TRACK 20
มิสเตอร์และมาดามโอเนลล์บินตรงจากลอนดอนมาถึงกรุงเทพตั้งแต่เช้าวันพุธเพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกชายที่มีนัดสวนหัวใจในวันเสาร์ ครอบครัวอบอุ่นก็ดีหรอกแต่คนขี้เหงาแบบทิวากานต์น่ะสิที่มีปัญหา
“ทำไมต้องไปนอนที่บ้านคุณตาด้วย” หมอศัลย์คนหล่อบ่นไปขับรถไป ไหนๆ เย็นนี้ต้องถูกพรากอลันด์ไปจากอกทั้งที เขาเลยชิงตัวอีกคนออกจากบ้านมาก่อน ให้พ่อแม่ลูกเขาไปเจอกันตอนเด็กนี่เลิกเรียนเถอะ
“ก็คุณตาคุณยายกลับมาด้วยนี่นา อีกอย่างแด๊ดพาอัลเบิร์ตมาด้วย จะให้แยกไปนอนที่โรงแรมคนเดียวคงเรียกใช้ไม่สะดวก”
“โอเค๊”
“ทำไมทำเสียงงั้นล่ะ ไม่พอใจอะไรหรือไง”
“เปล่านี่”
“เหงาก็บอก เล่นตัวอยู่ได้” ทิวากานต์ไม่ตอบแต่แค่เห็นหน้าขึ้นสีอลันด์ก็รู้แล้ว เด็กฝรั่งเลยอาศัยช่วงรอรถเลี้ยวเข้ามหาวิทยาลัยโถมตัวกอดรัดอีกคนเสียแน่น “แค่ไม่กี่วันเอง เดี๋ยวก็กลับไปนอนด้วยแล้ว”
“อือ รีบๆ กลับมาล่ะอย่าไปนอนบ้านนั้นเพลิน”
“อ่าฮะ สัญญา” เด็กฝรั่งตัวแสบให้สัญญาด้วยการจุ๊บปลายคางคุณหมอหนึ่งที
ช่วงนี้นอกจากจะตัดผมใหม่กระชากไว้ทิวากานต์ยังแอบไว้หนวดเคราจางๆ เพิ่มความดิบเถื่อนน่าซบไปอีกขั้น อลันด์เลยชอบลูบส่วนนี้เล่นบ่อยๆ บอกว่าจั๊กจี้มือดี
แต่ความจริงทิวากานต์ไม่ต้องรอนานกว่านั้น เที่ยงวันถัดมาเขาได้เมสเสจชวนไปกินข้าวที่บ้านใหญ่จากอลันด์ ในข้อความบอกว่าคุณตากับคุณยายอยากรู้จักศัลยแพทย์หัวใจคนเก่ง เท่านั้นมือเนียนนุ่มกว่ามือผู้หญิงของทิวากานต์ถึงกับสั่นขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ พอเล่าให้การันต์ฟังแทนที่จะช่วยนายแพทย์รุ่นพี่กลับหัวเราะใส่
“เหมือนเข้าบ้านแฟนไปแนะนำตัวเลยว่ะ พ่อแม่เขารู้ว่าคบกันหรือยัง”
“ยังเลยครับ เพิ่งคบกันจริงจังไม่เท่าไหร่เอง เลยว่าจะไปเรื่อยๆ ก่อน”
“หึๆ พ่อแม่เขาอุตส่าห์ไว้ใจฝากลูกไว้ดูแล ไม่รู้ซะแล้วว่าฝากปลาย่างไว้กับแมว”
“พี่รันพูดงี้ผมรู้สึกผิดกับแม่เขานะเนี่ย หรือจะหาข้ออ้างไม่ไปดี” คุณหมอคนเก่งถึงกับหน้าซีด เอาสองมือปิดหน้าทำท่าเหมือนจะร้องไห้กระซิกๆ แต่การันต์รู้ดีว่าทำตอแหลเรียกร้องความสนใจไปงั้น
“แทนที่เอาลูกเขาแล้วจะดูแลให้ดีให้เขาไว้ใจทำให้เห็นต่อหน้าไปเลย เลี่ยงไม่เข้าหน้าแบบนี้เวลาเขาจับได้จริงๆ เขาไม่ใจอ่อนยกโทษให้ง่ายๆ หรอกนะเว้ย”
“ยังไม่ได้เอา”
“หา? ยังอีกเหรอ นึกว่าเสร็จไปนานแล้วนะ” คราวนี้เป็นการันต์บ้างที่ตกใจ เขามองรุ่นน้องตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนหาความผิดปกติ “เอ็งมีปัญหาตายด้านอะไรงี้เปล่าวะ ตอนเช้ายังตื่นอยู่ไหม พี่มีเพื่อนถนัดด้านนี้อยู่เดี๋ยวแนะนำให้ได้นะเว้ย”
“แค่ผมไม่ได้มีอะไรกับใครนี่ถึงกับตายด้านเลยเหรอพี่ ปกติหมดครับ มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนเดิม ยังตื่นมาทักทายทุกเช้า”
“ไม่ให้แปลกใจไงไหว พวกที่รู้สันดานแกทุกคนก็ต้องคิดแบบนี้เหมือนกัน”
“ผมเคยบอกไปแล้วนะว่าอยากรอให้อัลรักษาตัวก่อน”
“นึกว่าล้อเล่น” หนุ่มรุ่นพี่พูดจริงจัง ทิวากานต์เกือบเรียกได้ว่าผู้ชายรักสนุกกับทั้งคนที่คบจริงจังหรือแค่เล่นๆ ล้วนมีความสัมพันธ์ทางร่างกายภายในเวลาไม่นาน แต่ไม่คิดว่ากับเด็กผู้ชายจะยอมอดได้เป็นเดือนๆ ขนาดนี้ “หรือเพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน”
“ถ้าพี่รันจำเมื่อหลายปีก่อนได้จะรู้ว่ามันไม่เกี่ยว”
“อ่า...ที่แกเกือบเสียตัวให้เสี่ยสักคน”
“ไม่ใช่เสี่ย” เขาแก้ ในความทรงจำอันเลือนรางรู้สึกเหมือนจะเป็นชายหนุ่มขาวต่างชาติ(น่าจะจีนไม่ก็สิงคโปร์)รูปหล่อวัยยี่สิบกลางๆ สักคน อีกฝ่ายเลี้ยงเหล้าให้ สัมผัสตัวเขาอย่างน่ารักแค่นั้นเขาก็อยากลองเปิดประสบการณ์ถูกเสียบแล้ว เสียแต่ว่าตอนนั้นการันต์กับรูมเมทที่สนิทกันลากออกมาก่อน และยิ่งนานวันเข้าตัวเขาสูงขึ้นเข้มขึ้นมันเลยมีแต่คนเข้ามาต่อแถวให้เสียบ รสชาติการถูกผู้ชายกอดจึงหายวับไปกับกาลเวลา “คิดถึงตอนนั้นยังเสียดายไม่หาย พี่รันไม่น่ามาห้ามเลย”
“นี่ฉันผิดเหรอที่ช่วยแกไม่ให้เสียตูด ทำบุญบูชาโทษแท้ๆ”
“แหม... โอกาสแบบนั้นมันหาได้ง่ายๆ สักที่ไหนกันล่ะครับ” ทิวากานต์ทำหน้างอ ถ้าเป็นสักเมื่อสิบปีก่อนคงน่ารักน่าชัง แต่ตอนนี้ให้แค่น่าชังอย่างเดียวพอ
“หรือว่าที่ยังไม่ยอมนอนกับเด็กเพราะอยากเปิดซิงหาประสบการณ์ก่อน ถ้าอยากถูกเสียบทำไมตอนนั้นไม่ยอมป๋าดีๆ ล่ะหนู” ศัลยแพทย์รุ่นพี่ยิ้มกรุ้มกริ่ม นึกวันที่ชวนอีกคนลองขับรถใหม่แล้วพากันพูดจาสองแง่สามง่ามแกล้งเย้าอีกคนเล่น แต่ต่อให้วันนั้นทิวากานต์เอาจริงเขาก็คงเอามันไม่ลง ผู้ชายตัวโตๆ เหมือนกัน พลิกดูกี่ตลบก็เห็นแต่ความสยอง
“หึ” ทิวากานต์พ่นลมหายใจออกจากจมูกเสียงดัง เหลือบหางตาขึ้นมองการันต์ท่าทางมีลับลมคมใน พลอยให้คนถูกมองคิดไปว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ก่อนอีกฝ่ายจะได้เข้าใจผิดไปเขาก็พูดต่อ “ผมอยากให้เขาหายป่วยก่อนแค่นั้นจริงๆ ครับ”
“คนดีเหลือเกิ๊น”
“แน่น๊อน”
การันต์ไม่เชื่อทิวากานต์ฉันใด คำพูดทิวากานต์ก็เชื่อไม่ได้มากกว่านั้นหลายเท่า สมกับที่รู้จักกันมานานและสนิทมากที่สุด แน่นอนว่าเหตุผลที่หนุ่มรุ่นน้องบอกมามีส่วนจริงอยู่แค่คงเป็นแค่ความจริงของหนึ่งในร้อยส่วนของเหตุผลลับๆ บางอย่างที่บอกไม่ได้หรือตั้งใจจะไม่บอกให้ใครอื่นรู้ และคงเป็นเรื่องดีอย่างมากทิวากานต์ถึงเอาแต่อมยิ้มทั้งที่ทรมานตัวเองอยู่
“โบราณเคยว่า...
ให้อดเปรี้ยวไว้กินหวาน”
ตอนนี้การันต์ชักอยากรู้เร็วๆ แล้วสิว่าของหวานที่ทิวากานต์รอกินคืออะไร แต่ช่างมันก่อน เรื่องนั้นค่อยรู้ทีหลังก็ไม่สาย “แล้วสรุปเย็นนี้เอาไง ไปไม่ไป”
“ไปแหละครับ ทำอย่างที่พี่รันว่าดีกว่า อย่างน้อยประจบผู้ใหญ่ไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย เผื่อเขาจะเอ็นดูเราสักนิด พี่รันมีเคล็ดลับอะไรแนะนำไหมในฐานะผู้มีประสบการณ์”
ผู้มีประสบการณ์ยิ้มตาปิด ชักหมั่นไส้ไอ้หน้าหล่อหัวเกรียนขึ้นมาทุกที “อย่างแกไม่ต้องทำอะไรมากหรอก แค่ตอแหลเหมือนทุกทีก็พอ”
“ตอแหลอะไรกันครับ นี่วาใสๆ”
“ไม่ต้องมาแอ๊บแบ๊ว เอ็งน่ะตัวตอแหลเลย โว้ย คุยกับแกแล้วปวดหัวไปทำงานต่อดีกว่า เอ่อ ดูแลน้องฉันให้ดีๆ ด้วยล่ะเข้าใจไหม”
“ใช่ซี่ พอน้องคนนี้มันโตก็ตกกระป๋องตามระเบียบ เดี๋ยวจะดูแลให้ความเอ็นดูและดูเอ็นอย่างดีเลยล่ะครับ”
“ไอ้ทะลึ่ง” การันต์หัวเราะก๊าก หยิบปากกามองบลังในกระเป๋าเสื้อปาใส่หัวคนบอกจะดูเอ็นเด็กเป็นของแถมให้ก่อนออกจากห้องไป แทนที่ทิวากานต์จะโมโหกลับรีบตะครุบปากกาแท่งละสองหมื่นนิดๆ ยัดใส่กระเป๋ายึดเป็นของตัวซะเลย แบบว่ารุ่นนี้มันเอามาใช้เขียนกับโทรศัพท์รุ่นที่เขาใช้อยู่ได้แบบพอดีเด๊ะเลยติ๊ต่างไปเองว่าคุณป๋าใจป้ำผู้ใช้ไอโฟนคงตั้งใจให้อยู่แล้วแต่ทำซึนไปงั้นเอง
.
.
.
จากโรงพยาบาลที่ทิวากานต์ทำงานอยู่จะไปบ้านคุณตาของอลันด์เหมือนจะไม่ไกลกันมากนัก หากแต่เมื่อรวมเข้ากับการจราจรอันเรียกได้ว่าห่วยแตก ต่อให้เป็นรถที่สามารถทำความเร็วได้เกินสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างพอร์เช่ 911 Turbo S ก็ถูกบังคับให้วิ่งได้แค่ระดับเต่าคลานเท่านั้น
ถนนตอนเย็นช่วงออกนอกเมืองรถติดหนักยิ่งกว่าเวลากลับบ้านที่อยู่ในเมืองเสียอีกทิวากานต์ถอนหายใจเฮือกหลังพาน้องกบหนีรถติดเลี้ยวเข้าไปในหมู่บ้านได้เสียที
จะว่าไป... “หมู่บ้านเดียวกับบ้านพี่รันเลยนี่หว่า” แถวบ้านรถติดแบบนี้นี่เองการันต์ถึงชอบทำงานต่อที่โรงพยาบาลดึกๆ ดื่นๆ ไม่ก็หนีไปนอนคอนโดริมแม่น้ำไม่ไกลจากโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ
“จริงอ่ะ” เด็กฝรั่งที่นั่งมาด้วยกันตั้งแต่ที่โรงพยาบาลทำตาโต หลังจากเขาส่งข้อความกลับไปว่าตกลงพอตอนเย็นเลิกงานก็เจออลันด์มานั่งรอแล้ว แปลกใจนิดหน่อยแต่พออีกคนบอกว่าคนินทร์นั่งเรือข้ามฟากมาส่งก็เลยเขกหัวไปที โตขนาดนี้แล้วยังกลัวน้ำเป็นแมวไปได้
“จะโกหกทำไมเล่า” เขาหัวเราะก๊าก ขับรถไปตามทางที่อีกฝ่ายบอก ยิ่งขับยิ่งคุ้นทางจนเห็นบ้านนายแพทย์รุ่นพี่อยู่ข้างหน้าเลยชี้ให้อลันด์ดู “นี่ไงบ้านพี่รัน”
“เฮ้ย ใกล้กันมากอ่ะ งี้บ้านคิวก็หลังข้างๆ ใช่ไหม นั่นๆ หลังนั้นบ้านคุณตา” เด็กหนุ่มชี้บ้านหลังโตที่ตั้งอยู่ห่างออกไปเกือบร้อยเมตรข้างหน้า ทิวากานต์เห็นด้วยที่ว่าบ้านใกล้กันมากจริงๆ แต่ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่จะไม่รู้เพราะบ้านส่วนใหญ่แถวนี้จะออกแนวที่ใครที่มันสร้างไม่ติดกันอยู่แบบส่วนตัวสุดๆ
ซูเปอร์คาร์จากเยอรมันเลี้ยวเข้าไปในบ้านหลังโตกึ่งๆ คฤหาสน์รูปทรงโบราณแต่สภาพยังคงดูใหม่ ตอนแรกคนงานแจ้งว่าที่จอดรถเต็มแล้วแต่ทิวากานต์ไม่อยากเสี่ยงจอดรถข้างนอกเลยยอมจอดขวางไว้แถวๆ ลานว่างหน้าตัวบ้านเกือบติดประตูรั้วที่ยังเหลืออีกหน่อยดีกว่า ใครจะเข้าจะออกก็ยอมเสียเวลามาถอยให้ทีหลังเอา
บ้านหลังนี้ให้อารมณ์เหมือนบ้านคนมีอันจะกินจนเหลือทั่วไป ตกแต่งหรูหราสมฐานะออกโทนขาวถึงทอง มีกระจกกับคริสตัลประดับตามทาง หากให้ความอบอุ่นด้วยเครื่องไม้สีน้ำตาลชวนให้ผู้พักอาศัยและแขกผ่อนคลาย พื้นตรงโถงทางเข้าเป็นหินอ่อน ถัดเข้ามาด้านในจึงเป็นกระเบื้องแผ่นใหญ่สีขาวนวล
คุณหมอหนุ่มรูปหล่อรู้สึกเกร็งเล็กน้อยตอนที่เดินตามคนตัวเล็กกว่าเข้าไปในบ้าน ตัดสินใจเอาหนังสือเรียนตั้งใหญ่ของอลันด์มาช่วยถือไม่ให้มือไม้ว่างเกินไป ยังเดินไม่ถึงตัวห้องนั่งเล่นหญิงรับใช้วัยกลางคนก็ปรี่เข้ามาหากล่าวทักทายทั้งหลานเจ้าของบ้านและแขกบอกว่าตอนนี้ครอบครัวของคุณลุงเจ้าตัวแสบมาแล้วนั่งรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น ส่วนมิสเตอร์เอเดลมาร์ไปวิ่งออกกำลังกายกับพ่อตามีอัลเบิร์ตพ่วงไปด้วยอีกประเดี๋ยวคงกลับมา ส่วนมื้อเย็นจะตั้งโต๊ะตอนทุ่มตรง
“คุณแม่ล่ะ”
“คุณอลิสาอยู่ในครัวกับคุณหญิงค่ะ”
อลันด์พยักหน้ารับก่อนชวนคุณหมอเข้าไปหาคนทั้งคู่ที่ครัวก่อน เด็กฝรั่งพาเลี้ยวไปทางซ้ายผ่านห้องรับประทานอาหาร ลึกเข้าไปด้านในจึงเจอครัวขนาดใหญ่มีคนขลุกอยู่ในนั้นไม่ต่ำกว่าสี่คน
“คุณยาย อัลกลับมาแล้ว” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างโผล่หน้าเข้าไปในครัวเรียกคุณยายให้เงยหน้าจากหม้อซุป พอเห็นหลานรักก็กางแขนรับเด็กฝรั่งเข้าไปกอด หอมแก้มซ้ายขวาแล้วถึงโผไปกอดคนเป็นแม่บ้าง ทิวากานต์ยืนเก้ๆ กังๆ พอเห็นผู้ใหญ่ว่างแล้วจึงวางหนังสือในมือกับเคาน์เตอร์ว่างในครัวยกมือไหว้กริยาเรียบร้อย
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะคุณหมอ ตัดผมใหม่หรือคะ หล่อขึ้นจมเลย”
เขาขานรับเบาๆ พลางลูบหัวเกรียนแก้เขิน มาดามโอเนลล์เดินเข้ามาดึงแขนเขาให้เดินเข้าไปยืนใกล้ๆ เจ้าของบ้านตัวจริงแล้วแนะนำให้คุณแม่ตนได้รู้จัก
“คุณแม่คะ นี่คุณหมอทิวากานต์ที่คอยช่วยดูแลตาอัลให้ คนเดียวกับที่พี่ชายถูกใจอยากให้มาทำงานที่โรงพยาบาลด้วยยังไงล่ะคะ อายุยังน้อยแต่ก็ได้เป็นอาจารย์ที่โรงพยาบาลแล้ว”
“สวัสดีครับ” ทิวากานต์ยกมือไหว้อีกครั้ง รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มใจดีมาให้
“สวัสดีจ้ะ รูปหล่อกว่าที่น้องอัลเล่าให้ยายฟังอีกนะเนี่ย เวลาอยู่กับคุณหมอน้องอัลดื้อมากไหมจ๊ะ”
