ฝันครานั้น...น้องซันฝันเห็นทุ่งทานตะวันทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แต่มันไม่ได้เต็มไปด้วยสีเหลืองที่เขาเกลียดอีกแล้ว... ดอกทานตะวันกลายเป็นสีขาว ก้านดอกและใบถูกทาด้วยสีดำ... โลกของสีขาวและสีดำกว้างใหญ่ บนท้องฟ้าไม่มีเมฆ ไม่มีแม้แต่นก หรือแมลงปอฝูงใหญ่ ไม่มีแม้แต่ดวงอาทิตย์ เป็นฟ้าโล่งๆ สีขาวไม่มีสิ่งใด
พลันลูกบอลก้อนกลมปริศนาก็ค่อยๆ ลอยละลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้า ลูกบอลสีเทาๆ ริบหรี่ปราศจากแสงสีทอง... เหมือนก้อนขี้เถ้าที่ใกล้จะมอดดับ และนั่นก็ชวนให้รู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างประหลาด
“น้องซัน! ตื่นค่ะลูก ร้องไห้ทำไมคะ ฝันร้ายเหรอ? โอ๋เอ๋ ไม่เอานะไม่ร้อง...”
เสียงสะอื้นฮึกฮักคือสิ่งแรกที่น้องซันได้ยิน จากที่หายใจยากอยู่แล้วยิ่งหายใจไม่ออก คุณแม่โอบกอดเขาแน่น ถ้อยคำปลอบแผ่วเบาไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่นัก ดวงตากลมโตเปื้อนหยดน้ำใสๆ กวาดมองไปทั่วห้องตัวเอง แล้วชื่อแรกที่ร้องเรียกออกมาหลังตื่นจากฝันร้ายก็ทำเอาคนเป็นแม่ประหลาดใจ
“ฮึก พี่ซัน อึก อยู่ไหน...อึก ”
“ครับ?”
สิ้นเสียงร้องโยเย เสียงแหบห้าวก็ดังขึ้นขัด เขาถูกส่งให้อ้อมกอดแข็งแรงนั่น มือกำเสื้ออีกฝ่ายแน่นโดยอัตโนมัติ แผ่นหลังถูกลูบเบาๆ อย่างอ่อนโยน หูเองก็แว่วยินเสียงหัวเราะเอ็นดูจากมารดา
“เจอกันไม่ถึงวันก็ติดพี่เขาแจเชียว”
“คงเพราะชื่อเหมือนกันน่ะครับ” เด็กหนุ่มตอบ มุมปากยกยิ้มอ่อน
“พี่ซันมาจากไหน?” เขาโพล่งถาม จู่ๆ ก็นึกสงสัยขึ้นมา ทำไมคนคนนี้จู่ๆ ถึงโผล่มาท่ามกลางสายฝนกันนะ? เป็นภูตฝนหรือเปล่า? ถ้าเป็นภูตฝนล่ะก็...คงทำให้ฝนตกได้ทุกวัน แล้วน้องซันก็จะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน
“มาจากที่ไกลๆ ครับ” ฟังดูเหมือนแค่ตอบปัดๆ ไป แต่น้ำเสียงกลุ่มอุ่นนุ่มอย่างประหลาด
“ไกลมากไหม?” น้องซันขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำว่าไกลของอีกฝ่าย “หรือว่ามาจากบนฟ้า? พระอาทิตย์ก็ต้องมาจากฟ้าสิเนอะ?” พูดเออเองเสร็จสรรพไม่ฟังคำตอบ ก่อนจะดิ้นขลุกขลักลงไปนอนซุกกับเตียงอุ่นอีกครั้ง ตลบผ้าห่มขึ้นมาคลุมพลางมองคนสองคนในห้องตาแป๋ว
“ถ้าอย่างนั้นแม่ไปก่อนแล้วกัน ฝากดูแกหน่อยนะคะ...แล้วเท้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม” ประโยคท่อนแรกหันมาพูดกับเขา ส่วนท่อนหลังหันไปถามพี่ชายคนนั้น
น้องซันก้มลงมองเท้าของเด็กหนุ่ม ก่อนจะพบว่ามันพันด้วยผ้าพันแผล ยังมีเลือดซึมอยู่เล็กน้อย เห็นแล้วเขายังอดเจ็บแทนไม่ได้ น้องซันไม่เคยมีแผลใหญ่หรอกนะ แต่แค่โดนมีดบาดเขาก็น้ำตาซึมแล้ว
“ครับ พอยาชาหมดฤทธิ์แล้วก็เดินลำบากนิดหน่อย เจ็บอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร” พี่ซันยิ้มอ่อน ท่าทีนอบน้อมเหมือนหลุดมาจากในหนัง
“แล้วคืนนี้จะนอนที่ห้องรับแขกจริงๆ หรือคะ? ห้องนอนยังว่างอยู่อีกห้องแท้ๆ ”
“ไม่เป็นไรครับ อีกอย่างผมมารบกวนขนาดนี้ ห้องรับแขกก็มีโซฟากว้างอยู่ แค่นั้นก็พอแล้วล่ะครับ แค่มีที่ให้พักก็เป็นพระคุณมากแล้ว” เจ้าของเสียงห้าวโค้งศีรษะลงให้กับคุณแม่ น้องซันมองท่าทีนั้น ก่อนจะลุกขึ้นคลานเข้าไปหาคนตัวสูง
“พี่ซันนอนห้องนี้ก็ได้” ว่าแล้วก็กอดแขนเจ้าของชื่อหนึบ
“แต่ว่า...”
“นะ นะ นะ น้า...” พอเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะปฏิเสธ น้องซันก็เริ่มใช้วิธีออดอ้อนอย่างที่ชอบทำ
คนตัวโตกว่าจ้องหน้าเขาอย่างไม่แน่ใจ ดวงตาสีน้ำผึ้งสวยเองก็เหลือบไปมองคุณแม่ซึ่งยังยืนยิ้มอยู่ที่หน้าประตูห้อง
“แกอ้อนขนาดนั้นแล้ว ยังไงก็ขัดใจไม่ได้หรอกค่ะ”
แล้วฟูกพร้อมหมอนผ้าห่มก็ถูกนำมาวางไว้ข้างเตียงน้องซัน ทีแรกเขาก็ไม่ยอมหรอกนะ อยากให้พี่ชายขึ้นมานอนเตียงเดียวกันมากกว่า แต่เพราะว่าอาจจะติดหวัดกันได้ คืนนี้เลยยังต้องแยกที่นอนกันไปก่อน
น้องซันลืมตาโพลงในความมืด ไม่ได้รู้สึกง่วงงุนเลยสักนิด อาจเพราะนอนมาทั้งวัน ทั้งพิษไข้ก็เริ่มทุเลาแล้ว เสียอย่างเดียวตรงอากาศเย็นจัดจนทำให้ไม่อยากลุกออกจากผ้าห่มนุ่มๆ หูเองก็แว่วยินเสียงพลิกตัวของใครอีกคนซึ่งดังเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้
“พี่ซันนอนไม่หลับเหรอ?”
เสียงพลิกตัวพลันชะงักกึกทันทีที่เขาเอ่ยปากถาม น้องซันลุกขึ้นจากเตียง ชะโงกหน้าลงไปมองแผ่นหลังกว้างนั่น จริงๆ แล้วเขาก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับคนตรงหน้านัก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเพิ่งเจอกันครั้งแรกแท้ๆ
“นี่...นอนไม่หลับเหรอ?” พอไม่เห็นปฏิกิริยาจากอีกคน น้องซันก็กระโดดผึงลงจากเตียง มือเล็กๆ ตรงเข้าไปเขย่าไหล่ของคนตัวโตกว่าเบาๆ
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ นอกจากกายสูงนั่นที่พลิกตัวหันกลับมา ดวงตาสีสวยสะท้อนแสงจากไฟด้านนอกดูแวววาว มือซึ่งประกอบด้วยนิ้วเรียวยกขึ้นลูบศีรษะของเขาเบาๆ ชวนให้เคลิ้มง่วงอย่างประหลาด
“ถ้านอนไม่หลับ เดี๋ยวน้องซันนอนเป็นเพื่อนให้ก็ได้” เขาว่าเสียงใส ก่อนจะมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ ทิ้งตัวนอนเบียดกับอีกคน ไออุ่นๆ ชวนให้รู้สึกดี
“เรานี่เอาแต่ใจจริงๆ ” เสียงห้าวหัวเราะแผ่ว และแม้จะยิ้มอยู่ แต่สิ่งที่น้องซันสัมผัสได้กลับรู้สึกว่าคนข้างๆ นี้ดูหงอยเหงาเสียเหลือเกิน
“นี่...พระอาทิตย์ดับได้หรือเปล่า?” ถามออกไป เพราะจู่ๆ ก็นึกถึงความฝันขึ้นมา
“ดับได้สิครับ” คนที่ชื่อเดียวกับพระอาทิตย์ตอบเขาเสียงนุ่ม
“ทำไมล่ะ? พระอาทิตย์ดวงเบ้อเริ่ม สว่างจ้าจะตาย” แถมร้อนด้วย ยิ่งวันไหนที่แดดแรงๆ เขาแทบไม่อยากกระดิกตัวไปไหนเลย
“ก็มันกำลังเผาตัวเองอยู่ยังไงล่ะ เลยได้แสงสว่างจ้าแบบนั้น”
“จริงอ่ะ?” น้องซันตาโต ความรู้ใหม่ที่ได้รับวันนี้ทำเอารู้สึกสงสารพระอาทิตย์ขึ้นมาหน่อยๆ ...ถ้าแบบนั้นก็ต้องเจ็บแย่เลยสิ ว่าไหม?
