ทวงร้าย ได้รัก 8
มันอาจจะเป็นเช้าวันหนึ่งของผมที่ไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่นักที่มีคนอื่นมานอนหราอยู่ในบ้านตัวเอง โดยเฉพาะคนที่ชื่อป้องปราบ ไม่รู้เพราะเวลาหรืออะไร มันทำให้ผมรู้สึกปล่อยวางกับชีวิตไปหลังจากที่ไม่มีอากิอยู่
กลับมาคิดอีกที ผมคงไม่ได้เกลียดคนๆ นี้เข้าไส้จริงๆ จังๆหรอก อาจจะแค่รู้สึกไม่ชอบพฤติกรรมและการกระทำแบบคนสิ้นคิดในแบบที่เขาทำกับผม
แต่จากเรื่องเมื่อคืน การที่เราได้คุยกันโดยไม่มีอะไรที่ต้องนำมาทะเลาะกันในแง่นี้ เขาก็ดูเหมือนไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรว่ามั้ย หรือผมมันจะหัวอ่อนเกินรึเปล่า.....
กึก!
ผมวางแก้วกาแฟอีกแก้วที่เผลอชงมาเกินวางให้กับผู้ขออาศัยที่ยังนอนนิ่งอยู่บนโซฟา เขาดูเหมือนสุนัขพันธ์โตที่นอนขดอยู่บนที่นอนของชิวาว่า มันดูน่าอึกอัดจนผมคิดขำในใจ
“ตื่นได้แล้ว คุณบอกว่าจะรีบออกไปตอนเช้า”
“อืม....อีก 10 นาที ตอนนี้ลุกไม่ไหว”เขาปฏิเสธแล้วขยับตัวเล็กน้อยแต่ ดูสีหน้าแปลกๆ ไป
“นี่คุณมีไข้”ผมแอะใจเลยลองเอามือไปอังหน้าฝากเขาดู ตัวเขาร้อนอย่างกับไฟ พอผมสังเกตที่แผลแล้วมันดูเหมือนจะอักเสบขึ้นมากเลย
“ช่างเถอะ ขอนอนพักเดี๋ยวก็หาย”
“ผมว่าคุณน่าจะไปหาหมอดีกว่า”
“ฉันเดินไม่ไหวหรอก ง่วงขนาดนี้ แถมยังปวดหัวด้วย”
“ถึงจะนอนอยู่ที่นี่คุณก็ไม่หายหรอกนะ”ผมชักจะเริมรำคาญกับคนตรงหน้าที่เริ่มทำตัวดื้อเป็นเด็ก
“คุณไม่ใช่เด็กแล้ว ลุกเถอะผมจะนำทางคุณไปคลินิกเอง”
“คุณป้องปราบ! คุณเดินดีๆ ได้รึเปล่า”เสียงบ่นฟึดฟัดของจุลมันทำให้ผมต้องรีบเก็บอาการอมยิ้มแล้วทำหน้าป่วยทันที
“ขอโทษ แต่ฉันรู้สึกปวดหัวจนตาลายไปหมดจริงๆ”ผมแอบเหลือบตามองคนที่อยู่ภายใต้วงแขนของผมที่ตอนนี้กำลังช่วยพยุงผมซะเต็มที่ ถึงจุลจะดูเหมือนไม่ใส่ใจผมแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะช่วยผมอยู่ดี เข้าตำราปากอย่างใจอย่างหรือเปล่าผมคงต้องพิสูจน์ต่อไป แต่เรื่องที่ผมรู้สึกป่วยมันเป็นเรื่องจริงแต่แค่เพิ่มเอคติ้งเข้ามานิดหน่อยก็เท่านั้น
“อดทนหน่อยก็แล้วกัน ใกล้จะถึงแล้ว”
“อืม”ผมแกล้งขยับแขนให้แน่นขึ้นมาอีกนิด มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงอุณภูมิร่างกายของเขาเพิ่มเข้าไปอีก
.....รู้สึกดีชะมัด
“แน่นเกินไปแล้ว ผมเดินลำบาก”
“ก็ฉันกลัวตัวเองจะล้ม”
“คนที่จะล้มมันผมต่างหาก”จุลทำหน้าหงุดหงิดพยายามแกะแขนผมให้คลายออก แต่ใครจะปล่อยโอกาสหายากแบบนี้ไปง่ายๆ กันล่ะ ผมไม่เคยอยากจะป่วยเท่านี้มาก่อนเลย ขอบคุณพระเจ้า!
“กินข้าว กินยาแล้วก็ไปได้แล้ว”
“นายนี่ใจร้ายกับฉันขนาดนี้เลยเหรอ ฉันกำลังป่วยอยู่นะ จะให้ออกไปหาโรงแรมตอนนี้ฉันก็ไม่ไหวด้วย ถ้าเกิดฉันไปเป็นล้มล้มพับทีไหนก็แย่น่ะสิ นายไม่เป็นห่วงฉันบ้างรึไง”ทำหน้าเศร้าเล่าความ ส่งสายตาวิงวอนไปให้จุลที่ยืนกอดอกใส่เสื้อไหมพรมถักสีเทาคอย้วยๆ พร้อมกับแว่นกรอบดำขลับมองผมด้วยความลำบากใจ
“ยังไงก็เถอะ คุณก็อยู่ที่นี่ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
“บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”
“บอกเหตุผลมาสิ”
“นั่นมันเรื่องของผม”
“หรือว่าไม่ไว้ใจฉัน กลัวฉันจะทำอะไรอย่างนั้นเหรอ”
“ก็คุณมันเคยมีประวัติ!”ไม่รู้ว่าเขาโกรธผมหรืออะไรกันแน่ แต่จุลดูร้อนรนแถมยังหน้าแดงแก้มแดง แดงไปจนถึงใบหูอีกด้วย มันทำให้เขาดูน่าแกล้งเข้าไปอีก
“อา.....นั่นสิ ฉันเคยทำ......”ผมทำท่าเหมือนคิดขึ้นมาได้แล้วก็เตรียมจะพูดออกไป แต่ถูกคนตรงหน้าขัดเสียก่อน
“หยุดพูด! ถ้าพูดออกมาผมไล่คุณออกไปจริงๆ แน่”
“โอเคๆ จะไม่พูดแล้ว และจะไม่พูดถึงอีก แต่อย่าไล่ฉันเลย นายป้อมปราบที่ไม่เคยขอร้องใครมาก่อนตอนนี้กำลังขอร้องนายอยู่จริงๆ นะ กับนายแค่คนเดียวเท่านั้นที่ฉันทำตัวได้น่าอายแบบนี้”
“ผมไม่ได้บังคับคุณให้ทำแบบนั้นเสียหน่อย”
“ฉันเต็มใจทำเพราะนาย ยังไงก็แค่ช่วยสงสาร หรือเห็นใจกันหน่อยสักนิดก็ได้ ฉันทำถึงขนาดนี้แล้วนายก็น่าจะรู้ได้แล้วนะว่าฉันรู้สึกยังไงกับนายกันแน่ เรื่องที่บอกไปก็ไม่ใช่เรื่องโกหก จะให้ฉันกลับไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้คำตอบจากนายตอนนี้ไม่ได้หรอก จุลยังไงก็ช่วยเอาเรื่องของฉันไปคิดสักนิดก็ยังดี”
“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็.....ผมตอบให้คุณตอนนี้เลยก็ได้คุณจะได้เลิกสับสนเสียที”
“มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ”
“จะช้าหรือเร็วคำตอบของผมก็คือ ไม่ อยู่ดี กลับไปในที่ๆ ของคุณเถอะคุณป้องปราบ คิดเสียว่าคุณแค่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่คุณทำกับผมแล้วมันก็แค่ติดค้างอยู่ก็เท่านั้น ฟังให้ดี ผมให้อภัยคุณ และหวังว่าเราจะไม่ต้องมาเจอกันอีก ทุกอย่างมันชัดเจนแล้ว ลาก่อนครับคุณป้องปราบ”
จุลพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งก่อนเขาจะหมุนตัวและเดินหายเข้าไปในห้อง เขาทิ้งให้ผมจมอยู่กับความรู้สึกผิดหวัง และหมดหวัง ไม่เมื่อเขายืนยันชัดเจนขนาดนี้แล้ว ถ้าผมยังจะดึงดันอยู่มันก็เท่ากับว่าไม่เคารพการตัดสินใจของเขา มันคงจะหมดหนทางแล้วจริงๆ ผมควรจะถอยได้แล้ว ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตอิสระและเริมต้นใหม่เสียที นี่ใช่ไหมคือสิ่งที่ผมจะทำให้เขาได้เป็นครั้งสุดท้ายของการจากลา
เพล้ง!
“นี่มันแก้วกาแฟใบที่สองแล้วนะจุล ฉันว่านายควรจะกลับไปพักอีกสักวันจะดีกว่า สามอาทิตย์มานี้นายก็นอนบริษัทแทบตลอด พักอยู่บ้านคืนเดียวมันจะไปพออะไร”
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“จะเป็นทาสงานก็ให้มันน้อยๆ หน่อย ถ้านายยังกังวลเรื่องอากิ ฉันจะขอพูดครั้งที่สิบแล้วกันนะว่า ถ้าคิดถึงก็ไปหา ถ้ามีอะไรก็ให้พูด และที่สำคัญซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองหน่อย”
“ขอบคุณนะริสะจัง”ผมยิ้มให้กับเพื่อนพนักงานคนหนึ่งในแผนกการตลาดที่ผมเคยเล่าให้ฟังบ้างเรื่องเกี่ยวกับอากิ แต่ก็แค่รู้ว่าผมคืนอากิให้แม่ของเขาเทานั้น
“จุล เอาจริงๆ นะ นายยังสามารถเปิดใจรับอะไรได้มากกว่านี้ ถ้านายไม่อยากจะเสียใจไปตลอดชีวิต ก็ทำตามความคิดที่ไม่มีเหตุผลบ้างก็ได้ เชื่อฉันสิว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง”
แต่ผมรู้สึกผิดต่อริสะนิดๆ เหมือนกัน เพราะเรื่องที่ผมคิดอยู่ตอนนี้ครึ่งหนึ่งไม่ใช่เรื่องของอากิซะแล้ว
ไม่ได้นะจุล! นายตัดสินใจไปแล้วจะมาลังเลอะไรอีก
ทั้งๆ ที่ผมพูดอย่างชัดเจนไปแล้ว แต่ตัวเองกลับมาคิดมากอยู่แบบนี้ ไม่สมกับเป็นตัวผมเองเลยสักนิด เขาจะเป็นยังไงก็ช่างเขาสิ จะมาใส่ใจอะไร
ผมไม่ได้.....ไม่ได้....ชอบเขาสักนิด จะแคร์อะไรกับการที่ไม่ต้องเจอกันอีก มันดีแล้วไม่ใช่รึไง ผมควรจะใช้ชีวิตของตัวผมเองสักที
ใช่! ใช่! มันดีแล้ว!
ถึงความคิดของผมจะเป็นแบบนั้น ในมือกลับกุมไอ้เศษกระดาษตัวปัญหาเอาไว้แน่นจนเหมือนคนบ้า
สนามบิน
มันเป็นเพราะไอ้เศษกระดาษนั่นแผ่นเดียวแท้ๆ ถึงทำให้ผมถ่อมาถึงที่นี่จนได้ จะไปแล้วแท้ๆ ทำไมถึงต้องมาบอกผมด้วยว่าจะขึ้นเครื่องกี่โมง สายการบินอะไร เหมือนเขารู้ทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งความคิดผม!
“แฮ่กๆ ขอโทษนะครับไม่ทราบว่าเที่ยวบินSSS อยู่ทางออกที่เท่าไหร่ครับ”ผมกระหืดกระหอบสอบถามประชาสัมพันธ์เพราะเพิ่งจะวิ่งไปทั่วสามบินแต่ก็หาหมอนั่นไม่เจอ
“ทางออกที่XX ค่ะ อีกสิบห้านาทีก็จะถึงเวลาเช็คอินแล้วค่ะ”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
ผมวิ่งสุดฝีเท้าไปยังที่ที่ประชาสัมพันธ์บอก และพยายามกวาดสาตามองหาไปทั่วแล้วก็ไม่เจอคนที่ต้องการพบ ทั้งๆ ที่เขาดูโดดเด่นจนสังเกตได้ง่ายขนาดนั้นแท้ๆ
.....มันคงจะสายไปแล้วสินะ โอกาสของผมมันหายไปแล้ว
“จะ...จุล นั่นนายใช่มั้ย”
ผมหันไปตามเสียงเรียกที่มาจากด้านหลัง และผมก็พบว่าคนที่เรียกผมนั้นคือคนที่ผมกำลังตามหาอยู่นั่นเอง เขาดูตกใจมากที่เห็นผมยืนอยู่ที่นี่ ผมก็ยิ่งตกใจเสียมากกว่าที่ไม่คิดว่าจะเจอ
“คะคือว่า....ผม”ผมจะเริ่มต้นยังไงดี เพิ่งจะบอกลาเขาเมื่อวานแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับมาที่นี่
หมับ!
สาบานได้ว่าผมไม่ทันจะพูดอะไรออกมาจากปากเลย แต่จู่ๆ เขาก็กลับพุ่งเข้ามาคว้าตัวผมเข้าไปกอดจนคนที่เดินผ่านไปมาชวนกันหันมามอง
“ดะเดี๋ยวสิคุณป้องปราบ! ปะปล่อยผมก่อน”ผมผลักเขาสุดแรงแต่เขาก็ไม่ยอมจะปล่อยจนกระทั่งเขาสมัคใจที่จะปล่อยตัวผมออกเอง
“นายมาที่นี่แสดงว่านาย.....”
“ผมรู้ว่าคุณคิดอะไร แต่ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแน่นอน”ผมรีบสลัดภาพความฝันของเขา ก่อนที่เขาจะจิตนาการอะไรไปมากกว่านี้
“แล้วนายไม่ได้มาหาฉันงั้นเหรอ”เขาดูหงอยไปแทบจะทันที
“มันก็ไม่เชิงหรอกนะ”ผมพูดแต่สายตาผมกลับไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ จะพูดออกมาตรงๆได้ยังไงว่าที่ตัวเองมาถึงที่นี่เพราะเขาคนเดียว
“หมายความว่า.....นายมาหาฉันน่ะสิ นายรู้มั้ยว่าฉันไม่เคยดีใจอะไรเท่านี้มาก่อน”
หมับ!
เขาพุ่งเข้ากอดผมอีกครั้งอย่างกับคนคลั่งจมผมรู้สึกอายคนไปทั้งสนามบิน ผมเลยจัดการตีเขาไปแรงๆ
“โอ๊ยๆ นายตีโดนแผล”
“สมน้ำหน้า คุณอยากทำอะไรไม่คิดเอง อย่าเพิ่งได้ใจไปผมมาที่นี่แค่มีเรื่องที่จะบอกก็เท่านั้น”
“งั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันคิดสิ แล้วนายมีเรื่องอะไร?”ระหว่างที่เราคุยกันดูเหมือนว่าจะมีเสียงเรียกผู้โดยสารเที่ยวบินของเขา
“ผมแค่จะเอานี่ให้คุณ”ผมตัดสินใจยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่แทบจะเรียกว่าเศษกระดาษให้นายป้องปราบที่เอื้อมมือมารับไปอย่างสงสัย ดูเหมือนเขาจะค่อนข้างผิดหวังเอามากๆ
“มันคืออะไร?”
“ขอโทษที่ก่อนหน้านี้ผม....ผมให้เบอร์โทรศัพท์คุณผิดๆ ไป”
“ห๊ะ! งั้นที่นายพิมพ์ให้ฉันมันคืออะไร”
“เอ่อ....ก็ร้านแก๊ส”
“นะนี่นาย.....”นายป้องปราบตาลุกวาวมองผมอย่างทึ่งๆ เขาคงไม่คิดว่าผมจะหักหน้าเขาแบบนี้
“ที่ตัดสินใจให้เพราะฉันกลับไปคิดแล้วว่าไม่อยากจะขาดการติดต่อกับอากิตลอดไป ยังอยากจะเจอเขาอีก เพราะฉะนั้นตอนนี้ คุณกลับไปบอกอากิด้วยล่ะว่า.....ผมคิดถึงเขามาก”
“แล้วฉันล่ะ?”
“ก็กลับไปคิดเอาเองเถอะ ผมไปล่ะ”
“จะไปทั้งๆ อย่างนี้งั้นเหรอ ดะเดี๋ยวจุล! นายนี่มันเก่งเรื่องทำให้ฉันสับสนจริงๆ เลย”
“เขาเรียกชื่อคุณแล้ว ไปได้แล้วคุณป้องปราบ”เขาทำท่าอิดออดเหมือนเด็กงอแงที่ไม่ยอมไปโรงเรียน ผมเลยเป็นฝ่ายที่เดินออกมาเอง แต่พอเดินออกมาห่างจากเขาไม่ถึงสามก้าว จู่ๆ ก็เหมือนมีแรงกระชากคว้าแขนผมเข้าไป ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีผมก็โดนคนตรงหน้าขโมยจูบไปซะแล้ว
“คุณป้องปราบ!”
“อย่าลืมจูบนี้ซะล่ะ.....หัวใจนาย ฉันจะมารับกลับในอีกไม่ช้านี้แน่นอน เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ให้ดีล่ะ”
ผมยืนตัวแข็งทื่อ สัมผัสกับต้นคอตัวเองที่เพิ่งรู้สึกถึงไออุ่นจากลมหายใจของเขา เสียงกระซิบนั้นยังชัดเจนอยู่ในหัวผมไม่จาง ผมสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจตัวเองที่เต้นผิดปกติไป รู้สึกตัวอีกทีผมก็ยืนอยู่เพียงคนเดียวซะแล้ว
ผมอาจจะหนีไปไหนไม่ได้แล้วจริงๆ สินะ
ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองงั้นเหรอ? ผมจะพยายามก็แล้วกัน
จบ
*************************************
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจนถึงตอนจบของเรื่องนะฮับ