจังหวะหรือไง” อ๊อดทักแต่ก็รีบลุกมาหมายจะมาช่วยจุ๊ย
แต่พอมาในรัศมี จุ๊ยยกไม้เท้าแทงเข้ากลางเป้า
“พ่อมึง”
ฮ้อยมองอ๊อดล้มลงตัวงอ แล้วก็หัวเราะหึๆเย้ย ก่อนจะเข้าไปช่วยเพื่อนต่อจากอาราอิ
“ตอนเลิกกี่โมง ฉันจะได้มารับ” อาราอิถาม
“บ่ายสอง  แต่ไม่ต้องก็ได้  ไอ้สองคนนี้อยู่เดี่ยวก็ช่วยจุ๊ยได้” จุ๊ยตอบ
“ใคร.. อยากช่วยมึง.. ไอ้เหี้ยจุ๊ย  แซวหน่อยเดี่ยวพ่อมึงเล่นกล่องดวงใจกู” อ๊อดลุกมาทำหน้าบอกชัดว่ายังจุก  แถมกุมเป้าไว้ด้วย
“ไอ้สัตว์ก็มึงปากหมาก่อน” จุ๊ยตอบโต้
“ไปแล้วนะ มีเทส” อาราอิกล่าวแล้วก็เดินกลับไปที่รถ  มองกลับมาก็เห็นจุ๊ยคุยกับเพื่อน  เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ  เขาถอนหายใจแล้วก็ออกรถ
 
จุ๊ยใช้ไม้ค้ำยันกระย่องกระแย่งเดินลงบันได เพราะเป็นชั่วโมงที่ควิส แต่อ๊อดกับฮ้อยยังทำไม่เสร็จ 
แต่พอลงมาถึงก็มีคนหนึ่งมารอรับ
“เป็นไงบ้างนี่  มาสิเฮียดูให้” ตี้กล่าวหลังจากพอจุ๊ยมานั่ง  เขาย่อตัวลงไป
“ใครทำให้เนี่ย  ใช้ได้เลยนะ”  แล้วเขาก็ลุกไปเปิดกระเป๋าอุปกรณ์แพทย์ที่สะพายมาด้วย  แล้วจัดการทำการเปลี่ยนผ้าให้
จุ๊ยมองพี่ชายจัดการกับข้อเท้าของเขาอย่างมืออาชีพ
“เฮียครับ  จุ๊ยอยากให้เฮียกลับไปคุยกับป๊า  ผมไม่อยากให้ครอบครัวเราเป็นแบบนี้เลย”
ตี้หยุดมือนิดหนึ่งก่อนจะพันผ้าต่อ
“จุ๊ย  ปัญหามันไม่ได้มาจากเฮีย  เฮียว่าเฮียไม่ได้ทำผิด  เราสองคนรักกัน  แต่ป๊าเองต่างหากที่ทิฐิมาก  ถ้าป๊าเลิกทิฐิเมื่อไหร่เราค่อยกลับไปคุยกันดีๆ”
จุ๊ยถอนหายใจ
“แต่เฮีย...” จุ๊ยจะแย้ง
“อย่าเลยจุ๊ย พอแล้ว เฮียไม่อยากจะพูดถึงอีก  ให้จุ๊ยพูดยังไง เฮียก็ยืนยัน” ตี้ตัดบท
 
ขาของจุ๊ยดีขึ้นสองอาทิตย์จนเดินได้เกือบปกติแล้ว  แต่ก็พันข้อเท้าเอาไว้ตามคำสั่งของเฮียตี้  กระนั้นเขาก็เริ่มต้นทำงานบ้านไปตามปกติ   หลายวันมานี่ บ้านบรรยากาศอึ้มครึมมาก  ความสบายใจช่วงเดียวคือตอนที่อยู่กับอาราอิสองคนในห้อง  แต่สองวันมานี่ อาราอิก็มีงานที่ต่างจังหวัดก็เลยไม่ได้มา
ตอน นี้ป๊าถามคำตอบคำ  ส่วนซัวก็ออกจากบ้านทันที่ที่จัดร้านเสร็จ  แล้วจะกลับเข้ามาก็ตอนเก็บร้าน แล้วก็คุยกันไม่กี่คำก็ขอตัวไปนอนโดยอ้างว่างานที่ร้านสะดวกซื้อหนักมากขึ้น เพราะมีพนักงานโดนพักงานไปสองคน
จุ๊ยลากเก้าอี้มานั่งหน้าบ้านเหมือนทุกวันที่เขาอยู่เฝ้าร้าน  โดยกำลังสนทนากับหลิวผ่านไลน์
เธอเล่าให้ฟังว่าเรียนหนักมาก  และคงไม่ได้กลับมาในปีนี้  แต่จะกลับมาในช่วงคริสต์มาสปีหน้าเลยทีเดียว
จุ๊ยก็บอกให้รักษาสุขภาพให้ดี
แล้วระหว่างที่พิมพ์โต้ตอบกัน  เขารู้สึกว่ามีคนมายืนหน้าเขา
จุ๊ยนึกว่าลูกค้าเลยเก็บโทรศัพท์แล้วเงยหน้าขึ้นทักทาย
แต่กลายเป็นว่าเขาต้องนิ่งไป  รอยยิ้มที่เตรียมไว้สำหรับลูกค้าหดหาย
“จุ๊ย” ผู้ยืนตรงหน้าเรียก
 
จุ๊ย นึกอยากให้อาราอิกลับมาจากต่างจังหวัดเสียตอนนั้น  แต่ก็เป็นไปไม่ได้  จึงได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองไป  เขารินน้ำออกมาให้แขกผู้มาเยือนซึ่งนั่งเผชิญหน้ากับป๊าโดยมีแค่โต๊ะบัญชี กั่นตรงกลาง
จุ๊ยเอาน้ำให้แล้วก็เดินออกไปนั่งที่เดิมโดยพยายามไม่หันไปมอง
“ลื้อมาทำไม” ไฮ้จุ๊งถามเสียงเย็น
พ๊งหัวมองหน้าเพื่อนสนิทที่ต้องแตกแยกกันไปก่อนจะตอบ
“อั๊วจะมาคุยกับลื้อให้รู้เรื่อง  เรื่องของเราเป็นเรื่องของเรา  ไม่เกี่ยวกับเด็ก เด็กสองคนจะรักกันมันก็เรื่องหนึ่ง ความขัดแย้งของเรามันก็อีกเรื่อง” น้ำเสียงของพ๊งหัวเข้มและจริงจัง 
“ที่ ลื้อพูดนั่นมันลูกชายอั๊ว  แต่ไหนแต่ไร  มันไม่เคยกระด้างกระเดื่องแต่ตอนนี้มันทำอะไร กล้ามาชี้หน้าต่อว่าอั๊ว ถ้าไม่มีคนเสี้ยมสอนมันจะกล้าเหรอ” ไฮ้จุ๊งตอบโต้แต่เสียงยังนิ่งอยู่
พ๊งหัวถอนหายใจ
“ลื้อนี่มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่วัยรุ่น จนโตก็ไม่เคยเปลี่ยน  ลื้อมันหัวรั้น  แล้วก็คิดแต่ตัวเองเป็นหลัก”
“ตี้ มันลูกหรือเป็นอะไร ลื้อถึงได้เอาแต่ใจบังคับมันให้ทำโน่นทำนี้  ตามใจลื้อ  จะบอกว่าหวังดี  มันก็ใช่ แต่ลื้อต้องลองนึกถึงใจมันบ้าง  มันอยากจะมีอิสระ  แต่จะทำอะไรลื้อก็ค้าน ลื้อก็ไม่ได้  อย่างที่มันอยากเป็นวิศวกร ลื้อก็บอกว่าไม่ดีให้เรียนหมอ  ตอนนี้มันรักกับแหวนลื้อก็เอาเรื่องเก่าของเรามาอ้างไม่ให้มันคบ  ลื้อนี่มันเผด็จการจริงๆ”
“แต่มันเป็นลูกอั๊ว  ลูกอาเหม่ย... ลื้อคิดว่ามันควรจะญาติดีกับคนที่ทำร้ายจิตใจแม่มันเองหรือเปล่า” ไฮ้จุ๊งตอบโต้ทันควัน
พ๊งหัวนิ่งไป ก่อนจะตอบออกมา
“พูด อย่างกับลื๊อไม่ได้บังคับจิตใจอาเหม่ย  เราสองคนมันก็เลวพอๆกัน  ที่จริงเรารู้ดีแก่ใจว่า อาเหม่ยชอบถนอม  แต่ลื้อก็ยังกล้าไปข่มเหงน้ำใจอี แล้วก็มัดมือชกไปเอาผู้ใหญ่ที่ครอบครัวของเหม่ยนับถือไปบีบให้ยกเหม่ยให้  เหม่ยก็ต้องยอม เพราะเป็นของลื้อไปแล้ว”
จุ๊ยเกือบทำโทรศัพท์ที่กำลังพิมพ์คุยไลน์กับอาราอิหลุดมือตกลงไป  แม้จะตกใจ แต่เขายังมีสติบ้างขืนตัวไม่ให้หันไป
“ลื้อหุบปากเดี่ยวนี้” ไฮ้จุ๊งเสียงดังขึ้น  แต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์
“ทำไม... กลัวจุ๊ยมันจะรู้เหรอ.. ก็ให้มันรู้ไปเลยว่าคนที่มันเรียกป๊ามันน่ะเป็นคนยังไง  ลื้อจะโกรธอั๊วที่ทำร้ายเหม่ย อั๊วก็ยอมรับผิด แต่ลื้อหล่ะ  ยอมรับไหมว่าก็ทำเหมือนกัน  เพราะถ้าไม่ทำ  ป่านนี้เหม่ยคงไปอยู่กับถนอมแล้ว  และอาจดีกว่ากว่าอยู่กับลื้อ  เป็นแม่บ้านทำงานงกๆ “
“ไอ้พ๊ง” ไฮ๊จุ๊งลุกขึ้นยืน
“ทำไม หรือพูดไม่จริง  ไม่อย่างนั้นอาเหม่ยจะอยากให้จุ๊ยเรียนดนตรีทำไม  มันแสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าอาเหม่ยไม่เคยตัดใจจากถนอมได้เลย  แต่เพราะเหม่ยเป็นผู้หญิงดี  ถึงได้ทนอยู่กับลื้อ  แถมยังสอนให้ไอ้จุ๊ยให้ปรนนิบัติลื้ออย่างดี” พ๊งหัวลุกขึ้นเผชิญหน้า
“พอแล้วครับ  สองคนเลิกทะเลาะกันสักที” เสียงจุ๊ยดังขึ้น
ทั้งสองหันมา
จุ๊ยยืนกำหมัดแน่น จนสั่น
“พอ แล้ว  ให้เกียรติอาม๊าด้วย  สองคนจะทะเลาะอะไรกันก็เรื่องของพวกป๊า  อย่าเอาม๊าเข้าไปเกี่ยว  และอย่าเอาพวกเราเข้าไปเกี่ยว  พอสักที”
แล้วจุ๊ยก็หันหลังวิ่งออกจากร้านไป
“จุ๊ย” พ๊งหัวขยับจะตามไป  แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางจะทัน
ไฮ้จุ๊งก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้
 
อาราอิกำลังจะบ้า เพราะหลังจากข้อความสุดท้ายที่คุยกันแล้ว  เขาก็ไม่ได้ข่าวจากจุ๊ยอีกเลย  เขาขอลางานจากผู้กำกับ  แล้วรีบเดินทางกลับกรุงเทพเพื่อมาหาจุ๊ย  แต่นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วที่จุ๊ยหายไป 
ไม่ใช่แค่เขา  แต่ครอบครัวของจุ๊ย เพื่อนๆของจุ๊ย รวมทั้งพ๊งหัวเองก็หัวหมุนกับการตรวจสอบและออกตามหา 
แต่แม้จะหากันแทบพลิกกรุงเทพแล้ว  แต่ก็ไม่วี่แวว  ประกาศออกโซเชียลมิเดียกก็แล้วก็ไร้ผล  โทรศัพท์จุ๊ยก็ปิดทิ้ง หรือไม่ก็แบตตารี่หมดไปแล้วตั้งแต่วันแรก
“เฮียเขามีเงินติดตัวไปด้วยนะ  เพราะผมไม่เจอกระเป๋าสตางค์ของเฮียในห้อง” ซัวกล่าวแล้วถอนหายใจยาว
“เขาอาจจะไปต่างจังหวัด  แต่ปัญหาคือจังหวัดในประเทศมี77จังหวัด  จะไปหาที่ไหนก่อนดี”
อ๊อดกอดอก พยายามคิด แต่ก็คิดไม่ออก
ตอนนี้พวกเขาที่เป็นรุ่นเด็กมาประชุมกันอยุ่ในร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟู๊ตแห่ง หนึ่งที่ใช้เป็นจุดนัดพบหลังจากแยกกันออกไปตามหาจุ๊ยมาทั้งวัน
“เรา ก็ไปกันหมดทุกที่แล้วนะ  ตรวจสอบสายการบินก็แล้ว  แต่ก็ไม่มี  ผมพยายามใช้เส้นสายของพ่อก็แล้ว  แต่ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้มาก  เหมือนกับจุ๊ยหาย.. ไปเฉยๆ” เดฟจะพูดคำสุดท้าย  ก็เหลือบมองหน้าอาราอิก่อน เพราะตอนนี้อาราอินั่งหน้าเครียดอยู่
ฮ้อยถอนหายใจยาวเหยียด 
“มันจะไปอยู่ไหนได้อีกนะ  นี่ฉันก็โทรถามทุกคนแล้วนะเนี่ย”
อัศวะก็ถอนหายใจตามมาติดๆ
“พยายามคิดว่าไอ้จุ๊ยมันเคยบอกว่าที่ไหนมันประทับใจ  แต่ก็นึกไม่ออก”
ตี้มองหน้าทุกๆคน  แล้วหันมาสบตากับแหวน
“เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผมแท้ๆ” ตี้ทิ้งกายกับที่นั่งอย่างอ่อนแรง
แหวนก็จับมือเขาไว้
ซัวมองภาพนั้นก่อนจะกล่าว
“มันไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนั้น  สำคัญเราต้องหาตัวเฮียจุ๊ยให้เจอ”
อาราอิยังไม่ได้พูดอะไร  แต่เขาเอาโทรศัพท์มาดูเนื่องจากได้รับข้อความจากทางกองถ่ายเรื่องนัดคิวใหม่
ก็เลยเปิดดูเฟสบุ๊คดูต่อ แต่เป็นการเลื่อนลงไปอย่างไม่มีจุดหมาย
แต่แล้วก็มีข้อความส่งเข้ามาทางเฟสบุ๊ค

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด