★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน  (อ่าน 24376 ครั้ง)

ออฟไลน์ ummax

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๔

อศวมินทร์เดินตามมาวินไปยังห้องพักซึ่งอยู่ชั้นสิบเอ็ด ระหว่างเดินมาวินก็เล่าให้ฟังว่าเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันได้ติดสอยห้อยตามมาด้วย ที่สำคัญสิ่งที่อศวมินทร์สงสัยคือเพื่อนเหล่านั้นสนิทถึงขั้นชวนกันเที่ยวแล้วหรือ หรือมาวินเป็นคนอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไปถึง เขาก็เห็นเด็กหนุ่มสามคนกำลังฟังเพลงและนั่งคุยกันอยู่ ซึ่งดูท่าคนพวกนี้รู้จักเขาจากการเล่าของมาวินแน่

"ไอ้มิน นี่ไอ้อู๋ ไอ้ปอนด์ ไอ้กัน เพื่อนห้องเดียวกับกู พวกมึง นี่ไอ้มินนะ ส่วนนี่พี่ชายมัน..." มาวินหันไปมองคิมหันต์ ซึ่งทางนี้ก็ยิ้มรับรอแล้ว ด้วยวัยวุฒิที่มีมากกว่าในกลุ่มชายหนุ่มจึงคิดว่าควรกล่าวอะไรบ้างสักหน่อย "พี่ชื่อคิมนะ" ว่าพลางยกมือทักทาย

"กูว่าคนมันเยอะไปว่ะ เดี๋ยวกูแยกไปนอนคนเดียวนะ" คนมาใหม่บอกทั้งสำรวจเตียงสองเตียง ซึ่งบัดนี้เพื่อนใหม่ทั้งสามขยับลากมาแนบชิดกัน และใช้นั่งฟังเพลงกันอยู่ในขณะนี้

"เฮ้ย! ถ้ามึงอยากนอนเตียงมึงก็นอนนะ เดี๋ยวพวกกูนอนโซฟาได้" หนุ่มผิวขาวหน้าตี๋โดดเด่น ซึ่งรู้จักในชื่อกันนั้นหันมาบอกพลางลุกขึ้นยืนยิ้มให้ เห็นแล้วคนมองได้แต่มุ่นคิ้ว "ไม่เอาล่ะ พวกมึงคงอยากสนุกกัน กูมาอยู่แล้วคงจะทำให้บรรยากาศน่าเบื่อ" มินตอบ

"ไม่ใช่แบบนั้นหรอกมิน มึงคิดมากว่ะไอ้นี่ มาๆ เอาของมาเก็บแล้วมาเล่นไพ่กับพวกกูเถอะน่า" ปอนด์ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม ตบเบาะแปะๆ ขยับพื้นที่ให้นั่ง อีกทั้งร้องเรียกรุ่นพี่ไปด้วย "พี่คิม มาพี่มา..."

"เอ่อ..." คิมหันยิ้มจืด หันมองน้องชายซึ่งยังตีหน้าเซ็งอยู่คนเดียว "จะไปทำธุระก่อนไหมล่ะ เพราะต้องรีบกลับก่อนถึงวันจันทร์"

"มึงรีบก็กลับไปสิ" อศวมินทร์ยักไหล่ ถอดกระเป๋าสะพายเดินไปทิ้งกายนั่งร่วมวงเพื่อนรุ่นเดียวกัน เห็นอย่างนั้นคิมหันต์จึงถอนใจ ใครจะยอมล่าถอยออกมากันเล่า "งั้นพวกนายก็เล่นกันไปนะ เดี๋ยวพี่ไปหาซื้อชุดกับของใช้ส่วนตัวก่อน พอดีรีบเลยไม่ได้เตรียมมา" คนกล่าวมองตาน้องชาย บอกกลายๆ ว่าเพราะเจ้าตัวนั่นแลคือต้นเหตุ

"รีบมานะพี่ พวกผมอยากได้ขาเพิ่ม" คนตัวสูงโย่งที่สุดในกลุ่มร้องตาม ใบหน้าคมคายเหลือบมองเพื่อนซึ่งนั่งข้างกาย ก่อนจะฉีกยิ้มเฉลยว่า "ไอ้มาวินมันเล่นไพ่ไม่เป็น"

"ไอ้อู๋ มึงก็ชวนกันเล่นอันที่กูเป็นหน่อยสิ" มาวินผลักบ่าคนนั่งข้างสีหน้าหงุดหงิด เล่นเอาหัวเราะกันทั้งวงกับสีหน้ายามนี้

เพราะใครก็ทราบดีว่าเด็กคนนี้ถูกเลี้ยงแบบไหน เด็กหนุ่มแบบมาวินจึงกลายเป็นสาวน้อยอ้อนแอ้นที่สุดในกลุ่ม อู๋เห็นดังนั้นแล้ว มองหน้าของเพื่อนที่แสดงถึงความไม่ชอบใจก็นึกทั้งอยากแกล้งอยากโอ๋ไปพร้อมกัน หนุ่มตัวสูงยกแขนกอดคอเพื่อนแสดงความเห็นใจ "เออ งั้นมาเล่นโดมิโน่กันไหมละ คนไหนแต้มเยอะสุดต้องแก้ผ้าเต้นนะโว้ย"

"ไอ้อู๋!"

"อะไรคะน้องวิน อายจู๋เล็กๆ เหรอคะ" คนกอดคอหันมาแสร้งจับคางส่ายไปมาอย่างมันเขี้ยวสาวคนสวยของกลุ่ม เล่นเอาเสียคนถูกแกล้งนึกฉุน "มึงเลิกเรียกกูแบบนี้เลย กูไม่ชอบ! กูเป็นผู้ชายนะมึง" ว่าพลางปัดมือคนแกล้งออก

"โอ๋ๆๆ ไม่แกล้งๆ มึงแมนเต็มร้อย แค่มึงถูกเลี้ยงมาแบบลูกคุณหนูสวยๆ แค่นั่นเอง"

"ไอ้อู๋! มึงออกจากห้องไปเลยกูรำคาญ" คนไล่ชี้ไปยังประตู เพื่อนๆ จะทราบดีว่ามาวินเป็นคนที่มักโมโหง่ายยามถูกเย้าเรื่องคุณหนูของตัวเอง ทั้งๆ ที่ก็เล่นกันแบบเด็กทั่วไป แต่มักจะมีข้อเล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กผู้ชายธรรมดามองเห็นว่าการทำแบบนั้นมันดูน่าตลกเกินไป

มาวินมักเป็นคนคิดในกรอบ มักไม่เจอประสบการณ์ดื้อๆ แบบเด็กผู้ชายคนอื่นได้เจอ มักไม่ทันมุกเสี่ยวๆ ยามเพื่อนเล่น นั่นทำให้เขาดูต่างจนน่าตลกในสายตาคนอื่น โดยเฉพาะอู๋ คนที่มักใช้ถ้อยคำยียวนกวนประสาทแกล้งกันทุกครั้งให้มาวินโมโห

"ถ้ากูไปใครจะคอยถ่ายวิดีโอตอนมึงแก้ผ้าเต้นสวยๆ ละวะ มามาน้องวิน มานั่งนี่" อู๋ยักคิ้วดึงเพื่อนมานั่งข้างๆ สองหนุ่มสู้แรงกันอยู่พักหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสายตาอศวมินทร์ตลอดเวลา เด็กหนุ่มมองสายตาคนทั้งคู่อย่างเงียบเชียบ สำหรับมาวินแล้วไม่มีทางเป็นสาวน้อยตามคำพูดกระเซ้าเย้าแหย่ของเพื่อนแน่

แต่สำหรับคนแกล้ง คงมองเห็นความน่ารักนั้นอยู่จริงกระมัง อศวมินทร์คิดแล้วเพียงยกมุมปากยิ้มน้อยๆ มองแววตาของเพื่อนใหม่ซึ่งกำลังเพ่งมองมาวินด้วยนัยยะบางอย่าง เด็กหนุ่มไม่อยากคาดเดาอะไรทั้งสิ้น เพียงรอแค่ความจริงในนัยน์ตานั้นเผยออกมาเท่านั้นเอง

"มาๆ เพื่อความตื่นเต้น เกมละชิ้นดีกว่า แพ้หนึ่งเกมแก้หนึ่งชิ้นนะ" ปอนด์บอกพลางเรียงโดมิโน่ในมือให้เป็นระเบียบ ส่วนหนุ่มอีกคนก็ส่ายหน้ากับเพื่อน "เฮ้ยพวกมึงเลิกกัดกันได้แล้ว จะเล่นไม่เล่น ไม่เล่นก็ไปสวีทกันมุมโน้น วงนี้มีไว้สำหรับคนใจถึงเท่านั้นโว้ย คนปอดๆ ถอยไปไกลๆ เลยไป มึงเอาไหมมิน"

"เอาๆ กูเล่น" อศวมินทร์ยิ้มกว้างกับเกมพิเรนนี้ ประเด็นไม่ใช่แก้ผ้าแต่เป็นการเต้นต่างหาก ที่นี่มีแต่ผู้ชาย การได้ทำอะไรบ้าๆ ด้วยกันอย่างไม่อายคงรู้สึกดีไม่น้อย คิดแล้วภาพยามใครสักคนแย้มยิ้มก็ผุดขึ้นมาในสมอง ในขณะที่กุมมือกัน

"ไอ้มิน พอชวนเล่นเกมทะลึ่งมึงนี่ชอบจังนะ"

"แน่นนอน เพราะพวกกูจะรวมหัวกันแกล้งให้มึงแก้ผ้าเต้นไง"

"เออ เจ๋ง!" ทุกคนแกล้งเย้ามาวินยกใหญ่ ซึ่งเจ้าตัวถึงกับต้องอ้าปากร้องเหวอ หน้าตาบ่งบอกว่ากำลังตกใจและฉงนไปในคราเดียวกัน "มันทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอวะ"

ได้ยินคำถามนี้จากปากเจ้าตัว คนในกลุ่มก็หัวเราะ

เห็นทุกคนเข้ากันได้ดีแล้วคิมหันต์ทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆ จำได้ว่าน้องชายเป็นคนจำพวกมีโลกส่วนตัวสูงจนเข้ากับใครในสังคมมิได้ แต่เอาเข้าจริงแล้วชายหนุ่มหวนมาคิดได้ทีหลังว่า สิ่งที่เขาคิดก็คงเป็นได้เพียงแค่สิ่งที่คิดเองเออเองเท่านั้น เพราะภาพเบื้องหน้าที่เห็นสามารถยืนยันเป็นอย่างดีว่าอศวมินทร์เข้ากับใครก็ได้ยกเว้นเขา ชายหนุ่มส่ายหน้า เลือกหมุนตัวเดินออกมาเปิดประตู

วินาทีนั้นคิมหันต์เบิกตาตกใจ เมื่อบานประตูเผยออกให้เห็นว่าเป็นใครกำลังยืนทำท่าจะเคาะอยู่ด้านนอก ดูเหมือนคนด้านนอกเองก็ตกใจอยู่ไม่แพ้กัน ครั้นใจสงบ สติก็เดินกลับมาสู่ร่างกาย คิมหันต์ชำเลืองตามองภายในห้องซึ่งกำลังหัวเราะกันสนุกสนาน ทุกคนไม่ได้สนที่จะมองมาทางด้านนี้เท่าไรนัก ชายหนุ่มจึงก้าวออกจากประตูแล้วงับมันลง มาเผชิญหน้ากับชายตัวสูงพอๆ กัน

"ฉันได้ยินเสียงหัวเราะข้างใน มินโอเครึเปล่า เข้ากับเพื่อนได้ไหม" คนตรงหน้าถาม  ดวงตาพยายามที่จะชำเลืองเข้าไปด้านในก่อนหน้าจะปิดประตู คิมหันต์เห็นแล้วไม่เข้าใจสักนิดว่าหมายความอย่างไรแน่

"โอเคสิครับ คนแบบมินน่ะถึงไม่โอเคก็ทำให้เราเห็นว่าโอเคได้ เขาเก่งจะตาย" คนตอบมองสีหน้าคนอายุมากกว่า เพราะอินทัชเป็นผู้ใหญ่ที่ดูท่าจะเดาทางยากก็ยาก แต่จะง่ายก็ง่าย นั่นแหละต้นเหตุที่คิมหันต์หาข้อสรุปของคำตอบไม่ได้สักที "แล้วนี่คุณขึ้นมา มาคุยธุระกับมินหรือครับ ทิ้งพี่สาวคนสวยคนนั้นมามันไม่เป็นไรเหรอ"

อินทัชชะงักไปชั่วครู่ เมื่อได้เห็นคนตรงหน้ายกมุมปากยิ้มยามกล่าวถึงอลิส ความรู้สึกแปลกที่มีต่อคิมหันต์เพิ่มพูนความใคร่รู้ขึ้นมาอีกหนึ่งระดับจากเดิม ไหนจะท่าทีคล้ายต้องการกีดกันเขากับอศวมินทร์อีกเล่า "อ้อ ใช่...พอดีฉันนึกขึ้นได้ว่ามาวินยังไม่ได้กินอะไรเย็นน่ะ ก็เลยจะมาถามว่าจะกินอะไรไหม บวกกับจำได้ว่ามินอยากจะคุยธุระด้วยก็เลยขึ้นมา"

"ของแค่นี้โทรมาก็ได้นี่ครับ"

คำตอบระคนหยั่งเชิงของคิมหันต์เล่นเอาเขาจุกไปอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนเด็กหนุ่มตรงหน้าจะแสดงออกต่อเขาแล้วว่าตอนนี้เป็นศัตรู เฉกเช่นเดียวกับน้องชาย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นอินทัชก็ล้าเกินกว่าจะแบกรับ

"อ้อ ขอโทษที ก็บอกแล้วนี่ว่าจะมาคุยธุระกับมินน่ะ ก็อย่างที่บอกว่ามันคือทางผ่านที่จะมาพอดีก็เลยต้องเดินขึ้นมา" อินทัชล้วงกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นคนฟังพยักหน้าบอกว่าพอจะเข้าใจ "แต่เธอไม่ต้องห่วงหรอกนะ เรื่องอลิสน่ะฉันทำในสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้ว...อย่ากังวลแทนเลย"

อินทัชตอบเสียงเรียบ มองเด็กหนุ่มตรงหน้า เดาได้จากการสังเกตมานานมากแแล้ว ชายหนุ่มคิดว่าเด็กคนนี้เป็นคนดี ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตนเองแต่ไม่มากเท่าอศวมินทร์ รายนั้นซื่อสัตย์มากจนกลายเป็นเอาแต่ใจ ส่วนรายนี้ไม่มากเกิน ไม่น้อยเกิน อยู่ในความพอดีอย่างที่คนคนหนึ่งควรจะเป็น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาสัมผัสถึงความมากจนเกินไปคือท่าทีหวงน้องชายอย่างออกนอกหน้านี้

"มินบอกว่าช่วงที่อยู่ด้วยกัน คุณกับเขาสนิทกันมาก"

"ไม่ล่ะ ไม่สนิทกันเลย"

อินทัชใจหวิวจนต้องเปลี่ยนมากอดอก ทำเมินสีหน้าแห่งความแปลกใจของคิมหันต์เมื่อได้ยินเขาตอบแบบไม่คาดคิดไป ชายหนุ่มตรองไว้แล้วว่าเขาควรปฏิเสธสิ่งนี้อย่างไม่มีเยื่อใย เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเขาอยากให้คนที่เป็นหัวข้อนี้ลืมความรู้สึกก่อนหน้านั้นเสีย "ฉันกับมินเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย นอกจากการให้เงินไปโรงเรียนทุกวัน เราไม่รู้จักนิสัยจริงๆ กันสักนิด"

ดีแล้ว เขาคือพ่อเลี้ยง อีกฝ่ายคือลูกเลี้ยง จะให้ใครรู้ถึงความสัมพันธ์ลับนั่นไม่ได้ ความรู้สึกอบอวลไปด้วยความสุขตอนนั้นมันไม่มีจริงสักนิด

"แต่มินบอกว่า..."

"เธอก็รู้ว่าเด็กคนนั้นจะพูดจะทำอะไรก็ได้ โดยเฉพาะการกุเรื่องหลอกคน"

ชายหนุ่มกัดฟัน ขบกรามเก็บความจริงไว้อย่างพยายามที่สุด ความจริงที่เขารู้มาโดยตลอด ว่าสิ่งที่อศวมินทร์เล่ามาทั้งหมดที่ผ่านมานั้น มันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เขาหมั่นโทรถามอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่บ่อยครั้ง มาวินเองก็คอยเป็นคนดูแลอศวมินทร์ จับตามองอยู่ห่างๆ ทำไมเขาจะไม่ทราบความจริงว่าสิ่งที่ทนนั่งฟังโดยตลอดเป็นเรื่องโกหก

เขาเพียงมีความสุขที่เห็นรอยยิ้มยามเล่าของเด็กคนนั้น...

"ฉัน...คิดว่าปล่อยเด็กๆ เล่นกันดีกว่า เดี๋ยวจะมาใหม่พรุ่งนี้..."

"อย่ามายุ่งกับมินได้ไหม" ในขณะที่อินทัชกำลังจะเอี้ยวตัวเดินออกมา ถ้อยคำนั้นราวกับมัดเอากล้ามเนื้อลำขาของเขาไปด้วย ไม่มีแรงเอาเสียเลย หรือเขาได้ยินผิดเพี้ยนไป อินทัชกลืนน้ำลายหันกลับไปมองใบหน้าจริงจังของคนด้านหลังอีกครั้ง แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยคำถามว่าเหตุใดคิมหันต์จึงพูดเช่นนั้น

"ว่ายังไงนะ"

"ผมพูดว่าช่วยอย่ามายุ่งกับมินได้ไหม คุณอยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่ามายุ่งกับเขา ต่างคนต่างอยู่ได้ไหม" คิมหันต์กำหมัด มองสีหน้าของอินทัชที่สนองตอบ

"พูดเหมือนตอนนี้ฉันกำลังพยายามวิ่งตามน้องชายเธออยู่เลยนะ ฉันว่าเธอเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าคิมหันต์ ฉันจะบอกให้ ฉันไม่สนใจเขาเลยสักนิดเดียว" อินทัชกัดฟันเล่า จ้องดวงตาที่เบิกกว้างแปลกใจของคนฟัง "สิ่งที่ทำให้ฉันต้องทนแบกรับคือการเป็นพ่อเลี้ยงของเขา ใจจริงๆ ฉันไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับเขาสักนิด เพราะฉันไม่ได้อะไรเลยนอกจากประสาทเสียที่ต้องรับรู้พฤติกรรมแย่ๆ ของเขา"

"นี่คุณ!" เด็กหนุ่มกระชากคอเสื้อคนกล่าวอย่างทนฟังไม่ได้ "ไม่ได้อยากเกี่ยวข้องก็ดีแล้ว คุณควรทำตามในสิ่งที่ผมบอก"

"ฉันทำ แต่ไม่ได้ทำเพราะเธอบอก ฉันทำเพราะฉันคิดว่าต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว" ชายผู้อาวุโสกว่าเอ่ยเสียงเรียบ แม้มือหนาของเด็กหนุ่มด้านหน้าจะกำคอเสื้อเขาข่มขู่แนบแน่นเพียงไหน "ดูแลน้องชายเธอให้ดีเถอะ อย่าให้เขามาระรานฉันอีก"

ชายหนุ่มสะบัดมืออีกฝ่ายออก จัดคอเสื้อให้เขาที่ก่อนจะเลือกหมุนกายเดินออกมากดลิฟต์ มือหนาสั่นไหวกำหมัดแน่น ครั้นประตูลิฟต์ปิดลงแล้วก็ถึงเวลาที่ชายหนุ่มจะระเบิดตัวเอง มือหนาทิ้งหมัดต่อยผนังรัวเพื่อสั่งสอนตัวเองให้เข้มแข็ง หากเลือกทำอย่างนี้แล้วควรเย็นชาให้มากกว่านี้!

ลำขายาวอ่อนปวกเปียก ดวงใจแสบร้อนไร้เรี่ยวแรงราวถูกมือใครสักคนกำลังบีบแน่น อินทัชยกมือเกาะให้ยืนต่อไปอย่างเข้มแข็ง แม้จะแทบไม่มีแรงยืนตรงเสียด้วยซ้ำยามนี้ แต่แบบนี้น่ะดีที่สุดแล้ว


"ไอ้มิน มายืนอะไรอยู่รงนี้ ไหนว่าจะไปตามพี่มึงกลับเข้ามาไง เนี่ย...พวกกูแบ่งออกมาได้คนละชุด สี่ชุดเลยนะเว้ย ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อเลย" มาวินเดินไปจับไหล่เพื่อนที่ยืนพิงประตูหน้าขรึมก็แปลกใจ เจ้าตัวปัดมือเขาออกก่อนจะส่ายหน้าไม่ยอมตอบอะไร เดินเข้าไปภายในห้องรวมกลุ่มกับเพื่อนอีกครั้ง

"อะไรวะ หน้าหงิกหน้างออย่างกับตะขอแหนะ" อู๋เปรย

อศวมินทร์ถอนใจ หางตาลอบมองไปยังฝั่งประตูอีกครั้ง "พวกมึงเก็บชุดไว้ใช้เถอะ พี่กูไม่ใช้หรอก รบกวนพวกมึงเปล่าๆ"

"มาวิน นี่มึงเอาชุดนอนมาด้วยเหรอ"

เพื่อนจอมแกล้งชูชุดลายตาข่ายสีฟ้าอ่อนขึ้นคล้ายตกใจและนึกขันอยู่ในที สิ่งนี้ได้เรียกความสนใจของเพื่อนให้หันไปมอง ก่อนจะหัวเราะในที่สุด "มานอนแบบนี้กูไม่อยากอาบน้ำนะ ชุดนอนอย่าพูดถึงเลย มีกางเกงในตีวเดียวจบงาน ฮ่าๆๆ"

"ก็กูติดชุดนี้นี่หว่า" มาวินยกชุดตัวเองมาถือ ตบหัวเพื่อนที่แกล้งไปที "ไหนๆ ใครว่าจะเล่นเกม เมื่อกี้ใครแพ้ถอดเลย กูชนะ ใครที่แต้มเยอะกว่ากูถอดเลย" มาวินชี้นิ้วสั่ง ทำหน้าเหนือกว่ายามเห็นเพื่อนทุกคนเอื่อยเฉื่อยกลังจากแพ้เกมแรก

แต่ท้ายที่สุด หลังจากนั้นมาวินก็ไม่ชนะอีกเลย เพื่อนอีกสี่คนต่างไล่เรียงชนะกันคนละตาสองตาจนมาวินเหลือกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียว "ไอ้อู๋! มึงชนะสองตารวดแล้ว ขี้โกง!"

มาวินอยากเลิกเล่น ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ที่รวมหัวกันแกล้งแล้วนึกโมโห นั่งงอนอย่างไม่สามารถทำอะไรได้ หากทว่ายิ่งเห็นมาวินแสดงท่าทีอย่างนี้ทุกคนยิ่งชอบใจใหญ่ "เออ มึงเหลือตัวเดียวแล้วใช่ปะ เดี๋ยวกูถอดของกูแทนเองละกัน" คนเพิ่งชนะยกยิ้มพลางถอดเสื้อ ยกมือยีหัวคนกำลังตีหน้ามุ่นข้างกาย

"แหม่ มึงแกล้งมันแล้วมาทำตัวเป็นพระเอกนี่นะไอ้อู๋"

"แค่นี้กูไม่ยกโทษหรอก มึงต้องแกผ้าเต้นด้วย!" มาวินกระโดดตะครุบคนตัวสูงที่สุดในกลุ่ม "จับขามัน กูจะแก้ผ้ามันให้หมด ฮ่าๆๆ"

"ไอ้วิน ไอ้คนอกตัญญู!" คนถูกรุมร้องสุดเสียง เสียงเพื่อนๆ หยอกล้อกันดังก้องห้องพักในโรงแรม เด็กหนุ่มสามสี่คนกึ่งเปลือยกระโดดตะครุบกันไปมาหวังแกล้ง หัวเราะด้วยกันอย่างสนุกสนาน แต่ในความสนุกสนานนั้นเร้นแฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง

เห็นแล้ว อศวมินทร์ทำได้เพียงมองอย่างเงียบเชียบเท่านั้น


*******************************

อู๋ชอบมาวิน มาวินกลับไม่ชอบที่ถูกแซวว่าเป็นสาวน้อย หรือถูกแซวว่าเป็นเกย์

เอาไงน้อ... น้องมินได้ยินที่ลุงอ้ายพูดรึเปล่า แล้วต่อไปจะทำอะไรหลังได้ยิน

บอกเลยเกี่ยวกับมาวินนี่แหละค่ะ สปล์อยนิดนึง 5555


ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เราว่าน้องได้ยินชัวร์ เจ็บแทนน้องมินเลยตอนที่น้องได้ยินที่ลุงอ้ายพูดกับคิม

ไม่อยากบอกว่าลุงอ้ายตายแน่ๆ คราวนี้ ตายยั่งเขียดแน่ๆ น้องมินเรายอมคนซะที่ไหน

ใครทำเจ็บน้องเอาคืนให้เจ็บกว่าร้อยเท่าพันเท่าแน่ๆ เลยคราวเนี่ย

รอดูตอนต่อไปว่าน้องจะเอาคืนลุงอ้ายหรือเปล่านะคะ แต่จากที่สปอยล์มานิดๆ

น้องคงใช้มาวินในการเอาคืนลุงอ้ายแน่ๆ เลย สงสารมาวินล่วงหน้าที่ต้องมารับกรรมแท้ เฮ้อออ

ออฟไลน์ armize

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :angry2: ปากหนอปากลุงเอ๊ย

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
ทำร้ายกันด้วยคำพูดแล้วก็มาเจ็บใจเอง :ling2:

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เราว่าน้องได้ยินชัวร์ เจ็บแทนน้องมินเลยตอนที่น้องได้ยินที่ลุงอ้ายพูดกับคิม

ไม่อยากบอกว่าลุงอ้ายตายแน่ๆ คราวนี้ ตายยั่งเขียดแน่ๆ น้องมินเรายอมคนซะที่ไหน

ใครทำเจ็บน้องเอาคืนให้เจ็บกว่าร้อยเท่าพันเท่าแน่ๆ เลยคราวเนี่ย

รอดูตอนต่อไปว่าน้องจะเอาคืนลุงอ้ายหรือเปล่านะคะ แต่จากที่สปอยล์มานิดๆ

น้องคงใช้มาวินในการเอาคืนลุงอ้ายแน่ๆ เลย สงสารมาวินล่วงหน้าที่ต้องมารับกรรมแท้ เฮ้อออ


ตอนหน้าคงหนักค่ะ อิอิ

ออฟไลน์ ummax

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอยาวๆๆๆๆหน่อยครับ
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
ขอยาวๆๆๆๆหน่อยครับ
ขอบคุณครับ

จะพยายามนะคะ เพราะเขียนทางโทรศัพท์ก็เลยกะหน้าลำบาก

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๕

"ฉันไม่ได้อะไรเลยนอกเสียจากต้องทนรับรู้พฤติกรรมแย่ๆ ของเขา!"

เสียงของผู้กล่าวสะท้อนใจผู้ฟังซึ่งอยู่ฝั่งนี้ ดวงตากลมหลุบมองลงบนมือของตนเองนิ่ง ภาพเบื้องหน้าพร่าเบลอสั่นไหวปรากฏเป็นซองสีขาวซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาบอกให้นำมาส่งกับอินทัช เด็กหนุ่มใจเต้นตึกตักทั้งกัดฟันกรอดพยายามเก็บอารมณ์ให้มากที่สุด มือหนาขยำของในมือจนยู่ยับก่อนปาทิ้งลงมุมใดสักมุมหนึ่ง ร่างกายรู้สึกล้าจนต้องทิ้งกายนั่งลงบนโซฟาอย่างเงียบเชียบท่ามกลางเสียงสนุกสนานของเพื่อนร่วมห้อง

ให้ตายสิ อินทัช...อินทัช!!!

ในใจของอศวมินทร์ร่ำร้องตะโกนเพียงชื่ออีกฝ่าย เขาเกลียดคนๆ นี้จนไม่รู้จะพูดว่ายังไงดี คิดแล้วร่างกายก็ขยับ มือเคลื่อนไปหยิบขยะตรงหน้ามาถือด้วยมือที่สั่นไหว ไม่ใช่เพราะเสียใจแน่ เขาโกรธ เขาเกลียดอีกฝ่ายจนอยากระเบิดออกมาดังๆ สุดท้ายทำได้เพียงขยี้ขยำของในมือจนขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีทั้งหอบหายใจ ด้วยอารมณ์ดิบเถื่อนตอนนี้ของเขาคล้ายสัตว์ป่าผู้กระหาย อยากจะขย้ำเหยื่อให้แหลกคาอุ้งมือ

อินทัชก็เช่นกัน จะไม่เหลือชิ้นดีแน่ จากนี้!

อศวมินทร์ผ่อนปรนลมหายใจ ย่างเดินผ่านกลุ่มเพื่อนออกมาด้านนอกระเบียง ภาพเมืองพัทยาคราคร่ำไปด้วยรถยนต์ขับเคลื่อนไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน เจ้าของนัยน์ตากลมทอดมองลงไปด้านล่าง เห็นวิวทะเลยามค่ำคืนกำลังซัดสาดคลื่นมายังชายหาดไม่ขาดสาย อศวมินทร์ยกมือเท้าค้างมองเอื่อยท่ามกลางสายลมที่พัดระกาย ยามมองจากระเบียงของโรงแรมแห่งนี้

เสียงคนเปิดประตูก้าวออกมายืนขนาบข้าง ให้เด็กหนุ่มทราบว่าเป็นใครที่เดินออกมาสูดลมหายใจ อีกฝ่ายหันมายกยิ้ม ยกบุหรี่ขึ้นมาจุดสูดเข้าเต็มปอดเงียบๆ ในสภาพสวมแค่บ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียว

"ขอกูสักมวนสิ" เด็กหนุ่มหันมองคนข้างกาย อู๋เองก็เช่นกัน  หันมามองเขาด้วยแววประหลาดใจ ดวงตาอีกฝ่ายงุดลงมองมือเขาก่อนจะยอมยกบุหรี่ให้ในที่สุด อศวมินทร์ทอดถอนใจ คาบบุหรี่แล้วจุดไฟสูดเข้าเต็มปอดอย่างที่คนข้างกายทำบ้าง เพียงแค่ไม่นาน เด็กหนุ่มก็สำลักควัน ไอค่อกแค่กเสียยกใหญ่

"เฮ้ย เป็นอะไรรึเปล่าวะ" อู๋เดินมาลูบหลัง สีหน้ากึ่งตกใจกึ่งขำ ด้วยคิดว่าคนอย่างอศวมินทร์น่าจะเป็นคนกร้านโลก เรื่องบุหรี่ก็น่าจะเคยสูบมาแล้ว "มึงนี่ อยากรู้อยากเห็นเหมือนไอ้วินเลยนะ"

"ไม่เหมือนหรอก กูน่ะ... ยกเว้นเรื่องบุหรี่ก็ลองมาหมดแล้วจริงๆ กูคิดอยสกพึ้งพาของพวกนี้ แต่ไอ้มาวินมันแค่อยากจะรู้ว่าเป็นยังไงเฉยๆ" อศวมินทร์เอ่ย "ตอนนั้นกูผ่านอะไรมาหลายอย่าง สองเดือนนั่นโคตรเหมือนตกนรก..."

"ที่ได้ข่าวว่ามึงหายตัวไปน่ะนะ กูก็คิดว่าแค่เด็กติดยาธรรมดาเสียอีก" อู๋หันมองคนที่ก้มลงมองทิวทัศน์ด้านหน้านิ่ง จริงอยู่ที่อศวมินทร์เป็นเด็กแปลก เป็นคนปิดกั้นตัวเองกับผู้อื่น แต่ดูรวมๆ นับว่าเป็นคนดีและน่าคบคนหนึ่งหากไม่รวมเรื่องที่ชอบถือตัวนี่ เขารู้จักเพื่อนคนนี้จากการพูดถึงของเด็กผู้หญิงในห้อง และมาวิน

อศวมินทร์ขึ้นชื่อถึงความหล่อเหลา ร่ำรวย และเย่อหยิ่ง เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีอันดับต้นๆ ของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าไปที่แห่งไหนจะต้องมีคนพูดถึงเสมอ ทว่าหากไม่มีเรื่องนิสัยเอาแต่ใจและเจ้าอารมณ์ ป่านนี้คงครองต่ำแหน่งหนุ่มฮอตที่สุดได้ไม่ยากแน่ ทั้งคุณสมบัติและรูปสมบัติมีเต็มที่อย่างครบถ้วนเช่นนี้

"กูเสียใจกับเรื่องแม่มึงด้วยนะ" คนข้างกายบอกพลางสูดบุหรี่ ก่อนพ่นมันออกมาราวได้ระบายความรู้สึก อศวมินทร์ทำได้เพียงพยักหน้าคนเดียวตอบรับ "มันผ่านมานานแล้ว กูทำใจได้แล้วล่ะ"

"พ่อกูก็เพิ่งเสียไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตอนอยู่ก็พูดเยอะ ทะเลาะกันฉิบหาย แต่พอไม่อยู่ไม่รู้เอาน้ำตามาจากไหน กูร้องไห้ตลอดเวลา มึงรู้ไหม กูซึมจนไอ้วินต้องชวนมาเที่ยวด้วยวันนี้" ทั้งที่ก็ดูเป็นคนร่าเริงอย่างนี้น่ะหรือ อศวมินทร์หน้าชา หันไปมองคนที่เกาะขอบราวระเบียงมองไปข้างหน้า อู๋ตัวสูง เหมือนเขาจะเห็นว่าเคยเป็นนักกีฬาของโรงเรียนด้วย "กูแม่ง... แรกๆ รู้สึกว่าตัวเองโคตรเหี้ยเลย กูทำผิดกับเขาจนถึงวาระสุดท้าย ที่กูยิ้มเพราะได้อยู่กับเพื่อนนะ พวกมันโคตรพยายามเพื่อกูเลย..."

"มึง..." คนฟังหันไปมองอู๋ ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกปวดหนึบราวได้ส่องกระจกดูตัวเอง "กูเห็นนะ"

"หา" อู๋เลิกคิ้ว

อศวมินทร์ถอนใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายย้อนมาหน้าฉงนกับสิ่งที่เขากล่าว บางทีก็เปลี่ยนเรื่องคุยคงจะดีกว่าพูดถึงเรื่องราวขื่นขมที่พานพบ ในเมื่ออยากลืมความเจ็บปวดก็ไม่ควรรำลึกถึงมันอีก เด็กหนุ่มหันไปสบตาคนฟังอยู่ครู่ก่อนเฉลยให้อีกฝ่ายกระจ่างแจ้ง "สายตาที่มึงมองไอ้มาวินน่ะ มึงคิดอะไรกับมันใช่ไหม"

อู๋นิ่งมองคนถาม ก่อนจะฉีกยิ้มในท้ายที่สุด "ก็เออสิ หรือมึงไม่คิด มันออกจะน่ารักขนาดนั้น"

"มึงชอบมันใช่ไหม" อศวมินทร์ตีหน้าจริงจัง "มึงก็รู้ใช่ไหมว่าลุงมันแต่งงานกับแม่กู ถ้านับเป็นญาติ มันก็เหมือนพี่ชายกูคนหนึ่งเลยนะ มึงไม่จริงจังใช่ไหมถึงได้พูดออกมาง่ายๆ ขนาดนั้น"

คนฟังนิ่งไป สูบบุหรี่อยู่เงียบเชียบราวกับคิดตามในสิ่งที่อศวมินทร์กล่าว "กู...ไม่ได้อยากจะครอบครองมันสักหน่อย แค่เห็นว่ามันน่ารักดี" อู๋เบิกตา กลอกไปมาคิดก่อนจะกล่าวต่ออีกว่า "มึงก็รู้ดีนี่ว่าไอ้วินมันนิสัยยังไง ถ้าวันหนึ่งกูอยากครอบครองมันขึ้นมาจริงๆ คงไม่มีทางจบสวยแน่ อยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว แต่บอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่ว่ากูไม่จริงจังนะ กูแค่...ไม่กล้าหวังมากเกินไปว่ะ"

"มึงมีความสุขที่อยู่แบบนี้เหรอ" อศวมินทร์ไม่เข้าใจเอาเสียเลย มีความรักแต่ไม่ต้องการครอบครองมาไว้เป็นของตัวเอง หากเป็นเขาคงพุ่งชนไม่ว่าจะมีผลตอบรับอย่างไร ยังไงก็จะเผชิญจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะคลี่คลาย นั่นคงเป็นการเสี่ยงอย่างเดียว อู๋คงไม่อยากแลกกับความรู้สึกอีกมากมายที่ต้องสูญเสีย

"อืม..."

เสียงของอู๋ยังสะท้อนในหูของเด็กหนุ่มอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงแววตานั้นยามเอ่ยตอบ ทำไมกันหนา ทำไมคนเราจึงยอมทำร้ายจิตใจตนเองด้วยการบอกว่ามีความสุข โกหกแม้กระทั่งตนเองอย่างนั้น ทั้งที่แววตาไม่เห็นด้วยกับคำพูดพวกนั้นเลยสักนิด ทำไมกัน ทำไม... คงเพราะเขาเห็นแก่ตัวเกินไปที่จะเข้าใจกระมัง ตลอดทั้งคืน อศวมินทร์คิดเรื่องนี้จนนอนไม่หลับ ผนวกกับเสียงของอินทัชยามกล่าวยังคงดังติดหูไม่ยอมหายสักที กว่าจะหลับก็เกือบรุ่งเช้าแล้ว

เสียงเพื่อนๆ ร่วมห้องต่างกุลีกุจออาบน้ำแต่งตัวกันในช่วงสาย หากทว่าอศวมินทร์ยังไม่ยอมลุกออกจากที่นอนคนเดียว มาวินเห็นดังนั้นจึงเดินไปปลุกเพื่อนด้วยความหวังดี เกรงว่าจะพลาดโอกาสคุยกับลุงของเขา

"มิน ตื่นเร็วเข้า พวกกูจะไปเล่นน้ำกับลุงอ้ายข้างล่าง" มาวินสะกิดคนที่นอนอุตุบนเตียง เมื่อคืนเขากับอศวมินทร์ยึดที่นอน ส่วนคนอื่นก็กระจัดกระจายทั่วห้อง แต่ดูเหมือนคนที่เข้านอนก่อนเพื่อนจะลุกทีหลังเขาเสียได้ "เร็วๆ สิ พวกกูเสร็จกันหมดแล้วนะ มึงไหวไหม"

"ไม่อะ กูรู้สึกไม่ค่อยสบาย มึงไปเล่นกันเถอะกูอยากนอนพักสักหน่อย เดี๋ยวตามลงไปนะ"

"เออได้ พี่คิมครับ! ไปเล่นน้ำกันพี่" มาวินหันไปเรียกรุ่นพี่ที่ยืนจัดแจงสัมภาระอีกฝั่ง คิมหันต์มองน้องชายอยู่ครู่ทั้งเบิกตาฉงนใจ ทั้งๆ ที่ดูเหมือนยังปกติดีแท้ๆ "เอ้า แล้วมินล่ะ"

"มันไม่ค่อยสบายน่ะ ไปเล่นน้ำกับพวกผมนะพี่"

"โห... คงไม่ได้หรอกนะ พี่ต้องอยู่ดูแลมินน่ะ" คิมหันต์ยักไหล่น้อยๆ มองไปยังเตียงด้วยแววห่วงใย หากทว่าคนอ้างว่าป่วยกลับลุกขึ้นนั่งเกาศีรษะ สีหน้ารำคาญอย่างเห็นได้ชัด "นี่มึงบ้าปะวะ กูเป็นผู้ชายกูดูแลตัวเองได้ นี่กูแค่รู้สึกเหนื่อย ลุกเดินเหินได้ปกติไม่ต้องให้ใครมาช่วย เข้าใจไหม มึงมาอยู่ก็ขวางหูขวางตากูเปล่าๆ"

"แต่..." คิมหันต์ลากเสียงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ก่อนจะเดินมาทรุดกายนั่งลงจ้องตา ยกมือขึ้นมาอังหน้าผากด้วยความประหลาดแก่ใจ ตัวไม่ร้อน แสดงว่าแค่อยากจะนอนตื่นสายกว่านี้กระมัง ผู้เป็นพี่ชายยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนั้น "งั้นนอนต่อนะ เดี๋ยวอีกสักพักพี่จะเอาของกิน..."

"ถ้ากูหิวเดี๋ยวจะลงไปเอง อย่ามารบกวนเวลากูนอน ไปเถอะไป..."

กลุ่มเพื่อนนั้นล้วนแต่มีคำถามในสิ่งที่อศวมินทร์แสดง เหตุใดจึงตอบสนองความห่วงใยของพี่ชายได้เลวร้ายถึงเพียงนี้เล่า ทั้งที่ดูเหมือนคิมหันต์จะรักและพยายามดูแลอย่างไม่ยอมห่าง ดวงตาของสี่หนุ่มทำได้เพียงเหลือบไปสบมองกันเองอย่างไม่อาจเข้าใจ รับรู้เท่านั้นว่าอศวมินทร์เป็นคนกระด้างเย็นชาเหลือเกิน เกินกว่าจะเข้าใจได้ว่าทำไปอย่างนั้นเพื่ออะไรกัน ทั้งที่พี่ชายก็แสนรักถึงเพียงนั้น

ทั้งหมดลงไปเจอกันข้างล่าง พบอินทัชกับอลิสรออยู่ก่อนแล้วพร้อมโต๊ะอาหารติดชายทะเลบรรยากาศดี อินทัชเตรียมรอไว้ก่อนแล้วเพราะเห็นว่าวันนี้มาวินอยากจะสนุกเต็มที่ จึงตระเตรียมของไว้สำหรับเพิ่มพลังเต็มที่ ในขณะที่ร่วมรับประทานมื้อเช้า คิมหันต์ลอบเสดวงตามองอินทัชอยู่บ่อยครั้ง เพราะปกติอีกฝ่ายจะถามหาอศวมินทร์เป็นคนแรก แต่คราวนี้เมินเฉยจนเขาเองก็นึกฉุน

"ว่าแต่ว่า...น้องมินไม่ลงมาทานข้าวด้วยกันแบบนี้ เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณอ้าย" สาวคนเดียวในกลุ่มเอ่ยถามขึ้น ท่ามกลางเสียงพูดคุยของเด็กๆ มาวินเห็นดังนั้นจึงพยายามคลี่คลายบรรยากาศ "มินมันไม่สบายตัวนิดหน่อยครับพี่อลิส พวกเราเลยปล่อยให้มันนอนพักอยู่ในห้อง"

"อ้าว ไม่ให้น้องเขาทานข้าวทานยาสักหน่อยเหรอคะ" อลิสแสร้งเอ่ยสีหน้าจริงจัง ลอบชำเลืองดูสายตาของชายหนุ่มทั้งหมดจนครบถ้วน "แหม ผู้ชายนี่ยังไงกัน เขาบอกไม่เป็นอะไรก็เชื่องั้นเหรอเนี่ย"

"ผมเชคดูแล้ว ตัวก็ไม่ร้อนนะครับ"

คิมหันต์ตอบเสียงเรียบ ดวงตามองหนุ่มๆ รุ่นน้องอีกสองสามคนกำลังพูดคุยตื่นเต้นเรื่องเครื่องเล่นและเจทสกีที่มีคนขับผ่าน มาวินเองก็เริ่มจะสนใจอยู่เช่นกัน ซึ่งนั่นอยู่ในสายตาผู้เป็นลุงที่นั่งมองอยู่นานแล้ว "ผมว่าเราไปเล่นบานาน่าโบ๊ทกันดีกว่าครับลุงอ้าย อยากลองสักครั้งหนึ่ง ผมอยากถูกเรือนั่นเหวี่ยงแล้วก็เททิ้งลงทะเลแบบพวกเขาบ้าง"

"แต่มันอันตรายนะมาวิน" ผู้เป็นลุงแย้ง เรียกให้หมู่เพื่อนหันมาสบมองคนกล่าวเมื่อได้ฟัง มาวินหน้าร้อนฉ่า อับอายที่ถูกคนคอยประคบประหงมอยู่ตลอดเวลา "ลุงอ้ายชวนผมมาทำไม ถ้าจะให้มานั่งเอาเท้าเขี่ยทรายเล่น ผมเป็นผู้ชายนะครับ ผมดูแลตัวเองได้แล้ว แล้วผมก็ว่ายน้ำเป็นด้วย"

"ใจเย็นสิวิน" อู๋จับบ่าเพื่อน มองผู้เป็นลุงที่ยังนั่งไม่แสดงท่าทีอะไร "ลุงอ้ายครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลมาวินให้ดี ไม่เล่นแผลงๆ ให้มันเจ็บตัวแน่ เพราะอย่างนั้นให้เขาไปเล่นน้ำกับพวกผมได้ไหมครับ" เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ดูท่าแล้วอินทัชเป็นคนใจดีกว่าที่เห็น แม้ท่าทางคล้ายไม่รู้สึกรู้สา แต่แค่มองแววตาก็ทราบได้ว่าชายคนนี้เป็นคนจิตใจดีเพียงไหน

อินทัชทอดถอนใจ มองหลานที่จู่ๆ ก็เอาแต่ใจขึ้นมา "ลุงไม่ได้จะห้ามสักหน่อย แค่เตือนว่ามันตราย เพราะก็รู้อยู่หรอกว่าเด็กผู้ชายห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์ แค่ไม่อยากให้เล่นอะไรดื้อๆ ก็แค่นั้น"

มาวินชะงัก "งั้นหรอกเหรอ" ดวงตากวาดมองเพื่อนอย่างละอายแก่ใจ คงเพราะทุกวันมักโดนเย้าเรื่องการอบรมเลี้ยงดูของทางบ้านที่เห็นเขาอ่อนแอ หรือเป็นเด็กไม่รู้จักคิดมาโดยตลอด นั่นทำให้เขารู้สึกอายพื่อนจนระแวงไปเสียหมด "ผะ ผม...ขอโทษครับลุงอ้าย ผมไม่ได้ตั้งใจ..."

"ลุงไม่ชอบเด็กก้าวร้าวเอาแต่ใจ เราก็รู้" ชายหนุ่มถอนใจ หลังจากพยายามอธิบายเหตุผลให้หลานรักฟัง ตั้งแต่รู้จักอศวมินทร์ อินทัชก็ทำความเข้าใจกับตนเองไว้รอท่าแล้ว ว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนี้จะต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง จะต้องดื้อรั้นเชื่อในความคิดนั้นจนไม่ยอมฟังคำอธิบายใดๆ จากเขาอีก นัยน์ตาคมมองไปยังร่างของหลานชายที่เดินมายกมือไหว้อย่างสำนึกผิด ชายหนุ่มทำได้เพียงยกมือลูบศีรษะนั้นอ่อนแผ่วอย่างเข้าใจ

ภาพเด็กๆ กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานนั้นนับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้อินทัชมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มยกยิ้ม มองยามเหล่าเด็กหนุ่มทั้งหมดกำลังหยอกล้อ แกล้งเพื่อน เห็นแล้วเขากับอลิสก็พลอยขำขันไปด้วย แต่เพียงไม่นานเท่านั้น อินทัชก็นึกขึ้นมาได้ว่าเกือบจะเที่ยงแล้วและมีอีกคนที่ยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืน จสกการสะกิดของหญิงสาวข้างกาย "เป็นห่วงน้องมินนะคะ ไม่ไปดูเขาหน่อยเหรอ"

นั่นทำให้อินทัชหนักใจ "แต่พี่ชายเขาบอกว่าไม่เป็นอะไรนี่ครับ"

"ฉันขอได้ไหมคะ นี่เป็นยาที่ฉันพกมาด้วยเวลาแพ้อากาศหรือรู้สึกไม่สบาย ช่วยเอาไปให้น้องมินได้ไหมคะคุณอ้าย เพื่อความสบายใจของทั้งฉันและคุณด้วย ฉันรู้หรอกว่าคุณเป็นห่วงเขาน่ะ" หญิงสาวยื่นซองยาใส่มือหนา ฉีกยิ้มให้อย่างเป็นมิตรเช่นเคย หล่อนพยักหน้าให้ความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำเป็นเรื่องที่ดี "น้องเขาต้องมองคุณใหม่ คุณเป็นคนดีจะตาย"

อินทัชไม่สามารถกล่าวอะไรได้ ชายหนุ่มทำได้อย่างเดียวคืองุดลงมองของในมืออย่างช่วยไม่ได้ จนท้ายที่สุดก็ยอมลุกเดินออกไป ท่ามกลางรอยยิ้มของคนมองตามที่นั่งอยู่ตรงนี้ และมาวินที่มองขึ้นไปข้างบน เห็นร่างสูงๆ ของคุณลุงยังหนุ่มกำลังเดินออกไปจากโต๊ะอาหาร แม้จะแปลกใจ หากทว่าความสนุกที่มีก็ปัดเอาความอยากรู้อยากเห็นออกจนหมด

"มาวิน มานี่!" คนตัวสูงดึงเข้าหา มาวินร้องอ๊ากสุดเสียงเมื่อถูกอู๋จับยกขึ้นโยนลงน้ำเสียงดังตูมใหญ่ "ไอ้อู๋ ไหนมึงบอกจะไม่เล่นแผลงๆ ไง!"

"ทำไม จะฟ้องลุงเหรอ ลุงมึงเดินไปโน่นแล้ว" ว่าพลางจะจับโยนอีกรอบ หากทว่าเจ้าตัวเองก็สู้แรงกลับด้วยการกอดคอคนแกล้งไว้แน่น "อย่า ไอ้นี่ น้ำมันแสบตานะมึง!"

"เหรอ ไหน แสบมากไหม" มาวินชะงัก เมื่อไอ้เพื่อนตัวดีดันสำนึกผิดง่ายกว่าที่ควร เด็กหนุ่มผละมืออกจากคนตัวสูงโย่ง ไม่รู้ว่าอู๋พาออกมาไกล ตอนนี้น้ำทะเลสูงถึงคอแล้วหากทว่าบ่ากว้างของเพื่อนจอมแกล้งยังโผล่พ้นน้ำ "เดี๋ยว กูจะจม!"

"เอ้า แล้วปล่อยมือทำไม" มาวินเกาะบ่าคนตรงหน้าหลังจสกอู๋กล่าวคล้ายจะต่อว่าหรือเปรยอยู่ในที เงยตามมือของคนตัวสูงกว่าที่จับเชยขึ้นไปให้ดูว่าลูกตายังอยู่ดีไหม "ไม่ดีเลยว่ะ ตามึงแดงมากเลย กูสักพักคงอักเสบแล้วก็เน่าถ้าไม่หายามาหยอด ถ้าไม่ทันเชื้อโรคคงกัดกินตามึง กูว่าคงอยู่ได้อีกไม่นานว่ะ"

"เฮ้ย..." มาวินหลุดคราง เงยมองหน้าคนตัวสูงกว่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ข่วงเวลาที่คลื่นแต่ละลูกซัดใส่ทั้งคู่ แรงนั้นทำให้สองร่างขยับแนบชิดกันกว่าเดิม แต่สิ่งที่ทำให้มาวินผละตัวออก คงเป็นรอยยิ้มกวนบาทาของเพื่อนในท้ายที่สุดกระมัง "นี่มึงเชื่ออีกแล้วเหรอเนี่ย โหย...อำโคตรง่ายเลย ฮ่าๆๆ"

"กูไม่ได้เชื่อซักหน่อย"

"เอ้า งอนซะแล้ว มาวิน ไปไหนอะ ไม่เล่นแล้วเหรอ วิน..."

"กูเบื่อมึงโว้ย!" คำพูดกึ่งจริงจังของมาวินดูน่ารักสำหรับคนมองเสมอ หลายครั้งที่เจ้าตัวทำนิสัยโวยวายขี้โมโหใส่เพื่อน แต่ดูท่าจะไม่มีใครเคืองโกรธจริงๆ หนำซ้ำเห็นเป็นเรื่องตลกด้วยซ้ำ เพราะรู้จักดีว่าเด็กคนนี้ดีแค่ไหน "แต่กูไม่เบื่อมึงนะ ไปไหนน่ะ ไปด้วยสิมาวิน"

"มึงไปหาไอ้ปอนด์ไอ้กันโน่น กูจะขึ้นไปกินน้ำ" มาวินดำผุดดำว่ายขึ้นมายังชายหาด ทิ้งกายนั่งบนเก้ากี่เอนหลังของโรงแรมทั้งที่ยังสวมกางเกงตัวเดียว มือหนึ่งยกขวดน้ำขึ้นดื่มส่วนอีกมือก็หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดกายไปพลาง ในขณะที่เนื้อตัวกำลังแห้ง ได้มีเสียงหนึ่งเรียกให้เขาหันไปมองเป้ที่ตระเตรียมมา ในนั้นมีโทรศัพท์ของเขา เด็กหนุ่มยกขึ้นมาตรวจดูข้อความที่เด้งขึ้นบนหน้าจอ

ในขณะที่กำลังยกน้ำดื่มนั้นเอง ด้วยความประหลาดแก่ใจเมื่อเห็นข้อความในโทรศัพท์ เผยว่าอศวมินทร์เป็นคนส่งมา มันหมายความว่าอย่างไรกัน "ลุงอ้ายอยากคุยด้วย" เด็กหนุ่มเปรยกับตนเองสีหน้าประหลาดใจ แล้วก็ย้อนถามว่าหากอยากจะคุยกันนั้น ทำไมไม่คุยตอนอยู่ด้วยกันตั้งแต่ทีแรก

มาวินส่ายศีรษะสะบัดความคิดออก ลุงอ้ายอาจนึกออกก็เมื่อตอนไปหาอศวมินทร์แล้วก็ได้ สองคนนั้นอาจกำลังคุยธุระที่เกี่ยวกับเรื่องทัณฑ์บนของอศวมินทร์เมื่อวาน เด็กหนุ่มลุกขึ้นสวมรองเท้าแตะ ยกผ้าขนหยูคลุมตัวเดินกลับเข้าไปในโรงแรมทันที

ท่ามกลางสายตาของคิมหันต์ที่มองขึ้นไปจากทะเล "พี่คิม! จะไปไหนอะพี่"

ชายหนุ่มชะงัก หันไปมองปอนด์ที่จับแขนทั้งรอยยิ้ม ท้ายที่สุดก็จำใจยิ้มตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ เขาอยากบอกเหลือเกินว่าจะไปไหน แต่ทำได้แค่ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้สายตาจะหมั่นชำเลืองมองขึ้นไปยังด้านบนแทบทุกนาทีก็ตาม

เกิดอะไรขึ้นกัน มิน... เด็กคนนั้นกำลังคิดจะทำอะไร!

'แม่ทำแบบนี้มินยิ่งจะโกรธนะครับ ได้โปรดเถอะอย่าพาเขาเข้ามาที่บ้านเลย' ภาพในวันหนึ่ง เมื่อครั้งเขาทราบถึงตัวตนของอินทัช ว่าจะต้องมาอยู่ในฐานะพ่อเลี้ยงคนใหม่ แม้จะเห็นอีกฝ่ายแวะเวียนมาเยี่ยมบางครั้งบางคราว ปรางคณางยกย่องเชิดชูว่าเป็นคนดีเหลือเกิน คิมหันต์ไม่ชอบใจเอาเสียเลย นั่นอาจคือความริษยาที่แฝงเร้นมาตลอดก็เป็นได้

'อย่าเกลียดเขา ความจริงแล้วเขาอยู่สูงเกินแม่จะเอื้อมถึง เขาเป็นคนดีที่ยอมสละเพื่อแม่หลายครั้ง มินต้องรักเขาแน่ถ้ารู้ความจริง...'

ความจริง... ความจริงคือเขาไม่มีทางบอกอศวมินทร์เด็ดขาดว่าที่จริงเป็นอย่างไร อินทัชจะต้องถูกน้องชายเขาเกลียด อย่างที่เขากำลังเป็นอยู่ตอนนี้ น่ายกย่องหรือ สูงส่งหรือ น่าขำ! ชายหนุ่มคิดทั้งลากเท้าเดินออกจากลิฟท์คนเดียวเงียบเชียบ ไม่ทันได้มองทางข้างหน้า รู้ตัวก็เมื่อมีใครพุ่งเข้ามาชนเสียแล้ว

"ขะ ขอโทษครับ" อีกฝ่ายเอ่ยเสียงพร่าสั่นจนเรียกให้คิมหันต์ก้มลงมอง ความแปลกใจแล่นเข้าสู่อกเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ร่างที่สวมเพียงกางเกงขาสั้นชันเข่าสิ้นท่า ก้มหน้าลงพื้นเก็บกลั้นความตกใจและน้ำตาตัวเอง "มาวิน เป็นอะไร ทำไมรีบวิ่งออกมา มีอะไรงั้นเหรอ!"

ชายหนุ่มพยุงรุ่นน้องให้ลุกขึ้นยืน หยิบผ้าขนหนูคลุมบ่าให้ ดวงตามองไปยังห้องพักสลับกับมาวินที่ดูคล้ายช็อกหรือตกใจมากจนตัวสั่นเทิ้ม วินาทีนั้นคิมหันต์อยากวิ่งไปยังประตูนั้นที่ถูกเปิดทิ้งไว้เหลือเกิน แต่เขาไม่ทำ เขาไม่อาจตอกย้ำความรู้สึกของมาวินด้วยภาพที่เด็กคนนี้เห็นเมื่อครู่ได้

อินทัช อินทัช!!!




********************************

เอาแล้วไงเอาแล้วไง มาวินนางไปเจออะไรมาน้อ

ให้เก็บเอาไปจิ้นต่อ เอ...หรือว่าไปเห็นเขากำลังขึ้นขี่กันอยู่ ส่วนคิมหันต์ นางฉลาดแต่ก็ร้ายกาจ เป็นคนเลวในคราบคนดี มีคนที่รู้จักนิสัยคิมดีที่สุดก็คือมิน เอาล่ะซี่ นางเก็บความลับอะไรของลุงอ้ายไว้น้า ติดตามตอนหน้า อิอิ อย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้า ขอบคุณค่าาาา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2015 18:22:18 โดย noonaaRP »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เอาแล้วซิ ก้าวแรกของการเริ่มต้นแก้แค้น

ก็ทำให้มาวินน้ำตาตกซะแล้ว

แล้วลุงอ้ายละจะเป็นยังไงอยากรู้จริงๆ เลย

ไรท์มาต่อตอนต่อไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ

เค้าอยากรู้แล้วว่าจะเป็นยังไงต่อไป

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เอาแล้วซิ ก้าวแรกของการเริ่มต้นแก้แค้น

ก็ทำให้มาวินน้ำตาตกซะแล้ว

แล้วลุงอ้ายละจะเป็นยังไงอยากรู้จริงๆ เลย

ไรท์มาต่อตอนต่อไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ

เค้าอยากรู้แล้วว่าจะเป็นยังไงต่อไป


อัพได้เร็วสุดวันเว้นวันนะคะ แค่นร้ก็รู้สึกว่าสกิลการเขียนกากลงเยอะเลย  T T

ออฟไลน์ ummax

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๖

หนึ่งชั่วโมงก่อน

เสียงบานประตูขยับเขยื้อนออกทีละเล็กน้อยจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด เจ้าของร่างสูงผู้เป็นคนเปิดก้าวเท้าเดินเข้ามาด้านใน ดวงตากวาดมองรอบห้องพัก ยามนี้เที่ยงแล้วทว่าคนในห้องยังปิดม่านไว้สนิท มืดสลัว ใจของเขาเต้นตึกตักครั้นเหลือบไปเห็นใครนอนสงบอยู่บนเตียงนอน ยังไม่รู้สึกตัวสักนิดเดียว อินทัชลอบถอนใจแม้ไม่มีใครเห็นก็ตาม ชายหนุ่มก้มลงมองยาในมือ แค่จะเอามาให้ตามที่อลิสต้องการเท่านั้นเอง ไม่ได้นึกห่วงใยแต่อย่างใด ชายหนุ่มเอาแต่คิดหาคำแก้ตัวในใจทั้งเอาแต่มองคู่กรณีที่ยังหลับ

ร่างสูงทรุดกายนั่งลงขอบเตียงอย่างระแวดระวางท่าที ครั้นแน่ใจแล้วว่าสมควรหรือไม่สมควร มือหนาจึงขยับไปลองอังหน้าผากผู้เจ็บไข้ดูว่าตัวร้อนหรือไม่ เพียงแค่นี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัว จากที่นอนตะแคงหันหลังให้ อศวมินทร์ก็สลึมสลือพลิกกายนอนหงายหาที่สบายเนื้อตัว ระหว่างนั้นก็ขยับริมฝีปากบางพึมพำ อินทัชฟังแล้วได้ใจความเล็กน้อยว่า "บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร กลับไปเล่นน้ำไปคิม"

คิม... ผู้ซึ่งได้ยินมองใบหน้าคนหลับนิ่ง ในใจแย้งว่าไม่ใช่ ตนไม่ใช่คิมหันต์สักหน่อย แต่แน่นอนว่าไม่มีทางเอ่ยขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศนี้ คุณลุงคนนี้ชื่นความสงบร่มเย็นมากกว่ารบรากับใคร แต่แน่นอนว่าบางทีก็ระงับจิตใจอีกฝ่ายตามใจตนเองได้ยากนัก

 "อ้าว ไม่ใช่ไอ้คิมหรอกเหรอ" อินทัชชะงัก ในยามที่ดวงตากำลังเลื่อนลอยออกไปด้านอื่น เขาไม่อาจทราบได้ว่าเด็กคนนี้ตื่นเมื่อไร มารู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงและถูกดวงตาเย็นเฉียบคู่นี้จับจ้องเสียแล้ว ชายหนุ่มกระพริบตาตนเองถี่รัวราวกับถูกเด็กคนนี้คาดโทษไว้ล่วงหน้า ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่แสดงท่าทีอะไร ดูเหมือนเขาจะร้อนตัวไปเองเสียมากกว่า แต่เขาจะเป็นอย่างนี้นานไม่ได้ คิดแล้วดังนั้นจึงยกยาในมือขึ้นให้เห็นพร้อมแจงธุระของตน "อลิสเป็นห่วงว่าอาการเธอจะหนักก็เลยให้ฉันเอายามาให้ กินยานี่ซะ"

ในระหว่างที่อินทัชวางของลงบนโต๊ะโคมไฟ เด็กหนุ่มผู้รับฟังเล็งเห็นสายตาของอีกฝ่ายคล้ายกำลังกังวลใจ แต่ไม่เอ่ยถามในตอนนั้น คิดว่านั่นอาจจะเป็นอาการของคนประหม่ากระมัง เขาทั้งคู่ไม่เคยญาติดีกันนับตั้งแต่มารดาเขาเสีย คงรู้สึกแปลกอยู่ทีเดียวหากต้องพูดจาดีต่อกัน อศวมินทร์คิดอยู่ว่าจะเอาคืนอย่างไรให้สาสมและแยบยลที่สุด และการพูดจาดีอย่างไม่โผงผางก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น แม้ใจเอาจะไม่อยากทำก็ตาม

ใช่...มันคือเกม ใครเจ้าเล่ห์อย่างแยบยลที่สุด คือผู้ชนะ

"ที่จริงถ้าไม่เต็มใจมาก็อย่าฝืนเลยลุงอ้าย คุณเองก็รู้ว่าผมจะอารมณ์เสียถ้าเห็นหน้าคุณนานๆ" ดวงตาคมมองไปยังอินทัช เพ่งบนใบหน้าของอีกฝ่ายคล้ายอยากทราบความจริง แค่คิดว่าตนได้แก้เกมและพลิกมาเป็นฝ่ายควบคุมทั้งหมด จู่ๆ รอยยิ้มพราวก็ผุดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

"เอ...หรือว่าที่จริงแล้วคุณเป็นห่วงผมล่ะ คุณลุง" ว่าพลางขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เผชิญหน้ากับชายที่ตนเกลียดที่สุด แน่นอนว่าการทำเช่นนี้เขารู้สึกสนุก รู้สึกดีที่เห็นท่าทางการตอบรับของอินทัชในแบบต่างๆ จะมีอารมณ์หรือไร้อารมณ์ก็ทำให้เขารู้สึกถึงความท้าทายที่จะต้องทำ ความคิดของอศวมินทร์นั้น เริ่มจะเยือกเย็นขึ้นมาทีละเล็กน้อยแล้ว เขารู้สึกขอบคุณอินทัชอย่างสุดซึ้งที่เสี้ยมสอนให้เป็นเช่นนี้ "ที่จริงเมื่อก่อนเพราะผมเห็นว่าคุณช่างเป็นคนแสนดี ผมถึงได้เปิดใจรับทั้งที่ไม่ควร จะว่าไปแล้วนั่นแหละที่ทำให้ผมจำขึ้นใจ ว่าไม่ควรฝืนทำสิ่งที่ไม่ควรทำตั้งแต่แรก คุณคือคนที่ทำลายความหวังของผมไปหมดทั้งชีวิต"

"มิน"

"แต่ไม่ต้องห่วง ผมหายเจ็บแล้ว ผมโอเคทีเดียว" เด็กหนุ่มกล่าวแววตาประกายผสมรอยยิ้ม มองออกไปยังผ้าม่านสีทึบริมหน้าต่างอยู่นิ่งราวกับหุ่นถูกสตัฟทิ้งไว้หลายร้อยปี เต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำและมีมนต์ขลัง ซึ่งแน่นอนว่ากำลังร่ายคำสาปให้คืบคลานเข้ามาสู่ร่างกายอินทัชอย่างหนาวเหน็บ "แต่จำไว้นะ จำไว้ ผมไม่ลืมความเจ็บตอนนั้นแน่ คุณบอกว่าคุณจะกอดผม บอกว่าจะจูบผม คุณหลอกผม ผมจำได้ทุกถ้อยคำที่คุณพูดกับผม ยิ้มให้ผม คุณไม่เข้าใจหรอกว่าวินาทีที่ถูกทำอย่างนั้นมันเป็นยังไง แล้วก็ไม่มีทางเข้าใจด้วย"

ดวงตาเด็กหนุ่มทอดมองออกไป นิ่งเงียบ ราวเวลาหยุดหมุนไปชั่วขณะ อศวมินทร์หันมามองคนฟังที่ยังนั่งนิ่งเงียบ ราวกับได้สำนึกในสิ่งที่กล่าวถึงอย่างรู้หน้าที่ เรียกเจ้าของโครงหน้าหล่อขยับเคลื่อนเข้าไปมองขนาบใกล้ เรียกให้อินทัชถึงกับตกใจกับความแนบชิด ชายหนุ่มเบิกตาประหลาดแก่ใจยิ่งเมื่อเห็นว่ามันเกิดขึ้นไวกว่าการควบคุม

"อะ อะไร..." คุณเป็นลุงย้อน

เด็กหนุ่มหรี่ตา เค้นมองใบหน้าคมของอีกฝ่ายกึ่งใช้อารมณ์ "นี่คุณ คุณตั้งใจจะทำลายความรักของผมให้ไม่เหลือชิ้นดีเลยใช่ไหม สะใจมากใช่ไหมที่ทำลายความรู้สึกผมได้ ยิ่งผมเทิดทูนคุณเท่าไร คุณยิ่งอยากจะเหยียบย่ำ โรคจิตใช่ไหมถึงทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาตลอดเวลาแบบนี้!"

"บ้าน่า! เพราะคิดเองเออเองแบบนี้ไง" อินทัชผงะครั้นพ่นคำตอบกลับไปจบแล้ว แต่ยามสติไล่วนคำที่อศวมินทร์กล่าวมาเมื่อครู่ให้เข้าใจ ชายหนุ่มตัวชากับสิ่งที่เพิ่งทราบ ดวงตาคมเบิกโพลงทั้งริมฝีปากอ้าค้างหาคำกล่าวต่อไม่ได้ ราวสมองตื้อเบลอไปฉับพลัน

นั่นหมายความว่าอศวมินทร์รักและเทิดทูนเขามากจริงๆ มากจนผิดหวังและหาอะไรมาเปรียบมิได้ ชายหนุ่มตัวแข็ง ใบหน้าตอนนี้ไม่อาจทราบว่าตนกำลังแสดงตอบกลับไปให้เด็กหนุ่มเห็นอย่างไร อินทัชทำได้เสียงบังคับใบหน้าและศีรษะให้ไปตามต้องการ อีกทั้งประมวลคำที่จะเอ่ย "ฉัน ไม่รู้ว่าเธอ..."

"คุณรู้ คุณถึงได้มีเซ็กส์กับผมทั้งที่รู้ว่าตัวเองเป็นสามีของแม่ผม รู้ว่าตัวเองไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่คุณไม่ยอมรับอะไรเลยแม้กระทั่งตอนนี้ก็ไม่..." อศวมินทร์ลากเสียงกึ่งใช้อารมณ์อีกครั้ง เสียงดังขึ้นจนอินทัชหน้าชาเมื่อเห็นนิ้วชี้เรียวของเด็กหนุ่มจิ้มกลางอกเขาให้คิดทบทวน สีหน้าของอศวมินทร์ดูคล้ายอยากจะระเบิดออกมา ก่อนหันไปด้านอื่นพยายามใจเย็นอย่างที่สุด

"รู้อะไรไหม มันเหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องโกรธแค้นอยู่ตลอดเวลา"

รู้ซี...แต่จะทำอย่างไรเล่า ต้นเหตุมันเกิดจากเขา

"ฉันคงไม่เห็นแก่ตัวขอให้เธอหายแค้นหรอก แค่หวังว่าสักวันความรู้สึกเธอจะเปลี่ยนไปก็แค่นั้น แต่ฉันยังคงเหมือนเดิม..." ลำเสียงคนกล่าวผลุบหายเข้าในลำคอ พร้อมนัยน์ตาคมเบิกกว้างอย่างไม่ทันตั้งตัว อินทัชทำได้เพียงเบิกตามองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นเพียงใบหน้าอศวมินทร์แนบชิด รับรู้ว่าตอนนี้เขากำลังถูกอศวมินทร์นำจูบ ซึ่งนั่นส่งความรู้สึกโหยหาได้อย่างน่าสงสาร อินทัชราวถูกปืนจ่อที่ศีรษะทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อกับรสสัมผัสในช่องปาก มีเพียงลูกตาซึ่งเคลื่อนไปตามมือไม้ของอีกฝ่ายที่ขยับมากอดรัด

เกิดอะไรขึ้น อศวมินทร์คนเจ้าอารมณ์หายไปไหน

ชายหนุ่มสมองตื้อชาไร้ความรู้สึก ตรองอยู่ในใจว่าเด็กคนนี้อยู่ในอารมณ์ใด หรือจะสำนึกและเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเขาได้แล้วจริงๆ หรือนี่จะเป็นการเอาคืน จะเล่นกับความรู้สึกของเขาตอบกลับมาบ้าง เดาจากการเปรียบเปรยของอศวมินทร์ที่พูดก่อนหน้า คิดแล้วอินทัชก็งุนงงสับสันแทบหัวระเบิด ยามได้เห็นแววตาของคนกระทำตรงหน้า ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ที่พอจะสามารถบอกได้

สีหน้ายามเด็กหนุ่มผละออกมานั้น อินทัชไม่อาจเดาเห็นความจริงอะไร แววตาของอศวมินทร์นั้นทำเพียงหลุบมองริมฝีปากของเขาเชื่องช้าอย่างที่เคยทำ ก่อนจะเชยตามาสบ เพียงแต่คราวนี้ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีคำพูดแสนหวานเหมือนก่อนหน้า "คุณจะไม่ตอบรับก็ได้ ผมแล้วแต่ แต่ถ้าไม่ปฏิเสธออกมาอย่างเด็ดขาดผมก็จะไม่หยุดเหมือนกัน"

อะไรกัน...

เขาเห็นสิ่งหนึ่งที่หลงเหลือในแววตานั้น ความอาลัยอาวรณ์

อินทัชผวา เมื่อถูกผลักให้ล้มตัวลงนอนใต้ร่างคนกล่าวอย่างเอาแต่ใจ คนป่วยลุกขึ้นคร่อมทับมาบดเบียดกาย เฉลยอยู่เป็นนัยว่าไม่ได้เป็นหนักหนาอะไร แต่ยามนี้ใครจะคิดเรื่องขี้ปะติ๋วนี่กัน เขาไม่ได้คิดอะไรเลยต่างหาก สมองมันโล่งและว่างเปล่าไร้ความคิด มึนเบลอราวถูกเวทมนต์สะกด ชายหนุ่มเห็นเพียงผ้าม่านกำลังสะบัดปลิวเบาหวิวไม่ทราบทิศทางลม คล้ายความรู้สึกเขาตอนนี้ที่ไร้คำบรรยาย อีกทั้งความหมายของสายตาเมื่อครู่ที่เขาเห็นนั้นแม้มีเพียงน้อยนิด เขาควรจะเชื่อมั่นหรือไม่...

อินทัชตอบไม่ได้

"เงียบเหรอ แปลว่าอยากสินะคุณลุง" เด็กหนุ่มแสร้งเย้าเสียงพร่าขณะโน้มลงมา มองโครงหน้าหล่อที่ทำเพียงผูกปมคิ้วเบนสายตาไปด้านอื่น แต่ยามนี้ใครจะสนว่าคิดอะไรอยู่ สิ่งนี้คือสิ่งเดียวที่จะเหยียบย่ำอินทัชได้! แม้จะกล้ำกลืนฝืนทน ภาพตอนอินทัชกกกอดปรางคณางอย่างอบอุ่นยังกระจายอยู่เต็มหัว ภาพยามอินทัชมีเซ็กส์กับมารดาเขายังบีบอัดในอก บาปที่รู้ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น และแม้จะคิดว่าอินทัชน่าจะฉลาดพอที่จะปฏิเสธ แต่เด็กหนุ่มไม่สน อดทนมองสีหน้าตรมตรอมของอีกฝ่ายด้วยความสะใจ

ให้อีกฝ่ายทั้งสุข ทั้งทุกข์ในเวลาดียวกัน!

"เรามาลงนรกด้วยกันเถอะ..."


-ละไว้ในฐานที่เข้าใจ-


กี่โมงกี่ยามแล้วหนอ นานเท่าไรที่เขายังนอนนิ่งบนเตียงเช่นนี้ นอนมองร่างสูงของเพื่อนหลานชายที่อยู่ห่างออกไปอยากให้เป็นแค่เพื่อนหลานชายเหลือเกิน อินทัชครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบเชียบ มองแผ่นหลังกว้างนั้น ช่างห่างไกลนัก อินทัชทิ้งกายนิ่งมองอีกฝ่ายที่ยังดูแข็งแรงดีกว่าคนไม่ป่วยเสียด้วยซ้ำ อศวมินทร์ลุกไปอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวจนลืมด้วยว่าเขาอยู่ที่นี่ อินทัชรีบขยับกายลุกขึ้นบีบขมับตนเอง หยิบเสื้อผ้ามาสวมเงียบๆ ราวกับสิ่งที่เพิ่งทำกันนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดีเหมือนกัน เขาเองก็อยากลืมมันไป

"เสร็จแล้วผมอยากไปที่ที่หนึ่ง คุณมีแรงพอจะพาผมไปไหม" อศวมินทร์เอี้ยวตัวถาม เห็นอีกฝ่ายยังดูปกติดี ไม่แสดงท่าทีอะไรอย่างที่คิดไว้ นั่นแหละดีแล้ว จงแข็งแกร่งและอย่าอ่อนแอให้เขาเห็นเด็ดขาด ไม่อยากนั้นเขาจะย้ำจุดนั้นซ้ำๆ ไม่ให้ลุกขึ้นมาได้เลย

"ได้สิ จะไปไหนล่ะ"




ชั่วโมงถัดมา

เสียงเกลียวคลื่นสาดซัดขึ้นมาบนชายหาดสีขาวสะอ้านสะท้อนแสงแดดจนเกิดประกายระยับ ร่องรอยฝีเท้ามนุษย์สองคู่ประทับไว้อยู่ริมหาดยาวไปจนสุดสายตา หยุดอยู่ที่คนคู่หนึ่งซึ่งกำลังย่างเดินเอื่อยอย่างไร้จุดหมาย เสียงลมพัดโกรกเข้าหูดังผึบผับไม่ได้เรียกเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นมาคุยสักที จนคนตัวสูงกว่าถึงกับร้อนใจ อยากจะพูดคุยไถ่ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น

มาวินยกผ้าขนหนูขึ้นพาดบ่า มองออกไปเบื้องหน้าเห็นเป็นโรงแรมที่เขาและคิมหันต์เลือกเดินออกมาก่อนหน้า กลุ่มคนกำลังเล่นน้ำกับคนพิเศษอย่างสนุกสนานอยู่ไม่ไกลนัก หากทว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนนี้ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย

"ตกลงจะบอกได้รึยังว่านายไปเจออะไรมา นายเห็นมินทำอะไร บอกพี่ได้นะมาวิน"

คิมหันต์ก้มลงมองคนซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเอาแต่ก้มลงมองเท้าตนเองยามย่างเดิน ดูคล้ายใจเย็น แตกต่างกับอารมณ์ของเขาตอนนี้อย่างสิ้นเชิง มันปะทุเดือดดาลอยากจะวิ่งไปเค้นถามเอาความจริงกับน้องชายเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่แน่นอนว่าเค้นอย่างไรอศวมินทร์ก็ไม่มีทางบอก ไม่อย่างนั้นคิมหันต์ไม่ทนรอฟังกับเด็กคนนี้อย่างที่ทำอยู่หรอก ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ มองดวงตารุ่นน้องที่เงยมาสบอย่างนึกหวั่นว่าควรพูดหรือไม่ มาวินมองออกไปเบื้องหน้า ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองก็คงอึดอัดไม่น้อยตั้งแต่ได้เห็น อยากจะระบายออกมาอยู่เหมือนกัน

"พี่คิม พี่อยู่กับไอ้มินมาตั้งแต่เด็ก..." มาวินเปรย ดวงตาพยายามมองทางเบื้องหน้าไม่หันมาสบตากับผู้ฟัง หากแต่คิมหันต์เห็นว่าอีกฝ่ายดูหายใจติดขัด ดวงตากลอกไปมานั้นแสดงออกว่ากำลังหวาดวิตกหรือหนักใจอยู่ เขาก็รู้ทันทีว่านั่นอาจไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวเขา ชายหนุ่มทำเพียงขานรับในลำคอ ฟังว่ามาวินจะกล่าวอะไรต่อ "พี่เป็นพี่ชายมัน โตมากับมัน พี่...เอ่อ พี่พอจะรู้เรื่องที่มันชอบ...ชอบผู้ชาย ไหมครับ"

คิมหันต์ชะงักเท้า มองเด็กที่เดินข้างกายซึ่งเดินนำหน้าไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดหันมาสบมอง แน่นอนว่ามาวินดูลุกลี้ลุกลนเมื่อได้กล่าว "ผม...ผมแค่อยากรู้น่ะพี่ ตอนนั้นผมไม่คิดว่ามันเป็นเกย์ คิดว่ามันถูกเขาบังคับให้ทำ เห็นใจมันก็เลยเสนอ...เอ่อ ช่างมันเถอะ..."

"นายไปเห็นอะไรไม่ดีมาใช่ไหม"

"หา...ปละ เปล่าพี่ ผม..." มาวินยกยิ้มกลบเกลื่อน ยื้อแขนกลับเมื่อเห็นแววตาซึ่งเคยอบอุ่นของพี่ชาย 'อดีต' เพื่อนแปรเปลี่ยนมาดุกร้าว แต่เพียงไม่นาน เมื่อเห็นว่ามาวินพยายามยื้อต้นแขนกลับเพื่อต่อต้าน คิมหันต์ปรับอารมณ์พลางปล่อยให้รุ่นน้องเป็นอิสระอย่างที่ต้องการ เพียงแค่คิด อารมณ์เขาก็ทะยานขึ้นอย่างไม่สามารถห้ามได้ ชายหนุ่มระบายลมหายใจ มองมาวินซึ่งอยู่ในเวลาประหม่าและสับสน "ช่างมันเถอะพี่ เอาเป็นว่าผมคิดผิดละกัน ขอบคุณมากนะที่เป็นห่วงความรู้สึกผม"

"พี่ไม่ได้ห่วงความรู้สึกนายว่ะ ที่พี่ทำ ทำเพื่อความรู้สึกตัวเอง" คิมหันต์ส่ายหน้า เมื่อท้ายที่สุดก็พากันเดินมาถึงประตูรั้วหินสูงของโรงแรม ด้านหน้าเป็นบันไดสำหรับเดินจากชายหาดขึ้นไป ชายหนุ่มเลือกที่จะขยับลำขาเดินนำ "บอกตรงๆ นะ พี่แค่อยากจะรักษาความรู้สึกตัวเองก็เลยทำแบบนี้ นายไม่ต้องมาขอบคุณหรอก พี่พอจะเดาสถานการณ์ออกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ไปล่ะ"

"หมายความว่าไง แปลว่าพี่รู้มาโดยตลอดเลยใช่ไหม พี่คิม" มาวินเดินตาม ขณะสาวเท้าขึ้นบนบันไดหินสี่ห้าขั้นก็เงยมองพี่ชายข้างกายไปด้วยความฉงน "ไอ้มินมันคิดอะไรอยู่กันแน่ แล้วเรื่องที่บ้านพี่เกิดอะไรขึ้น มีมากกว่าเรื่องลุงอ้ายใช่ไหม ผมไม่เชื่อหรอกว่าที่มันมีปัญหามากขนาดนี้เพราะว่าไม่ยอมรับลุงผมเป็นพ่อเลี้ยงอย่างเดียว มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิ"

"ไม่มีอะไรหรอก ก็เหมือนที่นายไม่อยากเล่าเรื่องวันนี้ให้ฉันฟังไง"

"ทำไมพี่ต้องย้อนผมแบบนี้ด้วยวะ" มาวินเกาศีรษะ เรียกให้คิมหันต์ต้องเหลียวมอง ชายหนุ่มเงียบคิดไปอยู่ครู่ ซึ่งนั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้คนรอเป็นอย่างมาก "ผมว่าเราสองคนต่างควรรู้ทั้งสองอย่าง"

"ทำไมคิดงั้น"

"ผม...ยอมรับก็ได้" มาวินเปรยเป็นรอบที่สอง มือที่ไม่อาจวางไว้ตรงไหนขยับกอดอก มองทอดไปยังเบื้องหน้า เห็นว่าทั้งคู่กำลังจะขึ้นลิฟท์มุ่งหน้าไปยังห้องพัก หลังจากพากันเดินหนีออกมาได้นานพอควร เกรงว่าจะมีคนเป็นห่วง เด็กหนุ่มนึกถึงภาพที่ตนเห็น ถ้อยคำที่ตนได้ฟังแล้วใจเบาหวิว กลั้นลมเอ่ยต่อไปอีก "ผมยอมรับ ว่าที่ทำไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อตัวเองเหมือนกัน ผมไม่อยากรู้สึกผิดหวัง ไม่อยากเสียความรู้สึก ถ้าผมได้รู้อะไรสักอย่างมากขึ้นอีก คิดว่าคงรับมือได้กว่าที่เป็นอยู่นี่ แน่นอนว่าการที่ผมรู้เรื่องไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ผมจะดีขึ้นถ้าไม่ตกใจกับมัน"

คิมหันต์เองก็เช่นกัน ชายหนุ่มก้มลงมองพื้นขณะกล่องสี่เหลี่ยมที่โดยสารเคลื่อนขึ้นไปยังชั้นด้านบน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่ใจเขาจะตรงกับมาวิน ทุกอย่างไม่มีทางเหมือนกันทุกระเบียดนิ้วได้ นัยน์ตาคมชำเลืองมองเด็กหนุ่มข้างกาย บัดนี้กำลังครุ่นคิดอยู่ในโลกส่วนตัว ได้เงยขึ้นมาสบตาทันทีที่เขาเอ่ยออกไปว่า

"งั้น เราสองคนมาแลกเปลี่ยนกันไหม..."

เสียงสัญญาณลิฟท์เปิดมิได้ทำเด็กหนุ่มผู้กำลังเลือกเดินนำออกไปสนใจ ยามนี้ดวงตาได้จับไปที่อีกฝ่ายซึ่งได้เอ่ยถ้อยคำเรียกให้มาวินนึกคิด เมื่อท้ายที่สุดคิมหันต์ก็เป็นฝ่ายเดินนำออกไปก่อน สร้างความฉงนแก่ใจเขาไม่น้อย คำถามนี้ไม่ต้องการคำตอบแบบจริงๆ จังๆ หรอกหรือ หรือรุ่นพี่คนนี้ทราบคำตอบอยู่ในใจแล้ว มาวินเร่งสาวเท้าตามเพื่อค้นหาคำตอบตัวเองมากกว่า "ก็ได้ พี่ต้องบอกในสิ่งที่ผมอยากรู้ แล้วผมเองก็จะบอกในสิ่งที่พี่อยากรู้เหมือนกัน โอเคไหม"

สิ้นคำ คิมหันต์ชะงักเท้าแทบจะทันที หันไปสบตามาวินอยู่ครู่ก่อนจะยอมเผยรอยยิ้ม ตอบกลับใบหน้าแสนมุ่งมั่นไม่เข้าท่าของอีกฝ่ายอย่างขบขัน ยิ่งเจ้าตัวแสดงทำเป็นยื่นมือขอกระชับสัมพันธไมตรีด้วยแล้ว ยิ่งสร้างรอยยิ้มให้กับชายหนุ่ม ราวกับคนทั้งคู่กำลังสมคบคิดเพื่อทำเรื่องอะไรแผลงๆ ในอนาคต เขารู้ รู้ดีว่ามาวินยังเด็กขนาดไหน เด็กพอที่จะไม่รู้ทันเขา

มาวินแยกไปเข้าห้องพักก่อนเพื่อชำระร่างกาย คราแรกก็เห็นกลุ่มเพื่อนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพอดี เด็กหนุ่มกวาดสายตามองหาอศวมินทร์ทว่าไม่เห็น ในตอนแรกเขาฉุกคิดคำถามขึ้นมาในใจว่าหายไปไหน แต่เพราะสวมเพียงกางเกงว่ายน้ำและเดินตากลมอยู่นาน ทำเอาเขาคัดจมูก หนำซ้ำเพื่อนยังเทียวไล่ให้ไปจัดการตัวเอง แทนที่จะตอบคำถามที่เขาถามไป มาวินจึงจำต้องละไว้ก่อน กระทั่งเสร็จธุระ เด็กหนุ่มทั้งหมดเอื่อยเฉื่อยกันในห้องพักอยู่สองสามชั่วโมง อศวมินทร์ก็กลับมา

แน่นอนว่าคิมหันต์คือคนแรกที่ถามว่าไปไหนมา อศวมินทร์ทำเมินกับคำถามของพี่ชายอย่างเช่นทุกครั้ง เดินไปถอดเสื้อผ้าและเข้าห้องน้ำ ทำราวกับว่าคิมหันต์เป็นอากาศธาตุไป มาวินเห็นแล้วทำได้เพียงอย่างเดียวคือส่ายหน้า ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เขาเหนื่อย ปวดหัว อยากนอนพักผ่อนสักนิด แต่เพียงล้มตัวลงนอนและหลับตา ภาพของอศวมินทร์และผู้เป็นลุงยังฉายเด่นอยู่ในหัว สองคนนั้นกำลังทำและพูดอะไร มันไม่ตกหล่นแม้แต่ห้วงวินาที เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจ พยายามสะบัดความโสมมนั่นออกไปจากความคิดอยู่หลายหน พร้อมกับตั้งคำถามว่าเหตุใดอศวมินทร์จึงต้องทำเช่นนี้ ตั้งใจให้เขารู้เรื่องนี้ทำไม...

ไม่รู้นานเท่าไรในห้วงความคิดนั้น มาวินทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า จนสุดท้ายเป็นการขับกล่อมให้เขามัวเมาในความฝัน กึ่งหลับกึ่งตื่น เด็กหนุ่มไม่ทราบว่าตนหลับไปนานเท่าไร ได้ยินเสียงของอลิสเคาะประตูห้อง เพื่อนๆ บ่นอะไรสักอย่าง และมือของใครสักคนกำลังสัมผัสแผ่วอ่อนบนเส้นผม ในยามนี้อาจดีที่จะหลับต่อไป ปลายนิ้วอุ่นที่แผ่กระจายบนหน้าผากชวนให้เขาไม่อยากลุกจากเตียงนอน นิ้วมือของลุงอ้าย เขาจำได้ ในยามเด็กเขามักให้คุณลุงกล่อมเขานอนด้วยวิธีนี้

"มาวิน..."

เสียงเรียกกึ่งรีบเร่งไม่ได้ปลุกเขาให้ตื่น เป็นเพราะกำมือหนาที่เทียวเขย่าไหล่จนสะเทือนไปทั้งร่าง มาวินลืมตามองคนด้านบน เป็นอู๋ที่ก้มลงมาปลุกด้วยความกระด้างอย่างเคย คนเพิ่งตื่นมุ่นคิ้วที่เห็นเป็นเจ้าโย่งคนนี้ แทนที่จะเป็นลุงอินทัช เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งขยี้ตา "อะไรวะมึง ปลุกกูทำไม"

"ไปโรงพยาบาล ไปหาลุงอ้าย"

มาวินเบิกตา "ลุงอ้ายเหรอ ลุงอ้ายเป็นอะไร"

"พี่อลิสบอกว่าลุงอ้ายหายไปตั้งแต่ตอนเที่ยง โทรศัพท์ก็ทิ้งไว้ที่ห้อง นี่เพิ่งจะติดต่อมาจากโรงพยาบาล กูเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง" อู๋ตอบทั้งรีบสวมเสื้อแจ๊คเกตทับเสื้อยืด เดินไปหยิบสัมภาระตัวเองอีกมุม

"แต่เมื่อกี้ลุงอ้ายยังมาลูบหัวกูอยู่เลยนะ" เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเล่า เรียกให้เพื่อนตัวสูงถึงกับชะงักขา เก็บโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์สอดในกระเป๋ากางเกงอยู่เงียบๆ "สงสัยกูคงฝันไปว่ะ แล้วนี่พวกไอ้มินลงไปก่อนแล้วใช่ไหม"

"นี่มันสองทุ่มแล้ว ไอ้กันกับไอ้ปอนด์มันเลยลงไปกินข้าวข้างล่าง ส่วนไอ้มินกับพี่มันกลับไปตั้งแต่อาบน้ำเสร็จแล้วว่ะ มึงหลับไปก่อนเลยไม่รู้ กูไม่อยากปลุกด้วย"

"เหรอ..." เด็กหนุ่มทำได้เพียงย้อนถามเช่นนี้จริงๆ เมื่อสมองประมวลผลออกมาให้เขาตระหนักเห็นอะไรบางอย่าง คนสุดท้ายที่อยู่กับอินทัชคืออศวมินทร์ หมอนั่นหายไปในช่วงเวลาที่อินทัชหายไปพอดี มาวินหน้าชา ความร้อนวูบวาบแล่นขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อได้ฟังเช่นนั้น แม้ไม่อยากคิดในแง่ร้าย แต่สถานการณ์ของอินทัชทุกอย่างที่เขาประติดประต่อได้ ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับอศวมินทร์ทั้งสิ้น มาวินเชื่อว่าต้นเหตุการเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ของลุงอินทัช

เป็นเพราะอศวมินทร์แน่!



****************************************************
หายไปนานมาก จนคนอ่านคิดว่าหายสาบสูญ

เพราะว่ามัวแต่ไปติดซีรี่ส์ ดูหนังที่เตรียมไว้ อ่านนิยายที่อยู่ในไหอ่านที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ แล้วก็ยาวไปเรื่องอื่นอีกหลายอย่างค่ะ มีทุกเหตุผลที่ทำให้คนเถลไถล เง้ออออ กลับมาแล้ว ออกมาจากหลุมแล้วค่ะ เค้าขอโทษที่ทำให้รอนาน

เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า












ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ที่แล้วๆ มา ลุงอ้ายนอนกับมินนี่จะบอกว่าอารมณ์ชั่ววูบยังงั้นใช่มั้ย ลุงอ้ายแม่งไม่มีความรับผิดชอบเลย

ไม่รักก็อย่ามานอนกับมินซิ ถึงมินจะยั่วก็มีวิธีหนีตั้งเยอะ แม่งเกลียดลุงอ้ายว่ะตอนนี้

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
รอตอนต่อไปนะคะ :pig4:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เรื่องเข้มข้นมากครับ
ไม่ชอบพี่คิมเอาเลยจริงๆ เห็นแก่ตัว

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
๑๗

เสียงโทรศัพท์หวีดร้องเป็นทำนองคุ้นหู สะท้อนโสตประสาทผู้ที่ทิ้งกายนอนแผ่หลาบนเตียงนอนภายในห้องพัก มันเงียบเชียบ มืดสนิท มีเพียงแสงอันริบรี่จากหน้าจอเครื่องมือติดต่อสื่อสารกะพริบสว่างวาบ สั่นครืดอยู่อย่างเรียกร้องให้เจ้าของมันหันมากดรับ แต่ไม่เลย เด็กหนุ่มเพ่งมองภาพเพดานเบื้องหน้า เลื่อนลอยไปห่างไกลจากห้องนอนตัวเองเหลือเกิน ในหัวของเขา มีแต่ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เต็มไปหมด

“ผมรู้ว่าคุณไม่เคยแคร์ที่เรานอนด้วยกัน มันง่ายที่คุณจะยอม เพราะเราต่างก็เป็นผู้ชาย”

อศวมินทร์เอ่ยทั้งหันไปสบมองคนที่กำลังบังคับรถ สีหน้าเรียบปรกตินั้นยียวนใจเขาอยู่เล็กน้อย เด็กหนุ่มเบนสายตาไปมองเบื้องหน้านิดหนึ่ง รอฟังในสิ่งที่คุณลุงพูด ซึ่งอินทัชเองก็คล้ายอยากที่จะเอ่ยออกมาบ้างอยู่เช่นกัน

“ใช่ ฉันไม่เคยแคร์” ชายหนุ่มตอบ หักพวงมาลัยไปยังสถานที่หนึ่งที่ซึ่งเคยมาแล้ว ความเงียบกลืนกินคนทั้งคู่อยู่พักหนึ่ง แน่นอนว่าต้นเหตุคือคำตอบของอินทัชอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มดึงเบรกมือ พ่นลมหายใจกับความอึดอัดนี้ “แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าจะทำร้ายให้เธอเจ็บหรอกนะมิน ฉันยังหวังดีกับเธอเหมือนเดิม ฉันรู้ว่าการกระทำครั้งนี้ยิ่งทำให้เธอแย่ลง แต่...”

“แต่ก็ทำ”

“ใช่...” อินทัชพยักหน้า หันไปมองคนนั่งข้างกายนิ่ง “ฉันคิดว่าฉันเองก็ควรบอกเธอเหมือนกัน ว่าการที่ฉันอยู่กับเธอ ฉันไม่เคยรู้สึกแย่ ฉันรู้ว่าฉันเลว และก็เลวมากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าตัวเองควรถอยออกมา รู้ว่าควรทำยังไงแต่ก็ไม่ทำ เพราะเป็นเธอ เธอไง...” ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ หันมองเบื้องหน้า “พอกันที ฉันรู้ว่ามันยากที่จะทำให้เธอเข้าใจความเห็นแก่ตัวนี่ได้ เอ่อ...ช่างเถอะฉันแก่แล้ว คงบ่นมากไป”

ชายหนุ่มดับเครื่อง หันไปมาหาสัมภาระหากทว่าไม่มีสักอย่างเพราะไม่ใช่รถของตนเอง ในระหว่างนั้นความร้อนของอะไรสักอย่างสัมผัสหลังมือเขา เรียกให้อินทัชชะงักกึก หันกลับไปมอง วินาทีนั้นความประหลาดแก่ใจวิ่งพล่านในโสต เมื่อเหลือบไปเห็นว่าเป็นฝ่ามือของคนนั่งข้างกาย “คุณพูดเหมือนจะบอกว่าคุณรักผมเลย ลุงอ้าย”

คนฟังนิ่ง งุดตาลงมองฝ่ามือที่ได้ประสานนิ้วกับเด็กหนุ่มตรงหน้า “ลงไปได้แล้ว”

“รักผมเหรอ”

อีกครั้งที่คำถามถูกยิงเข้ากลางจุด วินาทีนี้อินทัชราวกับถูกจับขึงด้วยโซ่และถูกแส้ฟาดลงกลางอก คำถามจี้จุดถูกยิงเข้ามาอย่างเน้นย้ำชวนให้หายใจติดขัด ยิ่งยามเด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ นัยน์ตาโตคู่เดิมที่เคยมองแววออดอ้อนเขาสบมองอยู่นาน คล้ายพอใจ ชอบใจที่เห็นทีท่าเขาตอบกลับไปเช่นนี้ อินทัชทราบดีว่าสีหน้าเขาคงตลกมากจนอศวมินทร์เห็นแล้วชอบใจขนาดนั้น เด็กหนุ่มยกยิ้ม สบตาเขาก่อนจะเอ่ย “จนถึงตอนนี้ ผมไม่ให้รักหรอก ผมไม่ต้องการความรักคุณหรอกลุงอ้าย สิ่งนั้นมันไม่สำคัญกับผมอีกต่อไปแล้ว คุณก็รู้นี่ เพราะงั้นขอร้องว่ากรุณาเลิกพยายามบอกว่าคุณรักผม มันไม่มีความหมายหรอก”

อินทัชนิ่งไปชั่วครู่กับคำที่อศวมินทร์เอ่ยบอก แน่นอนว่าเรื่องราวที่เขาได้ก่อขึ้นทำให้เด็กคนนี้ต้องพูดคำพวกนี้ออกมา มันคือความจริงที่เขาไม่มีหนทางปฏิเสธ ชายหนุ่มแทบสะอึกกับความจริงนี้ ความจริงที่ว่าในตอนนี้ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออศวมินทร์นั้น มันไม่มี ‘ความหมาย’

ชายหนุ่มกลอกตาไปอีกทิศหนึ่ง เคลื่อนมือออกจากอุ้งแสนอบอุ่นของอีกฝ่ายเพื่อเว้นระยะห่าง อย่างน้อยก็ดีกว่าเมื่อก่อน เด็กคนนี้ยอมบอกเขาตรงๆ ไม่กระด้างรุนแรงเฉกเช่นแรกๆ ที่ได้เผชิญหน้ากัน แต่ยอมรับว่าช่างน่ากลัวที่จะรับฟังและได้เห็นสีหน้า แววตาคู่นี้ยามไม่รู้สึกรู้สา เขาเหมือนถูกอศวมินทร์ตบฉาดใหญ่แล้วเอาน้ำเย็นมาสาดใส่หน้าซ้ำไปซ้ำมาจนชา

อศวมินทร์เดินนำลงไปก่อนเขา ที่นี่เป็นชายหาดซึ่งทั้งคู่เคยมาด้วยกันเมื่อก่อน ก่อนที่จะเกิดเรื่อง อินทัชมองตามแผ่นหลังนั้นอยู่ครู่ พ่นลมหายใจเอาเรี่ยวแรงก่อนจะเดินตามลงไป อศวมินทร์สั่งอาหารเต็มโต๊ะ มอบรอยยิ้มแก่เขา อินทัชรู้สึกวางใจมากขึ้นกับท่าทีเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ทำเองก็รู้สึกดีเช่นกัน แต่จากอะไรนั้นคงบอกใครไม่ได้ เด็กหนุ่มจำบทสนทนาของทั้งคู่ได้ เขาชวนอินทัชคุยเรื่องงานของบริษัท การไปเที่ยวพักผ่อนที่จันทบุรี ซึ่งอินทัชเคยรับปากว่าจะพาไปแต่ยังไม่ทำตามสัญญา และจากนั้น

อินทัชก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ...

อศวมินทร์จำแววตาของคุณลุงได้ ในตอนที่เขาสัมผัสมือของอีกฝ่ายด้วยความแผ่วเบา แต่กลับพูดสิ่งที่ทำร้ายอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนละมุนนั้น เขาสามารถฆ่าอินทัชได้เลยทีเดียว ชายคนนั้นหน้าถอดสีไปเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าปกปิดความรู้สึก และขยับออกเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างทั้งคู่ใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่าตอนนั้นสะใจจนแทบจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่มันก็คั่งค้างในโสตจนสะบัดไม่ออก ภาพแววตานั้นของอินทัชเกาะติดเขาจนไม่สามารถไปทำอะไรได้

เสียงโทรศัพท์ยังคงร่ำร้องเรียกให้เขารับ หากทว่าดวงตาของเด็กหนุ่มกลับเบนไปยังประตูห้อง เห็นเป็นคิมหันต์ที่ถือวิสาสะเดินเข้ามา ทรุดกายนั่งลงที่ปลายเตียง อีกฝ่ายนั่งเงียบ ชำเลืองตามองไปที่โทรศัพท์มือถือของอศวมินทร์อยู่บ่อยครั้ง “จะไม่รับหน่อยเหรอ พี่ว่าเขาคงมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ถึงได้โทรมาไม่ยอมพักขนาดนั้น”

คนนอนบนเตียงนิ่ง พ่นลมหายใจ “กูรู้ว่าเขาโทรมาเรื่องอะไร”

“มินยังไม่ตอบพี่เลยนะว่าได้คุยกับคุณอ้ายเรื่องโรงเรียนรึยัง”

“ยัง แล้วก็จะไม่คุยด้วย ในเมื่อเขาไม่อยากรับรู้ในสิ่งที่กูก่อ แล้วกูจะเสนอหน้าไปบอกเขาให้เขารำคาญใจทำไม” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ มองไปยังเบื้องหน้าตนเองไม่สบตาพี่ชาย “กูเอาใบเชิญผู้ปกครองทิ้งไปแล้ว...”

“อะไรนะ ทำไมทำแบบนี้วะมิน พี่โคตรไม่เข้าใจเลยที่จู่ๆ ก็ให้พาตามลุงอ้ายไปถึงพัทยา แล้วจู่ๆ ขอให้พากลับบ้านมา ทำไมถึงเป็นคนไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย” คิมหันต์ขยับไปเขย่าไหล่น้องชายที่นอนนิ่งบนเตียง ดวงตาคมเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ เป็นเบอร์ของมาวินที่ยังกระหน่ำโทร.มาไม่ยอมหยุด หรือต้นเหตุทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะอินทัช ที่ทำให้อศวมินทร์ต้องรีบกลับบ้านเพราะผู้ชายคนนั้น

คิมหันต์เอื้อมมือไปกดรับโทรศัพท์ วินาทีแรกที่รับ อศวมินทร์เบิกตามองด้วยความโกรธขึ้ง แต่ก็ดูคล้ายว่าต้องการรู้อยู่เช่นกันว่าปลายสายจะพูดว่าอย่างไรบ้าง เจ้าตัวไม่ได้ต่อว่าคิมหันต์ตรงๆ อย่างที่มักทำ แต่ชายหนุ่มมึนงงไปเล็กน้อย เพราะปลายสายใช้น้ำเสียงราวกับมีใครกำลังถูกฆ่าตายหลังเขากดรับ “ไอ้มิน ทำไมมึงถึงทำแบบนี้วะหา มึงโกรธอะไรลุงอ้ายนักหนา มึงรู้ไหมว่าลุงอ้ายไม่ได้พกเงินไปสักบาท ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไป มึงทิ้งให้เขารับผิดชอบอะไรที่มึงทำไว้คนเดียว ทำไมมึงเหี้ยแบบนี้วะ!”

คิมหันต์กลืนน้ำลาย ดวงตาคมเคลื่อนไปมองน้องชายนิ่งงัน “วิน เกิด...อะไรขึ้น”

“ลุงอ้ายโดนซ้อมเกือบตายที่ไม่มีเงินจ่ายของที่มันสั่งไว้ ทำไมมันใจดำทิ้งลุงอ้ายไว้ที่นั่นได้ลงคอ พี่คิม...ลุงอ้ายไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างถ้าไม่มีคนเห็นแล้วช่วยเขาไว้ เขานอนตากแดดอยู่ข้างถนน ตัวก็มีเลือดเต็มไปหมด เพราะไอ้มินไง เพราะมันไง!” เสียงมาวินตะคอกจากปลายสายให้คิมหันต์รู้สึกถึงความโกรธเกรี้ยว ชายหนุ่มตัวชา มองไปยังอศวมินทร์ที่เงยขึ้นมาสบตา ดูเหมือนว่าน้องชายเขาเองก็อยากจะทราบในสิ่งที่เขารับฟัง ชายหนุ่มกะพริบตาถี่รัว

“คุณอ้ายถูกเจ้าของร้านอะไรนั่นซ้อม ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”

“อะไร ซ้อมเรื่องอะไร!” อศวมินทร์มุ่นคิ้วย้อนถาม

“เขาไม่ได้พกกระเป๋าสตางค์ไป ในตัวไม่มีของมีค่าสักบาท โทรศัพท์ก็ไม่ได้พก”

หลังจากคิมหันต์กล่าวจบแล้ว อศวมินทร์นิ่งไปอยู่ครู่กับข่าวที่เพิ่งได้รับรู้ จริงอยู่ว่าต้องการแกล้งทิ้งอินทัชไว้ที่ชายหาดนั่น แต่เขาไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อนว่าอินทัชจะไม่พกกระเป๋าสตางค์ไปไหนมาไหน หรืออย่างน้อยก็ต้องถือโทรศัพท์ติดมือไปบ้าง โดยลืมไปว่าอินทัชมาที่ห้องพักเขาแล้วออกไปพร้อมกันเลย เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น จะว่าสะใจมันก็ถูก แต่ในจิตใต้สำนึกก็บอกว่าเรื่องนี้เขาสะเพร่าจนเกินไป หากอินทัชตายแล้วจะมีความหมายอะไรกัน

“เราจะกลับไปหาเขาไหม” คิมหันต์ถามขึ้นในความมืดมิดของห้อง ได้ยินเสียงลมหายใจของน้องได้เป็นอย่างดี จากที่ได้ตกลงกับมาวินไว้ว่าจะแลกเปลี่ยนสิ่งที่รู้กัน เขาว่าต้องรีบเร่งกว่านี้ ก่อนที่อศวมินทร์จะตัดสินใจทำอะไรร้ายแรงลงไปอีก “พี่ว่าเราควร...”

“ไม่ ไม่ใช่ความผิดกูนี่”

“มิน กลับไปมินจะได้พูดเรื่องโรงเรียนด้วยไง นะ...” คิมหันต์เขย่าไหล่คะยั้นคะยออีกครั้ง หากทว่าน้องชายเอาแต่ทิ้งกายนอนบนเตียง “เลิกเซ้าซี้กูได้แล้ว เป็นแบบนี้มันก็ดีไม่ใช่รึไง”

ถูกแล้ว การที่อศวมินทร์ไม่ได้ญาติดีกับอินทัชเป็นความประสงค์ของคิมหันต์อย่างแท้จริง แต่หากอินทัชตายไปแล้วน้องชายเขาติดคุก ชายหนุ่มไม่รู้จะมองหน้ามารดาบนสวรรค์ได้อย่างไร เมื่อคิดแล้ว อย่างไรเสียเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี คิมหันต์ยอมเดินออกจากห้องพักอศวมินทร์โดยง่าย ด้วยรู้อยู่แล้วว่าบางทีอศวมินทร์อาจกำลังรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ก็เป็นได้ ปล่อยให้อยู่คนเดียวเพื่อทบทวนความผิดของตัวเองก็คงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้

รุ่งเช้าวันอาทิตย์ อศวมินทร์ตื่นสายอย่างเช่นทุกสัปดาห์ เด็กหนุ่มลงไปด้านล่างในช่วงเที่ยงของวัน เห็นแม่บ้านกำลังง่วนอยู่กับหน้าที่ของตนเองอย่างขะมักเขม้นเฉกเช่นทุกที เด็กหนุ่มตัวสูงเดินไปยังห้องออกกำลังกาย ที่ที่เขามักอุดอู้อยู่ได้อย่างไม่รู้เบื่อตั้งแต่กลับมา เป็นที่ที่เดียวยามอยู่บ้านแล้วจะไม่ได้พบหน้ากับอินทัช แต่วันนี้จิตใจเขาไม่ได้อยู่ที่การออกกำลังเลยสักนิด มือหนายกผ้าขนหนูซับเหงื่อ เบี่ยงกายไปหยิบขวดน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มแก้กระหาย ไม่รู้ทำไมต้องเทียวมองยังประตูด้วย

อศวมินทร์ถอนหายใจ เดินออกจากห้องมุ่งหน้าไปชำระร่างกายในห้องพัก หากทว่าย่างเท้าขึ้นบันไดไปแล้ว พบกลุ่มคนกลุ่มอยู่หน้าห้องพักของอินทัช เด็กหนุ่มตัวสูงชะงัก เห็นเป็นเอกที่กำลังช่วยพยุงคนเจ็บเข้าไปในห้อง มาวินเองก็ขนาบอีกข้าง และเหล่าแม่บ้านซึ่งยืนอออยู่หน้าประตูรอขนสัมภาระเข้าไปเก็บด้านใน เห็นดังนั้นแล้วอศวมินทร์ไม่สน สาวเท้าเดินต่อไป ยิ่งเห็นว่าแม่บ้านตกใจเมื่อพบว่าเขากำลังเดินไปนั้น อศวมินทร์รู้สึกพอใจ

“น้องมิน” พวกเธอหันมาสบตา เรียกให้กลุ่มคนที่อยู่ห้องพักเอี้ยวตัวมามอง

อศวมินทร์หยุดยืนนิ่งที่หน้าประตู เมื่อหันไปเห็นสภาพของอินทัชยามหันมาสบตากับเขา เห็นแววคาดโทษของมาวินอย่างชัดแจ้ง หลายคนคงหวังว่าจะเห็นเขาสำนึกผิดอะไรบ้าง แต่ไม่ เขาคิดว่าตนได้ทำถูกแล้ว อศวมินทร์เมินสีหน้าของทุกคน ย่างเท้าเดินต่อไปอย่างแน่วแน่และไม่หันหลังกลับ แม้ภาพของอินทัชจะเลวร้ายกว่าที่คาดไว้ก็ตาม เด็กหนุ่มปิดประตูห้องพัก ถอดเสื้อผ้าออกทุกชิ้น แล้วเดินไปเปิดฝักบัวในห้องน้ำรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างใจเย็นและมั่นคง แม้ยามนี้มันแกว่งไกวราวกับมีใครกำลังพาเขานั่งอยู่บนชิงช้าที่แรงที่สุดในชีวิต!

สะบัดไม่ออกเลย แววตาสิ้นหวังนั้นของอินทัช
 
อศวมินทร์เดินเมินไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คล้ายกับว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตนเองเลยแม้แต่น้อย อินทัชหันมองสภาพร่างกายตนเอง นึกถึงสถานการณ์เมื่อวานแล้วได้แต่ด่าทอตัวเอง โทษสมองที่โง่เง่า ทั้งที่อศวมินทร์แสดงให้เห็นอยู่ว่าไม่มีทางยกโทษให้เขาได้แน่ แต่ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายยังหลงเหลือความรู้สึกดีๆ ให้ตนอยู่ ช่างหลอกลวงตัวเองเก่งเหลือเกิน เด็กน้อยแสนซื่อของเขาหายไปตั้งแต่วันที่รับรู้ความจริงว่าเขาคือพ่อเลี้ยง

“จะด่าจะว่ายังไงมันก็ไม่มีจิตใต้สำนึก เพราะไม่มีใครสั่งสอนมันตั้งแต่เด็ก” มาวินมุ่นคิ้วมองออกไปด้านนอก “ผมจะไปคุยกับมัน จะจัดการทุกอย่างให้เคลียร์วันนี้”

“วิน...” อินทัชขัดขึ้น เรียกให้หลานชายชะงักความคิดและการกระทำไปครู่หนึ่ง “ทำไมครับ ก็ไอ้มินมันทำลุงขนาดนี้ ลุงอ้ายไม่โกรธมันสักนิด้ลยเหรอ!”

“วิน บอกแล้วไงว่าอย่าขึ้นเสียง ที่สำคัญมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แกกลับบ้านไปก่อน”

“ทำไม ผมกับไอ้มินก็อายุเท่ากัน ทำไมลุงอ้ายต้องทำเหมือนไอ้มินมันอายุมากกว่าผมด้วย”

“น้องวิน” เอกส่ายหน้าปราม

“ก็มันจริงนี่ เอะอะลุงอ้ายก็ให้อิสระความคิดของมันแต่บังคับผมคนเดียว ผมโตแล้วนะ ผมคิดอะไรได้หลายอย่างแล้ว ที่สำคัญ บางอย่างผมคิดได้ดีกว่าลุงด้วยซ้ำว่าอันไหนควรทำหรือไม่ควรทำ!” มาวินจ้องตาผู้เป็นลุงเขม็ง เมื่อท้ายที่สุดก็เผลอพ่นบางอย่างซึ่งโกรธขึ้งในใจออกไป เด็กหนุ่มเห็นสีหน้าของคุณลุงเปลี่ยนไป จากโกรธเคืองที่เห็นเขาก้าวร้าวใส่ก็แปรเปลี่ยนมาแปลกใจ สุดท้ายก็ยอมละสายตาหนีไปราวกำลังหมดสิ้นหวังอะไรสักอย่าง

“ก็จริงของแก...” อินทัชตอบเสียงเรียบ

“คือ...” มาวินใจหาย ก้มลงมองสีหน้าคุณลุงที่นั่งอยู่ปลายเตียงอย่างไม่ได้ตั้งใจจะทำลายความรู้สึก เด็กหนุ่มอยากจะอธิบายว่าที่พูดไปเมื่อครู่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ หากทว่าเอกก็ขัดขึ้นเสียก่อน เพราะเห็นว่าอินทัชดูเหนื่อยเกินไปที่จะต้องพบปัญหา “พี่ว่าน้องวินกลับบ้านก่อนดีกว่านะครับ ให้คุณอ้ายพักผ่อนก่อน เขายังเจ็บแผลอยู่นะ อีกอย่าง...ป่านนี้คุณอิทธิรอบ่นแย่แล้ว ถ้ากลับช้าคงบ่นยาวแน่เลย ไปกันครับพี่จะไปส่ง”

หลังจากมาวินยอมออกไป อินทัชขยับกายนั่งให้สบายขึ้น เหล่าแม่บ้านที่นำข้าวของมาเก็บต่างพากันทยอยเดินออกไปจนหมด ท้ายที่สุดประตูถูกปิดลงเหลือเพียงความเงียบสงบ ชายหนุ่มทิ้งลงนอนด้วยความล้า อะไรต่างประดังประเดเข้ามาในหัวไม่ยอมหยุดหย่อน สิ่งหนึ่งคือรอยยิ้มหวานหยดของใครสักคนที่มอบให้ ก่อนทำร้ายให้เขารู้สึกแย่กับการถูกทอดทิ้งนี้ อศวมินทร์กำลังสั่งสอนเขาว่าการถูกทิ้งมันน่ากลัว แน่นอนว่าในยามนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ รับรู้ว่าสิ่งที่เด็กคนนั้นเคยเผชิญนั้นเจ็บปวดถึงเพียงไหน ไม่ใช่เพียงร่างกาย แต่ทางความรู้สึกมากกว่า โดยเฉพาะถูกหลอกหล่อให้รู้สึกดีก่อนที่จะโดนหักหลังอย่างแยบยล แบบที่เขาเคยกระทำไว้เมื่อก่อน

ตอนนั้นเขานั่งรออศวมินทร์กลับมาอยู่หลายชั่วโมงหลังจากแยกไปเข้าห้องน้ำ เชื่อว่าเด็กคนนั้นจะต้องกลับมา ไม่มีทางทอดทิ้งเขาไว้เช่นนี้แน่ แต่เปล่าเลย ทุกอย่างผิดคาด นักท่องเที่ยวคนอื่นเริ่มกลับ เจ้าของร้านต้องการปิดร้านและคิดเงิน อินทัชใจหวิว บนตัวเขาไม่มีเงินสักบาท ดูเหมือนเจ้าของร้านจะเดือดดาลเมื่อรู้เช่นนั้น ชายหนุ่มพยายามอธิบายว่าจะไปเอาเงินที่โรงแรม เขาถูกต่อว่า ถูกกล่าวหาว่าหลอกลวง และถูกทำร้ายร่างกายจากภรรยาเจ้าของร้านเพียงแค่ต้องการลุกขึ้นยืนอธิบาย

จากนั้นก็เกิดการเข้าใจผิด ชายเจ้าของร้านเองก็หันมาทำร้ายเขาด้วยเช่นกัน ไม้หน้าสามถูกฟาดมาใส่เขาไม่ยั้ง เขารับรู้ถึงเลือดอุ่นที่รินไหล อินทัชถูกไล่ออกมา ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าเงินเพียงไม่ถึงสองพันจะทำให้เรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ เขาเดินอยู่ริมถนนอยู่นานเพื่อที่จะกลับไปยังโรงแรม ชายหนุ่มรู้สึกวิงเวียน ร่างกายระบมปวดเมื่อยจนต้องนั่งพัก กระทั่งมีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งเดินมาถามว่ายังไหวหรือเปล่า

เหมือนเขาพบหนทางสว่าง ชายหนุ่มขาเปลี้ยไปเสียเฉยๆ จากนั้นก็ไม่มีสติอีกเลย จนมาตื่นที่โรงพยาบาล ทราบว่าชาวต่างชาติกลุ่มนั้นเป็นคนพาเขามา ชายหนุ่มไม่มีอะไรให้นอนจากขอบคุณซ้ำๆ ก่อนจากไปพวกเขาให้ยืมโทรศัพท์ติดต่อคนทางโรงแรม ชายหนุ่มคิดเสมอว่าในความโชคร้ายร้ายยังมีความโชคดีอยู่ แต่สิ่งที่เกิดแน่นอนไม่ได้เกิดขึ้นจากโชค มันมีเหตุผล ซึ่งเหตุนั้นเกิดจากฝีมือเขาเอง

เขาควรตระหนักได้แล้วว่าไม่มีทางได้น้องมินคนเดิมกลับมา อินทัชหลับตา ไล่ความรู้สึกทั้งหมดออกจากหัวเพื่อพยายามพักผ่อนเอาแรง ถ้าอย่างนั้นจากนี้ไปจะไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว หากอศวมินทร์ไม่ต้องการความรู้สึกเขา อินทัชก็จะไม่แสดงให้อีกฝ่ายเห็นอีกต่อไป

วันเวลาผ่านไปเท่าไรไม่ทราบ อินทัชถูกเคาะประตูเรียกให้ตื่นจากความฝันอันว่างเปล่า ชายหนุ่มพยายามขยับกายลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าบิดเบี้ยวจากความเจ็บที่ถูกทำร้าย ศีรษะเขายามนี้ถูกพันด้วยผ้า ใบหน้าบอบช้ำจนเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ บริเวณลำตัวด้วยก็เช่นกัน ในส่วนนิ้วมือหักจนต้องใส่เฝือกอ่อนไว้ กระดูกลำแขนร้าว ถูกเข้าเฝือกแข็งและห้ามขยับอยู่หลายวัน วินาทีแรกที่ลืมตาขึ้นมา ภาพต่างๆ พร่าจนเขาตกใจ ชายหนุ่มขยี้ตาก่อนจะเห็นเป็นพินที่ถือถาดอาหารมาให้

“อาหารเช้าค่ะ วันนี้คุณอ้ายพักสักวันนะคะ ให้แผลหายดีก่อน” พินวางถาดไว้ตรงหน้า มองดูว่าเจ้านายบาดเจ็บที่แขนซ้าย มือขวาคงมีแรงพอจะช่วยเหลือตนเองได้

“เช้าแล้วเหรอ เมื่อวานฉันคงสลบไปเลยสินะ”

“เมื่อวานคุณเอกแวะมาเยี่ยมตอนเย็น เลยเช็ดตัวให้รอบหนึ่ง ดิฉันจะปลุกให้ทานยาสักหน่อยคุณเอกก็ปราม ก็ดีเหมือนกัน วันนี้คุณดูสดชื่นกว่าเมื่อวานมากเลยค่ะ” พินยิ้ม ก่อนจะชะงัก เมื่อเห็นว่าอินทัชหันไปสนใจโทรศัพท์ที่วางไว้อีกมุมหนึ่งมากกว่า มันหวีดร้องเรียกให้คนรับสาย ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมทำทีจะขยับไป “ไม่เอาค่ะไม่ขยับ เดี๋ยวอิฉันจะเอามาให้” นางไม่ว่าเปล่า รีบเดินวนไปยังหัวเตียงเพื่อหยิบให้

อินทัชรับมาถือ มุ่นคิ้วประหลาดแก่ใจเมื่อเห็นว่าเป็นเลขหมายของใคร ชายหนุ่มนิ่งไปอยู่ครู่ ก่อนจะยอมกดรับสายในที่สุด “สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะคุณอ้าย ดิฉันประภัสสร อาจารย์ที่ปรึกษาของอศวมินทร์นะคะ”

อินทัชนิ่งเงียบ ก่อนจะยอมขานรับในที่สุด “ครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“เอ่อ...ตอนนี้คุณพอจะว่างหรือเปล่าคะ ดิฉันคิดว่าคุณอาจลืม เรื่องจดหมายเชิญผู้ปกครองที่ฝากอศวมินทร์ไปให้ ก็เลยจะโทร.ไปเตือน หากคุณไม่มาคงจะเกิดเรื่องใหญ่กับเขาแน่ค่ะ” หญิงสาวในสายบอก อินทัชนิ่ง มองนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้าของวันจันทร์

“ผมยังไม่ได้รับจดหมายที่ว่านั่นเลยครับ”

“จริงหรือคะ ทั้งๆ ที่เขารับปากฉันแท้ๆ ว่ายังไงเสียก็จะเอาให้คุณให้ได้ อศวมินทร์ ทำไมเธอถึงทำแบบนี้กันล่ะ...” อินทัชนิ่งฟัง เมื่อรับรู้ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่กับลูกชายในนามของเขา ซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้เขาได้พบความวิบัติที่สุดในชีวิต เขาโกรธ แต่จะให้ตาต่อตาก็คงไม่สมควร อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง ชายหนุ่มได้ยินหล่อนต่อว่าอศวมินทร์อยู่ครู่หนึ่ง จนถึงประโยคที่ว่า หากเขาไม่ไปพบกับผู้ปกครองคู่กรณีเพื่อไกล่เกลี่ยปัญหา อศวมินทร์อาจต้องถูกไล่ออก

ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ นึกถึงยามแรกที่ตนประหลาดใจ สงสัยว่าเหตุใดอศวมินทร์ต้องตามเขาไปถึงพัทยา หรืออาจเพราะจดหมายนี่ แล้วทำไมเด็กคนนั้นถึงไม่ยอมเอาให้เขา อินทัชคิดอย่างหนัก ไม่อาจหาคำตอบด้วยการเพียงแค่คิดอยู่ฝ่ายเดียวได้

“คุณอ้ายคะ...”

“ครับ ผมจะไป”

แม้น้ำเสียงดูเหน็ดเหนื่อยเพียงไหน มีเพียงพินเท่านั้นที่รู้ว่าสีหน้าที่อินทัชแสดงออกนั้นเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ายิ่งกว่า นางเดินไปจัดเตรียมเสื้อผ้าเมื่อได้ยิน แม้นึกเป็นห่วง แต่จำต้องปล่อยให้เจ้านายจัดการกับอาหารเช้าไปด้วยสีหน้าระทมทุกข์เช่นนั้นอย่างไม่สามารถช่วยอะไรเลย นอกจากลอบมองอยู่ห่างๆ ในฐานะคนใช้คนหนึ่งเท่านั้น


**************************************
สวัสดีค่าาา เอานิยายมาอัพแล้ว เยๆๆ
ต่อไปนี้จะได้ไม่ต้องรอนานแล้ว พร้อมกับออปชั่นใหม่ จัดหน้านิยายอ่านง่าย สบายตา และเนื้อหาที่ยาวกว่าเดิม แฮ่ 55555 เพราะว่าเพิ่งได้คอมที่ซ่อมกลับมาค่ะ อิอิ

จากนี้ไป เรื่องราวของลุงอ้ายก็จะเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ จะพบกับการล้างแค้น และความรักที่บั่นทอนความรู้สึกคนอ่านมากขึ้นไปอีก แต่ก็ยังคงมีอะไรสักอย่างแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ให้คนอ่านลุ้นอยู่เสมอ ว่าจุดจบของแต่ละคนจะเป็นยังไง ไม่ได้มีแต่เศร้า โกรธหรอก อะไรฟินๆ ก็มีนะ แต่อาจจะช้าหน่อย อิอิ เจอกันตอนหน้าจ้า











ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เฮ้ออ จะบอกว่าสาสมกับที่ลุงอ้ายหลอกลวงมินดี หรือว่าจะสงสารลุงอ้ายดี

อยากจะบอกว่าก็สงสารลุงอ้ายนะ แต่เราสงสารมินมากกว่าอ่ะ

ลุงอ้ายรู้ทุกอย่างแต่ก็ยังทำตัวลุงอ้ายน่าจะรู้นะว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไงเมื่อทำไปแล้ว แล้วน้องมินรู้ความจริงอ่ะ

จะว่าเลือดเย็นได้มั้ย เราว่าแค่นี้ยังน้อยไปกับความรู้สึกของหนูมินที่ได้เสียไป

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๘
 
เหล่านักเรียนในชั้นเรียนต่างๆ กำลังง่วนอยู่กับการเรียนการสอน ทั้งอาคารเงียบกริบ ไปจนถึงห้องกว้างซึ่งไม่เพียงสงบเงียบเท่านั้น ยามนี้ยังครุกรุ่นไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด ดวงตาของชายวัยห้าสิบเศษละเลียดไปมองผู้ปกครองฝ่ายผู้ผิดเล็กน้อย ลอบถอนหายใจอย่างนึกอเนจอนาถใจแทน ที่อินทัชมีลูกเลี้ยงจอมก่อเรื่องอย่างอศวมินทร์ อาจารย์ฝ่ายปกครองจำเป็นต้องข่มใจกล่าวอะไรสักอย่างเพื่อไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ดียิ่งขึ้น

“เอาล่ะครับ ก็อย่างที่จดหมายได้แจ้งไปว่าลูกชายของคุณประพฤติตัวไม่ดีเอามากๆ ทางเราก็เลยอยากให้คุณมารับทราบ แล้วก็พูดคุยกับผู้ปกครองของคู่กรณีก่อน”

อินทัชในยามนี้แต่งกายเต็มยศ สวมสูท ผูกไท แม้สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยก็ยังเดินทางมาในที่สุด ชายหนุ่มชำเลืองไปมอง ‘ลูกชาย’ ที่ฝ่ายปกครองกล่าวถึง กำลังนั่งกอดอกสีหน้าไม่รู้สึกรู้สากับความผิดที่ตนได้ก่อเลยแม้แต่น้อย เห็นเช่นนั้นพ่อเลี้ยงในนามทำได้เพียงพยักหน้ารับไปก่อน รับฟังในสิ่งที่ทุกคนกล่าวอย่างไม่มีอคติ

หลังจากนั่งฟังกว่าสิบนาที จากการเล่าของฝ่ายปกครองประกอบกับคู่กรณีที่เทียวสอดแทรกเข้ามา อินทัชสรุปได้ในใจว่าทุกอย่างเกิดจากความก้าวร้าวของอศวมินทร์ และนิสัยที่ไม่เคยมีความยับยั้งชั่งใจ ทำให้ผลสุดท้ายทุกอย่างดูแย่ลง ชายหนุ่มใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงชี้แจง ไกล่เกลี่ยกับอีกฝ่ายด้วยการกล่าวขอโทษแทนอศวมินทร์ซ้ำๆ อย่างสุภาพอ่อนน้อม แม้ท่าทีฝ่ายตรงข้ามจะดูไม่ค่อยชอบใจนัก แต่ยิ่งเห็นท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนของอินทัชแล้วใจร้อนๆ ก็ยอมอ่อนลง ท้ายที่สุดอศวมินทร์เพียงแค่ถูกตักเตือนและทำทัณฑ์บนไว้ หากทำอักครั้งจะถูกไล่ออก อินทัชเองก็เฝ้าภาวนาว่าเจ้าตัวจะไม่ตัดอนาคตของตัวเองทำซ้ำอีกครั้ง

หลังจากพูดคุยกันจบเรื่องแล้ว อินทัชก็ขอลากลับทันที ขณะลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยนั้น ดวงตาคมก็ได้ผละไปมองเด็กหนุ่มซึ่งนั่งข้างกัน อศวมินทร์คล้ายรู้สึกตัว หันมาสบตาอยู่ครู่หนึ่ง วินาทีนี้อินทัชรู้ดีว่าตนไม่มีสิทธิเคืองอศวมินทร์ แต่ก็ห้ามใจไม่ให้รู้สึกอย่างนั้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องทิ้งเขาไว้ที่ชายหาดนั่น หรือเรื่องการเชิญผู้ปกครองนี้

“ขอบคุณมากนะคะที่เสียเวลามา ทั้งที่กำลังป่วยอยู่แท้ๆ” ประภัสสรเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อน ยกมือแตะบ่านักเรียนในการดูแล เห็นดังนั้นแล้วอศวมินทร์นิ่ง มองยิ้มของอินทัชที่ตอบรับอาจารย์ที่ปรึกษาของเขา ก่อนอีกฝ่ายจะเดินออกไปอย่างที่บอกไว้ว่าจะกลับไปพักผ่อน ที่จริงอินทัชควรอธิบายบ้างว่าเหตุใดต้องลำบากถ่อสังขารมาด้วย ทั้งที่เขาทำร้ายให้เจ็บแสบถึงเพียงนั้น

แต่อินทัชไม่พูดอะไรเลย

เด็กหนุ่มนิ่งมองอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไป ท่ามกลางสายตาของประภัสสรที่มองอย่างยกย่องนับถือ ก่อนหล่อนจะหันกลับมา “ไปส่งเขาสิ มัวยืนบื้ออะไรอยู่”

อศวมินทร์ชะงัก ก่อนจะยอมพยักหน้าในที่สุดอย่างเสียไม่ได้ เด็กหนุ่มรีบเดินตามไปประกบข้างกายคุณลุงอย่างแนบเนียน ภายในสายตาอาจารย์ที่ปรึกษาที่ยังจับมองอย่างไม่ยอมละโดยง่าย ทีแรกอินทัชคล้ายประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ถาม ชายหนุ่มเพียงแค่เดินต่อไปเงียบๆ ในขณะที่อศวมินทร์ยังเดินอยู่ข้างกาย “ส่งแค่นี้แหละ กลับไปเรียนเถอะ”

“คุณมาทำไม”

อินทัชละความเร็วของลำขาลง ใบหน้าคมคายหันไปมองเด็กหนุ่มที่หยุดเดินอยู่ก่อน ชายหนุ่มรู้ก่อนแล้วว่าอศวมินทร์จะต้องตั้งคำถามขึ้นมา ว่าเหตุใดเขาต้องยอมมาช่วย ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายทำให้เขาเจ็บเสียแสบทรวงขนาดนั้น ชายหนุ่มคิดไว้แล้วว่าจะตอบคำถามนี้ว่าอย่างไร เมื่อได้ยิน อินทัชไม่อาจจะแสดงสีหน้าอื่นใดได้นอกจากเรียบเฉย ตอบอศวมินทร์ไปว่า “มันเป็นหน้าที่ ฉันรับปากแม่เธอว่าจะดูแลเธอจนกว่าจะเรียนจบ”

“หน้าที่...” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว “แม่ตายแล้ว ไม่ต้องทำอย่างที่รับปากก็ได้ถ้าเกลียดผมมาก ผมรู้หรอกว่าใจจริงคุณแม่งไม่ได้อยากมาเลย!” เด็กหนุ่มกำหมัด มองท่าทีของคนตรงหน้าแล้วอารมณ์ฉุน

“เพราะอย่างนั้นเลยไม่เอาจดหมายให้ฉันสินะ”

“ก็คุณเป็นคนพูดเองว่าไม่อยากรับรู้เรื่องแย่ๆ ของผม ผมจำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องเสนอหน้าไปบอกว่าทำอะไรไว้ ยังไงคุณก็ไม่ใช่พ่อผม คุณไม่มีทางบอกได้หรอกว่าตัวเองไม่ขายขี้หน้าที่ผมก่อเรื่องพวกนี้ ผมไม่ใช่หลานที่แสนดีอยู่ในกะละที่คุณเตรียมไว้ ไม่น่าภูมิใจเท่า!” อศวมินทร์เกือบจะตะเบ็งเต็มเสียง มือหนากำไว้แน่นจนสั่นไหว เมื่อท้ายที่สุดแล้วท่าทีของอินทัชดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจในสิ่งที่เขาตั้งใจจะหาเรื่อง

“แน่นอน เป็นอย่างที่เธอคิดทุกอย่าง...” อินทัชพยักหน้ารับ มองตาเด็กหนุ่มที่ยังจับจ้องราวกับเคืองโกรธมานับสิบปี แต่ช่างมัน เขาไม่สนว่าอศวมินทร์จะโกรธหรือเกลียดเขากี่ปีกี่ชาติ แค่สามปีเท่านั้น ไม่นานหรอก “เพราะอย่างนั้น หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้รับรู้เรื่องแย่ๆ ของเธอ”

อศวมินทร์จ้องนัยน์ตาของชายตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ นัยหนึ่งก็คิดว่าตนยังสงสารทั้งที่อีกฝ่ายทำตัวไม่น่าสงสารอย่างนี้ทำไม อีกนัยหนึ่งก็คิดว่าอินทัชเองก็กำลังสร้างเกราะกำบังตนเองด้วยท่าทีเหล่านี้ เขาจะคอยดูว่าอินทัชจะเมินเฉยหรือทำตัวเป็นหุ่นยนต์ไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไร

“ได้...จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม” อศวมินทร์กำหมัดไว้จนสั่นไหว พยักหน้าตอบรับเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินจากมา

ถูกแล้ว สงครามมันได้เริ่มต้นมาตั้งแต่อินทัชเลือกจะหลอกลวง หักหลังเขา หากจะเอาอย่างนี้แล้วล่ะก้อ อินทัชเอ๋ย คอยดูก็แล้วกัน เขาจะรีดเอาน้ำตาของชายคนนั้นให้ไหลออกมาตั้งตัว ด้วยน้ำมือที่สั่นไหวคู่นี้

คอยดูเถิดคุณลุง

อศวมินทร์กลับเข้าห้องเรียนหลังจากแยกกับอินทัช แม้เคืองขุ่นหลังจากคุยกันไม่กี่คำ เด็กหนุ่มก็รู้จักผ่อนปรนอารมณ์ตนอยู่ แต่ดูเหมือนทั้งสายตาคนในห้องเรียน และเพื่อนในกลุ่มของมาวินจะเปลี่ยนไป แน่นอน สิ่งที่เขาทำกับมาวินมันหนักหนาเอาการ อีกฝ่ายจะเคืองก็ไม่แปลก แม้มาวินพยายามจะมีท่าทีเหมือนก่อน หากอศวมินทร์กลับรู้สึกว่าสิ่งที่มาวินกำลังทำนั้น คล้ายจ้องจะจับผิดเสียมากกว่า

“เดี๋ยว...” อศวมินทร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่กลุ่มเพื่อนทั้งหมดกำลังเดินออกไป หลงเหลือเพียงมาวินที่เดินตามให้หลัง หลังจากใช้เวลาร่วมกันในมื้อเที่ยง อศวมินทร์ตรองในใจแล้วว่าเขาควรคุยกับมาวินให้รู้เรื่อง เหตุเพราะไม่ชอบที่จะตกอยู่ในสภาพแบบนี้เอาเสียเลย

เพื่อนทั้งกลุ่มหันมาที่เขา ทุกคนเงียบกริบพร้อมแววฉงนในสิ่งที่เขาโพล่งขึ้น อศวมินทร์นิ่งไป เด็กหนุ่มส่ายหน้าอธิบายไปว่า “กูหมายถึงไอ้วิน”

มาวินได้ยินดังนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มคิดในใจว่าอศวมินทร์คงกระวนกระวายใจแน่ หากรู้ตัวว่าเขาแอบไปเห็นในสิ่งที่ได้ทำกับคุณลุงของเขา หรือไม่ อีกฝ่ายก็คงต้องการเคลียร์สิ่งที่มันยังคาราคาซังให้จบ เด็กหนุ่มหันไปส่งยิ้มให้เพื่อน บอกเป็นนัยว่าต้องการพูดคุยกับอศวมินทร์เพียงสองคนเท่านั้น ก่อนเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ จนถึงระเบียงอาคารเรียน หน้าห้องของใครสักคนหนึ่ง

อศวมินทร์ทิ้งก้นนั่งลงบนที่นั่ง ส่งสายตาบอกให้เพื่อนทำตาม มาวินเห็นดังนั้นจึงทิ้งกายลงอย่างเงียบเชียบ รอฟังว่าคนข้างกายจะเปิดประเด็นว่าอย่างไร

“คือ...”

อศวมินทร์ลากเสียง มองไปยังประตูห้องเรียนซึ่งยังมีคนอยู่ภายในห้อง ทั้งที่เป็นเวลาพักเที่ยงแล้วก็ตาม เด็กหนุ่มถอนหายใจ “คือ มึงก็รู้ใช่ไหม ว่าที่มึงขึ้นไปบนห้องวันนั้นไม่ใช่ความบังเอิญ กูเป็นคนเรียกมึงไป” อศวมินทร์เอนหลังพิงพนัก ก้มตาลงมองมือของมาวินตอนนี้ กำลังกุมกันไว้แน่นคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ “กูตั้งใจทำแบบนั้นนะ กูอยากสารภาพตรงๆ ก็เลยเลือกที่จะบอก มึง...”

บรรยากาศระหว่างทั้งคู่เงียบไปอีกครั้ง แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับง่ายๆ อศวมินทร์ทราบดี

“กูนึกว่ามึงไม่ได้เป็นเกย์ ไม่งั้นกูไม่เสนอให้ลุงอ้ายรับเลี้ยงมึงหรอก” มาวินหันไปมอง สีหน้าบ่งบอกว่ายังไม่ชอบใจและผิดหวังกับสิ่งที่ได้รู้ “แล้วกูก็ไม่รู้หรอกว่ามึงทำแบบนี้ทำไม อยากให้กูรู้สึกยังไง อยากให้ลุงอ้ายรู้สึกยังไง ที่สำคัญ...กูโคตรอยากรู้เลยว่ามึงต้องการอะไร...”

อศวมินทร์นั่งฟัง ยอมรับด้วยความเงียบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นประเด็นใหม่หากทว่าเกี่ยวโยงกับเรื่องที่ตนต้องการจะสะสาง “กูรู้นะ มึงเป็นคนบอกลุงอ้ายทั้งหมด เรื่องในโรงเรียน” อศวมินทร์มองเพื่อนนิ่ง ในขณะมาวินเองก็ต้องหันขวับมาสบตา

“กูหวังดีกับมึง...”

“แต่กูไม่ต้องการว่ะ กูอยากอยู่แบบอิสระ มึงเข้าใจใช่ไหม”

เด็กหนุ่มไม่สามารถอธิบายอะไรหลังจากสิ่งที่ศวมินทร์เปรยออกมานั้น ได้แทงใจเขาเป็นที่เรียบร้อย และมันเป็นความจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้ มาวินเห็นสายตาของคนข้างกาย บอกว่าสิ่งที่เขาได้ทำไปนั้นเจ้าตัวเองก็ไม่ชอบใจเช่นกัน เด็กหนุ่มทำได้เพียงนั่งฟังในสิ่งที่อศวมินทร์จะพูดต่อ “ถ้ามึงเลิกเอาเรื่องของกูไปรายงานกับลุงมึง กูก็จะเลิกยุ่งกับมึง ต่อไปนี้มึงเลิกทำเป็นว่าไม่ได้โกรธกูซักทีเถอะ กูดูออกว่ามึงโกรธแล้วก็เกลียดกูมาก อย่าฝืนเลย”

มาวินหน้าชา สรรหาคำจะเอ่ยไม่ได้ ใช่...เขารู้สึกอย่างที่เพื่อนกล่าวทุกอย่าง แต่... “กู...”

แต่ก็ยังมีบางส่วนที่รู้สึกดีต่อเพื่อนคนนี้

อศวมินทร์ลุกขึ้นยืนหลังพูดจบ เตรียมตัวจะละเดินจากไป หากทวามาวินไม่เข้าใจ หากอศวมินทร์รู้ว่าเขาโกรธตนเอง แล้วทำไมต้องเมินเฉยท่าทางของเขาด้วย ทำกับไม่รู้ไม่เห็นทั้งๆ ที่รู้สึกได้ตั้งนานแล้ว เด็กคนนี้ช่างเข้าใจยากเหลือเกิน “เออ! กูโกรธมึง ก็มึงมาทำตัวเหี้ยใส่ลุงกูก่อนทำไม มึงไม่เล่าอะไรให้กูฟัง แล้วกูจะเข้าใจมึงได้ยังไง!”

“กูไม่ต้องการให้มึงเข้าใจกูหรอก ที่สำคัญ ถ้ามึงอยากเข้าใจกู ไม่ว่ากูจะทำอะไรมึงก็เข้าใจเอง ไม่ต้องรอให้กูเดินเข้ามาอธิบายหรอก มึงน่ะ อ คติไปก่อนแล้วไง” อศวมินทร์เอ่ย ก่อนจะยอมหมุนตัวเดินกลับไปยังห้องเรียนของตนเอง ปล่อยให้มาวินนั่งฉงนอยู่อย่างนี้ เด็กหนุ่มกำหมัด ลุกขึ้นยืนมองตามแผ่นหลังกว้างของอศวมินทร์ คนที่เขาเคยคิดอยากตัดความเป็นเพื่อนทิ้งไปคนนั้น มองด้วยความไม่เข้าใจ

“มิน เพื่อนกันเขาไม่ทำแบบนี้หรอก!”

เพื่อนกัน...

อศวมินทร์รู้สึกราวมาวินได้เหวี่ยงเข็มใส่ใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กหนุ่มไม่อาจบอกอีกฝ่ายได้ว่าเขาเสียใจขนาดไหน ทำได้เพียงเลือกเดินออกมาเงียบๆ รับรู้ว่าอย่างไรเสียมาวินจะต้องโกรธ “มึงทำแบบนั้นหมายความว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับกูแล้วใช่ไหม มิน!”

มาวินยังร้องไล่หลัง แม้จะรู้สึกราวมีอะไรสะกิดใจอยู่บ้าง แต่เด็กหนุ่มยังตระหนักกับตนอยู่เสมอว่าหากเลือกเดินทางหนึ่งแล้ว ตนจำต้องสละอีกทางหนึ่งทิ้งเสีย “เพราะเป็นเพื่อนไง...”

ถึงใจอ่อน ไม่เด็ดขาดสักที

“เออ! ถ้างั้นมึงกับกูไม่ใช่เพื่อนกัน!”

 
หลังจากไปพบกับฝ่ายปกครองของอศวมินทร์ที่โรงเรียนแล้ว อินทัชตัดสินใจเดินทางเข้าสำนักงานของตนเองแทนการกลับบ้านไปพักผ่อน ชายหนุ่มเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าสมองเกินกว่าจะพูดคุยกับใคร ครั้นถึงห้องทำงาน สิ่งเดียวที่อินทัชทำคือทิ้งกายนั่งลงบนเก้าอี้ เอนหลังแนบพิงพนัก มือหนึ่งยกขึ้นคลึงขมับอยู่เช่นนั้นพร้อมดวงตาที่เหม่อลอยออกไปจากห้อง ด้านหลังเป็นกระจกบิ้วท์อิน มองทะลุลงไปเห็นทิวทัศน์ของเมือง ถนนแต่ละสายมีรถราแล่นอยู่อย่างไม่ขาด

ภาพสีหน้าขุ่นเคืองของลูกเลี้ยงผุดขึ้นมาในหัว แต่ละคำพูด แต่ละท่าทางที่แสดงต่อเขานั้นทำเอาอินทัชถึงกับตรอมใจ นึกถึงยามที่ปรางคณางเดินทางมาหา สีหน้ากลัดกลุ้มกังวลใจอย่างหนักเกี่ยวกับลูกชายคนเดียวของเธอ ยามนี้เขาเชื่อแล้วว่าใครก็แล้วแต่ที่ดูแลอศวมินทร์จะต้องเครียดและตรอมใจอย่างไม่มีข้อแม้ คิดแล้วชายหนุ่มก็อนาถใจตนเอง นี่หรือสิ่งที่ตอบกลับมาจากความทุ่มเทของเขา

ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ ถูกเด็กอายุน้อยกว่าดูถูกย่ำยีศักดิ์ศรี ถูกผู้คนมองว่าเป็นคนเลวแสนเลว

หากเขาไม่นึกถึงคำสัญญาที่มีต่อปรางคณางในวันที่เธอจะสิ้นใจ อินทัชรับปากได้เลยว่าจะไม่ทนอยู่เช่นนี้ แต่เมื่อปรางคณางเอาชีวิตตนเองเป็นเดิมพัน เขาเป็นลูกผู้ชายพอที่จะทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้

อินทัชใช้เวลาในสำนักงานหลายชั่วโมง ก่อนจะขนหนังสือและแฟ้มรายงานต่างๆ ให้ผู้ช่วยถือไปส่งที่รถ เดินทางกลับไปยังบ้านพักในช่วงเย็นของวัน หากจิตใจเขาว้าวุ่น ไขว้เขวในสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ การทำงานคือหนทางที่ดีที่สุด เพื่อให้ตัวเองดูยุ่งตลอดเวลาจนไม่มีสมาธิไปคิดออกนอกลู่นอกทาง ดังนั้น เมื่อถึงบ้านพักแล้ว รายงานทุกเล่มได้นำไปวางในห้องนอนของเขา เตรียมเพื่อจะอ่านให้ไม่มีเวลาพักพอที่จะคิดฟุ้งซ่าน

เขากับอศวมินทร์ต่างคนต่างอยู่อย่างนี้มาก็นาน เขาอยากอยู่แบบนั้นอีกต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบสามปี จนกว่าอศวมินทร์จะมีสิทธิ์ในสมบัติตัวเอง อินทัชภาวนาขอให้มันเป็นเช่นนั้น แม้จะเห็นเค้าลางไม่ดีก็ตาม

ระหว่างที่ชายหนุ่มย่างเท้าขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อเข้าห้องพัก อินทัชรับรู้ว่ามีใครเดินตามหลังมา ชายหนุ่มหันไปตามเสียงด้วยสัญชาติญาณ แม้ในใจเกรงว่าจะเป็นอศวมินทร์ เขายังไม่พร้อมจะต่อกร พูดคุย หรือโต้เถียงอะไรกันตอนนี้ หากทว่าโชคเข้าข้างหรือจะกลั่นแกล้งไม่ทราบ เป็นคิมหันต์ที่กำลังขึ้นบันไดมา อีกฝ่ายมีสีหน้าประหลาดแก่ใจเมื่อเห็นเขาหันไปสบมอง ท้ายที่สุดก็เดินต่อมาหยุดตรงหน้า

“คุณดีขึ้นแล้วนี่” อีกฝ่ายกล่าว ดวงตาที่อินทัชไม่ชอบเท่าไรนักกำลังมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แน่นอนว่าไม่ใช่สายตาของเด็กที่มองคนอาวุโสกว่าอย่างยกย่องนับถือ เขารับรู้ได้ว่าคิมหันต์ตีตนเป็นอริกับเขาตั้งแต่แรกเห็น แต่ยังสงบเสงี่ยมท่าทีไว้อยู่เช่นกัน การกระทำแบบนี้เขายอมรับว่าคิมหันต์เป็นคนที่รับมือยากพอควร

ชายหนุ่มผ่อนปรนอารมณ์ตนเอง “ใช่ ถึงไม่หายก็ต้องพยายามหาย”

“พูดแบบนี้ แสดงว่ากำลังพาดพิงไปถึงมินอยู่สินะครับ”

“หืม...” อินทัชย้อนด้วยความฉงน ยิ่งรอยยิ้มยียวนของอีกฝ่ายที่แสดงออกเป็นนัยยะอะไรสักอย่างนั้น สร้างความงุนงงแก่เขามากขึ้นไปอีก อาจจะมีอารมณ์ขุ่นมัวเล็กๆ แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องการปั่นประสาทเขา ถึงรู้แต่ก็ยังควบคุมไม่ได้ เขาไม่ชอบที่คิมหันต์ยิ้มเหยียดนี่มาให้สักนิด “ไม่จำเป็นต้องโยงมินมาเกี่ยวด้วยทุกครั้งหรอก ฉันแค่หมายความว่าต้องแข็งแกร่งเพราะต้องมีงานที่จะทำอีกหลายอย่าง”

คิมหันต์แสร้งพยักหน้าเข้าใจ แม้สีหน้ายังแสดงออกว่าไม่ค่อยเชื่อก็ตาม “ผมได้ยินจากป้าพินว่าคุณไปโรงเรียน ไปคุยเรื่องที่มินก่อไว้นี่ คุณไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้หรอกเหรอครับ”

“ฉันมีเรื่องที่ต้องคิดมากกว่าเรื่องไร้สาระพวกนี้”

อินทัชหน้านิ่ว ไม่ชอบท่าทีของคิมหันต์เอาเสียจริง ชายหนุ่มเดินไปยังหน้าประตูห้องพักของคนเองเพื่อจะเข้าไปพักผ่อน หากทว่ายังได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายตามหลังมา “คิดได้แบบนั้นก็ดี ผมหวังว่าคุณจะไม่สนใจในตัวน้องผมไปมากกว่านี้”

“เธอใช่ไหมที่ห้ามไม่ให้เขาเอาจดหมายมาให้ฉัน” อินทัชขบกรามตัวเองอย่างสุดทน มือข้างที่แข็งแรงดีอยู่เกาะกุมลูกบิดไว้ หากทว่าลำตัวหันไปสบกับคิมหันต์ที่ยืนหน้านิ่วอยู่ด้านหลัง หากเป็นสมรภูมิรบ แค่เพียงสายตาที่สามารถฟาดฟันอีกฝ่ายให้ตายได้ คาดว่าไม่มีใครยอมใครแน่ อาจจะตายได้ทั้งสองฝ่ายเลยทีเดียว

เมื่อถูกยิงคำถาม คิมหันต์กลับกระตุกยิ้ม “ขอบโทษนะครับ ผมนึกว่าคุณรู้จักมินดีเสียอีก ไม่รู้เหรอครับว่าไม่มีใครสั่งการอะไรเขาได้”

“ใช่...แต่ก็มีบางคนใช้วิธีชักจูงได้เก่งนี่” อินทัชส่ายหน้า

“สิ่งที่ชักจูงมินได้ดีที่สุดคือหูกับตาของมันเอง ไม่คิดบ้างเหรอครับ ว่ามันอาจได้ยินมากับหูมันเองก็ได้ ว่าคุณไม่อยากจะรับรู้เรื่องที่มันทำ มันเลยตัดสินใจทำแบบนั้น คุณน่ะ อาจจะจำเองไม่ได้มากกว่าว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง แล้วคำไหนทำร้ายใครบ้าง” สิ้นคำ อินทัชถึงกับชะงักไปชั่วครู่ สร้างรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าราวกับว่าเป็นผู้ชนะ

อินทัชนิ่ง มองคิมหันต์ที่ยังยืนกอดอกในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยหนึ่ง ชายหนุ่มไม่สนว่ายามนี้คิมหันต์มองเขาด้วยสายตาไหน มีเพียงความคิดเท่านั้นที่กำลังโลดแล่นอย่างหนักหน่วง ภาพยามที่เขาพูดคุยกับคิมหันต์ที่ห้องพักโรงแรม เสียงถ้อยคำของเขาที่กล่าวกับคนตรงหน้าก้องทั่วโสต ไหนจะประโยคที่มาวินพูดกับเขา ไหนจะคำพูดของอศวมินทร์ที่บอกว่าความรู้สึกเขาไม่มีความหมาย ชายหนุ่มยกมือกุมศีรษะตนเองเมื่อความปวดแล่นตุบเข้ามาไม่ยั้ง

“เธอต้องการอะไร” อินทัชสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ยกมือกุมศีรษะของตัวเองแน่น

“ผมบอกให้คุณเลิกยุ่งกับมินใช่ไหม”

“แล้วยังไง”

“คุณรู้หรือเปล่าวว่ามาวินขึ้นไปหาคุณที่โรงแรมวันนั้น” คิมหันต์กดเสียงต่ำ มองอินทัชที่สบตาเขานิ่ง ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าอินทัชดูตกใจในสิ่งที่เขาได้บอกไปเมื่อครู่ ท่าทางดูคล้ายเก็บอารมณ์ สีหน้าแม้จะดูปรกติหากทว่ามันปกติเกินไปที่เขาจะเข้าใจ คิมหันต์ทำได้เพียงลอบสังเกตเงียบๆ

“อะไรนะ...” อินทัชมองตาของคนบอก ชายหนุ่มหน้าชาไปในตอนนั้นเมื่อได้ยิน แสดงว่าสิ่งที่มาวินกล่าวกับเขาคือความรู้สึกที่เด็กคนนั้นอัดอั้นมานาน มาวินเห็นความจริงหมดแล้วว่าเขาทำอะไรลงไป

“คือ...หลังจากที่คุณขึ้นไปหามิน มาวินมันก็เดินตามหลังคุณไป นี่คุณไม่รู้สึกตัวสักนิดเลยงั้นเหรอ” คิมหันต์กอดอก มองนัยน์ตาของอินทัชที่แสดงออกว่ากำลังหวั่นใจ ชายหนุ่มไม่ทราบว่ามาวินสำคัญต่ออินทัชมากน้อยเพียงไหน แต่ในแง่ความเชื่อมั่น มาวินเห็นอินทัชเป็นฮีโร่ผู้น่ายกย่องตลอดเวลา และอินทัชเองก็ตั้งความหวังไว้กับหลานชายคนนี้สูงมาก จนไม่อยากทำตัวไม่น่านับถือต่อหน้ามาวินให้รู้สึกผิดหวัง

อินทัชนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะปรับสีหน้า “เขาอาจจะมาได้ยินความจริงที่ฉันพูดกับมินก็ได้”

ความจริง

สิ่งนี้ทำเอาคนที่คิดว่าตนเหนือกว่าถึงกับต้องกลืนรอยยิ้มหายไป ชายหนุ่มจ้องอินทัชเขม็งอย่างไม่อยากจะเชื่อ แม้ทุกครั้งอินทัชจะตกเป็นรอง อ่อนด้อยกว่าใครทุกครั้ง ชายคนนี้ยังร้ายกาจพอที่จะชูเอาหนามเล็กๆ อาบยาพิษมาฆ่าคู่ต่อสู้ได้ คิมหันต์กลืนน้ำลาย สีหน้าจากที่คิดว่าเหนือชั้นแปรเปลี่ยนมาขึงขังราวกับเป็นคนละคน “หมายความว่ายังไง คุณบอกไปแล้วเหรอ!”

“จะบอกตอนไหน ช้าหรือเร็วมันก็เป็นสิทธิ์ของฉันนี่” อินทัชตอบ แม้จะกำชัยชนะ แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น ยิ่งคิด เรื่องราวก็ยิ่งพันกันมั่วไปหมด เขาไม่มีทางรู้สึกสนุกสนานชอบใจแน่ ชายหนุ่มลอบถอนใจหน่ายเหนื่อย หันไปมองคนฟังเล็กน้อยขณะกล่าว “ขอบใจที่มาเตือนแล้วกัน ต่อไปฉันจะระวังคำพูด จะไม่พูดจาทำร้ายจิตใจน้องชายเธออีก ถ้าเป็นไปได้น่ะนะ...”

พูดเหมือนกับว่าอศวมินทร์สนใจคำพูดของเจ้าตัวมากขนาดนั้น คิมหันต์ขบกรามแน่น มองตามร่างสูงของชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดของบ้าน กำลังเปิดประตูเข้าไปด้านใน คิดแล้วชายหนุ่มก็กำหมัดแน่น หมอนั่นคิดได้อย่างไรว่าน้องชายเขาเอาใจใส่และสนคำพูดของตัวเอง ช่างเป็นความคิดที่จองหองนัก!

“จะเข้าข้างตัวเองไปหน่อยไหม”

อินทัชชะงัก หันใบหน้ามาเพียงเสี้ยวหนึ่งขณะย่างเดินเข้าไป “มันจะไม่ถูกเรียกว่าเข้าข้างตัวเองเลย และมินจะไม่โกรธหรือเกลียดฉัน เขาจะยิ่งรัก เทิดทูนฉันมาขึ้นกว่าไปเดิมอีก ถ้าได้รู้ว่าฉันไม่ได้มีความลึกซึ้งอะไรกับแม่เขาแม้แต่นิดเดียว...”

ประตูห้องพักปิดลงพร้อมกับความรู้สึกของคิมหันต์ที่ระเบิดเต็มที่ ชายหนุ่มหันไปทุบผนังระรัวด้วยความบ้าคลั่ง ความจริงหนึ่งเดียวที่เขาปิดไว้มิดชิด ไม่ยอมบอกน้องชาย และคิดว่าคนอย่างอินทัชไม่มีทางปริปากพูดให้เสียศักดิ์ศรี ชายหนุ่มคิดว่าคงตั้งศักดิ์ศรีของอินทัชสูงเกินไป รายนั้นขอเพียงให้ตัวเองรอดและดูดีในสายตาคนอื่น จะใช้วิธีไหนก็ได้อย่างนั้นซีนะ

อินทัชยกมือกุมใบหน้าหลังจากประตูปิด ชายหนุ่มเข่าทรุด ไม่มีแรงที่จะหยัดยืนพอหลังจากพูดเรื่องนั้น พูดความจริงที่ว่าอินทัชไม่มีความเกี่ยวข้องกับปรางคณาง นอกจากคน ‘เคยรัก’ มากที่สุดคนหนึ่ง

รัก อย่างที่เคยบอกอศวมินทร์ไปในวันนั้น ไม่โกหกเลยแม้แต่น้อย...



********************************************

งื้มมมมม ความจริงอีกหนึ่งก็คลายออกมาแล้ว

เรื่องดำเนินมาถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ยังอีกยาวไกล

อย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังใจนะคะ หนูนาจะขยันอัพ พาทุกคนไปถึงตอนจบอย่างเต็มกำลัง

มาสู้ไปพร้อมกันน้า ขอเพียงกำลังใจ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เป็นสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนดีแท้
ความโง่เขลาในอดีตของพ่อแม่
สร้างปมที่แก้ไขไม่ได้ให้ลูกหลานตัวเองแม้จะตายจากกันแล้ว

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เดาถูกแหะว่าลุงอ้ายแต่งแค่ในนาม แต่เรื่องที่หลอกหนูมินเนี่ยมันเสียความรู้สึกจริงๆ นะเนี่ย ไม่รู้ว่าหนูมินถ้ารู้เรื่องนี้จะรู้สึกยังไงดีใจ หรือเสียใจที่ทำไม่ดีกับลุงอ้ายแต่ก็ว่าไม่ได้หรอกนะ เพราะลุงอ้ายไม่บอกเหตุผลไม่รู้ว่าเพราะสัญญาเอาไว้กับแม่มินหรือเปล่า แต่ยังไงลุงอ้ายก็ผิดอยู่ดีนั่นแหล่ะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๙

วันเวลาเคลื่อนผ่านเร็วในยามที่ทุกคนเร่งรีบเสมอ แต่ในทางกลับกันแล้ว คนที่ยังจับเจ่าอยู่ที่เดิมกลับรู้สึกคล้ายยาวนานนับปี วันนี้อินทัชเดินทางถึงบ้านพักเร็วกว่าทุกวัน ชายหนุ่มดิ่งไปยังห้องทำงานเพื่อจัดการกับเอกสารที่ยังคงค้างคาในช่วงไม่สบายให้เสร็จ หากทว่าเมื่อไปถึง ชายหนุ่มพบเข้ากับซองสีขาวแผ่นหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้ ระบุชื่อผู้ส่งคือฝ่ายปกครองของทางโรงเรียน

“อะไรอีกล่ะนี่”

อินทัชยกขึ้นมาพินิจอยู่ครู่ ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งบนเบาะนวมชั้นดีและเลือกที่จะเปิดมัน เพื่อขยายความข้องใจหลายอย่างว่าเหตุใดเจ้านี่จึงมาอยู่ที่ห้องทำงานเขาได้ นัยน์ตาคมงุดลงมองเอกสารในมือ รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าในนั้นไม่ได้รายงานถึงพฤติกรรมของอศวมินทร์อย่างที่กังวล เป็นเพียงหนังสือขอความร่วมมือการประชุมผู้ปกครองก็เท่านั้น เพราะไม่กี่วันจะเริ่มสอบปลายภาค ทางคณะกรรมการโรงเรียนคงมีอะไรชี้แจงเกี่ยวกับกฏเกณฑ์และกำหนดการต่างๆ นานาให้ทราบโดยตรง มากกว่าบอกผ่านนักเรียนให้มาเล่าอีกที

อย่างน้อย จดหมายนี่ก็ไม่ได้ถูกกลืนหายไปอย่างฉบับก่อน

อินทัชเก็บจดหมายใส่ไว้ในลิ้นชักเมื่ออ่านจบแล้ว ได้ความว่าอีกสองวันเขาจะต้องไปร่วมประชุม รับทราบกำหนดการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภาคเรียนต่อไปสำหรับเด็กในการปกครอง ชายหนุ่มอ่านหมายเหตุในหนังสือที่ส่งมานี้ ระบุว่าการไปรับทราบกำหนดการณ์ของทางโรงเรียนด้วยตัวเองนั้น เพื่อให้ผู้ปกครองทั้งหลายมั่นใจว่าแต่ละกิจกรรมที่เด็กจะได้ทำนั้นถูกระบุอย่างชัดเจน หากมีนอกเหนือจากที่ลงไว้ในหนังสือกำหนดจะไม่มีทางเกิดขึ้น

นั่นทำให้ผู้ปกครองทั้งหลายได้ทราบถึงข้อเท็จจริง และลูกหลานจะได้ไม่หาข้ออ้างที่จะโดดเรียนหรือออกนอกลู่นอกทาง เกิดความมั่นใจที่จะฝากนักเรียนไว้กับคณะครูอาจารย์ได้ตลอดทั้งเทอม

อินทัชใช้เวลากับการทำงานจนมืดค่ำ หลังจากทนหลังขดหลังแข็งทวนอ่านเอกสารจนครบ ชายหนุ่มเอนกายพิงพนังเก้าอี้ผ่อนคลาย หลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นยามไม่ได้ง่วนอยู่กับการคิดสิ่งใด ภาพยามที่เขาพูดคุยกับคิมหันต์ก็ได้เริ่มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มสะบัดออกจากหัวแต่ไม่สามารถทำได้อย่างต้องการ

อศวมินทร์ไม่รู้เรื่องนี้  สำหรับเขาแล้วเด็กคนนั้นไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง เขาไม่ใช่คนทำดีเอาหน้า ปิดทองหลังพระมาก็นาน เพียงเพราะเด็กคนนั้นไม่ยอมรับไม่ทำให้เขาอยากบอกความจริง ชายหนุ่มเคยคิดวามันคงรู้สึกดี หากอศวมินทร์รู้ความจริงว่าเขาเป็นพ่อเลี้ยงเพียงในนาม เขาคงรู้สึกโล่งใจ แต่แล้วอย่างไรล่ะ อศวมินทร์ยังเด็กนัก เด็กคนนั้นรู้สึกดีต่อเขาก็จริง แต่เรื่องของอนาคตใครจะไปรู้ เขาอยากให้เด็กคนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี แต่งงาน มีครอบครัวอย่างผู้ชายทั่วไป

เขายอมถูกเกลียด ให้เด็กคนนั้นเกลียดเขาแล้วไปมีอนาคตที่สดใส เขายอมพูดจาร้ายๆ เพื่อให้ตัวเองดูแย่ ก็เพื่อเว้นระยะห่าง ให้อศวมินทร์โกรธและเกลียดชังเขามากเข้าไว้ แม้นั่นทำให้รู้สึกไม่ดีกับตนเองไปบ้าง แต่เขาก็ภาวนาว่าสามปีที่จะต้องเจอ ให้มันจบลงไปไวๆ และเรียบร้อยที่สุด

ชายหนุ่มยกมือกุมขมับนิ่ง เขาควรไปขนเอาเอกสารหรืองานที่บริษัทมารไว้ที่บ้านเยอะกว่านี้ ชายหนุ่มทอดถอนใจ ดวงตาคมเพ่งมองไปที่ประตูเมื่อได้ยินเสียงเคาะจากใครด้านนอก ชายหนุ่มขานรับเป็นเชิงอนุญาต ก่อนมันถูกเปิดออกเผยให้ทราบว่าเป็นพิน แม่บ้านใหญ่ประจำคฤหาสน์หลังนี้ นางส่งยิ้มน้อยๆ บอกกับเจ้านายว่า “อาหารเย็นพร้อมแล้วค่ะคุณอ้าย”

“ขอบใจ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” อินทัชขานรับเสียงเรียบ ชายหนุ่มปรับสีหน้าตัวเองอยู่ครู่หนึ่งมิให้แสดงถึงความกังวลมากไป ย้ำเตือนตนเองว่าห้ามแสดงท่าทีนี้ให้ใครเห็นโดยเด็ดขาด คิดได้แล้วนั้นอินทัชจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จัดแจงเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปด้านนอก

คนรับใช้กำลังจัดแจงจานชามให้ ก่อนจะเดินไปอยู่มุมหนึ่งรอให้เขาไปทรุดกายนั่ง อาหารเย็นเป็นมื้อเดียวที่อินทัชมีคนร่วมโต๊ะอาหารในบ้าน ซึ่งนั่นก็คือคิมหันต์และอศวมินทร์ หรือไม่บางวันจะกลับดึกเพราะตารางงาน หรือแวะไปทานอีกบ้านหนึ่งร่วมกับครอบครัว ชายหนุ่มชำเลืองไปพบคิมหันต์กำลังเดินลงมา พร้อมกันกับอศวมินทร์ ดูคล้ายสองคนกำลังพูดคุยเรื่องใดเรื่องหนึ่งสีหน้าจริงจัง ชายอาวุโสของบ้านภาวนาว่าสายตาของเด็กหนุ่มที่มองลงมานั้น คงไม่ใช่กำลังพูดเรื่องของเขาอยู่

ช่วงเวลาของมื้อเย็นดำเนินไปอย่างเงียบเชียบเฉกเช่นทุกวัน คงเพราะอศวมินทร์ไม่โมโหโทโสเหมือนเมื่อก่อน อินทัชจึงวางใจที่จะเผชิญหน้ากันมากขึ้น เขารู้สึกสบายใจหากอยู่แบบต่างคนต่างอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ระรานหรือคุกคามอีกฝ่าย หากทว่าวันนี้ชายหนุ่มรู้สึกแปลก เนื่องด้วยต้นเหตุนั้นเกิดจากสายตาของเด็กที่นั่งถัดไปจากคิมหันต์ เขาคงไม่ได้รู้สึกไปเองแน่ สายตาของอศวมินทร์มองมาทางนี้อยู่บ่อยครั้งนัก สร้างความแปลกใจให้แก่อินทัช

ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ อินทัชวางช้อนลงหลังจากทานได้ไม่กี่คำ บรรยากาศดูเงียบและอึมครึมเกินไปที่จะทน ชายหนุ่มยกผ้าขึ้นซับริมฝีปากหลังจากดื่มน้ำ เรียกให้อศวมินทร์ผละมาสบอีกครั้ง อินทัชไม่ได้คิดไปเอง เมื่อเขาหันไปมอง เด็กหนุ่มไม่คิดจะผละสายตาหลบไปจากเขาเลยสักนิด ทำอย่างกับต้องการบอกอยู่ว่ากำลังจับจ้องเขา ให้อินทัชรู้สึกกังวลกับสายตานั้น

เด็กคนนี้ร้ายกาจ เขารู้ดี

“คุณอ้ายทานน้อยไปหรือเปล่าคะ เพิ่งหายป่วยควรทานเยอะๆ ดีกว่านะ”

“ไม่ล่ะพิน ฉันจะขึ้นไปอาบน้ำหน่อย อีกสักพักให้เด็กเอากาแฟไปส่งที่ห้องด้วยนะ” อินทัชตอบเสียงเรียบพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ให้คนอายุน้อยกว่าทั้งคู่เงยมองตาม

“คุณกังวลอะไรอยู่หรือเปล่า ดูเหมือนกังวลจนทานอะไรไม่ลงเลยนะ” เสียงของชายหนุ่มถัดไปจากเขากล่าวขึ้น อินทัชถึงกับต้องชะงักกับประโยคนั้น เขาพยายามที่จะเก็บสีหน้า แต่คงไม่มากพอเท่ากับสายตาเฉียบคมของอีกฝ่ายกระมัง คิมหันต์เป็นเด็กหลักแหลม คิดวะเคราะห์เก่ง คล้ายกับรู้ดีถึงสถานะเขาตอนนี้

“ขอบใจที่เป็นห่วง” อินทัชตอบเสียงเรียบ ไม่อธิบายอะไรให้เด็กตรงหน้าทั้งคู่เข้าใจสักนิด ชายหนุ่มเลือกผละเดินจากมา เพราะรู้ดีว่าหากต่อกลอนพูดคุยตอบโต้คิมหันต์ไป อาจสร้างความไม่พอใจให้อศวมินทร์ก็ได้ ชายหนุ่มแอบเห็นสายตาของลูกเลี้ยงในนามคนนั้นเงยขึ้นมาสบมอง สีหน้าและแววตาแสดงถึงความไม่พอใจเล็กๆ ออกมา

ชายหนุ่มถอนใจขณะก้าวเดินบนขั้นบันไดเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องพักของตนเอง หากทว่าได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ในระยะใกล้ ไม่หันได้หันไปมองว่าเจ้าของมันคือใคร ข้อมือก็ถูกกระชากเข้าเต็มแรง พร้อมเจ้าของได้พาให้เขาเร่งความเร็วในการสาวเท้าขึ้นไปด้านบน อินทัชหน้าชาไปในวินาทีนั้น เมื่อรับรู้ว่าเป็นใครที่กำลังดึงเขาให้รีบเดินตาม ชายหนุ่มงุนงง ก้มลงมองที่ข้อมือตนเองในอาณัติอศวมินทร์อย่างไม่ค่อยชอบใจ “เดี๋ยว เธอจะทำอะไร!”

“เงียบ...”

อินทัชเบิกตา เมื่อคำตอบคือเสียงที่เย็นเยียบจากอีกฝ่าย ชายหนุ่มทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลาย มองแผ่นหลังกว้างและต้นคอที่โผล่พ้นปกเสื้อนักเรียน ไม่เห็นสีหน้าของคนเดินนำตอนนี้ ชายหนุ่มยื้อแขนมือเด็กหนุ่มด้านหน้าพาเดินเลยห้องพักเขาไป มีลางไม่ดีบอกให้อินทัชเลือกทำแบบนั้น ยิ่งยื้อแขน ยิ่งดึงรั้งให้หลุด อุ้งมือนั้นยิ่งเพิ่มความรุนแรงเพื่อที่จะจับเขาให้อยู่หมัดยิ่งเพิ่มขึ้น

“เธอไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้นะมิน ถ้าจะคุยกันก็คุยอยู่ตรงนี้” อินทัชยื้อ เรียกให้เด็กหนุ่มชะงักขาเป็นการตอบรับ อศวมินทร์ขวับมาสบตา แน่อนว่าเป็นสีหน้าขุ่นเคืองและโกรธขึ้งอย่างที่รู้อยู่แล้ว แต่อินทัชเพียงไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ต้นเหตุเกิดจากเขางั้นหรือ

“เธอมีอะไรก็พูดมา” ชายหนุ่มเริ่ม มือก็สะบัดเอาอิสระให้ตน “แต่จะคุยตรงนี้เท่านั้น”

“ทำไม กลัวผมฆ่าคุณเหรอ คุณไปทำอะไรผิดมาอีกล่ะถึงระแวงขนาดนี้”  อศวมินทร์จ้องตา นั่นทำให้ชายหนุ่มฉุกคิดได้ หรือเขาทำอะไรพลาดไปและทำให้เด็กตรงหน้าโกรธ หรือพูดอะไรที่ทำร้ายอศวมินทร์ไปอีก อินทัชปรับสีหน้า นึกคิดหาสิ่งที่ตนทำลงไป สมองก็ประมวลถึงจดหมายจากโรงเรียนที่ได้อ่านเมื่อตอนเย็น

“เรื่องประชุมผู้ปกครองฉันจะต้องไป ฉันไม่ได้รู้สึกลำบากใจที่เป็นพ่อเลี้ยงเธอ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอาย...”

“พูดเรื่องอะไร!” เด็กหนุ่มย้อน

อินทัชนิ่งไปเมื่อสิ่งที่คิดไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มประหลาดใจ เมื่อมือหนาของคนตรงหน้าเอื้อมมากระชากให้เขาเดินต่อไป หากไม่ใช่เรื่องนี้ที่เคยทะเลาะกันเมื่ออาทิตย์นั้นแล้วจะเป็นเรื่องอะไร เขาไม่ค่อยเข้าใจ ชายหนุ่มมองแผ่นหลังกว้างของเด็กตรงหน้า ความรู้สึกอึดอัดหายไปเมื่ออศวมินทร์พาเดินเลยห้องพักเจ้าตัวไปอีก จะว่าโล่งใจก็คงถูกที่จุดจบไม่ใช่ห้องพักของอศวมินทร์

ท้ายที่สุดอินทัชถูกพาเดินออกไปยังระเบียงชั้นสองของบ้าน ชายหนุ่มทั้งรู้สึกโล่งอกและประหม่าในเวลาเดียวกัน ดวงตาคมมองทอดออกไป เห็นสนามหน้าของสวนหลังบ้านด้านล่าง มีแปลงดอกไม้จัดไว้สวยงาม เก้าอี้เหล็กตัวสีขาวลวดลายวิจิตรตั้งอยู่ อินทัชไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายลงที่มองมัน ชายหนุ่มงุดลงมองข้อมือของตน เงยสบตากับเด็กหนุ่มข้างกายอยู่ครู่ “ถ้าไม่ใช่เรื่องประชุมแล้วมีอะไร ฉันว่าเราคุยพอแล้วนี่”

“คิดว่าเท่มากนักสิที่ใช้คำพูดคำจาหรือแสดงท่าทางพวกนี้” อศวมินทร์เปรย ผละมือออกหลังจากกล่าวจบ นั่นได้สร้างปมคิ้วของอินทัชเป็นอย่างดี “พูดเรื่องอะไร ฉันจะพูดจะทำท่าทางยังไงมันก็เรื่องของฉัน ถ้าจะมาหาเรื่องกันด้วยไอ้เรื่องแค่นี้ฉันไปล่ะ”

“คุณอย่ามาทำไขสือได้ไหม ผมรู้หมดแล้ว!”

อินทัชชะงักลำขา เสียงตะเบ็งกร้าวของอศวมินทร์สะท้อนในหูคนฟัง ประโยคนี้จะว่าน่ากลัวก็ใช่ คงเพราะความหมายของมันกระมัง มันหมายความได้หลายรูปแบบ ชายหนุ่มหวังไว้เป็นอย่างยิ่งว่าคงไม่ใช่เรื่องนั้น เรื่องที่เขาไม่อาจเอ่ยบอกใคร และคิดว่าคิมหันต์เองก็คงไม่บอกน้องชายตรงๆ แน่ เพราะเจ้าตัวหวงแหนอศวมินทร์กว่าสิ่งไหน การที่น้องชายหันมาให้ความสนใจคนอื่นมากกว่าคงจะสร้างความโมโหไม่น้อย คิมหันต์คงไม่ยอมบอกง่ายๆ

“ผมรู้แล้ว ว่าคุณกับแม่วางแผนทำอะไร” อศวมินทร์จ้องตา นั่นทำเอาอินทัชพูดไม่ออก ชายหนุ่มกะพริบตาตัวเองถี่รัวเมื่อรู้ว่าเด็กตรงหน้าทราบ สิ่งที่ทำให้ใจของเขาโหวงมากขึ้นไปอีกนั้น คงจะเป็นเพราะความคิดของตนเองตอนนี้ ที่คิดได้ว่าหากอศวมินทร์รู้ความจริงแล้ว แล้วเหตุใดสีหน้าท่าทางยังแลดูไร้เยื่อใย และท่าทางยังคงแข็งกร้าวเช่นนี้กันเล่า ไหนกันเด็กดีที่เขาอยากพบ

อินทัชราวถูกค้อนทุบเข้ากะโหลกซ้ำๆ มึนงงไปในบัดดล เขาคงคิดในแง่ที่เข้าข้างตัวเองเกินไป

“ผมจะบอกให้ ว่าคุณมันไม่ได้ดูดีขึ้นมาเลยสักนิดเดียว!” นิ้วชี้ของเด็กตรงหน้าจ่ออยู่ที่อกเขา จิ้มลงซ้ำๆ ราวกับต้องการตอกย้ำ อินทัชนิ่งไป ก่อนจะทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ส่วนของระเบียงที่ตั้งไว้ “งั้นเหรอ...” ชายหนุ่มทำได้เพียงแค่ย้อนถามด้วยประโยคนี้

“ใช่...” อศวมินทร์พยักหน้ารับ เดินมาหยุดตรงหน้าเขา เรียกให้ชายหนุ่มต้องเงยขึ้นไปสบมอง สีหน้าและแววตาจริงจังนั้น “ผมไม่มีความภาคภูมิใจที่คุณทำแบบนี้สักนิด เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่าคนๆ นั้นคือคุณไง คนขี้โกหก คนลวงโลกที่ชอบใช้ความรู้สึกคนอื่น...”

“พูดจบรึยัง ถ้าพอใจแล้วฉันจะได้ไป” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน

“คุณรับไม่ได้เหรอที่ผมไม่รู้สึกดีใจที่คุณกับแม่ไม่ได้เป็นอะไรกัน คุณรู้สึกดีกับผมนี่ คุณคิดใช่ไหมล่ะว่าผมจะหันมารักคุณได้เหมือนเดิม ถ้าผมได้รู้ว่าคุณกับแม่ผมไม่ได้เป็นผัวเมียกัน”

“เปล่าเลย เพราะฉันรู้ไงว่าเธอนิสัยแบบนี้ ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องคิดแบบนี้ เธอแย่มาก...ฉันรู้ว่าเธอไม่มีทางสำนึกบุญคุณใครได้หรอก” ชายหนุ่มกลั้นใจกล่าว เห็นว่าเด็กตรงหน้าเริ่มตึงขึ้นเมื่อได้ฟังคำตอบผิดจากที่คาด อินทัชยื้อแขนเมื่อฝ่ามืออีกฝ่ายเอื้อมมากุมแน่น

ทั้งคู่จ้องตากันนิ่งเงียบ นานเท่าไรไม่ทราบ กระทั่งเกิดเสียงหนึ่งขึ้นมาขัดจังหวะ เป็นฝ่ายอศวมินทร์เองที่สะบัดมือออก ดวงตางุดลงมองที่ประเป๋ากางเกงของเขา อินทัชลอบผ่อนปรนลมหายใจ ล้วงหยิบโทรศัพท์ที่เคยนึกรำคาญขึ้นมาอย่างขอบคุณที่มีมันอยู่บนโลกใบนี้ หากไม่ได้มัน เขาไม่รู้ว่าศึกครั้งนี้จะสงบลงได้อย่างไร ชายหนุ่มชำเลืองตามองคู่กรณีเล็กน้อยก่อนกดรับสาย

“ว่ายังไงเอก” ชายหนุ่มปรับน้ำเสียงให้ดูเรียบขึ้น อศวมินทร์มุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสีหน้าของอินทัชเปลี่ยนไป จากสุขุมเมื่อครู่แปรเปลี่ยนมาระบายยิ้มจาง เขารู้ว่าอินทัชไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำว่ากำลังยิ้มยามได้คุยกับผู้ชายคนอื่น “อ้อ จะย้ายไปวันเสาร์เหรอ ก็พรุ่งนี้น่ะสิ ฉุกละหุกเกินไปรึเปล่า”

เอกที่พูดถึง ก็คือผู้ช่วยคนนั้น ผู้ชายรุ่นเดียวกันที่คอยไปรับไปส่งอินทัชสินะ

“ฉันว่างวันอาทิตย์ล่ะ เดี๋ยวจะไปหา นายจะย้ายทั้งทีฉันจะต้องไปดูความเป็นอยู่ของนายหน่อยซีว่าโอเคหรือเปล่า ไม่เป็นไร ฉันจะขับรถไปเอง...” อินทัชตอบ น้ำเสียงนั้นดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ เด็กหนุ่มเคยเคยได้ยินบ่อยเหลือเกิน เสียงทุ้มนุ่มประสมความอ่อนละมุนนี้

สองคนนี้เป็นอะไรกัน หลังจากไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา

อศวมินทร์ขบกรามแน่นนิ่งฟัง เด็กหนุ่มคิดว่าเขาไม่ควรยืนทื่อเป็นตอไม่เช่นนี้ ยืนฟังอินทัชพูดคุยเสียงหวานกับใครโดยที่ไม่สนว่าเขาจะยืนอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มกระชากแขนอีกฝ่ายฝ่ายให้หันมา นั่นได้ทำให้อินทัชประหลาดใจจนเขารู้สึกได้ สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป

“เอก เดี๋ยวฉันจะโทรหานายอีกครั้งนะ” ไม่ทันจะได้พูดต่อ โทรศัพท์ในมือถูกดึงออกไปกดวางสาย ก่อนจะลอยละลิ่วลงไปยังสวนด้านล่างอย่างรวดเร็ว นั่นได้สร้างความโมโหแก่อินทัชเป็นอย่างมาก อศวมินทร์ทราบดี แต่ยิ่งเขายั่วยวนกวนอารมณ์อีกฝ่ายให้เลือดขึ้นหน้าเท่าใด อินทัชก็ยิ่งดูสงบมากขึ้นเท่านั้น และเป็นฝ่ายเขาเองต่างหากที่ต้องร้อนรน ไม่พอใจขึ้นมาเสียทุกที

“แค่นี้ใช่ไหมที่จะพูด ถ้าแค่นี้ฉันจะได้ไป”

อินทัชกล่าวเสียงเรียบ ดูท่ากำลังเก็บอารมณ์ และอศวมินทร์ทราบดีว่าอีกฝ่ายเก็บได้ดีเสียด้วย เด็กหนุ่มกำหมัด ทำได้เพียงมองแผ่นหลังกว้างนั้นย่างสามขุมออกไปอย่างรวดเร็ว บางทีก็เกือบจะได้เห็นสีหน้าระทมเจ็บนั้น แต่บางทีอินทัชก็ปิดมิดชิดจนเกินไป เขาจะไม่พอแค่นี้!

แม้อินทัชจะทำทุกอย่างเพราะสัญญาที่มีต่อปรางคณางก็ตาม เพราะท่าที่หยิ่งยโสนั่น มันทำให้เขาอยากเห็นสีหน้าเจ็บปวดของอินทัช แค่เพียงสักครั้ง ให้เท่ากับการหลอกลวงให้เขาเสียใจ ร้องไห้ สิ้นหวัง เขาอยากเห็นอินทัชตกนรกทั้งเป็นเหมือนตัวเองบ้าง แม้ทุกครั้ง มันจะสะท้อนมาหาตัวอศวมินทร์เองก็ตาม เด็กหนุ่มคิด มือหนากำราวระเบียงแน่น เมื่อมองลงไปด้านล่าง เห็นเจ้าของร่างซึ่งเป็นต้นเหตุอารมณ์แปรปรวนนี้กำลังก้มลงเก็บโทรศัพท์ขึ้น แล้วเดินจากไป...

อินทัช คอยดูเถิด!
 
เช้าวันหยุดเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว อินทัชตื่นตั้งแต่เช้า เขานัดกับเอกว่าจะไปช่วยจัดบ้านที่จะต้องย้ายไปอยู่ใหม่ อินทัชขับรถออกไปจากคฤหาสน์ในช่วงสายของวัน เดิมทีก็ทราบว่าอยู่ตรงไหน จึงไม่ยากนักที่จะไปถึงที่นั่นโดยไม่รบกวนเจ้าบ้าน ชายหนุ่มแวะซื้ออาหารสำหรับทานเองและฝากคนในครอบครัวเอกด้วย เมื่อไปถึง ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการช่วยกันจัดเรียงของและทำความสะอาดพอดี แม้เป็นเจ้านาย แต่เพราะรุ่นราวคราวเดียวกัน ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ทักทายผู้อาวุโสกว่าด้วยความนอบน้อม

“พ่อ แม่ นี่คุณอ้าย เจ้านายฉัน” เอกแนะนำ อินทัชส่งยิ้มให้ทั้งยกมือไหว้อีกครั้ง “ผมซื้อของมาฝากครับ”

“โอ้ ใจดีจังเลยจ้ะ เอก...พาเจ้านายแกไปนั่งที่ห้องรับแขกก่อน”

“อ้อ ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมมาช่วย” อินทัชส่ายมือปฏิเสธระคนเสียงหัวเราะ หันไปมองเพื่อนสนิทที่ยืนขำอยู่ข้างๆ ราวกับต้องการบอกอะไรบางอย่าง เอกเห็นดังนั้นจึงรีบพูดต่อให้ “แม่กับพ่อไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรกับคุณอ้ายหรอก เขาเป็นคนเรียบง่ายจะตาย”

“อ้อ งั้นเหรอ”

อินทัชยกยิ้ม เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสสองคนดูผ่อนคลายลง ทั้งวันชายหนุ่มเห็นและได้ยินเพียงคำชมและเยินยอถึงความเรียบง่ายของตัวเอง และอีกอย่างคือทั้งสองคนดูจะเอ็นดูเขาเฉกเช่นลูกชายคนหนึ่งไปแล้ว อินทัชกับเอกสวมผ้ากันเปื้อนจัดเรียงหนังสือใส่ชั้น ปัดหยากไย่และฝุ่น ที่จริงบ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่า เพราะจะย้ายไปเมืองนอกเจ้าของคนเก่าเลยขายให้ มันไม่เล็กไม่ใหญ่ ดูอบอุ่นกว่าคฤหาสน์ที่เขาอยู่เป็นไหนๆ

ดูเหมือนไม่ว่าเขาจะก้าวไปทำอะไร คุณแม่ของเอกตามให้กำลังใจอย่างเต็มที่ นางชอบเขาเป็นพิเศษ คอยเช็ดเหงื่อหรือยกน้ำมาให้แก้กระหาย ทำเอาพ่อและลูกชายอีกมุมแอบยิ้มกันด้วยความหมั่นไส้ อินทัชทำได้เพียงแค่ระบายยิ้มกับคำแซวของสองหนุ่มอีกฝั่งอย่างช่วยไม่ได้ เพียงแค่มาเหยียบที่นี่ครึ่งวัน เขาสัมผัสถึงความอบอุ่นของครอบครัวมากกว่าการอยู่ร่วมกับคนในคฤหาสน์นับปี

กว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็ย่ำบ่าย อินทัชแก้ผ้ากันเปื้อนและผ้าปิดหน้าออกก่อนจะเดินไปล้างมือในห้องครัว เห็นมารดาของเอกกำลังเช็ดจานชามพร้อมส่งยิ้มใจดีมาให้ “เหนื่อยไหมจ้ะ หิวรึเปล่า แม่กำลังจะยกข้าวไปให้”

อินทัชระบายยิ้ม “นิดหน่อยครับแม่ แค่รู้สึก คันๆ กับฝุ่น”

“ตายจริง คอคุณ...” นางชี้นิ้วแล้วรีบเช็ดมือตัวเองเดินมาจับผิวระหว่างคอกับหน้าอกที่โผล่พ้นผ้ากันเปื้อนด้วยความตกใจ “มันแดงเป็นปื้นๆ เลย สงสัยจะโดนฝุ่นที่นี่เล่นงานแล้วล่ะจ้ะ ออกไปรอที่เย็นๆ ข้างนอกนะ เดี๋ยวแม่เอายาออกไปทาให้”

อินทัชแตะที่คอตัวเองด้วยความฉงน ชายหนุ่มทำตามคำสั่งนางอย่างว่าง่าย เดินไปทรุดกายนั่งข้างเอกกับบิดา ซึ่งกำลังจ่ออยู่หน้าพัดลมเอาความเย็น “คอคุณแดงมากเลยนะ ผมมีผ้าเย็น เอามาเช็ดหน้ากับคอหน่อยก็ดี”

“ฉันไม่เป็นอะไร...”

“แพ้ขนาดนั้นยังบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก ทำความสะอาดแล้วต้องทายาให้มันยุบลงหน่อยนะจ้ะ ตายจริง ฉันรู้สึกผิดนะเนี่ยที่คุณต้องเป็นแบบนี้ ถึงคุณจะชอบแบบเรียบง่าย แต่ผิวคุณคงไม่ชอบด้วย ดูสิ ผิวพรรณผู้ดีผิดกับผิวแกมากเลยนะเอก ผิวแกกร้านแถมหยาบตั้งแต่เด็กอีกต่างหาก” นางกล่าว มือก็รับผ้าเย็นจากลูกชายมาซับใบหน้าคมคายให้ราวกับดูแลลูกชายคนเล็กของบ้าน อินทัชเงอะงะจะรับผ้าไปทำเอง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีโอกาส

“แล้วฉันผิดอะไรเล่าแม่ ก็ฉันโตจากบ้านนอกนี่”

อินทัชยิ้มขัน ยกมือไปปิดปากเพื่อนเมื่อเห็นเอกย้อนมารดา เขาชอบบรรยากาศนี้ มารดาเขาเสียไปหลายปีแล้ว การได้ถูกดูแลจากใครสักคนที่ยังมองว่าเขาเด็กเสมอนั้น สร้างความรู้สึกที่ดีต่ออินทัช ชายหนุ่มสัญญากับตัวเองว่าจะหมั่นมาที่นี่ เขาเหมือนเด็กน้อยเล่นซน แล้วก็ต้องมานั่งฟังมารดาบ่นกับสิ่งที่ตัวเองก่อ ชายหนุ่มทำได้เพียงยิ้มอย่างเดียวจริงๆ

ฟ้ามืดเร็วกว่าที่ชายหนุ่มคิด เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับกลั่นแกล้งเมื่อเห็นว่าเขามีความสุข อินทัชรู้สึกไม่อยากกลับ อยากให้วันอาทิตย์ยาวนานกว่านี้ “ไว้ผมจะแวะมาเยี่ยมใหม่นะครับ คุณพ่อ คุณแม่” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ทั้งสาม

“ถ้ามีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือต้องการให้ช่วยอะไร บอกผมนะครับคุณอ้าย ไม่ต้องเกรงใจ” เอกกล่าว มองเจ้านายนิ่ง “ผมคงแย่ถ้าไม่ได้เจอคุณ ผมจะไม่ลืมบุญคุณคุณเลย ขอบคุณนะครับ”

“พูดอะไรอย่างนั้นกัน ไม่เอาน่า” อินทัชไม่อาจบอกไปได้ว่าครอบครัวของเขาไม่วิเศษเท่าครอบครัวของเอก มันคงผิดที่นำมาเปรียบเทียบกัน ชายหนุ่มไม่อยากเอ่ยลาเอกราวกับว่าทั้งชีวิตจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เขาทั้งคู่เป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง เป็นผู้แบ่งปันความคิดและประสบการณ์มาด้วยกันนานหลายปี เพียงแค่เอกไม่ได้ทำงานให้กับเขา เขาไม่จำเป็นต้องตัดเพื่อนคนนี้ออกจากชีวิต

อินทัชกลับไปยังบ้านพักตัวเองแทนที่จะเป็นคฤหาสน์ คงเพราะดึกแล้ว และเขารู้สึกคันเกินกว่าจะขับรถต่อไปได้ ชายหนุ่มขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกาย ทายาและทาแป้งให้ผิวแห้ง ที่จริงความดึกไม่ใช่ประเด็นหลักที่เขาจะพักที่นี่ เขาเพียงแค่คิดว่าพักผ่อนที่บ้านนั้นหรือกลับคฤหาสน์ไม่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะกลับไปหรือไม่

คงไม่มีใครตั้งตารอเขา...
 

อศวมินทร์มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดทิ้งไว้ หลังคุยกับเพื่อนเสร็จเขาก็นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นได้นานครู่ใหญ่แล้ว ดวงตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง รั้วบ้านยังปิดสนิท ไม่มีรถคันไหนวิ่งเข้ามาสักคัน เด็กหนุ่มถอนใจเอาแรงอยู่หนึ่งครั้ง ก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์แล้วลากขาไปทิ้งกายลงนอนบนเตียง มองเพดานเบื้องหน้าเพื่อบังคับให้ตัวเองหลับตาลง เด็กหนุ่มทราบดีว่ามันยาก ไม่รู้ทำไมเขาต้องจดจ่อกับเรื่องอื่นนอกจากต้องนอนหลับพักผ่อนด้วย

เพียงแค่วันนี้อินทัชจะไม่กลับมา

เขาไม่ได้รู้สึกแย่ทุกวินาทีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยอมรับว่าความจริงที่คิมหันต์บอกทำให้เขาเหมือนคลานออกมาจากขุมนรก มันโล่งใจ เหมือนออกจากฝันร้าย มันหาที่เปรียบไม่ได้ แต่คิด เขาก็พลันนึกถึงความใจร้ายของอินทัช หลอกให้เขาหมกมุ่นกับความรู้สึกผิดบาปนั่นมาเกือบปี แต่...

เขาก็ใจร้ายเหมือนกัน

ที่ผ่านมา เขาทำร้ายอินทัชไปตั้งเท่าไรตัวเองรู้ดีที่สุด อศวมินทร์หลับตาลง นี่ไม่ใช่ความใจอ่อนอย่างแน่นอน เพราะจิตใต้สำนึกของเขามันเป็นพวกคนอ่อนแอต่างหาก เขาอยากฟังกับหูตัวเองอีกครั้ง สิ่งที่อินทัชตั้งใจจะบอกกับเขาในรถวันนั้น คำนั้นมันอาจหยุดความโมโหของเขาลงได้ หากอินทัชยอมคุกเข่าบอกกับเขาด้วยความรู้สึกผิด ขอร้องให้เขายกโทษให้!

วันใหม่เดินทางมาถึงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว อศวมินทร์แต่งตัวเตรียมไปสอบวันแรก พร้อมกับต้องรออินทัชที่จะเดินทางไปโรงเรียนพร้อมกัน เด็กหนุ่มสวมร้องเท้าแล้วเดินขึ้นไปนั่งบนรถ แม้ภายในนั้นจะเย็นสบายแต่เขากลับใจร้อน รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ต้องรอ กระทั่งรถยนต์คันคุ้นเคลื่อนเข้ามาจอดในโรงรถข้างๆ กัน อศวมินทร์มุ่นคิ้วรออยู่ก่อนแล้ว แสดงให้คนที่เดินมาเปิดประตูนั่งข้างกันได้เห็นความไม่พอใจ “มาช้า ผมต้องสอบนะ”

อินทัชหันมองคนนั่งข้าง “ฉันรู้สึกเพลียนิดหน่อยน่ะ” สีหน้าเด็กหนุ่มบอกบุญไม่รับ อินทัชลอบถอนใจ ชายหนุ่มดูพยายามปล่อยผ่านการหาเรื่องนี้ไป ซึ่งอศวมินทร์พอได้หันมาด้านนี้แล้ว ไม่รู้ทำไมอารมณ์ถึงได้เดือดขึ้นมากกว่าเดิม “ผมไม่ไปแล้ว คุณเองก็ไม่ต้องไป!”

อศวมินทร์กำหมัด มองท่าทีไม่รู้สึกรู้สาของคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นัยน์ตาคมเหลือบมองลำคอของคนข้างกายเขม็ง บนลำคอและรอยจูบนั่น...

“แม่งสกปรก!”

ที่หายไปทั้งคืนก็เพราะแบบนี้นี่เอง เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างอินทัชก็คงจะสกปรกเช่นเดิม น่ารังเกียจเช่นเดิม เจ้านายมีเซ็กส์กับลูกน้องที่ใช้เงินเดือนตัวเอง มันคงชวนท้าทายดีพิลึกสินะ อศวมินทร์กำหมัดไว้แน่นจนสั่นไหว แล้วเรื่องที่เขาคิดเมื่อคืนนี้เล่า มันเสียเวลาเปล่าสินะ เด็กหนุ่มกลั้นใจ พยายามผ่อนลมหายใจตัวเองไม่ให้โมโห “ผมอายที่ใครๆ เขาจะเข้าใจว่าคุณเป็นพ่อผม ออกไป!”

อินทัชเบิกตาไม่เข้าใจ “มิน เธอหมายถึงอะไร...”

“ออกไป!” เด็กหนุ่มตะเบ็งเต็มเสียง มองใบหน้าของชายตรงหน้าอย่างไม่ละ มือหนาเอื้อมไปผลักร่างของชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเลี้ยง “ออกไป ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ ขยะแขยง ออกไป!”

เด็กหนุ่มยกมือกุมหน้าผากเก็บกลั้นอารมณ์ หลังจากผลักตัวอินทัชออกไปจากรถได้แล้ว ไม่รู้ทำไม เพียงแค่เห็นรอยนั่นบนคอของอีกฝ่าย อารมณ์เขาก็ปะทุขึ้นมาเองอย่างอัตโนมัติ หนำซ้ำภาพตอนที่อินทัชถูกกอดก่าย ถูกผู้ชายคนอื่นประทับตรานั่นก็ผุดขึ้นมา อศวมินทร์เกลียดความรู้สึกตอนนี้เหลือเกิน

เขาไม่สามารถบังคับตัวเองได้เลย...

**********************************************

นางหึงแบบมโนได้ยอดเยี่ยมมาก 55555 หึงแบบตามนิสัยของนาง  หลังจากได้รู้ความจริง

ช่วงนี้เป็นช่วงที่น้องมินจะขึ้นๆ ลงๆ เพราะด้วยความสับสนที่ได้รู้ว่าลุงอ้ายบริสุทธิ์ใจ แต่ก็ยังโกรธแล้วก็ปากแข็ง อารมณ์ประกอบด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แต่จะร้ายเป็นพิเศษ เอะอะพาลใส่ไว้ก่อน

เพราะปกติเป็นคนอารมณ์ร้าย ผีเข้าผีออก ลุงอ้ายน่าสงสาร ไม่เคยตามความรู้สึกน้องทันซ้ากกกที

เอาล่ะ มาดูตอนหน้าว่าลุงอ้ายจะทำยังไง แล้วมินไปก่อเรื่องอะไรอีก ขอกำลังใจด้วยจ้า

เจอกันตอนหน้าน้า^^


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เดาถูกแหะว่าลุงอ้ายแต่งแค่ในนาม แต่เรื่องที่หลอกหนูมินเนี่ยมันเสียความรู้สึกจริงๆ นะเนี่ย ไม่รู้ว่าหนูมินถ้ารู้เรื่องนี้จะรู้สึกยังไงดีใจ หรือเสียใจที่ทำไม่ดีกับลุงอ้ายแต่ก็ว่าไม่ได้หรอกนะ เพราะลุงอ้ายไม่บอกเหตุผลไม่รู้ว่าเพราะสัญญาเอาไว้กับแม่มินหรือเปล่า แต่ยังไงลุงอ้ายก็ผิดอยู่ดีนั่นแหล่ะ

มินรู้เรื่องแล้วจ้า

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
ลุงอ้ายกับน้องมินคงจะไม่เข้าใจกันอีกนาน บางทีก็อยากจะวาปไปอ่านถึงตอนที่เค้าสองคนเข้าใจกันแล้ว คุยกันดีดีอะไรเงี้ย

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
ลุงอ้ายกับน้องมินคงจะไม่เข้าใจกันอีกนาน บางทีก็อยากจะวาปไปอ่านถึงตอนที่เค้าสองคนเข้าใจกันแล้ว คุยกันดีดีอะไรเงี้ย
สปอยว่าต่อๆไปจะเริ่มมีแล้วจ้า เพราะน้องรู้ความจริงแล้วว่าลุงอ้ายไม่ได้ทำผิด อยู่ในช่วงปากแข็งแต่ใจเริ่มอ่อนลงแล้ว เริ่มหึง เริ่มหวง เริ่มเรียกร้องความสนใจมากขึ้น ^^

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ในที่สุดมินก็รู้เรื่องแล้ว รอตอนต่อไปว่าลุงอ้ายจะรับมือกับอารมณ์ของมินยังไง

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๒๐

อศวมินทร์ให้คนขับรถจอดระหว่างทาง แม้จะถูกเตือนว่าจะต้องไปโรงเรียนด้วยความห่วงใยของคุณลุงคนขับก็ตาม เด็กหนุ่มไม่ยอมฟัง เชื่อว่าแกไม่มีทางเตือนเพราะห่วงใยโดยแท้จริง เพราะห่วงว่าตัวเองจะถูกตำหนิจากเจ้านายและมีผลกระทบกับเงินเดือนต่างหาก เขาเดินลงมาโดยที่ไม่เชื่อคำทัดทานของใคร ไม่เกรงว่าผลจะตามมาอย่างไรหากไม่ไปสอบวันนี้ อศวมินทร์คิดว่าหากไปก็คงเหมือนเดิม เขาคิดอะไรไม่ออก เขาอารมณ์เสียเกินกว่าจะนั่งอยู่เงียบๆ รวบรวมสมาธิได้

เด็กหนุ่มเตร็ดเตร่เดินแล่นในถนนที่มีชื่อเสียง แหล่งรวมแฟชั่นและเด็กวัยรุ่นเดียวกัน ตรอกมากผู้คนท่ามกลางชุดนักเรียนนั้น ในระหว่างกำลังก้มลงมองโทรศัพท์เห็นเบอร์ของอินทัชโชว์หรา เด็กหนุ่มส่ายหน้า ได้ยินเสียงผู้หญิงหวีดร้องจากมุมใดมุมหนึ่งขอความช่วยเหลือ อศวมินทร์มุ่นคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากไปยุ่งวุ่นวายอะไรนัก ลำพังเรื่องของตัวเองก็ยังเอาไม่รอด จะมีหน้าไปช่วยใครได้กัน แต่เสียงร้องไห้ของเธอและคำขอร้องนั้นก็ยังไม่เงียบลง ไม่มีใครคิดช่วยเธอเลยสักคนงั้นหรือ

เด็กหนุ่มถอนใจ ย่างสามขุมไปตามเสียง ลำขายาวหยุดยืนดูสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่ง ซอยนี้คนเดินสวนเสไปมาไม่มากนัก ที่หน้าร้านไอศกรีมเจ้าเก่าที่เขากับเพื่อนมักมานั่งเหล่สาวๆ เห็นเด็กผู้ชายสวมเครื่องแบบโรงเรียนเดียวกันกับเขากำลังรุมกระทืบเด็กต่างโรงเรียนสักคน พร้อมเด็กผู้หญิงวัยรุ่นกำลังร้องตะโกนเรียกคนช่วย

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยพี่ฉันด้วย!”

“มึงเงียบไปเลย พี่มึงเสือกเปรี้ยวเอง คราวที่แล้วไปกระทืบน้องกูถึงหน้าโรงเรียน!” อศวมินทร์ถอนใจ วางกระเป๋านักเรียน มือหนากำหมัดแน่นเมื่อเห็นหนึ่งในนั้นเดินไปผลักเด็กสาวคนนั้นล้มลงกระแทกพื้น ชี้หน้าบอกให้เงียบ มันดูไม่เข้าตาสักเท่าไร เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่เขาก็พูดได้เต็มปากว่าจะไม่ทำแบบนั้น ยกเว้นอดทนแล้วจริงๆ

“เฮ่ย! พวกมึงทำอะไร” อศวมินทร์เดินไปหยุด มองเด็กชายกลุ่มนั้น น่าจะเป็นรุ่นน้องเขาสักหนึ่งปีเห็นจะได้ กำลังยืนมองมาด้านนี้ สายตาที่ส่งมากวาดลงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขาเกลียดสายตาแบบนี้ที่สุด

“มึงเสือกอะไร หล่อเหรอ หา!”

“อีนี่เมียมึงเหรอ หรือว่าน้องคนละพ่อ หรืออีตัวที่มึงเอาคืนที่แล้ว” อีกคนโพล่งถาม ชี้นิ้วไปยังผู้หญิงคนที่นั่งกับพื้นหน้าซีด อศวมินทร์นิ่ง ยอมรับว่าตัวเองแส่หาเรื่องชัดๆ ที่เดินเข้ามา ทั้งที่ตัวคนเดียว ฝ่ายตรงข้ามมีถึงสามคน นัยน์ตาคมหลุบไปมองเด็กหนุ่มที่ถูกรุมซ้อม น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับตน แต่มันมีแรงพอจะลุกขึ้นมาซัดพวกนี้ช่วยเขาหรือเปล่า

ช่างมันสิ เขาอยากโดนใครก็ได้กระทืบแรงๆ ให้จมธรณี อยากมีเรื่อง อยากซัดคนให้ฟันร่วงสมกับที่อัดอั้นมานานเหมือนกัน จะกี่คนก็ช่าง ขอแค่ได้ระบายสักหน่อยก็พอ อศวมินทร์กัดฟัน จ้องคนที่ยืนค้ำเอวส่งสายตายียวนประประสาทมาให้ ขบกรามข่มลมหายใจเอ่ยไปว่า“ต่อยกับกูไหม...”

เด็กหนุ่มตรงหน้าชะงัก ก้มลงมองหมัดที่ถูกกำจนสั่นของอศวมินทร์ด้วยความแปลกใจ จำได้ว่าชื่อบนเสื้อนักเรียนนี้ตนได้ยินฝ่ายปกครองประกาศเรียกอย่างเอิกเกริกอยู่บ่อยครั้ง ก็แค่พวกชอบสร้างปัญหาคนหนึ่ง “มึงดังนี่ แต่ไม่เท่ว่ะ พ่อพระเหรอ วันนั้นยังเห็นกัดกับพ่อเลี้ยงเหมือนหมาอยู่เลย”

“เขาไม่เกี่ยว”

“ทำไม! เก่งเหรอหา ไปแดกขี้กับพ่อหมาๆ มึงโน่น!”

อศวมินทร์สูดลมหายใจ ดวงตาเหลือบไปเห็นอิฐอยู่ก้อนหนึ่ง พยายามระงับอารมณ์ตัวเองให้ถึงที่สุดท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนที่เหลือ แบบนั้นมันรุนแรงเกินไป เขาจะไม่ฆ่ามัน ถึงแม้ว่ามันจะสมควรตายขนาดไหนก็ตาม เด็กหนุ่มจ้องตาคนตรงหน้าเขม็ง เมื่อมือหยาบกร้านเอื้อมมากำคอเสื้อเขาแน่นด้วยสีหน้าราวกับเหนือกว่า “นี่...ถ้าจะมาช่วยคนอื่น มึงดูสภาพตัวเองก่อน กลับไปเคลียร์ปัญหาทางบ้านมึงให้เสร็จก่อนไหม ถุย...!”

“ไอ้สัตว์ มีสามคนแล้วกูจะกลัวเหรอ!”

เด็กสาวที่นั่งกับพื้นหวีดร้องด้วยความตกใจ ภาพเบื้องหน้าที่เธอเห็นนั้นไม่สามารถมองดูได้อีกต่อไป เด็กสาวผวา มือหนาของพี่ชายกุมข้อมือเธอแน่น กระซิบให้วิ่งหนีไปจากที่นี่อย่างเร็วที่สุด เธอตัวสั่น มองเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้มาช่วยกำลังบันดาลโทสะกับคู่กรณีอย่างบ้าคลั่ง แม้ตัวเองจะถูกสวนกลับด้วยก็ตาม เธอขยับขาไม่ออก ได้ยินเสียงพี่ชายบอกว่ามีคนกำลังแจ้งตำรวจ ทั้งสองควรหนีไปจากที่นี่

“ไปสินัท เราต้องหนีแล้ว!”

“พี่นิค พี่จะทิ้งเขาเหรอ...”

