29 ความลับที่ปกปิด
“ยินดีด้วยนะครับ ตอนนี้คุณตั้งครรภ์ได้แปดอาทิตย์แล้ว หมอยังระบุไม่ได้ว่าครั้งนี้เป็นแฝดรึเปล่า หมอจะอัลตร้าซาวด์
ตรวจเด็กในครรภ์ให้ถ้าคุณต้องการ”
“ไม่ครับ ผมไม่ต้องการ ขอบคุณ”ขนมผิงตอบรับด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ มือทั้งสองข้างสั่นเทา จิกเล็บลงบนอุ้งมือของตัว
เองแน่นจนเลือดซึม ทั้งที่น่าจะรู้สึกเจ็บแต่ในเวลาเขานี้เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย
ร่างสูงโปร่งพาตัวเองเดินออกมาจากห้องตรวจด้วยสภาพเหม่อลอย เขาควรจะทำอย่างไรดีกับประวัติศาสตร์ที่กลับไปซ้ำ
รอบเดิมกับผู้ชายคนเดิม ผู้ชายที่เขาเคยเกลียดสุดขั้วหัวใจ
อาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงมันยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นทุกวันจนทนไม่ไหว ทั้งที่กลัวคำตอบมาตลอด หลีกเลี่ยงที่จะเจอความจริง
แต่เขาไม่ไหวที่จะทนอีกต่อไป
ขนมผิงก้าวเดินมาเรื่อยๆ มาหยุดอยู่ในห้องน้ำ มือทั้งสองข้างยังคงสั่นเทา จ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ภาพที่
เห็นนั่นมันกำลังพล่าเบลอและสั่นระริก เขาล้วงหยิบแทบแท่งตรวจสีขาวรูปร่างยาวเรียวขึ้นมาจ้องมองอีกครั้ง สิ่งนี้เป็นตัวชักนำ
ให้เขามาหาคำตอบที่นี่
ที่ตรวจครรภ์ที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว รอยขีดสีแดงจางยังคงเด่นชัดในความคิด ขนมผิงปล่อยมันร่วงหล่นลงไปในถังขยะ
ด้วยความคิดที่กำลังสับสน
เพราะอะไรเขาถึงปล่อยให้ตัวเองท้องกับปิญญ์ชานนท์เป็นครั้งที่สอง ทั้งที่คอยตอกย้ำว่าแสนเกลียดราวกับเส้นขนานที่
ไม่มีวันจะบรรจบกัน แต่เขาก็ปล่อยให้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมันเกิดขึ้นอีกมาครั้ง
-----------------------------------------------------------------------------------------
“กลับมาแล้วเหรอผิง เข้าบริษัทมาเหรอ ไม่เห็นบอกแม่ แม่ว่าจะชวนไปซื้อของมาทำกับข้าว”
“ไปธุระมาน่ะแม่ ผิงไม่ได้เข้าบริษัท”ขนมผิงตอบเสียงเนือย ดวงตาสีโศกหลุบมองปลายเท้าตัวเองเมื่อบังคับไม่ให้มันหยุด
สั่นไม่ได้
“เป็นอะไรทำไมหน้าซีดๆ มานี่มาตอนนี้บ้านเรามีแขก เขากำลังคุยกับพ่ออยู่ในห้องรับแขกนู่น”
“แขก?”ไม่บ่อยนักที่จะมีแขกมาที่บ้านทำให้ขนมผิงแปลกใจ ยอมเดินตามผู้เป็นมารดาเพราะในเวลานี้เขาไม่หลงเหลือ
พื้นที่ในความคิดให้คิดถึงสิ่งใดได้อีก
แต่แล้วรอยยิ้มเบื้องหน้าที่ปรากฏสู่สายตานั้นก็ทำให้หัวใจของเขาราวกับร่วงหล่นกระแทกลงกับพื้น คนเดียวที่ไม่อยากจะ
เห็นหน้ามากที่สุดในเวลานี้กลับมาอยู่ตรงหน้าของเขา
“คุณปิญญ์เขาเอากระเช้ารังนกมาขอบคุณเรื่องวันนั้น ผิงเข้าไปคุยกับเขาสิ รุ่นๆเดียวกัน ทำความรู้จักกันไว้เยอะๆ”ลำดวน
ดึงลูกชายให้เดินตามเข้ามา “มาแล้วค่ะลูกชายตัวดีของคุณแอบไปหนีเที่ยวมาไม่บอกไม่กล่าวอีกแล้ว”ลำดวนว่าพลางส่งยิ้มให้
แขก
“ผมว่าผมของตัวดีกว่า”ขนมผิงหลุบตาหลบสายตาคู่คมที่ส่งมา
ไม่ไหวแล้ว ความรู้สึกมันบอกกับเขาแบบนั้น ดวงตาทั้งสองข้างมันเริ่มพร่ามัว มือทั้งสองข้างสั่นเทาจนผู้เป็นแม่เงยหน้า
มองลูก
ลำดวนเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นหยดน้ำตาไหลลงมาบนผิวแก้มที่ขาวซีดของลูกชาย แต่พอจะถามลูกชายของเธอก็กลับ
เดินหนีขึ้นบ้านไปเสียก่อน หากเธอไม่ได้เข้าใจผิด เหตุผลที่ทำให้ลูกชายของเธอมีท่าทีเช่นนี้ก็คงไม่พ้นชายหนุ่มที่อยู่ในห้อง
รับแขกในเวลานี้
“อะ เอ่อ ขอโทษนะคะ สงสัยว่าตาผิงไม่สบาย คุยกันไปก่อนนะคะหนุ่มๆ”ลำดวนยิ้มแห้ง
“ไม่เป็นไรครับ”รอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าก่อนหน้านี้ของชายหนุ่มเลือนลางแทบจะทันทีเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนที่เฝ้ารอ
มานับชั่วโมง
“ช่วงนี้ตาผิงไม่ค่อยสบายน่ะ เมื่อครู่เราคุยกันถึงไหนแล้วนะเรื่องออกรอบตีกอร์ฟใช่ไหม”
“ครับคุณลุง”ตอบรับทั้งที่ตายังจับจ้องไปยังทางที่อีกฝ่ายเดินออกไปไม่วางตา
“เมื่อไรดีล่ะ เอาเป็นอาทิตย์หน้าเลยไหม มีเพื่อนๆลุงว่างช่วงนี้พอดี ไปกันเยอะๆน่าจะสนุก”คำเรียกแทนตัวเปลี่ยนไปเมื่อ
คำสรรพนามที่ถูกเรียกนั้นต่างออกไปจากเดิม อายุอานามของเขาไม่ใช่มองแล้วจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้ากำลังพยายามที่จะ
ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
ไม่ได้ใช้วิธีที่รุกมากเกินไปจนน่าเกลียดแต่กลับเป็นวิธีที่เข้าหาแบบธรรมชาติจนเขาอดชมไม่ได้ว่าไม่ใช่แค่เรื่องการพลิก
โอกาสทางธุรกิจที่กำลังล้มละลายแค่นั้น แต่เรื่องอื่นๆคนคนนี้ก็ทำได้เป็นอย่างดี แต่ประเด็นก็คือเวลานี้บ้านนี้ไม่มีลูกสาวให้หัว
บันไดบ้านไม่แห้งอีกแล้ว มีเหลือก็แต่ลูกชาย
“ครับ อาทิตย์หน้าก็ได้ครับ ว่าแต่ขนมผิงช่วงนี้ไม่สบายบ่อยมากเลยเหรอครับ”
“ก็บ่อยอยู่นะ ช่วงนี้ เห็นบ่นเหนื่อยบ้างเพลียบ้าง บางทีก็อาเจียน”
“งั้นเหรอครับ แล้วคุณลุงทราบหรือเปล่าว่าขนมผิงป่วยเป็นอะไร”บทสนทนาถูกเปลี่ยนไปทันควัน เบื้องลึกในดวงตา
คมกริบแฝงไปด้วยความกังวล
“ไม่รู้สิ ตอนนี้ก็ได้แค่คาดเดา ยังไม่ได้มีอะไรชี้ชัดว่ามันจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยรึเปล่า ขนมผิงเป็นคนไม่ค่อยพูด แล้วก็
ไม่ชอบให้ถามอะไรมากมายคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ได้แต่ดูห่างๆเพราะโตๆมีลูกมีเต้ากันแล้ว”
“นั่นสินะครับ”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับ รู้สึกเป็นห่วงขนมผิงจนแทบจะอยู่ติดที่นั่งต่อไปไม่ได้แล้ว จะว่าเขาว่าไร้มารยาทก็ได้
เพราะเขาแทบไม่ได้สนใจบทสนทนาเลย
และนั่นก็ทำให้ผู้ใหญ่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามหรี่ตาจับจ้องมองมาที่เขายามที่เขาเหลือบตามองไปยังทางเดินของตัวบ้าน
“ถ้าไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาท จะขอถามอะไรคุณได้ไหม”
“ครับ?”
“คุณรู้จักขนมผิงมากแค่ไหน รู้จักเด็กๆมากแค่ไหน”
“ทำไมถึงถามล่ะครับ”
“ก็แค่อยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับพวกเขา”คำถามนี้แฝงความนัยน์ได้อย่างชัดเจน เป็นคำถามที่ตรงประเด็นจนชายหนุ่มสะอึก
ดวงตาคมดุจ้องมองตอบชายสูงวัยแน่นิ่ง
“ผม”
“ว่ามาเลย ผมอยากให้คุณตอบผมตรงๆ ตอบเท่าที่คุณรู้”สายตาของชายสูงวัยเองก็จับจ้องมองชายหนุ่มนิ่งไม่แพ้กัน และ
กำลังคาดหวังในคำตอบที่จะได้ยิน
“ผมรู้ว่าขนมผิงเป็นคน…”
“ว่ามาเลยไม่ต้องเกรงใจ”พิศณุคาดคั้นเอาคำถาม
“ผมรู้ว่าขนมผิงเป็นคนอุ้มท้องปลากริมกับสลิ่ม”ตอบไปหยั่งเชิงปฏิกิริยาของพิศนุ แต่ท่าทีของพิศนุยังนิ่งเฉยซ้ำยังมีรอย
ยิ้มเล็กๆอยู่บนมุมปาก
“แล้วคุณคิดยังไงกับพวกเขาล่ะ”พิศนุตัวชาไปเล็กน้อยเมื่อคำตอบที่ได้รับคือความลับที่ทุกคนในบ้านพยายามปกปิดมา
ตลอด แต่ก็ถามออกไปอีกครั้ง
“ถ้าคุณลุงต้องการคำตอบที่เป็นความจริง ผมก็จะตอบ”ปิญญ์ชานนท์เม้มปากแน่น ความรู้สึกกดดันทำให้เขาเริ่มประหม่า
อย่าไม่เคยเป็นมาก่อน “ความจริงแล้วผมรักลูกชายของคุณลุง”คำตอบของปิญญ์ชานนท์ทำให้พิศนุตอบกลับแทบจะทันที
“ถึงแม้ว่าลูกชายของลุงจะเป็นผู้ชายและกำลังจะแต่งงาน?”
“ครับเรื่องนั้นผมทราบดี”
“ในเมื่อคุณทราบดีแล้วยังพยายามเข้าหาขนมผิงทำไม ขนมผิงเองก็ดูไม่พอใจคุณมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะคุณปิญญ์
ลูกชายของลุงเขากำลังจะแต่งงาน มีครอบครัว ถึงแม้ขนมผิงจะเคยมีใครแล้วเคยท้องมาก่อนก็ตาม ยอมรับว่าแปลกใจที่คุณรู้ว่า
ขนมผิงเป็นคนตั้งท้อง แต่เรื่องนั้นมันก็เป็นความลับ น้อยคนมากที่จะรู้เรื่องนี้ และตอนนี้ขนมผิงกับเด็กๆก็กำลังจะมีอนาคตที่ดี
คุณตัดใจเสียจะดีกว่า เพราะมันอาจจะเป็นผลเสียกับคุณไปด้วยอีกคน”
“คุณลุงอาจจะไม่พอใจกับคำตอบของงผม ตามผมสารภาพไปแล้วว่าผมรักลูกชายของคุณลุง และผมก็ตั้งเป้าเอาไว้แล้วว่า
ผมจะไม่ถอยหลังเหมือนก่อนหน้านี้ หากว่าผมทำอะไรให้คุณลุงไม่พอใจนับจากนี้ผมต้องขอโทษล่วงหน้า เพราะผมเองก็จะไม่
ปล่อยให้ขนมผิงกับลูกอยู่ลำพังอีกแล้ว ขอโทษนะครับที่ทำให้วันนี้เสียบรรยากาศ ไว้วันหน้าผมจะมาเยี่ยมใหม่นะครับ”ปิญญ์ชา
นนท์ยกมือไหว้ก่อนเดินออกมา
“มันจะดีกว่านี้ถ้าคุณจะไม่มาให้ลูกชายของเราเห็นหน้าอีก”
“เรื่องนั้นผมคงทำตามที่คุณลุงขอไม่ได้ ขอโทษด้วยครับ”ปิญญ์ชานนท์ชะงักเท้าก่อนจะตอบกลับคำพูดสุดท้าย
เขารู้สึกหน้าชาจนต้องยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองเพื่อเรียกสติ เขาไม่ได้วางแผนมาก่อนว่าจะโดนพ่อของขนมผิงคาดคั้นความ
จริงและโดนปฏิเสธ นี่อาจจะเป็นผลของการกระทำในอดีตที่เขาเคยทำเอาไว้ก็เป็นได้ ปิญญ์ชานนท์ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยรถ
พักใหญ่ก่อนจะขับออกไป
“ไปแล้วเหรอคะ ทำไมวันนี้เขากลับเร็วจัง”ลำดวนแตะแขนของสามีที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านพลางมองตามรถยนต์คันสีดำ
สนิทของแขกขาประจำออกไป
“เขาบอกว่ารักลูกของเรา บางทีสิ่งที่พวกเราคิดเอาไว้มันอาจจะเป็นเรื่องจริง”
“เขาบอกกับคุณแบบนั้นเหรอคะ ตายจริง ปกติแล้วคุณปิญญ์เขาเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรออกมาตั้งแต่ไหนแต่
ไรทำไมเขาถึงได้บอกกับคุณ”
“ผมถามเขาน่ะ”
“แล้วเขารู้ไหมว่าลูกของเรา เอ่อ เคยท้อง”
“เขารู้”
“ได้ยังไงกันคะ เรื่องนี้เป็นความลับนี่ค่ะ น้อยคนมากที่จะรู้”
“แล้วตาผิงล่ะเป็นยังไงบ้าง”พิศนุแตะแขนภรรยาพาเดินเข้าไปในบ้าน
“ขังตัวเองเอาไว้ในห้องเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมเปิดประตู เหมือนเมื่อสี่ปีที่แล้วไม่มีผิด”ทั้งอาการและปฏิกิริยา
“ไว้พร้อมเมื่อไรลูกคงจะบอกเราเอง ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าคุณปิญญ์เขาจะทำยังไงต่อไปหลังจากที่ผมปฏิเสธเขาไป”
“ตายจริง คุณปฏิเสธเขาไปได้ยังไงกัน”
“คุณลืมแล้วรึไงว่าลูกของเรากำลังจะแต่งงาน”
“แล้วลูกของเราดูมีความสุขบ้างรึเปล่าคะ”
“แต่คุณก็รู้ว่าตาผิงไม่ชอบคุณปิญญ์”
“แล้วเดหลีรักตาผิงจริงรึเปล่า บางทีคุณก็ต้องมองให้ลึกลงไป ถึงแม้ตาผิงจะเหมือนไม่พอใจคุณปิญญ์ทุกครั้ง แต่ทุกครั้ง
ที่เขาพูดออกมา ลูกของเราไม่เคยที่จะปฏิเสธอย่างจริงจังได้สักครั้ง ซ้ำยังปลากริมกับสลิ่มอีก”
“ปิญญ์ชานนท์เป็นผู้ชาย”
“ฉันจะไม่คัดค้านคุณหากว่าลูกของเราไม่เคยท้อง”
“ยังไงมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว”พิศนุถอนหายใจ
--------------------------------------------------------------------------------------------
“คุณเป็นอะไร ทำไมหน้าซีด”สัญชาตญาณของคนเป็นหมอถามอาการของคนป่วยตรงหน้าทันทีหลังจากมื้อเย็นจบลงใน
ห้องคอนโดของเขา
“ผมปวดหัวนิดหน่อย เดี๋ยวกลับไปนอนพักก็คงหาย”แทนทัพยิ้มออกมาเล็กน้อย รู้สึกดีที่คุณหมอตรงหน้าเป็นห่วงเขา ถึง
มันจะเป็นสัญชาตญาณของคนเป็นหมอก็ตาม แต่เขาก็อดที่จะเข้าข้างตัวเองไม่ได้
คุณหมอไม่ตอบอะไรแต่เอื้อมมือไปแตะฝ่ามือลงบนหน้าผากกว้างของชายหนุ่มผิวแทนตรงหน้า อุณหภูมิที่ขึ้นสูงทำให้
คุณวุฒิแทบจะไม่ต้องเสียเวลาวินิจฉัยอาการของแทนทัพเลย
“คุณมีไข้สูง เมื่อวานคุณตากฝนมารึไง”
“ตอนวิ่งไปที่รถ แค่นิดเดียว นอนพักเดี๋ยวก็หาย”
“คุณไม่เข้าใจคำว่ามีไข้สูงรึไง ตัวร้อนจนจะไหม้ขนาดนี้”ความเป็นคุณหมอทวีเพิ่มขึ้นมาเมื่อคนไข้ไม่ยอมเชื่อฟัง “ผมจะ
ไปหยิบยา วันนี้คุณต้องนอนค้างที่นี่ ยาแก้ไข้กินแล้วมันจะทำให้ง่วง คุณขับรถไม่ได้หรอก”พูดเองสั่งเองเสร็จสรรพ ขมวดคิ้วมุ่น
เดินหายเข้าไปในห้องนอนเพื่อหยิบยา
ทิ้งเอาไว้แต่ร่างสูงใหญ่ของแทนทัพนั่งอยู่กับที่ติดโต๊ะทานข้าว จะว่ามึนงงกับพฤติกรรมของคุณวุฒิก็ไม่เชิง เป็นห่วงเขา
หรืออะไรกันแน่ แต่มันก็ดีไม่น้อยที่มันไม่ได้จบลงแค่มื้ออาหารเย็นในคืนก่อนวันหยุดเหมือนทุกครั้งไป
“นี่ยา กินเสร็จแล้วคุณก็เช็ดตัวเข้านอนได้เลย”
“ผมยังไม่ง่วง อีกอย่างผมอาบน้ำได้ ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“คุณไม่เคยป่วยรึไง”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”แทนทัพตอบยิ้มมุมปาก คุณวุฒิจะทำท่าทางดุแบบนี้รึเปล่าหากคนไข้ของตัวเองไม่เชื่อฟังแบบเขา
“งั้นก็ทำตามที่ผมบอก เช็ดตัว แล้วก็ไปนอน กินยาเข้าไปแล้วเดี๋ยวคุณก็ง่วงเอง ผมไม่เคยเจอคนไข้ที่เรื่องมากแบบคุณ
เลยสักครั้ง”
“ครับๆ คุณหมอ”ยิ้มให้แล้วเดินหายลับเข้าไปในห้องน้ำหลังจากกินยาเสร็จ
จริงอย่างที่คุณวุฒิบอก พอกินยาเข้าไปก็รู้สึกง่วงจนตาแทบจะปิด พอออกมาจากห้องน้ำได้ อาหารปวดหัวผสมกับความ
เหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันทำให้แทนทัพทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มทันทีทั้งที่กายพันผ้าเช็ดตัวผืนเดียวหมิ่นเหม่
“เดือดร้อนจริง”คุณหมอบ่นอุบ
รู้สึกว่าแทนทัพเงียบไปนาน พอเดินเข้ามาก็ถึงกับสะอึกเมื่อร่างกึ่งเปลือยของแทนทัพนอนแผ่กายอยู่บนเตียง ผ้าขนหนูผืน
ขาวพันเอวจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่เรียกให้ใบหน้าขาวสะอาดของคุณหมอแดงก่ำ
พยายามพลิกร่างสูงใหญ่ของแทนทัพเพื่อที่จะจับใส่เสื้อผ้าให้ แต่ความที่ไม่เคยทำแบบนี้กับใครทำให้ชายหนุ่มถอน
หายใจเดินเอาเสื้อผ้าไปเก็บไว้ในตู้ดังเดิม
แทนทัพทั้งขาแขนใหญ่ตัวหนักกว่าเขาเป็นกอง ไม่ไหวที่จะจับใครที่ตัวใหญ่ขนาดนี้ใส่เสื้อผ้าเวลาหลับได้ ทำได้แค่จับ
ผ้าห่มคลุมกายร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มเอาไว้แล้วซุกกายลงใต้ผ้าห่มอีกฟากเตียง
ฝนข้างนอกเริ่มโปรยปรายหนักขึ้น อากาศเริ่มเย็นตัวลงทำให้ทั้งเข้าและแทนทัพขดกายเข้าหาไปอุ่นภายใต้ผ้าห่มผืนหน้า
อัตโนมัติ
ดวงตารีเล็กพร่ามัวทันทียามที่ถอดแว่นออก แต่ก็ยังจ้องมองผ่านความมืดราวกับว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นสัมผัสได้ผ่านความรู้สึก
ใบหน้าคมกร้านพร่าเบลอตรงหน้าทำให้หัวใจของคุณหมอสั่นไหว นานแล้วที่ไปมาหาสู่กัน ไปไหนด้วยกันบ่อยๆหลังจาก
เกิดเรื่องผิดพลาดในคืนนั้น
พอรู้ตัวอีกทีแทนทัพก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ชีวิตที่กลับมาเงียบเหงาหลังจากขาดใครบางคนเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีก
เป็นครั้งที่สอง
ไม่รู้ว่าภาพที่เลือนรางตรงหน้ามันจะเลือนรางไปมากกว่านี้หรือชัดเจนขึ้นกันแน่ แต่รู้แค่ว่าเขาคงทำใจไม่ได้อีกหากเสีย
ส่วนหนึ่งในชีวิตอีกเป็นครั้งที่สอง
ฝ่ามือขาวนุ่มยื่นไปด้านหน้าลูบลงบนโครงหน้าคมคายอย่างเบามือ ถึงแม้จะพร่าเบลอจนเกือบจะมองไม่เห็น แต่เวลานี้เขา
ก็สัมผัสได้ถึงตัวตนที่อยู่เบื้องหน้าของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าแทนทัพคิดเหมือนกับที่เขาคิดรึเปล่า การที่ยอมรับตัวตนของอีกฝ่ายเข้ามา
ในชีวิต
เสียงเรียกชื่อปลุกให้คุณวุฒิตื่นขึ้นมาอย่างัวเงียมือขาวควานไปบนชั้นข้างเตียงเพื่อหยิบเอาแว่นตาของตัวเองมาสวมใส่
เหมือนทุกที หากจำไม่ผิดวันนี้ไม่ใช่วันที่แม่บ้านจะมาทำความสะอาด ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามีคนเรียกแต่เช้า
แต่แล้วบุคคลที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้คุณวุฒิแปลกใจพึมพำชื่อของอีกฝ่ายออกมาทั้งที่ยังงัวเงีย
“พี่วิน”
“ไม่เห็นกับตานี่ฉันไม่เชื่อนายจริงๆ”
“ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ”คุณวุฒิยังคงขยี้ตาตัวเองพลางบิดขี้เกียจ
“มาพิสูจน์ให้เห็นกับตาไง ถึงทุกคนในบ้านจะตามใจนายมาตลอดแต่ทำแบบนี้ไม่คิดว่ามันจะเกินไปรึไง”
“อะไรของพี่แต่เข้า ผมไม่เข้าใจ”คุณวุฒิถามกลับพี่ชาย ดวงตารีเล็กจ้องมอใบหน้าของผู้เป็นพี่ชาย
นอกจากจะโผล่มาที่คอนโดของเขาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงแล้วยังจะโวยวายอะไรที่เขาไม่เข้าใจ
“ออกมาคุยกันข้างนอก แล้วก็ปลุกมันขึ้นมาด้วย”
“ครับๆ”ยังไม่ทันตอบรับแต่คุณทรัพย์ก็เดินออกไปจากประตูห้องนอนเสียแล้ว
คุณวุฒิยังคงมึนงงกับพี่ชายของตัวเอง แต่จะให้ปลุกคนป่วยก็ยังไงอยู่ เขาเลือกที่จะเดินเข้าห้องน้ำแล้วทำธุระส่วนตัวก่อน
จะเดินออกไปเจอพี่ชายนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โซฟา
“มันเป็นใคร พี่บอกให้ปลุกมันขึ้นมา”
“มัน? หมายถึงเขานั่นเหรอ ปลุกไม่ได้หรอก”
“ทำไมถึงไม่ได้ แล้วทำไมถึงต้องนอนค้างที่นี่”
“เขาไม่สบาย ก็เลยให้นอนค้าง ว่าแต่พี่วิน ทำไมพี่ถึงได้มาหาผมล่ะ”
“กับมันเป็นอะไรกัน”
“อย่าเรียกเขาว่ามัน ตอนนี้เป็นหมอกับคนไข้”
“แล้วตอนอื่นล่ะ”
“เป็นหมอกับเลขา”ตอบไปตามจริง ถอนหายใจออกมาเมื่อรู้สึกรำคาญลูกชายคนโตของบ้านอย่างคุณทรัพย์
“เขามาบ่อยแค่ไหน”
“ทุกอาทิตย์”
“มาทำไม”
“มากินข้าว”
“ตอบพี่มาตรงๆว่ากับเขาเป็นอะไรกัน”
“แล้วทำไมต้องมาถามอะไรที่ผมไม่เข้าใจ ผมเป็นหมอยังไม่ถามคนไข้มากเท่าที่พี่ถามผมเลย”
“ให้น้อยหน่อยคุณวุฒิถึงจะเป็นลูกคนสุดท้องแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรไม่ให้เกียรติครบครัวแบบนี้”
“ผมขี้เกียจคุยกับพี่แล้วล่ะ”ลุกหนีอีกครั้งเมื่อไม่ได้ดั่งใจ
“เดี๋ยวพี่ต้องไปประชุมต่อที่บริษัท อย่าหวังว่าพี่จะปล่อยเรากับมันไปง่ายๆ กลับบ้านด้วยล่ะ”ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะ
เงยหน้าขึ้นมาขู่ไล่หลัง
“ผมไม่เข้าใจที่พี่พูดหรอก จะไปไหนก็รีบไปเถอะครับ”รีบไล่ก่อนที่คนที่โกหกไม่เก่งอย่างเขาจะถูกจับได้
ความจริงทุกอย่างที่พี่ชายพูดมาเขารู้ดีว่ามันคืออะไร แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือที่บ้านรู้ได้ยังไง และมันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาและ
แทนทัพแน่หากที่บ้านรู้เรื่องนี้
“นั่นใครเหรอครับ”แทนทัพถามถึงคนที่เพิ่งออกไปจากห้องทำท่าเหมือนเพิ่งตื่นทั้งที่ตื่นได้สักพักพอที่จะได้ยินบทสนทนา
ของพี่น้องแล้ว
“พี่ชายผม แล้วคุณหายปวดหัวรึยัง”ถามพลางแตะมือลงบนหน้าผากกว้าง
“หายแล้วครับ แล้วเขาคุยอะไรกับคุณ”
“ทักทายกันปกติ ไม่มีอะไรพิเศษ”บอกเสียงเรียบทิ้งตัวลงขอบเตียงข้างกับแทนทัพไม่ใช่เพราะอยากจะนั่งข้างๆหรือว่า
อะไร แต่เพราะแค่อยากจะหลบสายตาคมนิ่งที่มองมา
“วันนี้ไปดูหนังกันไหมครับ”
“คนที่เขาไม่สบายเขาจะนอนพักผ่อนไม่ใช่ออกไปข้างนอกแบบคุณ”ประชดประชันทั้งที่ใจยังคงกังวล
แต่ใบหน้าก็ต้องหันไปตามแรงดึงหลุบมาก้มลงมองมือของตัวเอง ยอมรับจูบร้อนที่ประทับลงมาแผ่วเบา ยอมให้อีกฝ่ายบด
เบียดและเคล้าคลึงสอดลิ้นนุ่มร้อนผ่าวเข้ามาตวัดรัดกับปลายลิ้นของตัวเอง
แต่เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก็ต้องผละออกแทบจะทันที ดวงตารีเล็กภายใต้กรอบแว่นเบิกกว้าง ขบฟันลงบนริมปีปาก
แน่น
“ทำบ้าอะไร อยากให้ผมติดไข้ไปด้วยรึไง”
“ไม่ต้องกลัว”และนี่คือคำตอบที่ได้รับจากชายหนุ่ม คำตอบที่ถ้าหากไม่คิดให้ลึกก็จะไม่รู้ความหมายที่แท้จริง
แต่ถึงอย่างนั้นคุณวุฒิที่ไม่ค่อยจะใส่ใจกับรายละเอียดอะไรขัดกับความเป็นหมอกลับคิดเข้าข้างตัวเอง
เพราะเขากำลังกลัว กำลังกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเหมือนในอดีตที่เคยเกิดขึ้น
---------------------------------------------------------------------------------------------