“แถมแสงที่ได้ยังจ้าบาดตาจนไม่มีใครอยากมองตรงๆ ด้วย...” ความเจ็บปวดฉายชัดอยู่บนดวงตาสีน้ำผึ้งคู่นั้น มุมปากสีสวยยกยิ้มอ่อนให้เขา แต่เป็นยิ้มแสนเศร้าที่ชวนให้ใจหดหู่เหลือเกิน
“ไม่จริงหรอกนะ” น้องซันว่าเสียงเข้ม พยายามเลียนแบบท่าทางของคุณครูสอนคณิตเวลาจะดุเด็กๆ
“ครับ?”
“ทานตะวันยังไงล่ะ”
“หือ?” คราวนี้เป็นฝ่ายคนตัวโตกว่าบ้างที่เลิกคิ้วสงสัย
“ก็พี่ซันบอกเองนี่นาว่า ไม่ว่าพระอาทิตย์จะไปอยู่ตรงไหน ดอกทานตะวันก็จะมองตรงไปแค่ที่ตรงนั้นน่ะ” น้องซันพูดเสียงซื่อ ก่อนจะต้องสะดุ้งโหยง เมื่อจู่ๆ คนข้างตัวก็หัวเราะออกมากะทันหัน
“เรานี่มัน...” เสียงแหบห้าวติดๆ ขัดๆ อ้อมแขนแข็งแรงคว้าเขาเข้าไปกอดแน่น ไหล่กว้างนั่นสั่นเทิ้มเหมือนคนที่พยายามจะกลั้นขำเอาไว้เต็มที่
“ขอบคุณนะครับ... ขอบคุณจริงๆ ”
น้องซันไม่รู้หรอกนะว่าอีกฝ่ายขอบคุณเขาเรื่องอะไร แต่แค่คนตรงหน้ายิ้มได้ขนาดนั้นก็ดีแล้ว
คืนนั้นพี่ซันเล่าเรื่องมากมายให้เขาฟัง ทั้งเมืองแปลกๆ ทั้งหิมะ สารพันอย่าง อย่างกับวิ่งอยู่ในโลกความฝัน และก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลับไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ก็แค่ว่าในความฝันของเขามีทุ่งทานตะวันกว้างใหญ่กับพระอาทิตย์ดวงเล็กๆ ที่แผ่แสงอบอุ่น
เป็นอาทิตย์ที่นวลตา และอ่อนโยนเหลือเกิน...
“ต้นไม้ต้นเบ้อเริ่มเลย!”
เสียงใสๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงน้ำตก ป้ายทางเข้าอุทยานเด่นหราอยู่ตรงหน้า ขาเล็กๆ วิ่งปร๋อเข้าไปโดยไม่รอคนซึ่งเดินตามอยู่ข้างหลัง
น้องซันกระโดดหยองแหยง ตากลมๆ เงยมองต้นไม้ขนาดยักษ์ประกอบเสียงน้ำตก อากาศในนี้เย็นกว่าด้านนอก บรรยากาศชื้นๆ ชวนให้รู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด และเพราะมัวแต่ดีใจจนเกินเหตุ ถึงได้วิ่งสะดุดหินก้อนเล็กๆ จนล้มโครมไปกับพื้น...
“ซัน!”
เสียงแหบคุ้นหูตะโกนลั่น ร่างของเขาถูกพยุงให้ลุกขึ้นจากพื้น ดวงตากลมคลอหน่วงด้วยน้ำตา ปากเล็กๆ เม้มแน่น ในขณะที่มือใหญ่ค่อยๆ ปัดเศษฝุ่นและใบไม้ตามตัวออกให้
“มีแผลหรือเปล่า” เสียงของคุณแม่ดังมาไกลๆ น้องซันส่ายหน้าหงึกหงัก มือเองก็จับนิ้วคนตัวสูงกว่าแน่น คงไม่กล้าวิ่งไปนู่นมานี่อีกสักพัก
วันนี้พวกเขาพาพี่ซันมาเที่ยวที่อุทยานมวกเหล็ก น้องซันเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งสมัยยังเล็กมากๆ และก็จำอะไรไม่ได้หรอกนะ มาคราวนี้เลยเหมือนมาเปิดโลกกว้าง และธรรมชาติสวยๆ ก็ทำเอาเขาตาโต
เสียงแจ้วๆ ชี้มือชี้ไม้ไปตลอดทาง น้ำตกขนาดไม่ใหญ่ส่งเสียงซาซ่า โขดหินเรียงซ้อนเป็นชั้นเตี้ยๆ เหมือนในตู้ปลาที่บ้าน มีบ้างบางโขดเป็นผาสูงดูน่ากลัว ซึ่งคุณแม่ก็กำชับเสียงเข้มว่าห้ามเข้าไปใกล้จุดนั้น
พวกเขาปูเสื่อนั่งกันตรงริมน้ำตกใต้ร่มไม้ครึ้ม คนบางตา แต่เขาสังเกตได้นะว่าพวกผู้หญิงเหลือบมองมาทางพี่ซันบ่อยๆ ก็คนคนนี้หน้าตาดีน้อยซะเมื่อไหร่ มองไกลๆ ก็สว่างจ้าเสียแบบนั้น สมกับเป็นพระอาทิตย์จริงๆ
คนตรงหน้าอยู่กับเขามาได้ครบอาทิตย์หนึ่งแล้ว และเพราะพี่ซันเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน วันนี้กว่าจะกล่อมให้ออกมาเที่ยวได้ น้องซันต้องใช้สารพันวิธี ทั้งอ้อน ทั้งงอแง กว่าจะทำให้พระอาทิตย์ใจแข็งยอมใจอ่อนให้ก็เหนื่อยแทบแย่
“ไปเล่นน้ำกัน” ฉุดมือใหญ่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นจากเสื่อ คุณแม่มองมาที่เขาพลางอมยิ้มเล็กๆ
พี่ซันยอมตามมาแต่โดยดี คนตัวสูงพับขากางเกงขึ้นจนพ้นหน้าแข้ง ท่าทางเก้ๆ กังๆ เหมือนจะไม่ชินกับอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่
“พื้นมันลื่นนะ น้องซันระ... !”
ซ่า!
เสียงน้ำสาดกระจายดังลั่น เขาหันขวับไปมองต้นเสียง ก่อนจะต้องหัวเราะ เมื่อคนที่เพิ่งจะเอ่ยปากเตือนไปเมื่อครู่กลับลื่นหินล้มลงไปแทน กายสูงเปียกโชกจนเสื้อสีขาวเนื้อบางแนบลู่ไปกับร่างกาย หูแว่วยินเสียงวี้ดว้าย และนั่นก็ทำเอาเขาหน้ามุ่ย ก่อนที่ขาเล็กๆ พาตัวเองวิ่งเข้าไปหาคนที่ยังนั่งสำลักน้ำอยู่บนพื้น
“ย้ายที่เล่นกัน”
“ทำไมครับ?” คนถามเสยผมไปข้างหลัง ดวงหน้าขาวสะอาดมีหยดน้ำเกาะพราว ตาสีน้ำผึ้งกวาดมองไปรอบๆ เหมือนหวาดระแวงบางอย่าง
น้องซันเอียงคอมองท่าทีนั้น จริงๆ แล้วพี่ซันก็มีท่าทีกระสับกระส่ายตั้งแต่ออกมาจากบ้านแล้ว ถึงจะแสร้งยิ้มสนุกสนานเฮฮากับเขาก็เถอะ...
“ไม่ชอบให้ใครมามองพี่ซันเลย” ว่าเสียงหงุงหงิง ไม่เข้าใจความนัยจากประโยคที่ตัวเองพูดหรอก แต่เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“อะไรกัน เดี๋ยวนี้มีหวงด้วยเหรอ” เด็กหนุ่มพูดเสียงกลั้วหัวเราะ มือใหญ่ยกขึ้นยีศีรษะเขาจนผมยุ่งไม่เป็นทรง
“ก็หวงอ่ะ!” น้องซันโวยวาย หน้ายู่กว่าเดิม ก่อนจะต้องชะงักกึก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งที่คล้ายจะหลุดออกมาจากในหนังสืบสวนที่คุณแม่ชอบดู
“น้องซันครับ...มีอะ...” เสียงห้าวพลันเงียบหาย เมื่อดวงตาสีสวยหันไปมองตามทิศที่เขาเพ่งไป
จู่ๆ บรรยากาศก็คล้ายกับจะกดดันขึ้นมา พี่ซันลุกขึ้นจากน้ำ เสียงแหบห้าวกระซิบกับเขาแผ่วๆ ว่าให้รออยู่ตรงนี้ เมื่อชายปริศนามองเห็นพวกเขาแล้ว และกำลังเดินเข้ามาหา
“คุณซันครับ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อคนข้างตัว
น้องซันยืนนิ่ง มองภาพแผ่นหลังเปียกโชกของพี่ซันซึ่งกำลังเดินตามคนปริศนานั่นไป... ใบหน้าของพระอาทิตย์ไม่ได้แย้มยิ้มอีกแล้ว แต่มันดูเรียบนิ่งเย็นชาเหมือนกับเป็นคนละคน...
คุณแม่วิ่งเข้ามาหา อุ้มเขาขึ้นจากน้ำ ย้ำเสียงเครียดว่าอย่าวิ่งไปไหนไกล ก่อนจะเดินตามเข้าไปสมทบกับสองคนนั้น น้องซันกำมือแน่น อยากจะเข้าไปร่วมด้วยอยู่หรอก แต่เขาเองก็พอจะรู้ว่าควรอยู่ตรงไหน แล้วสิ่งที่สัมผัสได้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องดี
คุณแม่เหมือนพยายามจะพูดอะไรสักอย่างกับชายปริศนา แต่ดูไม่เป็นผล พี่ซันเอาตัวเองมาขวางเธอไว้ พร้อมพูดอะไรสักอย่างกับผู้ชายคนนั้น ก่อนที่เดินแยกออกมาหาเขาที่นั่งอยู่ ส่วนคุณแม่เองก็เอาแต่ยืนหน้าเครียดอยู่แบบนั้น
“กลับกันเถอะครับ ดูท่าคงต้องมาเล่นน้ำตกกันวันหลังแล้วล่ะ”
เสียงแหบห้าวพูดกับเขา มือใหญ่ฉุดแขนเขาขึ้นมา ก่อนจะพาเดินกลับไปที่รถ น้องซันเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูง อยากจะชวนคุยสารพันเรื่อง แต่ก็ต้องเงียบเสียงลง ใจเขาวูบโหวงอย่างประหลาด
รู้สึกคล้ายกับว่าอีกไม่นานคงต้องลาจากกัน...
บนโต๊ะอาหารวันนี้ดูจะมีของเยอะแยะกว่าเดิม น้องซันตาโตทันทีที่เห็นปลาทอดตัวใหญ่ พี่ซันกับคุณแม่พูดคุยและหัวเราะ สองคนนั้นเอาอกเอาใจเขากว่าทุกที เอาเสียลืมไปเลยว่าเมื่อกลางวันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง
หลังจากกินจนอิ่ม อาบน้ำเรียบร้อย น้องซันก็กระโจนลงเตียงที่มีหมอนอยู่สองใบ กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่แบบนั้น ก่อนจะเคลิ้มง่วงอยู่หน่อยๆ เมื่อศีรษะถูกลูบด้วยมืออุ่น
“ราตรีสวัสดิ์ครับ” หน้าผากถูกกดด้วยจูบก่อนนอน พักนี้ชักจะชินเสียแล้วกับการกระทำแบบนี้
ไฟหัวเตียงถูกดับ ห้องตกอยู่ในแสงสลัว ก่อนที่เสียงเพลงเพราะๆ จะดังกล่อม...
เขาปรือตาปิด แต่ก็ยังไม่ได้หลับไปเสียทีเดียว สะลึมสะลือ... ก่อนจะพบว่าแรงยุบยวบจากข้างเตียงจางหายไป เสียงเปิดปิดประตูดังแผ่ว ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
น้องซันลุกขึ้นจากเตียง หูแว่วยินเสียงฟ้าร้องเบาบาง ดวงตากลมมองเลยออกไปนอกหน้าต่าง ต้นทานตะวันกำลังพัดไหวลู่ไปกับลมแรงกระหน่ำ เขาทิ้งปลายเท้าลงกับพื้นไม้อุ่น เดินช้าๆ ไปที่ประตูห้อง ค่อยๆ แง้มมันออกก่อนจะต้องชะงักกึก
“ไม่บอกแกจะดีหรือคะ?” เสียงของคุณแม่แว่ววานมา
“ถ้าบอก...เขาคงไม่ยอม” ตามด้วยเสียงของพี่ซันดูเศร้าซึมไม่ต่างจากวันแรกที่เขาได้เจอ
“พรุ่งนี้เช้าสินะคะ?”
“ครับ... ต้องขอบคุณมากจริงๆ ที่คุณยอมให้เด็กหนีออกจากบ้านอย่างผมได้พักที่นี่ ขอบคุณจริงๆ ครับ...”
น้องซันยืนนิ่ง มือกำลูกบิดแน่น น้ำตามันเหมือนจะเอ่อขึ้นมา สุดท้ายก็ตัดสินใจผลักประตูออกไป... และคนสองคนในห้องนั่งเล่นก็สะดุ้งเฮือกทันทีที่เห็นเขา
“พี่ซันจะไปไหน?” เขาถาม น้ำตาร่วงเผาะอาบสองแก้ม “จะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้วใช่ไหม?” ยิ่งพูดยิ่งสะอึกสะอื้น เขาเกลียดการจากลาเหลือเกิน เมื่อคิดว่าคนตรงหน้าจะไม่อยู่ด้วยกันแล้วก็อดเศร้าขึ้นมาไม่ได้
“พี่ต้องกลับแล้วครับ ชู่ว...ไม่ร้องนะ” กอดอุ่นๆ ถูกส่งมาให้ และนั่นก็ทำเอาเขาร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม
“ไม่...ไม่กลับไม่ได้เหรอ?” เขาถาม “อยู่กับน้องซันตลอดไปเลยไม่ได้เหรอ?”
“ขอโทษครับ...ถึงจะอยากทำแบบนั้น แต่พี่ก็ต้องกลับไป“ เสียงห้าวปลอบแผ่วพลางอุ้มเขาขึ้นจากพื้น แล้วพาเดินกลับเข้าไปในห้อง คุณแม่ที่ยืนอยู่ไกลๆ ได้แต่ส่งยิ้มอ่อนมาให้พวกเขาทั้งคู่ ท่าทางของเธอเองก็คงไม่อยากให้พี่ซันจากที่นี่ไปสักเท่าไหร่นัก
“ทำไมต้องกลับล่ะ...” เขาถาม สมองคิดไปถึงการเจอกันครั้งแรกที่กลางทุ่งทานตะวันนั่น
“พี่หนีบางอย่างมาน่ะ แต่ว่าตอนนี้จะกลับไปสู้กับมันใหม่ น้องซันไม่อวยพรหน่อยเหรอ? อวยพรให้พี่ชนะ...” เด็กหนุ่มวางเขาลงกับเตียง ก่อนจะนั่งคุกเข่ากับพื้นไม้ ดวงตาสีน้ำผึ้งสวยทอดมองมา พร้อมกับมือใหญ่ที่ช่วยเช็ดน้ำตาให้
“ไม่เอา” เขาส่ายหน้าดิก “ฮึก...ไม่อยากให้พี่ซันไปเลย” ว่าแล้วก็ปล่อยโฮลั่นยิ่งกว่าเดิม ปิดตาแน่น ไม่อยากสนใจอะไรอีกแล้ว ก่อนจะต้องสะดุ้ง เมื่อวัตถุเย็นเฉียบถูกสวมเข้าที่คอ...
“นี่ไง ทีนี้พี่ก็อยู่ข้างน้องซันตลอดไปแล้ว ไม่เอาไม่ร้องนะครับ ถ้าไม่อยากอวยพร...แค่ช่วยยิ้มกว้างๆ ให้พระอาทิตย์ดวงนี้หน่อยเนอะ”
สร้อยคอสีเงินกับจี้รูปพระอาทิตย์ที่เคยอยู่บนคอของอีกฝ่าย ตอนนี้มันถูกสวมให้เขาเสียแล้ว น้องซันนิ่งงันไป เม้มปากแน่น เขาพอจะเข้าใจอยู่ว่า งอแงอย่างไรเสีย สุดท้ายคนตรงหน้าก็คงต้องจากไปอยู่ดี... ไม่ช้าก็เร็ว สุดท้ายก็ต้องยอมรับ
“ยิ้มหน่อยนะครับ” เสียงแหบห้าวยังคงกล่อมเขาต่อไป “ยิ้มหน่อยนะเด็กดี นะ นะ นะ” ว่าแล้วก็กอดเขาหมับ จมูกโด่งสวยหอมฟอดเข้าที่ข้างแก้ม จั๊กจี้จนต้องหลุดหัวเราะออกมา พอเห็นท่าทีแบบนั้น คนตัวโตก็แกล้งจี้เอวเขาเล่นยกใหญ่ น้องซันหัวเราะเสียงใส ลงไปดิ้นขลุกขลักกับเตียง ก่อนจะยิ้มออกมาให้ใครอีกคนได้จริงๆ
“ขอให้ชนะ... พี่ซันทำได้อยู่แล้ว” เขาชูสองนิ้วให้คนตรงหน้า
ดวงตาสีสวยนั่นเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มอ่อนโยนมาให้ คนตัวสูงทิ้งกายลงกับเตียง ดึงเขาเข้าไปกอดอย่างที่ชอบทำ เสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะดังอยู่ข้างหู รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก และเสียดายไปในเวลาเดียวกัน... เพราะว่าวันพรุ่งนี้คงจะไม่ได้ยินเสียงนี้อีกแล้ว
“โชคดีจริงๆ นะที่ได้มาเจอกับเรา” มือใหญ่ยกขึ้นลูบศีรษะน้องซันอย่างที่ชอบทำ เห็นบอกบ่อยๆ ว่าผมของเขานุ่มมือเหมือนขนแมวดี
“สัญญาได้ไหมว่าจะไม่ลืม” เขาโพล่งถามออกไป ลุ้นระทึกหน่อยๆ กับคำตอบ
“ครับ...สัญญา”
คืนนั้นเรื่องเล่ามากมายที่ผ่านเข้ามาตลอดหนึ่งอาทิตย์ถูกนำมาเล่าใหม่อีกครั้ง เสียงหัวเราะดังแผ่ว ก่อนที่จะเงียบหาย เมื่อแต่ละคนจมลงสู่นิทรา เสียงฝนโปรยปรายอยู่ด้านนอก และน้องซันก็รู้อยู่เต็มอกว่าวันพรุ่งนี้...สายฝนพรำก็จะพาดวงอาทิตย์อุ่นๆ ของเขาไปด้วย
เช้าวันต่อมาที่ลืมตาตื่น แสงแดดส่องอ่อนๆ เข้ามาภายในห้อง ข้างเตียงไม่มีใครอีกคนต่อไปแล้ว... สายฝนจากเมื่อคืนเหลือเพียงหยาดน้ำเป็นประกายไล้กับกลีบทานตะวัน ลมเย็นๆ โชยอ่อน... และพระอาทิตย์บนฟ้าแลดูสว่างไสวกว่าทุกที
ไม่มีแม้ถ้อยคำบอกลาใดๆ ทว่าความรู้สึกที่สัมผัสได้ก็ทดแทนคำพูดนั้นไปจนหมดสิ้น... เพราะพระอาทิตย์ดวงนั้นไม่ได้จากน้องซันไปไหนไกลเลย และสักวันเขาเองก็เชื่อว่าจะได้พบกันอีก... ไม่ช้าก็เร็ว ในอนาคตที่ต้องดำเนินหมุนเวียนต่อไป
“น้องซัน...ตื่นหรือยังคะ?”
เสียงของแม่ตะโกนเข้ามา แว่วยินเสียงพูดคุยของผู้ชายอีกคนที่ดูท่าว่าจะยังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะจีบเธอ น้องซันยิ้มร่าให้กับประตูห้อง ดวงตาหันออกไปมองนอกหน้าต่าง จ้องพระอาทิตย์ยามเช้าด้วยสายตาเป็นประกาย ก่อนจะขานรับคุณแม่เสียงใส
“ตื่นแล้วคร้าบ!”
‘เพราะไม่ว่าพระอาทิตย์จะไปอยู่ตรงไหน
ดอกทานตะวันก็จะมองไปแค่ที่ตรงนั้นยังไงล่ะ’
.
.
.
“นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ให้ตายเถอะ...คนเรานี่มันคาดเดายากจริงๆ ว่าไหมซัน?”
เสียงใสๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบลอยอยู่ข้างหูเขา ทำเอามือที่กำลังพิมพ์เอกสารเป็นระวิงพลันต้องหยุดชะงัก ดวงตาสีเข้มสวยตวัดมองเพื่อนสนิท ก่อนจะต้องถอนหายใจเฮือก
“อู้บ่อยๆ ระวังฝึกงานไม่ผ่านนะ”
“นี่ เมื่อเช้าได้ดูข่าวหรือเปล่า” เธอเหมือนยังไม่สนใจ ไม่วายยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเขาเก็บไว้อีกแน่ะ
ซันยกยิ้มแล้วส่ายหน้าอย่างระอา ใบหน้าคมคายยังจับจ้องอยู่ที่จอคอมพิวเตอร์เครื่องเดิม พยายามไม่สนใจเสียงวี้ดว้ายของผู้หญิงข้างๆ ทั้งที่คิ้วเข้มสวยขมวดมุ่นนิดๆ
“ดาราที่โมเมว่าเป็นแฟนกับลูกชายเจ้าพ่อค้าเพชร เพิ่งโดนเจ้าตัวปฏิเสธกลางงานแถลงข่าวแหละ” เธอว่าแล้วก็หัวเราะสะใจ “หนุ่มหล่อแต่ปากร้ายสุดๆ ซันเคยเห็นหรือเปล่า? ขนาดมองรูปยังรู้เลยว่าตัวจริงต้องร้ายมากแน่ๆ ”
“เราไม่สนใจเรื่องแบบนั้นหรอก กลับไปทำงานเถอะ เดี๋ยวเราเอาเอกสารไปส่งก่อน” ว่าเสียงขันพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ หอบแฟ้มที่เพิ่งเรียงเสร็จขึ้นมาในอ้อมแขน กายเหยียดตรงเต็มความสูง
“นี่ ถามอย่างสิ ทำไมซันไม่มีแฟนสักที จะเรียนจบแล้วนะ” คำถามประหลาดถูกส่งมา เหมือนจะรั้งเขาไว้ไม่ให้เดินหนี
“ก็...คู่แท้ยังไม่โผล่มาสักทีมั้ง” เขายกยิ้มให้เธอ ก่อนจะหันหลังเดินจากมาอย่างรีบๆ
เสียงรองเท้าหนังดังก้องไปตามโถงทางเดินไร้คน แสงแดดจากหน้าต่างสูงจรดเพดานส่องอาบทางเดินสีขาวจนนวลทองหน่อยๆ เขาอดที่จะหันไปมองท้องฟ้าวันนี้ไม่ได้ ...ไม่รู้ว่าติดนิสัยมองฟ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้เพียงแค่ว่ามองมันทีไร เรื่องราวสมัยเด็กก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวทุกครั้ง
จู่ๆ หยาดฝนก็เทโครมลงมาทั้งที่แดดยังแผดเปรี้ยงอยู่แบบนั้น เขาเผลอหลุดหัวเราะออกไป วันนี้ดูจะมีแต่อะไรๆ ที่ชวนให้รำลึกถึงความหลังเสียจริง...
“คิดถึงจังเลยน้า...” บ่นพึมพำกับตัวเอง ขาก็ยังก้าวเดินต่อไป และเพราะมัวแต่ดูวิวข้างทาง ถึงไม่ทันได้ระวัง...
ปึก! โครม!
“!”
แฟ้มหนาร่วงกระจายเกลื่อนพื้น พอๆ กับที่ร่างของเขาลงไปจ้ำเบ้าอย่างทรงตัวไม่อยู่ ผิดกับอีกฝ่ายที่แค่เซเสียหลักไปเท่านั้น ...อย่างกับฉากในละครหลังข่าว ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาเกิดกับตัวเอง
“ข...ขอโทษครับ” รีบเอ่ยขอโทษออกไปอย่างเคยชิน แค่เหลือบเห็นว่าอีกฝ่ายใส่สูทสีเข้มเรียบกริบ เขาก็พอจะรู้แล้วว่า ฐานะของคนตรงหน้าต้องสูงพอตัว เอาซะไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง ใจตุ้มๆ ต่อมๆ ได้แต่กุลีกุจอก้มลงเก็บข้าวของของตัวเอง และโดยที่ไม่ทันได้ระวัง สร้อยสีเงินที่ใส่ติดคอมาเป็นสิบปี จู่ๆ ก็หลุดจากตะขอ หล่นแกร๊กลงกับพื้นขาว
รีบเอื้อมมือไปหยิบกลับมา แต่เหมือนคนตรงหน้าจะเร็วกว่า มือใหญ่นั่นช้อนเอาจี้พระอาทิตย์ขึ้นไปถือไว้ และตอนนั้นเองที่เขาจำต้องเงยหน้าขึ้น เพื่อร้องขอให้อีกฝ่ายคืนมันมา
“นั่นของ... ผม...”
เหมือนเสียงจะโดนดูดหายไปอย่างลึกลับ... เวลาเหมือนหยุดค้างอยู่ชั่วขณะ... ไม่ใช่เพราะว่าผู้ชายตรงหน้าเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารเสื้อสูทหรูระยับ หรือหน้าตาดีจัดจนหัวใจกระตุก ทว่าดวงตาสีน้ำผึ้งคู่นั้นต่างหากที่สะกดเขาจนนิ่งงัน
หัวใจเหมือนกำลังเต้นกระหน่ำ คำพูดมากมายคล้ายจะถ่ายทอดออกไปท่ามกลางความเงียบ... และเขาซึ่งควานหาเสียงของตัวเองอยู่ได้ก็เป็นฝ่ายทักทายออกไปก่อน
“สวัสดีครับ...”
มุมปากสีสวยบนดวงหน้าคมเข้มดูดุนั่นหยักยิ้ม ก่อนที่เสียงทุ้มหนักจะเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล...
“สวัสดี”
.
.
.
นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป
พบเจอกันอย่างง่ายๆ และจากไปอย่างง่ายๆ
แต่ไม่ว่าจะจากกันไปอีกสักกี่ครั้ง สุดท้ายก็จะกลับมาบรรจบกัน
...อย่างง่ายๆ
บนโลกสีเหลืองสดซึ่งอาบด้วยแสงจากอรุณใบนี้
ตราบเท่าที่พระอาทิตย์ยังคงส่องแสง และทานตะวันยังชูช่ออยู่ที่เดิม
ซัน ที่มาจากคำว่า ดอกทานตะวัน
กุมภาพันธ์ 7, 2014