กลลับ พรางรัก บทที่25(จบ) 26/10/15
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กลลับ พรางรัก บทที่25(จบ) 26/10/15  (อ่าน 13110 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************





กลลับ พรางรัก





********************





มาแปะรูปอิมเมจเพิ่มจ้า

<<แนะนำพระ-นายประจำเรื่อง>>






Porch (พอร์ช) จิรกาล เศรษฐสวัสดิ์ : เป็นบุคคลซึ่งไม่ค่อยกลัวใคร ตรงไปตรงมา ไม่พูดอ้อมค้อม 
จะทำอะไรก็ทำเลย ดูเลือดร้อนแต่ก็เป็นคนใจดี อ่อนโยน (แต่ก็ไม่ค่อยแสดงออก...) นิสัยเหมือนแมว




Arm (อาร์ม) วัชระ อลงกต : ผู้ชายสไตล์อบอุ่น ละมุนละไม ยอมให้พอร์ชตลอดๆ
ขี้อ้อนสุดๆ(กับคนที่ชอบ)


รูปทั้งหมดทั้งมวลนี้เราวาดเอง รบกวนอย่านำไปเผยแพร่/แอบอ้างนะคะ^^


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2017 23:03:04 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่1
«ตอบ #1 เมื่อ03-08-2015 20:03:24 »

บทที่ 1

     ปัง! ปัง! ปัง!

     เอาอีกแล้ว....มันมาอีกแล้ว ไม่รู้หรือไงว่าคนเค้าจะหลับจะนอนกัน... แต่ก็นะ...ถึงเสียงจะดังแค่ไหน ผมก็ได้แต่ข่มอารมณ์แกล้งเมิน เอาผ้านวมปิดหูคลุมโปงกันเสียงดังน่ารำคาญนั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้

     ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

     ...คราวนี้มันมาอีกชุดแล้วครับ แต่เสียงดังกว่าเดิมอีก...โอ๊ย! ถ้าแค่คืนเดียวผมยังพอทน แต่นี่มันเกือบทุกคืน! ประสาทผมจะรับประทานอยู่แล้ว...ตอนแรกๆผมก็หลอนคิดไปสารพัด คิดว่าเป็นสิ่งลี้ลับบ้าง พวกโรคจิตบ้าง แต่มาคิดดูอีกที ห้องผมก็อยู่ชั้น 17 คอนโดก็สร้างใหม่ไม่เคยมีประวัติใครตายอนาถแถวนี้ด้วย ฮวงจุ้ยก็ออกจะดี ระบบรักษาความปลอดภัยก็ค่อนข้างดี มันก็ไม่น่าจะมีอะไรแบบนั้นได้
     แล้วในคืนต่อๆมาผมถึงได้รู้ว่าต้นเหตุเสียงเคาะประตูรบกวนการนอนผมแทบทุกคืนมาจากไหน....มันไม่ใช่ใครอื่นเลย นอกจากคนเมาอาละวาดเที่ยวเคาะประตูห้องผม...ประเด็นคือห้องอื่นและห้องมันเองมันไม่เคาะ  เสือกเคาะห้องผมห้องเดียว!
     มันก็เป็นไปได้นะว่าห้องผมอยู่ข้างๆห้องมัน ก็อาจเคาะผิดห้องได้ แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือ ทำไมมันจะเคาะผิดห้องได้ทุกวันเลยหรือไง??? แต่ผมก็ถือหลักเมินเฉย ขันติ สันติอยู่อย่างเงียบๆ ทุกคืนที่โดนรบกวนผมก็ท่องทุกครั้งว่า อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมามาตลอด
     แต่ก็นะ....คนมันไม่ใช่พระอิฐพระปูน จะให้ทนได้ตลอดไป อภัยสัตว์โลกได้ตลอดไปขนาดนั้นก็ไปบวชพระเถอะ...ถ้าไม่ไปเคลียร์กับมันก็มารบกวนคนอื่นเค้าแบบนี้นี่แหละ

“ห่าซี!เปิดประตูหน่อยดิ๊!”....ใครคือซีไม่ทราบวะครับ? อีกเรื่องที่ผมจะบอกคือแต่ละครั้งที่มันมาเคาะประตูห้องผม ชื่อแต่ละชื่อที่ออกมาจากปากมันไม่เคยซ้ำกันเลยครับ

“.....”...ตอนนี้เงียบไว้ก่อนครับ พรุ่งนี้ค่อยไปคิดบัญชีรวบยอดไปเลย แต่ถ้าผมจะย่องไปตีหัวคนเมาสักทีสองทีก็คงไม่มีใครว่า ...แต่...ให้เลือกระหว่างนอนพักผ่อนสบายๆในวันหยุดแต่โดนเสียงรบกวนนิดๆหน่อยๆกับลุกไปทะเลาะกับคนบ้าให้ปวดหัวเล่น...ผมเลือกนอนดีกว่า นอนไปเดี๋ยวทุกอย่างก็ไม่มารบกวนผมแล้ว

บาย...ราตรีสวัสดิ์ นอนตายหน้าห้องไปนะครับ (ไอ้)คุณคนข้างห้อง












     ตึ้ด  ตึ้ด  ตึ้ด

     เสียงจากมือถือดังปลุก 2-3 ครั้งแล้วก็เงียบลงไปด้วยมือผม...หลังจากที่เสียงปลุกเงียบไปแล้ว แต่มือผมก็ยังวางคาแหมะอยู่บนมือถือที่ตำแหน่งเดิมนั่นแหละ...อารมณ์สะลึมสะลืออยากนอนต่ออีกสัก 5 นาที 10 นาที...อยากงีบก่อนแป๊บนึงค่อยตื่น

     ขอเวลาให้ผมสตาร์ทเครื่อง รอสมองโหลดข้อมูลสักครู่... โอเคครับ สติผมกลับมา 60 เปอร์เซ็นต์แล้ว ผมลุกขึ้นทั้งๆที่ตายังปิดอยู่ เดินเบลอๆไปจนเอามือวักน้ำเย็น สาดโครมปะทะเข้าใบหน้า ผมถึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกหน่อย สติกลับมาอยู่ที่ 75 เปอร์เซ็นต์
     กิจวัตรที่จะทำต่อไปคือ อาบน้ำ กินข้าวตามที่มนุษย์ชาวโลกปกติเขาทำกัน แต่ก็รู้สึกขาดๆหลงลืมอะไรบางอย่างไป  จัดเตียง? ก็จัดไปแล้วนี่หว่า? แล้วจะทำอะไรวะ...รู้สึกเลอะเลือนชอบกล

     ...แกร๊ก...

เปิดประตูเท่านั้นแหละ ผมถึงระลึกชาติออกว่าผมจะทำอะไร...เอาละสติผมกลับมาเกินพันเปอร์เซ็นต์แล้ว

ไอ้ซากศพที่นอนตายอยู่หน้าห้องผมเนี่ยแหละที่ผมต้องจัดการ

“คุณ...นี่คุณ”ผมลองเรียกดูแต่มันก็ยังนิ่งสนิทจนผมนึกว่ามันตายสนิทไปแล้วถ้ามันไม่ทำหน้าฝันหวาน หายใจเข้าออกเป็นจังหวะนะ

“คุณ...คุณ...ตื่นได้แล้ว”ผมลงทุนลงไปเขย่าตัว ตอนแรกก็กะว่าจะใช้ตีนเขี่ยแล้วนะ แต่มันคงดีไม่ดีไม่งามเท่าไหร่ เลยเขย่าเรียกแทน

“อืม...แป๊บนึงนะไอ้ต้า...”มันพูดงึมงำแล้วพลิกตัวหาท่านอนที่สบายตัวที่สุด...ว่าแต่ต้าไหนอีกวะนั่น???

“คุณ นี่มันหน้าห้องผม...ตื่นนนนน”ผมเขย่ามันหัวแทบหลุด ผลที่ได้คือ มันตื่นครับ

“.....”มันมองรอบๆ ก่อนมองหน้าผมงงๆ หน้าตาเบลอยิ่งกว่าผมตอนตื่นนอน จ้องตากันสักพักมันก็ลุกขึ้น...เดิน...เข้าห้องผม...ย้ำว่าเข้าห้องผม!(ขอเน้นตัวหนา)

เฮ้ย!? แม่งมึนไปแล้ว!นั่นห้องผมครับพี่น้อง! รบกวนชาวบ้านเค้าไม่พอยังบุกรุกห้องคนอื่นเค้าอีกเหรอเนี่ย!!?

“เฮ้ยยย!คุณๆๆ!หยุด!หยุดก่อน!หยุดเดี๋ยวนี้!!!”ผมวิ่งสี่คูณร้อยเข้าไปห้ามสุดตัว แต่ไม่ทันครับ มันเดินเข้าห้องน้ำปิดประตูไปแล้ว มีเสียงน้ำซู่ซ่าเป็นซาวด์เอฟเฟ็คประกอบตามมาด้วย... ตอนนี้ผมจะทำอะไรได้นอกจากภาวนาให้แปรงสีฟันผมอยู่ดีมีสุขนะ...ไม่ใช่แล้ว!

     โว้ย ไอ้....!ไอ้..ไอ้...และไอ้...!

ได้แต่ก่นด่ามันในใจอยู่อย่างนั้น...จนกว่ามันจะออกมาเคลียร์กับผมเองตัวต่อตัว...เอ็งได้หูชาแน่ไอ้ประธานบริษัท ไอ้อาร์ม!
     ครับ...ผู้ชายหน้าตาหล่อเหมือนหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่นที่เดินเข้าไปอาบน้ำห้องผมมันชื่ออาร์มครับ เป็นประธานบริษัทผมด้วย ชื่อจริงชื่ออะไร?...ช่างมันไม่ต้องไปสนใจ เพราะผมพยายามจะไม่สนใจมัน ไม่ใส่ใจ เอาตัวออกห่างมันนับตั้งแต่มันมาก้อร่อก้อติกที่บริษัทตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ผมก็แทบจะสลัดมันออกไปสุดขอบโลกแล้ว
     คงอยากถามล่ะสิว่าทำไมถึงเรียกเจ้านายว่า‘มัน’ นี่ผมให้เกียรติสุดๆแล้วนะ...ก็จากพฤติกรรมไม่น่ายกย่อง ไม่น่านับถือ แล้วก็อีกข้อคือ...มันอายุเท่าผม แต่ไม่ต้องห่วงครับผมเรียกแค่ในใจเท่านั้น ไม่เคยพูดออกไปให้ใครได้ยิน

     ด่าในใจไปสารพัด สักพักใหญ่ๆหลังจากผมเริ่มหายเดือด มันก็เดินออกมา ผมเปียกนิดๆ หน้าตาสดชื่น ตรงข้ามกับผมที่ทำท่าจะแดกหัวมันเข้าไปอยู่แล้ว ...แถมดูมันเดิน ยังกับมาเดินแคทวอล์ค....หมั่นไส้ชิบ...

     ...แต่....เดี๋ยวนะ เดี๋ยว!????? นั่นผ้าขนหนูผม กางเกงนอนผม....เชี่ยยยย อย่าบอกนะว่ากางเกงในก็...ของผม!????? OMG มีอะไรบัดซบกว่านี้ไหม โอ๊ย...น้ำตาจะร่วง....  แต่คิดในแง่ดี มันอาจจะใส่ของมันซ้ำก็ได้

“อ้าว...พอร์ช เข้าห้องอาร์มได้ไงอ่ะ...อ้ะๆ อย่าบอกนะว่าคิดถึงอาร์มน่ะ น่ารักจังเลย~มามะ มาให้จุ๊บเร็ว”มันเนียนครับ จะเข้ามากอดจูบผมท่าเดียว ผมก็เลี่ยงสิครับ เอาเท้ายันแถมให้ด้วย...แต่เห็นขอบกางเกงในที่โผล่มาแล้วแทบจะหมดแรง...สีน้ำเงินขอบขาวมีลายเป็นชื่อยี่ห้อ เป๊ะมากขอบอก....ผมเพิ่งซื้อมาไม่นาน ใส่ไปได้ไม่กี่ครั้งเอง...แต่ในเวลานี้มันก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาเสียดายหรอกครับ....

“อย่ามามึน คิดเองเออเองครับคุณวัชระ นี่ห้องผมครับ....แล้วมันอะไร มาหยิบของๆผมไปใช้เนี่ย...โอ๊ย คุณทำเข้าไปได้ยังไงเนี่ย แม่ง...ผมจะบ้าตาย”ผมกัดฟันกรอดๆข่มอารมณ์ไม่ให้กระซวกไส้มันตาย พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ไม่หาเรื่องต่อยตีให้เป็นเรื่องใหญ่โต

“แล้วถ้างั้นอาร์มเข้าห้องพอร์ชได้ไงอ่ะครับ?...อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนเรา....”ดูมันทำหน้าไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องเข้า น่าถีบใจขาดดิ้นจริงๆเหอะ

“เมื่อคืนคุณเมาอาละวาดเคาะห้องผม รบกวนการนอนของผม แล้วก็มานอนตายเป็นศพหน้าห้องผม พอตอนเช้าผมเข้าไปปลุก คุณก็ดันตีหน้ามึนเดินเข้าห้องผมเฉย...บอกตรงๆว่าผมเดือดร้อน ไม่ต้องมาพูดอี๋อ๋อด้วยครับ บอกเลยว่าผมรำคาญ”ผมพูดเน้นๆแดกดันมัน กอดอกมองด้วยสีหน้านิ่งๆแสดงอาการไม่พอใจ ผมไม่ได้พูดแรงด้วยผมแค่พูดตรงๆตามความรู้สึก ไม่ชอบอ้อมโลก

“อ่ะครับ...ว่าที่แฟนอาร์มนี่ดุจัง”มันทำท่าเหมือนจะกลัวแต่หน้ายังระรื่นได้อีก

“อ๋อเหรอครับ คุณนี่มโนเก่งดีจัง เค้าไม่คิดอะไรด้วยก็คิดไปเองเรื่อยเลย”โมโหแต่ทำอะไรไม่ได้เลยได้แต่ด่าไปก่อน แม้ในใจจะด่าหยาบคาย ถึงขั้นต้องเซ็นเซอร์คำพูดแล้วก็เถอะ แต่ด่าแบบสุภาพมันเจ็บกว่าด่าแรงๆตรงๆอยู่แล้ว...และ ณ จุดๆนี้ ขอพับเรื่องกางเกงในเก็บไปก่อนแล้วกันนะครับ...ยังไม่อยากพูดถึง

“อ้าว ก็เผื่อฟลุ๊ค แล้วพอร์ชตกปากรับคำยอมรับเป็นแฟนไง”

“ช่างเหอะ แต่เรื่องที่คุณต้องเคลียร์คือ ช่วยเลิกเมามาเคาะประตูห้องผมได้ไหม? ถ้าผมได้หลับสบายสักวันนี่คุณจะเดือดร้อนหรือไงครับ?”ผมเริ่มบึ้งแต่มันยังคงยิ้มระรื่นเหมือนเดิม

“นิดหน่อยเอง ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”ดูมันพูด....สอยสักเปรี้ยงดีไหมวะ?

“อ๋อ งี้ถ้าผมไปเคาะประตูห้องคุณทุกคืนตอนที่คุณหลับสบายบ้าง คุณก็ไม่ว่าใช่ไหมครับ?”ผมย้อนถามพร้อมยิ้มประชด สายตาจิกกัด

“ผมจะเปิดต้อนรับเลยล่ะครับ แถมยินดีจะให้คุณร่วมเตียงด้วยนะ”ไอ้อาร์มพูดไปยิ้มไปท่าทางทีเล่นทีจริง รู้สึกเห็นแล้วเส้นเอ็นแขน เอ็นเท้ากระตุกชอบกล

“จิตสาธารณะจริงนะคุณ”ผมประชดเต็มสตรีม อยากถีบมันออกไปไกลๆผมแทบแย่แล้วเนี่ย

“แน่นอนอยู่แล้วครับ หล่อ สปอร์ต ใจดี กทม.แบบนี้สนใจไหมครับ?”....ผมควรบรรยายยังไงต่อไปดี บอกเลยว่าขี้เกียจเถียง เช้าวันหยุดแบบนี้ผมไม่อยากหาเรื่องหงุดหงิดให้ตัวเองเท่าไหร่

“....พูดกับคุณแล้วปวดหัวว่ะ...เชิญครับ ออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้เลย Get outอ่ะ เข้าใจไหม?...อ้อ แล้วก็กางเกง...ข้างในน่ะ ขอความกรุณาไปที่ห้องคุณ ถอดแล้วก็โยนทิ้งถังขยะ เผาให้ด้วยจะดีมากครับ”ผมออกคำสั่งชี้ไปทางประตู เบื่อที่จะพูดด้วยแล้ว ปวดหัว โอ๊ย ไม่อยากนึกจริงนะว่ามันใส่กางเกงในผมอยู่

“โธ่ ที่รักเหวี่ยงอาร์มจัง เมนส์มาเหรอครับ?”ไอ้อาร์มทำท่าจะเข้ามากอดปลอบ....ผมเมนส์มามันก็ท้องไปแล้วมั้ง???

“อย่ามาพูดจาอี๋อ๋อ บอกแล้วไงครับว่ารำคาญ ผมเคยบอกกี่ครั้งแล้วว่าผมเป็นผู้ชาย จะมาก้อร่อก้อติกน่ะ ผมไม่รู้สึกอะไรหรอก ถ้าจะรู้สึกก็คงรู้สึกอยากถีบเท่านั้นแหละครับ หวังว่าจะเข้าใจนะ?เอาล่ะ...เร็วๆ ออกไปให้ว่องเลย”ผมเริ่มเข้าสู่โหมดดับเครื่องชนใช้สายตาไล่มันออกไป แต่ขนาดยืนกดดันแล้วก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะขยับตัวไปไหน

“...ถ้าไม่ชอบผมไม่พูดก็ได้ แต่อย่ารำคาญผมเลยนะ”ทำตาออดอ้อนเป็นลูกหมาเข้าไป...แต่ผมไม่ใจอ่อนหรอก

“.......”เงียบครับ...เมินใส่ ไม่พูดกับมันแบบนี้ เดี๋ยวก็คงเลิกตื๊อเองแหละ ผมก็ขี้เกียจพูดด้วย เลิกสนใจแล้วก็เดินไปที่ห้องนั่งเล่น

“เดี๋ยวๆๆ จะไปไหนอ่ะ”มันถลาเข้าหาผมทันที แน่นอนว่าผมก็เงียบครับ...คิดซะว่ามันคืออากาศธาตุ ผมอยู่คนเดียวในห้องไม่มีใครอยู่ด้วยทั้งนั้น

“อย่าเมินกันอย่างนี้สิพอร์ช”เสียงอ้อนวอนง้องแง้งดังต่อเนื่องไม่หยุดแต่ผมก็เลือกที่จะหยิบหนังสือมาอ่านต่อไป พอผมนั่งลงอาร์มมันก็แทบจะลงมากอดขาผม

“ก็ไม่ได้เมินนี่ ผมแค่ทำกิจวัตรตามปกติ คุณจะทำอะไรก็ทำไปสิ เพียงแต่ผมไม่สนใจหรอก”ผมยักไหล่ใส่ไม่แคร์ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร ยังไง

“โธ่...พอร์ชอ่ะ ไม่เห็นใจอาร์มบ้างเหรอ?”

“หยุดพูดแบบนี้เถอะ...ผมขนลุก”พูดไปก็รู้สึกขนลุกไป มีผู้ชายมาพูดอ้อน พูดหวานๆใส่มันจั๊กจี้ชอบกล...โดยเฉพาะไอ้ผู้ชายที่กำลังใส่กางเกงในผมอยู่ด้วย...

“อ้าว...ก็เห็นเพื่อนผมบอกว่าจะจีบใครให้ไปพูดอ้อนๆนี่...ไม่ชอบเหรอ?”...เพื่อนคนไหนวะ อยากเห็นหน้าจริง...

“พูดจาอ้อนตีนแบบนี้ชอบก็แปลกแล้ว...แต่...เดี๋ยวนะ...เมื่อกี้คุณบอกว่าจีบ?”ผมลองทวนคำพูดอีกทีแล้วก็สะดุดกับคำว่าจีบ อย่าบอกนะว่ามันจีบผม???

“ครับ...จีบ จีบตั้งนานแล้วด้วย”....อืม งั้นที่ผ่านมาที่มาคุยกับผมบ้าง ส่งสายตาบ้างนี่คือจีบงั้นสิ?...ขนแขนนี่ลุกพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมายเลยทีเดียว

“.......”ผมควรตอบว่ายังไงดี...ตอบไม่ถูกเว้ย โดนผู้ชายบอกว่าจีบใส่ซึ่งๆหน้าเนี่ย...

“เงียบทำไมล่ะครับ? รังเกียจเหรอ?”ผู้ชายหน้าหล่อตรงหน้าผมกำลังทำตาเศร้า ทีที่ผ่านมายังหน้าหนาเข้ารุกผมตลอดเลย ทีงี้ทำเป็นใจเสาะไปได้

“ไม่รู้ ผมไม่รู้จะตอบยังไง...แต่ คุณเถอะจะอยู่ห้องผมอีกนานไหม?”ผมนึกขึ้นมาได้ว่ามันมาอยู่ห้องผมนานจนผมแทบไม่ต้องทำอะไรนอกจากเถียงกับมันแล้ว...เอาจริงๆก็คือผมไม่รู้จะตอบยังไงด้วย ...และที่สำคัญคือ มันจะใส่กางในผมไปอีกนานไหม เรื่องกางเกงนอนมันยังไม่น่าเครียดเท่าเรื่องกางเกงในนะครับ ถึงจะซักแล้วก็เถอะ แต่ถึงยังไงผมก็เคยใส่แล้ว ให้มันเอาไปใส่อีก...อืม...ผมแทบไม่อยากจะคิดภาพตาม

“......”มันเงียบ ทำหน้าหมาหงอย แล้วก็เดินจากไป...เออดี มันไม่สมควรจะมาอยู่ในห้องผมตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ไปซะได้ก็ดี ...คนอื่นๆคงจะคิดว่าผมใจร้ายล่ะสิ แต่ลองมาเจอแบบผมคุณก็คงทำแบบเดียวกันนั่นแหละ

…….
……
…..
….


..
..
.

“ขอเปิดดูนะ?”เสียงขออนุญาตดังมาจากไม่ใกล้ไม่ไกล

“เออ...เรื่องของม...เฮ้ย!!!??”เหมือนเคลิ้มๆเลยเผลอตอบรับไปอัตโนมัติ แล้วพอหันไปเจอมันกำลังถืออัลบั้มรูปสมัยเด็กของผมอยู่ ผมแทบจะกระโดดงับหัวมัน...

“เอาคืนมา นี่คุณกำลังละเมิดสิทธิคนอื่นอยู่นะ รู้ตัวหรือเปล่า?”ผมยื่นมือออกไปเพื่อขออัลบั้มรูปคืน ส่งสายตากดดันไปให้ด้วย

“...ก็ได้ครับ...แต่ผมอยากรู้....ว่าทำยังไงคุณถึงจะใจอ่อนกับผม”ทำท่าเหมือนจะคืนแต่ก็ไม่คืน ทำมามีเงื่อนไขอีก

“ใจอ่อนเรื่อง?”ผมถามแบบไม่เข้าใจจริงๆว่าไอ้คุณอาร์มนี่จะทำอะไร ต้องการอะไรกันแน่

“ยอมคบกับผมไง”ดูทำหน้าเข้า...เป็นเด็กวัยรุ่นกำลังอินเลิฟไปได้นะ ช้อนตามองผมด้วย เป็นสาวๆคงละลาย ตกปากรับคำไปนานแล้ว แต่ผมก็คือผม ไม่ก็คือไม่

“ตลกเหอะ มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องคบกับคุณ? ผมไม่ได้รู้จักคุณมากไปกว่าคำว่าประธานบริษัท อายุเท่ากัน จบมหา’ลัยเดียวกันกับผมเลย ไม่ได้ชอบ แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่คุณมาคุย มาม่อผมทุกวันนั่นคือจีบ หรือเป็นนิสัยของคุณ ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ที่สำคัญการที่คุณเล่นเมาแล้วเคาะห้องผมประจำ ภาพลักษณ์คุณก็เข้าขั้นวิกฤติแล้วล่ะครับ.....เข้าใจนะครับ?”ผมพูดตรงๆให้รู้สึกตัวไปเลย จะได้เลิกระรานผมสักที

“....ผมยินดีจะให้คุณรับรู้ว่าตัวตนของผมเป็นยังไง เพียงแค่คุณยอมเปิดใจรับผม ได้หรือเปล่าครับ?”อาร์มพูดด้วยเสียงปกติ ทุ้มนุ่มน่าฟังกว่าเสียงออดอ้อนง้องแง้งเยอะ แถมยิ้มอบอุ่นชวนละลายอีก...แต่ยอมรับว่ายังไงๆผมก็ยังรู้สึกขนลุกทุกครั้งอยู่ดี ...มีคนมาทำหวานใส่แบบนี้มันไม่ชินว่ะ

“ตามใจ แต่อย่ามายุ่มย่ามกับผมเกินพอดีก็พอ”เพียงแค่ผมพูดไปแค่นี้ ไอ้หล่อนี่ก็ยิ้มกว้างแล้วคืนของในมือให้ทันที ทำเหมือนเด็กๆได้ของเล่นไปได้

“ขอบคุณครับ...แล้ว....ผมมีเรื่องอยากขอเรื่องนึงได้หรือเปล่าครับ?”

“เรื่องอะไรก็พูด อย่าลีลาอ้อมค้อม”หงุดหงิดครับ ไม่ชอบคนพูดอ้อมแอ้ม จะว่าผมเป็นพวกใจร้อนก็ได้

“ผมมาหาคุณที่ห้องนี้ได้หรือเปล่าครับ?”

“ก็ใม่ได้มีใครห้าม....”นั่นๆยิ้มอีกแล้ว...เห็นแล้วหมั่นไส้อยากถีบยอดหน้า

“เพียงแต่ผมบอกแล้วนะ...ว่าคุณจะทำอะไรผมก็ไม่สนใจหรอก”จากหน้ายิ้มๆกลายเป็นหน้าแบบเด็กถูกทิ้งทันที...ผมก็แค่อยากได้เวลาส่วนตัวอยู่อย่างสบายหู ไม่มีใครคอยกวนใจ

“ไหนบอกว่าเปิดใจแล้วไง”คนถามทำหน้ายุ่งท่าทางงอนเป็นเด็กๆ แต่มันคงจะน่ารักกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไอ้คุณอาร์มมันตัวอย่างกับตึก หน้าตาคมสันซะขนาดนี้

“ถ้าคุณเองยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ผมก็คงยอมรับยาก”

“งั้นถ้าเปลี่ยนแล้วก็ยอมรับผมสักทีนะครับ”....จริงๆนะผมไม่ชินกับการถูกพูดอ้อน มันแบบ...ทำตัวไม่ถูก

“เซ้าซี้จริง...สรุปว่ากลับห้องได้ยังครับ?”ผมมองหน้าอย่างเอาเรื่อง อาร์มก็จ้องกลับด้วยรอยยิ้มหวานเจี๊ยบ...

“กลับก็ได้ แต่ตอนเย็นจะมาใหม่นะครับ”พูดจบปุ๊บไม่ต้องรอคำอนุญาตจากเจ้าของห้องมันก็หายจากห้องผมไปเลย

และแล้วความเป็นส่วนตัวของผมก็กลับคืนมา...

     เพื่อความแน่ใจว่ามันไปแล้วจริงๆผมถึงลุกออกไปสำรวจภายในห้อง ไร้เงาคนอื่นนอกจากผม มีแต่ความเงียบสบายหู ของในห้องไม่มีอะไรหายไป หรือเพิ่มขึ้นมาใหม่ ประตูก็ล็อคอัตโนมัติ มองไปข้างนอกไม่มีคน แสดงว่าคงออกไปแล้วจริง

     ปิ๊บ

     เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้ว เพื่อความแน่ใจผมจึงกดระบบป้องกันภัยให้ทำงาน พร้อมตรวจประตูดูอีกที ก่อนที่จะเดินกลับห้องนั่งเล่นล็อคประตูอีกชั้น หยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาพิมพ์อีเมล์ส่งไปให้คนที่อยู่อีกฟากโลก

     กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง

     เสียงกระดิ่งใสแจ๋วดังมาจากมือถือผม ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือชื่อ‘ลุงพล’คนที่ผมเพิ่งส่งอีเมล์ไปหาเมื่อกี้ ไม่รอให้เสียงเรียกเข้าดังนานผมก็กดรับสาย

“สวัสดีครับ”

‘ว่ายังไง มีอะไรคืบหน้าบ้าง?’น้ำเสียงปกติของลุงดังตอบกลับมา

“คิดว่าคงจะล้วงข้อมูลมาได้ในเร็วๆนี้นี่แหละครับ เร็วหน่อยก็คงประมาณ 2 สัปดาห์ครับ...เพราะท่านประธานบริษัทเขาอุตส่าห์ลงทุนมาตีสนิทกับผมทั้งที”ผมยิ้มกริ่มตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่าจะทำงานได้สำเร็จแน่ๆ....มาถึงตอนนี้น่าจะรู้แล้วนะว่าผมทำงานอะไร?

ผมไม่ได้สมัครมาทำงานที่นี่เพื่อมาเป็นพนักงานบริษัททำงานอยู่หน้าจอคอมฯงกๆหรอกนะ

ผมมาเพื่อล้วงข้อมูล โปรเจคใหม่ของบริษัทมันต่างหาก...ก็ผมเป็นสายลับนี่?

‘พยายามเข้าล่ะ ลุงเอาใจช่วย’เสียงที่ตอบกลับมาแฝงความห่วงใยมาให้ แค่ได้ยินเสียงก็รู้สึกเหมือนเห็นว่าลุงมายืนยิ้มให้กำลังใจอยู่ตรงหน้าแล้ว

“ครับ ขอบคุณครับ ผมจะพยายาม”

‘แค่นี้นะ ระวังตัวด้วยล่ะ’

“ครับ”ผมกดวางสาย พลางคิดไปถึงแผนการที่จะตามมา จะใช้กลยุทธ์แบบไหน ค่อยๆหลอกให้อีกฝ่ายตายใจบอกความลับง่ายๆ หรือจะรุกเข้าไปดี?

“กลับก็ได้ แต่ตอนเย็นจะมาใหม่นะครับ”...หึ จะมาก็มาสิ แต่เตรียมตัวโดนล้วงข้อมูลได้เลย คุณวัชระ อยากมาเล่นกับผม ผมก็พร้อมจะเล่นกับคุณ

ผมไม่ได้วางกับดักอะไรไว้ทั้งนั้นแหละ แต่คุณมาติดกับผมเองนะครับคุณวัชระ!



= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 20:32:42 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่2
«ตอบ #2 เมื่อ03-08-2015 20:06:37 »

บทที่ 2

     เสียงจอกแจกจอแจของทั้งจากคน จากรถยนต์ริมถนน หรือแม้กระทั่งเสียงตะโกนบอกออเดอร์ของร้านอาหารริมทางก็ปนเปกันไปจนฟังไม่ได้ศัพท์....นี่แหละบรรยากาศการกินอาหารริมถนนที่สามัญชนคนทั่วไปอย่างเราๆคุ้นเคยกัน

...หืม จะถามว่าแล้วผมมาทำอะไรที่นี่น่ะเหรอ?

     ง่ายๆครับ ท่านประธานบริษัทอยากกินอะไร ที่ไหนก็ตามใจท่านครับ....และเผอิญท่านเป็นคนติดดิน ชอบกินอะไรง่ายๆก็เลยพามากินร้านริมถนนนี่แหละ

“อร่อยไหม?”คุณอาร์มในชุดลำลองเสื้อยืด กางเกงสามส่วนเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปถาม หลังจากที่ผมตักชิมต้มยำทะเลที่มันแนะนำว่าอร่อยนักอร่อยหนาไปคำนึง

“อืม”ผมก็ตอบสั้นๆ อารามขี้เกียจพูด...ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว จะกินที่ไหนก็ไม่สำคัญ ขอแค่รสชาติไม่ถึงกับรับประทานไม่ลงก็พอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าร้านที่มันแนะนำนี่อร่อยจริง ราคาไม่แพงด้วย

“ดีจัง งั้นคราวหน้ามากินกันอีกนะ ถ้าเบื่อไปร้านอื่นก็ได้ มีแนะนำอีกเพียบ”...นี่ก็เอาอกเอาใจผมจริง...

“ใครจะไปกับคุณ อย่ามาโมเม ทึกทักเอาเอง”จัดไปหนึ่งดอกครับ... แต่ต่อให้ผมพูดจาทำร้ายจิตใจมันเท่าไหร่มันก็ไม่สะเทือนหรอกครับ มียิ้มตอบกลับมาตลอด

“เปล่าทึกทักนะ แต่ผมคิดว่าคุณต้องมากับผมแน่ๆ ต่อให้ไม่มา ผมก็ต้องทำให้คุณมากับผมให้ได้”มันเท้าคางยิ้มตอบผม ไอ้เผด็จการเอ๊ย...

“ถามความสมัครใจผมหน่อยไหมครับ?”ถ้าไม่ติดว่าต้มยำทะเลชามนี้รสชาติอร่อยถูกปากผม ไม่แน่ว่าผมอาจจะเอาสาดหน้าไอ้คนตรงหน้าให้ได้แสบๆคันๆบ้างแล้วล่ะนะ...

“เพราะผมรู้คำตอบของคุณอยู่แล้วไง ผมถึงไม่ถาม”มือมันถือช้อนอยู่อย่างนั้นไม่ตักอะไรเข้าปากสักที อยากถามชิบหายว่า มองหน้าผมอยู่อย่างนี้แล้วมันจะอิ่มเหรอ? แต่ก็ไม่ถามดีกว่า กลัวจะได้รับคำตอบเกินความคาดหมายแล้วผมจะติดสตั๊นน่ะสิ.....

“รู้ว่าอะไร?...รู้ว่าผมไม่มีทางไปกับคุณอยู่แล้วล่ะสิ เออดี เข้าใจอะไรง่ายดีนี่”ผมก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว มันไม่กินช่างมัน กระเพาะไม่ได้ติดกันสักหน่อย

“เปล่า ผมรู้ว่าคุณต้องเซย์เยสอยู่แล้วล่ะครับ คุณคงไม่ใจร้ายกับผู้ชายตาดำๆคนนี้หรอก ใช่ไหมครับ?”...แค่ก...จะสำลักต้มยำทะเลตายก็วันนี้แหละครับ...

“มั่นใจตัวเองจังนะ”...อีกนัยนึงคือ ด้านดีจังนะครับ...

“ไม่มั่นใจ พอร์ชจะมาอยู่ตรงหน้านี้เหรอครับ?”....ผมพูดไปรอบที่ร้อยล้านแล้วมั้งเนี่ยว่า โคตรขนลุกกับคำหวานของมันสุดขั้วหัวใจเลย...

“ถ้าคุณยังอยากมีชีวิตกินข้าวต่อไป ก็เงียบสักทีนะครับ ก่อนที่ผมจะเดินไปยืมหม้อไฟโต๊ะข้างๆมาคว่ำใส่หัวคุณ”ผมเก๊กหน้าโหดหันไปมองหม้อไฟที่กำลังเดือดปุดๆของโต๊ะข้างๆเป็นการขู่

“อุ้ย...พอร์ชนี่ดุดีจังเลย...กินก็กินครับ”มีที่ไหนไม่กลัว แล้วยังหัวเราะกับท่าทางของผมอีกต่างหาก

“เออ กินแล้วก็เงียบไปเลย”พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่ผมจะได้นั่งกินข้าวอย่างสงบๆสักที ถ้าชีวิตจริงเป็นเกมส์ ค่าความสนิทที่มันมีต่อผมคงขึ้นมาทีละนิด ทีละนิดแล้วล่ะมั้ง...ผมก็แค่รอให้มันเพิ่มขึ้นในระดับที่ผมพอจะสามารถแกล้งเล่นละครเป็นเพื่อนสนิทกับมันได้

...ถ้ามันอยากได้เพื่อนสนิทผมก็ไม่ขัดอ่ะนะ แต่ถ้าอยากได้คำอื่นผมคงต้องขอคิดดูอีกที

     อาจจะมองว่าผมโหดร้าย ที่ทำให้คนอื่นเชื่อใจแล้วก็หักหลังเอาดื้อๆ แต่มันก็เป็นงานของผม แม้ผมจะไม่ชอบเล่นละครเจ้าบทบาท แต่ก็ยังต้องทำ แต่ถึงยังไงที่ผ่านมา ผมก็ไม่เคยถลำลึก หรือเล่นเกินบทบาทเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะผมคิดเสมอว่า คนที่เข้ามาตีสนิทกับผมยังไงๆก็เป็นคนอื่น ไม่เคยอยู่ในรายชื่อคนสนิทเลย ฟังดูใจร้ายนะ แต่ทำไงได้ล่ะ
     งานที่ผ่านๆมาผมก็พยายามไม่ไปตีสนิทกับใคร ไม่สร้างความผูกพันกับใคร ไม่ต้องมีความรู้สึกเจ็บปวดต่อกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนเข้ามาหาผมอยู่เรื่อย พอผมหนีหายไปก็ผูกใจเจ็บอยู่อย่างนั้น
     คนอื่นๆที่ทำอาชีพเดียวกับผมจะใช้วิธีสืบหาข้อมูลลับมายังไงก็เถอะ แต่วิธีที่ผมใช้คือการคลุกวงใน ฟังดูเสียเวลา แต่ก็ได้ข้อมูลจริงมาแน่นอน เหมือนที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้...

“พอร์ช พอร์ช? เป็นอะไร อยู่ๆก็เหม่อ”รู้ตัวอีกทีมือไอ้อาร์มก็มาเขย่าไหล่ผมแล้ว....ให้ตาย นี่ผมเหม่อได้ยังไงวะ? การเหม่อนี่มันสัญญาณอันตรายชัดๆ

“เปล่านี่ครับ ไม่ต้องสนใจผมหรอก”ผมบอกปัดแล้วกินข้าวให้มันหมดๆไปสักที

“น้องครับ เก็บเงินด้วยครับ”ผมเรียกเด็กเสิร์ฟมาเก็บเงินทันทีที่กินหมด ไม่รอ แล้วก็ไม่สนด้วยว่าอีกคนจะกินอิ่มหรือยัง เพราะยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผมอยู่ดี

“เอ๊~เดี๋ยวสิครับ ผมยังกินไม่หมดเลยนะ~”เสียงประท้วงดังมาจากคนนั่งฝั่งตรงข้ามผมที่ยังเคี้ยวข้าวตุ่ยๆอยู่เลย

“ไม่ต้องมาบ่นเลยนะคุณ ทีตอนให้กินล่ะไม่กิน”ผมบอกตามความจริงก็ได้รับเสียงบ่นงุ้งงิ้งกลับมา แต่ใครสนล่ะ?

“น้องครับ ทั้งหมดนี่เท่าไหร่ครับ?”ผมควักกระเป๋าตังค์ออกมาเตรียมจ่ายแล้ว

“120บาทครับพี่”เด็กชายอายุน่าจะประมาณสิบกว่าๆเดินมาเก็บเงิน ดูๆแล้วน่าจะเป็นลูกชายของเฮียร้านอาหารร้านนี้ล่ะมั้งนะ

“เอาไป200แถมทิปให้ด้วย เก็บไว้เป็นค่าขนมนะครับ”ผมยื่นแบงก์แดงให้สองใบให้น้องเก็บเอาส่วนที่เหลือไว้เป็นค่าขนม เด็กที่ช่วยพ่อแม่ทำงานแบบนี้ผมชอบครับ มากกว่านี้ผมก็ให้ได้ ผมมั่นใจว่าเงินเก็บของผมมีพอๆกับไอ้ประธานบริษัทตรงหน้านี่อยู่แล้ว

“ขอบคุณครับ ไว้คราวหน้ามาอุดหนุนใหม่นะครับ”รับเงินไปแล้วน้องเขาก็ยกมือไหว้สวยๆหนึ่งทีพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ก่อนจะเดินไปรับออเดอร์โต๊ะต่อไป

“โหย นี่ผมพาคุณมาเลี้ยงนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร...ขอตัว”ผมลุกขึ้นพร้อมจะเดินจากไปทุกเมื่อ แต่ไอ้มือที่รั้งแขนผมอยู่เนี่ย มันกำลังทำให้ผมไปไหนไม่ได้

“นี่คุณจะทิ้งผมไปไหน อย่าทิ้งผมอย่างนี้สิครับ ไม่ชอบใจอะไรผม เราน่าจะคุยกันดีๆก็ได้นี่ครับ ไม่เอานะครับ อย่าทิ้งผมไปดื้อๆแบบนี้สิครับที่รัก”.....ไอ้***นี่กำลังแกล้งกอดแขน แอคติ้งเป็นแฟนที่กำลังโดนผมทิ้งเฉยเลย...!!!

“......นี่คุณ...ปล่อย คนเค้ามองใหญ่แล้วนะ”เห็นอย่างนี้ผมก็หน้าบางนะครับ...คนที่นั่งใกล้โต๊ะผมก็เริ่มหันมามอง ซุบซิบอะไรก็ไม่รู้ โดยเฉพาะไอ้โต๊ะข้างๆนี่แหละ ที่เริ่มไม่สนใจหม้อไฟ แล้วหันมามองพวกผมแทน  ผมจะหันไปถลึงตาใส่ก็อับอายเกินกว่าจะทำได้ แม่งจะกินก็กินกันไปสิวะ มายุ่งเรื่องอะไรคนอื่นเค้า

“มองก็มองไปสิ ผมไม่สน หรือคุณสน ....ไม่สิ...แม้แต่ผม คุณยังไม่สนเลย นับประสาอะไรกับคนอื่นล่ะ”ว่าผมแสดงบทบาทหลอกลวงชาวบ้านมานักต่อนักแล้ว เจอไอ้นี่เข้าไปผมนี่ชิดซ้ายไปเลย....ก็ดูมันพูดตัดพ้อเข้าสิ ออสการ์ยังอาย....เอารางวัลตอแหลอวอร์ดไปครองเลยมึง

...อืม แล้วก็ต้องขอโทษด้วยครับ ที่มีภาษาพ่อขุนรามฯหลุดออกมาให้ได้เห็นกัน...

แบบว่าโดนเล่นนอกแผนทีไร หลุดคำหยาบทุกที โปรดอย่าถือสากันเลย...

     เอาจริงๆ ตัวผมก็ไม่ใช่คนจำพวกใช้ภาษาดอกไม้เป็นนิจหรอก...แต่ก็ด้วยหน้าที่ บทบาท ก็ต้องพับภาษาแสดงความเป็นตัวตนลงไปให้มิด ถึงบางทีผมจะยังเก็บให้มิดไม่อยู่ก็เถอะ

“โอ๊ย....แม่งเอ๊ย นี่คุณต้องการอะไรวะ? มาเซ้าซี้เอาอะไรจากผมเนี่ย???”ผมเริ่มรำคาญเลยเหวี่ยงไปสักดอก

“เอาความรักจากคุณไงครับ...อ่ะๆ...อย่าทำหน้าเหมือนอยากยิงผมทิ้งอย่างนั้นสิ.... ผมแค่อยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผมเท่านั้นเอง เดี๋ยวผมจะได้พาไปกินของหวานอร่อยๆด้วยไง....แต่ถ้ายังยืนกรานไม่ไปกับผม...มากกว่าเมื่อกี้ผมก็ทำได้นะครับ”....แม่งขู่ผมเฉยเลย แถมดึงผมเข้าไปใกล้เพื่อเป็นการบอกว่าไอ้มากกว่าเมื่อกี้มันคืออะไร

“....อย่ามาขู่ผมนะ”บ่นไปงั้นแต่ผมก็ยอมลงไปนั่งข้างๆมันอยู่ดี ก็ผมกลัวไอ้‘มากกว่าเมื่อกี้’ของมันน่ะสิ

“ผมก็แค่อยากอยู่กับคุณนานๆ รอหน่อยนะครับ อีก4-5คำก็หมดแล้ว”มันบอกด้วยประโยคชวนหวานเลี่ยนสำหรับผม....

“เออ...เร็วๆเลย ถ้ายังไม่หมดผมจะได้จับกรอกปากคุณ ให้กินให้หมดภายใน 10 วินาทีเลย”หันไปมองโต๊ะรอบข้าง...เออดี เลิกสนใจพวกผมไปแล้ว ถึงจะยังมีแอบๆเหลือบมองอยู่เป็นระยะก็เถอะ

“หึหึหึ...ครับ”ผมล่ะเกลียดเสียงหัวเราะของมันชิบหาย...หัวเราะเหมือนว่ามันมีอำนาจเหนือผมอย่างนั้นแหละ

“รีบๆกินไปเลย”ทำอะไรไม่ได้ผมก็ได้แต่พูดเร่งมัน แต่ถึงผมจะมองกดดันยังไงมันก็ไม่เคยสะท้าน ทำอะไรๆมันก็ไม่สะท้าน บอกเลยว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยเจอใครหนาได้สักครึ่งหนึ่งของมันเลยสักคน...

“โอเคครับ หมดแล้ว...เดี๋ยวพาไปกินของหวาน”กินข้าว กินน้ำเสร็จแล้วมันก็ถือวิสาสะจับมือ ลากผมออกไปจากร้าน ผ่านแผงร้านค้าสารพัด

“นี่คุณ ผมไม่ใช่เด็ก ไม่ต้องจูงมือ ผมไม่หายไปไหนหรอก”

“รู้ว่าไม่ใช่เด็ก แต่ผมกลัวคุณจะหนีผมไปอีกน่ะครับ”มันยิ้มซื่อ กระชับมือผมแน่นกะไม่ให้หนีไปไหนได้เลย

“ผมไม่ชอบ”ไม่ชอบให้ใครที่ไหนไม่รู้จักดีมาถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้...มาจับแบบนี้ผมไม่ชอบจริงๆ

“....ไม่ชอบก็ไม่ชอบ...แต่อย่าเพิ่งอารมณ์เสียเลยนะครับ”เหมือนรู้ว่าผมกำลังหงุดหงิดสุดๆ มันเลยยอมปล่อยมือผม พูดด้วยโทนเสียงอ่อนโยนเป็นพระเอกหนัง แต่ไม่มีความรู้สึกว่ามันดัดจริตเลยสักนิด

....ขนลุกจริงๆนะ สะท้านทั้งตัวเลยเมื่อกี้...

“รู้ก็ดี”

     แล้วหลังจากโดนลากไปกินขนมหวานตามที่ว่า มันก็กลับห้องไป ต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิม ถึงไอ้คุณอาร์มจะเซ้าซี้จะมาอยู่ห้องผมก็เถอะ

ก็ถือว่าแผนการกำลังเริ่มต้นไปได้ด้วยดี ขั้นต่อไปจับมอมเหล้าดีไหมนะ?

     แต่...ผมเห็นคนเสียความบริสุทธิ์ด้วยวิธีการที่ผมว่ามาหลายกรณีแล้ว...ดังนั้นไม่ขอเสี่ยงจะดีกว่า...ถึงผมจะไม่แคร์เรื่องความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์นี่ก็เถอะ แต่ก็ไม่อยากเปลืองตัวเพื่องานๆเดียวหรอกนะครับ

อืม...คิดเยอะแล้วปวดหัว นอนเถอะ...










เช้าวันต่อมาก็น่าแปลกใจที่ไม่เจอคนข้างห้องมารบกวนแต่อย่างใด


     ขับรถออกมาสู่ถนนใหญ่ รถหลากยี่ห้อ ต่างคนขับ วิ่งกันขวักไขว่เหมือนทุกวัน ผมขับเรื่อยๆไม่รีบร้อน เพราะผมตื่นก่อนเวลางานเกือบสองชั่วโมง เพื่อจะได้นั่งทำอะไรชิวๆ ไม่ต้องเจอมหกรรมรถติด ไม่ต้องเร่งรีบ ตาลีตาเหลือกเหมือนใครหลายๆคน
     ความจริงก็ไม่จำเป็นหรอกที่ผมต้องตื่นมาทำตัวเป็นพนักงานดีเด่น แต่เหตุผลง่ายๆที่ทำให้ผมต้องทำตามคือ...การซื้อใจท่านประธานบริษัทด้วยการ ตีสนิทซื้อมื้อเช้าไปฝากก็เท่านั้น
     ซึ่งมื้อเช้าที่ว่าก็อยู่ในมือผมแล้ว ปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้สามชุด แต่ถ้ามันไม่อยู่บริษัทก็ช่างมัน ผมเอาไปตีซี้กับคุณเลขาก็ได้...อีกชุดก็เอาไปฝากเพื่อนพนักงานร่วมบริษัทก็ยังได้

“สวัสดีครับพี่หลิง คุณอ...คุณวัชระอยู่ไหมครับ?”ผมเดินมาถึงห้องท่านประธานเห็นพี่เลขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ผมเลยเข้าไปยกมือไหว้ทักทาย

“อยู่จ้า แหม คุยกับพี่ไม่ต้องพิธีมากก็ได้น้องพอร์ช แล้วนี่มีอะไรคะ?เรื่องภายในหรือเรื่องภายนอกเอ่ย?”คุณพี่เลขาตอบกลับมาอย่างมีอัธยาศัยใบหน้ายิ้มแย้มรับแขกตลอด

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่จะมาคุยกับคุณอาร์มเฉยๆ เอาน้ำเต้าหู้มาฝากพี่หลิงด้วย เผื่อเวลาหิวๆน่ะครับ”ผมก็ตอบด้วยรอยยิ้มอย่างคนมีอัธยาศัยดีกลับไป มือก็ยัดเยียดไอ้ถุงร้อนๆในมือให้คุณพี่เขาไป เป็นเหมือนสินบนเล็กๆ

“อุ๊ย ขอบใจจ้ะ แต่คราวหน้าไม่ต้องก็ได้นะลูก ...อ้อๆ แล้วก็จะเข้าไปหาคุณอาร์มก็เปิดประตูเข้าไปเลยจ้า ถ้าเค้ารู้ว่าคนที่เปิดเข้าไปเป็นน้องพอร์ชนะ เค้าก็พร้อมเปิดต้อนรับทุกเวลาแหละจ้ะ ฮิฮิ”คุณพี่เลขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เพราะรู้ว่าไอ้ประธานบริษัทนี่ตามม่อผมได้ทุกวันไม่มีวันหยุดจริงๆ แถมเชียร์ให้ผมคู่กับคุณบอสของเธออีกต่างหาก...เอาเข้าไป

     ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     ถึงจะรู้ว่ายังไงๆมันก็ต้องอนุญาตให้ผมเข้าไปแน่นอน แต่ด้วยความมีมารยาท ไม่อยากโดนด่าว่าไม่มีใครสั่งสอน และไม่ต้องเกรงกลัวว่าเปิดเข้าไปแล้วจะเจอภาพที่เห็นแล้วเสียสายตา ผมเลยเคาะประตูไปสองสามทีพอเป็นพิธี

“ขออนุญาตครับ”พอเห็นว่าผมเป็นคนเปิดประตูเข้ามาเท่านั้นแหละไอ้หล่อก็ทำหน้าแปลกใจทันที ก็ร้อยวันพันปีผมก็ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เขาเห็นถ้าไม่มีอีเวนท์อะไรนี่ครับ

“มีอะไรเหรอครับ...หรือว่า....คิดถึง?” ไม่ต้องมายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยใส่กูครับ....บอกรอบที่ล้านแล้วว่าขนลุก

“อ๋อ...ไม่มีอะไรครับ แค่แวะมาดูว่ายังไม่ถูกใครฆ่าตัดหน้าไปก่อนเท่านั้นแหละครับ”รู้สึกหมั่นไส้ผมเลยประชด ทำท่าจะเดินออกไป

“เดี๋ยวๆๆ ผมก็แค่หยอกเล่นน่า...อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ”มันแทบจะลุกเดินตามผมทันทีที่เห็นว่าผมกำลังเดินออกไป

“ผมเอาน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาฝาก กินได้หรือเปล่าล่ะครับ?”ผมเกือบจะโยนถุงในมือลงบนโต๊ะแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีเอกสารพันล้านวางอยู่ ผมคงทำไปแล้ว ก็ถ้าเกิดบังเอิญ ถุงมันดันแตกกระจายคาโต๊ะ กลายเป็นผลงานศิลปะ 3 มิติ สุดแสนมโหฬาร อลังการ ตระการตาขึ้นมา คนรับผิดชอบคือใครล่ะ? ถ้าไม่ใช่ผม ...เลยเดินเอาไปให้กับมือตามที่สามัญชนคนทั่วไปเขาทำกัน

“กินได้สิ ขอบคุณนะ ...ว่าแต่นึกอะไรถึงเอามาให้ล่ะเนี่ย?”มือรับไปแต่ไม่ยอมปล่อยมือผมสักที มียิ้มท่าทางมีความสุขอีก...น่าถีบตกเก้าอี้เป็นบ้าเลย...

“ตอบแทนที่เมื่อวานพาไปกินของอร่อยๆไง... ตกลงจะเอาไม่เอา ลีลาชิบ”ผมเห็นรอยยิ้มอย่างเป็นต่อแล้วก็หงุดหงิดยังไงไม่รู้สิ

“เอาสิครับ อารมณ์ขึ้นง่ายจังเลย แฟนใครเนี่ย?”...แฟนป้ามึงมั้งครับ... นี่ผมเกือบสวนกลับไปทันทีแล้วนะ

“ถามผมแล้วผมจะไปรู้กับคุณไหม เชิญกินไปคนเดียวเลยละกันนะครับ ผมขอตัว คุยกับคุณมากๆผมกลัวต่อมโมโหทำงาน พลั้งมือทำท่านประธานบริษัทดับอนาถคาห้องทำงานน่ะครับ”พอจะเดินออกไปมือจากคนเดิมก็รั้งผมไว้อีกครั้ง

“โหย...บอกแล้วไงครับว่าหยอกเล่น...ถึงจะอยากให้เป็นจริงส่วนหนึ่งก็เหอะ แต่ว่า อย่าเพิ่งไปสิ นั่งกินด้วยกันนี่แหละ”ขอให้ได้หยอดผมสักนิดนึงมันก็เอา ไม่วายลากผมไปกินที่โซฟาอีกต่างหาก...หมายถึงไปกินมื้อเช้าน่ะครับ

“แล้วคุณกินข้าวเช้ามาหรือยังล่ะ? ถ้ากินมาแล้วเก็บไว้กินตอนหิวๆก็ได้ เดี๋ยวจุกตายจะมาโทษผมอีก”ผมเดินไปหยิบแก้วน้ำที่มีสองแก้วพอดิบพอดีมาบริการถึงที่

“ยังครับ แบบว่ามีจิตสัมผัสรู้ว่าคนใจดีแถวนี้จะเอามาฝาก”ยิ้มเข้าไปหน้าจะบานกระด้งแล้วนั่น...

“เอาดีๆ”ผมเทน้ำเต้าหู้กลิ่นหอมกรุ่นใส่แก้วสองใบ อย่างที่คิดเลยถุงเดียวได้สองแก้วเลยแฮะ....

“ก็ไม่อะไรหรอก...แต่ไม่ชอบกินมื้อเช้าน่ะ ปกติก็กินแต่กาแฟ”มันสาธยายไปผมก็มองหาถังขยะไป และดูเหมือนมันจะรู้จุดประสงค์ของผมเลยช่วยหยิบถุงพลาสติกไปทิ้งให้

“ไม่กินแล้วจะเอาแรงที่ไหนมาทำงาน”

“เป็นห่วงเหรอ?”เห็นมันยิ้มจนผมขี้เกียจบ่น...เมินๆไปซะบ้างชีวิตคงจะมีความสุขกว่า

“เปล่า”ขี้เกียจเถียงผมเลยตอบสั้นๆแทน...อย่างที่ทุกคนเห็นนั่นแหละคือยิ่งผมขี้เกียจเถียง หรือรำคาญอะไรมากๆผมก็จะพูดน้อยลง จนบางทีก็ถึงขั้นไม่พูดเลยก็มี อย่างเช่นเมื่อวานเป็นต้น

“ยังไงก็ขอบคุณนะที่...คิดถึงกัน”...ตำแหน่งหนุ่มปากหวานแห่งปีผมขอยกให้มันครับ... ขนลุกจริงจัง...

“ที่ชอบพูดอะไรเลี่ยนๆนี่ เป็นความเคยชินของคุณหรือไง?”ผมปรับอารมณ์ให้กลับมานิ่งๆ ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้อารมณ์แปรปรวนเป็นผู้หญิงประจำเดือนมาไปได้

“ปกติผมก็ไม่พูดอย่างนี้นะ เป็นกับคุณคนเดียว... เห็นชอบหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนั้นผมเลย ...อยากแกล้ง แต่เอาจริงๆก็อยากลองพูดอะไรแบบนี้กับคนที่ชอบดูบ้าง”พูดซะยาวเหยียดแต่ก็ต้องมาสะดุดกับประโยคสุดท้ายอีก

“คนที่ชอบนี่คุณหมายถึง?”ผมกำลังกินน้ำเต้าหู้อยู่ถ้าคำตอบของมันทำผมพุ่งนะ จะพุ่งใส่หน้าเลย....

“....คุณไง ผมก็จีบคุณอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอครับ? ที่จีบก็เพราะชอบ แล้วเพราะชอบก็เลยจีบ สมการเอ เท่ากับ บี แล้วบี เท่ากับ เอไงครับ ออกจะเป็นเหตุเป็นผลกันชัดเจนขนาดนี้”...โอเค ชัดเจน ไม่ต้องถามอะไรอีก จิบน้ำเต้าหู้ไปเงียบๆก็พอ

“ชอบผมได้ไง? เดินมาเจอกันที่บริษัทครั้งแรกก็สปาร์คติดเลยหรือไง?”พูดมานี่แอบประชดนิดๆนะครับ...

“นานกว่านั้นครับ...ผมชอบมานานมากกว่านั้นครับ”เห็นพูดปาวๆแบบนี้ แต่ปาท่องโก๋มันหมดไปแล้วครับ ในขณะที่ผมยังไม่พร่องไปเลย มัวแต่ละเลียดกิน

“ตอนไหน? ก่อนเข้าบริษัท? หรือตอนเรียน?”คนมันสงสัย ขอซักหน่อยแล้วกัน ระหว่างนี้เรื่องล้วงข้อมูลยังไม่ต้องเร่งรีบ ทำตัวเอื่อยๆได้ตามสบาย

“ก็ไม่รู้สิครับ อยากรู้ก็ลองรักดูสิ”มันทำหน้าไม่รู้สินะ ยักคิ้วหลิ่วตาใส่....พอ...เลิกพูดกับมัน

“.......”ผมงี้จุดจุดจุดเลยทีเดียว.... อยากรีบกินให้มันหมดๆแล้วออกไปจากห้องสักที

“ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้นก็ได้ ยังเหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าจะเข้างาน”

“ผมแค่ไม่อยากรบกวนเวลาอันมีค่าของคุณน่ะครับ”พูดไปมือก็จ้วงปาท่องโก๋เข้าปากไป ยิ้มหวานใส่แบบประชดๆ

“เวลาที่ผมอยู่กับคุณมีค่าที่สุดครับ”...ใครอยากได้พรีเซนเตอร์โฆษณาหรือพระเอกละครหน้าหล่อ เสียงหล่อ มาช้อนเอาคนตรงหน้าผมไปได้เลยครับ พูดเหมือนหลุดมาจากจอทีวีอย่างนั้นแหละ

“หยุดพูดชวนให้ผมขย้อนของเก่าเถอะครับ”รู้สึกกลืนน้ำเต้าหู้ไม่ค่อยลงเลยแฮะ....

“ไม่รู้สิครับ แต่พอพูดกับคุณแล้วมันก็ตอบสนองไปเองอ่ะ”ทำแอ๊บเสียงไม่รู้ไม่ชี้ใส่อีก

“กินหมดแล้ว ผมขอตัว”ผมเอาจานวางซ้อนกันแล้วก็ลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป....ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจานชามส่วนตัวของท่านประธานบริษัทนี่ต้องใช้ระบบ ใช้เองเก็บเองหรือมีแม่บ้านบริการให้ก็ไม่รู้

“นี่จะทิ้งกันเลยเหรอครับ....”ทำหน้าเป็นลูกหมาถูกทิ้งอีกแล้ว มีออพชั่นเป็นเสียงร้องหงิงๆนี่ใช่เลย...

“อ้าว แล้วจะให้ผมอยู่ทำอะไรล่ะ เล่นจ้องตากันหรือไง?”นี่ผมพูดจริงนะ ให้ผมอยู่ต่อแล้วจะให้ทำอะไรล่ะ  นั่งต่อล้อต่อเถียงกันต่อเหรอ?

“อยากจ้องมากกว่าตาอ่ะ”

“...คุณวัชระ ผมพูดตรงๆเลยนะว่า ต่อให้จีบผมยังไง ผมก็ไม่รู้สึกอะไร....อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะ แต่ไม่อยากให้คุณเสียเวลา เสียความรู้สึกเปล่าๆ พอเถอะครับ”ถึงผมจะเข้ามาเพื่อหวังหลอกเอาข้อมูลก็จริง แต่ผมก็อยากบอกให้อีกฝ่ายรู้ตั้งแต่เนิ่นๆจะได้ไม่ต้องเจ็บมาก...อย่างที่เขาว่ากันนั่นแหละ ยิ่งรักมาก เจ็บมาก ก็ยิ่งแค้นมาก มันจะทรมานกันเปล่าๆ

“แค่ที่คุณพูดแบบนี้ก็ถือว่าคุณใจดีมากแล้วล่ะครับ ถ้าใจร้ายจริงๆ เขาคงไม่มาพูดแบบนี้หรอก มีแต่จะให้ความหวังกันลมๆแล้งๆ แล้วก็หักอกกันดื้อๆมากกว่า”อาร์มยังคงยิ้มได้เหมือนเตรียมใจไว้นานแล้ว

“แต่ถึงคุณจะพูดยังไง ผมก็ยืนยันจะจีบคุณต่อไป...อย่างที่คุณบอก ผมไม่ได้เจอหน้าคุณแล้วสปาร์คติดเลยตั้งแต่วินาทีแรก สำหรับผมมันไม่ใช่ความหลง....มันคือรัก ผมอยากทำตามความรู้สึกของตัวเอง ไม่อยากนึกเสียดายที่ตัวเองมีโอกาสแล้วไม่ลงมือทำอะไรเลย....ปล่อยให้ผมจีบคุณต่อไปเถอะ”

“แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว...ยังไงคุณก็ยังไม่ชอบผม ผมก็ยินดีจะปล่อยคุณไปครับ”เสียงพูดทั้งอ่อนโยนทั้งฟังดูเศร้า.... ที่ผ่านมาผมไม่เคยเจอใครพูดแบบนี้กับผมนะ สารพัดผู้คนที่ผมเจอมา มีแต่จะพูดเอาแต่ได้ คิดจะรั้งผมไว้อย่างเดียวจนอึดอัดไปหมด

     แต่กับคนตรงหน้าผมนี่ เขากลับเลือกที่จะจับมือผมไว้หลวมๆ ยินดีที่จะปล่อยให้ผมสะบัดมือเขาทิ้งได้ทุกเมื่อ ไม่มีพันธะ ไม่มีการเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้ แม้สุดท้ายเขาจะต้องเสียใจเอง

“แล้วถ้าไม่ลองดูจะรู้ได้ยังไง ผมคิดว่าผลลัพธ์มันไม่ได้มีทางเดียวเสมอไปนี่ครับ อย่างน้อยๆ ขอแค่ได้รักคุณผมก็มีความสุขแล้ว”

“ถ้างั้นก็ตามใจคุณ คุณพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะไปขัดคุณแล้วล่ะครับ”ในเมื่อมันพูดขนาดนี้ ผมจะวีน จะเหวี่ยงแบบไร้เหตุผลเป็นเด็กๆก็คงไม่แฟร์กับเขาสักเท่าไหร่

“ขอบคุณครับ”

“ว่าแต่คุณเถอะมาชอบผมได้ยังไง...ผมไม่เข้าใจคุณเลย”ผมลงนั่งข้างๆมันอีกครั้งหลังจากที่ยืนฟังมานาน ...แล้วนี่ผมมีอะไรดีตรงไหนเขาถึงได้มาชอบผมเนี่ย...

“ไม่รู้สิครับ ผมก็อธิบายไม่ถูกว่ารักได้ยังไง...ถ้าคุณลองได้รักใครสักคน คุณก็คงจะเข้าใจเอง... แต่ใครสักคนที่ว่านี่ต้องเป็นผมเท่านั้นนะ”เกือบจะซึ้งถ้าไม่มีประโยคสุดท้าย...

“ไหนบอกแค่ได้รักผมก็มีความสุขแล้วไง พูดแบบนี้เอามีดมาจี้คอผมเลยไหมครับคุณวัชระ”พูดแล้วผมก็อดเหน็บแนมไม่ได้

“ก็คุณเคยบอกว่าผมเผด็จการไม่ใช่เหรอ...แต่เอาน่า...ยังไงผมยังมีความเป็นประชาธิปไตยพอที่จะรับฟังความคิดเห็นของคุณอยู่นะ”รอยยิ้มกวนประสาทในสายตาผมกลับมาอีกครั้ง...เมื่อกี้มันยังเป็นพระเอกแสนดีอยู่เลย อยู่ดีๆก็พลิกบทบาทหน้ามือเป็นหลังตีนซะอย่างนั้น

“รับฟังแล้วก็ลงมือทำด้วยนะครับ อย่าฟังอย่างเดียว”

“ที่รักพูดอะไรผมก็ไม่ขัดอยู่แล้วครับ อยากได้อะไรสั่งมาเลยสามีทำให้ได้ทุกเรื่อง”

“กวนละ”พอผมบอกไปเท่านั้นมันก็หัวเราะออกมาเหมือนชอบใจ ยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ

“คุยกับคุณแล้วมีความสุขจัง”มันบอกด้วยรอยยิ้มเหมือนว่าเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก...นี่ผมไปทำอะไรให้มันเนี่ย? หรือในน้ำเต้าหู้ใส่กัญชาวะ? เออ...แต่ผมก็กินไปกับมันนี่หวา จะพูดทำไมเนี่ย...

“แต่เผอิญผมมีความทุกข์”พูดอีกมันก็ขำอีกมีความสุขเกินพิกัดจริงนะ หมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก

     ก๊อก ก๊อก แอ๊ด...

     เสียงเคาะประตูเรียกให้ทั้งผม ทั้งไอ้อาร์มที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขตามที่มันว่า หันไปดูที่ต้นเสียงพร้อมๆกัน ปรากฏว่าเป็นพี่เลขาฯคนสวยนั่นเอง คุณพี่หลิงพอเห็นผมกับอาร์มนั่งกันอยู่สองคนก็เอามือปิดปากยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว ท่าทางมีความสุขไม่แพ้คุณบอสของพี่เขาเลย

“อุ๊ย พี่มาขัดจังหวะหนูๆหรือเปล่าเนี่ย?...ถึงไม่อยากจะขัดก็เถอะ แต่พี่จะมาเตือนว่าใกล้จะได้เวลางานแล้วนะคะ ....กลัวจะเพลินลืมเวลากัน ยังไงก็..ขอตัวนะคะ...เชิญกุ๊กกิ๊กกันต่อเถอะจ้ะ”พูดไปก็ไม่วายทิ้งท้ายด้วยการหัวเราะคิกคักเดินออกจากห้องไปด้วย

“งั้นผมคงต้องขอตัวไปจริงๆแล้วนะครับ”ผมดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็ลุกขึ้น คราวนี้ไม่มีมือรั้งเอาไว้อีกเหมือนตอนแรก

“ครับ ตั้งใจทำงานนะครับ”

“บอกตัวเองเถอะครับ”ผมยิ้มตอบ ยิ้มแบบประชดนิดๆอ่ะนะ

“ผมจะถือว่าเมื่อกี้คุณให้กำลังใจผมทางอ้อมแล้วกัน  แล้วก็...ถ้าตั้งใจทำงาน ไม่แน่ว่า โปรเจคหน้า ผมอาจให้คุณรับผิดชอบก็ได้นะ”แค่ได้ยินคำว่าโปรเจคหน้าจากปากมัน ผมก็แทบจะลืมทุกอย่าง จ้องไอ้อาร์มจนแทบทะลุ

“จริงเหรอครับ?...ว่าแต่ไม่ได้ให้เพราะความพิศวาสใช่ไหมเนี่ย?”ถึงจะดีใจ แต่ถ้าได้มาเพราะความพิศวาสผมก็ไม่ได้รู้สึกแฮปปี้เท่าไหร่หรอกนะครับ.... แต่ขอแค่ได้มาผมก็พอใจแล้ว อยากไปจากที่นี่จะแย่...

“ผมก็ดูจากผลงานก็เท่านั้นเอง ถ้าให้ด้วยความพิศวาส นอกจากคุณแล้วก็คงไม่มีใครได้ทำแล้วล่ะครับที่รัก”

“จะบอกผมว่ารักเดียวใจเดียว ไม่เอียงเอนหรือไงไม่ทราบครับ?”มันด้านมาผมก็ด้านกลับได้ เพื่อความเท่าเทียมกัน

“แหม...พูดมากๆผมก็เขินเป็นนะครับ แถมพูดมากๆเดี๋ยวคุณก็คงเบื่อ ไม่พูดแล้วครับ ไปทำงานเถอะ”ด้านมาตั้งนาน มาหน้าบางตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วครับมึง...

“เออ”ผมตอบรับคำเดียวแล้วก็เดินออกไป

“เดี๋ยว”....แม่งต้องมีเหตุผลพันล้านรั้งผมไว้ตลอด ไม่รั้งผมไว้มันจะตายไหมวะ....พอผมหันไปใช้สีหน้าแสดงคำถามว่ามีธุระอะไรอีกมันก็ยิ้ม

“ไม่มีจูบให้กำลังใจหน่อยเหรอ?”มันยิ้มๆยื่นหน้ามาให้

“จูบตีนผมสักนิดคงจะช่วยให้มีกำลังใจทำงานขึ้นเยอะนะครับ”ผมเหวี่ยงแล้วมันก็หัวเราะอีกครั้ง ถึงไม่อยากพูด แต่มันก็เป็นคนที่ยิ้มแล้วดูดีมากจริงๆ...ถึงจะดูกวนประสาทในบางสถานการณ์ก็เถอะ

“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว ไปทำงานเถอะครับ ดุตลอดเลยนะ”พอผมทำท่าจะฟาดหน้าแข้งมันจริงๆ มันก็รีบปรามทันที แต่ก็ยังหัวเราะได้ตลอด

“ให้ไปได้จริงๆใช่ไหมครับ เรียกอีกทีเดี๋ยวให้จูบตีนจริงๆแล้วนะ”ผมเขย่าเท้ารอถีบจริงจัง...

“ครับ ไม่กวนแล้วครับ....ถ้าคิดถึงกันก็มาหาได้นะครับ จุ๊บ”ชั่วพริบตาแก้มผมก็ถูกขโมยจูบไปทีนึง

ขณะเดียวกันนั่นเอง ขาผมก็เตะเข้าที่น่องไอ้คนเล่นทีเผลอไปแรงๆโดยอัตโนมัติเช่นกัน...

มีเสียงโอดโอยดังตามมาติดๆ แต่ผมก็เดินออกมาจากห้องแล้ว


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =




เอาไปสองตอนก่อนนะคะ อ่านแล้วยังไงก็ติชมกันได้ กำหนดว่าอาทิตย์นึงจะมาลงสักสองตอนค่ะ ฝากลูกชายสองคนนี้ด้วยนะคะ :-[


ป.ล.อาทิตย์นี้จะเอามาให้อ่านก่อนห้าตอนนะคะ ถ้าชอบจะได้ไปต่อ ไม่ชอบก็รอติดตามเรื่องอื่นๆได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ:D

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 20:36:56 โดย Lynne »

ออฟไลน์ คนอ่าน

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-13
Re: Secret love กลลับ พรางรัก บทที่1-2 จ้า
«ตอบ #3 เมื่อ03-08-2015 20:09:07 »

มาให้กำลังใจค่ะ
มาต่อเร็วๆๆๆน่ะ

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่3 4/8/15
«ตอบ #4 เมื่อ04-08-2015 16:58:04 »

บทที่ 3

และคดีข้อหาทำร้ายร่างกายครั้งนั้นก็ทำให้ไอ้คุณบอสบ่นงุ้งงิ้งไปสามวันเลย...

แต่ผมก็สวนกลับด้วยคดีลวนลามร่างกายกลับไปทุกครั้งเช่นกัน

     เรื่องระดับความสนิทสนมถือว่าดีขึ้นมาก....ส่วนเรื่องการล้วงลับตับแตกน่ะเหรอ?...ไม่ไปถึงไหน แฮคข้อมูลก็แล้ว แกล้งถามก็แล้ว เซ้าซี้ก็แล้ว แต่แม่งก็ยังไม่ยอมปริปากบอกผมเลยสักคำ พูดอยู่นั่นแหละว่า ยังเป็นความลับๆ แต่ถ้าบริษัทผู้ว่าจ้างผมยังไม่เร่งมา ผมก็ยังพอมีเวลาอยู่

...ถึงผมจะเบื่อโคตรๆก็เถอะ ที่ต้องมานั่งทำงานอยู่หน้าคอมฯทั้งวันเนี่ย

     การทำงานเอกสารอะไรพวกนี้มันไม่ใช่วิสัยของผมเลยสักนิด ผมยิ่งเป็นพวกขี้เบื่ออยู่ด้วย แต่ผมก็โดนฝึกเรื่องความอดทนมาก็ตั้งเยอะ ทั้งทนด้านจิตใจ ทั้งทนด้านร่างกาย สารพัดจะทน...เรื่องที่ยากสำหรับผมก็เห็นจะมีแต่ด้านจิตใจนี่แหละ ผมบังคับใจตัวเองไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ ต้องฝึกกันอีกเยอะ

“เบื่อชะมัดเลย....”เบื่อจนเผลอบ่นออกมาจนได้ บ่นไปผมก็นอนกลิ้งบนเตียงใหญ่ไป....แน่นอนว่าไม่ใช่เตียงผมหรอก เพราะผมคิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องใช้เตียงขนาดใหญ่โตมโหฬารเกินเหตุอยู่แล้ว

...แล้วไม่ต้องคิดกันด้วยว่าผมนอนอยู่บนเตียงคุณวัชระ จินตนาการไปถึงไหนกันแล้วครับนั่น?

แม้แต่ห้องมันผมยังไม่เคยไปเหยียบเลย ไม่เคยมีความคิดจะเข้าห้องด้วย สุดๆเลยก็แค่หน้าห้อง จะเอาอะไรกับเตียงมันล่ะ

     ...เตียงที่ผมนอนกลิ้งอยู่นี่คือเตียงน้องสาวผมต่างหาก...เตียงแบบมีม่านน่ารักๆ มีตุ๊กตาวางเรียงรายเป็นอาณาจักร แต่เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ผมเป็นเด็กที่ลุงพลรับมาเลี้ยงเพราะว่าแม่ไม่ได้อยู่กับผมแล้ว คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อก็ทิ้งผมเอาไว้ก่อนที่แม่จะจากไปอีก
     ส่วนน้องสาวผม...ชื่อไนซ์ เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก จิ้มลิ้ม แต่ออกจะแก่นแก้วมากกว่าเรียบร้อย เพราะตอนเด็กๆเวลาผมไปไหน ไนซ์ก็จะตามผมไปทุกที่ เล่นอะไรก็เล่น เรียกว่าไปไหนไปกัน จนโดนลุงดุว่าพาน้องเล่นอะไรแผลงๆ แหม...แต่ไอ้ครั้นจะให้ไปเล่นตุ๊กตาพ่อแม่ลูกเป็นเพื่อนน้องมันก็ไม่ใช่อ่ะครับ

“เป็นอะไรทำหน้าเหมือนลิงไม่ได้กินกล้วย”มาถึงปุ๊บก็จิกพี่ชายตัวเองปั๊บเลยนะ...ผมก็เลยหยิบตุ๊กตาหมีตัวบึ้กๆสักตัวในกองนั้นโยนใส่หนึ่งตัวเป็นการแก้แค้นเบาๆ

“โอ๊ย ทำร้ายน้องสาวที่น่ารักทำไมเนี่ย?”ดีดดิ้นได้น่าตีชะมัดน้องผม...มีการโยนตุ๊กตาอัดท้องผมคืนอีก แถมแรงควายอีกต่างหาก อัดมานี่โคตรจุกเลย...

“พี่ชายกำลังเซ็งๆอยู่ พูดดีๆด้วยหน่อยก็ไม่ได้”ผมกลิ้งหนียัยไนซ์แล้วลุกขึ้นนั่งข้างๆไอ้หมีหน้านิ่งที่น้องสาวผมบอกว่าน่ารักอย่างนั้น น่ารักอย่างนี้นั่นแหละ

“อนุญาตให้อิงแอบได้ แต่ห้ามเอาคุมะของเค้าไปฟัดนะ....แล้วสรุปเป็นอะไรเนี่ย?คราวนี้งานมีปัญหาอะไรอีกล่ะ”ไอ้ไนซ์มันหวงไอ้คุมะอะไรเนี่ยของมันชิบหาย เคยแอบเอามากอดทีนึงโดนทำร้ายร่างกายสารพัด สรุปแล้วมันจะมีไว้ทำไมวะเนี่ย ไอ้กองทัพตุ๊กตานี่ ถ้าจะมีไว้ประดับบารมีอย่างเดียว แตะต้องไม่ได้ ดูแต่ตามืออย่าแตะว่างั้น

“เปล่า ก็แค่เบื่อๆ ต้องมานั่งทำตัวเป็นพนักงานบริษัทนี่โคตรน่าเบื่อเลย”ผมพูดออกมาอย่างไม่ต้องกลัวความลับรั่วไหล เพราะไอ้ไนซ์เนี่ยถ้าเป็นเรื่องงานก็ปิดปาก รูดซิปสนิทไม่มีทางที่ความลับจะรั่วไหลเลย และผมเชื่อในความสามารถ ความฉลาดของไนซ์ด้วย

“อ้อ...ไนซ์ลืมไปว่ามีพี่ชายสมาธิสั้น ไนซ์เนี่ยแย่จริงๆเลย ลืมไปได้ไงนะ”ยัยไนซ์ประชดผมซะเต็มสตรีม แอคติ้งได้โล่

“ล้อเลียนเหรอห๊ะ?”ผมทำเสียงดุกอดอก แต่เด็กนี่เคยเกรงกลัวผมที่ไหนล่ะ?

“เปล๊า เค้าไม่เคยล้อเลียนน้า พี่ชายเค้า เค้าจะกล้าล้อเลียนได้ยังไงกันเนอะ ดุยังกับหมา”ดูเหมือนจะสนุกเหลือเกินที่ได้กระทบกระแทกพี่ชาย

“...โอ๊ย พักนี้มีแต่คนพูดด้วยไม่รู้เรื่อง ไปดีกว่า”ผมบุ้ยปากลุกจากเตียงไป

“อะไรๆ แค่นี้ทำงอน ว่าแต่ ที่ว่ามีแต่คนพูดไม่รู้เรื่องนี่ยังไง เล่ามา”มันกระดิกนิ้ว นั่งไขว้ห้าง ยักคิ้วใส่เป็นการสั่งว่าเล่ามาเดี๋ยวนี้

“โดนประธานบริษัทจีบ แถมไอ้ประธานนี่ก็โคตรกวนประสาทเลย อ้อนเท้าดีเหลือเกิน”ผมลงไปนั่งข้างๆมัน

“ประธานผู้ชายอีกแล้วใช่มะ พี่ชายไนซ์นี่ไปกระตุ้นต่อมอะไรเค้าอีกล่ะเนี่ย หรือว่าสเปคเกย์เดี๋ยวนี้ เป็นแบบนี้?”ดวงตากลมโตมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ...ถ้าจะเหยียดหยามกันขนาดนี้อ่ะนะ

“จะไปรู้ไหมล่ะ แต่ก็เป็นผู้ชายจริงๆนั่นแหละ”

“งั้นก็ถือซะว่าเป็นสีสันชีวิตไปแล้วกัน ถ้าเบื่อนั่งทำงานก็เข้าไปหาท่านประธานที่รัก แล้วอี๋อ๋อกันก็ได้นะ ...โอ๊ย! ดีดหน้าผากไนซ์ทำไมอ่ะ”ดีดหน้าผากแก้เผ็ดไปหนึ่งทีก็โดนประท้วงกลับมาทันที

“พี่ไม่ใช่เกย์”

“แหม ก็ไม่ลองก็ไม่รู้นี่ว่าชอบหรือไม่ชอบ เอาจริงๆนะ พี่พอร์ชออกจะ....หล่อ...ใช้ได้ ไม่อยากพูดมากเดี๋ยวเหลิง แต่ดูๆแล้วก็น่าจะมีฟีโรโมนโดนใจเพศเดียวกันเข้าเหมือนกัน แบบว่า...หน้าตาน่าจับกด...สำหรับผู้ชายคนอื่นอาจจะอยากจับกดเตียง แต่ทำไมไนซ์อยากจับกดน้ำยังไงไม่รู้...”ไนซ์ยักไหล่พูดกวนประสาทผม

“............”เงียบครับ บ่งบอกว่าแอบเคือง

“อ่ะๆ ล้อเล่นหรอกน่า พี่ชายอะไร เอาใจย้ากยาก ..อ้อ แล้วก็เรื่องนิสัย วาจาเราะร้ายนี่ ไนซ์ชักไม่แน่ใจ ต่อให้หน้าตาดียังไง มาเจอฝีปากพี่ชายไนซ์เป็นอันตรธานหายไปทุกราย ว่าแต่รายนี้ทนได้กี่วันล่ะ?”...มันพูดเรื่องจริงดังนั้นผมจะไม่ถือโทษโกรธเคืองก็ได้

“นี่ก็เกือบอาทิตย์แล้ว”

“โห เจ๋งอ่ะ นับถือๆ...ทนพี่พอร์ชได้นี่ ไนซ์อยากเห็นหน้าเลย หล่อหรือเปล่าอ้ะ”ยัยไนซ์นี่ผมยกให้เป็นตัวกวนประสาทอันดับหนึ่งเลย... แต่ก็มันอีกนั่นแหละ ที่ช่วยรับฟังเรื่องนั้น เรื่องนี้ให้ผม

“ใช่เรื่องเหรอ?”

“อะไร~ แค่นี้ก็หวง...ว่าแต่พี่เถอะคิดยังไงกับเขา”

“ก็บอกไปแล้วว่ารำคาญ แต่ช่างเถอะ เค้าบอกเองว่าเป็นความสุขของเขา ก็คงไปห้ามอะไรไม่ได้”

“โถๆ...น่าสงสาร รักใครไม่รักมารักพี่พอร์ช”ไนซ์ทำเสียงแม่พระเห็นใจสัตว์โลก ซึ่งแลดู...กวนประสาทมากสำหรับผม

“ที่พูดนี่ต้องการจะสื่ออะไร?”

“เปล๊า...แต่มาพูดระบายกับไนซ์แล้ว ก็เลิกทำหน้าเบื่อโลกได้แล้ว”คุณเธอกระแทกไหล่ผมหนึ่งทีแล้วก็เริ่มเล่าเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย

     จากนั้นผมก็เป็นฝ่ายฟังไนซ์เล่าเรื่องแต่ละวัน ไปทำอะไร เที่ยวที่ไหน ช็อปปิ้งได้อะไรมาบ้าง แล้วเล่าไปเล่ามาก็เริ่มเปลี่ยนโหมดเข้าสู่โหมดบ่น สารพัดจะบ่น เหมือนมีเรื่องในใจเยอะจริงๆบ่นเรื่องคนบ้าง สถานที่บ้าง ไม่มีทีท่าว่าจะจบ ผมก็ได้แต่พยักหน้าบ้างเป็นระยะๆ ฟังมันระบายความในใจไปเรื่อย

     คุยกันตั้งนานรู้ตัวอีกที หันไปมองท้องฟ้าก็เริ่มจะตกเย็นมากแล้ว แสงอาทิตย์ก็เริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ จากสีส้มก็เริ่มแดงก่ำ จนแทบจะลับแสง ผมคงต้องกลับคอนโดได้แล้วล่ะ

“เออ ไนซ์เดี๋ยวพี่ต้องกลับแล้วนะ ได้เวลาแล้ว”ผมมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้คนที่คอนโดรอแย่แล้วมั้งนั่น?

ไม่ต้องถามว่าคนที่คอนโดคือใคร ก็ไอ้นั่นแหละ ...ไอ้อาร์มน่ะ

“อ้าว ทำไมรีบกลับล่ะ? มีอะไรหรือไง?”น้องสาวผมถามให้เสร็จสรรพ ปากก็อมลูกอมแก้มตุ่ย

“เพื่อนข้างห้องเขารอกินข้าวเย็นด้วยกัน ไปละ”ไม่ต้องพูดอธิบายอะไรให้มากความ ผมก็รีบจ้ำออกไปทันที ก่อนจะโดนซักฟอกมากไปกว่านี้

แต่ พักนี้ทำไมหนีใครไม่ค่อยพ้นเลย จะเดินหนีก็โดนรั้งเอาไว้ตลอด...

“แล้วเพื่อนข้างห้องเขาเป็นอะไรกับพี่ล่ะ แล้วทำไมเขาต้องรอกินข้าวด้วยล่ะ? อย่าเฉไฉ หมกเม็ด บอกมา”เรื่องส่วนตัวผมนี่อยากรู้จัง....มีจิกแขนอีกต่างหาก เล็บผู้หญิงนี่จิกแล้วโคตรเจ็บอ่ะขอบอก

“เพื่อนข้างห้องก็ไอ้ประธานบริษัทที่บอกไปไง เขาขอมากินข้าวเย็นด้วยทุกวัน ถ้าไม่ไปก็ต้องลากพี่ไปอยู่ดี ...เขาอยากสร้างความคุ้นเคยกับพี่ ส่วนพี่ไปทำงาน ล้วงความลับเขา เข้าใจนะ?”

“อู๊วส์ ลึกซึ้ง พี่ก็อย่าไปหลงเสน่ห์ ตกหลุมรักเข้าแล้วกัน ใจอ่อนขึ้นมาแล้วมันแก้ยากนะ....ไม่สิ ตกหลุมไปแล้วมันขึ้นยากนะเออ ไนซ์ขี้เกียจฟังพี่บ่นเรื่องโศกนาฏกรรมความรัก...แต่ถ้าอยากปรึกษาจริงๆก็โทรไปถามพี่อ.พี่ฉ.นะคะ คิก คิก คิก”ไนซ์หัวเราะแซวผม...รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้โดนคนหัวเราะใส่บ่อยจัง

“ระดับพี่ไม่พลาดหรอก”ผมยักคิ้ว ยักไหล่ใส่ ไนซ์ก็ยักไหล่ เบะปากกลับมา

“พลาดขึ้นมาแล้วกลัวจะน้ำตาเช็ดหัวเข่าน่ะสิ...ไปๆ เดี๋ยวไนซ์ไปส่งหน้าบ้าน ไปช้า เดี๋ยวคนๆนั้นรอ...ถ้ารอไม่ไหว เกิดหิวมากๆแล้ว‘กิน’พี่พอร์ชเข้าไปล่ะ...โอ๊ย เจิดเลย ขอต้อนรับเข้าสู่สมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ค่ะ”ไนซ์เลียนเสียงพนักงานสาวประชาสัมพันธ์แล้วก็หัวเราะสนุกสนาน มือก็ดันผมลงไปข้างล่าง เดินไปส่งถึงที่รถ

“พอเลย เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ช่วงนี้ไม่อยากฟังเรื่องเกย์ๆ”ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ โดยมีไนซ์ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

“ไม่พูดก็ไม่พูด ยังไงไปทำงานก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน เป็นห่วง กลัวตายก่อนวัยอันควร แถมยังไม่ทันได้เห็นหน้าพี่เขย...เอ๊ย พี่สะใภ้เลย เอ๊ะ หรือพี่เขยจะถูกแล้วนะ”พูดแกล้งผมได้ไม่เลิกเลยจริงๆแฮะ...

“ไนซ์ก็เหมือนกันนั่นแหละ ระวังตัวแล้วก็อยู่ดูแลแม่ดีๆด้วยล่ะ ไปแล้ว”พูดจบผมก็ปิดประตูสตาร์ทเครื่องทันที ส่วนไนซ์ก็ยืนยิ้มโบกมืออยู่ที่เดิม พอผมถอยรถออกไป ไนซ์ก็เดินกลับเข้าบ้านเหมือนเดิม

     ขับรถออกจากบ้านมาเรื่อยๆก็เผชิญมหกรรมรถจอดนิ่งเต็มถนนตามคาด ช่วงเวลาประมาณนี้ ใครๆต่างก็อยากกลับบ้านกันอยู่แล้ว ผมก็ไม่ได้เร่งรีบอะไรหรอก กลับช้าแค่ไหนก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับชีวิตผม แต่ไอ้ต้นเสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุดนี่สิ

“ฮัลโหล มีอะไรครับ?”ผมเสียบหูฟังเข้ากับสมาร์ทโฟนเครื่องสีดำ แล้วกดรับสายเรียกเข้าของไอ้อาร์ม

‘ถึงคอนโดหรือยังอ่ะ’

“ยัง ได้ยินเสียงคุณแล้วผมไม่อยากกลับเลย”ผมพูดตามตรง เอาจริงๆก็เบื่อเหมือนกันที่ต้องไปเผชิญหน้ากับมัน ผมไม่ชินกับการให้ใครมาอยู่ใกล้ๆ พูดอะไรแบบนี้

‘ถึงจะพูดใจร้ายหวังให้ผมเลิกยุ่งด้วย ผมก็ไม่เลิกหรอกนะ รักไปแล้วมันจะเลิกได้ไง’มีฮิ้วแถมท้ายด้วยอีกต่างหาก เอาเข้าไป ชงเองตบเอง

“สรุปว่าถ้าต้องการมาพูดแค่นี้ ผมขอวางสายนะ”ผมพูดแบบรู้สึกรำคาญสุดๆ

‘เดี๋ยวสิ ผมแค่อยากถามว่า จะไปกินข้างนอก หรือกินข้าวฝีมือผมดี?’ผมฟังมันพูดแล้วก็รู้สึกแปลกใจนิดๆ ทำอาหารเป็นด้วยหรือไงวะนั่น?

“ทำเป็นด้วย?”คิดๆดูมันก็อยู่คอนโดคนเดียว ประสาชายโสด เบื่อๆข้าวข้างนอก บางทีคงมีอยากทำอาหารกินเองบ้างมั้ง

‘เตรียมไว้เผื่อเจ้าสาวทำอาหารไม่เป็น นี่ผมฝึกทำเพื่อมัดใจคุณโดยเฉพาะเลยนะเนี่ย’

“เหรอ งั้นขอให้เจอเจ้าสาวที่ทำอาหารไม่เป็นนั่นเร็วๆนะครับ อ้อ แล้วผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณจะทำอาหารออกมาเป็นยังไง ทำให้ผมกินหน่อยแล้วกัน แค่นี้ล่ะ ผมต้องใช้สมาธิขับรถ”พูดจบผมก็ตัดสายทันทีพร้อมตั้งสมาธิขับรถอีกครั้ง

     รถติดจนแทบหลับคารถ ผมต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าที่ผมจะฝ่ารถติดออกมาถึงที่คอนโดได้ อยากรู้เหมือนว่าคุณประธานบริษัทคนนั้นจะมีอะไรให้เซอร์ไพรส์อีก เพราะผมก็เบื่อเหมือนกันกับชีวิตที่สงบสุขเกินไปแบบนี้  ไม่สิ....เรียกว่าเบื่อชีวิตที่ไม่มีอะไรแบบนี้ถึงจะถูก

     เอาจริงๆ ตอนที่ผมบอกกับลุงว่าอยากทำงานให้กับลุง เขาก็ห้ามผมแทบตายไม่อยากให้ผมทำ แต่ในที่สุดก็ยอม แต่มีเงื่อนไขว่างานจ้างที่เข้ามาต้องเป็นงานที่ลุงอนุญาตให้ทำเท่านั้น รับงานอะไรซี้ซั้วไม่ได้ ดังนั้นงานที่ผ่านๆมาก็เลยไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาเท่าไร มีแต่เจ็บตัวแค่นิดๆหน่อยๆ งานนี้ก็เหมือนกัน ที่ผมโดนจับมานั่งทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศ

ไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะลุงอยากให้ผมเบื่อจนเลิกทำหรือไงไม่รู้

     คิดเพลินๆผมก็ขึ้นลิฟต์มาถึงที่ชั้น 17 ของคอนโด ประตูเหล็กค่อยๆเลื่อนเปิดออก พอดีกับที่สายตาผมสบเข้ากับสายตาของคนที่โทรเข้ามือถือผมคนล่าสุดพอดี

อาร์มส่งยิ้มให้ผม ท่าทางมีความสุขจนน่าหมั่นไส้ ส่วนผมก็เลิกคิ้วกลับไปให้

“มายืนทำอะไรเนี่ย?”ผมก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมเอี้ยวตัวหลบคนที่ส่งรอยยิ้มให้ไม่หยุด

“กะว่าจะมายืนรอ มาถึงแล้วจะได้เห็นหน้าอาร์มคนแรกไง”....พักนี้แม่งผีสิง หรือมโนไปเองว่าผมเป็นแฟนมันแล้วเลยพูดหวานๆกับผมหนักข้อขึ้นไปทุกวัน โดยเฉพาะที่แทนตัวเองด้วยชื่อเล่นเนี่ย....เสียวสันหลังพิกล

“พูดธรรมดาๆแบบชาวบ้านเค้าไม่เป็นหรือไง? ฟังทีไรขนลุกทุกที”ผมทำหน้าปุเลี่ยนๆไปให้มันก็ยิ้มพร้อมหัวเราะเบาๆ เหมือนว่าเวลาผมทำหน้าอย่างนี้ทีไรมันก็ทำท่าชอบใจทุกที

“พูดได้นะ แต่ไม่อยากพูด กับแฟนทั้งทีก็อยากพูดอ้อนอ่ะ”อาร์มเดินไปเปิดประตูห้องตัวเอง พร้อมกับแทบถวายตัวเป็นพรมเช็ดเท้าให้ผมเหยียบเล่นเลย

“แฟนป๊าคุณเหรอ? แม่งขี้เกียจพูดแล้ว ถือซะว่าอย่าไปเอาอะไรกับคนบ้าแล้วกัน”ผมปลงตก เมินใส่มันซะเลย ขี้เกียจพูดด้วย

“เห็นชอบเหวี่ยงก็อยากแกล้งน่ะสิ”มันเดินไปหยิบน้ำมาให้บริการทุกอย่างดี จนอยากให้ทิปจริงๆ

“แล้วสรุปทำอะไรให้กิน?”ผมชะเง้อมองเข้าไปที่ห้องครัว ที่มีของวางระเกะระกะเต็มไปหมด สภาพเหมือนเพิ่งผ่านศึกหนักมา

“ผัดไทกุ้งสด สูตรเด็ดสืบทอดมาจากคุณนายที่บ้านผม ...หมายถึงแม่ผมน่ะ แต่อีกไม่นานคงเป็นแม่คุณด้วย”มันเดินไปตักผัดไทกลิ่นหอมฉุยมาใส่จานสองใบ

“ขอบคุณ แต่เป็นแม่คุณคนเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องใจดีแบ่งปันให้ผม ...แล้วนี่ถ้าคุณเลิกหยอดผมสักเวลา ผมคงจะรู้สึกชอบคุณมากกว่านี้นะ”มองตามไปจานผัดไทก็ถูกนำไปวางบนโต๊ะอาหารพร้อมสำหรับมื้อเย็นแล้ว

“ถ้าชอบผมขึ้นมาสักนิดผมก็ดีใจนะ แต่เรื่องให้เลิกหยอดนี่คงยาก...แต่เพื่อให้คุณชอบผม ผมก็จะพยายาม”

“ทำได้ก็ดี แล้วนี้คุณไม่ได้วางยาอะไรผมใช่ไหม?”ผมเขี่ยเส้นหนึบๆอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ เป็นสายลับทั้งทีมันก็ต้องระวังตัวหน่อย

“ครับ ผมใส่ยาปลุกลงไปหน่อยนึง...อุ๊บ!!!”...ไม่ต้องตกใจไปครับว่าไอ้อาร์มมันร้องทำไม เพราะ บังเอิญมือผมมันเหวี่ยงไปโดนท้องของไอ้อาร์มพอดีน่ะสิ แบบบังเอิญใส่แรงมากไปหน่อยน่ะครับ ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายร่างกายเลยสักนิด บัญเอิญจริงจริ๊ง

“โหย ก็แค่ล้อเล่น ไม่เห็นต้องรุนแรงขนาดนี้เลยนี่...”พูดไปมันก็กุมท้องไปน้ำตาเล็ดไป เห็นแล้วสงสารนิดๆ...ย้ำว่าแค่นิดๆ

“ก็แค่ป้องกันตัวไปตามสมควร ได้ยินแล้วอยากได้คนทดสอบพิษก่อนกินชิบ...ไม่น่าเชื่อถือว่ะ”

“ไม่มีหรอก แต่ถ้ามีจริง ผมก็พร้อมจะชิมพิสูจน์ให้ดูเลยนะ”รู้สึกเหมือนข้าทาสที่แสนจะซื่อสัตย์ พลีกายถวายตัวลงมาแทบเท้า แล้วก็กระดิกหางดิ๊กๆยังไงไม่รู้....

“ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไป”ผมพูดไปก็เริ่มลงมือชิม

จะด้วยเพราะ สายตาที่ดูไม่มีพิษสง คำพูดที่ฟังดูไม่ปรุงแต่ง ไม่มีเจตนาหรือเปล่าไม่รู้

     ผมกินเข้าไปคำใหญ่ โดยมีสายตาที่จ้องมองมาอย่างคาดหวังปฏิกิริยาตอบรับจากผม รสชาติของผัดไทที่ไม่ต้องปรุงเพิ่ม และไม่รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมอย่างที่ผมระแวง ก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจแปลกๆ เหมือนกินอาหารที่ครอบครัวทำให้ ไม่มีความประสงค์ร้ายแฝงมาสักนิด

“เป็นไงบ้าง? อร่อยจนพูดไม่ออกเลยเหรอ?”ไอ้อาร์มนี่ก็โคตรมั่นใจในตัวเอง มั่นจนน่าถีบ

“เปล่า รสชาติห่วยแตก สุนัขไม่รับประทาน เด็กประถมผัดมั่วๆยังอร่อยกว่าอีก ผิดหวังว่ะ”ด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัวผมเลยพูดให้แม่งเสียความมั่นใจซะเลย

“เฮ้ยยยย จริงดิ นี่ชิมหลายรอบแล้วนะ เป็นไปไม่ได้อ่ะ”เท่านั้นแหละมันถึงได้ตาลีตาเหลือกหยิบช้อนตัวเองมาชิมผัดไทในจานของผม

“อ้าว ก็ปกติดีนี่....นี่หลอกกันเหรอ ใจร้าย อุตส่าห์ทำให้กินด้วยแรงกายแรงใจ หวังจะได้รับคำชมพร้อมหอมแก้มให้ชื่นใจ...ไม่มีอ่ะ”พอชิมแล้วพบว่ารสชาติไม่ได้ผิดเพี้ยนอะไร มันก็หันมาทำท่างอนใส่ผม หวังว่าผมจะปลอบ จะโอ๋น่ะสิ...ฝันไปเถอะ

“ก็ไม่มีไง...เฮ้อ...รู้งี้ไปกินข้าวบ้านแฟนก็ดีหรอก”พอผมพูดเท่านั้นแหละไอ้อาร์มก็ตัวแข็งค้างเลย

“แฟน?แฟนไหน????ทำไมผมไม่รู้!????”ท่าทางกระสับกระสายเหมือนโลกจะแตกของมันเห็นแล้วผมก็รู้สึกขำดีแฮะ

“ก็แล้วคุณจะไปรู้ได้ไงล่ะ ในเมื่อผมไม่มีแฟนจริงๆนี่ ...คุณนี่ก็หลอกง่ายดีนะ พูดอะไรก็เชื่อ ถ้าผมบอกให้คุณไปโดดตึกก็คงทำใช่ไหมเนี่ย?...นี่แหละ อานุภาพของคำพูด เป็นแค่ลมปาก จะไปหวังอะไรล่ะ จริงไหม?”พอรู้ว่าโดนผมแกล้งหลอกอีกรอบไอ้หล่อก็เงียบไปเลย

“...โดนอ่ะ”

“ห๊ะ?”ผมที่กำลังคีบผัดไทเข้าปากต้องชะงักทันทีกับคำพูดมัน... โดนอะไรวะ ไปโดนอะไรส่วนไหน ยังไง? หรือเผลอไปเหยียบโดนเท้ามันวะ ก็ไม่นี่?

“โดนใจอ่ะ ชอบ...กระแทกกลางใจเลยเมื่อกี้”มันทำหน้า ทำท่าทางเหมือนโดนศรรักปักกลางใจเล่นเอา ผมรู้สึกกระเดือกอะไรไม่ค่อยลงเลยทีเดียว

“เดี๋ยว...โดนใจอะไร”

“ไม่รู้สิ แต่เอาง่ายๆสั้นๆคือโดนอ่ะ”ชักพูดไม่รู้เรื่องแล้ว...นี่มันเมากัญชาหรือเปล่าวะนั่น?

“พูดไม่รู้เรื่องว่ะ พอๆ กินข้าวได้แล้ว ผมจะได้รีบกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโปรเจคหน้าที่คุณว่าสักที”

“นี่ผมอยากให้รางวัลพนักงานดีเด่นกับคุณเลยนะเนี่ย ที่รัก”...อะไรของมันไม่รู้ ชอบเรียกผมว่าที่รักๆอยู่นั่นแหละ...ฟังแล้วบางทีก็ อยากเสยคางมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเหมือนกัน

“รางวัลไม่ต้อง แค่ให้ผมได้ทำโปรเจคหน้าก็พอแล้วครับ ที่รัก”ไหนๆก็ชอบเรียกผมอย่างนี้แล้วผมก็ประชดมันกลับซะเลย...

“เวลาคุณประชด ผมก็ชอบนะ”มันยิ้มชอบใจเหมือนเด็กได้ของเล่นกลับมาให้

“.......”ผมเงียบทันที กลัวว่าเดี๋ยวจะมีอะไรไปกระตุ้นต่อมโดนใจอะไรมันอีก



= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =


ตอนที่ 3มาแล้วค่ะ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 20:40:09 โดย Lynne »

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
Re: Secret love กลลับ พรางรัก บทที่3 4/8/15
«ตอบ #5 เมื่อ04-08-2015 18:55:36 »

555 กวนกันไปกันมาเดี๋ยวก็รักกันเอง

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Secret love กลลับ พรางรัก บทที่3 4/8/15
«ตอบ #6 เมื่อ04-08-2015 19:21:22 »

ให้กำลังใจคนเขียนจ้ะ

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่4 5/8/15
«ตอบ #7 เมื่อ05-08-2015 16:36:34 »

บทที่ 4

     เป็นเวลายาวนานที่กิจวัตรประจำวันผมมีแค่>ตื่นนอน>ขับรถไปทำงาน>ซื้อข้าวเช้าไปกินกับไอ้อาร์ม>รอความลับของโปรเจคใหม่ค่อยๆเผยออกมา>ไอ้อาร์มพาไปกินข้าวเที่ยง>กลับมานั่งหน้าคอมฯ>ไอ้อาร์มพาไปกินข้าวเย็น>กลับห้อง>รายงานความคืบหน้า>อาบน้ำ>นอน>แล้วก็วนลูปกลับไปทำข้อแรก.....

     ของไอ้คุณประธานบริษัทชีวิตประจำวันมันยังมีความเปลี่ยนแปลงบ้างนิดๆหน่อยๆ แถมดูมีความสุข ลั้ลลาเหลือเกิน  แต่ผมสิแทบไม่มีอะไรเลย

แล้วไอ้โมเมนต์ ทำงานช้าจนต้องโดนผู้ว่าจ้างลากไปกระทืบน่ะเหรอ? ไม่มีเลยสักนิด...

     บอกเลยว่าคราวนี้ บริษัทผู้ว่าจ้างผมโคตรใจเย็น ถ้าจะเร่งก็แค่พูดเสียงเหี้ยมๆใส่ ไม่เคยทำร้ายร่างกายแบบที่มีในหนัง ถึงจะทำงานช้าไม่ได้ดั่งใจก็เถอะ ...แต่แบบรู้สึกว่าชีวิตผมแม่งจะเอื่อยเกินไปแล้ว....

นั่งทำตัวเป็นแพนด้าอยู่เฉยๆ มันไม่ใช่แนวผมอ่ะครับ

     ดังนั้นกิจกรรมเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ผมหายเบื่อได้ในตอนนี้ก็คือ....การออกกำลังกายครับ กระโดดเชือก โยคะ ว่ายน้ำ ยกเวท ชกมวย วิ่ง สารพัดผมทำหมด...และตอนนี้ทุกๆวัน ผมก็จะมาเข้าฟิตเนสที่อยู่ชั้นล่างสุดของคอนโดครับ และด้วยความที่ไม่อยากพบปะผู้คน ผมจึงเลือกไปในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีคน

     ปิ๊บ

     ผมกดปุ่มใช้งานลู่วิ่ง ตั้งค่าเรียบร้อยก็ออกสตาร์ท วิ่งไปเรื่อยๆมองคนที่กำลังเข้ามาที่นี้ไปด้วย สงบจนแทบจะว่างเปล่า บางครั้งยังรู้สึกว่าตัวเองไฮเปอร์เกินไปหรือเปล่าเลย

แต่ผมก็ไม่ค่อยอยากออกไปไหนเท่าไหร่ กลัวแจคพอตเจอโจทก์เก่าแล้วมันวุ่นวาย

แต่อีกใจก็คิดว่าเจอก็ดีเหมือนกัน(เอ๊ะ...นี่ผมจะเอายังไงกันแน่?)

     จะยังไงก็เถอะ ไม่ต้องมีไอ้อาร์มคอยป่วนสักพักก็ดีแล้ว สบายใจดี ขี้เกียจไปเผชิญหน้าด้วย ถามว่าตอนนี้ผมคิดยังไงกับมัน?...ก็เหมือนเดิม รำคาญ อยากไปให้ไกลๆ

เออ ผมยอมรับว่า นิสัยเสีย ผมรู้ตัวดี

ไม่ชอบผมก็บอกไม่ชอบ ให้ใครมาเกาะแกะผมตลอดทั้งวัน ผมไม่เอาด้วยเด็ดขาด
     ตึก ตึก ตึก

     ดูเหมือนจะสงบ สบายใจเฉิบเกินไป รู้ตัวอีกที ผมก็รู้สึกได้ว่ามีใครมาอยู่ข้างหลังผมแล้ว พอเห็นเงาสะท้อนที่กระจกว่าเป็นใคร และดูดีๆก็ไม่มีใครอยู่ข้างในนี้ อีกทั้ง มือมันกำลังเข้ามาใกล้ผมเหมือนจะดึงผมเข้าไป ผมจึง....

     หมับ พลั่ก!

หันไปคว้าแขนกระชากเข้ามาจับให้ไพล่หลัง แล้วกดลงกับพื้นทันที

“โอ๊ย พอร์ช เจ็บนะ~”คนโดนกดกับพื้นร้องโอดโอย แต่ผมไม่สนหรอก นั่งทับแม่งเลย

“อ้าว ก็มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ก็นึกว่าโจรที่ไหนน่ะสิ”ผมตีเนียนแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ พร้อมส่งแรงกดให้หนักขึ้น เพราะไอ้อาร์มนี่ดิ้นพราดๆไม่หยุดสักที

“โกหก เห็นแอบมองกระจกอยู่นี่เมื่อกี้ โอ๊ย...ปล่อยได้แล้วคร้าบ เจ๊บเจ็บ”เสียงร้องขอฟังดูแหลมากมายจนรู้สึกหมั่นไส้

“ถ้าอยากให้ปล่อยร้องขอดีๆเป็นไหม?”

“โอ๊ย โดนใจอีกแล้วอ่ะ ดุดีจังชอบๆ เอากลับบ้านได้ป่ะ?”เห็นท่าทางเคลิบเคลิ้มมีความสุขแล้วผมก็ปล่อยมันทันที

“ฮึ่ย มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย”พอทำท่าแหยงๆไปเท่านั้นมันก็ยิ้มร่าเริงกลับมาอีก

“ไม่เอา ก็อุตส่าห์มาหาถึงที่นี่ทั้งที”ไอ้คุณอาร์มยืนกรานเป็นเด็กจะไม่ไปไหนอย่างเดียว

“ไม่ได้ขอให้มานี่ ....แต่ถ้ายังไงๆก็ไม่ไป งั้นเดี๋ยวผมไปเอง”ผมทำท่าจะหันกลับไป กะว่าจะเดินหนีไปให้พ้นๆ ในเมื่อมันไม่ไป งั้นผมไปเอง

“เอ๊~~~อย่าเพิ่งไปสิ~”พูดจบเจ้าตูบตัวใหญ่ก็เข้ามาพันแขนผม กระดิกหางพั่บๆ ร้องงี้ดๆ อย่างน่าสงสารส่งสายตาเว้าวอนมาให้...เจ้าตูบที่ชื่อว่าอาร์มน่ะ

“ขอผมอยู่ห่างๆคุณสักวันมันจะเป็นอะไรไหมครับ?”

“....ถึงแม้ว่าผมจะมาบอกเรื่องโปรเจคหน้าน่ะเหรอ”....พักนี้เหมือนมันรู้จุดผม ถึงเอาคำว่า’โปรเจคหน้า’มาพูดยั่วให้ผมชะงักค้างพร้อมรับฟังทุกที

“คุณก็พูดอย่างนี้ทุกที แต่ไม่เห็นบอกอะไรผมเลยสักนิด”

“คราวนี้บอกแน่ๆ ...แต่แลกกับหอมแก้มหนึ่งทีก็ไม่เลว”พูดแล้วก็เข้ามาใกล้จนผมเสียววูบเลย

“เออ งั้นผมไม่อยากรู้แล้ว ลาออกแม่ง บริษัทอะไรความลับเยอะชิบ ประธานบริษัทก็ชอบลวนลามพนักงาน ชิ”ประชดใส่แม่งแต่ไอ้อาร์มก็ยังยิ้มรับทุกคำพูดอยู่ดี

“น่าๆ นี่ก็จะบอกอยู่นี่ไง...คราวหน้าโปรเจคหน้าเราจะทำเกี่ยวกับ....”พูดแล้วมันก็เว้นช่วง มองหน้าผมกะจะให้ผมลุ้นตาม

“เกี่ยวกับ?”ผมถามหน้านิ่งสุดขีด เพราะปลงกับมันแล้ว ไม่รู้จะมาไม้ไหนอีก

“เกี่ยวกับ.....เดี๋ยวขึ้นห้องแล้วผมจะบอกให้แล้วกัน จะได้เอาเอกสารให้ดูด้วย”นั่นไง....มันต้องมีอะไรแบบนี้ตลอด

“แต่....อย่าลืมว่านี่คือ ความลับ”เน้นความลับซะใกล้หูผมเชียว ขนลุกเว้ย....

“คุณนี่ก็ย้ำผมจัง เห็นผมเป็นคนปากพล่อยขนาดนั้นเลยหรือไง?”

“เปล่า แค่กลัวคุณเผลอ...ว่าแต่ คุณเคยบอกว่าจะทำงานที่นี่ไม่นานใช่ไหม?”

“อืม ผมต้องไปช่วยงานพ่อที่ต่างประเทศ”....ผมก็แถไปได้เรื่อยๆ ช่วยงานก็จริง แต่คนที่ช่วยไม่ใช่พ่อ เป็นลุงต่างหาก แล้วก็ไม่ได้ไปต่างประเทศอะไรด้วย

“แล้วทำไมตอนแรกถึงมาทำงานที่บริษัทผมล่ะ?”นี่ก็ถามซอกแซกจริง

“ตอนแรกที่บ้านผมก็ปล่อยให้มาหางานเอง ไม่ได้บังคับให้ช่วยงานหรอก เรียนจบหางานที่ไหนทำได้ก็ทำ แต่พอผมเข้ามาทำงานได้แค่แป๊บเดียว ทางบ้านเค้าก็เรียกตัวให้ผมไปช่วยงานแล้ว”ที่พูดไปนี่แถล้วนๆ เตี๊ยมบทไว้นานแล้วด้วย

“อย่างนี้ผมก็มีเวลาจีบคุณแค่นิดเดียวสิ”นึกว่าอะไร ที่แท้ก็กลัวจะไม่ได้จีบผมนี่เอง....

“แล้วไงล่ะครับ?”

“ผมจะได้เร่งจีบคุณไง แล้วคิดว่าทำยังไงผมถึงจะพิชิตใจคุณได้ล่ะครับ?”นี่ก็พูดจีบผมได้ตลอดเวลาเลยจริงๆ สายตาออดอ้อนขอความรักชวนให้หลายคนละลาย แต่หลายคนที่ว่านั่นไม่ใช่ผมแน่นอน

“ก็ไปคิดเองสิ”พูดแล้วผมก็เดินหนีมันซะเลย...แต่ก็อย่างว่าแหละไอ้อาร์มมันชอบรั้งผมเอาไว้ ดังนั้นผมจึงใช้สกิลหลบเนียนๆออกมา

“อ้อ แล้วก็ขอความกรุณาเอาเอกสารให้ผมดูด้วยนะครับ คุณวัชระ”ผมพูดเมินเฉยใส่มัน ทำท่าไม่สนใจจะได้เลิกยุ่งกับผมสักที

“โธ่ เรียกว่าอาร์มให้ผมชื่นใจหน่อยก็ไม่ได้”

“ผมเป็นลูกน้อง คุณเป็นประธานบริษัท เรียกแบบนี้ถูกต้องแล้วล่ะครับ ผมไม่กล้าพูดจาลามปามกับคุณวัชระหรอกครับ จริงไหม?”ผมตีหน้าพนักงานดีเด่น เอาตัวออกห่างคุณประธานบริษัทคนที่ว่า

“พอร์ช~อย่าทำตัวห่างเหินกันแบบนี้สิ”ไอ้อาร์มทำท่าจะเป็นจะตายเหมือนปลาขาดน้ำ ทำเสียงง้องแง้งจนฟังดูน่ารำคาญในบางครั้ง

“ผมก็ทำตัวตามปกตินี่ครับ”

“.........”ดูมันเงียบทำหน้างอน น่ารักตายล่ะ เออ เงียบแหละดี เงียบไปให้ได้ตลอดนะ สบายหูดี

“พอร์ช”เดินเงียบๆไปขึ้นลิฟต์ไอ้อาร์มก็เรียกผม

“มีอะไรครับ?”

“ผมไม่เคยจีบใครนะ...แล้วผมก็จีบไม่เป็น ไม่รู้ว่า...จะทำให้คนๆนึงมารักนี่มันจะต้องทำยังไง”อยู่ๆก็ทำหน้าซึมเสียงเนือยๆ ก็อย่างว่าแหละ...คนที่จะจีบใครสักคนแล้วเขาไม่รัก ไม่แยแสมันก็กระวนกระวายเป็นธรรมดา

“ก็ไม่ต้องทำไง เวลาจะเป็นเครื่องตัดสินเองว่าเป็นยังไง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด...จะไปกังวลทำไม?”ผมบอกตามความเชื่อของตัวเอง อะไรที่เราคิดว่ามันแน่นอนวันข้างหน้ามันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ ถึงตอนนั้นก็มีแต่ต้องยอมรับมัน

“ก็พอร์ชใจแข็งจะตายนี่”มันเดินตามผมขึ้นลิฟต์เหมือนเจ้าตูบผู้ซื่อสัตย์ จริงๆผมก็ไม่ได้รังเกียจเรื่องรักร่วมเพศอะไรหรอก ถึงจะขนลุกทุกครั้งที่ไอ้อาร์มรุกเข้าใส่ก็เถอะ แล้วก็ไม่ได้รังเกียจถ้าจะเปิดใจรับรักใครสักคน แต่ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้ตัวเองทำหน้าที่อะไรอยู่

ไม่ได้เป็นคนใจแข็ง แต่แค่ไม่สามารถเปิดใจให้ใครได้เท่านั้นเอง

ที่สำคัญคือ...ผมไม่ได้รู้สึกอะไรพิเศษกับอาร์มเลย

     อาร์มเป็นแค่คนที่ผมต้องมาล้วงความลับ เป็นคนที่ผมจะต้องหักหลังเขาในภายหลัง ผมไม่อยากรู้สึกอะไรกับเขาไปมากกว่านี้ ไม่อยากถลำลึก และไม่อยากให้เขามายึดติดกับผมด้วย

“รู้ก็ดี”

     ติ๊ง

     ลิฟต์มาถึงที่ชั้น17พอดี อาร์มเดินนำผมเข้าห้องมัน สภาพห้องเหมือนเดิม ไม่มีของอะไรมากมีแต่เอกสาร วางระเกะระกะเต็มไปหมด

“แต่ผมก็ไม่ล้มเลิกความพยายามหรอกนะ”อาร์มยิ้มท่าทางดูมีกำลังใจขึ้น...จะว่ามองโลกในแง่ดีก็คงใช่

     ผมมองตามมันเข้าไปในห้องที่ดูเหมือนจะเป็นห้องทำงาน เห็นรื้อๆเอกสารในลิ้นชักสักพักใหญ่ๆ ก็หยิบซองสีน้ำตาลออกมาแกะดู ก่อนที่จะเดินเอาออกมาให้ผม

“นี่เป็นข้อมูลบางส่วนของโปรเจคหน้า...ส่วนรายละเอียดตอนนี้ยังประชุมกันอยู่”

“ขอบคุณครับ....ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับห้องนะครับ”

“อืม”อาร์มตอบรับอย่างว่าง่าย สั้นๆ ไม่มีคำพูดหวานเลี่ยนน่าขนลุก ไม่มีการรั้งตั้วผมไว้เหมือนทุกที ....แต่ก็ดีแล้ว ผมจะได้กลับห้องสบายๆ ไม่ต้องโดนรบกวน










     เวลา 6 โมงเช้า ผมตื่นเช้า ทำกิจวัตรตามปกติ เดินละเมอไปล้างหน้า อาบน้ำ แต่งตัวในเวลาไม่นาน แค่นั้นผมก็พร้อมออกจากไปข้างนอกแล้ว อ้อ...อีกเรื่องที่ผมต้องทำทุกเช้าก็คือเช็คเมล์ เช็คข่าว ไม่ว่าจะข่าวบ้านเมือง สถานการณ์ปัจจุบัน หรือ ข่าวคราวเรื่องงานสายลับที่ทำอยู่

     ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็เดินมาที่รถตามปกติ...ก็เหมือนเดิม พอถึงบริษัทก็วนรถหาที่จอด เดินไปซื้อมื้อเช้าสำหรับสองคน...

     เดินคิดนู่นคิดนี่ รู้ตัวอีกทีก็เดินเข้าห้องอาร์มมาแล้ว ทุกอย่างเหมือนกับทุกวันคือ อาร์มนั่งยิ้มรอผมทุกเช้า อยู่กับมันแล้วรู้สึกว่า ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัวมีเรื่องอันตรายเลย อาร์มไม่เคยมีท่าทีจะทำร้ายผม ซ้ำยังปกป้องผมด้วย เป็นสไตล์ผู้ชายอบอุ่นจริงๆ เพราะอย่างนั้นผมถึงได้รู้สึกว่าวางใจได้บ้าง

ถึงบางทีผมจะรู้สึกว่าใช้ประโยชน์จากความรู้สึกมันไปหน่อย จนรู้สึกผิดก็เถอะ
“สวัสดีครับ”ผมเดินไปนั่งที่โซฟาที่เดิม ทันทีที่นั่งลงอาร์มก็เดินมานั่งข้างๆเหมือนเช่นทุกที แสงวันใหม่ค่อยๆส่องเข้ามาในห้อง เงียบสงบจนได้ยินเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศ

“อืม อรุณสวัสดิ์ เอาข้าวเช้ามาให้ทุกวันเลยนะ”อาร์มยิ้มรับแซนด์วิชแผ่นใหญ่ที่ผมยื่นให้ แล้วก็นั่งกินข้าวเช้าด้วยกันเหมือนทุกๆวัน

“กลัวไม่เอามาให้แล้วจะรอเก้อ เดี๋ยวจะทำงอนใส่อีก”ผมพูดแบบนี้แล้วอาร์มก็หัวเราะ พักนี้ไม่รู้เป็นอะไร รู้สึกเหมือนเสียงหัวเราะโทนต่ำนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ถ้าวันไหนไม่ได้ยินคงรู้สึกแปลกๆ

“แต่พรุ่งนี้ไม่ต้องเอามาแล้วนะ เดี๋ยวจะเตรียมไว้ให้”

“ตามใจคุณเถอะ เตรียมให้ถูกปากผมแล้วกัน ไม่งั้นผมไม่กิน”พูดไปงั้นแหละ แต่ผมเป็นเด็กเลี้ยงง่าย กินได้แทบทุกอย่าง แค่กินแล้วไม่ตายก็พอ

“อยากกินอะไร ไกลแค่ไหนก็จะไปเอามาให้”หยอดผมวันละนิดจิตแจ่มใสคือคำขวัญของอาร์ม แต่ฟังแล้วก็หายเครียดดี ไม่อยากจะคิดมาก อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

“ผมคงไม่ใจร้ายขนาดให้คุณไปหาของป่าถึงในลุ่มแม่น้ำอะเมซอนหรอก”ต่อล้อต่อเถียงกับมันสักนิดก็คงพอแก้เบื่อไปได้บ้างเหมือนกัน

“ถ้าคุณต้องการ ผมก็ทำได้นะ”ทั้งคำพูด แววตาเป็นประกายระยับเหมือนเด็กๆต้องการคำชมจากพ่อแม่ไม่มีผิด

“ยอมพลีกายถวายตัวให้ผมขนาดนั้นเลย?”

“ยกให้ทั้งตัวทั้งหัวใจเลยเอ้า”มันทำท่าเหมือนจะควักหัวใจที่เต้นตุบๆอยู่ใต้อกมาให้ผมจริงๆ

“แต่ผมไม่อยากได้ไงครับ”ให้กำลังใจมันสักหน่อย...

“ไม่อยากได้แต่อยากให้...แล้ววันนี้มีอะไรหรือเปล่า? เห็นตอนเดินเข้ามาดูเหม่อๆ หรือนอนไม่พอเพราะคิดถึงผม?”ไม่พูดเปล่ายังเขยิบเข้ามาใกล้ผมอีกด้วย แต่ผมก็ชักจะเมินๆ ปล่อยเลยตามเลยแล้ว จะทำอะไรก็ทำไป

“เปล่า ไม่มีอะไร ไม่ได้คิดถึงใครทั้งนั้น”ผมยัดแซนด์วิชคำสุดท้ายเข้าปาก ไม่จำเป็นต้องเอาความรู้สึกนึกคิดในใจไปบอกกับใคร ไม่จำเป็น และก็ไม่สามารถบอกกับใครได้ด้วยเช่นกัน

“ไม่มีอะไรก็แล้วไป แต่ถ้าคิดถึงกันเมื่อไหร่ก็บอก”รอยยิ้มมันยังทรงพลังมหาศาลเหมือนเดิม พูดเสร็จก็กินขนมปังสีขาวในมือเงียบๆ ส่วนผมก็มองมันกินเงียบๆ ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ไม่รู้จะเค้นความลับมายังไงอีก

ผมก็ไม่ใช่คนฉลาดอะไร ออกจะโง่ด้วยซ้ำ คิดอะไรกับเขาไม่ค่อยทันหรอก

“รู้สึกเบื่อบ้างไหม?”ผมถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ แต่ไม่ได้หันไปมองคู่สนทนาแต่อย่างใด

“เบื่ออะไรล่ะ? ถ้าถามว่าเบื่ออาหารเช้าไหม ผมก็จะตอบว่าไม่ ถ้าถามว่าเบื่องานที่ทำไหม ผมก็คิดว่าไม่ ....หรือถ้าถามว่าเบื่อคุณบ้างไหม ผมก็จะบอกว่า...ไม่มีทางเบื่อเลย”ทำไมมันถึงได้ปากหวานถึงขนาดนี้นะ ผมอยากรู้จริงๆ

“โอเค คำถามผมคงไม่เคลียร์...งั้นผมถามใหม่ คุณเบื่อชีวิตประจำวันของคุณบ้างไหม?”พอไอ้อาร์มเคี้ยวแซนด์วิชคำสุดท้ายหมดพอดีผมก็หันไปมองคนที่ผมถามคำถามไป คำตอบที่ได้รับคือรอยยิ้ม

“แค่มีคุณอยู่ผมก็ไม่เบื่อแล้ว...รู้ไหมว่าทุกวัน ผมจะคิดเสมอเลยนะ ว่าวันนี้คุณจะทำอะไร จะใจร้ายกับผมหรือเปล่า หรือจะยอมใจอ่อนกับผมไหม ...จะยิ้มให้ผมเห็นสักครั้ง หรือจะสะบัดมือผมทิ้งไหม...ผมคิดไปสารพัด พอคิดแบบนี้แล้วผมก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่เคยเบื่อเลย”อาร์มเล่าด้วยท่าทางมีความสุขจริงๆ การรักใครสักคนมันมีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ? ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

“เหรอ”ผมได้ยินแล้วก็รู้สึกอิจฉานิดนึงเหมือนกัน ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่อยากจะเข้าใจสักเท่าไหร่...แค่อยากรู้ว่า มันจะเหมือนกับการที่เรารักครอบครัวหรือเปล่า แล้วมันพิเศษยังไงกันก็เท่านั้น

“อย่างที่คุณบอกไปจริงๆนั่นแหละ...เวลาเป็นเครื่องตัดสิน เราไม่รู้เลยว่าจะตกหลุมรักใครสักคนเมื่อไหร่ ใจเราจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วขนาดไหน พอได้รักใครแล้ว มันก็ทั้งสุข ทั้งทรมานใจแปลกๆ ....ถ้าคุณได้พบกับความรักแล้วจริงๆ คุณก็คงจะเข้าใจ”คำพูดของไอ้อาร์มฟังดูเหมือนเป็นเรื่องวิชาการที่เข้าใจยากขึ้นมา มีความวกวนคลุมเครือ อธิบายไม่ถูก

“ผมได้ฟังปรัชญารักจากคุณวันละครั้งเลยรู้ไหม?”

“จริงเหรอ?”อาร์มยิ้มขำๆ แล้วก็เงียบมองผมอยู่อย่างนั้น มีความสุขนักหรือยังไงก็ไม่รู้ ...จับจ้องผมเหมือนโหยหาบางอย่าง เหมือนอยากเข้ามาใกล้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่อยากทำอะไรให้ผมต้องตั้งกำแพงให้สูงขึ้นไปอีก

“....ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ”แค่ได้รับความรักจากใครสักคนแล้ว แต่ทำไมรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาเฉยๆ หรือเพราะมันทำให้ผมลำบากใจที่จะมาล้วงความลับจากเขาก็ไม่รู้



= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =


ตอนนี้ยังคงมาเรื่อยๆมาเรียงๆ ยังคงจีบกันไปจีบกันมาอยู่(?) ยืดเยื้อยังไงก็บอกกันได้ค่ะ^_^ ติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะคะ :mew1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 20:42:45 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่5 6/8/15
«ตอบ #8 เมื่อ06-08-2015 18:07:53 »

บทที่ 5

จากการที่ผมใจลอยทุกวัน ผมก็เลยถูกลากออกมาข้างนอกอย่างที่เห็นนี่แหละ...

     สารพัดเสียงจากทั่วสารทิศผสมกันจนฟังไม่ได้ศัพท์ ส่วนมากเป็นเสียงเพลง ทำนองเร้าใจ สนุกสนาน แสงสีสาดส่องสลับสีไปมาชวนให้ลายตาพิลึก ผู้คนในที่นี่ส่วนมากก็เป็นผู้ชายซะมากกว่า มากันเป็นกลุ่มๆ  ส่วนผมได้แต่ยืนมึนๆอยู่กับที่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มทำอะไรตรงไหนดี

แล้วอย่าเพิ่งเข้าใจผิดไปว่าผมเข้าผับ บาร์อะไรแบบนั้นนะ

     คนดี สุภาพบุรุษ ใสสะอาดโคตรๆอย่างไอ้อาร์ม ยังไงๆมันก็ชวนผมมาเกมเซ็นเตอร์อยู่แล้ว เอาจริงๆผมก็ไม่ค่อยได้เล่นเกมส์กับเขาหรอก ไอ้ที่เห็นขยับๆอยู่บนจอนี่ ผมทดลองปฏิบัติจริงมาหมดแล้ว ไม่เคยเล่นบนหน้าจอแบบนี้
     สาเหตุอันเนื่องมาจากผมจิตใจไม่ค่อยอยู่กับล่องกับลอย คิดโน่นคิดนี่จนเหม่อลอยบ่อยๆ จนไอ้อาร์มเป็นห่วง อยากทำให้ผมมีชีวิตชีวาขึ้น หลังเลิกงานมันเลยพาผมมาที่นี่

    แต๊กๆๆๆ แต๊กๆๆๆๆๆๆ

     เสียงรัวปุ่ม เสียงรัวกลอง หรือกระทั่งเสียงกระทืบเท้า ดังอย่างบ้าคลั่ง ผสมผสาน กลมกลืนกันได้อย่างน่าประหลาด แต่ก็เร้าอารมณ์ให้นึกสนุกตาม

“แล้วจะให้ทำอะไร?”ผมถามคนที่เพิ่งเดินไปแลกเหรียญมาเป็นสิบเหรียญ ท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“อยากเล่นเกมอะไรล่ะ?”

“ไม่รู้ ไม่อยากเล่น”

“เอาน่า ลองเล่นดู ปล่อยตัวตามสบายดูสักวันก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่ต้องคิดอะไรมาก เล่นๆไปเดี๋ยวก็หายเครียดเอง”พูดแล้วมันก็เดินเข้ามาดันไหล่ผมให้เดินไปข้างหน้า

“เออๆ แต่ไม่รู้จะเล่นอะไรนะ ไม่เคยเล่น”

“ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวบอกให้ นั่นๆ เกมTekken รู้จักใช่ไหม? มีคันโยกแล้วก็กดๆปุ่มออกท่าเอาน่ะ นั่นเกม...เกมอะไรสักอย่างนี่แหละ จำชื่อไม่ได้ มีเพลง ให้กดปุ่มรอบๆวงกลมแบบที่เขาเล่นกันอยู่นั่นเห็นไหม?....แล้วก็ๆ นั่นไทโกะ อันนี้ก็เป็นเพลง ตีกลองตามสีบนหน้าจอ...แล้วนั่นก็....”ไอ้อาร์มยิงข้อมูลใส่เหมือนปืนกลที่รัวอยู่บนหน้าจอนั่นไม่มีผิด ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็พอจับใจความได้

“เอาเป็นว่าลองไปเล่นดูดีกว่าเนอะ เดี๋ยวสอนให้ สนใจเกมไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

“เกมนั้นมันอะไร? ที่คนเต้นๆนั่นน่ะ”ผมชี้ไปยังน้องนักเรียนชายที่เต้นๆอยู่ข้างหน้าตู้เกมขนาดใหญ่ ไม่เกรงสายตาผู้คนสักนิด สเตปเทพมาก เต้นได้ทุกท่า

“อ๋อ อันนั้นไม่มีอะไรมาก แค่เต้นตามที่ตัวละครเต้นบนหน้าจอน่ะ อยากลองเหรอ?”

“เหอะ ไม่ดีกว่า”ใครจะไปเต้นๆโชว์คนอื่นให้อายเล่นวะ ยังด้านไม่พอ

“งั้นเดี๋ยวพาไปคลายเครียดกับเกมไทโกะก่อนแล้วกัน เกมน่ารักๆ กราฟฟิคน่ารักสบายตา มีเพลงให้ฟัง เล่นเพลินๆ แถมดนตรีก็ช่วยให้คลายเครียดดีนะ”มันพาผมไปหน้ากลองแบบญี่ปุ่นมีไม้ตี ตัวการ์ตูนก็น่ารักจริงๆนั่นแหละ

“ก็แล้วแต่เลย”พูดไปงั้นแหละ เอาจริงๆผมก็อยากลองเล่นแล้วเหมือนกัน ปล่อยวางดูบ้าง กลับไปเป็นเด็กบ้างก็ดีเหมือนกัน

“พอร์ชเล่นฝั่งนี้ เดี๋ยวอาร์มเล่นอีกฝั่งนะ”....ไม่รู้ทำไมบางทีมันก็ชอบทำตัวหน่อมแน้ม เรียกแทนตัวเองว่าอาร์มอยู่บ่อยๆ

“เล่นสองคนได้ด้วย?”ผมถามแบบโง่จริงๆไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย...เออ แต่สังเกตดูอีกทีก็มีกลองสองใบ ก็น่าจะสำหรับเล่นสองคนละมั้ง?

“เกมส่วนใหญ่ที่นี่เล่นสองคนได้อยู่แล้ว หรือจะเล่นคนเดียวก็ได้ แต่แนะนำเล่นสองคนสนุกกว่านะ”อาร์มยิ้มชี้ให้ดูน้องๆ ส่วนใหญ่ก็เล่นกันสองคนจริงๆ

“...ก็แล้วแต่เลย”ชักจะพูดประโยคนี้ติดปากแล้วสิ

“เอ่อ...นี่อาร์มไม่ได้บังคับใช่ไหม?”

“ก็น่าจะรู้ตัวว่าบังคับตั้งแต่ที่พาผมมาที่นี่แล้วนะ...แต่ช่างเถอะ มาปลดปล่อยบ้างก็ดีเหมือนกัน”ผมหยิบไม้สำหรับตีขึ้นมาเตรียมพร้อม เป็นการบอกว่า จะเล่นแล้ว มีอะไรอีกไหม?

“โอเค งั้นจะอธิบายนะ...”อาร์มหยอดเหรียญเข้าไปสี่เหรียญ แล้วก็หยิบไม้ตีของตัวเองขึ้นมา เสียงบรรยายภาษาอะไรไม่รู้เหมือนภาษาต่างดาวดังขึ้นมาต่อเนื่อง

“ไม่ต้อง  อ่านจากวิธีเล่นข้างหน้าก็รู้แล้ว”ผมอ่านป้ายข้างหน้าแล้วจดจำอย่างรวดเร็ว

“เอางั้นก็ได้ เอ้อ...พอร์ชตีของตัวเองก่อนหนึ่งทีนะ”อาร์มพูดแล้วตีให้ดูเป็นตัวอย่าง ผมก็ทำตาม หน้าจอเปลี่ยน เสียงเพลงก็ดังตามมา

“เอาเพลงไหนดี?”

“เพลงไหนก็ได้ ไม่รู้จักสักเพลง ภาษาก็ภาษาอะไรไม่รู้ อ่านไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่อง”ผมมองหน้าจอแล้วตาลาย ตัวอักษรแม่งติดกันเป็นพรืดๆเลย

“งั้นเลือกให้แล้วกันนะ”อาร์มเคาะหน้ากลองเลื่อนไปเรื่อยๆเพื่อเลือกเพลง

“เอาเพลงนี้นะ?”เมื่อเลือกจนเวลาบนหน้าจอจะหมด แล้วได้เพลงเพราะๆมา มันก็หันมาถามเพื่อความแน่ใจ

“ก็บอกว่าแล้วแต่ไง”ผมยักไหล่กระดิกเท้าดิ๊กๆรอไอ้อาร์ม ผมน่ะยังไงก็ได้อยู่แล้ว

“งั้นก็เริ่มละนะ 3 2 1 ...”นับจบหน้าจอก็เปลี่ยนไป ผมใช้เวลาตั้งสติไม่นานก็เริ่มลงมือเล่น ไม่สนใจสิ่งรอบข้างแล้ว

…….
……
…..
….


..
..
.



    ไม่นานจากที่ผมไม่รู้สึกสนใจอะไร และคิดว่ามันเป็นเกมเด็กเล่น แต่กลับกลายเป็นว่า ผมดันเล่นจนติดลมซะงั้น....แถมยังเล่นเยอะกว่าไอ้อาร์มที่เป็นคนชวนผมเล่นอีก ผมต้องกราบขอโทษทุกคนจริงๆที่เคยคิดว่ามันเป็นเกมเด็กๆ

“อาร์ม!อีกตาดิ๊!”ผมเรียกมันประหนึ่งเป็นเพื่อนสนิท แม้ว่าทั้งแขนจะรู้สึกชาไปหมดเพราะแรงสะเทือนจากการตีกลองก็เถอะ

“เอ่อ....เมื่อกี้ก็ซัดไป 3 รอบแล้วนะพอร์ช ลองเล่นเกมอื่นดูไหม?”

“เกมอะไร?”

“Tekkenน่ะ”อาร์มชี้ไปที่ตู้เกมยอดฮิตที่ตอนนี้กำลังว่างอยู่พอดี ก็รู้จักชื่อนี้อยู่นะ เพราะตอนเรียนเคยได้ยินเพื่อนพูดชวนไปเล่นเกมนี้อยู่ แต่ก็ไม่เคยไปเล่นกับเขาสักที

“เอาสิ”แล้วผมก็ไปนั่งหน้าตู้เกม ที่นั่งนี่ก็ไม่รู้ยังไง ทำให้ผมกับมันนั่งใกล้กันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่อารมณ์ตอนนี้คือผมไม่ได้สนใจอย่างอื่นนอกจากเกมตรงหน้าแล้ว

เหมือนได้เจออีกโลกนึงที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน โลกที่ตอนเด็กๆผมไม่ได้สัมผัส


     ผมฟังคำอธิบายจากไอ้อาร์ม กดเลือกตัวละคร แล้วก็เลือกฉาก เข้าสู่เกม แรกๆผมก็ยังกดไม่เป็น เล่นไม่ค่อยได้บ้าง แต่อาร์มมันก็คอยบอกอยู่ตลอด ปล่อยตัวละครของมันยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ตอบโต้บ้างก็เล็กน้อย เหมือนว่าต้องการให้ผมเล่นให้พอใจ สักพักนึงพอผมเริ่มจับหลักได้ก็ติดลมตามเคย....มือก็กดปุ่มรัวๆเล่นเกมต่อสู้ตรงหน้าอย่างเมามัน

“โห แพ้แล้ว....พอร์ชเก่งอ่ะ เพิ่งเริ่มเล่นครั้งแรกก็ขนาดนี้แล้ว ยอมเลย”พอตัวฝั่งผมพูดประโยคอะไรไม่รู้ยาวๆทำนองว่าชนะแล้ว แพนภาพกราฟฟิคสุดอลังการอาร์มก็ร้องโหยออกมา ทำให้ผมรู้สึกสนุกพิกลที่ได้เล่นเกมชนะคนที่เล่นมานานอย่างมัน

“อ่อนเอง”ผมยิ้มมีความสุข ไม่รู้หรอกนะว่ามันยอมอ่อนให้ผม หรือเล่นเต็มฝีมือแล้ว แต่ที่แน่ๆคือมันแพ้ให้ผมมาหลายตาแล้ว

“ยอมแล้วครับ ยอมแล้ว ยอมทุกอย่างเลยคนนี้เนี่ย”มันพูดเสียงอ่อน ทำท่าทางเหมือนว่ายอมทุกอย่างให้ผมจริงๆ

“งั้นอีกตา”

“เอ่อ....พอร์ช อาร์มก็ไม่อยากขัดนะ แต่ไม่หิวข้าวเหรอ?”เหมือนจะเห็นผมหลุดเข้าไปในโลกแห่งเกม อาร์มเลยพยายามพูดดึงให้ผมกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ว่าแต่ใครวะ ที่เมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยว่ายอมทุกอย่าง

“.....”กำลังมันเลย...แต่นึกอีกทีก็รู้สึกหิวเหมือนกัน อีกอย่างก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองเผลอตัวไปขนาดนี้เลยเหรอ

“งั้นไปกินข้าวเลยก็ได้”ผมดึงตัวเองกลับมาให้เป็นเหมือนเดิม แต่อาร์มมันก็ยิ้มมีความสุขอะไรของมันไม่รู้

“คงได้ปล่อยอะไรไปเยอะเลยใช่ไหม? เล่นซะเยอะเชียว”อาร์มพูดขำผม แถมถือวิสาสะจับมือผมพาเดินไปด้วยกันอีก จะว่าไม่ชอบมันก็ใช่ แต่วินาทีนั้นความอายมันมากกว่า....นี่ผมหลุดมาดไปเยอะแล้วใช่ไหม?

“.......”เกือบด่าว่า อย่า**** ไปแล้วแต่ก็ระงับยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ทัน

“แต่ก็ดีเหมือนกัน คิดถูกแล้วล่ะที่พาพอร์ชมา...รู้ไหมว่าอาร์มได้เห็นอะไรที่ไม่เคยได้เห็นหลายอย่างเลยนะ”อาร์มยิ้มอย่างมีความสุขกว่าทุกวัน กุมมือผมเบาๆ ไม่สนสายตาชาวบ้านเลยสักนิด

“.........”อายถึงระดับขีดสุดผมเลยเก็บปากเก็บคำต่อไป

“โดยเฉพาะตอนที่พอร์ชยิ้มออกมาน่ะ แค่ได้เห็นก็คิดว่าไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว”ครับ...ผมยอมรับว่าไอ้อาร์มมันเป็นคนที่สามารถทำให้คนอื่นทั้งเขินทั้งอายได้ในเวลาเดียวกัน แต่ผมก็ไม่ใจอ่อนหรอก

“ขอบอกอีกครั้งว่า....”

“ขนลุกใช่ไหมล่ะ? รู้หรอกน่า”อาร์มมันขำอารมณ์ดีเหลือเกิน มือที่กุมมือผมเริ่มกระชับแน่นขึ้นจนอยากสะบัดทิ้ง

“รู้ก็เลิกพูดสักทีเถอะ....แล้วนี่จะไปกินข้าวที่ไหนล่ะ?”ผมมองมันที่พาผมเดินไปเรื่อยๆเหมือนไร้จุดหมาย

“จะกินในนี้หรือข้างนอกดีล่ะ?”มันหยุดเดินแล้วหันมาถามผม โอ๊ย เลิกเอาหน้าเข้ามาใกล้สักที คนเค้ามองอยู่ไม่เห็นหรือไงวะ??

“กลับไปกินที่คอนโด”ผมไม่กินข้างนอก ข้างในอะไรนี่หรอก วุ่นวาย แต่ก็ดีที่ไอ้อาร์มมันเชื่อฟัง ไม่เคยขัดคำสั่งผม

“อยากกินฝีมืออาร์มอีกล่ะสิ”อาร์มยิ้มกริ่มรีบพาไปตรงที่จอดรถ

“ใครอยากกิน แค่กินกันตายก็เท่านั้น ไม่เห็นมีอะไร”แปลคือ...อยากกินมากๆ แต่ใครจะพูด เดี๋ยวเสียฟอร์มเปล่าๆ

“แน่ะ ปากแข็งนะ”เราเดินกันไปเรื่อยๆ ที่ลานจอดรถ ชีวิตโคตรปกติ เงียบสงบ สันติสุขเหลือเกิน จนบางทีก็มีอยากเอาปืนจ่อหัวไอ้อาร์มให้บอกข้อมูลมาเร็วๆเหมือนกัน...แต่วิธีการมันออกจะป่าเถื่อนไปหน่อย ผมอยากได้วิธีที่มันดูเป็นผู้ดี มีการศึกษามากกว่านี้หน่อย(เรื่องมาก)

     ปิ๊บๆ

     ผมก้าวขึ้นรถคาดเข็มขัดเสร็จ ก็นึกเรื่องนึงได้ เรื่องที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นปัญหากวนใจผม จนตอนนี้มันก็ยังปริศนาที่ผมยังสงสัยอยู่อีกนั่นแหละ ผมเหลือบไปตรงที่นั่งคนขับ ก่อนจะถามขึ้น

“เดี๋ยวนี้คุณไม่เที่ยวกินเหล้าแล้วเหรอ?”ผมนึกย้อนไปยังเหตุการณ์ชวนปวดประสาท รบกวนการนอนหลับแสนสงบของผม

“กินเหล้าอะไร?”อาร์มทำหน้างงเหมือนว่าผมพูดอะไรที่ไม่อยู่ในการรับรู้ของมันไป มือก็จับพวงมาลัย ขับรถออกจากห้างไป

“ก็ที่มากินเหล้าแล้วชอบมาอาละวาดเคาะห้องผมนั่นน่ะ”ผมพูดเตือนความจำให้ นึกแล้วก็ปวดหัวจี๊ดๆเลย

“อ๋อ...นั่นน่ะเหรอ แหะๆ...คือว่าความจริงนะ อาร์มไม่ได้กินเหล้า ไม่ได้เมาหรอก”อาร์มหัวเราะแหะๆเปิดเผยความจริงที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน

“ห๊ะ?”

“ที่ทำไปเพราะอยากให้พอร์ชมาสนใจเท่านั้นแหละ....คิดว่าคงทำให้พอร์ชเข้ามาคุยด้วยบ้างสักนิดก็ยังดี ถึงจะไม่ได้คุย แต่เป็นการด่า หรือว่าจะถูกโกรธก็เถอะ แต่ถ้าทำให้พอร์ชหันมาสนใจได้แค่นั้น อาร์มก็ดีใจมากแล้วล่ะ เอาจริงๆก็แอบกังวลเหมือนกันนะว่าจะโดนดักตีหัวตายหน้าห้องพอร์ชหรือเปล่า”อาร์มหัวเราะหน้าขึ้นสี ไม่รู้ว่าเขินอยู่หรือยังไงไม่ทราบ ทำตัวเหมือนเด็กผู้ชายที่ชอบไปแกล้งเด็กผู้หญิงที่ตัวเองชอบ เพื่อให้เค้าสนใจเลยแฮะ

“เอาจริงๆ ผมก็เกือบออกไปกระทืบให้จมดินหลายรอบอยู่เหมือนกันนั่นแหละ”พูดไปแล้วอาร์มมันก็ขำไม่หยุด แต่ก็ยังมีสมาธิขับรถต่อไปได้โดยไม่พาผมลงข้างทางซะก่อน

“แต่แผนการก็ไปได้สวยเลยนะ”

“เจ้าแผนการนักนะ”ทำเอาผมหลงกลไปซะได้ แต่มันก็เป็นวิธีนึงที่จะทำให้ผมเข้าไปใกล้แล้วล้วงข้อมูลมา...

“อ๊ะ เกือบลืมบอกไปเลย เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะเป็นวันเกิดอาร์มแล้วนะ”อาร์มเหลือบมองผมหวังว่าจะได้รับปฏิกิริยาอะไรจากผม

“เหรอ แล้วไง?”ผมเมินสนิท ไร้ซึ่งรีแอ็คชั่นใดๆที่อีกฝ่ายคาดหวัง

“โหย นี่เมินกันเลยเหรอ”

“ก็เปล่านี่ ผมก็ยังถามอยู่เลยไม่ใช่เหรอว่า แล้วไงอ่ะ?”

“ก็แบบ วันที่ผมเกิดก็ตรงกับวันก่อตั้งบริษัทพอดีเลยไง เลยอยากพาไปฉลองด้วยกัน”อาร์มหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าคอนโดแล้วก็พากันเดินไปขึ้นลิฟต์ ชั้น 17 ห้องเดิม ที่เดิม บรรยากาศเดิมๆ

“ไม่ไป”ไม่ต้องรอมันพูดจบผมก็ชิงปฏิเสธไปก่อนเลย

“เอ๊ ยังไม่ได้พูดรายละเอียดเลย ปฏิเสธทันทีเลยเหรอ”อาร์มเดินไปเปิดประตูห้องตัวเอง โดยมีผมเดินตามเข้าไปติดๆ เพราะผมต้องฝากท้องกับมัน

“อ่ะ แล้วรายละเอียดว่ายังไงล่ะ”ผมเดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารเหมือนว่าเป็นเจ้าของห้อง

“คือก็กะว่าจะพาพนักงานไปที่ต่างจังหวัด แล้วก็จัดงานพิธีการที่โรงแรม ตอนกลางคืนก็ไปเดินเที่ยวกันก็ได้ เดี๋ยวจะมีจดหมายไปอีกที จะได้เตรียมรถถูก เอ้อ อันที่จริงเรื่องนี้ พี่หลิงเค้าก็เป็นคนช่วยจัดการให้นั่นแหละ”

“ไอ้งานพิธีการที่ว่าคือ มีคนใส่สูท ใส่เดรส แต่งตัวเรียบกริบ มีพิธีกรพูดภาษาทางการจนฟังเหมือนอยู่คนละโลก แล้วก็มีคนต่างบริษัทมาจับมือคุยแต่ธุรกิจจนน่าอึดอัดอ่ะนะ?”ผมทำหน้าขยาดเผยความในใจออกไป ไอ้อาร์มก็ทำหน้าเหมือนจะหัวเราะ

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า ถ้าไม่ชอบก็เข้ามาในงานให้พอเห็นหน้า แล้วก็แว้บออกมาก็ได้”

“หืม...”ผมนั่งเงียบขอเวลาตัดสินใจสักพัก บางทีนี่อาจทำให้ผมได้ข้อมูลบางอย่างมาก็ได้ แถมถ้าอยู่แต่ที่คอนโดอย่างนี้ผมก็ไม่มีอะไรทำ แถมยังไม่ได้อะไรด้วย

“ว่าไงครับ?”ไอ้นี่โผล่หน้ามานั่งใกล้ผมขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนวะครับ?

“อืม ผมอาจจะไปด้วยก็ได้”ผมถอยออกมาหน่อยนึงในระยะปลอดภัย พอทีผมจะไม่โดนลวนลาม

“ไม่ใช่อาจจะสิ แต่ต้องไปให้ได้นะ”

“รู้แล้วน่า ...แต่ผมไม่รับปากหรอกนะ”ผมไม่อยากรับปากอะไรใครมั่วๆ เดี๋ยวมีอะไรฉุกเฉินจะได้ไม่ต้องมาเสียอารมณ์ทั้งสองฝ่าย

“โอ๊ย อยากหอมแก้มขอบคุณจัง”ไอ้อาร์มทำปากเหมือนจะเข้ามาดูดแก้มผม จนผมรู้สึกผวาต้องเขยิบหนีออกมา

“โนๆๆ ไม่ต้องรักผมขนาดนั้นก็ได้”ผมเอามือป้องกันเต็มที่เตรียมเอาเท้ายันแถมให้ด้วย

“แหม ขืนทำขึ้นมาจริงๆ จะได้โดนพอร์ชเกลียดขี้หน้าเอาน่ะสิ”อาร์มยอมถอยออกไปแล้วเดินเข้าครัวไปในที่สุด

“ทุกวันนี้ก็...”เกลียดอยู่แล้ว...แต่ตอนนี้ก็พูดไปได้ไม่เต็มปากเหมือนเดิม

     ผมมองแผ่นหลังคนที่เข้าครัวไป มือใหญ่ๆที่ชอบกุมมือผม กำลังคว้าผ้ากันเปื้อนมาใส่ แล้วก็เปิดตู้เย็น หยิบนั่น หยิบนี่ออกมาดู ท่าทางคล่องแคล่วแถมยังดูอารมณ์ดีน่าดู แต่สักพักก็หมุนตัวกลับมา เดินเข้ามาใกล้ผม

“พอร์ชอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

“อยากทำอะไรก็ตามใจคุณเถอะ”

 

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =


ตอนที่ 5มาแล้ว อย่าลืมติดตามตอนต่อไปกันนะคะ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 20:44:17 โดย Lynne »

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: กลลับ พรางรัก บทที่5 6/8/15
«ตอบ #9 เมื่อ06-08-2015 18:40:12 »

เอาจริงๆ ก็ยังไม่ได้ปักใจนะ ว่าใครหลอกใคร
ดูๆ เหมือนจะมีอะไรอำพรางมากกว่าที่เห็น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กลลับ พรางรัก บทที่5 6/8/15
« ตอบ #9 เมื่อ: 06-08-2015 18:40:12 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่6 10/8/15
«ตอบ #10 เมื่อ10-08-2015 19:37:27 »

บทที่ 6

หลังจากวันนั้น 1 สัปดาห์ แล้วผมก็มายืนสะพายเป้อยู่ข้างรถทัวร์จนได้สิ

     แต่น่าแปลกที่ไม่ยักจะเห็นภาพมวลมหาประชาชนเลยแฮะ ทั้งๆที่บริษัทก็ออกจะมีพนักงานเยอะแยะ แต่ที่ผมเห็นกลับมีคนไม่น่าจะถึง 20 คนด้วยซ้ำ ยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกว่าผมเหมือนมาผิดที่ยังไงไม่รู้

“อ้าว น้องพอร์ชมาแล้วเหรอจ้ะ กำลังรออยู่เลย”พี่หลิงในชุดลำลองเดินทักมาแต่ไกล เธอยิ้มแย้มพร้อมโบกมือเรียกผม

“เอ่อ พี่หลิงครับ คนยังมาไม่ครบหรือว่ายังไงครับเนี่ย?”

“เอ๋ ก็เกือบครบแล้วนะ”พี่หลิงหันไปใช้นิ้วนับจำนวนคนดูมือข้างนึงก็ถือแผ่นรองเขียนลายตัวการ์ตูนสีชมพูหวานแหวว

“ไม่ใช่ว่าพนักงานบริษัทเรามีมากกว่านี้เหรอครับ?”รู้สึกเหมือนผมทำหน้ามึนๆงงๆออกไปมากเกินไปหน่อย พี่หลิงเลยอ้าปากร้องอ๋อออกมา

“เราไม่ได้เอาพนักงานไปด้วยสักหน่อย นี่ก็เอาไปแค่พวกหัวหน้าตำแหน่งใหญ่ๆ แล้วก็พวกเพื่อนน้องอาร์มเองนะ....เค้าไม่ได้บอกน้องพอร์ชไว้เหรอคะ?”พี่หลิงมองตามไปที่พวกหัวหน้าตำแหน่งใหญ่ๆที่ว่า ซึ่งส่วนใหญ่ก็ดูทรงวัยวุฒิกันเหลือเกิน จะมีที่ดูหนุ่มๆอยู่ก็แค่ไม่กี่คน

“พอร์ช~~~”คนที่เค้าไม่ได้บอกผมที่ว่าเดินร้องเรียกหาผมทันที ใบหน้าร่าเริงแจ่มใสจนน่าหมั่นไส้ นั่นทำท่าจะวิ่งเข้ามากอดอีก จะถีบโครมก็ไม่ได้เดี๋ยวจะเป็นเป้าสายตา แถมยังดูภาพลักษณ์ไม่ดีเอา

     ไอ้อาร์มมาหาผมนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก แต่อีกสองคนที่เดินตามมาด้วยนี่ใครผมก็ไม่รู้ แต่ดูๆแล้วก็น่าจะเป็นเพื่อนไอ้อาร์มนั่นแหละ ดูจากการแต่งตัว หน้าตา ท่าทางแล้วน่ะนะ

“อาร์มมึงหลบไป กูขอทักทายสุดสวาทขาดใจของมึงก่อน”ไอ้คนผมสีแดงคล้ำๆเอามือดันหน้าไอ้อาร์มไปไกล แล้วก็เดินยิ้มเข้ามาทักทายผมตามที่บอก

“ผมชื่อเบต้า ส่วนไอ้นี่ ไอ้ซี เป็นเพื่อนกัน ในที่สุดก็ได้เจอหน้ากันแบบเปิดเผยแล้วนะ เอ่อ ให้ผมเรียกคุณว่าอะไรดีล่ะ?”ไอ้เบต้าชี้ไปยังคนชื่อ ซี ที่ก็กำลังยิ้มให้ผมอยู่เหมือนกัน

“พอร์ชก็ได้ แล้วที่...เจอหน้ากันแบบเปิดเผยนี่ยังไงครับ?”

“เอ้าๆ ไม่อยากจะขัดจังหวะหรอกนะ แต่ไปขึ้นรถกันได้แล้วจ้า”พี่หลิงที่หายเงียบไปนานโผล่หน้าออกมาไล่ต้อนพวกผมให้ไปขึ้นรถ

“ครับ~”สามหน่อขานรับแล้วเดินตามขึ้นรถอย่างไม่ขัดขืนอะไร มีไอ้ซีที่เดินรั้งท้ายเพื่อจะหันมาคุยกับผม

“อาร์มมันแอบรักพอร์ชมาตั้งนานแล้วนี่ ผมกับต้าเองก็คอยเชียร์แทบตาย ฟังอาร์มพูดถึงก็ตั้งหลายครั้ง แต่เคยเห็นหน้าจริงๆก็แค่ไม่กี่ครั้ง แถมยังเห็นจากระยะไกลด้วย ไม่เคยมาเจอกันตัวต่อตัวแบบนี้มาก่อน ถึงได้บอกไงว่า ในที่สุดก็ได้มาเจอกันแบบเปิดเผยสักที”ซียิ้มให้ผม ท่าทางเป็นหนุ่มอ่อนโยนพอๆกับไอ้อาร์มเลย

“แอบรักตั้งแต่ตอนไหน”

“ความลับครับ...แต่สักวันคุณคงจะรู้จากปากอาร์มมันเอง”ซีเอานิ้วแตะปากยิ้มหน้าเป็นแล้วก็ทิ้งผมไปนั่งข้างๆไอ้เบต้า...โดยที่นั่งข้างๆไอ้อาร์มเป็นที่ว่างเหลือไว้หนึ่งที่

“แล้วนี่ไม่ไปนั่งกับเพื่อนคุณหน่อยเหรอ?”ผมชี้ไปที่ไอ้อาร์มที่พยายามส่งสายตาเป็นนัยว่าต้องการให้ผมไปนั่งข้างมัน

“ไม่อ่ะ ที่นั่งตรงนั้นขืนไปนั่งเดี๋ยวจะโดนมันโกรธเอาเปล่าๆ เพราะมันตั้งใจจะเอาไว้ให้หวานใจนั่งข้างๆ สวีทวี่วีกันตลอดทริปการเดินทางน่ะ”ไอ้เบต้าตอบให้ แอบกระทบไอ้อาร์มเบาๆ

“อ้อ งั้นเดี๋ยวผมไปนั่งข้างหลังเอง”จบประโยคมือมารก็เข้ามาคว้าหมับเข้าที่แขนผมแล้วลากไปนั่งข้างไอ้อาร์มโดยไม่ถามความสมัครใจของผมเลย...ไอ้มือมารที่ว่าไม่ใช่มือใครหรอกนอกจากมือไอ้คนที่นั่งข้างๆผมเอง

“จะไปไหนล่ะ นั่งข้างๆกันนี่แหละ ไม่ชอบนั่งติดกระจกก็บอกนะ จะได้ย้ายให้ ว่าแต่พอร์ชเมารถหรือเปล่า กินอะไรมาหรือยัง แวะห้องน้ำไหม?”ท่าทางเป็นห่วงผมจนรู้สึกเหมือนผมกลายเป็นเด็กๆก็ทำให้ผมปวดหัวขึ้นมาแปลกๆ

“ผมจัดการตัวเองได้น่า...”ผมเมินมันซะแล้วหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง จะว่าไปก็ไม่ได้นั่งรถแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน

     รถเริ่มเคลื่อนตัว คนที่มาทำหน้าที่ไกด์จำเป็นก็คือ พี่หลิงคนเดิมที่เดินเช็คความเรียบร้อย แล้วก็ทำหน้าที่พูดชี้แจง เป็นเหมือนไกด์ในตัว ถือว่าเป็นผู้หญิงเก่งจริงๆ ไม่รู้อาร์มหรือพ่อมันหามาจากไหน

“มีอะไรก็บอกนะครับ”

“.....รู้แล้ว”พูดอย่างขอไปที ออกแนวรำคาญนิดๆ แต่ก็ชักชิน...ชินจนคิดว่า เมินๆมันไปซะเถอะ...พูดจริงๆก็ ผมไม่ถนัดเรื่องคุยกับคนอื่นที่ไม่ได้สนิท ก็นะหลายคนก็คงเป็นเหมือนกัน เราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ควรจะชวนคุยเรื่องอะไร ...ถึงแม้ใครๆจะบอกว่าเรื่องแค่นี้ถามๆไปก็จบแล้ว แต่ผมก็ไม่ถนัด

อีกอย่างที่ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วคือ ผมไม่อยากจะสานสัมพันธ์ไปมากกว่านี้

ทางที่ดีคือ เงียบ ไม่ต้องพูดอะไรมาก หันหน้าหนีไปเลย


“....รำคาญหรือเปล่า?”....ทำได้ไม่นานเสียงคนข้างๆก็เรียกให้ผมหันไปมองอึ้งๆ....ที่ผ่านมาไม่เห็นเคยพูด ไหนจะหน้าซึมๆนั่นอีก มานอยด์อะไรผมอีกเนี่ย???

“อยู่ๆก็มาพูดอะไรวะ....ครับ”ตั้งสติ คุมอารมณ์ได้ผมจึงกลับมาพูดภาษาดอกไม้ได้ทันเวลา(หรือเปล่า?)

“เปล่า”ปากบอกเปล่าแต่หน้ามันนี่สิ...

“ทำเป็นเด็กๆไปได้....แล้วอยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ? อยากได้ความจริงแต่ฟังแล้วเจ็บ หรือคำพูดปลอบใจ แต่โคตรจะบิดเบือนใจผมเลยล่ะครับ?”

“เอาความจริงนั่นแหละครับ”

“ก็อย่างที่คุณรู้ ผมรำคาญ ...ไม่ต้องทำหน้าซึมนะ เพราะผมไม่ได้เกลียดคุณ จะบอกอะไรให้ ระหว่างรำคาญ แต่เกลียดขี้หน้า กับ รำคาญแต่ไม่ได้เกลียดมันต่างกันนะ....พูดให้เข้าใจง่ายๆก็ ผมไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับคุณขนาดนั้น”

“ไม่ได้รู้สึกแย่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีน่ะเหรอ?”อารมณ์ไหนของคุณชายเขาวะเนี่ย มาดราม่าใส่ผมเฉย


     ป๊อก!

     เอานิ้วดีดหน้าผากไปสักทีจนเกิดเสียงดัง ด้วยอารมณ์รำคาญครึ่งนึง หงุดหงิดที่พูดไม่รู้เรื่องครึ่งนึง...ผมพูดไม่รู้เรื่องหรือมันฟังไม่รู้เรื่อง หรือทั้งสองอย่างก็ไม่รู้นะ รู้แต่ดีดเข้าไปเต็มๆแรงแล้วล่ะ

“ดีดหน้าผากผมทำไมอ่ะ??”คนโดนดีดลูบหน้าผากนั่งงอตัวท่าทางเจ็บปวดน่าดู หรือผมดีดแรงไป

“อย่ามาตีความเอาเอง ถ้าผมยังไม่พูดอะไร”พูดจบอาร์มก็ทำหน้างงๆเล็กน้อย แต่สักพักเหมือนเริ่มเข้าใจก็ยิ้มออกมา

“ครับ”ยิ้มสุภาพบุรุษนี่มาอีกแล้ว เห็นแล้วแม่งรู้สึกแปลกๆทุกที

“ชิ...คุณจะทำหน้าแบบไหน ทำไมผมไม่ชอบสักหน้าเลยก็ไม่รู้ บอกผมทีดิ๊”คิดอะไรไม่ออกก็พาลหาเรื่องมันซะเลย

“ไหนบอกไม่เกลียด”อาร์มยิ้มกว้าง ไม่อยากยอมรับ แต่ยิ้มแล้วผู้หญิงทั้งโลกคงยอมสยบแทบเท้ามัน

“ไม่เกลียดกับไม่ชอบหน้ามันก็คนละเรื่องเหมือนกัน...ไม่ดิ ผมอาจจะหมั่นไส้คุณก็ได้มั้ง เห็นแล้วอยากก้านคอสักที”ขอพาลหน่อยแล้วกัน ปล่อยๆความรู้สึกเก็บกดไปบ้างก็ดี

“ก้านคอมาก็ได้นะ แต่เดี๋ยวจูบกลับ”ดวงตาแวววับ ท่าทางเอาจริงจนผมชักกลัว

“งั้นก้านคอเอาแบบไม่ให้ตื่นอีกเลยก็ดีนะ”

“ไม่กลัวเป็นม่ายเหรอครับพอร์ช?”.....หน้าด้านชิบ แต่ผมควรสำนึกและชินได้แล้วนะครับ

“เฮ้ย!อาร์ม อย่าเพิ่งหยอดแฟนมึง เอาขนมไปฝากสุดที่รักมึงหน่อย”เสียงดังมาจากที่นั่งอีกฟากของผมกับอาร์ม เสียงโหวกเหวกแบบนี้ไม่ใช่ใคร นอกจากไอ้หนุ่มผมแดง ไอ้เบต้าที่กำลังโยน ปีโป้สีแดงสองสามอันมาให้ตักไอ้อาร์ม

เล่นซะผมนึกว่ากำลังมาทัศนศึกษาเลย

“เออๆ.....  พอร์ชครับ ต้ามันเอามาฝากอ่ะครับ ชอบไหมครับ? ไม่ชอบโยนทิ้งได้นะครับ”รู้สึกปฏิบัติกับผมต่างจากปฏิบัติกับเพื่อนมันชอบกลนะ

“เผือกนะมึง เค้าจะทำอะไรก็เรื่องของเค้า”เสียงข้ามฟากมาแต่ไกล ถ้าถามว่าทั้งที่นั่งรถไปคนเดียวกับผู้ใหญ่อาวุโสทำไมไม่เก็บปากเก็บคำกันน่ะเหรอ? เหตุผลแรกคง เพราะผู้ใหญ่ที่ว่าน่ะ นั่งถัดจากเราไปไกลหลายเก้าอี้ เหตุผลที่สองก็เกี่ยวดองกับข้อที่แล้วคือ คาดว่าหูท่านๆเหล่านั้นคงตึงไปสัก60-70เปอร์เซ็นต์แล้ว เหตุผลที่สามก็...เพราะท่านประธานคือไอ้อาร์มไง เหตุผลสุดท้ายที่เซลฟ์สุดๆก็คือ ไม่สน ไม่แคร์...จบ

“ขอบคุณครับ”ผมยิ้มขอบคุณให้ไอ้เบต้าข้ามหน้าข้ามตาไอ้คนที่นั่งกั้นขวางผมอยู่ มือก็หยิบปีโป้มาแกะกิน ก็ไม่ได้ชอบกินอะไรหรอก ไอ้ขนมนี่น่ะ

“ไม่เป็นไรครับ.... เป็นไงล่ะมึง”หันมาบอกผมแล้วก็ยิ้มเยาะให้ไอ้อาร์ม ได้ใจผมมากจนอยากยกนิ้วโป้งให้ คุณทำดีแล้ว อะไรอย่างนั้น

“ซี มึงลากไอ้ต้าไปดิ๊”มันหันไปสั่งการไอ้ซีที่นั่งเงียบยิ้มๆมาตลอดทาง ซีก็ทำตามเป๊ะๆคือ ลากคอไอ้เบต้ากลับไปนั่งดีๆ

“....แปลกนะ”ประโยคนี้ผมพูดกับอาร์มเองแหละ

“แปลกอะไรเหรอครับ?”หลังจากไอ้เบต้ากลับไปนั่งที่แล้วมันก็หันมาคุยกับผมแทน

“นึกว่าคุณจะคุยกับเพื่อนสุภาพกว่านี้ แบบในหนังคุณชายอ่ะ”แอบล้อเลียนมันไม่ได้ แม้จะรู้ว่าละครก็คือละครน่ะนะ จะให้เรียกกันแต่ชื่อจริง พูดผม คุณ ครับ ค่ะตลอดมันก็นะ

“ผมก็เหมือนคนทั่วไปนี่แหละ หยาบเป็นปกติ”อาร์มพูดเจือด้วยเสียงหัวเราะ เหมือนว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ประธานบริษัทจากไหน ไม่ใช่คนที่ผมต้องมาหลอก เป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาๆคนนึง

“แล้วไม่พูดแบบนั้นกับผมล่ะ?”

“ไม่เอาอ่ะ น่ารักขนาดนี้ พูดไม่ลงหรอก....โอ๊ย เล่น’ไรวะไอ้ต้า”หยอดผมอยู่ไม่ทันไรขนมยี่ห้อเดียวกันแต่สีเขียวก็ลอยละลิ่วมาโดนหัวไอ้อาร์มพอดี ไม่ต้องเดาว่าฝีมือใครอาร์มมันก็หันไปโวยได้ทันที

อยากจะขัดชิบว่าผมน่ารักยังไงวะ? แค่นิสัยก็ไม่ใช่แล้ว หน้าตายิ่งแล้วใหญ่

“อย่าสำออยครับ อันนั้นให้มึง เดี๋ยวน้อยใจงอนกูอีก”ไอ้ต้าบอกในมือก็ถือถุงขนมอีกเป็นกระบุง เหมือนไปเหมาร้านไหนสักร้านมา

“เออ ขอบใจมากที่ยังนึกถึงกู”

“ไม่เป็นไรครับมึง”ไอ้ต้ายิ้มแล้วก็นั่งเอาขาขึ้นมาบนเก้าอี้ เอนกายแผเต็มที่ ประมาณว่าชีวิตนี้กูเป็นอิสระจากคนอื่น แต่ผมว่าถ้ารถเบรกกะทันหันขึ้นมามันจะเป็นอิสระจากที่นั่งมากกว่า...

“อาร์ม”ผมเรียกปุ๊บมันก็หันมาปั๊บ แสนรู้จริงๆ

“จ๋า?”เสียงหวาน หน้ายิ้ม หูตั้ง หางกระดิกเชียว

“....เปล่า ไม่มีอะไร แค่จะบอกว่า ผมจะนอนแล้ว”พูดจบผมก็หันหน้าหนี ลงไปพิงเก้าอี้ กอดอกหลับตานอน...แต่สักพักก็รู้สึกว่ามีผ้าอะไร จากไหนไม่รู้มาคลุมไหล่ผม

“ห่มผ้าด้วยนะ เดี๋ยวไม่สบาย”ไม่ต้องลืมตาก็รู้ว่าเสียงใคร และใครเป็นเจ้าของผ้านิ่มๆที่คลุมตัวผมอยู่นี่

“.....รู้แล้ว”....แล้วก็เลิกทำดีด้วยสักที.....ถึงจะทำใจแข็ง พยายามไม่คิดอะไรมาตลอด แต่ผมก็เป็นคน มีจิตใจ มีความรู้สึกนะ... ไม่ได้ไร้หัวใจขนาดที่จะไม่ให้รู้สึกอะไรเลย

มาทำดีด้วยแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัด

     ถึงบอกว่าจะนอน แต่ผมก็ไม่ได้ง่วง...แค่กระอักกระอ่วน ไม่รู้จะพูดอะไรกับมัน ไม่รู้จะมองหน้ามันด้วยความรู้สึกยังไง...ถ้าผมหลับตาลง นอนซะ ก็คงจะหนีความรู้สึกที่พากันขัดแย้งไปมานี่ได้ หนีไปได้สักนิดก็ยังดี









     หลับไปตอนไหนไม่รู้...รู้แต่ผมตื่นมาเพราะไอ้อาร์มสะกิดปลุก ดูเหมือนจะถึงที่หมายแล้ว....ที่หมายที่มันไม่ยอมบอกว่าที่ไหน อยากให้มาดูด้วยตัวเอง

“ถึงแล้วเหรอ?”

“ครับ เดี๋ยวลงจากรถ เอาของไปเก็บที่โรงแรมกันก่อนนะครับ”อาร์มบอกพร้อมยื่นขวดน้ำกับผ้าเย็นให้ บริการอย่างดี

“อืม”ผมพยักหน้าทำตัวว่าง่าย เดินตามไอ้อาร์มลงไป....


     ซ่า....

     เสียงๆนึงดังซ้อนทับกับเสียงในความทรงจำผม....ฟังครั้งเดียวก็รู้ว่าเสียงอะไร.... น้ำทะเลกระทบหาดทราย ซ้ำไปซ้ำมา ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด

“....พอร์ช พอร์ช เป็นอะไรหรือเปล่า? อยู่ๆก็เงียบ ....หน้าซีดๆนะ ไม่สบายเหรอ บอกอาร์มได้นะ”เห็นผมเงียบ และดูท่าจะทำหน้าซีดไปด้วยอาร์มมันสังเกตเห็นก็เลยซักไซ้ผมใหญ่ ทำท่าจะเอามือเข้ามาวัดไข้ผมด้วย แต่ผมก็ห้ามเอาไว้ได้ก่อน

“เปล่า....ว่าแต่ที่ๆบอกนี่คือ.....ทะเล....งั้นเหรอ?”เหมือนเหงื่อเริ่มไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ แต่ก็ควบคุมน้ำเสียงไม่ได้อยู่ดี

“ครับ....มีอะไรหรือเปล่า? แล้วไม่เป็นไรแน่นะครับ?”

“ผมโอเค คงแค่มึนหัวไปหน่อย...ไม่ต้องห่วงหรอก ...เอาของไปเก็บเถอะ”ผมบอกปัดเดินไปเอากระเป๋าเป้ เพื่อไม่ให้ไอ้อาร์มถามอะไรผมไปมากกว่านี้

“ถ้ามีอะไรก็บอกนะครับ”มันยังทำหน้าเป็นห่วงไม่เลิก

“เฮ้ย...พอร์ช เป็นอะไรไปวะ มึงดูแลแฟนยังไงของมึงวะเนี่ย??”เสียงโหวกเหวกดังมาพร้อมกับเสียงโบกหัวเพื่อนอย่างไม่เกรงใจ

“เชี่ย ซัดมาเต็มๆมือเลยนะมึง”นี่คือเสียงบ่นของไอ้อาร์มที่พอจะดึงความสนใจผมจากเสียงคลื่นทะเลได้

“แล้วนี่ไหวไหม ไม่ไหวก็บอกกันนะ ไอ้อาร์มแม่งดูแลไม่ได้เรื่อง เดี๋ยวให้เราช่วยดูแลแทนได้นะ”

“ต้า มึงก็ไปแกล้งไอ้อาร์มมัน”นี่เสียงไอ้ซี เห็นมือก็ถือกระเป๋าสองข้าง ที่สังเกตคือไอ้ต้าที่ตัวเปล่าเดินสบาย คาดว่าอีกใบในมือไอ้ซีก็คงเป็นของคนหัวแดงที่กำลังทำท่าจะเข้ามาดูผมนี่

“ก็พอใจอ่ะ ...เอ้อ มีอะไรก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจไป”

“อืม”ผมยิ้มตอบความหวังดีของอีกฝ่าย และหลังจากทุกคนได้สัมภาระของตัวเองไปครบทุกคนแล้ว ก็พากันเดินเข้าโรงแรมที่ดูมีระดับน่าดู ระหว่างทางอาร์มก็พยายามจะขอกระเป๋าผมไปช่วยถือ เพราะคงเห็นผมท่าทางไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เมื่อกี้ ซึ่งผมก็ปฏิเสธไปตามเคย เถียงแทบเสียงแหบเสียงแห้งว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ จนมันยอมแพ้ไปเองนั่นแหละ

แม้ว่าระหว่างนั้น ผมหันกลับไปมองชายหาดที่อยู่ไกลออกไปแล้วก็อดกลัวไม่ได้

     มันเป็นหนึ่งในความลับที่ไม่เคยมีใครนอกจาก ครอบครัวของผมรู้ ความลับเมื่อนานมาแล้ว ที่ทำให้ผมไม่เคยไปเฉียดใกล้ทะเลอีกเลยตั้งแต่ เหตุการณ์ครั้งนั้น

ความลับที่ทำให้ผมทั้งเกลียด ทั้งกลัวทะเลไปอีกนาน


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =



มาแล้วจ้า ว่าแต่มีใครรออ่านไหมเนี่ย ชักหวั่นใจ.....=_=


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 20:46:45 โดย Lynne »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: กลลับ พรางรัก บทที่6 10/8/15
«ตอบ #11 เมื่อ10-08-2015 19:39:09 »

 :L2:

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่7 13/8/15
«ตอบ #12 เมื่อ13-08-2015 18:03:08 »

บทที่ 7


     ผมไขกุญแจห้องพัก แล้วก็เปิดประตูเดินเข้าไปพร้อมไอ้อาร์ม.... ไม่ต้องถามว่าไอ้อาร์มมันตามมาทำไม เพราะจองห้องเอาไว้แบบพักสองคนในห้องเดียว...ไม่ต้องห่วงด้วยว่าจะเป็นเตียงดับเบิ้ลเบดอะไรนั่นหรอก เพราะมันเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียงแยกกัน

     ซึ่งผมก็ไม่ได้โวยวายอะไรอย่างที่ทุกคนคาดหวังหรอกนะครับ แค่ห้องพัก นอนๆไปเถอะ ไม่ตายสักหน่อย แล้วผมก็เข้าใจว่าทำไมถึงต้องนอนห้องเดียวกับไอ้อาร์ม เพราะนอกจากมัน ในบริษัทนี้ผมก็ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับใครเป็นพิเศษ จะนอนกับพี่หลิงก็ไม่ได้ เค้าเป็นผู้หญิง นอนกับเพื่อนมันยิ่งแล้วใหญ่ ในเมื่อเพิ่งรู้จักกันเมื่อเช้านี้ จะไปเอาอะไร

     อีกอย่างก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรด้วย ยังไงอาร์มมันก็ไม่ทำอะไรผมหรอก เพราะมันเคยบอกว่าไม่อยากให้ผมรู้สึกเกลียดมัน แต่ถ้ามันทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมก็มั่นใจว่าปกป้องตัวเองได้ ดังนั้นก็เลยไม่มีปัญหาอะไร

เพราะปัญหาอย่างเดียวของผมคือ ทะเล นี่แหละ

“พอร์ชจะนอนพักก่อนหรือว่าจะทานข้าวไหมครับ?”อาร์มถามระหว่างกำลังจัดของ เตรียมชุดสูทไปงานอะไรของมันไปด้วย

“ไม่ล่ะ อยากไปเดินเล่นมากกว่า”เดินเงียบๆเรื่อยเปื่อยจะได้ลืมๆเรื่องหนักหัวนั่นไปสักที

“ไปด้วยได้ไหม?”

“ไม่ต้องถามก็จะตื๊อไปด้วยอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”พักนี้ผมชักชินกับตัวเองที่ไม่ว่าไปไหนไอ้อาร์มไปด้วยเป็นเงาติดตัวแล้ว

“บางทีผมก็อยากให้พอร์ชมีเวลาส่วนตัวบ้างนี่ครับ”คำตอบสุภาพบุรุษดี บางครั้งมันก็ฟังแล้วจั๊กจี้ชอบกลนะ

“ตามใจคุณเถอะ”

“หือ?”อาร์มเลิกคิ้วสงสัย คงเพราะช่วงนี้ผมทำตัวดี อยากให้ทำอะไรก็ทำจนมันแปลกใจล่ะมั้ง?

“อยากจะไปด้วยก็ตามใจคุณ ถ้าเดินหลงก็หลงไปด้วยกันนี่แหละ....ไปกันได้ยัง?”ผมลุกเดินไปที่ประตูห้องถามคนที่บอกจะไปเดินเล่นด้วยกัน

“ครับ”มันวางมือจากทุกอย่างเดินตามต้อยๆ รู้สึกเหมือนพาหมาตัวโตมาเดินเล่นด้วย....

     สถานที่เดินเล่นก็ไม่ใช่ที่ไหนหรอก แถวๆโรงแรมนี่แหละ ตรงจุดที่มันมองไม่เห็นทะเลน่ะ เดินเรื่อยเปื่อยไม่ต้องคิดอะไร ปล่อยตัว ปล่อยหัวสมองให้มันโล่งไปเลย เดินจนกว่าจะรู้สึกว่าสงบได้ แต่ถึงตอนนั้นผมก็เดินมาถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้แต่เป็นสวนที่มีศาลา มีเก้าอี้ให้นั่งเล่น คิดว่าคงเป็นสวนของโรงแรมอีกนั่นแหละ

     เห็นศาลากำลังว่างๆ ไม่มีคน ซ้ำยังดูเงียบสงบ แล้วก็ร่มรื่นผมก็เลยเข้าไปนั่งพักสักหน่อย อาร์มเห็นผมไม่พูดอะไร มันก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน จะว่าไปก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่อยู่กับอาร์มโดยไม่ได้คุยอะไรแบบนี้ เพราะทุกที มันต้องชวนผมคุยอะไรสักอย่างตลอด ไม่ก็หาทางระรานผมทุกวิถีทาง

     ผมเงียบหันไปมองมัน มันก็มองตอบ ยิ้มบางๆเหมือนทุกที เหมือนเล่นเกมจ้องตากัน ไม่มีใครหลบตากัน...อยากรู้ว่ามันรู้สึกยังไง และผมรู้สึกยังไง ...ถ้าถามว่าผมรู้สึกยังไงก็คงต้องบอกว่ามันรู้สึกแปลกๆ อายๆ แล้วก็ขนลุก บอกไม่ถูกเหมือนกัน ผมแค่อยากลองดูว่าอยู่กับมันเงียบๆแล้วจะเป็นยังไง...แต่มันมองผมด้วยสายตายังไง ความรู้สึกแบบไหน ผมก็ไม่รู้ แต่มันคงมีความรู้สึกหลากหลายที่ผมคาดเดาไม่ได้เหมือนกัน

“พอร์ช”นั่งเงียบจ้องตากันอยู่นานอาร์มก็เรียกผม หยุดชะงักทุกอารมณ์ ...ไม่ใช่ว่าอาร์มมันไม่ดี ความดีในตัวมันก็เยอะ ไม่ว่าจะรูปหล่อ พ่อรวย สูง คม มากความสามารถ ทำงานเก่ง ดูแลคนก็ทำได้ดี ยิ้มแย้ม อัธยาศัย(โคตร)ดี สุภาพบุรุษจุฑาเทพเลยก็ว่าได้ สารพัดที่จะบรรยายถึงตัวมันได้ ที่สาธยายมานี่ก็ยังไม่หมดเลยนะ ถ้าให้ใครสักคนมาเลือกว่าระหว่างผมกับมัน อยากได้ใครมาเป็นแฟนมากกว่ากัน รับรองมันชนะขาดลอย

     จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจเลยว่ามาชอบผมได้ยังไง ทั้งที่ผมก็ไม่ได้มีอะไรดี ปากก็คอยแต่จะด่าคนอื่นปาวๆ ชอบพูดทำร้ายจิตใจ เอาแต่ใจเอย ไม่สนคนอื่นเอย นิสัยเสียเอย ไม่มีตรงไหนดีเลยจริงๆ

อะไรๆมันก็ดีกว่าผมไปเกือบทุกอย่างนะ ....แต่ผมก็ไม่สามารถชอบมันได้อยู่ดี

“หือ?”

“อย่าจ้องนาน เดี๋ยวอาร์มอดใจไม่ไหว....เกิดอะไรขึ้นมา อย่าโทษอาร์มนะ”อาร์มเอาหน้าเข้ามาใกล้ ยิ้มอย่างมีเลศนัย... มันก็จริงๆนั่นแหละ ถ้าเป็นในละคร จ้องตากันขนาดนี้นะ ได้เสียกันไปนานแล้ว...พูดจริง

“รับรองว่าผมไม่มีทางทำให้อะไรที่คุณว่านี่เกิดขึ้นแน่นอน”เพราะผมจะดักคอมันก่อนด้วยการถีบยอดหน้าสักที

“...แล้วรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม?”ไม่ถามอย่างเดียวยังกุมมือผมเนียนๆด้วย แต่วันนี้ผมจะเว้นให้สักวันแล้วกัน ขี้เกียจโวยวาย ในเมื่อมันยังไม่ล่วงเกินอะไรผมไปมากกว่านี้ ผมก็ยังรู้สึกว่าไว้วางใจได้

“อืม....แล้วงานนี่เริ่มกี่โมงล่ะ จะได้ไปเตรียมตัว”ผมดูนาฬิกาข้อมือ บอกเวลาใกล้สี่โมงเย็นเต็มที

“5โมงครับ”อาร์มตอบทันทีโดยไม่ต้องนึก ก็คงอีกชั่วโมงกว่างานถึงจะเริ่ม

“งั้นจะกลับเลยไหม? ไม่มีอะไรทำด้วย”ผมถามเพราะเริ่มรู้สึกโอเคขึ้น สงบอารมณ์ได้มากขึ้นแล้ว

“แล้วแต่เลยครับ”

“ไม่มีอะไรอยากทำหรือไง?”ในเมื่อผมถูกมันตามใจมามากแล้ว ผมก็เลยอยากถามความเห็นมันดูบ้าง

“ก็มีนะ.....”

“อะไรล่ะ จะไปทำก็ได้นะ ไม่ต้องอยู่กับผมหรอก”

“ไม่หรอก...ก็สิ่งที่อาร์มอยากทำก็คือ...อยู่กับพอร์ชไง”ครับ....พระอาทิตย์ใกล้ลับแสง บรรยากาศมืดครึ้ม เงียบสงบ ไร้ผู้คน มือที่กุมกันกระชับแน่น สายตาจ้องหากันไม่จากไปไหน....โรแมนติกไปไหนครับ ขนลุกไปแล้วครับ ณ จุดๆนี้

“อึ๋ย”ผมทำท่าสะท้านไปทั้งตัว อาร์มก็หัวเราะกับท่าทางของผม เอาจริงๆนะ ไม่ว่าดูกี่ครั้งก็รู้สึกเหมือนว่าอาร์มมันเป็นแค่เด็กหนุ่มคนนึงเท่านั้น บางทีก็ทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังเป็นแค่นักศึกษาคนนึง ไม่มีภาระ หน้าที่อะไรต้องรับผิดชอบ

“งั้นกลับห้องเลยนะ?”

“อืม”ว่าแล้วเราก็พากันเดินกลับห้อง ก็พากันหลงบ้างอะไรบ้างตามประสา ระหว่างทางก็ทักทายผู้ใหญ่ไปด้วย กว่าจะเดินถึงก็นานเหมือนกัน

ส่วนเพื่อนอาร์มไปไหนอันนี้ก็ไม่รู้เพราะเห็นพักห้องข้างๆกัน แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาเลย ก็คงออกไปข้างนอกเหมือนกับผมล่ะมั้ง

“ผมอาบน้ำก่อนนะ”เดินไปหยิบชุดสูทถือมาด้วย กะว่าจะเปลี่ยนในห้องน้ำเลย มือข้างนึงก็มีอุปกรณ์อาบน้ำ ไม่ลืมที่จะหยิบกางเกงในมาด้วย....พูดถึงกางเกงในผมยังเคืองตอนนั้นที่ไอ้อาร์มมันเอากางเกงในผมไปใส่อยู่เลย

“เต็มที่เลยครับ”

“หรือว่าคุณจะอาบก่อนล่ะ?”

“เดี๋ยวผมค่อยอาบก็ได้ อาบแป๊บเดียวเอง”อาร์มมันก็ยอมผมทุกอย่าง ไม่บ่น ไม่อะไรเลยแฮะ

“ตามใจ”ในเมื่อมันยืนยันจะอาบหลังผม ผมก็จัดการเดินเข้าห้องน้ำ เอาสูทไปแขวนที่ราว ดูๆแล้วห้องก็ใหญ่ไม่ใช่น้อย...หรือเฉพาะห้องผมกับอาร์มไม่รู้ แต่ความหรูก็ตามระดับของโรงแรมอ่ะนะ

     เดินไปดูอ่างอาบน้ำ ก็พอจะโล่งใจว่าไม่ใช่จากุชชี่ อ่างทองคำ มีหัวสิงโตแต่อย่างใด เป็นแค่อ่างอาบน้ำธรรมดา ดีหน่อยตรงที่มันค่อนข้างกว้าง แต่ผมคงไม่เสียเวลาแช่อะไรหรอก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ค่อยได้แช่น้ำอยู่แล้ว ด้วยเวลาที่ไม่ค่อยมี เรื่องแช่น้ำสบายๆนี่เลิกคิดได้เลย

     เอื้อมมือไปเปิดฝักบัวอาบน้ำตามปกติ คงไม่ต้องบรรยายนะว่าอาบน้ำท่าไหน ยังไง ก็ใช้เวลาไม่มากหรอก ผมก็หยิบผ้ามาเช็ดตัว แล้วก็จัดการใส่เสื้อ ใส่กางเกงให้เรียบร้อย ส่วนเนคไทกับสูทเดี๋ยวค่อยไปใส่ข้างนอก

ออกมาก็เห็นไอ้อาร์มกำลังแกะห่ออะไรสักอย่างใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นห่อขนม ก็ไม่รู้หรอกว่ามันไปเอามาจากไหน ตอนไหน

“ทำอะไรอยู่น่ะ?”ผมทักไป มันก็หันกลับมามองผมแล้วก็ยิ้ม

“เมื่อกี้ไอ้ต้ามันเอามาร์ชเมลโล่มาฝากน่ะ มีของพอร์ชด้วยนะ”อาร์มเอาถุงขนมหวานสีขาวนวลชูให้ดู ....ขนมอีกแล้วเหรอวะ? เท่าที่ดูๆมาไอ้เบต้าอะไรเนี่ยเห็นมันกินขนมตลอดเวลาเลยนะ มิน่าร่างกายถึงแลดูขาดสารอาหารขนาดนั้น

“ไม่เอาล่ะ เก็บไปเถอะ”ผมหยิบเนคไทมาผูก ก็รู้สึกสงสัยเหมือนกันว่าใครมันบัญญัติไว้ให้คนทั้งโลกใส่เนคไทวะ อึดอัดก็อึดอัด เสียเวลาผูกอีกต่างหาก

“อ่ะน่า เก็บเอาไว้กินตอนท้องว่างก็ได้”นี่ก็พยายามเอามาให้ผมจนได้สิ

“เออๆ ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว”ผมยอมรับมาใส่ไว้ในกระเป๋าเป้จนได้ แถมเอ่ยปากไล่มันไปอาบน้ำให้ด้วย

“ครับ”เรื่องเชื่อฟังผมนี่ไม่มีใครเกินไอ้อาร์ม แต่บางทีก็เชื่อฟังเกินไปนะ




     ช่วงเวลาอาบน้ำ แต่งตัวของไอ้อาร์มก็ข้ามๆมันไปแล้วกัน เพราะมันทำอะไรเร็วอย่างที่พูดจริงๆ แม้จะมีอ้อนขอให้ผมช่วยผูกเนคไทเหมือนสามีภรรยาตามที่มันมโนไปเองก็เถอะ แต่ก็เวลาอีกตั้งนานกว่าจะเริ่มงาน

“งั้นเดี๋ยวเราไปดูการเตรียมงานไหม?”

“ก็เอาดิ ผมยิ่งเบื่อๆอยู่”เอาจริงๆผมก็แทบจะลงไปนอนแผ่บนเตียงอยู่แล้ว แต่กลัวเสื้อจะยับเอา เลยได้แต่นั่งกระดิกเท้ารอเวลา

“โอเค งั้นไปกัน”อาร์มยื่นมือให้ผมให้จับแล้วยืนขึ้นเดินตามมัน

“นี่ ผมยืนแล้วก็ปล่อยสิ”ผมท้วงทันทีที่ลุกขึ้นแล้วมันยังไม่ปล่อยมือผม ซ้ำยังดึงให้ผมเดินไปกับมันอีก

“ไม่เอา อยากจับมืออ่ะ”ยิ่งผมพยายามสะบัดมือมันยิ่งจับแน่นไม่ปล่อยสักที หน้ายิ้มแป้น ...บางทีมันก็ตามใจผม แต่บางทีมันก็เอาแต่ใจกับผมอย่างนี้ทุกทีเลย

“ปล่อย ไม่ปล่อยเดี๋ยวมีถีบ”

“นิดเดียวเองนะ”ดูมันทำเสียงอ้อนเข้า ยืนยันจะไม่ปล่อยมืออย่างเดียว ดีที่แถวนี้ไม่ค่อยมีคน เลยไม่มีใครมาเห็นภาพน่าอายแบบนี้

“เฮ้ๆ คู่นั้นทำอะไรกันน่ะ”เหมือนเสียงสวรรค์ดังขึ้นมาช่วยชีวิตผม ....ก็เจ้าเดิมนั่นแหละ เบต้าจอมขัดบรรยากาศและอารมณ์ไอ้อาร์ม

“มาก็ดี ช่วยบอกไอ้คุณอาร์มนี่ได้ไหมว่าให้ปล่อยมือผมสักที”ผมหันไปบอกเบต้าให้ช่วยผมงัดไอ้อาร์มออกจากผมสักที

“ห่าอาร์ม พอร์ชเขาไม่ชอบก็อย่าไปบังคับเขาดิ ปล่อยเลยมึงปล่อย”ไม่พูดอย่างเดียวยังเข้ามาช่วยตีแขนไอ้อาร์มด้วย แถมยังตีแรงอีกต่างหาก นี่ผมชักชอบไอ้ต้าขึ้นมาแล้วสิ

“ไอ้ซีไปไหนวะ ทำไมปล่อยมึงมาเพ่นพ่านแถวนี้ห๊ะ”ผมมองตามอาร์มก็ไม่เห็นซี ชายหนุ่มผู้พูดน้อยคำจริงๆ

“พูดซะกูกลายเป็นตัวอะไรไปแล้ววะเนี่ย  ไอ้ซีมันหลับ เดี๋ยวกูก็จะไปหลับด้วยเหมือนกัน รองานบริษัทมึงเสร็จไปก่อน พวกกูค่อยตื่น”

“แล้วนี่ออกมาทำอะไรล่ะ?”นั่นสิ ออกมาทำอะไร

“ดูลาดเลา”

“ลาดเลาอะไรวะ?”ไม่รอให้ผมถามไอ้อาร์มที่สงสัยไม่แพ้กันก็ถามแทนผมเรียบร้อย

“ก็คุณน้องพิม แพมอะไรนั่นน่ะ ปีที่แล้วก็เล่นเอาซะพวกกูแทบแย่”ชื่อบุคคลปริศนาออกมาจากปากเบต้า ผมก็ได้แต่ฟังเก็บข้อมูลเงียบๆ

“เค้าชื่อพิม”อาร์มพูดแก้ให้หน้าตาหนักใจหน่อยๆ

“เอ้อๆ งั้นเอางี้ ปีนี้พวกกูไม่อยู่ช่วย....เอาเป็นว่าให้เจ้าของตัวจริงเขาช่วยกันให้แล้วกัน เนอะ พอร์ช?”มันพูดอะไรที่ฟังแล้วรู้สึกงงๆ แถมมีการมาถามความเห็นผมอีก

“กันอะไร?”เป็นผมเองที่ถามออกไปเพราะโดนพาดพิงแบบงงๆเมื่อกี้

“คุณน้องพิมเขาเป็นน้องสาวหุ้นส่วนของบริษัทน่ะ ...ก็เป็นเรื่องปกติที่พอเห็นประธานบริษัทอายุไล่เลี่ยกันแล้วก็เกิดอาการฟอลล์ อิน เลิฟ ขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อไอ้อาร์ม ดันทำตัวสุภาพบุรุษให้เขาหวั่นไหว ยิ่งไปกันใหญ่....ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงย่อมอยากได้คนๆนั้นมาเป็น ผั...เอ๊ย เจ้าของน่ะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม”เหมือนมันจะหลุดปากอะไรออกมา แต่ก็ยั้งปากเอาไว้ได้ทัน แต่ก็หลุดมาครึ่งคำแล้วนั่น

“อ้อ สรุปคือ จะให้ผมช่วยกันเขาให้”ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความผมก็พอจะเข้าใจ น้องสาวหุ้นส่วนที่ตกหลุมรักอาร์ม ปีนี้ยังไงๆก็คงต้องมาเห็นหน้าแน่ๆ

“ได้แฟนฉลาดไม่สมกับมึงเลยว่ะอาร์ม.....แล้วก็ระวังเรื่องหูนิดนึงนะ ถ้าไม่อยากโดนกรี๊ดใส่แก้วหูแตก เอ่อ เอาเป็นว่าระวังทั้งตัวเลยก็ยิ่งดี”

“งั้นผมคงไม่อยากยุ่งด้วยเท่าไหร่”จากการรับมือน้องสาวมาทั้งชีวิตแล้วผมก็รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของผู้หญิง แม้ไนซ์มันจะไม่ร้ายขนาดนางร้ายอะไรนั่นหรอก แต่มันก็ชอบเอาเรื่องเพื่อนผู้หญิงในโรงเรียนมาเล่าให้ฟังบ่อยๆจนผมรู้ซึ้งเลย

“ก็ไม่รู้สิ แต่คราวนี้ เรื่องนี้เบต้าจะไม่ยุ่ง จัดการเอาเองแล้วกันไอ้อาร์ม ไปละ”พูดสั่งการเสร็จก็ลากลับทันที ทิ้งผมกับไอ้อาร์มที่ทำหน้าน้อยใจใส่ผมซะอย่างนั้น

“ไม่ช่วยหน่อยเหรอ?”

“ก็ไม่รู้ มันก็แล้วแต่สถานการณ์อ่ะนะ แล้วก็....ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน โอเคนะ”ผมยิ้มแล้วก็เดินนำไปสถานที่จัดงาน เพราะคิดว่า เรื่องนี้ผมก็จะไม่ยุ่งเหมือนกัน ในเมื่อมันไม่เกี่ยวกับผม อย่าได้หวังว่าผมจะเกิดอาการหึงหวงอะไรนะ

“โหย หึงหน่อยสักนิดก็ไม่ได้”

“แล้วผมเป็นอะไรกับคุณ ทำไมต้องหึง”นั่นหน้ามันยิ่งยู่เข้าไปใหญ่ แต่ไม่ได้ตอบโต้เพราะมันก็รู้ดีว่าเราไม่ได้เป็นอะไรที่มากกว่าเจ้านายกับลูกน้องจริงๆ

“เสียใจนะเนี่ย”จะว่าไปผมก็ใจร้ายใส่มันไปหลายครั้งแล้วเหมือนกัน...

“งั้นก็เชิญเสียใจให้เต็มที่ไปเลยแล้วกัน”ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอใจร้ายใส่อีกสักครั้งแล้วกัน ว่าแล้วก็รีบเดินไปสถานที่จัดงาน ซึ่งก็เตรียมพร้อมจะรับแขกเต็มที่แล้ว รูปแบบก็เหมือนๆงานเลี้ยงทั่วไป น่าเบื่อ ไร้ชีวิตชีวา

     สักพักก็เริ่มมีคนเข้ามาทักทายท่านประธานบริษัท มีพี่หลิงเข้ามาคุยงาน จนถึงเวลางานเท่านั้นแหละ คุณชาย คุณหญิง คุณนายผมทรงกระบังลมลอยมาแต่ไกล นักธุรกิจมากหน้าหลายตา ทั้งที่ผมรู้จักและไม่รู้จัก ทยอยมากันให้ขวัก บรรยากาศครึกครื้น ทักทายปราศรัยกันเข้าไป ....ส่วนผมก็ต้องยืนเคว้งอยู่คนเดียว เพราะ ไอ้อาร์มในฐานะประธานบริษัทเพิ่งจะขอตัวไปพูดอะไรหน้างาน พร้อมขอโทษที่ทิ้งผมไว้คนเดียว

     ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ฟังคนพูดหน้าเวทีไปเรื่อยเปื่อยจนชักง่วง เลยกะว่าไปหยิบค็อกเทลมาจิบเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่จะยกแก้วใบจิ๋วจรดปาก ก็มีคนเดินเข้ามาทักด้วยรอยยิ้มที่เดาอารมณ์ไม่ออกซะก่อน

“สวัสดีครับ”คนตรงหน้าน่าจะอายุพอๆกับผมเดินเข้ามาทักพร้อมยกแก้วค็อกเทลในมือเป็นเชิงว่าขอชนแก้วด้วยหน่อย ผมก็ทำไปตามมารยาท ก็ไม่รู้หรอกว่ามันมาด้วยวัตถุประสงค์อะไร

“ครับ”ผมตอบรับสั้นๆด้วยรอยยิ้มธุรกิจไปโดยอัตโนมัติทันที

“ผมทิพากรมา จากบริษัทยูเนี่ยน ครับ คุณ...”อ๋อ บริษัทหุ้นส่วนไอ้อาร์ม...มีไอ้คุณทิพากรอะไรสักอย่างตรงหน้านี่เป็นประธานบริษัท ถือเป็นนักธุรกิจหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรงอีกคนเลย

“นวัตร์ จากบริษัทอลงกตครับ”...นวัตร์นี่คือชื่อปลอมที่ผมใช้ในอาชีพสายลับครับ ส่วนอลงกตก็ชื่อบริษัทที่มีมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นทวดของไอ้อาร์มมัน

“เท่าที่ดูคุณดูเด็กที่สุดในบริษัทเลยนะครับ”มันมองคนอื่นๆที่เลยอายุสี่สิบไปโขแล้ว

“ครับ เพิ่งเรียนจบน่ะครับ”ว่างๆอยู่พอดี ขอหาเพื่อนคุยไปด้วยแล้วกัน หูก็แยกประสาทฟังคนบนเวทีไป ฟังไอ้คนตรงหน้าไปด้วย ....ผมหันไปมองไอ้อาร์มที่ไปยืนพูดอยู่บนเวทีแป๊บนึง พอเห็นแล้วก็รู้สึกว่ามันดูเคร่งขรึมกว่าปกติมาก ดูเป็นผู้เป็นคน แล้วก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าตอนที่มาง้องแง้งใส่ผมโขเลย

“เอ...ถ้าให้เดา คุณคงเป็นเพื่อนคุณวัชระหรือเปล่าครับ?”....จะว่าไปแล้ว ผมกับมันเป็นอะไรกันวะ? ไอ้สนิทมันก็ในระดับหนึ่งนะ แต่สถานะอะไรนี่สิ เพื่อนมันก็รู้สึกไม่ใช่เพราะมันจีบผม แฟนนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะมันจีบผมไม่ติด...ขอบอกว่าอารมณ์ตอนนี้มีแต่ ง งู สองตัวในหัวครับ

“ก็...ประมาณนั้นครับ”ตอนนี้ขอตอบไปแบบนี้ก่อนแล้วกัน

“งั้นเหรอครับ....ไม่ใช่อะไรหรอก คือปีก่อนๆผมเห็นอีกสองคนมาบ่อยๆน่ะครับ ไม่เคยเห็นคุณมาก่อน”

“อ๋อ ซีกับเบต้า”ผมพึมพำออกมา ถ้าสองคนก็คงต้องเป็นไอ้สองคนนั้นชัวร์ๆ

“นั่นแหละๆ น้องสาวผมก็ไปรบกวนซะเยอะเลย”อยู่ๆมันก็พูดประโยคที่ผมต้องรู้สึกสนใจ ....น้องสาวเหรอ รู้สึกคุ้นๆเหมือนเพิ่งได้ยินเมื่อไม่นานนี้

“...น้องคุณชื่อพิมหรือเปล่า?”ขอเดาไปก่อน เพราะนึกได้ว่าไอ้เบต้าเพิ่งมาบ่นให้ผมฟังอยู่

“นั่นแหละครับ ...แล้วนี่ไปไหนของเค้าไม่รู้”มันมองหาน้องสาวมัน ผมก็มองหาเด็กสาวอายุน้อยที่น่าจะเป็นที่สะดุดตาในงานนี้ไปด้วย แต่ไม่เจอ ซึ่งไม่เจอก็ดีแล้ว ผมไม่อยากรับมือด้วยเท่าไหร่

“เหรอครับ”ผมยิ้มแล้วก็คุยกับมันไปเรื่อยเปื่อย...นึกๆไปแล้วผมก็รู้สึกว่าไม่น่ามาเลย โคตรน่าเบื่อ นอนกลิ้งเกลือกบนเตียงยังดูมีอะไรมากกว่า

“พอร์ช”

“พี่กร”สองเสียงเรียกชื่อทั้งผมกับชื่อ(น่าจะ)ของคนที่เข้ามาคุยกับผมดังขึ้น เสียงนึงเป็นเสียงทุ้มนุ่ม อีกเสียงเป็นเสียงหวานใสของเด็กสาวผมยาวในชุดเดรสสีขาวทองที่กำลังเกาะแขนไอ้อาร์มอยู่

ส่วนไอ้อาร์มก็ส่งสายตาเหมือนอยากขอความช่วยเหลือจากผมมาให้

ผมชักสงสัยว่ามันปฏิเสธคนไม่เป็นหรือยังไง?

“คุณอาร์มกับพิมมาพอดีเลย”

“พี่กร นั่น...ใครคะ?”เธอปรายตามองผมเล็กน้อยแล้วหันไปถามพี่ชายตัวเอง แน่นอนว่าก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนไอ้อาร์ม

“ถามคุณอาร์มดูสิ เดี๋ยวพี่ว่าจะไปทำธุระหน่อย ....ขอตัวนะครับคุณวัชระ แล้วก็คุณนวัตร์ ขอบคุณที่อยู่คุยเป็นเพื่อนนะครับ”คุณทิพากรบอกลาทุกคนด้วยรอยยิ้ม ปัดภาระทุกอย่างทิ้งไว้ให้พวกผมเฉยเลย ดูมัน มาด้วยรอยยิ้ม แล้วก็จากไปด้วยรอยยิ้ม....

“เอ่อ นั่นพอร์ชเป็น แฟ........เพื่อนพี่น่ะ”มันตอบให้แทนพี่ชายของคุณน้องพิมที่ชิ่งหนีไปแล้ว แต่พอจะพูดสถานะของผมมันก็เหลือบตามองผมนิดนึง พอเห็นสายตาเตรียมจะยิงมันทิ้งถ้าพูดคำว่าแฟนออกมาของผม มันก็เลี่ยงไปพูดคำอื่นที่ปลอดภัยต่อชีวิตมันแทน

“เพื่อนพี่เองเหรอคะ...สวัสดีค่ะ พี่พอร์ช พิมค่ะ ดีใจที่ได้เจอจัง”เธอพูดเสียงหวานน่ารักพร้อมรอยยิ้มสดใส....แต่ผมก็อดระแวงไม่ได้ว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นมีใบหน้าแบบไหนซ่อนอยู่

“ครับ”ยิ้มใส่น้องพิมแบบเดียวกับที่ยิ้มให้พี่ชายคุณเธอ

“พี่อาร์ม พิมอยากดื่มไวน์อ่ะ”พอหมดความสนใจในตัวผมแล้วน้องพิมเธอก็ไปอ้อนไอ้อาร์มทันที ว่าแต่น้องเขาดื่มของมึนเมาได้แล้วเหรอวะครับ? ดูๆแล้วน่าจะยังอยู่ม.ปลายอยู่เลยนะ

“พิมครับ พิมยังดื่มไม่ได้นะครับ”

“อะไรอ่ะพี่อาร์ม ..งั้นขอพี่พอร์ชก็ได้ พี่พอร์ชคะ ช่วยพิมหยิบให้หน่อยได้ไหมคะ?”นั่นไง พอขอจากไอ้พ่อพระไม่ได้ น้องเธอก็หันมาขอผมเสียงหวานเชียว

“.......ได้สิครับ”......ตอนแรกว่าจะปฏิเสธ แต่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ซะก่อนเลยตอบรับไปด้วยรอยยิ้มที่ถ้าสังเกตดูดีๆคงเป็นรอยยิ้มที่แฝงความชั่วร้ายไม่ใช่น้อย

“งั้นฝากด้วยนะคะ”พิมยิ้มกว้างที่ผมยอมฟังคำขอเธอดีๆ โดยไม่แย้ง ไม่ขัดใจอะไร

“พอร์ช!”เสียงไอ้อาร์มท้วงผมขึ้นมา แต่ผมก็เมินมันซะ

“รอแป๊บนึงนะครับ”ผมยิ้มไม่สนใจไอ้อาร์มว่ามันจะพูดหรือจะทำหน้ายังไงอยู่..... ผมเดินไปตามแผน เอาแก้วค็อกเทลที่ผมดื่มหมดไปแล้ว ไปคืน จากนั้นก็หยิบแก้ววิสกี้ชั้นดีแบบเพียวๆซึ่งก็น่าจะแรงพอดูสำหรับเด็กสาว

“นี่ครับ น้องพิม”ผมยื่นแก้วน้ำสีอำพันให้ ซึ่งเธอก็ดูงงๆ แต่หน้าผมยังคงประดับรอยยิ้ม(จอมปลอม)ไว้เช่นเคย ผิดกับไอ้อาร์มที่ทำหน้าเหวอไปแล้ว

“เอ๊ะ นี่ก็ไวน์เหรอคะ?”

“ไม่ใช่หรอกครับ...แต่แบบนี้น่าจะเหมาะกับน้องพิมมากกว่า ลองดื่มดูสิครับ....น้องพิมเองก็ เป็นผู้ใหญ่แล้วนี่...”ประโยคแรกชักชวน ประโยคสุดท้ายคือยั่วยุให้ดื่ม

“เฮ้ย!พอร์ช น้องเขาดื่มไม่ได้นะ”อาร์มร้องท้วง ขัดขวางผมซะอย่างนั้น

“พี่อาร์มก็ พิมดื่มได้น่า แค่นี้เอง สบายๆอยู่แล้ว เนอะ”เธอหันมาถามความเห็นผม ซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากส่งยิ้มให้เธอ ....จบประโยคโดยไม่มีใครขัดอีก เธอก็หยิบแก้วขึ้นมากระดกพรวดเดียวหมด...

“รสชาติแปลกใหม่ดีจัง พิมขออีกแก้วนะคะ”จัดไปอย่าให้เสียครับ ออนเดอะร็อคแบบเดิมยื่นให้ไม่ขัดใจคนดื่มสักนิด ไม่เห็นใจด้วยถ้าเธอจะเมาเละ ในเมื่อเธอขอเอง

“จัดไปครับ”

“คิกคิก พี่พอร์ชใจดีจัง”ซดไปอีกแก้วเท่านั้นเสียงเริ่มไปแล้ว

“อีกสักแก้วนะครับ ตบท้าย”ไม่ต้องร้องขอครับ ผมก็พร้อมยื่นให้ทันทีไม่ให้เสียจังหวะการดื่มอันมีอรรถรส นั่นแหละกระดกเพียวๆหมดแก้ว

“พี่อาร์มดูสิ พิมดื่มได้น้า พิมเก่งใช่ม้า~”พูดด้วยเสียงอ้อแอ้พร้อมไปซบแขนไอ้อาร์มจบ คุณน้องก็ผล็อยหลับไปทันที

“พอร์ช เล่นอะไรเนี่ย น้องเขาน็อกไปแล้วเห็นไหม!?”ไอ้อาร์มที่ต้องคอยพยุงร่างคุณน้องที่เพิ่งกระดกออน เดอะ ร็อคไปเมื่อกี้โวยใส่ผมทันที...ฟังเหมือนโดนพ่อบ่นอะไรอย่างนั้นเลยแฮะ

“ตัดปัญหาไง จะได้ไม่ต้องคอยลากไปไหนมาไหน รับมือกับอะไรไม่รู้ที่จะเกิดขึ้นไง...ให้กระดกเหล้าแค่นี้จบ ทุกอย่างเคลียร์ เอ้อ เดี๋ยวไปตามคุณกรอะไรนั่นให้นะ”ผมยักไหล่ใส่แล้วก็ออกไปตามคุณทิพากรที่เดินไปไหนแล้วก็ไม่รู้

“คุณทิพากรครับ”เห็นกำลังจิบค็อกเทลคนเดียวอยู่ผมเลยเข้าไปทักได้ ไม่ต้องเกรงใจใคร

“อ้าว คุณนวัตร์ มีอะไรเหรอครับ?”

“คือ...น้องพิมเขาดื่มเข้าไปแล้วก็ คอพับไปแล้วอ่ะครับ ขอโทษนะครับ พอดีไอ้ผมก็ไม่รู้ว่าน้องเขาดื่มไม่ได้เลยไม่ได้ห้ามเขา”ผมทำท่าขอโทษขอโพยสำนึกผิด พูดแถไปเนียนๆ

“ห๊ะ งั้นเหรอครับ ไม่เป็นไรๆ แล้วอยู่ไหนแล้วล่ะครับ?”ดูมันไม่โกรธ แล้วก็ไม่ตกใจเท่าไหร่คงเห็นเป็นเรื่องปกติแล้วล่ะมั้งนั่น

“ทางนั้นครับ อาร์มเขาดูแลให้อยู่”ว่าแล้วผมก็เดินนำไป ก็เห็นอาร์มมันพาน้องเขาไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆกันแล้ว

“โอ๊ย กินไม่ดูตัวเองอีกแล้ว ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายด้วยนะครับ เดี๋ยวผมพากลับเอง”ว่าแล้วมันก็จัดการเรียกพ่อบ้านที่อยู่ใกล้ๆมาหิ้วน้องสาวมันไปจัดการเก็บเรียบร้อย ซึ่งคนก็คงมองตามไม่ใช่น้อยนั่นแหละ ว่าแต่ที่ว่า กินไม่ดูอีกแล้ว นี่แสดงว่าเคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วล่ะมั้งนะ

“ร้ายนักนะ”พอสองพี่น้องคู่นั้นหายลับไปจากสายตาแล้วอาร์มมันก็หันมาพูดกับผม หน้าตามันก็ไม่ได้บ่งบอกว่าโกรธหรือตำหนิอะไรหรอก

“ขอบคุณที่ชม”ผมยิ้มกลับไป แต่คราวนี้เป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจที่ทำแผนการสำเร็จ ที่จริงผมก็อยากขอบคุณน้องพิมนะ ที่มาทำให้งานเลี้ยงที่น่าเบื่อสำหรับผมนี่ดูมีสีสันขึ้นมานิดหน่อย


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =



ตอนที่7มาเสิร์ฟแล้ว เนื้อเรื่องจะเป็นยังไงต่อไป ติดตามชมกันด้วยนะคะ :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 20:48:47 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่8 21/8/15
«ตอบ #13 เมื่อ21-08-2015 16:01:56 »

บทที่ 8


     หลังจากเหตุการณ์น้องพิม ออนเดอะร็อคจบไป ผมก็เตร่ออกมาจากงานด้วยความเบื่อๆ แน่นอนว่าตอนไปบอกไอ้อาร์ม มันก็ยื้อผมให้อยู่กับมันแทบตาย แต่ผมก็เบื่อเต็มทีแล้วเลยทิ้งมันจัดการเรื่องวุ่นๆคนเดียว บวกกับเบต้าที่ไม่รู้ว่าเอาเบอร์ผมมาจากไหน(คิดว่าน่าจะไถมาจากไอ้อาร์ม)โทรมาตามให้ออกไปข้างนอกด้วย ผมก็เลยหนีมันมาทั้งๆอย่างนี้แหละ

     แต่ก่อนที่จะออกไปหาพวกเพื่อนอาร์มผมก็แวะไปเปลี่ยนชุดก่อน ให้ใส่ชุดสูทนานๆผมก็อึดอัดนะ แถมร้อนอีกต่างหาก เลยเปลี่ยนกลับมาเป็นสภาพเสื้อยืด กางเกงสามส่วน ใครก็ไม่ต้องโทรเรียกให้ผมกลับไปงานนั่นนะ

     ก๊อกๆๆ

     ผมเคาะประตูห้องพักห้องข้างๆ ซึ่งเป็นห้องของสองคนนั้นที่โทรมานัดให้มาเจอกันที่ห้องนี้ ไม่ต้องรอนานนัก คนโทรเรียกผมก็โผล่หน้าออกมาทันที สังเกตดูในห้องมันมีอะไรวางระเกะระกะเต็มไปหมดไม่รู้

“มาพอดี ช่วยกันเตรียมของหน่อยเร็ว”เบต้าบอกพร้อมชี้ไปข้างหลัง ผมก็ไม่เข้าใจว่าต้องการให้ผมทำอะไร

“เตรียมอะไร?”

“คืนนี้จะเซอร์ไพรส์วันเกิดไอ้อาร์มกันน่ะ ช่วยหน่อยนะ”อ๋อ เซอร์ไพรส์วันเกิดเพื่อน ผมไม่เคยทำเหมือนกัน ปกติชอบอยู่เฉยๆมากกว่า

“อืมๆ ให้ช่วยอะไรล่ะ”

“เออ...ฝากถือเค้กหน่อย เดี๋ยวเอาลงไปแล้วค่อยปักเทียนกัน”มันเอากล่องเค้กน่าจะสักสองสามปอนด์มาให้ผมถือ ส่วนมันสองคนอาสาถือกระติกกันคนละสองใบ

“เอาลงไปไหน?”

“ชายหาดน่ะ ปิ้งอาหารทะเลกินกัน มีเสียงลม เสียงคลื่น เสียงดนตรีคลอ ปาร์ตี้กันเล็กๆ สนุกๆ เอ้อ เหล้าเบียร์แกล้มด้วยหน่อยๆ ประมาณนั้น”ต้าฉีกยิ้มกว้าง ถ้ามือมันว่างคงทำท่ายกนิ้วโป้งให้ด้วย.... แต่ผมชักไม่รู้สึกสนุก เมื่อได้ยินคำว่าชายหาดของมัน

“ประมาณนั้นแหละ ไปกันเถอะ”ซีบอกแล้วพากันออกจากห้อง ปิดประตู ขึ้นลิฟต์ลงไปข้างล่างกัน

“....น้ำไม่ขึ้นแย่เหรอ?”ผมพูดอย่างหวาดๆ ไม่อยากไปเฉียดใกล้ทะเลแม้แต่นิดเดียว แต่ก็เก็บสีหน้า เก็บอาการ ไม่ให้ใครรู้ตลอด

“เราไม่ไปใกล้ทะเลขนาดนั้นหรอก แต่ตอนนี้น้ำก็ไม่ขึ้นมากนะ น่าจะสบายอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”ซีเป็นคนตอบให้ ยังไงๆมันก็จะไปทะเลกันอยู่ดี...

“เหรอ”ผมตอบแค่นั้นแล้วก็เงียบไปตลอดทาง

     ติ๊ง

     ประตูเหล็กค่อยๆเปิดออกหลังเสียงอิเล็คทรอนิคดังขึ้น พาผมเดินเข้าไปใกล้อดีตมากขึ้น.... อดีตวันที่จัดงานวันเกิดริมหาดแบบนี้ แบบเดียวกัน แต่คนในเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้อยู่ด้วยกันกับผมตรงนี้ ...เสียงคลื่นกระทบหาดซ้ำไปซ้ำมาฟังจนอยากจะอุดหู ไม่อยากได้ยินอีก

     พอเห็นชายหาดเบต้าก็วิ่งเข้าไปทันที ตรงนั้นมีโต๊ะพับ เก้าอี้ เตาปิ้งย่างเตรียมไว้พร้อมแล้ว ทั้งสองคนเดินเอาของไปเก็บกันท่าทางสบายๆ

“.......”แต่ผมก็ไม่กล้าก้าวไปเหยียบผืนทรายสักที เหมือนขามันก้าวไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

“พอร์ช เป็นอะไร? สีหน้าดูไม่ค่อยดีนะ”เบต้าสังเกตเห็นผมก็เลยวิ่งเข้ามาถาม พร้อมช่วยเอากล่องไปถือให้

“เปล่าๆ สบายดี แค่เผลอคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”ผมพยายามพาตัวเองเข้าไปใกล้หาดทราย แทบจะกลั้นใจเวลาเหยียบลงไปบนพื้นทราย...อะไรวะ กะอีแค่ทะเล มันก็อยู่ของมันเฉยๆ ไม่ได้จะมาฆ่าสักหน่อย จะปอดแหกไปทำไมวะ!? ด่าตัวเองไปยกใหญ่แล้วก็เดินไปข้างหน้า เลิกคิดถึงเรื่องเก่าๆไปซะ

“แล้วมีอะไรให้ช่วยอีกไหม?”ผมยิ้มให้เบต้า มันเห็นว่าผมไม่เป็นอะไรก็ไปรื้อเอากล่องเทียนวันเกิดมาให้

“งั้นเอาเทียนไปปักให้หน่อย ....ว่าแต่ปักกี่เล่มวะไอ้ซี ต้องปักหมดตามอายุไอ้อาร์มหรือเปล่าวะ?”มันเกาหัวแกรกๆ ผมก็นึกภาพเค้กถูกเทียนยี่สิบกว่าเล่มปักจนไม่เหลือพื้นที่หน้าเค้กก็นึกขำ จนลืมเรื่องเครียดๆไปเลย

“จะบ้าเหรอ ใครเค้าทำอย่างนั้นกันล่ะ”ไอ้ซีขัดขึ้นมาทันที ผมก็รู้สึกเห็นด้วยกับซีเหมือนกัน

“งั้นปักแม่งรอบๆเค้กให้หมดกล่องเลย?”เบต้าพูดไปมือก็แกะกล่องเค้กไป เป็นเค้กสีน้ำตาลทั้งก้อน ก็คงจะเค้กช็อกโกแลตนั่นแหละ

“มันไม่ดูแปลกๆเหรอวะ?” จริง...ถ้าทำจริงๆคงดูแปลกๆน่าดู

“แล้วสรุปปักยังไงวะ?”เบต้าชักจะคิ้วขมวด มองเค้กช็อกโกแลตตรงหน้าแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง

“ไม่รู้ว่ะ”

“อ้าว พูดมานี่กูนึกว่ามึงรู้”คราวนี้ผมคิดเหมือนเบต้าครับ ซีมันพูดเหมือนรู้จริงๆ แต่สุดท้ายคือไม่รู้เนี่ยนะ...

“พอร์ชรู้ไหม?”ซีหันมาถามผมแทน ไอ้เบต้าก็หันมามองอย่างมีความหวัง แต่ขอโทษเถอะ ถ้าต้องทำลายความหวังนั่นน่ะนะ

“ไม่รู้....แต่เอางี้ปักไป 6 ดอก....เอ๊ย 6 เล่มแล้วกัน”ผมพูดแก้เพราะ ดอกนี่มันลักษณนามใช้กับธูป ซึ่งไอ้อาร์มมันยังไม่ตาย...ผมก็ยิ่งงงๆระหว่างธูปกับเทียนอยู่

“ทำไมต้อง 6 เล่มล่ะ?”อันนี้ไอ้ต้าถามผม แต่ไม่ได้สนใจเรื่องที่ผมพูดผิดอะไร ผมก็ได้แต่ยิ้มให้แล้วเทเทียนในกล่องออกมา

“ก็เอาเลขอายุมาบวกกัน...สองบวกสี่น่ะ”พูดแค่นั้นทั้งสองคนตรงหน้าก็ร้องอ๋อออกมา

“งั้นก็เอาเลย ปักเลย แต่เดี๋ยวรอไอ้อาร์มโทรมาก่อน ค่อยจุดเทียนกัน”เบต้าบอกแล้วก็หันไปเตรียมของอย่างอื่น ส่วนผมก็คอยปักเทียน ตั้งสมาธิอยู่กับของตรงหน้า จะได้เลิกสนใจเรื่องทะเลสักที

     กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง

     ไม่ทันไรเสียงมือถือผมก็ดัง ชื่อที่ปรากฏ ไม่ใช่ใครนอกจากไอ้อาร์ม คงโทรตามนั่นแหละ เพราะนี่ก็เป็นเวลาที่งานเลี้ยงข้างในเสร็จสิ้นไปแล้ว คงจะมาถามว่าพวกผมอยู่ที่ไหนกันแน่ๆ

“ครับ?”

‘อยู่ไหนอ่ะ มาหาที่ห้องแล้วก็ไม่เจอ’เสียงจากฝั่งนั้นออกจะก้องๆ คาดว่าคงอยู่ตรงโถงทางเดิน

“ใครโทรมาอ่ะ อาร์มป่ะ?”เบต้าที่เห็นผมยกมือถือขึ้นมาคุยก็ถามแทรกขึ้นมาทันที

“อืม”ผมตอบรับ พร้อมพยักหน้าให้

“งั้นขอคุยด้วยหน่อย”ต้าบอกแค่นั้นผมก็ยื่นมือถือให้ทันที แล้วก็กลับมาปักเทียนต่อให้เสร็จ

“ ’โหล มึง อยู่ที่ชายหาดนี่แหละ เดินออกมาจากโรงแรมหน่อยก็เจอเลย..... เออ กูอยากตอบ ...เดินๆมาเหอะเดี๋ยวก็เจอ แค่นี้นะมึง”ถึงไม่ได้ยินว่าไอ้อาร์มพูดอะไรตอบกลับมาบ้าง แต่ฟังจากเบต้าแล้วก็พอเดาๆได้ มันคุยเสร็จก็ ยื่นมือถือคืนให้ทันที

“จุดเทียนเลยก็ได้มั้ง เดินมาจากนั่นก็ไม่ได้นานมากด้วย แล้วทีนี้มันเดินมาก็เอาเค้กไปให้ ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์เลยแล้วกัน”ต้าเอาไฟแช็คในกระเป๋ากางเกงยื่นให้ผมไปจัดการต่อ ดูๆก็เป็นไฟแช็คที่สวยน่าดู ท่าจะแพงด้วย

“ซี จัดของเสร็จยัง?”เบต้าถามไอ้ซี ขณะที่ผมยังจดจ่อกับการจุดเทียนอยู่ จุดยากชิบ ลมทะเลก็พัดแรงจะดับมิดับแหล่อยู่แล้ว

“เสร็จแล้ว เหลือแค่รอเจ้าของงานเดินทางมาแค่นั้นแหละ”....ว่าแล้วเทียนก็ดับไปแล้วเล่มนึง

“อ้าว มึงๆๆ มาช่วยกันบังลมหน่อยดิ๊ เทียนจะดับหมดอยู่แล้ว”เหมือนรู้ใจผม เบต้าเลยรีบเรียกซีมาช่วยกันบังต้นทางลมให้ พอจุดเสร็จผมก็ปิดฝากล่องเอาไว้ก่อน รอให้ไอ้อาร์มมาเท่านั้น

“นั่น อาร์มป่ะ? เดินมาอยู่นั่นน่ะ”ซีชี้ไปที่ร่างที่กำลังเดินเข้ามา แต่ความมืดก็ทำให้มองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่

“งั้นเอาเลย พอร์ชไปยืนรอรับมันกัน”

“ห๊ะ ให้ผมถือเหรอ?”

“ก็นั่นแหละ ไปๆๆกัน”มันดันผมให้เดินไปข้างหน้าท่าทางคึกเป็นพิเศษ แล้วคนที่กำลังเดินอยู่เมื่อกี้ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเห็นได้ชัดว่าเป็นอาร์มจริงๆ พวกผมก็ไปหยุดตรงหน้ามัน เปิดฝากล่อง แล้วก็ร้องเพลง

“แฮปปี้เบิร์ทเดย์ ทูยู~แฮปปี้เบิร์ทเดย์ ทูยู~แฮปปี้เบิร์ทเดย์...อ้าว ช่วยกันร้องหน่อยสิ”พูดเอาไว้ว่าจะร้องเพลงกันก็จริง แต่ก็มีเบต้าคนเดียวนี่แหละที่ร้องเดี่ยวๆเลย ส่วนผมกับไอ้ซีก็เงียบ ไม่ได้ช่วยร้องอะไร ...ผมว่ามันรู้สึกอายๆยังไงไม่รู้ที่ต้องมาร้องเพลงอะไรแบบนี้ ส่วนไอ้ซีไม่รู้ว่ามันขี้เกียจร้องหรือยังไง

“แฮปปี้เบิร์ทเดย์ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ คอรัสๆหน่อยก็ได้ ดีๆๆ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ ทูยู~ อวยพรเลยมึง”ผมกับซีมาร้องคอรัสเบาๆตรงท่อนที่ใกล้จบเพลงนั่นแหละ

“.....”อาร์มไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มๆ ก็คงดีใจที่มีคนฉลองวันเกิดให้แบบจริงใจ ...ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์แบบในงานนั่น มันเงียบ พนมมืออธิษฐานอะไรบางอย่าง แล้วก็เป่าเทียนจนดับ

“ฮิ้ว ไปกินกัน~...ว่าแต่อธิษฐานอะไรวะ?บอกหน่อย”เบต้าร้องดีใจปรบมือแปะๆแล้วก็คว้าเอาเค้กช็อกโกแลตไปครอบครอง ดูท่าจะอยากกินน่าดู

“ไม่เอา เดี๋ยวไม่ขลัง แต่ถ้าพอร์ชถามก็จะตอบนะ”อาร์มหันมายิ้มให้ผม เดินตามไปตรงที่ๆพวกผมเพิ่งจัดของกันอยู่เมื่อกี้

“สองมาตรฐานว่ะ”เบต้าบ่นอุบ แต่พอเอาเค้กมาวางที่โต๊ะแล้วก็เลิกพูด เลิกบ่นทุกอย่าง เตรียมจาน เตรียมช้อนทันที

“จะถามไหมล่ะ?”อาร์มเข้ามาใกล้กระซิบซะใกล้หูจนรู้สึกเสียวไปทั้งหลัง

“ไม่อยากรู้”

“แต่อยากบอก”

“ก็ไม่อยากฟังไง”ผมหันไปทางอื่น ก็เห็นไอ้ต้าสั่งการไอ้ซีใหญ่ ส่วนตัวเองก็ตัดเค้กแบ่งใส่จาน

“อ่ะนี่ เจ้าของงานกับแฟนเจ้าของงาน ให้ชิ้นใหญ่พิเศษ”เป็นไอ้ซีที่เอาจานเค้กมาให้ผมกับอาร์ม แต่ก็ให้มาก้อนใหญ่จริงๆ มาเป็นก้อน ไม่มีการตัดเป็นชิ้นใดๆ

“ขอบคุณ”ผมยิ้มตอบ จะเดินไปนั่งที่โต๊ะ แต่ถูกไอ้อาร์มดึงตัวเอาไว้ซะก่อน ลากผมเดินไปไหนไม่รู้ ห่างออกไปจากตรงนี้

“นี่จะพาผมไปไหน?”มันลากผมไปเรื่อยๆไม่หยุด จนมาถึงที่ชายหาดเงียบๆ กว้างขวาง มีเพียงแสงไฟสลัวๆ

“มานั่งนี่ดีกว่า มาทะเลทั้งที มาสัมผัสกับพื้นทะเลหน่อยสิ”มันบอกแล้วลงไปนั่งบนพื้นทรายคนแรก

“ไม่เอา” ผมไม่อยากหันหน้าเข้าหาทะเล ไม่อยากมองทะเล

“นะ นั่งเป็นเพื่อนหน่อย”เสียงอ้อน หน้าอ้อนยังไงผมก็ไม่อยากอยู่ดี

“.........”ผมเหลือบมองท้องทะเลอีกครั้ง มันดำมืด มองไม่เห็นอะไร เหมือนจะดูดกลืนคนลงไปทันทีที่ก้าวลงไป จมดิ่งลงไป แล้วก็จะหายลับไปเลย...

“?”อาร์มมองผมเป็นเชิงถาม เพราะเห็นผมเหม่อมองไปที่ทะเล แล้วก็เงียบอยู่นาน

“.......”ผมลงไปนั่งข้างๆมันกอดเข่ามองตรงหน้า ถึงจะรู้สึกกลัวนิดๆก็ตาม

“กินเค้กกันดีกว่าเนอะ”อาร์มตักเค้กเข้าปากมองทะเลตรงหน้าด้วยท่าทางสบายๆ ผมก็พยายามนั่งกินเค้กเนื้อนิ่มในมือให้หมด แม้จะไม่ค่อยรับรู้รสชาติ กินๆมันให้หมดๆไป...เผลอเอามือไปว่างบนพื้นทรายทำให้เปื้อนไปหมด ไม่ชอบทรายก็ตรงนี้ โดนนิดหน่อยก็ติดเต็มตัวไปหมด ล้างก็ยาก

    ตุบ

“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ เดี๋ยวก็เปื้อนหมดหรอก”ผมวางจานเปล่าไว้ข้างๆตัว เห็นคนข้างๆอยู่ดีๆก็ล้มตัวลงไปนอนแล้วก็ตกใจ

“มาทะเลทั้งที ทำไมต้องกลัวเปื้อนล่ะ? พอร์ชก็มานอนด้วยกันสิ”

“ไม่เอา”

“น่านะ จะได้เห็นอะไรดีๆด้วย”รู้สึกวันนี้มันขัดใจผมตลอดเลยนะ ไม่แค่พูดชวนยังพยายามดึงผมลงไปนอนด้วยคนอีก

“ก็บอกว่าไม่เอา อย่าดึงดิ”ผมขืนตัวสุดแรงไม่ให้ลงไปตามแรงดึง

“วันเกิดอาร์มทั้งที ตามใจอาร์มหน่อยนะ”ถือว่าเป็นวันเกิดตัวเองทั้งที เลยได้ใจใหญ่

“ไม่....อ่ะ  เฮ้ย!??”ไม่ต้องคาดเดาว่าผมร้องทำไม เพราะผมล้มลงไปตามความคาดหวังของมันเรียบร้อย ล้มไม่พอยังล้มไปบนตัวมันอีก....ละครไทยชิบหาย

“เห็นไหม นี่ไม่เห็นเปื้อนเลย นอนบนตัวอาร์มนี่”มือมันเกาะเอวผมไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมให้ผมหนีไปไหนได้ง่ายๆ

“ไม่เอา เดี๋ยวใครมาเห็น ผมอาย.....แล้วมือคุณก็เปื้อนมาจับผมอีก ไม่เปื้อนตรงไหนห๊ะ?”ทั้งอาย ทั้งกลัวเปื้อน แต่รู้สึกอายมากกว่าเท่าตัว

“เอาน่า....วันนี้ถือว่ามาปลดปล่อยไง ปล่อยตัวเต็มที่เลย ไม่ต้องสนใจอะไร ไม่ต้องกลัวใคร ไม่มีกฎเกณฑ์อะไร กลับไปเป็นแค่คนธรรมดาคนนึง นอนแผ่ให้เต็มพื้นทรายเลย....เหมือนอาร์มนี่ไง เป็นแค่คนธรรมดาไม่ใช่เจ้าของธุรกิจที่ไหน ปล่อยไปเลย...ใครจะว่าอะไรก็ช่างมัน”คำพูดมันเหมือนสะกิดอะไรบางอย่างในตัวผม เลยเลิกดิ้นแล้วลงไปนอนแผ่ตามที่มันบอก

“นั่นไงเห็นไหม อะไรดีๆที่อาร์มบอกน่ะ อยู่บนท้องฟ้า”อยู่ๆมันก็บอกให้มองท้องฟ้า ชี้ไปข้างหน้า ภายใต้ความมืดสลัว แต่ก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของมัน กำลังมองไปที่ท้องฟ้า ผมก็มองตาม....เห็นดวงดาวส่องแสงสว่างเคียงข้างพระจันทร์สีนวลเต็มไปหมด เป็นประกายสวยมากจริงๆ ระยิบระยับเต็มท้องฟ้า

“รู้สึกสบายไหม? รู้สึกดีหรือเปล่า? เหมือนได้ปลดทุกอย่างทิ้งใช่ไหม?”เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังเอ่ยเรียบๆ เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่แทรกซึมลงไปในใจทีละนิด ทำให้รู้สึกอบอุ่นทุกครั้ง

     ไม่รู้มาก่อนเลยว่านอนดูดาวแบบนี้ จะทำให้รู้สึกเหมือนได้ทิ้งทุกอย่างไป สบายใจเหมือนได้กลับไปเป็นแค่คนธรรมดาๆ มีความฝัน ความหวัง เหมือนประกายแสงส่องวาบในใจ......หรืออาจจะเป็นเพราะคนข้างผมนี่ด้วยก็ไม่รู้

“.....”มองดูท้องฟ้าอยู่นานจนรู้สึกว่าตัวเบาๆแล้วผมก็ค่อยๆลุกขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าเดิม

“รู้สึกดีขึ้นใช่ไหม?”อาร์มลุกขึ้นถามด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะมองทะลุ อ่านใจผมได้ทุกอย่าง

“อืม”

“งั้นก็ดีแล้ว”อาร์มยิ้มแล้วก็เดินลงไปใน....ทะเล

“อาร์ม นั่นจะทำอะไรน่ะ?”ผมลุกขึ้นแทบไม่ทันตอนเห็นมันเดินลงไปเหยียบน้ำทะเล

“ก็ล้างทรายไง?”มันเดินลงไปลึกเรื่อยๆจนน้ำท่วมเกือบถึงเข่า

“ไม่ต้องเดินไปลึกขนาดนั้นก็ได้”

“แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกน่า พอร์ชก็มาล้างด้วยกันสิ”มันก้มลงไปล้างมืออย่างไม่กลัวอะไร ขณะที่ผมไม่กล้าจะเดินเข้าไปใกล้ เหยียบลงไปในน้ำทะเลเพื่อดึงมันกลับมาด้วยซ้ำ

“ไม่เอา”ไม่กล้าเดินลงไป ไม่กล้าขยับด้วยซ้ำ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า”มันเดินเข้ามาจะพาผมลงไปทะเล แต่ผมก็ไม่ขยับ ออกแรงขืนแทบแย่

“อาร์ม......ไม่เอานะ ...ขอร้องล่ะ”ผมเริ่มควบคุมน้ำเสียง น้ำตาตัวเองไม่ได้ รู้ดีว่ากลัวอะไรเกินเหตุ แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้สั่นไม่ได้

“พอร์ช?เป็นอะไร? ...ไม่ร้องนะ”มันรีบมาดูผมทันทีที่เห็นท่าทางผมจะร้องไห้ออกมา จะเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ด้วยซ้ำ

“ผมยังไม่ได้ร้อง...สักหน่อย”พูดจบน้ำตาไม่รักดีก็หยดลงมาซะอย่างนั้น...มาอ่อนไหวอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้ อาร์มมันยังไม่เป็นอะไรสักหน่อย

“....โอเค ไม่ร้องก็ไม่ร้อง แต่จะช่วยเช็ดน้ำตาให้นะ”มันเช็ดน้ำตาให้ตามที่บอก แต่ยิ่งมันอ่อนโยนเท่าไหร่เขื่อนน้ำตาผมก็ยิ่งแตก....ใครไปสะกิดจุดอ่อนไหวเข้าหน่อยผมก็น้ำตาร่วงได้ทุกที ยิ่งปลอบก็ยิ่งร้องหนัก

     ผมทรุดลงนั่ง ก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะร้องไปทำไม แสดงความอ่อนแอให้มันดูทำไม แต่มือมันก็คอยเช็ดน้ำตา คอยลูบหัว ลูบหลังปลอบผมอย่างเบามือ เหมือนที่ใครบางคนเคยทำให้ผม ยิ่งทำให้หยุดร้องยากเข้าไปใหญ่

“ฮึก...อาร์ม พอแล้ว ...อึก เดี๋ยวมันหยุดร้อง...ไม่ได้”พูดไปสะอื้นไปพยายามเช็ดน้ำตาตัวเอง กลั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา

“แล้ว...เป็นอะไร บอกได้ไหม? ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ”อาร์มหยุดทุกการกระทำตามที่ผมบอก แล้วก็นั่งถามผมอย่างใจเย็น

“....ไม่มีอะไร ก็แค่กลัว....กลัวมึงจะเดินลงไปแล้วหายไปเลย......แบบแม่กู”วินาทีนี้ผมไม่สนใจเรื่องคำสรรพนาม ไม่สนใจว่าจะเล่าอะไรออกไป....ปล่อยมันให้หมด เพราะตอนนี้ผมเป็นแค่คนธรรมดาอย่างที่มันบอก

“ขอโทษ....ไม่รู้ว่าพอร์ชจะกลัวขนาดนี้”มันไม่ได้สนใจเรื่องคำสรรพนามที่ผมพูด ได้แต่ขอโทษ สีหน้าอ่อนลง จับมือผมกุมเอาไว้

“ฟังดูเหมือนกลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง...แต่กูกลัวทะเลจริงๆ กลัวมันจะเอาคนข้างตัวกูไปอีก”

“ไม่เป็นไรแล้ว อาร์มก็อยู่นี่ไง....ไม่ได้เป็นอะไร จับมือพอร์ชอยู่เห็นไหม? ยังมีชีวิตอยู่ ยังอยู่ข้างๆตรงนี้...”อาร์มใช้สองมือกุมมือผมเอาไว้แน่นจับลงมาทาบที่อก จนรู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ยังคงทำงานอยู่สม่ำเสมอ บอกว่ามันยังอยู่ตรงหน้า ยังอยู่ข้างๆผม

“รู้แล้ว....”...ตั้งสติได้ก็ไม่เข้าใจว่า....ทำไมต้องเป็นห่วงมันด้วย ทำไมต้องกลัวมันจะหายไปด้วย

“ไม่เป็นไรแล้วเนอะ”เอื้อมมือมาเช็ดคราบน้ำตาให้แล้วก็ยิ้มให้... ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงรู้สึกสบายใจที่เห็นรอยยิ้มของมัน.....และไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงเข้าไปกอดมันอีก

     คนโดนกอดเหมือนจะตกใจนิดๆ ไม่คิดว่าผมจะกอดมัน เพราะผมเองก็ไม่เคยคิดจะกอดมันเลยจนถึงตอนนี้ ผมกลับเป็นฝ่ายเข้าไปกอดมันเอง กอดแบบไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น แค่รู้สึกว่าอยากทำอะไรผมก็ทำเลย ทำไปตามที่ใจคิด ....รู้สึกได้เหมือนกันว่าอาร์มก็กอดผมตอบเงียบๆ รอจนกระทั่งผมรู้สึกสงบลงมากแล้ว

“วันนี้ ผมไม่มีของขวัญให้หรอกนะ”ผมพูดขึ้นขณะที่ยังกอดมันอยู่ ตอนนี้ก็ยังไม่กล้าผละออกมา ไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี เพิ่งจะมารู้สึกว่าอายก็ตอนนี้

“หืม ไม่มีก็เป็นเห็นเป็นไรนี่ แค่พอร์ชอยู่ด้วยกันตรงนี้แค่นั้นก็พอแล้ว”ผมก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันจะตอบอะไรกลับมา แต่ก็อดรู้สึกใจเต้นไม่ได้ที่ได้ยินก็เถอะ....


ใจเต้นทำไมก็ไม่รู้ ก็แค่คำพูดธรรมดาๆที่มันพูดกับผมทุกทีไม่ใช่เหรอ?


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 20:50:00 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่9 21/8/15
«ตอบ #14 เมื่อ21-08-2015 16:06:19 »

บทที่ 9

     นั่งคุยกันจนน้ำตาแห้งไปแล้ว ผมกับมันก็เดินกลับมาที่เดิม อาร์มก็โดนไอ้เบต้าบ่นที่ทิ้งงานออกมาซะนาน ปล่อยมันกับซีปิ้งกุ้งทะเล แกะปูกินกันเงียบๆอยู่สองคน ก็พอจะเห็นภาพอยู่ เพราะซีมันดูเป็นคนเงียบๆมาแต่ไหนแต่ไร ดูไม่ชอบงานอะไรที่มันเอิกเกริกด้วย เบต้ามันก็เลยได้แต่นั่งเงียบๆล่ะมั้ง

     ฟังมันบ่นอยู่นานแล้วก็นั่งกินพวกปิ้งย่างกันมีเหล้าเบียร์แกล้มนิดๆอย่างที่บอก ผมก็กินดื่มไปนิดๆหน่อยๆ มีไอ้อาร์มคอยบริการให้ทุกอย่าง กว่าจะกินกันหมด และกว่าจะเก็บของกันเสร็จดึกมากแล้ว พอเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็พากันกลับขึ้นห้องกัน เพื่อพักผ่อนเตรียมเดินทางกลับพรุ่งนี้

“ดูสิ....เปื้อนไปหมดเลย”ผมบอกขณะที่เดินเข้าห้องน้ำปัดทรายออกให้ไอ้อาร์ม ไม่ต้องแปลกใจว่าผมกับมันเข้าห้องน้ำพร้อมกัน แต่เสื้อผ้ายังอยู่ครบ แค่มาปัดทรายให้กันเท่านั้น

“ถอดเสื้อได้ไหม?”คำถามมันเล่นเอาผมสะดุ้งเฮือกประโยคอันตรายชิบ

“ห๊ะ ถอดเสื้ออะไร???”

“หมายถึงว่าเดี๋ยวอาร์มถอดเสื้อไปอาบน้ำนะ”แล้วไป มันหมายถึงจะถอดเสื้อแล้วไปอาบน้ำนี่เอง...นี่ผมคิดอะไรวะ?

“งั้นเดี๋ยวผมออกไปรอ...”จะเดินออกไป แต่ก็ติดไอ้แขนที่มารั้งตัวผมไว้อยู่เนี่ย

“ไม่ต้องหรอก...อาร์มแค่เข้าไปอาบข้างใน ส่วนพอร์ชก็ล้างหน้า แปรงฟันอยู่ตรงนี้ไง แล้วค่อยสลับกัน หรือพอร์ชจะอาบก่อนล่ะ?”

“ไม่เอา เดี๋ยวผมจะไปรอ ...ข้างนอก”พูดย้ำอีกครั้งเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน

“ทำไมล่ะ?”

“คุณไม่อายหรือไง?”แค่คิดว่าต้องมาเปลือยกายในที่ๆมีคนอื่นอยู่ด้วยผมก็อายจะตายแล้ว

“ก็ไม่นี่....นั่นม่านเขาก็มีให้กั้นนะ”อาร์มชี้ให้ดูม่านพลาสติกที่อยู่ด้านหลัง ผมก็ลังเลใจอยู่ว่าจะทำยังไงดี

“....เอางั้นก็ได้ แต่คุณอาบก่อนนะ เสร็จแล้วก็ล้างหน้า แปรงฟันแล้วก็รีบออกไปเลยนะ ตกลงไหม?”ถึงมีม่านผมก็อายอยู่ดีนั่นแหละ

“อืม ตกลง”อาร์มอมยิ้มน้อยๆ แล้วก็เดินไปที่ราวแขวน...จากนั้นก็ถอดเสื้อทันที โดยไม่บอกผมล่วงหน้า ผมนี่หันหน้าหนีแทบไม่ทันเลย ไม่อยากโวยวายว่าเขินที่เห็นมันถอดเสื้อ ได้แต่เงียบๆหันไปวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า

    ครืด  ซ่า....

     เสียงเลื่อนผ้าม่าน ตามมาด้วย เสียงน้ำไหล บ่งบอกว่ามันคงเข้าไปอาบน้ำเป็นที่เรียบร้อย เหลือบไปมองก็เห็นเงาตะคุ่มๆอยู่หลังม่าน....ไม่รู้ทำไมแบบนี้มันทำให้รู้สึกว่าชวนให้ใจเต้นยิ่งกว่าเมื่อกี้อีก....แล้วนี่ผมจะใจเต้นทำไมวะ? แปรงฟันไปสิ!

     บอกตัวเองอย่างนั้นแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาแปรงฟันไปแปรงฟัน บ้วนปากเสร็จก็เห็นไอ้หน้าหล่อมายืนข้างๆผมตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ นี่มันจะอาบน้ำเร็วไปไหม

“อาบเร็วนะ วิ่งผ่านน้ำมาหรือเปล่าเนี่ย?”ผมอดเหน็บไม่ได้ แต่เห็นมันยังอยู่ในสภาพที่ทั้งตัวมีผ้าขนหนูผืนหน้าแล้ว เลือดก็พากันสูบฉีดขึ้นบนหน้า ...จะหุ่นดีเกินไปแล้ว

“ก็ถูสบู่แล้วก็ล้างๆตัวแค่นั้นเองนี่”แสดงว่ามันไม่ใช่คนพิถีพิถันในการอาบน้ำขนาดที่ว่าต้องสะอาดเกลี้ยงทุกซอกทุกมุมแบบผม

“อืมๆ งั้นผมไปอาบแล้วนะ”ว่าแล้วผมก็รีบวิ่งไปกระชากผ้าม่านปิดกั้นระหว่างผมกับมัน ถอดเสื้อเอาไปแขวนไว้ที่ราวแถวๆนั้น เปิดน้ำพรมทั่วตัว...ไม่รู้ว่าไอ้อาร์มมันจะมองผมผ่านทางผ้าม่านหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็แทบจะใจแทบจะหลุดออกมาจากร่างแล้ว....นี่ผมเป็นอะไรวะ ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนนะ

     แกร๊ก... ปัง...

     มันน่าจะออกไปแล้วล่ะ ฟังจากเสียง ผมแง้มผ้าม่านดูก็ไม่เห็นใครแล้ว เลยยืนแช่ จมอยู่กับความคิดอย่างนั้น... กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ออกมาก็เห็นไอ้อาร์มหลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยืนมองหน้าตอนหลับของมันเงียบๆสักครู่หนึ่งผมก็เดินไปปิดไฟแล้วเข้านอนตามไปอีกคน


หวังว่าพรุ่งนี้ผมจะกลับมาเป็นปกติสักทีนะ











     เช้าวันต่อมา ผมถูกปลุกด้วยฝีมือไอ้อาร์ม อาบน้ำกินข้าวกันเสร็จก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม แต่ก่อนที่จะขึ้นรถกลับกรุงเทพฯกัน อาร์มก็ให้ทุกคนไปซื้อของฝาก ไปเที่ยวดูอะไรแถวนี้กันก่อน

“มีที่ไหนอยากไปไหม?”อาร์มหันมาถามผมหลังจากที่ซีกับเบต้าพากันออกไปหาซื้อของฝากแล้ว

“ไม่มี ไม่รู้จัก ไม่อยากไป”ตอบออกไปแบบนี้แล้วอาร์มก็หัวเราะออกมาอย่างที่คิด หัวเราะแล้วแม่งดูดีว่ะ...เดี๋ยวนะ นี่ผมยังไม่หายเมาอีกเหรอ? เมื่อเช้าผมก็มองมันกินข้าวแล้วก็ปลื้มไปคนเดียวอีกแล้ว ผมต้องโดนอะไรสิงแน่ๆ

“งั้นเดี๋ยวพาไปซื้อของฝากเอาไหม?”

“อืม”แล้วผมก็เดินตามมันไปด้วยอารามไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะทำอะไรดี มันพาผมไปร้านที่มีโมบายเปลือกหอยห้อยเต็มไปหมด

     ของในร้านส่วนใหญ่มีแต่พวกของใช้สวยๆ ขายเต็มไปหมด พวกกรอบรูป จาน แก้ว ข้าวของเครื่องใช้ ที่สำคัญคือเป็นรูปหอย รูปปลาหรืออะไรที่เกี่ยวกับทะเลหมดเลย ผมเดินดูรอบๆร้าน เห็นพวงกุญแจรูปหอยอะไรสักอย่างคล้ายๆหอยสังข์ขนาดจิ๋วตกแต่งประกายสะท้อนแสงระยิบระยับ เหมือนดวงดาวที่ผมเห็นเมื่อคืน สวยมาก ผมเลยหยิบขึ้นมาดู แต่ก็มีอยู่ตรงนี้แค่อันเดียว....ผมจึงเดินไปจ่ายเงินโดยไม่ลังเล ทางร้านก็ใส่ถุงกระดาษเล็กๆมาให้

“ซื้ออะไรมาน่ะ?”ขณะที่ผมกำลังเดินออกมาจากร้านอาร์มก็ดักถามผมซะก่อน

“ไม่บอก”รู้สึกอยากกวนเลยตอบไปแล้วนั้น

“ไม่บอกก็ไม่บอก....เดี๋ยวไปดูร้านอื่นกัน”อาร์มพาผมออกมาแล้วก็นำทางไปเรื่อยๆ

“ไม่ซื้ออะไรหน่อยเหรอ?”ผมเห็นมันยังเดินตัวเปล่าอยู่ก็เลยถามออกไป ระหว่างทางเดินก็เห็นคุณๆเจ้าของตำแหน่งใหญ่ของบริษัท อยู่ในสภาพคุณลุง คุณป้าธรรมดาๆทั่วไป เสื้อยืด รองเท้าแตะเดินซื้อของฝากอยู่

“ยังไม่เจอที่ถูกใจน่ะ”

“เหรอ”ผมเดินตามมันไปเรื่อยๆจนถึงร้านนึง เห็นด้านหลังคุ้นๆของผู้หญิงกำลังยืนดูเครื่องประดับ....ดูท่าจะเป็นพี่เลขาของไอ้อาร์มนี่เอง

“พี่หลิง ดูอะไรอยู่ครับ?”อาร์มมันเดินเข้าไปทัก พี่เขาก็หันกลับมา ในมือก็ถือแหวนทั้งสองข้าง ดูท่าทางจะกำลังเลือกอยู่ว่าจะเอาวงไหน

“อ้าว น้องอาร์ม น้องพอร์ช....พี่เลือกแหวนไปเป็นของฝากให้แม่พี่อยู่น่ะ ยังตัดสินใจไม่ได้เลยว่าจะเอาวงไหน”

“อืม.... คงต้องแล้วแต่แม่พี่แล้วว่าชอบแบบไหน ปกติพี่เห็นแม่ใส่แบบไหนล่ะ?”อาร์มช่วยแนะนำให้เมื่อเห็นพี่หลิงดูท่าจะกำลังคิดหนัก

“ก็เห็นใส่ไม่ซ้ำกันเลยนะ”

“....เอาเป็นว่า ลองเลือกอันที่พี่ชอบดูแล้วกัน ผมว่าจะเป็นของแบบไหน ถ้าลูกเอามาให้ด้วยใจ แม่เขาก็คงดีใจแล้วล่ะ”อาร์มพูดได้น่าฟังมาก ...ผมก็ลองมองหาของในร้านนี้ที่น้าผมน่าจะชอบรวมถึงของฝากให้ไนซ์ด้วย

     อย่างที่บอกไปว่าแม่ผมเสียไปแล้ว ในคืนวันเกิดของไนซ์ งานวันเกิดริมทะเลที่ลุงพลโทรมาชวนแม่ แล้วแม่ก็พาผมไปด้วยน้ำตา ก่อนหน้านั้นผมก็เห็นแม่ร้องไห้เสียใจที่ถูกพ่อทิ้ง พร้อมกับทิ้งหนี้สินเอาไว้ให้....เพราะแบบนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้แม่ถึงได้เดินลงไปแล้วจมหายลงไปในทะเลยามค่ำคืน  หลังจากนั้นลุงพลที่เป็นพี่ชายของแม่ผมกับภรรยาซึ่งก็คือน้ามณีก็รับผมไปเลี้ยง ให้ความรักเหมือนผมเป็นลูกแท้ๆของพวกเขา ผมเองก็รักพวกเขามากเช่นกัน และนึกทุกครั้งที่เจออะไรดีๆ อยากเอาไปแบ่งปันให้

“ขอบใจมากจ้ะ พี่จะลองทำตามดูนะ”พี่หลิงพูดกับอาร์มแล้วหันกลับมาดูของในมืออีกที ส่วนผมก็ได้เครื่องประดับมาสองชิ้น ชิ้นนึงของคุณน้า ส่วนอีกชิ้นนึงเป็นของไนซ์

     ส่วนของลุงพลก็ยังเลือกไม่ได้เหมือนเดิม...เดินเข้าไปอีกหน่อยเห็นผ้าพันคอผืนใหญ่วางเป็นทบๆวางอยู่ ผมก็เริ่มหยิบขึ้นมาดู.... จำได้ว่าลุงเคยบ่นเหมือนกันว่าชอบไอบ่อยๆเวลาเจอความหนาว ถ้าผมเอาผ้าพันคอไปให้ใช้ ก็น่าจะทำให้รู้สึกอุ่นแล้วก็ไม่เป็นหวัดหรือเปล่านะ

“ดูอะไรอยู่น่ะ?”

“ผ้าพันคอ เอาไปฝากที่บ้าน”ผมเลือกเอาสีน้ำเงินเข้มๆขึ้นมาหนึ่งผืน แต่พอพูดถึงที่บ้านแล้วก็นึกถึงคุณป้าแม่บ้าน เลยว่าจะเดินดูอีกหน่อยแล้วกัน



     เดินเลือกของอยู่นานแล้วผมก็ได้ของฝากกลับมาหลายถุงเลย เช่นเดียวกับไอ้อาร์ม พากันแบกพะรุงพะรังเดินผ่านชายหาดที่ผมเริ่มรู้สึกดีกับมันขึ้นมานิดหน่อยแล้ว แวะกินอะไรกันเล็กน้อย เข้าห้องน้ำแล้วก็ขึ้นรถ เตรียมพร้อมที่จะกลับแล้ว

“อ่ะ อันนี้ ให้นะ”มันเอากรอบรูปประดับเปลือกหอยให้ผม ให้พร้อมรูปถ่ายเสร็จสรรพเลย...

“เฮ้ย นี่ไปแอบถ่ายตอนไหนเนี่ย???”รูปที่ว่าเป็นรูปจากกล้องเซลฟี่ หน้าไอ้อาร์มอยู่ตรงหน้า ด้านหลังเป็นรูปผมกำลังหันข้างอยู่ แถมมีปากกาสีชมพูเขียนรูปหัวใจระหว่างผมกับมันอีกต่างหาก

“เมื่อวาน แล้วก็แอบแวบไปอัดรูปด่วนที่นี่แหละ แถมวันนี้ก็ได้กรอบรูปมาพอดีด้วย ...เอาไปแล้วก็อย่าลืมคิดถึงผมนะ”

“ชิ”ไม่อยากจะขอบคุณแต่ก็รับเอากรอบรูปมาใส่ไว้ในถุงอย่างดี ก่อนจะหยิบถุงกระดาษถุงเล็กโยนไปให้มัน

”นี่อะไรน่ะ?”อาร์มหยิบถุงกระดาษขึ้นมา แต่ก็ยังไม่แกะดูว่าเป็นอะไร

”ก็ของฝากไง”

“ไม่ใช่ หมายถึงว่าที่โยนมาให้นี่คือ...ให้งั้นเหรอ?”

“โยนทิ้งไปก็ได้นะ”ไม่ต้องให้ผมพูดได้ไหมว่าซื้อมาให้ อยากจะขอบคุณเรื่องเมื่อวาน

“เอาดีๆสิ”

“นั่น....ให้  ไม่ต้องยิ้มนะ แค่เมื่อวานไม่ได้ให้อะไร เดี๋ยวจะดูน่าเกลียดไป ก็แค่นั้น”อยากจะพูดว่าขอบคุณ แต่ดันพูดไม่ออกซะอย่างนั้น

“งั้นเหรอ งั้นก็ขอบคุณนะ”ดูมันยิ้มกวนตีนเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรสิ น่าหมั่นไส้ชิบ.... แต่เห็นท่าทางดีใจแล้วก็ด่าไม่ลงยังไงไม่รู้สิ

“โห สวยจังเลย”มันเปิดดูก็เห็นพวงกุญแจรูปหอยอันที่ผมยืนเลือกมาจากร้านแรกที่มันพาผมไปนั่นแหละ

“....ชอบก็ดี”

“อะไรนะ?”ถามเหมือนว่าไม่ได้ยินผมพูดอะไร แต่ใครจะพูดซ้ำอีกรอบล่ะ

“เปล่าไม่ได้พูดอะไร”ผมหันหน้าไปทางหน้าต่าง ไม่ต้องเดาว่าอาร์มจะทำหน้ายังไงอยู่ สักพัก เสียงโหวกเหวกอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเพื่อนไอ้อาร์มก็ดังขึ้น

“เฮ้ พอร์ช กินนี่ไหม? หมึกไข่อร่อยๆน้า~”ขึ้นมาพร้อมกลิ่นหอมฉุยไม่เกรงใจของปลาหมึกย่าง แถมยื่นมาใกล้หน้าผมอีก

“ขอบใจ แต่เก็บไว้กินเถอะ”

“อร่อยนะ เจ้านี้น่ะ”มันยังตื๊อไม่เลิก เห็นไอ้ซีแบกของพะรุงพะรังอยู่ข้างหลังแวบๆ ท่าทางจะของคนตรงหน้าผมอีกนั่นแหละ

“ก็ได้”ขี้เกียจฟังมันตื๊อเลยรับเอาไว้ เห็นแบบนั้นแล้วเบต้าก็ยิ้มแฉ่งเดินกลับไปนั่งที่ตัวเอง หาอะไรกินต่อ

“อ่ะ กินสิ”มันมีอยู่สองไม้ อีกไม้นึงผมก็เลยเอาให้อาร์ม พร้อมยื่นถุงพลาสติกกันซอสหยดให้ด้วย

“เอ๊ะ ต้ามันเอาให้พอร์ชกินนะ พอร์ชกินเถอะ”

“ไม่เอา กินด้วยกันนี่แหละ ให้ผมกินคนเดียวหมดนี่ คอเรสเตอรอลขึ้นตายพอดี”ผมหาข้ออ้างให้มันกินด้วยกัน ก็ไม่อยากกินอยู่คนเดียวนี่ มีอะไรก็อยากแบ่งให้บ้าง

“....อืม กินก็ได้”กลัวผมคอเรสเตอรอลขึ้นหรือยังไงไม่รู้เลยยอมหยิบไปกิน มองไปที่นั่งฝั่งตรงข้ามเห็นเบต้ามองมาที่พวกผมแล้วก็ยิ้มๆให้ จากนั้นก็หันกลับไปตั้งหน้าตั้งตากินเหมือนเดิม

     ไม่นานนักรถก็เริ่มเคลื่อนตัวออกหลังจากที่พี่หลิงเดินเช็คจำนวนคนเสร็จแล้ว เดินทางกลับกรุงเทพฯสักที เดินทางกลับไปด้วยความรู้สึกของผมที่ไม่เหมือนเดิม....










     กลับถึงคอนโดด้วยรถของอาร์มที่จอดไว้ที่บริษัทก็เกือบทุ่ม ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 17 เหมือนทุกที แต่ต่างไปด้วยความรู้สึก ผมสะพายกระเป๋าจะเดินเข้าห้อง ก็เห็นอาร์มส่งยิ้มละลายใจให้ก่อนจะเดินหายเข้าห้องไป ความรู้สึกเหมือนโดนรัวหมัดฮุคซ้ายใส่....ใจเต้นไปหมด ไม่รู้ทำไม

ทำไมเห็นมันยิ้มแล้วต้องใจเต้นวะ???? ไม่เข้าใจเว้ยยยย

     อยู่ๆก็รู้สึกพาลขึ้นมาซะอย่างนั้น สับสน ไม่เข้าใจตัวเองเลย โยนกระเป๋าเป้ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด เหวี่ยงลงโซฟา เปิดกระเป๋า เอาข้าวของข้างในออกมา ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเสื้อผ้ากับอุปกรณ์อาบน้ำ เห็นเสื้อเปื้อนทรายในถุงแล้วก็นึกถึงตอนที่ผมเข้าไปกอดมันขึ้นมา เลือดมันก็แล่นขึ้นมากระจุกตรงใบหน้าทันที เป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่ผมจะจำไปตลอดชีวิตเลย

     เอาเสื้อผ้าไปใส่ตะกร้า เอาของใช้เก็บเข้าที่แล้ว ก็เอาถุงของฝากไปวางทิ้งไว้ที่โต๊ะอาหาร หยิบกรอบรูปในถุงขึ้นมา รูปที่มันแอบถ่ายผมเอาไปวางไว้ที่ห้องนั่งเล่น แล้วล้มตัวลงนอนบนโซฟา โทรหาไนซ์

“ฮัลโหล ไนซ์”

‘จ๋า~มีอะไร เผลอตกหลุมรักท่านประธาน อยากโทรมาปรึกษาเหรอจ้ะ?’....นี่ก็จี้ใจดำผมจังเลย เป็นแม่หมอพยากรณ์หรือยังไงวะ

“จะบ้าเหรอ พี่จะบอกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาของฝากไปให้ ที่เคยบอกว่าไปต่างจังหวัดน่ะ”

‘อ้าวเหรอ น่าเสียดายจัง ไม่มีเรื่องอะไรสนุกๆฟังเลย’….นี่คาดหวังว่าจะได้ฟังเรื่องอะไรจากผมล่ะเนี่ย?

“แล้วทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?”ผมนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนโซฟา พลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แต่แล้วก็มาจบที่ใบหน้ายิ้มก่อนจะเดินเข้าห้องของไอ้อาร์มทุกที

‘สุขสบาย อยู่ดีมีสุข ไม่มีปัญหาอะไร แล้วพี่ล่ะ?’เหมือนได้ยินเสียงแป้นพิมพ์ดังแกร๊กๆๆ คิดว่าไนซ์มันน่าจะกำลังพิมพ์อะไรสักอย่างอยู่

“ก็ดี...”มั้ง ตั้งแต่คืนที่นอนดูดาวนั่นผมก็รู้สึกว่าใจผมเริ่มอยู่ไม่สุข คอยแต่จะเต้นระส่ำอยู่นั่น

‘มีอะไรก็โทรมาหาได้นะ ....โดยเฉพาะเรื่องหัวใจนี่ยิ่งต้องรีบโทรมาบอกไนซ์คนแรกเลยนะ’นี่ก็เป็นอะไรไม่รู้ เรื่องของผมนี่อยากรู้จัง

“มีก็ไม่บอกหรอก”

‘อ่ะโห ใจร้าย’เสียงเง้างอนลากยาวมาจากปลายสายเชียว เสียงพิมพ์อะไรบางอย่างหยุดไปแล้ว ถ้าให้เดาคงล้มตัวลงไปนอนบนเตียงอาณาจักรตุ๊กตาของมันนั่นแหละ

“เอ้อ ไนซ์ ถามอะไรหน่อยสิ”

‘ว่า~?’

“คือ....”.....ไอ้อาการใจเต้นบลาๆๆ นี่ยังไงวะ? แต่ไม่รู้ว่าจะถามไปดีไหม กลัวจะโดนแซว โดนซักเอาน่ะสิ

‘คืออะไรรีบๆพูด’ใจร้อนไม่เปลี่ยน จะว่าไปไนซ์ก็คล้ายๆผมนั่นแหละ ไม่ชอบให้ใครมาพูดอ้อมแอ้ม

“....ไม่มีอะไร แค่นี้นะ ฝากบอกคิดถึงพ่อกับแม่ด้วยนะ”ตัดสินใจได้แล้วก็คิดว่าจะไม่บอก หาคำตอบด้วยตัวเองดีกว่า

‘อ้าว เกริ่นมาซะให้อยากรู้ แล้วมาทำกันแบบนี้เนี่ยนะ’

“ก็จะทำแบบนี้ไง จะวางสายแล้วนะ”

‘อะไรของพี่เนี่ย อืมๆ แค่นี้นะ’ไนซ์วางสายไป ผมก็นอนเอื่อยอยู่ตรงนั้น สมองโล่งไปหมด


    ก๊อกๆ

“พอร์ชครับ~”นั่นมาแล้วไง ว่าแต่อินเตอร์โฟนก็มีทำไมไม่ใช้วะ หรือแบบนี้มันคลาสสิคได้อารมณ์กว่าหรือยังไง ไม่เข้าใจมัน

โอเค....ที่นี้ล่ะ ผมจะทำตัวปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้คิด ไม่รู้สึกอะไร

     แอ๊ด...

“กินข้าวหรือกินผมดีครับ~?”มือถือจานข้าวสองมือปากก็พูดประโยคน่าอายพร้อมรอยยิ้มชวนสะท้าน...ซึ่งผมก็ตอบได้ทันทีว่า....กินกูดีกว่าเชื่อเถอะ อร่อยกว่า แถมกินตอนนี้รับสิทธิพิเศษเอาใจกูไปด้วย ....เชี่ยยยยย กูคิดอะไรออกปายยยยย นี่มันไม่ใช่กู!!!!

“...เข้ามาห้องก่อนดิ”ไม่ตอบโต้ แถมเชิญชวนเขาเข้าห้องอีก กูเป็นอะไรไปปปปป??? TT_TT กูโดนสิงงงง ฟหกดเอกาสว...

อืม เมินๆเรื่องคำหยาบไปสักนิดนะครับ ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ ฮืออออ


“พอร์ชน่ารักจัง”พูดมาพร้อมรอยยิ้มบาดใจขนาดนี้ฆ่ากูเถอะ.....

ลาก่อนครับ ณ จุดๆนี้ ขอลาตายก่อนนะครับ ทุกคน...


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

ขอโทษที่มาช้านะคะ(ว่าแต่มีคนรอ....- -?)เน็ตหอเป็นอะไรไม่รู้ววววววT3Tต้องถ่อลงมาเล่นเน็ตที่ร้าน จะบ้าตาย เอาไปสองตอนรวดเลยจ้า เท่าที่อ่านมาก็เริ่มเห็นพัฒนาการบางอย่าง พระเอกทั้งสองของเราเริ่มมีซัมติงอะไรแล้วเนอะ :-[

เอาเป็นว่าเนื้อเรื่องจะเป็นยังไงก็ติดตามตอนต่อไปได้เลยค่ะ ทูบีคอนตินิวววว :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 20:51:54 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่10 25/8/15
«ตอบ #15 เมื่อ25-08-2015 20:58:52 »

บทที่ 10


     ยอมรับตรงๆว่ามื้อเย็นวันนั้นผมกินไม่รู้รสจริงๆ เอาแต่คิดเรื่องมัน เอาแต่มองหน้ามัน แต่พอมันมองผมกลับ ผมก็แกล้งก้มหน้าก้มตากินข้าว...เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา โดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ และกำลังรู้สึกยังไง จะนอนหน้ามันก็ยังวนเวียนในหัวผมอีก ใจเต้นไม่หยุดตอนมันเข้ามาใกล้ ผมคงหลงมันเข้าให้แล้วมั้ง

     ตอนเช้าผมถึงได้ตื่นมาแบบมึนๆ ไปบริษัท อาร์มมันก็ไปบริษัทก่อนผมแล้ว เป็นอย่างนี้ตลอด เข้าบริษัทก่อนใคร ดังนั้นตอนเช้าที่คอนโดผมจึงไม่ได้เห็นหน้ามัน จะเจออีกทีก็ที่บริษัท

     ผมอาบน้ำเสร็จก็หยิบถุงของฝากติดตัวไปด้วย ล็อกประตู เดินเอาของฝากทั้งหลายไว้ที่เบาะหลังรถ จากนั้นก็ออกสตาร์ทขับออกไปเผชิญหน้ากับจังหวะชีวิตเดิมๆที่ไม่รู้ว่าชินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังจะขับไปซื้ออาหารเช้า แต่ก็นึกถึงคำพูดของใครบางคนขึ้นมาซะก่อน อาร์มมันเคยบอกว่าไม่ต้องซื้อมาแล้ว เดี๋ยวจะเตรียมให้ ก็หันไปหาที่จอดรถใกล้บริษัทแทน ....

“พี่หลิง สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้ทักทายพี่เลขาคนเก่งที่มาทำงานเช้าพอๆกับไอ้อาร์มเลย

“จ้า อาร์มเค้าอยู่ในห้อง ตามสบายเลยจ้า”มาทุกวันจนพี่หลิงเค้ารู้แล้วว่าผมมาทำอะไรเลยพูดบอกให้รู้ทันที

“ครับ”ผมยิ้มรับเอื้อมไปทำท่าจะบิดลูกบิด โอเค ผมไม่เป็นอะไร ผมยังปกติทุกอย่าง รวบสติ สมาธิเอาไว้ แล้วก็เปิดประตูเดินเข้าไปเลย

“มาแล้วเหรอครับ คิดถึงจังเลย ไม่ได้เจอกันตั้งกี่ชั่วโมงแน่ะ”เจอหน้าพร้อมเสียงออดอ้อน ออเซาะของมันเท่านั้นแหละ สติ สมาธิที่ผมอุตส่าห์รวบรวมก็พากันแตกซ่านไปไหนก็ไม่รู้

“อย่าเวอร์น่า เพิ่งเจอกันเมื่อวานนี้ เจอบ่อยจนจะเบื่อหน้าอยู่แล้ว”ผมลงนั่งข้างๆ แต่ก็อดกลั้นหายใจไม่ได้ พยายามสงบใจแทบตาย

“แต่ผมไม่มีทางเบื่อหน้าพอร์ชนะ คิดถึงทุกลมหายใจ”ถึงจะหลงมันอยู่แต่ใช่ว่าจะเคลิบเคลิ้มไปกับทุกประโยคที่มันพูดออกมานะ บางทีอาร์มมันก็พูดเลี่ยนเกินไปอะไรไปนะ ผมว่า

“เหอะ”

“เอ้อ นี่ วันนี้เตรียมอาหารเช้าไว้ให้ด้วย...นี่เมนูสุดพิเศษ...ขนมปังไส้แยมสตรอว์เบอร์รี่”มันเอาขนมปังโฮลวีตธรรมดาๆในจานยื่นให้ผม

“แล้วมันพิเศษยังไงเนี่ย ไอ้ขนมปังไส้สตรอว์เบอร์รี่เนี่ย?”ผมเอาขนมปังที่มันว่าขึ้นมาหยิบๆจับๆดู ก็เห็นเป็นแค่ขนมปังธรรมดาๆเท่านั้นเอง

“พิเศษสิ ในเมื่ออาร์มอุตส่าห์ค้นหาสูตรทำแยมสุดอร่อย ทำเองสุดฝีมือเลยนะ...แต่มันจะพิเศษยิ่งกว่านี้แน่นอนเมื่อได้กินกับ...คนพิเศษ”คนพิเศษซะใกล้หูผมเชียว ลมร้อนๆเป่าใกล้หูรดต้นคอจนรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด ตื่นเต้นไปหมด

“แล้วใครล่ะคนพิเศษที่ว่า”เขินจัดเลยถามมันออกไปแบบนั้น

“ก็เราเป็นคนพิเศษของกันและกันไม่ใช่เหรอ?”ใบหน้ายิ้มๆเหมือนจะแกล้งผมนั่นทำให้ผมสำนึกว่าไม่ควรถามมันไปแบบนั้นเลย....ฆ่าตัวตายทางอ้อมชัดๆ


แน่นอนว่ามื้อเช้าแสนหวานชื่นนั่นก็ทำเอาผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานเลยทั้งวัน

     พูดถึงเรื่องงานแล้วผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า ผมกำลังจะแย่แล้ว.... หลงรักคนที่ต้องมาหลอก มันไม่ใช่เรื่องดีเลย... ไม่รู้จะทำยังไง ตัดใจก็ไม่ได้ ...ผมมันพวกถ้ารักอะไรแล้วก็รักเลย จะเดินหน้ารุกอย่างเดียว ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือ เหมือนเอาตัวเองไปผูกไว้กับสิ่งนั้นแล้ว จะหนีก็ไม่ได้ จะตัดใจก็สายเกินไปแล้ว ในเมื่อผมไปติดบ่วงของไอ้อาร์มมันแล้ว จะดิ้นรน หรือจะตัดบ่วงที่มันผูกไว้มันก็ทำได้...แต่ผมกลับเลือกที่จะไม่ทำมากกว่า

ผมเคยคิดว่าผมไม่เคยรักใคร และถ้าจะรักใครสักคนนึงขึ้นมาก็จะทุ่มหมดหน้าตักไปเลย

     จะมอบทุกสิ่งให้คนๆนั้น ทางออกสำหรับเรื่องนี้คืออะไรผมไม่รู้ รู้แต่ว่าจะใช้เวลาที่มีอยู่ตอนนี้ให้ได้มากที่สุด ถึงแม้จะเป็นเวลาที่เหลือน้อยเต็มทีก็ตาม

     คิดไปก็จะขับรถไปขวิดชาวบ้านเขาตาย กว่าจะออกมาได้นี่แทบแย่ คือ หลังเลิกงานผมก็ว่าจะขับรถเอาของฝากไปให้ที่บ้าน แต่อาร์มมันตื๊อจะไปด้วย ผมก็ห้ามสารพัด จะให้มันไปบ้านได้ไงล่ะ ความลับผมอยู่ในนั้นเต็มไปหมดเลยนะ สุดท้ายเลยได้แต่ให้สัญญามันไปว่า กลับมาจะไปกินข้าวเย็นด้วยกันที่ห้อง มันก็เลยยอมให้ผมออกมาแต่โดยดี

    เลี้ยวเข้ามาถึงซอยบ้านผม ผมก็หยิบกุญแจบ้านออกมาเล็งไปข้างหน้ากดเปิด เสียงสัญญาณก็ดังขึ้นพร้อมประตูใหญ่ค่อยๆเลื่อนเปิดออก ผมจึงขับรถเข้าไปจอดตรงที่จอดรถประจำของผม

“พี่พอร์ช~”เสียงเจื้อยแจ้วของไนซ์ร้องเรียกมาแต่ไกลตั้งแต่ผมยังไม่ทันลงจากรถเลย มันกระโดดเหยงๆวิ่งมาต้อนรับถึงรถเลย

“มีอะไรวิ่งมาหาถึงที่เลย”ผมออกจากรถเดินไปเปิดประตูหลังจะไปหยิบถุงของฝาก ไนซ์ก็แย่งไปถือซะก่อน

“วันนี้แม่เค้าทำอาหารเย็นไว้ให้พี่ด้วยนะ”ไนซ์บอกด้วยอาการดีใจ เพราะนานๆทีน้ามณีจะลงมือทำอาหารสักที ฝีมือน้าเค้าออกจะดีมากแท้ๆ

“เหรอ”แต่ผมไม่ยักจะดีใจเท่าไหร่แฮะ...เพราะดันสัญญากับไอ้อาร์มว่าจะกลับไปกินข้าวเย็นด้วย

“เป็น’ไรทำไมทำหน้างั้น?”ไนซ์หอบถุงของฝากพาเดินเข้าบ้าน แล้วก็สังเกตสีหน้าผมไปด้วย

“ไนซ์ถามอะไรหน่อยนะ สมมติมีคนนัดกินข้าวไว้แล้วจะทำยังไง?”

“ตายละ เอางี้...ทางออกง่ายๆ วันนี้บอกแม่ว่า ไดเอต ควบคุมอาหารคร้าบ ขอกินน้อยๆหน่อยแล้วกัน ไม่ก็ขอแพ็คใส่ถุงกลับไปกินด้วยก็ได้ จากนั้นก็เดินย่อยหน่อยค่อยไปกินข้าวกับคนที่นัด....ว่าแต่ใครนัด? อย่า บอก นะ ว่า คุณประธานคนนั้น!?”รู้ใจผมไปซะหมด แต่มาตะโกนตื่นเต้นข้างหูผมทำไมเนี่ย?

“ก็นั่นแหละ”เอาจริงๆก็คิดเหมือนไนซ์นะ ดูไม่ค่อยเสียน้ำใจดี อุตส่าห์ลงมือทำเองทั้งที่แต่ผมกลับไม่กินก็ยังไงๆอยู่

“คนนี้นี่มาไกลกว่าที่คิดนะ...”

“เดี๋ยวโทรบอกแป๊บนะ”ว่าแล้วผมก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรหามันทันที

‘ครับ มีอะไรเอ่ย?คิดถึงกันเหรอ’รู้ว่ามันทั้งแซว ทั้งหยอดผมเป็นปกติ แต่ก็ใจเต้นอยู่ดี อย่าไปหลงคารมมันสิไอ้พอร์ช

“เปล่า จะถามว่าทำกับข้าวไว้กี่อย่าง”

‘ก็ อย่างเดียว มีอะไรเหรอครับ?’ได้ยินเสียงเคร้งๆๆคงจะผัดอะไรอยู่

“ดีแล้วๆ เดี๋ยวมีกับข้าวฝีมือน้าผมกลับไปสมทบ”ไหนๆก็ไหนๆเอาไปฝากด้วยแล้วกัน แบ่งปันความอร่อยกันเป็นกุศลอย่างหนึ่ง

‘จริงอ่ะ งั้นจะรอนะ’

“อืม ถ้าหิวกินรองท้องไปก่อนก็ได้”

‘ครับ จะรอนะ รีบๆกลับมานะครับ’เสียงอ้อนชิบหายคนฟังจะใจละลายอยู่แล้ว

“แค่นี้นะ”วางสาย หันไปเห็นสายตาจ้องจับผิดของไนซ์แล้วก็ต้องสะดุ้ง ก็เล่นจ้องเขม็งซะแบบนั้น

“หืม~มีอะไรปิดบังไนซ์หรือเปล่าเนี่ย?”

“ไม่มี ก็ปกติอ่ะ”ผมเดินมาจนถึงทางเข้าบ้าน ผ่านประตูใหญ่เข้าไป

“ไม่บอกก็ด้ายยย อยากบอกเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน....อ้ะ แม่คะ~พ่อคะ~พี่พอร์ชมาแล้วค่ะ~”ไนซ์กระโดดๆใหญ่วิ่งเข้าไปหาลุงกับน้าของผม

“พอร์ชกลับบ้านแล้วเหรอลูก มาให้น้ากอดให้หายคิดถึงเร็ว”น้ามณียิ้มเดินเข้ามากอดผม ดูท่าเพิ่งจะไปตัดผมมาใหม่สั้นระต้นคอ แต่ก็ทำให้ดูสดใส อ้อมแขนที่กอดอยู่อบอุ่นเหมือนแม่แท้ๆ

“กลับมาก็ดีแล้ว มากินข้าวด้วยกันนี่มา”ลุงพลตบไหล่ผม

“ผมเอาของมาฝากด้วยนะ นี่ต่างหูของน้าครับ ชอบไหมครับ?”ผมเอาต่างหูไข่มุกออกมาให้ ไม่ใช่ไข่มุกมีเกรดอะไรมาก แต่น้าก็รับไว้ด้วยรอยยิ้ม

“ขอบใจมากจ้ะ น้าชอบมากเลย จริงๆพอร์ชเอาอะไรมาให้น้าก็ดีใจหมดนั่นแหละ”น้าหยิบต่างหูขึ้นมาดูด้วยรอยยิ้ม ถ้าชอบผมก็ดีใจ

“นี่ผ้าพันคอให้ลุง คลุมไหล่ได้ด้วยนะครับ”ผมเอาผ้าพันคอสีเข้มให้ลุง

“โอ้ ’ใจมากหลานรัก กำลังอยากได้เลย”ลุงพลเอาผ้าพันคอคลี่ออกมาลองพันรอบคอดู ผมก็ได้แต่ยิ้มกับภาพตรงหน้า

“ส่วนนี่ สร้อยข้อมือของไนซ์”

“แต๊งค์มากจ้า”ไนซ์เอาสร้อยที่ว่าไปใส่ข้อมือขวาแกว่งแผ่นรูปเปลือกหอยสีเงินอันเล็กไปมากระทบแสงแวววาว

“เดี๋ยวมีของให้พวกป้าแจ่มด้วย”

“ถ้าเป็นป้าแจ่มล่ะก็ตอนนี้เตรียมของอยู่ในครัวจ้ะ”น้าตอบผมด้วยรู้ว่าผมจะไปหาป้าแจ่มตอนนี้เลย

“งั้นเดี๋ยวผมไปหาป้าเขานะครับ”

“จ้ะ เดี๋ยวพวกน้ารออยู่ที่โต๊ะอาหารนะ อย่าไปแกล้งป้าเขาล่ะ”น้าเอ็ดผมไว้ก่อน เพราะรู้วีรกรรมตั้งแต่ตอนเด็กของผมดี ที่ผมชอบไปแกล้งป้าแจ่มน่ะ

“ครับ”ขานรับอย่างดีแล้วผมแวะเดินไปที่ห้องครัว แอบๆย่องไป พี่ในนั้นเห็นผมก็จะทัก แต่ผมยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากบอกให้เงียบๆไว้ก่อน แล้วย่องไปข้างหลังป้าแจ่ม

“นี่ ใครก็ได้มาช่วยฉันยกจานนี่ไปไว้ที่โต๊ะที”ป้าเขาก้มหน้าง่วนอยู่กับการจัดจาน เหมือนไม่รู้ตัวว่าผมมาถึงนี่แล้ว

“ให้ผมช่วยไหมครับ ป้าแจ่ม?”ทักไปแค่นั้นแหละ

“อุ๊ยตาย ตาเถรตกแตก! หนูกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ป้าตกใจหมดเลย”ป้าแกสะดุ้งเฮือก ท่าทางลนลานเกือบปาใบมะกรูดใส่ผมแล้วเชียว ท่าทางตกใจของป้านี่ทำให้ผมอารมณ์ดี หัวเราะออกมาได้ทุกครั้ง เพราะแบบนี้ไงผมถึงชอบแกล้งป้าแจ่มแกเล่นตั้งแต่เด็กๆ

“เมื่อกี้เองครับ แหะๆ เอาของมาฝากด้วย....หมอนสมุนไพร มอบให้ทุกคนที่นี่หลับสบาย หลับเต็มตื่นเลยครับ”ผมเอาถุงใบใหญ่ให้ป้าแจ่ม ดูท่าจะหายตกใจแล้วมั้ง

“โถๆ ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ แค่นึกถึงป้าแค่นี้ป้าก็ดีใจจะแย่แล้ว”

“ครับ ไหน จานไหนจะยกไปเสิร์ฟครับ? เดี๋ยวผมช่วย”ผมมองหา เพื่อจะช่วยงานป้าเขาได้สักนิด

“ไม่ต้องๆหรอก หนูไปนั่งเถอะ เดี๋ยวให้พวกป้าจัดการเอง”

“ไม่เอา ผมอยากช่วย”เวลาอยู่บ้าน อยู่กับครอบครัว อยู่กับพวกป้าๆผมก็มักจะขี้อ้อน ทำตัวเหมือนเด็กๆแบบนี้แหละ

“ไม่เอา เดี๋ยวป้าไม่มีอะไรทำ ตกงานพอดี”

“ฮะฮะฮะ เอางั้นก็ได้ครับ งั้นผมไปรอที่โต๊ะนะครับ”

“จ้าๆ เด็กดีของป้า”ป้าส่ายหัวยิ้มๆ หันกลับไปทำงานต่อ ส่วนผมก็ไปรอที่โต๊ะตามที่บอก ที่โต๊ะก็มีอาหารบางส่วนถูกยกออกมาแล้ว คาดว่าเป็นฝีมือน้าทั้งหมด

“พอร์ช นี่น้าทำแกงคั่วสับปะรดของโปรดไว้ให้ด้วยนะ แล้วก็มีต้มข่าไก่ของไนซ์ด้วย”น้ามักจะทำอาหารให้ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่ลำเอียงทำให้แค่ใครคนใดคนหนึ่ง ผมกับไนซ์เลยไม่ค่อยทะเลาะกัน

“ของผมล่ะ?”ไม่ทันไรลุงพลก็เอ่ยปากถามของตัวเองบ้าง

“เดี๋ยวปลานึ่งกำลังจะมาแล้วไม่ต้องห่วงหรอก”

“แล้วขนมหวานล่ะครับ?”คราวนี้เป็นผมที่ถามกลับบ้าง เพราะเรื่องขนมหวานเองฝีมือน้าก็ไม่แพ้ใคร

“ทับทิมกรอบจ้ะ เห็นตอนเด็กๆชอบแย่งกันกินกัน คราวนี้น้าเลยทำมาเยอะเลย”ทับทิมกรอบอันนี้เรียกได้ว่าเป็นของโปรดของคนทั้งบ้านเลย แย่งกันกินหมดทุกที โดยเฉพาะผมกับไนซ์นะ

“งั้นก็ดีเลยครับ”




     แล้วมื้ออาหารก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการที่ผมเป็นคนตักข้าวให้ทุกคน โดยตักให้ตัวเองน้อยๆหน่อย จะได้ไม่อิ่มเกินไปเมื่อกลับไปกินข้าวกับอาร์ม กินข้าวกันตามประสาครอบครัวที่รู้สึกว่าห่างเหินไปนาน ใช้เวลาไปพอสมควรกว่าจะกินกันเสร็จ

“อ่ะนี่จ้ะ ใส่ถุงกลับไปกินด้วยนะ แล้วก็แวะมาหาบ่อยๆนะลูก น้าคิดถึง”น้าเอาถุงใบใหญ่ใส่กับข้าว ใส่ขนมมาให้ตอนที่ผมกำลังจะกลับ

“ครับ ขอบคุณครับ ผมไปแล้วนะ...ดูแลตัวเองดีๆนะครับ สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้ทุกคนที่มายืนส่งตั้งแต่ลงพล น้ามณี และพวกป้าๆ ลุงๆที่ยืนเรียงรายกันเป็นแถว

“ไปๆ ไนซ์ไปส่ง”ไนซ์เดินร่าเริงนำผมไปที่จอดรถ

“งั้นพี่ไปแล้วนะ...มีอะไรก็โทรมา”ผมเอาถุงกับข้าวถุงใหญ่เท่าหม้อไปวางไว้ที่เบาะข้างคนขับ พูดบอกไนซ์ แล้วก็เตรียมสตาร์ทรถ

“พี่ด้วย มีอะไรโทรมา อย่าเก็บไว้คนเดียว บาย โชคดีๆ”ผมแทคมือกับไนซ์ นี่ถือเป็นสัญลักษณ์ในการให้กำลังใจกันระหว่างผมพี่น้อง แล้วผมก็ขับรถออกจากบ้านไป....ไม่รู้ว่าป่านนี้อาร์มมันรอจนหิวตายไปแล้วหรือยัง หรือว่ากินข้าวไปแล้วไม่รู้

     แล้วผมควรจะเอายังไงดีกับเรื่องอาร์ม เดินหน้าต่อ หรือหยุดแค่นั้น?...ใจผมมันก็อยากเดินหน้าต่อ แต่ทำแบบนั้นแล้วในอนาคตมันจะเป็นยังไง ....ไม่สิ ที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมเป็นอะไรไป ทำไมผมหวั่นไหวได้ถึงขนาดนี้ กับแค่คนๆนึง มันก็เหมือนๆกับที่ผ่านมาไม่ใช่เหรอ ไม่รู้สึก ไม่ต้องตอบสนองอะไรทั้งนั้น

เฉยชาเข้าสิ อย่าไปสนใจสิ.... คิดอย่างนั้นแต่กลับทำตามไม่ได้ บังคับตัวเองไม่ได้

“โธ่เว้ย!”หงุดหงิดเป็นบ้า หงุดหงิดทั้งตัวเอง ทั้งงานที่ทำอยู่ หาทางออกก็ไม่ได้

     
ปี๊น!!!!!

“เออ! รู้แล้ว จะบีบหาพ่อ-เหรอ!!!?”เสียงบีบแตรดังไล่หลังทันทีที่ไฟเขียว ได้แต่ตะโกนด่าคนเดียวแล้วก็ขับรถไปข้างหน้า

     ชีวิตเรามันก็เหมือนการขับรถล่ะมั้ง? มีทั้งทางขรุขระ ราบเรียบ แต่ยังไงๆก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าทางข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น จะเจอทางแบบไหน หรือดีไม่ดี อาจถูกรถบรรทุกจากไหนไม่รู้สอยเอาก็ได้

รู้แค่ว่าต้องมุ่งหน้าไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงจุดหมายล่ะมั้ง?

“ช่างแม่งละกัน”จะเกิดอะไรขึ้นค่อยว่ากันอีกที...บอกแล้วว่าผมไม่ใช่คนฉลาด เป็นแค่คนโง่ๆคนนึงเท่านั้น คนโง่ที่แค่อยากจะทำอะไรตามที่ใจคิด เวลาที่ยังอยู่ตรงนี้ ผมยังอยู่กับอาร์ม แค่นั้นก็คงพอแล้ว ....แต่ถ้าหลังจากนี้ เขาจะเกลียดผมยังไงก็ตาม ผมก็ยอมรับทุกอย่าง รู้แค่ว่าผมได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำแล้วก็พอ








“เป็นอะไร ทำหน้าเครียดเชียว?”เห็นว่าผมนอนแหมะอยู่บนโต๊ะ ทำหน้าครุ่นคิดสารพัดเรื่องแล้วอาร์มมันก็ทักผม อาหารหลากชนิดถูกนำมาวางบนโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมชวนให้กระเพาะอาหารทำงานอีกครั้ง

“เปล่า”ปากบอกเปล่าแต่ก็ยังไม่คลายสีหน้า จนไอ้อาร์มเดินเอามือมาแตะหน้าเท่านั้นแหละ ผมนี่ยันตัวขึ้นมานั่งตัวตรงแทบไม่ทันเลย... ก็ยิ่งมันเข้ามาใกล้เท่าไหร่ผมก็ยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้เท่านั้นน่ะสิ

“ถ้าไม่มีอะไร กินข้าวกันดีกว่าเนอะ”แล้วเทพบุตรตรงหน้าก็แจกยิ้มสว่างไสวอีกครั้ง แล้วก็เดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามผม ขณะที่ผมอาการใกล้จะโคม่าเต็มทีแล้ว ถึงจะแสดงออกไปว่าผมปกติที่สุดก็เถอะ

ช้อนก็ตักแต่ปลากะพงผัดขิงที่มันทำ แล้วก็ตักอาหารที่น้าผมเป็นคนทำบ้างพอเป็นพิธี

“เป็นไง?”ทั้งผมทั้งมันถามขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แล้วก็ถามในเรื่องเดียวกัน ใจตรงกันอย่างน่าประหลาด

“ฝีมือคุณน้าอร่อยดีนะ หวังว่าอีกไม่นานคงได้เป็นน้าอาร์มด้วยใช่ไหม?”อืม มึงคิดถูกแล้ว

“ไม่รู้....ของคุณเองก็อร่อยดีเหมือนกัน”อร่อยมากๆด้วย แต่ไม่อยากแสดงท่าทีปลาบปลื้มออกไปมาก

“ดีใจจัง...นานๆทีจะได้ฟังพอร์ชชมสักที”อาร์มทำหน้าซาบซึ้งที่ได้ยินผมชมมันในรอบล้านปี อืม...ขอโทษด้วยที่ก่อนหน้านี้พูดแต่อะไรทำร้ายจิตใจ แต่ตอนนี้ก็ยังห้ามใจไม่ให้ทำร้ายจิตใจมันไม่ได้อยู่ดี

“ขอโทษ”รู้สึกอยากขอโทษขึ้นมาก็เลยพูดออกมาซะเลย แน่นอนว่าไอ้อาร์มก็ทำหน้าทั้งงงทั้งประหลาดใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“ขอโทษเรื่องอะไรครับ???”

“ก็ที่ชอบพูดด่า พูดแรงๆใส่บ่อยๆน่ะ....ผมพูดอะไรไม่ค่อยใส่ใจคนอื่นเท่าไหร่”รู้สึกสำนึกผิดเป็นบ้าที่เคยพูดอะไรแรงๆใส่มัน แม้บางทีมันจะทำหน้าฟิน(?)เวลาโดนผมด่าก็เถอะ....

“ไม่หรอก...ถึงพอร์ชจะพูดยังไง แต่อาร์มรู้ว่าพอร์ชจริงๆอ่อนโยน ใจดีแค่ไหน”น้ำเสียงแม่งพระเอก อยากอัดเสียงไว้ฟังก่อนนอน ตื่นเช้า ไปทำงานหลายๆรอบเลย

“ห๊ะ ใจดี อ่อนโยนอะไร ตรงไหน???”แต่ไม่เข้าใจว่าผมเป็นอย่างที่มันพูดตรงไหน

“พอร์ชไม่รู้ตัวเองหรอก แต่อาร์มรู้...รู้มานานด้วย แถมพอร์ชก็ดูเป็นพวก ปากไม่ตรงกับใจอีกต่างหาก....แต่ แบบนี้ก็น่ารักดี”พูดอวย พูดชมเข้าไป เอาเลยดาเมจผมให้เต็มที่เลย ไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว

“คิดไปเองเหอะ”

“แล้วคืนนี้นอนห้องตัวเองเหมือนเดิม?”

“ก็แน่อยู่แล้ว ถามทำไม?”ผมเงยหน้าก็สบเข้ากับสายตาปานจะกลืนกินผมเข้าไปทั้งตัว อย่าจ้องเยอะเดี๋ยวละลาย

“เผื่อว่าอยากมานอนกับอาร์ม”มันเท้าคาง ยิ้มแบบโฮสต์สุดๆ บวกกับมันหล่ออยู่แล้ว น้ำเสียงก็โคตรล่อลวงชวนให้ผมเสียความบริสุทธิ์ให้มันอย่างเต็มใจเลย....

“.......เอาสิ”เหมือนปากมันตอบรับไปเองโดยที่สมองไม่ทันสั่งการ รู้ตัวเองทีตาผมก็เบิกกว้างไม่แพ้คนที่พูดเล่นตรงหน้านี้แล้ว

“เอ๊ะ อะไรนะครับ?”อาร์มถามย้ำเหมือนว่าไม่เชื่อหูตัวเอง ก็น่าจะไม่เชื่อหูตัวเองอยู่หรอก ในเมื่อทุกทีผมมีแต่ผลักใส่ไล่ส่งมันนี่

“พูดเล่นน่า”พูดเล่นครึ่งนึง อยากให้เป็นจริงครึ่งนึง แต่กลัวตัวเองหัวใจวายตายซะก่อน ถ้าได้อยู่ใกล้คนที่ชอบมากไป

“ล้อเล่นแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจอาร์มนะ”เสียงมันนี่แบบโคตรอ้อน จนน่าเข้าไปกอดไปโอ๋เลยทีเดียว

“อาร์ม”...งานนี้ไม่รู้ว่าผลจะเป็นยังไง แต่ขอลุยอย่างเดียวแล้วล่ะครับ วางช้อนลงแล้วก็จ้องหน้ามัน

“หืม?”อาร์มจ้องผมกลับ ทำให้ผมอดกลืนน้ำลายลงไปอย่างลำบากไม่ได้....พูดออกไปดีไหมวะ

“ไม่ต้องจีบผมแล้วล่ะ”

“อ้าว ทำไมล่ะ”เหมือนว่ามันจะดูกังวลหน่อยๆพอได้ยินผมพูดแบบนั้น .....เอาวะ ไหนๆก็พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว

“........เพราะ.....ผมรักคุณไปแล้วไง”ดับเครื่องชนไปเลย ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว

“เอ๊ะ!?????”คงไม่ต้องอธิบายแล้วล่ะมั้งว่ามันทำหน้าตกใจถึงขนาดไหน?



= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

เค้าเผยความในใจกันแล้ว...เอ๊ะ....เร็วไปหรือเปล่านะ- - ยังไงก็ติชมได้นะคะ :sad4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 20:53:49 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่11 29/8/15
«ตอบ #16 เมื่อ29-08-2015 20:28:47 »

บทที่ 11

     ภาพหน้าจอตรงหน้าคือภาพข่าวไม่ซ้ำกันสับเปลี่ยนไปมา ผมนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆอาร์ม เราเงียบกันจนถึงที่สุด ไม่มีใครพูดอะไรก่อน ตั้งแต่ที่ผมสารภาพความในใจไปก็เงียบกริบกันไปทั้งๆอย่างนี้นี่แหละ เหมือนว่าอาร์มมันกำลังอึ้งอยู่ไม่หาย คงไม่นึกว่าผมจะพูดออกมาง่ายๆแบบนี้ล่ะมั้ง ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเหมือนกัน รู้สึกเหมือนโดนสูบพลังชีวิตไปหมดแล้วจากการพยายามพูดสารภาพรักออกไป

“พอร์ชพูดจริงใช่ไหม?........ไม่ได้ล้อเล่นนะ”น้ำเสียงนั้นมีทั้งความดีใจ ทั้งความกลัวว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาจะเป็นการล้อเล่นให้มันผิดหวัง เสียใจเล่นๆ

“เรื่องนี้ ใครเขาเอามาล้อเล่นกัน?”เราหันหน้าเข้าหากันอีกครั้ง ข่าวอะไรไม่สนใจดูกันแล้ว สักพักนึงมือที่วางอยู่ก็เลื่อนมากุมมือผมเบาๆ

แล้วก็เปลี่ยนจากกุมมือเป็นเข้ามาสวมกอดผมเต็มรัก

     ไม่ได้พูดอะไรกันต่อตามเคย มีแต่เสียงประกาศข่าวจากทีวี เสียงแอร์ดังอยู่ในห้องเท่านั้น ผมกอดตอบเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน ถ่ายทอดความคิดกันผ่านทางอ้อมกอดเท่านั้น ตัวหนาๆของมันสั่นเล็กน้อย เหมือนว่าดีใจหรือยังไงไม่รู้ ใบหน้าที่ชอบส่งยิ้มให้ก็เข้ามาซุกไหล่ผม แผ่นอกแทบจะแนบชิดกันจนรู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นแรงแค่ไหน

“ทำยังไงดี...”เสียงอาร์มถามเบาๆเหมือนพูดกับตัวเอง กระชับอ้อมกอดเข้ามาใกล้กันมากขึ้น

“ทำอะไร?”ผมกับอาร์มผละออกจากกัน จนสังเกตได้ว่าหน้าไอ้อาร์มกำลังแดงแค่ไหน

“มันดีใจจนบอกไม่ถูก ตื่นเต้นไปหมดจนไม่รู้จะทำยังไงดี....ทำอะไรไม่ถูกเลย”คนตัวใหญ่กำลังทำท่าทีเขินอาย ไม่กล้าสบตาผมตรงๆสักที

“พูดเกินไปแล้ว”ผมยิ้มกับท่าทางตื่นเต้นลนลานของมัน แม้ผมจะรู้สึกไม่ต่างกันก็เถอะ....ความรักมันทำให้คนเราเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอ?

“พูดจริงนะ”

“เอาเถอะ...แต่แยกย้ายกันไปนอนได้แล้วมั้ง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานอีก”ผมมองไปที่นาฬิกาดิจิตัลที่วางอยู่ใกล้ๆทีวี เห็นเวลาแล้วก็คิดว่าควรจะกลับไปนอนได้แล้ว

“อืม....แต่ขอนั่งอยู่อย่างนี้ก่อนสักพักนะ”อาร์มหันกลับไปดูข่าวตามเดิม แต่มือก็ยังกุมมือผมไม่ปล่อย

“ตามใจ”ผมมองภาพข่าวตรงหน้าไปด้วยกัน....ดูได้สักพักก็ชักเพลียๆ ง่วงๆ และด้วยความโล่งใจ สบายใจก็เลยผล็อยหลับไปทั้งๆอย่างนั้น











    ปิ๊บ  ปิ๊บ  ปิ๊บ

     เสียงนาฬิกาดังปลุกผม แต่ที่นอนนุ่มๆ อุ่นสบายก็รั้งผมไว้ไม่ให้ไปไหนได้ อยากหลับต่ออีกจัง.... แต่ เอ๊ะ....รู้สึกว่าเสียงนาฬิกาที่ผมตั้งปลุกมันไม่ใช่เสียงนี้นี่นา???

     คิดได้ดังนั้นผมก็ลืมเปลือกตาหนักๆขึ้น....ชัดเจน เพราะเมื่อขยี้ตาขจัดความงัวเงีย ตื่นขึ้นมาก็สบสายตากับอีกคนเข้าเต็มๆตาเลย....นี่ผมโดนอาร์มหิ้วมานอนที่เตียงมันใช่ไหม?

“อรุณสวัสดิ์ครับ”เอ่ยทักทายยามเช้าได้ชวนให้หัวใจทำงานหนักแล้วก็เข้ามาจุ๊บหน้าผากผมหนึ่งที...  มุ้งมิ้งชิบหายชีวิต...

“..........อืม”กว่าจะเค้นเสียงพูดออกไปได้รู้สึกลำบากกว่าทุกที ทำตัวไม่ถูก ไม่เคยเจออะไรแบบนี้นี่หว่า...

“ไปอาบน้ำแล้วนะ จะได้รีบไปทำงาน”อาร์มลุกขึ้นนั่ง สภาพหัวยุ่งๆยิ่งทำให้ดูหล่อเซอร์ เซ็กซี่ ขยี้ใจไปอีกแบบ.... เดี๋ยวนะ นี่ผมชักเพ้อไปใหญ่แล้วนะ

“อืม เดี๋ยวผมก็จะกลับไปอาบน้ำที่ห้องด้วย”

“อาบเสร็จแล้วเดี๋ยววันนี้ไปบริษัทพร้อมกันนะ”

“อืม”รู้สึกตัวเองช่วงนี้ชักจะว่าง่ายเกินไปไหม อาร์มว่าอะไรผมก็ อืม ตอบรับทุกคำ

“ว่าแต่ไม่มีมอร์นิงคิสหน่อยเหรอ?”อาร์มพูดทีเล่นทีจริง แต่มือที่โอบเอวผมอยู่นี่ก็บ่งบอกว่ามันเอาจริงไปครึ่งนึงแล้ว

“อยากได้เหรอ?”ผมยิ้มท้าทาย ไม่ลืมที่จะโอบคอมัน เอาหน้าเข้าไปใกล้ระยะประชิดด้วย

“ก็เพราะอยากได้ถึงพูดไง”

“แต่ผมไม่ให้ไง”ว่าแล้วก็ผละออกมาทันที ไม่ต้องรอให้อาร์มได้ตามสมหวังหรอก....จริงๆก็อยากจะลองดูสักครั้งอยู่ อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง จะให้ความรู้สึกยังไง

“ใจร้ายไม่เคยเปลี่ยนอ่ะ”พูดด้วยใบหน้าเง้างอนเสร็จก็หันเดินไปห้องน้ำ ผังห้องอาร์มมันก็ไม่ค่อยต่างจากห้องผมเท่าไหร่หรอก จากที่สังเกตมาหลายครั้ง

“อาร์ม”

“หือ....”มันหันกลับมาหา ผมก็ไม่รอช้าใช้จังหวะนี้ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ฉกจูบมันซะก่อนเลย.....

ถึงจะพูดว่าจูบ แต่ก็แค่แตะปากกันเฉยๆเท่านั้นแหละ

“ไปละ”ผละออกมาแล้วผมก็ยิ้มให้มัน แล้วก็เดินออกมาเลย หน้าอาร์มก็ดูตกใจไม่แพ้เมื่อคืนนี้เลย....บอกแล้วว่าผมรักใคร ผมก็จะรุกเต็มที่เลย... ก็รู้สึกดีเหมือนกัน จูบเมื่อกี้ ถึงจะแค่แป๊บเดียวก็เถอะ

     คราวนี้ผมก็กลับมาอาบน้ำที่ห้องตัวเอง ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่  ก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เก็บข้าวเก็บของแล้วก็เดินออกไปรอหน้าห้อง... ซึ่งอาร์มมันก็ขึ้นชื่อเรื่องอาบน้ำเร็วอยู่แล้ว ดังนั้นพอออกจากห้องตัวเองมาปุ๊บผมก็เห็นใบหน้ายิ้มระรื่นของมันทันที

     วันนี้ผมก็เลยได้รับบริการรถไปรับ ไปส่งถึงที่ ไม่ต้องขับเองให้เหนื่อยเลย แต่ก็ต้องแลกมากับการที่ต้องเข้างานเร็วกว่าปกติ ซึ่งผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว

“วันนี้แวะกินข้าวเช้าที่ตลาดกันหน่อยไหม? ได้เปลี่ยนบรรยากาศด้วย”อาร์มพาขับรถหาที่จอดใกล้ๆตลาดที่ตอนนี้เริ่มมีคนมาเดินกันเยอะพอควรแล้ว

“เอาสิ แล้วจะกินอะไรล่ะ?”เบื่อกินข้าวเช้าที่บริษัทเหมือนกัน อยากกินข้าวข้างนอกดูบ้าง

“ก็....มีโจ๊กร้านนึงแนะนำ ลองไปกินดูไหมล่ะ?”อาร์มชะลอรถเมื่อหาที่จอดได้ แล้วก็ปลดล็อกประตู

“อืม”วินาทีนี้อะไรก็ได้ทั้งนั้น ผมยอมมันทุกอย่างแหละ เดินตามต้อยๆ ไม่ขัดขืนอะไรทั้งนั้น ถ้ามันจะลอบพาผมไปฆ่าผมนี่คงตายไปนานแล้วมั้ง

     ตลาดที่มาเดินกันอยู่นี่ ปกติแล้วผมก็มาเดินเกือบทุกเช้านั่นแหละ แต่ไม่ค่อยได้มาสำรวจอะไรกับเขาหรอก ร้านโจ๊กอะไรที่อาร์มมันพาเดินไปนี่ก็ไม่ยักรู้มาก่อนว่ามีด้วย พอเดินมาถึงร้านก็เห็นป้ายรายการอาหาร ไม่คิดว่าโจ๊กเมนูเดียว เดี๋ยวนี้มันจะมีอะไรใส่เยอะแยะขนาดนี้ แล้วแบบไหนอร่อยล่ะเนี่ย?

“สั่งให้ไหม?”เห็นผมทำหน้างงกับเมนูโจ๊กที่มีทั้งแบบ ใส่ไข่ เครื่องในธรรมดาๆ จนถึงแบบ ใส่ไข่ต้ม ไข่เยี่ยวม้า ไข่ลวก ไข่ยางมะตูม ไข่สารพัด มีเนื้อสัตว์หลากหลายช้อยส์ให้เลือกด้วย....เยอะจนมึนไปหมด ไม่รู้จะเลือกอะไรดี อาร์มมันเลยถามผมแบบนั้น

“สั่งให้หน่อยแล้วกัน ไม่รู้จะกินอะไรดี...อะไรอร่อยสั่งไปเลย ผมกินได้ทุกอย่าง”บอกแล้วว่าผมเป็นเด็กเลี้ยงง่าย กินง่าย อยู่ง่าย ให้กินอะไรกินหมด

“งั้น ยายครับ โจ๊กหมู ไข่ลวก ใส่ตับ สองที่ครับ”อาร์มบอกยายแม่ครัวประจำร้าน แล้วก็เดินไปนั่งโต๊ะ

“เมนูเยอะแยะแต่สั่งแบบเดิมๆเนี่ยนะ?”

“แบบเดิมๆแหละ อร่อยแล้ว”

“เหรอ”ก็ไม่รู้หรอก เพราะผมก็ไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่ด้วย กินครั้งล่าสุดตอนเรียนปีสามมั้งนั่น

“เหมือนสามีภรรยาเลยเนอะ”อาร์มเท้าคางมองหน้าผม ยิ้มหล่อใส่อีกแล้ว รู้แล้วว่าหล่อไม่ต้องยิ้มใส่บ่อยๆได้ไหม? หัวใจจะวายเอา

“อย่าพูดได้ไหม”ผมเบนสายตาหนีไปทางอื่น อายสายตามัน จ้องเอาๆเหมือนจะเขมือบผมแทนข้าวเช้าแบบนั้น ผมก็หวั่นไหวเป็นนะ

“เขินเหรอ”

“คิดไปเองเถอะ เอ้า ข้าวมาแล้วก็รีบๆกินเถอะ”โจ๊กร้อนๆหอมฉุยถูกนำมาวางตรงหน้า ผมก็ตักกินแบบไม่ปรุงอะไร

“......!ร้อน!”ตักเข้าปากแบบไม่ดูตาม้าตาเรือเท่านั้นแหละ โจ๊กร้อนๆก็ลวกลิ้นผมอย่างไม่ปราณี จนเกือบจะสบถออกมาแล้ว แต่ยังตั้งสติได้ว่านี่ในที่สาธารณะ เลยพยายามกัดฟันอดทนอดกลั้นจนน้ำตาแทบเล็ด

“ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้นก็ได้ มาๆเอาน้ำไปกินเร็ว”อาร์มเห็นท่าทางทรมานของผมก็เลยกุลีกุจอหาน้ำเย็นๆมาจ่อให้ถึงปาก

“ขอบคุณ”ว่าแล้วก็ดวดน้ำเข้าปากทันที...โอ๊ย ลิ้นชาไปอีกหลายวันแหง

“ให้เป่าปากด้วยไหม?”อาร์มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำท่าจะเป่าปากผมจริงๆ.... ไม่รู้ทำไมมันถึงชอบทำแบบนี้ในที่สาธารณะจัง ผมก็อายนะ

“โน แต๊งค์ครับ”

“งั้นก็ เอ้า อ้าม~”อาร์มหัวเราะตักโจ๊กในชามผมมาเป่าๆแล้วก็ทำท่าจะป้อนให้เหมือนเด็กๆ ผมก็ดันมือมันออกไปเบือนหน้าหนีเต็มที่ ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกถ้าจะหวานกับผม แต่ขอย้ำอีกครั้งนี่ตลาดครับ...

“อ้ำเร็วๆ”

“ไม่อ้ำเฟ้ยยย พอเลย ผมกินเองได้”ผมเอาช้อนตัวเองกลับมาตักกินเอง อาร์มก็ทำหน้าเสียดาย อยากจะป้อนผมขนาดนั้นเชียว

“ครับ ลวกปากอีกเมื่อไหร่ก็บอกนะ เดี๋ยวเป่าปากให้แบบทันท่วงทีเลย”หน้าตาแม่งเอาจริงจนผมกลัวเลย...

“รีบๆกินไปเลย”ผมก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียวโดยไม่ลืมที่จะระวังไม่ให้ลวกปากไปด้วยสุดชีวิต...






     เนื่องมาจากมื้อเช้าที่ยืดเยื้อ อาร์มเลยเข้าบริษัทช้ากว่าปกติ แต่ใครจะกล้าว่าล่ะ?...เดินเข้ามาก็มีแต่คนทักทาย อาร์มก็แจกยิ้มให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม...ความจริงก็เคยสังเกตหลายครั้งแล้วว่า ทุกครั้งที่อาร์มโปรยยิ้ม ผมมักจะเห็นสาวน้อย สาวใหญ่ สาวเทียมบิดไปบิดมาทุกรายเลย เสน่ห์แรงจนน่าหมั่นไส้

“อ้าว แปลกจัง วันนี้ทำไมมาพร้อมกันเลย...แน่ะๆ หรือว่าจะมีซัมติงอะไรเกิดขึ้น??”พี่หลิงเงยหน้าจากเอกสารในมือเห็นผมกับอาร์มเดินคู่กันมาก็ทักขึ้น

“อยู่คอนโดเดียวกันก็เลยอยากลดโลกร้อน นั่งคันเดียวกันมาน่ะครับ...ผมก็เลยได้รับผลพลอยได้ไปด้วย นั่งรถฟรี สบายตัวเลย”เป็นผมนั่นแหละที่ตอบ...กลัวไอ้อาร์มจะตอบว่าเมื่อคืนนอนด้วยกัน เกรงว่าพี่หลิงเค้าจะระเบิดตัวเองตายซะก่อน

“อุ๊ย ใช้รถคันเดียวกันด้วย ต่อไปคงได้ใช้กระเป๋าใบเดียวกันแน่เลย พี่รอดูอยู่นะ”ทำเสียงแซวให้ผมได้อายไปแล้ว ก็หัวเราะคิกคัก มีความสุขดีจังนะครับ

“ครับ”อาร์มก็ดันตอบรับอีก ไม่มีปฏิเสธอะไรเขาเลย...ถือซะว่าเป็นความสุขของพี่เขาแล้วกัน อย่าไปขัดเลย

“รักกันนานๆ ไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรนะคะ”นี่ก็มีการอวยพรอีก คือผมกับมันยังไม่แต่งงานครับ ไม่ต้องรีบ

“ครับ”ผู้ใหญ่อวยพรมาอาร์มก็ยิ้มรับ ไม่หือไม่อือใดๆ อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นที่รักใคร่ของทุกคนที่พบเห็นซะจริง

“เอ้อ พี่มีอะไรจะบอกด้วย ตอนเย็นจะมีงานวัดใกล้ๆบริษัทเรา แม่พี่ก็ไปตั้งร้านขายเค้กด้วย ไปอุดหนุนได้นะ ถือโอกาสนี้ไปเดทกันด้วย ดีไหมๆ?”พี่หลิงนี่ก็เชียร์พวกผมจัง เรื่องเดทอะไรนี่ขี้เกียจเถียง ...เพราะมันกลายเป็นเรื่องจริงไปแล้วไง...อีกอย่างปล่อยคุณพี่เค้าไปบ้างก็ดี

“ว่าไงครับ?”อาร์มหันมาถามแบบนี้แสดงว่ามันอยากชวนผมไปด้วย มีกุมมือผมด้วย ส่งสายตาประมาณว่า ไปเดทกับผมนะ ละลายครับละลาย...

“อืม แล้วแต่เลย”บอกแล้วไงช่วงนี้ผมยินยอมมันทุกอย่าง ไอ้ตัวผมก่อนหน้านี้ที่เอาแต่ค้านคนนั้นมันหายไปไหนวะ?

“สรุปไปนะ?”

“อืม”ผมตอบรับสั้นๆแค่นั้นอาร์มก็ยิ้มหน้าบานไม่แพ้กับพี่หลิงเลย...ไอ้อาร์มไม่เท่าไหร่ แต่พี่หลิงนี่ดูหน้าฟินๆแปลกๆนะ

“เจอกันตอนเย็นนะ”

“ครับ”แล้วผมกับอาร์มก็แยกย้ายกันไปทำงานทางใครทางมัน

     แล้วผมก็ไปนั่งเบื่ออยู่หน้าคอมฯเช่นทุกวัน เพื่อนในนี่ก็ไม่ได้มีหรอก แค่คุยกันนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ผมเองก็ไม่อยากจะสนิทกับใครเกินความจำเป็น...กรณีไอ้อาร์มนี่ เรียกว่าอยู่เหนือการควบคุม และความคาดหมาย ดังนั้นผมจึงต้องทำตัวเป็นมนุษย์เงียบให้มากถึงมากที่สุด คุยอะไรด้วยก็แค่มีคำเชื่อมประโยคเล็กๆน้อยๆ ประดับด้วยรอยยิ้มพองามแค่นั้น ไม่ต้องไปโต้ตอบอะไรมาก

     นี่ขนาดพยายามทำตัวโลกส่วนตัวสูงแล้วนะ ยังมีบางคนเล็ดรอดเข้ามาชวนคุย ชวนทำโน่นทำนี่อยู่เลย ซึ่งผมก็ตอบไปทำนองว่า อืม เหรอครับ ดีจังเลยนะครับ แนวๆนี้ตลอด

     แต่ยังไงก็ตามผมก็เอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง เรื่องนินทาก็มีได้ทุกที่นั่นแหละ ส่วนใหญ่คิดว่าคุณก็เดาได้ ไม่พ้นเรื่องที่ผมสนิทกับอาร์มหรอก ในวงสนทนาของสาวออฟฟิศนี่เม้าท์กันมันปากเลย แถมบางทีมีเข้ามาเนียนถามผมเรื่องอาร์มอีกต่างหาก แน่นอนว่าผมก็ตอบไปว่า ขอโทษนะครับ พอดีผมไม่รู้จริงๆ ยิ้มหน้าซื่อๆไป โปรยเสน่ห์หน่อยๆคุณเธอก็ไม่มายุ่งแล้ว โดนดักตบอะไรก็ไม่มีครับ

     หืม ทำไมสาวๆในออฟฟิศถึงไม่ทำอะไรผมน่ะเหรอ ถึงเห็นผมเป็นแบบนี้ ผมก็มั่นใจเรื่องหน้าตาตัวเองอยู่นะ บวกกับคารม จิตวิทยาหน่อยๆ เปล่งออร่า รอยยิ้มนิดๆ เธอก็ยอมศิโรราบให้ผมแล้วครับ อย่าพูดว่าผมหลงตัวเองเลย เพราะผมยอมรับครับ แหะ

     ความจริงผมก็ไม่ใช่คนเย็นชาอะไรขนาดนั้นหรอก ออกจะเฟรนด์ลี่ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอยู่กับคนสนิท แต่ก็นะเรามันทำงานแล้ว ทำไปตามหน้าที่ บทบาทเท่านั้นเอง....แต่กับอาร์มนี่ไม่รู้ทำไมผมอยากเก๊กก็ไม่รู้



     กลางวันก็ไปกินข้าวเที่ยงกับอาร์มเหมือนทุกวัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอาร์มมันสรรหาร้านอาหารจากไหนมาก็ไม่รู้ แต่ละวันไม่ซ้ำกันเลย กินเสร็จก็แยกย้ายกลับที่ตัวเองเหมือนเดิม รู้สึกเวลายาวนานชอบกลกว่าจะถึงเวลาเลิกงานก็อีกนาน

     เฮ...

     อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเฮ เสียงคุยแซดดังขึ้น ทุกคนเริ่มลุกจากที่นั่ง ผมมองนาฬิกาก็พบว่าถึงเวลาเลิกงานแล้ว ก็เลยลุกขึ้นบิดขี้เกียจจนได้ยินเสียงกรอบแกรบไปทั้งร่าง แต่ยังกลับไม่ได้หรอก เพราะต้องไปรออาร์มที่ห้อง...อย่างว่าแหละ ประธานบริษัทดีเด่นเข้างานก่อน เลิกทีหลัง ขยันจริงๆ

    ก๊อกๆ

     เคาะประตูขออนุญาตแล้วผมก็เปิดเข้าไปทันที....แต่สายตาก็สบเข้ากับ สายตาเด็กสาวนางหนึ่งที่กำลังเข้าไปกอดคอไอ้อาร์ม...น้องพิม ออนเดอะร็อคนั่นเอง ว่าแต่มาได้ยังไงล่ะนั่น???  อืม ไม่ต้องสนใจฉายาที่ผมเรียกน้องเขาหรอกนะครับ...

“อ้าว พี่พอร์ชเองเหรอคะ? สวัสดีค่ะ”น้องพิมยิ้มทักทายให้อย่างมีมารยาท คิดว่านะ ถ้าน้องเขายังไม่ผละออกมาจากไอ้อาร์มจะดูมีมารยาท สุภาพสตรีมากกว่านี้

“สวัสดีครับ”ผมยิ้มทักทายกลับพลางเหลือบมองส่งสายตาเป็นเชิงถามว่า น้องเค้ามาได้ไงและมาทำอะไรวะ? ซึ่งไอ้อาร์มก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆส่ายหัวให้ผมอย่างหน่ายๆ

“มาก็ดีเลยค่ะ ช่วยพิมพูดกับพี่อาร์มหน่อยได้ไหมคะ พิมอยากไปงานวัดกับพี่อาร์มอ่ะค่ะ”...หืม ลูกคุณหนูอยากไปงานวัด? มาแปลกนะนี่ อยากถามแต่ก็ได้แต่เลิกคิ้วกลับไป

“ไม่ได้ครับ เดี๋ยวกลับช้าพ่อแม่เป็นห่วง ไหนจะคุณกรพี่ชายพิมอีก เขาจะว่าพี่เอาได้นะครับ”ที่อาร์มพูดมาก็มีเหตุผลอยู่ แต่ดูจากเหตุการณ์คราวก่อน ดูพ่อแม่ พี่ชายน้องเขาไม่ค่อยใส่ใจเลยนะ

“แล้วน้องพิมอยากไปทำอะไรครับ?”ผมลองถามคนอยากไปว่ามีเหตุผลอะไร

“ก...ก็ พิมอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง อยากไปเที่ยว ไปซื้อของด้วย นะคะ”เอาจริงๆเธอก็ไม่ใช่ว่าเลวร้ายอะไรหรอก ดูดีๆก็เป็นเด็กดีคนหนึ่ง...แต่ประมาทไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิง นั่นคือสิ่งที่ผมเรียนรู้จากน้องสาว

“อืม ความจริงมันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ คล้ายๆตลาดนัดนั่นแหละ แต่อาจมีอะไรเพิ่มนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง”พยายามเกลี่ยกล่อมให้เธอเลิกสนใจ แต่ก็คิดอะไรไม่ค่อยออกเหมือนกัน

“พิมอยากไปนะคะ นะคะ”นี่ฟังกันที่ไหนล่ะ...ผมเลยส่งซิกไปหาอาร์มว่า ช่วยพูดอะไรหน่อยดิ๊

     แกร๊ก

“พิม กลับบ้าน!ไปรบกวนพี่เขาอีกแล้วนะ!”...เหมือนมีเสียงสวรรค์มาช่วย คุณทิพากร นักธุรกิจหนุ่มหล่อใสเกาหลีนั่นเองครับ นี่ก็มาแต่ใดก็ไม่อาจทราบเช่นกัน

“เอ๊ พี่กร พิมอยากไปงานวัดกับพวกพี่อาร์มนี่คะ”คุณน้องสาวที่โดนฉุดกระชากลากถูออกไปพยายามเหนี่ยวรั้งเต็มกำลัง

“หือ จะไปงานวัดกันเหรอครับ?”คุณกรชะงักหันมาถามพวกผม จริงๆมันก็อายุพอๆกับผมนี่แหละ คงจะยังมีอารมณ์อยากเที่ยวเหมือนกัน ถึงได้ดูท่าทางสนอกสนใจขนาดนั้น

“เอ่อ ครับ”ผมพยักหน้ารับ...ส่งสายตาบอกว่า หวังว่าคุณทิพากรจะช่วยพวกผมได้นะครับ

“งั้นเอางี้ ผมไปด้วยได้ไหมครับ? ไม่ได้ไปมานานแล้วด้วย”...นอกจากจะไม่รู้ในสิ่งที่ผมต้องการสื่อ ยังเป็นตัวชักนำอีก... แต่เอางั้นก็ได้ จะได้ช่วยอยู่คุมน้องพิมหน่อย(แต่จะอยู่คุมหรือเปล่าอันนี้ก็ไม่แน่ใจ)



ครับ...จะยังไงก็ตาม แต่สรุปว่าเดทนี้มีส่วนเกินมาด้วยสองคนครับ... ดิเอ็นด์


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

ตอนนี้คุณน้องพิม ออนเดอะร็อค ยังคงมาป่วนเรื่อยๆแต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะนางไม่ใช่ประเด็นดราม่าของเรื่องนี้ (เอ๊ะหรือให้เป็นดี? o18) ยังไงก็เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 20:55:17 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่12 1/9/15
«ตอบ #17 เมื่อ01-09-2015 11:46:29 »

บทที่ 12


     เดทแรกของผมคืออะไรที่สามัญชนคนธรรมดาสุดๆ งานวัดแถวบริษัทติดดินสุดๆ ผมก็ไม่ได้อะไรมากนะ ชอบด้วยซ้ำ รู้สึกมันไม่อึดอัด ไม่หวานเลี่ยนโรแมนติกเกินไปดี แต่จะชอบมากกว่านี้ ถ้าไม่มีตัวแถมมาด้วยสองคนอ่ะนะ

“พี่อาร์ม นั่นอะไรอ่ะคะ?”น้องนางชี้ไปที่ร้านขนมเบื้องญวนที่ส่งกลิ่นหอมจากกระทะถ่านหินเย้ายวนให้ลองกิน

“ขนมเบื้องญวนไง ...พี่บอกว่าอย่าไปกวนคุณอาร์มเขา ไม่ฟังกันเลย”นี่เสียงคุณกรที่ถอยมาเดินข้างๆผม หลังจากที่คุณน้องสาวของตัวเองเดินไปควงแขนอาร์มเฉยเลย ผมเองก็ต้องอัปเปหิมาเดินตามหลังอาร์มแทนเหมือนกัน

นี่มันยังเป็นการเดทอยู่ใช่ไหมครับ? จะบ้าตาย

“พี่ไม่เข้าใจพิม”แค่นั้นคุณกรก็ส่ายหน้า ถอนใจเฮือกกับน้องสาวที่ไม่เคยคิดจะเชื่อฟัง

“เฮ้อ...”

“ไม่เป็นไรนะครับคุณกร ผมเข้าใจดี....น้องสาวคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุดในโลก”ผมเห็นท่าทีเหนื่อยหน่ายของเขาแล้วก็พูดปลอบอย่างเข้าอกเข้าใจ

“คุณมีน้องสาวด้วยเหรอครับ?”สายตามันหันมาจ้องวาววับเหมือนเจอคนที่จะปรับทุกข์ด้วยได้แล้ว

“ครับ เรื่องถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกนี่ไม่มีใครเกินเลย”ผมระบายยิ้มเผาไอ้ไนซ์เบาๆ ป่านนี้นอนจามอยู่บ้านแล้วมั้งนั่น?

“ฮะฮะฮะ อันนั้นผมเข้าใจดีเลย ไม่คิดว่าจะได้คุยปรับทุกข์กับคนที่เผชิญชะตากรรมเดียวกันแบบนี้เลย แล้วคุณรับมือยังไงล่ะ?”เขาหัวเราะร่วน ดูดีใจที่มีเพื่อนคุย....ส่วนไอ้อาร์มกับน้องพิมสองรายนั้นผมตัดออกไปจากวงโคจรเรียบร้อย

“อย่าทำตัวขัดขวางอะไรเธอเป็นอันขาด ถ้ามีเหตุจำเป็นก็โต้ตอบไปบ้างตามความเหมาะสม...ที่สำคัญ ในฐานะพี่ หากน้องทำอะไรที่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ ก็ตักเตือน สั่งสอนบ้าง...แต่ไม่ต้องทำถึงขนาดไปเป็นพ่อแม่เขา ผมว่าผมกับน้องก็อยู่กันเหมือนเพื่อนนั่นแหละ แต่เอาจริงๆมันก็ไม่ได้มีสูตรตายตัวหรอก ทำไปตามที่คิดว่าควรทำก็พอ”

     ผมพล่ามซะยาวพลางนึกถึงน้องสาวที่บ้าน ถึงจะทำตัวเอาแต่ใจบางครั้ง ร้ายในบางทีแต่ก็ไม่เคยเกลียด เพราะผมกับไนซ์ก็นิสัยคล้ายๆกัน คิดอะไรคล้ายๆกัน ก็เลยเข้ากันได้ดีล่ะมั้ง?

“คุณนี่ดูเป็นพี่ที่ดีน่าดูนะ ผมสิ ดูแลน้องไม่ได้เรื่อง ตักเตือนอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง”เขามองไปข้างหน้าท่าทางเหนื่อยใจ คงเพราะพูดอะไรน้องก็ไม่ฟัง ถ้าฟังก็คงไม่มาเดินอยู่ตรงนี้หรอก

“เรื่องปกติครับ ตอนนี้อาจจะทำไม่ได้ แต่เดี๋ยวก็ทำได้เองครับ อย่าคิดมาก”ผมยิ้มให้กำลังใจ อย่างที่ไม่เคยทำตั้งแต่รับงานสายลับ...

“พอร์ช....”เสียงอ่อยๆมาพร้อมสายตาร้องขอของอาร์ม ประมาณว่าให้ช่วยมันหน่อย

“.......”ผมยักไหล่ ส่งสายตาบอกว่า ช่วยตัวเองเถอะ ....ก่อนที่มันจะทำหน้าหงอยกลับมาให้ รู้สึกตั้งแต่ตอนเย็นผมก็ใช้สายตา ท่าทางคุยกับอาร์มตลอดเลยแฮะ

“เอ้อ...นี่ผมมารบกวนพวกคุณหรือเปล่าเนี่ย?”

“ไม่หรอก....ครับ”ยังพูดไม่จบประโยคดี สายตาก็หันไปเห็นคุณน้องพิมกำลังทำท่าป้อนเยลลี่ในมือให้ไอ้อาร์ม..... ไม่เป็นไรไม่ได้แล้วโว้ยยยยย! ที่น่าโมโหกว่าน้องไอ้คุณกร ก็ไอ้อาร์มนี่แหละที่ยอมให้เขาป้อน!

“....เอ่อ คุณนวัตร์ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”เห็นท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของผมเผยออกมาชัดเจน ถึงได้ทักผมแบบนั้น เป็นครับ เป็นมากด้วย

“ไม่เป็นไรครับ”ผมกัดฟันพูดด้วยรอยยิ้ม...ใจเย็นเว้ย ใจเย็นไว้ไอ้พอร์ช เขายังไม่ได้พากันเข้าโรงแรมสักหน่อย อย่าทำตัวหึงหวงงี่เง่าไป ท่องนะโม หายใจเข้า หายใจออก ทำจิตใจให้สงบแล้วก็หันไปสั่งขนมเบื้องไทยร้านใกล้ตัวทันที

“ขนมเบื้องฝอยทองสองกล่องครับ”สั่งทันทีทันใด คนขายก็หยิบใส่กล่องส่งให้ ผมจ่ายเงินด้วยความรวดเร็ว กล่องนึงกินเองให้ลืมๆเรื่องที่กำลังหงุดหงิดอยู่ อีกกล่องก็...

“นี่ครับ อันนี้ผมให้ หวังว่าจะชอบนะครับ”ให้ไอ้คุณกรแม่งเลย...

“พอร์ช....”เสียงร้องเรียกดังมาอีกครั้งเมื่อเห็นผมเอาขนมมาแบ่งปันชายอื่นต่อหน้าต่อตา

“ขอโทษทีครับ พอดีเห็นว่ามีของกินอยู่แล้วเลยไม่ได้ซื้อให้ ไม่ว่ากันนะครับ?”ผมยิ้มให้อาร์มอย่างใจเย็น น้ำเสียงเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ขุ่นมัวแอบแฝงแต่อย่างใด...เห็นอย่างนี้ผมก็เป็นพวกเก็บอารมณ์เก่งนะ

“ขอบคุณนะครับ แต่ไม่ต้องลำบากซื้อให้ผมก็ได้”คุณกรขัดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเกรงใจ

“ไม่เป็นไรครับ ถือซะว่าเป็นของปลอบใจจากสมาคมคนมีน้องสาวเอาแต่ใจ”ความจริงคือเอามาแก้เผ็ดไอ้อาร์มเล็กๆน้อยๆก็เท่านั้นแหละ

“อะไรกันครับนั่นสมาคมนั่นน่ะ”คุณกรหัวเราะรับขนมจากผมไปกินปลอบใจ

“เพิ่งตั้งเมื่อกี้”ผมยิ้มให้ คุณกรก็ยิ้มกลับ เรายิ้มให้กัน....แต่รู้สึกขนลุกแปลกๆแฮะ

“พอร์ช”คราวนี้ไม่ได้มาแค่เสียง แต่มาพร้อมสัมผัสเป็นตัวเป็นตน ไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าอาร์มมันแอบส่งสายตาไม่พอใจให้คุณกร แถมยังออกแรงบีบแขนผมนิดๆด้วย มาโมโหอะไรผมวะเนี่ย?

“อะไรครับ?”ผมส่งสายตาท้าทายกลับไป

“คุณกรครับ ผมฝากดู ไม่สิ ยังไงคุณก็เป็นพี่ น้องพิมอยู่แล้ว ก็...ฝากเลยแล้วกันครับ เพราะเดี๋ยวผมขอไปเดินเล่นกันส่วนตัวสองคนหน่อย...แยกกันตรงนี้เลยนะครับ”อาร์มยิ้มบอกคุณกรที่ดูยังงงๆอยู่ พร้อมชี้ไปที่ซุ้มยิงปืนที่น้องพิมเธอไปยืนเล่นอยู่

“อ่ะ....ครับ?”คุณกรรับปากแบบงงๆแล้วก็เดินไปดูน้องสาวตัวเอง ส่วนอาร์มพอได้ทำตามใจแล้วก็ลากผมไปคนละทางกับเมื่อกี้

“นี่ จะลากผมไปถึงไหนเนี่ย?”เห็นลากเอาๆไม่หยุด ผมก็ขัดมันทันที บอกมาเดินเล่น แต่เล่นเดินจ้ำเอาๆ นี่มันเดินเล่นตรงไหน

“ก็เอาของไปให้เขาทำไมล่ะ?”หน้าตา น้ำเสียงเง้างอนเต็มที่ แต่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไรนอกจากที่ยังหงุดหงิดอยู่หรอก

“ผมก็ให้เพราะอยากให้ แล้วมีอะไรล่ะ?คุณเถอะ เขาป้อนอะไรมาก็รับอย่างเดียว ปฏิเสธไม่เป็นหรือไง?...เขาป้อนยาฆ่าแมลงมาให้ก็ไม่ปฏิเสธใช่ไหม?”ได้ทีผมก็จัดชุดใหญ่เลย ถือว่าตัวเองเหนือกว่า

“หึงเหรอ?”ได้ยินผมพูดแบบนั้นมันก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นสีหน้าแช่มชื่นมีความสุขทันที

“หลงตัวเองเหอะ แล้วไอ้เรื่องไม่รู้จักปฏิเสธคนนี่มันยังไง แต่ก็ขอบคุณที่ยังพาผมออกมาได้แล้วกัน”ไม่ได้หึง แค่หวงเฉยๆเข้าใจไหม?

“ปฏิเสธแล้วเขาก็ไม่ฟังนี่”

“ก็ใช้วิธีอื่น หลบเลี่ยงไปบ้างก็ได้.....พอเหอะ พูดไปก็เท่านั้น จบเถอะ”ผมตัดบทด้วยขี้เกียจพูด ขี้เกียจมาอารมณ์เสียบ้าบอ

“งั้นคราวหน้าอาร์มจะบอกว่าอาร์มมีแฟนแล้วนะ”

“แล้วถ้าเขาถามว่าใครล่ะ?”ผมกอดอกถาม รอดูว่าอาร์มมันจะตอบยังไง

“เค้าก็จะตอบไปว่า ตัวเองไง”ผมพอรู้ว่ามันจะตอบยังไงอยู่หรอก แต่ไม่คิดว่าจะนึกหลอนเอาสรรพนามแปลกใหม่มาใช้กับผม ฟังแล้วสตั๊นไปสามวิเลย

“อึ๋ย อย่ามาเค้ากับตัวเองใส่นะ ขนลุกชิบ หวานแหววไม่เข้ากับหน้าเกินไปว่ะ”ผมทำท่าสั่นสะท้านไปทั้งตัว

“เลียนแบบพี่มากน่ะ มางานวัดพอดีด้วย เค้าว่าน่ารักออกเนอะ?”ยิ่งเห็นท่าทางผมยิ่งได้ใจใหญ่

“แกล้งกันใช่ไหม? บอกว่าไม่ชอบไง โอ๊ย นึกหลอนอะไรขึ้นมาเนี่ย?”ผมเดินหนีมันซะเลย แต่ก็ไปไหนไม่ได้เพราะมือมารที่คอยรั้งผมไว้เนี่ย

“ฮะฮะฮะ แฟนใครเนี่ยน่ารักจัง”อาร์มหัวเราะชอบใจ แต่ผมไม่ชอบใจน่ะสิ

“ว่าแต่คุณเถอะ ถ้าบอกไปแบบนั้นแล้วคุณกรรู้ เขาจะไม่รังเกียจ แล้วจะไม่มีผลกระทบกับงานเหรอ?”ผมไม่คิดมากเรื่องที่จะเอาไปป่าวประกาศใครหรอก แต่กลัวเรื่องงานมันมากกว่า

“ไม่หรอก เขาไม่น่าจะรังเกียจอะไรหรอก แล้วอย่างน้อยก็น่าจะแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้...อีกอย่างเขาก็ดูจะชอบพอร์ชน่าดูนี่? เห็นยิ้มให้ขนาดนั้น”ว่าแล้วก็วกกลับมาเรื่องผมซะงั้น ใบหน้ามันบ่งบอกว่าทั้งงอน ทั้งหึง

“ให้เป็นอย่างที่พูดแล้วกัน แล้วที่เขายิ้มไม่ได้แปลว่าจะชอบผมสักหน่อย ก็แค่เข้าใจหัวอกกันก็เท่านั้นเอง”

“ก็แล้วไป”

“ถ้าไม่งั้นแล้วจะทำไมล่ะ?”ผมเริ่มเดินไปข้างหน้าหลังจากที่รู้สึกว่ายืนเกะกะคนอื่นมาได้นานสองนาน

“เจาะกะโหลกชู้ให้จบๆไปเลยไง”ไม่พูดอย่างเดียวยังทำหน้าโหดอีก

“กล้าทำ?”ผมเลิกคิ้วกวนอารมณ์ให้ ยิ้มขำเมื่อเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังแบบเด็กๆนั่น

“กล้าไม่กล้าไม่รู้ รู้แต่ห้ามให้ใครเข้าใกล้ ห้ามยิ้มหวาน ห้าม...”

“มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะ จะไม่ให้ผมมีปฏิสัมพันธ์กับใครขนาดนี้ ล่ามไว้ในห้องเลยไหม”ไม่ต้องรอพูดจบผมก็ดักคอทันที เดินไหลไปตามผู้คนไปถึงไหนแล้วตอนนี้ก็ไม่รู้

“เป็นความคิดที่ดี โอ๊ย!”อาร์มยิ้มเหมือนจะเห็นด้วยกับความคิดนั้นจริงๆ แต่ก็ถูกผมศอกใส่อย่างไม่ปราณี

“ถ้าทำ เลิกคบ แถมจะหนีไปสุดขอบโลกเลยแม่ง”

“ไม่เอาน้า ไม่พูดว่าเลิกคบสิ ใจหายหมด...อ่ะๆ นี่กินขนมหน่อยจะได้อารมณ์ดี”อาร์มเอาถุงโรตีสายไหมให้ผม ออดอ้อนตามสไตล์ของมัน

“ไม่เอา กินยาก”พูดไปก็สงสัยว่าแอบไปซื้อตอนไหน ทั้งที่โดนน้องพิมเกาะเป็นปลิงขนาดนั้น

“กินยากยังไงอ่ะ?”

“ก็ต้องนั่งแกะ นั่งม้วน แถมเดินๆอยู่นี่ก็จะให้ไปทำอีท่าไหนล่ะ ชนชาวบ้านเขาหกกระจายหมดพอดี”พูดไปเท่านั้น อาร์มก็ออกแรงลากผมไปนั่งตรงม้านั่งไม่ไกลจากตรงนี้

“อ่ะนี่ กินไม่ยากแล้วใช่ไหม?”อาร์มมันจัดการแกะถุง ลอกแผ่นแป้ง เอาเจ้าสายไหมสีเขียวลงไปม้วนๆ ส่งให้ผมทันที

“อ่ะโห บริการให้ถึงที่เลย น่าให้รางวัลจริงๆ”รางวัลเนื่องในโอกาสที่แสนรู้อ่ะนะ อุ้ย แฟนคลับไอ้อาร์มอย่าปารองเท้า ปาเปลือกทุเรียนใส่ผมนะ

“จุ๊บแก้มสักหนึ่งทีก็ได้นะ”นั่นทำหน้าสาวน้อยขวยเขินบิดไปมา ซึ่งดูเป็นภาพที่ดูเสียสายตาสุดๆ แถมที่พูดมาคงเพราะอยากแหย่ อยากแกล้งผมอีกตามเคย

“หึ”ขอมาผมก็จัดไป ไม่มีอะไรเสียหาย แค่หันไป เอาปากแตะแก้มมันอย่างรวดเร็วแล้วก็ผละออกมา โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าไอ้ผู้ชายสองคนนี้มันทำอะไรกัน

อย่าท้าผม โดยเฉพาะอาร์ม เพราะผมจะทำจริงๆ เหตุการณ์เมื่อเช้าน่าจะพิสูจน์ได้ดี

“อ...อ่ะ....นี่ทำอาร์มตกใจตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนะ”อาร์มลูบแก้มท่าทางเขินขนาดหนัก...เมื่อเช้าผมก็จู่โจมจูบโดยไม่ทันตั้งตัวไปทีแล้ว ท่าทางไม่เคยรุกใครจริงจังมาก่อน โถ...พ่อหนุ่มบริสุทธิ์เอ๊ย ไม่สิ เรียกพ่อสุภาพบุรุษจะถูกกว่า

     จากประวัติที่รู้มาคือ อาร์มมันก็เคยมีแฟน แต่ไม่เคยทำอะไรเกินเลยนอกจากจับมือถือแขน แล้วก็กอดกันเลย....สุภาพบุรุษจริงๆ ไม่นึกว่าจะยังมีผู้ชายแบบนี้อยู่ในโลก แสนดีขนาดนี้ไม่มีอีกแล้ว

“ขอมาก็จัดไปไง ไม่ชอบเหรอ?”ผมยิ้มยั่ว ส่งสายตาท้าทายให้ แกล้งไอ้อาร์มแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน

“พอร์ชก็...อย่าสิ”ท่าทางมันยิ่งเขินหนักเข้าไปใหญ่ ไม่กล้าสบตา

“อย่าอะไร?”ได้ทีผมก็แกล้งมันยกใหญ่ เข้าไปเกาะแขนเอาหน้าไปวางบนไหล่ ให้มันเขินเล่นๆ

“อย่าทำตัวน่ารักขนาดนี้...เดี๋ยวอาร์มตบะแตกพอดี”

“ตบะแตกแล้วทำไม?”

“ถ้าอดใจไม่ไหว อาร์มไม่ผิดนะ ถ้าจะทำอะไรที่มันมากกว่าจูบ...”....เมื่อกี้ยังขวยเขินเหมือนเด็กสาวอยู่เลย ไหงตอนนี้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังตีนได้วะ??? ท่าทีขัดเขินอะไรไม่มีแล้ว มีก็แต่ไอ้ชายหนุ่มท่าทางเหมือนจะจับผมงาบได้ทันทีในตอนนี้มากระซิบข้างหู หายใจรดต้นคออยู่ตรงนี้

นี่ผมไปเปิดประตูต้องห้ามเข้าแล้วใช่ไหม!???? ขุดหลุมฝังตัวเองแล้วไงมึง!

“ความผิดผมไหมนั่น!???”ผมงี้ผละออกมาแทบไม่ทัน

“เปิดกรงเสือเองนะ  ...แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ เสือมันจะเชื่องต่อหน้าพอร์ชไม่นานหรอก เดี๋ยวสักพักมันก็จะคาบพอร์ชไปกินเอง หึ หึ หึ หึ”เสียงหัวเราะโคตรหลอนหูชิบหายในเวลานี้ รอยยิ้มเหมือนเสือล่าเหยื่อปรากฏขึ้นมาแทนรอยยิ้มแสนดี.... พ่อสุภาพบุรุษที่โลกต้องการคนนั้นมันหายไปไหนแล้ว???

“ไม่ต้องมาขู่เลย”ผมลุกหนี ไม่กินมันแล้วโรตีสายไหมอะไรเนี่ย พูดตรงๆนะ ไอ้อาร์มโหมดนี้แม่งน่ากลัว เสียวสันหลังชิบ...แต่สายตาที่มันมองมา นี่ต่อให้โดนเขมือบก็ยอม..... เดี๋ยวๆๆ นี่ผมคิดอะไรอยู่

“ไม่ได้ขู่นะ แค่พูดความจริงให้ฟัง...จะได้ไม่ตกใจตอนเจอของจริงไง”

“หมั่นไส้ว่ะ”ว่าแล้วก็จัดการประเคนศอกให้หนึ่งดอก แต่ยอมรับเลยว่ามาพูดใส่หูแบบนี้มันก็ทำให้ผมใจเต้นเหมือนกันนะ

“ไปเล่นเกมปาลูกโป่งกันไหม?”อยู่ๆมันก็เปลี่ยนอารมณ์ลากผมไปร้านปาลูกโป่งเฉยเลย

“อืม”ผมตอบรับแล้วมันก็หายไปจ่ายเงิน ก่อนจะกลับมาพร้อมลูกดอกในตะกร้าสองใบ

“อยากได้อะไรไหม? จะเอามาให้”อาร์มถามพลางชี้ไปที่ของรางวัลที่ถูกจัดรวมกัน ล่อตาล่อใจ ดึงดูดให้คนเข้าร้าน

“เอามาได้จริงเหรอ?”ก็ไม่ได้อยากได้อะไรหรอก แต่อยากลองเชิงดู อยากเห็นว่าจะแม่นแค่ไหน?

“คิดว่านะ”

“อ้าว”

“ถึงจะเคยได้แค่โชกี้ โชกี้ปลอบใจตอนม.ปลาย...แต่เพื่อพอร์ช อาร์มจะพยายามนะ”ดูมีความทุ่มเทจนไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของมันเลย

“ทำให้ดูก่อนแล้วกัน”ของพวกนั้น อาร์มมันจะใช้เงินซื้อมาให้ก็ได้ แต่แบบนั้นมันคงไม่มีค่ามากกว่าของที่อีกคนอุตส่าห์พยายามลงทุน ลงแรงเอามาให้หรอก

“ครับ”อาร์มยิ้มรับ มาดสุภาพบุรุษกลับมาเรียบร้อย มันสะบัดมือเล็กน้อย แล้วก็หยิบลูกดอกขึ้นมา ตั้งท่าเล็งเต็มที่

    ฟิ้ว...

     ดอกแรกแล่นไปข้างหน้า ด้วยสีหน้าเปี่ยมความหวังของอาร์ม และสีหน้าลุ้นระทึกของผม...ใกล้จะถึงเป้าหมายแล้ว...มันก็ร่วงลงมานอนแอ้งแม้งกับพื้น

“แหะ...ดอกแรกมันก็พลาดกันได้เนอะ อีกรอบคราวนี้ไม่พลาดแน่...ขอกำลังใจหน่อยสิ”พูดพร้อมหัวเราะแหะๆแล้วมันก็มาอ้อนขอกำลังใจกับผม

“...อย่าให้พลาดล่ะ เอากำลังใจไปแล้ว”ผมมองซ้ายมองขวา ดูว่าไม่มีคนสนใจอะไร ก็หามุมหลบ แอบหอมแก้มมัน

“คราวนี้ไม่พลาดแน่”อาร์มยิ้มชื่นมื่น แล้วก็เตรียมตั้งท่าอีกครั้ง

    ฟิ้ว...

ลูกดอกแล่นออกไปแล้ว ไม่มีท่าทีอ่อนแรงเหมือนตอนแรก แต่ทว่า...

     ปั้ก!

จุดหมายปลายทางของมันไม่ใช่ลูกโป่งแต่เป็นขอบไม้อัดน่ะสิ....

“......”ผมมองหน้าอาร์ม แล้วก็หันไปเห็นสายตาเจ้าของซุ้ม...มันบ่งบอกว่า ไม่ได้แอ้มหรอก อย่าหวังเลย

“อาร์ม”

“ครับ”

“สายตาเจ้าของร้านแม่งกวนว่ะ เหมือนจะบอกว่าเรามาเสียเงินให้มันอะไรอย่างนั้นเลย”ผมดึงคออีกฝ่ายมากระซิบกระซาบ เห็นสายตากวนเบื้องล่างแล้วก็อดครั่นไม้ครั่นมือไม่ได้

“โหย อย่าคิดมากสิ เขาก็ทำงานของเขา หากำไรของเขาเป็นธรรมดา”อาร์มขำกับความคิดผม ก็มันกวนจริงๆนี่หวา

“ไม่ได้ จะปล่อยวางไม่ได้ เราต้องเอาชนะมันสิ”...ไม่รู้สิ เล่นเกมทีไรผมชอบมีความรู้สึกอยากเอาชนะแล่นขึ้นมาตลอดเลย การไปเล่นเกมเซ็นเตอร์คราวนั้นถือเป็นตัวอย่างที่ดี

“เอางั้นก็ได้”อาร์มยิ้ม เตรียมหยิบลูกดอกลูกที่สามขึ้นมา

“แต่คราวนี้ผมจะคอยสั่งการนะ...ร่วมมือกันไง”

“ตามคำบัญชาเลย”

“เอาล่ะ เตรียม ยกแขนให้ได้องศา...กะน้ำหนักดีๆ....”ว่าแล้วผมก็ไปจัดท่าให้มัน พูดหลักการที่จะคว้ารางวัลมาให้ได้

    ฟิ้ว

แล้วดอกที่สามก็แล่นไปด้วยท่าทางมั่นคง ก่อนที่จะ....

    ปัง!

เสียงลูกโป่งแตกกระจายดังตามมาด้วยสายตาที่เริ่มหวาดหวั่นของเจ้าของร้าน เอาสิ...มาดวลกันสิว่าใครจะชนะ

“นั่นแหละ...ทำแบบนี้อีกรอบนะ ....ของรางวัลอยู่ไม่ไกล”ผมกระซิบข้างหูแบบที่มันทำกับผมก่อนหน้านี้

“ของรางวัลแบบไหนล่ะ หืม?”อาร์มหยอกเย้าผมกลับ ดูท่าของรางวัลที่มันอยากได้จะไม่ใช่ของพวกนี้นะ

“อยากได้แบบไหนล่ะ?”ผมท้าทายกลับ

“....ดีพคิสสักทีได้ไหม?”สายตาวาววับเป็นประกายขึ้นมา...ผีเข้าผีออกชิบหาย

“อยากได้ก็จะจัดให้ไง”บอกแล้วว่าอย่าท้า เพราะผมจะทำ อาร์มมันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ยิ้มรับ แล้วก็จัดการเตรียมตั้งท่าอีกครั้ง

     ปัง....   ปัง....  ปัง...!

     ไม่ต้องอธิบายแล้วมั้งว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนเติมเชื้อไฟเข้าไปทีนี้ มันเลยรัวปาลูกดอกใส่ลูกโป่งแตกติดๆกัน มีพลาดบ้างบางครั้ง จนลูกดอกหมดตะกร้า...แต่ก็ถือว่าได้รางวัลมาล่ะนะ

“ได้รางวัลอะไรครับ?”ผมยิ้มอย่างมีชัยให้กับเจ้าของร้านคนเดิม ฝ่ายนั้นก็ทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่ก็เดินนำไปแต่โดยดี

“ของรางวัลบนชั้นนี้เลือกเอาชิ้นไหนไปก็ได้ 1 ชิ้นครับ”ก็นะ...เขาว่ากันว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ถ้าเจอพวกมาปาเล่นๆ เอาสนุก เล่นเอาลุ้นเฉยๆก็กำไรไป แต่เจอขาเซียนก็ย่อยยับกันไปข้าง เท่านั้นเอง...

“อันนี้แล้วกัน”ผมหยิบหมอนรูปหมีคุมะอะไรไม่รู้แบบที่ไนซ์มันหวงขึ้นมา

“ปะ อาร์ม ต่อกัน....คราวนี้ตาผมบ้าง อยากได้อะไรล่ะ?”ผมเดินไปข้างอาร์ม คนในร้านก็เริ่มเอาลูกโป่งมาเติมแทนที่ไอ้อาร์มมันปาแตกไป

“เอาให้ได้ก่อนแล้วกัน”

“อย่าดูถูกกันล่ะ เห็นอย่างนี้ผมก็เคยได้รับฉายานักล่ารางวัลมาก่อนนะ”ที่ล่าไม่ใช่อะไรหรอก อย่างที่ทุกคนรู้กันดีนั่นแหละว่าแค่อยากเอาชนะเท่านั้นเอง

“ครับ จะรอดูครับ คนเก่งของอาร์ม....จบแล้วจะมีรางวัลให้”อาร์มกระซิบข้างหูกลับ ทำทุกอย่างเหมือนที่ผมทำให้

“รางวัลใครกันแน่ห๊ะ?”ผมอดย้อนไม่ได้ อาร์มก็แค่ยิ้มๆเหมือนเคย....

     ฟิ้ว....  ปัง!

     ไม่ต้องอธิบายว่าคืออะไรเหมือนเดิม...เสร็จไปดอกนึงก็มีดอกต่อมาตามมาเรื่อยๆ จนไอ้อาร์มหันไปยิ้มให้เจ้าของร้านอย่างเห็นใจ และยืนไว้อาลัยให้ 10 วินาที.....








     ได้ชัยชนะโดยมีหลักฐานเป็นของรางวัลในมือพวกผมกลับมาสมใจ... เห็นสีหน้าพ่ายแพ้ของเจ้าของร้านแล้วก็รู้สึกมีความสุขพิกล

“ใจดีกับเขาไปทั่วเลยนะ”ผมพูดพลางนึกถึงตอนที่อาร์มมันจะจ่ายค่าของรางวัลให้เขา

“แหม ก็กลัวเขาจะขาดทุนนี่ พอร์ชเล่นจะไปเหมาร้านเขาขนาดนั้น”

“ก็เอาของรางวัลไปคืนแล้วไง ใครจะเหมาหมดล่ะ แค่อันเดียวก็พอ”อันเดียวที่มันตั้งใจจะเอามาให้ผมก็พอแล้ว

“ครับ พอร์ชก็ใจดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอไง?”อาร์มเดินไปที่รถตัวเอง ใช้รีโมทกดเปิดประตูแล้วก็เดินเข้าไปนั่ง

“ผมแค่อยากเอาชนะเฉยๆ ไม่ได้อยากได้ของรางวัลนี่ แค่นี้ก็พอแล้ว”

“แล้วของรางวัลที่บอกว่าจะให้ล่ะ”เออ ผมก็เกือบลืมไปเลย

“ทวงจังเลยนะ”ผมเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ ปิดประตู ไม่ต้องรอให้พูดอะไร ผมกับอาร์มก็ขยับตัวเข้ามาใกล้กันโดยอัตโนมัติ

ริมฝีปากสัมผัสกัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายรุกไล่เข้ามา ทั้งหนักหน่วง แล้วก็อ่อนหวานในเวลาเดียวกัน



= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =


เสิร์ฟตอนที่12 พร้อมแจ้งข่าวว่าข้าพเจ้าลงนิยายไว้ที่เด็กดีแล้วนะ สะดวกอ่านแบบไหน ชอบแบบไหนเลือกเอาได้เลยจ้า โดยส่วนตัวคนเขียนชอบการจัดหน้าของเด็กดีมากกว่าง่ะ = =

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 20:58:25 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Maw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: กลลับ พรางรัก บทที่12 1/9/15
«ตอบ #18 เมื่อ01-09-2015 16:29:48 »

 o13

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
Re: กลลับ พรางรัก บทที่12 1/9/15
«ตอบ #19 เมื่อ01-09-2015 17:15:19 »

เพิ่งตามอ่านได้ตอนเดียวอยู่ มันแอบลับลวงพรางมาก

ตามอ่านทันตอนใหม่เมื่อไรจะมาเม้นท์อีกทีนะจ๊ะ  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กลลับ พรางรัก บทที่12 1/9/15
« ตอบ #19 เมื่อ: 01-09-2015 17:15:19 »





ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่13 4/9/15
«ตอบ #20 เมื่อ04-09-2015 14:40:41 »

บทที่ 13


     เป็นเวลานานกว่าเราจะผละจากกัน อาร์มถอยออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ทำหน้าเหมือนอยากขออีกรอบ...ความจริงจะเอาอีกสักสิบรอบผมก็ไม่ว่านะ ถ้ามันขอ

“ไม่คิดมาก่อนเลยว่า...การจูบใครสักคนมันจะ หวานขนาดนี้”อาร์มเปรยขึ้นมาเอานิ้วแตะปาก ท่าทางขัดเขินเหมือนทุกครั้ง แต่สายตาก็ยังจับจ้องมาที่ผม หวานซึ้งจนชวนละลาย

“ก็ได้รู้แล้วไงว่า...หวานขนาดไหน”ผมยิ้มแตะนิ้วไปบนริมฝีปากอาร์ม แต่แล้วก็ถูกจับล็อกเอาไว้ และไม่แค่จับเฉยๆ ริมฝีปากร้อนๆนั่นยังประทับจูบลงบนบนมือผม พรมจูบจากปลายนิ้ว จรดไปทั่ว จนชวนให้อ่อนระทวยไปหมด

“หวานจริงๆด้วย”อาร์มยิ้มเจ้าเล่ห์ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา สายตาโลมเลียไปทั้งร่างนี่ทำเอาผมทำอะไรไม่ถูก เลือดพลุ่งพล่านไปหมด

“แกล้งกันนี่”ผมส่งสายตาค้อนไปให้ หน้านี่ร้อนผ่าวไปหมดแล้ว...อาร์มมันก็ช่างสรรหาวิธีการทำให้ผมเขินได้อยู่เรื่อยเลย

“เปล่าแกล้งนะ”ดูรอยยิ้มไม่มีทีท่าสำนึกผิด ไม่รู้สึกว่าทำอะไรลงไปมันดูกวนอารมณ์แปลกๆพิกล

“ขับรถไปเลย จะรีบกลับไปนอนแล้ว”ผมกอดอกเอนกายพิงเก้าอี้ เมินเรื่องที่โดนแกล้งให้เขินไป ถ้ามากกว่านี้หัวใจผมคงหลุดออกมาเต้นข้างนอกแน่ๆ

“รับทราบครับ”ยิ้มรับแล้วก็ขับรถออกจากที่จอดรถข้างงานวัดตามคำสั่งผม ...บรรยากาศหวานแหววแบบนี้มันอะไรกัน ไม่ชิน แถมยังทำให้ใจเต้นจนแทบคลั่ง

“ฟังเพลงไหม?”เหมือนไม่รู้จะพูดอะไรทั้งคู่ อาร์มเลยเสนอขึ้นมา...ก่อนหน้าที่จะรู้สึกชอบอาร์มนี่ อยู่ใกล้กันแค่นั้นผมก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้มันเกร็งไปหมด

“ก็ดี”ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน...ฟังเพลงแก้เบื่อไปก็น่าจะช่วยให้รู้สึกหายเกร็งไปบ้าง อาร์มพยักหน้าแล้วก็จัดการเปิดเพลงให้เสร็จสรรพ...ทำนองเพลงหวานๆ ฟังสบายหูก็ดังขึ้น ชวนให้รู้สึกเคลิ้มๆ เข้ากับบรรยากาศดี ทำนองไม่ช้า ไม่เร็วเกินไป เหมือนสภาพการจราจรตอนนี้ เรื่อยๆชิลๆ

“ทุกๆครั้งที่ฉันเจอ ได้พบเธอ เหมือนฉันโดนเวทมนต์บางอย่าง
สะกดให้ฉันนั้นหลงทาง อย่างกับฉันนั้นแพ้ทางอย่างเธอ
แต่ก็รู้ว่าคงไม่มีเวทย์มนต์อย่างไรนั้นฉันเข้าใจ อาจเป็นเพราะบางอย่าง
เมื่อฉันได้เคียงข้าง กับเธอเหมือนอากาศเปลี่ยนไป”


“เหมือนบรรยากาศของเธอคือเวทย์มนต์ สะกดให้ฉันหลงและรักเธอ....เมื่อไรที่เธอยิ้ม หัวเราะ หรือสุขใจ ฉันก็หวั่นไหวเมื่อไรที่พบเธอ”ได้ยินเสียงร้องคลอเบาๆของอาร์ม ซ้อนกับเสียงเพลง มี ส่งสายตามาให้บางระยะ เหมือนจะร้องเพลงจีบ บอกตรงๆว่าเขิน... หวานเกินไป หวานเกินไปแล้ว

ผมจะตายเอาวันนี้ เพราะความหวานของมันนี่แหละ!







     ติ๊ง

ประตูสีเงินเลื่อนเปิดที่ชั้น 17 เหมือนทุกที แต่ที่แปลกไปหน่อยคือ คนที่ยืนอยู่หน้าห้องอาร์ม คือคนที่ผมรู้สึกคุ้นๆพิกล

“มายืนทำอะไรลับๆล่อตรงนี้กันวะ?”อาร์มเอื้อมไปแตะไหล่ไอ้คนผมแดงคนแรก

“ไงมึง~”เสียงทักทายอย่างร่าเริงจากเบต้า....มันตัวเปล่าเหมือนเคย ส่วนอีกคนซึ่งคือ ซี ก็ถือของเต็มไม้เต็มมือเหมือนทุกที ...ผมชักสงสัยว่ามันมากันทำไม

“ไงอะไรล่ะ? มาทำไม?”น้ำเสียงไร้ไมตรีสุดๆ แต่มือก็เอื้อมไปเปิดประตูต้อนรับให้พวกมันเข้าไปอย่างดี

“มาฉลองไง เนื่องในโอกาสที่จีบพอร์ชติด หลังจากที่ชะเง้อมองเครื่องบินมาตั้งนานสองนาน”พอไอ้เบต้าบอกไปแบบนั้น ผมก็หันขวับไปหาไอ้อาร์มทันที ...มันก็ไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มตามสเตป

“ไม่ต้องไปเชื่อมันหรอก ไอ้ห่านี่มันหาเรื่องกินเฉยๆ”ซีพูดไปก็จัดแจงเอาถุงพวกไก่ทอด เฟรนฟราย พิซซ่า ทุกอย่างมาเต็มมาก

“ไอ้ซี มึงไม่ต้องพูดแบบเดิมก็ดีแล้ว”อันนี้เบต้าหันไปพูดกับซีครับ ดูแขวะกันนิดๆ แต่ก็รักกันดี

“แล้วมึงมาเวลานี้?”อาร์มมันแทบกุมขมับ เพราะมันก็โคตรจะดึกมากแล้ว กว่าจะกิน กว่าจะเก็บ อาบน้ำเข้านอนกัน

“อะไรมึง ทีเมื่อก่อน มากินเหล้ากันยันเช้ายังไม่เห็นว่า....เออ ใช่สิ มีเมียแล้ว เพื่อนเก่าๆมันก็ไม่สำคัญ” ผมตาขวางใส่ไอ้เบต้าทันทีที่ได้ยินคำแสลงหู

“......”ไร้ซึ่งคำพูดจากผมมีเพียงสายตาที่บ่งบอกว่าไม่พอใจ และจะเขมือบมันทันทีถ้ายังพูดอะไรไม่เข้าหู

“อุ้ย ดุซะด้วย....เอาน่าๆ ไหนๆก็มาแล้วนะ”สบเข้ากับสายตาเพชฌฆาตของผมแล้วมันก็เปลี่ยนเรื่องทันที

“ตามใจ”

“นี่รู้ไหม เมื่อเช้าอาร์มมันส่งข้อความมาในกลุ่มแชท ข้อความเด้งขึ้นมา 60 กว่าข้อความจากคนๆเดียว...ท่าทางดีใจจัด พิมพ์ผิดๆถูกๆ ส่งมาทีละประโยค ทีละคำ กว่าจะอ่านกันรู้เรื่องนะ”คราวนี้คนแฉคือไอ้ซี พอได้พูดแล้วมันก็ยาวเลย

“เออ แม่งดีใจเวอร์จนหมั่นไส้เลยเนี่ย แต่ก็ดีแล้ว มันจะได้ไม่มานั่งคร่ำครวญอีกว่าเขาไม่สนใจอย่างนั้นอย่างนี้”เบต้าสมทบครับ แฉหมดเปลือกแล้วทีนี้

“เออ ก็กูรักของกูอ่ะ”นี่ก็ดันยอมรับ ไม่เถียงอะไรอีก...แต่ประโยคเหมือนไม่มีอะไรของมันอ่ะ ทำผมแทบละลาย

“เออๆ หมั่นไส้จริง อ่ะ กินกันดีกว่า”บอกปัดแล้วก็หันไปเปิดขวดน้ำอัดลมเทใส่แก้วแจกจ่ายให้ทุกคน

“แล้วนี่ไปไหนกันมาเหรอ แบกของพะรุงพะรังมาเชียว”ซีหันมาถามเพราะสังเกตเห็นว่าผมก็กอดหมอนคุมะไว้แนบอก ส่วนอาร์มก็แบกเจ้าหมีตัวสีเหลือง ใส่เสื้อสีแดงขนาดกลางๆ กับถุงของกิน ของใช้เต็มมือ

“งานวัดน่ะ”ผมเป็นคนตอบ แล้วลงนั่งเก้าอี้ โดยมีหมอนที่เลือกมาวางอยู่บนตัก

“รายนี้เขาไปเล่นเกมกวาดรางวัลมา อย่างเก่งอ่ะ ภูมิใจจังมีแฟนเก่ง”อาร์มพูดหยอดผมทันที กะจะให้ระเบิดตัวเองตายไปเลยใช่ไหมเนี่ย

“อะแฮ่ม!”เสียงกระแอมไออย่างจงใจดังมาจากไอ้ต้าที่กำลังตั้งอก ตั้งใจจัดเรียงจานบนโต๊ะให้สะดวกแก่การกิน

“อะไรมึง กระดูกติดคอเหรอ?”นี่อาร์มพูดครับ กับผมนี่พูดอย่างหวานหูละลายใจ แต่กับเพื่อนนี่โคตรดิบเถื่อน หักหาญน้ำใจกันอ่ะ บ่งบอกว่ารักเพื่อน ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก....

“มึงสิ มดกัดแล้วมั้งนั่น”

“พอๆๆ มาฉลองกัน ไม่ได้มากัดกันนะ กินๆกันได้แล้ว”ซีเป็นคนมาห้ามทัพครับ ก่อนที่เพื่อนของมันจะตีกันตายไปข้างซะก่อน

“ ’ไรว้า กำลังมันเลย”ดันชอบอีกไอ้เบต้านี่ แต่ถึงจะบ่นมือมันก็ฉกไก่ไร้กระดูกไปก่อนชิ้นแรกคนแรก

“กินได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”ซีบอกผม มันเป็นคนที่ดูค่อนข้างสุภาพมาก แล้วก็ใจเย็นมาก ถึงได้รับมือไอ้ต้าได้

“ขอบคุณ”ผมยิ้มตอบกินพอเป็นพิธี เพราะแค่ของกินจากในงานวัดผมก็ปาไปครึ่งกระเพาะแล้ว

“แกะให้ไหม?”เห็นท่าทางพยายามแกะเนื้อไก่ของผมแล้วอาร์มก็อาสาช่วยทันที

“ไม่เป็นไร ผมแกะได้”แค่นี้เอง ไม่ต้องทำทุกอย่างให้ผมขนาดนั้นก็ได้....แกะเรียบร้อยผมก็เริ่มลงมือกิน กันเงียบๆ แกนนำเสียงโหวกเหวกอย่างเบต้าพอโดนของกินยัดปากแล้วก็เงียบทันที กินอย่างเดียว เหมือนว่าเป็นภารกิจสำคัญมาก

     ก็กินกันเงียบๆ มีคุย มีเถียงอะไรกันบ้าง แต่ไร้แอลกอฮอล์เพราะต่างก็ต้องไปทำงานตอนเช้ากันหมด กินกันเสร็จ เก็บของ อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ซีกับเบต้าก็พากันลงไปนอนเกลื่อนแถวๆโซฟา เตรียมทุกอย่างสำหรับการมาค้างเสร็จสรรพจริงๆ

     อาร์มวิ่งวุ่นเก็บโน่นเก็บนี่เสร็จก็เดินมาหาผมทั้งชุดนอน ก็เสื้อยืด กางเกงบ็อกเซอร์แมนๆนั่นแหละ แต่งอะไรก็หล่อว่ะ หนังหน้ากับรูปร่างนี่ช่วยได้เยอะจริงๆ

“ผมกลับไปนอนแล้วนะ”ผมบอกขณะที่อาร์มมายืนส่งที่ประตูห้อง

“คืนนี้ไม่มานอนที่นี่หน่อยเหรอ”เสียงออดอ้อน มาพร้อมการกุมมือผมด้วยท่าทางอ้อนสุดชีวิตทันที

“ไม่เอา”ห่างกันสักพัก ให้หัวใจผมได้พักผ่อนบ้าง ไม่ใช่ทำงานหนักทั้งวันทั้งคืน

“งั้นจูบก่อนนอนหน่อย”ว่าแล้วว่ามันต้องขอ แถมไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ รอให้ผมเป็นฝ่ายเข้าไปจูบด้วย

“ไม่เอา เดี๋ยวพวกนั้นเห็นจะว่ายังไง”ผมมองไปยังคนที่มาขอค้างห้องอาร์มคืนนี้....แอบเห็นว่ามันจ้องพวกผมเหมือนจะรอดูอะไรสักอย่าง แต่พอเห็นผมมองกลับไปก็แกล้งหันหนีนอนหลับไม่รู้ไม่ชี้อีก

“ก็เห็นไปสิ....อ่ะๆ เอาตัวบังให้ก็ได้”นี่ก็ด้านได้อีก ...หน้าผมไม่ได้ฉาบปูนนะเว้ย

“เออ”แล้วก็จัดการรีบๆจูบแล้วก็รีบๆผละออกมาทันที

“อ่ะโห นิดเดียวเอง ขอแบบตอนเย็นไม่ได้เหรอ?”ทำหน้าอาลัยอาวรณ์เข้า ดูดดื่มแบบตอนเย็นหรือมากกว่านั้นผมก็ไม่ขัดหรอกถ้ามันไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ด้วยนะ

“แค่นี้ก็เยอะแล้ว ขอมากกว่านี้ คราวหน้าจะไม่ให้อีกแล้วนะ”ขู่มันซะเลย จะได้เลิกตื๊อสักที ผมยอมมันแล้ว มันก็ต้องยอมผมบ้างสิถึงจะเท่าเทียมกัน

“ก็ได้ งั้นฝันดีนะครับ”ได้ผล อาร์มไม่ตื๊อ ไม่งอแงซ้ำยังอวยพร แถมด้วยการจูบหน้าผากเบาๆอีก

“ฝันดีเหมือนกัน”ผมอวยพรกลับแล้วก็เดินกลับห้องตัวเอง










     ไม่ได้หลับฝันดีอะไรหรอก เรียกว่าไม่ได้ฝันเลยด้วยซ้ำ มีแต่หลับสนิท หลับสบาย ตื่นมาก็แพ็คคู่ไปทำงานกับอาร์มเหมือนเดิม ส่วนเรื่องอาหารเช้าของอีกสองคนในห้อง...อาร์มมันก็บอกว่า ให้ไปหากินกันเองในตู้เย็น ส่วนตัวมันกับผมก็ออกไปกินข้างนอก...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องลำบากไปกินข้างนอก จะกินที่ห้องก็ได้ถ้าอย่างนั้น....พอถามไป อาร์มก็ตอบว่า ไม่อยากให้มารบกวนเวลาของสองเรา เท่านั้นแหละ ผมเลิกถาม เลิกสงสัย แล้วก็หุบปากฉับทันที

     ข้ามรายละเอียดเรื่องการไปกินมื้อเช้าไป เพราะมันก็เหมือนทุกวัน กินไป โดนหยอดไปเหมือนทุกที ที่สำคัญกว่าคือ ตอนนี้อาร์มมันชวนผมเข้าห้องทำงาน อย่าเพิ่งคิดกันไปไกลนะ เรื่องงานครับ เรื่องงาน

“มีอะไรเหรอครับ?”

“มีเอกสารจะให้น่ะ”อาร์มบอกหลังจากที่ชวนผมเข้าห้องทำงาน ที่ก็มาทุกวันจนรู้แล้วว่าข้างในนั้นมีอะไรวางอยู่ตรงไหนบ้าง

“เอกสารอะไรล่ะ?”ผมมองตามอาร์มที่กำลังค้นเอกสารที่อัดแน่นอยู่ในลิ้นชัก

“ข้อมูลโปรเจคหน้าไง....ครบถ้วนหมดแล้วนะ ตัวไฟล์ข้อมูล มีอยู่ในซีดีในซองนะ”ซองที่ไม่ควรถูกยื่นมาตอนนี้...มันอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ผมกลืนน้ำลาย มองซองสีน้ำตาลตรงหน้า...ทุกอย่างอยู่ในนั้นแล้ว

“ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ผมกะว่าจะเอามาต้อนรับซัมเมอร์นี้นี่แหละ”รอยยิ้มไม่รู้เรื่องอะไรของมันทำให้ผมรู้สึกแปล๊บๆเข้าไปใหญ่

“.....ขอบคุณครับ”ผมควรจะดีใจนะ....แต่ก็ชักจะพูดไม่ออก ยื่นมือออกไปแบบกล้าๆกลัวๆ....ก็นี่คือสิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่เหรอ?

“เป็นอะไร ดูไม่ค่อยดีใจเลยนะ....ก่อนหน้านี้เห็นถามบ่อยๆไม่ใช่เหรอ?”

“แค่คิดว่างานหนักมาแล้วก็เท่านั้นเอง....ไม่มีอะไรหรอก”งานหนัก หนักมากจริงๆ.....ผมควรจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย!???

เวลาของผมกับอาร์มจะสั้นเกินไปแล้วนะ

“อาร์ม”

“ครับ?”

“ช่วยบอกอีกทีได้ไหม ว่ารู้สึกยังไงกับผม?”ผมช้อนตามองมัน รู้สึกกังวลไปหมด ไม่รู้จะตัดสินใจทำอะไร ยังไงดี

“เอ๋...ผมก็เขินเป็นนะ”มันเกาแก้มแกรกๆแก้เขิน ไม่กล้าสบตาผมตรงๆ

“นะครับ”ผมเสียงอ่อน พยายามอ้อนมันอย่างที่ไม่เคยเป็น กุมมืออาร์ม เป็นการร้องขออย่างหนึ่ง

“.....อืม....ได้สิ.......อาร์ม เอ่อ.....รักพอร์ชนะ”เสียงพูดอ้อมแอ้ม  จะมองหน้าผมก็ไม่กล้า พอสบตาก็ก้มหน้างุดซะอย่างนั้น

“ครับ ขอบคุณมาก”ผมยิ้มพอใจกับคำตอบที่ได้รับ แค่ได้ยินก็รู้สึกว่าพอแล้ว

“มีอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่าหรอกครับ แค่อยากฟังดูอีกสักครั้ง....แล้วก็ ขอจูบหน่อยได้ไหม?”ผมรั้งอีกคนเข้ามาใกล้ อ้อนขอเหมือนเคย

“เนื่องในโอกาสอะไรล่ะ? แต่ไม่ต้องมีโอกาสอะไรก็ทำได้ทุกเมื่อนะ”อาร์มถามด้วยรอยยิ้มขี้เล่น แต่มือก็โอบผมเข้ามาใกล้ไม่มีท่าทีปฏิเสธ

“โอกาสที่เมื่อเช้ายังไม่ได้จูบ”แค่อยากจูบอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะปล่อยมือจากอาร์มไป....ก่อนที่จะไม่ได้จูบอาร์มอีกครั้ง

“อืม”อาร์มตอบรับก้มลงมาจูบ ดูดดื่มกว่าทุกที อ่อนหวานชวนให้ใจละลาย ในขณะเดียวกันก็ชวนให้ใจหายด้วย....

“วันนี้ตั้งใจทำงานนะ”อาร์มยิ้มให้กำลังใจ หอมแก้มผม มืออุ่นนั่นประคองใบหน้าเบาๆ ลูบไล้ตามผิวแก้มอย่างถนอม รักใคร่

“เหมือนกัน”ฝืนยิ้มออกไป แล้วก็เดินจากมา....

     ผมไม่ได้ไปนั่งทำงานที่โต๊ะ แต่แอบออกมานั่งที่ร้านกาแฟ พร้อมโน๊ตบุ๊คประจำตัวตรวจเช็คเอกสาร เช็คความถูกต้อง ครบถ้วน อ่านรายละเอียดเสร็จแล้วผมก็ใส่ซีดีลงไป เปิดดูข้อมูลว่าตรงกันหรือเปล่า จากนั้นก็คลิกเข้าไปใช้งานอีเมล์

แต่ผมกำลังสั่น... มือที่วางอยู่บนเม้าส์สั่นอย่างที่ไม่เคยเป็น

     ที่อยู่แอดเดรสตรงหน้าคือของบริษัทผู้ว่าจ้าง เอกสารที่แนบไฟล์ไปด้วยก็คือข้อมูลที่ผมเพิ่งได้มาสดๆร้อนๆ... เคอร์เซอร์วางอยู่บนปุ่ม‘ส่ง’ แต่ยังไงก็ไม่กล้ากดสักที

ถ้ากด ทุกอย่างก็จบน่ะสิ....

     ผมควรจะเลือกอะไร ทำไปตามหน้าที่ หรือทำตามที่ใจต้องการ?...แต่ถ้าผมไม่ส่ง บริษัทของลุงผมก็จะเสียหาย แต่ถ้าส่ง ผมกับอาร์มก็ต้องจบกันแค่นี้ หรือจะเลื่อนเวลาไปเรื่อยๆดี?....แต่ยังไงไม่ช้าก็เร็วผมก็ต้องทำอยู่ดีไม่ใช่เหรอ  เราต้องเดินหน้าทำงานให้มันจบ ถึงจะรู้สึกผิด อึดอัดไปหมด ความรู้สึกเหมือนเป็นคนทรยศ มันเป็นแบบไหน เพิ่งได้รู้วันนี้

     อย่าลังเล อย่าให้ความรู้สึกส่วนตัวครอบงำ....จงลงมืออย่างเฉียบขาด คำสอนที่คอยพร่ำบอกผมมาตลอด.... จนในที่สุดก็ทำให้ผมต้องทำใจแข็งกดส่งมันไป

     ทั้งที่ควรรู้สึกสบายใจ เบาใจ แต่ทำไมกลับรู้สึกหนักอึ้งก็ไม่รู้.... ในกระเป๋าผม ในนั้นมีซองจดหมายลาออกที่พิมพ์เอาไว้เมื่อนานแล้ว เก็บไว้จนเกือบลืม....ตอนนี้มันก็ถึงเวลาที่จะต้องใช้งานมันแล้ว ผมหยิบมันออกมา เก็บของทุกอย่างไว้ในกระเป๋า ก้าวเท้าไปข้างหน้า หลบหลีกการพบเจอกับผู้คน รอจังหวะที่อาร์มไม่อยู่ในห้อง ผมไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาตอนนี้ ผมยังใจแข็งไม่พอ

ตัดสินใจวางซองสีขาวนั้นไว้บนโต๊ะ และเดินจากไปโดยที่ไม่คิดหันหลับไปมองอีก

ลาก่อน และ ขอโทษนะ ....อาร์ม


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =


แวะมาอัพตอนที่ 13 แบบรีบๆ อ่า เค้าหวานกันไปไม่เท่าไหร่เอง ก็มาถึงจุดเปลี่ยนซะแล้ว อะไรจะเป็นยังไงต่อ ติดตามตอนต่อไปค่า^_^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 21:00:53 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่14 8/9/15
«ตอบ #21 เมื่อ08-09-2015 22:49:15 »

บทที่  14

     จบแล้ว มันจบแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้วทั้งนั้น ห้องที่คอนโดก็กลายเป็นแค่ห้องว่างเปล่า ไร้เจ้าของ ไม่มีอะไรที่จะสามารถติดต่อกันได้อีก คนอกหักมันเป็นแบบนี้เอง เจ็บเจียนตายมันเป็นแบบนี้เองเพิ่งมารู้เอาตอนนี้

     มันเป็นคนสอนให้ผมได้รู้อะไรหลายอย่าง ทั้งความรู้สึกมีความสุขจนล้นเอ่อ ใจเต้น กระวนกระวาย สับสน หลงรัก ไปจนกระทั่ง เจ็บปวด ทรมานหัวใจ เหมือนจะขาดใจรอนๆ เพ้อเหมือนคนบ้า เอาแต่คิดถึงหน้ามัน คิดถึงอ้อมกอด จูบ ความอบอุ่นของมัน...

“พี่พอร์ช กินข้าว~”เสียงเรียกสดใสของไนซ์ดังแว่วมา แต่ผมก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน นอนหนุนอิงแอบหมอนที่ได้มาจากใครบางคน

“พี่ไม่หิว กินกันไปเลย”ผมยิ้มบางๆกลบเกลื่อนไม่ให้จับได้ว่าผมกำลังเศร้าอยู่

“นี่ เป็นอะไร ตั้งแต่กลับมา ไนซ์ก็เห็นพี่ดูซึมๆนะ เคยบอกไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้ามีอะไรก็บอกกัน”แต่คงหลบไม่พ้นสายตาน้องผม ไนซ์เป็นคนช่างสังเกต รู้ไปหมดว่าผมกำลังอยู่ไหนอารมณ์ไหน

“ไม่เป็นไร แค่เหนื่อยๆเฉยๆ”

“อ่ะ ไม่บอกก็ตามใจ อยากเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน...แต่ลงไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่เป็นห่วง...นะพี่พอร์ช”ไนซ์บอก ไม่เซ้าซี้จนกว่าผมจะอยากบอกกับมันเอง แต่จะเข้ามาถามเป็นระยะ เป็นห่วงอยู่ห่างๆ ไม่ก้าวก่ายมาก นั่นล่ะคือนิสัยในตัวมันที่ผมชอบ

“อืม”ไม่อยากให้ลุงกับน้าต้องเป็นห่วง ผมเลยยอมลุกแล้วเดินลงไปร่วมรับประทานมื้อเย็นกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว มื้อเย็นที่ปกติผมต้องไปนั่งรอ อาร์มทำกับข้าวอร่อยๆมาให้กิน จนถึงเมื่อไม่นานมานี้

พูดคุยกันนิดหน่อยแล้วก็ลงมือทานข้าวกัน โดยที่ผมพยายามแสดงออกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

“ข้าวไม่อร่อยหรือลูก?”เหมือนเห็นว่าผมเหม่อๆ น้าเลยถามขึ้นมา ผมเลยสะดุ้งเฮือก พยายามดึงสติกลับมา

“เปล่าครับ อร่อยเหมือนเดิม ...ทำไมเหรอครับ?”ผมยิ้มกลับไป แสดงออกว่าตัวเองกำลังร่าเริง แจ่มใสเหมือนทุกที

“น้าเห็นท่าทางหงอยๆ ก็เลยเป็นห่วง ไม่สบายหรือเปล่าลูก เป็นอะไรก็บอกน้านะลูก อย่าเก็บเอาไว้”น้ำเสียงอ่อนโยนมาพร้อมกับฝ่ามืออบอุ่นลูบหัวผม เหมือนที่ใครบางคนเคยทำให้

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่เหนื่อยๆ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”ผมไม่อยากให้ทุกคนต้องมาเป็นห่วง พูดด้วยเสียงปกติ แม้น้ำตาจะพยายามรื้นขึ้นมาคลอเต็มหน่วย แต่ผมก็พยายามกลั้นแทบตาย ไม่ให้แสดงออกมา

“เฮ้ย ซึมเป็นหมาหงอยขนาดนี้ ไม่เป็นอะไรได้ไง...เอ้า กินข้าวๆ เลิกคิดมากได้แล้ว”นี่เสียงลุงพลไม่ได้เอื้อมมือมาลูบหัวผมแต่ก็แสดงออกว่าห่วงใย

“ครับ”ผมยิ้มรับแล้วก็กินข้าว พยายามลืมๆเรื่องที่กำลังคิดอยู่ เพราะยังมีคนที่กำลังเป็นห่วงผมอยู่อีกมาก จะทำตัวเศร้าแบบนี้ให้เขาเห็นไม่ได้





     จนกินข้าวเสร็จ เก็บจาน เก็บอุปกรณ์หมดแล้ว ผมก็กำลังขึ้นห้อง พร้อมๆกับไนซ์ น้ามณีก็เดินเข้ามากอดแล้วลูบหัวเบาๆ บอกว่ามีอะไรก็มาหาน้าได้ ผมก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินขึ้นห้องตัวเอง

“ให้ไนซ์อยู่เป็นเพื่อนไหม?”

“ไม่เป็นไร พี่อยากอยู่คนเดียว...จนกว่าจะรู้สึกว่าสงบใจได้”

“ไนซ์อยู่ที่ห้องนะ มีอะไรก็มาหาได้นะ”บางทีไนซ์อาจจะเอาแต่ใจ อยากรู้เรื่องของผมบ่อยๆ แต่ไนซ์ก็เป็นห่วงผมอยู่เสมอ

“อืม”ผมยิ้มก่อนจะปิดประตู ถอดเสื้อผ้าลงตะกร้า เดินไปเปิดน้ำฝักบัวชำระร่างกาย ปล่อยทุกอย่างให้ไหลทิ้งตามน้ำไป ทำให้หัวเย็นลง แล้วก็เดินลงไปแช่อ่างน้ำ หยุดความคิดทุกอย่าง ปล่อยให้หัวโล่งไปสักพักนึง

     นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เมื่อผมใส่เสื้อผ้าเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงเวลาก็สามทุ่มกว่าๆแล้ว เผลอมองรูปถ่ายข้างเตียงแล้วก็ต้องชะงัก จึงเอื้อมไปหยิบมาดูใกล้ๆ สายตาของคนในภาพเหมือนกำลังมองมาที่ผม แต่รอยยิ้มอบอุ่นนั่น...คงไม่มีทางส่งมาให้ผมอีกแล้ว

     กรอบรูปจากทะเลที่เคยให้ผม ตอนนี้ก็ยังทำใจเอาไปเก็บไม่ได้ ตัดใจให้ลืมไม่ได้สักที มันเหมือนว่าไม่นานนี้ผมยังอยู่ในห้วงความรักแสนหวาน แต่แล้วก็ถูกฉุดลงมากระแทกพื้น จนเจ็บระบมไปทั้งตัวด้วยคำว่า‘หน้าที่’ กลับไปไม่ได้แล้ว ไม่มีทางอีกแล้ว

    แปะ....

     หยาดน้ำตาหยดลงบนเตียงนอนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันร้อนผ่าว ไหลลงไปช้าๆ เหมือนความปวดใจที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ให้ค่อยๆเจ็บช้าๆ  ให้ทรมานจนทนแทบไม่ไหว หยาดน้ำแห่งความโศกเศร้าไหลรินอย่างต่อเนื่อง จนหยุดไม่ได้อีกต่อไป ไหลทะลักควบคุมไม่ได้ แต่ไม่มีมือที่คอยซับน้ำตา คำพูดปลอบโยนบอกว่าเขาอยู่ข้างๆอีกแล้ว

“ฮึก...”สะอื้นร้องไห้อย่างกับคนบ้า เหมือนคนไม่มีสติ เรื่องแค่นี้ก็ต้องร้องไห้เสียสติ ถ้าเป็นตัวผมเมื่อก่อนคงนั่งด่าตัวเองเป็นวรรคเป็นเวรแน่ๆ ที่มาจมปลักอยู่กับอะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ผมมอบหัวใจให้กับเขาไปแล้ว เผลอไปแล้ว ถอนตัวไม่ได้แล้ว

สะอึกสะอื้นร้องไห้จนตัวงอ แล้วผมก็หลับไปด้วยความเหนื่อย...








     ผมลืมตาขึ้นมาอีกทีก็อยู่ที่ไหนแล้วไม่รู้ ได้แต่มองไปรอบๆอย่างไม่เข้าใจ มันเบลอไปหมด มองอะไรก็ไม่ชัดเจน...จนกระทั่งเห็นร่างๆนึงที่แสนคุ้นเคย และแสนคะนึงหา

ผมลุกขึ้น โผเข้าไปกอดด้วยรอยยิ้มของความยินดี

     แต่แล้วอ้อมกอดนั้นก็ว่างเปล่า มีแต่ความเย็นเยียบหนาวเหน็บ ไร้ซึ่งความอบอุ่น ไม่มีอ้อมแขนที่คอยกอดผม ไม่มีความอบอุ่น มือหนาคอยแต่จะผลักไสผมออกไปให้ไกล

‘คุณหลอกผม ทั้งที่ผมเชื่อใจ ไว้ใจแล้วก็รักขนาดนี้แท้ๆ แต่คุณก็ยังเลือกที่จะเหยียบย่ำหัวใจผม’คำพูดเย็นเยียบราวกับมีดแหลมแทงเข้ามาในใจช้าๆ ก่อนที่ร่างนั้นจะเดินจากไป โดยทิ้งผมไว้เบื้องหลัง

‘อาร์ม ฟังผมก่อน!อย่าเพิ่งไป อาร์มอย่าไป กลับมาหาผม!กลับมาก่อน!...ขอร้อง....ขอร้องล่ะ...’เหมือนไขว่คว้าอากาศ เรียกร้อง อ้อนวอนยังไงก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีทางที่อะไรๆจะห้วนกลับมา ได้แต่ทรุดลงนั่งน้ำตาไหลพราก ร้องเรียกซ้ำไปซ้ำมา

เหลือเพียงแค่สายตาเย็นชา เสียดแทง กับหัวใจที่แตกสลาย ไม่เหลือชิ้นดีของผมทิ้งเอาไว้เท่านั้น








     เฮือก!

     ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา ตาเบิกกว้าง เหงื่อผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ร่างกายเย็นเฉียบ เย็นจนหนาวสั่น แต่พอมองไปรอบๆ ที่นี่ก็คือห้องผมเหมือนเดิม ไม่ใช่ที่อื่น

    ตึ้ด  ตึ้ด  ตึ้ด

     เสียงนาฬิกาปลุกยังดังต่อเนื่อง ผมเอื้อมไปปิด แล้วก็ลุกขึ้นนั่งสงบสติอารมณ์กับความฝันนั่น ฝันร้ายที่สุดในรอบปี แม้ฝันนั้นจะเป็นเรื่องจริง แม้ไม่รู้ว่าป่านนี้อาร์มจะเป็นยังไง จะคิดยังไงกับผม แต่ที่แน่ๆคือ เขาต้องโกรธ....อาจจะเกลียดที่โดนผมหลอกทั้งที่เชื่อใจ รักมากขนาดนั้นก็ได้

เหนื่อยเป็นบ้า ทั้งเหนื่อยกาย ทั้งเหนื่อยใจ จนไม่อยากทำอะไร

     ก็คิดอยากจะอยู่บ้านทั้งวัน แต่มีนัดคุยเรื่องค่าตอบแทนการทำงานครั้งนี้กับผู้ว่าจ้างตอนเที่ยง เลยทำอะไรไม่ได้ นอกจากกินข้าวเช้า แล้วก็นอนอ่านหนังสือเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านไปพลาง

     จนใกล้ถึงเวลานัดผมก็เตรียมตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ขับรถไปยังจุดนัดหมาย ไม่มีแก่ใจจะคุย แต่งานก็คืองาน ปฏิเสธไม่ได้ ขับรอออกมาได้ไม่ไกลนัก พอถึงสถานที่นัดพบแล้วผมก็หาที่จอดรถ เดินลงมาตามหาคนที่นัดผมมาคุย

     หากแต่ พอมองไปที่ลานน้ำพุแล้ว เห็นคนรูปร่างสูงหนา หน้าตาดูคุ้นเคยก็ต้องชะงัก....แต่เมื่อมองดีๆแล้วมันก็ไม่ใช่ ก็แค่คนหน้าคล้าย ไม่ใช่ไอ้อาร์ม ไม่มีทาง... อย่างไรก็ไม่แปลกอะไร ในเมื่อ คนที่ผมว่าเป็นน้องของอาร์ม บริษัทผู้ว่าจ้างที่ให้ผมมาล้วงความลับบริษัทพี่ชายตัวเอง!

“ขอโทษนะครับ คุณ...วรินทร์ธร ใช่ไหมครับ?”ผมเข้าไปทักก่อนอันดับแรก เท่าที่จำได้ ก็คือคนนี้ไม่ผิดแน่....น้องชายที่หน้าละม้ายคล้ายคลึงกับพี่ชาย หากแต่ใบหน้านั้นแสนเรียบเฉย เคร่งขรึม ดวงตาภายใต้เลนส์แว่นกรอบสี่เหลี่ยมไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

“ครับ....คุณคงเป็นคนที่ทำงานให้ผมใช่ไหม?”ฝ่ายนั้นยิ้มตอบกลับมา อย่างไรก็ไม่มีทางเหมือนรอยยิ้มอบอุ่นของอาร์ม นี่เป็นแค่รอยยิ้มทางธุรกิจ ไม่มีความจริงใจสักนิด

“ใช่ครับ ยินดีที่ได้พบคุณนะครับ”ยิ้มกลับไปด้วยรอยยิ้มทางการค้าเหมือนกัน สะบัดอารมณ์เศร้าหมอง สะบัดความรู้สึกหดหู่ทิ้งไปให้หมด แล้วก็เผชิญหน้ากับความจริงที่อยู่ตรงหน้า

“เช่นกันครับ....อืม ไปหาร้านอาหาร แล้วก็นั่งคุยกันเถอะครับ”ดวงตาคมกวาดสายตาไปรอบๆ ย่านร้านค้าหรูหรา ก่อนจะเดินนำทางไป

“ครับ”ตอบรับแล้วผมก็เดินตามชายตรงหน้าไป เดินอยู่สักพัก เขาก็เลี้ยวเข้าร้านอาหารฝรั่งเศสร้านนึง บรรยากาศโรแมนติก เงียบสงบ มีเชิงเทียนคั่นกลาง ดูจะเหมาะกับการพาคู่รักมาทานอาหารด้วยกันมากกว่า

“สั่งได้เต็มที่เลยนะครับ มื้อนี้ผมเลี้ยง ถือว่าตอบแทนที่ทำงานให้ผมสำเร็จได้”

“ขอบคุณครับ”ขี้เกียจพูดอะไรมาก เลยก้มอ่านเมนูแล้วก็สั่งไปแค่อย่างสองอย่าง พอให้กินหมด แล้วก็ฟังน้องชายของอาร์มสั่งอาหารบ้าง.... แม้แต่รสนิยมการกินยังไม่เหมือนกันเลย

อยู่ดีๆก็คิดถึงอาหารฝีมืออาร์มขึ้นมา รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีสิทธิ์ แต่ก็ยังคิดอยู่นั่น

“เรื่องค่าตอบแทน รายละเอียดอยู่ในนี้ครับ เชิญเปิดอ่านได้เลย มีส่วนไหนที่ไม่เข้าใจ หรืออยากจะทักท้วงก็บอกได้ครับ”เขาล้วงซองจดหมายออกมาจากชุดสูท แล้วก็ยื่นให้ผม

“ครับ”ผมรับไปเปิดอ่านอย่างละเอียด อ่านทวนจนมั่นใจว่าเป็นไปตามข้อตกลงที่ให้ไว้ในตอนแรก ผมก็พับเก็บใส่ไว้ใต้เสื้อสูท

“คุณว่าพี่ชายผมดูไร้เดียงสาดีไหม?”อยู่ๆเขาก็ถามคำถามแปลกๆที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับงานออกมา แต่ก็เป็นคำถามเกี่ยวกับคนที่ทำให้ผมรู้สึกผิดจนถึงตอนนี้

“ก็....คิดว่าอย่างนั้นครับ”บริสุทธิ์ แสนดี อ่อนโยนจนเหมือนเทพบุตร นั่นล่ะคืออาร์ม

“นั่นสิครับ เป็นพวกมองโลก มองทุกอย่างสวยงามไปหมด แสนดีเกินไปจนไม่เคยระแคะระคายสงสัยผมเลยสักนิด กระทั่งตอนที่ผมเคยแย่งคนรักของพี่ ...ก็ไม่เลย ไม่เคยโกรธผมเลย เป็นไงล่ะ เป็นพี่ชายที่ดีใช่ไหมล่ะ?”อีกฝ่ายพูดออกมาเหมือนพูดเรื่องลมฟ้าอากาศ ไม่มีท่าทีสำนึกผิดเลย ซ้ำใบหน้ายังประดับรอยยิ้มราวกับมีความสุขนักหนา

“คุณทำแบบนี้เพื่ออะไร?”ก็พอจะรู้คำตอบ แต่ก็อดถามไปไม่ได้....นึกแล้วก็โมโหแทนอาร์ม แม้จะไม่มีสิทธิ์จะไปโมโหอะไร ทั้งที่เป็นพี่น้องกัน แต่ทำกันถึงขนาดนี้ มันน่าอภัยให้ที่ไหนกัน

“ถามอะไรแปลกๆน่ะครับ คำตอบก็น่าจะรู้อยู่นี่ครับ....ผลประโยชน์ การแย่งชิง....ทุกๆอย่างของพี่ผมจะเอามาให้หมด แย่งชิงมาทีละอย่าง จนสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย....น่าสนุกดีไหมล่ะ?”รอยยิ้มบนใบหน้าตอนนี้ดูน่าขยะแขยงจนไม่อยากจะมองตรงๆ เสียงพูดเจือเสียงหัวเราะนั่นก็น่ารังเกียจสิ้นดี

     ผู้ว่าจ้างให้บริษัทของลุงทำงานให้ ส่วนใหญ่แล้วก็มีแต่คนที่มีตัวตนบิดเบี้ยวแบบนี้กันทั้งนั้น ทำเพื่อตัวเอง แต่มันก็คือความจริง มันคือตัวตนที่มีอยู่ในมนุษย์ ความสกปรกโสมมมันคือตัวตนที่ผมเคยเจอมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

อาหารถูกนำมาเสิร์ฟ แต่ผมไม่อยากแตะสักอย่าง แค่เห็นคนตรงหน้าก็กินไม่ลงแล้ว

“แล้วก็ชอบมีคนเอาผมไปเปรียบเทียบกับพี่ชายว่าเหมือนอย่างนั้น เหมือนอย่างนี้.....พี่ชายที่แสนดีจนน่าสะอิดสะเอียน....อยากจะขย้อนออกมาให้ได้เลยล่ะ”เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม

“......คุณมากกว่า” ที่น่าสะอิดสะเอียน... ผมเบือนหน้าหนีพูดแผ่วเบาเหมือนพูดกับตัวเอง

“หือ อะไรนะครับ?”

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”ผมยิ้มตอบ ยกไวน์ขึ้นมาจิบบ้าง มือนึงถือแก้วไวน์ทั้งที่อีกมือก็กำแน่น จิกตัวเอง อดทนแทบแย่ไม่ให้ต่อยใบหน้าที่คล้ายคลึงกับคนที่รักให้คว่ำไปเลย

“จะด่าจะว่าอะไรผมก็ได้นะครับ เพราะยังไงนั่นก็คือตัวผม....เอาล่ะ คุยกันเยอะแล้ว ทานข้าวกันดีกว่า”คนตรงหน้าไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับสายตาที่ผมมองเขา ซ้ำยังกินอาหารโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

“......”ผมยังนิ่ง เพราะรู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมาดื้อๆ ถึงอาหารจะดูน่าทานยังไง แต่กระเพาะอาหารก็ไม่ทำงานแล้ว

“ไม่ทานเหรอครับ ร้านนี้อร่อยนะครับ”

“รู้สึกไม่อยากทานขึ้นมากะทันหันน่ะครับ.... สงสัยคลื่นไส้ ก็เลยไม่อยากอาหาร ขอโทษด้วยนะครับ”แอบพูดจิกเล็กๆไม่สนหน้าอินทร์ หน้าพราหมณ์แล้ววินาทีนี้

“ไม่สบายงั้นเหรอครับ....แย่จัง”คำพูดเหมือนไม่สนใจอะไร แต่หน้าตามันบ่งบอกว่ารู้ว่าผมต้องการสื่ออะไร แต่ก็ยังยิ้มออกมา คนแบบนี้น่ากลัว เก็บอารมณ์เก่ง คาดเดาไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่

“ครับ แต่ถ้านิดหน่อยก็พอทานได้ครับ”ผมลงมือทานไปนิดๆหน่อยๆ พอเป็นพิธี

“งั้นก็ดีครับ ถ้ายังรู้สึกไม่ดี ผมจะให้คนหายามาให้....หรือจะกลับไปพักผ่อนเลยผมก็ไม่ว่านะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณสำหรับความหวังดี”ความหวังดีจากคนๆนี้ผมไม่ต้องการ แต่ผมก็จะพยายามไม่แสดงท่าทีต่อต้านออกไปให้เสียงาน

     แล้วผมก็กินข้าวเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ถือเป็นมื้ออาหารที่อึดอัดที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย รอจนอีกฝ่ายกินเสร็จ จ่ายเงินเรียบร้อย แล้วก็พากันออกมาจากร้าน

“วันนี้ขอบคุณมากครับ คุณวรินทร์ธร”ผมกล่าวลาทันที เพราะไม่อยากอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ ผมกลัวจะอดทนไม่ไหว ทำอะไรรุนแรงลงไป

“เรียกผมว่า อาร์ท ก็ได้”หน้าตาคล้าย ชื่อก็ยังคล้ายกัน แต่อย่างอื่นนี่คนละเรื่องกันเลย โดยเฉพาะนิสัย...ไม่สิ เรียกให้ชัดๆกว่าก็คือสันดานนี่น่ะ

“ไม่เป็นไรครับ....แล้วถ้า ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวลาตรงนี้เลยนะครับ”ผมไม่อยากเรียก ไม่อยากสนิทด้วย และอยากกลับเต็มที่ แต่พอจะหมุนตัวเดินไปกลับถูกรั้งเอาไว้

     หมับ!

     อ้อมแขนแกร่งที่เข้ามาล็อกตัวผมเอาไว้ ทำให้ผมต้องตอบโต้ด้วยการขัดขืนกลับไปในทันที ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด แต่ประมาทเกินไป เพราะแขนนั่นอย่างกับกรงเหล็กรัดแน่นจนผมขยับไม่ได้

“คุณจะทำอะไร ปล่อยผมเดี๋ยวนี้!”เมื่อไม่ได้ทำอะไรนอกจากอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน ผมก็ได้แต่โวยวายออกไป

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย....ก็แค่กอดคุณเอาไว้”ล็อกตัวกูแน่นจนกระดิกไม่ได้แบบนี้ บ้านมึงเรียกกอดเหรอสัด!?

“แล้วจะมากอดผมทำไมล่ะ?”ในเมื่อยังไม่ปล่อยสักที ผมก็ชวนคุย ถามอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพื่อรอจังหวะก่อน

“ผมแค่สงสัย....อยากรู้ว่าคนที่พี่ผมชอบมาตั้งนาน เป็นคนยังไง....แล้วถ้าผมได้มา พี่จะทำหน้าแบบไหน ....รู้ไหมครับ ที่ผมเลือกคุณมา ก็เพราะคุณเป็นคนที่พี่ชอบ อยากให้คุณเข้าไปทำให้เขารัก รักให้มากจนหลง ให้เข้าใจว่าคุณจะไปอยู่ข้างๆเขาตลอด ให้เชื่อใจ....หลังจากนั้นก็ให้คุณหลอกลวงหักหลังเขา แบบนั้นคงทำให้รู้สึกเจ็บปวด ทรมานดี แล้วถ้าผมแย่งคุณมาแบบนี้ เขาคงเสียสติจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยล่ะ ตลกเป็นบ้าเลย”

คำพูดที่กรอกข้างหู ฟังอย่างไรก็น่าขยะแขยง สกปรกที่สุด

“เสียใจด้วย เขาก็แค่เคยรัก โดยเฉพาะเมื่อผมหักหลังเขามาแบบนี้แล้ว เขาก็คงจะสาปแช่งผมอยู่นั่นแหละ ต่อให้ผมมาอยู่กับคุณ ก็คงไม่มีอะไรมาก นอกจากจะสาปส่งให้ผมไปตายซะไกลๆก็เท่านั้น”พูดไปก็อดสั่นไม่ได้ ยังไงเขาก็คงจะเกลียดผมอยู่แล้ว

     ฟุ่บ!

     ผมอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ ดึงแขนมันออกห่าง แล้วก็โถมตัวลงไปสุดแรง จนหลุดออกมาได้ แล้วผมก็เดินออกมาให้ห่างพอที่จะวางใจว่าปลอดภัยได้

“ขอตัวครับ”แล้วก็ไม่ต้องเจอกันอีกตลอดชาติ ไม่รู้ว่าเพราะผมทำตาขวางใส่หรือไง ไอ้เวรนั่นถึงยิ้มขำเหมือนถูกใจนักหนา แต่ผมไม่สนใจมันแล้ว

     ก้าวฉับๆออกไปด้วยแรงอารมณ์ เปิดประตูเข้ารถไปก็สำรวจไปด้วยว่ามีสิ่งแปลกปลอมหรือเปล่า โดยไม่ลืมสังเกตตัวเองด้วยว่ามีอะไรจากมันติดมาด้วยหรือเปล่าตอนโดนล็อกตัว  สำรวจจนรู้ว่าไม่มีอะไรผิดปกติผมก็สตาร์ทรถ ขับออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ไม่อยากจะข้องแวะอะไรกับมันอีกแล้ว

     ทั้งๆที่อาร์มก็ออกจะดีขนาดนั้น แต่ทำไมน้องชายถึงได้แตกต่างเหมือนไม่ใช่พี่น้องกันขนาดนี้ ต่อให้หน้าหรือชื่อคล้ายกันแค่ไหน แต่จะนิสัย หรือกระทั่งจิตใจก็ไม่เหมือนกันเลยสักนิด ไม่เหมือนกันเลย...

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =


คุณน้องชายปรากฏตัวววว มาซะดึกเลยรอบนี้=_= รออ่านตอนต่อไปกันนะตัวเอง อย่าปล่อยให้เค้าเปลี่ยว(?)T3T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 21:04:22 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่15 12/9/15
«ตอบ #22 เมื่อ12-09-2015 15:15:58 »

บทที่ 15


     หลังจากวันที่ผมเกือบจะต่อยไอ้คุณวรินทร์ธรและวันที่จบทุกสิ่งทุกอย่างด้วยมือของตัวเองแล้ว ก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว แต่ทั้งที่อย่างนั้นผมกลับยังทำตัวซึมกะทือเหมือนเดิม ไม่หายสักที มันยังเจ็บอยู่ แม้จะชาๆไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่หายสนิทสักที ผมไม่เคยเศร้า ไม่เคยปวดใจ ทรมานนานเท่านี้มาก่อนเลย

     ผมงดรับงานทุกอย่าง เพราะสภาพจิตใจยังไม่พร้อมไปเผชิญหน้ากับอะไรหลายๆอย่าง ทำได้เพียงนอนรักษาแผลใจ บางทีก็มีไนซ์พาผมไปทำโน่นทำนี่เพื่อให้ผมร่าเริงขึ้นมาบ้าง มันก็ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้จริงๆ แต่ก็แค่แป๊บเดียมผมก็กลับมาซึมเศร้าเหมือนเดิม

เหมือนว่าแม้กระทั่งวิญญาณของผมก็ให้กับอาร์มไปพร้อมกับหัวใจแล้ว

     ก๊อก  ก๊อก

“ฮัลโหล นี่ไนซ์เองยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมพี่พอร์ช?”ประโยคกวนอารมณ์ราวกับต้องการให้ผมอารมณ์ดี มีแรงจะเถียงกับมันเหมือนทุกที

“ยังอยู่ จะเข้ามาก็ได้นะ”ผมบอกไป เพราะอยู่กับตัวเองจนพอใจแล้ว ไม่อยากให้มันห่วงผมมากด้วย

“อ่ะนี่...มาการองเพิ่งหัดทำ ออกมาไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่อร่อยนะ ชอบกินใช่ไหมล่ะ? เอามาให้”ไนซ์มาพร้อมจานขนมทรงกลมอันเล็กแต่หลากสีสัน รูปร่างมันก็ไม่ได้สวยเหมือนที่วางขายตามร้าน แต่ก็เห็นถึงความพยายามทำออกมาของมัน

“ขอบใจมาก”

“อ่ะ กินหน่อย อ้าม”ไนซ์ทำท่าป้อนไปก็อ้าปากกว้างๆไปด้วย ดูตลกจนอยากถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ท่าทางอยากให้ผมกินน่าดู เลยรับขนมสีสันสวยงามเอาไว้แล้วก็ลองเคี้ยวดู

“เป็นไง? อร่อยไหม?”

“อืม...อร่อย”ผมยิ้มรับ รสหวานหวานซาบซ่านในปากทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง... พักนี้ที่บ้านผมมีแต่คนทำโน่นทำนี่มาให้กิน รสชาติอาหารทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความใส่ใจและห่วงใย

“ใช่ไหมล่ะ อุตส่าห์ตั้งใจทำสุดฝีมือเลยนะนี่ ....เผื่อว่าคนกินจะร่าเริงขึ้นมาบ้าง”ไนซ์พูดบอกว่าเป็นห่วงนัยๆ

“ขอบใจ”

“พี่รู้ไหมทั้งไนซ์ ทั้งทุกๆคนในบ้านเขาเป็นห่วงกันนะ ไม่เคยเห็นพี่ซึมนานขนาดนี้มาก่อนเลย ถึงบางทีพี่จะแสดงออกว่าอารมณ์ดี แต่มันก็ร่าเริงได้ไม่สุดเหมือนทุกที พวกป้าแจ่มเองก็พยายามคิดหาวิธีการแทบตายให้พี่กลับมาร่าเริงนะ รวมทั้งหนู แล้วก็พ่อกับแม่ด้วย....อยากให้พี่หายเศร้าเร็วๆ”ไนซ์กุมมือผม เอ่ยอย่างห่วงใย ผมไม่นึกว่าทุกคนจะเป็นห่วงผมมากถึงขนาดนี้เลย ทำให้พวกเขาลำบากอีกแล้ว

“ขอโทษ...แต่มันก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ถึงจะตัดใจได้สักที”

“พี่พร้อมจะเล่าให้ฟังหรือยังล่ะ?”ไนซ์ถามเหมือนทุกครั้ง รออย่างใจเย็นจนกว่าผมจะพร้อมเล่าให้ฟัง

“อืม....เรื่องมันก็มาจากงานคราวที่แล้วอย่างที่ไนซ์คิดนั่นแหละ... ถูกแล้ว พี่เผลอไปรักประธานบริษัทคนนั้นไปแล้ว ทำยังไงก็ห้ามตัวเองไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าต้องมาทำงานล้วงความลับ แต่ก็ยังเห็นแก่ตัว อยากจะยึดเขาเอาไว้กับตัวเอง ใช้เวลาสั้นๆทำตามใจ ....แต่งานมันก็ต้องทำ พอได้ข้อมูลมาก็เลยส่งไปให้ผู้ว่าจ้างเลย แล้วก็จบทุกอย่าง จะได้ไม่ต้องถลำลึกจนถอนตัวออกมาไม่ได้อีก”

“แต่ทั้งที่คิดว่ามันควรจะจบลงแล้ว แต่ตัวเองกลับไม่อยากให้มันจบ เอาแต่ยึดติดกับมัน พยายามจะตัดใจ พยายามถอยออกมาก็ทำไม่ได้สักที ไม่เคยรู้สึกปวดใจ เจ็บเท่านี้มาก่อนเลย ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดี”ผมกุมอกที่ยังเจ็บแปล๊บทุกครั้งที่นึกถึงหน้าคนที่ได้หัวใจผมไป

“พี่... ไนซ์ก็แนะนำอะไรไม่ได้มากนะ แต่ มันก็มีแต่ต้องพยายามทำใจให้ได้ เอาตัวเองออกมาจากตรงนั้นให้ได้ อาจจะใช้เวลานานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่มันต้องมีสักวัน พี่พอร์ชจะกลับมาเหมือนเดิม ...พี่ของไนซ์เป็นคนเข้มแข็งนะ ไนซ์เชื่อว่าต้องทำได้....ไนซ์อยู่ข้างๆพี่ตรงนี้เสมอ”

“ไม่เป็นไรแล้ว อาร์มก็อยู่นี่ไง....ไม่ได้เป็นอะไร จับมือพอร์ชอยู่เห็นไหม? ยังมีชีวิตอยู่ ยังอยู่ข้างๆตรงนี้...”ประโยคนั้นเหมือนซ้อนทับกับคำพูดของใครสักคน อ่อนโยน นุ่มนวลบอกว่ายังอยู่ข้างๆผม แต่มันก็เป็นไปไม่ได้

     แปะ...

น้ำตาร่วงหล่นอีกครั้ง ไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองกลายเป็นคนอ่อนแอ เจ้าน้ำตาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“พี่ไม่เป็นไรนะ ไนซ์ให้ยืมไหล่ให้พี่ร้องออกมา ระบายออกมา พอน้ำตาหยุดไหล พี่ต้องกลับมา เดินออกมาจากตรงนั้นให้ได้”ผมซบลงไปที่ไหล่เล็กๆของไนซ์ มันไม่ได้กว้างมาก แต่ก็เป็นที่พักพิงให้ได้ มือของไนซ์ลูบเบาๆที่แผ่นหลังผม ปลอบประโลมให้อาการเจ็บปวดทุเลาลง

ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกไปเงียบๆ โดยมีเสียงคอยพูด คอยบอกของไนซ์อยู่ข้างๆหู

“พี่ชายของไนซ์เป็นคนเก่ง ไนซ์ยกให้พี่เป็นฮีโร่มาตั้งแต่เด็กๆ คอยทำตาม คอยเดินตาม พี่ปกป้องไนซ์ พี่สอนไนซ์ คอยปลอบเวลาร้องไห้ ซับน้ำตาให้ คอยหาอะไรมาให้ตลอด ทำทุกอย่างให้...ไนซ์ก็จะทำในสิ่งที่พี่ทำให้ไนซ์ พี่ของไนซ์เคยบอกให้เป็นคนเข้มแข็ง ลุกขึ้นให้ได้ไม่ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหน....คำๆนี้ไนซ์ก็จะบอกพี่กลับไป”มือนุ่มๆเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาเปื้อนใบหน้าไปหมด จนน้ำตาผมเริ่มแห้ง แล้วก็สงบจิตใจได้แล้ว

“ขอบใจมาก”ผมผละออกมา แม้น้ำตาจะยังไม่แห้งดี แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมาก โล่งกว่าเดิมนิดหน่อย

“พี่โอเคนะ”

“อืม แต่คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย คงจะพอทำใจได้”

“งั้นก็ดีแล้ว...อ่ะ กินน้ำหน่อยจะได้สดชื่น”ไนซ์เอาแก้วน้ำที่ใส่น้ำแข็งเอาไว้จนเริ่มละลายมาให้ ผมรับไปดื่ม น้ำยังคงเย็นอยู่ ถึงไม่มีรสชาติอะไร แต่ก็ทำให้สดชื่นขึ้นมามาก

“ล้างหน้าด้วยก็ดีนะ ไนซ์เห็นหน้าพี่โทรมๆทีไรตกใจทุกที”เจ้าตัวพูดติดตลกแล้วก็ลากผมไปล้างหน้าล้างตา

     ซ่า

ผมเอามือรองน้ำแล้วก็วักขึ้นมาล้างหน้า ล้างคราบน้ำตา ล้างทุกอย่างออกไป จนรู้สึกว่าเบามากขึ้น สบายมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ

“โอเค ตอนเย็นนี้ก็กินข้าวเยอะๆล่ะ พี่ผอมจะแย่แล้วไนซ์กลัวว่าเดินๆแล้วจะเป็นลมล้มหัวแตกเอา”ไนซ์ทำหน้าที่เอาผ้าขนหนูซับใบหน้าให้อย่างดี ดูแลทุกอย่างตั้งแต่พามาล้างหน้า ยันพากลับไปยังที่นอนที่เดิม

“โล่งขึ้นแล้วนะ มีอะไรอยากทำไหม?”

“ไปข้างนอกด้วยกันหน่อย”ไปทำอารมณ์ให้ว่าง ไปสูดอากาศข้างนอก จะได้เลิกซึมกะทือสักที

“แล้ว อยากไปไหนล่ะ?”

“สวนสาธาณระที่ไหนก็ได้ โล่งๆ อากาศดีๆ”ตอนนี้อยากไปสูดอากาศดีๆ อยากสัมผัสต้นไม้ใบหญ้าให้สบาย แล้วก็คงทำให้รู้สึกสงบไปด้วย

“โอเค งั้นไปอาบน้ำแต่งตัว”ไนซ์บอกแล้วก็ไปเปิดตู้เสื้อผ้าผม....ปกติแล้ว ผมไม่ค่อยซื้อเสื้อผ้าหรอก มีแต่ไนซ์นี่แหละที่คอยซื้อคอยหามาให้ ทุกครั้งที่ไปไหนแล้วเห็นอะไรที่ถูกใจไนซ์ก็จะซื้อมาฝากทุกคนในบ้าน เหมือนกับผมนี่แหละ แล้วไนซ์ก็ชอบเรื่องการแต่งตัวมาก เลยทำตัวเหมือนเป็นสไตล์ลิสประจำตัวผม

“ไม่เอาเสื้อหนาๆ ใส่หลายชั้นนะ”

“ไนซ์ไม่ทรมานให้พี่ใส่เสื้อหนาๆ ไปเผชิญสภาพอากาศเมืองไทยหรอกน่า....อ่ะ สองตัวนี้ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วว่าโอเค”เสื้อที่ไนซ์เลือกมาไม่มีอะไร เป็นเสื้อยืดคอวี สีเขียวมะนาวอ่อนๆ มีลายสกรีนแนวๆ กับกางเกงขายาวสีขาวที่ถูกพับขึ้นมาจนยาวแค่เข่าเท่านั้น

“ขอบใจ”

“งั้นก็ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวไนซ์จะไปอาบน้ำแต่งตัวด้วย”ไนซ์บอกพร้อมพาผมไปที่ห้องน้ำ ส่วนตัวเองก็เดินกลับห้องไป

ผมก้าวไปอาบน้ำให้สบายตัวด้วยความรู้สึกใหม่ๆ รู้สึกว่าจะมามัวจมปลักอยู่แบบนี้ไม่ได้






     โดนไนซ์จับแต่งตัว ทำผมเซ็ตโน่นเซ็ตนี่จนเป็นที่พอใจแล้วก็พาผมลงมาข้างล่าง ส่วนเจ้าตัวเองก็ใส่แค่ชุดเดรสแขนสั้นออกจะพองๆดูเบาสบายหน่อย ตามแต่อารมณ์คนใส่ในวันนั้นๆ

“อ้าว แต่งตัวจะออกไปไหนกันเนี่ย?”น้าที่เห็นพวกผมใส่ชุดออกไปข้างนอกกันก็ร้องทัก ท่าทางแปลกใจที่เห็นผมออกมาด้วย

“พี่พอร์ชบอกว่าอยากออกไปข้างนอก ไปเดินเล่นไปเที่ยวกันค่ะ แม่จะไปด้วยไหมคะ?”ไนซ์เข้าไปกอดแขนเอ่ยปากชวนน้า

“ไม่ล่ะ ไปเที่ยวกันให้สนุกเถอะ วันนี้แม่อยากพักผ่อนอยู่บ้านเฉยๆ....ดูแลกันให้ดีๆ อย่าพากันไปหัวร้างข้างแตกก็พอ”น้าเข้ามากอดทั้งผมทั้งไนซ์ ตบหลังเบาๆเป็นการอวยพร

“ค่า งั้นไปแล้วนะคะ”ผมกับไนซ์ยกมือไหว้คนที่เหมือนเป็นแม่ของผม ดูแลผมเหมือนลูกแท้ๆ ก่อนที่พวกเราจะเดินไปขึ้นรถกัน รอบนี้เป็นรถคันเล็กของไนซ์โดยมีตัวเจ้าของซึ่งก็คือตัวน้องผมเป็นคนขับด้วยเหตุผลว่าอยากให้ผมพักผ่อน บวกกับอยากขับรถเล่นด้วย

“แล้วนี่หิ้วเอาอะไรมาเยอะแยะเนี่ย”ผมถามขึ้นมาหลังจากที่อยากจะถามมานาน แต่ยังไม่มีจังหวะจะถามสักที เห็นหิ้วกระเป๋าสะพายมาใบใหญ่แถมยังใส่อะไรมาอัดแน่นเต็มไปหมด

“ของจำเป็น....พวกร่มนี่ขาดไม่ได้ สภาพอากาศบ้านเรานี่เชื่อถืออะไรไม่ได้เลย อยู่ๆฝนอยากตกก็ตก เดี๋ยวแดดก็เปรี้ยง เดี๋ยวอะไรจากไหนก็ไม่รู้ตกใส่หัว บางทียืนใต้ต้นไม้ยังมีนกขี้ใส่หัวอีก”ริมฝีปากเล็กๆทำหน้าที่บ่นไปตามประสา ขณะที่มือก็ทำหน้าที่ควบคุมรถไปด้วย

“แล้วอย่างอื่น?”

“ก็มีกระเป๋าตังค์ แบตสำรอง หูฟัง ผ้าเช็ดหน้า ผ้าคลุมไหล่ มีแป้งพัฟด้วย ลิปกลอส...แล้วก็ขวดน้ำ เอ้อ มีช็อกโกแลตติดกระเป๋าอยู่ด้วย ทิ้งเอาไว้ลืมเอาออก.....ก็มีประมาณนี้”ไนซ์ลิสต์รายชื่อของใช้จำเป็นออกมายาวเป็นประโยค

“อ่ะเหรอ”ส่วนตัวผมเองมีแค่กระเป๋าสตางค์กับมือถือแค่นั้นผมก็อยู่ได้แล้ว ไม่นิยมพกกระเป๋าอะไรกับเขาเท่าไหร่

“แต่ก็ดีแล้วนะ”รถยังเคลื่อนไปเรื่อยๆ ผ่านตึกรามบ้านช่อง แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะพาผมไปที่ไหน

“อะไรคือดีแล้ว?”

“หมายถึง พี่เริ่มถามเริ่มคุยกับไนซ์แบบนี้ ก็แสดงว่าพี่คงจะรู้สึกว่าดีขึ้นมากแล้ว...ใช่ไหมล่ะ?”

“อืม”ผมไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้นอกจากตอบรับ เป็นอย่างที่ไนซ์พูดคือผมไม่จมอยู่กับตัวเอง ไม่ได้ย่ำเท้าอยู่บนความเศร้า...และกำลังจะเดินออกมาจากจุดนั้น

     ไม่นานเราก็มาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ไม่มีตึกสูงๆสิ่งก่อสร้างอะไรมากนัก ดูเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง ต้นไม้สูงที่หาดูได้ยาก เขียวขจีไปหมด ดอกไม้บานสะพรั่ง คนก็ไม่ค่อยพลุกพล่าน แบบที่ผมต้องการเลย เคยนึกอยากจะมาสวนแบบนี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ลงมือหาข้อมูลอย่างจริงจังสักที

“เป็นไงล่ะ อึ้งไปเลยล่ะสิ ชอบใช่ไหมล่ะ?”ไนซ์กอดอกยิ้มถามด้วยท่าทางภาคภูมิใจสุดๆ

“อืม...ชอบ ไปหามาได้ยังไงเนี่ย?”ผมมองสวนตรงหน้าไม่ละสายตา ผมชอบมากจริงๆ แค่ได้สูดอากาศก็รู้สึกว่าโล่งขึ้นมากจริงๆ

“หาข้อมูลจากในเน็ตนี่แหละ แล้วก็ถามเพื่อนมาด้วย จริงๆก็อยากจะชวนมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสสักที”

“ขอบใจ”ผมรู้สึกอยากขอบคุณน้องสาวคนนี้สักหลายๆครั้ง ไม่ใช่แค่เรื่องที่พามาแต่รวมถึงเรื่องที่คอยดูแลผมด้วย ไนซ์ที่ปกติจะคอยทำอะไรปั่นหัวผมอยู่เรื่อย แต่บทจะดีก็ดีมากจริงๆ

“พอแล้ว ไนซ์ฟังพี่ขอบคุณจนจะรับไม่ไหวแล้ว เลิกคิดมาก แล้วไปเดินเล่นกันเถอะ.....แล้วก็ นี่ ดูสิ เอากล้องมาด้วย ถ่ายรูปกันเยอะๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึก”ไนซ์เปิดกระเป๋าเอากล้องตัวโปรดสีชมพูหวานออกมา ก่อนจะเดินนำเข้าไปในสวนสวย

     แชะ...

     แล้วผมก็ถูกประเดิมถ่ายเป็นรูปแรกของวัน ฉากหลังเป็นต้นไม้เขียวชอุ่ม ขณะที่ท้องฟ้าแจ่มใส สีฟ้าสวยให้ความรู้สึกสดชื่นไม่น้อย

“ถ่ายเหมือนเดิมนะ”ไนซ์ยื่นกล่องให้ผม ก่อนที่ผมจะกดแชะเข้าพอดีกับตอนที่อีกฝ่ายยิ้มสดใสออกมา

     เหมือนเดิมที่ว่าคือ ผมกับไนซ์มักจะสลับกันเป็นคนถ่ายรูป และคนถูกถ่าย กติกาคือจะถ่ายตอนไหนก็ได้ที่พอใจ โดยมากก็มักเป็นรูปที่ถ่ายกันโดยไม่รู้ตัว ถ่ายเสร็จแล้วก็จะสลับมือให้อีกคนหนึ่งถ่ายแทน สลับไปมาอย่างนี้เรื่อยๆ ที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่า รูปที่ออกมาจะดูเป็นธรรมชาติ สื่ออารมณ์ได้ดีกว่า แล้วก็ดูมีเรื่องราวด้วย

“ดูนั่นสิ ดอกอะไรอ่ะ สวยเนอะ”ไนซ์ชี้ไปข้างบน เป็นดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่งเต็มต้น แต่งแต้มให้สถานที่มีสีสันน่ามอง ดูสดใสไปหมด

“อืม สวยจริงๆด้วย”ผมเดินเข้าไปใกล้แหงนมองความสวยงามที่ตาสัมผัสได้

     แชะ

“ตรงนั้นก็สวยนะ”ไนซ์บอกน้ำเสียงเริงร่า ดึงมือผมเดินไปด้วยท่าทางสนุกสนาน เหมือนตอนเด็กๆ เด็กผู้หญิงตัวน้อยที่ชอบลากผมไปนั่นไปนี่ ส่งรอยยิ้มสดใสมาให้ผมเสมอ กระทั่งตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน

     ผมไม่ได้ทำอะไรมากเพียงแค่เดินตามคนนำทางไป พากันชมความสวยงามของสถานที่ ผลัดกันถ่ายรูปบ้าง แวะพักกันบ้าง พื้นที่สีเขียวกินอาณาเขตไปพอสมควร จึงสามารถใช้เวลาทั้งวันมาเดินเล่นได้โดยไม่เบื่อ ไม่ว่าตรงไหนก็สวยแปลกตาไปหมด

“แวะพักตรงนั้นกันนะ”เสียงใสบอกพร้อมชี้ไปที่ริมน้ำใส เป็นเนินให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจกัน ผมก็แค่พยักหน้ารับพากันลงไปนั่งบนผืนหญ้านุ่มๆ สูดลมหายใจเข้าไปให้เต็มที่ ผมคนเดิมกำลังจะกลับมา

     แชะ

“ไว้มากันอีกนะ”ผมกดถ่ายรูปไนซ์ที่กำลังมองไปยังผืนน้ำใสสะอาดตรงหน้า ส่งยิ้มให้แทนคำขอบคุณที่อีกฝ่ายบอกว่ารับไปเยอะจนไม่ไหวแล้ว

“ไนซ์อ่ะมาได้อยู่แล้ว ถามตัวเองเหอะ มาให้เค้าได้หรือเปล่าล่ะ?”ไนซ์รับเอากล้องจากมือผมไปถือเอาไว้ถามหยอกล้อเหมือนทุกที

“ก็ลากให้มาด้วยกันเหมือนทุกทีสิ”ผมหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกนับจากตอนนั้น โล่งมากจริงๆตอนนี้

     แชะ

“....ถ่ายรูปจบกันเถอะเนอะ”คำพูดบอกมาพร้อมรอยยิ้ม มือเล็กรั้งตัวผมให้เข้ามานั่งใกล้ๆกัน อีกมือยกกล้องขึ้นตรงหน้า เราสองคนมองไปยังตรงหน้า เบื้องหลังกล้องสีชมพูพาสเทลคือผืนฟ้าสีส้มยามพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับไปแล้ว

     แชะ....

เมื่อสลับกันถ่ายรูปจนพอใจแล้ว เราก็จะถ่ายรูปจบกัน เป็นรูปคู่ปิดท้ายของวัน...














     กลับถึงบ้านด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น ดูมีความสุขมากขึ้นทุกคนก็มายืนต้อนรับด้วยรอยยิ้ม...ที่ดูเป็นรอยยิ้มของความยินดี ดีใจที่ผมหายเศร้าเสียที

     ผมกินข้าวได้มากกว่าทุกวันจนน้ากับลุงยังอดดีใจไม่ได้ ลูบหัวผมเหมือนตอนเด็กๆ ตอนที่ผมเพิ่งเสียแม่ไป ถ้าเป็นตอนนั้นก็คงมีคำพูดทำนองว่า‘เก่งมาก น้องพอร์ช’ออกมาชมกัน แต่ตอนนี้เพราะผมโตมากแล้วก็มีเพียงแค่มือที่คอยลูบหัวผม ด้วยความรัก ความเอ็นดู แต่แค่นั้นก็พอแล้ว ได้รับความรัก ความห่วงใยจากทุกคน จนอยากจะขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไร รอยยิ้มของคนตรงหน้าก็ทำให้พูดอะไรไม่ออก ได้รับความรักจากทุกคนผมก็มีความสุขมากแล้วจริงๆ

     ผมขึ้นห้องแล้วก็หยิบโน๊ตบุ๊คมา เสียบปลั๊ก เปิดเครื่องเอารูปภาพที่ได้มาจากกล้องย้ายมาลงเครื่อง นั่งไล่ดูรูปกับไนซ์ ได้ภาพสวยๆมาเยอะแยะเหมือนกัน

“งั้นไนซ์กลับห้องแล้วนะ”หลังจากดูรูปจนพอใจแล้ว ไนซ์ก็ลุกเดินกลับไปที่ประตูห้อง

“อืม”

“แล้วก็.....รูปข้างเตียงพี่ ไนซ์จะไม่ถามแล้วกัน เพราะคนในรูปคงเป็นคนที่สำคัญของพี่ จะเป็นคนที่ทำให้พี่ของไนซ์เศร้า ทำให้พี่ร้องไห้หรือเปล่าไม่รู้ แต่ไนซ์จะไม่บอกให้พี่ลืมเขา จะไม่บอกให้เก็บรูปนั้นไว้ในลิ้นชัก....เพราะพี่คงจะเข้มแข็งมากพอที่จะเผชิญหน้ากับมันแล้ว เก็บเค้าเอาไว้ให้เป็นความทรงจำที่ดีต่อไปเถอะ”

“....หรือพี่จะทำยังไงกับมันต่อไป ไนซ์ก็ไม่ขัด ถ้าทำให้พี่สบายใจนะ”ไนซ์มองไปที่รูปข้างเตียง เมื่อพูดสิ่งที่อยากพูดจนหมดแล้วก็ยิ้มให้ก่อนจะปิดประตูเดินกลับห้องตัวเองไป

ผมควรจะเผชิญหน้ากับมันได้แล้วสินะ

      ผมเลื่อนมือไปกดต่อเน็ตหลังจากที่ไม่ได้เปิดมาเป็นเวลานาน ก็อ่านข่าวบ้านเมืองเป็นปกติจนกระทั่งไปสะดุดกับข่าวของบริษัท....อลงกต บริษัทที่มีคนที่ผมรักเป็นประธาน

     ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก แต่ก็บอกตัวเองว่าผมพร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับความจริง....จึงคลิกเข้าไปดูรายละเอียด อ่านไปได้สักพักก็ต้องเบิกตากว้าง

มันไม่ใช่ข่าวว่าบริษัทขาดทุนย่อยยับ ถูกขโมยข้อมูลแต่อย่างใด

แต่เป็นข่าวผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่เป็นคนละตัว คนละเรื่องกับผลิตภัณฑ์ในโปรเจคที่เคยเอามาให้เลย

‘ผลิตภัณฑ์ใหม่ต้อนรับซัมเมอร์’นี่คือพาดหัวโฆษณาสินค้า ที่ทำให้ผมนึกถึงประโยคที่เจ้าของบริษัทนี้เคยพูดกับผม

‘ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ผมกะว่าจะเอามาต้อนรับซัมเมอร์นี้นี่แหละ’ที่พูดตอนนั้นมันโกหกทั้งเพ!ต้อนรับซัมเมอร์อะไรกันล่ะ!? ในเมื่อไอ้โปรเจคบ้าๆบอๆที่ยื่นมาให้ผมเนี่ยมันคนละเรื่องกับ ไอ้สินค้าที่โฆษณาอยู่ตรงหน้าผมนี่เลย แล้วผมก็ดันโง่ไปเชื่ออีก

     จะเป็นแผนสำรองออกสินค้าใหม่กันบริษัทขาดทุนก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ในระยะเวลาแค่สั้นๆแบบนี้ไม่มีทางที่จะออกสินค้าตัวใหม่ได้ กว่าจะคิด กว่าจะลงมือ ประสานงาน หรือถ้าจะเอาสินค้าตัวเก่ามาทำก็ไม่ใช่ ในเมื่อผมเคยแอบไปอ่านข้อมูลโปรเจคเก่าๆที่ไม่ได้ทำออกมาสำเร็จมาจนหมดแล้ว....

     โปรเจคตัวเก่า?.....คิดได้แล้วผมก็คลิกกลับไปดูข้อมูลที่อาร์มเคยให้ไว้แล้วบอกว่าเป็นโปรเจคใหม่ที่ว่า ก่อนจะเอาไปเทียบกับข้อมูลโปรเจคเก่าๆที่ผมแอบเอาออกมา

ไล่สายตาจนพบความคล้ายคลึงกันระหว่างข้อมูลโปรเจคเก่ากับสิ่งที่อาร์มให้มา

     ติดกับแล้ว....ติดกับแบบโง่ๆ ติดกับความเชื่อใจนั้นเต็มๆ รู้สึกตื้อเหมือนถูกทุบด้วยค้อนหนักๆ....ผมโดนหลอกมาตลอด แล้วก็เชื่อโดยไม่ทันเอะใจอะไรด้วย เสียใจเป็นเดือนๆแล้วกลับพบว่าคนที่โดนหลอกมันไม่ใช่ใครอื่นเลย


ผมได้แต่พูดอะไรไม่ออก คนที่โดนหลอก โดนวางกับดัก ไม่ใช่อาร์ม แต่เป็นผมงั้นเหรอ!?


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =


มาอัพช้าไปนิดขออภัยค่ะ แต่อะไรเป็นยังไง ใครหลอกใครกันแน่ หุหุหุ งานนี้ติดตามกันต่อไปค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 21:08:04 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่16 15/9/15
«ตอบ #23 เมื่อ15-09-2015 19:07:22 »

บทที่ 16


     รู้สึกชาไปหมด โดนย้อนแผนเข้าเต็มๆ.... วินาทีแรกผมก็ตกใจ รู้สึกชาๆ ต่อมาก็โกรธ จนเดินไปคว่ำรูปของมัน จะเก็บใส่ลิ้นชักแล้วด้วยซ้ำ แต่มาคิดอีกที มันก็สาสมแล้วนี่ ที่เขาจะทำแบบนี้ เขาควรจะรักษาผลประโยชน์ของบริษัท ก่อนจะโดนอสรพิษอย่างผมฉกไป

ผมโดนหลอกเรื่องนี้ แต่เรื่องที่บอกว่ารักล่ะ? เรื่องจริงหรือโกหก จะล้อเล่นเหยียบย่ำหัวใจผมหรือเปล่า?

     ผมมองคนในรูป แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร ได้แต่ภาวนาอยู่อย่างเดียวว่า ขอแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียวเถอะที่เป็นเรื่องจริง ไม่อย่างนั้นผมก็คงเหมือนถูกเหยียบซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแทบจะลุกไม่ขึ้น

หึ... แล้วนี่ผมยังจะไปหวังอะไรกับความรักลมๆแล้งๆ ทำตัวเหมือนคนโง่แบบนี้อีกกัน?

“ถ้าคุณรักผมจริงๆก็ดีสิ...”


รู้ว่าเป็นความคิดโง่ๆ แต่ผมก็ขอโง่ต่อไป....

     ความรักทำให้เราหน้ามืดตามัวไม่สนใจอะไร แม้สิ่งนั้นจะทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดแค่ ก็ยังเลือกที่จะรัก มันเป็นอย่างนี้จริงๆ เพราะคิดเข้าข้างตัวเองว่าความรักที่อีกฝ่ายมีให้ยังคงหลงเหลืออยู่ ต่อให้เจ็บยังไงก็ยินยอม...











     เช้าวันต่อมาผมก็ออกมาทำธุระข้างนอก... แล้วก็แวะซื้อโกโก้ให้ไนซ์ด้วย แต่ก็ต้องระวังตัวมากกว่าเดิม เพราะ มีสิทธิ์ที่ถูกบริษัทผู้ว่าจ้างตามล่าได้ ....คนทำงานผิดพลาด เอาข้อมูลผิดๆไปให้เขา คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยให้สบายใจเดินลอยนวลอยู่อย่างนี้เหรอ?

    เอี๊ยด

     รถคันสีดำเมี่ยมทั้งคันถูกจอดใกล้ๆรถมอเตอร์ไซค์ของผม วันนี้ผมเลือกขับออกมาเพื่อความคล่องตัว...คล่องตัวในการหลบหนีหากเจอสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้

“อรุณสวัสดิ์ครับ”ยังไม่ทันขาดคำคนที่ออกมาจากรถก็ทำให้ผมตื่นตัว มือเย็นเฉียบไปหมด เขาไม่มีท่าทีโกรธเคืองใดๆ ไม่แสดงออกให้รู้ว่าคิดอะไรอยู่เช่นเดิม ใบหน้ายังยิ้มราวกับเป็นคนใจเย็น ไม่คิดแค้นอะไรใคร เดาอารมณ์ยากเป็นที่สุด

“......”ผมไม่รอช้าคว้ากุญแจออกมาสตาร์ทเครื่อง

“ไม่ทานข้าวด้วยกันก่อนหรือครับ......หรือจะให้ผมรับตัวคนทำงานผิดพลาดไปทำโทษเล็กๆน้อยๆดีครับ?”คำพูดนั้นเหมือนสัญญาณให้ผมหนีทันที


     ไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น ผมรีบขึ้นคร่อมรถขับออกไปทันที โดยเร่งเครื่องสุดแรง กะจะหนีให้พ้นจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แล้วก็ต้องเบรกแทบไม่ทัน เมื่อถูกรถอีกคันดักทางเอาไว้

     เอี๊ยด!!!!!

“จะไม่คุยอะไรกันก่อนเหรอครับ?”เสียงทุ้มนุ่มที่ติดจะเยือกเย็นในวินาทีนี้ดังมาจากข้างหลัง คนในชุดสูทสีดำออกมาล้อมรอบผมเอาไว้

“ไม่”ผมเอ่ยอย่างหนักแน่นออกไป มองคนที่กำลังเข้าล้อมผมอย่างใจเย็นที่สุด

     บรืน!!!

ผมใช้เทคนิคที่ฝึกฝนมาหมุนตัวรถอย่างรวดเร็วไปอีกทางหนึ่ง แล้วก็พุ่งแหวกฝูงชนไป

     ปังๆๆ!!!

     คาดไว้ไม่ผิด อีกฝ่ายมีปืน ไม่ได้จะยิงตัวผม แต่กะจะยิงล้อรถ....ผมเลยเอาปืนพกยิงตอบโต้ไปด้วย ตรงหน้าผมยังมีรถอีกคันที่จะเข้ามาปิดล้อมทางหนีของผม แต่ก็ยังเหลือช่องว่างเล็กๆให้ผมเล็ดรอดออกไปได้ โอกาสที่จะผ่านไปได้มีแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ จะผ่านไปได้ไม่ได้ยังไงก็มีแต่ต้องลองดูเท่านั้น

     โครม!!!

     ไม่ใช่เสียงอะไร มันเป็นเสียงรถผมที่โดนชนเข้าจังๆจนเสียหลักล้มลงไป ผลที่ได้คือคนกลุ่มเดิมกรูเข้ามากระชากตัวผมขึ้นมา แต่ผมก็ขัดขืนด้วยการเตะถีบออกไป แล้วหันไปศอกคนข้างหลัง ชุลมุนกันไปหมด

     แต่ต่อให้ร่ำเรียนจนถึงระดับสูงสุดยังไง มาเจอเข้าจริงๆก็แทบแย่เหมือนกัน แต่ไหวพริบผมก็ยังมีพอให้รอดตัวมาได้....ถ้าจะควบคุมคนพวกนี้ล่ะก็

ต้องควบคุมหัวหน้ามันให้ได้!

     ไวเท่าความคิด ผมหาทางหลบออกมา แล้วก็พุ่งเข้าชาร์จตัวไอ้วรินทร์ธรคนนั้น แล้วเอาปืนจ่อหัวมันทันที ผลที่ได้คือ ทุกคนที่จะเข้ามารุมผมหยุดชะงักทันที

“อย่าขยับ ไม่งั้นหัวหน้าพวกมึงตาย”ผมสอดนิ้วไปแตะไกปืน ล็อกคอคนในแขนแน่น พูดเสียงเย็น รอดูว่าจะมีใครทำอะไรไหม

“ชิ”เสียงสบถจากหนึ่งในกลุ่มชุดดำดังลอดมา แต่ก็ไม่มีใครทำอะไร

“อา....ผมไม่จับตัวคุณแล้วก็ได้ เพราะงั้นปล่อยผมเถอะนะ”

“ไม่”ผมเดินไปลากตัวคนในอ้อมแขนไปด้วย กลุ่มคนตรงหน้าก็พากันแหวกทางให้ พอถึงที่หมายผมก็คว้ารถมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาแล้วก็ขึ้นคร่อมพร้อมปล่อยตัวคนในอ้อมแขนไป

“แก!”เมื่อเห็นผมจะขับหนีออกไปก็มีเสียงท้วงขึ้นมา

“ไม่ต้อง ปล่อยเขาไปเถอะ ตอนนี้อาจจะยังหนีได้ แต่ยังไงต่อไปเขาก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินพร้อมรอยยิ้มเย็นก่อนที่ผมจะหลบหนีออกมาได้

     ผมแล่นออกมาสู่ถนนใหญ่ แต่ก็ไม่ค่อยมีรถวิ่งเท่าไหร่ มองไปข้างหลังก็เห็นว่าไม่มีใครตามมา ก็พอจะโล่งใจไปได้เปลาะนึง แต่ก็ต้องระวังทางข้างหน้าด้วยว่ามีกับดักอะไรอีกหรือเปล่า

     ขับไปจนถึงระยะที่คิดว่าปลอดภัยได้แล้ว และห่างออกมาจากที่ตรงนั้นพอสมควรผมก็แวะเข้าร้านมินิมาร์ท ซื้อน้ำ แอลกอฮอล์ล้างแผลแล้วก็พลาสเตอร์มา ผมกระดกน้ำแก้กระหาย คลายเหนื่อยจากการหลบหนีแล้วก็ถอดแจ็กเกตออก ถกกางเกงยีนส์ขึ้นใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลที่มือที่ไถลกับพื้นขรุขระตอนผมล้มลงไป แสบจนแทบร้อง แล้วผมก็จัดการกับแผลที่อื่นๆ เข่าเลือดไหลซิบ หน้าก็แสบๆไปข้าง รอยขีดข่วนเต็มไปหมด จำนวนพลาสเตอร์ถูกใช้ไปตามจำนวนรอยแผลตามตัว

“พ่อหนุ่มแผลเต็มตัวเลย ไปโดนอะไรมาล่ะเนี่ย?”ป้าแผงขนมตาลใกล้ๆกันที่สังเกตเห็นผมยืนทำแผลอยู่นานสองนานเอ่ยทักขึ้น

“เอ่อ...รถล้มน่ะครับ แสบไปทั้งตัวเลย”ผมเกาแก้มหัวเราะเสียงแห้ง

“โธ่ ดีนะที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก มาๆกินขนมตาลแล้วก็ลืมเรื่องร้ายๆไปเถอะ”เหมือนจะขายของพิกลแฮะ...แต่เอาเป็นว่า คิดว่าป้าแกหวังดีแล้วกัน

“หนมตาลฝีมือแม่อร่อยนะคะ พี่ขา ซื้อหน่อยเถอะนะคะ”เสียงใสแจ๋วติดจะอ้อแอ้ของเด็กหญิงตัวน้อยที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นดังเรียกความสนใจ

“อ่ะครับ.... ชิ้นเดียวไม่ต้องทอนนะครับ เก็บไว้เป็นค่าขนมน้อง หรือเอาไปใช้จ่ายก็ได้ครับ”ผมยื่นแบงค์ร้อยให้คุณป้าแล้วยิ้มให้เด็กหญิงตัวน้อย เด็กก็ไร้เดียงสา บริสุทธิ์เหมือนผ้าขาวอย่างนี้แหละ

“โหย พ่อคุณ ขอบใจมาก เอ้า ยัยนิดขอบคุณพี่เขาหน่อยเร็ว”ป้าเอาขนมตาลใส่กระทงให้ผม รับเงินไปด้วยรอยยิ้มกว้างแล้วก็หันไปบอกลูกสาว

“ขอบคุณค่ะ พี่สุดหล่อ มาอุดหนุนร้านหนูบ่อยๆนะคะ”ตัวแค่นี้แต่ช่างพูดช่างเจรจา ขอบคุณเสียงอ้อแอ้ มือน้อยๆพนมขึ้นมาไหว้ ดูน่าเอ็นดูมาก... ยิ่งผมชอบเด็กผู้หญิงด้วย ความน่ารักของเด็กคนนี้ก็ทวีขึ้นมา

“ครับ ตั้งใจเรียน แล้วก็ดูแลแม่ดีๆนะครับ”ผมลูบหัวน้องด้วยอดมันเขี้ยวไม่ได้ รอยยิ้มจนเห็นฟันหลอส่งกลับมาให้ผมรู้สึกดีขึ้นมา

“โชคดีนะพ่อหนุ่ม”เสียงทักดังขึ้นตอนที่ผมกำลังจะเดินกลับไปที่รถ

     ผมยิ้มกลับไปให้ แล้วก็ทานขนมตาลสีเหลืองนวลกลิ่นหอม รสหวาน สงบจนไม่นึกว่าเมื่อกี้ผมไปเจออะไรมา....ชีวิตมันก็อย่างนี้ หวาน ขม จืดชืดสลับกันไปหลากหลายรสชาติ ถ้าผ่านช่วงที่ขมเหมือนกลืนยาพิษไปได้ อะไรๆมันก็คงดีขึ้น...ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ
 
     ผมขึ้นรถที่สตาร์ททิ้งเอาไว้ขับไหลไปตามรถที่แน่นขนัดขึ้นทุกที จนถึงบริเวณหน้าห้างแบรนด์ดัง บริเวนลานหน้าห้างมักจะมีงานมีกิจกรรมอะไรอยู่เสมอ...แต่ที่ทำให้ผมต้องหาที่จอดรถก็คือ งานที่ว่ามันเป็นงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทอลงกตที่ผมเพิ่งได้รับข่าวคราวเมื่อวาน

วนหาที่จอดรถได้แล้วผมก็แอบแทรกตัวไปในฝูงชน เพื่อดูให้ชัดๆ...อีกนัยหนึ่งก็แค่แอบหวังว่าจะได้เจอใครคนนั้นบ้าง...

“ขอเสียงปรบมือต้อนรับให้กับคุณวัชระ ประธานบริษัทอลงกตครับ”เสียงพิธีกรดึงให้ผมต้องรีบมองตาม คนที่มาพร้อมเสียงปรบมือต้อนรับเดินขึ้นมาบนเวทีในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงสแลคธรรมดา รอยยิ้มเรียบๆบนใบหน้าที่แสนคิดถึงผุดขึ้นมา

     เสียงพิธีกร เสียงคนรอบข้างพูดอะไรผมก็ฟังไม่ได้ศัพท์แล้ว เหมือนการรับรู้ของผมถูกปิดให้เหลือไว้สำหรับมันคนเดียว ได้ยินแต่เสียงมัน มองเห็นแต่มัน

     จ้องอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้ กว่าจะรู้ตัว ก็เห็นสายตาของคนบนเวทีมองลงมาข้างล่าง เหมือนจะเห็นผมหรือเปล่าไม่รู้อาร์มดูชะงักไปหน่อยนึงแล้วก็หันไปตอบคำถามพิธีกรต่อ แต่ไม่ต้องเห็นน่ะดีที่สุดแล้ว

ให้มันจบไปอย่างนี้แหละ พอแล้ว จบสักที เลิกเอาตัวเองเข้าไปได้แล้ว

     คิดไปผมก็หันหลังให้กับเวทีแหวกฝูงคนออกมากะจะเดินหนีออกไป ทิ้งทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง ไม่ต้องหันกลับไปมองอีก.... พอจะพ้นจากตรงนั้น แต่ทำไมไม่รู้ขาถึงไม่ยอมก้าวต่อไปสักที มันหยุดค้างอยู่ตรงนั้น เหมือนไม่อยากจากไปไหน ยังกลัวที่จะก้าวต่อไป กลัวที่จะตัดใจจากใครสักคน

     หมับ!

     แรงบีบไหล่จากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งเฮือก สัมผัสที่คุ้นเคยจนผมต้องหันกลับไปมอง.... แล้วก็เห็นคนที่ควรจะอยู่บนเวที คนที่สมควรจะอยู่ห่างๆจากผมแต่กลับมายืนอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงหน้าให้ผมรู้สึกหัวใจสั่นไหวอีกครั้ง

“........”ทั้งนึกคำพูดอะไรไม่ออก ทั้งรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่คอจนไม่สามารถพูดออกมาได้ ผมสบสายตาที่ดูเว้าวอนนั้น ความร้อนที่ถูกส่งผ่านปลายนิ้วยิ่งทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่อาจหนีได้

“คุยกันก่อนได้ไหม?”เสียงออดอ้อนเหมือนทุกที แต่ฟังแล้วบีบหัวใจเป็นบ้า อย่าทำให้ผมตัดใจยากไปกว่านี้ได้ไหม

“มีอะไรต้องคุย”ผมควรจะสะบัดมือที่เกาะกุมไม่ให้ผมหนีไปไหนนี่ทิ้งก็ทำได้ แต่ผมก็ไม่ทำ สมองคิด แต่ร่างกายไม่ยอมทำตาม

“เรื่องของเรา”

“มัน...จบแล้ว”ฝืนใจพูดออกไปอย่างลำบากกว่าทุกที พยายามสบตาบอกคนตรงหน้าว่าผมจะเดินออกจากจุดๆนี้แล้ว แต่ก็ยังทำได้ยากเลย

“ไม่....ยังไม่จบ มันกำลังเริ่มต้นต่างหาก...รอผม ขอร้องล่ะ อยู่รอผม ขอผมจัดการงานตรงนี้ก่อน...แล้วมาคุยกัน”เขาบีบมือผมย้ำให้รอ ย้ำว่าผมยังอยู่กับเขา ขณะเดียวกันก็บอกให้รู้ด้วยว่าเขายังอยู่ และยังอยากให้ผมรออยู่

“........ถ้าอยากให้รอ ....ผมก็จะรอ”สิ้นคำพูดที่เต็มไปด้วยความลังเลใจว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธตัดเยื่อใยไปเลย แต่ก็ถูกความที่อยากลองเชื่ออีกสักครั้งเข้าครอบงำให้ตอบไปแบบนั้น รอยยิ้มพอใจของอาร์มก็ยกยิ้มขึ้น ทั้งที่ตัวเองควรจะบอกปัดไปให้มันจบสักที

แต่ผมก็เลือกที่จะรอ แม้ไม่รู้ว่าจะถูกหลอกอะไรอีกหรือเปล่า

     อาร์มพาผมไปด้านหลังเวที บอกให้ผมนั่งรอ ส่วนตัวเองก็ไปจัดการงานอะไรให้เสร็จเรียบร้อย ผมก็รอ...เลือกที่จะเชื่อ เลือกที่จะทำตามที่ใจอยากทำอีกครั้ง ต่อให้ผลลัพธ์จะเป็นยังไงก็ตาม ตกอยู่ในห้วงความคิดนานแสนนาน เสียงอะไรก็ไม่เข้าหู ใจลอย ไร้สติอย่างที่ไม่ควรทำ ถ้าถามว่าผมเคยเป็นแบบนี้ไหม? ก็ตอบได้ทันทีเลยว่าไม่เคย มีแค่อาร์มคนเดียวที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวเองได้ถึงขนาดนี้ แค่คนเดียวที่ทำให้ปั่นป่วนแบบนี้

นั่งอยู่นานจนผู้คนเริ่มบางตา หลังเวทีเริ่มมีการเคลื่อนไหวเก็บของ เก็บงาน แล้วอาร์มก็เอ่ยลาทุกคนก่อนที่จะเดินมาทางผม

“ไปกินข้าวด้วยกันนะ”เอ่ยปากชวนจนทำให้ผมนึกว่า ทั้งพี่ ทั้งน้องเลยที่ชอบชวนไปกินข้าวเวลามีเรื่องจะคุยด้วย...แต่มันก็เอามาเทียบกันไม่ได้อยู่ดี จุดประสงค์ ความรู้สึกมันคนละเรื่องกันอยู่แล้ว

“จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ”ผมเดินตามไปทางที่อีกคนนำไป จะพาไปไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าสติผมไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวต่อไป

     ผมเดินตามมาโดยไม่ได้คิดระแวงอะไรด้วยซ้ำ อาร์มเดินนำผมไปจนถึงร้านอาหารไทยที่ออกจะดูมีราคาขึ้นมาหน่อยด้วยการตกแต่งร้าน แสงไฟสีส้มออกสลัวๆ เป็นร้านกึ่งๆเอาท์ดอร์ มีสระน้ำพุอยู่ตรงกลางร้าน อบอุ่นดูเป็นกันเอง ไม่ทำให้รู้สึกเกร็ง แต่ผมจะรู้สึกเกร็งก็เพราะคนนำทางนี่แหละ

     ระหว่างทางที่เดินมาไม่มีใครเริ่มบทสนทนา แต่กุมมือกันเงียบๆ ตอนแรกอาร์มเอื้อมมือมาแตะมือผมเบาๆแล้วก็ค่อยๆกอบกุมเอาไว้ เหมือนว่ารอดูทีท่าว่าผมจะทำยังไง ทั้งที่ผมก็คิดว่าควรจะสะบัดมือนั้นทิ้ง แต่ก็ยินยอมให้อีกฝ่ายกุมมือผมต่อไป ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่

แม้เหตุผลที่ว่าคือผมยังมีเยื่อใยต่อคนๆนี้ก็ตาม

     เดินเข้ามาในร้านแล้วเราก็ยังไม่ปล่อยมือออกจากกัน ไม่ได้สนสายตาใคร จนเดินมาถึงโต๊ะอาหารริมสระน้ำพุก็แยกย้ายกันไปนั่งฝั่งตรงข้ามกัน

“ขอสั่งให้นะ?”อาร์มหยิบสมุดรายการอาหารขึ้นมาเปิดไล่อ่านแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาถามผม เป็นห่วงเป็นใย ใส่ใจทุกอย่างทั้งที่รู้ว่าผมเคยทำอะไรไว้

“ตามสบาย”ผมตอบแล้วอาร์มก็บอกรายการอาหารให้กับพนักงานจดบิลไป

“แล้วไปโดนอะไรมา แผลเต็มตัวเลย”อาร์มมองไปตามพลาสเตอร์ที่ถูกแปะเต็มตัวผมไปหมด น้ำเสียงฟังดูห่วงใยจนอดหวั่นไหวไปด้วยไม่ได้

“ก็แค่มอ’ไซค์ล้ม”ผมไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมากกว่านี้ ไม่รู้ว่าอาร์มตอนนี้คิดอะไรอยู่

“เจ็บมากไหม?”

“ผมไม่เป็นไร.....คุณอธิบายมาได้แล้วว่าหมายความว่ายังไง แล้วเรื่องของเราที่คุณว่านี่คืออะไร.... ผมรู้ตัวดีว่าหลอกคุณตั้งแต่ต้น ดังนั้นผมก็ไม่มีข้อแก้ตัวอะไร จะถูกหลอกกลับอีกกี่ตลบก็สมควรแล้ว แต่ผมก็ต้องการที่จะรู้ความจริงอยู่ดี”ผมทนรอไม่ไหวเลยเริ่มเปิดประเด็นก่อนคนแรก

“ครับ อาร์มรู้แต่แรกแล้วว่าพอร์ชเป็นสายลับ เลยหาทางรับมือด้วยการเอาโปรเจคเก่าออกมาใช้ แก้ไขเนื้อหานิดหน่อย แล้วก็แอบทำโปรเจคใหม่ที่พอร์ชควรจะได้ข้อมูลไปแบบลับๆ ....แล้วที่ผมถ่วงเวลาไม่ยอมให้สักที ก็เพราะ...อยากจะใช้เวลากับพอร์ชให้นานๆ ....ก็รู้ดีว่าเห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง”ที่อาร์มพูดมาก็เป็นไปตามที่ผมคาดไม่มีผิด

“งั้นเราก็คงเห็นแก่ตัวพอๆกัน ผมก็รู้ว่าต้องมาหลอกคุณ แล้วก็ต้องเดินจากไป แต่ก็ยังอยากจะใช้เวลาตรงนั้นเพื่อที่จะอยู่กับคุณนานๆ... ”

“......”เราเงียบแล้วก็มองตากันสักครู่ ความรู้สึกตรงกันอย่างน่าประหลาด หัวใจที่ถูกบีบคั้นจนถึงไม่นานนี้ค่อยๆคลายตัว และสงบลงทีละน้อย

“หลอกกันไปหลอกกันมา...แบบนี้คงหายกันแล้วล่ะ หรือจะโกรธผมก็ตามแต่คุณเลย”ผมบอกแบบไม่รู้สึกติดใจอะไรอีก

“ผมไม่เคยโกรธ ในเมื่อรักออกขนาดนี้แล้ว....แต่จะโกรธอาร์มก็ได้นะ”

“ผมไม่ได้โกรธแล้ว....ถ้าคุณยังบอกว่ารัก ยังบอกว่าสิ่งเดียวที่ผมเชื่อในตัวคุณ คือเรื่องที่รักผมเป็นเรื่องจริงผมก็ไม่โกรธอะไรเลย”ผมพูดย้ำกับตัวเองว่าเรื่องความรักที่มีต่อกันนั้นเป็นเรื่องจริง

“ความรู้สึกของอาร์มคือเรื่องจริง เรื่องนี้อาร์มไม่มีทางหลอกพอร์ช”ทั้งน้ำเสียง สีหน้าจริงจัง หนักแน่น จนผมยอมเชื่อมั่นอีกครั้งว่าจะไม่โดนหลอกซ้ำสอง

“...แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”รู้สึกว่าสีหน้าคลายลงมากจนพอยิ้มออกมาได้แล้ว

“รักผมใช่ไหม?”

“ที่ผมพูดขนาดนี้...ยังไม่รู้เหรอ?”ผมตอบเลี่ยงๆ แต่ไม่ได้ปฏิเสธ ผมยอมรับความรู้สึกของตัวเอง พร้อมที่จะบอกได้อยู่เสมอ

“พูดให้ฟังหน่อยสิ”น้ำเสียงหยอกล้อเหมือนทุกทีกลับมาอีกครั้ง

“....รัก พอใจยัง?.... ผมไปเข้าห้องน้ำนะ”พูดแล้วผมก็ตัดบทขอตัวไปเข้าห้องน้ำทันที รอยยิ้มขี้เล่นยังส่งมาให้ทุกครั้งไป ผมเดินไปห้องน้ำซึ่งตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากตรงนี้  แค่เข้าไปกะว่าจะล้างหน้าให้หาย เหนื่อย ให้โล่งสักที หลังจากเจออะไรมาเยอะแยะ.... แล้วก็หยิกตัวเองเพื่อบอกว่านี่ไม่ใช่ฝัน

     ซ่า...

     เปิดน้ำล้างมือ ล้างหน้าเสร็จ ผมก็รู้สึกถึงบางอย่างจากด้านหลัง ผมถูกแขนใครบางคนเข้ามาล็อก ผ้านิ่มๆเจือกลิ่นชวนมึนหัวกดลงมาที่จมูกผม ตกใจแทบแย่แต่ก็ต้องตั้งสติให้ได้

“อื้อ!อื้ออออ!”ผมพยายามทั้งมองคนในกระจก ทั้งพยายามกระชากแขนที่เข้ามาล็อกตัวผม แต่ดิ้นยังไงก็ไม่เห็นผล...ภาพคนไม่คุ้นหน้าในกระจกเริ่มเบลอขึ้นมาเรื่อยๆ

ก่อนที่สติผมจะดับวูบลงไป พร้อมกับทุกสิ่งอย่างทุกอย่างที่อยู่ในการรับรู้...




= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

อ่า มันเร็วไปไหมเธอ.... หรือต้องยืดกว่านี้- - งงกับตัวเอง กะจังหวะไม่ถูก 55555 ก็ขอพูดประโยคเดิมค่ะ ติดตามตอนหน้าจ้ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 21:11:15 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่16 15/9/15
«ตอบ #24 เมื่อ15-09-2015 19:21:47 »



แวะเอารูปมาฝาก เป็นรูปตอนที่พ่อพระเอกเราแอบเซลฟี่กับพอร์ชแล้วอัดใส่กรอบรูปจ้ะ อิมเมจประมาณนี้ วาดเล่นๆจ้า เส้นห่วยก็อย่าว่ากันเลย :sad4:

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่17 19/9/15
«ตอบ #25 เมื่อ19-09-2015 17:21:00 »

บทที่ 17

     ปวดหัวหนึบ นั่นคือความรู้สึกแรกหลังจากที่รู้สึกตัว มึนไปหมด กว่าจะตั้งสติได้ลืมตาขึ้นมากวาดสายตาไปรอบๆ ก็อยู่ที่ไหนแล้วไม่รู้...จะขยับตัวลุกขึ้นนั่งก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังเสียดหู

     เคร้ง

     มองไปตามต้นเสียง ผมก็พบข้อมือของตัวเองถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ที่ติดเอาไว้กับกำแพงแล้ว แต่ไร้ซึ่งอุปกรณ์ช่วยเหลือตัวเอง หาทางหนีไม่ได้

     แล้วอาร์มล่ะ? อาร์มมันอยู่ไหน ผมมองรอบๆก็เจอแต่ห้องโล่งๆไม่มีอะไร ถูกจับตัวมาด้วยหรือเปล่า.....หรือนี่จะเป็นแผนการอะไรอีก? ผมไม่อยากสงสัยเขา แล้วก็ยังอยากจะเชื่อ ทั้งยังห่วง กลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไปเพราะผม

      ปัง! โครม!

     ระหว่างที่ผมกำลังคิดหนักอยู่ ประตูก็ถูกกระชากเปิดออกพร้อมกับที่ร่างๆหนึ่ง ถูกโยนเข้ามาในห้อง....ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากคนที่ผมเพิ่งนึกถึงไปเมื่อกี้นี่เอง

“อาร์ม!”ผมถลาเข้าไปดูทันที แต่ก็ต้องขัดใจเพราะโซ่มันยาวไม่ถึงเมตรเลยรั้งผมให้อยู่แค่ตรงนั้นที่เดิม

“ตื่นแล้วเหรอครับ? งั้นฝากดูแลพี่ชายผมด้วยแล้วกัน....เขาโดนซ้อมมานิดๆหน่อยๆน่ะ แต่อึดขนาดนี้คงไม่เป็นไรล่ะมั้ง?”เสียงจากคนๆเดิม คนที่ผมไม่อยากเห็น คนที่ทำแบบนี้กับคนในครอบครัวได้ลงคอ ไอ้อาร์ท

“อาร์ม มึงไม่เป็นไรนะ”ผมไม่รอฟังเสียงอะไรทั้งนั้น  เอาแต่เรียกมันที่ถูกจับมัดแขนไพล่หลัง ซ้ำยังมีแผลถูกซ้อมเต็มตัวไปหมดอีกต่างหาก เห็นแล้วผมก็รู้สึกโหวงๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กลัวมันจะเป็นอะไรไป

“ไม่เป็นไรครับ อาร์มไม่เป็นไร”อาร์มยังยิ้มได้แล้วก็พยายามพาตัวเองมาใกล้ๆผม พอมันเข้ามาใกล้ผมเลยรีบเข้าไปประคองเอาไว้

“...พี่ชายอาการหนักขนาดนี้ผมคงต้องทำหน้าที่ หาอะไรมาล้างแผลให้หน่อยดีกว่านะครับ”เสียงไอ้ห่านั่นตามมาหลอกหลอนไม่เลิก เห็นมันกระดิกนิ้วเรียกลูกน้อง แล้วก็เอาถังสแตนเลสใบใหญ่เข้ามา เสียงบางอย่างในถังนั้นที่ดังตามจังหวะการเดินทำให้ผมรู้ว่ามันคืออะไร เลยรีบเข้าไปกอดไอ้อาร์มไว้ กันมันเอาไว้ไม่ให้ใครทำอะไรได้

“มึงจะทำอะไร?”ผมจ้องกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ และไม่มีทางที่จะปล่อยมือจากอาร์มด้วย

“บอกแล้วไงครับว่าจะช่วยล้างแผล”มันส่ายหัวก่อนจะสาดโครมมาที่พวกผม รู้สึกเย็นไปถึงกระดูก เพราะที่สาดมามันคือน้ำแข็งผสมน้ำเกลือ! ที่รู้ว่าเป็นน้ำเกลือเพราะแผลผมก็ยังไม่หาย มันเลยแสดงปฏิกิริยากับน้ำเกลือ แล้วก็สันนิษฐานไว้ตั้งแต่ตอนที่มันบอกว่าจะล้างแผลแล้ว

“ซี้ด...”ผมร้องครางเพราะแสบแผล แต่คงแสบไม่เท่าไอ้อาร์มที่โดนหนักกว่าผม เพราะพยายามจะเข้ามาบังแทนผมก็เลยโดนเข้าไปเต็มๆ

“เจ็บไหมครับพอร์ช?”น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยทั้งที่ตัวเองท่าทางอิดโรยกว่ากันเยอะ

“ถามตัวเองเถอะ โดนหนักขนาดนี้ยังจะมาห่วงคนอื่นอีก”ผมกอดมันแน่นหวังว่าจะบรรเทาความหนาวให้แก่กันได้

“ก็พอร์ชไม่ใช่คนอื่นนี่นา”หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ยังมีอารมณ์มาหยอดผมอีก

“เอ้าๆ อย่ามัวแต่พลอดรักกันครับ อย่าลืมว่าผมยังยืนอยู่ตรงนี้สิ...แต่ก็ดี เห็นพวกคุณรักกันขนาดนี้แล้ว ผมก็ยิ่งตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าจะทรมานคุณเล่นหรือจะเอาคุณมาเป็นของผมให้พี่อาร์มทรมานใจเล่นดีล่ะครับ”คำพูดนั้นทำให้ผมขนลุกวูบไปทั้งตัวเลย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรอีก แต่ผมไม่ยอมให้อาร์มเจ็บตัวแน่ๆ

“ไอ้อาร์ท มึงอย่ามายุ่งกับแฟนกู!”อาร์มออกอาการโมโหปกป้องแล้วก็เรียกผมว่าแฟนเป็นครั้งแรก มันทำให้ผมดีใจแม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็เถอะ

“เห็นไหม แค่นี้พี่ก็เป็นเดือดเป็นร้อนจะแย่อยู่แล้ว นี่ถ้ามากกว่านี้พี่จะทำยังไงนะ?”ไอ้ห่านั่นออกแรงเตะพี่ชายตัวเองให้ลงไปนอนกับพื้นแล้วก็เปลี่ยนเป้าหมายมาหาผมแทน

“เชี่ยอาร์ท มึงเอามือออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!”อาร์มร้องลั่นเมื่อไอ้น้องเวรของมันกำลังเข้ามาจับคางผมให้เงยหน้ามองมัน ผมก็อยากถีบอยากต่อยมันนะ แต่เดี๋ยวมันจะหันไปทำอะไรอาร์มขึ้นมาก็แย่น่ะสิ

“ผมก็แค่อยากจะดูพี่สะใภ้ชัดๆแค่นั้นเอง....ผมล่ะชอบหน้าสวยๆแบบนี้จัง”อยากจะเถียง อยากจะด่า อยากจะโวยวาย แต่ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากนั่งเป็นตุ๊กตาให้มันจับเล่น ไม่ตอบโต้อะไรให้เข้าทางมันทั้งนั้น

“......”อาร์มเห็นว่าโวยวายไปก็เท่านั้นก็เลยยอมสงบ ไม่พูดโต้ตอบอะไรอีก แต่ส่งสายตาที่ดูโกรธเคืองมาให้ไอ้เชี่ยนี่เท่านั้น

“อ้าว ไม่พูดอะไรกันหน่อยเหรอ? อ่ะ ไม่พูดก็ตามใจ งั้นผมไปก่อนแล้วกัน ไว้เบื่อๆจะแวะมาเยี่ยมอีกทีนะครับ”ยิ้มเย็นๆทิ้งท้ายไว้ให้แล้วมันก็ออกจากห้องไปเลย แต่ผมไม่อยากให้มันกลับมาหรอก ไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมาก็ดีแล้ว

“อาร์ม ยังโอเคใช่ไหม?”ผมถามอาร์มที่ดูไม่น่าจะสบายตัวเท่าไหร่ กลัวมันจะเป็นอะไรแทบแย่

“โอเคครับ....พอร์ชเป็นห่วงแค่นี้ก็รู้สึกว่า ต่อให้โดนยิงอาร์มก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ”คำหวานยังคงออกมาจากปากของอาร์มไม่หยุด รอยยิ้มที่พยายามบอกผมว่าไม่เป็นไร ยิ่งทำให้ผมเป็นห่วง

“อย่าพูดเป็นลางสิ”ผมไม่ยอมให้ใครมายิงมันหรอก ไม่ยอมให้มันเป็นอะไรเด็ดขาด อดกลัวไม่ได้ว่าถ้าอาร์มเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมจะทำยังไง แต่แค่มันเจ็บหนักขนาดนี้ผมก็สั่นไปหมดแล้ว ...ไม่เคยรู้สึกห่วงใครเท่านี้มาก่อน ไม่เคยกลัวจะสูญเสียอะไรเท่านี้มาก่อน

“อาร์มจะไม่เป็นไร....พอร์ชไม่ต้องเป็นห่วง อาร์มไม่ยอมตายง่ายๆหรอก”

“ห้ามพูดว่าตายด้วย”ผมซุกอกมัน แนบฟังเสียงหัวใจมันที่กำลังเต้นอยู่ บ่งบอกว่ามันยังอยู่ตรงนี้ ผมกอดมันเหมือนตอนที่อยู่ที่ทะเลนั่น

“ไม่พูดแล้วครับ อาร์มยังไม่เป็นไร ยังอยู่ตรงนี้ ยังอยู่ข้างๆนี้....”มันวางคางลงบนไหล่ผม เหมือนว่าอยากกอดตอบแต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกมัดไพล่หลังอยู่ แต่แค่นี้ก็พอแล้ว

“อึดอัดหรือเปล่า ถอดเสื้อให้เอาไหม?....ใส่เสื้อเปียกๆแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”ผมโกยเอาก้อนน้ำแข็งที่เกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้นออกไปไกลๆ ไม่ให้พื้นเจิ่งนองมากไปกว่านี้

“อืม”อาร์มพยักหน้าตอบ แล้วผมก็เลยจัดการปลดกระดุมให้มัน ดีที่อาร์มใส่เสื้อเชิ้ตเลยถอดง่ายหน่อย ถึงไอ้โซ่หนักๆนี่จะทำให้ผมเคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวกก็เถอะ

     เพิ่งจะรู้ว่าอาร์มมันหุ่นดีขนาดไหนก็วันนี้นี่แหละ เพราะปกติมันก็ไม่เคยโชว์ซิกแพ็คล่ำๆให้ใครเห็นหรอก แต่มาเห็นชัดๆแบบนี้แล้วมันก็อดเขินไม่ได้ ถึงจะเป็นรูปร่างของผู้ชายด้วยกันก็เถอะ....ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เวลาเขินอยู่ดี เพราะพอเหลือบไปเห็นรอยช้ำตามตัวมันแล้วผมก็อดรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาไม่ได้

“เจ็บไหม?”ผมมองไปตายรอยช้ำ รอยแผลไม่ซ้ำแต่ละที่ก็เงยหน้าขึ้นถามมัน

“ไม่เป็นไรครับ”อาร์มยิ้มตอบเหมือนเคย บอกผมว่าไม่เป็นไร ถ้ามันไม่เป็นไรจริงๆผมก็คงพอสบายใจได้

“ถ้ามีอะไรต้องบอกผมนะ”ผมเข้าไปใกล้เพื่อเอื้อมไปถอดแขนเสื้อลอดกุญแจมือออกมา โดยมีลมหายใจอุ่นเป่าหูให้ผมรู้สึกจั๊กจี้เล็กๆ แต่ก็เป็นการบอกว่าอาร์มยังอยู่ตรงนี้ด้วย

“โหย ใจเต้นเลยนะเนี่ย ตอนโดนถอดเสื้ออ่ะ”

“ยังจะพูดเล่นอีก....เป็นห่วงจะตายอยู่แล้ว”ผมตวัดสายตาดุมันสักที เป็นห่วงแทบตายยังไม่รู้ตัวอีก

“ไม่ถอดกางเกงด้วยเหรอ?”

“อาร์ม”

“ก็แค่ไม่อยากให้พอร์ชเป็นห่วง ไม่อยากให้เครียดเกินไป...อาร์มก็เป็นห่วงพอร์ชเหมือนกันนะ”เห็นรอยยิ้มมันแล้วก็ต่อว่าอะไรไม่ออกจริงๆ

“ห่วงตัวเองเถอะ”

“แล้วพอร์ชไม่ถอดเสื้อหน่อยเหรอ?”

“ไม่เป็นไร แค่นี้ผมสบายๆ ก็เหมือนไปเล่นสงกรานต์นั่นแหละ....แถมผมเคยโดนอะไรหนักหนากว่านี้มาเยอะแล้ว แค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก”ผมพูดย้ำเพื่อบอกไม่ให้อีกฝ่ายเป็นห่วง ผมเจออะไรต่อมิอะไรจนถึกทนมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้จริงๆ

“ไม่ไหวก็บอกนะ”

“อืม”

“อยากกอดจัง....แต่ติดกุญแจนี่สิ”ผมก็อยากให้กอดนะ แต่ไม่ยักจะมีอุปกรณ์อะไรมางัดแงะได้เลย

“ผมตัวเปียก”แค่ตัวผมเองยังรู้สึกอึดอัดเลย เหนียวเหนอะตัวไปหมด เฉอะแฉะจนน่ารำคาญ

“ไม่เป็นไร กอดหน่อยนะ”ที่พูดนี่คงอยากให้ผมกอดมัน ไม่รังเกียจอะไรผมเลยจริงๆ

“อืม...งั้นถามอะไรหน่อยนะ ....ไม่ได้อยากละลาบละล้วงอะไร แต่อยากรู้ว่า ทำไมทั้งที่เป็นพี่น้องกัน แต่ก็ยังทำอะไรแบบนี้”ผมสวมกอดอาร์มตามที่ขอ ซุกไหล่กัน ไม่ได้อุ่นอะไรมากแต่ก็ช่วยบรรเทาความรู้สึกต่างๆให้กันได้

“อาร์มก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...รู้ตัวอีกทีก็โดนเกลียดไปแล้ว”

“แล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”

“ก็ไม่อะไรหรอก....แต่ก็โกรธ แค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ เรื่องที่มันจับพอร์ชมานี่แหละ...เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญหรอก จะทำอะไรอาร์มก็ทำไปเถอะ แต่แค่พอร์ชเท่านั้นที่อาร์มไม่อยากให้เป็นอะไร ไม่อยากให้มันแตะ”ปลายจมูกมันคลอเคลียอยู่ที่พวงแก้มบ้าง เส้นผมบ้าง เรื่อยไปจนถึงต้นคอ แตะแค่เพียงเบาๆเหมือนว่าอยากจะทะนุถนอมผมจนชวนให้ใจสั่นไปหมด ไหนจะคำพูดหวงแหนผมยิ่งกว่าอะไรนั่นอีก

“ห่วงตัวเองบ้างก็ได้”

“นี่ก็ห่วงตัวเองอยู่นะ...ก็ถ้าพอร์ชเป็นอะไร อาร์มก็ปวดใจแย่”พูดไม่ทันไรเสียงลมจากแอร์ก็ดังขึ้น จะไม่ว่าอะไรเลยถ้ามันไม่ได้เป่าตรงมาที่พวกผม

“ชิ มันเสือกเปิดแอร์อีก กะให้แข็งตายกันไปเลยหรือไงวะ?”มาเจอแบบนี้แล้วผมก็ต้องตัดสินใจถอดเสื้อเปียกๆนี่ทิ้ง แต่ไอ้โซ่ล่ามมือนี่แม่งโคตรเกะกะ ผมเลยแค่ปลดกระดุมออกแค่นั้น

“ถ้าไม่ได้ถูกจับตัวอยู่นี่ อาร์มจะคิดว่าพอร์ชกำลังยั่วอาร์มอยู่นะเนี่ย...”

“ที่พูดนี่คืออยากได้แผลเพิ่มอีกแผล?”

“โหดไม่เปลี่ยนเลยนะ...แต่รู้หรอกน่าตัวเองไม่ทำเค้าจริงๆหรอกใช่ไหม?”พูดอะไรไปผมก็โดนดักหมด เหมือนโดนจับจุดได้ ถึงจะเจ็บใจนิดๆ แต่ผมก็เป็นห่วงมัน ไม่อยากให้เป็นอะไรอยู่ดี

“บอกว่าขนลุกไง”พูดไปงั้นแหละ ความจริงตอนนี้ผมก็ไม่ได้ขนลุกอะไรหรอก แค่เขินกับคำหวานๆของอาร์ม ชอบอ้อนอยู่เรื่อย แต่มันก็น่ารักไปอีกแบบ

“รักจังเลยคนนี้อ่ะ”แล้วมันก็เข้ามาคลอเคลียหอมนั่นหอมนี่ไปทั่ว ถ้าไม่ถูกจับใส่กุญแจมืออาร์มก็คงจะเข้ามากอดผมเหมือนกัน

“อืม......รักเหมือนกัน”ถ้าเป็นเมื่อก่อนต่อให้ง้างปากยังไงผมก็ไม่พูดออกมาง่ายๆแบบนี้หรอก แต่พอมาอยู่ตรงนี้แล้วผมก็พูดออกมาได้โดยไม่คิดอะไร...ส่วนนึงก็คงเพราะกลัวจะไม่ได้พูดอีก

     พอพูดออกไปอาร์มก็ดูอึ้งๆ แล้วก็ยิ้มดีใจออกมา คงไม่เคยเจอผมโหมดว่าง่าย คอยตามใจมาก่อน ผมกอดมันแนบแน่น อาร์มก็ซุกกับไหล่ผมเหมือนเดิม ถ่ายเทความอบอุ่นให้กัน

“หลับได้นะ”ผมบอกอาร์ม คิดว่ามันก็คงเพลียเหมือนกัน อยากให้มันพักผ่อน จะได้มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาบ้าง

“ไม่เอา...ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอพอร์ช อาร์มจะทำยังไง”น้ำเสียงออดอ้อนดังงุ้งงิ้งข้างหูผม

“ไม่เป็นไรหรอก...ผมอยู่ตรงนี้ จะไม่ไปไหน ...นอนเถอะ จะได้มีแรง”

“ก็อยากอยู่ปกป้อง....อยากเห็นอยู่ในสายตา ไม่อยากเอาเปรียบ...ถ้าจะให้หลับก็หลับไปด้วยกันสิ”

“...เอางั้นก็ได้ เอ้า ทำตัวเป็นเด็กดี เข้านอนได้แล้ว”ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้กี่โมง แต่ก็คงจะเย็นมากแล้ว แล้วก็เพลียกันทั้งคู่ด้วย

“ครับ”อาร์มหัวเราะเหมือนทุกที เราซุกซบกันและกัน จากนั้นก็ปรือตาลง เข้าสู่ห้วงนิทรา หนีจากความหนาวเหน็บในโลกความเป็นจริง หลับเอาแรงแล้วพอตื่นขึ้นมาก็จะเผชิญหน้ากับเรื่องร้ายๆไปด้วยกัน









     เฮือก!

     หลับไปได้ไม่นานผมก็สะดุ้งตื่นเพราะแรงกระชากที่ไหล่ ที่จับผมแยกออกมาจากอาร์ม ด้วยฝีมือคนเดิม ไอ้อาร์ทมันยังยิ้มเหมือนเดิม มันไม่ได้จะมาหาผม แต่มาหาอาร์ม

“หลับสบายดีไหมครับ?...แต่ถ้าสบายดีแล้วก็ดี...”มันเดินเข้าไปใกล้อาร์มเรื่อยๆ จนผมอดระแวงไม่ได้ว่ามันจะทำอะไรอีก

     ผัวะ!

     ไอ้ห่านั่นถีบเข้าที่ท้องอาร์มจนมันล้มลงไปนอนเพราะทรงตัวไม่ได้ ผมก็น่าจะรู้ว่าอย่างมันจะทำอะไร แต่จะเข้าไปหาก็เสือกติดไอ้โซ่บ้าๆนี่อีก!

“มึงทำเหี้ยอะไรของมึงวะ! คนทำงานพลาดมันกูนี่ ไปลงอะไรไอ้อาร์มวะ!? จะทำอะไรก็มาทำกู อย่ายุ่งกับมัน!”ถ้าไม่ติดโซ่ติดอะไรผมลุกขึ้นไปถีบยอดหน้าแม่งแล้ว

“ความพอใจส่วนตัวไงครับ...แล้วก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณทำงานพลาดหรอก เพราะยังไงพี่อาร์มก็เป็นพวกขวางหูขวางตาผมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่มีมันสักคนอะไรๆก็คงดีขึ้น”

“เหอะ ถ้าคิดได้แค่นั้นก็สมควร...ทำตัวเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น เรียกร้องความสนใจไปวันๆ...น่าสมเพชดีนะ ว่าไหม?”ผมยิ้มเยาะมัน พูดประชดเสียดแทงไปเรื่อยๆ ให้มันเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ผมนี่ อีกอย่างคือผมอยากด่าให้มันรู้สึกเจ็บๆบ้าง

“พูดได้ดีนะครับ แต่จะพูดไปได้อีกสักแค่ไหนกันเชียว?”มันปรบมือประชดประชันได้ไม่แพ้กัน หน้ายังยิ้มไม่สะทกสะท้านอะไร แต่ก็เริ่มหันมาสนใจผมแทน มันเดินเข้ามาใกล้ แล้วจับคางผมออกแรงบังคับให้มองหน้ามัน

“ไอ้เหี้ยอาร์ท!กูบอกว่าอย่ายุ่งกับแฟนกูไง!”

“คิดว่าผมจะเป็นเด็กดีฟังพี่หรือไง?...แล้วคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ต่อรองได้ด้วยเหรอครับ?”มันกลับไปหาอาร์มอีกครั้ง ทำท่าว่าจะเข้าไปเหยียบอาร์ม

“มึง หยุด!จะให้กูทำยังไง จะทำอะไรกับกูก็ทำ แต่ปล่อยอาร์ม อย่าทำอะไรอาร์มได้ไหม?”เสียงผมเริ่มอ่อน กลัวมันจะทำอะไรอาร์ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย

“แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องฟังที่คุณร้องขอครับ หืม?”มันย้อนถาม หันมาคุยกับผมด้วยรอยยิ้มนักธุรกิจ ที่ดูโคตรจอมปลอม

“ถ้าคิดว่าผมยังมีประโยชน์กับคุณ จะใช้ประโยชน์อะไรจากผมแค่ไหนก็ได้ ผมยินยอม...ตราบเท่าที่อาร์มยังปลอดภัย”ผมไม่เคยกลัว ไม่เคยยอมทำอะไรเพื่อใครขนาดนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าที่ตัวเองพูดไปมันจะแว้งมากัดตัวเอง หรือเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองหรือเปล่า รู้แต่ผมเชื่ออาร์มไปแล้ว

“พอร์ช!”อาร์มทำท่าจะท้วงขึ้นมา แต่ก็ไม่มีอะไรจะมาห้ามผมได้อีกแล้ว

“ถ้าคุณพูดมาขนาดนี้ ผมจะยอมมอบข้อเสนอเล็กๆน้อยๆให้แล้วกัน...ผมจะยอมหาหมอมาให้พี่อาร์ม ปล่อยเขาให้เป็นอิสระ แต่แลกกับอิสรภาพที่คุณจะไม่มีทางที่จะได้สัมผัสอีก พูดง่ายๆคือคุณต้องมาทำงานให้ผม โดยที่คุณจะไม่มีสิทธิติดต่อใครได้อีก คุณจะตกลงไหม?”

“แล้วผมจะเชื่อคุณได้ยังไงว่าคุณจะทำตามที่พูด”

“ผมก็ไม่สามารถเชื่อคุณได้เหมือนกันว่าจะทำตามที่พูดไหม? ส่วนตัวผมก็ไม่มีอะไรจะรับประกันหรอกนะ แต่รับรองว่าผมจะทำตามที่ผมพูดแน่นอน”

“พอร์ชอย่า อาร์มขอร้องล่ะ”อาร์มพยายามห้ามผม ทุลักทุเลยันตัวขึ้นมา แต่ตอนนี้จะร้องขอยังไงผมก็คงต้องทำตามข้อเสนอนั้น

“ให้ผมได้ทำอะไรเพื่อคุณบ้างเถอะ...แล้วก็ไม่ต้องห่วงผม ผมเอาตัวรอดได้”ผมยิ้มบอก แค่มันไม่เป็นอะไรก็พอแล้วจริงๆ

“เอาล่ะ คุยกันมามากพอแล้ว ว่าไงครับ...จะตกลงไหม?”

“....ตกลง”ผมตอบรับโดยไม่คิดลังเลอะไรอีก....



= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =


สารภาพว่าเกือบลืมมาลงนิยายแน่ะ แหะๆ.....- - ตอนนี้ก็กำลังปั่นนิยายสุดๆ ก็เลยยังมีนิยายสต็อกไว้ไม่ต้องห่วงเรื่องขาดช่วงจ้า ประมาณสัก20ตอนกว่าก็จะจบแล้ว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจบเร็วไปหรือเปล่า(แอบอยากดีลีทความทรงจำตัวเองแล้วกลับมาอ่านอีกรอบ555555)

เนื้อเรื่องเป็นอย่างไร ดราม่าเข้มข้นหรือไม่ติดตามกันไป
ป.ล.คนเขียนไม่ชอบดราม่า เขียนดราม่าไม่ค่อยเก่ง ดังนั้นไม่หนักหน่วงแน่นอน(มั้งนะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 21:12:34 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่18 22/9/15
«ตอบ #26 เมื่อ22-09-2015 18:30:18 »

บทที่ 18


     ผัวะ!

     ตอบรับข้อเสนอไปไม่ทันไร ไอ้เวรนี่ก็เตะอาร์มที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมจนลงไปนอนคุดคู้อีกครั้ง อีกครั้งที่ผมทำอะไรเพื่อช่วยมันไม่ได้เลย

“เฮ้ย มึงจะทำอะไรอาร์มอีกวะ!?”

“ผมบอกว่าจะหาหมอมาให้ จะปล่อยตัวพี่อาร์มไป...แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าจะไม่ทำอะไรนอกเหนือจากนี้”ไอ้เลวเอ๊ย!ผมน่าจะรู้อยู่แล้วว่าพวกนักธุรกิจพวกนี้ ถ้าไม่เจ้าเล่ห์ ฉลาดแกมโกง ก็ตลบตะแลง ตอแหลปลิ้นปล้อนกันทั้งนั้น!

“ไอ้สัด!พี่ชายมึงจะตายห่าอยู่แล้วนะ!”ผมไม่ได้อยากจะแช่งอาร์ม แต่อยากจะด่า อยากจะประท้วงไอ้น้องเวรนี่ให้รู้ตัวสักที

“อ้าว....ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้ เดี๋ยวพี่ชายผมจะตายห่าไปจริงๆซะก่อน....ถ้างั้นให้คนพาเขาไปนอนพักหน่อยแล้วกัน...เอ้า จะนอนอยู่อย่างนั้นอีกนานไหมครับ?”มันยิ้มเหมือนขำแล้วก็เดินไปเปิดประตูเรียกลูกน้องเข้ามา

“แค่ก มึง...เลิกเล่นแล้วใช่ไหม?”อาร์มไอโขลกแล้วก็เค้นเสียงถามไอ้เวรนั่น ผมก็ชักจะตามไม่ทันแล้วว่าเลิกเล่นที่พูดนี่อะไร

“ก็แหงสิ แฟนพี่เค้าจะแดกหัวผมอยู่แล้วนั่น เอ้า ลุกๆ”ไอ้อาร์ทจับพี่มันขึ้นมานั่ง แล้วก็ไขกุญแจมือให้ โดยที่ผมเองก็มีคนมาปลดโซ่ล่ามให้เหมือนกัน

“.....นี่พวกมึงพูดอะไรกัน? อย่าบอกนะว่า....”

“แผนการของพวกผมน่ะครับ”นั่นไง....แผนการ เชี่ย แผนการหลอกต้มผมซะเปื่อย!!!

“ไอ้อาร์ท มึงแค้นอะไรกูปะเนี่ย? แม่งเสือกเล่นจริง เล่นนอกบทอีก”

“ผมก็จะอายุสั้นลงเพราะแฟนพี่เหมือนกันนั่นแหละ ป่านนี้สาปแช่งผมในใจ วางแผนฆาตกรรมผมเสร็จสรรพแล้วมั้งนั่น”อาร์ทเหลือบมองผมพร้อมยิ้มให้

“พอร์ชอย่าโกรธน้า ความจริงอาร์มจะเฉลยตั้งแต่ที่ร้านแล้ว แต่ไอ้น้องเวรนี่ไม่ยอม อยากจะเล่นต่อน่ะสิ พอไม่เล่นด้วยก็ขู่จะแกล้งพอร์ช เข้าใจอาร์มนะ”

“อ้อนเป็นหมาเลยพี่กู”อาร์ทพูดขัด อาร์มก็หันขวับเหมือนบอกให้มันหุบปาก

“เฉลยว่าอะไร?”ผมพยายามข่มอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นขึ้นมาทุกที พูดเค้นเอาคำตอบในทุกข้อสงสัยที่ผมไม่เคยรู้ ผมไม่ตลกด้วยนะครับ มาเล่นกับความรู้สึกคนอื่นเขาแบบนี้น่ะ

“อืม...ก็อย่างที่บอก อาร์มรู้ว่าพอร์ชเป็นสายลับตั้งแต่แรก....ก็เพราะ อาร์มกับไอ้อาร์ทวางแผนกัน อาร์ทเป็นผู้ว่าจ้าง ส่งพอร์ชมาล้วงความลับอาร์ม...หลังจากนั้นอาร์มก็เอาโปรเจคเก่าให้นั่นแหละ... อาร์มจะเฉลยตั้งแต่ตอนอยู่ที่ร้านอาหารแล้ว”

“ทำเพื่ออะไร”หน้าผมตอนนี้นิ่งสุดขีด ไม่แสดงอารมณ์อะไรอีก กำลังอดทน เก็บอารมณ์สุดๆ

“...ที่พอร์ชเคยถามว่าอาร์มรักพอร์ชมาตั้งแต่ตอนไหน อาร์มก็ขอตอบว่าตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ชอบ แต่ตอนนั้นมันก็ไม่กล้าบอกสักที จบออกมาทำงานก็ยิ่งไม่เห็นทางออก ไม่มีทางเป็นไปได้เลย....อาร์มเลยปรึกษาไอ้อาร์ท มันก็คิดแผนนี้ให้...เพื่อที่จะจีบพอร์ชได้”ท่าทางมันดูเขินอายแต่มันดูไม่เข้าตาผมตอนนี้เลย

“สนุกไหม?”ผมถามเสียงเรียบ จ้องหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไรทั้งนั้น

“ครับ?”มันสะดุ้งเล็กน้อยตอนสบสายตาผม คงพอจะรู้แล้วล่ะว่าผมอยู่ในอารมณ์ไหน

“ผมถามว่า....สนุกมากใช่ไหม?”ผมจะไม่ทนแล้ว สนุกกันมากใช่ไหม?วางแผนปั่นหัวผมแบบนี้ !?

“พอร์ช....อาร์มก็แค่อยากจะ...”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ....จะจีบผมงั้นเหรอ? รักผมงั้นเหรอ? แล้วไอ้ที่ทำให้ผมเสียใจเป็นเดือนๆ เสียความรู้สึกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง โดนเหยียบซ้ำแล้วซ้ำอีกนี่เคยคิดบ้างไหม? ปั่นหัวผม ทำให้ผมสับสนไปหมด นี่มันสนุกมากนักใช่ไหม?”ผมพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมาให้หมด ไม่ทนมันแล้ว....

“อาร์มไม่ได้อยากทำให้รู้สึกแบบนั้นนะ”

“แต่ผมรู้สึกไปแล้วไง”ผมติดกระดุมเสื้อหมดแล้วก็เดินออกมาทันที ไม่ต้องคุยอะไรกันแล้ว

“เดี๋ยว พอร์ช!....อย่า....เพิ่ง”มันเข้ามารั้งผมเอาไว้แล้วอยู่ๆเสียงก็ขาดหายไป

“เฮ้ย อาร์ม!อาร์มเป็นอะไร มึง!”ผมรับตัวไอ้อาร์มที่อยู่ดีก็ล้มเซมาได้ พอจับหน้าผากมันก็ร้อนจี๋เลย ตอนนี้ความรู้สึกโกรธ โมโหอะไรมันก็ปลิวหายไปหมดแล้ว เหลือแต่ความเป็นห่วงมันอย่างเดียว

“ผมเตรียมหมอไว้แล้วครับ เดี๋ยวพาพี่อาร์มไปนอนพักที่ห้องเลยแล้วกัน...ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”อาร์ทเข้ามาช่วยผมหามไอ้อาร์มพากันขึ้นห้อง อยู่ดีๆมันก็น็อกกลางอากาศแบบนี้ผมก็ตกใจแทบแย่ ดีที่รับไว้ได้ ไม่งั้นหัวฟาดพื้น ฟาดอะไรเข้าแบบนั้นน่าห่วงกว่ากันเยอะ

     ผมกับไอ้อาร์ทพากันหามไอ้อาร์มมาไว้บนเตียงได้ หมอที่ไอ้อาร์ทบอกว่าเตรียมเอาไว้แล้วก็เข้ามาตรวจ ใช้เวลาตรวจบวกกับทำแผลไม่นานนักก็เสร็จเรียบร้อย ก็อยากจะสมน้ำหน้ามันอยู่หรอกนะ แต่เห็นสภาพมันแล้วก็ทำไม่ลงจริงๆ ถึงอาร์มมันจะทำตัวเองก็เถอะ

“เป็นแค่ไข้ธรรมดาครับ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ให้พักผ่อน ทานข้าว ทานยาตามเวลา วันสองวันนี้ก็หายแล้วครับ...ส่วนเรื่องอาการฟกช้ำก็ไม่มีอะไรน่าห่วงมาก ทานยาที่หมอจัดกับทายาทุกวันก็พอครับ”ตรวจเสร็จคุณลุงหมอก็หันมาบอกพวกผมพร้อมจัดชุดยาชุดใหญ่มาให้ แล้วก็หันไปเก็บ ทำความสะอาดเครื่องไม้เครื่องมือ

“ขอบคุณมากครับ ถ้ามีอะไรต้องรบกวนอีกผมจะโทรไปอีกครั้งนะครับ แล้วก็เดี๋ยวผมให้คนพาไปส่งที่รถนะครับ...เดินทางปลอดภัยนะครับ”อาร์ทพูดขอบคุณอย่างมีมารยาทแล้วก็เปิดประตูให้ลุงหมอ โดยมีพวกลูกน้องเป็นคนนำทางให้ ภาพลักษณ์มันคนละเรื่องกับที่แสดงละครตบตาผมเลย

“พอร์ช อย่าไปนะ”คนป่วยบนเตียงเริ่มละเมอออกมาเหมือนเพ้อเพราะพิษไข้ ทำให้ผมรีบเข้าไปดู ไปนั่งข้างๆกุมมือมันเอาไว้

“ไม่ต้องไปโกรธมันหรอก เพราะคนคิดแผนการทั้งหมดก็ผมนี่แหละ พี่อาร์มก็แค่ทำตามที่ผมบอก ทำตามความรู้สึกตัวเองก็เท่านั้น มันรักพี่จริงๆนะ...อืม ผมอายุน้อยกว่า แถมพี่ก็เป็นพี่สะใภ้ผม ให้ผมเรียกพี่ว่าพี่คงไม่มีอะไรติดขัดนะครับ?”เคยบอกไหมว่าแม่งกวนตีน ไม่เคยบอกก็ขอบอกตรงนี้เลยแล้วกัน ยิ่งยิ้มมุมปากยิ่งดูกวนประสาทน่าเดินเข้าไปถีบสักสองสามที

“พี่สะใภ้เชี่ยอะไร มึงนี่แม่งน่าโมโหชิบ........แต่ เออ ช่างแม่งเถอะ โมโหไปก็เท่านั้น เสือกโง่เองก็ไม่ต้องโทษใคร”ผมจะไม่พูดอีกแล้วว่าพี่น้องคู่นี้มันต่างกัน เพราะตอนนี้มันโคตรจะเหมือนกันเลย!

“...ว่าแล้ว ผมรู้สึกถูกใจพี่มาตั้งแต่แรกแล้ว  แต่ไม่แย่งหรอกนะ”แล้วผมเคยบอกอีกไหมว่าหน้าตากวนอารมณ์ทั้งพี่ทั้งน้องเลย?

“โมโหว่ะ ทั้งโดนหลอก ทั้งเสียความรู้สึก”

“แนะนำให้ด่าพี่อาร์มตอนมันตื่นครับ”

“นี่มึงรักพี่มึงมากเลยเนอะ”ผมชักสงสัยแล้วว่าความสัมพันธ์พี่น้องคู่นี้นี่ยังไง ดูรักกันด้วยลำแข้งเหลือเกิน

“พอร์ช?”เสียงเรียกชื่อผมแผ่วเบามาจากไอ้อาร์ม มันค่อยๆลืมตาขึ้นมาเหมือนรู้ว่าโดนนินทาอยู่ กะพริบตาปริบๆ ท่าทางยังดูงงๆไม่หาย

“อาร์ม ไหวไหม?”ผมแตะไปที่หน้าผากมัน แตะใบหน้ามัน ทำให้อาร์มเบิกตากว้างก่อนที่จะเด้งตัวขึ้นมากะทันหัน

 “พอร์ช! ...อ่ะ โอ๊ย!!!”มันลุกขึ้นพรวดพราดแล้วก็นั่งกุมหัว ท่าทางเหมือนปวดหัวหนักแล้วก็ล้มลงไปนอนในทันที

“เฮ้ย เป็นอะไร!?”อะไรวะ?? ผมไปแตะโดนอะไรมันเข้าเหรอ??? อยู่ๆก็เด้งตัวขึ้นมาเหมือนเจ้าเข้า
   
“ปวดหัวจี๊ดเลย ร้าวไปทั้งตัวอีกต่างหาก...แต่ดีจัง พอร์ชยังไม่ไปไหน”ท่าทางมึนๆอยู่แป๊บเดียวก็ยิ้มออกมากุมมือผมเอาไว้ไม่ปล่อย

“ไหวไหมเนี่ย เรียกหมอให้ไหม?”ผมกวาดสายตามอง พลางคิดว่าลุงหมอเขาจะกลับไปหรือยัง

“ไม่ต้องหรอก จุ๊บทีเดียว เดี๋ยวก็หาย”อาร์มพูดหยอกล้อผมเหมือนทุกที แต่อย่าลืมว่าผมก็ยังรู้สึกเคืองไม่หาย ดังนั้นพอโดนกระตุ้นหน่อยนึงผมก็พร้อมจะระเบิดอารมณ์ได้

“งั้นกูไป”

“อย่าทิ้งกันแบบนี้สิ ก็รักไม่ใช่เหรอ?”มันรั้งแขนผมไว้แทบไม่ทัน เสียงอ้อนเหมือนทุกที แต่ฟังแล้วรู้สึกหมั่นไส้กว่าทุกๆครั้ง

“อย่ามาคิดไปเองนะ”

“อ่ะแฮ่ม...ผมยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้นะครับ ถ้าจะช่วยสังเกตกันหน่อย”คนที่พวกผมลืมไปชั่วขณะส่งเสียงกระแอมไอขึ้นมาเพื่อบอกว่าตนยังอยู่ในห้องนี้นะ

“อะไรมึง ยืนก็ยืนไปดิ ไม่ได้มีใครขอให้ยืนสักหน่อย”

“ปากงี้ เอาน้ำเกลือล้างปากอีกสักทีก็ดีนะครับ พี่ชาย”ความซาดิสม์แม่งคงเส้นคงวาชิบหาย ผมชักกลัวมันแล้วสิ

“น้องมึงแม่งซาดิสม์ว่ะ อาร์ม”

“โอ๊ะ ขอบคุณสำหรับคำชมครับ”นอกจากจะไม่ด่าไม่อะไรแล้วยังยิ้มขอบคุณผมที่ชมอีก

“เชี่ย กูด่าเหอะ...แล้วนี่ เล่นกันแรงขนาดนี้ทุกทีเลยหรือไง”เล่นกันแรงขนาดแอคติ้งธรรมดาไม่ได้ ต้องซ้อมจริง เจ็บจริง จนไอ้อาร์มมันระบมไปทั้งตัวแบบนี้อีก

“เป็นวิธีแสดงความรักระหว่างพี่น้องคู่เราครับ”อาร์ทยิ้มรับเหมือนเป็นเรื่องปกติของพวกมันที่แสดงออกทางความรักด้วยความรุนแรง ประมาณรักต้องซ้อมให้ปางตายถึงจะรู้ว่ารัก

“เหรอ พวกมึงรักกันมากกกเลยสิ”

“ก็ไม่รู้สิครับ แต่ผมไปดีกว่า ไม่อยากอยู่ขัดนานๆ แล้วก็เคลียร์กันดีๆนะครับ แต่จะปาดคอพี่อาร์มสักทีสองทีผมก็ไม่ว่านะครับ”อาร์ทพูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วก็เดินออกจากห้องไป ดูรักพี่ชายมันจริงๆเลย

“พอร์ชไม่โกรธอาร์มนะ?”มันมองผมตาแป๋ว น้ำเสียงอ้อนกว่าเดิม

“โกรธ”โกรธแต่เห็นมันทำท่าอ้อนผมทีไร ผมก็ชักจะใจอ่อนทุกที

“ไม่เอานะ อย่าโกรธอาร์มเลยนะ ถ้าตัวเองโกรธเค้า เค้าต้องขาดใจตายแน่ๆเลย”มันทำเสียงออดอ้อนงุ้งงิ้งตามประสา ซึ่งมันไม่เคยดูน่ารักเลยในสายตาผม โดยเฉพาะตอนนี้มันยิ่งทำให้ผมอยากจะซ้ำมันให้ตายคาที่สักที

“ถ้าให้ผมต่อยให้หายแค้นสักหลายๆทีคงพอทำให้หายโกรธได้ จะยอมไหมหือ?”ผมเริ่มกำหมัดมองหน้ามัน ดูสิจะตอบผมว่าอะไร จะยอมให้ผมหรือเปล่า

“ก็เอาสิ ถ้าทำให้พอร์ชสบายใจ หายโกรธ จะกี่ครั้งก็ได้”มันตอบทันทีโดยไม่มีท่าทางลังเล แถมยังยื่นหน้ามาให้ผมทันทีอีกต่างหาก...

“.......ชิ”แผลเต็มตัว งอมพระรามขนาดนั้นใครจะทำไปมันได้ลงคอล่ะ ผมก็ได้แต่จ้องหน้า ชั่งใจอยู่นานว่าจะทำดีไหม มันก็ยังโมโห เจ็บใจจี๊ดๆอยู่ แต่ก็ไม่อยากทำมันอยู่ดี เพราะเหตุผลที่มันทำทุกอย่างลงไปก็เพราะว่าอยากให้ผมรัก อยากอยู่ใกล้ๆผมไม่ใช่เหรอ? ถึงไอ้แผนการนี่มันจะทำให้ผมช้ำไปหมดก็เถอะ.....คิดแล้วผมก็ตัดสินใจ

กระชากมันเข้ามาจูบแม่งเลย!!!!!!!


“....อ่ะ???”หน้าแม่งตกใจไม่แพ้ผม  ซึ่งผมก็ตกใจไม่แพ้กัน.....นี่กูทำอะไรลงไปเนี่ย อารมณ์ไหนวะเนี่ย หรืออะไรเข้าสิงผมอีกแล้ว...

     ทุกการกระทำของผมบางที มันก็เป็นไปเองโดยที่ไม่รู้ตัวเอง เหมือนร่างกายขยับไปเอง จะผละออกมาก็ยังไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ เลยแช่เอาไว้อย่างนั้น ไม่ผละออกมาสักที ...คนโดนผมจูบก็เลยจูบตอบกลับมา

แต่ ฮึ่ย จูบเบาๆก็ได้ จะมางับปากผมทำไมวะ!???

“อื้ออ”ผมดันมันออกไปเพราะเริ่มรู้สึกเลยเถิด เมื่อไอ้อาร์มทำท่าจะล้วงเข้ามาในเสื้อผมอยู่แล้ว พอผละออกมามันก็ทำหน้าเหมือนเสียดายอะไรไม่รู้ แต่เห็นแล้วอยากจะเปลี่ยนความคิดจากจูบเป็น อัดหน้าแรงๆสักที

“จะล้วงเสื้อผมทำไส้ติ่งอะไรห๊ะ!?”ด่าไปก็เท่านั้น ในเมื่อคนตรงหน้ามันยังทำหน้าระรื่นอยู่เลย

“แหม ก็อารมณ์ บรรยากาศมันพาไป”มันหัวเราะแหะๆพูดเหมือนไม่ใช่ความผิดมัน

“โอ๊ย ผมจะกลับแล้ว! แม่ง ไม่เคยหงุดหงิดใครขนาดนี้มาก่อนเลย!”อารมณ์ตอนนี้คือจะแดกหัวมันได้ทั้งหัวแล้ว จะลุกออกมาก็ทำไม่ได้ เพราะมือไอ้อาร์มยังล็อกแน่นอยู่ที่เอวผมอยู่ แรงเยอะจนไม่เหมือนคนป่วยทำท่าใกล้ตายเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว

“น่ารักจัง”ฟัคคคคค อย่ามาดาเมจกูด้วยคำหวานกับรอยยิ้มสว่างไสว

“ปล่อย”ผมสั่งมัน ส่งสายตากดดันให้ด้วย จะได้ปล่อยผมไปสักที

“หงุดหงิดเหรอครับ?”รู้อยู่แล้วยังจะกวนเบื้องล่างผมอีก มือก็ยังทำรุ่มร่ามกับผมไม่เลิก ผมเลยออกแรงทุบมันไปนิดหน่อยให้มันปล่อย

“ไม่หงุดหงิดเลยมั้งครับ”พูดไปก็ทุบไปอีกสักที

“โอ๊ย อาร์มยิ่งช้ำๆอยู่น้า อย่าทุบแรงสิ”ร้องโอดโอยได้สำออยมากจนทำให้ผมซัดมันไปอีกสักที

“เหรอ ’โทษทีนะครับ ถ้างั้นขออีกสักทีแล้วกัน เขาว่าถ้าช้ำๆอยู่ให้รีบซ้ำจะได้หายไงครับ”

“โอ๊ย ไปเอามาจากไหนล่ะครับนั่น”มันร้องโอ๊ยอีกครั้ง คราวนี้ดูท่าจะเจ็บจริง เออ ให้มันเจ็บซะบ้างจะได้สำนึก

“เพิ่งคิดเมื่อกี้ไงครับ ที่รัก”ประชดประชันมันเต็มสตรีม ยิ้มหวานเอามือลูบหน้ามัน

“น่ารักอ่ะ”ผมไปสะกิดโดนใจ โดนอะไรมันอีกล่ะเนี่ยคราวนี้ มันถึงทำหน้าเคลิ้ม หอมนั่นหอมนี่ผมไม่หยุด

“ชอบให้ทำร้ายร่างกายก็ไม่บอก มิน่า ตอนโดนซ้อมถึงไม่ตอบโต้อะไร....ดี ว่างๆผมจะได้มีกระสอบทรายไว้ซ้อมเล่นเวลาเครียดๆดีไหมครับ ที่รัก”ผมยังคงยิ้มหวานให้มัน ชอบนักผมก็จัดให้

“....แต่แบบนี้ไม่ค่อยจะน่ารักนะครับ”

“อ้าว นึกว่าชอบ”

“ที่ชอบน่ะ...ชอบพอร์ชต่างหาก”ไม่รู้ว่าทำไม แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ถูกอาร์มพูดหวานๆใส่แบบนี้ผมระทวยทุกที ระทวยเหมือนไม่มีแรงจะทำอะไรทุกที

“....รู้แล้ว ไม่ต้องพูดย้ำบ่อยๆได้ไหม”

“ไม่พูดก็ได้ แต่พอร์ชต้องพูดแทนนะ...ว่ารู้สึกยังไงกับอาร์ม พูดให้ฟังอีกครั้งได้ไหมครับ?”มันยิ้มชวนละลายใจให้อีกครั้ง มองตาผมจนผมแทบอยากจะหายตัวไปจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้เลย

“ไม่รัก”ผมตอบมันออกไปทันที อยากฟังนักก็จะพูดให้ฟัง

“ไม่เอาสิครับ นะพูดให้ฟังหน่อย”

“ก็พูดแล้วไง ไม่รัก ไม่รัก ไม่รัก ไม่รัก ไม่รัก ไม่ได้รักเลยสักนิด ไม่รู้สึกอะไรด้วยเลย เกลียดขี้หน้าสุดๆ หมั่นไส้ชิบหาย อยากลากไปกระทืบให้ได้สักวัน อยากหาทรายมาอุดปากให้ อยากจะ...อะไรอีกวะ”พูดจริงส่วนนึง โกหกให้หายเขินส่วนหนึ่ง พูดไปพูดมาชักนึกคำพูดไม่ออก

“อาร์มจะถือว่าพอร์ชกำลังบอกรักในแบบของพอร์ชก็แล้วกัน”อาร์มหัวเราะกับท่าทาง คำพูดของผม...ท่าทางมันจะเป็นพวกมาโซคิสม์ของแท้แล้วล่ะมั้ง

“คนเค้าบอกไม่ชอบตีความยังไงให้กลายเป็นชอบได้ห๊ะ?”

“ก็พอร์ชเป็นพวกชอบพูดอะไรตรงข้ามกับใจนี่”ไอ้อาร์มนี่ก็ช่างมองผมทะลุปรุโปร่งไปหมดทุกอย่างจริงๆ

“อย่ามาทำรู้ดีไปหน่อยเลย”แสนรู้นัก เดี๋ยวให้รางวัลเลยนี่

“หรือไม่จริง?”

“แล้วจะปล่อยได้หรือยัง?”ผมถามย้ำเมื่อต่อปากต่อคำมาตั้งนานมันยังไม่ยอมปล่อยผมสักที แถมยังกระชับเอวผมไว้แน่นไม่เปิดโอกาสให้ผมกระดิกตัวได้เลย

“พูดมาก่อนสิ...รักหรือเปล่า?”

“ถ้าพูดแล้วจะได้อะไร”ผมถามเผื่อจะได้ข้อเสนอ ผลตอบแทนอะไรดีๆ คุ้มค่าพอให้ผมพูดออกไป

“พูดแล้วอาร์มก็จะได้ปล่อยไง แต่ถ้าไม่พูดโดนจูบไม่รู้ด้วยนะ”อาร์มยิ้ม ยักคิ้วท้าทายผม เอาแต่ใจชิบหาย จะเลือกทางไหนมันก็ได้เปรียบอยู่ดี

“งั้นผมไม่ทำมันทั้งสองอย่างนี่แหละ”

“ไม่ได้... ไม่พูดจะจูบแล้วนะ”พูดไปก็ทำท่าจะเข้ามาฉกริมฝีปากผมให้ได้ คนป่วยใกล้ตายมันหายไปไหนแล้ววะครับ???

“ก็จูบไปสิ”ผมตอบหน้าตาย อยากจูบก็จูบไปดิ ไหนๆก็ไหนๆแล้วไม่มีอะไรจะเสีย ยังไงเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วผมยังจับมันจูบอยู่เลย

“อ้าว นึกว่าจะห้าม ไม่ห้ามหน่อยเหรอ?”มันทำหน้าแปลกใจที่ผมไม่มีท่าทีขัดขืนอะไรสักนิด

“....ฟังแล้วก็จำเอาไว้ดีๆอย่างนึงนะ”

“ครับ?”อาร์มมองหน้าผมท่าทางยังสงสัยไม่หาย ผมก็ค่อยๆเข้าไปใกล้ริมฝีปากจ่อใบหูมัน ให้มันได้ยินชัด แล้วก็หาเรื่องหลบตามันด้วยส่วนนึง

“ก็ถ้าไม่รัก ไม่ยอมให้ขนาดนี้หรอกนะ”แล้วริมฝีปากผมก็ประกบปิดปากอาร์มก่อนที่มันจะพูดอะไรออกมาอีก...

   

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

สรุปก็ไม่มีดราม่าปวดตับแต่อย่างใด=W= บอกแล้วว่าไม่ชอบเขียน เจอกันตอนหน้าจ้า

ป.ล.มาเพิ่มรูปตัวละครแล้วนะคะ (เขียนจะ20ตอนแล้วเพิ่งมาเพิ่ม....- -) ตบตีกับsaiอยู่นาน(+เมาส์หนูแสนรันทด ทฤษฎีก็ไม่ทำตาม....)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2015 21:14:08 โดย Lynne »

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
>>ประกาศ<<
ตอนที่19ยังไม่มาในอาทิตย์นี้นะคะ จะไปลงในวันจันทร์แทนค่ะ
เนื่องด้วยใช้คอมไม่ได้ ในแฟลชไดรฟ์ก็ไม่มีไฟล์นิยายT T บวกกับเราต้องกลับบ้านด้วย
จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน~

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่19 28/9/15
«ตอบ #28 เมื่อ28-09-2015 19:40:24 »

บทที่ 19

     ณ ตอนนี้ผมและพี่น้องทายาทบริษัทเครือ อลงกต กำลังนั่งสุมหัวประชุมกันอยู่ แม้ไอ้อาร์มจะยังนอนพะงาบอยู่บนเตียง ส่วนไอ้อาร์ทยืนเต๊ะท่าไม่ยอมนั่งดีๆก็เถอะ

“ผมว่าเราควรบอกนะ”น้องชายไอ้อาร์มขยับแว่นกรอบเหลี่ยมแล้วก็พูดความเห็นออกมา น้องมันนี่บทจะเคร่งขรึมก็โคตรจะเท่เลยว่ะ นี่พูดจริงๆนะ เคยคิดอยากเท่แบบนี้บ้าง แต่มันเท่ไม่ลงก็อย่าพยายามมากเลยจะดีที่สุด คิดว่างั้นนะ

“อืม แล้วจะให้เดินเข้าไปบอกเลยเหรอวะ?”คราวนี้อาร์มถามกลับไปบ้าง ท่าทางครุ่นคิดอย่างหนัก แต่วินาทีนี้ผมไม่ขอสอดหรอกนะ... เพราะว่า...

“มันต้องมีกลยุทธ์ มีแผนการเจรจาที่ดี พ่อตาจะได้ยอมรับง่ายๆ”จอมแผนการต้องยกให้มัน... ทีนี้พอจะเดาๆได้แล้วใช่ไหมว่าพวกมันสองพี่น้องคุยเรื่องอะไรกัน?

มันประชุมกันเรื่องจะไปสู่ขอผมยังไงอยู่น่ะสิ!!!

“แล้วมีแผนอะไร? ว่าแต่เค้าเป็นลุงของพอร์ชนะ เรียกพ่อตาได้เหรอวะ?”นั่นดิ....แต่ผมเป็นผู้ชายนะ แล้วมึงๆทั้งหลายกำลังวางแผนไปสู่ขอผู้ชายกันอยู่ ถ้าจะช่วยสะกิดใจกันหน่อย จะบ้าไปแล้ว....

“ไม่รู้ดิ แต่แผนอ่ะมีแน่...ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ให้ผมนัดเขามาดูการแสดงดนตรีคลาสสิค ให้พี่ใส่หน้ากากเล่นเปียโน พอเล่นจบก็เดินเข้าหาพ่อตา เอาดอกไม้ให้ แล้วก็ถอดหน้ากาก พูดความจริงออกไป”มันทำหน้าเคร่งขรึมแต่กลับพูดบรรยายประหนึ่งนักเขียนนิยายแนวเพ้อฝันนิดๆ

“เชี่ย กูเล่นเปียโนเป็นเหรอ มึงช่วยนึกดีๆก่อนจะพูดมานะไอ้อาร์ท....แล้วตอนนี้กูอยากเดินไปบอกพ่อชิบหายว่าควรแนะนำให้น้องชายกูไปเปิดบริษัทรับทำเรื่องเซอร์ไพรส์ เอาเป็นบริษัทจับคู่เลยก็ได้นะมึง ความคิดโคตรจะละครหลังข่าวอ่ะ”อาร์มมันสวนกลับชุดใหญ่ อันนี้ผมแอบเห็นด้วยกับมันนะ ว่าความคิดไอ้อาร์ทมันโคตรจะละครเลย

“ความคิดดี น่าจะได้กำไรอยู่.......เฮ้ย นี่ผมช่วยคิดดีๆนะ อย่าเพิ่งแขวะดิ ผมคิดอะไรออก ผมก็พูด ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการกลั่นกรอง แต่ก็เพราะแผนละครน้ำเน่าของผมไม่ใช่เหรอที่ทำให้พี่มีโอกาสจีบพี่พอร์ชน่ะ หืม?...ว่าแต่พี่เหอะ มีความคิดอะไรดีๆบ้างล่ะ”อาร์ทยักคิ้ว ไหวไหล่กวนตีนนิดๆ ทวงบุญคุณตามสไตล์มัน

“ก็คิดคล้ายๆมึงนั่นแหละ แต่ไม่น้ำเน่าขนาดนั้นแล้วกัน”

“คิดว่า?”

“ง่ายๆ ไปนัดเขาทานข้าว แล้วก็นั่งรอด้วยกันนี่แหละ ให้เขาเดินเข้ามา วินาทีที่เขากำลังตกใจที่เห็นหน้ากูนั่นแหละ...กูจะพูดออกไปว่า...”มันเว้นจังหวะการพูดนิดนึงเพื่อดึงให้คนสนใจตาม ผมก็สนใจนะว่ามันจะพูดอะไร

“ยกหลานชายให้ผมเถอะนะครับ”เชี่ย นึกว่าจะพูดอะไร ทำหน้าซะจริงจัง

“นี่พี่คิดแล้ว?”

“เออดิ สั้นๆง่ายๆ กระชับได้ใจความ ไม่ต้องยืดเยื้อ เวิ่นเว้อน่ารำคาญ”

“แล้วคิดว่าเขาจะตอบกลับมายังไง?”อาร์ทถามกลับมาผมก็คิดตาม ลุงพลคงจะค้างไปสัก 5 วินาทีแน่ๆ ถ้าอยู่ๆก็มีผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มาพูดขอหลานชายแบบนี้ โดยเฉพาะถ้าคนที่พูดมันเป็นคนที่รับบทเป็นประธานบริษัทผู้ถูกผมหลอกลวงอย่างไอ้อาร์มด้วย ผมว่าลุงยิ่งช็อกค้างหนักเข้าไปใหญ่

“ตอบยังไงไม่สำคัญเว้ย แค่ให้กูได้บอกเขาว่าความจริงเป็นยังไง แล้ว....เรารักกันแค่ไหนก็พอ”ไอ้ประโยคว่าเรารักกันมันก็เหลือบมามองผมนิดนึงแล้วก็ยิ้มหวานให้

“เราไหน หมายถึงคุณกับน้องคุณเหรอ?”ผมพูดแทรกขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน

“พอร์ชอ่ะ!”

“ฮะๆๆๆ สวนได้เจ๋งดีอ่ะ ผมชอบแฟนพี่จริงๆนะเนี่ย แบบนี้ผมยิ่งอยากช่วยให้มาเป็นสะใภ้บ้านเราเลยนะเนี่ย”มาดเคร่งขรึมอะไรไม่มีแล้ว มีแต่ไอ้อาร์ทเด็กกวนตีนหัวเราะร่วนอยู่นี่แหละ

“นั่นปากเหรอ ใครสะใภ้ห๊ะ?”

“งั้นให้พี่อาร์มเป็นสะใภ้....แต่รู้สึกขนลุกแปลกๆยังไงไม่รู้สิ”ผมเองก็อดขนลุกเบาๆไม่ได้ เมื่อนึกภาพไอ้อาร์มเป็นสะใภ้ ผู้ชายตัวใหญ่ๆอย่างมันอ่ะนะ

“พอๆ สรุปว่าเอาตามนี้นะ”อาร์มรีบขัดขึ้นมาก่อนที่มันจะลากยาวไปกว่านี้ และดูเหมือนจะกลัวตัวเองเสียหายไปมากกว่านี้ด้วย

“เอางั้นก็ได้ ง่ายๆดี ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไหลไปตามน้ำก็พอ”

“แต่คงต้องรอเวลาสักระยะหน่อย...คิดว่านะ”

“อืม ถ้าผมคิดอะไรดีๆออกจะมาบอกแล้วกัน.... เดี๋ยวผมจะไปจัดการงานของผมก่อน ดูแลกันดีๆนะครับ”อาร์ทมันบอกทิ้งท้ายไว้พร้อมรอยยิ้ม ที่ค่อยทำให้มันดูคล้ายพี่ชายมันขึ้นมาบ้างนิดหน่อย แล้วก็เดินออกจากห้องไป

“ว่าแต่ทำไมห้องมันโล่งจัง เหมือนไม่เคยมีคนอยู่ยังไงไม่รู้”ผมมองไปรอบๆห้องก็เพิ่งได้สังเกตว่าห้องมันโคตรโล่งจริงๆ มีแค่เตียงที่อาร์มนอนอยู่ ตู้ไม้ เก้าอี้ โต๊ะ เหมือนห้องในโรงแรมมากกว่า

“อ๋อ ก็ไม่เคยมีคนอยู่จริงๆนั่นแหละ นี่บ้านไอ้อาร์ทมัน อาร์มก็ไม่ค่อยได้มาหรอก ห้องนี่ก็ห้องสำหรับแขก ไม่นึกว่าอาร์มจะได้มาพักที่ห้องนี้เป็นคนแรกในสภาพแบบนี้เหมือนกัน”

“ดีขึ้นหรือยัง?”ผมแตะหน้าผากมันก็ยังอุ่นๆอยู่แต่สีหน้าก็ดูดีขึ้นมากแล้ว แต่ร่องรอยบนตัวมันก็ทำให้รู้สึกห่วงไม่ได้

“ถ้าห่วงกันขนาดนี้ ปวดหัว ตัวร้อน โดนกระทืบกระดูกหักสี่ท่อนอะไรอาร์มก็หายหมดแหละ”ออดอ้อนออเซาะผมทันทีที่ได้โอกาสเลยนะ มีจับมือผมไปซุกไซร้อีกต่างหาก

“ก็ดี จะได้กระทืบซ้ำอีกสักทีให้กระดูกแหลกไปเลยเป็นไง”ผมแกล้งพูดขู่มันไปทีด้วยรอยยิ้มทีเล่นทีจริง

“นี่ยังห่วงกันอยู่ใช่ไหมครับ?”อาร์มมันทำท่าสะดุ้งนิดนึงแล้วก็ยิ้มขำ รอยยิ้มที่ทำดาเมจผมได้ทุกทีที่เห็นเลยจริงๆ

“ก็ห่วงไง ห่วงว่าจะไม่เจ็บปางตายน่ะ ที่รัก”ผมเอาคำที่มันชอบเรียกผมมาย้อน แกล้งมันกลับไป

“ห่วงกันขนาดนี้มาให้หอมแก้มให้รางวัลสักทีสิ ที่รัก”อาร์มไม่พูดเปล่า ยังพยายามเข้ามาฉกหอมแก้มผมด้วย แต่ผมก็แกล้งหนีไม่ให้มันหอมง่ายๆ

“ไม่เอา”ผมโยกหลบแทบตาย ไม่ได้อะไรหรอกถ้ามันจะหอมแก้มผม จูบผมก็ทำมาแล้วด้วยซ้ำ แต่แค่อยากแกล้งไม่ให้มันได้ในสิ่งที่ต้องการก็เท่านั้นแหละ

“โห อะไร หอมแก้มนิดเดียวเอง”อาร์มร้องโห่แต่ก็ไม่ลดละความพยายามในการหาจังหวะที่ผมเผลอ

“อยากได้ก็ขออนุญาตสิ”ไม่ได้โรคจิตนะ แต่ผมชอบเวลาอาร์มร้องขออะไรจากผม น่ารักดี เออนี่ผมชักจะไปกันใหญ่แล้วสิ เห็นผู้ชายตัวโตๆอย่างมันน่ารักได้...

“ขออนุญาตหอมแก้ม‘แฟน’หน่อยนะครับ”มันยิ้มระรื่นเรียกผมว่าแฟนแบบเต็มปากเต็มคำ เน้นๆ เต็มๆหู... เออครับ ผมยอมทุกอย่างแล้ว ทำอะไรก็ทำเลย

“อืม...อนุญาตแล้ว ทำสิ”พูดไปผมก็พร้อมเอาตัวไปถวายให้มันเลย แต่การแสดงออกก็ยังเหมือนเดิม คือกอดอก ไขว้ห้าง ไว้ท่าสุดๆ ไม่หลุดฟอร์มสักนิด

     อาร์มได้ยินคำอนุญาตก็กระดิกหู สั่นหาง....เอ๊ย  ฉีกยิ้มดีใจ แล้วก็เข้ามาหอมแก้มผม จับหันหน้า หอมแก้มซ้ายทีขวาทีจนพอใจ แล้วก็เรื่อยไปที่ใบหู....ลำคอ

“เดี๋ยวๆๆ หอมแก้ม ไม่ใช่หอมคอ ตกภาษาไทยแล้วมั้ง”ผมรีบห้ามก่อนมันจะลงต่ำไปมากกว่านี้

“ยอมตกภาษาไทยครับ”ยิ้มละลายใจให้อีกครั้งก็ปฏิบัติการหอมแก้มในความเข้าใจของมัน ซึ่งคือหอมคอในความเข้าใจของผม

“...อาร์ม!”เล่นจูบเบาๆแบบนี้ แถมยังหายใจรดต้นคอผมอีกยิ่งทำให้ใจสั่นไปกันใหญ่ ใจเต้นเหมือนจะระเบิด เข้ามาใกล้ เข้ามาคลอเคลียจนรู้สึกเหมือนจะระทวยไปหมดแล้ว

“ไม่หยุด จะโกรธแล้วนะ”ผมขู่ออกไปเพราะยังไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจ หัวใจจะวายอยู่แล้ว! ก็ได้ผลครับ อาร์มยอมผละออกมาด้วยใบหน้าดูเสียดายสุดๆ

“หยุดแล้วครับ ยอมแล้วครับ”อาร์มยิ้มมีความสุข สีหน้าดูดีไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด

“งั้นก็นอนไปได้แล้ว จะได้หายสักที”ผมออกแรงผลักเบาๆให้มันเอนตัวลงไปนอนพักสักที ไข้กลับขึ้นมากลัวว่าจะหนักกว่าเดิมน่ะสิ

“อืม....ถ้าอาร์มหายแล้วขออะไรอย่างนึงได้ไหม?”ทำตัวเป็นเด็กดีนอนลงไปอย่างว่าง่ายแบบนี้น่าให้รางวัลจริงๆ

“อะไรล่ะ?”

“ไปเดทกันนะ....เดทแบบไม่มีใครพ่วงมาด้วยอ่ะ”น้ำเสียงออดอ้อนท่าทางเข้ามาซุกไซร้เหมือนแมวไม่มีผิด ก็บอกแล้วไงว่าถ้ามันอ้อนล่ะก็ ผมยอมมันทุกอย่าง

“ก็เอาสิ ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย อ่ะ นอนได้แล้ว หรือต้องให้ตีก้นก่อนถึงจะเข้านอนได้”ผมดึงผ้าห่มคลุมไหล่ บอกแกมสั่งให้คนป่วยพักผ่อนได้แล้ว

“ไม่ต้องตีก้นหรอก กูดไนท์คิสสักทีก็พอ อาร์มถึงจะนอนหลับฝันดี”ยิ้มขี้เล่นเหมือนทุกทีแล้วผมก็ก้มลงไปจูบราตรีสวัสดิ์ตามที่มันขอ แต่ก็แค่จุ๊บเบาๆ ไม่ได้ถึงขั้นดีพคิสแต่อย่างใด

“อ่ะ นอนฝันดีแล้วนะ”จูบเสร็จก็ผละออกมา เห็นรอยยิ้มมีความสุขของมันส่งกลับมา

“ครับ”ว่าแล้วอาร์มก็หลับตาลง ยอมนอนหลับพักผ่อนตามที่ผมบอก ผมก็ยังนั่งดูอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มหายใจเข้าออกด้วยจังหวะสม่ำเสมอ หลับไปแล้วจริงๆ ผมก็ฟุบหลับตามไปอีกคน













     ภาพในวินาทีที่ผมตื่นขึ้นมาเพราะแดดส่องลอดผ้าม่านมาคือ ภาพอาร์มกำลังนอนตะแคงข้างจับมือผมอยู่ ตาสว่างเลยทีเดียว รอยยิ้มมันยังประดับบนใบหน้านิดๆ ประหนึ่งว่ากำลังฝันดีตามที่บอกเมื่อคืน เห็นทีไรก็อดใจเต้นไม่ได้ทุกที

     เห็นหลับสบายอยู่ ผมก็เลยค่อยๆดึงมือออกมาหวังว่ามันจะยังไม่ตื่นนะ.... แต่จะดึงมือออกมา ไอ้มือของคนที่ควรจะหลับอยู่ก็ออกแรงดึงผมเอาไว้อีก

“หือ... อรุณสวัสดิ์ครับ”ท่าทางงัวเงียแต่เห็นหน้าผมมันก็ส่งรอยยิ้มพร้อมเอ่ยทักทายให้โดยอัตโนมัติ หวานไปไหม.... ผมไม่เคยนึก ไม่เคยจินตนาการภาพมาก่อนเลยว่าจะมีชีวิตรักหวานชื่นรื่นรมย์ขนาดนี้.... ไม่สิ พูดว่าไม่เคยจินตนาการเรื่องชีวิตรักของตัวเองเลยถึงจะถูก

“อืม ดีขึ้นยัง?”ผมเอามือแตะหน้าผาก แตะคออาร์มเช็คดูว่าตัวยังร้อนอยู่หรือเปล่า ก็พบว่าอุณหภูมิร่างกายมันก็ค่อยๆกลับมาเป็นปกติแล้ว

“สดชื่นขึ้นมากเลยครับ ได้กำลังใจ ได้คนคอยห่วงแบบนี้ ไม่หายให้มันรู้ไป”ท่าทางสดใส สดชื่นขึ้นจนผมค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย แข็งแรงขึ้นก็ดีแล้ว

“อืม งั้นเดี๋ยว เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อให้”

“มอร์นิ่งคิสก่อนสิ”อาร์มเข้ามารั้งเอวผมเอาไว้โดยไม่ทันตั้งตัว แรงเยอะชิบ... แข็งแรงเกินไปมันก็ไม่ดีนะ...

“จะให้ทำทุกวันเลยหรือไง แปรงฟันก็ยังไม่ได้แปรง”

“แปรงก่อนก็ได้ ว่าแต่ไม่เช็ดตัวได้ไหม ให้อาร์มอาบน้ำเลยก็ได้นี่ ไข้ก็ไม่มีแล้ว”มันกลับมาสวมบทบาทเด็กดื้อ งอแงใส่ผมซะอย่างนั้น

“ไม่เอา ไข้กลับเดี๋ยวจะวุ่นวายเปล่าๆ ล้างหน้า แปรงฟันอย่างเดียวพอ ลุกไหวใช่ไหม?”

“น้ำอุ่นก็ได้นี่ ไม่น่าจะเป็นอะไรนะ นะๆ อาร์มเคยทำแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่”นี่ก็ดื้อไม่เลิก อ้อนอีกต่างหาก รู้ว่าผมแพ้คนขี้อ้อนเลยเอาใหญ่เลยสิ...

“ตอนนั้นอาจจะไม่เป็นไร แต่ตอนนี้จะแน่ใจได้ยังไง”

“น่านะ ขอหน่อยนะครับ อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว”

“เมื่อวานก็เช็ดตัวให้แล้ว อึดอัดอะไรกันล่ะ”ครับ เมื่อวานคนเปลี่ยนเสื้อ เช็ดตัวให้มันก็ผมนี่แหละ ในเมื่อน้องในไส้มันยังปฏิเสธไม่ยอมทำเพราะขนลุก ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้พี่ชาย หน้าที่นี้ก็เลยตกเป็นของผมไปโดยปริยาย

“อาร์มก็อยากให้เช็ดตัวให้อีกนะ แต่มันก็อยากอาบน้ำอ่ะ นะๆๆ”

“ตามใจ”ผมมาลองคิดๆดู มันก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แถมตื๊อขนาดนี้ผมพูดอะไรคงไม่ฟัง ก็คงได้แต่ตามใจมัน

“เยส~น่ารักจังเลย”มันลุกขึ้นยืนท่าทางกระปรี้กระเปร่า จับผมหอมแก้มขวาทีซ้ายทีจนอดหมั่นไส้ไม่ได้ หวานแบบนี้ผมก็ไม่ค่อยชินนะ ปรับตัวไม่ทัน เมื่อวานยังเครียดๆกันอยู่เลย

“รีบๆไปได้แล้วก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ”

“ครับ”แล้วมันก็รีบเดินเข้าห้องน้ำด้วยท่าทางอารมณ์ดี ผมก็อดลอบถอนหายใจไม่ได้ พอมันลับสายตาไปแล้วผมก็มองหาตู้เสื้อผ้า ก็เห็นชุดสองสองชุดแขวนเอาไว้ให้พอดี.... ไม่รู้ว่าเอามาแขวนตอนไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คาดว่าคงเป็นฝีมือไอ้อาร์ทล่ะมั้ง

     ผมก็อยากจะขอบคุณมันนะ และจะรู้สึกซาบซึ้งกว่านี้ถ้าชุดที่มันเตรียมให้มันไม่ใช่เสื้อคู่! เสื้อยืดสีขาวสกรีนลายตรงหน้าผมนี่มองยังไงก็รู้สึกว่ามันกำลังแกล้งผมชัดๆ อันที่จริงก็ไม่ถึงขึ้นเสื้อคู่หวานแหววอะไรหรอก แค่เสื้อสกรีนลายหมีขนสีน้ำตาลตัวนึงกับหมีขนสีขาวอีกตัวจับมือกัน ส่วนอีกตัวก็สกรีนลายไอ้หมีสองตัวนั่นเหมือนเดิมเพียงแต่เปลี่ยนอากัปกิริยาเป็น หอมแก้มกันก็เท่านั้นเอง..... อย่าให้รู้ตัวต้นคิดนะ

“พอร์ชครับ”เสียงเรียกดังมาจากห้องน้ำ หันไปก็เห็นอาร์มยืนตัวเปียกพันผ้าขนหนูแล้ว ตามสเตปมันอ่ะครับ อาบน้ำเร็วประหนึ่งไปอาบน้ำค่ายร.ด.

“อะไร ถามหากางเกงในหรือไง?”มองซิกแพคที่ไรรู้สึกหน้าร้อนๆทุกที โอย นี่ความเป็นชายผมไม่เหลือแล้วใช่ไหม? ใจเต้นตึกตักกับผู้ชายได้เนี่ย เออ แต่มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นตั้งแต่ที่ผมหวั่นไหวไปกับมันแล้วมั้ง...

“รู้ใจอาร์มจังเลย”เอ้า ผมก็ดันทายถูกอีก

“ไม่รู้อยู่ตรงไหนรื้อๆดูสิ ....เออ แล้วไอ้เสื้อคู่นี่ใครมันเอามา ใครเป็นต้นคิด”ผมเสมองเสื้อที่ถูกแขวนเตรียมเอาไว้ให้แล้วนึกภาพตามก็อยากจะมุดลงดินจริงๆ

“ไอ้อาร์ทล่ะมั้ง แต่ก็ดีเหมือนกัน เคยคิดอยากลองใส่ดูสักครั้งมาตั้งนานแล้วด้วย”

“งั้นใส่คนเดียวก็ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”

“ไม่ได้ เสื้อคู่มันก็ต้องใส่คู่กันสิ”

“ก็ไม่อยากใส่”

“ใส่ด้วยกันนะ”น้ำเสียงออดอ้อนมาอีกแล้ว สายตาวิงวอนนี่ท่าไม้ตายเฉพาะตัวมันเลย มีถือเสื้อมายัดเยียดให้ผมอีกต่างหาก

“ก็ได้”ผมก็ยอมสิครับ หน้าด้านๆใส่ให้มันหน่อยแล้วกัน ถึงการทำตัวหวานๆแบบนี้มันจะไม่ใช่วิสัยผมก็ตาม

“แฟนน่ารักขนาดนี้ ไม่ให้รัก ไม่ให้หลงได้ไงเนี่ย”ว่าแล้วมันก็กระทำการหอมแก้มผมอีกครั้ง

“พอๆ รีบๆใส่เสื้อได้แล้ว ตากลมอยู่อย่างนี้เดี๋ยวก็ไข้ขึ้นอีก”ผมรีบเตือนมันแล้วก็หาเปิดตู้เสื้อผ้าหากางเกงในให้มันใส่ และผมใส่ด้วย....

“แล้วก็กางเกงในเดินมาหยิบเอาเองแล้วกัน”เปิดตู้มาก็เจอตู้โล่งๆกับชั้นในแพคใส่ถุงอย่างดีวางแหมะอยู่พอดี หยิบของตัวเองได้ก็บอกให้อาร์มมาหยิบเอง

“พูดถึงกางเกงในแล้วนึกถึงวันนั้นเลยเนอะ พอร์ชหัวฟัดหัวเหวี่ยงแทบแย่เลย น่ารักดี”อาร์มยิ้มขำ...วันนั้นที่ว่าคือวันไหนของเดือนไม่ต้องถามกันนะครับ น่าจะรู้กันอยู่ว่ามันคือวันที่ไอ้อาร์มบุกห้องผม ถือวิสาสะเอากางเกงในผมไปใส่.... ตอนนั้นผมนี่อยากจะฆ่ามันจริงๆเลย

“ก็ใครมันเล่นพิเรนทร์เอากางเกงในชาวบ้านมาใส่ล่ะ เอ้า รีบๆแต่งตัวได้แล้ว”ผมเตือนมันอีกครั้ง แล้วก็เดินไปอาบน้ำบ้าง ปล่อยอาร์มยืนขำอยู่ตรงนั้น ผมก็ถอดเสื้อผ้าชุดเดิมกองทิ้งไว้มุมเดียวกับที่อาร์มมันถอดเสื้อทิ้งเอาไว้ก่อนแล้ว ผมก็เอาเสื้อตัวที่อาร์มยัดเยียดมาให้ออกมาดูอีกครั้ง มันคือลายที่ เจ้าหมีตัวสีขาวหอมแก้มเจ้าหมีขนสีน้ำตาล..... ทำหน้าหนา อย่าไปสนใจเรื่องลายแล้วกัน...

     ส่วนกางเกงก็เป็นกางเกนยีนส์ขาเดฟสีดำธรรมดาๆที่แนบมาด้วยนั่นแหละ ผมมองหาที่แขวนไว้สักที่แล้วก็เดินเข้าไปอาบน้ำตามปกติ หลังจากที่ได้อาบน้ำก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมานิดหน่อย เอาผ้าขนหนูซับตัวจนรู้สึกว่าสบายตัวแล้วก็ใส่เสื้อผ้า โคตรจะแปลกใจที่ผมดันใส่ได้พอดีเป๊ะทั้งเสื้อ ทั้งกางเกงเลย แปลกใจอยู่ไม่นานผมก็รีบออกไปดูคนที่เพิ่งหายไข้ เกิดเป็นลมล้มพับขึ้นมาอีกจะแย่เอา

“อ้าว ทำไมวันนี้อาบน้ำเร็วอ่ะ”เห็นหน้าผมโผล่ออกมาในเวลารวดเร็ว อาร์มก็ทำหน้าแปลกใจ เพราะทุกทีผมอาบน้ำทีก็ต้องเอาให้สะอาดจริงๆ แต่วันนี้รีบหน่อยก็เอาแค่พอดีๆ

“ก็อยากอาบเร็วไง ทำไม?”ผมยักไหล่ใส่แล้วก็มองเสื้อที่อาร์มใส่ มันก็มองเสื้อที่ผมใส่กลับมาเหมือนกัน....

“น่ารักจัง”อยู่ๆก็พูดแบบนี้ออกมาด้วยรอยยิ้มดูมีความสุข โดยที่ไม่ลืมมองหน้าผมให้เขินเล่นไปด้วย

“อะไรน่ารัก?”ขอถามเพื่อความแน่ใจหน่อยแล้วกัน

“ก็น่ารักทั้งเสื้อ ทั้งคนใส่เลยไง”....จะอ้อนขออะไรผมอีกก็เอาเลย ระทวยแล้ว ยอมมันทุกอย่างแล้ว

“ชอบเหรอ ไอ้เสื้อคู่เนี่ย?”ผมมองเสื้อตัวเองสลับเสื้ออาร์ม ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าใส่เพื่ออะไร ประกาศสถานะให้โลกรู้เหรอ ใส่ขำๆ หรือใส่เพราะมันดูน่ารักดีหรือยังไง?

“อื้ม จริงๆพอร์ชจะใส่อะไรอาร์มก็ชอบแหละ แต่แบบนี้ก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน”โดนโจมตีเสียเลือดจนค่า HP จะหมดแล้ว....ตอนนี้จะใส่เพื่ออะไรก็ช่างมันแล้วครับ

“เหอะ ก็ปากหวานอย่างนี้ทุกที แล้วสรุปวันนี้จะไปไหน?”ผมลงไปนั่งข้างๆมัน อาร์มก็กุมมือผมเอาไว้ทันที ไม่รู้เป็นอะไร เห็นชอบจับมือผมไว้ทุกทีเลย ผมก็ไม่อะไรหรอก อยากจับก็จับไป

“อาร์ทมันจองโต๊ะร้านชูการ์รูนไว้ให้แล้วอ่ะ.....”อาร์มมันพูดชื่อร้านที่ผมรู้ได้ทันทีเลยว่ามันเป็นร้านอะไร

“น้องคุณนี่หลายรอบแล้วนะ”แม่งแกล้งกันชัดๆ ก็ไอ้ร้านนี้มันเป็นร้านขนมหวานที่ตกแต่งซะหวานแหวว แถมมีตัวมาสคอตเดินว่อนไปว่อนมาอีก ที่สำคัญคือลูกค้า 99 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้หญิงด้วย.... มันกำลังส่งผมไปให้โดนยำด้วยสายตาชัดๆ

“ไม่เอาสิ เป็นแฟนกันไม่เรียกคุณแล้วนะ....เรียกชื่ออาร์มได้ไหม?”เสียงอ้อนหวานขนาดนี้ สายตาวิงวอนขนาดนี้ใครจะไม่ยอมมันล่ะ

“อืม”

“แล้วก็ ถ้าไม่อยากไป ก็ไม่เป็นไรนะ”

“ไม่เป็นไร ว่าแต่น้องอาร์มนี่ไม่ใช่ว่ายังเรียนอยู่เหรอ?”ผมนึกสงสัยเพราะพวกผมก็เพิ่งเรียนจบมา แสดงว่าไอ้อาร์ทมันก็น่าจะต้องเรียนอยู่สิ

“อืม ปี4 แต่ช่วงนี้ปิดเทอมไงเลยมาช่วยงานที่บ้าน ฝึกงานก่อนไปเจอของจริงไปในตัวด้วย มันเก่งนะ นี่ก็ไปดูบริษัทแทนอาร์มให้ด้วย”เห็นชอบทำร้ายร่างกายกันแบบนี้ แต่ก็ดูจะรักกันดีน่าดูแฮะ

“อ่ะเหรอ แล้วจะไปกันได้ยัง?”

“อืม.... แต่เดี๋ยว....ยังไม่ได้มอร์นิ่งคิสเลยนะ”อยู่ๆก็นึกออกขึ้นมาซะงั้น อาร์มลุกตามผมเดินเข้ามาประชิดตัว เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ให้หวั่นไหวเล่นๆ

“ก็มาเอาไปสิ”อยากได้ผมก็พร้อมหยิบยื่นให้ เงยหน้าให้ได้องศาหน่อยๆเพื่อบอกว่าจะทำอะไรก็ตามสบายเลย

“งั้นไม่เกรงใจละนะ”แล้วริมฝีปากนั้นก็ทาบทับลงมาเบาๆ... อ่า โดนจูบปิดท้ายแบบนี้อีกแล้วสิเนี่ย


= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

ออฟไลน์ Lynne

  • ไม่มีให้เสพ?ก็ผลิตเอาสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • @Lynnelalin
Re: กลลับ พรางรัก บทที่20 1/10/15
«ตอบ #29 เมื่อ01-10-2015 19:57:20 »

บทที่ 20

     หลังจากที่ทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว ตอนเดินไปขึ้นรถอาร์มก็ยื่นมือถือเครื่องสีดำที่ผมกำลังนึกอยู่เลยว่าหายไปอยู่ไหนมาให้ ผมรีบเปิดเช็คทันที บนหน้าจอปรากฏเครื่องหมายว่าแบตถูกชาร์จเต็มแล้ว แต่เรื่องนั้นคงไม่สำคัญเท่ากับที่ พอผมเปิดหน้าจอขึ้นมาแล้วเห็นมิสคอลจากไอ้ไนซ์เป็นสิบๆสาย

     ผมไม่รอช้ารีบโทรกลับไปทันที ก่อนที่ทางบ้านจะห่วงกันไปมากกว่านี้ พอโทรกลับไปเท่านั้นแหละ รอสายแค่ไม่กี่วินาที เสียงเล็กแหลมแสบแก้วหูก็ดังแผดใส่หูเต็มๆเลย

‘หายไปไหนมา!??? ตอนนี้อยู่ไหน!? ทำไมยังไม่กลับบ้าน!?? หรือเกิดอะไรขึ้น! ตอบไนซ์มานะ!’น้ำเสียงนั้นไม่รู้ว่าแฝงอารมณ์ไหนอยู่แต่ดูเหมือนมันมีทั้งอารมณ์โกรธเล็กๆ กระวนกระวาย กังวลใจหน่อยๆ แต่ที่เด่นชัดที่สุดคือ....’เป็นห่วง’ ถึงแม้เสียงตะเบ็งเข้มชัดแสบหูแค่ไหน แต่ในน้ำเสียงนั้นออกจะสั่นเครือ เหมือนจะร้องไห้ด้วยซ้ำ

“ไนซ์...ใจเย็นๆก่อน พี่ไม่เป็นไร พี่แค่ออกมาจัดการธุระนิดหน่อยเลยไม่ได้กลับบ้าน แล้วก็ใช้โทรศัพท์ไม่ได้ด้วย เลยโทรไปไม่ได้ ขอโทษนะ พี่ยังสบายดีอยู่ ไม่ต้องห่วง”สิ่งแรกที่ต้องทำคือพยายามปรับอารมณ์น้องสาวคนนี้ให้เย็นลงก่อน ยืนยันด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

‘เค้าเป็นห่วงแทบตาย ถ้าพี่เป็นอะไรไปไนซ์ต้องโทษตัวเองตายแน่ๆ ถ้าไม่ฝากพี่ออกไปซื้อของก็ดีหรอก.... แต่ไม่เป็นไรจริงๆนะ วิดีโอคอลล์กลับมาได้ไหม? ไนซ์อยากดูให้แน่ใจว่าพี่ไม่เป็นไรจริงๆ‘เวลาห่วงผมก็ห่วงซะขนาดนี้ นี่ล่ะจุดน่ารักของน้องผม

“อืม รอแป๊บนะ”ผมวางสายแล้วกดเข้าโปรแกรมแชท เลือกเมนูวิดีโอคอลโทรกลับไปหาไนซ์

“อ่ะ นี่โอเคยัง?”ผมยกมือถือมาไว้ตรงหน้าโบกมือให้

‘ดีจัง ตัวเองไม่เป็นไร’ไนซ์ทำเสียงขึ้นจมูก ภาพในจอที่ผมเห็นมันกระตุกๆนิดหน่อย ผมเลยไม่ค่อยชอบใช้งานวิดีโอคอลเท่าไหร่ แต่นี่ติดคำเรียก เค้า ตัวเองมาอีกคนแล้วเหรอ???

“ยังครบสามสิบสองนี่ ดูดิ ว่าแต่พ่อกับแม่ว่ายังไงบ้างล่ะ?”

‘งือ ตอนแรกไนซ์ไปบอกพ่อแล้ว แต่เค้าก็บอกกลับมาว่าถ้าผ่านไป 1 วันแล้วยังไม่ติดต่อกลับมาก็ให้ตามหาตัวได้เลย พ่อเค้าบอกว่า เชื่อว่าพี่จะเอาตัวรอดได้น่ะ อืม แต่รู้สึกเหมือนเห็นไปตรวจๆสัญญาณตามตัวอยู่เหมือนกัน’

“ฝากขอโทษ แล้วก็ฝากบอกว่าพี่ยังปลอดภัยดีให้หน่อยแล้วกันนะ”

‘อื้อ แล้วนี่อยู่ไหนล่ะเนี่ย?’มันถามมาแบบนั้นเล่นเอาผมตอบอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว จะให้ตอบไปว่าอยู่บ้าน เอ่อ...น้องแฟนก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะโดนซักฟอกยาวเหยียดเปล่าๆ

“ก็เดินเรื่อยเปื่อยอยู่ข้างนอกนั่นแหละ กะว่าจะไปเดินแถวๆย่านที่ไนซ์ชอบไปเดินนั่นแหละ สักเย็นๆคงกลับ”ผมตอบกลับพลางเหลือบๆมองไอ้อาร์มที่จ้องผมมาได้สักพักแล้ว
 
‘รีบกลับนะ คิดถึง’ดูทำเสียงงุ้งงิ้งเข้า ใครไม่รู้คงนึกว่าผมกับมันเป็นแฟนกัน ซึ่งก็เคยถูกเข้าใจผิดแบบนี้หลายครั้งเหมือนกันตอนออกไปข้างนอกกับไนซ์

“อืม เหมือนกัน คิดถึงเจ้าคุมะที่บ้านนะ”

‘อะไร คุมะน่ะของเค้า ไม่ให้แตะหรอก’ไนซ์ทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ แถมดูตลกพิลึกด้วย

“รู้แล้วน่า เดี๋ยวจะวางสายแล้วนะ”

‘อืม เจอกันที่บ้านนะ’ไนซ์ตอบแล้วโบกมือลาก่อนที่ภาพเคลื่อนไหวบนจอจะหยุดลงเป็นอันสิ้นสุดการสนทนา

“นั่นใครน่ะ?”อาร์มถามขณะที่กำลังขับรถอยู่ วันนี้มันก็ทำหน้าที่เป็นสารถีให้ผมเหมือนเคย

“น้องสาว...เป็นลูกพี่ลูกน้องกันน่ะ เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าแม่ผมไม่ได้อยู่ที่ไหนในโลกนี้แล้ว...พ่อก็ทิ้งไปตั้งนาน ลุงผมก็เลยรับไปเลี้ยงตั้งแต่เด็ก เหมือนผมเป็นลูกแท้ๆ ผมกับน้องสาวก็สนิทกันเหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน ประมาณนั้น”รู้สึกเหมือนว่าเชื่อใจกันได้ จนสามารถพูดออกไปโดยไม่ตะขิดตะขวงใจได้

“งั้นก็ดีแล้วล่ะ”

“อื้ม”ตอบรับสั้นๆแล้วเราก็นั่งเงียบกันอยู่อย่างนั้น

“ขอจับมือได้ไหม?”

“หือ? มาจับอะไรตอนนี้ล่ะ ขับรถไปดีๆเถอะ”

“กำลังใจอ่ะกำลังใจ”เสียงงุ้งงิ้งจนชวนให้นึกถึงไอ้ไนซ์ชอบกล สายตาออดอ้อนเหลือบมองผมเล็กน้อย แล้วก็หันไปมองทางข้างหน้าต่อ

“ไว้จอดรถแล้วจะจับเท่าไหร่ก็จับไปเลย ตอนนี้ขับรถก่อน ...ว่าแต่ ขับรถนี่มันต้องมีกำลังใจด้วยเหรอ?”ผมขับรถยังไม่เห็นต้องการกำลังใจอะไรเลย

“กำลังใจจากแฟน ไม่ว่าตอนไหนก็อยากได้ทั้งนั้นแหละ เนอะ?”

“ครับๆ”ผมรู้สึกว่าชักชินกับลูกอ้อนมันแล้วสิ แบบว่าชักจะมีภูมิต้านทานขึ้นมาแล้ว

     จุ๊บ

     ช่วงเวลาก่อนที่ไฟแดงจะเปลี่ยนเป็นไฟเขียวเพียงเสี้ยวนาที แก้มผมก็ถูกฉกจูบจากคนต้องการกำลังใจข้างๆนี่ ถึงจะบอกว่าชินกับลูกอ้อน แต่ก็ยังไม่ชินกับแบบนี้นะครับ! หัวใจที่เคยสงบแม่งก็กลับมาเต้นเป็นจังหวะดิสโก้เลยสิ.... จะบ้า

     ผมถลึงตาใส่คนขโมยหอมแก้มผมไปหนึ่งที แต่มันก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ขับรถต่อไป ยิ้มระรื่นจนน่าถีบตกรถพิกล เออ แต่เอาเถอะ ช่วยไม่ได้ รักแล้วก็มีแต่ต้องยอม...(เอ่อ...อย่าอ้วกใส่ผมกันนะครับ)











“สวัสดีค่ะ ร้านชูการ์รูน ยินดีต้อนรับค่ะ มาทั้งหมดกี่ท่านคะ?”พนักงานสาวเอ่ยต้อนรับเป็นสเตปทันทีที่พวกผมมาถึงที่ร้าน ไอ้ร้านนี่ก็ไม่ได้หายากเลยสักนิด เดินมาปุ๊บก็รู้ปั๊บเลยว่าเป็นร้านนี้ สไตล์การตกแต่งร้านหวานแหววเป็นเอกลักษณ์ มาสคอตกระโดดดึ๋งๆต้อนรับอยู่หน้าร้าน เห็นแล้วอยากกระโดดถีบไอ้มาสคอตหน้าแป้นแล้นนั่นด้วยความรู้สึกหงุดหงิดยังไงไม่รู้

“จองโต๊ะไว้แล้ว ชื่อวัชระน่ะครับ”

“คุณวัชระนะคะ เชิญทางนี้ค่ะ”พนักงานคนเดิมตอบพร้อมนำทางไปด้วยท่าทางคล่องแคล่ว แต่ผมเห็นพนักงานแบบนี้ที่ไหนทีไร ก็รู้สึกว่ามันดูเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนโปรแกรมใส่ชอบกล.... ไม่ได้เรื่องมากนะ แต่ผมชอบร้านที่สบายๆ เป็นกันเองมากกว่า

     แถมพอพวกผมเดินเข้าไปเท่านั้นแหละ ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เป็นผู้หญิงก็หันมามองทีละคนสองคน ก่อนที่จะหันมามองกันเป็นตาเดียวกันทั้งร้าน นึกถึงตอนที่ไปกินข้าวด้วยกันกับอาร์มตอนนั้นพิกล แค่เปลี่ยนจากหม้อไฟเป็นขนมหวานนุ่มชุ่มลิ้นก็เท่านั้น

“พอร์ชจะเอาอะไรดีครับ?”หลังจากรับเมนูไปเปิดดูแล้วอาร์มก็เงยหน้าขึ้นมาถามผมเหมือนทุกครั้งที่ไปกินข้าวด้วยกัน

“ขอดูก่อน อาร์ม...สั่งไปก่อนเถอะ”ผมอ่านเมนูตรงหน้าอย่างคิดหนัก ไม่รู้จะกินอะไรดี ในเมื่อเมนูสารพัดตรงหน้านี่ทำเอาผมมึนไปหมด

“ถ้างั้นขอวานิลาพุดดิ้ง บราวนี่ แล้วก็น้ำดื่มขอเป็นน้ำเปล่าครับ”อาร์มหันไปบอกพนักงานจดบิล

“ขอราสเบอรี่มูส เอแคลร์ คัพเค้กชาเขียว ฮันนี่โทสต์ บลูเบอรี่ครัมเบิล แล้วก็น้ำเปล่าครับ”ไม่รู้ว่าอะไรอร่อย แล้วก็อยากลองดูด้วยว่าเป็นยังไง เลยเลือกๆจากในเมนูแนะนำมาสี่รายการ ส่วนเอแคลร์อันนี้อยากกินเป็นการส่วนตัว

“โห กินไหวเหรอครับ?”พอเห็นผมร่ายยาวมันก็ทำหน้าอึ้งๆมองผม ทำไมล่ะ? ของหวานน่ะขึ้นชื่อว่าเป็นของกินชนิดเบาๆ(?) แค่นี้ไม่กระเทือนกระเพาะผมหรอก

“แค่นี้เอง ไม่ได้ไปกินหมูกระทะอะไรพวกนั้นสักหน่อย....หรือต่อให้กินไม่หมดก็ช่วยกันกินสิ”ประโยคสุดท้ายคือผมคิดไว้อยู่แล้วว่าถ้ากินไม่หมดยังไงก็แค่ให้อาร์มช่วยก็เท่านั้น

“งั้นก็ตามนั้นครับ”อืม ดีมาก เชื่อฟังผมดี

“เอ่อ...ขออนุญาตทวนรายการของหวานนะคะ วานิลาพุดดิ้ง 1 บราวนี่ 1 ราสเบอรี่มูส 1 เอแคลร์ 1 คัพเค้กชาเขียว 1 ฮันนี่โทสต์ 1 บลูเบอรี่ครัมเบิล 1 ส่วนเครื่องดื่มเป็น น้ำเปล่าสองที่นะคะ รายการของหวานทั้งหมดครบถ้วนถูกต้องนะคะ”พนักงานสาวใช้ปากกาเล็กๆจิ้มๆไปที่เครื่องจดรายการไปก็พูดรายการของหวานประหนึ่งท่องบทสวดไป พูดจบเธอก็โค้งให้ก่อนจะเดินจากไป

“ยิ้มอะไรเล่า?”ผมเห็นอาร์มมองผมแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ซึ่งก็เป็นปกติของมัน แต่พักนี้เห็นออร่ามีความสุขจนล้นปรี่แล้วชักหมั่นไส้เล็กๆไม่ได้

“ยิ้มเพราะมีความสุขไง”ครับ รู้แล้วครับว่ามีความสุข ไม่ต้องทำออร่าวิ้งๆเป็นประกายใส่

“มีความสุขเรื่อง? อ๋อออ รู้แล้ว เรื่องบริษัทล้มละลายเพราะประธานเอาแต่เล่นใช่ป่ะ?”ผมแกล้งกวนมันกลับไปด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ

“อย่าแช่งอย่างนั้นสิ ไม่ดีนะ บริษัทเราเจ๊ง แล้วเค้าจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงลูกเมียล่ะ?”ได้ยินมันพูดผมชักคิ้วกระตุก

“บริษัทเราไหน แล้วใครลูกเมียคุณครับ”

“ตัวเองก็ เขินก็บอก”

“พอๆๆ”

“ที่อาร์มมีความสุขก็เพราะว่า ได้มาอยู่ตรงนี้ในฐานะคนรักของพอร์ชไม่ใช่เหรอไง?”หยอดคำหวานมาให้แบบไม่รู้เบื่อแล้วก็เอื้อมมาจับมือข้างที่วางอยู่บนโต๊ะ ด้วยรอยยิ้มประดุจดั่งแสงอรุณในยามที่ราตรีได้ผ่านพ้นไปแล้ว.... เฮ้ย นี่ผมมาพรรณนาโวหารอะไรแถวนี้ล่ะ ไอ้อาร์มมันต้องเป่าคาถา วางยาอะไรผมแหง ไม่งั้นผมคงไม่ออกอาการหลงมันเข้าขั้นเบลอขนาดนี้หรอก ....ถึงความจริงที่ว่าคือผมก็แค่แพ้ความจริงใจของมัน หลงรักความอบอุ่นของมันก็เถอะ

“พูดออกมานี่อายบ้างก็ได้นะ”

“สวัสดีค่ะ รายการของหวานที่ท่านสั่งได้รับแล้วค่ะ ขออนุญาตเสิร์ฟนะคะ”พนักงานสาวหน้าใหม่เข้ามาแทรกบทสนทนาที่ชวนให้ผมใกล้ระเบิดตัวเอง ผมมองแขนเล็กๆเหมือนจะหักได้ที่สามารถถือถาดที่ใส่ จานแก้วสิริร่วมเจ็ดจานไว้ได้ด้วยแขนข้างเดียว ก็ชักทึ่ง ...นี่คือความสามารถพิเศษของพนักงานเสิร์ฟสินะ

“.....ขอบพระคุณมากค่ะ”พนักงานพูดอะไรบ้างไม่รู้ รู้แต่มันยาวจนแทบหลับ แถมสิ่งที่ผมสนใจมากกว่าก็คือของกินตรงหน้านี่แหละ ขนมหวานก็เปรียบได้กับศิลปะชนิดหนึ่งนะ สีสันสวยงาม กระบวนการทำ การจัดวาง ออกแบบออกมาได้อย่างพิถีพิถัน น่าหลงใหล ที่สำคัญพอได้ลิ้มรสแล้วก็แทบสลัดทุกสิ่งที่อยู่ในหัวตอนนั้นทิ้งไปหมดเลย นี่แหละเสน่ห์ของมัน

“ชอบเหรอครับ?”เหมือนเห็นผมทำตาวิบวับมองขนมตรงหน้าอยู่นาน อาร์มเลยถามยิ้มๆ

“ของอร่อยใครจะไม่ชอบ”ว่าแล้วผมก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป เพื่อจะได้เอามาเขียนในบันทึกว่ามันเป็นยังไง เก็บไว้เป็นข้อมูล... ของหวานเนี่ยของโปรดผมเลย เพราะไนซ์ชอบพาผมไปกินขนม ชอบทำขนมมาให้กินบ่อยๆ มันเลยกลายเป็นของโปรดผมไปโดยปริยาย ถึงผมจะไม่ชอบบรรยากาศหวานแหววเกินเหตุของร้านก็เถอะ

“ครับ อ่ะ มาถ่ายรูปคู่หลังจากคบกันอย่างเป็นทางการกันดีกว่า”แล้วมันก็เดินอ้อมมานั่งข้างๆหยิบมือถือตัวเองขึ้นมา ดึงผมเข้าไป แล้วก็กดแชะ ไม่ถงไม่ถามความสมัครใจอะไรผมสักคำ

“อีกรูปนะ 1 2 3 ยิ้ม~”เป็นอีกครั้งที่ผมยังไม่ทันพูดอะไร อาร์มก็กดถ่ายรูปอย่างรวดเร็ว  ดูหน้าผมในรูปสิ โคตรจะไม่มีอารมณ์ร่วม

“ทีนี้ก็ได้ฤกษ์เปลี่ยนรูปหน้าจอแล้ว”เจ้าของมือถือเครื่องสีดำกดเข้าไปในโฟลเดอร์รูปภาพ.... ชื่อโฟลเดอร์คือ’My Porch >3<’ แต่ชื่อโฟลเดอร์ยังไม่ทำให้ผมรู้สึกอึ้งเท่าที่อาร์มกดเข้าไปดูแล้วมันคือรูปผม ราวๆ....หลายร้อยกว่ารูปได้...! ขนาดในเครื่องผมยังมีรูปตัวเองอยู่แค่สองสามรูปเอง

“เฮ้ยยย รูปพวกนี้มันอะไร ไปเอามาจากไหน!???”ผมแย่งมาดูแทบไม่ทัน เลื่อนๆดูก็มีทั้งรูปแอบถ่าย และรูปที่ตั้งใจถ่าย แต่จุดที่เหมือนกันคือคนในรูปทุกรูปคือผม อยากได้แบบไหนก็มีทุกอิริยาบถให้เลือกดู รูปเดี่ยว รูปคู่ รูปหมู่ รูปติดวิญญาณ เอ๊ย ไม่ใช่แล้ว.... ผมค้อนสายตามองไอ้อาร์มอย่างที่ว่าถ้าไม่ได้คำตอบเอ็งตาย

“แหะๆ ก็ได้มาจากเพื่อนๆบ้าง ได้มาจากแฟนเพจบ้าง รูปจากเว็บมหา’ลัยบ้าง แอบไปถ่ายเองบ้าง ประมาณนั้น แต่ส่วนมากจะถ่ายเองมากกว่า แบบว่าถ้าเจอที่ไหนก็ถ่ายที่นั่นเดี๋ยวนั้นเลย....เอาไปดูได้นะ โน๊ตบุ๊คที่บ้านมีเยอะกว่านี้อีก อยากได้รูปไหนก็บอก”...ไม่ยักรู้ว่าชีวิตผมจะมีสโตร์กเกอร์ตามติดชีวิตผมเหนียวแน่นขนาดนี้โดยที่ผมไม่รู้ตัว...

“ใครจะอยากได้”พูดไปมือผมก็เลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ เริ่มจากรูปแรกคือรูปผมในชุดนักศึกษา จำไม่ได้ว่าเป็นตอนอยู่ปีไหน แอบถ่ายที่ตึกคณะผมซะส่วนใหญ่ มีรูปผมในชุดไปรเวทคละๆมาบ้าง เห็นแล้วชักกลัวๆไอ้อาร์มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เลื่อนจนเมื่อยก็มาถึงรูปผมในปัจจุบัน(คิดว่านะ) ที่คิดอย่างนั้นก็เพราะชุดที่ใส่มันเป็นชุดทำงาน

“นี่ก็กะว่าจะทำเป็นอัลบั้มภาพ แล้วก็อัดรูปแขวนข้างผนังห้อง หัวเตียง แล้วก็กรอบรูปข้างเตียงสักหน่อย”มันทำหน้าเคลิ้มแต่น้ำเสียงเอาจริงเอาจัง เป็นการบอกว่ามันคิดที่จะทำจริงๆ

“ไม่ต้องเลย แม่งดูโรคจิตเกินไปแล้ว”ผมส่งมือถือคืนให้มัน แอบเห็นแวบๆว่าหน้าจอที่มันใช้อยู่คือรูปผมกำลังนั่งห่มผ้าหลับอยู่บนรถทัวร์ถ่ายคู่กับมัน... คนเค้าหลับก็ยังอุตส่าห์ถ่ายรูปอีก

“ก็แค่อยากเห็นหน้าแฟนทุกเวลาให้ชื่นใจหน่อยเท่านั้นเอง”

“ก็อยู่ข้างๆตรงนี้ไม่ใช่เหรอไง? ไม่เห็นจะต้องทำอะไรแบบนั้น”แล้วผมก็เลื่อนจานฮันนี่โทสต์เข้ามาตักกินก่อนไอติมจะละลาย ทันทีที่ตักเข้าปาก รสชาติหวานเย็นชุ่มลิ้น ปะทะกับความกรอบ ความหวานของน้ำผึ้งเข้ากันสุดๆ วินาทีนี้ผมสับสวิตซ์เลิกสนใจอาร์มเป็นที่เรียบร้อย

“พูดแล้วนะว่าจะอยู่ด้วยกัน”

“อื้อ”คัพเค้กก็อร่อยแฮะ บลูเบอรี่ครัมเบิ้ลก็สุดๆ คราวหน้าหามากินอีกดีกว่า

“24 ชั่วโมงforever?”

“อื้อ”เอแคลร์นี่กัดเข้าไปคำแรกตายอย่างสงบเลยทีเดียว ฟินชาตินี้ยันชาติหน้า ...ว่าแต่อาร์มพูดอะไรนะ? เหมือนมีอะไรผ่านหูไปชอบกล

“เจอหน้าแม้ในยามหลับ ยามตื่น?”

“อื้อ .....เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พูดอะไรหรือเปล่า?”ได้ของกินแล้วลืมไอ้อาร์มไปเลยแฮะ ผมหันไปมองทั้งที่ในปากยังเคี้ยวหยับๆก็เห็นมันทำหน้างอนๆ แก้มป่องพองลมใส่ซะอย่างนั้น

“พอร์ชอ่ะ ไม่ฟังกันเลย งอนแล้วนะ”ทำปากยื่นใส่อีกแน่ะ.... งอนอะไรอีกล่ะเนี่ย

“ก็กินอยู่อ่ะ อ่ะๆนี่ หายงอนนะ”ผมเอาเอแคลร์จิ้มๆปากอาร์ม แม้มันจะดูเป็นวิธีการง้อที่แบบเหมือนเด็กๆ แต่ผมกับไนซ์ก็ทำกันเป็นประจำ แถมได้ผลดีซะด้วยสิ.... หรือเพราะพวกเราสองพี่น้องเห็นแก่กินกันก็ไม่รู้ อ้อ...หมายเหตุหน่อยนึง วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้กับคนสนิทเท่านั้นนะเออ ลองมีใครมาง้อผมแบบนี้โดยที่ไม่ได้สนิทกันดูสิ จะถีบคว่ำเลย

“เอาของกินมาง้อก็ไม่หาย”อาร์มกอดอกอย่างถือสิทธิ์เหนือกว่า เอ้า งอนเข้าไป

“แล้วจะให้ทำอะไร ถึงจะหายล่ะ”แต่ผมก็ยังง้อต่อนะ นี่อุตส่าห์ละมือจากขนมหวานทั้งหลายแหล่ หันมาคุยด้วยเลยนะ

“หอมแก้มสิ”พูดแล้วก็ยื่นแก้มเข้ามาใกล้ๆผม เป็นการบอกว่าให้หอมตอนนี้เลย... จะว่าผมยอมไอ้อาร์มก็จริงนะ แต่ต่อหน้าธารกำนัล จะให้แสดงออกทางความรักกันโจ่งแจ้งแบบนี้ผมก็อายเป็นนะเออ

“ที่อื่นได้ไหม?”ขอต่อลองสักหน่อยแล้วกัน เพราะผมแอบเห็นสายตาสาวๆเหลือบมองมาเป็นระยะๆ แถมสีหน้าพวกเธอยังดูแบบยิ้มกรุ้มกริ่มยังไงไม่รู้ เห็นแล้วก็ชักจะกลัวๆ

“ที่นี่ตอนนี้ครับ ไม่งั้นงอนยาวนะ”ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ ยักไหล่ ยักคิ้วใส่อีกต่างหาก ถ้าไม่ติดว่าเป็นแฟน พ่อถีบร่วงตกเก้าอี้ไปแล้วนะเนี่ย

“จิ๊”เอาก็เอาวะ แค่แป๊บเดียวคงไม่มีใครสังเกตเห็น..... ผมกระเถิบเข้าไปแล้วก็ค่อยๆบรรจงจูบลงไปบนแก้มไอ้อาร์ม....

“กรี๊ด~!!!!!!!”พลันเสียงกรีดร้องของหญิงสาวโต๊ะใกล้เคียงก็ดังขึ้นทันที จนผมต้องรีบผละออกมาด้วยความตกใจ

“คุณลูกค้าคะ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”พนักงานสาวตัวน้อยๆรีบพุ่งเข้าไปหาโต๊ะต้นเสียง พลางมองหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น ตั้งแต่จานขนม ถ้วยชา ไม่มีอะไรผิดปกติผ่าน ใต้โต๊ะไม่มีอะไรหล่น ไม่มีอะไรแตก และไม่มีสิ่งมีชีวิตสปีชีย์เดียวกับแมลงสาบ ผ่าน...แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเขาวะ?

“อ้ะ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ แค่แบบมันเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ....จุดๆนี้ขอบอกเลยว่าฟินมาก”ฟินเรื่อง??? ฟินเค้กอ่ะเหรอ? แต่มันก็ไม่น่าจะฟินอะไรขนาดนั้นนะ

“เนอะ คู่นี้เข้าคู่กันได้ลงตัวสุดๆเลยเนอะ ฟินกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”หญิงสาวคนที่สองพูดเสริมด้วยหน้าตาท่าทางสุขีปรีดาไม่แพ้กัน....ว่าแต่ คุยเรื่องอะไรกัน คู่นี้ คู่ไหน บอกผมที ไม่เข้าใจว่ะครับ ขนมคู่ชาอ่ะเหรอ? งงว่ะครับ

“เอ่อ... ถ้ามีอะไรก็เรียกได้นะคะ ขอตัวค่ะ”พนักงานที่เห็นว่าคงไม่มีอะไรแล้ว ถอยออกไปช้าๆ แล้วก็เดินหายไปเลย

“ท่าทางเขาจะชอบเราเนอะ”อาร์มกลับมายิ้มเหมือนเดิม เออ ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วนี่

“พอ กินได้แล้ว”ผมตักไอติมต่อ แอบเคืองเล็กๆ แต่ก็อีหรอบเดิม พอตักของหวานเข้าปากแล้วทุกสิ่งก็กระเด็นหายไปในทันที

“อ่ะ กินอันนี้หน่อยนะ”อาร์มตักชิมสองสามคำ แล้วก็จิ้มบราวนี่มาจ่อปากผม ผมก็...กินสิครับ

“อันนี้ด้วยนะ”พุดดิ้งสีครีมต่อคิวมาติดๆ อร่อยชะมัดเลย

“อ๊าย~ดูสิแก น่ารักอ่ะ ไม่ไหวแล้ว จะระเบิดตัวเองแล้วเนี่ย”เอ่อ ใจเย็นครับ อย่าเพิ่งระเบิดตัวเองตายครับ ว่าแต่เก็บอารมณ์บ้างก็ดีนะเออ

“โหย ได้เห็นแค่นี้ก็ตายตาหลับแล้ว”ไม่เข้าใจคุณเธอเลยว่าจะกระดี๊กระด๊ามีความสุขอะไรกันขนาดนั้น....


     โอเค สรุปว่าขนมร้านนี้อร่อยฟินจริงครับ น่ามาอีกรอบ แต่ก็ต้องพิจารณาปัจจัยเสริมด้วยนิดหน่อย ซื้อกลับบ้านน่าจะเป็นความคิดที่ดีกว่า อืม กินเสร็จแล้วผมก็ไม่ลืมซื้อไปฝากคนที่บ้านด้วย

“ทั้งหมด 850 บาทค่ะ”ถึงเวลาคิดเงินเตรียมกลับบ้าน โดยมีถุงขนมกลับไปกันคนละถุง แน่นอนว่าคนควักเงินจ่ายก็อาร์มนี่แหละ ทั้งๆที่ผมกินเยอะกว่าแท้ๆ แถมมันยังแบ่งมาให้ผมกินอีกต่างหาก

“นี่คือเลี้ยงเหรอ?”ผมเดินออกจากร้านก็ยังไม่วายมีสายตามองตามมาเป็นระยะ

“อื้ม แฟนทั้งคนก็ต้องเลี้ยงสิ กินจุยังไงก็เลี้ยงไหว”ไม่อยากจะบอก แต่ไอ้อาร์มนี่พูดออดอ้อนได้น่ารักชะมัด โดนอ้อนแล้วระทวย

“งั้นเดี๋ยวเอาให้หมดตัวเลย”ผมเดินนำไปที่รถ แล้วสายตาก็ดันไปมองเห็นใครบางคนเข้าซะก่อน

“พอร์ช?”เสียงเรียกทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีทางจำผิดไปได้แน่ๆ

คนตรงหน้าพวกเรานี่คือลุงพลที่กำลังมองมาทางพวกผมสองคน.....



= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
 ช่วงนี้งามรุมเร้า ติดสอบ(ใกล้มิดเทอมเข้ามาแล้ว;w;) หลังจากตอนที่ 20 เป็นต้นไป อาจจะมาช้าหน่อยนะคะ กราบขออภัยงามๆหนึ่งทีT T


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด