Chapter 23 : อุปสรรคมีไว้ข้ามเวลาล่วงเลยไปจนถึงตอนเที่ยงวัน ซึ่งกลุ่มของเมฆไปนั่งประจำกันที่หน้าโรงอาหารตามปกติ เด็กหนุ่มเองก็ตั้งใจจะไปรอพบกับรุ่นพี่ต่างคณะที่นั่น หลังจากที่เข้าใจกับความรู้สึกในหัวใจตนเองแล้ว แม้จะยังสับสนว่าควรจะวางตัวอย่างไร แต่เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาหลบหน้าหลบตาอีก และอย่างน้อยเขาก็อยากจะขอบคุณเรื่องเมื่อคืนด้วย
สักพักกลุ่มของพี่ว้ากปีสี่ก็มานั่งตรงที่ประจำ ทว่าคนที่เมฆชะเง้อมองหานั้นยังไม่มาสักที เขารอจนพวกรุ่นพี่รับประทานมื้อกลางวันเสร็จจึงเดินตรงเข้าไปที่โต๊ะอาหาร
เหล่าพี่ว้ากปีสี่กำลังพูดคุยกันอยู่อย่างออกรส ใบตองกับป๊อกเด้งนั่งหันหน้าไปทางที่เด็กหนุ่มเดินเข้ามาพอดีจึงหันไปส่งสายตาให้กับเพื่อนๆ ซึ่งทุกคนก็หยุดกึกแล้วหันขวับ สายตาทุกคู่ในโต๊ะพุ่งตรงไปทางรุ่นน้องพลางกระซิบกระซาบ “มันต้องมาขอลายเซ็นมึงแน่ๆ ไอ้ตั้งใจ”
ตั้งใจเลิกคิ้วขึ้น “ฉิบหาย กูยังไม่ได้คิดอะไรไว้เลย”
“คิดเร็วสิมึง คิดๆ อย่าให้เสียชื่อเฮดว้ากนะมึง”
“ไอ้เหี้ย จู่ๆ กูจะคิดออกมั้ยล่ะ” ตั้งใจตอบอย่างลนลาน ในเมื่อยังคิดมิชชั่นไม่ออก มีสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้... ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นก่อนที่รุ่นน้องจะเดินเข้ามาถึงโต๊ะ “กูไปขี้ก่อน” แล้วสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เพื่อนพ้องที่เหลือในโต๊ะนินทาไล่หลัง
ทว่าแม้ตั้งใจจะไม่อยู่แล้ว เมฆก็ยังเดินดุ่มๆ เข้ามาหา สีหน้าเขาสลด ถ้าเปรียบเป็นลูกสุนัขก็คงหูลู่หางตก ส่งผลให้พวกรุ่นพี่แปลกใจอยู่ไม่น้อย
เมฆยกมือไหว้อย่างนอบน้อมเหมือนเช่นเคย “เอ่อ พี่ครับ เห็นพี่น้ำมั้ยครับ”
“มีธุระอะไรกับเพื่อนผมเหรอครับ” เต้าหู้ถามกลับ
“ครับ มีครับ”
เพราะอีกฝ่ายตอบเสียงอ่อย แม้จะเลี่ยงไม่ตอบคำถามของเขา หากท่าทางน่าสงสารเสียจนรุ่นพี่กลับรู้สึกผิดเสียเองที่เสือกถามออกไป เขาจึงหันไปสะกิดไข่ย้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน “เฮ้ยๆ ไอ้ย้อย เอาไงดีวะ”
ไข่ย้อยหันรีหันขวาง แต่สีหน้าเศร้าสร้อยของรุ่นน้องทำให้เขาต้องตอบกลับไปอย่างเห็นใจ “น้ำมันมีประชุมองค์การนักศึกษา เห็นว่าจะนั่งกินข้าวกันในห้องประชุมนั่นล่ะ แล้วเดี๋ยวก็มีเรียนต่อด้วย คุณมีธุระอะไรก็รอพบมันตอนเย็นหลังประชุมเชียร์แล้วกัน”
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเดินคอตกกลับออกไป
ปกติเมฆจะเป็นรุ่นน้องที่สดใสร่าเริง และแอ็คทีฟอยู่เสมอ ทว่าพอเห็นเด็กหนุ่มเป็นแบบนี้แล้ว พวกรุ่นพี่ก็ได้แต่หันหน้ามองกันอย่างงงๆ
“มันมีไรกับไอ้น้ำรึเปล่าวะ ไอ้สัตว์น้ำก็ปิดมือถือตั้งแต่เช้า”
“นั่นสิวะ แปลกฉิบหาย”
ขณะที่เดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง เมฆหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรไปหาน้ำ หากปลายสายปิดเครื่อง เขาพยายามโทรไปอีกหลายครั้ง แต่ก็ได้ผลก็เช่นเดิม
...องค์การนักศึกษาคงจะเริ่มประชุมกันแล้ว เดี๋ยวพี่น้ำว่างก็คงจะเปิดเครื่อง เขาพยายามคิดในแง่ดีไปเช่นนั้น
จวบจนถึงเวลาประชุมเชียร์ในตอนเย็น เมฆก็ยังหาทางติดต่อน้ำไม่ได้ ความกังวลในใจจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขานั่งเหม่อลอยในการประชุมเชียร์จนถูกพี่สันทนาการแซวอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจหยุดคิดถึงรุ่นพี่ต่างคณะได้เลย
...จะทำอย่างไรดี ถ้าหากพี่น้ำถอยออกห่าง หลบหน้าเขาเหมือนอย่างที่เขาเคยทำ พี่น้ำที่แสนจะน่ารักและใจดีคนนั้น หัวใจของเขาจะทนไหวอย่างนั้นหรือ
ระหว่างที่กำลังรอให้กลุ่มพี่สตาฟฟ์เชียร์ผลัดเปลี่ยนเข้ามาทำหน้าที่แทนพี่สันทนาการ เด็กหนุ่มชะเง้อมองหากลุ่มพี่ว้ากที่มักจะนั่งอยู่บริเวณรอบนอกเพื่อช่วยพี่สันทนาการและพี่สตาฟฟ์เชียร์ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยที่ไม่ทันได้สนใจรุ่นพี่ปีสองที่ทำหน้าที่ดูแลสวัสดิการซึ่งกำลังนำน้ำดื่มมาแจกจ่าย รุ่นพี่คนหนึ่งส่งแก้วน้ำให้กับเขา หากเด็กหนุ่มไม่ทันได้ใส่ใจ
“ประธานรุ่น... ประธานรุ่นปีหนึ่ง! ผมว่ามันจะชักเกินไปแล้วนะ!” เสียงดังลั่นแฝงไว้ด้วยความขุ่นเคืองเรียกให้เมฆหันกลับไปทางต้นเสียงอย่างฉับพลัน
“ครับ!”
เจ้าของเสียงเรียกนั้นคือหนึ่งรุ่นพี่ปีสอง ซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าดูแลสวัสดิการของปีหนึ่ง “ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้วนะ พวกคุณน่ะ ไม่ให้ความเคารพผมกับเพื่อนเลย พวกเราเสียสละมาดูแลพวกคุณ ช่วยเหลือทุกอย่าง แต่แค่ยกมือไหว้สักครั้ง หรือจะได้รับคำขอบคุณจากพวกคุณน่ะ ยากเย็นเหลือเกิน คุณเป็นประธานรุ่น ยิ่งควรจะทำตัวให้เป็นแบบอย่างของเพื่อนไม่ใช่เหรอ” สิ้นคำพูดนั้นเหล่าพี่สวัสดิการทุกคนก็หยุดชะงักพร้อมกันหมด จากนั้นก็เริ่มมีเสียงอื้ออึงตอบรับว่าเห็นด้วยกับที่หัวหน้าพูด
“พี่! ไม่ใช่นะครับ! พี่เข้าใจผิดแล้ว!” เด็กหนุ่มเบิกตาโพลง รีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยทันควัน “ผมขอโทษครับ”
รุ่นพี่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเมฆลดแก้วน้ำในมือลง เธอส่ายหน้าพลางพ่นลมหายใจออกหนักๆ “ช่างเหอะ ปีสองอย่างเรา เหนื่อยไปก็แค่นั้นน้องมันไม่เห็นหัวหรอก”
เมฆหน้าเสีย เขานึกไม่ถึงว่าจะทำให้รุ่นพี่เสียใจถึงขนาดนี้ เด็กหนุ่มรีบยกมือไหว้ “ผมขอโทษจริงๆ ครับพี่”
หากพี่ปีสองไม่ได้สนใจคำของโทษของเขา เธอทำหน้าเหม็นเบื่อแล้วเดินฉับๆ ออกไปจากสถานที่ประชุมเชียร์พร้อมกับรุ่นพี่สวัสดิการคนอื่นๆ ส่วนหัวหน้าสวัสดิการนั้น เขาเดินไปยกมือไหว้กลุ่มพี่สตาฟฟ์เชียร์ “ขอโทษนะพี่ พวกผมทนไม่ไหวแล้ว”
พี่สตาฟฟ์เชียร์ได้แต่อ้ำอึ้ง พวกเขาจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากกลุ่มพี่ว้ากปีสี่ที่ยืนตั้งป้อมรอท่าอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นก็ส่งไม้ผลัดต่อให้กับพี่ว้ากไป
“พวกคุณทำให้น้องผมเสียใจ! ทำผิดอะไรรู้ตัวบ้างรึเปล่า!” เสียงของพี่ว้ากปีสี่ดังก้อง ส่งผลให้ปีหนึ่งทุกคนก้มหน้าลงมองพื้นทันควันอย่างรู้ชะตากรรม
แล้วผลก็เป็นไปอย่างที่คาดไว้ การประชุมเชียร์ในเย็นวันนั้นจบลงด้วยการถูกทำโทษ ประธานรุ่นผู้น่าสงสารต้องรับโทษหนักกว่าทุกคนเท่าตัว และทั้งที่เหนื่อยแสนเหนื่อยจนแข้งขาสั่น พวกเขาก็ยังต้องมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาหาวิธีที่จะไปง้องอนให้พี่ๆ สวัสดิการหายโกรธอีก
คืนนั้นเหล่าปีหนึ่งแทบจะคลานกลับไปยังหอพักของพวกตน บางคนที่ยังพอมีแรงก็ไปวิ่งผ่านน้ำก่อนเข้านอน ส่วนบางคนรวมทั้งเมฆ พอล้มลงบนเตียงก็สลบเหมือดเป็นตาย
ภายในห้องนั่งเล่นในคอนโดมิเนียมของน้ำตั้งใจกำลังพูดคุยโทรศัพท์กับหัวหน้าพี่สวัสดิการปีสอง สักพักก็อุทานออกมาเสียงดังลั่น “อะไรนะ พวกมันตามไปง้อมึงถึงที่หอ เพิ่งกลับไปเมื่อกี้อะนะ!” ส่งผลให้เพื่อนพ้องทั้งห้าคนหยุดชะงักแล้วเอียงหูฟัง น้ำก็อยู่ในกลุ่มด้วย เขาแกว่งแก้วเหล้าในมือช้าๆ ก่อนจะยกขึ้นจิบ
“แล้วพวกมึงทำไง เออๆ ไม่ต้องใจร้ายกับพวกมันนักหรอก โอเค” หลังจากวางสายไปแล้วตั้งใจจึงค่อยหันมาเล่าให้ทุกคนในกลุ่มฟัง “...พวกมันว่า ต่อไปจะขอแค่ให้พี่สวัสดิการเข้ามาดูประชุมเชียร์ พวกมันจะจัดการแจกน้ำแจกอาหารดูแลกันเอง... น่ารักน่าเอ็นดูมั้ยล่ะพวกมึง”
ใบตองส่ายหน้าไปมา “น่าสงสารแม่งฉิบหาย วันนี้ไอ้เมฆมันยิ่งดูซึมๆ อยู่ด้วย”
“มึงอย่าพูดแบบนี้สิวะ กูยิ่งรู้สึกผิดที่ไปวีนใส่แม่ง” ป๊อกเด้งพูดเสียงอ่อย
“สงสารแล้วไปแกล้งน้องมันทำไมวะ” คนที่นั่งจิบเหล้าเงียบๆ อยู่ในตอนแรกพูดเสียงขรึม สายตาดุๆ ของเขาชวนให้เพื่อนพ้องรู้สึกถึงความเย็นเยือกทั้งที่ในห้องเปิดเครื่องปรับอากาศไว้เพียงแผ่วๆ
“พวกกูไม่ได้แกล้งนะโว้ย” ไข่ย้อยหันไปอธิบาย “นี่มันเป็นทริคกระตุ้นให้ปีหนึ่งกระตือรือร้นมากขึ้น เพราะว่าใกล้จะชิงรุ่นชิงธงกันแล้ว”
ใบตองพูดเสริม “นี่พวกกูก็ตั้งใจดราม่ากันวันศุกร์เลยนะ ลงโทษหนักหน่อยแต่พรุ่งนี้ปีหนึ่งก็จะได้พัก พวกกูใจดีสุดแล้วว้อย”
“เป็นห่วงไอ้เมฆมันรึไงวะ”
“.....” น้ำพ่นลมหายใจออกหนักๆ แล้วยกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่ม
“แต่ไอ้เมฆมันแม่ง... หน้าซีดเลย กูอยากให้มึงเห็นเลยว่ะน้ำ” เต้าหู้โน้มเข้าไปทางเพื่อนรัก หากอีกฝ่ายทำทีไม่สนใจเขาจึงจิ๊ปากแล้วดึงแก้วเหล้าออกจากมือ “ว่าแต่วันนี้แดกเหล้าแทนน้ำเลยนะมึง เผลอแป๊บเดียวล่อไปครึ่งขวดแล้ว พอเหอะ”
ทว่าน้ำดึงแก้วเหล้ากลับคืนแล้วกระดกอึกๆ ลงคอไปทีเดียวหมดแก้ว ก่อนจะวางแก้วลงตรงหน้าแล้วเทเหล้าใส่ใหม่โดยไม่ได้พูดจาอะไร
“ไอ้น้ำ พอแล้ว!” เต้าหู้ยื้อแก้วกลับพลางดุเสียงดัง “เป็นเหี้ยไรวะ!” เขาไม่ได้เห็นเพื่อนรักดื่มเหล้าจัดขนาดนี้มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนะ
สีหน้าของน้ำเรียบเฉย ไม่ได้สะทกสะท้านต่อเสียงตวาดของเพื่อน หากขมวดคิ้วเป็นปม “เอามาให้กูแดกเหอะน่ะ กูจะได้หลับๆ ไปสักที”
“มึงเคยแดกเหล้าแล้วหลับด้วยเหรอ ต้องแดกอีกกี่ขวดกัน พอได้แล้วโว้ย!” คราวนี้เป็นเสียงดุของตั้งใจ เขาดึงแก้วเหล้าออกจากมือน้ำแล้วส่งต่อให้ไข่ย้อยเอาไปเก็บไว้ไกลๆ
เจ้าของแก้วเหล้าพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ จากนั้นจึงลุกขึ้นพรวด “งั้นกูกลับห้องล่ะ” แล้วเดินกลับไปที่ห้องนอนของตน ปล่อยให้เหล่าเพื่อนพ้องมองตามหลังไปอย่างงุนงง
หลังจากได้ยินเสียงประตูห้องนอนของน้ำปิดลงสนิท ทั้งห้าคนก็หันหน้ามองกันสลับไปมาอยู่สักพัก
“ไอ้น้ำมันเป็นอะไร จะว่าไปตั้งแต่เมื่อวานมันก็ทำท่าทางแปลกๆ” ตั้งใจย้อนนึกไปถึงท่าทางของเพื่อนรักเมื่อวานตอนเที่ยงที่หน้าโรงอาหาร ประกอบกับอาการของเมฆในวันนี้ “มีอะไรกับไอ้เมฆรึเปล่าวะ”
ไข่ย้อยตบโต๊ะดังป้าบ ก่อนจะพ่นความในใจที่อัดอั้นมาแสนนานออกไป “กูบอกพวกมึงแล้วใช่มั้ย ว่าไอ้น้ำกับไอ้เมฆน่ะ มันพิกลๆ อยู่นะ พวกมึงจำคลิปเดินรอบสนามบอลตอนแดดโคตรแรงที่กูเอาให้ดูได้ใช่ป่ะ แล้วยังตอนที่ตายายของไอ้เมฆมาเยี่ยมอีก ตั้งแต่รู้จักกันมา นอกจากพวกเราแล้ว ไอ้น้ำมันไม่เคยคิดสนิทสนมกับใครแม้กระทั่งกับเพื่อนในคณะ ไม่เคยสนใจจะแคร์ใคร แต่ทำไม...”
