ต่อกันเลย ยาวหน่อยนะ
“ลูกไปไหนมา พ่อเขาจะออกไปตามหาแล้วรู้ไหม จู่ๆก็ผลุนผันออกไป คนอื่นเขาตกใจกันหมด”ทันทีที่จอดรถหน้าบ้านแม่ก็ข้ามาแตะไหล่ด้วยความเป็นห่วง
“ขอโทษครับ พอดีว่าไปธุระนิดหน่อย”ผมตอบเสียงแผ่ว มองเห็นพี่ธารายืนรออยู่หน้าบ้านกับคนอื่นๆอยู่ก่อนแล้ว
“แล้วธุระอะไรกันตอนนี้ สำคัญนักรึไงต้องไปเอาเวลานี้”พ่อพูดขึ้นมาบ้าง
“ไม่มีอะไรหรอกครับ กลับมาแล้ว ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะสาย”ผมบอก
“ในเมื่อมาแล้วก็แล้วไป ออกเดินทางกันได้แล้ว เดี๋ยวจะไปถึงช้า ฝั่งนู้นเขาจะเป็นห่วงเอา”พ่อพูดแล้วเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าสัมภาระของผมในบ้านพร้อมกับแม่ที่เดินตามไปด้วย
“เจ้าร้องไห้อย่างนั้นรึ”พี่ธาราเดินเขามาใกล้
ใบหน้าคมคายก้มลงมองผมในระยะประชิด แล้วยกมือขึ้นมาเกลี่ยน้ำคราบน้ำตาที่ยังคงติดอยู่
“เปล่า”ผมโกหก
“เจ้าจะโกหกข้ากี่ร้อยครั้งกี่พันครั้งก็ย่อมได้ แต่ใจของเจ้า เจ้าไม่สามารถโกหกมันได้หรอกมณี”พี่ธาราพูดเสียงเบา
“ขอโทษ”ผมขอโทษออกไป
ไม่รู้ว่าทำไมต้องขอโทษทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด
รู้เพียงแต่ว่าอยากจะขอโทษ อยากจะให้เขาให้อภัยผม
“เจ้าไม่จำเป็นจะต้องขอโทษข้า ในเมื่อข้าไม่เคยคิดที่จะโกรธเคืองเจ้า”
เรานั่งรถกันมาชั่วโมงกว่าโดยที่พี่ธาราเป็นคนขับโดยมีผมนั่งข้างคนขับและพี่ศรีสุวรรณนั่งอยู่เบาะด้านหลัง
“ถึงแล้วเหรอครับ”ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะเราขับรถเข้ามาจอดในรีสอร์ทแห่งหนึ่ง
จะว่าบ้านเป็นรีสอร์ทก็ไม่น่าจะใช่
“ยังหรอก ยังต้องไปอีกไกล”พี่ธาราพูดพร้อมกับลงจากรถและเตรียมขนของลงมา ทำให้ผมกับพี่ศรีสุวรรณต้องลงมาช่วย
ทั้งที่ผมยังคงสงสัยว่าพี่ธารามาที่รีสอร์ททำไม
ไม่นานก็มีเพนักงานของรีสอร์ทอีกสองคนมาช่วยขนกระเป๋าของพวกเราแล้วเดินนำไปที่ท่าเรือของรีสอร์ท
“ทำไมมาที่นี่ล่ะ”ผมถามอีกครั้ง
ไหนพี่เขาบอกว่าจะพาไปบ้าน แล้วบ้านอยู่อีกไกล แล้วทำไมถึงพาพวกเรามาที่ท่าเรือ
ผมมองดูพนักงานพากันขนของลงไปในเรือสปีทโบ๊ทลำขนาดพอดี
“เรายังต้องเดินทางอีกไกล”พี่ธาราตอบ นั่นก็ทำให้ผมไม่เข้าใจอยู่ดี
ในเมื่อพี่เขากระโดดลงเรือไปแล้ว ตามด้วยพี่ศรีสุวรรณที่ตามลงไปเงียบๆ
“ทำไมต้องด้วยเรือด้วยล่ะ ขับรถไม่ได้เหรอ”ผมถาม เพราะไม่ค่อยถูกกับพวกน้ำเท่าไร เพราะว่ายน้ำไม่ค่อยแข็ง แล้วยิ่ง
ลึกๆแบบนี้ มีแต่จมกับจมอย่างเดียวแน่
“มาเถอะ อย่าห่วงเลย”พี่ธารายื่นมือมาให้ผมจับ
ผมยื่นมือให้พี่ธาราจับเอาไว้แล้วก้าวขึ้นเรือ
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ธาราจะขับเรือเป็นด้วย เรานั่งเรือออกมาจากฝั่งจนริมฝั่งไกลลิ่วออกไปทุกที
“ทำไมต้องไปด้วยเรือล่ะ”ผมตะโกนถามแข่งกับเสียงลม มือสองข้างพยายามจับเส้นผมที่ปลิวไปตามลมจนยุ่งเหยิงอาไว้
“เดี๋ยวก็รู้เอง”ธารายิ้มมุมปากแล้วดันให้ผมนั่งลง
“ชักรู้สึกว่าไม่ธรรมดาแล้วสิ”พี่ศรีสุวรรณยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อขับเรือออกมาจากฝั่งได้ครึ่งชั่วโมงก็เจอเข้ากับเกาะขนาดใหญ่ ด้านหน้าเป็นเกาะมีท่าเรือเป็นลักษณะสะพานสีขาวทอดยาว และมีชายหาดทรายขาวสะอาดตายาวทอดไป
ด้านหน้าเกาะถัดไปจากชายหาดเป็นบ้านขนาดใหญ่ ไม่ใช่บ้านสิ คฤหาสน์ตากอากาศมากกว่า ใหญ่มาก
นี่ใช่ไหมบ้านที่ไม่ใช่บ้านชั่วคราวที่พี่ธาราเคยบอก ใหญ่ซะยิ่งกว่าใหญ่อีก
ผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้เห็น มันไม่ธรรมดาจริงๆ นี่ตกลงพี่เขาไม่ใช่ยักษ์ธรรมดาใช่ไหม แต่เป็นยักษ์มหาเศรษฐี อภิอลังการรวย
“เข้าใจเลือกแฟนนี่”พี่ศรีสุวรรณกะซิบข้างหูหลังจากที่เรือผ่อนแรงลงแล้วเทียบท่า
“อะไรเล่า ผมจะไปรู้ไหม”ผมตอบทั้งที่ใบหน้ารู้สึกว่าร้อนผ่าว
“มาถึงกันแล้วเรอะ เดินทางสะดวกไหม”ทันทีที่เราพากันขึ้นฝั่งชายวัยกลางคนที่ยืนรออยู่ที่ท่าเรือหน้าเกาะก็ถามพร้อมกับส่งมือมาที่ผมแล้วยิ้มให้
ผมชะงักเมื่อใบหน้าของเขาช่างคุ้นเคยเหมือนกับว่าผมเคยเห็นเขามาก่อน
ใบหน้าที่จะบ่งบอกถึงวัยแต่ก็มีความน่านับถือน่าเกรงขามในแบบผู้ใหญ่
“นี่อาของพี่เอง ท่านอาวสิน”พี่ธาราเข้ามาใกล้แล้วแตะไหล่เป็นเชิงบอกให้ผมไว้ใจเข้าได้
ผมยื่นมือไปจับมือของอาวสินซึ่งเป็นคุณอาของพี่ธาราแล้วมองหน้าเขา
ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าผมคิดอะไรทำให้เขายิ้มออกมา
“ข้าไม่นิยมกินเนื้อ”เขาพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคนทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าแดงที่เขาเดาความคิดผมออก
ก็เป็นใครใครจะไม่กลัว มาถึงถิ่นของยักษ์ถึงที่แบบนี้ จะโดนจับกินทั้งพี่ทั้งน้องเมื่อไรไม่รู้
พอคุณอาของพี่ธาราบอกว่าเขาไม่กินเนื้อผมก็วางใจขึ้นมา
“สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้
“รูปงามสมคำล่ำลือเสียจริง”เขาว่าก่อนจะแตะไหล่ผมให้เดินตามไปยังสะพานสีขาวที่ทอดยาวออกมาจากฝั่ง
ทิ้งให้พี่ธารากับพี่ศรีสุวรรณเป็นเด็กแบกกระเป๋าไปโดยปริยาย
“กินน้ำกินท่าก่อนสิ เกี่ยวให้ธาราเขาพาไปดูห้อง ส่วนวรรณเดี๋ยวอาพาไปเอง”อาวสินบอกหลังจากที่เราเข้ามาในห้องรับแขก
ขอกตกแต่งทั้งเก่าและใหม่มากมายถูกรวบรวมมาไว้ในห้องนี้ บ่งบอกถึงมูลค่าที่สูงมากทำเอาผมมองไปยังรอบๆอย่างอดทึ่งไม่ได้
เป็นอะไรที่เวอร์มาก กับคฤหาสน์สไตล์ตากอากาศที่เน้นรอบๆเป็นกระจก แต่ก็มีผ้าม่านสีดำทึบติดอยู่ทั่ว เพียงแต่ตอนนี้มันไม่ได้ถูกปิดลงแต่อย่างใด
“เอ่อ ไม่ได้พัก ด้วยกันเหรอครับ”ผมถาม ตามจริงก็รู้อยู่หรอกว่าคืนนี้จะเจอกับอะไร แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่พร้อมอยู่ดี ถึงจะ
ตัดใจได้แล้วก็ตาม
“อาอยากให้วรรณเขาพักห้องใหญ่ฝั่งทิศตะวันตกน่ะ ตอนพระอาทิตย์ตกวิวจะสวยเชียว อยากให้เห็นวิวสวยๆ”เขาบอก
“ไม่มีปัญหาครับ แต่จะดีเหรอครับ เรานอนห้องเดียวกันก็ได้ จะได้ไม่รบกวน”พี่วรรณแก้ต่าง
“ไม่เป็นไร ห้องหับเยอะแยะ มาสิ เดี่ยวจะพาไป”พูดจบอาวสินก็เดินนำไปไม่รอให้พี่วรรณแย้ง
เหมือนว่ากำลังวางแผนอะไรกันอยู่เลย
พี่วรรณเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองตามไปเงียบๆเหลือแค่ผมกับพี่ธาราที่เงียบมาสักพักแล้ว
“มาสิข้าจะพาไปห้องเรา”
ห้องเรา? ช่างพูดได้เต็มปากดีจริง นี่ผมกับพี่เป็นเรากันตั้งแต่เอไร ขี้ตู่อีกแล้ว
แต่ผมก็ดันเดินตามเขาไปซะงั้น
“ไม่ได้อยู่ชั้นสองเหรอ”ผมถามเมื่อเราเดินขึ้นบันไดผ่านชั้นสองมา
“ดาดฟ้าน่ะ”พี่ธารายิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์
“ทะ ทำไมห้องผมถึงอยู่ดาดฟ้าล่ะ อยู่ห้องข้างๆห้องพี่วรรณไม่ได้รึไง”
“เจ้าจะพักที่ห้องข้า”พี่ธาราพูดจบก็เดินนำขึ้นไป
ทิ้งให้ผมแทบจะดิ้นกระแด่วอยู่บนขั้นบันได
จะเอายังไงดี เอายังไงกับคืนนี้ดี ผมพร้อมรึยัง ผมยังไม่รู้ใจตัวเองเลย
เรามาหยุดอยู่หน้าประตูห้องบ้านใหญ่สีขาวทึบ
พี่ธาราเปิดประตูออกให้มองเห็นด้านในของห้องที่เป็นกระจกใสล้อรอบ มีเตียงไม้สี่เสาอยู่กลางห้อง ด้านนอกกระจกเป็นดาดฟ้ามีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถมองออกไปเห็นทะเลไกลสุดลูกหูลูกตา
แต่ที่สำคัญ เพดานห้องนั้นเป็นกระจกใสสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ชัดเจน
ผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็น กระเป๋าที่ถืออยู่ในมือร่วงลงพื้นเพราะความทึ่งในสิ่งที่เห็น
สวยจนบรรยายไม่ถูกเลยทีเดียว
ด้านนอกที่เป็นสระว่ายน้ำมีต้นมะลิปลูกเต็มไปหมด ดอกสีขาวที่กำลังออกดอกบานจนเต็มต้นส่งกลิ่นหอมผ่านประตูกระจก
ที่เปิดทิ้งเอาไว้ ทำให้ทั้งกลิ่นอายทะเลและกลิ่นอายของดอกมะลิถูกลมพัดหอบเอาเข้ามา
“เจ้าชอบหรือไม่”พี่ธาราจับเอวทั้งสองข้างของผมดันให้ผมเข้าไปในห้อง
“ชะ ชอบ”ผมตอบเสียงขาดหาย
นะ นี่น่ะเหรอห้องเชือดผม
ผมคิดพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ
เราทั้งสอคนเงียบกันอยู่พักใหญ่หลังจากที่มเดินเข้ามาในห้อง
พี่ธารานั่งลงบนเตียงสี่เสาสีดำสนิทข้างๆผมที่กำลังรื้อของออกมาจากกระเป๋าเพื่อจัดให้เข้าที่เข้าทาง
มีเพียงเสียงคลื่นทะเลด้านนอกและกลิ่นหอมหวานของดอกมะลิเท่านั้นที่กั้นอยู่ระหว่างเรา
หัวใจของผมกำลังเต้นโครมครามเมื่อรู้สึกว่าสายตาคู่สีดำสนิทกำลังจ้องมองมาที่ผม
บทกลอนที่ยังคงติดอยู่ในใจทำให้ผมไม่สามารถคลายความสงสัยไปได้เลย
ทั้งที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพระอภัยมณีนั้นรักพี่ธาราจนสุดหัวใจ แต่ไม่สามารถยอมรักความรักที่เกิดขึ้นในใจของตัวเองได้
แล้วพี่ธาราล่ะ….รักพระอภัยมณีบ้างหรือเปล่า
ผมได้แต่คิดถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
“เจ้าจะนอนพักก่อนก็ก็ได้หากเจ้าง่วง”พี่ธาราบอกเสียงเบาแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้
ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรผู้เข้มแข็งกำลังโน้มลงมาจนจมูกโด่งนั้นคลอเคลียกับปลายจมูกของผม
คำถามที่เฝ้าถามวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในห้วงแห่งสำนึกทำให้ผมหลับตาลงตอบรับกับริมฝีปากอุ่นร้อนที่ทาบลงมา
ฝ่ามือใหญ่ประคองหน้าผมเอาไว้ ก่อนที่มันจะลูบไปมาเบาๆเพื่อให้ผมผ่อนคลายแล้วเปิดปากออกตอบรับปลายลิ้นที่แทรกเข้ามา
ลิ้นร้อนกวาดต้องอยู่ภายในโพลงปากของผมให้ผมได้คล้อยตามและตอบรับการชักจูงที่อ่อนโยนนั้น
ความอบอุ่นแผ่เข้ามาข้างในจิตใจทำให้ผมรู้สึกมั่นใจในสิ่งที่ก่อเกิดในจิตใต้สำนึก
ความรักที่หลงเหลืออยู่ในบทกลอนทำให้ผมคล้อยตามและรู้สึกถึงมัน ความรักที่ผมหลีกเลี้ยงไม่ได้
ผมกำลังรักพี่ธารา….รักแบบที่พระอภัยมณีรัก
แล้วพี่ธาราล่ะ รู้สึกยังไงกับพระอภัยมณีคนก่อน และรู้สึกยังไงกับผม
สิ่งที่เขากำลังทำอยู่เป็นเพราะโชคชะตาหรือว่าความรักกัน
ผมช้อนตาขึ้นมองหลังพี่ธาราถอนจูบออกไป นึกอยากจะถามออกไปอย่างที่ใจคิด
หากแต่ผมไม่กล้า…ผมกลัวคำตอบของเขา
“เจ้าควรพักผ่อน”พี่ธาราบอกก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน”ผมรั้งมือพี่ธาราเอาไว้
แต่ความอดทนของผมได้จบสิ้นลงเพราะความอยากรู้
คืนนี้แล้วที่เราจะทำในสิ่งที่คิดว่ามันถูก หากแต่หัวใจของเราสองคนล่ะ รู้สึกอย่างไร ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน
และมั่นใจว่าพระอภัยมณีในชาติที่แล้วก็อยากรู้ไม่ต่างจากผม
พี่ธาราจ้องหน้าผมแล้วเลิกคิ้วเป็นการตั้งคำถาม
“พี่….ช่วยตอบคำถามผมสักข้อได้ไหม ก่อนที่เราจะทำในสิ่งที่พี่ต้องการ”ผมถามเสียงเบา
“เจ้าลองว่ามาสิ”เขาเหลือบมองมือผมที่รั้งเขาเอาไว้
“พี่….รักพระอภัยมณีบ้างไหม”ผมเงยหน้ามองเขา
พี่ธาราเงียบไปสักพัก แต่ใบหน้านั้นยังคงนิ่งเฉย ถึงแม้ว่าในดวงตานั้นจะแสดงออกถึงความเจ็บปวดก็ตาม
แต่ผมก็โง่จนไม่สามารถที่จะอ่านได้ว่าพี่ธารารู้สึกอย่างไร หากว่าเขาไม่บอก
“ความรู้สึกของข้าต่อเจ้าในชาติที่แล้วข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ หากเจ้าในชาตินี้เป็นตัวตนของเจ้า มิใช่เป็นตัวตนของชาติที่แล้ว”
คำตอบที่เป็นราวกับคำปฏิเสธทให้จิตใจของผมสั่นคลอน
“งั้น จะเป็นอะไรไหม ถ้าผม…จะถามพี่อีกข้อ”ผมถามอีกครั้ง
ความเงียบของพี่ธาราผมจะทึกทักเอาเองแล้วกันว่าเขาอนุญาต
“พี่…รู้สึกยังไงกับผม”
หลังจากคำถามสุดท้ายถามออกไป ความเงียบก็ก่อเกิดขึ้นอีกครั้ง
เราทั้งสองจ้องตากัน
ผมจ้องมองเขาเพื่อต้องการที่จะได้คำตอบที่ผมสงสัย
แล้วพี่ธาราล่ะ จ้องมองผมด้วยสายตาที่เจ็บปวดแบบนั้นเพราะอะไร
เป็นพี่ธาราที่หลบสายตา
นั่นทำให้ผมรู้สึกเจ็บจนร่างกายรู้สึกอ่อนแรงขึ้นมาทันที ผมปล่อยมือร่วงลงข้างตัว
ทิ้งให้พี่ธาราเดินออกไปจากห้องโดยไร้คำตอบ
ทำไมล่ะ?
ทำไมเขาถึงไม่มีคำตอบให้ผม หรือเป็นเพราะที่เขาทำทั้งหมดก็เพื่อหน้าที่ เพื่อสิ่งที่เขาต้องการ
จิตใจของผมปั่นป่วนจนไม่สามารถจะอยู่นิ่งเพื่อรองรับอารมณ์ของตัวเองได้
ผมเหลือบมองไวโอลินตัวโปรดที่แม่ส่งให้ก่อนที่จะออกเดินทาง
บทเพลงที่ผมเคยเล่นเพียงแค่ครั้งเดียวมันกำลังเรียกร้องผม
เสียงคลื่นด้านนอกที่ปั่นป่วนพอๆกับจิตใจผมก็เช่นกัน
ผมต้องการที่จะอยู่เงียบๆในที่ที่ไม่มีใคร ความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยกะทันหันทำให้ผมว้าวุ่น
ผมหยิบเครื่องดนตรีตัวโปรดขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้อง
ความเงียบภายในบ้านหลังใหญ่ทำให้ผมรู้ได้ว่าที่นี่ไม่มีใครเลยนอกจากพี่ธารากับคุณอาของเขา
ผมเดินเลาะมาที่ชายหาดตรงที่เป็นแนวโขดหิน
ภาพของพี่ธาราที่เดินหันหลังให้ผมในเวลาที่ผมต้องการคำตอบยังคงติดค้างอยู่ในใจ
ผมยืนบนโขดหินก้อนใหญ่หลายก้อนที่ขึ้นเรียงตัวกันตรงท้ายหาดไกลออกมาจากตัวบ้านพอสมควร
คันสีถูกยกขึ้นจรดกับสายเครื่องดนตรีแล้วขยับไปมาทำให้เกิดห้วงทำนองที่ผมจดจำมันได้อย่างขึ้นใจ
เสียงเพลงหวานหูสอดแทรกไปด้วยความรู้สึกที่เศร้าโศกดังสอดประสานกับเสียงขึ้นที่กระทบกับโขดหิน
ยิ่งบรรเลงเพลงไปนานเท่าไร หัวใจของผมมันก็ยิ่งปวดร้าว
นานจนผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว
จ๋อม!!
เสียงเหมือนอะไรไรตกน้ำทำให้ผมสะดุ้งหันไปมองยังทิศทางที่เสียงนั้นดังขึ้น
ผมเดินหากแต่ผมไม่เจออะไร
แต่ความสงสัยยังไม่คลายออกทำให้ผมก้าวไปข้างหน้าริมโขดหิดที่ยื่นไปในทะเล
กลุ่มผมสีดำที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลังโขดหินทำให้ผมเบิกตากว้างแล้วร้องออกมาอย่างตกใจ
“ใครน่ะ”ผมถามออกไป
เรือนผมยาวสลวยที่ไม่รู้ว่ายาวไปถึงไหนเพราะผมเห็นไม่ค่อยชัด ใบหน้าที่ขาวจัดชะโงกหน้าออกมาจากโขดหินอย่างหวาดกลัว
ใครที่ไหนมาเล่นน้ำแถวนี้กัน นึกว่าไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากพี่ธารากับคุณอาของเขา หรือว่าเขาจะเป็นยักษ์
แต่พี่ธาราเคยบอกเอาไว้ว่ายักษ์ที่นี่มีแค่เขากับอาวสินแค่นั้น
แล้วคนคนนี้เป็นใครกัน มันจะอันตรายไหมหากว่าคนอื่นรู้ว่าคนคนนี้อยู่ที่นี่
ผมเดินก้าวเข้าไปอีกก้าวเพื่อที่จะบอกว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย
“ทะท่านอย่าเข้ามานะ”เขาพูดพร้อมทำสีหน้าตกใจ ผละออกห่างจากผมทันที
นั่นทำให้ผมเห็นใบหน้าของเขาชัดเต็มตา
ใบหน้าที่งดงามเหมือนกับนางในวรรณคดี ดวงตาเรียวคมกับคิ้วที่เหยียดรับกับดวงตา จมูกโด่งเชิดรั้น เรียวปากบางสีชมพูหวาน และที่สำคัญ นัยน์ตาของคนคนนี้สีฟ้า สีฟ้าเหมือนกับสีของน้ำทะเล
“ฉันไม่ทำร้ายนายหรอกน่า แค่จะบอกว่าอยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย”ผมบอกไป
“ไม่ปลอดภัยอย่างไรกันในเมื่อข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด”เขาตอบทำให้ผมเลิกคิ้วสงสัยในคำตอบ และสำนวนการพูดแบบโบราณเหมือนพี่ธารา
แต่คำถามที่ผมเพิ่งจะนึกขึ้นได้ก็ถูกตอบโดยภาพที่เห็นเองกับตา
ไม่อยากจะเชื่อ!!
น้ำทะเลที่ใสจนสามารมองเห็นทุกอย่างได้ทำให้ผมมองเห็นหางที่ปกคลุมด้วยเกร็ดสีฟ้าเข้มเหลือบเขียวเหมือสีน้ำทะเลลึก
มันกำลังสะบัดไปมาอยู่ในน้ำทะเลที่ใสแจ๋วนั่น
ผมอ้าปากจนกรามแทบค้าง
“นะ นาย เป็นนางเงือกเหรอ”ผมถามออกไป เพราะหน้าอกของเขาแบราบ ผมจึงเรียกว่านาย ถึงแม้ว่าหน้าตาและผมที่ยาว
นั่นจะทำให้เขาเหมือนผู้หญิง
“นายเงือกต่างหาก แล้วท่านเป็นใคร เช่นใดจึงดูคุ้นหน้าข้านัก”
“ฉัน ชื่อมณี”ผมบอกไป
“มณี? พระอภัยมณีหรือไม่ ท่านช่างเหมือนเขายิ่งนัก”นายเงือกตอบแล้วมองผมคล้ายกับไม่เชื่อในสิ่งที่กำลังเห็น
“ไม่ใช่ พระอภัยมณีเป็นแค่ตัวตนของฉันในชาติที่แล้ว”
ใช่ตัวตนของชาติที่แล้วไม่เกี่ยวอะไรกับชาตินี้ เพราะอย่างนั้นพี่ธาราถึงไม่ตอบคำถามของผม
“ท่านกลับชาติมาเกิดอย่างนั้นรึ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก หากนางเงือกพี่ข้ายังคงอยู่ นางคงจะดีใจที่ได้รู้”
นายเงือกตอบด้วยเสียงตื่นเต้นแล้วเข้ามาเกาะริมโขดหินที่ผมยืนอยู่พร้อมกับสะบัดหางไปมาในน้ำ
“ยังมือเงือกตัวอื่นด้วยเหรอ”
“มีพ่อกับแม่ข้าที่อาศัยอยู่ในถ้ำใต้น้ำที่อยู่เบื้องล่างเกาะนี้ แล้วก็ข้า”
“แล้ว เอ่อ นางเงือกล่ะ”ผมถามเพราะอยากรู้ว่านางเงือกที่เป็นคู่รักของพระอภัยมณีในชาติก่อนนั้นยังอยู่รึเปล่า
“นางสิ้นใจตามท่านไปนานแล้วล่ะ”
“แล้วทำไมนายถึงยังอยู่ล่ะ แล้วนายเป็นน้องชายของนางเงือกเหรอ”
“ใช่ ข้าเป็นน้องชายฝาแฝดของนางเงือก ข้าชื่อชลาสินธุ์ ข้าไม่มีคู่ครอง เลยยังอยู่มาได้จนถึงวันนี้”เขาตอบทำให้ผมคิดถึงคำของพี่ธารา
พวกเงือกอาจจะเป็นเหมือนยักษ์ก็ได้ ที่ผูกชีวิตไว้กับคู่ครอง พอคู่ครองตายไปก็จะตายตาม
“ชลาสินธุ์? แล้ว นายไม่กลัว เอ่อ พวกยักษ์เหรอ”ผมถามออกไป
“ไม่หรอก ท่านวสินท่านเป็นยักษ์ถือศีล ส่วนท่านธาราสมุทรท่านไม่ทำร้ายพวกเราหรอก”
“งั้นเหรอ”
ผมตอบรับ นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อ รู้สึกว่าเรื่องราวในชีวิตผมมันแปลกซะจนผมไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับมันไปมากกว่านี้แล้ว
“แล้วเมื่อครู่บทเพลงอะไรกัน ช่างไพเราะยิ่งนัก”ชลาสินธุ์ถาม
“เมื่อกี้น่ะเหรอ ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันนึกขึ้นได้ก็เลยเล่นดู”ผมตอบแล้วย่อตัวลงนั่งลงบนโขดหิน
“ท่าพอจะเล่นให้ข้าฟังอีกได้หรือไม่ ข้าไม่แปลกใจเลยที่นางเงือกพี่ข้ายอมครองคู่กับมนุษย์แล้วหนีไปด้วยกัน เป็นเพราะบทเพลงเช่นนี้นี่เอง”
ชลาสินธุ์บอกพลางเท้าแขนลงกับโขดหินแล้วเกยคางไว้กับมือ
หางสีฟ้าเขียวสะบัดไปมาใต้น้ำ รูปร่างเปลือยท่อนบทดูบอบบางจนผมนึกว่ามันดูน่ามองจนละสายตาออกไปจากร่างที่ผมกำลังมองอย่างสำรวจไม่ได้
สิ่งที่มีอยู่ในวรรณคดีมันช่างสวยงามจริงๆ
ผมเล่นไวโอลินในเพลงเดิมอีกครั้ง นึกถึงเรื่องราวในชาติที่แล้วที่นางเงือกพาพระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรไป
หากชลาสินธุ์พาผมหนีไปบ้างอย่างที่นางเงือกพาพระอภัยมณีหนีไปก็คงจะดี
=================================================================
จุใจกันไปเลยจ้า ยาวๆ ว่าแต่จะเป็นยังไงต่อน้อ
อย่าเพิ่งทิ้งกันเน้อ อยู่ข้างๆเขาก่อนนะ
รักทุกคนเหมือนเดิมจ้า ขอบคุณทึกคนที่คอยติดตาม อาจจะวังเวงสักนิด แต่ก็ไม่หายนะจ๊ะ

ฝากเพจจ้า
แฟนเพจของโซอึนจ้า