เกือบสัปดาห์ผ่านไปโดยที่สองพี่น้องได้พูดคุยกันไม่ถึงสิบประโยค เวลาที่พี่ชายไปทำงานหรือพี่สะใภ้ออกไปข้างนอก น้ำก็มักจะนั่งเงียบๆ อยู่กับหลานทั้งสอง ฟังเด็กๆ พูดจาเจื้อยแจ้ว เล่าให้เขาฟังตั้งแต่เรื่องข้างบ้านยาวไปถึงเพื่อนๆ ที่โรงเรียนแล้วก็เออออไปเรื่อย รอเวลาที่เมฆจะส่งข้อความมาหาเพื่อที่เขาจะคุยกันผ่านวิดีโอคอลได้
เมฆสอบเสร็จหลายวันแล้ว เห็นอีกฝ่ายว่าวันนี้จะกลับบ้านที่นครสวรรค์พร้อมกับแหนมและตำลึง แต่ว่าการรอคอยมันช่างน่าเบื่อ พอไม่ได้อยู่ใกล้ๆ กันแล้วเขาก็ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเลย
“อาน้ำ ขนมนี่เรียกว่าอะไร รินชอบ” หลานชายหยิบถุงขนมหนึ่งถุงจากที่ชายหนุ่มซื้อมาฝากเต็มกระเป๋าใหญ่ขึ้นมาถาม
“มะม่วงอบน่ะ ถ้าชอบเอาไว้อาจะส่งมาให้อีกนะ”
“ฮื่อ” รินยิ้มกว้าง สองมือจับถุงขนมไว้ไม่ยอมปล่อย ส่วนรันนั่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไร เพราะเธอได้ขนมถูกใจไป
...จะว่าไปหลานเขาก็ช่างเลี้ยงง่ายดีจริงๆ
น้ำเอนหลังพิงพนักโซฟา เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะหลานทั้งสองคน ในขณะเดียวกันนั้นก็มีเสียงดังแว่วมาจากทางด้านนอก
“พ่อกลับมาแล้วคร้าบ”
เด็กทั้งสองลุกขึ้นพรวด “คุณพ่อกลับมาแล้ว” จากนั้นก็วิ่งออกไปต้อนรับบิดา
ไม้เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนลูกชายลูกสาวก็ช่วยถือแฟ้มเอกสารกับกระเป๋าหนังเดินตามมาต้อยๆ “เป็นไงบ้างน้ำ หายเจ็ตแลครึยัง”
“ผมสบายดี แล้วริซาโกะไปไหนล่ะ”
“ไปธุระกับที่บ้านเขาน่ะ เห็นว่าจะซื้อมื้อเย็นมาให้จากข้างนอก”
น้ำพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดอ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ไม้เดินไปนั่งลงบนโซฟาอีกตัว หันไปหยอกล้อกับลูกๆ ทั้งสองสลับเหลือบมองน้องชายอยู่สักพัก เขาสังเกตเห็นสร้อยคอห้อยจี้สีเงินไม่คุ้นตา จึงเอ่ยทักออกไป
“สร้อยแปลกดีนะ ใครให้มาเหรอ” พี่ชายถามไปเช่นนั้น เพราะเขารู้ดีว่าน้องชายไม่ซื้อพวกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเอง เกือบทั้งหมดคือที่เขากับภรรยาจัดหาให้ทั้งนั้น
ทว่าเมื่อน้องชายได้ยิน นอกจะไม่ตอบคำถามแล้วยังรีบซ่อนสร้อยนั้นไว้ในเสื้อทันที
ไม้อ้ำอึ้ง ด้วยความที่อยากจะหาอะไรมาชวนคุยใหได้ ประกอบกับเห็นว่าน้องชายอยู่ในวัยที่น่าจะสนใจเรื่องการมีแฟน เขาจึงพูดโพล่งขึ้น “น้ำมีแฟนรึยัง”
น้ำหยุดกึก เงยหน้าขึ้นสบสายตากับพี่ชาย “ถามทำไม”
“ก็น้องพี่มันหล่อนี่หว่า น่าจะมีคนจีบเยอะ” พี่ชายพูดกลั้วหัวเราะ แต่แล้วสีหน้าก็เจื่อนลงเมื่ออีกฝ่ายนิ่งสนิท
“.....”
“เอ้อ... เพื่อนๆ พี่มีน้องสาว ลูกสาวสวยๆ หลายคนเลยนะ” ไม้หยิบโทรศัพท์มากดเปิดรูปถ่ายให้น้องชายดู “ดูสิ คนนี้กำลังจะเรียนจบจากอังกฤษ เอาไว้น้ำเรียนจบ ย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วพี่จะพาไปแนะนำให้รู้จักดีมั้ย”
“....”
“แล้วนี่ข้อมูลมหาลัยนะ เผื่อว่าน้ำจะเรียนต่อ” ไม้หันไปหยิบแฟ้มมาส่งให้กับน้องชาย แต่เพราะอีกฝ่ายทำเฉย เขาจึงวางไว้บนโซฟาข้างๆ กันแทน “แต่ถ้าน้ำอยากทำงานในบริษัทพี่ พี่ก็เตรียมตำแหน่งไว้ให้แล้ว พรุ่งนี้ให้ริซาโกะพาไปตัดสูทเตรียมไว้สักห้าหรือหกชุดดีมั้ย”
สาเหตุที่น้ำจำเป็นต้องเดินทางมาประเทศญี่ปุ่นทั้งที่วางแผนเที่ยวกับเมฆและเพื่อนๆ ไว้แล้วก็เพราะต้องการจะคุยถึงเรื่องนี้นี่ล่ะ พี่ชายต้องการและเหมาเอาเองว่าเมื่อเขาเรียนจบจะย้ายมาอยู่ที่ญี่ปุ่น แต่เขาไม่ได้ตกลงด้วยสักหน่อย
“ผมเคยบอกเหรอว่าจะย้ายมาที่นี่”
ในตอนแรกตั้งใจว่าจะลองคุยกับพี่ชายดีๆ สักครั้ง อยากจะเป็นผู้ใหญ่ที่พูดจามีเหตุมีผล แต่เพราะความหงุดหงิดก่อนหน้า รวมกับสิ่งที่พี่ชายสรรหามายัดเยียดให้ ส่งผลให้เขาพูดออกไปแบบนั้น
นัยน์ตาเรียวฉายแววขุ่นเคือง คิ้วเรียวขมวดมุ่น เขาโกรธทั้งตัวเองทั้งพี่ชายนั่นละ จะเรียกว่าพาลใส่ทุกสิ่งทุกอย่างเลยก็ว่าได้
ไม้อ้ำอึ้ง ดูเหมือนไม่ว่าเขาจะพูดหรือจะทำอะไรก็ไม่ถูกใจน้องชายไปเสียหมด “แต่... พอน้ำเรียนจบแล้วจะทำอะไร...”
“ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ”
“ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ น้องคนเดียว พี่เลี้ยงได้สบาย... น้ำอยากได้อะไร...”
คำพูดที่เขาได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งพอได้ฟังบ่อยเข้าก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยหน่าย
“ผมอยากได้อะไรงั้นเหรอ ผมอยากให้พี่เลิกจุ้นจ้านกับชีวิตผมสักทีไง!” ราวกับน้ำปริ่มแก้ว น้ำลุกขึ้นพรวด มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเกร็งไปทั้งแขน “ส่วนเรื่องแฟน ผมหาเองได้ ถ้ามีเวลามากนักก็เอาไปดูแลครอบครัวของพี่เถอะ”
พี่ชายอ้าปากค้าง “น้ำ! ทำไม...”
เจ้าของชื่อเรียกไม่ฟังเสียง เขาสาวเท้ายาวๆ ออกจากห้องนั่งเล่นไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก
น้ำทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งยังไม่มีข้อความจากคนที่เขารอคอยขึ้นมาดูหลายต่อหลายครั้ง เขาคิดว่าเมฆน่าจะกลับไปถึงนครสวรรค์แล้ว แต่ทำไมยังไม่ส่งข้อความมาสักที
เสียงฝีเท้าที่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องทำให้เขาต้องผงกศีรษะขึ้นมองไปยังบานประตู ไม่ต้องเดาให้ลำบากว่าเป็นใคร ก็คงจะเป็นพี่ชายของเขานั่นล่ะ
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ไม่นานคนที่เดินจงกรมอยู่หน้าห้องนั้นก็หยุดเคาะประตูพร้อมกับพูดเสียงเบา “พี่ขอโทษนะน้ำ ยังไงก็ลงมากินข้าวเย็นด้วยกันนะ” จากนั้นก็เดินออกไป
น้ำขมวดคิ้ว เขาไม่ได้อยากใจร้ายกับพี่ชาย รู้ทั้งรู้ว่าทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดแค่ไหน และทั้งที่ต้องการจะพังกำแพงที่เขาสร้างไว้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี
...แล้วถ้าเขาบอกกับทุกคนว่า เขาจะยังไม่ย้ายมาอยู่ที่นี่หลังเรียนจบ เขาจะรับมือทุกคนหลังจากนั้นอย่างไร
เสียงข้อความเข้าในโทรศัพท์ดังขึ้น เรียกความสนใจของชายหนุ่มไปที่นั่น เขารีบคว้ามากดวิดีโอคอลไปหาคนที่ส่งข้อความเข้ามา
“พี่น้ำ!” หน้าจอโทรศัพท์ฝั่งของเมฆมีทั้งตัวเด็กหนุ่ม คุณตาคุณยายและน้องสาวสองคน เสียงดังโวยวายจนฟังไม่รู้เรื่อง หากก็ทำให้น้ำยิ้มออกมาได้ สักพักเมฆก็ปลีกตัวเดินไปที่ห้องของตน
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเมฆ ความหงุดหงิดเมื่อครู่ก็จางหายไปได้บ้าง น้ำยิ้มบาง “กลับถึงบ้านนานรึยัง”
“ที่จริงก็มาถึงสองชั่วโมงได้ละครับ แต่ผมโดนพ่อแม่ ตายาย ฟ้าฝน ลุงทีลุงชิด อากล้า น้าทับทิม น้าพลอยรุมทึ้ง เพิ่งจะปล่อยให้ผมหลุดออกมาได้เนี่ย” เมฆเอียงแก้มเข้าหากล้องโชว์รอยลิปสติกที่ประทับอยู่บนนั้น “พี่น้ำดูดิ น้าทับทิมกับน้าพลอยทิ้งรอยไว้ด้วย”
“หืม น้าจริงรึเปล่าน่ะ”
“จริงสิคร้าบ” เด็กหนุ่มหัวเราะ “พี่น้ำเป็นไงบ้าง ที่บ้านพี่คงคิดถึงกันมากเลยสิ อยู่คนละประเทศแบบนี้”
...ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าเมฆยังคงขุ่นเคืองเขาอยู่ในใจ เพราะนัยน์ตาสีดำคู่นั้นไม่ได้ฉายแววสดใสเช่นเคย แต่อีกฝ่ายก็พยายามเก็บความรู้สึกไว้ไม่ทำให้เขาต้องคิดมาก ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
“ทำไมพี่น้ำทำหน้าเหม็นเบื่อแบบนั้นล่ะ ไม่อยากคุยกับผมเหรอ”
“อยากสิ นั่งรอเมฆมาตั้งแต่เช้าแล้วเนี่ย”
“ถ้างั้น... มีอะไรไม่สบายใจเหรอครับ”
“เพราะอดไปเที่ยวกับเมฆไง”
เด็กหนุ่มอ้ำอึ้งชั่วครู่ “คือ... วันนั้นผมขอโทษ ผมเอาแต่ใจตัวเองมากไปจนลืมนึกว่าพี่น้ำเองก็ไม่ได้มีโอกาสได้อยู่กับครอบครัวบ่อยๆ”
“พอดีพี่มีเรื่องสำคัญต้องคุยกับที่บ้านด้วยน่ะ”
“แล้วได้คุยรึยังครับ”
“...ยัง”
“อ่าว...”
น้ำนิ่งเงียบไปสักพัก เขาเสตาหลบหน้าจอโทรศัพท์ที่ถือค้างไว้ในมือ
“พี่น้ำมีเรื่องไม่สบายใจจริงๆ ด้วย”
นัยน์ตาเรียวหลุบต่ำ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนไปมองหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง “รู้ดีจังนะ”
“รู้สิครับ ก็ผมเป็นแฟนพี่น้ำนี่”
คราวนี้ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ
“ที่บ้านพี่น้ำมีใครบ้าง”
“ก็มีพี่ชาย พี่สะใภ้แล้วก็หลานสองคนน่ะ มีแค่นี่แหละ”
“แล้วพ่อกับแม่...”
“ท่านเสียไปนานแล้ว”
“อา ผมขอโทษที่ถาม”
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องมันผ่านมานานแล้ว”
เด็กหนุ่มจ้องมองใบหน้าของรุ่นพี่ผ่านหน้าจอโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ “พี่น้ำ... พี่กับที่บ้านไม่ได้เจอกันตั้งนาน ทุกคนคงจะคิดถึงพี่มากๆ”
“คิดอย่างนั้นเหรอ”
“ผมมั่นใจเลยล่ะ ครอบครัวของพี่มีกันไม่กี่คน เวลาที่มีใครหายไปสักคน มันทำให้โหวงเหวงมากเลยนะ ขนาดบ้านผมอยู่กันเป็นสิบ มีบ้านญาติอยู่ติดๆ กันเป็นแผง ใครหายไปคนนึงยังรู้สึกเหงาเลย เพราะงั้นมีเวลาไม่กี่วันกับครอบครัวก็ใช้ให้เต็มที่นะครับ อีกอย่างเดี๋ยวพี่น้ำกลับมาเมืองไทยก็ต้องเป็นของผมตลอดเวลาละ ไม่มีเวลาให้คนอื่นแล้วนะ”
น้ำหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจกับคำพูดของเด็กหนุ่ม “อืม”
พอเห็นว่ารุ่นพี่หัวเราะได้ เมฆก็ยิ้มกว้าง นัยน์ตาสีนิลกลับเป็นประกายอีกครั้ง “รีบจัดการเรื่องที่ต้องคุยกับที่บ้านให้เสร็จด้วยนะครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้า “โอเคครับ”
ใช่แล้ว เขาจะต้องคุยกับพี่ชายให้เข้าใจ เพื่อที่เขาจะได้รักษารอยยิ้มน่ารักของเมฆเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ผมรักพี่น้ำนะ”
ใบหน้าของน้ำยังคงมีรอยยิ้ม ช่างน่าแปลกที่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคทำให้หัวใจเขาอบอุ่น ความหงุดหงิดอารมณ์เสียจางหายไปสิ้น “อืม”
“พรุ่งนี้พวกพี่ตั้งใจจะมาแล้วก็จะไปเที่ยวต่อเลย เดี๋ยวพออยู่ในเขาอาจจะสัญญาณไม่ดีนักนะครับ แต่ผมจะส่งเมสเสจหาพี่น้ำทุกครั้งที่พักแล้วมีสัญญาณเลยนะ”
“ขอบใจ เที่ยวให้สนุกนะ ระวังตัวด้วยล่ะ”
“คร้าบพ้ม” เมฆทำเสียงเล็กเสียงน้อย ก่อนจะกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ผมคิดถึงพี่น้ำนะ”
“อืม...”
“แค่นี้เองเหรอ” เด็กหนุ่มเบ้ปากใส่
“พี่ก็คิดถึงเมฆนะ” คราวนี้คนปากหนักยอมพูดออกไปง่ายๆ จนคนที่อยู่ปลายสายแปลกใจ
เมฆเบิกตาโพลง “โหย ไม่น่าเชื่อ ฝนตกหนักแน่เลย”
น้ำล้วงเข้าไปในคอเสื้อ หยิบเกียร์ที่รุ่นน้องเคยใส่ให้ขึ้นมาโชว์ “เชื่อรึยัง”
“หวา!” เด็กหนุ่มร้องลั่น แล้วยิ้มกว้าง “รักพี่น้ำจังเลย”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอีกครั้ง เขายอมแพ้เมฆจริงๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้เขายิ้มได้ เด็กหนุ่มเปรียบเหมือนสายลมเย็นสบาย ที่พัดพาความรุ่มร้อนออกไปจากใจเขา
ทั้งสองพูดคุยกันต่อไปอีกพักใหญ่ เมื่อวางสายไปแล้วน้ำก็ยังนอนคิดอะไรต่อไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“อาน้ำ”
“ว่าไง” เจ้าของห้องลุกขึ้นจากเตียง เดินไปเปิดประตูห้องออก
“กินข้าวกัน” หลานทั้งสองคนยิ้มกว้าง
“ริซาโกะกลับมาแล้วเหรอ”
“ครับ/ค่ะ”
“งั้นก็ไปกัน” น้ำยื่นมือให้หลานทั้งสองคนจูงเขาไปคนละข้าง เดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง ตรงไปยังห้องอาหาร
บรรยากาศในห้องอาหารเงียบสนิท ไม้นั่งเงียบอยู่ที่ที่นั่งประจำของเขาที่โต๊ะอาหาร ส่วนริซาโกะกำลังวุ่นวายอยู่ในครัว พอเธอเห็นน้ำเดินเข้ามาก็ชะโงกหน้าออกมาต้อนรับ “หิวรึยังจ๊ะ นั่งคุยกันไปก่อน พี่อุ่นอาหารอยู่ รอแป๊บนะ”
“ครับ” น้ำเดินไปนั่งลงข้างๆ พี่ชาย เขาชำเลืองมองใบหน้าเคร่งขรึม พลางถอนหายใจเบาๆ “พี่ไม้ เมื่อกี้ผมขอโทษนะครับ”
ไม้เงยหน้าขึ้นสบสายตาคนพูดด้วยความประหลาดใจ ดวงตาเบิกกว้าง “.....”
“ที่จริง ผมก็อยากจะปรึกษากับพี่ถึงแผนที่วางไว้ หลังเรียนจบผมตั้งใจจะทำงานเก็บประสบการณ์ที่ไทยสักสามปี แล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที”
“อะ... เหรอ ก็... ก็ดีนะ” ไม้ตั้งตัวไม่ทัน เพราะจู่ๆ น้องชายก็มาพูดดีด้วย สีหน้าเปลี่ยนจากเมื่อครู่หน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว “แต่ว่า... ทำงานที่นี่ ที่บริษัทเราก็ได้นี่นา น้ำจะได้ไม่ต้องลำบาก”
“ผมอยากลองหางานทำด้วยตัวเองก่อน อยากพิสูจน์ความรู้ความสามารถที่เรียนมา พี่ไม้คงเข้าใจ...”
“เข้าใจสิ เข้าใจ” ไม้พยักหน้าหงึกหงัก วินาทีนี้น้องชายว่าอย่างไร เขาก็ยินดีจะรับฟัง “ถ้าไม่ได้ยังไง ค่อยมาทำของบริษัทเราก็ได้นะน้ำนะ”
“......”
“น้ำอยากทำงานอะไรล่ะ เดี๋ยวพี่...”
“ผมยังเหลือเวลาเรียนอีกเทอมนะ ขอเวลาผมคิดก่อนละกัน”
“ปรึกษาพี่บ้างก็ได้ พี่รู้จักบริษัทในเมืองไทยเยอะนะ”
ถ้าขืนเขาบอกพี่ไป มีหวังได้ขึ้นแบล็คลิสต์ทุกบริษัทแน่ แล้วสุดท้ายเขาก็จะต้องกลับมาทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นนี่ เขาไม่หลงกลพี่ชายง่ายๆ หรอก
“ผมรู้ว่าพี่ไม้หวังดีกับผมมาตลอด และผมก็ขอบคุณมาก แต่ผมไม่ใช่เด็กแล้ว ผมขอแค่โอกาสจากพี่เพื่อพิสูจน์ตัวเองสักหน่อย” น้ำพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พลางยิ้มบาง “ผมอยากทำให้พี่ภูมิใจในตัวน้องชายคนนี้บ้าง”
ไม้นิ่งอึ้ง เขาประสานสายตากับน้องชายอยู่ชั่วครู่ ใจหนึ่งยังต้องการให้น้ำย้ายกลับมาอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยกัน อยากจะเกลี้ยกล่อมและโน้มน้าวให้ถึงที่สุด แต่อีกใจ พอเห็นความตั้งใจจริงของน้องแล้วเขาก็พูดอะไรไม่ออก “.....”
เมื่อสองพี่น้องนิ่งไป ริซาโกะซึ่งคอยสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ จึงเดินเข้ามาสะกิดสามีเธอแล้วทำท่าบุ้ยใบ้ ไม้จึงรีบพูดต่อ เวลานี้เขาควรจะเออออตามน้องชายไปก่อนเพื่อรักษาบรรยากาศ “ถ้าได้งานที่ไทย พวกพี่กับเด็กๆ จะไปเยี่ยมน้ำบ่อยๆ นะ”
“...ถ้ามีเวลาว่าง ผมก็จะมาที่นี่เหมือนกัน ญี่ปุ่นกับไทย ไม่ได้ไกลกันสักหน่อย”
พี่ชายพยักหน้าหงึกหงัก “นั่น... นั่นสินะ”
น้ำหลุบตาลงต่ำ นัยน์ตาอ่อนแสงลง เขาอมยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับหันไปสบสายตากับหลานทั้งสองคน ก่อนจะหันไปทางพี่ชาย “พรุ่งนี้โดดงานไปดิสนี่ย์แลนด์กันสักวันได้มั้ย ไปกันทั้งครอบครัว”
“ฮะ” ไม้อ้าปากกว้าง เพราะปกติแล้วน้องชายจะไม่ยอมรับว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน ออกจะผลักไสเขาเสียด้วยซ้ำ
“เย้ อาน้ำจะไปพารินรันไปดิสนี่ย์แลนด์เหรอ ไปนะคุณพ่อ ไปกัน”
“เดี๋ยวผมจะถ่ายรูปให้ รับรองสวยทุกรูปเลย”
ไม้จ้องน้องชายเขม็ง ดูเหมือนว่าน้ำจะสะกิดตรงจุดที่ทำให้เขาใจอ่อน ยอมโอนอ่อนว่าตามกัน “อะ... เอาสิ เดี๋ยวพี่จะสั่งเลขาไว้ วันก่อนวันหยุดสิ้นปี ไม่ค่อยมีงานอะไรอยู่แล้ว”
“ดีจังเลยครับ” น้ำทำสีหน้าปกติ หากมีรอยยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย เขาหันไปทางพี่สะใภ้ที่กำลังเดินถือจานใส่อาหารเข้ามาเสิร์ฟบ้าง “วันนี้มีอะไรกินเหรอริซาโกะ”
พี่สะใภ้เลิกคิ้วขึ้น เนื่องจากส่วนใหญ่น้ำจะเอาแต่นั่งเงียบ เธอแทบจะจำเสียงเขาไม่ได้แล้วเนี่ย “อะ... เอ่อ... แกงกะหรี่กับทงคัตสึน่ะ ซื้อมาจากร้านดังเลยนะ แล้วคุณยายก็ฝากขนมมาให้น้ำด้วย”
น้ำก้มลงมองอาหารในจาน “อืม น่ากินจัง”
“.....” ริซาโกะหันไปสบสายตากับสามีของเธออย่างงงๆ
“กินกันเถอะ ผมหิวแล้ว อิตาดาคิมัส~”
“อิตาดาคิมัส~” รินรันตอบรับเสียงใสแจ๋ว ก่อนทุกคนจะลงมือรับประทานมื้อเย็นร่วมกัน
TBC~*ยังมีอาฟเตอร์ช็อกจากปลาหิมะเล็กน้อยนะคะ 5555555 ตำลึงคงไม่กินปลาหิมะไปอีกนาน
ตอนนี้อึมครึมเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าความสัมพันธ์ของพี่น้ำน้องเมฆและพี่ไม้มีความก้าวหน้าไปอีกกระจึ๋งนึงนะคะ
ขอบคุณทุกคนมากค่า จุ๊พพพพ