ต่อ
“สวัสดีครับคุณเชตุพล รอนานรึผมนานรึเปล่าครับ พอดีมีเอกสารที่ต้องเคลียในช่วงนี้ค่อนข้างเยอะขอโทษที่ทำให้เสียเวลา”ขนมผิงยื่นมือเข้าไปหาชายสูงวัยรูปร่างท้วมที่อยู่ด้านข้างของเดหลี
เดหลีส่งยิ้มหวานให้อย่างที่เคยก่อนปรายตามองมาทางนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงคู่ควงคนใหม่ที่เป็นข่าว
“งานคงจะยุ่งน่าดูสินะ”เขตุพลผายมือเชิญให้ขนมผิงนั่ง ดวงตาเจ้าเล่ห์ของชายสูงวัยจ้องมองมาที่ขนมผิงหัวจรดเท้าราวกับสำรวจเพื่อให้คะแนน เปรียบเทียบระหว่างเขากับคู่ควงคนเก่าของลูกสาว
“ก็อย่างที่ทราบนั่นแหละครับ อัตราการเติบโตขององค์กรค่อนข้างเป็นไปแบบก้าวกระโดด งานที่มีอยู่แล้วมันก็เพิ่มขึ้นมาเป็นหลายเท่าตัว มันค่อนข้างจะต้องรอบคอบเป็นพิเศษครับ”
ขนมผิงตอบอย่างราบเรียบวางท่าทีสุขุมอย่างที่เคย
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาบัดนี้กำลังถูกสำรวจด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ของคนสูงวัยที่กุมหุ้นของอนันตไพลินกรุ๊ปอยู่สิบห้าเปอร์เซ็นต์
“คุณดูดีและดูเด็กมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”ขนมผิงแสร้งถ่อมตัวยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ ส่งสายตาให้กับหญิงสาว
ซึ่งความถ่อมตัวอันเสแสร้งนั้นก็ได้คะแนนจากการเปรียบเทียบจากสายตาของเชตุผลไปทันที
ว่าที่คู่หมั่นของเดหลีคนก่อน ทั้งเย่อหยิ่งและทระนงตน ต่างจากคนนี้โดยสิ้นเชิง สุขุม ถ่อมตน และดูฉลาด
ห้องอาหารภัตตราคารจีนค่อนข้างจะมีความเป็นส่วนตัวไม่น้อย มีเพียงเสียงเพลงเบาๆเปิดคลอและพนักงานที่ทยอยนำอาหารเข้ามาเสิร์ฟเท่านั้น
“งั้นเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ผมเองก็ไม่ใช่คนเด็กๆจะต้องมามากพิธี”เชตุพลเปิดประเด็น ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ชายสูงวัยกลับคิดสวนทางกับที่พูดลิบลับ
“ไม่ได้หรอกครับ คุณเชตุพลออกจะมีหน้ามีตาในสังคม เดหลีเองก็กำลังเป็นที่จับตามอง ผมเองก็อยากจะทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องคู่ควรกับคุณทั้งสองคน”
แสร้งถ่อมตนอีกครั้งเรียกรอยยิ้มพึงพอจากคนสูงวัยได้ไม่น้อย
“นั่นสินะ แล้วคุณคิดจริงจังกับลูกสาวผมสักแค่ไหนล่ะ แค่คู่ควงสร้างอีโก้ให้ดูสูงขึ้น หรือว่า…”
“ไม่ครับ ถ้าจะพูดให้ตรงประเด็น ผมต้องการจะมาขอคบหากับลูกสาวของคุณอย่างเป็นทางการมากกว่า ผมไม่ได้ต้องการแค่คู่ควง”ขนมผิงตอบหนักแน่น
“งั้นก็ดี กล้าขอก็กล้าให้”เชตุพลหัวเราะ
ตอนนี้เขาคงจะคิดถึงหมูในอวยที่มาให้เชือดถึงที่ อำนาจและเงินทองทั้งหมดของอีกฝ่ายเมื่อแต่งงานกับลูกสาวของเขาแล้ว ทั้งหมดมันจะไปไหนได้ นอกจากเป็นของเขา
“ขอบคุณคุณเชตุพลมากครับที่ยอมเข้าใจ”
“อย่าเรียกคุณเรียกเคินเลย มาถึงตอนนี้แล้ว เรียกพ่อดีกว่า มาดื่มๆ”เชตุพลหัวเราะร่วนยกแก้วสาเกขึ้นมาดื่มอย่างถูกอกถูกใจในว่าที่ลูกเขยจอมปลอม
ขนมผิงปรายตามอง เดหลีเองที่ไม่พูดก็ใช่ว่าจะไม่พอใจอะไร แต่กลับส่งสายตาให้ขนมผิงเองไม่น้อย
ขนมผิงยกแก้วสาเกขึ้นขนแล้วส่งมันผ่านลงคอ
“เอ่อ คุณพ่อค่ะ เรื่องหุ้นที่เดหลีเคยพูดเอาไว้”เดหลีขยิบตาให้ขนมผิงตามที่เขาวางแผนเอาไว้
ขนมผิงพยักหน้า ไม่เสียแรงที่ทิ้งงานกองท่วมภูเขาเพื่อไปพดคุยกับหญิงสาวที่ดูจะเชื่อคำพูดของเขาไม่น้อยเลย
“อ้อนั่นสินะ ได้ข่าวมาว่าคุณผิงถือหุ้นของอนันตไพลินสามสิบเปอร์เซ็นต์เลยนี่”เชตุพลหรี่ตา หน้าเริ่มแดงก่ำ
“ครับคุณพ่อ”
“ตามจริงตอนนี้ไอ้สิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่อยู่ในมือของผมมันก็ถือว่าไม่ค่อยจะเยอะเหมือนเก่าแล้ว ทำกำไรอะไรไม่ได้มากมาย”เชตุพลเกริ่นอ้อมค้อม
ถ้าหากสิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่เขามีอยู่ในมือตกอยู่กับมือว่าที่ลูกเขยอย่างขนมผิง
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าขนมผิงถือหุ้นมากกว่าปิญญ์ชานนท์และมีสิทธิครอบครองอนันตไพลินแล้วขึ้นเป็นผู้บริหารคนใหม่
คราวนี้ทั้งสองบริษัททั้งอนันตไพลินและมณีรัตน์จะไปไหนไกลนอกจากตกเป็นของเขาและลูกสาว
“ถ้าคุณพ่อไม่สนใจหุ้นก้อนนั้นที่อยู่ในมือ บางทีผมอาจจะเสนอซื้อในราคาสองเท่าของราคาหุ้นของที่คุณพ่อมี”ขนมผิงยกยิ้ม
ซึ่งนั้นก็เข้าทาง ของทั้งสองฝ่าย
เข้าทางเชตุพลที่หวังจะฮุบเอาไว้ทั้งสอง
เข้าทางขนมผิงที่หวังจะเหยียบย่ำใครอีกคน
“ราคาตอนนี้มันก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น แต่ตอนนี้เป็นใครใครก็คิดว่าขอแค่ไม่ขาดทุนก็พอ จริงไหม”แก้วสาเกถูกยื่นมาตรหน้า
เหมือนกับแทนคำว่าตกลง เสียงชนกันเบาเบาของแก้วราวกับคำสัญญาซื้อขายที่ง่ายดาย
ขนมผิงส่งสาเกอีกแก้วผ่านลงคอไปอย่าสุขใจ
เขากำลังสุขใจ…เขาตอกย้ำตัวเองอย่างนั้น
“คุณผิงกลับไหวแน่นะคะ”เดหลีเดินมาแตะแขนเมื่อเห็นว่าขนมผิงค่อนข้างจะทรงตัวไม่ดีสักเท่าไร
เพราะดันเผลอดื่มให้กับชัยชนะล่วงหน้ามากไปหน่อย ทำให้สมองมันเริ่มจะมันๆอย่างที่เห็น
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีคนขับรถรออยู่ด้านนอก”หมายถึงบอดี้การ์ดส่วนตัว
“ถ้างั้นเดหลีกลับก่อนนะคะ คุณพ่อจะรอนาน”
“กลับดีดีนะครับ”ขนมผิงยิ้ม และมือลงบนแก้มเดหลีเบาเบา
ใบหน้าแต่แต้มเครื่องสำอางขึ้นสีเล็กน้อย ขนมผิงแตกต่างจากปิญญ์ชานนท์ลิบลับ
อ่อนโยนและดูเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นเสมอ
“เดหลียังไม่อยากกลับเลย”เดหลีก้าวเข้าไปเกาะแขนของชายหนุ่ม
“อย่าดื้อสิครับ พ่อของคุณจะรอนาน”บอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแล้วกันอีกฝ่ายออกอย่างละมุนละม่อม
ไม่รู้ว่าเพราะความเมาหรือเพราะอะไรถึงได้รู้สึกว่าสัมผัสจากคนอื่นนั้นมันทำให้เขารู้สึกแย่
มันพาลนึกถึงสัมผัสที่เลวร้ายของใครอีกคน เลวร้ายแต่ก็ลืมไม่ลง คอยหลอกหลอนจนอยากจะบ้าตายให้รู้แล้วรู้รอด
ปิญญ์ชานนท์…เมื่อไรชื่อนี้จะหายไปจากความคิดสักที
“งั้นเดหลีไปก่อนนะคะ”
ไม่ทันระวังตัวริมฝีปากแต่งแต้มลิปสติกสีแดงสดก็ฉกลงบนพวงแก้มของเขา
กว่าจะรู้ตัวสาวเจ้าในชุดเดรสสีหวานก็อันตรธานหายไปจากตรงหน้า
ขนมผิงส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับตัวเอง ถึงจะเปลืองตัวไปบ้าง แต่ผลที่ได้มันก็คุ้มค่า
---------------------
ปิญญ์ชานนท์ไม่คิดเลยว่าอะไรมันจะเป็นเรื่องบังเอิญขนาดนั้น การนัดพบกับเพื่อนเพื่อคุยถึงเรื่องธุรกิจเล็กๆน้อยๆที่เขามีหุ้นส่วนอยู่ด้วยจะนำพาให้เขามาเห็นภาพบาดตาที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เห็น
ขนมผิงกับหญิงสาวว่าที่คู่หมั้นของเขากำลังแสดงบทรักกันอย่างออกนอกหน้านอกตาหน้าห้องอาหารที่อยู่ข้างๆกัน
หากเขาไม่ขอตัวเพื่อออกมาล้างหน้าล้างตาจากความเหนื่อยล้า คงจะไม่เจอภาพนี้
ขนมผิงเดินไปยังห้องน้ำค่อนข้างจะเซเล็กๆเรียกให้ปิญญ์ชานนท์จับจ้องไม่วางตา
ชายหนุ่มเดินตามร่างสูงโปร่งด้วยฝีเท้าที่เงียบงัน
แผ่นหลังที่คุ้นเคยนั้นตอกย้ำให้เขาทั้งคิดถึงทั้งแค้นเคืองใจใจการกระทำขอขนมผิง
ในระหว่างที่ขนมผิงก้มหน้าลงกับอ่างน้ำเพื่อล้างหน้าให้สร่างจากอาการมึนเมา
“ดูไม่เหมาะสมกันเลยนะ”เสียงกระซิบยั่วเย้าดังขึ้นข้างหูทันทีที่ยืดตัวขึ้นมา
ขนมผิงสะดุ้งเล็กๆไม่คิดว่าจะเจอกับปิญญ์ชานนท์ที่นี่
“ ” ขนมผิงวางท่าทีนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ราวกับอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ
ร่างสูงฌปร่งเบี่ยงตัวหลบออกมาแล้วเดินหนี
ทำให้ชายหนุ่มที่อารมณ์คุกรุ่นอยู่แล้วไม่พอใจ มือใหญ่ดึงกระชากเอาแขนของอีกฝ่ายเข้าหา
ขนมผิงเซเล็กๆจ้องมองใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายนิ่ง
“คิดจะทักทายผัวหน่อยรึไง”น้ำเสียงแข็งกร้าวเอ่ยประชดประชัน
แต่ขนมผิงยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาคมจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แทบจะไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดใด
“อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้นายไปได้สวยกับเดหลี”
“ครับ”ขนมผิงคอบรับสั้นๆ เบนตาหลบราวกับไม่อยากจะมอง
เพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์ที่ห่างกันขนมผิงก็กลับมาเป็นคนแข็งกร้าวดังเดิมอีกครั้งมันทำให้ปิญญ์ชานนท์ยิ่งไม่พอใจหนักกว่าเก่า
ชายหนุ่มกระชากแขนที่กำแน่นอยู่อีกครั้งให้ร่างสูงโปร่งเซเข้าไป จนปะทะกับแผงอก
ความใกล้ชิดมันต่างจากเมื่อครู่ทำให้คนที่พยายามไม่ใส่ใจกับอีกฝ่ายสั่นเล็กๆเมื่อแขนอีกข้างของปิญญ์ชานนท์โอบเข้ามารวบกอดที่เอว
“คิดถึงผมเหรอครับ”ขนมผิงเงยหน้าถาม
ซึ่งนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงชะงักเช่นกัน
ปิญญ์ชานนท์รู้สึกหัวใจเต้นถี่รัวขึ้นเมื่อคำถามนั้นมันกำลังตอกย้ำหัวใจที่ด้านชาของเขา
“ทำไมล่ะ…คนเป็นผัวจะคิดถึงเมียของตัวเองไม่ได้รึไง”ปิญญ์ชานนท์กระซิบก้มลงมาจนจมูกโด่งคลอเคลียอยู่บนพวงแก้ม
“หึ”ขนมผิงส่งเสียงเหยียดออกมา มือผอมล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อสูทเพื่อควาญหาอะไรบางอย่างที่ปิญญ์ชานนท์น่าจะคุ้นเคยกับมันดี
ทว่ามือใหญ่ของปิญญ์ชานนท์กับล้วงเข้ามาดึงมือของเขาให้ชะงักแล้วตรึงมันเอาไว้
ชายหนุ่มดึงเอาร่างสูงโปร่งที่ยังคงมีอาการมึนหลงเหลืออยู่ให้เดินตามเข้าไปในห้องน้ำ
“คิดจะทำอะไรเหรอครับ”ขนมผิงถามด้วยท่าทางที่ใจเย็น ตอนนี้กำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูท
ทว่าปิญญ์ชานนท์กลับล้วงมือเข้ามาในเสื้อสูทของขนมผิง
“คิดว่านายจะใช้มันได้อีกครั้งรึไงกัน”
เครื่องมือร้ายกาจอันเล็กที่ปิญญ์ชานนท์เคยได้ลิ้มรสมันถูกโยนลงถังขยะ
ใบหน้าแดงเรื่อขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเครื่องมือชิ้นนั้นบัดนี้ลงไปนอนอยู่ที่ก้นถังขยะเสียแล้ว
“คราวนี้เราก็มาคุยกันเรื่องผัวๆเมียๆดีกว่า”แขนทั้งสองข้างยกขึ้นกักร่างของเขาเอาไว้
ขนมผิงไม่ตอบโต้ แต่จ้องมองปิญญ์ชานนท์ด้วยสายตาที่นิ่งเฉย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเงยหน้าตอบรับใบหน้าที่โน้มลงมา
ริมฝีปากหยักกำลังคลอเคลียอยู่บนจมูกโด่งรั้นอย่างอ้อยอิ่ง
“ถ้าไม่กลัวลิ้นขาดก็จูบลงมาสิครับ”
ขนมผิงยิ้มยั่ว แต่ตอนนี้ปิญญ์ชานนท์กลับไม่ได้สนใจรอยยิ้มยั่วเย้านั้นเลยสักนิด
แต่ดวงตาดุดันของเขากำลังเพ่งมองรอยแดงเรื่อจากลิปสติกบนพวงแก้มนั่นมากกว่า
แก้มนี่เป็นของเขา…ทุกอย่างของขนมผิงเป็นของเขา
ชายหนุ่มกัดฟันด้วยความไม่พอใจ
ใบหน้าของขนมผิงถูกจับให้เงยขึ้นมาจ้องตอบกับดวงตาดุดันที่กำลังฉายแววกราดเกรี้ยว
“ถ้าหมาอย่างนายกล้าแว้งกัดฉัน ฉันก็กล้าที่จะลดตัวลงไปกัดกับหมาอย่างนาย”
สิ้นเสียริมฝีปากร้อนผ่าวก็บดจูบลงไปอย่างหนักหน่วง
ตอนนี้ปิญญ์ชานนท์กับลังหงุดหงิดใจ ไม่ใช่เพราะถูกแย่งคู่หมั้น หรือว่าอะไรทั้งนั้น
แต่เพราะของของเขากำลังถูกคนอื่นสัมผัสต่างหากที่สำคัญกว่า
ลิ้นชื้นสอดเข้าไปในโพลงปากนุ่มกรุ่นกลิ่นสาเกหอมทำให้ราวกับว่ากำลังถูกมึนเมา
ขนมผิงไม่คิดว่าปิญญ์ชานนท์จะจูบลงมาไม่ทันตั้งตัวแบบนั้น
กรามถูกบีบให้ตอบรับจูบ ทั้งที่อุตส่าห์ขู่ไปแบบนั้น แต่ก็กลับไม่ทำ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ราวกับเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดีที่ต้องตอบรับสิ่งนั้นเข้ามา
เผลอตอบรับสิ่งนั้นเข้ามาไม่ว่าจะด้วยความมึนเมาหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขาไม่ปฏิเสธความเคยชิน
แต่ความแค้นใจมันก็ผลักดันให้มือของเขาล้วงหยิบของเล่นชิ้นใหม่ที่ตั้งใจจะอามาทำความรู้จักกับปิญญ์ชานนท์ขึ้นมา
ขนมผิงรวบรวมแรงที่มีผลักอีกฝ่ายออก
ปิญญ์ชานนท์ที่หลงมึนเมาอยู่กับรสจูบเร่าร้อนนั่น ไม่ทันระหว่างตัวร่างสูงก็ผละออกมา
“อะ โอ้ยยย นายทำอะไรน่ะ”
ปิญญ์ชานนท์ยกมือขึ้นมากุมหน้า
“ถ้าไม่อยากตาบอดก็รีบไปล้างออกซะนะครับ ถือว่าเป็นคำเตือนจากคนที่คุณทึกทักว่าเมียก็แล้วกัน”
ขนมผิงผลักชายหนุ่มออกจากประตูแล้วเดินออกมา ทิ้งให้ปิญญ์ชานนท์ได้ลิ้มรสถึงความเผ็ดร้อนของสเปรย์พริกไทย ของเล่นชิ้นใหม่ที่คงจะต้องรู้จักกันอีกหลายครั้ง
----------------
“ปะป๊ากลัมาแล้ว/ปะป๊ากลับมาแล้ว”
“กริมคิดถึง”
“หลิ่มก็คิดถึงฮับ”เจ้าสองแสบวิ่งเข้ามาเกาะขา
“ทำไมถึงยังไม่นอนกันล่ะครับ”ขนมผิงลูบหัวเจ้าตัวอ้วนทั้งสองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองมารดาเป็นเชิงถาม
แต่ลำดวนเพียงส่ายหน้าเล็กๆแล้วจ้องมองที่เจ้าสองตัวแสบที่ยืนยันว่าจะรอขนมผิงอย่างเดียว
“ทำไมไม่นอนล่ะครัย ไหนตอบป๊ามาสิ”
“ก็กริมคิดถึงปะป๊า”
“หลิ่มด้วย”เจ้าสองแสบทำแก้มป้องช้อนตาขึ้นมามอง
“ต้องมีอะไรแน่แน่ ใช่ไหม”ขนมผิงสังเกตท่าทีของลูกชายทั้งสองก็รู้ได้ทันที่ว่ากำลังจะอ้อนเอาอะไร
“เด็กๆจะเอาอะไรเหรอครับแม่”
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แม่ถามก็ไม่ตอบ บอกแค่ว่าความลับความลับ ไม่ยอมนอนอีกต่างหาก บอกแต่จะรอเจอผิงอย่างเดียว”
“งั้นเดี๋ยวผิงพาลูกเข้านอนเองครับแม่ แม่ไปนอนเถอะ”
ขนมผิงออกปาก ลำดวนเพียงแค่พยักหน้ารับแล้วถอนหายใจออกมา
ช่วงนี้มันเหมือนจะมีอะไรชอบมาพากล แต่ก็ไม่กล้าถามกลัวว่าลูกชายจะเครียดไปเปล่าๆ ทำได้ก็แค่เฝ้ามองอยู่ห่างๆเหมือนทุกที
“ไหนอยากได้อะไรบอกป๊ามาสิ”ขนมผิงวางสอบแสบลงบนเตียง
ปลากริมและสลิ่มมีท่าทีอึกอัก มือป้อมๆเขี่ยกันไปมาคล้ายกับไม่กล้าบอก
“ถ้าไม่บอกป๊าก็ไม่รู้นะครับว่าอยากได้อะไร”
“ปะป๊าต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่โกรธเราสองคน”
“ใช่ฮับปะป๊าห้ามโกรธหลิ่มกะพี่กิมนะฮับ”
เจ้าสองแสบช้อนตาขึ้นมอง กระพริบตาปริบๆเรียกให้ขนมผิงยิ่งสงสัยมากกว่าเก่า
“โอเคครับ ไม่โกรธก็ไม่โกรธ”ขนมผิงยิ้มบาง
“สัญญาก่อนนะฮับ”ปลากริมต่อรอง
มือป้อมๆของทั้งคู่ยืนมาข้างหน้าเหมือนจะทำสัญญา
“ป๊าสัญญา”ขนมผิงพยักหน้ารับยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้มป้อมๆ
“ปะป๊าใจดีที่สุดเลยฮับ”
“เย้หลิ่มรักปะป๊า”
พอสัญญาเจ้าสองแสบก็กระโดดขึ้นมาโถมตัวใส่แล้วกอดคอทำให้ขนมผิงเซไปทางด้านหลังเล็กน้อย
“ปะป๊าดื่มเหล้ามาเหรอฮับ”
“กิมไม่ชอบเลย”
ทั้งสอบแสบผละออกแล้วยุ่ยหน้าใส่
“นิดเดียวครับ ป๊าไปคุยงานมา”ขนมผิงยิ้มบางยกเสื้อขึ้นมาดม
“ไม่อยากให้ปะป๊ากินเลย”
“ปะป๊าจะเมา”
“โอเค สัญญาว่าจะไม่ดื่มอีก พอใจยัง”ขนมผิงยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้วยิ้มให้ลูกชาย
“โอเคฮับ/โอเคฮับ”เจ้าสองแสบรับคำรีบมากระโดนใส่เหมือนเดิม
“ว่าแต่ เมื่อกี้จะขออะไร ยังไม่ได้บอกป๊าเลย”
“กิม กะน้องหลิ่ม…อยาก”สองแสบก้มหน้าอ้ำอึ้ง
“อยากได้อะไรครับ”
“อยากไปหายุงปิญญ์ กิมกะหลิ่มคิดถึงยุงปิญญ์”
“ไม่ได้”
“ไหนปะป๊าบอกว่าจะไม่โกรธไงฮับ”สลิ่มเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตากลมโตมีน้ำตารื้นที่ขอบตา
“ทำไมถึงต้องอยากเจอคนแบบนั้นด้วย”
“กิมกะน้องหลิ่มคิดถึงยุงปิญญ์”
“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด นอนกันได้แล้ว”
“ไหนปะป๊าบอกว่า”
“นอนกันได้แล้ว ป๊าเหนื่อย”
ขนมผิงจับให้ลูกชายที่น้ำตารื้นขอบตาลงนอน ดวงตาคมเลือกที่จะหลบตาไม่สบตาลูกชายที่มองมาด้วยแววตาเสียใจ
ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกมา
“ปะป๊าใจร้าย”
เสียงนั้นราวกับมีดที่กรีดแทงลงมาที่หัวใจ
อะไรที่ให้ลูกได้ แน่นอนเขาจะให้ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
แต่ต้องไม่ใช่เรื่องนี้ เรื่องนี้เท่านั้นที่ยอมไม่ได้
ทำไมทั้งที่เขาดูแลลูกมาอย่างดีตลอด แต่คนคนนี้ก้าวเข้ามาเพียงไม่กี่วัน เด็กๆก็กลับเรียกหา
เขาต่างหากที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับเด็กๆ ไม่ใช่ปิญญ์ชานนท์!!
-------------------------