บทที่ 30.1 มือที่กอบกุมไว้
เหตุการณ์ยังคงชุลมุนวุ่นวาย จะหันไปทางใดก็มีแต่การต่อสู้ไม่หยุดหย่อน แต่เดิมทีพิภพสวรรค์ถูกแบ่งเป็นสี่เขตแดน โดยในแต่ละเขตแดนจะมีผู้บัญชาการที่นำโดยเหล่าผู้อาวุโสเทพทั้งสาม ซึ่งผู้อาวุโสเทพหวางจื้อดูแลฝั่งทิศเหนือ ผู้อาวุโสเทพเทียนสีดูแลฝั่งทิศใต้ และผู้อาวุโสเทพเจิ้งผิงดูแลฝั่งทิศตะวันออก
หากแต่ยังมีอีกเขตแดนหนึ่งที่ยังคงไร้ผู้รับผิดชอบนับตั้งแต่ขาดเฟยหลงเป็นต้นมา และอาจเป็นเพราะพิภพสวรรค์สงบสุขมานาน เหล่าอาวุโสเทพทั้งสามจึงเพียงผลัดเปลี่ยนดูแลเขตแดนทางด้านนี้อยู่เรื่อยมา ทว่าตอนนี้ดูจากคุณสมบัติ บุคลิกภาพ ความเฉลียวฉลาด ทั้งความเป็นผู้นำแล้ว ผู้อาวุโสเทพทั้งสามต่างลงความเห็นให้บุคคลผู้นี้ เป็นผู้บังคับบัญชาการเหล่าทหารเทพทางเขตแดนฝั่งทิศตะวันตกเป็นการชั่วคราว
ชายหนุ่มชุดเกราะสีขาวเต็มยศยืนอยู่บนกำแพงเมืองในเขตแดนทางตะวันตกอย่างสงบ สมองประเมินมองสถานการณ์สู้รบตรงหน้าอย่างใจเย็น ผิดกับคนข้างกายราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
“เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ ทำไมไม่บุกตะลุยไปให้มันจบสิ้น โอ๊ย ไม่สะใจข้าสักนิด” ไป๋เซ่อในร่างมนุษย์ร่ำร้องอยากจะกระโจนเข้าไปร่วมสู้ด้วยปานใจจะขาด แต่ก็ทำได้แค่เพียงยืนคุ้มกันเจ้ามนุษย์ผู้นี้เท่านั้น
“นี่เป็นการรบ เจ้าคิดว่าจะตีใครก็เข้าไปตีง่ายๆรึ เห็นรึไม่ ทัพหนุนปีศาจมารอแต่ไกลนู่นแล้ว หากเราหละหลวมไม่ตั้งรับดีๆ พวกมันได้บุกทะลวงมาแน่” ซวนหยวนหมิงไท่สวนตอบอย่างรวดเร็ว
ไป๋เซ่อรับฟังแล้วก็เถียงไม่ออก ทำได้เพียงร้องลั่นกระทืบเท้าไม่พอใจ “อ๊ากกก ข้าจะลงแดง”
“เอาเถิด คราวหน้าเจ้าอยากจะตีใคร ก็ตีเลย ข้าจะไม่ห้ามแม้แต่คำเดียว” เขากล่าวกับอีกฝ่ายอย่างไม่ใคร่ใส่ใจมากนัก
ทว่าไป๋เซ่อถึงกับหันขวับมองอีกฝ่ายแล้วแค่นยิ้มเหี้ยม สองตาเบิกค้างอย่างน่ากลัว ในใจขบคิด...ข้าจะตีเจ้าเป็นคนแรกเลยคอยดู
“แต่ห้ามตีข้าเป็นพอ” จู่ๆซวนหยวนหมิงไท่ก็หันมากล่าวอีกประโยค ไป๋เซ่อจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดูว่าสายตาเขาคงโจ่งแจ้งไปหน่อย ครั้งหน้าคงต้องระวังให้มากกว่านี้
“เป็นอย่างไรบ้าง” นางฟ้าชิงเซียงเดินเข้ามาหาคนทั้งสองพลางมองดูสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเป็นกังวล
“ยังไม่น่าวิตกเท่าใด ยังดีที่ท่านมาแจ้งข่าวเรื่องต้าเซียน พวกทหารเทพจึงมีกำลังฮึกเหิมขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า” ด้วยเป็นเพราะกำลังพลของทหารเทพเองก็มิได้สูญเสียไปมาก สามารถปะทะกับกองทัพปีศาจได้อย่างมิต้องวิตก แต่กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ไม่คิดประมาท เฝ้ารักษาประตูเขตแดนเป็นสำคัญ “ทางด้านผู้อาวุโสเทพทั้งสามเล่าเป็นเช่นใดบ้าง”
“พวกเขายังคงแบ่งรับแบ่งสู้กันอย่างแข็งขัน ดูไม่น่าเป็นกังวลเท่าใดนัก” นางฟ้าชิงเซียงกล่าวจบก็เผลอสะดุดตาเข้าที่พลังขุมหนึ่งซึ่งพุ่งทะยานทะลุฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ
พริบตานั้นไป๋เซ่อตะโกนก้อง “ทุกคนหาที่กำบังเร็ว” พร้อมกันนั้นยังกระโจนเข้าใส่ซวนหยวนหมิงไท่และนางฟ้าชิงเซียงจนล้มลงไปกับพื้น ก่อนจะพากันคลานมาหลบอยู่ที่หลังกำแพงด่าน
เหล่าเทพที่อยู่ด้านล่างเองก็ชะงักงัน ครั้นได้สติก็พากันหาที่กำบังกายอย่างรวดเร็ว ผิดกับเหล่าปีศาจที่ต่างงงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น แลกว่าที่พวกมันจะรู้สึกตัวก็สายเกินไป เสียงระเบิดดังครืนใหญ่ คลื่นพลังหนักหน่วงถาโถมรุนแรง ทั้งแผ่กระจายเป็นระลอกคลื่น คนที่หาที่กำบังไม่ได้ต่างก็ปะทะเข้ากับกระแสพลังสีน้ำเงินอย่างน่าเวทนา
ความมืดทาบทับดวงตะวันจนหมดสิ้น บังเกิดเป็นความเงียบสงัดจนน่ากลัว แม้กระทั่งเสียงลมหายใจก็มิอาจได้ยิน แสงสีน้ำเงินแลบขึ้นคราหนึ่งก็หายไป ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ ไป๋เซ่อ และนางฟ้าชิงเซียงที่หมอบอยู่กับพื้นต่างมองสบสายตากันชั่วครู่ จากนั้นจึงตัดสินใจลุกขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ทหารเทพตนอื่นๆที่เริ่มทยอยออกมาจากที่กำบังอย่างงุนงง
แต่ในขณะนั้นเองพื้นที่ยืนกลับสั่นคลอนโดยแรง ทำเอาคนทั้งหลายซวนเซไปคนละทิศ เสียงร้องอลหม่านดังไปทั่ว จนกระทั่งทุกอย่างสงบลง ทุกคนก็เหงื่อตกทอดถอนใจ แต่ยังมิทันจะหายใจเข้าออกเต็มที่ วิบากกรรมก็มาต้อนรับพวกเขาอีกครา ความวุ่นวายบังเกิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องด้วยใครจะคาดคิดว่าจะต้องประสบภัยกับพายุหมุนที่หนักหนาสาหัสลูกนี้
เหล่าผู้อาวุโสเทพทั้งสามเองก็รีบเหาะเหินมายังเขตแดนฝั่งตะวันตก พอหยั่งฝีเท้าลงพื้นแล้วก็รีบร้องเตือน “สมดุลบิดเบี้ยวแล้ว ทุกคนรีบออกห่างจากที่นี่โดยเร็ว”
เทพเซียนทั้งหลายได้ฟังแล้วสีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ยังมิทันได้กะพริบตาที่ด้านหลังก็ปรากฏเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ แรงดึงดูดมหาศาลก่อตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ดอกไม้ ไม่เว้นแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ต่างพากันทยอยถูกดูดกลืนเข้าไปจนหมดสิ้น
โชคร้ายของเหล่ากองทัพปีศาจที่อยู่ใกล้กับหลุมดำมากที่สุด จึงเป็นฝ่ายถูกดูดกลืนกินหายลับไปในหลุมกว้างนี้ไปก่อนใครเพื่อน ด้านแม่ทัพปีศาจที่เห็นว่าต้องสูญเสียไพร่พลไปมากมายเช่นนี้ ต่างก็ไม่สนการสู้รบอีก พวกมันพากันหลบหนีกันอย่างจ้าละหวั่น
ทหารเทพที่เฝ้าประตูเองก็มิได้นิ่งดูดาย ต่างช่วยกันเปิดประตูด่านรับเอาเหล่าทหารเทพที่อยู่ด้านนอกเข้ามายังด้านในกันอย่างชุลมุน เช่นเดียวหลุมดำที่ไม่รอช้า มันขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเพิ่มแรงดึงดูดขึ้นหลายระดับ ทำให้กำแพงเขตแดนเริ่มมีท่าทีจะทลายลง
“รีบหนีเร็ว” ท้ายที่สุดทหารเทพซึ่งยืนอยู่บนกำแพงด่านร้องขึ้นเมื่อกำแพงด้านหนึ่งทลายลง ทุกคนต่างพากันเหาะเหินหลบไปอย่างเร็วรี่ แต่ทว่าบรรดาสิ่งของที่ถูกลอยสวนกลับมา กลับกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นต่อการหลบหนี ซ้ำร้ายบางคนหนีจนไม่ทันระวังมอง ถูกสิ่งของกระแทกหน้า เป็นเหตุให้ผิดท่าถูกดึงดูดเข้าไปยังหลุมดำอย่างน่าสงสาร
ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ซวนหยวนหมิงไท่พลันมองหาบุคคลที่พึ่งโต้วาจา นับตั้งแต่เกิดพสุธาสั่นคลอนต่างคนต่างก็พลัดกันไปคนละทิศละทาง แม้แต่นางฟ้าชิงเซียงก็หายไป กระทั่งเห็นไป๋เซ่อทะเล่อทะล่าวิ่งเข้ามาหา เขาก็วางใจขึ้น ทว่า...
จู่ๆขาของไป๋เซ่อก็สะดุดเข้ากับแจกันโบราณซึ่งเผอิญกลิ้งอยู่บนพื้น ดูเซ่อซ่าอย่างไม่น่าเชื่อ ยังผลให้ร่างเพรียวหน้าคะมำ ตัวเริ่มลอยละลิ่วออกไป เขารีบทะยานตัวเข้าหาตวาดร้องบอก “ไป๋เซ่อ เจ้านี่ช่างสะดุดได้เวลาดีจริงๆ”
“เจ้ากล้าเย้ยหยันข้าเรอะ ข้าจะกัดเจ้า แฮ่” ไป๋เซ่อตวาดกลับ แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ที่ส่งมาให้
ซวนหยวนหมิงไท่เบิกตากว้างอย่างแปลกใจ ดูท่าอีกฝ่ายคงลืมไปแล้วว่าอยู่ตกสถานการณ์เลวร้ายเพียงใด แลไม่นานทั้งสองก็ทนแรงดึงดูดไม่ไหว ร่างเริ่มหมุนเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ แต่กระนั้นมือก็ยังคงจับกันไว้อย่างเหนียวแน่น
ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งถูกแรงพัดผ่านมา ดูแล้วน่าจะชนพวกเขาเข้าอย่างจัง ทั้งคู่ได้แต่จ้องมองกันตาปริบๆ ต่างคิดในใจ ดูท่าชะตากรรมไม่แคล้วเลวร้าย โชคดีที่มีเงาร่างสีขาวปราดเปรียวกระโดดตัวขึ้นสูง ก่อนจะปลดปล่อยฝ่ามือหนึ่งเข้าใส่ เสียงเปรี้ยงดังคราหนึ่งต้นไม้ก็แยกออกเป็นสองส่วน ทำให้ท่อนไม้ลอยผ่านตัวพวกเขาไปอย่างฉิวเฉียด
ที่ด้านหลังเสื้อถูกจับหมับอย่างแน่นหนา ก่อนจะรู้สึกว่าร่างถูกดึงไปยังทิศทางตรงข้ามกับแรงลมขนานใหญ่ เงาร่างสีดำนั้นทะยานตัวต้านทานแรงดึงดูดอย่างเต็มที่ จากนั้นจึงพาคนทั้งสองไปยังพื้นที่ๆปลอดภัยโดยเร็วที่สุด
“เจ้ามาช้า เซียวถิงฟง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเหน็บแนมทันทีที่ฝีเท้าลงสู่พื้น
“ฮ่า ฮ่า แต่ก็มาทันได้ฟังพวกเจ้าเถียงกันได้อย่างงี่เง่าพอดี” เซียวถิงฟงสวนกลับ ทำเอาไป๋เซ่อกระโดดเหยงๆชูหมัดเข้าใส่ แต่แล้วเสียงโห่ร้องอย่างดีใจก็ปรากฏขึ้น
“ท่านมหาเทพมาแล้ว พวกเรา เฮ” ทหารเทพคนหนึ่งร้องตะโกนด้วยเสียงอันดัง ส่งผลให้ทหารเทพตนหยุดชะงัก เหลียวกลับมามองบุคคลที่พวกตนเคารพที่สุด ก่อนจะพากันโห่ร้องดีใจ ต้าเซียนรับฟังเสียงดังกล่าวก็บังเกิดเป็นความรู้สึกตื้นตัน ไม่นานนักผู้อาวุโสเทพทั้งสาม รวมถึงนางฟ้าชิงเซียงต่างก็เหาะเหินเข้ามาที่ข้างกาย
“ท่านมหาเทพ พวกเราควร...อ๊าก นั่นมันบันทึกลับประวัติพิภพสวรรค์ของข้า” ผู้อาวุโสเทพเจิ้งผิงยังมิทันกล่าวจบก็ต้องแผดเสียงร้องดังลั่น อีกทั้งทะยานตัวเข้าไปรวบรวมเศษกระดาษที่ปลิดปลิวเข้ามาหลบซ่อนในสาบเสื้อของตนเองอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาต้าเซียนชมดูอย่างตกตะลึงก่อนจะยอบกายหลบกระถางดอกไม้ที่ลอยดิ่งตรงมายังศีรษะ
“โอ๊ย ดูนั่นสิหลังคาตำหนักมาแต่ไกลแล้ว หลังซ่อมคงต้องหมดงบไปเยอะแน่ๆเลย โอย ข้า...ข้าจะเป็นลม” ผู้อาวุโสเทพหวางจื้อร้องโอดครวญพลันเหาะเหินอย่างซวนเซ จ้องมองดูหลังคาตำหนักที่ลอยผ่านไปต่อหน้าต่อตาด้วยใบหน้าเคล้าน้ำตา
ผู้อาวุโสเทพเทียนสีได้ทีก็รีบกล่าวเสริม “ท่านหวางจื้อ ท่านดูทางนั้นเตาหลอมโอสถวิเศษของท่านมาแล้ว” กล่าวจบก็พุ่งตัวหลบไปอีกทาง เหลือเพียงเสียงร้องโหยหวนของอีกฝ่ายไว้
ทว่าก็มีน้ำเสียงของคนผู้หนึ่งกล่าวสืบต่อ “อาวุธที่ท่านชอบสะสมก็มาแล้วเช่นกัน” เห็นอาวุโสเทพเทียนสีทำตาเหลือก ผู้อาวุโสเทพเจิ้งผิงก็หัวเราะชอบใจ
“สวนท้อของข้า กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ตั้งแต่ข้ากลับมายังไม่ได้ลิ้มรสเลย โฮ อย่าพึ่งปายย” เสียงร้องของไป๋เซ่อเองก็ดังตามกระแสลม ดีที่เซียวถิงฟงกับซวนหยวนหมิงไท่กระโจนจับอีกตัวเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะพุ่งปราดออกไป
ต้าเซียนชมดูก็ถึงกับส่ายหน้า ดูแต่ละคนแล้วมิได้มีทีท่าว่ากังวลใจไปกับสมดุลบิดเบี้ยวที่อยู่ไม่ไกลเลยสักนิด คล้ายไม่รู้อยากจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“พวกท่านลืมไปแล้วรึไง หากมิรีบกันปิดหลุมดำ พวกท่านได้หมดตัวแน่” กลับกลายเป็นนางฟ้าชิงเซียงที่หมดความหมดทน นางตวาดก้องด้วยน้ำเสียงที่ดุราวกับแม่เสือ ทำเอาทุกคนต่างชะงักงันได้สติขึ้นมา
ต้าเซียนไม่รอช้ารวบรวมพลังไว้ที่สองมือ พลังสีทองขุมหนึ่งค่อยๆขยับขยายขึ้น จากนั้นจึงซัดมันไปยังหลุมดำที่อ้ากว้าง พลังตรงดิ่งเข้าไปยังใจกลางก่อนจะเกิดเป็นระเบิด ตามมาด้วยแสงสีทองที่แล่นวาบขึ้นคราหนึ่ง ซึ่งพลังดังกล่าวส่งผลให้เกิดเป็นลมหมุนคว้างหลายลูกตีปะทะกันในหลุมดำ มันหดตัวเข้าเล็กน้อยแต่ก็มิใช่ว่าจะหายไปอย่างสิ้นเชิง
“.......” ทุกคนต่างพาเงียบกริบทั้งยังชำเลืองมองหน้ากันเหงื่อตก...ครานี้หมดตัวแน่แท้
กระนั้นต้าเซียนยังคงไม่สิ้นหวัง ตั้งท่ารวบรวมพลังเข้าใหม่ ผู้อาวุโสเทพทั้งสาม นางฟ้าชิงเซียง รวมถึงเหล่าเทพเซียนอื่นๆต่างก็เข้ามาประจันหน้ากับหลุมดำ รวบรวมพลังกันเข้าช่วยอีกแรง
พลังจากหลายฝ่ายถูกซัดออกไปยังหลุมกว้าง เกิดเป็นเสียงระเบิดดังขึ้นจากภายในไม่หยุดหย่อน ความบิดเบี้ยวของหลุมสีดำฉายให้เห็นชัดถึงความผิดปกติ แต่แล้วแสงสีขาวหนึ่งก็พุ่งสะท้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว เทพเซียนทั้งหลายต่างก็ตาเบิกค้าง จากนั้นจึงปะทะถูกคลื่นพลังนี้กระเด็นออกไปไกล
แรงปะทะผลักดันให้ต้าเซียนลอยกระแทกเข้ากับผนังกำแพงด้านหนึ่งที่ยังไม่ถูกดูดกลืนไป เซียวถิงฟงเห็นดังนั้นก็ตกใจรีบปราดเข้าหา พยุงร่างน้อยขึ้นมา แต่ยังมิทันได้กล่าวถามอาการ สุ้มเสียงนุ่มทุ้มก็พลันแทรกขึ้นมาก่อน
“เกรงว่าต้องปิดจากด้านใน” ต้าเซียนกล่าวพร้อมทั้งจ้องไปยังหลุมดำตาไม่กะพริบ
ผิดกับเขาที่สัมผัสได้ถึงความวูบโหวง เหงื่อเย็นเยียบไหลรินแนบแก้ม “หากเข้าไปในนั้นจะเป็นเช่นไร ใช่กลับออกได้รึไม่” เซียวถิงฟงเค้นเสียงถาม สองมือกระชับที่ไหล่บางไว้แน่น นับตั้งแต่ดูความเป็นไป เขาไม่เคยเห็นสิ่งใดที่กลับออกมาจากหลุมปริศนานั่นได้เลย
“.......” ต้าเซียนไม่ตอบ เนื่องเพราะตนก็ไม่ทราบ สมดุลที่ถูกทำลายครั้งเมื่อพันปีก่อนนั้น ปิดลงได้เพราะพลังของเขา หากแต่ครานี้นับว่ารุนแรงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า อาจเป็นเพราะประจวบเหมาะกับอิทธิพลของอัสดงที่ถูกความมืดกลืนกิน
“ไม่ได้ ข้าไม่ให้เจ้าไป” เซียวถิงฟงโพล่งออกมา ความกลัวแล่นกอบกุมในจิตใจ...หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า แล้วข้าจะทำเช่นไรกันเล่า
“ถิงฟง ข้าจำเป็นต้องไป” ต้าเซียนกัดฟันฝืนกล่าวอย่างลำบากใจ นี่เป็นภาระที่เขาต้องรับผิดชอบ มิอาจละเลยไปได้
“เช่นนั้นข้าจะเข้าไปด้วย หากเจ้าเข้าไปแล้วกลับออกมามิได้ ข้าก็จะขอไม่กลับออกมาเช่นกัน” เซียวถิงฟงลั่นวาจาด้วยสีหน้าปราศจากความลังเล เขาไม่มีวันปล่อยให้ต้าเซียนต้องเข้าไปเผชิญกับอันตรายเพียงลำพัง
ได้ฟังน้ำเสียงที่ดื้อดึง ต้าเซียนก็เหมือนกลืนก้อนสะอึก สองมือรั้งใบหน้าของชายหนุ่มไว้ ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตอย่างลึกซึ้ง ซึมซับเอาความรักความอ่อนโยนไว้ในใจ เก็บซ่อนหยาดน้ำตาคลอนั้นไว้ จากนั้นจึงพูดขึ้นที่ริมหูของชายหนุ่ม
“เพียงพอแล้วสำหรับข้า ได้รู้สึกถึงคำว่ารักเช่นนี้ นับว่าคุ้มค่าแล้ว”
เสียงกระซิบนุ่มทุ้มถูกกล่าวที่ข้างหู แต่แล้วฝ่ามือหนึ่งกลับฟาดเข้าที่ด้านข้างลำคอ ทั่วทั้งร่างบังเกิดเป็นอาการชาเสียดื้อๆ สองมือคลายออกจากร่างน้อยอย่างมิจำใจ ไม่เว้นแม้แต่เข่าที่ทรุดฮวบลงกับพื้น
“ไม่ อย่าไป ต้าเซียน” เซียวถิงฟงพยายามร้องห้าม แต่กระนั้นต้าเซียนกลับเหาะเหินไกลออกไป “ต้าเซียน เจ้าต้องกลับมา รับปากข้า”
“.....” เสียงตะโกนนั้นพลันไล่หลัง ทว่าต้าเซียนก็มิได้ตอบรับ ทั้งหันกายจากไปอย่างแท้จริง
สองตาของเซียวถิงฟงแดงก่ำ กายของเริ่มสั่นสะท้าน ราวกับในอกถูกคว้านลึก กระทั่งแลเงาร่างสีขาวกระโจนหายไปยังหลุมกว้างต่อหน้าต่อตา เขาก็คำรามก้อง
**************************************************
ต่อเมื่อเหาะเหินมายังหน้าหลุมดำ ต้าเซียนก็กระโจนเข้าไปอย่างไม่หวาดหวั่น แม้ด้านหลังจะมีเสียงร้องเรียกสักเท่าใดก็มิอาจห้ามเจตนารมณ์นี้ได้
ครั้นมาถึงก็สังเกตเห็นแต่ความมืดมิด ไร้ซึ่งขอบเขตอันเป็นที่สิ้นสุด ทั้งดูว่างเปล่าเสียจนน่ากลัว บรรยากาศกดดันจนแทบหายใจไม่ออก ต้าเซียนรู้สึกอึดอัดไปทั่วทั้งร่าง พริบตานั้นก็พลันได้ข้อสรุปถึงสองข้อ
หนึ่ง หากยังรอช้า ร่างของเขาต้องสลายไป มิอาจปิดทางเข้านี่ได้ทัน
สอง หากใช้พลังทั้งหมดปิดปากทางเข้าหลุมดำนี้แล้ว ดูว่ายังมิทันจะฝ่าออกไป ด้วยพลังในกายที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ย่อมมิอาจทนแรงกดดันได้ ไม่พ้นต้องสูญสลายในที่สุด
ร่างน้อยคิดแล้วก็เหยียดยิ้มขึ้น ผุดนึกถึงใบหน้าของร่างสูง นิ้วมือเลื่อนสัมผัสที่ริมฝีปาก เกรงว่าข้าคงมิอาจกลับไป ข้าขอโทษ...ถิงฟง
เปลือกตาบางค่อยๆปิดลง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นสม่ำเสมอ สองมือซ้ายขวารวบพลังไว้อย่างเต็มกำลัง หากว่าปล่อยไปแล้ว เขาก็จะไม่มีตัวตนอยู่อีก แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดจะเลิกล้ม สองมือเริ่มยกขึ้นหันไปทางปากทางเข้า ก่อนจะเลิกดวงตาสีน้ำตาลทองที่เปล่งประกายขึ้นอีกครา
เพียงแต่ว่าฝ่ามือยังมิทันไม่ปลดปล่อยพลัง ก็พลันแลเห็นแผ่นหลังกว้างในชุดเกราะสีทองที่ยืนขวางกั้นอยู่ตรงหน้า สองมือถึงกับชะงักงัน เขาเปล่งเสียงร้องด้วยความงุนงง “เฟยหลง”
เฟยหลงมิได้ตอบรับ ก่อนหน้านี้เห็นเงาร่างสีขาวกระโดดเข้าไปยังภายในหลุมดำก็บังเกิดความเข้าใจ ท่านมหาเทพต้องการปิดสมดุลจากทางด้านใน แต่หากทำเช่นนั้นมิใช่เป็นการเสียสละหรือ สิ่งที่เขาก่อจำเป็นต้องให้ร่างเล็กชดใช้แทนกระนั้นหรือ คิดได้ดังนั้นเขาก็มิยินยอม ฝีเท้ากระโจนตามท่านมหาเทพเข้าไปหลุมดำทันที
พลังขุมสุดท้ายถูกปลดปล่อยออกไปแล้ว ไม่นานเสียงระเบิดก็ดังขึ้นกึกก้อง ส่งผลให้เกิดเป็นกระแสลมแรงตีกันปั่นป่วน จนมิอาจควบคุมร่างกายได้อีกต่อไป ต้าเซียนได้แต่ปล่อยให้ตนเองลอยคว้างไปตามสายลม จนทระทั่งเหลือบไปเห็นแสงสว่างเล็กๆที่สาดส่องเข้ามายังปากทางเข้า พร้อมทั้งหลุมดำที่ขยับเล็กลงอย่างรวดเร็ว
คล้ายว่าครั้งนี้ประสบผล สมดุลเริ่มคงที่แล้ว เห็นเช่นนี้ ต้าเซียนก็เบาใจลง ทว่าใจก็กลับมาฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง พลังเขายังมิทันปลดปล่อย เหตุไฉนสมดุลจึงเริ่มจะสงบลง เสียงระเบิดนั้นคงมิใช่พลังของ...
ดวงตาสีน้ำตาลทองถึงกับเบิกกว้างก่อนจะมองหาชายในชุดเกราะทองอย่างร้อนใจ ครั้นพอเห็นร่างของคนผู้หนึ่งที่ลอยคว้างแน่นิ่งก็รีบถลาเข้าหา แต่ยิ่งเข้าใกล้ก็กลับยิ่งแลเห็นร่างที่เริ่มไม่คงรูปของเจ้าตัว ใจคิดอยากจะฉุดรั้งอีกฝ่ายออกไปด้วย ทว่ากระแสลมที่เป็นเสมือนพายุหมุนลูกใหญ่ กลับทำให้มิอาจเข้าถึงตัวเฟยหลงได้ ต้าเซียนยังคงพยายามฝ่าพายุเข้าไปหลายครั้ง จนในที่สุดก็คว้าเอามือหนึ่งของอีกฝ่ายไว้ได้ เขาร้องลั่น “จับมือข้า เฟยหลง”
คล้ายมีเสียงเรียกที่คุ้นเคย ดวงตาดั่งพญาอินทรีจึงเปิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะแลเห็นใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยความร้อนรน ความทรงจำต่างๆนับแต่พบหน้าหวนคืนในสมอง หากแต่ไม่ละเว้นความผิดที่ได้กระทำเช่นเดียวกัน เฟยหลงส่ายหน้าก่อนยิ้มน้อยๆ “สิ่งที่ข้าก่อย่อมต้องชดใช้เอง”
“จับมือข้า” ต้าเซียนตวาดลั่น ไม่ละความพยายาม
“มันสายไปแล้ว” เขากล่าวเพียงสั้นๆ รู้สึกได้ว่าปลายขาเริ่มมลายหายไป เกรงว่าตอนนี้ร่างเขาคงเหลือเพียงแค่สามในสี่ส่วน
“ไม่ เฟยหลงที่ข้ารู้จัก มิใช่คนที่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆเช่นนี้” ต้าเซียนกล่าวพร้อมทั้งจับมือข้างนั้นไว้แน่น เขาไม่ยินยอมให้คนผู้นี้ต้องหลงอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอีกเป็นอันขาด กระนั้นแล้วเขาก็มิอาจทานแรงพายุมหาศาลได้นาน ร่างเขาจึงเริ่มค่อยๆอ่อนกำลังลง
เมื่อเห็นปลายเท้าของร่างเล็กเริ่มสลายดั่งเช่นเม็ดทราย เฟยหลงก็ตกใจรีบตวาดใส่ “รีบกลับไป ปากทางเข้าจะปิดสนิทแล้ว หากท่านยังยื้อยุดข้าอีก ร่างของท่านจะพลอยสูญสลายไปด้วย”
“ไม่” ต้าเซียนสวนตอบแทบในทันที ทั้งยิ่งจับมือไว้แน่นมิยอมปละปล่อย
ด้านเฟยหลงเองก็ได้แต่มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่ออย่างเงียบงัน มิเคยคาดคิดว่าท่านมหาเทพจะมีความดื้อรั้นเช่นนี้อยู่ด้วย เกิดเป็นความรู้สึกเสียดาย...พันปีที่ผ่านมานี้ ข้าได้พลาดสิ่งสำคัญไปจริงๆ
“บ้าเอ้ย”
ครั้นเมื่อนิ้วมือเริ่มหลุดออกจากการจับกุม คำพูดที่ไม่น่าจะหลุดออกจากปากท่านมหาเทพก็หลุดออกมา เฟยหลงได้ยินก็ต้องหัวเราะออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเศร้า จวบจนนิ้วสุดท้ายพ้นจากมือน้อยๆ เขาก็หลับตาลง
...นับแต่นี้ไป ข้าเพียงหวังให้ท่านมีความสุข... “เฟยหลง” ต้าเซียนร้องเรียกอย่างหมดหวัง ได้แต่มองมือนั้นหลุดลอยออกไป
ทว่าฉับพลันนั้นก็บังเกิดสิ่งที่คาดไม่ถึง ฝ่ามือใหญ่ที่เปื้อนเลือดแห้งกรังได้เอื้อมเข้าจับหมับยังมือของเฟยหลง ต้าเซียนถึงกับตาโตร้องเรียกอย่างดีใจ “ถิงฟง”
เซียวถิงฟงกระโดดลงมายังหลุมดำแล้ว ก่อนหน้านี้แลเห็นปากทางเข้าเริ่มหดเล็กลง หากแต่ร่างน้อยก็ยังไม่ออกมา ในใจก็ร้อนรนมิอาจทนเฉยได้อีก รอจนร่างทั้งร่างหายชาก็ร่ำร้องจะเข้าไป ดีที่นางฟ้าชิงเซียงไหวพริบดีจึงเสนอให้ผูกผ้าแพรวิเศษไว้ที่ลำตัวเขา แม้จะเป็นวิธีการที่ไม่รู้จะได้ผลรึไม่ แต่เขาก็ยินยอมพร้อมที่จะเสี่ยง
“เจ้า ช่วยข้าไว้ทำไม” เฟยหลงกล่าวถามอย่างสงสัย ทั้งที่ผ่านมาเขาต้องการเอาชีวิตอีกฝ่ายแท้ๆ
“เพราะต้าเซียนต้องการช่วยเจ้า” เซียวถิงฟงตอบทั้งยังกำชับมือให้แน่นกว่าเดิม อีกมือหนึ่งก็จับร่างเล็กให้มั่น “ต้าเซียนเจ้าเกาะข้าให้ดีๆ” เขาร้องบอก ต้าเซียนได้ยินแล้วก็กอดเอวตนไว้แน่น เมื่อทุกอย่างลงตัวเขาก็กระตุกผ้าแพรโดยแรง
จากนั้นไม่นานเสียงแหลมทุ้มหนึ่งก็ดังขึ้นที่เบื้องบน “ช่วยกันดึงผ้าแพรเร็ว หลุมดำจะปิดแล้ว” ไป๋เซ่อตะโกนขึ้นอย่างร้อนใจตามมาด้วยเสียงวุ่นวายของบรรดาเหล่าเทพเซียน
ที่ปากทางเข้าของหลุมดำเริ่มปิดลงอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้พวกเขาจำเป็นต้องแข่งกับเวลา ยิ่งด้านนอกมีแสงตะวันส่องผ่านเข้ามามากเท่าไร หลุมดำก็ยิ่งปิดลงอย่างรวดเร็วเพียงนั้น เหล่าเทพเซียนทั้งหลายต่างช่วยกันสาวผ้าแพรกันมือเป็นระวิง ยิ่งเห็นปากทางเข้าแคบลงจนเหลือเพียงขนาดเท่าตัวคน ต่างก็ยิ่งตาเหลือกฉุดดึงผ้าแพรกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ในที่สุดเงาร่างทั้งสองก็หลุดพ้นออกมาจากหลุมดำ ปากทางเข้าได้ปิดลงอย่างสิ้นเชิง สมดุลพิภพกับคืนสู่สภาพปกติ แสงสว่างสดใสกลับมาอีกครั้ง ต้าเซียนที่นอนทับเซียวถิงฟงไว้ค่อยๆพลิกกายลงก่อนลุกขึ้นนั่งอย่างเหน็ดเหนื่อย อาจเป็นเพราะพลังในกายถูกดูดกลืนไปมาก
ดวงตาที่แฝงแววห่วงใยทอดมองลงไปยังชายหนุ่มที่นอนสลบไสล ดูว่าพลังชีวิตของเซียวถิงฟงเองก็ถูกกลืนกินไปมิใช่น้อย ต้าเซียนพลันลูบไล้ใบหน้าคมคายอย่างเบามือ “ข้าเกือบเสียเจ้าไปอีกครั้งแล้ว ถิงฟง” กล่าวจบก็เลื่อนสายตาถัดไปจากกายของชายหนุ่ม
แต่แล้วสิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นความว่างเปล่า ปากน้อยๆอ้าค้างอย่างมิอยากจะเชื่อ ก่อนที่สองตาจะข่มปิดลงอย่างเจ็บปวด
...ไม่ทันกระนั้นรึ เฟยหลง... ทว่าความหวังยังคงมีเสมอ ซวนหยวนหมิงไท่ที่ก้าวเข้าไปใกล้สหายสนิทก็สะดุดเห็นสิ่งหนึ่ง “เขากำอะไรไว้แน่น”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยแทบทำให้ดวงตาของต้าเซียนเบิกกว้างเป็นประกาย รีบเร่งแกะเอามือซ้ายที่เซียวถิงฟงกำไว้อย่างแน่นออก ต่อเมื่อมือคลายลงก็เผยให้เห็นดวงวิญญาณสีน้ำเงินดวงหนึ่ง ต้าเซียนพลันรู้สึกดีใจ จ้องมองร่างสูงอย่างลึกซึ้ง
“ท่านมหาเทพ จากนี้ไปจะทำเช่นไรดี” ท่านอาวุโสเทพหวางจื้อรออยู่นานก็กล่าวขัดจังหวะดีใจไว้
จังหวะนั้นสายตาอ่อนล้าก็ปรี่ขึ้นเล็กน้อย เปลือกตายังคงหนักอึ้ง มองเห็นแต่ความพร่ามัว มาตรว่าเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังฝืนเพียงเพื่อต้องการเห็นว่าบุคคลผู้หนึ่งปลอดภัย จนเมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่อยู่ใกล้ๆก็เริ่มรู้สึกวางใจขึ้น แต่ในเวลาต่อมาเขากลับได้ยินประโยคๆหนึ่งที่ทำให้รู้สึกราวกับถูกอสนีบาตฟาดใส่
“ส่งเขากลับไปยังโลกมนุษย์” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงราบเรียบแล้วจึงผละตัวออก แต่ยังมิทันได้ก้าวออกไปก็ถูกมือใหญ่ฉุดรั้งไว้ ครั้นเหลียวกลับมาก็พบว่าเป็นมือของเซียวถิงฟง เขามองนิ่งชั่วครู่ก็ค่อยๆแกะมือนั้นออก
ในที่สุดมือของเขาก็ตกลงดั่งคนไร้เรี่ยวแรง หัวใจพลันรู้สึกเจ็บราวกับถูกมีดกรีด
...ต้าเซียน เจ้าจะกลับมาหาข้ารึเปล่า ริมฝีปากพยายามอ้าขึ้นกล่าวถาม แต่ทว่าก็มิมีเสียงใดเล็ดรอดออกมา น้ำตาหยาดหนึ่งหลั่งรินออกมาจากใจ...ข้าจะได้พบเจ้าอีกใช่ไหม จวบจนกระทั่งเห็นเงาร่างของซวนหยวนหมิงไท่เป็นคนสุดท้าย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เห็นอะไรอีก