“สุดๆ เลยล่ะครับ” คำตอบเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคนยกเว้นคนถูกบอกว่าดื้อที่ทำหน้าบูด
“ถ้าดื้อก็จับตีได้เลยไม่ต้องเกรงใจกัน ตอนเด็กๆ ก็โดนไม้เรียวไปหลายรอบกว่าจะเรียบร้อยเหมือนคนอื่นเขาได้”
“คุณยาย...” อลันด์เรียกคุณยายเสียงอ่อย ที่โดนไม้เรียวนั่นก็เพราะคุณยายจับเด็กฝรั่งมาฝึกมารยาทแบบไทยๆ หรอก ไหนจะให้นั่งพับเพียบ กราบ คลาน เดิน คนที่ไม่เคยทำตั้งแต่เกิดจะให้เก่งเลยได้ยังไงกัน ช่วงปิดเทอมที่โดนจับฝึกมารยาทไทยเปรียบเหมือนฝันร้ายครั้งใหญ่ในชีวิต ขาขาวๆ เป็นรอยไม้เรียวทุกวัน ช่วงแรกถึงกับเป็นไข้นอนซมร้องห่มร้องไห้อยากกลับลอนดอน นับเป็นอาการคัลเจอร์ช็อกที่คิดแล้วยังสงสารตัวเองมาถึงปัจจุบัน
“ป่ะ ไปนั่งพักกันข้างนอกก่อนเพิ่งมากันเหนื่อยๆ อัลพาพี่เขาไปหน่อย เดี๋ยวมื้อเย็นเสร็จจะให้เด็กไปเรียกนะจ๊ะ” มาดามโอเนลล์ยิ้มอ่อน รุนหลังทิวากานต์กับอลันด์ให้ออกจากห้องครัว พอคุณหมออาสาจะช่วยก็ถูกห้ามบอกว่าวันนี้มาเป็นแขกไปนั่งสบายๆ ดีกว่า เขาเลยยอมเดินออกมาไม่ลืมหิ้วหนังสือมาด้วย
คราวนี้แทนที่อลันด์จะพาเขาไปห้องนั่งเล่นก็พาเดินขึ้นบันไดวนไปที่ห้องพักส่วนตัววางข้าวของที่หอบไปหอบมาเสียก่อน ลงมาที่ห้องนั่งเล่นอีกทีก็เจอครอบครัวคุณลุงนั่งกันอยู่พร้อมหน้า ทิวากานต์ยิ้มแหยตอนไหว้ทักทายอีกฝ่ายคิดในใจว่าวันนี้คงถูกชวนให้ไปทำงานด้วยกันอีกแน่ๆ โชคดีว่าอลันด์ช่วยตัดบทให้ ขอตัวพาเขาไปเดินดูบ้านก่อนครั้งนี้จึงรอดไป
“แต่ก่อนเวลามากรุงเทพฯ ก็นอนโรงแรมนี่แหละเดินทางไปไหนมาไหนสะดวกไม่ค่อยได้มานอนที่นี่หรอก” หลานเจ้าของบ้านเริ่มเล่าตอนพาเขาเดินดูสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ด้านหน้าติดสวนใกล้ตรงที่ทิวากานต์จอดรถไว้ “คุณตาคุณยายก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ต้องออกโพสต์ต่างประเทศตลอด คนที่อยู่ก็มีครอบครัวคุณลุง จนคุณตาเกษียณกลับมาอยู่นี่คุณลุงเลยย้ายออก แต่คุณตาคุณยายก็ไม่ค่อยอยู่ติดบ้านอยู่ดี ท่องเที่ยวไปเรื่อย ตอนผมสักสิบสองทั้งคู่ก็มาอยู่ด้วยที่ลอนดอนพักใหญ่”
“แล้วเมื่อก่อนมาไทยบ่อยไหม”
“ปีละครั้ง บางปีก็ไม่ได้มา มาแค่แป๊บๆ สัปดาห์เดียวก็กลับ” เด็กหนุ่มว่างั้นก่อนพับขากางเกงขึ้นแล้วเอาเท้าจุ่มลงไปในสระ ขยับปากบอกว่าสระนี่เพิ่งสร้างเมื่อห้าหกปีก่อน “แต่มีช่วงนึง ตอนนั้นปิดเทอมกำลังขึ้น year 7 ถูกมัมส่งมาอยู่ที่นี่จนเกือบเปิดเทอม ร้อนตัวไม่เท่าไหร่แต่ร้อนใจอิจฉาทอม ปีนั้นทอมได้ไปมัลดีฟส์ โมรอคโค กรีซ ส่วนผมต้องมานั่งฝึกมารยาทแบบไทยๆ ร้องไห้จะเป็นจะตายถูกตีจนขาลายแต่ไม่มีใครมารับกลับเลย พอกลับบ้านไปโกรธมัมกับแด๊ดมากไม่ยอมพูดด้วยเกือบปี ปิดเทอมเล็กก็หนีไปนอนบ้านทอม จนแด๊ดซื้อกีตาร์ง้อนั่นแหละ”
“เราดื้อน่ะสิแม่เลยส่งมาดัดสันดาน” ทิวากานต์หัวเราะเสียงดัง ยกมือขยี้ผมสีช็อกโกแลตนมจนยุ่ง เลยถูกเด็กดื้อเตะน้ำใส่ซะเลย “เฮ้ย เปียกหมด”
“สมน้ำหน้า”
“หนอย...” คุณหมอมันเขี้ยวอยากจับอลันด์มาฟัดให้หายแค้น ติดแต่ว่าอยู่บ้านตายายเขาเลยต้องเกรงใจ
เดินเล่นไม่นานเด็กรับใช้เดินมาแจ้งว่าตั้งโต๊ะเสร็จแล้วจึงพากันกลับเข้าตัวบ้าน บนโต๊ะตัวยาวในห้องรับประทานอาหารมีคุณตาของเด็กฝรั่งนั่งหัวโต๊ะ ข้างขวาเป็นคู่ชีวิต ข้างซ้ายเป็นลูกสาวคนเดียวที่แต่งงานออกเรือนอยู่ต่างแดน เอเดลมาร์จึงนั่งถัดข้างภรรยา ตามด้วยอลันด์ ทิวากานต์ และ อัลเบิร์ต ส่วนอีกฝั่งเป็นคุณลุงกับสมาชิกครอบครัวอีกสามชีวิต
ทิวากานต์สวัสดีเจ้าของบ้านตามด้วยว่าที่พ่อตา เอเดลมาร์ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ที่เห็นเขามาร่วมโต๊ะด้วยแต่ออกอาการอะไรไม่ได้มากนักเมื่อคุณยายของอลันด์ชมเขาออกนอกหน้า แสดงอาการชัดว่าถูกใจคุณหมอรูปหล่อไม่น้อย ส่วนคุณตาของอลันด์แม้เป็นถึงอดีตเอกอัครราชทูตกลับมีความเป็นอันเองกับทุกคนอย่างไม่ถือตัว ท่าทางยังคงแข็งแรงดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจแม้อายุจะล่วงเลยถึงเลขเจ็ดแล้วก็ตาม
บนโต๊ะอาหารมีเสียงพูดคุยกันเป็นระยะไม่ให้เงียบกันเกินไปนัก จนอาหารคาวหมดของหวานยกมาเสิร์ฟเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นกว่าเดิม คนฮอตสุดบนโต๊ะอาหารแทนที่จะเป็นหลานชายคนเล็กอย่างอลันด์กลับกลายเป็นแขกหนุ่มอย่างทิวากานต์ไปเสีย เขาถูกคนนู้นคนนี้ถามไถ่ประวัติ บ้างก็ถามว่ามารู้จักกับอลันด์ได้อย่างไร โชคดีว่ามีคุณลุงของไอ้เด็กแสบคอยช่วยโม้สรรพคุณให้ ในสายตาเจ้าของบ้านเขาจึงดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นแม้จะตัดผมอย่างที่คนเป็นหมอเขาไม่นิยมกัน
“ถ้าสมัยยายสาวๆ มีหมอรูปหล่ออย่างนี้บ้างคงดี หัวใจจะได้กระชุ่มกระชวยเสียบ้าง เวลาไปโรงหมอทีไรเจอแต่คนหน้าอมทุกข์ล่ะเนอะ มันก็ต้องอยากมีอะไรจรรโลงใจสักนิด”
“ตอนเจอครั้งแรกเห็นหุ่นก้านดีแบบนี้นึกว่าเป็นนายแบบเสียด้วยซ้ำครับคุณย่า” หลานชายคนโตสุดที่เพิ่งกลับจากต่อบอร์ดที่อเมริกาว่า เขาแก่กว่าทิวากานต์สักสามสี่ปี ปัจจุบันเป็นแพทย์เชี่ยวชาญด้านมะเร็งอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนของครอบครัว
“พี่กิตก็พูดเกินไปครับ มีคนหล่อกว่าผมอีกตั้งเยอะ”
“แต่พี่วาหล่อจริงๆ นะคะ เห็นครั้งแรกแล้วแบบปิ๊งเลย เพื่อนกานต์ที่เรียนอยู่ที่เดียวกับพี่วาชอบมาเม้าท์ให้ฟังเรื่อย บอกว่าพี่วาฮอต ตั้งแต่ปีหนึ่งจนกลับมาเทรนแล้วก็ยังมีสาวกรี๊ดเหมือนเดิม เสียอย่างเดียวพี่วาไม่คบหมอหรือพยาบาลเลย สาวๆ อกหักกันทั้งโรงบาล”
“แต่อายุขนาดนี้แล้วก็น่าจะหาคนรู้ใจได้แล้วนะจ๊ะ แก่ตัวไปจะเหงา”
ทิวากานต์ไม่พูดไม่ตอบอะไรกลับไปนอกจากยิ้มรับอย่างเดียว ปล่อยให้คนอื่นเขาพูดกันไป จะบอกได้ไงว่าตอนนี้มีแฟนแล้วนั่งอยู่ข้างๆ เดี๋ยวได้ช็อกตายกันทั้งบ้านพอดี
เมื่อหมดช่วงของหวานต่างคนต่างเริ่มทยอยกันไปที่ห้องนั่งเล่นหาเรื่องคุยกันต่อ ตอนแรกอลันด์ยังนั่งข้างทิวากานต์บนโซฟาอยู่ดีๆ พอลุงไอ้ตัวแสบกับลูกชายเข้ามานั่งคุยเรื่องงานด้วย หลานคนเล็กเลยระเห็จตัวไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยบนพื้นพรมข้างคุณยายดูเป็นภาพแปลกตาไม่น้อย
เสียงปรบมือดังๆ สองครั้งเรียกความเงียบกลับเข้าห้องนั่งเล่นหลังจ้อกแจ้กด้วยสมาชิกนับสิบชีวิตอยู่เกือบชั่วโมง คนที่บอกให้ทุกคนเงียบคือเจ้าของบ้านวัยเจ็ดสิบกว่า ทิวากานต์เอียงคออมยิ้มมองชายชราผายมือไปยังแกรนด์เปียโนสีขาวหลังใหญ่ด้านหลังนำเสนอหลานชายนักดนตรี
เจ้าเด็กฝรั่งตัวแสบลุกขึ้นมายืนโค้งให้ทุกคนก่อนกลับไปนั่งบรรเลงเพลง Moonlight Sonata ของ บีโธเฟ่น ตามที่คุณยายสุดที่รักขอมา ปลายนิ้วที่มักจับสายกีตาร์จนหยาบกระด้างวันนี้แสดงความสามารถบนเครื่องดนตรีอีกชิ้นได้งดงามไร้ที่ติสร้างความประหลาดใจแก่ทิวากานต์ไม่น้อย เขามองนิ้วมือเรียวสวยขยับไหวบนลิ่มเปียโนด้วยความเพลินเพลิดเหมือนกับทุกคนในห้องนั่งเล่น
แม้กระทั่งมิสเตอร์เอเดลมาร์ที่ไม่ค่อยชอบใจกับเส้นทางที่ลูกชายเลือกยังอมยิ้มที่ได้เห็นลูกชายแสดงความสามารถ ขยับปลายเท้าเป็นจังหวะตลอดเวลา เปิดไหล่ให้ภรรยาเอนตัวเข้ามาซบร่วมชื่นชมแก้วตาดวงใจของครอบครัว
จวบจนเสียงดนตรีจบเสียงตบมือจากทุกคนในครอบครัวจึงดังขึ้นให้กำลังใจนักดนตรีตัวเล็ก เจ้าตัวลุกขึ้นโค้งให้ผู้ชนพลางยิ้มทะเล้นหน้าเป็นก่อนคลานเข่าเข้าไปคุณยายเมื่อถูกเรียก กริยาเรียบร้อยสมกับถูกอบรมมาดีการันตีด้วยไม้เรียวในห้องนอนคุณยาย
“เก่งมากหลานรักของยาย” ฝ่ามือเหี่ยวย่นลูบแก้มขาวตอบ มองหลานคนเล็กด้วยความรักใคร่แล้วยื่นกล่องของขวัญผูกโบไปตรงหน้า “ของขวัญจ๊ะ ยายให้”
“ขอบคุณครับ” อลันด์ก้มกราบที่เท้าเธอถึงค่อยเงยหน้าขึ้นรับกล่องของขวัญขนาดเล็กเท่าฝ่ามือแต่ราคาไม่น่าจะเล็กตาม
เท่าที่ได้ยินพี่น้องบ้านนี้เขาคุยกันเห็นว่าอลันด์เป็นหลานโปรด คุณตาคุณยายรักกว่าลูกหลานคนไหนๆ เพราะนอกจากเป็นคนเล็กสุดท้องอายุห่างจากพี่ๆ เยอะแล้ว หนำซ้ำหน้าตายังน่ารักแบบเด็กฝรั่งไม่เหมือนใครแล้วยังขี้อ้อนขี้ประจบคนแก่ ทุกคนพลอยคาดการณ์กันเล่นๆ ว่าในอนาคตมรดกพันล้านคงไม่ไปไหน
หลังจบการแสดงหลัก ทิวากานต์ยังนั่งคุยกับเพื่อนร่วมวิชาชีพอีกพักใหญ่ จิบสก็อตวิสกี้เคล้าเสียงดนตรีจนเกือบจะสี่ทุ่มถึงได้เอ่ยขอตัวกลับ
ชายหนุ่มไหว้สวัสดีผู้ใหญ่จนครบทุกคนถึงขอตัวออกมาก่อนเพราะจอดรถขวางคนอื่นไว้แม้ครอบครัวคุณลุงคงอยู่ค้างคืนที่นี่ก็ตาม เขาเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นพร้อมกับอลันด์ที่ถูกมาดามโอเนลล์ตบหลังไล่ให้ออกมาส่งเพื่อนรุ่นพี่
“ทำหน้าหงอยเชียว เป็นอะไร” พอพ้นสายตาคนในบ้านทิวากานต์จัดการดึงคอเด็กฝรั่งมากอดหลวมๆ ใจอยากจูบหัวเน่าสักทีแต่ยังอยู่ในเขตบ้านเขาจึงทำได้เพียงห้ามใจไว้
“คิดถึงวาอ่ะ ไม่อยากให้กลับเลย นอนค้างด้วยกันที่นี่ม่ะ”
“จะบ้าเรอะ ไม่ใช่เด็กแล้วนะอัล อดทนหน่อยสิ อีกแค่ไม่กี่วันเอง นะ” ทิ้งประโยคเสียงอ่อน เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงรถทิวากานต์เลยเรียกอีกคนขึ้นไปนั่งคุยด้วยกันบนรถก่อน “พรุ่งนี้เดี๋ยวก็เจอกันที่โรงพยาบาลแล้วไง จะไปนั่งเฝ้าตอนเย็นเลยด้วยพอใจไหม”
“อือ แต่พอไม่ได้ยินเสียงหัวใจวาเต้นแนบหูเหมือนทุกทีมันนอนไม่หลับอ่ะ”
“คิดว่าฉันหลับลงเหมือนกันหรือไง” พูดไปแล้วต่างคนต่างเงียบ อยู่ด้วยกันทุกวันจนเหมือนมีอีกฝ่ายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว
“เอางี้ไหม เราเปิดโทรศัพท์ทิ้งไว้ทั้งคืนเลยได้หรือเปล่า”
ความคิดออกจะเข้าท่าแต่ก็ถูกคุณหมอปัดทิ้งไปในทันทีด้วยเหตุผลว่าเปลือง อลันด์ทำหน้าหงอยเหมือนแมวถูกทิ้งจนชายหนุ่มอ่อนใจ เขาเอี้ยวตัวไปเบาะหลังทำกุกกักอยู่สักพักถึงกลับมาพร้อมสเตธในมือ เรียกตาสีฟ้าซีดมองอุปกรณ์การแพทย์งงๆ กำลังสงสัยว่าทิวากานต์จะตรวจอาการเขาตอนนี้เหรอก็พบว่าไม่ใช่เมื่อมือใหญ่เอาเครื่องมือหากินคล้องคอเขาไว้
“ทำอะไรน่ะวา”
“จุ๊ๆ” ส่งเสียงให้อีกคนเงียบพลางยัดเอียร์ทิปเข้าไปในหูแล้วจับยัดชีสต์พีซใส่มือเล็ก ถึงตอนนี้แล้วอลันด์ยังสับสนการกระทำของอีกคนอยู่ดี เด็กหนุ่มเอียงคอมองคนตรงหน้าตาปริบ หากเพียงครู่เดียวทุกอย่างจึงประจักษ์เมื่อคุณหมอหัวใจจับมืออลันด์ข้างที่ถือชีสต์พีซมาแนบหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง มีเสียงตุ้บๆ เหมือนกลองแล่นเข้ามาในหูเป็นจังหวะ
“ได้ยินเสียงหัวใจฉันไหม”
“อะ อือ”
“จำเสียงนี้ไว้นะ”
เด็กฝรั่งกลั้นยิ้มแก้มแทบแตก แดงไปทั้งหัวลงมาถึงคอเหมือนเลือดพร้อมใจกันวิ่งมากระจุกอยู่ที่ส่วนนี้ เขาฟังเสียงหัวใจทิวากานต์เต้นเป็นจังหวะแบบนั้นอยู่นานจนพอใจถึงถอดคืนอุปกรณ์ทำมาหากินให้เจ้าของ “อยากอัดเสียงเก็บไว้ฟังจัง”
“โลภมาก” คุณหมอทำท่าจะเอาสเตธเคาะหัวเด็กฝรั่ง ใบหน้าหล่อฉีกยิ้มไม่ต่างจากอีกคน “ความจริงมันมีรุ่นที่อัดเสียงเก็บได้ แต่ไม่ได้ซื้อมาใช้ เปลือง”
ปากบอกว่าเปลืองแต่เอาเข้าจริงราคายังถูกกว่าปากกามองบลังต์ที่การันต์โยนให้วันนี้เสียอีกทิวากานต์จูบปากอลันด์เร็วๆ ค่อยไล่ลงจากรถ ใจหายเหมือนกันที่ต้องจากไป แต่พอคิดว่าอีกไม่กี่วันจะได้กลับมานอนกอดกันเหมือนเดิมพร้อมกับเสียงหัวใจอีกฝ่ายที่เต้นเป็นปกติอีกครั้ง มันสมควรค่าแก่การรอคอยแล้วจริงๆ กะอีแค่นอนเหงาไม่กี่คืนคงไม่ขาดใจตายง่ายดายขนาดนั้นหรอก
.
.
.