ตั้งใจสบสายตากับเพื่อนในกลุ่มทีละคน “ก็เพราะพวกมึงนั่นแหละ ชอบโยนไอ้เมฆไปหาไอ้น้ำมัน มีมิชชั่นกี่มิชชั่น พวกมึงก็ส่งไปหามันหมด”
“ถ้าไม่ส่งไปหาไอ้น้ำแล้วจะให้ส่งไปหาใครวะ ในกลุ่มก็มีกันแค่นี้ แล้วพวกมึงก็เป็นพี่ว้ากกันหมดอะ” อีกสี่คนช่วยกันแก้ตัว “อีกอย่างนะ แกล้งพวกมันก็สนุกดีนี่หว่า ตั้งแต่ตอนคลึงไข่กันแล้ว ปะทะคารมกันมันส์ดีฉิบหาย”
“ใช่ๆ ไอ้น้ำก็ดูสนุกมากด้วย มีคนคอยกวนประสาทมันจะได้ไม่เหงาไง”
“แล้วเป็นไงล่ะ ความหวังดีของพวกมึง พวกมันเลยจะคลึงไข่กันเองแล้วเห็นมั้ย”
“ไอ้พวกเหี้ยหยุดเลย กูนึกภาพไม่ออกเลยนะมึง อย่าให้กูคิดไปไกลกว่านี้” ใบตองยกมือขึ้นปิดหูแล้วฟุบลงกับโต๊ะ
“แต่พูดก็พูด ไอ้น้ำแม่ง... ดูอารมณ์ดีแล้วก็เปลี่ยนไปตั้งกะได้เจอไอ้เด็กนั่น พวกมึงก็สังเกตเห็นใช่มั้ยล่ะ” คราวนี้เต้าหู้เริ่มเปิดปากบ้าง “แต่พวกมึง! ไอ้น้ำมันไม่ได้มีวี่แววว่าจะชอบผู้ชายเลยนะโว้ย! พวกมันอาจจะแค่สนิทสนมถูกชะตากันก็ได้... มึงว่าไงวะ” แล้วหันไปถามความเห็นจากป๊อกเด้งซึ่งนั่งเก็บข้อมูลอยู่สักพักแล้ว
“ถ้าถามความคิดกู กูก็ว่าช่วงหลังมานี่มันเปลี่ยนไปจริงๆ แต่...” เมื่อป๊อกเด้งหยุดพักหายใจ ทุกคนก็ชะโงกหน้ากันเข้ามารุมรอให้เขาพูดต่อ ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกหนักๆ แล้วสรุปง่ายๆ ว่า... “แต่ไอ้น้ำมันโตเป็นควายแล้วนะมึง ถ้าสมมติว่ามันจะรักใครชอบใครหรือยังไงก็เป็นเรื่องของมัน ถ้ามันอยากบอก มันก็คงบอกพวกเราเองแหละ พวกมึงอย่าทำตัวเป็นพ่อมันหน่อยเลย”
“มึงสรุปได้เหี้ยมาก ไม่ได้คำตอบอะไรเลยจริงๆ” ไข่ย้อยชื่นชม
แต่จะไม่ให้พวกเขาเป็นห่วงน้ำได้อย่างไร ก็พวกเขาคอยดูแล อยู่เคียงข้างกันมาตั้งแต่น้ำเสียบิดามารดาไป
“พวกมึงว่าไอ้เมฆมันคิดยังไงกับไอ้น้ำวะ”
“กูจะรู้มั้ยล่ะ ให้กูเดาเลขท้ายสามตัวยังง่ายกว่าอีก”
“งั้นถ้าไอ้น้ำมันเกิดชอบไอ้เมฆขึ้นมาจริงๆ พวกเราจะทำไงดีวะ”
ป๊อกเด้งหันไปทำตาขวางใส่ “ไอ้ห่านี่ กูบอกแล้วไงว่าเรื่องของมัน มันเคยมีแฟนมาแล้วเป็นสิบๆ คน พวกมึงไม่เห็นเคยเข้าไปยุ่งอะไรกับมันนี่”
“แต่ไอ้เมฆมันไม่เหมือนคนอื่น อย่างแรก มันมีจู๋ อย่างที่สอง มันเป็นน้องของพวกมึงกับกู มึงจะไม่เตือนๆ อะไรมันหน่อยเหรอวะ”
ห้าหนุ่มโต้ตอบกันไปมาอย่างถึงพริกถึงขิง “มึงเห็นมันตอนยิ้มหน้าบานกับไอ้เมฆแล้วมึงกล้าเตือนมันเหรอวะ”
เสียงพูดคุยปรึกษากันยังคงดังอื้ออึง ตั้งใจเอนหลังพิงพนักโซฟาพร้อมยกมือขึ้นกอดอก เขานิ่งไปสักพัก “...แต่ไอ้เมฆเป็นเด็กดี ดูซื่อๆ เนิร์ดๆ ดีออก ถ้าไอ้น้ำชอบมันจริง แล้วมันรักมันชอบไอ้น้ำเหมือนกัน กูก็โอเคมากกว่าผู้หญิงทุกคนของไอ้น้ำที่ผ่านมานะ”
ใบตองร้องลั่น “เย้ย~ เอาจริงเหรอวะ พวกมันเป็นผู้ชายทั้งคู่นะมึ้ง~”
ตั้งใจหันไปเขกกบาลใบตองแรงๆ “นี่มันยุคไหนแล้ววะ มึงเป็นเต่าตกยุคหลงมารึไง คนเราถ้ามันจะถูกชะตากัน จะรักกันชอบกัน เพศไหนๆ ก็ไม่สำคัญหรอกมึง”
ไข่ย้อยพยักหน้าหงึกหงัก นึกชื่นชมเพื่อนรักอยู่ในใจที่วันนี้พูดจาดีมีสาระกับเขาก็ได้ “ถ้างั้นก็กลับมาที่ประเด็นสำคัญสุดๆ เลย พวกมึงว่าไอ้เมฆมันชอบไอ้น้ำรึเปล่าวะ”
“กูจะตรัสรู้ได้มั้ยล่ะ มึงถามมาร้อยรอบกูก็ไม่รู้หรอก ไม่ใช่ไอ้เมฆนี่โว้ย”
คำถามนับร้อยถูกยกขึ้นมาถกเถียงกันต่อไปจนค่อนคืน ก่อนชายหนุ่มทั้งห้าจะเคลื่อนย้ายไปเอนหลังนอนรวมกันอยู่ในห้องนั่งเล่น โดยที่ไม่ได้รับคำตอบหรือข้อสรุปใดๆ กลับมา
เจ้าของห้องพักในคอนโดมิเนียมสุดหรูเอนหลังลงนอนบนเตียงพลางเงี่ยหูฟังเสียงพูดคุยของเพื่อนพ้องที่เอะอะโวยวายจนฟังไม่ได้ศัพท์ แต่จากบางคำพูดก็พอจะเดาได้ว่ากำลังพูดถึงตน
“...ไอ้เมฆมันชอบไอ้น้ำรึเปล่าวะ”เมื่อได้ยินประโยคนั้นเข้าก็สะดุ้งเฮือก ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียง แต่แล้วก็ถอยกลับไปนั่งลงบนเตียงเช่นเดิม หากสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม คิ้วเรียวขมวดจนแทบจะผูกกันเป็นปม
จะว่าไปเขาก็รู้ตัวว่าเมฆชอบที่จะมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับเขาพอสมควร การพูดจาก็เหมือนกับจะมีใจให้ ถ้าหากเมฆทำแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนก็คงจะมั่นใจได้ว่าเป็นการจีบ แต่เพราะเขาเป็นผู้ชาย จึงไม่อาจเข้าใจการกระทำของอีกฝ่ายได้
น้ำนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์หลังจากที่เขารุกจูบรุ่นน้องต่างคณะ ซึ่งทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ประสีประสาอะไรเลย ทั้งซื่อทั้งบื้อ เพราะงั้นไอ้เรื่องที่คิดว่าเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ชิดกับเขาเพราะความเสน่หาคงต้องตัดทิ้งไป เมฆมาจากครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่นมาก คงจะติดเขาเหมือนติดพี่ชายมากกว่า
และที่สำคัญ... เด็กหนุ่มมีคนที่รักอยู่แล้ว
“ผมรักพี่อะ...”...ใครกันวะ? พี่อะ? อะไหน?
อนงค์ อนุธิดา อลิน อริสรา? พี่อะเป็นใคร เขารู้จักหรือเปล่า? เธอเป็นเจ้าของรอยลิปสติกบนริมฝีปากของเด็กหนุ่มหรือไม่?
“โธ่โว้ย!” น้ำสบถก่อนจะเอนหลังลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ความรู้สึกเจ็บหน่วงในอกแบบนี้ เขาไม่ได้มีมานานแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งที่แอบจูบริซาโกะ พี่สะใภ้ของตน
ในตอนเช้าของวันเสาร์ ตั้งใจกับไข่ย้อยแว้นซ์มอเตอร์ไซค์ไปยังตลาดเพื่อซื้อปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้มาไว้รับประทานเป็นอาหารเช้า ส่วนพวกที่เหลือทำข้าวต้มแบบง่ายๆ ไว้รอ เมื่อกลับมาถึงคอนโดมิเนียมก็ได้พบกับรุ่นน้องปีหนึ่งคนที่พวกเขาพูดถึงกันเมื่อคืนเดินวนไปวนมาอยู่ที่ตรงทางเข้าคอนโดมิเนียม
“นั่นมัน ไอ้เมฆนี่หว่า” ไข่ย้อยหรี่ตามอง “เฮ้ย! ประธานรุ่นปีหนึ่ง มาทำอะไรที่นี่ไม่ทราบ” เขาร้องทักขณะที่ตั้งใจเคลื่อนรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปจอด
เด็กหนุ่มชะงัก เพราะลืมเตรียมใจไว้ก่อนว่าอาจจะพบกับพี่ว้ากที่นี่ “เอ่อ...”
“มาหาเพื่อนผมเหรอ” ตั้งใจถามเสียงขรึม
เมฆลังเล แต่ว่ามาถึงที่นี่ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขามาหาใคร คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ครับ”
“งั้นก็เข้าไปด้วยกันสิ”
“ได้เหรอครับพี่” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น
รุ่นพี่ทั้งสองไม่ได้ตอบอะไร พวกเขาเดินนำเด็กหนุ่มเข้าไปในคอนโดมิเนียม ระหว่างทางก็คอยชำเลืองมองสีหน้าของอีกฝ่าย ยิ่งตอนที่ยืนประจันหน้ากันในลิฟต์โดยสารด้วยแล้ว แต่ละคนทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว
“มีอะไรกับน้ำเหรอ” ในที่สุดรุ่นพี่ก็อดรนทนไม่ได้ หลุดถามคำถามออกมาในที่สุด
เมฆหัวเราะเจื่อนๆ “ไม่มีอะไรมากหรอกครับ คือผมมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่น้ำนิดหน่อย”
“อุตส่าห์มาถึงคอนโดฯ นี่ ก็น่าจะเป็นเรื่องสำคัญอยู่” รุ่นพี่เปรยเสียงเบา ทำราวกับพูดกับตัวเอง
เด็กหนุ่มหลุบตาลงมองพื้น ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก
เมื่อไปถึงห้องพัก ภายในห้องครัวนั้นมีกลุ่มเพื่อนของน้ำอยู่กันครบทุกคน ยกเว้นตัวเจ้าของห้องที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย พอทุกคนเห็นเมฆเดินคอตกตามตั้งใจและไข่ย้อยเข้ามา เสียงพูดคุยอื้ออึงในคราวแรกก็เงียบกริบลงทันควัน ต่างหันมองตากันปริบๆ
“อะแฮ่ม” ป๊อกเด้งกระแอม “เอ้อ... ไอ้น้ำยังไม่ออกมาเลย น่าจะยังไม่ตื่น”
“งั้นเดี๋ยวกูไปดูมันหน่อย” ตั้งใจวางถุงน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ลงบนโต๊ะก่อนจะก้าวฉับๆ ออกจากห้องครัวไป ทิ้งให้รุ่นน้องที่พามาด้วยยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่เหลือ
“...นั่งก่อนสิ” หนึ่งในรุ่นพี่กวักมือเรียก
เมฆเดินคอตกไปนั่งลงตามคำเชิญ รู้สึกเหมือนเป็นหนูตัวจ้อยที่หลงเข้ามาอยู่กลางฝูงไฮยีน่าอย่างไรอย่างนั้น แต่เพราะเขาตั้งใจไว้ว่าจะต้องพบน้ำในวันนี้ให้ได้ ไม่อยากให้เข้าใจผิดและห่างเหินกันมากไปกว่านี้แล้ว เด็กหนุ่มจึงพยายามสงบใจและรอคอยอยู่นิ่งๆ
“มาแต่เช้านี่กินไรมายัง” ใบตองถามเหมือนจะเป็นมิตร แต่สายตาสแกนกรรมรุ่นน้องตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ยังครับ พอตื่นก็ออกมาที่นี่เลย”
“มาแต่เช้าขนาดนี้ วันไหนไม่มีเรียนไอ้น้ำมันก็ยังไม่ตื่นหรอกนะคุณ”
“ผมรอได้ครับ... ถ้าพวกพี่ไม่ว่าอะไร”
ใบตองปิดปากลงสนิท พลางหันไปสบสายตากับคนอื่นๆ ในห้อง เขาตั้งใจจะข่มรุ่นน้องเพื่อดูท่าทีสักหน่อย แต่พอเจอแบบนี้... ก็ทำไม่ลงเสียอย่างนั้น
ป๊อกเด้งหยิบแก้วใส่น้ำเต้าหู้ส่งให้ “เอ้า ดื่มอะไรสักหน่อยสิ”
หากเมฆตอบปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “ผมกินอะไรไม่ลงหรอกครับ ถ้ายังไม่ได้คุยกับพี่น้ำ”
ภายในห้องเงียบกริบลงทันควัน พวกรุ่นพี่หันไปพูดคุยกันทางสายตาอีกครั้ง ไข่ย้อยนั่งอยู่ใกล้ๆ กับเด็กหนุ่มพอดี เขาจึงเอื้อมมือไปตบไหล่เบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ตั้งใจเคาะประตูห้องนอนของน้ำหนักๆ สองสามครั้ง จากนั้นจึงค่อยๆ เปิดเข้าไป แล้วโผล่หน้าเข้าไปสำรวจ เขาเห็นว่าน้ำยังคงนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซุกลงกับหมอน
“ตื่นหน่อยสิวะไอ้น้ำ” เพื่อนรักก้าวเข้าไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียง เอื้อมมือไปเขย่าไหล่อีกฝ่ายพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ในใจภาวนาขออย่าให้น้ำหงุดหงิดแล้วลุกขึ้นมาทำท่าหนุมานถวายแหวนใส่เขา “ไอ้เมฆมาอะ”
คนบนเตียงนิ่งไปอีกชั่วครู่ ทว่าสักพักก็เริ่มขยับตัวพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นนั่ง คิ้วเรียวขมวดมุ่น “......”
“กูเห็นมันเดินจงกรมรอมึงอยู่ที่หน้าคอนโดฯ ไม่รู้แม่งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เห็นมันว่ามีเรื่องจะคุยกับมึง ก็คงเป็นเรื่องสำคัญอยู่ เลยหิ้วมันมาด้วย”
สีหน้าของน้ำฉายแววสับสน แต่เจ้าตัวก็ยังคงปิดปากเงียบ “....”
“มีไรกันเหรอวะ” ตั้งใจลองถาม สายตาคอยจับจ้องพิจารณาท่าทีของเพื่อน ก่อนจะทำเป็นพึมพำกับตัวเอง “กูว่ามึงสนิทแล้วก็เอ็นดูน้องมันมากเลยนะ คือ... กูก็ว่าไอ้เมฆมันเป็นเด็กดี”
“.....”
“มันพิเศษกว่าคนอื่นใช่ป่ะวะ”
น้ำเบือนหน้าไปอีกทาง แต่ก็พยายามตอบกลับไปเสียงเรียบ “มึงเพ้อเจ้ออะไร ไอ้ตั้งใจ ไอ้ห่า”
แหมๆ ทำเป็นด่ากูเพ้อเจ้อ เจอคำถามโดนใจ ทำหน้าไม่ถูกเลยสิมึง... ตั้งใจได้แต่คิดอยู่ในใจเท่านั้น เพราะถ้าหากพูดออกไป ชีวิตเขาจะเสี่ยงต่อการโดนกระทืบไม่ใช่น้อย
“งั้นมึงจะออกไปคุยกับมันสักหน่อยปะ”
“.....”
“โอเค งั้นกูจะบอกมันว่ามึงไม่อยากพบใครก็แล้วกันนะ” ตั้งใจหมั่นไส้ท่าทางลังเลของเพื่อนรักซะเต็มประดา เขาแกล้งทำเป็นหันหลังกลับ ทว่าเพียงแค่ก้าวออกไปก้าวเดียวเท่านั้น แขนของเขาก็ถูกอีกฝ่ายรั้งไว้
“ไม่ต้อง กูออกไปเอง”
สักพักชายหนุ่มในชุดนอนสบายๆ ก็เดินตามหลังตั้งใจเข้ามา หากหยุดยืนอยู่ที่ประตูห้องครัวเท่านั้น สีหน้าของเขาเรียบเฉย พอเขามาถึง เพื่อนพ้องในห้องก็ทำเป็นลุกไปทำนู่นทำนี่ ปล่อยให้สองหนุ่มประจันหน้ากันเอง
เมฆลุกขึ้นพรวด “พี่น้ำ”
“มีอะไรก็ไปคุยที่ห้องนู้นแล้วกัน”
“เอ่อ... ครับ” เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง พลางหันไปมองพวกรุ่นพี่ในห้องที่ดูเหมือนจู่ๆ ก็จะวุ่นวายกับการเตรียมอาหารเช้าขึ้นมาทันที
น้ำหันไปทางกลุ่มเพื่อนในครัว “เดี๋ยวพวกมึงกินกันไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอกู” จากนั้นก็หันหลังขวับ เดินฉับๆ ออกจากห้องครัว ตรงไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งในตอนนี้ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลยสักคน
เมฆหันรีหันขวาง แต่แล้วก็ตัดสินใจวิ่งตามชายหนุ่มไป
(มีต่อค่ะ ทำไมวันนี้ยาว
)