ยิ่งเติบโตมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้หลงลืมความคิดในเยาว์วัยมากขึ้นทุกทีสนามบินชางฮีใหญ่โตหรูหรากว่าครั้งที่ผมเคยมาเมื่อนานมาแล้วอย่างเห็นได้ชัดสมกับเป็นสนามบินอันดับต้นๆ ของโลก ผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติเดินผ่านไปมาจนน่าเวียนหัว กระนั้นความเป็นระเบียบของผู้คนอย่างประเทศพัฒนาแล้วกลับทำให้ตั้งแต่เดินลงจากเครื่องบินจนขึ้นรถจากโรงแรมผมไม่เจอปัญหาเลยแม้แต่น้อย
“คุณวิคเตอร์จะมาถึงที่นี่ประมาณสี่โมงเย็นตามเวลาท้องถิ่น เขาอยากคุยกับคุณทันทีเพราะเขาต้องบินไปอเมริกาต่อพรุ่งนี้ตอนเที่ยงคืน ถ้าคุณสะดวกจะคุยกับเขาวันนี้ ผมจะได้แจ้งให้คุณวิคเตอร์ทราบ” คุณทนายวัยสี่สิบปลายแต่ดูแก่กว่าวิคเตอร์แจ้งความจำนงให้เมื่อเรามานั่งจิบอาฟเตอร์นูนทีกันที่เล้าจ์ของโรงแรมตอนบ่ายสองโมง
ผมนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง...ในเมื่อผมเองก็ไม่มีอะไรทำ การนัดคุยกันคืนนี้ให้มันจบเรื่องไปเลยคงดีที่สุด “เอาตามนั้นก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเคลียร์เอกสารพวกนี้กันก่อนเลยดีกว่าครับ จะได้ไม่เสียเวลา” ว่าแล้วคุณทนายก็เริ่มหยิบซองเอกสารออกมาวางบนโต๊ะที่เรียงรายไปด้วยกาน้ำชาและชั้นขนมเท่าที่สถานที่จะอำนวย
ผมลองกวาดสายมองคร่าวๆ แล้วส่วนใหญ่เป็นเอกสารกรรมธรรม์ของหม่าม้าที่ทำไว้ เหมือนว่าก่อนจากไปหม่าม้าจะทิ้งสมบัติไว้ให้ผมพอตัวอยู่เหมือนกัน ทั้งห้องเช่าสามแห่ง เงินประกันชีวิตจากสองที่ เงินสดในบัญชีธนาคาร และทรัพย์สินมีค่าชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่รู้คุณทนายไปหาข้อมูลมาจากไหนมาแจกแจงให้ผมงงเล่นๆ ว่ามีของแบบนี้ด้วยเหรออีกหลายสิ่ง ซึ่งพอรวมแล้วผมสามารถลาออกจากการอบรมแพทย์ประจำบ้านมานั่งๆ นอนๆ ปล่อยให้ราขึ้นตัวได้สักสี่ห้าปีเลยทีเดียว
นั่งคุยกับทนายของวิคเตอร์รอบแรกเสร็จตอนบ่ายสามโมงนิดๆ ก่อนแยกกัน หากก่อนจากก็ไม่ลืมแจ้งกำหนดการณ์ถัดไปในอีกสองชั่วโมงข้างหน้าที่ห้องพักส่วนตัวของวิคเตอร์
เมื่อลับหลังคุณทนายผมถึงกับถอนหายใจออกมา เสียงดนตรีคลาสสิกจากแกรนด์เปียโนบรรเลงบทเพลงทำนองช้าอารมณ์เศร้าออกมาเหมือนอ่านความรู้สึกผมได้ ถึงภายนอกจะดูนิ่งแต่ข้างในเต็มไปด้วยความสับสนมากมายที่อธิบายไม่ถูก อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ผมจะได้เจอกับผู้ชายที่เป็นพ่อของผมเป็นครั้งที่สองในชีวิต ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะได้เผชิญหน้ากันอีกครั้งแต่ผมกลับไม่มั่นใจ ผมตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามาที่นี่ทำไม แต่เพราะความรู้สึกเคว้งคว้างหลังหม่าม้าตายทำให้ผมไม่ใคร่จะอยากอยู่คนเดียวนักในตอนนี้ ผมจึงลางานนั่งเครื่องบินจากไทยมาหาวิคเตอร์ตามคำชวนของเขา
ข้างนอกหน้าต่างนั่นอ่าวมาริน่าดูขะมุกขะมัวตามสภาพอากาศที่ฝนทำท่าจะตกตลอดเวลาเหมือนกับความคิดและจิตใจของผม ที่จนตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรต่อไปถ้าได้คุยกับวิคเตอร์แล้ว...
.
.
.
ผมกลับมาพักสายตาที่ห้องได้ไม่เท่าไหร่คุณทนายก็มาเคาะประตูเรียกตอนห้าโมงตรง ผมบอกให้เขารอสักห้านาทีก่อนเข้าไปล้างหน้าล้างตา ไม่ลืมหยิบแว่นสายตาสั้นมาสวมแล้วออกไปหาวิคเตอร์
ห้องพักของดาราชาวฮ่องกงชื่อดังเป็นห้องสวีทเหมือนกันกับของผมแต่อยู่อีกฟากของตัวตึก จากห้องนั่งเล่นสามารถมองเห็นสิงคโปร์ ฟลายเออร์ อ่าวมาริน่า ตึกมาริน่า เบย์ แซนด์ และเมอร์ไลอ้อนได้แบบร้อยแปดสิบองศา สมกับเป็นห้องดีราคาแพงตกราคาหลายแสนบาทต่อคืน
วิคเตอร์นั่งรอผมอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าเขาดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลหากยังมีรอยยิ้มติด ได้ยินคุณทนายเปรยว่าบินมาจากอังกฤษเพื่อเรื่องของผมโดยเฉพาะ และเมื่อเสร็จธุระนี่แล้วจะต้องไปถ่ายหนังที่อเมริกาต่อ
ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา มีทนายนั่งอยู่ตรงกลางหันหน้าเข้าหาเราสองคน เพราะการเดินทางมาสิงคโปร์ครั้งนี้ของวิคเตอร์เป็นความลับจึงไม่ได้เรียกรูมเซอร์วิสให้ยกชุดน้ำชาเข้ามาเสิร์ฟ แต่ได้ผู้ติดตามของนักแสดงชื่อดังหยิบเครื่องดื่มในห้องมาให้เป็นวิสกี้อย่างดีคนละแก้ว
“ที่อยากให้มาคุยด้วยกันวันนี้ ฉันอยากถามวาว่าสนใจจะไปอยู่ด้วยกันไหม”
คำถามแรกหลังเราจิบวิสกี้ไปคนละนิดคนละหน่อยเล่นเอาผมมือไม้อ่อนวางแก้วลงแทบไม่ทัน นี่เขาเมาอะไรอยู่หรือเปล่าถึงพูดออกมาแบบนี้ นี่มันบ้าอะไรกัน...ผู้ชายที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาเลยตั้งแต่เกิดจนมาบอกว่าเป็นพ่อเมื่อเดือนที่แล้วกำลังจะชวนให้ผมไปอยู่กับเขาเนี่ยนะ!
“คุณว่าอะไรนะ ไปอยู่ด้วยกัน”
วิคเตอร์เงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากัน มันมีแต่ประกายของความอ่อนโยนอย่างผู้ใหญ่ใจดี “คล้ายๆ อย่างนั้น ความจริงฉันอยู่ไม่ค่อยจะติดที่นักหรอก แต่วาอยากย้ายกลับไปอยู่นิวยอร์คไหม แมนชั่นที่เธอเคยอยู่ตอนเด็กๆ ฉันซื้อไว้เอง ตอนนี้มันยังอยู่ดี ถ้ากลับไปอยู่ที่นั่นจะได้ไม่ต้องเป็นหมอ แล้ววาจะได้กลับไปทำตามความฝันที่อยากเป็นเชฟ”
หัวใจผมเผลอกระตุกขึ้นมา...ความฝันในอดีตของผมเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ผมคิดว่านอกจากหม่าม้าแล้วคงไม่มีใครรู้ ไม่นึกว่าเขาเองก็รู้
“จะไปเรียนที่ฝรั่งเศสหรือที่ไหนก็ได้ เรื่องทุนไม่ต้องห่วง ฉันพร้อมสนับสนุน”
“ผม...” จู่ๆ มันก็พูดไม่ออก ความฝันที่ผมหลงลืมไปแล้วไม่คิดว่าเขาจะรู้และจำมันได้ถึงกับเอามาล่อให้ผมญาติดีกับเขา
“ที่มาเป็นหมอก็เพราะหม่าม้าเป็นโรคหัวใจใช่ไหมล่ะ”
วิคเตอร์จี้ตรงจุดที่ผมคิดทบทวนมาตลอดตั้งแต่หม่าม้าเสียไป ถึงไม่เคยบอกเป็นคำพูดแต่คนรอบตัวล้วนรู้ดีถึงเหตุผลที่ผมมาเป็นหมอตอนอายุสิบหก ตั้งใจเรียนต่อทางด้านโรคหัวใจทั้งที่ความฝันคือการเป็นเชฟก็เพราะอยากรักษาหม่าม้าให้หายดี
“แต่ว่าตอนนี้หม่าม้าน่ะไม่อยู่แล้ว ไม่ได้ชอบเป็นหมอไม่ใช่เหรอ ก่อนหน้านี้ก็ยังทำอาหารอร่อยๆ กับหม่าม้า ถึงจะอายุเท่านี้แล้วแต่มันไม่มีคำว่าสายไปสำหรับความฝันหรอกนะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเธอเอง ยังอยากกลับไปทำตามความฝันอยู่ไหมล่ะ”
“ผมไม่รู้”
ข้างนอกนั่นฝนกำลังตกราวกับกำลังร้องไห้เสียใจให้กับทางเดินที่ไปไม่ถึงเส้นชัยของผม ถ้าไม่ใช่เพราะผมช้าเกินไปยังไม่ทันได้สำเร็จเป็นหมอหัวใจอย่างที่หวังผมคงได้ดูแลหม่าม้าได้ดีกว่านี้
มันถึงเวลาที่ผมควรเลี้ยวกลับไปเริ่มต้นใหม่กับสิ่งที่เคยวาดหวังหรือยังนะ....
.
.
วิคเตอร์บอกว่าจะให้เวลาผมคิดหนึ่งคืน ได้คำตอบแล้วให้มาบอกเขาพรุ่งนี้
เขาไม่ได้บังคับ ร้องขอ อ้อนวอน แต่ล้วงมือเข้ามาในร่างกายของผม แตะลงบนความลับในใจเพียงเบาๆ หากมากพอจะสั่นไหวจนผมไม่เป็นตัวของตัวเอง ตอนออกมาจากห้องของวิคเตอร์แล้วมันรู้สึกอึนๆ ไม่รู้อยากทำอะไรต่อ พอดีกับที่คุณทนายยื่นเครดิตการ์ดให้หนึ่งใบ ผมมองหน้าเขาสลับบัตรแทนเงินสดเหมือนคนโง่
“คุณวิคเตอร์ให้คุณทิวากานต์ไว้เผื่ออยากใช้ซื้อของหรือไปเที่ยวเล่นแถวนี้ ที่มาริน่า เบย์ แซนด์มีร้านค้าน่าสนใจอยู่เยอะถ้าไปที่นั่นจะได้ของมากมายทีเดียว อ่อ บัตรไม่จำกัดวงเงินนะครับ”
“เหอะ”
นี่คิดจะใช้เงินมาล่อกันหรือยังไง ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ผมก็หยิบการ์ดเล็กๆ สีดำใบนั้นมา แผนการชั่วร้ายบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว ในเมื่อเอาเงินมาให้ก็ขอใช้ให้หนำใจแล้วกัน
ถามพนักงานโรงแรมดูว่าถ้าอยากซื้อของฝากเล็กๆ น้อยๆ แถวนี้ไปที่ไหนได้บ้าง เธอก็แนะนำให้มาที่มาริน่า เบย์ แซนด์เหมือนคุณทนาย หากยังช่วยชี้โพรงถึงคาสิโนที่ให้เปิดชาวต่างชาติเข้าฟรี เท่านี้ผมก็รู้แล้วว่าควรไปที่ไหน
ผมเรียกใช้บริการรถของโรงแรมให้ไปส่งที่ตึกรูปทรงประหลาดมีเรือตั้งอยู่ด้านบน เพื่อเดินเข้าไปเสี่ยงโชคในคาสิโนเยี่ยงราชาก่อนกลับออกมาเหมือนยาจกเพราะตั้งแต่เริ่มแทงมาผมยังไม่ได้เงินคืนสักเหรียญ ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เมื่อผมไม่มีโชคด้านการพนันตั้งแต่เด็กแล้ว แต่จะแคร์ทำไมในเมื่อมันไม่ใช่เงินผมสักเหรียญ ในเมื่ออยากให้ใช้นักก็ขอใช้ชีวิตเยี่ยงเศรษฐีโปรยเงินทิ้งเล่นหน่อยเถอะ
ใช้เวลาละลายเงินที่วิคเตอร์ให้ไปเกือบสองพันดอลล่าร์สิงคโปร์ในนั้นไปสามชั่วโมง พอออกมาชักเริ่มรู้สึกหิวแต่ความเซ็งที่เสียเงินไปเกือบครึ่งแสนบาทรวมกับความเบื่อหน่ายชีวิตก่อนหน้าทำให้ผมเลือกเดินสูบบุหรี่แก้เซ็งแถวนั้นแบบไม่กลัวตำรวจก่อนกลับไปพึ่งอาหารฟรีจากรูมเซอร์วิสที่โรงแรม
กระนั้นอ่าวมาริน่าไม่ใช่สถานที่จะปล่อยตัวสบายๆ คนเดียวได้ตอนสี่ทุ่มเพราะผู้คนมากมายที่แวะเวียนเข้ามาชมแสงสีกันไม่ขาด ผมเดินข้ามสะพานเฮลิกซ์เข้าไปในสวนสาธารณะเล็กๆ ลงไปใต้สะพานที่ค่อนข้างเงียบจุดแท่งนิโคตินขึ้นสูบ
แต่ถึงจะเป็นเวลาเที่ยวขนาดไหน...
มันก็ไม่ใช่เวลาสำหรับเด็กผู้หญิงมายืนเงียบๆ คนเดียวเปล่าวะตอนแรกว่าจะทำเฉยไม่สนใจ แต่ยืนมองอยู่นานก็ไม่เห็นขยับไปไหน นอกจากทำท่าเอามือปาดหน้าอยู่หลายรอบ อีหรอบนี้ไม่หลงทางก็หนีออกจากบ้านแหงๆ
แล้วคุณคิดว่าผู้ชายดีๆ อย่างทิวากานต์คนนี้จะทำยังไงล่ะ ก็ช่างหัวมันสิ เรื่องอะไรจะไปหาเหาใส่หัวถ้าไม่ติดว่าไอ้เด็กนี่หน้าตาน่ารักไม่หยอก เฮ้ๆ อย่ามองผมด้วยสายตาอย่างนั้นสิ ผมเป็นโรคแพ้คนหน้าตาดีนะ ยิ่งโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงผมสีอ่อนแก้มใสท่าทางบอบบางเหมือนลูกคนมีเงินแบบนี้จะปล่อยให้กลายเป็นเหยื่อไอ้เข้ได้ไง แม้สิงคโปร์จะได้ชื่อว่าปลอดภัยก็เถอะ
สุดท้ายหลังล่อลวงอีกฝ่ายด้วยของกิน ผมจึงเดินพาเด็กนั่นไปที่สถานีรัฟเฟิลส์เพราะเดาเอาว่าคงหนีออกจากอกพ่อแม่มาแบบไม่คิดแล้วน่าจะยังไม่กินอะไร อีกอย่างหม่าม้าเคยบอกว่าถ้าคิดอะไรไม่ออกให้ไปหาอะไรกินเพราะเมื่อท้องอิ่มมันจะช่วยจะเรียกสติกลับคืนมา ผมซึ่งพิสูจน์มาแล้วว่ามันจริงจึงยอมหิ้วท้องเดินพาเด็กนี่ไปเสียเงินเพิ่มที่ศูนย์อาหารอันได้ชื่อว่าเด็ดเรื่องสะเต๊ะแทน ถึงแม้ผมจะเกือบโดนลากเข้าตะรางเพราะถูกเข้าใจผิดว่าลักพาตัวเด็กนี่มาก็เหอะ
หลังเดินเลี่ยงสายตาแปลกๆ ของคนในศูนย์อาหารที่คิดว่าผมไปลักพาตัวเด็กมากลับมาที่เดิมเด็กนี่ถึงเริ่มเปิดปากพูดยาวๆ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นถามไปห้าจะตอบกลับแค่หนึ่งเท่านั้น
ผมยืนฟังจากยัยเด็กนี่เล่าเรื่องราวการผจญภัยเปลี่ยนลูกเศรษฐีเป็นแบคแพคเกอร์ยาจกมีเงินติดตัวแค่ร้อยเหรียญสำหรับการเที่ยวเจ็ดวันด้วยความสนใจกับสำเนียง RP (Recieved Pronuciation - สำเนียงมาตรฐานอังกฤษที่ราชวงศ์อังกฤษใช้กัน) ที่บ่งบอกความเป็นผู้ดีของแท้ ก่อนสรุปความได้ว่าความฝันของเด็กน้อยลูกคนหนูหน้าตาน่ารักคนนี้ที่ถูกขัดขวางคือการอยากเป็นผู้ชายแน่นอน
ไม่ใช่ล่ะ... ถึงท่าทางเหมือนทอมแต่เจ้าตัวดูอ่อนหวานแก่นเซี้ยวเหมือนพวกเด็กห้าวๆ มากกว่า ผมคิดว่าความฝันของเขาน่าจะเป็นพวกดารานักร้องไม่ก็นางแบบวิคเตอเรีย ซีเครท(ทั้งที่สูงแค่อกผม)ตามสมัยนิยม
ซึ่งไม่แปลกใจถ้าคนเป็นผู้ปกครองจะไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะผู้ปกครองที่มีสตางค์และมีการศึกษามาก ขนาดในสายตาผู้ชายอายุยี่สิบแปดแบบผมยังมองว่าอาชีพในวงการบันเทิงนั้นคนที่ประสบความสำเร็จมันก็มี แต่ที่ล้มเหลวกลับเยอะกว่ามาก
“คุณเคยมีความฝันไหม”
จู่ๆ เด็กนี่ก็ถามขึ้นมา ผมนิ่งไปชั่วครู่แล้วตอบกลับไปตามตรง “เคย แต่ทิ้งไปนานแล้ว”
“ทำไมล่ะ”
“ฉันเลือกเดินไปอีกทางที่มันดีกว่า”
“แล้วคุณรู้ได้ไงว่ามันดีกว่า”
คำถามของเขาทำเอาผมสะอึกนิ่งไปอีกครั้ง นั่นสิทำไมผมถึงคิดว่าการมาเป็นหมอถึงดีกว่าการเป็นเชฟนะ ผมเงียบไปอีกครั้ง พยายามคิดว่าทำไมตอนอายุสิบห้าถึงตัดสินใจมาเรียนหมอทั้งที่วัยนั้นผมน่าจะเฮี้ยวน่าดู
“อืม... เพราะมันได้เงินแน่นอนกว่า แล้วก็ฉันยังทำสิ่งที่เป็นความฝันของฉันได้ไปพร้อมๆ กันไง”
“ความฝันของคุณคืออะไรเหรอ”
“ฉันอยากเป็นเชฟ คนทำอาหารน่ะ”
“หน้าอย่างคุณเนี่ยนะ”
ยัยเด็กเสียมารยาท! ผมอยากจับเขกหัวสักทีแต่ติดหน้าตาน่ารักนั่นเลยตัดใจไม่ทำ
เห็นหล่อๆ แบบนี้แต่ทิวากานต์ก็ทำอาหารเก่งนะเว้ย เก่งระดับที่ถ้าได้ไปเรียนเลอ กอร์ดอง เบลอป่านนี้คงเป็นเชฟอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้ แล้วก็ไม่ต้องใส่แว่นสายตาสั้นนี่เพราะอ่านหนังสือมากเกินไปด้วย
“หน้าอย่างฉันมันทำไมหือ? ฉันชอบทำอาหารมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เคยคิดอยากไปเรียนที่เลอ กอร์ดอง เบลอด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าดันสอบเข้ามหาลัยได้ซะก่อน”
“คุณก็เลยล้มเลิกความฝันที่อยากเป็นเชฟ”
“ใช่”
“คุณไม่เสียใจเหรอ”
“ไม่ เพราะฉันคิดว่าฉันรักการทำอาหารมากกว่าการได้เป็นเชฟ ต่อให้ฉันไปทำอาชีพอื่น แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ยังได้ทำอาหารอยู่ดี มันไม่จำเป็นหรอกที่ต้องชอบทำอะไรมากๆ แล้วต้องจบลงด้วยอาชีพนั้นๆ ฉันแค่เลือกทางเดินที่ดีที่สุดในตอนนั้นให้ตัวเอง ควบคู่ไปกับการได้ทำสิ่งที่ฉันรัก และฉันก็มีความสุขกับทางเลือกนี้มาก”
ใช่แล้วล่ะ ครั้งหนึ่งผมเคยยกมันมาเป็นเหตุผลตัดใจจากอาชีพเชฟเพื่อมาเป็นหมอ เป็นเหตุผลที่ผมคอยตอกย้ำใส่ตัวเองตลอดเวลาที่ท้อแท้ยามเจอบททดสอบหนักหนาสาหัสระหว่างเดินอยู่ในเส้นทางของการเป็นแพทย์ที่ดี แม้สุดท้ายผมจะไม่ได้ใช้ความเป็นหมอช่วยรักษาชีวิตหม่าม้าไว้ตามความตั้งใจที่เบนเส้นทางมาตรงนี้ แต่พอมานึกดูดีๆ ผมไม่เคยเสียดายเวลาที่ได้ใช้ร่วมกับหม่าม้าไปอย่างเปล่าประโยชน์ ผมทำหน้าที่ตามความตั้งใจอย่างสุดความสามารถแล้ว
ถึงวันนี้หม่าม้าจะไม่ได้อยู่เป็นเป้าหมายในชีวิตอีกต่อไป แต่ผมเชื่อว่าถ้าหม่าม้าก็จะบอกอะไรกับผมสักอย่างก็คงบอกให้ผมสู้กับเส้นทางนี้ต่อไปจนถึงจุดหมายที่เลือกเดินมาในระยะเวลาเกือบครึ่งหนึ่งของชีวิต และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเป็นหมอทำให้ผมได้เจอคนดีๆ รวมไปประสบการณ์อีกมากมายที่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้เจอไหมถ้าผมไม่ได้เป็นหมอ
ทั้งอาจารย์ใหญ่ที่มอบความรู้ให้แม้ชีพจะสิ้นไปแล้ว อาจารย์ในคณะที่คอยดุด่าสั่งสอน รุ่นพี่ดีๆ เพื่อนร่วมรุ่นที่ผ่านทั้งทุกข์และสุขมาด้วยกัน คนไข้ที่ยอมให้เรารักษาทั้งที่ไม่รู้ว่าเราจะช่วยเขาได้มากแค่ไหน และคำขอบคุณจากคนไม่รู้จักอีกหลายๆ คนที่เราเคยช่วยเขาไว้ได้ คิดดูซิถ้าเป็นเชฟจะได้ประสบการณ์ในชีวิตอะไรแบบนี้ไหม ไม่มีหรอกผมรับประกันได้เลย
ผมไม่สนใจแล้วว่าพรุ่งนี้วิคเตอร์จะพูดอะไรกับผมอีก แต่ผมจะเป็นทิวากานต์คนเดิม ชีวิตผมจะเป็นเหมือนเดิม เหมือนก่อนที่ผมได้รับรู้ว่าใครเป็นพ่อแท้ๆ ของผม ผมก็คือผม วิคเตอร์ก็คือวิคเตอร์ เราต่างมีทางเป็นของตัวเอง และทางของผมมันคงไม่เปลี่ยนเลี้ยวไปทางไหนอีกแล้วเพราะผมเดินมาในเส้นทางนี้ไกลเกินจะถอยหลังกลับ ความรู้ที่สั่งสมมาแม้ไม่ได้ใช้รักษาหม่าม้าแต่ผมจะใช้รักษาคนไข้คนอื่นเพื่อให้พวกเขาได้อยู่กับครอบครัวได้นานยิ่งขึ้น นานกว่าที่ผมได้อยู่กับหม่าม้า ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เข้มแข็งกับทางเดินที่ตัวเองเลือกตลอดจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แล้วผมที่เป็นผู้ชายซ้ำยังตัวโตกว่าตั้งเยอะจะท้อได้ยังไงกัน
“งั้นเหรอ” เด็กนี่ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยแน่ใจ แต่ดูจากท่าทางเขาเองคงกำลังคิดตามในสิ่งที่ผมพูดอยู่
“แต่ท่าทางหัวแข็งอย่างเธอไม่ว่ายังไงก็อยากทำตามความฝันให้ได้สินะ”
“ใช่” นั่นไงล่ะ ผมเดาผิดที่ไหน
“เพราะฉะนั้น... สิ่งที่เธอสมควรทำคือยึดมั่นความคิดนี้ไว้และพยายาม ไม่ว่าจะเจอเงื่อนไขอะไร อุปสรรคใหญ่โตแค่ไหนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เริ่มจากกลับไปที่โรงแรมแล้วสวมบทบาทของแบคแพกเกอร์ให้จบซะ ทำได้ใช่ไหมล่ะ”
“ได้ แน่นอนอยู่แล้ว”
“ดีมาก แล้วอย่าลืมว่าวันนี้เธอเคยพูดอะไรไว้กับฉันล่ะ ในเมื่อพบเจอความฝันของตัวเองแล้วก็ทำมันให้ดี ถ้าเจออุปสรรคอะไรก็ขอให้เดินไปตามเส้นทางนั้นอย่างไม่ย่อท้อ แต่ถ้าวันหนึ่งเจอทางแยกที่ต้องเลือกขึ้นมา อย่าลืมเลือกเส้นทางที่ทำให้ตัวเองมีความสุขนะ”
ผมไม่บอกให้เขาล้มเลิกความฝัน ผมแค่บอกให้เขาเลือกดีๆ เลือกทางที่ทำแล้วมีความสุขที่สุดเหมือนที่หม่าม้าเคยบอกกับผม หวังว่าเขาจะเข้าใจความหมายของมันและเลือกจะทำให้ตัวเองมีความสุข
เราเอากำปั้นชกกันเบาๆ แทนคำสัญญา ยัยเด็กนี่ห้าวอย่างกับเด็กผู้ชายจริงๆ ถ้าเกิดอยากเป็นผู้ชายขึ้นมาอีกอย่างพ่อแม่คงได้อกแตกตาย แต่เอาเถอะ...ถ้ามันมีความสุข อยากจะเป็นอะไรก็เป็น
When I grow old, my weathered soul
And memories recluse, elusive
Help me take them out
So keep me young and call my bluffs
And help me out when you say, you say
There's no room for doubt
เมื่อฉันโตขึ้น จิตวิญญาณผ่านร้อนผ่านหนาว
และความทรงจำแตกแยกสับสน
ช่วยเรียกความทรงจำฉันกลับมาที
เตือนให้ระลึกถึงวัยเยาว์
ว่าฉันยังคงเป็นเด็กอยู่เสมอ
When I grow old, I'll drink and smoke
But just as long as you stay, you stay
I found a way out
เมื่อฉันโตขึ้นฉันคงดื่มเหล้าสูบบุหรี่
แต่ขอเพียงตราบที่ยังคงหวนคิดถึงชีวิตครั้งยังเยาว์ได้
ฉันจะหาทางออกได้เสมอ.
.
.