Encounter 1: Asoke
ประเทศกรุงเทพฯ นี่แม่งร้อนสิ้นดี!
ชายหนุ่มคนหนึ่งบ่นในใจขณะกำลังเดินไปยังตึกออฟฟิศของตัวเองในย่านอโศก ควันรถและมลพิษที่เกิดจากรถจำนวนมหาศาลบนถนนอโศกมนตรีในเวลาเช้าแบบนี้ยิ่งทำให้อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นไปอีก แล้วไหนจะมนุษย์ออฟฟิศจำนวนมากมายที่เดินกันขวักไขว่บนฟุตบาทจนชวนอึดอัดนี่อีก
หรือครั้งหน้ากูควรจะขึ้นมอเตอร์ไซค์วะ เขาคิดขณะใช้ผ้าเช็ดหน้าที่พกมาด้วยซับเหงื่อที่หน้าผาก แย่หน่อยที่เขาเป็นคนเหงื่อออกง่าย และเขาก็ไม่อยากจะไปทำงานวันแรกในสภาพสุดโทรมแบบนี้ด้วยสิ แต่เขาก็ผิดเองที่หลงคิดว่าตึกออฟฟิศของเขาอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าในระยะที่พอจะเดินได้
จริงๆ ก็เดินได้แหละ... แต่เหนื่อย!
ชายหนุ่มตัดสินใจแวะเข้าเซเว่นเพื่อตากแอร์สักครู่ก่อน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เขาจะได้แวะซื้อน้ำดื่มและอาหารกินเล่นเบาๆ เป็นอาหารเช้าซะเลย
ในขณะที่กำลังยืนรอจ่ายเงิน เขามองออกไปข้างนอกแล้วเห็นพนักงานออฟฟิศเดินผ่านไปมาหลายคนพลางนึกในใจว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว ที่ที่ทำงานของเขานี้ไม่ต้องใส่เชิ้ตแขนยาวผูกเนกไทแบบบริษัทอื่น ไม่อย่างนั้นเขาคงอึดอัดตายแน่ๆ
เขาคนนี้มีชื่อว่า บลู เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ และกำลังจะเริ่มต้นชีวิตทำงานครั้งแรกของตัวเองในวันนี้ เขาเป็นคนสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้ม แต่ก็มีแววตาขี้เล่นแบบเด็กๆ เขาเป็นคนประเภทที่คนมักจะทายอายุกันไม่ค่อยถูก และก็เป็นคนที่มีนิสัยขี้อายขี้ประหม่าต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกลิบลับเลยด้วย
“เชิญท่านต่อไปค่า” พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ส่งเสียงเรียก
“ครับๆ นี่ครับ” เขาวางนมถั่วเหลืองกับแซนด์วิชลงบนเคาน์เตอร์
“รับซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ”
“ไม่ครับ”
“แซนด์วิชอุ่นร้อนมั้ยคะ”
“เอ่ออ ไม่ครับ” แซนด์วิชไส้ปูอัดยำสาหร่ายยี่ห้อนี้มันไม่ได้กินกันเย็นๆ หรอกเหรอวะ
หลังจากจ่ายเงินเสร็จ บลูก็เดินออกจากเซเว่นและมุ่งหน้าตรงไปยังตึกออฟฟิศที่อยู่ข้างหน้าซึ่งก็อีกไม่ไกลแล้ว แต่ก่อนอื่น เขาต้องหาจังหวะข้ามถนนให้ได้เสียก่อน
สำหรับคนที่ไม่เคยมาย่านนี้มาก่อนแบบเขา ทำให้เขาอดกังวลนิดๆ ไม่ได้ เพราะทั้งรถใหญ่และรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งแข่งขันกันรีบไปยังจุดหมายของตัวเองนี้มันก็น่ากลัวไม่เบา โดยเฉพาะวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างพวกนี้แหละตัวดีเลย เขายังจำเมื่อครั้งก่อนที่เขามาสัมภาษณ์งานที่นี่แล้วซ้อนมอเตอร์ไซค์เข้ามาได้
ไม่รู้จะถูกรถชนตายหรือหัวใจวายตายก่อนกัน ใครเคยขึ้นพี่วินแถวอโศกคงรู้ดี
เขามองหาทางม้าลายหรือจุดที่เขาสามารถข้ามถนนได้แบบไม่เสี่ยงต่อชีวิตมากนัก แล้วก็เจอสัญญาณไฟคนข้ามอีกไม่กี่เมตรข้างหน้า ซึ่งก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งกำลังยืนรอข้ามถนนอยู่พอดี แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเดินไปถึงตรงนั้น คนเหล่านั้นก็เริ่มเกาะกลุ่มออกเดินกันไปก่อนแล้ว
บลูรีบสาวเท้าข้ามถนนเพื่อจะตามคนกลุ่มนั้นให้ทัน แต่ด้วยความเร่งรีบ ทำให้เขาลืมมองรถที่กำลังมาจากฝั่งขวามือของตัวเองเสียสนิท โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ที่ซอกแซกไปมา และกำลังวิ่งตรงเข้ามาหาเขา
“ระวังครับ!” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของบลู พร้อมกับดึงเสื้อของเขาอย่างแรงจนทำให้เขาต้องเซไปทางด้านหลังถึงสองก้าว
มอเตอร์ไซค์รับจ้างคันนั้นเบรกสุดตัวพร้อมกับเสียงกรี๊ดของผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นผู้โยสาร ตามมาติดๆ ด้วยคำหยาบอีกมากมายจากคนขับ
“ขอโทษครับๆ” ผู้ชายคนที่ช่วยชีวิตของบลูไว้พูดกับมอเตอร์ไซค์ พลางคว้าแขนของบลูแล้วรีบดันตัวเขาให้ออกวิ่งไปพร้อมๆ กัน “เร็วๆ เข้า”
บลูจ้ำเท้าให้ตามทันจังหวะการเดินของเขา และเมื่อรู้สึกตัวอีกที เขาก็ข้ามมาอยู่อีกฝั่งของถนนเรียบร้อย
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ น้อง” ชายคนนั้นพูดขึ้นพลางส่งยิ้มให้บลู
ทันทีที่ได้เห็นหน้าของเขาชัดๆ บลูก็รู้สึกปั่นป่วนในท้องขึ้นมาทันที ทั้งรอยยิ้มและแววตานั่น มันช่าง...
“เฮ้ย น้อง เป็นไรป่าวครับ เจ็บตรงไหนรึเปล่า พี่กระชากแรงไปเหรอ พี่ขอโทษ”
“อ... เอ่ออ ไม่ครับ ขอโทษทีครับ ขอบคุณครับ” บลูตอบไปอย่างตะกุกตะกัก
“ครั้งหน้าก็ระวังหน่อยนา รถมอไซแถวนี้มันขี่กันอันตราย ยิ่งเช้าๆ ด้วย ข้ามถนนอะไรต้องมองให้ดีๆ รู้ป่าว”
“ค... ครับ ผมลืมมองเอง”
ชายคนนั้นมองหน้าของบลูอยู่ครู่หนึ่ง “น้องชื่ออะไรเหรอครับ”
“ห... เหอ ผมเหรอครับ”
“ก็ต้องน้องสิ จะใครล่ะ” เขาหัวเราะ
“บลูครับ ผมชื่อบลู” เฮ้ย เขาว่าเขาเขินว่ะ นี่เขากำลังถูกผู้ชายที่เพิ่งช่วยชีวิตเขาถามชื่อว่ะเฮ้ย
ผู้ชายคนนี้ดูน่าจะอายุราว 20 ปลายๆ หรือ 30 ต้น ตัวไม่สูงมากนัก แต่ดูกำยำ สมส่วน นอกจากนั้นยังมีผิวขาวละเอียด ดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นก็กลมโต แล้วไหนจะไรหนวดอ่อนๆ ที่เหนือริมฝีปากเรียวบางนั่นอีก
“ทำงานแถวนี้รึเปล่า” เสียงของเขาปลุกบลูให้ตื่นจากภวังค์
“หา เหอ อ๋อ ครับ ใช่ครับ”
“พี่ก็เหมือนกัน งั้นถ้า... เราได้เจอกันอีกก็คงดีนะครับ”
“อ... เหอ” บลูเลิกคิ้วขึ้น “ยังไงนะครับ”
“เฮ้ยๆ พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้น... คือ” เขาดูเลิกลั่กขึ้นเล็กน้อย แก้มขาวๆ นั้นก็เริ่มแดงระเรื่อ “พี่หมายถึงว่าถ้าได้เจอกันอีกก็ทักทายกันได้นะ อะไรแบบนี้น่ะ”
“อ๋ออ ครับ ขอบคุณครับ” คราวนี้เป็นทีของบลูที่ต้องเขินบ้างแล้ว
ชายแปลกหน้ายิ้มออกมาอีกครั้ง “งั้นก็... โชคดีนะน้อง พี่ต้องไปละ ใกล้ถึงเวลาเข้างานแล้ว” เขาพูดก่อนจะเดินจากไป แต่แล้วสักพักก็ชะงักฝีเท้าลง หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าตังค์แล้วทำท่ายุกยิกๆ
บลูยืนมองชายที่เพิ่งช่วยชีวิตเขาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเขาหันกลับมาหาบลูอีกครั้ง บลูถึงกับสะดุ้งและรีบหันหลบไปทางอื่นทันที ชายคนนั้นเดินกลับมาหาเขาพร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ
“เอ้านี่ พี่ให้” เขายื่นกระดาษใบนึงให้บลู “ไปจริงละนะน้อง” เขายิ้มอายๆ ก่อนจะรีบเดินจากไป
บลูมองตามจนกระทั่งเขาเดินหายไปกับฝูงชน เมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังยืนเหม่ออยู่เหมือนคนบ้า เขาก็รีบออกเดินพร้อมกับดูกระดาษใบนั้น
มันคือนามบัตรที่มีชื่อของชายคนนั้นอยู่ เขาชื่อว่า น้ำมนต์ นอกจากนั้นยังมีเบอร์ติดต่อ อีเมล และ... ด้านหลังของนามบัตรที่เขียนไว้คือ
“เขินครับ... แต่อยากรู้จัก”
บลูหยุดยืนนิ่ง มือไม้สั่น และรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าวไปหมด เขาเพิ่งถูกผู้ชายจีบ(?) กลางอโศก!!
................................................................................................