“ไปเถอะน่า ไม่มีเวลาแล้ว อยากให้แม่รู้เรื่องที่เราโดดเรียนวันนี้รึไง!” พี่ชายดึงแขนและกุมมือเธอแน่น ในขณะที่วิ่งหนี เธอมองเขาคนนั้นอย่างเต็มตาด้วยความเข้าใจ สีหน้า แววตานั้นเหมือนว่ากำลังแบกรับอะไรไว้ภายในมากมาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งนอกจากโครงหน้าที่มีเสน่ห์นั้น ทำให้เธอไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย

เขาเป็นใครกัน
 

อินทัชเดินวนไปมาด้วยความกลัดกลุ้มใจ เขาเดินทางมาโรงเรียนเองโดยแท็กซี่ แต่มาถึงแล้วอาจารย์ที่ปรึกษากลับบอกว่าลูกเลี้ยงของเขาไม่ได้มาที่โรงเรียนเสียนี่ ชายหนุ่มยกมือกุมศีรษะ ครุ่นคิดว่าตัวเองทำอะไรให้เด็กคนนั้นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น มือหนึ่งกุมหัว อีกมือก็พยายามโทรหาอศวมินทร์ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะรับสายสักนิด ชายหนุ่มทุบผนังตรงหน้าระบาย เขาอยากจะบ้า วันๆ ไม่มีเรื่องให้สบายใจเลยสิพับผ่า

อินทัชโทรหาคนขับรถ สอบถามและตักเตือนไปว่าเหตุใดจึงยอมปล่อยอศวมินทร์ลงข้างทางด้วย ถึงจะเข้าใจชะตากรรมของลูกจ้างอยู่สักเล็กน้อย เพราะทราบดีว่านิสัยของลูกเลี้ยงตัวเองเป็นอย่างไร จะโทษคนขับรถไปทีเดียวก็คงไม่ถูกนัก ชายหนุ่มทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนใต้อาคารเรียน เบื้องหน้าเป็นห้องประชุมที่ผู้ปกครองคนอื่นเข้าไปนั่งฟังกับได้สักพักใหญ่ ไม่สิ...ที่จริงสองชั่วโมงแล้วต่างหาก ชายหนุ่มทอดถอนใจ ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมยังนั่งเอ้อระเหยอยู่ตรงนี้ คงเพราะคิดว่าบางทีเด็กจอมแสบนั่นอาจจะเปลี่ยนใจกลับเข้ามาสอบก็ได้ อินทัชนิ่ง ก้มลงมองโทรศัพท์ในมือหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมัน

“คุณอ้ายคะ!” อินทัชสะดุ้ง ยกมือกุมอกด้วยความตกใจหันไปมองคนเรียก เป็นประภัสสร อาจารย์ประจำชั้นของอศวมินทร์หยุดยืนหอบอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจกับท่าทีนี้ “มีอะไรหรือเปล่าครับ ดูเหมือนจะเร่งด่วนด้วย...”

“ค่ะ เร่งด่วนมาก” เธอกลั้นใจตอบ ยกมือกุมอกตัวเองให้ใจเย็นลงบ้าง “คือ...มีตำรวจโทร.หาฉันค่ะ บอกว่านักเรียนโรงเรียนนี้ทำร้ายร่างกายกันจนสาหัส แล้วหนึ่งในนั้นก็คืออศวมินทร์ เขาไม่ยอมให้คุณตำรวจโทร.หาคุณที่เป็นผู้ปกครอง คุณตำรวจเลยโทรมาเบอร์โรงเรียนแทนค่ะ!” ประภัสสรพูดผ่านแรงหอบเหนื่อย มองสีหน้าของชายตรงหน้าอย่างรู้ดีว่ารู้สึกอย่างไร

อินทัชรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเฉียบพลันหลังได้ยิน ชายหนุ่มยกมือเกาะพนักพิงของโต๊ะขอเรี่ยวแรง นัยน์ตาคมหลุบมองไปที่ไหนสักที่ครุ่นคิด คิดว่าเมื่อไรทุกอย่างจะจบสักที เขารับปากปรางคณางว่าจะส่งอศวมินทร์ให้ถึงฝั่งอย่างดีที่สุด แล้วดูสิ่งที่มันเกิดขึ้นซี มันกำลังจะพังทลาย พังแบบที่เขาไม่เข้าใจสักนิดเลยด้วยซ้ำ ในตอนนี้เขาเหนื่อยที่จะต้องเผชิญปัญหาเหลือเกิน

หลังจากได้รับข่าวจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว อินทัชก็เดินทางไปโรงพักพร้อมกับประภัสสรในตอนนั้น ทันทีที่เดินทางไปถึง ได้พบเห็นอศวมินทร์กำลังนั่งหมดอาลัยตายอยาก รวมกับพวกนักเลงหรืออาชญากรคนอื่นในตาราง ชายหนุ่มใจหาย เป็นภาพที่ไม่สมควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ เขาไม่กล้าสู้หน้าปรางคณางบนสวรรค์ถึงการเอาใจใส่เด็กคนนี้ ยังดูแลได้ไม่ดีพอสมกับที่รับปากไว้

หากจินตนาการถึงมาวินอยู่ในสภาพเช่นนี้บ้าง เขาคงคลั่งตาย

อินทัชหยุดยืนมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ภายในนั้น สภาพเนื้อตัวเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและดิน ใบหน้าบวมช้ำจากการถูกทำร้าย เหมือนครั้งแรกที่ได้พบกัน ดวงตาเขามองอศวมินทร์นิ่ง ตอนนี้ยิ่งกว่ารู้สึกผิด ยิ่งเห็นแววตาของเด็กตรงหน้าชำเลืองมามองก่อนจะเบือนหนีไป ใจเขาราวถูกเพื่อนรักและปรางคณางบีบไว้ให้แหลกละเอียด

เลวร้าย ไม่ว่ายิ่งทำอย่างไรทุกอย่างก็เลวร้ายลงไป...

ชายหนุ่มพยายามใจเย็น มองเด็กน้อยคนเดิมกำลังนั่งนิ่งบนรถไม่เอ่ยอะไรกับเขาสักคำขณะเดินทางกลับบ้าน อินทัชทราบดีว่าเจ้าตัวคิดอยู่ในใจเสมอ หากทว่าไม่พูดออกมาตรงๆ เท่านั้นเอง บรรยากาศภายในรถทำให้เขากระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ใจจริงอยากถามว่าทำไมอศวมินทร์จึงทำเช่นนั้น แต่เกรงว่าหากถามไปแล้วเจ้าตัวจะรู้สึกว่าเขาตอกย้ำความผิด ทางตำรวจบอกว่าเป็นแค่การทะเลาะวิวาท แต่เด็กหนุ่มคู่อริคนหนึ่งถูกอศวมินทร์กระหน่ำต่อยซ้ำๆ บาดเจ็บสาหัสจนแน่นิ่งไป อะไรทำให้โกรธถึงขนาดจะฆ่าจะแกงขนาดนั้น เด็กคนนี้คิดอะไรอยู่กัน

“มิน...”

อินทัชมองคนที่นั่งนิ่งข้างกาย มองสีหน้าเรียบเฉยที่หันมาสบตาหลังจากได้ยินเรียกชื่อ ชายหนุ่มถอนใจเล็กน้อยกล่าว “ฉันขอโทษถ้าทำอะไรให้เธอโกรธ ฉันรู้ว่าบางทีอาจจะทำหรือพูดอะไรให้เธอไม่พอใจโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ฉันไม่อยากรู้สึกแบบนี้ คราวหน้าถ้าฉันทำผิดอะไรก็บอกฉันมาตรงๆ ได้ไหม”

คนฟังนิ่งหลังจากละสายตาออกไป ส่ายหน้าเล็กน้อย “เรื่องของผม”

“จะเรื่องของเธอได้ยังไงกันล่ะมิน ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเธอแล้วนะ เธอทำร้ายลูกเขา ถ้าเขาเอาเรื่องเธอขึ้นมาจะว่ายังไง แถมวันนี้ก็ไม่ไปสอบอีกต่างหาก มันแย่มากนะรู้ไหม ทางโรงเรียนไม่รู้จะเล่นงานเธอกี่กระทง จะถูกไล่ออกหรือเปล่าก็ไม่รู้...”

“ไล่ก็ไล่สิ! ไม่ไปเรียนก็มีตังค์ใช้ บ้านผมรวย พอใจรึยัง!”

อินทัชชะงัก เมื่อคนข้างกายหันมาตัดรำคาญด้วยประโยคนี้ หลังจากรถหยุดในบ้านแล้วนั้น อีกฝ่ายก็หุนหันเปิดประตูออกไปด้วยอารมณ์ ชายหนุ่มทอดถอนใจ เดินตามลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับแต่ละปัญหา แต่ตอนนี้ต่างคนต่างกำลังใจร้อน เขาว่าควรแยกกันไปก่อนจะดีกว่า อีกอย่าง...ตอนนี้ตามเนื้อตัวของเขาเริ่มคันคะเยอขึ้นมาอีกแล้ว คงต้องไปอาบน้ำและทายาเพิ่มอีกสักหน่อย แถมลุกลามมาที่แขนด้วยอีกต่างหาก

อินทัชวางสัมภาระลงบนเตียง ปลดเสื้อผ้าอาภรณ์ออกจากร่างด้วยความรีบร้อน แต่ในขณะนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มชะงักลำขาที่จะก้าวไปยังห้องน้ำเมื่อเห็นว่าเป็นเลขหมายของประภัสสร ทางนั้นคงมีความคืบหน้าจากทางโรงเรียนมาบอกเขาแน่ อินทัชหยิบผ้าขนหนูพันเอว กดรับสายแล้วทิ้งก้นนั่งลงปลายเตียงเพื่อรอรับฟัง

“สวัสดีครับ อาจารย์ประภัสสร ได้เรื่องว่ายังไงบ้างครับ”

“ค่ะ ดูเหมือนจะลำบากทีเดียว...” เสียงในสายเปรยประสมการถอนหายใจ อินทัชทำได้เพียงยกมือนวดคลึงขมับตนเอง จำต้องระบายด้วยการทอดถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มเงียบฟังปลายสายกล่าวต่ออีกว่า “เพราะว่าเด็กคนนั้นขยันสร้างเรื่องจริงๆ แต่ละเรื่องก็หนักเสียด้วย คุณก็รู้ว่ามันรุนแรง ข้อหาพยายามฆ่านะคะ ล่าสุดผู้ปกครองฝ่ายนั้นก็จะเอาเรื่องอีกต่างหาก ทางโรงเรียนคงต้องรับผิดชอบ...”

“ด้วยการไล่ออกเหรอครับ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า เขาทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะผิดที่อศวมินทร์ก่อไว้มันร้ายแรงเกินกว่าทางโรงเรียนจะให้อยู่ต่อ “ฉันพยายามช่วยที่สุดแล้วนะคะ คือ...เอาอย่างนี้จะดีกว่า เป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้เขาไม่หมดอนาคต...”

“ยังไงครับ”

อินทัชเงี่ยหูฟังในสิ่งที่ประภัสสรเสนอแนะอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้จะผิดพลาดจากที่หวังไว้ แต่เป็นหนทางใหม่ที่จะเลือกให้เด็กคนนั้นเดินไปก่อน มันก็คงไม่เสียหลาย แต่...เขาจะต้องใจเย็นและเข้าใจอศวมินทร์ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ เหมือนเขาและเด็กคนนั้นอยู่คนละขั้ว คุยกันคนละภาษา สื่อสารอะไรไปไม่เคยเข้าใจกันเลย เมื่อคิดได้แล้วนั้น อินทัชก็ผละไปชำระร่างกาย เพราะหลังจากนั้นเขาจะไปหาอศวมินทร์เพื่อคุยอะไรบางอย่าง

แต่จนแล้วจนรอด อินทัชได้แต่นั่งจับเจ่ามองกล่องปฐมพยาบาลบนโต๊ะตรงหน้านิ่ง ระเบียงชั้นสองในช่วงบ่ายของวันมีลมพัดโกรกเข้ามาชวนให้ผ่อนคลาย แต่ชายหนุ่มไม่รู้อย่างนั้นเลย เขาได้แค่ครุ่นคิดว่าจะพูดอย่างไรให้อศวมินทร์เข้าใจในสิ่งที่ต้องการจะสื่อดี

เขาคงแก่มากไป ไม่เข้าใจเด็กวัยนั้นมากพอ

อินทัชส่ายหัว ลุกขึ้นเดินไปยังห้องพักของคนซึ่งเป็นหัวข้อในความคิดยามนี้ มือหนากำไว้แน่น ก่อนจะกลั้นใจยอมขยับขึ้นไปเคาะในที่สุด ชายหนุ่มยืนรออยู่ครู่กับความเงียบที่ตอบกลับมา ลำขายาวก็ย่างเดินวนไปสักพักก็เดินวนกลับมา ทำไมถึงไม่ตอบรับอะไรสักนิด หรือจะหนีออกจากบ้านไปแล้ว อินทัชเบิกตา ยกมือเคาะประตูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจในสิ่งที่ตนคิด “มิน เปิดประตู มิน!”

อินทัชระรัวเคาะ หากเด็กคนนั้นหนีไปอีกมีหวังเส้นเลือดในสมองของเขาแตกเพราะคิดมากแน่ เขาภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าอย่าให้เป็นอย่างที่คิด “มิน อยู่ในห้องไหม เปิดประตู มิน!”

“เรียกทำไมนักหนา!”

ประตูถูกเปิดออกพร้อมเจ้าของโผล่หน้ามาตะเบ็งเสียงใส่ อินทัชชะงัก มองสีหน้าของอศวมินทร์ก็รู้ว่ากำลังรำคาญ เขาคงคิดมากไป แต่ถ้าหากคิดน้อยไปก็คงไม่ดีต่อเด็กคนนี้เช่นกัน กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งจะเป็นโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำ คุณลุงยังหนุ่มส่ายหน้าแม้จะรู้สึกโล่งอกลึกๆ “ทีหลังฉันเรียกเธอก็ควรขานสิ รู้ไหมการที่เธอเงียบทำให้ใครเขาคิดมากกันไปหมด ใครจะไปเดาใจเธอออกกันว่ากำลังคิดทำอะไร”

“จะเลิกบ่นได้รึยัง ผมจะนอน” เด็กหนุ่มตรงหน้าเกาศีรษะ

“นอนด้วยสภาพแบบนี้เหรอ” อินทัชกล่าวทั้งกวาดสายตามองร่างกายตรงหน้า เขาเตรียมผ้าเย็นไว้ประคบแผลด้วย “มานี่สิ มาทำแผลก่อน อีกอย่างฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

อศวิมนทร์มุ่นคิ้ว มองลำคอของคนพูดตรงหน้าอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ยิ่งสวมชุดลำลองยิ่งเห็นชัดขึ้น หากจะให้เขานั่งคุยแล้วมองเจ้านี่ตลอดก็คงเป็นไปได้ยาก อีกอย่าง เขาไม่มีทางยอมรับได้แน่ว่าสิ่งที่อินทัชทำกับเอกนั้นเป็นเรื่องที่รับได้ รวมถึงเรื่องที่ทำกับเขาด้วย เพราะอินทัชเป็นพวกสกปรกยังไงเล่า “ไม่ เราไม่มีอะไรจะคุย”

“มีสิ เรื่องปัญหาโรงเรียนของเธอ ฉันอยากคุย” มือหนาของคนตรงข้ามคว้าหมับที่ข้อมือเขา ดึงให้เดินออกจากห้องพัก อศวมินทร์มุ่นคิ้วก้มลงมองอย่างมิชอบใจ ในคราแรกอยากจะปฏิเสธ หากไม่เหลือบไปเห็นปื้นแดงบนลำแขนส่วนที่โผล่จากเนื้อผ้าอีกฝ่ายเสียก่อน เด็กหนุ่มกลืนถ้อยคำต่างๆ นานาที่คิดจะกล่าวลงคอ ตรองอยู่ในใจว่าสิ่งที่เห็นหมายความว่าอย่างไรแน่ มิใช่รอยจูบหรอกหรือ

ไม่ได้ไปนอนกับลูกน้องคนนั้นหรอกหรือ

อศวมินทร์ทำได้เพียงงุดลงพินิจรอยปื้นแดงบนลำแขนของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ ขณะก้าวเดินไปยังระเบียงที่เคยมาก่อนหน้า ความรู้สึกทั้งผ่อนปรนและยุ่งเหยิงประทุขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้เงยขึ้นไปมองลำคอที่โผล่พ้นผ้าของคุณลุง หมายความว่าเขาคิดไปเองน่ะหรือ ร่องรอยคล้ายตราประทับนั้นเป็นเพียงความคิดของเขาเท่านั้น แต่...ถึงไม่ใช่รอยจูบ ยังไม่มีอะไรยืนยันว่าสองคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรกัน เด็กหนุ่มครุ่นคิด มองคนตรงหน้ากำลังแกะผ้าเย็นขยับมาซับบนใบหน้าให้

คนเจ็บนิ่ง นานแค่ไหนที่ไม่เห็นลุงอ้ายในระยะใกล้แบบนี้ นัยน์ตาคม ใบหน้าใสสะอาด คิ้วดกดำ ขนตายาวมักทิ่มแก้มเขายามแนบจูบ มันจักจี้และรู้สึกดีในเวลาเดียวกัน และโครงหน้าแบบชายไทยแสนมีเสน่ห์ที่เขาเคยชอบ บนเปลือกตาอีกฝ่ายมีไฝเม็ดเล็กๆ เขาเห็นมันในคืนหนึ่งหลังจากนอนด้วยกัน ระหว่างอินทัชหลับ เขากลับทำได้เพียงนอนพิศใบหน้าแสนเพอร์เฟคนั้นอย่างทำอะไรมิได้

ทุกอย่างที่กล่าวมานี้คืออินทัช

นัยน์ตาคมกะพริบปริบจับจ้องคนข้างกายซึ่งหันมาทำความสะอาดใบหน้าให้ ก่อนจะประคบแผลด้วยความเย็นของผ้า วินาทีนั้นความเจ็บแล่นปราดมาได้ยังไงไม่ทราบ ก่อนหน้านี้อศวมินทร์รู้สึกเพียงสะใจเท่านั้นในขณะที่กระทำ “เบาๆ สิ ผมเจ็บ”

“เจ็บมากๆ น่ะดี จะได้ไม่ไปทำอีก” คนตรงหน้าตอบ

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคุณจะโอ๋ผมใช่ไหม คุณจะจูบตรงที่ผมเจ็บ แล้วภาวนาให้มันหายไวๆ” เด็กหนุ่มมองใบหน้าของอินทัชนิ่งเมื่อนึกถึงภาพยามเก่าก่อน แต่เพราะอินทัชมีคนอื่น จึงลืมความทรงจำนี่ไปแล้ว “คุณเสียใจที่ผมปฏิเสธคุณก็เลยมีคนอื่นใช่ไหม เพราะคุณมีคนอื่น คุณเลยเมินผมได้ใช่ไหม”

“พูดเรื่องอะไร” อินทัชเลิกคิ้ว มองเด็กหนุ่มที่จ้องเขาเขม็งอย่างไม่วางตา ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ ใจเย็นเพื่อที่จะรับฟังความเห็นของเด็กตรงหน้า ในขณะที่หยิบผ้าชุบน้ำเช็ดลำแขนให้ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะดื้อดึงผละออกไป เหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่มีความหมาย

แต่ในขณะที่สิ้นหวัง ความอุ่นร้อนก็แผ่ซ่านบนฝ่ามือของชายหนุ่มอีกครั้ง เป็นนิ้วมือเรียวยาวของเด็กตรงหน้าเคลื่อนขยับเข้ามาสอดประสาน อินทัชงุดลงมองหลังมือที่มีรอยแตกและถลอกนี้แล้วใจหาย แม้ไม่อยากจะเงยขึ้นไปสบสายตาของผู้กระทำ แต่หากไม่เงยขึ้นไปคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ อินทัชคิดว่าเด็กคนนี้คงกำลังอยากบอกอะไรบางอย่าง เขาไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไร ควรมีระยะห่างไหม

ไม่สำคัญ ความรู้สึกของเขาไม่สำคัญกับอศวมินทร์ ความรักที่มีให้ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน

ลมหายใจอุ่นร้อนสัมผัสใบหน้าเขา โครงหน้ารูปหล่อเขยื้อนเข้ามาในระยะกระชั้นจนเห็นถึงรู้ขุมขน ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาสะกดให้อินทัชเผลอไผลไปชั่วครู่ แต่แล้วก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ชายหนุ่มคิดว่าไม่ควร ไม่ควรทำลายระยะห่างของทั้งสองฝ่ายเช่นนี้

คุณลุงยังหนุ่มผละมือออกจากอีกฝ่ายรวดเร็ว ในขณะที่ปลายจมูกสัมผัสกัน ความร้อนนั้นดึงรั้งให้อินทัชคิดได้ว่าไม่ควรตอบรับการกระทำนี้ อศวมินทร์คงไม่คิดจะจูบเขาเพราะนึกพิศวาส เพียงแค่อยากจะยั่วโทสะเหมือนเคย อินทัชปรับสีหน้า ใช้มือที่เพิ่งถูกกุมประสานนั้นผลักอีกฝ่ายออกห่างจากตัว สมองก็พลันนึกประเด็นที่อยากจะพูดได้ราวต้องการเปลี่ยนเรื่อง “ฉันอยากจะคุยกับเธอเรื่องทางโรงเรียนสักหน่อย”

คนกล่าวขยับไปนั่งอีกฝั่ง ลอบกลืนน้ำลายหายใจหายคอติดขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้น “เธอจะไม่ถูกไล่ออก ฉันขอร้องว่าให้ทำเรื่องย้ายแทน แต่เธอต้องหยุดเรียนเทอมนี้ ไปเริ่มเรียนใหม่ปีหน้า” อินทัชบอก เขาหวังว่าอศวมินทร์จะไม่รั้น ชายหนุ่มเงยขึ้นสบมองร่างตรงหน้าหลังจากกล่าวจบ เห็นสีหน้าของคนฟังเรียบนิ่ง แต่จับจ้องเขาอยู่

“อืม...”

ยอมรับงั้นหรือ อินทัชมองคนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองเท่าใดนัก ชายหนุ่มแปลกใจและรู้สึกฉงนน้อยๆ ที่อศวมินทร์เลือกจะไม่แสดงอารมณ์ กลับเอาแต่มองเขา แต่ในแววตาไม่ปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาสักเล็กน้อย ชายหนุ่มรู้สึกควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ดีเท่าไรนัก จึงทำเป็นเมินท่าทีนี้ไป “งั้นก็ดีแล้ว ฉันจะหาโรงเรียนที่รับเธอเอง ไม่ต้องห่วงนะ”

“แค่จูบก็ไม่ได้เหรอ” เด็กตรงหน้าโพล่งขึ้น ทำเอาอินทัชถึงกับตัวชา ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าที่ถามขึ้นมาด้วยหน้าตาเฉยอย่างนั้น เขาไม่อาจทราบจุดมุ่งหมายของคำตอบที่อศวมินทร์อยากได้เสียเท่าไร ชายหนุ่มจึงเลือกส่ายหน้า “มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ฉันจะคุยกับเธอตรงไหนเลย”

“เพราะคุณอิ่มหนำสำราญกับคนอื่นมาแล้ว”

“พูดเรื่องอะไร ฉันขอย้ำกับเธอนะว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก” อินทัชมุ่นคิ้ว คิดว่าเพราะอศวมินทร์อยากจะยั่วโมโหและชวนทะเลาะอย่างเคย ชายหนุ่มเปิดกล่องปฐมพยาบาลหยิบสำลีชุบแอลกอฮอล์เอื้อมไปทำความสะอาดแผลบนคิ้ว ไม่อยากคุยหรือโต้เถียงอะไรให้ปวดหัว เห็นว่าสีหน้าของเจ้าตัวไม่ค่อยชอบใจนักยามมองใบหน้าเขา มันค่อนข้างเก้ๆ กังๆ เมื่อขยับมานั่งตรงกันข้ามแล้วต้องเอื้อมแขนไป อินทัชลอบถอนใจขยับมือ “คุณจะฆ่าผมเหรอ มันเจ็บนะ”

มือถลอกๆ ยกขึ้นมากุมมืออินทัชอีกครั้ง ชายหนุ่มชะงัก จะดึงมือกลับมาตั้งหลัก แต่สายตาคมของเด็กตรงหน้านี่ซี “คุณเริ่มจะทำให้ผมโมโหแล้วนะลุงอ้าย ทำไมต้องไปนั่งไกลขนาดนั้น ตกลงจะทำแผลไหม”

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรนั่งนิ่งๆ สิ” อินทัชตอบ ชายหนุ่มลอบพ่นลมหายใจ ส่ายหน้ากับท่าทีของอศวมินทร์ก่อนจะยอมลุกขึ้นกลับมานั่งที่เดิม “อยู่เฉยๆ ห้ามขยุกขยิก เธอก็รู้ว่าฉันเป็นผู้ชาย มือต้องหนักอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มมองแผลของเด็กหนุ่มตรงหน้าพร้อมทำความสะอาดด้วยการเช็ดแผล อศวมินทร์ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ที่จริงมิใช่เพราะคำสั่งนั่น หรือเพราะกลัวเจ็บอะไรทั้งนั้น นัยน์ตาของเขาสะท้อนภาพเบื้องหน้าที่กำลังจับจ้อง เป็นโครงหน้ารูปงามของคนทำแผลซึ่งกำลังตั้งใจบรรจงด้วยความเบามือ เขาไม่รู้สึกเจ็บสักนิด รู้สึกเพียงว่าอินทัชเปลี่ยนไปมากกว่าที่คิด ตาดูลึกลง และซูบไปเยอะที่เดียว

หลายเดือนที่ผ่านมา อินทัชคงมีเรื่องให้คิดมากมาย

แต่ยังดูหล่อเหลาจนใครแทบมองไม่เห็นที่ติเหมือนเคย หากทว่าอศวมินทร์รู้สึกชอบอินทัชแบบเดิมมากกว่า อินทัชตรงหน้าคือหุ่นยนต์ไม่มีความรู้สึก เขาอยากทำลายหุ่นยนต์ตัวนี้

“ลุงอ้าย...”

“หืม” คนตรงหน้าขานรับ แม้ดวงตากำลังจับจ้องเพียงแผลบนใบหน้า อศวมินทร์มองแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจนั้น เคลื่อนมือไปกอดเอวคนข้างกายไว้แนบแน่น ซุกใบหน้าลงบนบ่ากว้างคล้ายอ่อนแรง กระซาบเสียงพร่าด้วยความเหน็ดเหนื่อยและโหยหา “ไปห้องผมไหม...”

อินทัชนิ่ง ฟังเสียงของอศวมินทร์ยามเชิญชวนแล้วภาพวันนั้นในโรงแรมที่พัทยาก็ผุดขึ้นมาบนหัว เด็กคนนี้ใช้น้ำเสียง ท่าทางแตกต่างกับตอนนั้นทีเดียว ในตอนนั้นอศวมินทร์หยาบโลน กระด้าง และใช้วาจาเหยียบย่ำเขาอยู่หลายประโยค ซึ่งรวมถึงประโยคที่เตือนสติเขาอยู่เสมอว่า ไม่ว่าเขาจะมีเซ็กส์กับเด็กคนนี้กี่ครั้ง เขาก็ไม่มีทางสำคัญไปกว่าคู่นอน หรือเบี้ยล่างที่เป็นได้เพียงสิ่งระบายอารมณ์ดิบเถื่อนนั่น

อศวมินทร์พรมจูบลงบนแก้มเขา เคลื่อนไปยังหลังหูกระซาบกระซิบผ่านลมอุ่นร้อนนั้น “ผมอยากกอดคุณ ผมอยากจูบคุณ ผมอยาก...อยากจูบทุกที่บนตัวคุณ ผมอยากทำให้คุณสะอาดหมดจด”

นิ้วมือเรียวขยับเข้ามาประสานทั้งสองมือ ราวกับเด็กหนุ่มรู้ว่าอินทัชจะปฏิเสธ พร้อมริมฝีปากอุ่นแนบจูบอย่างไม่ยอมให้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น อินทัชมึนงงกับการกระทำนี้อยู่ครู่หนึ่ง แน่นอนว่าเขาผละปากออกไม่ยอมตอบรับ ด้วยรู้ดีว่าตอนนี้ทั้งคู่ไม่ควรทำอะไรทั้งสิ้น หากใครมาเห็นเข้ามันคงไม่ดีแน่ “เธอคงเข้าใจอะไรผิดไป ที่ฉันทำดีกับเธอวันนี้เพราะรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ที่ทำให้เธอเจ็บตัว ไม่ได้หมายความว่าที่ทำไปเพราะฉันยังรักเธออยู่ และไม่ได้หมายความว่านี่จะเป็นการเบิกทางให้เธอสามารถนอนกับฉันได้ อย่าดูถูกฉัน อย่าทำแบบนี้กับฉันอีก!”

“ลุงอ้าย”

อินทัชส่ายหน้า ลุกขึ้นยื้อแขนที่ถูกดึงรั้งไว้ออก แม้จะเห็นสีหน้าของอศวมินทร์ว่าประหลาดใจ ชายหนุ่มไม่อาจทนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ต่อไปได้อีก ร่างสูงกัดฟัน หมุนกายเดินออกมาตั้งหลัก หากทว่าสายตาของเขาเหลือบไปด้านหน้าแล้วนั้น ลำขาชาวาบไปจนถึงหลายเท้าจนแทบจะเสียหลักแทน เมื่อเห็นว่าคิมหันต์ยืนสงบนิ่งจ้องระหว่างเขาทั้งคู่ไม่วางตา สีหน้าบ่งว่าบอกตกใจเมื่อเห็นมัน

อินทัชนิ่งอยู่อย่างนั้นราวถูกสาป ชีวิตของเขาคงจบแล้ว หมดแล้วทั้งหมดนี้...

ในที่สุด ความลับก็ไม่มีในโลกจริงๆ !!

****************************************

เอาล่ะซี เอาล่ะซี คิมเห็นแล้วว่าลุงอ้ายกับมินทำอะไร และเป็นอะไรกันมาก่อน

น้องมินก็เริ่มอยู่ในช่วงสับสน จะรัก หรือจะร้าย จะหึง หรือจะเรียกร้องความสนใจ

ตอนต่อไป โม้เม้นลุงอ้ายกับมินก็จะมีเยอะขึ้น หลังจากมินรู้ความจริง ทุกอย่างจะดูซอฟต์บ้าง ไม่ซอฟต์บ้าง ปะปนกันไปค่ะ ขอแค่กำลังใจนะคะ คอมเม้นกันคนละหนึ่งครั้งหลังอ่าน รักคนอ่านน้าาา เจอกันตอนหน้าจ้า

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ตอนนี้รู้สึกถึงอารมณ์ที่กำลังสับสนของน้องมินเลย จะรักหรือจะเกลียดดีน่าน้องมิน คิมรู้ความสัมพันธ์ของลุงอ้ายกับน้องมินแล้วจะทำยังไงต่อไปจะสู้ต่อหรือจะยอมลุงอ้ายน้าาา รอลุ้นต่อไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด