★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน  (อ่าน 24388 ครั้ง)

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.


แสงดวงอาทิตย์ลอยลับลงไปเนิ่นนานแล้ว ไม่อาจทราบว่าความมืดคืบคลานไปที่ใดบ้าง แต่อย่างแน่นอนคือจิตใจของเด็กหนุ่มตรงหน้า มันคงดำมืดแม้รุ่งอรุณเคลื่อนผ่านเป็นหมื่นรอบ

อินทัชไม่อาจอธิบายให้ใครเข้าใจได้ว่าตนเองกลัวสักแค่ไหน ตลอดระยะเวลากว่าสองเดือนที่ได้พบหน้ากันมันวิเศษ วิเศษเหลือเกิน แต่จะดีกว่านี้หากคนตรงหน้ามิใช่ลูกชายปรางคณาง ชายหนุ่มไม่กล้าแม้จะสรรหาคำแก้ตัวไหนๆ กลั่นออกมาให้อศวมินทร์เข้าใจ ที่ผ่านมาเขารู้มาโดยตลอดว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน ไม่ผิดที่จะโกรธเคืองเมื่อได้รับรู้!

อินทัชคิดว่ามันรวดเร็วเกินไปที่เด็กหนุ่มจะรู้ความจริง ไม่มีเค้าลางบอกเหตุสักนิด ไม่แปลกที่เขาจะเห็นอศวมินทร์ตาค้างมองเขากับมารดาตัวเองเช่นนี้

ปรางคณางใจร้อน หล่อนไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูกชายว่าลึกซึ้งกว่าผู้อุปการะและเด็กในการดูแล เขาตกใจที่เธอมาบอกว่าจะพาอศวมินทร์กลับมาอยู่คฤหาสน์เป็นอย่างมาก เพราะอยากใช่เวลาร่วมกับลูกชายให้มากที่สุด เธอขอร้องให้เขาอยู่นิ่งๆ เข้าไว้

แต่คนอย่างอศวมินทร์ไม่พยศก็คงไม่ใช่วิสัย

"มิน แม่.." ปรางคณางเสียงสั่น เชยตามองลูกชายตัวสูงตรงหน้า "แม่อยากให้ลุงอ้ายมาอยู่กับเราที่นี่ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก ลูกรู้จักลุงอ้ายแล้วรู้ใช่ไหมว่าเขาเป็นคนดี"

ใช่...รู้จักดี

อินทัชราวกับถูกมือกร้านหยาบของใครสักคนบีบอกให้รู้สึกปวดหนึบ เมื่อใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าบิดเบี้ยวจากการร้องไห้ เด็กก้าวร้าวเอาแต่ใจที่เขาเคยเจอครั้งแรกเหตุใดจึงอ่อนแอเช่นนี้กันเล่า เขาผิด เขาหลอกลวงทำร้ายอศวมนทร์อย่างเห็นแก่ตัว!

"ฉัน...ขอโทษที่ไม่ได้บอก"

"ไม่ใช่ คุณต้องขอโทษที่โกหก ขอโทษที่เสแสร้งสร้างภาพว่าเป็นคนดี ขอโทษทีหลอกให้คนโง่ๆ วาดหวังอะไรอย่างลมๆ แล้งๆ เห็นผมโง่มากสินะ คงนึกขำอยู่ในใจมาตลอดที่ผมพูดอะไรออกไป ตลกมากสินะ!" อศวมินทร์หอบหายใจ ต้นเหตุจากดวงใจมันเต้นรัวแรงแทบทะลุออกจากอก

"ทำไมพูดแบบนั้นล่ะมิน ลุงเขาหวังดี..."

"ออกไป..." หล่อนชะงัก สุ้มเสียงเด็กหนุ่มเบาโหวงราวไม่มีแรงเอาเสียเลย ปรางคณางมองภาพตรงหน้าอย่างใจหาย จอมพยศยืนสะอื้นไห้ก้มหน้าก้มตาไม่มองใคร จมดิ่งกับบ่อน้ำตาที่ตนขุดนิ่งงันอย่างนั้น "ออกไป!!!"

"มิน..."

"ออกไป ออกไป! น่าขยะแขยงฉิบหาย เห็นหน้าลุงแล้วสะอิดสะเอียน จะไปพลอดรักกันที่ไหนก็ไป!!!" เด็กหนุ่มจ้องตาคมตรงหน้า สะบัดมือหนาออกแสดงตามคำพูดเมื่อครู่ ยิ่งเห็นสีหน้าฝ่ายตรงข้ามยิ่งโมโห รู้สึกผิดทางสีหน้าแต่ภายในไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกคนหลอกเขา ใส่หน้ากากคนดีหาเขาทั้งสิ้น

อศวมินทร์เข้าใจแล้ว บนโลกใบนี้นอกจากบิดาแท้ๆ ผู้ให้กำเนิดแล้ว ไม่มีใครรักเขาจริงเลยสักคน!

"ออกไป!! ออกไปจากชีวิตผม จะไปตายที่ไหนก็ไป!!!"

"มิน!"

ปรางคณางเข่าอ่อนเมื่อได้ยินประโยคนี้ หล่อนสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้า อินทัชขมวดคิ้วมุ่นกำฝ่ามือแสบของตัวเอง มองโครงหน้ายาวสะบัดไปตามแรงหวัด ปื้นสีแดงฉานผุดขึ้นบนใบหน้าเด็กหนุ่มผสมปนเปกับรอยคราบน้ำตา ชายหนุ่มตกใจเมื่อเห็นสายตากร้าวของเด็กตรงหน้า

"คุณไม่ใช่พ่อ แล้วก็ไม่สามารถเป็นพ่อที่ดีของใครได้ แม้กระทั่งตำแหน่งลุงที่มีอยู่ก็ทำไม่ได้..." คนกล่าวส่ายใบหน้าทั้งจ้องชายหนุ่มไม่ละ

"ฉัน"

"คนมักมากกับคนไร้ค่า จะไปขึ้นเขาลงห้วยที่ไหนกันก็ไป!!!"

อินทัชกำมือแสบจากการตบเมื่อครู่สุดแรงเกิด ปรางคณางร้องห่มร้องไห้เมื่อประตูห้องของลูกชายปิดลงดังปังตามแรงอารมณ์ เขาผิดเองที่ฉุดทุกอย่างดิ่งลงเหวมากขึ้นไปอีก ลุ่มหลงไปกับราคะ มอมเมาอศวมินทร์จนอีกฝ่ายไม่สามารถรับความเป็นจริงได้ เขาผิดเอง ต้นเหตุทั้งหมดคือเขา!

"พี่ขอโทษนะปรางค์"

แม้เธอจะไม่ทราบว่าเหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น แต่อย่างน้อยขอให้เขาได้เอ่ยคำนี้ออกไปเพื่อหลอกตัวเองบ้างสักนิด เผื่อว่าความปวดหนึบที่อกจะบรรเทาเบาบางลง แต่ไม่เลย ใจของเขาราวกับถูกมีดกรีดย้ำซ้ำลงที่เดิม อินทัชยืนนิ่ง เสียงปรางคณางสะท้อนโสตประสาท ภาพรอยยิ้มน่ารักของอศวมินทร์ลอยเด่นในหัว ภาพแล้ว ภาพเล่า ทดแทนด้วยเสียงข้าวของถูกทำลายภายในห้องตรงหน้า และสุ้มเสียงโกรธเกรี้ยวคลุ้มคลั่งราวคนสิ้นสติ

เพราะเขา เพราะเขาที่ทำแบบนั้น "พี่สัญญา พี่จะดูแลให้มินเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีให้ได้ สาบานด้วยชีวิตของพี่..."

"อย่าพูดแบบนั้นซีคะ" ปรางคณางเกรงเหลือเกิน เกรงว่าสิ่งที่คนข้างกายกำลังกล่าวจะเป็นลางบอกเหตุไม่ดี เธอกลัวว่าหากตัวเองไม่อยู่จะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ตลอดเกือบยี่สิบปีที่ได้รู้จักอินทัชทำให้คิดเช่นนั้น

แต่คงไม่ ตอนนี้เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมแล้ว สิ่งที่อินทัชคิดและตัดสินใจล้วนไตร่ตรองดีทั้งหมด เธอเชื่อใจเขา ปรางคณางวางใจไปเปราะหนึ่งเมื่อทุกวันนี้เธอมีลูกน้องที่ดี ลูกชายที่ดี และคนรักที่ดีเพื่อปกป้องลูกชายคนเล็ก นำพาอศวมินทร์เติบใหญ่ไปสู่ฝั่งฝัน สำเร็จในด้านการเรียนและการงาน

ดวงตาสวยเชยขึ้นสบอินทัชทั้งน้ำตา ก้าวเดินตามแรงพยุงของร่างสูงด้วยความพยายามยิ่ง หล่อนเอาแต่คร่ำครวญเสียใจในวันที่ล่วงรู้ว่าตนเองจะอยู่บนโลกนี้ในอีกไม่นาน ที่ผ่านมาละเลยลูกชายเพราะเห็นว่าสามีนั้นให้อ้อมกอดอบอุ่น เฝ้าอุ้มชูอยู่ไม่ห่างแล้ว เธอสงสารคิมหันต์ที่เฝ้ามองน้องชายกับบิดาหยอกล้อกัน เธอผิดที่เห็นใจลูกเลี้ยงมากกว่าเพราะคิดว่าอศวมินทร์ได้รับรักอย่างพอเพียงแล้ว

หากไม่ถึงเวลานี้ ปรางคณางไม่รู้ตนเองเลยว่าเมินเฉยต่อคนที่รักตนที่สุดมานานเท่าไร เธอผลักไสยามลูกชายเข้าหา ปลอบใจคิมหันต์ที่ร้องขอความรักจากบิดาแต่ไม่ได้ตอบรับ แม้เห็นเป็นเยี่ยงอย่างแล้วกลับยังเขลา เข้าใจคิมหันต์หากทว่าไม่เข้าใจลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง สัญชาตญาณความเป็นแม่ที่ดีไม่มีหลงเหลือให้เด็กคนนี้ภาคภูมิใจ!

ปรางคณางไม่เคยฟังในสิ่งที่ลูกรักต้องการพูดคุย ไม่แยแสถึงความรู้สึกอศวมินทร์ในตอนนั้น ไม่แปลกเลยที่เขาจะดื้อดึงเอาแต่ใจเพื่อให้เธอสนใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าแบบนั้นทุกอย่างจะยิ่งแย่ลง

เธอโง่เอง!

กว่าจะเห็นค่าคนสำคัญก็ในเมื่อวันที่สาย ในวันที่เวลาบอกรัก เวลามอบกอดให้กันได้เร่งเดินหน้าอย่างไม่มีวันถอยกลับ ร้องขอให้เขาเข้าใจก็ไม่มีทางทำได้ เธอเป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งยังเขลามานั่งร้องไห้และคิดกับตัวเองอยู่เสมอ 'ถ้ารู้อย่างนี้...' จะไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด แต่ความจริงช่างโหดร้าย จะจนหรือรวยหากไม่ใช้เวลาให้คุ้มค่ากับคนรัก ในโลกสุดอัปยศและกฏแห่งความจีรังคือ ไม่มีใครรู้เวลาล่วงหน้าว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

เธอชื่นชม ชื่นชมอินทัชที่ทำอะไรอย่างมีเหตุผล ปรางคณางเคยหัวเราะเยาะกับความคิดนั้นเพราะเห็นว่าน่าเบื่อ แต่มาคิดได้ทีหลัง เพราะรู้ว่าที่ตนเคยคิดอย่างเกิดจากความโง่งม

!!!

เสียงกระจกแตกดังสนั่นหวั่นไหวลั่นคฤหาสน์จนสองร่างสะดุ้งตัวชา ความเย็นแล่นสู่ปลายเท้าอินทัชเมื่อถึงถึงหน้าเจ้าของห้องที่เพิ่งจากมา อย่าเลยนะมิน อย่าคิดทำอย่างนั้นเด็ดขาด ลำตัวสูงเอี้ยวตัวไปอีกฝั่งใจเต้นระส่ำ แม้จะหวาดกลัวในใจลึกๆ ก็ซอยเท้าอย่างลืมเหนื่อย "มิน มิน!"

ในห้องเงียบกริบอย่างน่ากลัว มือหนักของอินทัชสั่นไหวทุบประตูร้องเรียกสุดแรง ความปวดหนึบมือไม่น่าสนเท่าร่างที่อยู่ภายใน "มิน เปิดประตู!"

"มิน ลูกแม่ เปิดประตู" ปรางคณางเพิ่งวิ่งตามมาถึงก็ร้องสุดเสียง น้ำตาไหลพรากหวาดกลัวไม่ต่างกัน อินทัชตัวสี่นทุบประตูเร่งเร้า เสียงฝีเท้าลูกน้องรัวขึ้นมาชั้นบนร้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น

"กุญแจสำรอง เปิดประตูไปดูมินที ฉันกลัวลูกจะทำอะไรที่ฉันกลัว..." หล่อนร้องบอกใครก็ได้ คิมหันต์พยุงมารดามองประตูน้องชาย ใจเต้นตึกตักพยายามคิดในแง่ที่ดีที่สุด

ไม่นานลูกน้องก็ได้กุญแจมาไขให้ อินทัชวิ่งเข้าไปด้านในไม่รอช้าเพื่อหาร่างของเด็กหนุ่ม หากทว่ามองไปเห็นเพียงกระจกหน้าต่างแตกไม่เหลือชิ้นดี ข้าวของภายในห้องพักพังเพเสียหายแทบทุกชิ้น ชายหนุ่มตัวชามองภาพผ้าม่านสีอ่อนปลิวสะบัดไปตามแรงลมตรงหน้า น้ำตาในใจไหลเอ่อเมื่อได้ยินปรางคณางร้องโฮจนทรุด

หนีไปแล้ว เด็กคนนี้หนีไปอีกแล้ว...

ปรางคณางสะเทือนใจกับการได้พบลูกชายที่น่าเศร้า อาการหล่อนทรุดลงจนต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ทุกคนวุ่นวายเกี่ยวกับหล่อนจนไม่ได้เร่งตามหาอศวมินทร์ กระทั่งเธอรู้สึกตัวตื่นก็ร้องเรียกหาแต่ลูกชาย อินทัชเห็นภาพบาดอกก็น้ำตาคลอ

"เรียกทนายมาพบปรางค์หน่อยได้ไหมคะ ปรางค์จะจัดการบางสิ่ง..."

บางสิ่งนั้นคือเรื่องที่ชายหนุ่มทราบดีและปฏิเสธมาโดยตลอด อินทัชไม่อาจขัดคำพูดของคนอ่อนแอตรงหน้า เสียงคลื่นหัวใจของเธอขยับ ลมอุ่นอ่อนแผ่วพ่นรดเครื่องช่วยหายใจแทบจะขาดห้วง

นี่อาจเป็นคำขอครั้งสุดท้าย ที่เขาจะทำให้ปรางคณางก่อนสิ้นใจ




เสียงรถยนต์บีบแตรบนท้องถนนให้ใครก็ไม่ทราบ บัดนี้คนที่เดินไร้จุดหมายไม่อาจรับรู้สิ่งไหนอีก ในอกของเขาชาไม่อาจรับความรู้เจ็บปวดระยำอะไรมาเพิ่ม โครงหน้าหล่อบัดนี้มุมปากมีรอยแผลและเลือดเขรอะ น้ำตายังไม่ทันได้เหือดหายไปจากดวงหน้าแม้ใครมองมาอย่างสมเพช

เขาเกิดมาทำไม อศวมินทร์ถามตัวเองทั้งย่างเท้าเดินไปเบื้องหน้า บนบาทวิถีที่มีผู้คนเดินบ่าชนกัน แต่เหตุใดช่างเหมือนอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้

ภาพรอยยิ้มอบอุ่นของใครสักคนลอยขึ้นมายามสบมอง หัวใจของเขาไม่เคยมีภูมิต้านทานต่อคนที่ทำดีด้วยได้ อินทัชอาจเป็นสิ่งนั้น สั่งสอนให้เขาเลือกที่จะปิดกั้นหัวใจ กร้านชาต่อคนทั้งโลกที่เข้ามาทำดี ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งนั้นให้ใครเห็นอีก ต่อไปนี้อย่าคิดว่าจะได้เห็นไอ้มินในมุมนั้นอีกเป็นอันขาด อินทัช!

จากนี้ไป อศวมินทร์คนอ่อนต่อโลกที่ซื่อตรงกับใจตัวเองคนนั้นตายไปแล้ว หลงเหลือเพียงร่างกายไร้จิตวิญญาณเดินเอื่อยเฉื่อยตรงนี้

มือล้วงไปในกระเป๋า มีโทรศัพท์มือถือที่อินทัชซื่อให้ คีย์การ์ดคอนโด กระเป๋าสตางค์ซึ่งภายในพบบัตรเครดิตอยู่หนึ่งใบ อินทัชอีกนั่นแหละที่ให้ทิ้งไว้แทนเงินสดอย่างใจป้ำ โดยที่เขาก็เพิ่งรู้ว่าเงินที่บำเรอตนเองมาจากเงินของครอบครัวตัวเอง น่าตลกสิ้นดี!

คราแรกอศวมินทร์กะจะปาทิ้ง แต่ชะงักมือไว้ได้ทันทั้งหมด เด็กหนุ่มปิดเครื่องโทรศัพท์เดินไปไหนสักที่ แม้ยังสวมชุดนักเรียนก็ยังเดินเข้าไปในร้านเกม ทิ้งโลกความจริง ตั้งหน้าตั้งตาเล่นไม่ดูเดือนดูตะวัน

เดินทางไปกลับจากโรงแรมกับร้านเกมเป็นว่าเล่น ไม่มีใครตามหาเขา เด็กหนุ่มสนุกกับการไม่ได้ไปโรงเรียน ที่อยู่หลักคือร้านเกมและร้านนั่งดื่ม บางครั้งเจอคนถูกใจก็จะหิ้วกลับมานอนด้วย ทุกอย่างวนอยู่อย่างนั้นจวบจนวันนี้

ตัวสูงๆ ทิ้งกายนั่งลงบนเบาะหน้าคอมพิวเตอร์ มือหนึ่งก็กระดกเบียร์กระป๋องไปพลาง คอมพิวเตอร์ปรากฏหน้าจอ ก่อนเล่นเกมเขามักเข้าไปในสังคมเฟชบุ้คดูข่าวคราวก่อนเสมอ แต่วันนี้มันผิดแปลกไปจากทุกวัน ดวงตาโตสะท้อนแสงจากหน้าจอเบื้องหน้า ทว่ามิได้ทำให้เขาแสบตาถึงขนาดน้ำเอ่อ

เขาได้รับข้อความจากคิมหันต์

ภาพปรางคณางนอนนิ่งบนเตียงในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ดูเผินๆ อาจคล้ายเธอกำลังนอนหลับอยู่ หากบริเวณหน้าไม่มีสำลีอุดจมูกและหูไว้ก็คงจะเป็นดังเดาไว้ อศวมินทร์ตัวสั่น กะพริบตาถี่รัวไล่หยุดน้ำ ไล่เม้าส์หาอะไรสักอย่างที่เป็นความจริง

ภาพหน้าจอเลิ่อนขึ้นลงอย่างรวกเร็ว ดวงตาคู่นี้จ้องมองภาพเบื้องหน้า รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแลพหอบสั่น มวลสารทุกอย่างในร่างกายปั่นป่วนจนเหงื่อแต่พลั่ก สิ่งที่เขาเห็นนั้น เด็กหนุ่มได้แต่ย้อนถามตัวเองซ้ำๆ

ตายแล้วเหรอ แม่เขาตายแล้วเหรอ!

ภายในใจเขากรีดร้อง คลุ้มคลั่งราวคนสิ้นสติ แต่ร่างกายมันไม่มีแรงเขาเสียเลยที่จะขยับขึ้นมาเช็ดน้ำตา เด็กหนุ่มส่ายหน้ามองภาพนั้นนิ่งงั้น มันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ปรางคณางยังดูแข็งแรงดี เธอจะตายจากเขาไปง่ายๆ อย่างนั้นได้อย่างไร ต้องมีคนแกล้งเขา ใครกันระยำสร้างเรื่องสารเลวนี่ขึ้นมา!

แม้จะคิดอย่างนั้น มืออศวมินทร์สั่นไหว ล้วงหยิบโทรศัพท์มาเปิดเครื่อง แค่เพียงไม่นาน เสียงข้อความนับสิบเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ล้วนส่งจากอินทัชทั้งสิ้น

เด็กหนุ่มเปิดข้อความล่าสุดดู เห็นภาพของปรางคณางกำลังสวมเครื่องช่วยหายใจนอนหลับ ตัวอักษรในนั้นขอให้เด็กหนุ่มกลับไป อศวมินทร์ยังมึนงงไม่อยากจะเชื่อ มองมือถือที่ปรากฏเบอร์อินทัชบนหน้าจอทันทีที่เครื่องเปิด เด็กหนุ่มใจหาย มือสั่นยกขึ้นไปแนบหู รวบรวมความกล้าอยู่พักหนึ่งที่จะฟัง

"มิน วันนี้สวดอภิธรรมศพเป็นคืนสุดท้าย มาไหว้แม่หน่อยได้ไหม..."

เขาไม่คิดเลย ว่าเสียงทุ้มอบอุ่นของอินทัชจะพูดเรื่องแสนสะเทือนใจนั่นออกมา ไม่มีคำปลอบโยน ไม่บอกให้เขาทำใจดีๆ ก่อนสักคำ "คุณฆ่าแม่ใช่ไหม คุณอยู่กับแม่แค่เดือนเดียวแม่ก็ต้องมาตาย คุณฆ่าแม่!"

"มิน มันไม่ใช่แบบที่เธอคิด ความจริงฉันกับปรางค์..."

"ไม่ต้องมาบอกว่ารักกันขนาดไหน สมเพช สุดท้ายก็รักที่เงินแม่ผมอยู่ดี อย่าหวังเลย อย่าหวังจะได้สักแดงเดียว!" เด็กหนุ่มตัดสาย มือหนากำโทรศัพท์แน่นทุบลงบนโต๊ะอย่างบ้าคลั่ง เศษกระจกบาดมือจนปวดหนึบเลือดไหล แน่นนอนว่ายังไม่เจ็บปวดเท่าความรู้สึกยามนี้

น้ำตาที่คิดว่าจะไม่มีวันเสียก็รินไหลไม่ยอมหยุด สร้างความแปลกใจแก่คนในร้านให้หันมามอง เขาไม่แคร์ ไม่แคร์อะไรอีกแล้ว...

แม่ต้องไม่ตาย แม่ต้องไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นได้ในสิ่งที่อยากได้

เขาจะต้องไปอยู่ที่นั่น อยู่ปกป้องทุกอย่าง!


****************************

เกิดเป็นนุ้งมินนี่ลำบากจริงๆ แต่หลังจากนี้หนูจะไม่ลำบากคนเดียวละลูก

ลุงอ้ายก็จะลำบากที่ถูกเอาคืน คนเขียนก็จำลำบากเพราะยิ่งเขียน เรื่องยิ่งยุ่ง คนอ่านก็จะลำบากเพราะลุ้นจนปวดตับ เอาเป็นว่าลำบากกันถ้วนหน้าละงานนี้ 5555

ตอนหน้านางจะไปตาต่อตา ฟันต่อฟันกับอินทัชแล้วน้าาาาา

ขอกำลังใจหน่อยจ้า รักคนอ่านน้า^^







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2015 00:42:19 โดย noonaaRP »

ออฟไลน์ jamesnaka

  • วิหคเหมันต์
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ไม่เข้าใจ อินทัชผิดอะไร ก็แค่ตบะอ่อนไปหน่อยเท่านั้นเอง มินยั่วเค้าเองแท้ๆ คือที่เป็นอยู่นี่ก็เห็นว่ามินทำตัวเองตลอดอะ

คงสติแตกและไม่เคยฟังใครตั้งแต่โดนพี่ชายทำร้าย ในใจมีแต่ความแค้น ความคิดสมเป็นเด็กสมัยนี้จริงๆ เหอๆ

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
ไม่เข้าใจ อินทัชผิดอะไร ก็แค่ตบะอ่อนไปหน่อยเท่านั้นเอง มินยั่วเค้าเองแท้ๆ คือที่เป็นอยู่นี่ก็เห็นว่ามินทำตัวเองตลอดอะ

คงสติแตกและไม่เคยฟังใครตั้งแต่โดนพี่ชายทำร้าย ในใจมีแต่ความแค้น ความคิดสมเป็นเด็กสมัยนี้จริงๆ เหอๆ

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:

ทุกคนต่างผิด แต่ผิดกันคนละส่วนกันไปค่ะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ลุงอ้ายนั่นแหละผิด ผิดที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วแต่ก็ยังทำ

แล้วที่แต่งงานกับแม่มินเนี่ย แต่งแต่ในนามใช่มั้ย ไม่ได้แต่งกันจริงๆ อ่ะ

แต่งเพื่อที่จะให้มีคนมาดูแลมินใช่มั้ย

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
ลุงอ้ายนั่นแหละผิด ผิดที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วแต่ก็ยังทำ

แล้วที่แต่งงานกับแม่มินเนี่ย แต่งแต่ในนามใช่มั้ย ไม่ได้แต่งกันจริงๆ อ่ะ

แต่งเพื่อที่จะให้มีคนมาดูแลมินใช่มั้ย


จริงๆ ชอบเขียนแนวนี้อยู่แล้ว ก็เขียนไปตามเรื่องที่วางไว้ ส่วนตัวอยากสื่อว่าทุกคนบนโลกไม่ใช่คนดี ล้วนมีด้านมืดเป็นของตัวเอง ถ้าจะผิดก็ผิดทุกฝ่าย แต่จะผิดมากผิดน้อยอยู่หลังจากนี้ค่ะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.


งานฌาปนกิจศพจัดขึ้นสมฐานะตระกูลใหญ่ ข้างโลงศพประกอบด้วยพวงหรีดแสดงถึงความเสียใจจากผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์หลายท่าน ทั้งผู้แทน คุณหญิงคุณนาย ข้าราชการที่รู้จักมักคุ้น แต่ก็เพียงแค่ใส่หน้ากากเข้าหากันในสังคมชั้นสูง ไม่มีใครมาจริงๆ เพียงส่งตัวแทนมาเท่านั้น

เสียงพระสวดใกล้จะถึงจบสุดท้าย เจ้าภาพกลับไม่มีสมาธิจดจ่อกับบทสวดมนต์สักนิด ใจร้อนรุมเทียวแต่กวาดสายตาหาร่างของใครสักคน ครั้งแล้ว ครั้งเล่า

"นั่นไงๆ ลูกชายคนเล็กมาแล้ว ต๊าย...ดูแต่งตัวเข้า"

"ถ้าฉันเป็นคุณปรางค์ก็คงเพลียเหมือนกันที่มีลูกชายแบบนี้"

อินทัชนิ่ง มองตามร่างกายสูงของคนที่ถูกกล่าวถึงกำลังลากเท้าเดินเข้ามา สีหน้าเรียบไม่แสดงถึงความเสียอกเสียใจ หนำซ้ำยังสวมเสื้อผ้าแฟชัน สีสันฉูดฉาดจนเรียกทุกสายตาให้หันไปมองที่นั่นจุดเดียว ชายหนุ่มรีบลุกเดินเข้าไปหาอศวมินทร์ เห็นคิมหันต์กวาดสายตามาเจอะกันพอดี

อินทัชชะงักขา ปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่ชายจะดีกว่า คิดแล้วจึงถอยกลับไปนั่งที่เดิม เพียงเฝ้ามองเด็กคนนั้นจากมุมนี้

ชายหนุ่มเชื่อมั่นว่าอศวมินทร์เจ็บปวดจนไม่สามารถร้องไห้ออกมาได้อีกแล้ว นัยน์ตาคมจับมองไปยังคิมหันต์ แววตายามมองน้องชายนั่งต่อหน้าศพมารดานั้น เล่นเอาเขาอยู่ไม่สุข

ท่าทีอศวมินทร์ไม่ยอมรับพี่ชายตัวเอง นั่นทำให้เขาแปลกใจว่าที่ผ่านมาเกิดเรื่องอะไรต่อจิตใจเด็กคนนี้บ้าง อันเป็นต้นเหตุให้เขากลายเป็นเด็กนิสัยแบบนี้ ชายหนุ่มทอดถอนใจเดินไปทรุดกายนั่งบนผืนพรมข้างๆ

"ไหว้แม่เสียสิ"

มือหนาวางบนบ่าเด็กหนุ่ม ขณะผละขึ้นมาอินทัชเห็นสายตาของคิมหันต์จับมอง นัยน์ตาคมสองคู่สบกันเงียบเชียบในความเศร้าของอศวมินทร์ ชายหนุ่มทราบดีถึงความหมายของเด็กหนุ่มข้างกายอศวมินทร์ มันคือสายตาแห่งความหวงแหน ไม่อยากให้เขาเข้าใกล้น้องชาย

หรือหวงในฐานะอื่น อินทัชไม่อาจคาดเดาไปมากกว่านี้ แต่ที่แน่นอนมันเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านเขา ชายหนุ่มสะบัดไล่ความคิดออก หันหันสบมองเด็กวัยย่างสิบแปดอย่างไม่อยากคิดมาก

"ทำไมไม่ใส่ชุดไว้ทุกข์มา" ชายหนุ่มเอ่ยฝ่าความเงียบ นั่นได้เรียกให้เด็กหนุ่มซึ่งประนมมือขณะไหว้ศพหันมามอง อศวมินทร์หลุบตามองเหล่าควัยเลื่อนลอยออกจากธูปในมือนิ่ง

"ใส่ไม่ใส่แค่ให้ใจรู้สึกมันก็พอแล้วนี่ ผมไม่อยากเป็นเหมือนพวกคุณหญิงคุณนายนั่น ใส่มาแต่ตัวแต่ใจไม่ได้ไว้ทุกข์เลย นี่มันงานศพแม่ผมไม่ใช่งานน่ายินดี แต่นั่นเอาแต่นั่งพูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน แบบนั้นสิเรียกว่าไม่ให้เกียรติ"

อินทัชนิ่ง ชำเลืองตามองคนเหล่านั้น "เธอเป็นเด็กนะ พูดถึงผู้ใหญ่แบบนั้นได้ไง"

"คำก็เด็กสองคำก็เด็ก ผู้ใหญ่จะทำเหี้ยอะไรก็ไม่ผิดใช่ไหม ตัวคุณเองเลิกสอนคนอื่นเถอะไม่อายตัวเองบ้างรึไง" เด็กหนุ่มปักธูป ก้มลงกราบมารดาหนึ่งครั้ง หันไปกราบพระอีกสามหน

อศวมินทร์ลุกเดินออกจากศาลาวัดไปแล้ว คิมหันต์ถอนใจตามออกไปติดๆ คนมองตามทำได้เพียงส่ายหน้าระอาแก่ใจเท่านั้น

แขกเหรื่อฟังพระสวดจบแล้วก็ต่างทยอยเดินมาแสดงความเสียใจ อินทัชทำหน้าที่สามีอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มยืนไหว้ขอบพระคุณด้วยรอยยิ้มสุขุม ส่งให้แต่ละคนขึ้นถึงรถอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย แม้จะคอยชำเลืองตามองหาคิมหันต์และน้องชายก็ตาม

"คุณอ้ายครับผมว่าไปพักก่อนเถอะ ทางนี้เราจะจัดการให้เอง แขกกลับไปหมดแล้วเดี๋ยวทางนี้พวกผมจะทำเอง" ลูกน้องบอกทั้งผายมือให้ อินทัชผ่อนปรนลมหายใจตัวเอง ตบบ่าให้กำลังใจคนบอกและยอมเดินผละออกมานั่งพัก

"เอ่อ คุณอ้ายได้บอกน้องมินรึเปล่าครับว่าหลังจากเผาศพแล้วจะมีการเปิดพินัยกรรมของคุณปรางค์ ให้มารวมตัวกันที่บ้าน"

"ผมลืมไปน่ะ เดี๋ยวจะไปบอกครับ" ชายหนุ่มยกมือนวดขมับตัวเองยิ้มให้ทนายประจำตระกูล ย่างเท้าเดินออกมาด้านนอกเห็นร่างสูงของคิมหันต์กำลังลูบบ่าน้องชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มองจากตรงนี้ไม่อาจเดาได้ว่าทั้งสองกำลังคุยอะไรกัน อินทัชนิ่ง คิดอยู่นานว่าควรเลือกเดินเข้าไปแทรกแซงระหว่างสองพี่น้องคู่นี้หรือไม่

"อ้าว ยังไม่ไปเหรอครับ" ทนายประจักษ์เดินออกมาเห็น เรียกให้ชายหนุ่มซึ่งยืนครุ่นคิดให้หันไปมอง "อ้อ...ผมยังไม่อยากไปตอนนี้ครับ ดูเหมือนสองพี่น้องเขาจะมีเรื่องพูดกันอยู่เลยไม่อยากเข้าไปขัด"

ชายหนุ่มกอดอก มองแววตาสีหน้าของทั้งสองฝ่ายอยู่เช่นนั้น มองแววตาที่คิมหันต์มองน้องชายขณะพยายามลูบบ่าให้

อศวมินทร์ยอมกลับบ้านไปพร้อมกันโดยไม่ปริปากบ่น กลับไปอยู่ในห้องพักที่ตนเคยอาละวาดทิ้งไว้ บัดนี้ถูกจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เด็กหนุ่มลากเท้าเอื่อยไปยังเตียงด้วยความอ่อนแรง ทิ้งกายนอนแผ่หลามองเพดานด้านหน้านิ่ง ภาพใบหน้าปรางคณางยามร้องไห้ขอกอดเขาผุดขึ้นมาให้เห็น

'จะไปตายที่ไหนก็ไป!'

มือยกขึ้นมากุมใบหน้ารอนรุมของตัวเอง รอยยิ้มสุดท้ายที่เขาเห็นคือยิ้มจากรูปในงานศพเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา ปรางคณางส่งยิ้มมาให้เด็กหนุ่ม รอยยิ้มนั้นสวยหวานจนน้ำตาอุ่นร้อนท่วมเอ่อกลบลูกตา เพดานลวดลายวิจิตรเบื้องหน้าพร่าเบลอไปในทันทีทันใด ต่อหน้าทุกคนเขาคือคนไม่มีความรู้สึก อศวมินทร์นอนร้องไห้อยู่อย่างนั้นอย่างไม่ปิดกั้นตนเองอีกต่อไป

บนหัวเตียงมีภาพครอบครัวตั้งแต่สมัยยังเด็ก บิดาอุ้มเขาขึ้นขี่คอท่าทางแข็งแรงสนุกสนาน ข้างๆ คือปรางคณางกำลังกอดคิมหันต์จากด้านหลังด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข อศวมินทร์มองรูกในมือทั้งน้ำตา สัมผัสอ่อนแผ่วที่ใบหน้ามารดาซ้ำๆ

จะไม่ได้เจอกันอีกแล้วจริงๆ ใช่ไหม...ตลอดทั้งคืนเขาเพียงแค่ถามตัวเองอย่างนั้นจนรุ่งเช้า

ดูเหมือนอินทัชจะเดาออกว่าอศวมินทร์ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ชายหนุ่มเดินวนหน้าประตูอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเคาะเรียก เสียงคนตอบปกติดี อินทัชจึงบอกให้เตรียมตัวออกไปใส่บาตรพร้อมกัน

พิธีเผาเริ่มต้นตั้งแต่สิบเอ็ดโมงเช้า อศวมินทร์สวมชุดที่อินทัชตระเตรียมให้อย่างตัดรำคาญ ตลอดเวลาที่แขกเดินทางเข้ามาเขาก็เอาแต่มองภาพมารดา ไม่รับรู้สิ่งไหนเข้ามาในโสต เด็กหนุ่มนั่งเงียบโดยคนรอบข้างก็ยังเข้าใจ อศวมินทร์ยังคงช็อกและอยู่ในสภาวะซึมเศร้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น

คนไร้สามัญสำนึกก็จะคิดตื้นๆ เสมอว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มทำมันไม่สมควร หากทว่าใครที่เคยสูญเสียคนรักไปในวันที่ยังไม่พร้อมนั้นทรมานเพียงไหน จะให้นั่งสวมหน้ากากให้ผู้อื่นก็คงเหนื่อยเกินไป

หากยังเป็นคน ยังมีความรู้สึกก็คงเข้าใจ

ภาพเขม่าควันสีขาวล่องลอยไปสู่ฟากฟ้า บ่งบอกว่าคนที่จากไปกำลังเดินทางไปยังจุดหมาย กลุ่มก้อนควันหยอกล้อกับลายลมคล้ายสุขและทุกข์ปะปนกันอยู่ในที ก่อนจะค่อยๆ สลายไปตามอากาศ อศวมินทร์เฝ้าแหงนมอง มองควันทั้งหมดไม่หลงเหลือออกมาพร้อมกดหน้าอกตัวเองไม่ให้เจ็บหนึบ

ใครสักคนเดินมาแตะบ่าเขา ลูบหัว พูดปลอบปาะโลมใจ แต่สุ้มเสียงที่เด็กหนุ่มได้ยินคือแรงสะอื้นของตัวเอง

ในขณะที่ยานพาหนะขับเคลื่อน ลูกชายคนเล็กนั่งตัวแข็งอยู่กลางระหว่างคิมหันต์และอินทัช ไร้คำพูด ไร้เสียงสนทนาโต้ตอบกัน บนเส้นทางการกลับสู่คฤหาสน์หลงเหลือเพียงบรรยากาศไว้ทุกข์ น่าอดสู...และภาพยามคิมหันต์กอดน้องชาย เฝ้าบอกอศวมินทร์ว่าเรายังมีกันเสมอ ผู้ฟังทำได้แค่นิ่งเงียบและมองทั้งคู่เท่านั้น

เพราะมันถูกอย่างที่คิมหันต์ว่า

อินทัชขอเลื่อนการเปิดพินัยกรรมที่ปรางคณางทำไว้ไปอาทิตย์หน้า เหตุเพราะตอนนี้ความรู้สึกของอศวมินทร์ยังไม่สู้ดี แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ต้องการ เพราะอยากรู้ว่าปลิงที่เกาะปรคณางมาตลอดนั้นได้อะไรไปบ้าง "ผมพร้อมจะฟัง จะได้มีคนรู้สักทีว่าบ้านนี้เขาไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งสิ้น"

อศวมินทร์เสียงแข็ง ทิ้งก้นนั่งเมื่อทุกคนครบองค์ประชุม รวมถึงสักขีพยานซึ่งได้แก่ลูกน้องคนเก่าคนแก่ ลูกชายทนายความ และเอก อินทัชไม่คิดเลยว่าการที่เขาเลือกเลื่อนการเปิดพินัยกรรมนั้น อศวมินทร์จะคิดในแง่ร้ายต่อตนได้ว่าเขากลัวความจริง และยื้อเวลาเพื่อแก่ไขเนื้อหา

คุณประจักษ์เหลือบมองท่าทางเคร่งขรึมของทุกคนแล้วทอดถอนใจ เอื้อมมือไปหยิบแฟ้มขึ้นมาเปิด สีหน้าดูลำบากใจที่จะกล่าวเมื่อเห็นเนื้อหาคร่าวๆ

"พินัยกรรม ทำวันที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖

ข้าพเจ้านางสาวปรางคณาง ลิ้มวัฒนาโชติ อายุ ๓๗ ปี ได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นเพื่อแสดงเจตนาว่า เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่กรรมให้ทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่มีทั้งหมด ทั้งที่มีอยู่ปัจจุบันและในอนาคต ได้แบ่งสรรปันออกมาสองส่วน

ส่วนที่หนึ่ง เงินในบัญชีชื่อนายคิมหันต์ ลิ้มวัฒนาโชติ จำนวนสิบเก้าล้านบาท บัญชีชื่อนางสาวปรางคณางจำนวนสองร้อยสามสิบหกล้านบาท ที่ดิน ๘๖ ไร่ ตกเป็นของนายคิมหันต์ลิ้มวัฒนาโชติ ทั้งได้รับเงินศึกษาจนจบชั้นปริญาเอกอีกเดือนละห้าหมื่นบาท

ส่วนที่สอง หุ้นบริษัทวัฒนาโชติ จำกัดมหาชน จำนวนเจ็ดสิบเปอร์เซ็น บริษัทปรางคณาง จำกัด อสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด เงินในบัญชีชื่อนายอศวมินทร์ ลิ้มวัฒนาโชติจำนวนหกร้อยสามล้านบาท และบ้านลิ้มวัฒนาโชติตกเป็นของนายอศวมินทร์..."

ใจของผู้ฟังกระตุกด้วยความสะใจ อศวมินทร์เห็นว่าสีหน้าของอินทัชไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไร เมื่อทั้งฉบับมิได้กล่าวถึงชื่อของเขาสักนิด

"อนึ่ง กรณีนายอศวมินทร์ยังไม่บรรลุนิติภาวะจะยังไม่สามารถจัดการในส่วนตนเองได้ จึงให้ทรัพย์สินทั้งหมดตกอยู่ในการดูแลของนายอินทัช อัศวเกศก่อน ในฐานะผู้ปกครอง โดยมีสิทธิ์ขาดเต็มที่ในการดูแลและจัดการทรัพย์สินตามเห็นสมควร จนกว่านายอศวมินทร์ ลิ้มวัฒนาโชติจะอายุยี่สิบเอ็ดปีบริบูรณ์ นอกนั้นให้รับค่าเล่าเรียนเดือนละสองหมื่นห้าพันบาทจนกว่าจะศึกษาจบ

พินัยกรรมนี้ ข้าพเข้าเขียนด้วยลายมือของข้าพเจ้าทั้งฉบับ ขอยืนยันว่าในขณะที่เขียนอยู่นี้ ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ

ลงชื่อ นางสาวปรางคณาง ลิ้มวัฒนาโชติ"

ทุกคนหันหน้ามองคนนั่งใกล้เมื่อทนายประจักษ์อ่านเนื้อหาพินัยกรรมจบ อศวมินทร์ลุกขึ้นยืนคัดค้านทันที "ไม่ ไม่เอาแบบนั้น วรรคสุดท้ายนั่นมันอะไร!"

"เป็นความต้องการของคุณปรางค์เธอครับ ในขณะที่เขียนผมและคุณอ้ายนั่งเป็นประจักษ์พยานว่าเธอเป็นผู้เขียนจริง และไม่ปกปิดเนิ้อหาทั้งหมด"

เด็กหนุ่มรับมาอ่านทั้งลมหายใจหอบถี่ มือกำกระดาษลายมือของปรางคณางแน่นจนสั่นไหว อินทัช เขานั่งอยู่ข้างแม่และยินดีรับมัน! "คุณต้องการอะไรถึงทำแบบนี้ หา!"

อินทัชเบิกตา ร่างกายชาวาบเมื่ออศวมินทร์ดิ่งตรงมาหาด้วยสายตากร้าว เขารู้ดีว่าไม่ใช่ความปีติยินดีแน่อนน เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้จะถลาเข้ามากอดด้วยความดีใจ ดวงตาคมเชยขึ้นมองเมื่อท้ายที่สุดทุกคนก็ร้องปรามลั่นคฤหาสน์ มือแข็งๆ ของคู่กรณีกระชากให้เขาเดินตามมา

"มาคุยกันแบบลูกผู้ชายหน่อยไหม!"

ไม่ดีแน่ ลูกผู้ชายที่อศวมินทร์หมายถึง อินทัชไม่ได้กลัวเกรง เพียงสาวเท้าเดินตามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง หันไปบอกทุกคนด้วยสายตาว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เขาทำใจยอมรับว่าจะต้องเจอความพยศนี่ตังแค่เนิ่นๆ แล้ว...

แต่มันคงยากกว่าคราวแรกพันเท่าเท่านั้นเอง


***************************

เอาแล้วไงทีนี้ งื้อ รอบหน้าลึงอ้ายอาจโดนจัดหนัก
มินพาลุงอ้ายไปไหน ไปจับกดใช่มั้ย! หลอกๆ 5555

เจอกันตอนหน้าค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะค้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2015 22:26:41 โดย noonaaRP »

ออฟไลน์ jamesnaka

  • วิหคเหมันต์
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๐

เสียงฝีเท้าตึงตังนั้นไม่ดังเท่าดวงใจของชายหนุ่มซึ่งเต้นโครมครามตรงนี้ อินทัชถูกกระชากแขนราวบังคับทั้งที่ตนเองเต็มใจ ชายหนุ่มคิดว่าอีกฝ่ายมองเขาเป็นคนร้ายกาจไปแล้ว ทุกสิ่งอย่างมันชวนให้คิดเช่นนั้น ความรู้สึกดีสองเดือนที่ผ่านมามันสูญเปล่าไปสิ้น

ร่างสูงถูกผลักเหวี่ยงให้หันมาประจัญหน้า เห็นว่าอีกฝ่ายเดือดดาลถึงขนาดไหน

ในสวนหลังบ้านร่มรื่นน่าอยู่ แต่บัดนี้คุกรุ่นไปด้วยความโกรธขึ้ง สายลมเย็นพัดโบกใส่โครงหน้ารูปหล่อแต่เจ้าตัวกลับเอาแต่ขมวดคิ้วมุ่น "ที่ทำแบบนี้ต้องการอะไร จะแย่งทุกอย่างไปจากผมให้หมดเลยงั้นเหรอ!"

"เอาที่ไหนมาพูด ฉันไม่เคยแย่งของๆ เธอแม้แต่สักอย่างเดียว"

"คุณเกลียดอะไรผมนักหนา!"

เกลียด โอ้...ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเห็นเขาเป็นคนเช่นนั้น เด็กที่ชมว่าเขาเป็นคนดีคนเดิมหายไปไหนเสียแล้ว ไม่อยากจะเชื่อ... "อะไรทำให้เธอคิดว่าฉันเกลียดเธอกัน ฉันแค่ทำตามความต้องการแม่ของเธอครั้งสุดท้าย ทำในสิ่งที่เธอทำไม่ได้..."

"หน็อย!" อศวมินทร์เงื้อมือและกำหมัดไว้แน่น อีกข้างกระชากคอเสื้อคนตรงหน้าเตรียมรับแรงโทสะ หากทว่าชายตรงหน้าไม่มีทีท่ากลัวเกรง อินทัชรับรู้ถึงมือเด็กหนุ่มที่สั่นไหวยามชะงักค้างอยู่เช่นนั้น "แม่ไม่มีทางคิดอย่างนั้น แม่รู้ว่าผมเกลียดคุณ!"

"ไม่เพียงแค่แม่เธอเท่านั้นที่รู้ ฉันก็รู้ตัวเองดี แต่เพราะเธอเป็นคนแบบนี้ไงปรางค์ถึงตัดสินใจทำแบบนี้ก่อนตาย"

"ทำไม!" อศวมินทร์หอบหายใจตะเบ็งเสียง มองใบหน้าคมตรงหน้าทอดถอนใจหน่าย ทำท่าอเน็จอนาถใจต่อเขา

"จะให้ฉันบอกงั้นเหรอว่าทำไม"

"จะสร้างเรื่องอะไรออกมาอีก จะพูดอะไรให้ตัวเองดูดีขึ้นมาอีก"

"ก็เพราะเธอเป็นคนแบบนี้ไง ปรางค์เขารู้ว่ายังไงคนแบบเธอก็เอาตัวเองไม่รอด ต่อให้มีสมบัติขนาดไหนก็จะผลาญจนหมด เธอยังเด็กแล้วก็เอาตัวเองเป็นศูนย์รวมจักวาล ต้องได้อะไรตามใจไปเสียหมด แต่เรื่องนี้จะเป็นการสอนเธอให้รู้ค่าของเงินก่อนจะได้รับมันไป"

"ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของผม ไปเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะไป!" เด็กหนุ่มตรงหน้าผลักเขาออก อินทัชพยายามผ่อนปรนอารมณ์ตัวเอง แต่บางทีก็โมโหเหมือนกันที่สื่อสารกันไม่เข้าใจ

"เธอคิดว่าฉันได้อะไรกับเรื่องนี้บ้างน่ะมิน สมบัติเหรอ ได้ชื่อเสียงเหรอ ไม่มีสักอย่าง สิ่งเดียวที่ฉันได้คือรอยยิ้มของแม่เธอก่อนที่เขาจะหลับตาลงอย่างสงบ"

"แล้วคุณต้องการอะไรถึงจะออกไปจากชีวิตผมได้ ทำให้ผมไม่ต้องเห็นหน้าคุณอีกต่อไป" เด็กหนุ่มเอ่ย สิ้นคำวินาทีนั้นอินทัชชะงักไปชั่วครู่

อศวมินทร์คนก่อนนั้นเอาแต่พร่ำขอให้เขารีบมาพบหน้า ออดอ้อนด้วยรอยยิ้มพราว ครั้นได้พบสีหน้ายามนี้ชายหนุ่มคล้ายจะซวนเซล้มลงกับพื้น อินทัชปรับสีหน้า ผละสายตาไปเห็นคิมหันต์ยืนมองจากระเบียงชั้นสอง "ถ้าเธอไปโรงเรียนทุกวันจนจบฉันจะไม่มาให้เห็น"

"แค่นั้นเหรอ!" เด็กหนุ่มหันไปเตะกระถางต้นไม้เอาแต่ใจ

"ถ้าเธอยังรั้นพูดจาไม่รู้เรื่องหรือทำลายข้าวของในบ้าน ฉันจะหักเงินเดือนเธอออกไปอีก"

"สองหมื่นห้า..."

อศวมินทร์ทวนสิ่งที่คั่งค้างในความทรงจำ ตั้งใจเอ่ยแกมประชดอยู่ในที "เงินแค่สองหมื่นห้าจะไปทำอะไรได้วะ!" ว่าแล้วเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าคมเต็มแรง ดีกรีความฉุนเฉียวเรียกได้ว่าเดือดปุด "อย่ามาทำตัวเป็นพ่อ ในเมื่อเป็นคนดีไม่ได้ก็อย่าหวังว่าใครจะนับถือ อยากเล่นแบบนี้ใช่ไหม ได้..."

นิ้วชี้ชี้หน้าคนล้มลงบนผืนหญ้า "ไอ้มาวินมันคงเสียใจแย่ ถ้าลุงมันไม่ได้เป็นแบบที่คิดไว้ แล้วอย่าโผล่หน้ามาให้เห็นอีก ไม่งั้นเตรียมตัวไว้เลย!"

อินทัชรู้ว่าเด็กคนนี้ดื้อดึงและรั้นถึงเพียงไหน แต่ไม่เคยรู้เลยว่านิสัยจริงๆ ของอศวมินทร์เป็นคนอย่างไร ชายหนุ่มยืนกุมโหนกแก้มตัวเองเงียบงัน มองตามแผ่นหลังเด็กเจ้าอารมณ์ซึ่งเดินดุ่มกระแทกเท้าออกไปแล้ว หลังจากข่มขู่ถึงหลานชายที่อยู่บ้านหลังโน้นไป อินทัชไม่คิดเลยว่าการตัดสินใจครั้งนั้นมันลุกลามบานปลายมาจนเลวร้ายเช่นนี้

หางตาเหลือบมองอีกฝั่ง บนชั้นที่สองของคฤหาสน์มีเด็กหนุ่มวัยมหาวิทยาลัยยืนอยู่ ชายหนุ่มทราบดีถึงความจริงจากสายตาผู้ชายเหมือนกัน แววตาของคิมหันต์ที่มองน้องชาย

ที่นี่มันอะไรกัน มือหนายีศีรษะตนเองระบายโทสะที่สั่งการไม่ได้ ลึกๆ ภายในใจของเขามันเหนื่อยที่จะสู้รบ แต่คงจะยอมไม่ได้แล้ว หากอศวมินทร์คิดจะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม!





จากนั้นอีกไม่กี่วันอาจารย์ประจำชั้นก็ได้ติดต่อมาที่บ้านเพื่อตามอศวมินทร์ไปเรียน เด็กหนุ่มแปลกใจว่าเขาขาดโรงเรียนอยู่หลายเดือนเช่นนี้ ตนยังมีสืทธิ์กลับไปเรียนอยู่หรือ แต่เมื่อคิดแล้วภาพอินทัชก็ลอยเด่นขึ้นมาบนหัว รายนั้นคงไปอวดเบ่งใส่ใครเอาไว้เป็นแน่

แต่เพราะไม่อยากพบหน้าพ่อเลี้ยงทุกวัน การไปกลับและใช้ชีวิตในโรงเรียนย่อมดีกว่า แต่ก็มีบางครั้งที่ยังเถลไถลแอบลักลอบหนีเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นสีสันในช่วงมัธยมปลาย

อินทัชก็ทำตามคำพูดที่เคยบอกไว้ ว่าหากเด็กหนุ่มยอมกลับไปเรียนตนจะพยายามหลบหน้า อศวมินทร์ก็ไม่ได้เห็นอยู่หลายวัน ทราบจากลุงคนขับรถว่าอินทัชจะกลับไปทานข้าวเย็นที่บ้านหลังโน้นแล้วค่อยกลับช่วงสามทุ่ม หรือไม่ก็ทำงานที่บริษัทดึกดื่นค่อนคืนจึงกลับ ได้ฟังแล้วเด็กหนุ่มก็นึกอะไรดีๆ ออก ระบายรอยยิ้มเผยเล่ห์เหลี่ยมออกมา

อศวมินทร์ยังเป็นเพื่อนกับมาวินอยู่ แม้คราแรกจะตกใจกันทั้งคู่ที่รู้ว่าโลกมันกลมถึงเพียงนี้ เขาแยกแยะเรื่องต่างๆ ออก และสามารถเหมารวมในบางส่วนเข้าด้วยกันได้

"มึง เดี๋ยวพวกกูไปเข้าห้องน้ำก่อน มึงสั่งข้าวรอไปก่อนเลยนะ"

เพื่อนสองคนบอก อศวมินทร์พยักหน้าเออออเดินเข้าโรงอาหารมาพร้อมมาวิน ครั้นได้ของกินครบทั้งคู่ก็หาโต๊ะนั่ง ขณะเดินผ่านผู้คนเข้าไป อศวมินทร์พยายามหักห้ามใจไม่ขุ่นเคืองเพราะหลายสายตาหันมาจับมอง เด็กหนุ่มชำเลืองมองมาวินที่ยังท่าทีปกติเพราะเป็นคนไม่สนโลก เอาอย่างเพื่อนบ้างด้วยการทรุดกายนั่งทำเมิน

"แก แกเห็นปะ" เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเริ่มขึ้นในกลุ่มเพื่อนฝูง ขณะอศวมินทร์นั่งตักข้าวทาน

"เห็นอะไรวะ"

"นั่นไง..." คนได้ยินชะงัก พยายามปล่อยผ่านคิดว่าไม่ใช่ตัวเอง เด็กหนุ่มเจ้าอารมณ์ก็จริง แต่จะหารื่องใครแบบไม่มีเหตุผลน่ะไม่เคย

"รู้รึเปล่า ว่าแม่เขาเป็นเอดส์ตาย ตอนมีชีวิตอยู่คนเขาก็ลือกันให้แซดว่าไปหาผู้ชายถึงบ้าน ที่มันหนีไปคงเพราะไม่ถูกกับพ่อเลี้ยงมั้ง มีคนเล่าให้แม่ฉันฟังนะว่าไอ้นั่นไม่มีอะไรติดตัวมาเลย" เสียงซุบซิบนั่นทำเอาคนฟังทานอะไรไม่ลง เด็กหนุ่มนิ่ง มองเอื่อยไปที่อื่นแสร้งไม่ได้ยิน

หากทว่ามือกำช้อนสั่นไหว

"ก็ผัวเก่าตายเป็นปีๆ แล้ว เป็นแก แกก็คงอยากใช่มั้ยล่ะ"

"ติดเอดส์ผัวใหม่เหรอ บ้าแล้ว อะไรจะตายเร็วขนาดนั้น ข่าวแกไม่กรองละมั้ง"

"เขาอาจจะมีหลายคนแล้ว แต่คนนี้ลีลาดีกว่าคนอื่นไง..."

มาวินชะงัก มองเพื่อนที่กำลังนั่งกัดฟันกรอดข่มใจก็ถึงกับกลืนข้าวไม่ลงคอ หางตาเห็นมือของอศวมินทร์สั่นไหวเก็บกลั้นอารมณ์ หากจะโกรธก็คงไม่แปลก เพราะสิ่งที่พวกเธอเหล่านั่นเล่าติดตลกคือมารดาของเพื่อนรัก หนำซ้ำยังใช้วิธีพูดถึงอย่างหมิ่นเกียรติ

"แกว่าดีไหม มีผัวเป็นปลิง"

"แสดงว่าโดนดูดจนตาย"

ปัง!

ไม่ทันจะได้รู้ว่าเสียงใครเป็นคนตบโต๊ะ มาวินอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าอศวมินทร์จะทนไม่ไหว ลุกเดินไปหาเรื่องผู้หญิงถึงที่ "คิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วจะพูดเหี้ยๆ อะไรก็ได้เหรอ!"

นักเรียนหญิงหน้าเหวอ เงยมองด้วยความตกใจ "อะ อะไร เราเปล่านะมิน เราพูดเรื่องดารา"

"มึงพูดเรื่องครอบครัวกู!" เด็กหนุ่มทุบโต๊ะอีกครั้งจนทั้งกลุ่มเงียบกริบ นักเรียนหญิงหน้าถอดสีทันทีเมื่อหลายสายตาในโรงอาหารหันมามองเป็นตาเดียว อศวมินทร์กำหมัดให้เห็น เจ้าหล่อนหลุบตามองอึกอัก

"ทำ...ทำไมพูดแบบนี้กับเราล่ะ เราเป็นผู้หญิงนะ"

"แม่กูก็เป็นผู้หญิงทำไมมึงถึงไม่ให้เกียรติล่ะ ถ้ามึงอยากได้เกียรติก็ให้เกียรติคนอื่นก่อนสิ"

เธออ้าปากค้าง สรรค์หาคำพูดมาเอ่ยไม่ได้ "ไปบอกแม่มึงด้วยว่าอย่าเอาเรื่องมั่วๆ ไปบอกคนอื่นอีก ไม่งั้นกูจะเอาขี้ไปยัดปากแม่มึงถึงบ้านแน่ จะได้ปากเหม็นสมเป็นแม่ลูก!" พูดจบ เสียงหัวเราะในโรงอาหารก็ดังขึ้นระนาว แม้แต่เพื่อนในกลุ่มของหล่อนก็ยังหลุดขำพรืด

เสียงร้องไห้แห่งความอับอายของเด็กสาวดังขึ้นหลังจากเด็กหนุ่มเดินกลับมานั่งที่เดิม เล่นเอามาวินที่นั่งใจแป้วตรงนี้ผ่อนปรนอารมณ์ขึ้น นึกว่าเพื่อนจะเดินไปกระทืบเด็กนักเรียนหญิงคนนั้นเสียอีก

"พวกมึง บ่ายนี้กูขี้เกียจ ออกไปข้างนอกกันไหม"

เพื่อนในกลุ่มเริ่มถาม "กูไปไม่ได้ว่ะ ลุงกูด่าเรื่องคะแนนสอบครั้งที่แล้วฉิบหาย จะหักค่าขนมกูด้วยที่สำคัญ" มาวินตอบคนแรก

"โถ เรื่องปกติเลย มึงกลับไปให้ลุงมึงป้อนนมต่อเถอะพวกูกูไม่ซี เดี๋ยวถ่ายรูปอวดให้อิจฉาน้า" โป้ง เพื่อนจอมค่อนแคะลอยหน้าลอยตากล่าว นั่นทำเอามาวินเถียงไม่ออก ฉายาเขาคือลูกแหง่ หรือไอ้คุณหนูสำหรับเพื่อนกลุ่มนี้ "เออ ไว้คราวหน้าละกัน"

"โอ๋ๆ ไม่ต้องน้อยใจ เดี๋ยวพวกกูพาไอ้มินไปปลอบใจ หาเดินเที่ยวตากแอร์เย็นๆ แทนมึงเต็มที่ไม่ต้องห่วง"

อศวมินทร์ทำได้เพียงยกมุมปากยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของมาวินยามถูกล้อเลียน ถูกที่อินทัชคือฮีโร่ของมาวิน แต่ผิดที่มาวินเชิดชูผู้ชายคนนั่นเกินจริงไปหน่อยก็เท่านั้นเอง ไม่แปลกที่เพื่อนๆ จะเห็นเป็นเรื่องน่าขัน

ดังนั้น บ่ายวันนี้อศวมินทร์กับกลุ่มเพื่อนจึงโดดเรียนออกเที่ยวเตร่ เหตุเกิดเพราะวันนี้เขาอารมณ์เสียจนไม่อยากเรียน

ที่แรกคือร้านเกม แม้กฏหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดเข้าก่อนบ่ายสอง แต่ก็มีบางที่หละหลวมเรื่องกฏเพราะเห็นมากลุ่มใหญ่ ทั้งหมดใช้เวลาสนุกสนานกับเกมความรุนแรงอยู่สามชั่วโมง รู้สึกหิวจึงชวนกันออกไปหาของกินในห้าง แม้จะถูกจำกัดเรื่องเงินอยู่ก็ยังไม่สนใจ อศวมินทร์เอ่ยปากว่าจะเลี้ยงเพื่อนทุกคนเอง

ในขณะเลือกอาหารอยู่ในร้าน เหลือบมองออกไปนอกกระจก อศวมินทร์ชะงักสายตาเมื่อเห็นร่างสูงซึ่งไม่ได้พบเป็นเดือนๆ สวมชุดสูทเต็มยศแต่งกายเรียบหรู กำลังเดินประสานยิ้มกับหญิงสาวคนสวยคนหนึ่ง

เดาได้จากการคลี่ยิ้มเต็มใบหน้าส่งให้กันนั้น คงรู้จักมักคุ้นกันดี

เสียงเพื่อนคุยปรึกษาเรื่องเมนูอาหารไม่ได้เข้ามาในความคิดอศวมินทร์ เด็กหนุ่มมองตามสองร่างที่เดินผ่านหน้าร้านไปพร้อมกับการ์ดหน้าฝรั่งสองสามคน แต่สิ่งที่สะกดสายตาให้กำหมัดอย่างลืมตัว ก็คงจะเป็นมือขาวๆ ของสตรีคนนั้นกำลังควงแขนอินทัชอย่างแนบแน่นสนิทสนม!

อศวมินทร์กำหมัดจนสั่นไหว แม่เขาเสียไปกี่เดือนกัน เหตุใดจึงเดินควงผู้หญิงได้หน้าตาเฉย ยิ่งเห็น เด็กหนุ่มยิ่งโมโห มันตอกย้ำว่าที่อินทัชเลือกคบหาดูใจกับมารดาเขาเพราะน้ำเงินล้วนๆ!





เวลาสามทุ่มกว่าของวัน เป็นเวลาปกติที่จะต้องเดินทางมาถึงคฤหาสน์หลังนี้ อินทัชยกสัมภาระขึ้นถือด้วยความเมื่อยล้า ก่อนเปิดประตูรถออกมาด้านนอก ชายหนุ่มยืนบิดกายไล่ความเมื่อยอยู่ครู่ เห็นคนรับใช้วิ่งกรูกันมาช่วยยกข้าวของเช่นเคย

"มินกลับมาหรือยังพิน" ชายหนุ่มถามพลางยื่นให้ คนใช้ยิ้มรับ "มาได้ครู่ใหญ่แล้วค่ะคุณอ้าย อยู่ในห้องนอนเล่นคอมพิวเตอร์คุยกับเพื่อนอยู่ อีฉันเพิ่งเข้าเอานมอุ่นไปให้" นางตอบ

อินทัชยิ้มพอใจเมื่อได้ยินแบบนั้น "ดีแล้วล่ะ ฉันวานให้เอาของไปไว้ในห้องทำงานนะ"

ครั้นมอบหมายคำสั่งแล้ว อินทัชเดินลากเท้าเอื่อยในชุดสูทสุภาพเข้ามาด้านใน ห้องโถงเริ่มมีการปิดไฟบางมุมไปแล้ว ที่เปิดไว้ก็คงรอให้เขากลับมาเสียก่อน ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพ้นหน้าอศวมินทร์ไปได้อีกหนึ่งวัน มือหนายกขึ้นปลดสายเนคไทบนคอ ปลดกระดุมข้อมือเดินขึ้นไปชั้นสอง

ในขณะที่ไขกุญแจห้องพัก ชายหนุ่มยกนาฬิกาดูเวลาไปพลาง เมื่อประตูเปิดได้ หลังคอเขาเย็นวาบเมื่อร่างกายซวนเซไปด้านหน้า ตามแรงผลักของใครสักคนที่มาจากด้านหลัง!

อินทัชล้มเข้าในห้องตนเองซึ่งยังมืดสลัว ด้วยความตกใจจากแรงผลักนั้น ครั้นร่างกระทบกับพื้นห้องได้ก็รีบหันหน้าขวับไปมองด้วยความใครรู้ ใครกันที่ผลักเขา

"มิน!"

อินทัชเบิกตา ร่างกายแข็งทื่อเมื่อเห็นเด็กหนุ่มก้าวเดินเข้ามาภายใน ทั้งสีหน้า แววตา ราวกับเขาไปทำเรื่องคอขาดบาดตายให้โกรธเสียอย่างนั้น ยิ่งไปกว่าสายตาที่มองมา คือมือของเจ้าตัวที่ขยับไปปิดประตูห้องพร้อมลงกลอน มันหมายความว่าอย่างไร อินทัชไม่เข้าใจสักนิดเดียว!



**********************************

หมายความว่าลุงอ้ายกำลังจะถูกน้องมินจัดการไงค้า 5555

เอาล่ะสิ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เดี๋ยวได้รู้กันตอนหน้า

แอบหมั่นไส้อีพี่คิมเล็กน้อย ฮึ่ย!

คอมเม้นเป็นกำลังใจด้วยน้า

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
อืมมม ไม่รู้ซิเหมือนอ่านแล้วรำคาญคนแบบลุงอ้ายยังไงชอบกล

ให้เหตุผลไม่ได้ว่าไม่ชอบตรงไหนอ่ะ อ่านแล้วพรานหงุดหงิดยังไงไม่รู้

เฮ้ออออ สงสัยคงต้องรอให้อะไรๆ มันดีขึ้นละมั้ง มิมใจเย็นๆ นะลูก อย่าใจร้อน

ฟังเหตุผลจากคนอื่นบ้างนะลูก

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
น้องมินอย่ารุนแรงกับลุงอ้ายมากนักนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1086
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ว่าจะเม้นท์ตั้งกะตอนที่8 แต่คอมที่ทำงานตอบเม้นท์ไม่ได้ ขัดใจมากกกกกกกกกกกก อยากด่าอิลุงอ้ายนี่มากกกกกก ยังมีคนเห็นว่าแม่งไม่ผิดอีกหรอ สวมคราบผัวแม่แล้วมาทำยังงี้กับลูก จะบอกว่ามินผิดที่ยั่วก่อน? ก็มินไม่รู้นี่ว่าแม่งเป็นใคร แต่คนที่รู้แล้วยังทำนี่สิ สร้างแผลย้ำให้คนที่บอบช้ำอยู่แล้วน่ะ สมควรได้รับการให้อภัยหรอ

อิคนแม่ก็เนาะ อ่านจนตายไปแล้วยังไม่สงสารเลย คร่ำครวญให้ลูกกลับมาเพื่อ? เลี้ยงลูกยังไง กลัวลูกเลี้ยงเสียใจเลยยอมให้ลูกแท้ๆเสียใจแทน? ตรรกะคือ?? พอผัวตายก็เอาผัวใหม่เข้าบ้านลูกไม่ยอมก็ไม่ฟัง ทำขนาดนี้แล้วยังจะเรียกร้องเอาอะไร

ภาวนาให้มินแม่งแค้น เอาคืนอิลุงนี่ให้หนัก ให้แม่งกระอักซักที แต่พออ่านมาถึงตอนที่10 กรรมเวร ไม่อยากจะเดาเลยว่าลากเข้าไปทำอะไร ขออย่าให้เป็นแบบที่คิด ปากบอกแค้นนักแค้นหนา แล้วมายอมง่ายๆนี่หมดเลยนะ  :katai1:

ปล.อาจใช้คำไม่สุภาพเนื่องจากอินจัด เกลียดอิลุงอ้ายมากกกกกกกกกกกกกก โปรดเข้าใจ

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
น้องมิน ทำอะไรก็คิดให้รอบครอบก่อนนะ
เสียใจมามากแล้วไม่ใช่เหรอ

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
 :katai1:ม่ายยยยยนะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๑

ความมืดเบื้องหน้าทำให้อินทัชมึนงงเล็กน้อย ในขณะที่ร่างขยับจะลุกกลับถูกแรงผลักจากด้านบนให้ล้มลง ชายหนุ่มเบิกตามองตรงหน้าตกใจ ความสลัวของห้องไม่อาจปิดสีหน้าอศวมินทร์จากความทรงจำเมื่อครู่ได้ว่าเป็นอย่างไร เคืองโกรธเพียงไหน  นั่นทำให้อินทัชหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย

ร่างตรงหน้าขยับ แสงหัวเข็มขัดแวววับแสดงให้ชายหนุ่มเข้าใจแจ่มแจ้งว่ากำลังถูกถอด พร้อมเสียงฝีเท้าเด็กหนุ่มตรงหน้าย่างกรายเข้ามา

"จะทำอะไร!" อินทัชปั้นเสียงดุ ดันกายจะลุกก็ถูกกำลังด้านบนกดลง วินาทีที่เห็นอศวมินทร์ถือเข็มขัดในมือ นั่งทับตัวเขาไว้อยู่อย่างนี้ทำเอาใจหายวาบ

"ทำไม คิดว่าผมจะทำอะไรคุณเหรอ" คนด้านบนยียวนชวนขนหัวลุก แม้จะคล้ายทีเล่นทีจริง แต่คนฟังกลับรู้สึกเย็นยะเยือกพูดไม่ออก ในเวลานั้นอินทัชพยายามออกแรงสู้ เมื่อมือทั้งคู่ถูกดึงเข้าไปในตัวเข็มขัดสายยาวแล้วขึงรัด แววตาของเด็กต่อหน้าไม่เหลือเค้าอศวมินทร์คนเดิมที่เขารู้จักอีกต่อไปแล้ว  "จะทำอะไร ปล่อยฉัน!"

"คิดว่าผมพิศวาสคุณมากนักเหรอ ตั้งแต่เห็นคุณกับแม่ผมก็ขยะแขยงจะตายอยู่แล้ว!" คนกล่าวหอบหายใจ "แต่ทำไมต้องมาอยู่ในบ้าน มาทำให้ครอบครัวชื่อเสียงพ่อแม่ผมสกปรกตามตัวคุณด้วย ทำไม!"

อินทัชดิ้นสู้ พยายามออกแรงให้เข็มขัดที่รัดขาดออกจากกัน แต่คงไม่เท่าแรงคนที่นั่งทับด้านบน "ฉันไม่เข้าใจ พูดเรื่องอะไรของเธอ"

"วันนี้ไปไหนมา"

"ปล่อย ฉันไปทำงาน!"

อินทัชกัดฟันกรอดออกแรงขืน พยายามพลิกกายให้หลุดพ้น "รักแม่ผมไหม รักไหม!"

"ถามทำไม"

อศวมินทร์เดือดกว่าเดิมหลังถูกย้อนด้วยคำถามนี้ เด็กหนุ่มดึงสายเนคไทคนใต้ร่างสุดแรง อีกข้างก็กดสองแขนของอินทัชไว้ "ถามว่ารักไหม!"

"รัก ฉันรักปรางค์..." อินทัชหอบหายใจ สายเนคไทรัดคอจนแทบหายใจไม่ออก วินาทีนั้นภาพหลายภาพแล่นเข้ามาในหัวชายหนุ่ม เสียงสูดลมหายใจดังฟืดฟาดและลำขายาวกระแทกพื้นขณะขืนสู้ ภาพหญิงสาวคลี่ยิ้ม ภาพน้ำตายามขอร้องเขา ภาพเธอยกมือไหว้น้ำตาไหลทั้งคุกเข่าขอร้อง

"รักแล้วทำไมไม่ตายตามแม่ไป หา!"

ภาพรอยยิ้มของอศวมินทร์ ภาพยามเด็กหนุ่มหัวเราะเสียงดังอยู่ข้างหู อินทัชคิดว่าคงไม่ได้เจอสีหน้าแบบนั้นอีกแล้ว ชายหนุ่มเจ็บหนึบในคอหอย หายใจไม่ออกร่างกายแทบหมดเรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้น

'ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไงฉันจะยังเป็นเหมือนเดิม...'

เขาเคยพูดแบบนี้กับเด็กน้อยตรงหน้าสินะ อินทัชเบิกม่านตามองคนด้านบนอย่างอ่อนแรง เสียงลมหายใจขาดห้วงคือคำตอบตอนนี้ เขาใกล้จะขาดใจทุกที

แรงสั่นไหวกอปรเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงหวีดรัอง สมองอินทัชอื้ออึงดิ้นพล่านสู้แรงด้านบน ความวุ่นวายโกลาหลประเดประดังเข้าหัวให้มึนงงไปชั่วขณะ ประกอบกับประตูถูกเคาะ นาทีนี้ใครก็ได้ที่เรียกเขาช่วยดึงเอาคนด้านบนไปที อินทัชเฝ้าแต่ภาวนาเช่นนั้นซ้ำๆ

"มิน เปิดประตูให้พี่หน่อย มิน!" เสียงคิมหันต์ ขณะที่อศวมินทร์หันไปตามเสียงเรียก ยามอีกฝ่ายเผลออินทัชก็พลิกกายตะเกียกตะกายพยายามลุกขึ้นวิ่ง แต่เพราะมือที่ถูกมัด ทำให้ขยับได้ยากลำบาก อินทัชล้มลุกคลุกคลานไปเปิดประตู แม้อศวมินทร์ตามมาดึงรั้งไว้ได้ อย่างน้อยคิมหันต์ก็เข้ามาได้แล้ว

"ทำไมไม่ตายตามแม่ผมไป หา ทำไม!" อินทัชเข่าทรุดมาหอบเอาแรง

"ทำอะไรน่ะมิน หยุด เลิกคลั่งได้แล้ว"

"ปล่อยกู ปล่อย!"

เสียงเด็กหนุ่มร้องตะโกนใส่ระบายความคลั่ง ขณะคิมหันต์กันท่าไว้ก็ได้ยินเสียงแม่บ้านวิ่งขึ้นมา ชายหนุ่มไม่มีแรงเอาเสียเลย ร่างหนาสั่นเร่าคิดว่าจะได้ตายตามปรางคณางไปแล้วจริงๆ ออกซิเจนที่ขาดไปยามนี้อินทัชสูดเข้าเต็มปอด ปล่อยให้พินแกะเข็มขัดที่รัดข้อมือออกให้

"เป็นอะไรไหมคะคุณอ้าย เจ็บตรงไหนไหม!"

"ไม่ ไม่เป็นไร..." ชายหนุ่มส่ายหน้า ขออยู่คนเดียวสักพัก

แม้อศวมินทร์จะถูกพาตัวออกไปและเหตุการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว อินทัชยังไม่หายใจเต้นรัวด้วยความตกใจ สุ้มเสียงจากอศวมินทร์ยามถูกพี่ชายดึงออกไปจากห้องยังสะท้อนอยู่ในหัวไม่จางหาย ชายหนุ่มยกมือหนากุมใบหน้าตนเอง แม้ไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิด แต่แววตาโหดร้ายเอาแต่ใจของผู้กระทำยังตราตรึงอยู่

เหนื่อยเหลือเกิน

มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกง โทรศัพท์ยังคงกรีดรีองบอกว่ามีใครสักคนโทร. มา อินทัชขยับเดินไปทิ้งกายลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน กดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นคุณประจักษ์ ชายหนุ่มปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุดเพื่อตอบรับ แม้ใจจริงแล้วร่างกายสั่นเทาเป็นตรงกันข้าม

"ขอโทษที่โทร.ไปรบกวนเวลาพักผ่อนนะครับคุณอ้าย ผมจะโทรมาขอบคุณคุณแทนน้องมินน่ะครับที่ช่วยรักษาภาพพจน์บริษัทวัฒนาโชติให้ คุณอลิสเธอเป็นลูกสาวคู่ค้ารายใหญ่ของเรา การตายของคุณปรางค์ทำให้บริษัทมีผลกระทบมากทีเดียว"  อินทัชครางรับในลำคอเมื่อได้ฟัง

คุณประจักษ์คงไม่รู้ ว่าคนถือหุ้นส่วนเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทได้มาขอบคุณด้วยการใช้กำลังประทุษร้ายเขาก่อนแล้ว

"ยินดีครับ ถ้าจะทำให้คู่ค้าทั้งหมดมีความเชื่อมั่นในบริษัทเพิ่มขึ้น ให้ได้ประคับประคองต่อไปอีก"

"ขอบคุณมากครับ แล้วนี่เธอต้องการจะไปที่ไหนเพิ่มอีกรึเปล่าครับ"

อินทัชยกมือนวดขมับและลูบใบหน้าที่มันแผล่บ เอ่ยด้วยเสียงล้าเต็มที "เธอบอกว่าต้องการไปเที่ยวพัทยาน่ะครับ ผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเกี่ยวข้องกับความเชื่อมันของบริษัท พยายามทำให้ทางนั้นพึงพอใจที่สุด"

"ขอบคุณนะครับ คู่ค้าหลายคนคงวางใจถ้าผู้บริหารรักษาการแทนเป็นคุณ งั้นไม่รบกวนแล้วล่ะครับ"

อินทัชทอดถอนใจ วางโทรศัพท์ไว้ข้างกายอย่างต้องการพักผ่อนเต็มกำลัง หลังจากออกแรงสุดชีวิตเพื่อให้มีชีวิตต่อไป ขณะนอนก่ายหน้าผากในความสลัว ภาพของอศวมินทร์ยังไม่ลืมเลือนไปจากความทรงจำ สีหน้าและแววตายามตะเบ็งเสียงใส่เขา บอกได้เป็นอย่างดีว่าต้องการส่งเขาลงนรกไปจริงๆ!

ชายหนุ่มหลับตา เก็บเอาความหวาดหวั่นในใจออกไปพร้อมออกสู้ในวันพรุ่งนี้ข้างหน้า ถ้อยคำที่ได้ให้สัญญาปรางคณางว่าจะดูแลอศวมินทร์ให้เติบใหญ่เป็นคนดี บัดนี้มีแต่หมอกความเกลียดชังจากเจ้าตัวปิดจนมิด หาเส้นทางนั้นไม่เจอเอาเสียเลย



"ปล่อย ปล่อยกู ปล่อย!"

คนถูกลากออกมาตะเบ็งเสียง แขนขาเหวี่ยงไปมาเฉกเช่นเดียวกับอารมณ์ตอนนี้ที่คุกรุ่นไม่ลดลง อศวมินทร์ยื้อกายให้หลุดออกจากมือพี่ชายตามอารมณ์ อยากจะไปจัดการสะสางเรื่องกวนใจให้มันจบ "มึงไม่มีสิทธิ์มาห้าม ได้สมบัติแล้วก็ออกจากบ้านไปสิวะ!"

"พี่ไม่ไป แม่ฝากพี่ดูแลมินแล้วพี่ก็รับปากแล้วด้วย" คิมหันต์ดึงน้องชายมาบอก มือหนาสัมผัสปลายผมคนตรงหน้าอ่อนแผ่ว นึกถึงยามน้องชายยิ้มให้อย่างสดใส แต่วันนี้กลับผันไปไม่เหลือภาพเดิมจนเขาใจหายรับไม่ได้

 "อย่าไปใส่ใจผู้ชายคนนั้นเลย สามปีไม่นานหรอกนะมิน อีกหน่อยก็จะไม่ได้เจอหน้ากันแล้ว ทนหน่อยนะ"

"เลิกเซ้าซี้กูสักทีได้ไหม กูไม่ได้โง่นะ" อศวมินทร์สวนทั้งยกมือจิ้มอกตัวเอง สะบัดมือคนที่เคลื่อนมาไล้เส้นผมอย่างรู้ทัน แม้จะเคยรักมาก แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เขามีภูมิต้านทานมากขึ้น และส่งผลกระทบให้เกลียดอีกฝ่ายมากขึ้นกว่าสิบเท่า

"กูโดนทำแล้วกูจำ กูไม่ใช่ควาย จะไปตายที่ไหนก็ไปไอ้สัตว์ คนหน้าตัวเมียอย่างมึงไปมุดผ้าถุงยายแก่แล้วซ่อนอยู่ในนั้นตลอดชีวิตเถอะ!"

"พี่รักมินเหมือนเดิม แค่ไม่อยากให่แม่ผิดหวังในตัวพี่ก็เท่านั้นเอง มินจะเอาคืนไหม สมบัติอะไรนั่นพี่ไม่อยากได้ ถ้ามินคิดว่าพี่เป็นฝ่ายแย่งมา" คิมหันต์กุมมือคนยืนหันหลังให้

"แม่เสียแล้ว พี่ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนใคร เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันได้ไหม..."

อศวมินทร์เบิกตาหลังได้ฟัง เด็กหนุ่มหันไปมองเจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งด้านหลังอย่างไม่เชื่อหู ถ้อยคำนี้อศวมินทร์ไม่คิดว่าจะได้ยิน เขาคิดว่ามันไม่มีทางออกมาจากปากคิมหันต์แน่ เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะคิมหันต์เป็นคนจำพวกเดินหน้า ไม่เคยถอยหลัง...

ในเวลาที่ทั้งคู่มองหน้ากันเช่นนี้ อศวมินทร์นึกถึงหน้ามารดาขึ้นมาเป็นอันดับแรก จะว่าเกลียดคิมหันต์ก็เกลียด จะว่ายังผูกพันก็คงไม่แปลก คิมหันต์คือคนที่เติบใหญ่พร้อมกันตั้งแต่ยังเด็ก แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายทีไรเขาก็ปวดหนึบใจในทุกครั้ง ราวกับหนามยอกอกที่ไม่มีวันหาย

"เราเหลือกันอยู่สองคนนะมิน พี่ไม่ทิ้งมินไปอีกคนหรอก" คนบอกทำหน้าจริงจัง

"ไปให้พ้นหน้ากูซะคิม ถ้ากูได้เกลียดใครแล้วก็เกลียดเลย มึงก็รู้ดีนี่"

"แต่มินก็รักพี่ไม่ใช่เหรอ"

คิมหันต์โพล่งขึ้น ทำเอาคนฟังถึงกับชะงักไปในบัดดล เด็กหนุ่มหันตัวสูงไปประจัญหน้าอีกฝ่ายสีหน้าเอาเรื่อง "รักควายๆ แบบนั้น กูลืมไปหมดแล้ว จากนี้กูจะรักแต่ตัวเอง กูจะเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นมึงเลิกใช้คำว่ารักกับกูได้แล้ว มันไม่มีความหมาย..."

คนบอกยกนิ้วชี้ย้ำเตือนอย่างเอาเรื่อง ก่อนผละเดินจากมา ครั้นกายสูงพ้นขอบประตูห้องนอนตัวเองเท่านั้น เข่าที่เก่งกล้าก็อ่อนเปลี้ยขึ้นมาเสียเฉยๆ เมื่อนึกเห็นสีหน้าของผู้ถูกกระทำ เมื่อเสียงของคิมหันต์สะท้อนอยู่ก้องหู อศวมินนั่งกอดเข่าซุกใบหน้าขี้แพ้ของตัวเองอย่างนั้นไม่อาจให้ใครเห็น อับอายแม้กระทั่งตัวเอง

เหตุใดจึงทำหน้าไม่รู้เรื่องอย่างนั้น เหตุใดจึงตีสองหน้าได้แยบคายจนเขาแทบจะเชื่อ ไม่สิ...เขากำลังจะชื่อว่าอินทัชไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นจริง หากไม่เห็นกับตา

ภายในห้องพักสลัวด้วยแสงจากโคมไฟบนหัวเตียง อศวมินทร์ทิ้งกายลงบนเตียง ขี้เกียจอาบน้ำ ขี้เกียจลุกเดินไปไหน เด็กหนุ่มพลิกซ้ายขยับขวาบังคับตาให้ข่มหลับ แต่ยากเหลือเกินที่จะเป็นไปตามคำสั่งเมื่อยังมีภาพสีหน้าเจ็บปวดของใครสักคนลอยเด่นขึ้นมา

สะใจ...ใช่! เขาควรสะใจ

นานเท่าไรไม่ทราบที่เด็กหนุ่มได้นอนพักผ่อนแบบสนิทตา เสียงนาฬิกาที่ถูกตั้งค่าไว้ก็หวีดร้องปลุก อศวมินทร์ลุกเดินไปอาบน้ำชำระร่างกายอย่างเช่นทุกวัน หนำซ้ำเมื่อคืนเขาก็หลับไปทั้งชุดนักเรียน

เวลาเช้าของทุกวันเมื่อลงมาด้านล่างมักจะได้ทราบว่าอินทัชออกจากบ้านไปแล้ว อศวมินทร์ถือกระเป๋านักเรียนเดินเอื่อยมานั่ง ได้ยินเสียงรถยนต์คุ้นๆ ด้านนอกก็จำได้ว่าเป็นของใคร วันนี้อีกฝ่ายออกไปสายกว่าทุกวัน เด็กหนุ่มปรับสีหน้า ก้มหน้าก้มตามองชามอาหารแต่ไม่รู้สึกหิวอะไรสักอย่าง


เดินทางถึงโรงเรียนตามปกติ มีเพียงสีหน้าที่เพื่อนฝูงเดาออกว่าคงเจอะเจอปัญหาอะไรมาสักอย่าง แม้จะทำทียิ้มแย้มสนุกสนานไปเรื่อยเปื่อย ทว่ายามอยู่คนเดียวรังสีทะมึนมืดจากสีหน้าชวนคนมองใจหวิว ขณะกำลังนั่งเรียนภายในห้องเงียบเชียบ เสียงเคาะประตูเรียกให้นักเรียนทุกคนหลุดจากสมาธิหันไปทางต้นเสียง

"ขออนุญาตค่ะ อศวมินทร์ มาพบอาจารย์ที่ห้องฝ่ายปกครองหน่อยจ้ะ" อาจารย์สาวบอก คราวนี้ทุกสายตาเบนมายังเด็กหนุ่มที่นั่งตรงนี้แทน อศวมินทร์งุนงงกับเรื่องนี้ ร่างสูงลุกขึ้นยืน เห็นแววตาแกมดุของอาจารย์ที่ปรึกษาสาวจึงรีบเก็บชายเสื้อเข้ากางเกงให้เรียบร้อย

ขณะเดินตามหลัง คนที่อยู่ด้านหน้าก็กันมากล่าว "ที่ครูไม่ประกาศเรียกเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่เอิกเริก เธอเองก็ควรมีสติ คิดให้ดีก่อนจะพูดจะทำอะไรในห้องนั้นนะมิน"

อศวมินทร์ก้มหน้ามองพื้น แม้ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างกลับเอ่ยรับ "ขอบคุณครับครู"

"เธอเป็นเด็กมีเหตุผล ฉลาดพอที่จะคิดเองได้ก็จริง แต่สังคมสมัยนี้..." หากพูดไปจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอกไหม อาจารย์สาวเงียบเสียงไป เพราะเธอเองก็ยังระอากับมิติมุมมองของสังคม ความตรงเถรมันดี แต่แน่นอนว่ามันคือผลเสียกับใครหลายคน

สังคมที่เธอยู่นี้ไม่ชอบคนตรงเถร หากใครเลียแข้งเลียขาประจบสอพลอเก่งคือผู้ชนะ สังคมที่มีเพียงแต่หน้ากาก แต่ไม่ควร ไม่ควรบอกให้เด็กอย่างอศวมินทร์โกหก หญิงสาวคิดพลางหันไปส่งยิ้มจางให้นักเรียนในการดูแล "เข้าไปได้แล้วจ้ะ"

อาจารย์ที่ปรึกษาเปิดประตูให้ สิ่งที่เด็กหนุ่มเห็นตรงนี้ทำให้เขาต้องชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปด้านใน ไปยังเก้าอี้ที่อาจารย์ฝ่ายปกครองผายมือบอก ตรงกันข้ามกับเด็กนักเรียนหญิงคนเมื่อวาน บัดนี้พ่วงด้วยมารดาในสภาพชุดคุณนายเชิดคอรอเชือดเขาอยู่!



*******************************

โอ้ยยยยย ลำบากยากเข็ญ เช้าเย็นฝนก็ยังตก ปัจจุบันน้ำท่วมแล้ว

ก็เลยยุ่งๆ กว่าจะได้อัพนิยาย อนาถใจแปป T T

ขอบคุณสำหรับกำลังใจเน้อออ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2015 19:01:57 โดย noonaaRP »

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
สงสารลุงอ้าย เกือบตายแล้วมั้ยล่ะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
สงสารลุงอ้าย เกือบตายแล้วมั้ยล่ะ

เรื่องนี้เน้น sm เป็นหลักค่ะ โดยเฉพาะฉาก nc 5555

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เรื่องนี้เราไม่สงสารลุงอ้ายนะ เราสงสารมินมากกว่า มินต้องทำเป็นเข้มแข็งเพราะต้องปกป้องตัวเอง คนเรานะโดนทรยศหักหลังแค่ครั้งเดียวมันก็มากเกินพอแล้วและคงต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อจะรักษาแผลใจ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เรื่องนี้เราไม่สงสารลุงอ้ายนะ เราสงสารมินมากกว่า มินต้องทำเป็นเข้มแข็งเพราะต้องปกป้องตัวเอง คนเรานะโดนทรยศหักหลังแค่ครั้งเดียวมันก็มากเกินพอแล้วและคงต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อจะรักษาแผลใจ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่า รออ่านตลอดเลย

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๒

เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานก้องสะท้อนใจอศวมินทร์ที่นั่งเป็นจำเลยอยู่มุมนี้ เหล่าอาจารย์นั่งขมวดคิ่วมุ่นตีหน้าขรึม แต่ไม่ได้สร้างความหวั่นหวาดแก่ใจเด็กหนุ่มคนนี้สักนิด เขาอยากทราบเสียจริงว่านักเรียนหญิงคนนี้จะมาเอาผิดอะไรกับเขา เพราะอศวมินทร์ระลึกถึงการกระทำคราวนั้นเสมอ นอกจากต่อว่าให้อับอายตนก็ไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งสิ้น เหตุใดต้องพาผู้ปกครองมาโวยถึงที่นี่กัน

หรือจะอวดเบ่งว่าตนใหญ่คับฟ้าแค่ไหน

"คืออย่างนี้ค่ะครูใหญ่ ปกติลูกสาวฉันเป็นร่าเริงน่ารักสดใส แต่เมื่อวานกลับบ้านไปก็หน้าซึมเอาแต่เก็บตัวเงียบในห้อง ดิฉันถามเท่าไรก็ไม่ยอมบอกสักคำ พอโทรไปถามเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันถึงได้รู้" คนเล่าชำเลืองตามาทางด้านนี้ ก่อนจะหันไปหาครู่ใหญ่อีกครั้ง "มีคนใช้คำพูดประจานลูกสาวฉัน แล้วดิฉันก็ทราบมาด้วยว่ามีการข่มขู่"

ภายในท้องแอร์เย็นเฉียบ แต่แววตาและคารมณ์ของบางคนร้อนระอุ "ลูกสาวฉันต้องอับอายขนาดไหนที่เดินไปไหนมาไหนคนก็หัวเราะเยาะ น้องเขาพูดเรื่องดาราอยู่ดีๆ ก็มีคนมาหาเรื่อง แถมด่าถึงดิฉันด้วยอย่างเสียๆ หายๆ แบบนี้ดิฉันไม่ยอมนะคะ น้องอับอายและดิฉันรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก!"

ดูท่าอีกฝ่ายพยายามจะเอาเรื่องอศวมินทร์ เด็กหนุ่มมองคู่กรณี มองอาจารย์ชายที่คาดว่าคงระอากับสิ่งที่ต้องเจอตอนนี้ "ครับ ผมเข้าใจครับคุณแม่ แต่...ผมอยากฟังความทั้งสองฝ่าย..."

ได้ฟังนางก็หันขวับไปมอง "นี่ครูใหญ่คิดว่าฉันโกหกเหรอคะ ฉันจะโกหกทำไม ใครจะอยากแส่หาเรื่องวุ่นวายให้ตัวเองกัน อยู่บ้านทำเล็บทำผมสวยๆ มันดีกว่าไม่ใช่เหรอคะ"

"มันเป็นแค่ปัญหาของเด็กเท่านั้นนะครับ"

"แต่นี่เพราะลูกสาวฉันกำลังอยู่ในโรงเรียนอย่างหวาดระแวงเพราะมีคนขู่ จะไม่ให้ฉันทำอะไรหน่อยเหรอคะ ลูกสาวทั้งคนนะคะ!"

อศวมินทร์นั่งฟังทั้งมุ่นคิ้วตัวเองมองฝ่ายที่นั่งตรงข้าม ยิ่งหางตาเชิดนั่นผละมามอง ปั้นสีหน้าหยามเหยียดส่งมาให้ ยิ่งกระตุกใจคนนั่งทางนี้ เด็กหนุ่มทอดถอนใจ หากอาจารย์ประจำชั้นไม่ขอมีหรือจะเป็นฝ่ายนั่งทนฟังได้นานขนาดนั้น บางทีความอดทนเขาอาจสิ้นสุดลงไปในไม่ช้า

"ใจเย็นๆ ก่อนครับ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณแม่เลย เพียงแต่ผมอยากให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย"

"ฉันเองก็แค่จะมาปรับความเข้าใจ ไม่ได้อยากให้เรื่องราวใหญ่โตอะไรสักนิดนะคะครูใหญ่ เด็กคนนี้ใช้คำพูดข่มขู่ลูกสาวฉัน ประกาศโต้งๆ ว่าจะไปทำร้ายถึงที่บ้าน ฉันเพียงแต่อยากได้รับความมั่นใจและคำขอโทษที่ลามปามฉันก็เท่านั้นเอง"

"เพียงแค่คำพูดที่เด็กพูดน่ะหรือครับ"

"แค่คำพูดก็ต้องขอโทษค่ะ!"

"งั้นคุณก็ควรไปกราบศพขอโทษแม่ผมด้วย" อศวมินทร์แทรกขึ้น ในขณะที่อาจารย์ประจำชั้นยกมือกุมขมับอย่างปวดประสาทกับนักเรียนในการดูแล ครั้นได้ยินแล้ว สองแม่ลูกก็หันมามองตามเสียงผู้กล่าวทันที "เรื่องอะไรมิทราบ"

"คุณกับลูกสาวเองก็พูดจาทำร้ายคนอื่นเขาไปทั่วนี่ครับ ผิดเหรอที่จะถูกด่ากลับบ้าง"

"ลูกสาวฉันพูดเรื่องละครเรื่องดารา ไม่เห็นเกี่ยวกับแม่เธอตรงไหนเลยนี่ ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันว่าแม่เธอถูกเราพูดถึง"

"แล้วคุณมีหลักฐานตอนที่ผมขู่ลูกสาวคุณไหมล่ะ..."

"อศวมินทร์..." อาจารย์ฝ่ายปกครองหันมาสบตาปราม รวมถึงอาจารย์ที่ปรึกษาที่หันมากุมบ่าเด็กหนุ่มให้คุมอารมณ์มากกว่านี้ เห็นเช่นนั้นอศวมินทร์จึงถอนใจ ยักไหล่เอนกายพิงพนักเบาะอย่างช่วยไม่ได้

ดูท่าการวางตัวเช่นนี้จะไม่เข้าตาคุณนายคนนี้เอาเสียเลย หล่อนหันมาชายตามองเด็กหนุ่ม กอปรการวางตัวของอาจารย์เสียเองที่ไม่เป็นกลาง นางจึงส่ายศีรษะหันไปกล่าวกับอาจารย์ฝ่ายปกครองเสียงแข็ง "ดิฉันคิดว่าฝ่ายใครกันแน่คะที่ไม่ยุติธรรม ใครกันแน่ที่ซื้อใจพวกคุณไปเสียหมด"

ครูใหญ่ลอบถอนใจกับปัญหานี้ "ไปกันใหญ่แล้วครับคุณแม่ เรากำลังปราม..."

"แบบนี้แหลค่ะเขาเรียกว่าเข้าข้าง เข้าข้างคนไม่มีสัมมาคารวะ อาจารย์ที่ดูแลเด็กนี่ไม่ได้สั่งสอนบ้างเหรอคะว่าควรวางตัวยังไงต่อหน้าผู้ใหญ่" หางตาเหลือบไปมองอาจารย์สาว แววตาเหน็บส่งไปเป็นนัย

คนฟังหน้าถอดสีเล็กน้อย อศวมินทร์หันไปมองอาจารย์ข้างกายซึ่งถูกตำหนิก็กำหมัด "ครูสอนผมแล้ว!"

"อ้อ...ครูสอน แต่พ่อแม่ไม่สั่งสอนสินะ" หล่อนกล่าว มองเหยียดทั้งกอดอก "ไม่รู้ล่ะ! เด็กนี่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองด้วยกราบขอโทษที่มาลามปามคนอย่างฉัน"

"ผมว่ามันมากเกินไปนะครับ เด็กเขาเพียงแค่มีปากเสียงกัน..."

"แต่ตอนนี้คุณก็เห็นสิ่งที่เขาพูดเขาทำต่อฉัน แล้วคุณก็ปล่อยให้เขาทำตัวต่ำทรามใส่ฉันด้วย รู้ถึงไหนอายถึงนั่นแน่ที่ครูโรงเรียนนี้เป็นคนยังไง สนใจเงินมากกว่าความถูกต้อง เจ้าตัวก็เหลือเกิน ทำตัวเหมือนพวกพ่อแม่ไม่รัก ไพร่! ไม่มีสมบัติผู้ดี!"

"ผมยอมลาออกเลย!" อศวมินทร์กัดฟันกรอด ลุกขึ้นยืนตบโต๊ะเสียงดัง ในระหว่างที่ทุกคนตกใจแหงนมองคนโพล่งเสียงก้องนั้นเอง เด็กหนุ่มก็ขยับกายกล่าวต่อ "แต่ขอต่อยปากอีแก่นี่ก่อน!"

"กรี๊ด!"

เสียงของคุณนายผู้สูงสง่าหวีดร้องผวา เมื่อเด็กหนุ่มพุ่งเข้ามาทั้งง้างมือรอไว้แล้ว หล่อนเหวอจนหงายเงิบหล่นจากเก้าอี้ หากทว่าอศวมินทร์คว้าเสื้อไว้ได้ทัน วินาทีที่เหวี่ยงหมัดไปตามแรงโทสะนั้น ยังดีที่อาจารย์ผู้ชายดึงออกได้ทัน ไม่อย่างนั้นคุณนายปากปีจอคงได้บินไปศัลกรรมกรามใหม่ที่เกาหลีเป็นแน่

"ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย!"

เสียงคุณนายหวีดร้องหลบใต้โต๊ะกับอศวมินทร์ขืนแรงคนปรามจะเข้าไปทำร้ายชุลมุนอยู่พักใหญ่ ท้ายที่สุดอาจารย์ที่ปรึกษาก็ต้อนทั้งผู้ปกครองและนักเรียนหญิงผู้เป็นโจทก์หนีออกจากประตูไปได้ ท่ามกลางร่างกายอศวมินทร์ที่ถูกอาจารย์สามคนรุมรั้งกายห้ามปรามไว้

ไม่นาน คนอารมณ์ร้อนก็นั่งสงบนิ่งได้ในที่สุด ท่ามกลางสายตาตำหนิของทั้งครูอาจารย์ภายในห้อง แต่การได้เห็นมนุษย์คุณนายตกอยู่ในสภาพหัวเพิ้งสีหน้าหวาดหวั่นต่างจากขามาลิบลับนั้น อศวมินทร์ก็สะใจแล้ว เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มขันในใจ หากเอาโทรศัพท์มาด้วยคงได้อัดวิดีโอไปฝากเพื่อนดูกันแล้ว หากทว่าตอนนี้ ต้องผ่านอาจารย์ประจำชั้นออกไปให้ได้เสียก่อน

"ยังจะมานั่งยิ้มสะใจอยู่อีก เธอนี่นะ ครูบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ใจเย็นๆ" หล่อนทอดถอนใจมองเด็กตรงหน้า "นึกถึงใจคนที่เขารับรู้ในสิ่งที่เธอทำหน่อยสิ ครูอยากให้เธอใจเย็นกว่านี้ กว่าเธอจะได้กลับมาเรียนรู้ไหมมันยากขนาดไหน"

เด็กหนุ่มชะงักไปในทันที ในหัวนึกถึงอินทัชขึ้นมาภาพแรก เขารู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นต้องใช้เส้นสาย ใช้น้ำเงินยัดครูอาจารย์ กว่าจะได้กลับมาเรียนมันยากขนาดไหนเขาทราบดีถึงข้อนั้น

"เธอไม่ใช่คนโง่นะมิน เธอเรียนเก่ง เธอรู้ถึงผลที่มันจะตามมา แล้วบอกเลยครูก็รู้ว่าเหตุการณ์นี้จบไม่สวยแน่ ผู้ปกครองคนนี้จะต้องกลับมาเอาเรื่องเธออีก และการที่เธอตัดสินใจทำแบบนั้นมันไม่ถูกเลย มันจะตัดอนาคตเธอ" อาจารย์ที่ปรึกษาถอนหายใจ เธอรับซองสีขาวจากครูใหญ่มาถือแล้ววางไว้ตรงหน้าเด็กหนุ่ม "ครูไม่อยากทำแบบนี้นะ แต่ต้องรายงานพฤติกรรมนี้ให้ผู้ปกครองเธอทราบ เอาจดหมายเชิญผู้ปกครองไปให้พ่อเลี้ยงของเธอเสียนะ เพื่อให้เธอได้เรียนที่นี่ต่อ เราจำเป็นต้องเชิญทั้งสองฝ่ายมาไกล่เกลี่ยกัน"

อศวมินทร์จ้องตาหญิงสาวเบื้องหน้านิ่ง "เขาลำบากวิ่งวุ่นมาเดินเรื่องให้เธอ ยกมือไหว้พวกเราตั้งไม่รู้กี่ครั้งขอให้เธอกลับมาเรียนที่นี่ให้ได้ เพราะเธอมีเพื่อนที่นี่ จะได้ไม่ต้องไปหาเพื่อนใหม่"

คนฟังมองซองขาวตรงหน้านิ่ง ราวถูกไม้มาตีกลางแสกหน้าซ้ำๆ ยามที่อาจารย์ที่ปรึกษาเล่า "อย่าทำให้เขาผิดหวังนะ ครูเองก็อยากเห็นเธอเรียนจบพร้อมเพื่อน"

"ผม...ขอโทษครับ ที่ทำให้ครูโดนด่า"

"ไม่เป็นไรๆ ครูชินแล้ว หน้าที่ส่งพวกเธอถึงฝั่งก็คือหน้าที่ครู และทีสำคัญเรื่องนี้เธอไม่ผิด..." อาจารย์สาวบอก ในตอนนั้นหล่อนเห็นรอยยิ้มสดใสของเด็กเบื้องหน้า ยามเขาเข้าใจว่าเธออยู่เคียงข้างนักเรียนตนเอง "ถ้าไม่อารมณ์ร้อนอย่างนี้น่ะนะ อศวมินทร์"

นัยน์ตาครูสาวจ้องมองเด็กตรงหน้าทั้งระบายยิ้มมีเลศนัย ยามครูใหญ่กำลังง่วนอยู่กับการพูดคุยกับครูเล็กคนอื่น อศวมินทร์เห็นรอยยิ้มของที่ปรึกษา พร้อมนิ้วหัวแม่มือหล่อนที่ชูให้แบบหลบซ่อน เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกับท่าทีของคนตรงหน้า เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ประจำชั้นกำลังทำอยู่ดี ครูคือหน้าที่สำหรับเธอก็จริง แต่สำหรับพี่สาวคนหนึ่ง เธอเชียร์ให้ต่อยคุณนายคนนั้นจนกรามเบี้ยวอย่างแน่นอน

ภายในห้องผู้ปกครองที่เคลือบแฝงไปด้วยความเคร่งเครียด บัดนี้คนถูกเทศน์ปั้นหน้านั่งฟังอย่างตั้งใจ เฉกเช่นเดียวกับคนที่ทำหน้าที่อบรม ก็ยังทำหน้าที่ตนเองต่อไปอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ภายใต้สายตาคมเข้มของผู้บังคับบัญชา

อศวมินทร์เดินทางกลับถึงที่พักพร้อมซองสีขาวในมือ เด็กหนุ่มถอนใจ นึกถึงสิ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาเล่าให้ฟัง ภาพยามที่ตนเล่าเรื่องเพื่อนๆ ในโรงเรียนให้ชายคนนั้นรับฟัง ภาพรอยยิ้มของผู้ฟังดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ภาพเหตุการณ์ต่อจากนั้นหลั่งไหลเข้ามาในศีรษะราวน้ำหลาก ปั่นป่วน ทำร้ายให้เจ็บลึกจนต้องยกกำปั้นทุบให้เลิกคิด

อินทัชพยายามทำเช่นนั้นเพียงเพราะเรื่องที่เขาเล่าให้ฟัง โดยที่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอศวมินทร์ไม่มีเพื่อนแท้เลยสักคน เหตุการณ์ที่เด็กหนุ่มเล่าไปมันเป็นเพียงแค่เรื่องกุขึ้นมาเท่านั้น ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เขาจินตนาการจากการเห็นภาพเพื่อนๆ ที่ทำกัน ซึ่งตอนนั้นเด็กหนุ่มได้เพียงนั่งมองอย่างนึกอิจฉา เขาอยากสัมผัสความรู้สึกนั้นบ้าง

ตอนนั้นเขารู้ดี ว่าการโกหกแล้วเห็นแววตาเปี่ยมสุขของคนฟังนั้น มันคือสิ่งดี ไม่ผิดที่จะกุเรื่องขึ้นมาเรียกร้องให้เขานั่งฟัง เรียกร้องให้อีกฝ่ายอยู่กับตนให้นานที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ โดยไม่รู้เลย ว่าอีกฝ่ายก็โกหกอย่างแยบยลจนเขาเชื่อแบบสนิทใจเช่นกัน

อศวมินทร์ถึงบ้านสี่โมงเย็น ที่จริงเขาคิดว่ายอมถูกไล่ออกจากโรงเรียนดีกว่ายอมเดินไปพูดคุยกับอินทัชดีๆ เด็กหนุ่มมองซองจดหมายสีขาวในมือก่อนวางมันลงบนโต๊ะหน้าคอมพิวเตอร์ เดินไปทิ้งกายแผ่หลาบนเตียงคิดเรื่องเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่ง ไม่อาจทราบต้นเหตุอาการร้อนรนในใจของตนเองยามนี้ได้ อศวมินทร์เดินลงไปด้านล่างมองหาแม่บ้าน ครั้นเห็นก็รีบสอบถาม

"มาเฟียบ้านนี้จะกลับมาเวลาเดิมไหม" เด็กหนุ่มเดินเข้าครัว เห็นพวกหล่อนกำลังง่วนอยู่กับการทำมื้อเย็น ต่างหันมางุนงงกับคำถามแกมประชดประชันของเด็กหนุ่ม พินแอบยิ้มหันไปตอบ "ถ้าถามถึงคุณอ้าย คงไม่ได้กลับหรอกค่ะเพราะเก็บผ้าเก็บผ่อนไปแล้ว"

"ไปไหน!"

อศวมินทร์รีบถาม ใจหายกับสิ่งที่นางบอก ถูกเขาข่มขู่แล้วกลัวจนถึงขนาดหอบป้าผ่นหนีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ไปง่ายๆ อย่างนั้นมันจะไปสนุกอะไร "ไปเรื่องงานค่ะ ป้าก็ไม่ทราบว่าจะกลับมาวันไหน เพราะเห็นหอบหิ้วกระเป๋าไปใบใหญ่ทีเดียว คงไปหลายวันล่ะมังคะ หรือไม่...อาจจะไม่กลับมาอีกแล้วก็ได้"

"รู้ไหมว่าที่ไหน" คนถามกอดอกทำหน้าจริงจัง นั่นเรียกสายตาแปลกๆ จากแม่บ้านคนอื่นให้หันมอง ใคร่รู้ว่าคุณหนูถามเพราะต้องการอะไร อยากจะเห็นสีหน้ายามถามเสียเหลือเกินว่าอยู่ในอารมณ์ไหน เพราะคราวก่อนได้ยินเสียงตึงตังโวยวายลั่นคฤหาสน์เพราะอยากจะฆ่าเขาอยู่เลยแท้ๆ แต่วันถัดมากลับคิดถึงจนถามหากันเสียแล้ว

อารมณ์เด็กวัยรุ่นนี่หนา...เข้าใจยากเสียจริง

"ป้าก็ไม่ทราบหรอกค่ะ เห็นเก็บของเองไม่ได้บอกให้แม่บ้านทำให้"

ได้ฟังแล้วเด็กหนุ่มก็งุดหน้าลงมองพื้น พยักหน้าบอกว่าเข้าใจอยู่ครู่ก่อนเดินจากมาครุ่นคิดว่าอินทัชไปที่ไหน มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือ เบอร์โทรอีกฝ่ายยังคงอยู่ในเครื่องแม้เปลี่ยนใหม่แล้ว หากทว่าอศวมินทร์ไม่คิดจะกดต่อสายไปสักนิด เขาทราบว่าทางเดียวที่จะรู้พิกัดของอินทัชคืออะไร คิดแล้วก็ยกโทรศัพท์แนบหู ไม่นานปลายสายก็กดรับ "ว่าไงวะมึง"

"เออ มึง...อยู่ไหนวะมาวิน"

"อ๋อ กูมาพัทยากับลุงอ้ายว่ะ มึงมีเรื่องอะไรเร่งด่วนปะวะ" อศวมินทร์นิ่งไปอยู่ครู่ กรอกดวงตานึกสิ่งที่จะตอบเพื่อน เด็กหนุ่มเกาศีรษะไปพลางคิดไปพลาง "เอ่อ...พวกกูว่าจะชวนไปเล่นเกมด้วยกันซักหน่อยพรุ่งนี้น่ะ แต่มึงคงไม่ว่างเพราะตามลุงสินะ"

"มิน มึง...จะไม่บอกกูเรื่องที่ถูกเรียกเข้าห้องฝ่ายปกครองจริงเหรอ" เพื่อนในสายถาม

นั่นทำเอาอศวมินทร์อึกอัก มาวินบอกว่าไปพัทยากับอินทัช โรงเรียนเลิกได้ไม่นานคงยังนั่งอยู่บนรถด้วยกันตอนนี้ เด็กหนุ่มไม่อยากพูดอะไรให้คนข้างดายมาวินฟัง ทิฐิสูงเกินไปที่จะยอม "ก็เรื่องเมื่อวานไง ที่กูเดินไปหาเรื่องเขาน่ะ"

"แล้วเป็นไง โดนทัณฑ์บนไหมล่ะ" อศวมินทร์ได้ฟังก็เงียบไป ไม่ใช่ว่ามาวินเล่าเรื่องนี้ให้อินทัชฟังไปแล้วหรือ เด็กหนุ่มถอนหายใจ เดินไปยังห้องนอนตนเองอีกครั้งทั้งที่ยังถือโทรศัพท์แนบหู

"บอกลุงมึงมาฟังเองสิถ้าอยากรู้ อย่ามาหลอกถาม ไปบอกให้เขามาหากูที่ห้อง กูจะเล่าให้ฟังจนหมดเปลือกเลย..."

คนพูดเอ่ยจบก็วางสาย นัยน์ตาเด็กหนุ่มมองกระจกสะท้อนแววตาตนเองยามกล่าว มันคมบาดลึกแม้กระทั่งตนเอง มือหนายกปลดกระดุมเสื้อนักเรียนเปลี่ยนชุด เก็บเสือผ้าพอใส่พับลงกระเป๋าขึ้นสะพายทันที

อินทัชคงรู้และเสียวสันหลังไม่หาย หากได้ยินน้ำเสียงตอนเขาบอกมาวิน หากกลัวตายก็คงต้องเลี่ยงที่จะอยู่กับเขาเพียงสองต่อสอง

"ลุง ขอกุญแจรถหน่อย" ว่าพลางยื่นมือจะเอา คนขับรถถึงกับฉงนเมื่อเห็นดังนั้น ชายวัยกลางคนทำได้เพียงส่ายหน้า "คุณมินครับ คุณมินยังอายุไม่ถึงสิบแปดเลยนะ ลุงให้กุญแจไม่ได้หรอก"

"มาเฟียสั่งไว้เหรอ" เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว

"ไม่ต้องสั่งลุงก็ไม่อยากให้นะครับ มันอันตราย"

"ผมไม่ใช่เด็กแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะสิบแปดแล้วลุง เอามาเถอะน่าลุงผมมีธุระด่วนจริงๆ วันนี้วันศุกร์ ผมได้จดหมายเชิญผู้ปกครองวันจันทร์ ต้องรีบไปตามเขาไม่งั้นผมก็จะถูกไล่ออกเชียวนะ" อศวมินทร์ถอนหายใจ

ในตอนนั้นลุงคนขังรถผงะไปชั่วครู่ ตกใจในการแสดงสีหน้าท่าทางของเด็กหนุ่มยามเล่าวีรกรรมตนเองให้คนอื่นฟัง ไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลยหรือ แต่ในระหว่างช่วงใจอ่อน ลุงแกหยิบกุญแจในกระเป๋ายื่นให้เพราะเห็นว่าเป็นธุระรีบเร่ง อีกอย่างก็เห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าขับชำนาญพอแล้ว แม้จะกังวลที่ไม่ค่อยได้ขับนักแต่ก็ยินยอมให้โดยง่าย

ในขณะที่เด็กหนุ่มดีอกดีใจ จะเอื้อมมือไปหยิบก็สายเสียแล้ว มือมีมือของใครสักคนแย่งไปถือเสียก่อน!

"แต่ผมไม่ให้..."


*****************************

เขาจะตามไปปะ ฉะ ดะ กันที่พัทยา
ไปดูว่าน้องมินจะได้ให้ซองลุงอ้ายไหม
หรือจะไปทำแสบอะไรอีก

ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ
ช่วงนี้ฝนชุก ต่อสู้กับปัญหาเนตกากๆ แปป T T

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
อ้าว ลุงอ้ายหนีไปซะแล้ว เอ๊ะ! หรือว่าติดงานจริงๆ แต่เอาเถอะตอนนี้หนูมินท่าจะแย่

จะรอดมั้ยเนี่ยะหรือว่าจะโดนไล่ออกกันแน่ แล้วนั่นใช่คิมมั้ยที่มาแย่งกุญแจรถอ่ะ เราว่าน่าจะใช่นะ

อืม คงต้องรอตอนต่อไปตอนนี้ลุงอ้ายไม่ได้ออกมาเลย แอบเศร้านิดๆ แหะ เราคาดว่าตอนไหน

ลุงอ้ายออกตอนนั่นลุงอ้ายได้เจ็บตัวเพราะหนูมินแน่ๆ และคงเกือบทุกตอนด้วยใช่มั้ยไรท์(เดาเอาล้วนๆ นะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
เราคิดว่าลุงอ้ายไม่ได้หนีมินไปหรอก น่าจะพาชะนีคู่ค้าไปเที่ยวพักผ่อนตามที่หล่อนร้องขอรึเปล่า

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๓

"แต่ผมไม่ให้..."

เสียงเจ้าตัวเอ่ยบอกทั้งเก็บกุญแจรถเข้าไว้ในกระเป๋ากางเกงนักศึกษา อศวมินทร์หันไปมุ่นคิ้วบอกว่าตอนนี้ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ไม่ชอบใจที่คนตรงหน้ามาทำตัวเป็นพี่ชายไม่เข้าเรื่อง

"เอากุญแจกูมา เอามาเดี๋ยวนี้"

"แล้วมินจะไปไหน" พี่ชายหันมากอดอกถามอย่างใจเย็น ดูแล้วท่าทางสุขุมในสายตาลุงขับรถเหลือเกิน หากทว่าสิ่งที่น้องชายเห็นกลับตรงกันข้าม เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นยามเห็นท่าทีอวดดีนั้น เขาหมดความนับถือคิมหันต์ไปนานแล้ว "เรื่องของกู มึงไม่เกี่ยว เมื่อไรมึงจะเลิกยุ่งกับกูสักที"

"คงไม่ได้หรอก ให้พี่เลิกสนใจน้องชายตัวเอง คงเป็นพี่ชายที่ดูแย่มาก"

"เหอะ! ฟังดูโคตรเป็นคนดีเลยนะ" คนกล่าวเบ้ปาก ส่ายหน้าทั้งพยายามจะเอื้อมมือคว้าเอากางเกงคนตรงหน้า ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันอยู่บ้าง คิมหันต์เบี่ยงตัวหลบหากทว่าไม่ทันมืออีกข้างของน้องชายที่ตะปบผลักไหล่ ร่างสูงเสียหลักเล็กน้อย คว้าบ่าน้องชายไว้ทั้งปัดมือปลาหมึกนั้นออกห่างกระเป๋า

คนถูกกันท่าหอบฮึดฮัด "โว้ย! กูบอกให้เอามาไง!"

"ก็บอกพี่มาสิมินว่าจะไปไหน บอกมาพร้อมเหตุผล"

"ไอ้คิม! มึงไม่ใช่พ่อกู" เด็กหนุ่มจ้องตาคนตรงหน้าอย่างหัวเสีย ยิ่งเห็นสีหน้าคล้ายเหนื่อยหน่ายใจของฝ่ายตรงกันข้ามแล้วยิ่งหงุดหงิด "พี่รู้ว่ามินไม่ไว้ใจพี่แล้ว แต่พี่ยังเป็นพี่คนเดิมนั่นแหละ พี่ไม่เคยคิดร้ายกับมิน..."

"เลิกพล่ามได้แล้ว มึงจะเป็นคนยังไงก็ช่างกูไม่สน แต่ตอนนี้กูจะไปตามลุงอ้าย" อศวมินทร์ตัดบทจนผู้ฟังชะงักงัน พี่ชายเบิกตาด้วยความฉงนใจกับสิ่งที่ได้ยินไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบอะไรทั้งสิ้น เมื่อเห็นแววตาของน้องชายในขณะย่างเท้ามาประจัญหน้าในระยะใกล้และกล่าวว่า "เพราะงั้นเลิกถ่วงเวลากูได้แล้ว เอากุญแจรถมา!"

แววตาผู้กล่าวที่คิมหันต์เห็นนั้น มันผสมปนเปกันด้วยหลายหลากความรู้สึกจนมั่วไปเสียหมด ยากนักที่ชายหนุ่มจะเดาและเข้าใจไปยามสบมอง เพราะอย่างนั้น คนแบบอศวมินทร์ปล่อยไว้ไม่ได้ หนนั้นก็คิดจะฆ่าอินทัชไปทีแล้ว

"ไปขึ้นรถสิ เดี๋ยวพี่ไปส่ง"

คนอายุมากกว่าล้วงกระเป๋ากางเกงกุมของไว้ในมือ เห็นแววไม่พอใจลึกๆ ของอศวมินทร์ซึ่งฉายมิปิดซ่อน ก่อนเจ้าตัวจะจำใจยอมเดินวนไปรอขึ้นรถในที่สุด ยามนั้นลุงคนขับหันมายิ้มให้คิมหันต์ทั้งส่ายหน้าระอาอยู่ในที เหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่น้องชายเขาได้ก่อและกำลังจะก่อในอีกไม่ช้า ชายหนุ่มตอบรับ รับว่าจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด แม้จะรู้สึกหงุดหงิดกับจุดหมายปลายทางที่อศวมินทร์กล่าวถึงเพียงใดก็ตาม

ตลอดทางนั้นเงียบสงบจนน่าใจหาย มีเพียงเสียงดวงใจของผู้ขับที่ร้องอึกทึกครึกโครมจนเจ้าตัวหงุดหงิดเสียเอง ต้นเหตุของทั้งหมดทั้งมวลไม่ใช่เพราะความเงียบนี้ แต่เป็นเหตุผลของการไปพัทยาครั้งนี้ต่างหาก "แล้วนี่จะไปหาเขา บอกเขาล่วงหน้าหรือยังล่ะ"

คนขับชำเลืองตามอง เห็นอศวมินทร์กำลังก้มหน้าก้มตาแชทกับใครสักคนอยู่ คิมหันต์ผ่อนลมหายใจ ปัดเอาความไม่พอใจต่างๆ นานาออกจากอกทิ้งเสีย ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิดสิะบผ่า!

"ไม่จำเป็น"

คนฟังชะงัก ก่อนเคลื่อนใบหน้าก้มลงมองท้องถนนเบื้องหน้าต่อไป คิมหันต์ไม่อาจทราบว่าที่จริงแล้วอศวมินทร์กับอินทัชนั้นอยู่ในสถานะใดแน่แท้ แต่คงไม่ใช่เพียงแค่พ่อเลี้ยงและลูกในอุปการะอย่างแน่นอน เพราะเขาเป็นผู้ชาย อย่างไรก็ย่อมมองแววตาของผู้ชายด้วยกันออก ยามอินทัชมองอศวมินทร์นั้นมันมีแววอาทรและห่วงใยอยู่ในที และที่สำคัญ มันคือแววเดียวกันกับสิ่งที่เขากำลังมองเด็กหนุ่มในตอนนี้ แววตาซึ่งพยายามปกปิดความรู้สึกบางอย่างมิให้ใครเห็น

คนรัก...

เป็นไปไม่ได้ อินทัชเป็นคนรักของปรางคณาง หนำซ้ำแววตาและท่าทางยามชายคนนั้นมองปรางคณางเต็มเปี่ยมไปด้วยรัก ที่สำคัญความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่นั่นไม่ใช่เพียงแค่ภาพตบตาให้เขาเชื่ออย่างเดียวแน่ อินทัชเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิด...แสนซื่อ และน้องชายเขาเป็นเด็กหนุ่มที่มักใช้ความอยากของตนเองเป็นหลัก อศวมินทร์เคยบอกว่ารักกับเขา เเละคิมหันต์เชื่อว่าคำว่ารักสำหรับอศวมินทร์นั้นถูกปิดผนึกไปเรียบร้อย หลังจากผิดหวังจากเขาแล้ว เขามั่นใจว่าเด็กคนนี้ไม่มีทางเปิดใจรักใครอีกแน่ เขารู้จักน้องชายตัวเองดี

หรือว่า อินทัชจะเป็นอีกคนหนึ่งที่อศวมินทร์เคยวางใจมาก่อน แววตานั่น อาจจะเป็นแววตาแห่งความสำนึกผิดที่เคยทำให้อศวมินทร์ผิดหวัง เฉกเช่นเดียวกับเขา

อินทัชเคยโกหก ชายคนนั้นต้องเคยทำให้น้องชายเขาผิดหวังมากที่สุดแน่ ถึงขนาดเกลียดจนจะฆ่าจะแกงทิ้งขนาดนั้น มันต้องเป็นเรื่องใหญ่มากอย่างแน่นอน แต่ก็ยากที่จะเดาว่าเป็นเรื่องอะไรเช่นกัน

"มิน พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ" สารถีหันไปมองคนข้างกาย "มินกับคุณอ้ายช่วงที่อยู่ด้วยกัน สนิทกันมากเลยเหรอ"

สิ้นคำคนถาม มือที่ตั้งใจกำลังพิมพ์ตัวอักษรบนหน้าจอโทรศัพท์ก็ชะงัก ใบหน้าหล่อได้รูปเบือนออกจากแสงสว่างด้านหน้า สบมองสายตาคนถาม หรือคิมหันต์จะรู้เรื่อง เรื่องความสัมพันธ์ลับระหว่างเขากับอินทัชเข้าแล้ว ผู้ชายคนนี้เป็นทั้งคนฉลาดและบื้อในคราเดียวกัน ยามฉลาดก็ฉลาดจนน่าตกใจ ยามโง่เง่าก็เอาไม่อยู่ เด็กหนุ่มหันมากลอกตามองออกไปนอกกระจกหน้าต่างรถอยู่ครู่

"อืม..."

นัยน์ตาคมเหลือบมองท่าทีคนตอบเล็กน้อย ยอมรับอย่างนั้นหรือ ยอมรับว่าสนิทกันอย่างง่ายๆ ทั้งที่เด็กคนนี้มักจะปิดกั้นตัวเองกับทุกคน กว่าจะยอมรับเขาก็เป็นสิบปี ที่สำคัญยอมรับก็เพราะตอนนั้นกำลังอ่อนแอด้านจิตใจอีกต่างหาก

"แล้วทำไมตอนนี้ถึงดูเหมือนเกลียดมากล่ะ ดูแล้วเขาเป็นคนดีไม่ใช่เหรอ"

"อ้อเหรอ..." คนข้างกายครางตอบและย้อนถามอยู่ในคราเดียวกัน แต่นั่นไม่ใช่ต้นเหตุของความเย็นวาบที่ปลายเท้าของคิมหันต์ เป็นเพราะรอยยิ้มเยือกเย็นจากโครงหน้าหล่อนั่นต่างหาก

"ลุงอ้ายเขาเป็นคนดี ไม่เหมือนมึงนี่ที่ไม่มีดีอะไรสักอย่าง ไม่แน่นะ...ความดีของเขาอาจเอาชนะใจกู แล้วกูก็จะหายโกรธเขาในไม่อีกช้า..." อศวมินทร์กระตุกยิ้ม มองทอดออกไปด้านนอกเมื่อในใจก็ทราบถึงการตอบรับทางสีหน้าของคนขับรถดีว่าจะเป็นอย่างไร

"หมายความว่าไง!"

"ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วยล่ะ อิจฉาเขาเหรอ หึ..." หางเสียงนั้นผสมหัวเราะจนคนฟังนึกฉุนอยู่ในใจ แน่นอนมันมีทางเป็นไปได้ครึ่งต่อครึ่ง ครึ่งแรกอศวมินทร์ลองได้เกลียดแล้วนั้นคงหายยากและเพียงแค่อยากยียวนกวนใจเขาเท่านั้น ครึ่งที่เหลือคือเด็กคนนี้เป็นคนจำพวกอยากเอาชนะเสียยิ่งกว่าอะไร การให้ความสำคัญกับอินทัชมากกว่าเขานั่นแหละคือสิ่งที่คิมหันต์ยอมไม่ได้!

"แปลว่ามินมั่นใจล่ะสินะ ว่าพี่ยังรักมินอยู่..." เด็กหนุ่มยิ้มค้าง รอยยิ้มเลศนัยเมื่อครู่เจือจางลง หันไปมองคนข้างกายเต็มสองตาว่ากำลังจะกล่าวอะไรต่อไป "พี่ไม่เข้าใจความคิดมินตอนนี้เลยจริงๆ ว่าต้องการอะไร มินเกลียดคนที่เล่นกับความรู้สึกคนอื่นไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้กลับทำเองซะอย่างนั้น..."

"หุบปาก! ก็เพราะมึงไง"

"เพราะพี่ทำให้มินรักพี่มากใช่ไหม" คนถามย้อนเสียงเรียบ แต่สร้างความหงุดหงิดใจแก่อศวมินทร์เหลือเกิน เด็กหนุ่มกอดอกกันมองถนนหน้านิ่ว

"ก็แค่เคย จำไว้ แค่เคย!"

คำนั้นราวกับเป็นรีโมทคอนโทรลให้ชายหนุ่มชะงักนิ่ง ไม่อาจต่อกลอนอะไรได้อีกเพราะยิ่งได้ฟัง อศวมินทร์ยิ่งสรรค์หาคมมีดจากคำพูดมาจ้วงแทงเขาให้เจ็บหนึบ ปวดไปถึงกระดูกดำทุกครั้งเมื่อได้ฟัง เพราะอย่างนั้นการเงียบคงเป็นหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ คิมหันต์พาอศวมินทร์ถึงเมืองชลบุรีก็ย่ำมืด กว่าจะถึงพัทยาก็คงสองสามทุ่ม

ตลอดสายที่นั่งมาคู่กันนั้นไม่มีใครปริปากเริ่มบทสนทนาครั้งใหม่แม้แต่น้อย กระทั่งยานพาหนะเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้พัทยา คนขับจึงหันไปถามอศวมินทร์ถึงปลายทาง "แล้วคุณอ้ายเขาพักที่ไหน จะได้พาไปถูก"

ได้ยินคนฟังจึงกดโทรศัพท์ยุกยิก ยกขึ้นให้คิมหันต์อ่าน ชายหนุ่มนิ่งไป เมื่อรู้ว่าน้องชายทราบได้อย่างไรว่าอินทัชอยู่ที่ไหน "ว่าแต่ว่า จะไปหาเขาน่ะ ไม่รบกวนเขาเหรอ"

"ช่วยเงียบหน่อยได้ไหม กูรำคาญ"

ดูท่าว่าคนตอบจะทราบว่าที่จริงแล้วเขารู้แต่แสร้งไม่รู้มากกว่า การที่อินทัชพาหลานชายไปด้วยนั้นบอกเป็นนัยยะอยู่แล้วว่าไม่ใช่เรื่องวิชาการจริงจังอะไร แต่ที่ถามไปเพราะเขาอยากยืนยันความรู้สึกจริงๆ ของอศวมินทร์ต่างหาก คิมหันต์กุมพวงมาลัยในมือแน่น พยายามไม่แสดงถึงความขุ่นเคืองใจออกไปให้อีกฝ่ายเห็น

"ก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่หรอก แต่ช่วยบอกอะไรที่มันแน่นอนกว่านี้ไม่ได้เหรอ"

"จะมายุ่งอะไรด้วย มึงเป็นคนอยากมาเองไม่ใช่เหรอ เลิกถามแล้วก็ขับรถไป กูจะนอน" คนตอบกอดอกมองสถานที่รอบกาย มองเมืองพัทยาบัดนี้อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยรถยนต์ยามหัวค่ำ โรงแรมหรูหราห้าดาวตระหง่านสูงอยู่แต่ไกลให้เห็น บอกพิกัดกลายๆ ว่าอินทัชอยู่ส่วนไหนของเมือง อศวมินทร์จึงทำเมินไม่สนใจที่จะพูดคุยด้วย เด็กหนุ่มพริมตาลงพักผ่อนสายตาเงียบๆ คนเดียว

ดูเหมือนอินทัชจะทราบแล้วว่าเขาตามไป ต้นเหตุเกิดจากมาวินทั้งนั้น การที่เขาถามถึงที่อยู่ของโรงแรมและพิกัดที่ตั้งคงบอกใบ้ให้อีกฝ่ายรู้ แน่นอนว่ามาวินคงบอกอินทัชด้วย เพราะมาวินถามโต้งๆ ว่าจะให้จองห้องเผื่อหรือไม่

เดินทางถึงโรงแรมแล้วอีกครึ่งชั่วโมงให้หลังตามที่น้องชายได้บอก คิมหันต์เอี้ยวตัวไปปลุกคนนั่งข้างกายให้ตื่น แต่ตอนนี้อยูในช่วงหลับใหม่ คงปลุกยากกว่าเดิมสิบเท่า ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ยามนึกถึงน้องชายตัวดีกำลังงัวเงียพลิกกายมากอดเขา จำได้ว่าอศวมินทร์ช่างน่ารักและไม่เหมือนตอนนี้สักนิด กว่าจะคิดได้ คิมหันต์รู้สึกเหมือนโดนเข็มเป็นพันเล่มทิ่มแทง "มิน พี่รักมินนะ"

เมื่อไรจะใจอ่อน ยอมกลับมาน่ารักเช่นเคย นัยน์ตาคมได้แต่จับจ้องไปยังโครงหน้าเดิมที่เคยบูดบึ้งเอาแต่ใจ บัดนี้กำลังเรียบนิ่งไร้อะไรแต่งแต้ม หลายเดือนแล้วที่เขาไม่ได้มองภาพนี้ อยากเก็บเอาไว้ในความทรงจำนานตราบเท่านาน "พี่ขอโทษ พี่ลืมมินไม่ได้..."

ใช่ ตั้งแต่วันที่น้องชายหนีออกไป ความรู้สึกผิดบาปก็สะท้อนสู่อกเขาอย่างไม่ยอมหยุดหย่อน เขาโทษตัวเองสารพัด แต่ท้ายที่สุดก็มิกล้าเอ่ยความจริงกับปรางคณางออกไป เขามันเห็นแก่ตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความรักที่มีต่ออศวมินทร์ ฝ่ายเขาเอง...ความสัมพันธ์ทั้งหมดนี้เป็นฝ่ายเขาเองที่เริ่มก่อน

มือหนาสัมผัสใบหน้าเนียนของคนหลับอย่างแผ่วอ่อน จับจ้องอยู่นานอย่างหลงใหลในความงดงามรูปหน้า เคลื่อนขยับเข้าไปขโมยริมฝีปากอีกฝ่ายมาจ้วงชิมด้วยอดใจไม่ได้ เขาหิวโหย ห่วงและหวงจนอยากจะตะโกนออกมาใส่หน้าอศวมินทร์ดังๆ แต่ทำไม่ได้ แค่ตอนนี้เท่านั้น ตอนนี้ขอให้เขาซึมซาบและปลดปล่อยความต้องการของตัวเองที่มีต่อน้องชายตัวเองสักนิด

อยากกอด อยากจูบ แต่ทำเพียงมองได้อย่างเดียวเท่านั้น เขาทรมานเหลือเกิน "มิน..."

มือหนาเคลื่อนกอด จูบแก้มเนียนนั้นซ้ำๆ ในความเงียบงัน เคลื่อนมือสัมผัสไปทั้วตัวคนหลับอย่างเอาแต่ใจ สุดท้ายก็ขยับไปแนบปากจูบอย่างไม่อิ่มเอมโดยง่าย ต้องการ ต้องการมากขึ้นไปอีก

คิมหันต์สูดลมเข้าจมูก นานเท่าไรไม่ทราบที่บดปากจูบอย่างเผ็ดร้อนนั้น แต่ยังไม่พอใจสักที ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว ลมหายใจหอบกระชั้นตามมือตนเองยามเคลื่อนไปตามร่างกายอศวมินทร์ จุดจบคือหว่างขาที่มีเพียงผ้ากางเกงกั้น

"อื้อ...!"

ความรุนแรงเพิ่มขึ้น เจ้าตัวรู้สึกตัวร้องอื้อในลำคอต้องการปฏิเสธ นึกตกใจเมื่อรู้สึกตัวไปกับบทจูบของคิมหันต์ และมือที่พยายามลุกล้ำเข้าไปในกางเกง อศวมินทร์ตื่นเต็มตารีบดันกายคนกระทำออกอย่างไม่เข้าใจสักนิด "ออกไปคิม ออกไป"

"มินยังรักพี่ไหม ตอบพี่สิ" คนถามสวมกอด ออกแรงสู้มืออศวมินทร์ที่ขืนผลักออก

"มึงพูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม!"

"พี่รักมิน พี่เจ็บนะที่มินทำแบบนี้!"

"ออกไป ถ้ามึงอยากมากก็ไปหาเอาแถวข้างทางโน่น" คนบอกผลักไหล่อีกฝ่ายออกสุดแรง ดึงมือที่จับร่างกายตัวเองออกไปจนหมดทั้งหอบหายใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าคิมหันต์จะทำอย่างนั้น ไม่คิดว่าคิมหันต์จะเลือกใช้วิธีนี้บอกกับเขา เด็กหนุ่มรีบเปิดประตูออกไปยืนด้านนอก

"มึงกลับบ้านไปเลยก็ได้นะ"

"ไม่อ่ะ พี่จะไม่ทิ้งมิน"

"ไอ้คิม!" เด็กหนุ่มถอนใจ มองคนตัวสูงที่ลุกขึ้นมาสบตานิ่ง เดินมาหยุดตรงหน้าด้วยรอยยิ้มรู้สึกผิด มันเจื่อนอย่างเห็นได้ ไม่ใช่การยิ้มแบบอยากเอาชนะแน่ในสายตาคนมอง "พีไม่ยอมให้มินลำเอียงไปดีเขาแล้วทิ้งให้พี่เป็นหมาหัวเน่าหรอก" ชายหนุ่มกล่าวเสียงจริงจัง เอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายไว้อย่างวิงวอน

"พี่รักมินนะ"

"พอ!" คนตรงหน้าดึงมือกลับ ส่ายหน้าระอากับคำพูดของคิมหันต์ เด็กหนุ่มรู้สึกหน่ายและรำคาญ เลือกเดินละเข้าไปด้านในโรงแรมทั้งกดโทรศัพท์ ทราบว่ามาวินส่งมาถามว่าถึงไหนแล้ว ดังนั้นพอไปถึง อศวมินทร์เห็นมาวินที่นั่งรอในล้อบบี้กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหา "มึงมาจริงด้วย"

"ก็เออ กูจะพูดเล่นทำไม" เด็กหนุ่มตอบเพื่อน เดินนำเข้าไปภายในอย่างไม่รีบร้อน ซึ่งมาวินก็เอี้ยวตัวเดินมาตีคู่ หางตาชำเลืองมองคิมหันต์อยู่บ่อยครั้งด้วยความใคร่รู้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันตั้งแต่เรียนมัธยมปลายปีแรก อศวมินทร์ไม่เคยเล่าให้ฟังว่ามีพี่ชายเลยสักครั้ง พอได้เห็นจึงรู้สึกแปลกใจ

"พี่จะพักด้วยกันไหมครับ พอดีผมจองห้องที่มีเตียงคู่เพราะจะได้นอนกับมินมัน แล้วก็เพื่อนผมอีก แต่พี่มาเพิ่มก็น่าจะยังนอนได้ ห้องมันกว้างจะตาย"

"กูอยากนอนคนเดียว" อศวมินทร์แย้งอย่างหน่ายเหนื่อย

"ไม่เอาน่าๆ นอนคนเดียวมันจะไปสนุกอะไร เนอะพี่" คิมหันต์ที่ได้ฟังก็ระบายยิ้มรับ มองเพื่อนที่เดินกอดคอน้องชายไปอย่างสนิทสนม ขณะที่กำลังจะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่จองห้องไว้ ในระหว่างที่รอลิฟต์ด้านบนลงมา เมื่อมันเปิดออกก็เผยภาพเบื้องหน้าให้ทุกคนเห็น

ภาพชายตัวสูงในชุดลำลองสบายซึ่งกำลังพูดคุยและแย้มยิ้มกับสตรีคนสวยคนหนึ่ง เสียงหัวเราะนั้นสะท้อนใจคนฟัง ยิ่งได้มองมือขาวๆ ที่กอดแขนกำยำนั้นแนบแน่นผสมกับสายตาทั้งสองที่สบมองกันอย่างไม่เก้อเกิน ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านนอกได้แต่ยืนนิ่ง จนคนซึ่งอยู่ภายในละสายตามามองเสียเอง

"อ้าว น้องมาวิน" เจ้าหล่อนหันมาฉีกยิ้ม กอดแขนอินทัชเดินออกมา ซึ่งนัยน์ตาคมของผู้ถูกมองจับจ้องไปยังคนที่ยืนข้างกายหลานชายมากกว่า "พี่กับคุณอ้ายก็ไปแวะไปหาที่ห้อง  เพื่อนก็บอกว่าไม่อยู่ ที่แท้ก็ลงมาซนข้างล่างนี้เอง"

"ผมลงมารับเพื่อนอีกคนน่ะครับพี่อลิส นี่มินเพื่อนผม เขาเป็น..."

"เป็นลูกเลี้ยงลุงอ้ายครับ บอกตรงๆ ก็คือลุงอ้ายเป็นสามีใหม่ของแม่ผมน่ะครับ พีอลิส..." อศวมินทร์ชิงตอบ ดวงตามองอินทัชด้วยท่าทีที่แปลกกว่าเคย ไม่จับจ้องหรือเอาเรื่องเฉกเช่นแต่ก่อน ซึ่งคนที่รับรู้และหวาดวิตกคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากอินทัช ชายหนุ่มจับจ้องไปที่โครงหน้าหล่อของอศวมินทร์นิ่ง ราวกับต้องการหาความจริง กลับพบเพียงยิ้มเย็นประดับไว้อย่างลุ่มลึก

"อ้อ จริงสิ..." อลิสเบิกตา หันไปมองอินทัชก่อนจะยอมคล้ายวงแขนออกจากอีกฝ่าย ต้นเหตุเกิดจากสายตาเด็กทุกคนที่เพ่งมองมา และคำพูดที่เน้นประโยคเจ็บจี๊ดเสียดแทงให้หน้าเธอแตกเป็นเสียง

"ถ้างั้น ก็หมายความว่าน้องมินคือคนที่ถือหุ้นบริษัทเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ที่คุณอ้ายรักษาการแทนน่ะสิคะ แต่ที่น่าแปลก ว่ามาเที่ยวหนนี้คุณอ้ายชวนฉัน ชวนน้องมาวินกับเพื่อน แต่ไหงไม่ชวนน้องมินละคะเนี่ย..." คนถามทำหน้าสงสัย ซึ่งนั่นทำเอาอศวมินทร์ต้องหายใจติดบัดขึ้นมา

"เรื่องนั้น..."

"อ๋อ..." เด็กหนุ่มแทรก เมื่อเห็นทีท่าอินทัช "พอดีผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ปกติเท่าไร ที่ลูกเลี้ยงจะถูกจริตกับพ่อเลี้ยงถึงขนาดสนิทสนมกัน และที่สำคัญ ผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครเอาเรื่องงานมายกเป็นข้ออ้างอยากจะเทียวกันด้วยน่ะครับพี่อลิส" อศวมินทร์กระชับสายเป้ในมือ เชยตามองอินทัชก่อนจะถอนใจ

"ขอบคุณนะลุงอ้าย ที่ทำตามหน้าที่ที่แม่ผมมอบหมายให้อย่างเต็มความสามารถ" เด็กหนุ่มแสร้งยิ้ม แต่ประโยคที่ว่า 'ทำตามหน้าที่' นั้น ได้ตีลงไปกลางแสกหน้าของอลิสจนแทบหงาย ตอกย้ำว่าที่อินทัชทำดีกับเธอไปทั้งหมดเพียงเพราะหน้าที่ หญิงสาวลอบเข่นเชี้ยว เด็กคนนั้นเป็นเด็กประเภทไหนกัน

อศวมินทร์เดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับมาวินและคิมหันต์ที่ยืนฟังเงียบๆ เด็กหนุ่มเผยยิ้ม "อ้อ...ถ้าเจียดเวลาได้ ขอผมคุยธุระกับคุณหน่อยนะ เรื่องสำคัญ"

ประตูลิฟต์ปิดลง ปล่อยให้อินทัชยืนมองมันนิ่งอยู่เช่นนั้นพร้อมกันกับหญิงสาว เจ้าหล่อนแหงนมองสีหน้าเจ้าของกายสูงด้วยแววฉงน แต่คงเดาว่าเด็กมินนั่นต้องฤทธิ์เยอะมากเหลือเกิน ดูจากการพบกันครั้งแรก เด็กคนนั้นสรรค์หาประโยคเรียบๆ แต่แทงใจเธอทุกคำออกมากล่าว เล่นเอาเธอถึงกับผงะไปในวินาทีแรก

"ดูเขาเป็นคนดื้อนะคะคุณอ้าย นี่ลูกชายพี่ปรางค์จริงเหรอเนี่ย" หล่อนทอดถอนใจ หากว่าชั่ววินาทีที่สบตากับเด็กที่ชื่อมินนั้น เดาได้ว่าน่าจะเป็นคนจำพวกหัวแข็ง เอาแต่ใจ และขี้หวงมาก เห็นแบบนี้แล้วเธออยสงากจะแกล้งจริงๆ

"เขานิสัยเหมือนพ่อเสียส่วนใหญ่น่ะครับ แต่เวลาน่ารักก็น่ารักนะ ถ้าเอาชนะใจเขาได้"

ถ้าเอาชนะใจได้อย่างั้นหรือ ผู้ฟังย้อนในใจ

"นิสัยแบบนีน่าแกล้งจังเลย" เจ้าหล่อนกล่าวกับตัวเองอย่างอดไม่ได้ รอยยิ้มบางประดับขึ้นบนใบหน้าสวยจนคนมองรู้สึกประหลาดใจ แต่ความรู้สึกของชายหนุ่มมีแต่ความหวาดหวั่น เพราะการก่อเรื่องเป็นหนึ่งสิ่งที่อลิสทำได้ดีที่สุดตั้งแต่รู้จักกัน และการได้เห็นแววตา บทสนทนาโต้ตอบกันระหว่างคนแสบทั้งคู่นั้นราวกับเป็นชนวนระเบิดครั้งใหม่ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ชายหนุ่มได้เพียงทอดถอนใจ เมื่ออย่างไรแล้วก็ไม่สามารถลบภาพรอยยิ้มของอศวมินทร์ออกไปได้เลย รอยยิ้มนั้น ไม่ใช่รอยยิ้มของความบริสุทธิ์ใจเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว เด็กคนนั้นคิดทำอะไรอยู่กันแน่...

จู่ๆ ก็มาพูดจาดี มีสติมากขึ้น เขาเชื่อแล้วว่าคลื่นใต้น้ำน่ะมีจริง ยิ่งทะเลสงบ ยิ่งน่ากลัว.


*********************************

เอ้า ๆ น้องมินวางแผนทำอะไร แล้วซองขาวจะได้ให้ลุงอ้ายมั้ย
สงครามเย็นระหว่างคุณอลิสจะเป็นยังไง นางจะแกล้งอะไรน้อง

ต้องรอติดตาม

คำพูดมินแฝงเลศนัยหมดทุกคำนะคะ อ่านแล้ววิเคราะห์เองเน้อ อิอื

เจอกันตอนหน้าจ้า!

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เฮ้อออ  :เฮ้อ: น้องมินเรานี่ร้ายจริงๆ จะรอดูว่าน้องมินเราจะจัดกสารยังไงกับยัยอลิสนี่ต่อไป ส่วนลุงอ้ายคงได้แต่ต้องทำตัวดีๆ ไม่ไปยุให้อารมณ์น้องไม่ดีไปกว่าเดิมนะ

ออฟไลน์ ummax

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอบคุณมากๆ นะครับ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
ขอบคุณมากๆ นะครับ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เฮ้อออ  :เฮ้อ: น้องมินเรานี่ร้ายจริงๆ จะรอดูว่าน้องมินเราจะจัดกสารยังไงกับยัยอลิสนี่ต่อไป ส่วนลุงอ้ายคงได้แต่ต้องทำตัวดีๆ ไม่ไปยุให้อารมณ์น้องไม่ดีไปกว่าเดิมนะ

ต้องรอดูอย่างที่ว่าน่ะปหละค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
เป็นเรื่องที่รวมคนมีอาการทางจิตเยอะจริงๆ พวกแกจะมีปมอะไรนักหนา - -"

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เป็นเรื่องที่รวมคนมีอาการทางจิตเยอะจริงๆ พวกแกจะมีปมอะไรนักหนา - -"

5555นั่นสิคะ คนเขียนก็จะเป็นโรคจิตตามไปด้วย

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
ลุงอ้ายเข้าใจน้องมินหน่อยนะคะ รักมากก็แค้นมากแถมยังมีชะนีมายั่วให้อารมณ์ขึ้นอีก

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
ลุงอ้ายเข้าใจน้องมินหน่อยนะคะ รักมากก็แค้นมากแถมยังมีชะนีมายั่วให้อารมณ์ขึ้นอีก

ประเด็นมันอยู่ตรงนั้นแหละค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด