Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก >> ตอนพิเศษ 3 60% => (05/10/61) P.34 <=
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก >> ตอนพิเศษ 3 60% => (05/10/61) P.34 <=  (อ่าน 228096 ครั้ง)

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ทางนี้ก้อรอเหมือนกัน

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 58
กลางทะเล





ร่างโปร่งบางกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้อาบแดดอยู่ในร่มไม้ที่ริมหาดขาวโพลน ผู้คนเดินเล่นไปมาอยู่น้อยมาก เลยไม่ได้สนใจร่างขาวที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่เลย ช่วงนี้ลมหนาวกำลังเข้ามา อากาศตอนนี้ก็เลยดีเอามากๆ โชคดีที่อินทัชทำงานทุกอย่างเสร็จแล้ว เลยให้รามินทร์ขับรถเอาเอกสารไปให้เลขาของเขาที่ขับรถมารับ ซึ่งจะเจอกันแบบคนละครึ่งทาง เนื่องจากเลขาของเขามีธุระ

ถ้าถามว่าทำไมเขาถึงกล้าอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่สภาพขาเป็นอย่างนี้ล่ะก็...

“จำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดอยู่รอบๆ เต็มไปหมดแบบนี้ไหม” เสียงของคนที่ไปทำธุระให้เขาดังขึ้นมา ทำให้อินทัชต้องลืมตาขึ้นมามองคนที่ขัดการนอนหลับของเขา

ก็ไม่ได้นอนหลับหรอก แค่หลับตาเฉยๆ ใครจะไปกล้านอนหลับในขณะที่ตัวเองกำลังโดนปองร้ายอยู่กันล่ะ

“ก็ไม่เห็นเป็นไร พวกนั้นก็ใส่ชุดกลมกลืนกับนักท่องเที่ยว ไม่ได้สุ่ดสูทดำ เดินทะมึนรอบๆ สักหน่อย มึงก็อย่าไปคิดว่าพวกนั้นเป็นบอดี้การ์ดดิวะ”

“จะไม่ให้กูคิดได้ยังไง มึงเล่นส่งมาประกบกูสามคนเลยนะเว้ย กูดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องมีหรอกน่า มึงเอาไปคุ้มกันมึงคนเดียวเถอะ”

“งั้นมึงก็กลับเพชรบูรณ์ไป แลกกัน”

“โอเคๆ ให้มาตามกูก็ได้ แต่ลดเหลือคนเดียวได้ไหมวะ เพราะยังไงตั้งแต่นี้ไปกูจะอยู่กับมึงตลอดเวลาอยู่แล้ว และตั้งแต่มึงเอาบอดี้การ์ดมาก็สามวันแล้วที่อามึงเงียบหายไป”

“หายไปก็จริง แต่กูเชื่อว่าจะต้องมองหาช่องอยู่แถวๆ นี้แหละ”

รามินทร์หันมองรอบๆ อีกครั้ง เพราะไม่ไว้วางใจกับอาของอินทัช ไม่แน่อาจจะส่งคนมาแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวอยู่แถวนี้ก็ได้

“จะดูออกเหรอว่าใคร”

“ใครที่มันพิรุธที่สุด ก็มันนั่นแหละ”

จุดประสงค์ที่ออกมานอนเล่นที่หาดแบบนี้เพราะต้องการออกมาล่อด้วยแหละ

บอดี้การ์ดที่เขาขอธีรไนยไปก็ไหวพริบดีใช่เล่น เพราะวันแรกที่มาถึงกัน ก็เหมือนจะเจอคนหนึ่งแต่มันก็หนีไปได้ก่อน เลยทำให้เขารู้ว่าพวกมันแฝงตัวมาเป็นนักท่องเที่ยว อยู่ใกล้จมูกเขานิดเดียวเท่านั้น

“บางทีเขาอาจจะมีพิรุธเพราะกลัวบอดี้การ์ดของมึงก็ได้” รามินทร์ว่าพลางทิ้งตัวนอนลงเก้าอี้ข้างๆ ที่ตั้งวางคู่กันกับของอินทัช

“ไม่รู้สิ...ยังไงความปลอดภัยกูก็ต้องมาก่อน แล้วบอดี้การ์ดกูไม่ใช่นักฆ่าที่จะเที่ยวทำร้ายคนอื่นถ้าหากว่าคนๆ นั้นไม่ทำร้ายกูก่อน เข้าใจนะ”

“กูเข้าใจ แค่ไม่ชินที่ต้องมีคนตามเป็นพรวน”

“กูก็ไม่ได้ชอบนักหรอกนะ แต่ชีวิตของกูต้องดูแลชีวิตของพนักงานอีกหลายๆ คน แล้วถ้าเกิดกูเป็นอะไร บริษัทจะทำยังไง มึงเองก็เหมือนกัน มาตาม มาอยู่ใกล้กูแบบนี้มันก็เป็นอันตราย ถ้ามึงไม่อยากให้คนคอยตามก็แค่อยู่ห่างๆ กูไปซะ แต่ถ้าอยากจะอยู่ข้างกูก็ต้องยอมรับในสิ่งที่กูเป็นให้ได้”

“กูยอมให้คนตามกูเป็นร้อยก็ได้ แค่ได้อยู่กับมึง”

“งั้นก็เลิกบ่น เพราะกูรำคาญ”

“ครับ...จะเลิกบ่นแล้วครับ”

“ดี...”

จริงๆ แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่อินทัชต้องใช้บอดี้การ์ดมาคุ้มครองตัวเอง เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยไปขัดแข้งขัดขาใคร ไม่เคยมีศัตรูที่ไหน อยู่อย่างสงบ ทำธุรกิจแบบมีคุณธรรม ไม่เคยตัดหน้าใคร กับคู่แข่งขันเราก็คุยกันดี

แต่อินทัชรู้จักเทพากรดี...ดีจนต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลาแบบนี้

(คุณอินครับ มีคนน่าสงสัยอยู่ทางสิบสองนาฬิกา)

หูฟังไร้สายที่เสียบอยู่ที่หูข้างหนึ่งก็ทำหน้าที่ได้ดีเหลือเกิน รามินทร์ไม่รู้หรอกว่าเขาหูฟังไร้สายอยู่ก็เลยไม่ได้เอะใจอะไรที่เขาหันไปมองตามที่บอดี้การ์ดรายงานมา

เพราะผมเขาค่อนข้างยาวเลยปิดหูจนมองไม่เห็น...

“อืม...’ไปเดินเล่นหน่อยไหม’ ว่ามีอะไรน่าสนใจหรือเปล่า” เหมือนจะถามรามินทร์แต่ก็เป็นประโยคที่แอบแฝงคำสั่งให้บอดี้การ์ดไปตรวจดู

“มึงอยากไปเหรอ”

“อยากนะ แต่ก็ขี้เกียจเดิน...” อินทัชว่าเพื่อเลี่ยงอย่างเนียนๆ

“นั่นสิ ว่าแต่ขาให้ปวดหรือยัง”

“เริ่มแล้วล่ะ ขาก็หายบวมแล้ว แต่ยังเจ็บเวลาเดินอยู่แต่อีกไม่นานก็คงหาย กลับกรุงเทพก็ไปเอาเฝือกออกได้แล้วล่ะมั้ง” ร่างโปร่งตอบ

“กูว่ามันก็ดีขึ้นแล้วจริงๆ แหละ งั้นกลับกรุงเทพกูจะพาไปหาหมอนะ”

“อือ...”

“อยากจะไปนั่งเรือเล่นไหม”

“ได้เหรอ?” ถามกลับอย่างสนอกสนใจ เพราะตลอดเวลาที่อินทัชเหม่อมองไปยังท้องทะเลข้างหน้า เขาก็อยากที่จะไปนั่งเรือเล่นแล้วนอนกลางทะเลสักชั่วโมงสองชั่วโมง

“ได้สิ วันนี้เต็มที่เลย เพราะพรุ่งนี้เราก็กลับกันแล้ว มึงมีประชุมนี่”

“จริงด้วย! ทำไมมึงรู้”

“คุณวัลย์บอกกูมา”

“อ๋อ...งั้นพรุ่งนี้ก็เตรียมอุปกรณ์ในการประชุมให้กูด้วยก็แล้วกัน อยู่ในห้องทำงานนั่นแหละ”

“วิดีโอคอลอ่ะนะ?”

“เออ! กูไม่ไปบริษัทด้วยสภาพขาเดี้ยงๆ หรอก”

“ได้...พรุ่งนี้ก็จะจัดการให้ เริ่มประชุมสิบโมงใช่ไหม?”

“อือ...”

“หึหึ เหมือนกูทำหน้าที่เป็นเลขาให้มึงเลยว่ะอิน” ร่างสูงว่า

“อยากทำเองไม่ใช่หรือไง?”

“ก็ใช่! กูก็แค่พูดเฉยๆ อย่าทำหน้าแบบนั้นดิวะ” รามินทร์ว่า

“กูทำหน้าแบบไหน?”

“ก็แบบที่พร้อมเหวี่ยงตลอดเวลาไง ฮ่าๆ”

“ไอ้สัตว์นี่!!” ร่างโปร่งชี้นิ้วด่าร่างสูงที่วิ่งหนีไปแล้ว รามินทร์ตรงไปยังเรือที่เขานอนมองมันหลายชั่วโมง อินทัชถอนหายใจเฮือกใหญ่

“นอนไม่ได้สินะ”

พอมีโอกาสให้นอนอินทัชก็อยากจะนอนให้มันเยอะๆ ไปเลย เอาให้คุ้มกับที่ผ่านมานอนไม่ค่อยพอมาตลอดทั้งชีวิต แต่ความเป็นจริงมันก็ทำไม่ได้อยู่ดี ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง

ร่างสูงขึ้นไปบนเรือเช็คเครื่องยนต์ เช็คน้ำมัน ก่อนจะเดินมาหาอินทัช

“พร้อม...”

“ไม่มีลำใหญ่กว่านี้หรือไง กูอยากนอน”

“มันก็นอนได้นะเว้ย มึงดูจากตรงนี้จะไปเห็นอะไร”

“มันเล็กอ่ะ”

“เล็กบ้าอะไร เรือของกูเรือยอร์ชนะเว้ย มีห้องนอน มีโต๊ะกินข้าว มีห้องครัว มีห้องน้ำ มีทีวี มีตู้เย็น มีที่นอนอาบแดด สรุปคือหรูครับ เหมาะกับจริตมึง”

“เหรอ? มึงซื้อมาทำไมขนาดนี้วะ”

“กูชอบ เวลากูไม่สบายใจนอกจากวัดแล้วก็จะเอาตัวเองไปทิ้งกลางทะเล บางวันก็นอนแม่งกลางทะเลนั่นแหละ”

“งั้นวันนี้นอนกลางทะเลได้ไหม”

“อืม...ก็ได้สิ เดี๋ยวไปเก็บเสื้อผ้าก่อนก็แล้วกัน แต่ว่ากูมีเรือของกูแค่ลำเดียวนะ บอดี้การ์ดมึงก็ไปสปีดโบ๊ทเล็กๆ เอา กูมีอยู่สองคำ ไปทีละสี่ผลัดกันคุ้มกันเอา แบบนี้โอเคไหม?” รามินทร์ถาม มองไปรอบๆ ที่เห็นบอดี้การ์ดนับสิบคนกระจัดกระจายอยู่รอบๆ

“มีสองคันเองเหรอวะ”

“ทำไม จะให้พวกเขาล้อมเราเอาไว้หรือไง”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“กูมีแค่สองลำจริงๆ ส่วนเรือยอร์ชกูไม่ค่อยให้ใครใช่หรอกจะมีเพื่อนกูคนหนึ่งที่มาบ่อยๆ เรือกูก็เลยไม่ค่อยเป็นหม้าย มันเป็นที่ส่วนตัวน่ะนะ นอกจากเพื่อนสนิทกูก็มีแค่มึงเนี่ยแหละที่กูยอมให้มึงขึ้น”

“เจ้าจอมกับน้องสาวมึงล่ะ พ่อกับแม่อีก”

“เอาจริงๆ ไหม”

“อือ”

“พวกเขาไม่รู้หรอกว่ากูเอาเงินไปซื้อเรือยอร์ชมา”

“แล้วทำไมไม่ไปอยู่แถวกระบี่ ภูเก็ตอะไรพวกนี้วะ” ร่างโปร่งบางถาม

“แล้วสัตหีบน้ำไม่ใสเหรอวะ ที่นี่ก็บรรยากาศดีนะเว้ย ส่วนทางนั้นมันไกลไป ลงใต้ไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับกูเลย”

“ไม่มีรีสอร์ทหรือโรงแรมที่นั่นเหรอ”

“ก็มี...แต่ก็ให้ญาติๆ ดูแหละ กูไม่ค่อยได้ไปหรอก แต่ตรวจสอบตลอด มีอะไรจะซักอีกไหมครับคุณภรรยา จะได้พาไปขับเรือเล่น แล้วก็นอนค้างคืนสักคืน อากาศวันนี้ไม่มีปัญหา”

“เดี๋ยว...” ร่างโปร่งเรียกร่างสูงเอาไว้เมื่ออีกคนทำท่าจะเดินกลับบ้านพักไป

“อะไรอีกครับ”

“ใครขับ?”

“กูไง...ทำไม?” รามินทร์เลิกคิ้วถามกลับมา

“ขับเป็นเหรอวะ”

“ไม่เป็นจะซื้อมาขับเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า กูไม่พามึงเป็นอะไรแน่ๆ อ้อ! มึงอย่าหวังเลยว่าจะคนขึ้นเรือเราไปด้วย เพราะกูจะอยู่กับมึง...แค่สองคน”

ร่างโปร่งส่ายหน้าอย่างระอามองตามคนตัวใหญ่กว่าที่พูดเอาๆ แล้วก็เดินหนีไปไม่รอให้เขาได้คัดค้านด้วย

“มาหาฉันหน่อย” อินทัชสั่งออกไปเพราะไมค์ที่ติดเอาไว้ยังทำงานอยู่ พอมาคิดๆ ดูแล้วเมื่อกี้นี้รามินทร์หลุดคำว่าภรรยาออกมาด้วยสินะ ได้ยินกันหมดแล้วแน่ๆ

ไม่นานบอดี้การ์ดสามคนที่ใส่หูฟังเชื่อมกับเขาก็เข้ามาหา

“ฉันจะไปนอนกลางทะเลคืนนี้ มีสปีดโบ๊ทให้พวกนายสองลำ แล้วก็ไปเช่ามาอีกสองลำนะ ลงเรือไปแปดคน อยู่บนนี้สามคนคอยดูว่ามีใครน่าสงสัยตามฉันลงไปหรือเปล่า อ้อ คนที่จะไปกลางทะเลน่ะ ให้กระจายรอบเรือยอร์ชลำนั้นนะ กระจายอยู่ให้ห่างไม่ต้องใกล้มาก ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว” อินทัชสั่งบอดี้การ์ดที่จ้างมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“รับทราบครับ”

“ตอนที่จะขับตามฉันไปไม่ต้องไปทีเดียวทั้งหมดก็ได้ ให้บางส่วนไปซื้ออาหารกับน้ำไปกันเองก็แล้วกัน จัดการกันเอง เอาใบเสร็จมาเบิกที่ฉันในวันพรุ่งนี้”

“ครับคุณอิน”

“อืม...ไปเตรียมตัวเถอะ”

“ครับ”

อินทัชมองไปยังทะเลแล้วยิ้มออกมา ถ้าหากรามินทร์เห็นเขาตอนนี้คงจะต้องหัวเราะแน่ๆ ที่เขาทำตัวตื่นเต้นเป็นเด็กๆ ออกมาอย่างออกนอกหน้า

เขาไม่ค่อยได้นั่งเรือเท่าไหร่ ชีวิตอยู่แต่กับเครื่องบิน รถส่วนตัว แล้วก็บริษัท

ไม่แปลกที่เขาจะอยากไปแบบสุดๆ อย่างนี้


“ชอบล่ะสิ”

“มึงพากูมาถึงไหนเนี่ย แน่ใจนะว่าจะพากลับถูก” อินทัชไม่ตอบคำถามร่างสูง แต่มองรอบๆ แล้วถามกลับไปแทน ร่างโปร่งรู้สึกกังวลเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยไว้ใจรามินทร์เท่าไหร่นัก หากแต่อากาศมันก็ดีจนทิ้งความกังวลออกไปได้

“เออน่า ยังไงมึงก็ให้คนตามาตั้งแปดคนขนาดนี้ มึงไม่คิดว่าจะเวอร์ไปหน่อยเหรอวะ คนตามเป็นพรวนเนี่ย”

“ถ้าขากูดีอยู่ กูก็ไม่ใช้เยอะหรอกน่า แต่มึงก็ไม่ต้องบ่นได้ไหม กูให้พวกนั้นมันอยู่ให้ห่างเพราะกูต้องการเวลาส่วนตัว”

รามินทร์ยิ้มกับคำพูดนี้ แสดงว่าอินทัชอยากจะอยู่กับเขาตามลำพังสินะ ใช่ไม่ใช่ก้ขอคิดเข้าข้างตัวเองเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน

“ยิ้มบ้าอะไร”

“เปล่านี่...กูไม่มีสิทธิ์ยิ้มหรือไง”

“เรื่องของมึง”

อินทัชรู้สึกเซ็งอยู่อย่างหนึ่งก็คือเขาลุกเดินเองไม่ค่อยสะดวกเพราะความโคลงเคลงของเรืออาจจะทำให้อินทัชอาการหนักกว่าเดิมได้ เพราะแค่เดินพื้นเรียบในบ้านยังรู้สึกเจ็บๆ อยู่เลย เดินบนเรือที่กำลังแล่นมีหวังโดนด่าว่าจะฆ่าตัวตายแน่ๆ

ขี้เกียจฟังไอ้รามมันพูดแล้ว อยู่เฉยๆ ก็ได้วะ

“ทำหน้าเหมือนอยากจะเดินสำรวจ”

ทำมาเป็นรู้ใจ ไอ้ห่าเอ้ย!!

“เปล่า...”

“ห้องนอนกูใหญ่นะเว้ย นอนสบายมาก ยิ่งนอนกลางทะเลแล้ว ได้ฟีลสุดๆ”

“มึงจะพูดทำไมวะไอ้ราม ทรมานคนเดินไม่ได้สนุกนักหรือไงวะ!”

“อย่าโกรธเลยน่า เดี๋ยวกูก็จะพามึงสำรวจเอง ให้ทั่วเลย”

“จริง?”

“เออ! ไม่โกหกหรอกน่า กูรักษาสัญญา..”

“ไม่ต้องพูดคำสุดท้ายนะ มันไม่ใช่” ยังไม่ทันที่รามินทร์จะพูดจบประโยค อินทัชก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน เพราะรู้ว่าคนที่ขับเรืออยู่ตอนนี้จะพูดคำอะไรออกมา

“ฮะๆ รู้ใจดีจังนะ”

‘เสมอ’ คำๆ นี้คือคำที่มันจะพูด อินทัชไม่เชื่อว่าคนอย่างรามินทร์จะเป็นคนที่รักษาสัญญา เพราะไม่ว่าอีกคนจะสัญญาอะไรกับเขา รามินทร์ไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง

“มึงมันเป็นพวกเชื่อไม่ได้ กูไม่รู้เลยว่าจะเชื่อคำสัญญามึงดีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาสัญญาอะไรกับกู กูไม่อยากผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

“นี่กูทำมึงผิดหวังขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ไม่มั้ง...สัญญาว่าจะไม่ยุ่งกับกู แล้วดูสิ่งที่มึงทำดิ”

รามินทร์ได้แต่หัวเราะ มือก็บังคับพวงมาลัย ท่าทางที่เจ้าของเรือใช้ขับเรือมันช่างดูเท่และเหมาะกับรามินทร์เอามากๆ ขนาดที่อินทัชไม่กล้าจะมองภาพนั้นตรงๆ ต้องมองนั่นมองนี่ระหว่างที่พูดตอบโต้ร่างสูงแกร่ง

หากแต่ความสนใจของอินทัชไม่ได้มีเพียงแค่การสำรวจเรือ...

“ขับยากไหมวะ”

“อยากลองเหรอ?”

“อือ...มันยากไหม”

“ก็ไม่ยากเท่าไหร่หรอก กูสอนเอาไหม?”

“กูยืนนานไม่ได้นะ มันเมื่อย” อินทัชพูด

“ก็ไม่ต้องนาน เมื่อยเมื่อไหร่ก็บอกกู จะให้นั่งเหมือนเดิม” รามินทร์แนะนำ แต่ดวงตาดูเจ้าเล่ห์ยังไงชอบกล อย่าคิดว่าไม่รู้ว่ามันกำลังคิดจะทำอะไร

ริมฝีปากบางเม้มแน่นเมื่อต้องใช้ความคิด ชั่งใจดูว่าจะเอายังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี  ใจหนึ่งก็อยากเรียน อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากโดนลวนลาม...

หน้าตาหื่นกามออกขนาดนั้น...แน่ใจไหมว่าถ้าโดนลวนลามแล้วจะไม่เคลิ้ม? อินทัชไม่ใช่คนใจแข็งขนาดนั้นด้วย ที่ผ่านมาการที่ต้องปฏิเสธรามินทร์ต้องข่มอารมณ์ตัวเองขนาดไหน ไม่มีใครรู้นอกจากตัวของเขาเอง

“มาเถอะน่า”

“หน้ามึงไม่น่าไว้ใจ...”

“กูจะทำอะไรมึงได้ ถ้ามึงไม่เต็มใจ ถูกไหม?”

ไอ้ที่กลัวก็คือตัวเองจะเต็มใจเนี่ยแหละ ไอ้หน้ามึน!!

“กลัวเหรอ”

เออ!! กลัว...แต่ใครจะไปยอมให้มันหยามกันเล่า!!

“ไม่ได้กลัว” ตอบเสียงห้วน

“งั้นก็มาขับ จะสอนให้” ร่างสูงเดินมาหาคนสวยที่ตอนนี้ทำหน้าหวาดระแวงแบบไม่ปิดบัง ทำเอาร่างสูงอมยิ้มอย่างมีความสุขและสนุกกับท่าทีของคนที่ตนรัก

พอเขาอยู่ตรงพวงมาลัยเรือก็โดนประกบหลังจากคนตัวใหญ่กว่าทันที มือแกร่งจับมือเล็กให้เอาไปวางไว้ตรงจุดที่ควรจะวางเวลาขับเรือ แล้วก็อธิบายการขับชิดกับใบหูจนร่างเล็กกว่าขนลุกซุ่ต้องเบี่ยงหลบเล็กน้อย

“อย่าน่า...สอนอย่างเดียวสิ” เอ่ยปรามเสียงดุ

“ก็สอนอยู่ไง”

“แต่ปากมึงอยู่ไม่นิ่งนี่หว่า พูดอย่างเดียวไม่จำเป็นต้องสิงหูกูก็ได้มั้ง”

“กลัวมึงไม่ได้ยิน”

“ขอบคุณในความหวังดี แต่กูได้ยินชัดมาก ต่อให้มึงจะพูดอยู่อีกฝั่งของเกาะกูก็ได้ยิน” อินทัชประชดประชันออกไป เสียงหัวเราทุ้มต่ำก็ดังข้างหูอีกครั้งจนสยิวกิ้วไปหมด

“ไอ้ราม!”

“อย่าตะโกนดิ...เจ็บคอเปล่าๆ เอ้าขับไปสิ”

“กูไม่ขับแล้ว”

“ไม่ได้ กูยังพักไม่พอเลย”

พักของมึงคือการเอามากเอาจมูกมาไซ้คอกูเนี่ยนะ เห็นว่าขยับตัวมากไม่ได้ก็เลยได้ใจ จะทำอะไรกับร่างกายกูก็ได้เหรอ ลืมไปแล้วหรือไงว่าแขนกูยังใช้ได้!!

ปัก!!

“อั่ก!!! เจ็บนะเว้ยอิน ศอกมาได้”

“ก็มึงทำรุ่มร่ามเอง ช่วยไม่ได้”

“แล้วทำไมกูจะทำไม่ได้อ่ะ”

“ก็มันร่างกายกู กูไม่อนุญาต” เถียงไม่ออกเลยทีนี้ รามินทร์เห็นว่ารุกหนักไปอาจจะทำให้ทุกอย่างพังได้ก็เลยยอมพาอินทัชมานั่งอยู่กับที่เหมือนเดิม แต่ก็แอบหอมแก้มนุ่มเบาๆ แล้วเดินกลับมาประจำที่คนขับอย่างรวดเร็วเลยไม่ทันโดน่ามืออรหันของอินทัช

จุ๊บ!!

“ไอ้นี่!”

“ฮ่าๆ นุ่มจังเลยว่ะ น่าฟัดแรงๆ หลายที”

“ไอ้ตัณหากลับ!!”

“แล้วไง เป็นกับเมียคนเดียวนี่หว่า”

“หุบไปไปเลยไป น่ารำคาญจริงๆ เลยมึงเนี่ย!!” รามินทร์สั่งเสียงดัง ร่างสูงกลับทำหน้าไม่หยี่ระแต่ก็ยอมเงียบไม่กวนประสาทคนรักอีก

 ...

...

...


(มีต่อ)

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
ตอนที่ 58 (ต่อ)




เวลาค่ำคืบคลานเข้ามาถึง ฟ้าเริ่มมืดลง ไฟของเรือยอร์ชก็ทำงานให้ความสว่าง ห่างไปหลายร้อยเมตรมีสปีดโบ๊ทสี่ลำ จอดล้อมรอบพวกเขาเอาไว้อยู่ หามองจากด้านบนจะเห็นเป็นจุดแสงไฟสวยงาม

รามินทร์ทำอาหารง่ายๆ ให้อินทัชกิน ซึ่งมันก็ง่ายมากอย่างที่บอกและทำไม่นานจริงๆ เพราะมันก็แค่อุ่นอาหารพวกนั้นในโมโครเวฟ อยากจะกินอะไรก็หยิบจากตู้แช่แข็งมาอุ่นเท่านั้น

“ในนี้นี่มีพร้อมทุกอย่างเลยนะ มึงเตรียมไว้เพื่อ เปลืองค่าไฟเปล่าๆ”

“ก็เพื่อนกูไง กูบอกแล้วว่ามันมาบ่อยๆ”

“ก็ไม่ใช่ทุกวันนี่หว่า”

“เอาน่า...กูชอบของกู กูยอมหมดนั่นแหละ”

อินทัชพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ หากเป็นเขา ถ้าได้ชอบอะไรแล้วก็จะทุ่มทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมาเหมือนกัน ก็ถือว่ามีอะไรที่เหมือนกันแล้วหนึ่งอย่างล่ะนะ

แต่เป็นนิสัยที่พากันล่มจมสุดๆ

“แล้วให้กูกินอาหารเวฟ? เรือยอร์ชมีครัวอย่างหรู แต่เวฟอาหารแช่แข็งให้กิน เหอะ! ดีงามเวอร์”

“อย่าประชดน่า...ก็กูทำอาหารไม่เป็น หรือว่ามึงจะทำล่ะ”

“กูคงลุกไปยืนทำได้เนาะ”

“นั่นไง งั้นก็แดกไอ้นี่ไป อย่าบ่นได้ไหมครับ มันก็ดีกว่าไม่มีให้คุณอินรับประทานนะครับ” รามินทร์ว่าอย่างประชดประชันกลับไม่แพ้กัน

“เฮอะ! ไม่ได้ดั่งใจเลยว่ะ”

“แล้วจะเอายังไง?”

“มันก็ต้องกินอาหารทะเลอร่อยๆ สิวะ”

“ให้โทรสั่งไหมล่ะ?”

“พอๆ ไม่ต้องแล้ว กูกินจนจะอิ่มแล้วเนี่ย”

“แล้งบ่นเพื่อ?”

“ก็มันไม่ได้ฟีลไง มาอยู่กลางทะเลแต่เสือกกินอาหารแช่แข็ง เฮ้อ...เกือบเป็นทริปที่ดีแล้วเชียว”

“บ่นจังเลยวะ เอาโล่เกียรติคุณไหม”

รามินทร์ไม่ได้รู้สึกโมโหอะไรหรอกที่ร่างโปร่งบ่นออกมาแบบนี้ ดูท่าทางก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่ตัวเองพูดนักหรอก...

“ทำให้ก็เอามา” ท้าทายกลับมาจนดูน่าหมั่นเขี้ยวสุดๆ อยากจะโน้มหน้าไปฟัดแก้มนุ่มๆ นั้นให้หายหมั่นเขี้ยว

รามินทร์ลุกขึ้นแล้วเคลียร์ของบนโต๊ะ เอาจานไปล้างที่ซิงค์น้ำ ใบหน้าสวยมองตามรามินทร์เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะมองตรงไหน ก็เลยเลือกที่จะมองร่างสูงกว่าที่ขยับไปมาไม่น่าเบื่อดีกว่า

มองไปมองมาก็ชักเพลิน...

“อยากขึ้นไปนั่งเล่น กินลม ชมดาว หรือว่าจะไปนอนดูทีวี” ร่างสูงเช็ดมือกับกางเกงตัวเองอย่างไม่กลัวว่ามันจะเปียก หันกลับมาถามร่างโปร่งบางที่นั่งเท้าคางมองเขาอยู่จนสะดุ้งตกใจ

“ห๊ะ! อะไรนะ”

รามินทร์ยิ้มแล้วส่ายหน้าให้กับอินทัชด้วยความเอ็นดู ปากขยับพูดทวนคำถามอีกครั้ง จนร่างบางร้องอ๋อ...

“กูอยากจะไปดูอากาศข้างบนก่อนว่ามันเป็นยังไง”

“มันหนาวนะ”

“จริงเหรอ?”

“อืม...กูขึ้นไปเอาของข้างบนมา อากาศอย่างเย็นเลย มึงอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนดีไหม”

“อาบยังไง ไม่อาบหรอก เรือมึงมีอ่างอาบน้ำให้กูหรือไง”

“ไม่มี...แต่มีเก้าอี้ให้มึงเอาขาพาด แล้วก็มีถุงพลาสติกคลุมเฝือกมึงด้วย คิดดุว่ากูพร้อมขนาดไหน สามีแบบนี้หาที่ไหนอีกไม่ได้แล้วนะครับ” ยักคิ้วให้ด้วยเป็นการหว่านเสน่ห์ ทำเอาอินทัชทำหน้าเบื่อหน่าย

อาบก็อาบ...ทุกวันนี้แก้ผ้ากับมันจนรู้สึกชินแล้ว

ชินที่ถูกอาบน้ำให้ แต่ไม่ชินกับสายตาที่มองกันปานจะกลืนกินเสียที...

“แบบไหน? เลวน่ะเหรอ ไม่ต้องบอกกูก็รู้น่า”

“ไม่เป็นไร ต่อให้มึงจะด่าจะว่ากู แต่ยอมรับว่ากูเป็นสามีกูก็มีความสุขแล้ว”

“เอาที่มึงสบายใจ”

“หึหึ มา...เดี๋ยวจะพาไปอาบน้ำนะครับที่รัก”

“ไม่ต้องพูดอะไรที่มันชวนอ้วกได้ป่ะ กูเสียดายอาหารแช่แข็งที่แดกไป” อินทัชเอาแขนพาดไหล่ของรามินทร์ เพราะเจ้าตัวเลือกประคองเขาให้เดินเองแทนที่จะเป็นการอุ้มอย่างทุกที

รามินทร์พยายามให้ร่างโปร่งเดินเองบ้าง เพราะอยู่เฉยๆ มากเกินไป มันไม่ดีกับกล้ามเนื้อ ก็เลยให้อินทัชเดินบ้าง แต่ถ้ารู้สึกเจ็บมากๆ เมื่อไหร่จะให้หยุดเดิน...

ถือว่าเขาทำหน้าที่นักกายภาพบำบัดได้ดีเลยนะ


เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วรามินทร์ก็พาอินทัชขึ้นมาข้างบน มันเป็นที่นอนที่สามารถดึงมานอนได้มีพนักพิงเหมือนโซฟา แต่สามารถปรับระดับได้ เขาก็ปรับให้มันเฉียงหน่อยแล้วให้อินทัชนอนพิงดูดาวรอไปก่อน เพราะเขาลงไปเอาผ้าห่มขึ้นมาให้กับอินทัชที่พอได้สัมผัสกับอากาศด้านนอกก็ตัวสั่นจนเขารู้สึกได้

บอกแล้วไง ว่าอากาศมันเย็นมาก

“หนาวมากไหม”

“อากาศกำลังดี กูชอบ”

“ดีแล้วที่มึงชอบ”

อินทัชยิ้มบางๆ มองท้องฟ้าที่มีดาวอยู่เพียงน้อยนิด แต่เมื่อเห็นว่ารามินทร์ก็ยังยืนมองเขาอยู่แบบนั้น เขาก็เลยขมวดคิ้วแปลกใจ

“ไม่นอน?”

“นึกว่าจะไม่ชวน”

“ทำไมต้องรอชวน ที่ก็มีตั้งเยอะ ที่สำคัญนี่เป็นเรือของมึง”

“ลุกขึ้นหน่อยได้ไหม”

“ทำไม?” ถึงจะถามไปอย่างนั้น แต่ร่างบางก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วรามินทร์ก็แทรกตัวเข้าไปแย่งที่แยกขาออกจากกัน มือแกร่งก็ดึงร่างโปร่งเข้ามาหาตัวแล้วโอบกอดคนตัวเล็กกว่าจากข้างหลัง อินทัชตกใจทำอะไรไม่ถูกเพราะโดนจู่โจมเร็วเกินไปก็ได้แต่นั่งนิ่ง ไม่ขัดขืน

ผ่านไปสักพักก็ยังอยู่ท่านั้น แต่ก็ผ่อนคลายอารมณ์ลง เอนกายซบกับร่างสูงใหญ่ด้านหลังทีละน้อยจนทิ้งน้ำหนักมาทั้งตัว

หมับ!!

รามินทร์กระชับอ้อมแขนแน่นมากขึ้นแต่คนในอ้อมแขนก็ไม่มีทีท่าจะพูดหรือว่าอะไรเลย มีแต่ความเงียบมอบให้เขา แต่นั่นรามินทร์ก็คิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้ของอินทัชตอนนี้ดี

“กูไม่มีผ้าห่ม...” ร่างสูงพูดเสียงเบา ข้างๆ กับหูขาว

“แล้ว?”

“ห่มกับมึงได้ไหม”

“ก็ทำแบบนั้นอยู่ไม่ใช่หรือไง” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังข้างหูขาวอีกครั้ง ร่างขาวขนลุกไปทั้งตัวแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่รู้สิ...มันก็อดยอมรับไม่ได้ว่าการโดนสัมผัสจากรามินทร์ มันทำให้เขารู้สึกดี

และรู้สึกอบอุ่นมากๆ

“โรแมนติกเนอะ ว่าไม?”

“ไม่เลยสักนิด”

แต่อินทัชก็คืออินทัช การพูดขัดบรรยากาศเพราะต้องการแก้เขินน่ะมันก็เป็นหนึ่งในความสามรถของเจ้าตัวเขาล่ะ...แต่รามินทร์ก็คิดว่าการที่อินทัชเป็นแบบนี้ก็คือเสน่ห์อย่างหนึ่งนั่นแหละ

“ตลอดอ่ะมึง”

“หึหึ” เสียงหัวเราของอินทัชดังขึ้นเบาๆ แต่คนที่อยู่ใกล้ตัวอย่างเขาได้ยินมันอย่างชัดเจน

ได้เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะ จากคนที่เขารัก รามินทร์ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว...ที่ผ่านมาเขาทำผิดเอาไว้มาก มากจนไม่อยากให้อภัยตัวเองเลย แต่รามินทร์ไม่ใช่คนดี...และไม่ได้เลวขนาดนั้น

รักเป็น โกรธเป็น เจ็บเป็น...

“กูรักมึงนะ”

“คิดว่าจะเคลิ้มหรือไง”

“ถ้าเขินก็อยู่เงียบๆ ก็ได้นะ ไม่จำเป็นต้องทำลายบรรยากาศ” รามินทร์พูด

“บ้าเหรอ!! ใครจะไปเขินกันล่ะ มั่ว!!”

ถ้าให้อินทัชสาบานบอกเลยว่าตายไปนานแล้ว เพราะประโยคที่เถียงออกไป กับสีหน้าตอนนี้มันตรงกันข้ามกันสุดๆ รามินทร์เองก็รู้เพราะหูที่แดงๆ ของร่างขาวบางมันก็ตอบได้ดีเลยล่ะ

“หันมาหน่อย...”

“ทำไม?”

“อยากจูบ”

ไม่รู้ว่าการที่พูดออกไปตรงๆ แบบนี้จะทำให้เขาได้ในสิ่งที่อยากได้หรือเปล่า แต่มันก็ต้องเสี่ยงกันบ้างแหละ...อยากได้อะไรก็ต้องกล้าเสี่ยงทำให้ได้มา

ใบหน้าสวยแสดงความกังวลออกมาทางสีหน้า ที่กังวลนี่ไม่ใช่ว่ากลัว ไม่ใช่ไม่อยาก...เขาเองก็อยากจูบกับมัน เพียงแต่ว่าอะไรหลายๆ อย่างมันค้านกันอยู่ในใจ...

แต่แล้วร่างบางก็ต้านทานความรู้สึกของตัวเองไม่ไหว ความต้องการส่วนลึก...สัญชาตญาณดิบที่ไม่ได้ปลดปล่อยเลยเกือบสองเดือน ใบหน้าสวยทำเพียงเอนตัวไปทางซ้าย หันหน้าไปทางขวาแล้วแหงนขึ้น ยังไม่ทันได้มองตาอีกคนเลย ริมฝีปากสวยก็ถูกครอบครองอย่างรุนแรง

“อื้อ”

ริมฝีปากหนาบดขยี้ริมฝีปากอ่อนนุ่มอย่างร้อนแรง ทั้งดูดุน ทั้งขบเม้มหลอกหล่อ แล้วก็สอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กในโพรงปากร้อนของอินทัช ร่างโปร่งบางเองก็ไม่คิดจะยอมแพ้ ตอบรับสัมผัสกลับไปด้วยทักษะที่ตัวเองมีทั้งหมด...

คนจูบเก่ง เจอคนจูบเก่ง ไม่ต้องถามถึงความร้อนแรง....เพราะเขาสองคนก็รู้ๆ กันอยู่

มือหนาค่อยๆ ลูบไล้ร่างกายบางโดยมุดใต้ผ้าห่มไปอย่างถือวิสาสะ...ร่างโปร่งสะดุ้งเมื่อมือเย็นๆ ของรามินทร์สัมผัสโดนกายอุ่นใต้ผ้าห่มหนา แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนหรือต่อต้าน แล้วท่าทางแบบนั้นก็เป็นสัญญาณเตือนที่ดี เป็นสัญญาณแห่งการอนุญาต...

“อื้อ...ค่ะ แค่จูบ”

“โอเค...จูบก็จูบ...แต่จนกว่ากูจะพอใจนะ”

“ม่ะ...อื้อ” ไม่ทันได้ปฏิเสธ กลีบปากหนาก็เข้าครอบครองปากสวยอีกครั้ง...ไม่มีทีท่าให้ร่างโปร่งได้พักหายใจนานก็จูบเรื่อยๆ หลายต่อหลายครั้ง...กว่าจะหยุดก็ตอนที่อินทัชเหนื่อยจนหลับไปนั่นแหละ...

มันเป็นการลงทุนเสี่ยงที่รามินทร์โคตรจะคุ้มเลย...ว่าไหม?






100%

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

มาลงต่อแล้วจ้า หาเวลาลงไม่ได้จริงๆ งือ...แต่พรุ่งนี้วันพ่อ จะลงให้อีกตอนนะคะ ลงแบบติดๆ กันเลย เพื่อแสดงความขอโทษที่ไม่ค่อยได้ลง ทั้งๆ ที่มันก็ใกล้จะจบแล้ว
อ่านแล้วอย่าลืมคอมเม้นท์ให้ยูกิด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ที่ยังติดตามและรออ่านกัน
มีอะไรพูดคุยได้ที่แฟนเพจค่ะ https://www.facebook.com/sawachiyuki/

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ฮันนีมูนอันแสนหวาน  :mew1:

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1600
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
จูบจนหลัยเลยจ้า 555 น่ารักๆ หวานๆอีกนะะ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ตอนนี้หวานแหวว ปลาตายทั้งทะเล  :o8:

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 59
ไม่ไปไหนแล้ว





บรรยากาศทางด้านของเจ้าจอมกับพ่อแม่ก็ดีขึ้น แต่ก็ยังมึนตึงกับจุลจักรอยู่ ไม่ได้ยอมรับอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะพวกเขายังไม่เห็นว่าจุลจักรจะดูแลเจ้าจอมได้จริงๆ จอมพลกับเจนจิราก็เลยมาหาลูกชายที่คอนโดของจุลจักรที่อินทัชเคยบอกเอาไว้โดยไม่ได้บอกล่าวลูกชายเอาไว้ด้วยว่าจะมา

“ผมมาหาคนชื่อจุลจักร ไม่ทราบว่ามีชื่อนี้ไหมครับ”

“มีค่ะ แต่คุณจักรไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ”

“งั้นมีคนอยู่ข้างบนไหม”

“ดิฉันไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่คิดว่าคงจะมีเพราะเห็นว่าคุณจักรเดินเข้าออกพร้อมกับคุณผู้ชายอีกท่านน่ะค่ะ ทุกวันเลย จะลองขึ้นไปดูก็ได้นะคะ อยู่ชั้นที่ห้าสิบค่ะ ออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวซ้ายจะเป็นโซนของคุณจุลจักร ส่วนด้านขวาจะเป็นโซนของคุณอินทัชค่ะ” พนักงานต้อนรับของที่นี่บอก ซึ่งเธอก็คิดว่าถ้ารู้จักกับจุลจักรก็ต้องรู้จักรกับอินทัชด้วย เนื่องจากทั้งชั้นเป็นของอินทัชทั้งหมด

“คุณอินทัชอยู่ด้วยหรือครับ” จอมพลถาม

“อยู่ค่ะ แต่สี่วันแล้วค่ะที่คุณอินทัชยังไม่กลับมา”

“อ๋อครับ งั้นผมขอตัวขึ้นไปหาลูกชายก่อน ขอบคุณนะครับ”

“ด้วยความยินดีค่ะ”

สองสามีภรรยาเดินตรงไปที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังชั้นที่พนักงานบอกมาก่อนหน้านี้ทันที พอถึงหน้าประตูก็กดออด ไม่นานก็มีคนออกมาเปิด ซึ่งก็คือลูกชายของพวกเขา เจ้าจอมนั่นเอง

“มาได้ยังไงครับ”

“แม่ก็แค่อยากมาดูว่าลูกอยู่ที่นี่จริงๆ หรือเปล่า” เจนจิราตอบ

“เข้ามาก่อนสิครับ จักรไม่อยู่ ไปทำงานครับ” ร่างที่ดูเล็กกว่ามาตรฐานชายไทยขยับตัวให้พ่อกับแม่เข้ามาข้างใน ซึ่งเมื่อเข้ามากันแล้ว จอมพลกับเจนจิราก็มองรอบๆ อย่างสำรวจ

“อืม...หรูกว่าบ้านเราเยอะเลย” จอมพลพูดพึมพำ

“ใช่...ฉันก็ว่าอย่างนั้น”

“แต่จอมมาอยู่แค่ชั่วคราวนะครับ พรุ่งนี้ก็กลับเพชรบูรณ์แล้ว”

“งั้นแฟนลูกก็อยู่คนเดียวน่ะสิ” เจนจิราถามต่อ

“ครับ”

“ไม่กลัวมันพาคนอื่นมาหรือไง” จอมพลถาม

“ไม่กลัวหรอกครับ...จอมเชื่อใจจักรแล้วจักรก็เชื่อใจผม”

“ก็ดี...ให้มันเป็นอย่างที่พูดก็แล้วกัน” แม้จะยังดูห่างเหินระหว่างพ่อลูกคู่นี้ แต่ว่าก็พูดคุยกันดีๆ ส่วนน้อยที่จะขึ้นเสียงใส่กัน...

ผู้มีพระคุณของเจ้าจอมนั่งลงบนโซฟานุ่มที่มีราคาแพงกว่าที่บ้านของพวกเขาหลายเท่า เวลานั่งก็เลยรู้สึกว่ามันจะสบายกว่าหลายขุมนัก ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ เจ้าจอมเดินไปเอาน้ำส้มคั้นที่คั้นเตรียมเอาไว้ให้คนรักมาให้พ่อกับแม่คนละแก้วแล้วก็น้ำเปล่าคนละแก้ว

“ที่มาเนี่ยก็เพื่อมาเช็คใช่ไหมครับ”

“อันนั้นมันจุดประสงค์รอง จุดประสงค์หลักคือมาหาแกนั่นแหละ พรุ่งนี้ฉันมีธุระก็เลยไปส่งที่สนามบินไม่ได้ เลยมาหาวันนี้แทน วันนี้ฉันว่าง”

“พ่อมีวันว่างด้วยเหรอครับ ปกติก็เห็นเอาแต่ทำงาน”

“ก็ถ้าไม่ทำงาน พี่ชายแกก็จะว่าเอาน่ะสิ” จอมพลตอบแต่ก็แอบแขวะถึงหลานชายที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าไปด้วย เนื่องจากเขาทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรมที่อยู่กรุงเทพหนึ่งสาขา นอกนั้นก็กระจายให้ญาติ ลูกพี่ลูกน้องคนอื่นทำ หากแต่ก็อยู่ภายใต้การบริหารของรามินทร์

“พี่รามไม่เห็นจะเคยว่าอะไรใคร พี่รามใจดีจะตาย พ่ออย่าใส่ร้ายสิครับ”

“หึ...ออกรับกันแทนดีนะ”

“นี่คุณ…เรามาหาลูก มาเยี่ยมลูกนะ ไม่ใช่มาชวนลูกทะเลาะ” เจนจิรารีบห้ามทัพเพราะกลัวว่าจะทะเลาะกันอีก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่ทั้งลูกทั้งสามีจะทิ้งทิฐิลงง่ายๆ

พ่อลูกเหมือนกันก็ตรงนี้แหละ

“ฉันก็ไม่ได้ชวนทะเลาะ”

“ไม่เป็นหรอกครับแม่ จอมก็ไม่ได้คิดอะไร รู้ๆ กันอยู่ว่าพ่อก็มีนิสัยแบบนี้”

จอมพลยิ้มนิดๆ แล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ ส่วนเจ้าจอมเองก็ยิ้มให้กับแม่นิดๆ เขาไม่ได้คิดว่าพ่อจะหาเรื่องหรือชวนทะเลาะ เพราะเขารู้ดีว่าแบบไหนที่พ่อกำลังโมโห แบบไหนแค่ปากแข็ง

“จะบอกว่ารู้นิสัยของฉัน ฉันก็รู้นิสัยแกเหมือนกันนั่นแหละ นอกจากย่าแกแล้ว ก็มีแกเนี่ยแหละที่ฉันขัดใจไม่ได้เลยสักครั้ง” คนเป็นพ่อว่า

“ก็แล้วจะขัดใจจอมทำไมอ่ะ”

“ถ้าแกเป็นพ่อเป็นแม่แกก็จะเข้าใจ คนเป็นพ่อแม่ไม่ใครอยากให้ลูกต้องลำบากหรอกนะ ไม่ใช่ไม่เชื่อในความรัก แต่ความรักมันกินไม่ได้ พ่อกับแม่ก็คิดแบบนี้กันมาตลอด จนได้มาเห็นรอยยิ้มของแกวันนั้นนั่นแหละ ฉันเข้าใจทันทีเลยว่าต่อให้แกจะลำบากแค่ไหน ถ้าอยู่กับคนที่รักแกก็จะมีความสุข แต่ถามจริงเถอะจอม จะมีคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ไหนทนเห็นลูกตัวเองลำบากได้ ก็ต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก”

เจ้าจอมฟังที่พ่อพูดอย่างตั้งใจ และพยายามทำความเข้าใจในเหตุผล และมันก็ทำให้เจ้าจอมรู้ว่าพ่อกับแม่รักเขามาตลอด ไม่ใช่ไม่รัก...อย่างที่เขาคิด

“แล้วทำไมตอนที่จอมสารภาพว่าชอบผู้ชาย พ่อถึง...”

“ไล่แกออกไปจากบ้าน!” ร่างเล็กยังถามไม่จบ คนเป็นพ่อก็เอ่ยแทรกเมื่อรู้ว่าลูกชายจะถามอะไร เพราะไม่ใช่แค่เจ้าจอมคนเดียวที่เจ็บปวดกับเรื่องนี้ เพราะคำพูดที่เขาพูดออกไปในวันนั้นก็ยังตอกย้ำให้เขาเจ็บปวดอยู่จนถึงทุกวันนี้

คำพูดแสนร้ายกาจที่ด่าทอ ต่อว่าลูกชายคนเดียวของตนในวันนั้นมันเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจผิดและทำผิดพลาดที่สุดในชีวิต ไม่เคยเสียใจมากขนาดนี้มาก่อน แต่เพราะทิฐิของเขาก็ไม่อาจจะทำให้เขาไปตามลูกชายกลับบ้าน แม้ว่าจะเป็นห่วงมาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

“ครับ...”

“ฉันเสียใจ...เสียใจที่พูดแบบนั้นไป ทั้งๆ ที่ไม่ว่าแกจะเป็นอะไร แกก็คือลูกของฉัน แต่การที่ไล่แกออกไปจากบ้าน ฉันคิดว่ามันอาจจะทำให้แกเปลี่ยนได้ แต่ฉันก็มานั่งเสียใจทีหลัง”

“พ่อ...” เสียงของเจ้าจอมสั่นเครือ

“เอาเป็นว่าพ่อขอโทษ...ขอโทษที่ทำร้ายจิตใจ ขอโทษนะลูก”

“ไม่ครับ ไม่ต้องขอโทษ จอมเข้าใจแล้ว จอมเองก็ขอโทษที่คิดว่าพ่อกับแม่ไม่รัก ทั้งๆ ที่ผ่านมาพ่อกับแม่ก็ให้ทุกอย่างกับจอม แต่จอมก็น้อยใจ คิดต่างๆ นาว่าพ่อกับแม่ไม่รัก ขอโทษนะครับ”

เจ้าจอมทิ้งตัวนั่งพื้นแล้วก้มกราบเท้าพ่อกับแม่แล้ว สัมผัสที่ศีรษะอบอุ่นมากจนเจ้าจอมร้องไห้เป็นเด็ก โผเข้าสู่อ้อมกอดของพ่อแม่ทั้งน้ำตา ภาพความทรงจำในวัยเด็กย้อนเข้ามาไม่ขาดสาย ความรู้สึกตอนนี้กับตอนนั้นไม่ได้แตกต่างกันเลยสักนิด

มันอบอุ่น...

“พ่อรักลูกนะจอม”

“แม่ก็รักลูกนะลูก รักมากที่สุด พ่อกับแม่อาจจะเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี แต่พ่อกับแม่ก็รักลูกมากๆ...แม่ขอโทษนะลูกที่ไม่เคยเข้าใจอะไรลูกเลย ตั้งแต่นี้ไป แม่ ฮึก...จะทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุด”

เจ้าจอมส่ายหน้าทั้งน้ำตา

“จอมก็รักพ่อกับแม่ ฮึก รัก...รักมากกว่าใครๆ ด้วย”

เจ้าจอมพูดเสียงสั่น สะอื้นไห้จนตัวโยน พ่อกับแม่ก็ตระกองกอดลูกชายเอาไว้ เหมือนว่าลูกชายคนนี้เป็นเด็กน้อยของพวกเขาไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...








หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป

เจ้าจอมที่กลับมาทำงานเหมือนเดิมที่เพชรบูรณ์ก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย เพราะไม่ว่าจะโทรไปหาพี่ชายอย่างรามินทร์วันไหนก็มีตอบว่ายังไม่กลับๆ ตลอด

“มันสองอาทิตย์แล้วนะครับที่พี่รามไม่กลับมาเลย”

(พี่เป็นห่วงอินมันน่ะ ไม่มีพี่ ไอ้ขรรค์กับคุณภพก็จัดการได้)

“แต่ผมอยากเห็นหน้าพี่รามนี่นา” คนเป็นน้องพูดอย่างน้อยใจที่พี่ชายไม่ยอมกลับมาหากันเลย จนบางครั้งก็แอบอิจฉาอินทัชนิดๆ หากแต่เขาก็ย้อมมองดูตัวเองตลอดเพราะเวลาที่พี่ชายอู่ เขาก็เอาแต่อยู่กับจุลจักร จนตอนนี้มานึกเสียใจเวลาที่ผ่านมาที่ให้เวลากับพี่ชายได้ไม่มาก

แต่ถ้าพี่รามมีความสุข จอมก็มีความสุขด้วย

(มีเรื่องดีๆ ล่ะสิ) ปลายสายถามอย่างรู้ทัน

“ตอนนี้จอมกับพ่อแม่เข้าใจกันแล้วนะ ขอบคุณนะครับพี่ราม ที่ส่งเสียน้องชายคนนี้เรียนจนจบแล้วยังให้งานทำอีก จอมไม่รู้จะตอบแทนพี่รามยังไงดี” สีหน้าและน้ำเสียงของเจ้าจอมฟังแล้วมีความสุขอย่างที่รามินทร์คิดภาพออก

(แค่จอมมีความสุข พี่ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วล่ะ)

“ต้องการแค่นี้เหรอครับ?”

ยิ่งพี่ชายพูดแบบนี้ เขาก็ไม่กล้าบอกในสิ่งที่เขาอยากจะพูดออกไปเลย เพราะมันเป็นเรื่องที่เขาเคยพูดเอาไว้แล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันก็สองจิตสองใจ

ถ้าพี่อินไม่ยอมรับรักของพี่ราม...พี่รามจะอยู่ยังไง จะเหงาไหมถ้าเขาไม่อยู่ตรงนี้

แล้วถ้ารับรัก ยังไงพี่รามก็ต้องกลับมาเพชรบูรณ์ ก็ต้องแยกกันอยู่อยู่ดี แล้วตอนที่พี่อินไม่มาหาหรือไม่ได้ไปหาพี่อิน พี่รามจะเหงามากไหม

(จอมครับ...อยากจะเรียนต่อก็เรียน แล้วก็ทำงานในโรงแรมพี่ ส่วนเราก็ไม่ได้จากกันไปไหน เราเจอกันได้ตลอด ยังไงจอมก็ทำงานให้พี่อยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวจะห่างจากพี่ชายคนนี้หรอกน่า)

เพราะเจ้าจอมอยู่กับพี่ชายมาตลอด พอคิดว่าจะต้องออกไป เขาก็รู้สึกใจหายยังไม่รู้ ทั้งๆ ที่พวกเราไม่ได้ไปไหนห่างกันไกลเลย

เราเจอกันได้ตลอด แต่มันก็รู้สึกใจหาย...

“จอมรักพี่รามนะครับ”

(หึหึ พี่ก็รักครับ...รักมากๆ พี่เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าถ้าจอมมีความสุข พี่ก็มีความสุขด้วย ฉะนั้นแล้ว เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ พี่จะสนับสนุนน้องชายเอง)

“ฮือ...ขอบคุณนะครับ”

(มีอะไรโทรหาพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะครับเจ้าจอม ไปทำงานได้แล้วไป เดี๋ยวรีสอร์ทพี่เจ๊ง)

“จะเจ๊งได้ไงเล่า!”

(ฮ่าๆ แล้วเจอกันนะครับ)

เจ้าจอมวางสายกับพี่ชาย ก่อนจะเดินไปช่วยงานอื่นๆ ของรีสอร์ทที่ไม่ได้อยู่แต่ในสำนักงานเพราะยังไงเจ้าจอมก็ถือว่าเป็นน้องชายของเจ้าของรีสอร์ท ก็ควรจะทำหน้าหน้าที่แทนพี่ชายเมื่อพี่ชายไม่อยู่...


ทางด้านจุลจักรก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ เวลาพักผ่อนก็เริ่มน้อยลงพร้อมกับงานที่ต้องเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น จนเขาลืมดูแลสุขภาพของตัวเองไป วันนี้ก็เลยตื่นสายโด่งเลยเวลาเข้างานไปแล้วตั้งสองชั่วโมง พอจะลุกขึ้นเขาก็ลุกไม่ไหว ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเหมือนเดิม มองนาฬิกาที่หัวเตียงก็รู้สึกกังวล แต่ไม่มีแรงจะดีดตัวลุกขึ้น

“อืม...ปวดหัวชะมัด”

ร่างกายของร่างสูงร้อนผ่าวจนน่ากลัว และจำเป็นอย่างมากที่จุลจักรจะต้องได้รับการตรวจรักษาอย่างเร่งด่วนที่สุด แต่ตอนนี้ใครจะช่วยเขาได้ ในเมื่ออยู่ตัวคนเดียวแบบนี้

ถ้าตอนนี้มีคุณจอมอยู่ด้วยก็คงจะดี

Rrrrrr…

เสียงโทรศัพท์บนหัวเตียงดังขึ้นมา จุลจักรพยายามเอื้อมมือไปหยิบมันมารับอย่างยากลำบาก เห็นเบอร์คนที่โทรเข้ามาก็ยิ้มอย่างมีความหวัง

“สะ...สวัสดี”

(เสียงมึงดูไม่ดีเลยนะ ไม่สบายล่ะสิ เห็นคุณสมพรโทรมารายงานฉันว่ามึงไม่ไปทำงาน)

“เออ...ใกล้ตายแล้วเนี่ย”

(เดี๋ยวกูจะให้หมอไปตรวจ มึงนอนรอไป ส่วนงานก็พักไว้งั้นแหละ กูบอกคุณสมพรให้แล้ว)

“ขอบใจมาก”

(ให้บอกน้องจอมไหม)

“ไม่ต้อง...กูไม่อยาก...ให้คุณจอมเหนื่อย”

(แล้วใครจะดูแลมึงล่ะจักร กูไม่ไว้ใจที่จะจ้างพยาบาลมานะ)

“กูดูแลตัวเองได้”

(ไม่ได้!)

จุลจักรพูดไม่ไหวแล้ว อยากจะปล่อยโทรศัพท์ให้มันไปอยู่ที่ของมัน แล้วอยากจะนอนหลับไปยาวๆ เลย มันเหนื่อย แต่มันก็ทรมานมาก...

“อือ...”

(ราม...โทรหาหมอหรือยัง เสียงไอ้จักรไม่ดีเลยว่ะ) จุลจักรยิ้มเมื่อได้ยินอินทัชถามรามินทร์แบบนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงของรามินทร์เล็ดอดมาจากปลายสาย (เรียกแล้ว...เดี๋ยวก็มา)

“ขอบใจนะอิน”

(เออน่า...ยังไงเราก็เพื่อนกัน เดี๋ยวกูจะไปหามึงนะ แต่ตอนนี้กูกำลังจะเข้าประชุม แต่เดี๋ยวไอ้รามจะไปหานะ) พูดแบบนี้แสดงว่าปลายสายอยู่ที่ห้อง กำลังจะเข้าประชุมในรูปแบบวิดีโอคอลอยู่แน่ๆ เพราะเขาก็ได้ข่าวมาตลอดว่าช่วงที่อินทัชไม่เข้าบริษัทก็ยังทำงานอย่างหนักอยู่ตลอด

ช่างเป็นตัวอย่างที่น่าเอาอย่างจริงๆ แต่ตอนนี้เขาดันนอนป่วยอยู่แบบนี้จะไปทำอะไรอย่างนั้นได้...จุลจักรไม่ได้อิจฉา แต่อยากเอาเยี่ยงอย่าง

“อือ”

หลังจากที่วางสวายไปแล้ว ประมาณสามสิบนาทีกว่าได้ รามินทร์ก็เข้ามาหาจุลจักรพร้อมกับหมอ ร่างแกร่งได้รับการตรวจและรักษาอย่างดี คุณหมอให้น้ำเกลือแล้วก็ให้ยาเอาไว้

“ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอครับ สารอาหารก็ไม่ครบ แล้วนี่ก็มีอาการปวดท้องด้วยใช่ไหมครับ”

จุลจักรพยักหน้า

“เป็นโรคกระเพาะนะครับ หมอจัดยาไว้ให้แล้ว ทานอาหารให้ครบทุกมื้อที่สำคัญต้องตรงเวลาด้วยนะครับ จะได้หายไวๆ แล้วยานี่ก็ทานให้หมดนะครับ ยาหมดแล้วยังไม่หายก็เรียกหมอได้ หมอจะมาตรวจให้อีกครั้งครับ”

“ขอบคุณครับหมอ”

“แล้วแบบนี้จะหายในกี่วันน่ะครับ” รามินทร์ถามขึ้น

“ถ้าพักผ่อนอย่างเดียวแล้วก็ทานข้าวทานยาครบทุกมื้อ อย่างเร็วก็สี่ห้าวัน อย่างช้าก็อาทิตย์หนึ่งครับ”

รามินทร์พยักหน้ารับ มองอดีตลูกน้องอย่างเป็นห่วง

“งั้นก็ขอบคุณครับที่มาดูให้ มาครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”

“ส่งหน้าห้องพอครับ ผมกลับเองได้ คนป่วยต้องมีคนดูแลนะครับ”

รามินทร์ส่งหมอแค่ด้านหน้าแล้วกลับเข้าไปในห้องคืน...หัวเราะเล็กน้อยที่เห็นจุลจักรนอนแน่นิ่งอยู่กับที่แบบนี้ ลบภาพคนที่เอาการเอางาน ไม่เคยเจ็บป่วยออกไปเลย

“เป็นไงล่ะ ฮ่าๆ”

“อย่าหัวเราะสิครับ”

“พูดไม่ไหวก็ไม่ต้องพูดสิวะ หึหึ”

“ผม...”

“จริงๆ แล้วแกอยากให้เจ้าจอมมาคอยดูแลใช่ไหมล่ะ แต่ก็อย่างว่าแหละ น้องฉันเพิ่งจะกลับไป ก็ให้มาอีกแล้ว แกคงจะกลัวว่าเจ้าจอมเหนื่อยใช่ไหม แต่แกก็ต้องมีคนดูแล แล้วฉันก็ดูแลไอ้อินอยู่ด้วย...”

จุลจักรที่กำลังจิตใจอ่อนไหวง่ายก็คิดตาม...อยากจะให้เจ้าจอมมาหา เพราะเขาคิดถึงมาก มากจริงๆ ไม่อยากแยกจากกันแล้ว มันทรมาน อย่างน้อยการที่เจ้าจอมอยู่ใกล้ๆ กับเขามันทำให้เขามีกำลังใจที่จะสู้ในแต่ละวัน

อยู่ไกลกันมันก็ได้กำลังใจ แต่มันจะดีกว่าถ้าเราได้อยู่ด้วยกัน...

“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้รอรับของขวัญจากฉันก็แล้วกัน”

“ยังไงครับ”

“เอาเถอะ พรุ่งนี้ก็รู้เองแหละ แต่วันนี้ฉันต้องเป็นคนดูแลแก เพราะฉะนั้นเชื่อฟังกันด้วยนะ ฉันมีเวลาให้แกไม่นานเพราะฉันก็ต้องไปดูแลเมียฉัน”

ถ้าหัวเราะได้ จุลจักรก็อยากจะหัวเราะที่เห็นสีหน้าหงุดหงิดของคนที่เขานับถือเป็นเจ้านายอยู่ตลอดแม้ว่าจะไม่ได้ทำงานให้กับรามินทร์แล้วก็ตาม...

คิดถึงคุณจอมจนใจจะขาดแล้ว...

...

...

...



(มีต่อ)


ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
ตอนที่ 59 (ต่อ)




เช้าวันใหม่ จุลจักรตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่ากลิ่นหอมของอาหารมันลอยเข้ามาในห้องนอน ทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยมีกลิ่นอาหารลอยเข้ามาถึงห้องนอนถ้าไม่เอาเข้ามา ดวงตาคมองหาที่มาของกลิ่นก็พบข้าวต้มร้อนๆ ที่มีควันลอยขึ้นมาบอกว่ามันเพิ่งจะเสร็จใหม่ๆ ตั้งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง

“ใครทำนะ?”

แกร็ก...

“อ้าว? จักร นายตื่นแล้วเหรอ” เสียงของคนที่เปิดประตูห้องนอนเข้ามาเรียกความสนใจจากดวงตาคมทันที จุลจักรอึ้งไปไม่คิดว่าคนรักจะอยู่ตรงหน้านี้

“คุณจอม” เขาครางชื่อคนรักเสียงอ่อนแรง รู้สึกเจ็บคอมมากๆ แต่ก็สนใจคนรักมากกว่าตัวเอง

“ก็ฉันไง จะใครล่ะ”

“มาได้ไงครับ”

“ฉันก็นั่งรถไปพิษณุโลก แล้วก็ขึ้นเครื่องมา พี่รามโทรไปบอกว่ามีคนบางคนทำงานหนักจนป่วย อ่ะ...น้ำ เสียงแหบมาก” ร่างเล็กเดินมารินน้ำตรงหัวเตียงยื่นให้กับคนรักแล้วก็ตอบคำถามของจุลจักรไปด้วย

ร่างสูงพยายามลุกขึ้นนั่งด้วยความลำบากแต่สุดท้ายก็ลุกนั่งได้ด้วยตัวเอง เจ้าจอมก็ยิ้มอย่างโล่งใจที่อย่างน้อยร่างแกร่งก็พยายามช่วยเหลือตัวเองจนได้

ยอมรับว่าตอนที่รามินทร์โทรมาบอกเขา แทบจะทำดทรศัพท์หลุดมือเพราะสติหลุดไปแล้ว ตอนนั้นใจลอยไปหาคนรักแล้ว แต่ตัวยังอยู่ตรงนั้น รามินทร์เองก็รู้ว่าโทรไปบอกแบบทันที น้องชายจะเสียสติเร่งรีบมาแน่ๆ ก็เลยโทรบอกให้ขรรค์เป้นคนเตรียมพาเจ้าจอมไปส่งที่สนามบิน แล้วเขาค่อยโทรไปหาน้องชาย

“ฉันโกรธนะ เพราะฉันบอกให้นายดูแลตัวเองตลอด ให้หาข้าวกินให้ตรงเวลา แล้วดูนายสิ ป่วย...ร่างกายขาดสารอาหาร พักผ่อนไม่เพียงพอ และก็โรคกระเพาะกำเริบ ฉันจะทำยังไงกับนายดีนะ” มือบางก็เอามาอังหน้าผากวัดดูว่าตัวร้อนมากขนาดไหน “ยังร้อนอยู่” พึมพำกับตัวเองเบาๆ

“ขอโทษครับ” ร่างสูงพูดเสียงเบา

เจ้าจอมที่มีความเป้นห่วงมากกว่าความโกรธก็ส่ายหน้าไปมา จัดหมอนให้คนรักสามารถเอนพิงได้เพราะจะให้จุลจักรทานอาหารเช้า

“นายไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว กินยาก่อนอาหารเร็ว แล้วฉันจะป้อนข้าวต้มให้” จุลจักรทำตามอย่างว่าง่าย เพราะแค่เจ้าจอมมา เขาก็รู้สึกว่ามันสดชื่นขึ้น แม้ว่าจะยังเวียนหัวแทบตายก็ตาม

“คุณจอมมาถึงตอนไหนครับ”

“ก่อนนายตื่นประมาณชั่วโมงหนึ่งได้”

“ไม่เหนื่อยเหรอครับ”

“จักร...ฉันสบายดี ส่วนนายกำลังไม่สบาย เพราะฉะนั้นควรเป็นห่วงตัวเองก่อนดีไหม?” ร่างเล็กกว่าถาม นั่งเฉียงลงบนขอบเตียงยกชามข้าวมาถือข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งก็ตักป้อนให้กับจุลจักรไป ตลอดที่ร่างแกร่งนั่งทานข้าวต้มนั้นก็มองหน้าคนรักไม่วางตา จนเจ้าจอมก็รู้สึกประหม่า

“มองอะไรนักหนา”

“นึกว่าผมฝันไปซะอีก”

“ฝันบ้าอะไรล่ะ ป่วยจนเพ้อเจ้อแล้วนะนาย”

“ผมคิดถึงคุณจอมมาก”

“กินไป...จะกลัวอะไร ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว”

ไม่กลับไปได้ไหมครับ...

อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยได้หรือเปล่า?

จุลจักรได้แต่ถามคนรักอยู่ในใจ ไม่กล้าที่จะพูดออกไปเพราะกลัวว่าคนรักจะคิดมากและเป็นกังวลพาลเป็นห่วงเขาเมื่อกลับไปแล้วอีก ขอทนทรมานต่อไปก็แล้วกัน จนกว่าจะถึงวันหนึ่งที่จะได้อยู่ด้วยกัน…

“รู้สึกยังไงบ้าง”

“ปวดหัวครับ แล้วก็แสบตามากๆ”

“นอนพักเถอะ เดี๋ยวฉันจะเอาจานไปล้างก่อน”

“รีบกลับมานะครับ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”

จุ๊บ!

ร่างเล็กโน้มลงมาสัมผัสเบาๆ ที่หน้าผากร้อนผ่าวของจุลจักรด้วยริมฝีปากแล้วพูดด้วยรอยยิ้มหวานๆ ที่คนป่วยเห็นแล้วรู้สึกมีความสุขที่สุด จนยอมหลับตาไป

“หลับตานอน สัญญา...จะรีบกลับมาอยู่ด้วย”

จะหาว่าเขาติดแฟนก็ได้ แต่จิตใจของจุลจักรมันหวั่นไหวง่ายจริงๆ ร่างกายป่วย หัวใจก็ป่วย โชคดีที่มีคนรักมาคอยดูแลเอาใจใส่เขา

ร่างสูงก็หลับไปเพราะความอ่อนเพลีย...


“หลับไปแล้วครับ พี่อินคงมาเยี่ยมผิดเวลาแล้วล่ะครับ”

“อะไรกัน เมื่อวานมาก็หลับ วันนี้มาก็หลับ สรุปจะได้คุยไหมเนี่ย เฮ้อ...” ร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องของจุลจักรบ่นอย่างผิดหวังที่มาเสียเที่ยวตั้งสองครั้ง

“จะคุยอะไรหรือครับ ฝากผมไว้ได้นะ”

“เรื่องงานครับน้องจอม พี่แค่จะบอกมันว่าเลื่อนการไปต่างประเทศน่ะ ไม่ใช่ว่าเพราะมันไม่พร้อมนะ แต่ที่นั่นยังไม่พร้อมน่ะ”

“เลื่อนกี่เดือนครับ”

“กำหนดการมันสิ้นเดือนหน้าใช่ไหม...แต่จะเลื่อนออกไปอีกสองเดือนน่ะ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ใช่! กลับมาก็รายงานตัวแล้วก็ปฐมนิเทศที่มหาวิทยาลัยพอดี”

“พี่อินเตรียมเรื่องมหาลัยให้กับจักรแล้วเหรอครับ” เจ้าจอมถามอย่างตื่นเต้น อยากจะรู้ว่าคนรักเรียนที่มหาลัยไหน เขาจะได้เลือกตามไปเรียนโทด้วย แต่ว่าคงเจอกันยากอยู่ดีล่ะนะ

“ใช่ครับ พี่ให้คุณวัลย์เลขาพี่เตรียมทุกอย่างแล้ว”

“ดีจัง จอมก็จะเรียนต่อเหมือนกันครับ” เจ้าจอมบอกยิ้มๆ

“หืม? ต่อโทเหรอครับ ก็ดีนะ จะได้อยู่เป็นเพื่อนกับจักรมันด้วย หัวหน้างานของมันรายงานพี่ทุกวันเลยว่ามันเหมือนหุ่นยนต์ ไม่ยิ้ม ไม่ร่าเริงเลย โชคดีที่มันก็เข้าหาคนไม่งั้นไม่สนิทกับเพื่อนร่วมงานแน่ๆ” อินทัชเล่าอย่างขำขัน คิดภาพเพื่อนออกเลยว่าวันๆ เอาแต่ทำหน้าแบบไหน

“ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งครับ”

“พี่ว่ามันก็เป็นแบบนั้นนะ โดยเฉพาะวันที่จอมกลับวันนั้น พี่รับรู้ได้เลย มันดูไม่มีชีวิตชีวาเลยนะเจ้าจอม คงจะทำงานหนักๆ ไม่อยากให้ฟุ้งซ่านน่ะ” รามินทร์พูดขึ้น ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่เจ้าจอมเองก็เห็นด้วยว่ามันมีสิทธิที่จะเป็นไม่ได้

เฮ้อ...แล้วแบบนี้จะกล้าปล่อยไว้คนเดียวได้ยังไง

“เหรอครับ...งั้นพี่รามครับ จอม...” เจ้าจอมทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พี่ชายก็ขัดเอาไว้ก่อน

“พี่รู้ครับจอม...ทำตามที่ตัวเองอยากเถอะ”

“ขอบคุณนะครับ”

“ขอบคุณพี่กี่ครั้งแล้วฮึ? เลิกขอบคุณได้แล้ว” มือใหญ่ขยี้ผมของน้องชายอย่างเอ็นดู ก่อนจะโอบไหล่ของร่างเล็ก  ส่งยิ้มอ่อนโยนอย่างที่เจ้าจอมคุ้นเคยมาให้ น้องชายซึ้งใจจนทนกลั้นน้ำตาไม่ไหว กอดร่างพี่ชายจนใบหน้าจมไปกับอกกว้าง...ไหล่เล็กสั่นจากแรงสะอื้น พี่ชายก็ได้แต่ลูบผมแล้วก็พูดปลอบน้องชายอย่างอบอุ่น

ภาพอบอุ่นของสองพี่น้องทำให้อินทัชยิ้มตาม ความอ่อนโยนของร่างสูงที่มีกับน้องชาย จะว่าไปนี่ก็คือครั้งแรกเลยนะ ที่ได้เห็นภาพที่พึ่งพาได้ของรามินทร์...

“พี่อิน...เมื่อไหร่จะใจอ่อนกับพี่รามล่ะครับ” เจ้าจอมที่หยุดร้องไห้แล้วหันมาถามร่างโปร่งบางที่นั่งยิ้มอยู่อย่างนั้น ส่วนอินทัชพอได้ยินคำถามนี้ก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน

“พี่ต้องดูพฤติกรรมมันอีกนาน ทำผิดมาเยอะ”

“โหย...งั้นก็คงนานสินะครับ”

“หึหึ ก็ห้าปีขึ้นล่ะมั้ง ทนไม่ได้ก็ไป”

“เฮ้ยๆ นานไปป่าววะอิน นี่ผัวนะ”

“ผัวพ่อมึง!!”

“พ่อกูไม่มีผัวเว้ย! มีแต่เมีย”

“ไอ้สัตว์ กวนตีน”

เจ้าจอมหัวเราะ มองพี่ชายกับอินทัชทั้งคุยกันแล้วก็กัดกันไปมาแต่ทั้งสองดูมีความสุขกันดี...เจ้าจอมเห็นแบบนี้ก็หมดห่วงพี่ชายแล้วล่ะ

ขอบคุณนะครับพี่อิน...ที่ให้โอกาสพี่ชายสุดที่รักของจอม


สามวันผ่านไป จุลจักรก็หายดีเป็นปกติอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อแม้จะยังรู้สึกมึนๆ อยู่บ้างแต่ไข้ก็หายไปหมดแล้ว แล้วที่หายเร็วได้แบบนี้เพราะคนดูแลดีด้วย และได้พักผ่อนเต็มที่ด้วย

“วันนี้ฉันทำข้าวผัดกะเพราให้ เห็นบ่นว่าอยากกินอะไรเผ็ดๆ เลยใส่พริกเยอะๆ ให้อย่างที่นายชอบ” จุลจักรยิ้มกว้างมองข้าวของตัวเองอย่างซาบซึ้งใจ เพราะมื้อที่ผ่านๆ มาเขากินอะไรอ่อนๆ มาทุกมื้อเลย อย่างกินรสจัดๆ ก็ไม่ได้เพราะกินเข้าไปแล้วไม่มีรสชาติเลย

“ขอบคุณนะครับคุณจอม หอมมากๆ เลย”

“หวังว่ากินไปแล้วจะได้รสชาตินะ”

“ต้องได้สิครับ ก็ผมหายแล้วนี่นา”

“หึหึ ถ้ากินแล้วไม่มีรสชาติจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย”

“โธ่...คุณจอมครับ”

“ล้อเล่น! รีบกินเถอะ จะได้รู้ว่ากินได้หรือไม่ได้จะได้ทำให้ใหม่ ต้องกินข้าวให้ตรงเวลา เข้าใจนะ?”

“ครับๆ” จุลจักรรับคำสั่งแล้วรีบตักข้าวกิน พอคำแรกเข้าปากไปแล้วร่างสูงก็เอาคำต่อไปเข้าปากไปเรื่อยด้วยความอร่อย เจ้าจอมเห็นท่าทางแบบนั้นก็ไม่คิดจะถามเอาคำตอบอะไรแล้ว ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วเดินไปล้างกระทะแทน ปล่อยให้คนรักกินข้าวต่อไป

“กินเสร็จแล้วก็กินยาด้วยนะจักร”

“ครับ”

ข้าวกลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจกว่าแฟนไปแล้วสินะ...

พอจุลจักรทานข้าวเสร็จแล้ว เจ้าจอมกับจุลจักรก็ย้ายไปนั่งเล่นที่ห้องนั่งเล่น เปิดหนังดู ส่วนจุลจักรก็ไม่รู้จะทำอะไร ทิ้งตัวนอนบนตักของเจ้าจอม ซึ่งร่างเล็กก็แค่ยิ้มออกมาม่ได้ว่าอะไร ถือรีโมทเลื่อนหนังไปยังฉากที่อยากดู หัวเราะอย่างสนุกสนานไม่สนใจคนตัวหนักที่กำลังรบกวนตนอยู่

“คุณจอมครับ”

“หือ?” ครางรับแต่ก็ไม่ยอมก้มมองกันจนคนที่เพิ่งหายป่วยชักจะเริ่มน้อยใจ ดึงมือขาวเนียนมาลูบเล่น หวังว่าจะได้รับความสนใจบ้าง

“สนุกเหรอครับ”

“ก็สนุกดีนะ พระเอกหล่อมากเลย ฉันชอบ” คนน่ารักตอบ

“นี่คุณจอมกล้าชมผู้ชายอื่นต่อหน้าผมเหรอครับคุณจอม...ใช่สิ ผมมันไม่หล่อนี่ครับ” อาการน้อยใจของจุลจักรทำให้เจ้าจอมแปลกใจ ก้มหน้ามองคนรักที่พูดตัดพ้ออย่างตกใจ

“นี่นาย...น้อยใจ?”

“ใช่น่ะสิครับ คุณจอมไม่สนใจผมเลยอ่ะ”

ร่างเล็กหัวเราะลั่นในความเป็นเด็กน้อยของคนรักที่ไม่ได้เข้ากับใบหน้าที่ดูดิบเถื่อนเลยสักนิด และดูเหมือนว่าการที่เจ้าจอมหัวเราะจะยิ่งทำให้จุลจักรน้อยใจหนักเข้าไปอีก แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนเลย

“ฉันก็สนใจนายจนนายหายดีแล้วนี่ไง พอนายหายแล้วก็ขอฉันได้พักบ้างสิ อย่าเอาแต่ใจ อย่างอแง แล้วก็นอนไป โอเค้?”

“คุณจอม!”

“ฮ่าๆ ตลกอ่ะจักร เพิ่งเคยเห็นนายทำหน้าแบบนี้เป็นครั้งแรกเลย อย่าทำบ่อยหรือทำตอนอยู่ข้างนอกนะ คนเขาจะกลัวได้” ร่างเล็กหัวเราะไม่หยุดเลย แรงสะเทือนจากการหัวเราะกระทบถึงร่างสูงที่ยังนอนหนุนตักอยู่ ยิ่งทำให้เขารู้สึกน้อยใจเข้าไปอีก

“คุณจอมช่วยสนใจผมหน่อยสิครับ นี่ผมเป็นแฟนคุณจอมนะครับ”

“ก็ทำไมล่า ฉันไม่ได้หนีนายไปไหนสักหน่อย”

“ก็ผมหายแล้ว ไม่กี่วันคุณจอมก็ต้องกลับไปคืน” ร่างใหญ่ตอบเสียงเศร้า

ร่างเล็กกว่ายิ้มออกมา ส่ายหน้าไปมานิดๆ

“เอ้า! ฉันก็ต้องกลับไปทำงานน่ะสิ ทำไมล่ะ ไม่อยากให้ฉันไปเหรอ?”

“เปล่าครับ...เพียงแต่ผมคิดถึงคุณจอม”

จุลจักรเห็นว่าการที่เก็บความรู้สึกเอาไว้ในในมันไม่ได้ช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเลย สู้พูดออกไปเลยดีกว่าอย่างน้อยเจ้าจอมจะได้รู้ว่าเขาคิดแบบไหนอยู่ เผื่อจะได้กำลังใจที่ทำให้เขาสามารถอดทนและสู้ต่อไปได้

“หึหึ...ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะกลับวันไหนดี เลยกะว่าจะให้พี่ขรรค์ส่งเสื้อผ้ามาให้แทน เอ๊ะ! หรือว่าจะเอาไว้ที่นั่นแล้วซื้อใหม่ที่นี่ดีนะ นายคิดว่ายังไง?” เจ้าจอมถาม

“หมายความว่ายังไงครับคุณจอม?”

“ฮ่าๆ นายนี่นะ” คนตัวเล็กส่ายหน้าอีกครั้ง

“คุณจอมก็รู้ว่าไอ้จักรโง่”

เออเว้ย!! ยอมรับว่าตัวเองโง่ด้วย คนโง่อะไรจะเข้าใจงานในบริษัทพี่อินได้ภายในสองเดือน

“หมายความว่าฉันจะมาอยู่กับนายที่นี่ไง”

สิ้นเสียงของเจ้าจอม ร่างแกร่งก็ดีดตัวจากตักคนรักแล้วมองหน้าร่างเล็กทันที จากสีหน้าสงสัยกลายเป็นเบิกตากว้างอย่างตกใจแล้วก็ยิ้มในที่สุด

มีสีหน้าหลายสเต็ปจริงๆ

หมับ!!

“ผมดีใจที่สุดในโลกเลยครับ” ร่างเล็กๆ ถูกคว้าไปกอดแน่น แต่เจ้าจอมกลับหัวเราะออกมาแล้วกอดคนรักตอบ “ผมรักคุณจอมนะครับ”

“อื้อ...”

จะไม่ทนคิดถึงกันอีกต่อไปแล้ว สองเดือนที่ผ่านมามันก็เกินพอ จากนี้เป็นต้นไป เราจะอยู่ด้วยกัน...






100%

 :ling1: :ling1: :ling3: :ling3: :ling2:

มาตามที่สัญญาไว้เมื่อวานค่า อ่านแล้วเม้นท์ด้วยนะคะ ยูกิไม่รู้เหมือนกันว่าจะมาต่อได้อีกตอนไหน แต่จะพยายามหาเวลามาลงนะคะ พูดคุยกับยูกิได้ปกติที่แฟนเพจนะคะ ถึงจะตอบช้า แต่ไม่เกินวันแน่นอนค่ะ https://www.facebook.com/sawachiyuki/

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ูสุข ๆ กันทั้ง 2 คู่เลย ดีใจ ๆ  :กอด1:

ตอนนี้หลานคนแต่งคงติดภารกิจหลายอย่างซินะ  จัดการเรื่องส่วนตัวก่อนเลยคะ แล้วอย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อย่าหายไปนานนะยูกิ
เราโครตคิดถึงเลย
ดีใจ แต่ละคนกำลังลงเองด้วยดี
เริ่มเข้าใจกันแล้ว คนอ่านก็สุขใจ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ทุกอย่าง ดูจะลงตัว กันหมดล่ะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ดีต่อใจค่ะ เบาใจได้เยอะแล้วนะ จักรจอม
พ่อแม่ก็เข้าใจ ให้อภัยกันแล้ว ไม่ได้โกรธเคืองอะไรกัน
จักรนอยด์หนักมากเลยนะ โถ่ ทำเป็นห่างแฟนไม่ได้ น่ารักค่ะ

รามอินก็ฟินเป็นบางเวลา
อาของอินน่ะ ก็ไม่ล้มเลิกเนาะ คนแบบนี้น่าจะจัดให้หนัก

รามก็อดทนนะ ความรักชนะหลายสิ่งจริงๆ ค่ะ

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 60
ทะเลาะกันบ้าง




“น้องจอมไปอยู่กรุงเทพแล้วจริงเหรอขรรค์”

หิรัญถามคนรักระหว่างทางที่กำลังขับรถไปส่งเขาในตัวเมือง แม้ว่ามันจะเหนื่อยแต่พวกเขาก็ไม่คิดจะหาบ้านในตัวเมืองอยู่กัน เพราะขรรค์ทำงานอยู่เขาค้อ ห่างจากโรงพยาบาลในเมืองอยู่หลายกิโล เวลาเดินทางไปในเมืองก็ชั่วโมงกว่า ขากลับก็ชั่วโมงกว่าๆ รวมแล้วสองชั่วโมง เขาจะขับรถมาเองก็ไม่ยอม

เป็นห่วงขรรค์เหมือนกันนะ แต่เจ้าตัวไม่ยอม

“อืม...ไปดูแลพี่จักรน่ะ แกไม่สบาย โหมงานหนักมาจนเกินไป”

“เงินเข้าใจจักรเขานะ เพราะตลอดสามปีที่เงินไม่มีขรรค์อยู่ข้างๆ มันก็ทรมานแบบนั้นแหละ ละเลยตัวเอง ทำงานหนักๆ เพื่อให้ไม่คิดถึงขรรค์” คนรักของขรรค์พูดบอกด้วยรอยยิ้ม ส่วนขรรค์นั้นที่ฟังเรื่องแบบนี้ทีไรก็สะเทือนใจทุกทีเลย

จนบางครั้งก็อยากให้คนรักเลิกพูดถึงมัน ไม่ใช่เพราะว่ารับไม่ได้หรือไม่ยอมรับอะไร แต่เขาแค่ไม่อยากจะคิดถึงอดีตที่มันผิดพลาดบ่อยๆ นัก มันยังคอยทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนถึงทุกวันนี้เลย

แม้ว่าจะคิดแบบนั้น แต่ขรรค์ก็ไม่เคยที่จะกล้าบอกออกไป เพราะกลัวว่าคนรักจะรู้สึกไม่ดี

“เงินไม่ได้พูดให้ขรรค์รู้สึกไม่ดีนะ แค่พูดบอกในมุมของเงินเท่านั้นเอง แค่ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันก็พอแล้วล่ะ ขรรค์ก็อย่าทิ้งเงินอีกก็แล้วกัน”

“ขรรค์ไม่ทำแล้วครับ เชื่อกันนะ”

“ฮ่าๆ เงินแค่ถามเล่นๆ เอง เงินเชื่อขรรค์อยู่แล้วล่ะ”

“เงินก็น่าจะรู้นะว่าเรื่องแบบนี้มันทำให้ขรรค์รู้สึกไม่ดี แต่เงินก็พูดมันอยู่แบบนั้น ทุกครั้งที่เงินย้ำมัน มันทำให้ขรรค์เสียใจ…”

หลุดปากออกมาจนได้

ร่างแกร่งเม้มปาก มองถนนอย่างเดียวไม่หันมาดูสีหน้าของคนรักเลย ส่วนหิรัญก็นั่งนิ่งไป หน้าเสียแล้วก็เสียความรู้สึกด้วย...

ไม่ใช่ว่าเสียความรู้สึกที่โดนพูดใส่แบบนี้ แต่เขาแค่เสียความรู้สึกที่ทำให้คนรักรู้สึกไม่ดีต่างหาก เพราะเขามักจะพูดแนวๆ นี้อยู่บ่อยๆ

“ขอโทษ...ต่อไปเงินจะไม่พูดถึงแล้ว” ไม่ได้ประชดประชัน ไม่ได้น้อยใจ มีแต่ความรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดจนขรรค์เองก็รู้สึกผิด...

“ขรรค์ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะเงิน แต่ว่า...” ขรรค์พูดต่อไปไม่ได้ ยิ่งทำให้หิรัญรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่

หิรัญรู้...รู้ว่าขรรค์พยายามจะทำให้เขาสบายใจ แต่จะพูดปฏิเสธยังไง ก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้หรอก ทั้งสองเลยเลือกที่จะเงียบกัน

ขรรค์ไม่กล้าพูดเพราะกลัวคำพูดของเขาจะไปทำร้ายคนรักอีก ส่วนหิรัญก็ไม่กล้าพูดเพราะกลัวว่าเราจะไม่เข้าใจกัน พาลทำให้เราทะเลาะกันไปเปล่าๆ

“เงินเข้าใจ...ขรรค์ทำถูกแล้วล่ะ ไม่ชอบอะไรอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เลย ไม่ต้องเกรงใจเงินหรอก” ร่างโปร่งพูดขึ้น ยิ้มกว้างๆ ออกมาจนตาปิด แต่น้ำเสียงสั่นๆ นั่นก็ทำให้คนรักอย่างขรรค์รับรู้ได้ว่าหิรัญกำลังฝืน และฝืนเอามากๆ ด้วย

หิรัญไม่อยากทำให้เราต้องทะเลาะกัน...ส่วนขรรค์เองก็ทำอะไรไม่ถูก เอาแต่เงียบหวังว่าสถานการณ์ดีขึ้น แต่เปล่าเลย มันกลับทำให้เรื่องมันแย่เพราะหิรัญคิดไปไกลแล้วว่าขรรค์โกรธ โกรธจนไม่อยากพูดด้วย แค่หน้าก็ไม่อยากหันมามอง...

หรือว่าการที่เรารักห่างกันไปนานถึงสามปีมันทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว แรกๆ ที่ยังเหมือนเดิมเพราะเราเชื่อว่าเรารักกันอยู่ แต่พอเอาเข้าจริงๆ หิรัญชักไม่แน่ใจ...ว่าที่ขรรค์บอกว่ารัก มันคือความรักจริงๆ หรือแค่ความผูกพันกันแน่...

 “ถึงแล้ว...” คำพูดสั้นๆ ที่ฟังดูเหมือนว่าไล่ แต่ในความหมายของขรรค์คือเป็นประโยคบอกเล่าเฉยๆ ไม่ได้แฝงอะไรทั้งนั้น

ร่างโปร่งยิ้มออกมาเหมือนเดิม เอ่ยขอบคุณทั้งๆ ที่อยากจะร้องไห้...

หิรัญรู้สึกว่าตั้งแต่วันที่ขรรค์รักษาการแทนพิภพนั้น มันทำให้เราสองคนห่างเหินกันมากขึ้น ยิ่งเราทำงานกันคนละกะเวลาด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลย พอวันนี้มีเวลาที่ขรรค์มาส่งเขา ก็ปรากฏว่ามีเรื่องให้ต้องไม่เข้าใจกันอีก...

ขรรค์เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หรืออาจจะแค่เหนื่อย...

“เงินจะไปทำงานก่อนนะ ขรรค์ไม่ต้องมารับเงินหรอก เดี๋ยวเงินกลับเอง นอนพักผ่อนให้เต็มที่นะ อย่าลืมกินข้าวเช้าก่อนไปทำงานด้วย ฝันดีนะครับ”

หิรัญทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ร่างแกร่งกลับทำเพียงแค่หันมามองหน้าคนรักนิดๆ แล้วรีบหันหน้าหนี ท่าที่ของขรรค์ทำให้หมอหนุ่มแทบจะร้องไห้ออกมา

ขนาดไม่อยากมองหน้ากันเลยเหรอ

“เงินก็เหมือนกัน หาข้าวกินด้วยนะ”

บรรยากาศมันอึดอัดมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนร่างโปร่งทำมันไม่ไหวเปิดประตูรถออกมาแล้วเดินเร็วๆ เข้าตึกโรงพยาบาลไป ทิ้งให้ขรรค์ฟุบหน้ากับพวงมาลัยอย่างเครียดๆ

“โธ่เว้ย!!”

ไหนว่าจะไม่ทำให้เงินเสียใจไง...ไหนว่าจะไม่ทำให้เงินเสียความรู้สึกอีก...ยังไม่ทันไรเลย มึงก็ทำมันล่มแล้วขรรค์...ทำไมมึงไม่อดทนให้มันมากกว่านี้วะ ก็รู้ๆ อยู่ว่าเงินไม่ตั้งใจพูดให้มึงรู้สึกไม่ดี

“มึงมันเห็นแก่ตัวจริงๆ” เขาว่าตัวเอง ไม่อยากจะให้อภัยตัวเองเลย ร่างแกร่งมองตามไปยังตึกที่ไม่มีเงาของคนรักแล้วด้วยความกังวลและเป็นห่วงความรู้สึกของคนรัก

ทำไมไม่อธิบาย ทำไมไม่คุยกันก่อน ทำไมถึงปล่อยให้เงินวิ่งหนีมึงไปวะ!!

“ขรรค์ขอโทษ...อย่าร้องไห้นะเงิน”

เพราะความเหนื่อยแท้ๆ ที่ทำให้ขรรค์อดทนได้ไม่มากอย่างที่เคยเป็น ช่วงนี้เขาทำงานหนักจริงๆ จากที่ควรเลิกห้าโมงไม่เกินหกโมงแต่เขาลากยาวแปดโมงเช้าถึงสี่ห้าทุ่มมาหลายวันแล้ว นอนก็ไม่เคยพอ กับคนรักยังไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลย พอได้อยู่ด้วยกัน ก็มีเรื่องไม่เข้าใจกันซะงั้น

มันเป็นเพราะเขาเอง...เพราะขรรค์ทั้งหมด


“หมอเงินคะ เป็นอะไรไปคะ สีหน้าไม่ดีเลย พักก่อนไหมคะ”

“อ้าว? หมอหวาน...เวรดึกเหมือนกันเหรอครับ” ร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินไปยังห้องพักแพทย์ของตัวเองด้วยสีหน้าที่เศร้าๆ และเหม่อจนจะชนกับสาวเจ้า

“ใช่แล้วค่ะ แล้วนี่เหม่ออะไรคะจะชนหวานแล้วเนี่ย”

หญิงสาวถามยิ้มๆ หมอหวานยิ้มหวานสมชื่อ เป็นเหมือนนางฟ้าของทุกคนที่นี่ แต่ก็เฉพาะผู้ชายเท่านั้น เธอสนใจในตัวของหิรัญยังไงก็ยังคงเป็นแบบนั้น หวังว่าสักวันหิรัญจะเปลี่ยนใจ หรือไม่ก็คบกับเธออีกสักคนแบบลับๆ ก็ได้ เธอไม่สนใจเท่าไหร่นัก

“ผมคิดอะไรเพลินๆ น่ะครับ”

“ทะเลาะกับแฟนเหรอคะ” เธอถามลองเชิง แต่เห็นท่าทางชะงักและหน้าเสียของหมอสุดหล่อก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ คิดว่าต้องทะเลาะกันหนักแน่ๆ ดูจากหน้าของร่างสูงโปร่งแล้ว

“เปล่าครับ ผมแค่เหนื่อยๆ น่ะ”

“จริงสินะคะ ช่วงนี้หมอเงินคงไม่ได้นอนอย่างเพียงพอแน่ๆ เลย แต่ก็อย่างนี้แหละค่ะ เรารักษาคนไข้ได้ แนะนำคนไข้ได้ แต่ทำกับตัวเราเองไม่ได้สักอย่าง”

“ก็เราเป็นหมอนี่ครับ” หิรัญพูดยิ้มๆ

“นั่นสิคะ สภาพหวานตอนอยู่กะกลางคืนจะต้องเหมือนศพแน่ๆ เลยล่ะค่ะ” เธอยิ้มหวาน ส่วนหิรัญก็หัวเราะออกมานิดๆ ยอมรับว่าหมอหวานทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้ แต่ก็รู้สึกในฐานะเพื่อนเท่านั้น

ก็บอกแล้วว่าหิรัญรักใครไม่ได้อีก...

“ไม่หรอกครับ หมอหวานสวยออก ผู้ชายหลายคนก็ยังชื่นชมหมอหวานเลยล่ะครับ”

“แต่คนที่หวานอยากให้ชื่นชมดันมีเจ้าของแล้วสิคะ” เธอส่งสายตาหวานเชื่อมให้กับหิรัญหวังจะให้ร่างสูงโปร่งหวั่นไหว แต่หิรัญรู้ดีว่าหญิงสาวน่ะชอบเขา แต่ทำยังไงได้ล่ะ ความรู้สึกเขามีให้ได้แค่สถานะเพื่อนเท่านั้น

ไม่อยากจะให้ความหวังใคร แต่ก็ไม่อยากจะพูดปฏิเสธไปตรงๆ กลัวเธอจะเสียความรู้สึก เขาเลยต้องทำเป็นวางตัวดีๆ ไม่ให้เธอต้องมาคิดเข้าข้างตัวเอง และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่หิรัญประกาศและแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีแฟนแล้ว และไม่คิดปิดบังว่าใครคือคนรักของเขา

“ผมว่า...อย่างหมอหวานจะต้องมีคนรักที่ดีๆ แน่เลยล่ะครับ”

“หวานก็อยากให้เป็นอย่างนั้น หวานอยากมีคนรักดีๆ เพรียบพร้อมทุกอย่างแบบหมอเงิน” นอกจากเธอจะสวยแล้ว เธอยังมีความกล้าในระดับที่คนอื่นไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่อีกด้วย

หิรัญทำตัวไม่ถูกที่โดนพูดใส่ตรงๆ แบบนี้ ที่ผ่านมาเธอก็แค่แสดงออกทางสีหน้าท่าทางแต่ก็ยังไม่เคยพูดออกมาตรงๆ เลยสักครั้ง แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้กล้าพูดมันออกมา

แล้วแบบนี้เขาจะปฏิเสธไปยังไง

“ผมไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอกครับ ยังมีอีกหลายอย่างเลยที่ไม่เคยมีใครเห็นจากผม ทางที่ดีหาคนที่รักหมอหวานอย่างจริงใจดีกว่าครับ มันจะทำให้หมอหวานมีความสุขที่สุด”

“แล้วมันจะไปมีความสุขยังไงล่ะคะ ถ้าหากว่าหวานไม่ได้คบกับคนที่หวานรัก”

“ผมหมายถึงให้หมอหวานหาคนที่หมอหวานรักครับแล้วเขาก็รักหมอหวาน” หิรัญขยายความหมายเพิ่มเติม ซึ่งเธอก็นิ่งไปเลย เข้าใจในความหมายของหิรัญที่ต้องการจะสื่อ

“หมายความว่า? หวานไม่มีโอกาสเลยหรอคะ”

“ครับ...ขอโทษนะครับ ผมให้หมอหวานเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น ผมรักขรรค์แค่คนเดียว และรักมาตลอดครับ แต่ต่อให้ผมจะไม่ได้เป็นแฟนกับขรรค์ ผมก็เป็นผู้ชายมีตำหนิ ผ่านการมีภรรยาและหย่าร้างที่สำคัญมีลูกแล้วด้วย หมอหวานคิดว่าผมยังเป็นคนเพียบพร้อมอยู่อีกเหรอครับ” หิรัญถามกลับไปอย่างจริงจัง

เธอตอบกลับอะไรไม่ได้เพราะในความหมายของคำว่าเพียบพร้อมของเธอคือหน้าตา ฐานะและเงินทอง

“ให้ตายสิ หวานนี่ดูแย่จังเลยนะคะ”

“ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจ”

“ขอโทษหมอเงินด้วยนะคะที่ผ่านหวานทำให้ลำบากใจ” เธอว่าออกมาอย่างฝืนๆ ถามว่าเสียดายไหมก็เสียดาย แต่เสียหน้ามากกว่าที่ผู้หญิงสวยที่ใครๆ ต่างก็ชอบจะแพ้ผู้ชายตัวดำร่างใหญ่คนนั้นของหิรัญอย่างหมดรูป จะว่าแพ้ก็ไม่ได้สินะ เพราะเธอไม่เคยแข่งขันกับขรรค์ และไม่เคยได้ทำคะแนนอะไรทั้งนั้นเพราะหิรัญปิดกั้นหมดทุกทาง

“ไม่เป็นไรครับ”

“งั้นหวานขอตัวนะคะ”

“เดี๋ยวก่อนครับ” ร่างโปร่งเรียกเอาไว้ก่อนที่หญิงสาวจะเดินหนีไป

“คะ?”

“คุณไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหมครับ”

“ปล่อยหวานไปเถอะค่ะ แล้วก็ขอแนะนำนะคะว่าถ้าคิดจะหักอกใครแล้วอย่าแสดงท่าทีเป็นห่วงเลยค่ะ มันจะยิ่งทำให้ตัดใจยาก” หิรัญยิ้มแห้งๆ ที่โดนพูดใส่แบบนั้น ก็เลยไม่คิดจะต่อยาวสาวความยืดอีก ปล่อยให้ร่างบางของหญิงสาวเดินหนีไปอีก ส่วนเขาก็เดินไปยังห้องพักแพทย์ของตน


“หลับหรือยังครับ”

(กำลังจะนอนครับ แต่หมอเงินโชคดีที่โทรมาก่อน) ปลายสายหัวเราะอารมณ์ดี

“อินครับ” ร่างโปร่งเรียกชื่อปลายสายเสียงสั่น ทำให้อินทัชที่กำลังหัวเราะอยู่เปลี่ยนน้ำเสียงได้ทันที

(เกิดอะไรขึ้นหมอเงิน ใครทำอะไรหมอ ทำไมหมอเงินถึงร้องไห้!) ปลายสายถามอย่างร้อนใจ แต่หมอหนุ่มที่ได้ยินเสียงของอินทัชคนที่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาเป็นห่วงก็รู้สึกซาบซึ้ง ปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมา...

“ฮึก...อินครับ”

(หมอเงิน...เป็นอะไรไปครับ)

“ป่ะ เปล่าครับ” แค่อยากโทรไปเพื่อให้ได้ยินเสียงเฉยๆ อย่างน้อยก็ยังรู้ว่ามีคนอยู่เคียงข้าง

(ทะเลาะกับขรรค์เหรอครับ)

“ป่ะ เปล่าครับ ไม่ได้ทะเลาะกัน”

(หมอโกหกไม่เก่งเลยนะครับ...ถ้าไม่ได้ทะเลาะกันจะร้องไห้ทำไม จะโทรหาผมทำไม ถ้าเกิดว่าไม่เกี่ยวกับขรรค์หมอก็จะต้องคิดถึงขรรค์และหาขรรค์เป็นคนแรก แต่นี่หมอเงินโทรหาผม แสดงว่ามันจะต้องเกี่ยวกับขรรค์ ผมพูดถูกใช่ไหมครับ?) อินทัชพูดอย่างรู้ทัน

หมอหนุ่มน้ำตาไหล แต่ก็เอามือเช็ดมันออกเรื่อยๆ พยายามระงับเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกมา จนปลายสายกังวลในความเงียบที่หิรัญสร้าง

(หมอเงิน...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เล่าให้ผมฟังได้ หรือจะให้ช่วยอะไรก็บอกมาครับ เก็บเอาไว้คนเดียวมันก็ไม่สบายใจเปล่าๆ อย่างน้อยก็ได้ระบายนะครับ)

“อิน...อึก...ผมรู้สึกว่า ขรรค์เขาไม่ได้...รักผมแล้ว”

(ห๊ะ!! หมอเงินเอาอะไรมาพูดเนี่ยครับ ขรรค์นี่นะไม่รักหมอ) ปลายสายถามเสียงดัง แต่ก็เริ่มจะเข้าใจสถานการณ์แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น

หิรัญก็ไม่ได้คิดแบบนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก เพียงแต่อาการน้อยใจ เสียใจมันพาลทำให้เขารู้สึกอะไรไปเรื่อย หลงลืมไปแล้วว่าที่ผ่านมาเขาสองคนรักกันมากขนาดไหน

นี่แหละนะหัวใจของคน...

รัก โลภ โกรธ หลง...

(เล่ามาครับ)

 หิรัญเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นแทบจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่อินทัชก็พยายามจับใจความให้ได้ เพราะจะให้หิรัญเล่าอีกครั้งก็คงจะไม่ได้แน่ๆ

พอฟังสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วอินทัชก็ถอนหายใจเพราะต้นกำเนิดเรื่องราวมันมาจากเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่ที่ทั้งคู่ไม่เข้าใจแล้วก็อารมณ์ร้อน หงุดหงิดกันเนี่ย เป็นเพราะว่าทำงานกันหนักมากเกินไป และยิ่งไม่มีเวลาอยู่ด้วยกัน ความเครียดก็เลยสะสม พอสะสมเข้ามากๆ เจออะไรนิดๆ หน่อยมันก็ไม่ถูกใจ ไม่เข้าหู

ชีวิตคู่มันก็เป็นแบบนี้แหละ กระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา

(ฟังผมนะหมอเงิน...ขรรค์อาจจะคิดแบบนั้นจริงๆ แต่มันไม่คิดจะทำให้หมอเงินเสียใจหรือรู้สึกผิดหรอกครับ มันทำงานหนักแล้วก็เครียดที่ไม่มีเวลาอยู่กับหมอ ส่วนหมอก็เหมือนกันที่จิตใจอ่อนไหวง่ายแบบนี้เพราะเหนื่อยแล้วไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเหมือนกัน ปัญหามันเรื่องเล็กน้อยมากครับ หมอเงินต้องคุยกับขรรค์ครับ รู้ใช่ไหมครับว่าขรรค์เขาเป็นยังไง ผมไม่รู้หรอกว่าจะต้องทำยังไง เพราะผมไม่รู้จักกับขรรค์มากเท่าที่หมอเงินรู้...แต่ที่ผมรู้ก็คือขรรค์ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้แน่ๆ มันรักหมอเงินจะตายไป ทำใจให้สบายแล้วก็ทำงานอย่างมีสมาธินะหมอ)

หมอหนุ่มนั่งฟังอินทัชพูดอย่างตั้งใจจนน้ำตาหยุดไหล หยุดร้องไห้ แล้วก็รู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น แต่มันก็ยังกังวลใจอยู่

“ขอบคุณอินมากนะ”

(เลิกร้องไห้ได้แล้วหมอ ถ้าขรรค์รู้มันต้องไม่สบายใจมากๆ แน่ แต่ตอนนี้ผมก็คิดว่ามันนอนไม่หลับอยู่นะ)

“ผมสบายใจขึ้นเยอะเลย”

(ดีแล้วหมอ อย่าคิดมาก ตั้งใจทำงานนะหมอ ลืมเรื่องนี้ไปก่อน คนไข้สำคัญที่สุด)

ก็หวังแค่ว่าวันนี้จะไม่มีเคสหนักๆ อย่างอุบัติเหตุก็แล้วกัน ไม่งั้นเขาจะต้องทำอะไรได้ไม่เต็มที่แน่ๆ

“ครับอิน”

(ผมไปนอนก่อนนะ ไอ้รามมันมองตาขวางแล้ว)

“ครับๆ แล้วค่อยเจอกันนะครับ”

(ฮ่าๆ ได้ครับ ฝันดีครับ)

“ผมทำงานนะอิน”

(อ้าว? ลืมไปๆ โทษทีนะหมอ ตั้งใจทำงานนะครับ)

“หึหึ ครับ”

ก็ต้องขอบคุณอินทัชที่ช่วยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้ อินทัชเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเขาเลยล่ะ ขนาดที่ว่าเพื่อนที่คบกันมานานๆ ยังดูไม่จริงใจเท่ากับอินทัช


ทางด้านอินทัชที่ทันทีหิรัญวางสายไป ก็เอายื่นโทรศัพท์ให้กับรามินทร์ที่ยืนมองด้วยสีหน้าดุๆ เพราะตอนนี้มันเลยเวลาพักผ่อนของอินทัชไปแล้ว

รามินทร์ต้องการให้อินทัชพักผ่อนให้เป็นเวลาบ้างเพราะกว่าจะลากอีกคนออกจากห้องทำงานได้มันไม่ง่ายเลย

“เออๆ กำลังจะนอน จะทำหน้าดุทำไมวะเนี่ย”

“มึงควรจะนอนให้เป็นเวลาและเป็นนิสัย ไม่ใช่ว่าวันนี้นอนตีสาม พรุ่งนี้นอนเที่ยงคืน”

“ก็กูคุยกับหมอเงินอยู่ เขากำลังไม่สบายใจเพราะทะเลาะกับขรรค์ลูกน้องของมึงไง กูเป็นเพื่อนที่ดีก็ต้องให้กำลังใจเพื่อน คุยกับเพื่อนยามที่เพื่อนต้องการสิวะ” อินทัชตอบ

“แล้วเขาทะเลาะอะไรกัน”

“ขรรค์มันแค่หงุดหงิดน่ะ”

“กูก็คิดว่างั้น ไอ้ขรรค์มันรักหมอเงินมากนะเว้ย ไม่ว่าจะที่ผ่านมาหรือในปัจจุบัน”

“อืม...คนรักกันน่ะ ต่อให้รักกันมากแค่ไหน ยังไงมันก็มีทะเลาะกันบ้างแหละน่า คนเรามันต่างความคิด ภูมิคุ้มการด้านความรู้สึกก็ต่างกันนะ แต่เชื่อเถอะว่าการทะเลาะกันมันจะทำให้ขรรค์กับหมอเงินรักกันมากไปอีก”

“มึงนี่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้านเขาเนอะ”

“ไอ้ราม!!!”

“นอนๆ พรุ่งนี้ตื่นเช้า”

อินทัชมองหน้าร่างสูงที่เข้ามาช่วยห่มผ้าห่มอย่างเคืองๆ ที่โดนหาว่าเขาเสือก ก่อนที่รามินทร์เดินกลับออกไปนอนอีกห้องเหมือนอย่างทุกวัน...


ทางด้านร่างแกร่งของขรรค์นอนพลิกตัวไปมาบนเตียงกว้างเนื่องจากนอนไม่หลับ สาเหตุก็มาจากเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่ชั่วโมง

ขรรค์กลัวว่าคนรักจะคิดมากและร้องไห้จนเป็นห่วง ร่างแกร่งลุกขึ้นมาขจากที่นอนคว้าโทรศัพท์มาดูแล้วหาหาเบอร์ของคนรัก ทำท่าจะโทรไป แต่ก็ต้องชะงักเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าตนจะเริ่มพูดอะไรก่อนดี ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเรื่องมันเริ่มที่เขา แต่กลัวว่าเราจะยิ่งไม่เข้าใจกันไปกันใหญ่มากกว่า

“เฮ้อ...พรุ่งนี้เช้าก็ได้วะ”

ขรรค์ตัดใจที่จะเคลียร์ในคืนนี้ทันที วางโทรศัพท์ลงที่เดิมแล้วทิ้งตัวลงนอนข่มตาให้หลับ แม้ว่ามันจะหลับไม่ได้ก็เถอะ ก็แค่นอนเวลาเท่านั้นแหละ

รอเวลาที่จะได้พูดกับคนรัก ซึ่งระหว่างที่นอนอยู่นี้เขาก็พยายามคิดคำพูด คำอธิบายแล้วก็คำขอโทษเอาไว้ เพราะยังไงแล้วคนที่ไม่อดทนคือเขาเอง

ขรรค์ผิดเอง...

พอนาฬิกาปลุกในตอนเช้า ร่างสูงก็ดีดตัวลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวทันทีอย่างร้อนใจ มันคือเวลาที่เขารอมานานมากเพราะนอนไม่หลับเลยตลอดทั้งคืน จนตอนนี้ก็ยังไม่ง่วง เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วขรรค์ก็วิ่งลงไปข้างล่างแต่ยังไม่ทันที่จะเปิดประตูบ้านออกไป โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา เห็นว่าเป็นเบอร์ทางรีสอร์ทก็ขมวดคิ้วยุ่ง

“สวัสดีครับ…อะไรนะครับ โอเคๆ เดี๋ยวพี่จะรีบไปเลย สิบนาที”

ร่างแกร่งเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง ตรงไปที่รถของตนแล้วขับออกจากบ้านไป แต่เปลี่ยนเส้นทางจากที่จะไปในตัวเมืองก็ต้องเปลี่ยนไปที่รีสอร์ทเพราะดันเกิดปัญหาตั้งแต่เช้า

มันทำให้ร่างแกร่งรู้สึกว่าเมื่อคืนตัดสินใจผิดที่ไม่ยอมเคลียร์ตั้งแต่เมื่อคืน เพราะตอนนี้ก็เหมือนว่าเราทะเลาะกันยาวมากขึ้นไปอีก กว่าจะได้เจอกันก็ตอนเย็น และตอนเย็นก็ไม่รู้ว่าจะได้เคลียร์กันหรือเปล่า

“เฮ้อ...”

ด้านของหมอหนุ่มที่กำลังทำงานรอเวลาออกเวรก็รู้สึกรีบร้อนมากเข้าไปอีกมองนาฬิกาที่ข้อมือของตนไปด้วยสลับกับอ่านแฟ้มของคนไข้ไปด้วย แต่ยังไงก็แล้วแต่ เขากลับไม่มีสมาธิเอาเสียเลย

ใจมันลอยไปหาคนรักแล้ว...

ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก

“โอเค...ถึงเวลาแล้ว” ร่างโปร่งรีบลุกขึ้นเดินไปเก็บข้าวของของตนแล้วรีบออกจากโรงพยาบาลไปเพื่อหารถกลับบ้าน...เพราะเขาไม่ได้ให้คนรักมารับเลยจำเป็นต้องกลับด้วยตัวเอง

แต่หิรัญไม่ได้จะกลับบ้านหรอกนะ แต่จะไปหาขรรค์ที่รีสอร์ทต่างหาก…



(มีต่อ)


ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
ตอนที่ 60 (ต่อ)




อะไรกันน่ะ...

ดวงตาของหิรัญร้อนผ่าวราวกับจะร้องไห้ออกมาเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้านี้

“ทำไมกัน...”

ร่างใหญ่ของคนรักกำลังอุ้มร่างบอบบางของหญิงสาวหน้าตาดีเอาไว้ในท่าอุ้มเจ้าสาว ไม่พอร่างสูงยังยิ้มให้เธอด้วย ส่วนเธอเองก็เอามือคล้องคอของขรรค์เพื่อไม่ให้ตก ภาพตรงหน้านี้บีบรัดหัวใจของคนที่มาเห็นจนคิดนั่นนี่ไปหมดทุกอย่างแล้ว

ที่ขรรค์เปลี่ยนไป อาจจะเป็นเพราะขรรค์อยากกลับตัวกลับใจไปเป็นผู้ชายคืนหรือเปล่านะ

ขรรค์หันมาทางที่หิรัญยืนอยู่เพราะจะพาเธอกลับไปยังที่พัก แต่ก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่เห็นว่าหิรัญยืนอยู่...แต่ร่างโปร่งก็หมุนตัวกลับเตรียมหนีไป

“เงิน!!!”

“อะไรเหรอคะ?” หญิงสาวในอ้อมแขนถามขึ้นอย่างสงสัย

“นั่นคนรักผมน่ะครับ เขาคงจะกำลังเข้าใจผมกับคุณผิด”

“อ้าว? งั้นก็รีบวางเถอะค่ะ แล้วตามคนรักคุณไปดีกว่า เดี๋ยวแฟนดิฉันก็คงมาแล้วล่ะมั้งคะ”

“แต่ขาคุณ”

“ฉันนั่งรอได้ค่ะ แล้วจะไม่คอมเพลนเรื่องบริการด้วย ฉันเข้าใจค่ะ” เธอบอกยิ้มๆ

“งั้นผมขอโทษด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

ขรรค์เดินไปวางร่างของหญิงสาวลงบนเก้าอี้ใต้ร่มไม้อย่างเบามือเพราะเธอเป็นลูกค้ารีสอร์ท จำเป็นต้องดูแลให้ดีที่สุด...ก่อนที่ขรรค์จะตะโกนเรียกพนักงานที่อยู่ใกล้ๆ มาให้ดูแลผู้หญิงคนนี้แทนเขา ส่วนร่างสูงใหญ่ก็วิ่งตามคนรักไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ถ้าเขาเห็นไม่ผิด สายของของหิรัญเมื่อกี้นี้มันทั้งน้อยใจ เสียใจ ผิดหวังแล้วก็มีน้ำตา

“โถ่เว้ย!!”

ขรรค์อยากจะต่อยตัวเองแรงๆ ที่ทำร้ายจิตใจของคนรัก แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดก็ตามแต่ถ้ามันทำให้คนรักเสียใจ ยังไงก็คือทำร้ายทั้งนั้น

“เงิน!! รอขรรค์ก่อน!!!” เห็นหลังบางๆ อยู่ตรงหน้า แต่ก็วิ่งหนีห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หิรัญเรียกวินมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปทันที ทิ้งให้เขายืนสบถด้วยความเครียด หากแต่เขาก็วิ่งกลับไปในตัวรีสอร์ทเพื่อเอารถตัวเองขับกลับบ้าน

“ฮัลโหล...จิน พี่ฝากดูแลไปก่อนนะ ถ้ามีปัญหาอะไรโทรถามพี่ได้ วันนี้พี่ขอหยุด” ระหว่างที่ขับรถก็โทรศัพท์ไปหาลูกน้องเพื่อฝากงานด้วย

และเมื่อถึงบ้านเขาก็วิ่งเข้าบ้านและขึ้นไปข้างบนทันทีแต่คนรักของเขาดันอยู่ในห้องน้ำเนี่ยสิ

“เงิน...ออกมาคุยกับขรรค์ก่อนนะครับ เงินกำลังเข้าใจขรรค์ผิดนะ”

ซ่า!!!

ข้างในห้องน้ำเปิดน้ำลงพื้นแรงยิ่งขึ้น ราวกับไม่อยากฟังสิ่งที่คนรักพูดหรือไม่ก็กำลังกลบเสียงร้องไห้ของตนอยู่...จิตใจของหิรัญอ่อนไหวง่ายเพราะเหนื่อยและพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมถึงการที่เขากับขรรค์ไม่ค่อยอยู่ด้วยกัน เลยทำให้การพูดคุยมันน้อยลง เลยทำให้บางอย่างมันเปลี่ยนไป ทั้งๆ ที่มันก็เหมือนเดิม

“เงิน...ถ้าเงินไม่ออกมาขรรค์จะเอากุญแจไขเข้าไป วันนี้เราต้องคุยให้รู้เรื่อง”

“เงินจะอาบน้ำ” ด้านในตอบกลับเสียงสั่น คนหน้าประตูห้องน้ำอย่างขรรค์ก็ยอมที่จะเดินไปนั่งรอที่เตียง เพราะถ้าหากหิรัญบอกจะอาบน้ำ เขาก็จะเชื่อและปล่อยให้คนรักอาบน้ำไป

“ขรรค์จะนั่งรอนะ”

เวลาผ่านไปสามสิบนาที่กว่า หิรัญก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกมาจากห้องน้ำเลย ร้อนใจถึงขรรค์ที่กำลังรออยู่อย่างใจเย็น แต่ทันทีที่เข้าลุกขึ้นประตูห้องน้ำก็เปิดออกมาพร้อมกับคนรักของเขาในชุดนอนที่เดินออกมาด้วยสีหน้าที่เย็นชาและเรียบนิ่งสุดๆ

“เงิน...เงินกำลังเข้าใจผิดนะ”

ร่างโปร่งบางไม่ตอบไม่พูดอะไร เดินเอาผ้าไปผึ่ง แล้วเดินเปิดประตูห้องออกไป จนร่างสูงใหญ่ต้องเดินตามออกไปเพราะต้องการเคลียร์ให้รู้เรื่อง

สถานการณ์อึดอัดเมื่อร่างโปร่งลงไปทำอาหารง่ายๆ ทานแบบเงียบ ซึ่งก็ไม่ได้ทำเผื่อเหมือนอย่างที่เคยทำเป็นอันรู้กันว่าหิรัญโกรธมากขนาดไหน

“เงิน...ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นลูกค้าที่รีสอร์ท เธอสะดุดล้มจนขาพลิก ขรรค์ก็แค่อุ้มเธอพาไปยังที่พักเพื่อให้พนักงานทำแผลให้ มันไม่ใช่อย่างที่เงินคิดเลยนะ”

ใบหน้าหล่อเงยหน้ามองคนรักเล็กน้อยแล้วก้มหน้าทานข้าวต่อ

เอาจริงๆ อารมณ์ของหิรัญสงบลงตั้งแต่อาบน้ำแล้วล่ะ ไตร่ตรองนึกคิดดีๆ ก็หายโกรธ เพราะยังไง หิรัญก็เชื่อใจในตัวของขรรค์...ถ้าขรรค์บอกว่ารักก็คือรัก...

ขรรค์ไม่เคยสนใจคนอื่นมากกว่าเขา ขรรค์ไม่เคยมีเรื่องชู้สาว...

“เชื่อขรรค์นะเงิน จะให้ขรรค์ไปสาบานที่ไหนก็ได้ ขรรค์ไม่ได้โกหกเงินนะ”

“อื้อ...เงินเชื่อขรรค์” หิรัญพูดออกมาแค่นั้น

เรื่องเมื่อกี้เคลียร์ แต่ใช่ว่าเรื่องเมื่อคืนจะเคลียร์ไปด้วยเสียหน่อย ยังไงหิรัญก็ยังไม่ยังน้อยใจกับเรื่องเมื่อคืนนี้อยู่ดี

“แล้วทำไม...เงินยังทำหน้าเหมือนกำลังโกรธอยู่ล่ะ”

“เปล่านี่...เงินก็ปกติ”

“แต่ขรรค์ว่าไม่” ร่างสูงสวนกลับ

“เหมือนกับที่เมื่อคืนที่เงินรู้สึกเลย เงินรู้สึกว่าขรรค์เปลี่ยนไป...ถ้าหากว่าขรรค์จะเปลี่ยนใจ…”

“ไม่ใช่นะเงิน!! ขรรค์ไม่ได้เปลี่ยนไปแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนใจอะไรทั้งนั้น ขรรค์ยังเหมือนเดิม ยังรักเงินคนเดียว รักมากขึ้นทุกวัน...รักเงิน อยากอยู่กับเงิน ขรรค์ขอโทษที่เอาความเหนื่อยมาลงที่เงิน ขอโทษนะครับ” ร่างสูงเดินไปนั่งคุกเข่าบนพื้นข้างๆ กับหิรัญที่กำลังนั่งกินข้าวนิ่งๆ

“เงิน...อย่าเงียบ ขรรค์ขอร้อง”

“เฮ้อ...เงินก็ผิดเหมือนกันที่ชอบพูดเรื่องเก่าๆ ลืมไปว่าขรรค์คงไม่ชอบฟังเท่าไหร่นัก เอาเป็นว่าเงินจะพยายามไม่พูดถึงมันถึงนะขรรค์” คนรักหันมามองหน้า

“ไม่เป็นไร เงินจะพูดก็ได้ ขรรค์ไม่รู้สึกอะไรแล้ว”

“ขรรค์จะมาทำเพื่อเงินตนเดียวไม่ได้นะ เราต้องเจอกันครึ่งทาง อะไรที่ขรรค์ไม่ชอบเงินก็จะไม่ทำ ไม่ใช่ให้ขรรค์มาเอาใจแต่เงิน มันไม่ใช่ชีวิตคู่แล้ว”

“แต่...”

“ถ้าขรรค์มีอะไรที่ไม่ชอบก็บอกมาได้นะ แต่พูดดีๆ นะขรรค์ เงินรับไม่ได้กับน้ำเสียงเมื่อคืนจริงๆ มันเจ็บนะ มันเหมือนกับวันนั้น...ฮึก...ขอโทษ ทั้งๆ ที่บอกว่าจะไม่พูดแล้วเชียว” หิรัญเสียงสั่น กลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่ให้หลุดออกมา ส่วนขรรค์เองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กันที่ทำให้คนรักเสียใจ

“ขอโทษ...ขอโทษครับ ยกโทษให้ขรรค์นะ”

“เงินไม่เคยโกรธขรรค์ ฮึก จะให้ยกโทษอะไร”

หิรัญก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ไม่เคยคิดจะโกรธอะไรขรรค์เลยทั้งๆ ที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราทะเลาะกัน แต่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบสามปีมากกว่า

“เงิน...ขรรค์รักเงินนะ”

“อื้อ...เงินก็รักขรรค์เหมือนกัน”

พรึ่บ!!

ทั้งสองโผเข้ากอดกันด้วยความรัก และดีใจที่เคลียร์กันเรียนร้อยแล้ว และตั้งใจเอาไว้ว่าจากนี้เป็นต้นไป ถ้าทะเลาะกันก็จะเคลียร์กันให้เสร็จในวันนั้น อย่าให้มันข้ามคืนเหมือนครั้งนี้

หากว่าเรื่องมันร้ายแรงจนหิรัญหนีไปขรรค์คงทำอะไรไม่ถูกแน่ๆ

คงจะเสียใจจนไม่มีวันให้อภัยตัวเอง...และเสียใจไปตลอดชีวิต

...

...

...


“เงิน...วันนี้ขรรค์จะไปรับนะ”

(อื้อ...ทำไมตื่นไวจัง) ปลายสายถาม

“ก็ขรรค์อยากจะไปรับเงินไง”

(มาก็มา...เงินรอที่เดิมก็แล้วกันนะ)

“ครับ...แล้วเจอกันนะครับ”

เหตุการณ์เป็นไปอย่างปกติแล้ว แต่คนรอบข้างกลับรู้สึกว่าทั้งสองหวานกันมากขึ้นไปอีก...แน่ล่ะ พอผ่านการทะเลาะกันในแต่ละครั้ง มันจะยิ่งทำให้คู่รักที่ผ่านเรื่องต่างๆ มาได้ยิ่งรักกันมากขึ้นไปอีก

รวมถึงคู่ของหิรัญกับขรรค์ด้วย

(อย่าขับรถเร็วนะ)

“ครับผม!”

ขรรค์วางสายด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม วันนี้เป็นวันหยุดของเขาและวันหยุดของหิรัญด้วยและก็เป็นวันสุดท้าที่คนรักของเขาจะได้อยู่เวรดึก...หลังจากเสร็จสิ้นวันหยุดไป หิรัญก็จะเข้าเวรเช้าเหมือนเดิม...

เวลาของเราก็จะมีมากขึ้นด้วย...

จากนี้ไปพวกเราจะใช้เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันให้คุ้มค่าที่สุดเลยล่ะ เผื่อคนรักจะต้องกลับไปเวรดึกอีกจะได้ไม่ต้องมานั่งคิดถึงกันมาก...

“ขรรค์ไม่ชอบการนอนคนเดียวเลย”

“ก็นี่ไง เงินก็จะเข้าเวรเหมือนเดิมแล้วล่ะ”

“ว่าแต่ทำไมถึงได้เปลี่ยนล่ะ” ขรรค์ถามคนรักที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน

ตอนนี้เรากำลังเดินทางกลับไปยังบ้านสวนของเรา...

“มีรุ่นพี่ขอเปลี่ยนน่ะ”

“อ๋อ...ดีแล้วล่ะ”

“หึหึ ยิ้มดีใจเป้นเด็กเลยนะ” หิรัญแซวคนรัก ส่วนขรรค์ก็ได้แต่ยิ้มรับไม่ได้ว่ากลับอย่างงอนๆ เช่นทุกทีเพราะที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยชอบให้คนรักเรียกว่าเด็กสักเท่าไหร่

แต่ตอนนี้ไม่ว่าอะไรที่ออกมาจากปากของหิรัญ ขรรค์ชอบทั้งนั้นแหละ

“ก็คนมันดีใจนี่นา”

“เงินก็ดีใจ ที่จะได้นอนกอดกับขรรค์สักที เฮ้อ...คิดถึงจัง”

“งั้นวันนี้กลับไปถึง ขรรค์จะให้เงินกอดจนหนำใจเลย เอาไหม?”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

ทั้งสองหันมายิ้มกว้างๆ ให้กัน มือข้างหนึ่งของขรรค์เอื้อมมากุมมือบางของหมอหนุ่มคนรักเอาไว้อย่างต้องการมอบความอบอุ่นให้กับหิรัญ

และเป็นการสัญญาว่า จะจับมือกันไปอย่างนี้...ตลอดไปเลยล่ะ

 



:mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

HAPPY NEW YEAR 2018

ขอให้นักอ่านที่น่ารักของยูกิทุกคนมีความสุขมากๆ ตลอดทั้งปี 2018

แล้วอย่าทิ้งกันไปไหนนะคะ อยู่ด้วยกันไปตลอดเลยน้า ยูกิมาถึงจุดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีนักอ่านทุกคนคอยสนับสนุน

นิยายของยูกิจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าไม่มีคนอ่าน ทุกคอมเม้นท์ ทุกข้อความ

ทุกกำลังใจ ทุกคำแนะนำ และขอบคุณทุกความเชื่อใจที่มีให้กัน

ขอบคุณสำหรับทุกๆ การสนับสนุนที่มีให้กันมาตลอด

ในปี 2017 ยูกิได้ทำอะไรผิดพลาดไปหลายอย่าง ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ

หวังว่าปีนี้ ปี 2018 จะเป็นปีที่มีความสุขของทุกๆ คนน้า รักทุกคนค่า

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ sexysunn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
สวัสดีปีใหม่ครับ   
  นึกว่าจะเป็นคู่หลักซะอีก  คู่หลักไม่คืบหน้าเลย  :z10:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ทะเลาะแล้วก็คืนดี เป็นธรรมดาของชีวิตคู่ และชีวิตเดี่ยวอย่างคนแก่  :กอด1:

สุข สมหวังดั่งที่ต้องการในปีใหม่นี้นะจ๊ะ  :L2:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
HNY 2018 ค่ะยูกิ
ขอให้สุขภาพแข็งแรง
ลงรามอินทร์ให้เราได้เรื่อยๆนะ
ดีใจที่ขรรค์เงินเคลียกันรู้เรื่อง
ก็รักกันมากนี่นา

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
น้ำตาไหล สงสารความไม่เข้าใจกัน
เงินก็คิดมาก ขรรค์ก็ไม่ค่อยพูด เลยได้เรื่องจนได้

อินช่วยขรรค์ไว้อีกแล้วนะ เพราะทำให้เงินรู้สึกดีขึ้น


ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
คิดถึงเรื่องนี้

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 61
สิ่งที่กลัว...




“หายไวนะครับเนี่ย เดินได้แล้วล่ะครับ แต่อย่าเดินมากเกินไป แบบว่าเดินสามสี่ชั่วโมงโดยไม่พักนะครับ แบบนั้นขาจะบวมเอาได้”

“ทำงานน่ะหมอไม่ใช่เดินทางไกล ถึงจะไม่หยุดเลย”

“ฮ่าๆ หมอก็แค่เตือน” หมอวัยกลางคนตอบกลับอินทัชอย่างอารมณ์ดี

วันนี้รามินทร์พาอินทัชมาหาหมอเพื่อให้เอาเฝือกออก ที่มาเอาป่านนี้เพราะว่าหลังจากกลับมาจากทะเลอินทัชก็ไม่ว่างที่จะมาเลย ก็เลยมาได้วันนี้ จากวันนั้นก็เกือบอาทิตย์ได้แล้วล่ะมั้ง

“ผมเดินได้แล้วใช่ไหมครับ”

“เดินได้แล้วล่ะครับ ถ้าเจ็บก็พักแล้วก็นวด ทายา แต่อย่าวิ่งหรือทำอะไรหนักๆ”

“โอเครับหมอ...รู้ไหมว่าที่ผ่านมาสองสามอาทิตย์ที่ผมต้องใส่เฝือก ผมเหมือนคนพิการเลย”

“ฮ่าๆ หมอเข้าใจนะครับ แต่ตอนนี้ได้รับอิสรภาพแล้วครับ”

“อิสรภาพเลยเหรอครับ แต่ยังไงก็ดีใจด้วยนะครับ มีอะไรก็มาหาหมอได้”

“ขอบคุณมากนะครับหมอ”

“ครับ”

อินทัชยกมือไหว้หมอแล้วก็ขอตัวออกมาเลย เจอกับรามินทร์ที่ยืนรออยู่ข้างนอกด้วยรอยยิ้มกว้าง ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่อินทัชเห็นมันทุกวันเลยตั้งแต่ที่ขาของเขาเจ็บจนมาถึงวันนี้

มันบอกว่าจะมาดูแลเขาจนกว่าเขาจะหาย นี่ก็หายแล้ว...มันจะกลับตอนไหนล่ะ?

“อยากไปไหนไหมวะ”

“กูเหรอ? ตอนนี้กูหิวมาก แล้วก็อยากได้เสื้อผ้าใหม่ด้วย” อินทัชบอก

“มึงนี่ก็เจ้าพ่อแฟชั่นเนอะ กูเห็นเสื้อผ้ามึงแต่ละตัวแม่งมีแต่แบรนด์เนมทั้งนั้นเลย”

“ก็กูชอบของกู” ร่างเล็กกว่ายักไหล่น้อยๆ

“เอาเถอะ กูมีหน้าที่เดินตามมึงนี่นะ จะทำอะไรได้”

อินทัชยิ้มน้อยๆ ก่อนจะออกเดินนำร่างสูงออกจาโรงพยาบาลไปที่รถ แบมือมาตรงหน้าของรามินทร์เมื่อหยุดตรงรถของเขาที่จอดอยู่

“อะไร?”

“กูจะขับ จะยืดแข้งยืดขา”

“ไม่เป็นไร กูขับเอง” แต่รามินทร์กลับไม่ยอม ปฏิเสธอย่างทันทีทันใด ทำเอาอินทัชที่กำลังอารมณ์ดีเพราะสามารถเดินได้แล้วถึงกับอารมณ์เสียขึ้นมาทันที

“ไอ้ราม!!”

“เชื่อกูเถอะน่า กูขับเอง” แต่รามินทร์ก็ยังไม่สนใจความรู้สึกของอินทัช ตั้งใจจะขัดใจยังไงก็ยังทำอยู่แบบนั้น

“เออ!! ก็ได้วะ” อินทัชรู้ดีว่าโมโหไปก็มีแต่ตัวเองที่เหนื่อยเปล่า เพราะงั้นในเมื่อมันดึงดันรั้นจะเป็นคนขับเหมือนเดิมให้ได้ เขาก็ไม่คิดที่จะดื้อกลับด้วย

เหนื่อยเปล่าๆ

“กูหายแล้วนะ” อินทัชพูดขึ้นมาระหว่างที่เดินทางไปยังห้างสรรพสินค้า รามินทร์ขมวดคิ้วทันทีเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่อินทัชต้องการจะสื่อ

“อือ...แล้วไงอ่ะ ก็ดีใจด้วยไง”

“มึงบอกว่าถ้ากูหายมึงจะไป”

“อ๋อ...จะไล่เหรอ?”

“หึ”

“กูพูดว่าจะมาดูแลมึงจนกว่าจะหาย แต่ไม่ได้บอกว่าถ้ามึงหายแล้วกูจะไปสักหน่อย” รามินทร์หันมายักคิ้วให้อย่างกวนๆ แล้วหันกลับไปมองถนน

อินทัชแอบยิ้มขึ้นมาน้อยๆ

จะว่าดีใจก็ดีใจนะ ไม่รู้สิ การที่ได้อยู่กับรามินทร์มันก็สนุกแล้วก็มีความสุขดี มันดีกว่าที่เขาอยู่คนเดียวเยอะเลย การที่ได้อยู่กับเพื่อนสนิทอย่างธีรไนยมันก็อีกความรู้สึกหนึ่ง ส่วนกับรามินทร์ก็อีกความรู้สึกหนึ่ง

“มึงไม่ทำงานทำการหรือไง”

“ทำสิ กูก็ยังทำอยู่”

“เหรอ นึกว่าโดนไล่ออกไปแล้ว”

“บ้าเหรอ นั่นมันธุรกิจของครอบครัวกูนะ ใครจะมาไล่ออกได้วะ” รามินทร์ตอบกลับมา

“พ่อมึงไง”

“หึหึ...พ่อกูนอนกินเงินเดือนนู่น ไม่มาสนทำงานอะไรแล้ว”

“ดีเนอะ เหมือนพ่อแม่กูเลย” อินทัชบอก

ระหว่างที่พวกเขาสองคนกำลังนั่งคุยกันระหว่างทางที่กำลังขับไปยังสถานที่ที่เป็นจุดหมาย ดวงตาคมก็สังเกตเห็นรถสีดำคันหนึ่งขับตามมาตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว

ตอนแรกก็คิดว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติ แต่นี่มันผิดปกติเกิน อะไรจะไปทางเดียวแล้วขับขับประชิดกันขนาดนี้

“อิน...”

“อะไร?”

“กูว่ามันแปลกๆ ว่ะ”

“อะไรแปลก?”

“รถคันข้างหลังน่ะ กูสังเกตมานานแล้ว มันตามเราตั้งแต่โรงพยาบาลเลยนะเว้ย” รามินทร์บอกพลางใช้ตามองกระจกหลังไปด้วย

“จริงเหรอวะ!” อินทัชถามแล้วหันไปมองด้านหลังทันที

“ว่าไงมึง คุ้นๆ กับรถป่ะ”

“ไม่ว่ะ รถสีดำใครๆ ก็มี แต่กูรู้สึกว่ามันไม่ปกติเหมือนกัน”

“มันจะมาลอบยิงมึงหรือเปล่า” รามินทร์ถาม

พออินทัชได้ยินคำถามแบบนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เปิดลิ้นชักดูว่ามีปืนอยู่หรือเปล่า เพราะรถของเขาไม่ได้มีปืนติดรถทุกคัน...

“หาอะไร?” รามินทร์ถาม

“มึงขับรถไปเถอะนะ ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่เส้นทางเปลี่ยว ยูเทิร์นกลับไปก็ได้ หรือไปสถานตำรวจก็ได้ ดูซิว่ามันตามเราอยู่อีกไหม” ร่างโปร่งสั่งแล้วก็หาปืนในลิ้นชักปรากฏว่ามัน...

“ซวยแล้ว”

ปืนไม่มี...รถคันนี้ของเขาไม่มีปืน

“อะไร!”

“ไม่มีปืนว่ะ”

“แล้วถ้ามันยิงมาทำไง ไม่ตายเหรอวะ” รามินทร์ถามอย่างกังวล

อินทัชส่ายหน้าไปมา

“ไม่หรอก กูมีบอดี้การ์ดขับตามอยู่มึงอย่าลืมดิวะราม” อินทัชปลอบใจ

โชคดีที่อินทัชไม่ประมาท ไม่สั่งให้บอดี้การ์ดไม่ต้องตามเขา ทั้งๆ ที่วันนี้อยากจะอยู่แบบเงียบๆ สงบๆ โดยไม่ต้องให้ใครตาม แต่อินทัชก็เปลี่ยนจาไม่ตามเป็นตามสองคนพอ...

“ไหนล่ะบอดี้การ์ดมึง”

อินทัชรีบมองหาทันทีที่รามินทร์ถามเสร็จ ก่อนจะตอบออกมาว่า

“อยู่หลังรถที่ตามเรานี่แหละ มึงระวังตัวดีๆ นะราม” อินทัชบอกอย่างเป็นห่วง เรียกรอยยิ้มพึงพอใจจากรามินทร์ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์น่าเป็นกังวล

“แค่มึงห่วงกูกูก็ดีใจแล้ว”

“ดีใจไม่ได้ช่วยทำให้รอดตาย เอาไว้ให้รอดตายก่อนแล้วค่อยดีใจก็แล้วกัน”

“หึหึ”

ร่างโปร่งบางส่ายหน้า หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาแล้วต่อสายไปยังบอดี้การ์ดที่ตามอยู่ห่างๆ ทันที

“รถที่ขับตามฉันอยู่น่าสงสัยมาก ช่วยระวังให้หน่อยเข้าใจนะ ฉันไม่มีอาวุธพกติดตัว ถ้ามันทำอะไรพวกฉัน ช่วยสกัดมันจากด้านหลังให้ด้วย อ้อ! ถ้ามันลงมือ ทำยังไงก็ได้ให้จับพวกมันให้ได้ เพราะฉันต้องการสาวให้ถึงคนบงการ”

(รับทราบครับคุณอิน ผมจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดครับ)

“และห้ามพลาด จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ เพราะถ้าพวกนายทำพลาด ไอ้ธีร์มันก็จะรู้ทันที” อินทัชขู่ออกไปโดยใช่ชื่อของเจ้านายตัวจริงอย่างธีรไนยออกไปเพราะรู้ดีว่าบอดี้การ์ดพวกนี้เกรงใจธีรไนยมาก

“มึงจะไปขู่เขาทำไมล่ะ เขาก็ต้องทำงานอย่างเต็มที่อยู่แล้ว มึงไม่ต้องกังวลหรอกน่า แล้วยังมีกูอีกคน กูไม่มีทางปล่อยให้มึงได้รับอันตรายหรอกน่า” รามินทร์เอ่ยขึ้น

“กูไม่ได้กลัวหรือกังวล แค่กระตุ้นการทำงาน”

“ก็แล้วไป”

“มึงกำลังจะไปที่ไหนเนี่ย” อินทัชถาม

“พามึงไปที่ที่ปลอดภัยไง”

“ที่ไหน?”

“เดี๋ยวก็รู้น่า”

“อยากออกนอกเมืองนะเว้ย ไอ้ราม มันอันตราย!” อินทัชรีบโวยวายที่รามินทร์เบี่ยงเส้นทางด้วยความรวดเร็วพาออกไปยังถนนใหญ่ คันที่ขับตามมาก็ยิ่งเร่งความเร็วตามเพื่อให้ทัน

“เชื่อกูน่า เสี่ยงหน่อย แต่เรื่องมันจะจบได้เร็ว”

“จบเร็วบ้าอะไร!! จบชีวิตน่ะสิไม่ว่า ไอ้ราม อย่าโง่ กูขอร้อง”

“ไม่เป็นไร กูรับผิดชอบเอง”

อินทัชจนปัญญาที่จะห้ามได้แต่นั่งกระวนกระวายมองกระจกข้างอย่างหวาดระแวง เพราะกลัวว่าพวกมันจะชิงลงมือก่อน

“เห็นได้ชัดเลยว่า มันตามเราจริงๆ” รามินทร์พูดขึ้นมา

อินทัชหันขวับมองไปยังคนพูดทันที ดวงตาแข็งกร้าว ไม่พอใจที่อีกคนทำเหมือนว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเล่นๆ ทั้งๆ ที่ชีวิตกำลังอยู่ในความเสี่ยงแท้ๆ

“แล้วแต่มึงเลยก็แล้วกัน”

อินทัชขอฝากฝังชีวิตของตัวเองไว้กับบอดี้การ์ดสองคนนั้นก็แล้วกัน

“อยากได้พ่อเสือ มึงก็ต้องล่อเหยื่อให้ติดกับ” รามินทร์ยักคิ้วให้ ใบหน้าที่เจ้าเล่ห์ของรามินทร์ยิ่งทำให้อินทัชรู้สึกไม่อยากจะไว้ใจอะไรมากนัก

กลัวจะตายเร็วขึ้น...

ปัง!!!

เอี๊ยด…

มันเริ่มแล้วไหมล่ะ!

“อิน ระวังนะมึงแล้วก็จับดีๆ”

เสียงปืนหนึ่งนัดยิงโอนเต็มๆ ท้ายรถจนทั้งคู่สะดุ้ง รามินทร์พยายามขับรถเบี่ยงไปมาเพื่อให้ยากต่อการเล็ง แต่อินทัชรู้สึกเวียนหัวมากกับการขับรถแบบนี้ของรามินทร์มากกว่ากลัวปืนเสียอีก

“ขับแบบนี้ยิงโยนยางทีเดียวก็จอดแล้ว” อินทัชว่า หันไปมองข้างหลังก็พบว่าพวกมันมุดหัวกลับเข้ารถไปแล้ว รถของมันส่ายไปมาเพราะเสียสมดุล เสียงปืนยังดังต่อเนื่อง เพียงแต่ไม่ได้มาจากพวกมัน เป็นบอดี้การ์ดของเขายิงโจมตีจากด้านหลังต่างหาก

“คนที่จอดน่ะพวกมันต่างหาก”

“บอดี้การ์ดของกูเองต่างหาก”

“แต่คนที่ล่อมันออกมาคือกูนะ”

“ขอบใจก็แล้วกัน แต่ตอนนี้...ไม่ได้หมายความว่าเราจะรอดนะ” อินทัชว่า แล้วหันมอง

“รอดสิ ลูกน้องมึงลงมาแล้วเนี่ย” รามินทร์หันมายักคิ้วให้

อินทัชส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะเปิดประตูลงไปหาพวกมันเมื่อเห็นว่าพวกมันสองคนถูกบอดี้การ์ดของอินทัชจับเอาไว้ได้แล้ว

“มันมากันสองคนใช่ไหม” อินทัชถาม

“ครับคุณอิน”

“เอาส่งตำรวจเลย” สิ้นคำสั่งของร่างโปร่ง พวกมันทั้งสองก็มองหน้าเขาอย่างขอร้องอ้อนวอน แต่อินทัชก็ไม่ได้สนใจ และไม่คิดจะสงสารหรืออภัยให้

คนที่คิดเอาชีวิตของคนอื่น...ทำตัวเป็นมัจจุราชตัดสินชีวิตของคนอื่น

ต่อให้ถูกจ้างมา...ปล่อยไป ก็ต้องไปทำกับคนอื่นอยู่ดี...

“ได้ครับ”

“สาวให้ถึงตัวแล้วก็ให้ตำรวจออกหมายจับได้เลย ฝากจัดการด้วย”

“ครับ!”

“ส่วนมึง!!” รามินทร์ยิ้มออกมาแห้งๆ ที่เห็นสายตาคาดโทษจากอินทัชที่เอาเรื่องเอาราวเหลือเกิน แน่ล่ะ ก็เขาเล่นทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนั้นทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันมีปืน ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าในรถมีกี่คน รอดมาได้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว

โชคดีที่ลูกน้องของเทพากรมันโง่...หรือไม่ก็

เป็นการการลองเชิง...

“กูมีเรื่องจะพูดกับมึงอีกเยอะเลยราม กลับคอนโด!!!”

คราวนี้ อินทัชโกรธรามินทร์มาก จริงจังมากว่าที่ผ่านๆ มาก มากกว่าที่เขาเคยโดนกระทำตอนที่อยู่เพชรบูรณ์เสียอีก เพราะนี่มันหมายถึงชีวิต...

ไม่เขาก็มันนี่แหละที่จะตายก่อน...

อินทัชเกลียดความใจร้อนวู่วามของรามินทร์ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงใจแข็ง ปฏิเสธร่างสูงมาโดยตลอด แล้วให้โอกาสไม่ทันไร รามินทร์ก็เริ่มเผยนิสัยที่เขากลัวออกมา...

...

...

...


“โกรธเหรอวะ?”

เมื่อมาถึงคอนโดของอินทัช ใบหน้าสวยก็ยังคงเรียบนิ่งอย่างนั้น แผ่รังสีความเย็นยะเยือกออกมาจนรามินทร์สัมผัสได้ ทำให้ร่างแกร่งนั่งเกร็งด้วยความกลัว

เกิดมาในชีวิตนี้ไม่เคยต้องมานั่งกลัวและเกรงใจใครเท่ากับอินทัชมาก่อน

“กูขอโทษ แต่กูทำเพื่อมึงนะ”

“เพื่อกู?”

“ใช่...ถ้าไม่ทำแบบนี้ พวกมันก็ไม่ลงมือหรอก”

“เหรอ...”

“มึงอย่าทำหน้าแบบนี้ดิวะอิน”

“อะไร”

“ขอโทษ”

“เฮ้อ...” ร่างโปร่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สบตากับดวงตามคมอย่างจริงจัง ถ้าวันนี้พูดเรื่องนี้กันไม่รู้เรื่อง อินทัชก็จำเป็นจะต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

“อย่าทำเหมือนเหนื่อยใจกับกูสิวะ”

“รู้ไหมว่าทำไมมึงถึงไม่ผ่านสักที”

“ผ่านอะไร?” ใบหน้าหล่อคมแสดงออกถึงความไม่เข้าใจ ที่จู่ๆ อินทัชก็ถามอะไรแปลกๆ ออกมา

“โอกาสจากกูไง มึงอย่าลืมว่ามึงต้องผ่านการทดสอบจากกู มึงยังไม่ผ่าน แล้วกูก็คิดว่ามันไม่มีวันผ่าน” น้ำเสียงราบเรียบกรีดลึกไปถึงขั้วหัวใจ แทบจะหายใจไม่ออก

“ทำไม”

“กูเกลียด...” รามินทร์แทบจะสิ้นสติกับคำๆ นี้อีกแล้ว จนต้องรีบปรามเอาไว้ก่อนที่รามินทร์จะสติแตก “อย่าเพิ่งโวยวาย ฟังก่อน”

“แต่...”

“มันไม่ได้มีอะไร กูแค่อยากบอกว่า มันมีนิสัยบางอย่างของมึงที่กูไม่ชอบ ถ้ามึงแก้ไม่ได้ กูก็ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไงดี” อินทัชทำหน้าเหนื่อยๆ

“นิสัย? นิสัยของกู?”

“ใช่ นิสัยใจร้อนของมึง เลือดร้อน วู่วาม ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง อย่างที่มึงจับกูไปก็เหมือนกัน เรื่องวันนี้ก็เหมือนกัน มึงทำให้กูกลัวว่ะราม...”

รามินทร์นิ่งคิดไป สลับกับมองหน้าอินทัชไปด้วย

“กู...”

“อย่าปฏิเสธว่ามึงไม่เป็นอย่างที่กูว่า”

“อิน...”

“เราไปกันไม่ได้หรอก ถ้ามึงยังไม่เลิกนิสัยนี้ของมึง”

“อย่าบอกนะ...ว่าที่มึงปฏิเสธกูมาตลอดไม่ใช่เพราะมึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับกู แต่มึงแค่ไม่ชอบนิสัยของกู” ร่างสูงขมวดคิ้วยุ่งไปหมด เริ่มประติประต่อเรื่องราวในใจ

“อย่าคิดเองเออเองไอ้สัตว์ราม กูแค่บอกว่าเราไปกันไม่ได้”

“แต่มึงเคยบอกรักกู” รามินทร์ยิ้มกว้าง

“อย่าเปลี่ยนเรื่อง”

“โอเคๆ กูรับปากว่าจะพยายามเปลี่ยนนิสัยใจร้อน วู่วามของกูนะ มึงอย่าเพิ่งตัดโอกาสกูนะ กูขอร้อง”

อินทัชมองสีหน้าที่อ้อนวอนของรามินทร์อย่างเย็นชา ไม่ได้แสดงอะไรออกมาผ่านทางใบหน้า แต่ใจก็อ่อนไหวไปกับรามินทร์เรียบร้อยแล้ว

ขี้ใจอ่อนจริงๆ เลยนะมึงน่ะ

“มันทำไม่ได้ง่ายๆ หรอกราม”

“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง”

“มึงกลับไปก่อนราม...กลับไปที่เพชรบูรณ์ จนกว่าเรื่องทางนี้ของกูจะคลี่คลาย”

เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ อินทัชไล่รามินทร์ ทั้งเสียง ทั้งใบหน้าจริงจังจนรามินทร์ไม่สามารถคิดเข้าข้างตัวเองได้อีกต่อไป...

ไม่สามรถคิดว่าอินทัชกำลังล้อเล่นได้ ไม่สามารถคิดว่านี่มันเป็นความฝันได้...

“กูอยากอยู่กับมึง”

“ถ้าเราอยู่ด้วยกันมันรังแต่จะทำให้เรื่องมันแย่ราม กูกลัว...กลัวจริงๆ นะ”

กลัวว่าสักวันหนึ่งมึงจะตายไปก่อน...เพราะอารมณ์ร้อนแบบนี้

“กูสัญญา...กูจะเปลี่ยนตัวเอง”

“ไม่ราม...กูบอกแล้วว่ามันทำได้ไม่ง่าย อย่างแรกต้องเริ่มจากความอดทน...ถ้ามึงทนได้ที่ไม่มาหากูเลย กูก็จะเชื่อว่ามึงมีความอดทนอดกลั้น”

“แต่ช่วงนี้มึงกำลังไม่ปลอดภัย กูอยากอยู่ข้างๆ มึง”

“นี่แหละ จะเป็นอย่างแรกในการฝึกความอดทนเลย” ร่างโปร่งพูดเสียงแข็ง แต่รามินทร์ส่ายหน้าปฏิเสธ ยังไงก็ไม่ยอมกลับไปทั้งๆ ที่อินทัชกำลังตกอยู่ในอันตรายแบบนี้แน่ๆ

ไม่มีทาง!!



มีต่อ
V
V

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
ตอนที่ 61 ครึ่งหลัง




“ไม่เด็ดขาด”

“ไอ้ราม! ทำไมมึงถึงพูดยากพูดเย็นแบบนี้วะ!”

“มึงนั่นแหละที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของกู”

“กูดูแลตัวเองได้ มึงไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอกน่า”

“ถ้ามึงเป็นกูจะทำยังไง ที่รู้ทั้งรู้ว่าคนที่ตัวเองรักกำลังตกอยู่ในอันตราย เป็นมึง มึงจะทิ้งไปได้เหรอวะ!!” รามินทร์ถามเสียงดังแทบจะขึ้นเสียงใส่อินทัช ร่างโปร่งสะดุ้งนิดๆ เอามือขยี้ผมตัวเองเครียดๆ

รามินทร์ก็เอามือลูบหน้าลูบตาตัวเองแบบโมโห

“ราม...กูขอ”

“เห็นใจกูเถอะอิน”

“เอาไว้คุยกันทีหลังก็แล้วกัน กูขออยู่คนเดียว”

อินทัชตัดปัญหาโดยการลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนไป...ทิ้งให้รามินทร์นั่งมองตามอย่างน้อยใจ วันนี้ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง วันไหนก็พูดไม่รู้เรื่องหรอก...

ทั้งสองมีความคิดเป็นของตัวเอง...พวกเขาทั้งสองยอมกันได้เฉพาะบางเรื่อง แต่ถ้าเรื่องไหนที่พวกเขาต่างก็คิดว่าถูก ก็จะไม่เปลี่ยนความคิดนั้นง่ายๆ จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าความคิดของใครถูกต้องที่สุด!


รามินทร์ขับรถออกไปข้างนอกคนเดียวเพื่อไปซื้อของ ซื้ออาหารและสงบสติอารมณ์ เมื่อซื้อของเสร็จแล้วเขาก็ไปสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ๆ กับคอนโด แล้วนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย คิดในสิ่งที่อินทัชบอก...

“ใจร้อน วู่วาม ถึงกูจะเป็นแบบนั้น แต่กูก็เป็นเฉพาะตอนคนที่กูรัก เจ็บปวด บาดเจ็บ หรือได้รับอันตราย”

รามินทร์ไม่ได้เป็นแบบนี้กับทุกคน แต่ถ้าใครที่มันทำให้คนที่เขารักต้องเจ็บปวด หรือได้รับอันตราย รามินทร์จะทำทุกอย่างเพื่อเอาคืน...

“กูทำเพราะรักมึง ทำไมมึงถึงไม่เข้าใจวะ!!” ร่างสูงกุมขมับตัวเองอย่างเครียดๆ

ทุกอย่างที่รามินทร์เป็น ก็เพราะรักทั้งนั้น...

แต่ความรักของรามินทร์ ทำให้อินทัชกลัว

“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

แกร็ก!

“สวัสดี...คู่ขาไอ้อิน”

ร่างสูงตัวเกร็งเมื่อถูกวัตถุที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นปลายกระบอกปืนจ่อเข้าที่กลางหลัง เสียงทักทายที่ไม่คุ้นหูเองก็ดังขึ้นมาพร้อมๆ กัน

“ใคร...”

“ขอแนะนำตัวเองก็แล้วกัน...ฉันชื่อเทพากร หรืออาเทพของไอ้อินมัน!” ดวงตาคมเบิกกว้างทันทีเพื่อได้รู้ชื่อของคนที่เอาปืนจ่ออยู่ที่หลังเขากลางที่สาธารณะแบบนี้

“ต้องการอะไร”

“หึหึ...สิ่งเดียวในตอนนี้ที่ฉันอยากได้ก็คือล้างแค้นไอ้หลานไม่รักดี ทำให้มันเจ็บปวด ทำให้มันทรมานที่สุด”

“แล้วฉันเกี่ยวอะไรด้วย” ถามกลับไป ในหัวก็คิดหาทางหนีออกไปจากสถานการณ์นี้

“เพราะแกเป็นคนรักของมันไง!!! ฮ่าๆ มันต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ ที่คนที่มันรักต้องเป็นอะไรไป”

“เลว!!”

ผลัวะ!!!

ร่างสูงหมดสติไปทันทีที่โดนสันของกระบอกปืนทุบเข้าทอยทอยอย่างรุนแรง จากนั้นก็มีพรรคพวกของเทพากรมาอุ้มรามินทร์ออกไปทันที โดยไม่สนใจคนที่เห็นเหตุการณ์เลยสักนิด

เทพากรสนใจแค่เรื่องแก้แค้นเท่านั้น!!!


“ออกไปซื้อของ เดี๋ยวกลับมา” ร่างโปร่งอ่านโพสอิทที่ไว้หน้าตู้เย็นแล้วขมวดคิ้วแน่น มองนาฬิกาที่ติดห้องเอาไว้อย่างเป็นห่วง

“นี่มันจะทุ่มหนึ่งแล้วนะ เมื่อไหร่จะกลับมาล่ะ”

อินทัชเดินไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองก็พบว่ามีเบอร์แปลกๆ โทรมาเกือบสิบสาย ยิ่งทำให้รู้สึกใจไม่ดีเข้าไปอีก อกจากเบอร์ที่ไม่ได้รับแล้วยังมีข้อความส่งมาอีกด้วย

“จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ รบกวนโทรกลับด้วย”

แค่เห็นข้อความนี้ก็ทำให้อินทัชสติแตกไปแล้ว โยงเรื่องที่รามินทร์ยังไม่กลับมาเข้ากับเรื่องของตำรวจจนใจหาย หวาดกลัวไปหมด

ไม่มีอะไรหรอกอิน รามมันก็แค่ไปซื้อของแล้วอาจจะยังไม่กลับก็ได้....

“แค่จะคุยเรื่องไอ้สองตัวนั้นก็ได้” เขาปลอบใจตัวเอง

(สวัสดีครับ...)

“ผม...อินทัช ชยอัมรินทร์ เห็นเบอร์ของคุณโทรมาหลายสาย ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” อินทัชรวบรวมสมาธิถามออกไป

(คุณอินทัชนี่เอง พอดีผมจะบอกว่าคนที่ใช้รถทะเบียน  XXXX  ซึ่งมีชื่อของคุณอินทัชเป็นเจ้าของรถ ถูกลักพาตัวที่สวนเบญจกิติ ซึ่งผู้ที่เห็นเหตุการณ์เป็นผู้แจ้งเข้ามาไม่ทราบว่าชายที่โดนลักพาตัวเป็นเพื่อนหรือเป็นอะไรกับคุณอินทัชหรือครับ ทางเราต้องการทราบเพื่อสืบตามหาต่อไปครับ)

ร่างโปร่งนิ่ง สติหลุดลอยออกไป ใจเต้นโครมคราม หายใจไม่ออก มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด มือที่โทรศัพท์ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา จนแทบจะปล่อยให้มันหลุดจากมือ

(คุณอินทัชครับ ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่าครับ ฮัลโหล...)

เพราะเขา...รามมันถูกจับไปก็เพราะเขา

ถ้ามันเป็นอะไรไป เราจะทำยังไง ราม...กูจะทำยังไง...

“ค่ะ ครับ”

(ได้ยินผมหรือเปล่าครับ)

“ดะ ได้ยินครับ แน่ใจนะครับว่าคนที่ถูกลักพาตัวคือคนที่ขับรถของผมจริงๆ”

(จริงครับ ผู้แจ้งความเป็นคนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด) ตำรวจที่โทรมาเล่าสถานการณ์ที่รามินทร์โดนจับตัวไปตามที่คนเห็นเหตุการณ์แจ้งให้อินทัชฟัง

ร่างโปร่งกำหมัดแน่น...ดวงตาโกรธขึ้ง

“เขาชื่อรามินทร์ อัครสิงหบดี เป็นเพื่อนของผมครับ”

(ถ้าอย่างนั้น รบกวนคุณอินทัชช่วยมาให้ปากคำที่โรงพักด้วยนะครับ)

“ครับ ผมจะรีบไป”

อินทัชไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก อยู่ในชุดแบบไหนก็ออกไปทั้งชุดนั้น ไม่สนใจสภาพผมยุ่งที่เพิ่งตื่นนอนของตัวเองเลยสักนิด แต่แม้ว่าสภาพจะไม่พร้อมขนาดไหน อินทัชก็ยังดูดีไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี หากแต่สีหน้าของร่างโปร่งบางตอนนี้ ทำให้คนหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้เลยสักนิด...

“อาเทพ...” เขากัดฟันพูดชื่อของคนที่อยู่ในความคิดออกมาอย่างแค้นใจ...

ไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อนในชีวิต โกรธมากๆ โกรธชนิดที่อยากจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่เขาก็ยังคงนึกถึงความ เป็นชยอัมรินทร์ ที่พ่อกับแม่สร้างมาจนมีได้ในปัจจุบัน จะยอมให้เสียเพราะคนในครอบครัวแตกแยกกันเองไม่ได้!!

อาทำตัวอาเอง อาคิดทำร้ายคนที่ผมรักเอง!!


ซ่า!!!

น้ำเย็นสาดเข้าที่ร่างของรามินทร์จนเรียกสติของคนที่กำลังหลับไม่ได้สติให้ตื่นขึ้นมา ก่อนจะพยายามเพ่งมองเพราะน้ำที่สาดมามันไหลเข้าตา

“ตื่นได้แล้ว!!!”

“แก!!” รามินทร์ได้สติก็พรวดพราดจะไปหาเทพากรที่นั่งไขว่ห้างมองเขาอย่างสบายอารมณ์ แต่ก็ต้องล้มลงกับที่คืนเพราะที่ขาของเขาถูกโซ่ตรึงเอาไว้ มือก็ถูกมัดไพล่หลัง ลูกน้องของมันมีประมาณสองคนในนี้ แต่ข้างนอกรามินทร์ไม่รู้ แต่รู้ว่ามันต้องไม่มีแค่นี้แน่ๆ

“อารมณ์ร้อนจริงๆ เลยนะแกน่ะ ดี...แบบนี้แหละฉันชอบ” เทพากรพูดแล้วหัวเราะเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ

“แกนี่มันชั่วจริงๆ คิดจะฆ่าได้แม้กระทั่งหลานชายตัวเอง”

“แล้วไง? ก็มันดันมาขวางหูขวางตา ขวางทางรวย ขัดความเจริญของฉันเอง มันก็สมควรที่จะตายๆ ไปซะ จริงๆ แล้วมันไม่ควรจะเกิดมาด้วยซ้ำ!!” ผู้มีศักดิ์เป็นอาของอินทัชเดินมาหาร่างแกร่งแล้วตะโกนใส่หน้ารามินทร์ สีหน้า แววตา และน้ำเสียง ทำให้รามินทร์รู้สึกได้ว่าเทพากรแค้นอินทัชจริงๆ

และนอกจากนี้ มันยังทำให้เขารู้ด้วยว่า ที่เขาจับอินทัชไปทรมาน เขาก็คงจะมีสีหน้าที่ดูน่าเกลียดแบบนี้...ยิ่งคิดถึงเรื่องนั้น มันก็ยิ่งทำให้รามินทร์เจ็บปวด

“แกสิควรตาย!!”

“มึง!!!” เทพากรโกรธที่ร่างสูงตะคอกใส่หน้า ต่อยเข้าที่ใบหน้าหล่ออย่างแรงจนหน้าหัน ปากแตกจนเลือดออกที่มุมปาก แต่ร่างสูงก็ไม่ได้กลัว หันกลับมาสบตาด้วยความโกรธและแค้นไม่ต่างกัน ก่อนที่จะ

ถุย!

“มึง!!!…กล้ามากนะ พวกแก!! ซ้อมมัน กูจะส่งหนังสั้นไปให้ไอ้อินมันดูสักหน่อย ว่าผัวมันเล่นได้ดีขนาดไหน” เทพากรต่อยเข้าที่หน้าของรามินทร์อีกข้าง ลุกขึ้นถีบซ้ำ จนร่างสูงล้มไปนอนกองที่พื้น

มือหยาบกร้านเอาเช็ดน้ำลายของรามินทร์ออกไป จ้องมองร่างสูงที่อินทัชรักอย่างสะใจแล้วก็หงุดหงิดปนไปด้วย ส่วนรามินทร์ถึงแม้จะเจ็บที่โดนซ้อม เขาก็กัดฟันอดทนไม่คิดปริปากร้องออกมาโดยเด็ดขาด

ถ้าจะตาย…ก็ขอตายอย่างมีศักดิ์ศรี

“พอ!! เดี๋ยวมันตายก่อน ปล่อยมันไว้แบบนี้แหละ” เทพากรที่เห็นว่ารามินทร์โดนจนพอใจแล้วก็สั่งให้ลูกน้องหยุดซ้อมรามินทร์ แล้วพากันออกไปจากโกดังร้างแห่งนี้ ปล่อยให้รามินทร์นอนหมดแรงและไม่กล้าขยับอยู่แบบนั้น

ถ้ากูไม่น้อยใจมึงแล้วออกมาข้างนอก...กูก็คงไม่ทำให้มึงเดือดร้อนเพราะกู...

กูเป็นคนทำให้มึง...ต้องได้รับอันตราย...

“กู...ขอโทษ”

ที่ปกป้องมึงไม่ได้อย่างที่กูอยากทำ...

น้ำตาของรามินทร์ไหลออกมาอย่างเจ็บใจแล้วก็เจ็บปวด...ที่นอกจะปกป้องอินทัชไม่ได้ ยังเป็นภาระ เป็นตัวถ่วงของคนที่เขารักด้วย...

นี่ใช่ไหม? ที่มึงกลัว...มึงกลัวว่ากูเป็นตัวถ่วง เป็นภาระ

กูสัญญา ถ้ารอดไปได้ กูจะไปจากมึง...

อย่างที่มึงต้องการ...







100%
 :katai4: :mew1: :mew2: :mew3: :mew4:
มาแล้วจ้า มาเดือนละครั้งหรือไงนะ 555 ยูกิพยายามแล้วน้า พยายามที่จะหาเวลามาลงแต่ก็ไม่ได้ วันนี้ยูกิขอพักทุกอย่าง ก็เลยมาลงนิยายดีกว่าๆ ใกล้จะจบแต่ไม่จบสักที กี่ปีแล้วนะเรื่องนี้ วันนี้เลยลงให้ทีเดียวสองตอนนะคะ ถ้าอารมณ์ดีๆ หน่อยก็ 3 ตอนไปเลย เอาให้คุ้มกับที่หายไปนาน แต่หายไปใช่ว่าจะหายไปเลยน้า ใครที่ไปพูดคุยกับยูกิที่เพจนี่ก็ตอบอยู่เด้อ ส่วนใครตามไอจี ยูกิก็อัพเดทชีวิตตัวเองบ้างอยู่แล้ว คือไม่เงียบ ไม่หาย เดือนหน้าก็จบแล้วค่ะ แต่วิจัยยังอยู่ในขั้นให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจคุณภาพเครื่องมือฯ (ช้าใช่ไหม? ยูกิไม่อยากพูด เรื่องมันยาว เรื่องมันเยอะ เดี๋ยวจะกลายเป็นปัญหา ไม่เจาะลึกก็แล้วกันนะคะ ขอพื้นที่ในการบ่นเท่านั้น แหะๆ)

พูดคุยกันที่เพจนะคะ https://www.facebook.com/sawachiyuki/

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 62
ช่วยเหลือ...





ผลัวะ!!!

ทันทีที่อินทัชดูคลิปที่เทพากรส่งมาจบเขาก็ปาโทรศัพท์เครื่องหรูของตนใส่กำลังของห้องแล้วตรงเข้าไปกระทืบซากมันซ้ำๆ จนธีรไนยต้องมาดึงไว้ให้ระงับสติอารมณ์ตัวเอง

“อิน...มึงใจเย็นๆ”

“เพราะกู...ธีร์” อินทัชโทษตัวเอง สบตาแดงๆ ของตัวเองกับดวงตาเล็กของเพื่อนสนิท

“ไม่ใช่เพราะมึง ไม่ใช่” ธีรไนยปลอบใจ

มันไม่ใช่ความผิดของอินทัช ไม่ใช่ความผิดของรามินทร์

ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น ถ้าจะมีคนผิดก็ต้องผิดที่คนทะเยอทะยาน แค้นไม่จบไม่สิ้นอย่างเทพากรต่างหาก

“ทำไมจะไม่ใช่เพราะกูวะธีร์” ร่างโปร่งหันมาพูดกับธีรไนยสียงสั่น ดวงตาปริ่มไปด้วยน้ำแต่มันก็ยังไม่ไหลออกมา ธีรไนยนับถือความเข้มแข็งของอินทัชมาก

เห็นสภาพคนที่รักสะบักสะบอมขนาดนั้นเป็นธีรไนยเองก็คงจะไม่ไหว...

“ใจเย็นๆ ดิวะอิน ยังไงเราก็ช่วยไอ้รามได้น่า”

“แล้วถ้าอาเทพฆ่ามันก่อนล่ะ”

“อามึงคงไม่โง่ฆ่าหรอก เพราะมันยังทำให้มึงเจ็บได้อีกเยอะ ที่สำคัญนอกจากอาเทพจะแก้แค้นมึงแล้วกูว่ายังต้องการเงินจากมึงด้วย”

แม้จะดูโหดร้าย แต่ที่ธีรไนยพูดมันก็ถูก รามินทร์ยังใช้ทรมานอินทัชได้อีกเยอะ ฆ่ามันยังคงไม่สะใจสำหรับเทพากรแน่ๆ แล้วคนโลภมากแบบนั้น ยังไงเรื่องเงินก็ต้องมีเอี่ยวแน่ๆ

“เออ...”

“มึงได้บอกพ่อกับแม่ไหมวะ” ธีรไนยถาม

“ไม่ได้บอก กูไม่อยากให้ท่านกังวล แต่ถึงไม่บอก พ่อก็รู้อยู่ว่าอาเป็นยังไง ทำอะไร ที่ไหน” อินทัชทิ้งตัวนั่งกับโซฟา เอานิ้วมือนวดคลึงขมับตัวเอง “กูไม่อยากจะรบกวนมึงหรอกนะธีร์ แต่มึงเท่านั้นที่จะช่วยกูได้”

“เอาน่า คนของกูกำลังสืบหาที่อยู่ให้มึงอยู่ สบายใจได้ คนของไอ้พัฒน์ไม่เคยพลาด” ธีรไนตบบ่าเพื่อนรักให้กำลังใจผ่านการสัมผัสเบาๆ

“ขอบใจมึงมากนะ ฝากขอบคุณคุณพัฒน์ด้วย”

“เออ! มันช่วยมึงเต็มที่อยู่แล้ว มึงเองก็เถอะ อย่าลืมทำตามที่คุยกันไว้ เข้าใจนะ” ธีรไนยกำชับ ซึ่งอินทัชก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรง

“กูฝากมึงด้วยนะธีร์ ส่วนกูจะต้องเข้าบริษัทปกติ ทำงานด้วยความปกติ ไม่รู้สึกรู้สาทั้งๆ ที่ไอ้รามกำลังเจ็บ ใช่ไหม?” ร่างโปร่งถามเพื่อนสนิท

อินทัชพยายามขนาดไหนที่จะไม่อ่อนแอต่อหน้าเพื่อน แต่มันก็เริ่มทนไม่ไหวทุกที

“กูทำไม่ได้ว่ะธีร์ กูทำไม่ได้ กูเป็นห่วงไอ้ราม มันจะต้องเจ็บมากแน่ๆ สภาพมัน...ธีร์ มึงต้องหาไอ้รามให้เร็วๆ นะ กูกลัว...กูไม่น่าทะเลาะกับมันเลย”

อินทัชรู้สึกผิดที่ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกัน...เขาไล่มันกลับไป

ถ้าย้อนกลับไปได้...อินทัชจะพูดดีๆ

“กูสัญญา...เร็วๆ นี้แน่นอน”

“อย่าลืมโทรหากูนะ ได้เรื่องเมื่อไหร่ โทรหากูทันทีเลยนะ”

“อืม...วันนี้กูจะอยู่เป็นเพื่อนมึงเอง ไม่ต้องเครียดนะเว้ย”

ธีรไนยคว้าเพื่อนรักมากอดเอาไว้ เสียใจไม่ต่างกับที่อินทัชกำลังรู้สึก ส่วนร่างโปร่งที่กอดเพื่อนไม่ปล่อยก็ได้แต่หลับตาพยายามไม่นึกภาพที่รามินทร์ถูกทรมานนั่น...


เวลาผ่านไปสามวันนับจากวันนั้น อินทัชก็เข้าทำงานตามปกติ พยายามทำงานอย่างมีสมาธิที่สุด ไม่วอกแวก และเป็นสามวันที่อินทัชไม่ได้รับการติดต่อจากอาของเขาเลย คงเป็นเพราะว่าสัญญาโทรศัพท์จะทำให้ถูกตามตัวได้ง่ายด้วยนั่นแหละ

แล้วแบบนี้เขาจะรู้ไหมล่ะว่าเทพากรต้องการอะไร แล้วจะติดต่อมาวิธีไหน นอกจากส่งคลิปมาให้ดูแล้วก็เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ทุกครั้ง และก็ทำลายมันจนตามรอยไม่ได้เลย

สภาพใบหน้าที่หล่อเหลาของรามินทร์ เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล หน้าบวมมาก เขาจำเป็นต้องดูคลิปนั้นทุกๆ วัน โทรศัพท์เครื่องต่อหลายเครื่องพังไปด้วยน้ำมือของอินทัช

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“อิน!!!” ธีรไนยเคาะประตูห้องทำงานของอินทัชแล้วก็พรวดพราดเข้ามา คนที่นั่งทำงานอยู่รีบลุกขึ้นมาแล้วเดินไปหาเพื่อน มองเลยไปยังด้านหลังที่มีทั้งจุลจักร เจ้าจอม ขรรค์ หิรัญ แล้วก็พีรพัฒน์มาด้วย

ใบหน้าสวยหันมองหน้าทุกคนอย่างแปลกใจที่ทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ มันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่พร้อมใจกันมา

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมทุกคนถึงมาที่นี่”

“เจอที่กบดานแล้ว” ธีรไนยเป็นคนตอบ อินทัชยิ้มออกมานิดๆ หันมาสบตาเพื่อนสนิทอย่างรวดเร็ว

“งั้นก็บอกกูมาสิ”

“ไม่ได้ เราจะไปเลยโดยไม่วางแผนไม่ได้ คนของไอ้พัฒน์สืบเจอ ลูกน้องของอาเทพไม่เยอะก็จริงประมาณเจ็ดแปดคนแต่มีอาวุธทุกคน สุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป ไม่เราก็ไอ้รามที่ต้องตาย ใจเย็นๆ แล้วมานั่งวางแผนกันก่อน”

อินทัชกัดแฟน มองหน้ากับเจ้าจอมที่มีสีหน้าเป็นห่วงพี่ชายของตัวเองแล้วก็ยอมกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองคืน พีรพัฒน์ไปยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ห่างๆ เพราะไม่ค่อยชอบรวมกลุ่มเท่าไหร่ ธีรไนยก็ยืนกลางระหว่างโต๊ะทำงานกับโซฟาที่เจ้าจอมกับหิรัญนั่งอยู่ ส่วนขรรค์กับจุลจักรก็นั่งพิงตรงขอบโซฟาข้างๆ คนรักตัวเอง เว้นโซฟาไว้ที่หนึ่งเพื่อให้แขกอีกคนนั่ง

 “จะวางแผนยังไงก็ว่ามา”

“เดี๋ยวผู้กองเทียนจะมาที่นี่ คงอีกไม่เกินสิบนาที” ธีรไนยบอก อินทัชขมวดคิ้วแน่น สงสัยว่าคนชื่อเทียนคือใคร เพราะคนที่ดูแลคดีให้เขาไม่ได้มีชื่อว่าเทียน

“ใครวะ?”

“คนรู้จักของกู เป็นเพื่อนสนิทคุณดินคุณเพลิง”

“แล้วมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้วะ”

“กูกับผู้กองเทียนเนี่ย ทำงานร่วมกันมานานแล้วว่ะ ก็เลยขอให้เขามาช่วยเรื่องคดีของมึง”

“กูพอจะจำได้แล้วที่มึงบอกว่าเขาอยู่หน่วยปราบปรามพิเศษใช่ไหม แต่คดีกูมันเล็กๆ มากเลยนะถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบ มึงรบกวนเขาทำไมวะธีร์” อินทัชตำหนิเพื่อน

“ไม่เป็นไรหรอก คุณเทียนเขาเต็มใจที่จะช่วย”

ร่างโปร่งถอนหายใจ นั่งเคาะโต๊ะรออย่างใจร้อนมองไปที่ประตูห้องทำงานของตัวเองอยู่ตลอดเวลา

“คนของมึงว่ายังไงบ้าง”

“ไอ้รามมันยังไม่ตายหรอก แต่สภาพก็ตามที่มึงในคลิป ดีหน่อยที่ให้น้ำดื่ม แต่ข้าว...” ธีรไนยส่ายหน้าไม่ยอมพูดต่อให้จบ แค่นั้นก็ทำให้อินทัชเข้าใจทุกอย่างได้แล้ว

“กะเอาให้อดตายเลยเหรอ พี่ราม...จอมเป็นห่วงพี่ราม” เจ้าจอมโพล่งขึ้นมาเสียงสั่น อินทัชไม่กล้ามองหน้าน้อง ไม่กล้าสบตา เพราะเขารู้สึกผิด

ผิดที่เป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมด...

“พี่ขอโทษนะครับเจ้าจอม” อินทัชพูดเสียงเบา เจ้าจอมส่ายหน้าทั้งน้ำตา

“ไม่เลยครับ พี่ไม่ได้ผิด พี่อินไม่ได้ผิดอะไรเลย”

“แต่พี่เป็นต้นเหตุ”

“ไม่ครับ...พี่ไม่ใช่ต้นเหตุ และจอมก็เชื่อว่าพี่รามจะต้องไม่เป็นอะไร พี่รามเป็นคนดี เป็นคนดีมาโดยตลอด...” เจ้าจอมพูดอย่างมั่นใจ แม้ว่าความกังวลจะมีอยู่สูง แต่อย่างน้อยเขาก็เชื่อในความดีของพี่ชายตน

รามินทร์อาจจะไม่ใช่คนที่ดีมากร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องที่มันเลวร้าย...ถ้าไม่นับเรื่องที่เคยทำเอาไว้กับอินทัช

“พี่ก็เชื่อว่ามันต้องไม่เป็นไร”

เพราะพี่...จะต้องช่วยมันให้ได้ ช่วยด้วยน้ำมือของพี่เอง


“คุณอินจะต้องรอให้ทางนายเทพากรติดต่อมา ว่าทางนั้นต้องการใช้ตัวประกันเจรจาต่อรองเอาอะไรจากคุณ จากนั้นคุณจะต้องเอาสิ่งที่มันต้องการไปให้ ตอนนี้ทางนายเทพากรมีสภาพเป็นผู้ต้องหาอย่างเต็มตัวแล้ว เรามีหลักฐานที่จับกุมนายเทพากร ถ้าจะให้ตำรวจบุกเข้าจับเลยก็ต้องมีการชิงตัวประกันให้ปลอดภัยก่อน เรื่องนี้มันไม่ยากหรอกครับ เพียงแต่ว่า...”

อินทัชและทุกคนตั้งใจฟังในสิ่งที่ผู้กองเทียนพูดอย่างตั้งใจ รู้สึกมีความหวังที่จะเข้าไปช่วยรามินทร์ออกมาได้ พอผู้กองหยุดชะงักไป อินทัชก็เร่งเร้าเอาคำตอบ

“แต่ว่าอะไรครับ”

“ถ้าทีมผมพลาดให้พวกมันรู้...พวกมันอาจจะฆ่าตัวประกันทันที”

อินทัชหลับตาเอามือกุมขมับด้วยความเครียด...ขรรค์กับจุลจักรก็พยายามที่จะปลอบเจ้าจอมให้หายกลัว ส่วนหิรัญก็เดินมาหาร่างโปร่ง ลูบไหล่ของเขาเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

“ไม่เป็นไรนะ เราต้องทำได้”

“ครับ...” อินทัชตอบรับเบาๆ แล้วหันมาสบตากับผู้กองเทียนอีกครั้ง

“ผมไม่อยากบอกว่าทีมของผมคือมืออาชีพ ส่วนน้อยจะทำงานพลาดแล้วเรื่องเล็กๆ แบบชิงตัวประกันและจับกุมนี้ ทีมพวกผมก็ไม่เคยพลาด แต่คติของผมคือไม่ประมาท อะไรที่เป็นไปไม่ได้ ให้คิดว่าเป็นไปได้เสมอ”

“กูรับรองนะเว้ยอิน คุณเทียนไม่เคยทำงานพลาด เขาเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ แล้วแค่ไอ้พวกกระจอกเจ็ดแปดคนแค่นั้น คงไม่ยากอะไรนักหรอก” ธีรไนยที่ทำงานร่วมกับผู้กองเทียนมานานสบทบอีกคนเพื่อให้เพื่อนรักไว้วางใจ และอยากให้ทุกคนไว้วางใจด้วย

“ไม่ต้องห่วงนะอิน ผมจะเตรียมรถจากโรงพยาบาลของพ่อไปด้วย เผื่อมีอะไรฉุกเฉินเราจะคอยช่วยเหลือได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลารอรถโรงพยาบาลนาน” หิรัญพูดขึ้น ซึ่งผู้กองก็หันไปพยักหน้าให้

“ผมเห็นด้วยกับหมอเงินนะครับ ถ้าตกลงที่จะบุกชิงตัวและจับกุมเลย ผมจะประชุมทีมเพื่อวางแผนการแล้วดำเนินการคืนนี้เลย ยังไงซะ ทางเราก็รู้ที่ของมัน ภายใน ภายนอกหมดแล้ว แค่หาทางบุกเข้าไปก็เท่านั้นครับ”

“ถ้าคืนนี้ ผมขอไปด้วยนะครับ” อินทัชรีบพูดบอก

“มันอันตรายนะครับ ถ้าเกิดว่ามันมีการปะทะกัน”

“ผมพอใช้ปืนเป็น และป้องกันตัวเองได้ครับ”

“ไม่ต้องห่วงนะคุณเทียน เดี่ยวผมจะไปกับไอ้อินเอง” ธีรไนยอาสา ซึ่งผู้กองที่เคยเห็นฝีมือของธีรไนยมานับครั้งไม่ถ้วนก็พยักหน้ารับอย่างตกลง หากแต่มีคนไม่ตกลงด้วย...

“ถามกูหรือยัง?” พีรพัฒน์โพล่งขึ้นมาเสียงราบเรียบ ทำเอาธีรไนยลืมไปเลยว่าคนรักของตัวเองก็อยู่ด้วย หันไปขอร้องคนรักทางสายตา จนร่างสูงต้องถอนหายใจออกมา

“จริงๆ เรื่องนี้ไม่ต้องถึงมือตำรวจก็ได้”

“ให้ตำรวจจัดการน่ะถูกแล้วครับคุณพัฒน์ บ้านเมืองมีกฎหมาย คนทำความผิดตามกฎหมายก็ต้องให้กฎหมายจัดการ ไม่ใช่ทำตัวเป็นศาลเตี้ยพิพากษาใครต่อใครด้วยตัวเอง” ผู้กองพูดกับพีรพัฒน์ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง

“แล้วไม่ใช่เพราะผมหรือไงที่ทำให้คุณจับคนร้ายได้หลายครั้ง ถึงผมจะทำตัวเป็นศาลเตี้ย แต่ทั้งหมดก็เพื่อช่วยทางการอย่างที่คุณดินต้องการ หรือว่าไม่จริงครับ?” เป็นครั้งแรกที่อินทัชเห็นพีรพัฒน์พูดยาวและเยอะขนาดนี้

ผู้กองเถียงไม่ออก จ้องหน้าของพีรพัฒน์อย่างไม่ค่อยพอใจนัก ส่วนธีรไนยก็รีบปรามคนรักตัวเองไม่ให้พูดไปมากกว่านี้

“พอเถอะนะ ทั้งคู่เลย เจอกันทีไรก็เถียงกันทุกที เบื่อ...ดูสถานการณ์บ้าง เพื่อนของกูกำลังเครียดนะเว้ย”

“เออ!!” ร่างสูงมองออกไปยังด้านนอกอย่างไม่พอใจ ธีรไนยส่ายหน้าไปมาแล้วหันมาคุยกับเพื่อนต่อ

“เอาไงมึง”

“ให้ผู้กองจัดการเลยครับ แต่ผมขอไปด้วย” อินทัชว่า

“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นประมาณเที่ยงคืนเจอกันที่จุดนัดพบ แต่จุดนัดพบผมจะบอกอีกทีนะครับ ต้องไปวางแผนกับลูกน้องในทีมก่อน แล้วผมก็อนุญาตให้ไปได้แค่คุณอินกับธีร์นะครับ อ้อ...หรือคุณพัฒน์จะไปเฝ้าธีร์ก็ได้นะครับ ผมไม่ว่า” ไม่วายหันไปแขวะพีรพัฒน์ที่ยืนนิ่งๆ หากแต่ร่างสูงก็ไม่ได้สนใจจะตอบโต้กลับ เพราะรู้ดีว่าผู้กองเทียนต้องการจะหลอกใช้เขาก็เท่านั้น

เสียใจด้วย คนอย่างพีรพัฒน์ ไม่ว่าใครก็หลอกไม่ได้

“โอเคครับ” เจ้าของห้องตอบตกลง ส่วนคนที่อยากจะไปด้วยอย่างเจ้าจอม จุลจักร ขรรค์ ก็คงจะไปได้แค่จุดที่รถโรงพยาบาลของหิรัญจะไปแสตนบายรอเท่านั้น ไม่เป็นไร แค่นั้นก็ดีแล้ว...ดีกว่ารออยู่ที่บ้านเฉยๆ

“ส่วนจุดจอดรถโรงพยาบาลผมจะบอกหมอเงินอีกครั้งนะครับ”

“ได้ครับ” หิรัญรับคำอย่างจริงจัง มองหน้าของอินทัชด้วยความเป็นห่วง ส่วนธีรไนยก็เดินมายืนอยู่ตรงหน้าของอินทัช ลูบศีรษะของเพื่อนรัก เป็นการกระทำที่ดูเหมือนทำกับเด็ก แต่ธีรไนยก็ทำแบบนี้มาโดยตลอดตอนที่อินทัชกำลังเจอกับเรื่องไม่สบายใจ

“ทุกอย่างมันต้องจบในคืนนี้!”

อินทัชต้องการช่วยรามินทร์ออกมาให้ไวที่สุด ต้องการให้เห็นกับตาว่ารามินทร์ไม่เป็นอะไร ปลอดภัย แล้วก็กลับมาตื๊อ มากวนกันต่อสักที

เพราะถ้าผ่านวันนี้ไปได้ด้วยดี เขาจะไม่ให้รามินทร์พิสูจน์หรือทดสอบอะไรแล้ว...

เขารู้แล้ว...ว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่ ตอนไหนก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ล่วงหน้าเลย เพราะฉะนั้น ก่อนที่อะไรจะสายไป อินทัชก็ขอให้ตัวเองมีความสุขแล้วก็คนที่เขารักมีความสุข...

มันจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง...


รามินทร์นอนหมดเรี่ยวแรงและเจ็บปวดรวดร้าวไปตามร่างกายเมื่อขยับ ไม่มีตรงไหนของร่างกายที่จะไม่มีบาดแผลเลย ถึงไม่มีแผลก็ช้ำเขียว

“อึก...โอ้ย!” รามินทร์ร้องออกมาเบาๆ เมื่อพยามที่จะขยับตัวนั่ง ส่วนไอ้สองคนที่เฝ้าเขาอยู่ข้างในก็หลับไปแล้ว แต่ถึงจะหลับไป รามินทร์ก็ไม่มีทางที่จะหนีได้เลย เพราะโซ่ยังอยู่ที่ขาของเขา แม้ว่าพวกมันจะใจดียอมแก้มัดมือให้เขาแต่ก็ใช่ว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้

รามินทร์คิดว่าตัวเองจะต้องตายอยู่ที่นี่แล้วล่ะ...

“อิน...”

คนที่รามินทร์คิดถึงอยู่ตลอดเวลาคือพ่อกับน้องสาว และคนที่รามินทร์รักมากที่สุดอย่างอินทัช เขาอยากเห็นหน้าอยากได้ยินเสียง ยังมีเรื่องที่อยากทำอีกมาก เขาไม่อยากตาย...แต่ถ้าต้องตาย...

เขาก็คงจะตายตาไม่หลับ

รามินทร์คิดว่าที่เขาโดนแบบนี้มันเป็นเวรกรรม เป็นกรรมที่เขาต้องชดใช้...เพราะสิ่งที่เขาทำกับอินทัช มันหนักหนาสาหัสกว่านี้มาก...

กูโดนทรมานแค่ร่างกาย แต่กับมึง กูทำร้ายทั้งกายและใจ...มันก็เป็นเวรรกรรมที่ตามสนองกูแล้วล่ะ 

“ไง...ตายห่าไปหรือยัง” เทพากรเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าที่ดูสะใจ

“หึ” รามินทร์ทำได้แค่ส่งเสียงขึ้นจมูกเท่านั้น ไม่อยากจะพูดให้เจ็บปากและไม่อยากให้ตัวเองโดนซ้อมไปมากกว่านี้...ไม่งั้นก็คงจะตายเร็วขึ้นไปอีก

รามินทร์ยังอยากมีชีวิตอยู่เพราะมันยังมีอะไรที่เขายังไม่ได้ทำอีกเยอะมาก และยังมีอะไรที่เขาอยากจะทำกับคนที่เขารักอยู่อีก...

อยากแก่ตาย...ไม่ใช่ว่าอยากโดนฆ่าตาย

“เฮ้ย!! ฉันจ้างพวกแกมานอนเล่นหรือไงวะ” เทพากรตะโกนเสียงดังที่เห็นลูกน้องสองคนที่มีหน้าที่ในการเฝ้ารามินทร์ด้านในจนสะดุ้งลุกขึ้นยืนอย่างกลัวๆ

“ข่ะ ขอโทษครับนาย”

ก็เล่นใช้งานทั้งวันทั้งคืนไม่ให้พักผ่อนแบบนี้ ใครที่ไหนจะไปฝืนเปลือกตาตัวเองได้กันล่ะ...

“พวกแกอย่าทำพลาดก็แล้วกัน ไม่รู้หรือไงว่าไอ้อินมันทำอะไรได้บ้าง ยิ่งเพื่อนสนิทมันอย่างไอ้ธีร์น่ะ น่ากลัวกว่าไอ้อินเยอะ มันต้องให้ไอ้ธีร์หาฉันอยู่แน่ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะรู้วันไหนที่มันจะรู้ว่าเรากบดานอยู่ที่นี่!! แล้วตำรวจก็กำลังตามจับฉันอยู่” เทพากรพูดกับลูกน้อง

รามินทร์หัวเราะในใจ ภาวนาให้มันโดนจับไวๆ

“แต่ว่ามันก็ไม่ได้ประกาศจับไม่ใช่หรือครับ ยังไงก็ยากที่จะตามตัวเราอยู่แล้ว”

“ที่มันไม่ประกาศเพราะกลัวว่าตระกูลของพวกมันจะเสียชื่อไง แต่เรื่องที่ฉันสั่งฆ่ามัน แล้วเอาไอ้นั่นมาซ้อม หลักฐานก็มัดตัวฉันทุกอย่างแล้ว!!”

เทพากรใจร้อนวู่วามเอง เพราะอินทัชระวังตัวเองเก่งก็เลยทำไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ เทพากรเลยตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นโดนที่อาจจะไม่ใช่เป็นทางที่ดีที่สุด และอาจจะทำให้เขาพลาดท่าง่ายๆ อย่างน้อยก็ขอให้อินทัชมันเจ็บปวดที่สุด

“วันนี้ฉันจะจบความแค้นที่ฉันมีกับมัน!!”

“นายจะทำอะไรครับ”

“นัดมันมาไง!!!” เทพากรประกาศกร้าว ทำเอารามินทร์รีบห้าม

“อย่านะเว้ย อึก แก...ก็ทำฉันแล้วไง”

“แต่แกกับมัน มันคนละคนกัน!!” เทพากรตะคอกใส่หน้าของร่างสูง ก่อนจะกระชากคอเสื้อของร่างสูงขึ้นมาจนแทบจะหายใจไม่ออก

“อึก...”

“ถ้าจะให้สะใจต้องทำให้มันเห็น...หึหึ แกนี่มันมีประโยชน์กว่าที่ฉันคิดนะ”

“ชั่ว!!! นั่นหลานแท้ๆ แกนะ!”

“กูไม่เคยมีหลาน!!!” เทพากรตะคอก “มันเป็นตัวซวย เป็นตัววิบัติ เป็นตัวขัดความเจริญของกู!!!”

ปัก!!

“โอ้ย!!” ร่างของรามินทร์กระแทกที่พื้นซ้ำกับรอยช้ำเดิมตามตัว จนต้องร้องด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าเหยเก บิดเบี้ยวไม่มีเค้าของความหล่อให้เห็นเลยสักนิด

“เอาโทรศัพท์มา ฉันจะติดต่อไปหาไอ้อิน”

ผ่าง!!

“ไม่ต้อง!! ผมมาแล้ว!!!” อินทัชเปิดประตูโรงงานเข้ามาพร้อมด้วยธีรไนยกับผู้กองเทียน เทพากรรีบเอาปืนที่เสียบไว้ด้านหลังออกมาพร้อมยิงใส่ทั้งสามคน ส่วนลูกน้องของเทพากรคนหนึ่งก็เล็งปืนไปที่รามินทร์เอาไว้ หากสามคนคิดจะทำอะไรก็ต้องระวังรามินทร์ไว้

“แก!! หาที่นี่เจอได้ยังไง” เทพากรถามอย่างโกรธๆ

“อาไม่รู้เหรอครับ ว่าไม่มีอะไรเกินความสามารถของผม” ธีรไนยเป็นคนตอบแทน ทำเอาเทพากรหันไปจ้องหน้าคนพูดอย่างโกรธแค้น

เขาเกลียดธีรไนยพอๆ กับเกลียดอินทัช เพราะไม่ว่าอะไรก็มักจะมีมันมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ

“พวกแกนี่มัน!! เอาสิ จะมาจับฉันใช่เหรอ ฉันจะยอมให้จับก็ได้ แต่หลังจากที่ฉันฆ่าไอ้เหี้ยนี่ก่อน”

ในจังหวะที่เทพากรเปลี่ยนทิศทางของกระบอกปืนไปยังรามินทร์ ก็ทำให้ทางอินทัชคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงต่อไป เขาขยับตัวเพื่อที่จะเข้าไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักเอาไว้ เพราะถ้าเขาหุนหันพลันแล่น อาจจะทำให้สถานการณ์มันแย่ก็ได้

“วางปืนของพวกแกลงซะ ไม่งั้นกูฆ่าคนที่แกรักแน่ๆ ไอ้อิน” ผู้เป็นอาสั่ง

“อย่า...อย่าทำ” รามินทร์ส่ายหน้า พูดบอกอินทัชเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้

ดวงตาสวยสบเข้ากับร่างสูงด้วยความเป็นห่วงมองสำรวจร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลจนความรู้สึกโกรธตีขึ้นหน้า มองอาของตัวเองด้วยสายตาแข็งกร้าว

ผลัวะ!!!

“โอ๊ย!!”

“อาเทพ!!!”

เสียงร้องของรามินทร์ดังพร้อมๆ กับที่อินทัชเรียกอาของตน หลังจากที่เทพากรใช้ปืนฟาดที่หน้าของรามินทร์ อินทัชแทบจะถลาเข้าไปหา หากไม่ได้ผู้กองดึงเอาไว้ได้ทัน

“ใจเย็นๆ ครับ ทำตามแผน” ผู้กองกระซิบเสียงเบา อินทัชกัดฟันอดทนนึกถึงแผนการที่เตรียมเอาไว้ก่อนจะเข้ามาที่นี่...มันเป็นแผนที่เพิ่งประชุมกะทันหันเมื่อกี้นี้ก่อนจะเข้ามาไม่กี่นาทีเพราะได้ยินว่าเทพากรต้องการจะเจอกับอินทัชตอนดักฟังอยู่ข้างนอก




มีต่อ
V
V
V

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
ตอนที่ 62 ครึ่งหลัง




‘ให้ทำเป็นจนตรอก ให้มันนึกว่าเราทำผิดแผน แล้วก็ยอมตามที่มันต้องการ จากนั้นเราก็หาทางช่วยตัวประกันให้ปลอดภัยก่อน แล้วทีมของผมจะเข้าจู่โจมทันที’

‘แล้วจะช่วยไอ้รามยังล่ะผู้กอง’

‘เราไม่เห็นสถานการณ์ข้างใน’

‘หมายความว่าต้องไปคิดข้างในอีกงั้นเหรอครับ’

‘ก็ประมาณนั้นครับ’

ตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเข้าไปช่วยรามินทร์ยังไง เพราะปืนจ่อพร้อมยิงรามินทร์อยู่แบบนั้น

“พวกเรายอมแล้วครับ” ร่างโปร่งพร้อมด้วยธีรไนยกับผู้กองยกมือขึ้นแล้วค่อยๆ นั่งลงวางปืนลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเตะมันออกไปห่างๆ ตัวทั้งหมด

“ดี...”

“ผมว่าเรื่องของเราก็มาสะสางเฉพาะเราสองคนดีกว่าครับอา อย่าเอาคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเลย เพราะถ้าผมตายเพราะถูกอาฆ่าจะได้ไม่ต้องมีคดีหลายคดีติดตัวนัก” อินทัชต่อรอง

“แกคิดว่าฉันโง่หรือไงไอ้อิน”

“เปล่า...ผมไม่ได้คิดว่าอาโง่ แต่อาก็คงฉลาดพอที่จะยอมรับข้อเสนอของผม”

“ข้อเสนออะไร”

“ร้อยล้านแลกกับการปล่อยไอ้ราม” รามินทร์พยายามที่จะลุกขึ้นจากพื้น แล้วส่งสายตาห้ามปรามไม่ให้อินทัชทำแบบนั้น แต่ร่างโปร่งก็ไม่ได้สนใจมองเพราะเดี๋ยวความอ่อนไหวของตัวเองจะทำเรื่องพัง

มันจะเสียแผนอีกไม่ได้...

เขาจะต้องช่วยรามินทร์ให้ได้

“หึหึ...ก็เยอะดี แต่พอฉันปล่อยพวกแกไป ตำรวจก็ตามล่าฉันอยู่ดี” เทพากรพูดอย่างรู้ทัน ซึ่งอินทัชก็รู้อยู่แล้วว่าอาของตนไม่ได้โง่ แต่ก็ไม่ได้ฉลาดทุกเรื่อง

“ถ้างั้นอาจะเอาไง”

“สิ่งที่ฉันต้องการตอนนี้ไม่ใช่เงินอีกแล้ว”

“แล้วอาต้องการอะไร” ธีรไนยถาม

“ฉันต้องการทำให้แกเจ็บปวดที่สุดไงไอ้อิน” เทพากรแสยะยิ้ม มองหน้าร่างโปร่งบางอย่างเหนือกว่า อินทัชหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้กองเทียนที่ตอนนี้เป้นความหวังหนึ่งเดียวที่จะช่วยรามินทร์ออกไปจากที่นี่ได้

“พวกแกสองคนไปคุมไอ้ตำรวจกับไอ้ธีร์เอาไว้”

“ครับ”

ลูกน้องทั้งสองรีบวิ่งตรงมาทางพวกเขาก่อนจะล็อกแขนของธีรไนยและผู้กองเทียนเอาไว้อย่างแน่นหนา อินทัชแอบยิ้มนิดๆ เท่ากับว่าตอนนี้ปราการที่จะเข้าถึงตัวของรามินทร์ลดลงไปแล้ว

อินทัชค่อยๆ เดินไปหาอาของตนอย่างช้าๆ ส่วนเทพากรก็ไม่ได้คิดกลัวอะไร มองหน้ารามินทร์ที่ดูเจ็บปวดอย่างสะใจที่สุด

“แกดูสภาพคนที่แกรักสิอิน ชอบไหม ฉันทำเพื่อแกเลยนะ” เทพากรใช้ขาเตะเข้าที่ลำตัวของรามินทร์จนคนที่นอนอยู่กับพื้นร้องด้วยความเจ็บ

มือขาวกำหมัดเอาไว้แน่น พยายามระงับอารมณ์ของตัวเองให้ใจเย็นแล้วทำตามแผนที่ผู้กองเทียนแอบกระซิบก่อนที่พวกลูกน้องของเทพากรจะไปคุมตัวไว้

‘เข้าใกล้ให้ได้มากที่สุดแล้วหาจังหวะจัดการทำช่วยตัวประกัน ผมกับธีร์จะจัดการไอ้สองคนนั่น แล้วส่งสัญญาณเรียกลูกน้องผมให้เข้ามาจับกุม’

“ไอ้ชั่ว!! ถุย!!!” รามินทร์ด่าก่อนจะถ่มน้ำลายที่มีเลือดลงพื้น เทพากรก้มลงมองหน้าของรามินทร์อย่างโมโหที่โดนทำแบบนั้นใส่ มันเหมือนหยามกัน เทพากรลืมตัวย่อตัวลงไปกระชากคอเสื้อของรามินทร์มาอย่างไม่ทันระวังตัว

“ตอนนี้แหละ!!!” เสียงของผู้กองเทียนตะโกนบอก ทำให้ร่างโปร่งรีบวิ่งเข้าไปถีบอาของตนออกจากรามินทร์เต็มแรงจนคนเป็นอากระเด็นออกไปห่างๆ พร้อมกับปืนที่หล่นออกจากมือเจ้าของเขา

ผลัวะ!!!

ธีรไนยกับผู้กองก็จัดการสองคนนั้นจนสลบไป อินทัชถลาเข้าไปหารามินทร์ทันทีด้วยความเป็นห่วง

“ไอ้อิน!!!” เทพากรทำท่าจะเข้าไปซัดอินทัชหากแต่ผู้กองเทียนที่หยิบปืนของตัวเองมายิงสกัดเอาไว้ก่อน

ปัง!!!

“คุณถูกจับแล้ว คุณเทพากร!!!” พูดจบก็ผิวปากส่งสัญญาณให้ทุกน้องสามคนเข้ามาด้านในเพื่อจัดการจับกุมผู้ต้องหา

เทพากรมองแผ่นหลังของอินทัชด้วยความโกรธแค้นหนักเข้าไปอีก แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามที่ตำรวจพาออกไป ด้านในก็เลยเหลือแค่อินทัช รามินทร์และธีรไนย

“ธีร์ตามรถโรงพยาบาลเร็ว”

“กูตามแล้ว กำลังจะเข้ามา”

“เออๆ ราม มึงเป็นไงบ้าง” ถามอย่างเป็นห่วง ไม่กล้าถูกตัวรามินทร์แรงเพราะกลัวว่าร่างสูงจะเจ็บเข้าไปอีก

“ม่ะ...ไม่เป็นไร” รามินทร์ตอบอย่างยากลำบากแต่ก็ยิ้มให้อินทัชเพื่อไม่ให้คนที่ตนรักเป็นห่วง

 ร่างโปร่งน้ำตาคลอเบ้าตา รู้สึกเจ็บแทนรามินทร์

“กูขอโทษนะราม เป็นเพราะกู ที่ทำให้มึงมาเจอเรื่องแบบนี้”

“ไม่...กูยินดีโดน อึก แทนมึง”

แค่มึงปลอดภัย แค่มึงไม่เป็นไร

แค่นั้นที่รามินทร์ต้องการ

“ไม่ดีเลย ฮึก...กูต้องเสียใจตลอดชีวิตแน่ๆ ถ้ามึงเป็นอะไรไปน่ะ” ร่างโปร่งบางเสียงสั่น ธีรไนยมองทั้งสองคนอย่างเป็นห่วงและสงสาร เอาปืนมายิงโซ่ที่ขาของรามมินทร์ออกไป

ปัง!!!

“ไอ้ราม!!!” อินทัชตะโกนเรียกชื่อเมื่อเห็นว่าคนตัวใหญ่สลบไป

“ใจเย็นๆ อิน มันแค่สลบเพราะเพลียน่ะ”

“รถใกล้ถึงยังวะ”

“มันจอดอยู่ไม่ไกลหรอก เดี๋ยวก็ถึง ใจเย็นๆ นะ”

อินทัชมองหน้ารามินทร์อย่างที่ไม่ไว้วางใจจนกว่าที่จะให้หมอได้ตรวจอย่างละเอียดที่สุดก่อนว่ารามินทร์ไม่เป็นอะไร เขาถึงจะสบายใจได้

สักพักรถโรงพยาบาลก็เข้ามา ทีมแพทย์ลงมาช่วยพารามินทร์ขึ้นไปบนรถเพื่อนำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยมีอินทัชกับหิรัญแล้วบุรุษพยาบาลอื่นๆ อยู่แค่นั้น นอกนั้นก็ขับรถตามมาอีกที

“มันจะไม่เป็นไรใช่ไหมหมอ” อินทัชถามอย่างกังวล

“ไม่เป็นครับ จะต้องไม่เป็นไร”

“หมอเงิน...ผมกลัว”

“ไม่ต้องกลัวนะอิน คุณรามต้องไม่เป็นอะไร”

อินทัชห้ามน้ำตาของตัวเองเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ตลอดทางที่เดินทางไปโรงพยาบาล อินทัชนั่งกุมมือใหญ่อยู่ไม่ปล่อย จนกระทั่งถึงโรงพยาบาลแล้วเข้าห้องฉุกเฉินไป...

ร่างโปร่งบางนั่งอยู่กับหิรัญอย่างกระวนกระวายใจ เป็นห่วงคนในห้องฉุกเฉิน แล้วไม่นาน ทุกคนก็มารวมตัวกันที่หน้าห้องฉุกเฉินทั้งหมด เจ้าจอมนั่งร้องไห้อยู่กับจุลจักร ส่วนขรรค์ก็เดินไปมาอย่างเป็นกังวล ธีรไนยก็นั่งให้กำลังใจเพื่อนรักอยู่ไม่ห่าง...

...

...


“พี่ไม่คิดเลยว่าแกจะทำกับหลานของตัวเองได้ขนาดนี้”

ผู้เป็นพี่ชายหรืออีกฐานะหนึ่งก็คือพ่อของอินทัชกำลังต่อว่าน้องชายผ่านกรงขังที่ขวางกั้นเราทั้งคู่เอาไว้อยู่ เทพากรมองพี่ชายตัวเองด้วยความโกรธ...

มือหนากำหมัดแน่น ความคับแค้นใจที่มีต่ออินทัชยิ่งสั่งสมเข้าไปอีก แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางที่จะแก้แค้นได้อีกแล้ว เพราะเทพากรคงจะแหกคุกออกไปไม่ได้แน่ๆ

“มันไม่ใช่หลานของฉัน!!” เทพากรตลาดใส่พี่ชายของตัวเอง ส่วนผู้เป็นภรรยาก็เอาแต่ร้องไห้เสียใจที่น้องชายที่เธอเห็นเหมือนเป็นน้องแท้ๆ จะกล้าทำกับลูกชายของเธอได้แบบนี้

อาที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับอินทัช อยากจะฆ่าหลานของตัวเองให้ตายด้วยน้ำมือของตน

“อินไปทำอะไรให้เทพ?”

“มันแย่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะเป็นของฉันไป มันเป็นตัวขัดขวางความรวยของฉัน มันทำลายชีวิตของฉัน!! มันทำลายอนาคตที่สวยงามของฉัน!! มันสมควรตาย มันไม่สมควรเกิดมาตั้งแต่แรก!!!”

ตอนที่พี่ชายกับพี่สะใภ้ให้กำเนิดลูกคนแรกเป็นผู้หญิงก็คืออาทิมาหรือชื่อเล่นคือแอน พี่สาวของอินทัช เทพากรก็มีความสุขดีใจที่เป็นลูกสาวเพราะโอกาสที่จะต้องมาดูแลบริษัทมันมีน้อย แต่แล้วพี่สะใภ้ก็ตั้งท้องอีกครั้งโดยครั้งนี้เป็นลูกชายก็รู้ทันทีว่า ทุกสิ่งที่อย่างของชยอัมรินทร์ต้องเป็นของเด็กคนนี้แน่ๆ

เทพากรก็เลยจงเกลียดจงชังหลานชายในไส้ของตัวเองตั้งแต่มันอยู่ในท้องของพี่สะใภ้แล้ว

“นายก็ได้ในส่วนของนายไปแล้ว บริษัทของพี่พี่ก็ต้องให้ลูกชายของพี่ ทำไมต้องอยากได้ ของเทพก็มีแต่ก็ดูแลไม่ได้จนถูกยึดไปเอง ทำไมต้องจงเกลียดจงชังหลานด้วย”

เทพากรไม่ตอบอะไรแล้วทั้งนั้น นั่งเงียบๆ นิ่งๆ ไม่สนใจใคร จนเขาและภรรยาเดินออกไปในที่สุด

“อาเทพเป็นไงบ้างคะพ่อ” อาทิมาถามผู้เป็นพ่อ เพราะไม่ได้เข้าไปเยี่ยมผู้เป็นอาด้วย เพราะรับไม่ได้ในสิ่งที่อาทำกับน้องชายของเธอ

เธอโกรธ...โกรธจนไม่อยากจะเห็นหน้า

“ก็หนักกว่าที่คิด หลายคดีด้วยนะลูก”

“ไม่น่าเลยนะคะ”

“พ่อก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามกรรมของคนที่สร้างมันน่ะ” ไม่ใช่ว่าไม่โกรธที่น้องชายคิดจะฆ่าลูกชายของเขาแต่เทพากรก็เป็นน้องชายสายเลือดเดียวกัน จะโกรธจะเกลียดกัน ก็ทำไม่ได้

ยังไงน้องก็คือน้อง...

“น้องเป็นไงบ้างคะ”

“ธีร์บอกว่าปลอดภัยดีจ้ะ แต่คนรักของน้อง...” ผู้เป็นแม่ตอบลูกสาว มีสีหน้าลำบากใจที่จะพูดถึงอาการของคนรักของลูกชาย

“ทำไมคะ?” เธอทำหน้าฉงนใจ

“อาการหนักอยู่นะลูก”

“แล้วน้องจะเป็นยังไงบ้างล่ะคะ แอนเป็นห่วงความรู้สึกของอินจริงๆ” หญิงสาวเครียด คิดถึงความรู้สึกของน้องชายตัวเองที่ตอนนี้คงกำลังเสียขวัญอยู่แน่ๆ

“แม่ให้ตาธีร์ช่วยดูแลแล้วล่ะลูก”

“แอนหวังว่าน้องจะเจอเรื่องร้ายๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายนะคะ”

“จ้ะ”

อินทัชควรจะมีความสุขจริงๆ จังๆ ได้แล้ว...หลังจากที่เหนื่อยและทำเพื่อครอบครัวมานาน ต้องเจอปัญหามากมายไม่หยุด ตอนนี้ก็ขอให้หมดเพียงแค่นี้เถอะ...ผู้เป็นพ่อแม่และพี่สาวก็ได้แต่ภาวนา





100%

 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

อ่านยาวๆ กันไปค่ะ มีอีกตอนนะคะ ไปหน้าถัดไปเลยจ้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด