ต่อ
ชายหนุ่มพาเด็กๆออกมาเล่นน้ำบริเวณหาดด้านหน้าของเกาะ ซึ่งแน่นอนว่าคนเป็นแม่ที่หวงลูกอย่างขนมผิงต้องตามมาติดๆด้วยการสวมกางเกงขาสั้นของเขาเพียงตัวเดียวแทนกางเกงว่ายน้ำ
เขาจงใจไม่เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ขนมผิงเพื่อจะกลั่นแกล้ง เป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายนั้นยอมจนมุม
การแข่งขันเล็กๆเกิดขึ้นเมื่อเด็กๆต่างก็ขี่คอของเขาและขนมผิงเพื่อที่จะตัดสินว่าใครขึ้นได้สูงกว่าใคร
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเพียงชั่ววูบ แผ่นอกเปลือยสีขาวกับใบหน้าแดงก่ำชื้นเหงื่อทำให้เขารั้งเอวนั่นเข้ามาชิด
“นายจะพยายามไปทำไมในเมื่อนายเองก็รู้ว่าต้องแพ้อยู่ดี”เหมือนจะถามถึงความสูงที่กำลังแข่งขัน
แต่กลับแฝงไปถึงเรื่องเกมทางธุรกิจที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้มากกว่า
“ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หรอกว่าจะทำได้หรือไม่ได้”
เป็นคำตอบที่ช่างดื้อรั้นพร้อมกับมือที่ยกขึ้นมาผลักไสเขา
“แล้วนายจะดันทุรังทำไปทำไมในเมื่อมันไม่มีประโยชน์”
“ผมทำทุกอย่างเพื่อลูกๆของผม จะอะไรผมก็ทำทั้งนั้น ไม่สนว่าทำได้หรือไม่ได้”ขนมผิงหลบสายตา ไม่มองตอบเขา
ถ้าให้เขาเลือกได้ เขาคงจะย้อนกลับไปแล้วทำทุกวิธีทางไม่ให้เกิดเรื่องทุกอย่างขึ้น
“แล้วตัวนายล่ะ มีความสุขหรือเปล่า”
“แน่นอน ถ้าลูกผมมีความสุขผมก็มีความสุข ถอยออกไป”
เขาถูกผลักให้ถอยออก แต่เด็กๆที่อยู่ด้านบนเหมือนจะเป็นใจแทนความคิดของเขา
เขายังไม่อยากจะผละออกตอนนี้ เด็กๆด้านบนจุ๊บกันอย่างสนุกสนาน
เขาเองก็อยากจะสนุกอย่างนั้นเหมือนกัน ตอนนี้เขาไม่อยากจะฝืนความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว
ทางเดียวที่เขาจะได้คำตอบทั้งหมดก็คือ…ปล่อยความรู้สึกทั้งหมดให้มันเป็นไป
เขาโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าขาวสะอาด แล้วจูบลงบนริมฝีปากเม้มตรง
เขายอมรับอย่างเต็มใจว่าเขาฉวยโอกาส
“คุณมันโรคจิต”
“หึหึ”เขาหัวเราะออกมาในลำคอเมื่อท่าทีของขนมผิงในเวลานี้พยายามกลบเกลื่อนความอับอายและความตกใจเอาไว้ไม่มิด
เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน…
เขาอาศัยช่วงเวลาที่ขนมผิงพาเด็กๆเข้านอนกลางวัน ติดต่อไปยังจิตแพทย์คนเดิม
คำถามที่เขาได้มาตอนนี้เขาได้คำตอบแล้ว ถึงมันจะยังไม่ทั้งหมด
“ผมคิดว่าผมได้คำตอบที่คุณถามผมแล้ว”
‘ค่ะ ไหนลองว่าคำตอบของคุณมาสิคะ’
“ผมคิดว่าผมต้องการมองเห็นพวกเขาตลอดเวลา”
“แค่นั้นเหรอคะ แต่หมอคิดว่ามันไม่ใช่แค่นั้น เอาอย่างนี้ หมอจะให้คำถามที่มาจากคำตอบของคุณ หมออยากให้คุณถามตัวเองว่า ทำไมคุณถึงต้องการจะมองเห็นเขาตลอดเวลา”
“ก็ได้ ผมจะลองไปคิดดู”
คำถามที่ได้มาใหม่ เพราะอะไรเขาถึงต้องการมองเห็นขนมผิงกับเด็กๆอยู่ในสายตาตลอดงั้นเหรอ
นั่นสินะ…เพราะอะไร?
เขาเดินออกมาจากห้องครัวเห็นอีกฝ่ายนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น
เขาทิ้งตัวลงมานั่งข้างๆมองดูเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย
“นายเป็นลูกของคุณพิษณุจริงๆเหรอ”เขาถามออกไป แต่แล้วคำตอบที่ได้มากลับเป็นคำตอบที่ดูเหมือนจะยั่วโทสะของเขาอีกครั้ง
เขาดึงขนมผิงเขามาหาเพราะไม่พอใจในคำตอบที่ได้รับ ขนมผิงยังคงมีท่าทีก้าวร้าวและปฏิเสธเขาเหมือนเดิม
“อย่ามาแตะตัวผม มันน่าขยะแขยง คุณไม่รู้รึไง”ขยะแขยง เป็นคำที่ทำให้สติของเขาขาดผึ่งขึ้นอีกรอบ
“อะไรนะ นายกล้าพูดว่าขยะแขยงผัวตัวเองรึไง!! ฉันอุตส่าห์ใจเย็นกับนายแล้วนะ”
“คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสวมหน้ากากนี่”อีกฝ่ายยิ้มยั่ว ทั้งที่เขาพยายามจะระงับอารมณ์
“อย่ามายั่วโมโหฉันนะ ตอบมาว่าใช่หรือไม่ใช่”
“คุณก็อย่ามาบังคับผมให้มันมากนักนะ”
ขนมผิงจงใจใช้เท้าถีบมาที่หน้าท้องงของเขา แจ่การต่อต้านแค่นี้มันไม่ได้ส่งผลกระทบกับเขาสักเท่าไร
“ขนมผิง!! นายอย่ามาดื้อด้านไปหน่อยเลย”
“คุณก็อย่ามายุ่งกับครอบครัวของผม อย่ามาแตะต้องลูกผม อื้อ”
เขาบดจูบลงไปเพื่อกักคำพูดพวกนั้นเอาไว้ไม่ให้พูดออกมา ริมฝีปากของเขาบดขยี้บนริมฝีปากนุ่ม
“ปล่อย สิ บ้า เอ้ย”ขนมผิงพยายามเบือนหน้าหนีทำให้เขาซุกหน้าลงกับซอกคอ
“นายผิดเองที่ยั่วโมโหฉัน”
“นายเลิกยั่วโมโหฉันสักที”เขาบอกออกไป พลางมองใบหน้าที่ดูจะโกรธเคืองนั่น
“คนแบบคุณมันน่ารำคาญ”
“ต้องเป็นเหมือนนายวุฒิรึไง นายถึงจะชอบน่ะ”เขาประชดออกไป
“คนอย่างคุณเทียบเขาไม่ได้หรอก”
“แล้วจะต้องเป็นแบบไหนล่ะ นายถึงจะยอมรับ”ถามออกไปเหมือนจะมีความหวัง แต่เปล่าเลย เมื่อคำตอบที่ได้กลับมาเป็นเหมือนกับมีดโกนที่ตัดเยื่อใยบางๆให้ขาดสะบั้นลง
“แบบไหนผมก็ไม่ยอมรับทั้งนั้น ถ้าเป็นคุณ”
แล้วขนมผิงก็เดินหนีออกไป มันเป็นครั้งแรกที่เขายอมรับความรู้สึกของตัวเอง ที่เป็นราวกับฝ่ายที่พ่ายแพ้
พักใหญ่ที่ขนมผิงเดินออกไป เขาเดินตามออกมา ทอดมองคนที่กำลังมองออกไปยังท้องทะเลที่กว้างไกล
เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงที่จะทำให้ขนมผิงเลิกต่อต้านเขาสักที
มื้อเย็นของวันแรกเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆยังคงเดิม มันแปลกไปจากชีวิตในทุกๆวันของเขาที่ค่อนข้างจะเงียบเชียบ
“อาหย่อยไหมฮับ ปะป๊าทำกับข้าวอาหย่อย”เจ้าตัวกลมคนน้องยิ้มแป้นให้เขาพลางเคี้ยวข้าวจนเต็มแก้ม
“นั่นสินะ อร่อยผิดคาดเลยล่ะ”คุณปิญญ์ยิ้มออกมาเมื่อท่าทีน่าเอ็นดูนั้นทำให้เขามีความสุข
ใช่…เขากำลังมีความสุข กับบรรยากาศที่ไม่เคยได้รับ
บรรยากาศของครอบครัว
“ยุงปิญญ์ฮับ”เจ้าแสบน้องปีนขึ้นมานั่งบนตักเงยหน้ามองเขาตาใส
“ว่าไงล่ะ หืม”
เขาถามออกไปแล้วรั้งเจ้าตัวอ้วนมานั่งบนตักในท่าที่ถนัด
มืออวบๆกวักมือให้ก้มลงไปแล้วกระซิบอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้ใจของเขาอุ่นวาบขึ้นมา
“อยากให้ยุงเป็นเป็นพ่อนะฮับ”สลิ่มยิ้ม
“ไม่รู้สิ นั่นมันก็ขึ้นอยู่ว่าปะป๊าของพวกนายจะยอมรึเปล่า”เขาบอกเสียงเบา
“งั้นจุ๊บหน่อยฮับ”
เจ้าตัวแสบเงยหน้าทำปากจู๋ให้ อดไม่ได้ที่จะต้องก้มลงไป
ไม่นานคนพี่ที่นั่งอยู่บนตักของขนมผิงก็ลุกขึ้นมาสลับที่กับคนน้องที่อยู่บนตักเขา
“เอาจูบของปะป๊ามาฝากฮับ จุ๊บ”
มันเป็นเรื่องเล็กๆที่ทำให้หัวใจที่ด้านชาของเขากำลังมีความสุข
เขาตัดสินใจให้ขนมผิงนอนในห้องกับเด็กๆ เขาจะไม่พยายามบังคับขนมผิงอีกแล้วหากไม่จำเป็น
เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายอึดอัด ยังไงซะ ยังเหลือเวลาอีกหากวันที่เขาจะหาคำตอบให้กับตัวเอง
แต่ไม่รู้เพราะอะไรก่อนที่ประตูห้องนอนจะปิดลง เขากับเลือกที่จะดึงเอาอีกฝ่ายเข้ามาจูบ
หรือเพียงแค่ต้องการเห็นท่าทีของอีกฝ่ายเพียงแค่นั้น
“ของแบบนี้ฉันไม่ชอบรับฝากจากใคร”
ใบหน้าแดงก่ำที่ซ่อนในเงาสลัวทำให้เขาได้ใจ และยอมถอยออกมาจากพื้นที่ของอีกฝ่าย
พอรุ่งเช้าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คงไม่พ้นผ้าห่มที่คลุมกายของเขา
ทว่าอาการไม่สบายของเขามันกลับกำเริบขึ้นมาอีกครั้งทั้งที่คิดว่าหายดีแล้ว
เขาคิดว่าคนที่เกลียดชังเขาอย่างขนมผิงคงจะสะใจและมองเมินเขาที่เขานอนซมเพราะพิษไข้
แต่เปล่าเลย เมื่อขนมผิงกลับมาเช็ดตัวและดูแลเขา ถึงแม้ว่าท่าทีของขนมผิงนั้นจะดูไม่เต็มใจก็ตาม
มันค่อนข้างจะแย่ที่เด็กๆถูกกันตัวให้ออกห่างจากเขา แต่ถึงอย่างนั้น ท่าทีที่เด็กๆมีต่อเขาทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาไม่น้อย
อาการไข้ของเขายังคงอยู่ต่อมาอีกหลายวัน เขาได้แต่มองลูกๆอยู่ไกลๆ มีบ้างที่ขนมผิงจะยอมให้เจ้าตัวกลมทั้งสองต่างก็กระโดดไปมา วิ่งเข้าไปขาเข้าใกล้เด็กๆ แต่เขาเองก็ยอมเพราเป็นห่วงเด็กๆเหมือนกัน
เขามองไปที่เด็กๆกำลังอวดภาพวาดให้กับขนมผิง ขนมผิงมีท่าทางไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ต้องคลายลง
เด็กๆต่างกระโดดโลดเต้นแล้วปีนขึ้นมาหาเขา
ชั่วเวลาที่อีกหันไปมองรูปวาดรอยยิ้มของเขาก็ปรากฏขึ้นมาทันที ‘PAPA KRIM HLIM D’PIN’
ตัวอักษรภาษาอังกฤษง่ายๆถูกลงไป ตัวD ปริศนานำหน้าชื่อเขาเรียกให้ความสงสัยเกิดขึ้น
“D’อันนี้คืออะไรครับ”ชายหนุ่มถามเสียงเบา ไม่ขยับเข้าไปใกล้เพราะกลัวเด็กๆจะติดไข้
“อันนี้คือแดดดี๊ฮับ แต่ยุงปิญญ์ห้ามบอกปะป๊านะฮับ ปะป๊าจะโกรธ”
“ใช่ฮับ ห้ามบอกนะฮับป๊าป๊ะจะไม่ยิ้ม”คนน้องเสริมพากันหัวเราะคิกคัก
เขายิ้ม ยิ้มไม่รู้ตัวให้กับประโยคอันไร้เดียงสานั่น
ยิ้มโดยที่ไม่รู้ว่าใครอีกคนมองมาด้วยความอิจฉา
วันเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ หลังมื้อเย็นของวันที่ห้า เขาเลือกที่จะไม่ทานยาเพราะคิดว่าอาการของเขาค่อนข้างจะหายดีแล้ว
ในความคิดของเขาเขาคิดว่าอะไรหลายไอย่างมันกำลังจะลงตัว
คำตอบของเขาในตอนนี้คือเขาต้องการที่จะอยู่ใกล้ขนมผิงกับลูกๆตลอดเวลา ไม่ใช่แค่ต้องการจะมองเห็นเท่านั้น
ทำให้คำถามใหม่ของเขาคือการที่เขาต้องหาคำตอบว่า ทำไมเขาถึงต้องการใกล้ชิดกับขนมผิงและลูก
เขาตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อรู้สึกกระหายน้ำ คนที่ควรจะอยู่ข้างกายกลับหายไป
ไฟในห้องครัวถูกเปิดสว่าง ทำให้เขาเลือกที่จะเดินเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
เสียงของขนมผิงดังลดออกมาทำให้หัวใจหล่นวูบราวกับถูกฉุดด้วยแรงที่มองไม่เห็น
เขาจงใจเดินย้อนไปและย้อนกลับมาอีกครั้งด้วยฝีเท้าที่เน้นย้ำ
ใบหน้าที่แสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำให้เขานึกโกรธเคือง
ทำไมถึงต้องทำราวกับว่าต้องการจะหลุดพ้นและหนีไปให้ไกลจากเขา
‘ฮัลโหล คุณผิง ได้ยินผมไหมครับ คุณผิง คุณได้ยินไหม คุณจะให้ผมไปรับที่ไหน ผมเป็นห่วงคุณนะครับ ฮัลโหล ฮะ’
เขาแทบอยากจะเหวี่ยงเครื่องมือสื่อสารนั้นทิ้งให้มันแหลกไม่มีชิ้นดี แต่มันเป็นสิ่งจำเป็นทำให้ขาต้องละเว้น
ทั้งที่เขาพยายามจะมองอีกฝ่ายในมุมมองที่คิดว่าไม่เคยเห็น
แต่มันก็แค่นั้นในเมื่อขนมผิงยังคงเป็นขนมผิงที่เขารู้จัก
คนที่ไม่เคยเชื่องกับเขาสักที
---------------------