จู่ มาร์คไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับผมเท่าไร....จากเดิมที่เคยอยู่ด้วยกันทุกวัน กลายเป็นว่า ในหนึ่งสัปดาห์เค้าจะมาหาผมแค่ หนึ่งหรือสองวันเท่านั้น ผมเริ่มมีความคิดฟุ้งซ่าน แต่การจะไปโวยวายหรือถามอะไรออกไปตรงๆมันก็ไม่ใช่นิสัยของผมอยู่ดี ผมเลยเลือกที่จะทำให้วันที่เค้ามาหาผม เป็นวันที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้แค่นั้นเอง ทั้งๆที่ในใจผมเป็นกังวลอยู่มากมายๆ.... คิดต่างๆนาๆ กลัวว่าเค้าจะไปมีคนอื่น แต่ก็ยังมีอารมณ์ที่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่า ถ้าเค้าจะไปมีคนอื่นๆก็คงมีไปนานแล้ว ไม่ใช่พึ่งมามีเอาป่านนี้ เรารู้จักกันมา 8 ปี คบกันมานานขนาดนี้ เคยมีเหตุการณ์ตั้งหลายอย่างเกิดขึ้น แต่ทุกครั้งมันก็จบลงด้วยดี มันจบลงด้วยแค่ว่า มาร์คเลือกผมแค่นั้นเอง ผมยังเชื่อว่าต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น มาร์คก็คงยังเลือกผมอยู่เหมือนเดิมนั้นละ
แต่ก็อย่างที่บอก พระเจ้าเป็นสิ่งที่ซุกซนมาก ท่านพยายามจะเล่นตลกกับมนุษย์ที่ท่านสร้างขึ้นเสมอ
“ มาร์คจะแต่งงานครับ.....” คุณเคยรู้สึกเหมือนมีค้อนอะไรซักอย่างหวดใส่หน้าคุณไม่ยั้งจนมันเละไม่มีชิ้นดีไหมครับ.... ตอนนั้นผมรู้สึกแบบนั้นเลย มันสับสนไปหมด ผมไม่รู้จริงๆว่ามาร์คต้องการอะไรจากสิ่งที่กำลังพูด มันเป็นประโยคคำถาม ประโยคบอกเล่า หรือ ประโยคคำสั่งกันแน่.... แล้วผมควรจะแสดงความรู้สึกอะไรออกไปดี ผมควรจะเสียใจร้องไห้ฟูมฟาย ผมควรจะแสดงความยินดีกับเค้า หรือ ผมควรจะนิ่งเฉยๆไม่พูดอะไรดี แต่ที่แน่ๆคือในตอนนั้นผมไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้
“มาร์คไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นคนดีมาก เธอรู้ว่ามาร์คเคยคบกับผู้ชาย แต่เธอก็ไม่รังเกียจ เธอบอกว่าเธอพร้อมจะอุ้มลูกให้มาร์ค และ ดูแลลูกของมาร์ค รู้ตัวอีกทีมาร์คก็รักเธอจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว...... เธอก็รักมาร์คที่มาร์คเป็นมาร์ค สุดท้ายมาร์คก็เลยตัดสินใจที่จะแต่งงานกับเธอ มาร์คอยากมีลูก อยากมีครอบครัว.... อยากมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนที่คนปกติเค้ามีกัน.....”
มาร์คพูดออกมาด้วยสีหน้านิ่งเฉย มันทำให้ผมย้อนคิดกลับไปถึงวันที่ มาร์คไปบอกปฏิเสธผู้หญิงที่ชื่อฝ้ายที่ใต้ตึกคณะนิเทศ สีหน้าในวันนั้นกับวันนี้ เป็นสีหน้าเดียวกัน มันเป็นสีหน้าที่ไม่มีความรู้สึกใดๆเจือปนเลย..... มันเหมือนว่าเค้าไม่รู้สึกอะไรซักอย่าง....
“แล้ว ยังไงหรอ....” ผมกลั้นใจถามออกไป
“มาร์คก็จะมาบอกให้พี่ฟิวรับรู้ไว้นี้ละครับ..... เดี๊ยวไว้มีเวลามาร์คจะไปขนของออกจากห้องพี่ฟิวนะครับ แล้วเดี๊ยวมาร์คจะโอนกรรมสิทธิ์ส่วนของมาร์คให้พี่ฟิวไปเลย รถที่พี่ฟิวใช้อยู่ด้วยเดี๊ยวมาร์คจะโอนให้เป็นของพี่ฟิวไปเลย ร้านนี้ก็เหมือนกัน มาร์คจะเซ็นโอนสิทธิ์ทั้งหมดให้กลายเป็นของพี่ฟิว..... ทุกอย่างที่ตอนนี้เป็นชื่อของเราสองคน เดี๊ยวมาร์คจะทำเรื่องโอนให้มันเป็นของพี่ฟิวครับ ....ของพี่ฟิวคนเดียว”
คำว่า “คนเดียว” ที่มาร์คพูดออกมาเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ที่บดขยี้ผมจนเละไม่มีชิ้นดี...
“แค่นี้ใช่ไหม” ผมถามออกไป พยายามประคองสติตัวเองไว้
“ครับ” มาร์คตอบเสียงดังฟังชัด.....
“อือ....โอเค..... ไว้จะเอายังไงก็มาบอกแล้วกัน” ผมตอบกลับไป
“ครับ.....งั้นมาร์คขอตัวก่อนนะครับ.....”
มาร์คเดินไปที่ประตูชัตเตอร์หน้าร้าน ก่อนจะยกมันขึ้นนิดหน่อยพอให้เค้าก้มตัวลอดออกไปได้ ผมมองตามมาร์คอยู่ตลอดเวลา จู่ๆเค้าก็หยุดลง แล้วหันมาเหมือนจะพูดบางอย่างกับผม
“พี่ฟิวครับ”
“หือ?”
“มาร์คขอบคุณทุกอย่างตลอดเวลาที่ผ่านมานะครับ.......”
“.................”
“ขอให้โชคดีนะครับ...” มาร์คก้มหัวให้ผม สายตาตอนที่มาร์คก้มหัว กับตอนที่เค้ายืนพูดอยู่ต่อหน้าผมเมื่อกี้มันช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง มันเป็นสายตาที่ทั้งบ่งบอกให้ผมรู้ว่าเค้าทั้งเสียใจ ทั้งต้องการจะขอโทษผม ทั้งรู้สึกว่าตัวเองเลวจนไม่น่าให้อภัย.... ผมเห็นมันเพียงเสี้ยววินาที ผมก็รับรู้ได้ในทันที ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของมาร์คนั้นมันทำร้ายจิตใจตัวเค้าเองแค่ไหน มาร์ครีบลอดออกไปจากประตูชัตเตอร์อย่างรวดเร็ว
ผมทรุดลงกับพื้น........ รู้สึกว่าตัวเองอยากจะร้องไห้เพื่อปลอดปล่อยทุกอย่างออกมา แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน น้ำตาเจ้ากรรมของผมมันไม่ยอมออกมาซักหยด...
ผมเสียใจมากจนแม้แต่น้ำตาก็ไม่สามารถหลั่งออกมาได้........
ผมต้องไปจ้างให้รุ่นน้องที่สนิทกันมาดูแลร้านให้เกือบเดือน เพราะผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย วันๆก็เอาแต่มองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง เฝ้าแต่นั่งถามว่า ทำไมกัน? ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้? ทำไมต้องเป็นผม? ผมผิดตรงๆไหน? ผมทำอะไรไม่ดี? ผมทำอะไรให้มาร์คไม่พอใจจนกระทั่งมันต้องมาบอกเลิกผมแบบนี้? ผมหาคำตอบไม่เจอจริงๆ เพื่อนๆผมบางคนที่รู้ข่าวก็แวะเวียนผลัดเปลี่ยนกันดูแลผม มาร์คฝากให้พี่ชายมาร์คของเค้ามาขนของหลังจากเหตุการณ์ที่ร้านวันผ่านไปได้ประมาณสัปดาห์หนึ่ง พี่ชายของมาร์คที่มาเก็บของให้ ปกติเค้าจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไร ครั้งกลับทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก พอเก็บทุกอย่างจนหมด ก่อนจะออกไปเค้าก็พูดกับผมว่า
“ถึงพี่จะไม่ค่อยชอบเรา แต่พี่ก็คิดว่ามาร์คมันทำร้ายจิตใจของเราแบบนี้มันออกจะโหดร้ายเกินไปเหมือนกัน พี่ขอโทษแทนน้องชายพี่ด้วยนะ แต่ฟิวอย่างเกลียดมาร์คมันเลยนะ.... มันก็อยากมีความสุขกับครอบครัวแบบที่คนทั่วไปเค้ามีกันบ้าง เข้าใจมันเถอะนะ“
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าเค้าไปเหลือเกินว่า
“แล้วกูละ” แต่ก็ได้แต่ร่ำร้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ
มาร์คไม่ติดต่อผมมาเลย มันทำให้ผมเริ่มทำใจได้แล้ว ไม่นานทนายของทางนั้นติดต่อมาเพื่อทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ทุกอย่างให้เป็นของผม ร้านขายเกมส์ที่ช่วยกันสร้างมา คอนโดที่ช่วยกันจ่ายมา รถที่ช่วยกันผ่อนมา แม้กระทั่งบัญชีธนาคารที่เปิดในนามของเราสองคนเพื่อเก็บเงิน มาร์คก็โอนทั้งหมดมาให้ผมโดยไม่เอาอะไรไว้เลย สิ่งเดียวที่มาร์คไม่ยอมคืนให้ผม ก็คือกุญแจห้อง... แต่ผมก็ไม่ได้ทวงถามอะไรไป เพราะยังไงหลังจากวันที่เค้าบอกลาผมในวันนั้น เค้าก็ไม่ได้ติดต่อผมมาอีกเลย เพราะฉะนั้นถึงกุญแจมันจะยังอยู่กับเค้าผมคิดว่ามันก็ไม่ได้มีผลอะไรเป็นพิเศษหรอก
ผมเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ ไปเปิดร้านได้เองเหมือนเดิม ทำทุกอย่างเหมือนเดิม เริ่มใช้ชีวิตอยู่เองคนเดียวโดยไม่ได้สนใจอะไรเรื่องมาร์ค ผมพยายามลืมเรื่องของมาร์ค แต่ก็ยอมรับว่า บางครั้งก็ยังแอบร้องไห้คนเดียวอยู่...
แล้วจู่ๆ มาร์คก็มาปรากฏตัวต่อหน้าผมอีกครั้ง....
ผมไขกุญแจเข้ามาในห้องในวันธรรมดาๆวันหนึ่ง แล้วก็ต้องตกตะลึง เพราะมาร์คมานั่งรอผมอยู่ในห้องก่อนแล้ว
ในขณะที่ผมมัวแต่ตกตะลึง มาร์คก็เดินเข้ามาจูงมือผมไปนั่งที่โซฟา
เค้าเอาแต่มองหน้าผม ไม่ได้พูดอะไร......
ผมก็เอาแต่มองหน้าเค้าโดยไม่พูดอะไรเหมือนกัน
“มาทำไม.......” ผมเองที่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบออกไปก่อน ผมต้องรวบรวมแรงใจทั้งหมด เพื่อประคับประคองให้ตัวเองไม่ร้องไห้ออกมาต่อหน้าคนๆนี้
“มาร์คมาหาพี่ฟิวครับ.....”
“มีอะไรหรือเปล่า ลืมของหรอ?”
“เปล่าครับ มาร์คมาหาพี่ฟิวครับ” มาร์คย้ำอีกรอบ มันทำให้ผมมีสีหน้าสงสัย
นี้มันอะไรกัน มาร์คมาหาผม มาร์คยังมีอะไรที่จำเป็นต้องคุยกับผมอีก..... เค้าไม่ได้มาด้วยท่าทีที่นิ่งเฉยๆเหมือนวันที่ไปหาผมที่ร้าน แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามาร์คกำลังพยายามจะทำทุกอย่างให้เหมือนกับสมัยที่เรายังอยู่ด้วยกันอยู่ ทั้งคำพูด ท่าทาง สีหน้า มันทำให้ผมนึกถึงอดีตอันแสนหวานออก มันทำให้หัวใจผมพองโตขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วมาหากูมีอะไร......” ผมถามออกไปอีกครั้ง
มาร์คจับมือผมทั้งสองข้างขึ้นมา ในวินาทีนั้นผมขนลุกไปทั้งตัว ผมไม่คิดว่ามาร์คจะทำแบบนี้
“มาร์คมีเรื่องจะขอร้องพี่ฟิวนะครับ....”
ผมมองหน้ามาร์คด้วยสีหน้านิ่งเฉยที่พยายามปั้นแต่งขึ้นมา ทั้งที่ในใจตอนนี้สับสนวุ่นวายไปหมด
“มีอะไร”
“พี่ฟิว ช่วยเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้มาร์คได้ไหมครับ....”
................
ผมรู้สึกว่าสมองมันวิ่งวกวนไปหมด นี้มันบ้าอะไรกัน ล้อเล่นกันใช่ไหมเนี้ย.... จู่ๆผมก็รู้สึกโกรธมาร์คมันขึ้นมาทั้งๆที่ตั้งแต่รู้จักกันมาผมไม่เคยโกรธมันจริงจังเลย
“มึงอย่ามาเล่นตลกกับความรู้สึกกูให้มันมากกว่านี้จะได้ไหม” ผมตะโกนออกไปด้วยความโกรธสุดเสียง และ ผละตัวออกจากมาร์ค มันเองก็มีสีหน้าตกใจ เพราะผมไม่เคยเป็นแบบนี้กับมันมาก่อน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็พยายามอดทน ไม่เป็นฝ่ายพูดก่อนมาตลอด มันเป็นความอดทนของผม ที่ผมจะทำเพื่อคนที่ผมรัก พยายามจะเข้าใจเค้าเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในวันนี้เหมือนทุกอย่างมันพังหมด
“มึงพอซะทีเถอะมาร์ค กูขอละ มึงเลิกยุ่งกับกูซะที มึงจะไปไหนมึงก็ไป มึงอยากมีครอบครัวมึงก็ไป อยากทำเฮี้ยอะไรมึงก็ไป ไปเลยไป กูจะไม่รั้ง กูจะไม่ห้ามด้วย แต่กูขอมึงอย่าทำแบบนี้ มึงอย่ามาทำแบบนี้กับกู มึงเห็นกูเป็นอะไร มึงเห็นกูเป็นเฮี้ยอะไรซักอย่างที่มึงจะทำอะไรโดยไม่สนใจจิตใจกูก็ได้งั้นหรอ กูขอละ มึงออกไปจากชีวิตกูซะทีเถอะ” ผมหายใจหอบๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าการตะโกนออกไปแค่ไม่กี่ประโยคมันจะใช้แรงมหาศาลขนาดนี้ มาร์คยืนตกตะลึงค้างอยู่ มันก้มหน้าลง ผมรู้สึกได้ว่ามันน่าจะพยายามหลบตาผมมากกว่า
“มาร์คขอโทษครับพี่ฟิว มาร์คขอโทษสำหรับทุกอย่าง.....มาร์คผิดเอง”
มาร์คค่อยๆพูดออกมา ผมสังเกตได้ว่าตัวเค้าเองก็พยายามกลั้นน้ำตาไว้อยู่...... มันทำให้ผมอารมณ์เย็นลงมาก
“มาร์ครู้ครับว่า คำขอของมาร์คมันค่อนข้างจะเห็นแก่ตัว แต่ไม่ว่ายังไง มาร์คก็อยากให้พี่ฟิวไปงานแต่งงานของมาร์คอยู่ดี ถ้าพี่ฟิวไม่สบายใจ มาร์คยอมเชิญเฉพาะคนรู้จักก็ได้ หรือ จะจัดงานแต่งงานรอบพิเศษที่มีแต่พี่ฟิวกับมาร์คแล้วก็เธอก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไงมาร์คอยากให้คนสำคัญในชีวิตของมาร์ค ร่วมงานที่สำคัญของมาร์คครับ.....”
มาร์คอธิบาย น้ำเสียงของเจ้าตัวก็ปวดร้าวไม่น้อย.....ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของมาร์คอยู่ มันไม่ใช่เรื่องบ้าๆอย่างที่ผมคิด เพียงแต่ก้มบึ้งของหัวใจของมาร์คบอกตัวเองว่า อยากให้ผมไปร่วมงานเท่านั้น มาร์คมองผมด้วยสายตาวิงวอน มันยังคงใช้งานได้ดี เพราะมันก็สะกดผมให้อยู่ในพวังค์ได้ไม่ยาก....
“อย่างน้อย......ถ้าพี่ฟิวจะไม่มีเยื่อใยเหลือให้มาร์คสักนิด.... ก็อยากให้เห็นแก่ลูกในท้องของเธอเถอะนะครับ...”
.......................
ว่ายังไงนะ......
ลูกในท้องงั้นหรอ.....
พอพูดจบ มาร์คก็ทำทีจะเดินออกจากห้อง เค้าเดินไปที่หน้าประตูและนั่งลงเพื่อที่จะใส่รองเท้า
“เดี๊ยว....”
เสียงทักของผมทำให้มาร์คหันกลับมา
“หลานกูกี่เดือนแล้ว....”
“สี่เดือนครึ่งได้แล้วครับ...”
“รู้เพศหรือยัง....”
“อัลตราซาวน์ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เค้าบอกว่าผู้ชายครับ แต่เหมือนจะยังไม่แน่ใจเท่าไร...”
“หรอ......”
เพียงแค่ระยะเวลาไม่เจอกันเกือบครึ่งปี มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้เชียวหรอ ผู้ชายที่ผมเคยนอนกอดอยู่ทุกวันมาตั้งหลายปี วันนี้กลายเป็นพ่อคนซะแล้ว
ผมคงปฏิเสธมันไม่ได้อีกแล้วสินะ
“อือ.. กูเห็นแก่หลาน กูรับปาก เดี๊ยวกูเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้มึงก็ได้......”
รอยยิ้มที่น่าคิดถึงฉายลงมาที่หน้าของมาร์ค มันเดินกลับมา... อ้าแขนออกเพื่อจะกอดผมอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ ผมยืนนิ่งไม่มีท่าทีตอบรับอะไร มันคงทำให้มาร์ครู้ตัว แล้วก็ลดมือลงไปเอง
“ขอบคุณพี่ฟิวมากนะครับ”
มาร์คหยิบกล่อง ขนาดเล็กสีขาว ออกมา...... เพียงมองเผินๆผมก็รู้ทันทีว่ามันคืออะไร
“งั้นมาร์คฝากมันไว้กับพี่ฟิวนะครับ...จนกว่าจะถึงวันงาน”
มันมีประเพณีความเชื่อว่า เพื่อนเจ้าบ่าวจะต้องเป็นคนเก็บแหวนแต่งงานไว้จนถึงวันแต่งงาน ผมเคยได้ยินมาร์คบ่นออกมาสมัยก่อนว่า ถ้าวันนึงมันมีโอกาสได้แต่งงานมันอยากจะทำแบบนี้ คิดไปคิดมาก็เหมือนเป็นการกลั่นแกล้งของพระเจ้าเลยนะครับ ตัวผมเองกลับต้องกลายมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว คนที่เก็บแหวนแต่งงานให้มันแบบนี้
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมแพ้ต่อไอ้สายตานั้นอีกจนได้....
หลังจากวันนั้น มาร์คมันก็แอบเข้ามาในห้องผมบ่อยๆ บางครั้งก็เอานู้นนี้มาวางให้ มาทำอาหารรอ แต่สิ่งที่แปลกเลย คือ เจ้าตัวไม่เคยรอเจอผมเลย พอผมกลับมาก็จะเห็นของที่มันเตรียมไว้ให้ วางอยู่พร้อมโน้ต แตกต่างกันออกไป... ผมรู้สึกแปลกๆ มันจะดีจริงๆหรอก ที่ผู้ชายที่กำลังจะมีครอบครัว มาทำแบบนี้กับคนรักเก่าของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้คนรักเก่าที่ว่านั้นดันเป็นผู้ชายเสียอีก ผมคิดสงสัยทุกครั้งว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้มาร์คต้องกลับมาทำดีกับผมแบบนี้ มันอาจเป็นความสงสาร ความเห็นใจ หรือ มันยังมีเยื่อใยกับผมอยู่ หลายๆครั้งที่ความคิดบ้าๆนี้ทำให้ผมหงุดหงิด จนกระทั่งไปลงกับข้าวของก็บ่อย บางครั้งก็รื้อของกระจัดกระจายเป็นการระบายอารมณ์ แต่สิ่งที่แย่ก็คือ ทุกครั้ง ผมกลับมาแล้วบ้านผมก็กลับสู่สภาพเดิม พร้อมกับโน้ตใบเล็กๆของมาร์ค
‘มาร์คเก็บให้เรียบร้อยแล้วนะครับ’ ผมรู้สึกทุเรศตัวเองชะมัด
ผมสะดุ้งตื่นมา.....พอมองไปที่นาฬิกา ตีห้าแล้วหรอเนี้ย.... ผมรีบลุกขึ้นมาทันที สิ่งแรกที่ทำก็คือส่องกระจก เพื่อจะได้ดูว่า การมาสก์ตาเมื่อคืนนั้น ได้ผลแค่ไหน เท่าที่ดูก็น่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ถ้าเอาคอนซิลเลอร์โปะไปอีกหน่อยก็น่าจะพอกลบเกลื่อนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้
ผมรีบอาบน้ำ ล้างตัวจนมั่นใจว่าสะอาดเอี่ยมร้อยเปอร์เซน
สวมชุดที่มาร์คเอามาแขวนไว้ให้ แน่นอนว่าผมสวมใส่มันได้พอดีเป๊ะอย่างที่คิดเลยครับ ไม่หลวมไม่คับเลยแม้แต่น้อย ผมจัดชายเสื้อและแขนเสื้อจนเข้าที่ ก่อนที่มานั่งแต่งหน้าที่โต๊ะเครื่องแป้ง จริงๆผมก็ไม่ได้แต่งหน้าบ่อยหรอกครับ อย่างปกติไปร้านผมก็แค่ทากันแดดกับแป้งเด็กแค่นั้น แต่งานนี้เป็นงานใหญ่ยังไงผมก็คงต้องพยายามแต่งตัวให้ดีหน่อย อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้เจ้าบ่าวต้องอายนั้นละครับ
ผมสำรวจตัวเองในกระจก ผมคิดว่า สภาพผมตอนนี้ก็คงดูดีพร้อมแล้ว....
ผมสูดหายใจลึก แล้วลองยิ้มให้ตัวเองดู....
ก็คงพอไปได้ละมั้ง
“เจ้าสาวพร้อมจะรับเจ้าบ่าวเป็นสามี แล้วรักกันไปจนเเก่เฒ่า ดูแลกันต่อไปจนไม่มีอะไรจะมาแยกทั้งสองจากกันได้ไหม”
“รับคะ” เจ้าสาวตอบรับ วันนี้เธออยู่ในชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ มันดูเหมาะกับเธอมาก ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าวันนี้ ชุดที่เธอใส่ดูหลวมนิดหน่อย มันอาจเป็นความตั้งใจของช่าง ที่แก้ให้ชุดดูหลวม เพื่อให้มันไม่รัดเกินไปจนกระทั่งมีผลกับเจ้าตัวน้อยในท้อง
“แล้วเจ้าบ่าวละ จะรับเจ้าสาวเป็นภรรยา ดูแลกันไปจนแก่เฒ่า ไม่ว่าจะยามสุข ยามทุกข์ ยากดีมีจน ก็จะไม่ทอดทิ้งกันไหม”
“รับครับ” มาร์คตอบ..... เค้ายิ้มให้เจ้าสาว แค่มองก็รู้ว่า วันนี้ที่มาร์คและเธอมีความสุขมากๆ.....
“ถ้างั้น เจ้าบ่าวสวมแหวนให้เจ้าสาว”
ผมในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าว ที่ยืนรออยู่ข้างๆเค้าตั้งแต่แรก ผมส่งกล่องแหวนที่มาร์คฝากไว้ตั้งแต่วันนั้นให้กับเค้า เค้าเปิดมันออกมา หยิบแหวน ขึ้นมาแล้วสวมเข้าไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าสาว
“ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าขอประกาศ ให้ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง”
พอสิ้นเสียงของบาทหลวง เสียงดนตรีก็ดังขึ้นมา ทุกคนที่มาร่วมงานก็ลุกขึ้นปรบมือ แม้แต่ผมที่ยืนอยู่ข้างๆมาร์คเองก็อดที่จะปลาบปลื้มไปกับเค้าไม่ได้ มันคงเป็นหนึ่งในวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของมาร์คเลย นับจากวันนี้ไปเค้าคงจะสมหวัง ทั้งครอบครัว และ ลูกที่เค้าใฝ่ฝันว่าจะมี ผมคงได้แต่ยิ้มส่งอย่างยินดีเท่านั้น
จริงๆการปรากฏตัวของผมในงานนี้ก็เรียกเสียง ฮือฮาได้จากหลายๆคนที่รู้ว่าผมเป็นใคร ผมเองก็ไม่อยากปรากฏตัวในงานนี้ให้กลายเป็นหัวข้อให้มาร์คโดนนินทาหรอกครับ แต่ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้ ผมรับปากกับมาร์คไว้แล้ว ผมคงผิดคำพูดกับเค้าไม่ได้
งานดำเนินไปอย่างเรียบง่าย มีผู้คนมาร่วมงานในช่วงเช้าไม่มากเท่าไร ส่วนมากจะเป็นญาติสนิทกันเท่านั้น ถ้าเป็นแขกทั่วไปส่วนใหญ่คงจะไปในงานเลี้ยงช่วงเย็นกันหมด หลังจากผมทำหน้าที่ของผมในพีธีช่วงเช้าเสร็จแล้ว ผมก็ยืนอยู่วงนอกซะเป็นส่วนใหญ่ ยังโชคดีที่เจอกับรุ่นน้องสมัยเรียนที่มาร่วมงานบ้าง ซึ่งแต่ละคนก็พร้อมใจกันทำหน้าแปลกๆใส่ผม เหมือนเค้ากำลังเศร้ากันอยู่ ผมเข้าใจความรู้สึกพวกเค้าดี เค้าน่าจะจำวันรับน้องที่มาร์คประกาศตัวว่าจะจีบผมได้ดี พวกเค้ารับรู้ตลอดถึงความสัมพันธ์ของผมกับมาร์คด้วยซ้ำ มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วย ผมเสียอีกต้องเป็นฝ่ายปลอบใจเธอ
“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่เป็นไร”
ผมต้องดึงเธอมากอด ตลกเหมือนกันนะครับที่ผมต้องเป็นฝ่ายปลอบใจคนอื่นแบบนี้ แต่ผมก็นึกขอบใจเธอ อย่างน้อยเธอก็ได้ทในำสิ่งที่ผมอยากทำที่สุดแต่ไม่สามารถทำได้
ผมพยายามอยู่ร่วมกับกลุ่มนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปสู่ช่วงของ After Party ที่เป็นช่วงฉลองอย่างแท้จริงๆ แต่ละคนสนุกสุดเหวี่ยง เพราะงานครั้งนี้พ่อมาร์คทุ่มสุดตัวครับ ทุกคนดูสนุกสนานกับงานครั้งนี้กันมาก จริงๆผมก็สนุกนะครับ แต่มันยังมีอะไรบางอย่างที่ติดใจผมอยู่ ผมนั่งจิบไวน์ไปเงียบๆ อยู่ที่มุมห้อง คอยโบกมือให้รุ่นน้องที่ดูสนุกสนานเฮฮากัน
ซักพักก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ผมเลยผละตัวออกมาจากงาน
แล้วจู่ๆก็ถูกมือหนึ่งฉุดลากออกมา
เค้าลากผมมาที่สวนด้านหลังโรงแรม เป็นจุดที่ไม่ค่อยมีคนเท่าไรนัก เพราะดึกแล้ว ผมวิ่งตามมา จนเค้าหยุดลง
เป็น มาร์คนั้นเอง.....ไม่เกินจากที่ผมคาดคิดเท่าไร......
“มึงลากกูออกมาทำไมเนี้ย...” ผมถาม
“มาร์คอยากคุยกับพี่ฟิวนะครับ............แค่สองคน...”
“มีอะไรอีกละ”
มาร์คมองตาผม ถึงบรรยากาศโดยรอบจะมืดสลัว แต่ผมก็มองเห็นดวงตาที่สะท้อนออกมานั้นได้ชัดเจน มันอัดแน่น ไปด้วยความรู้สึกมากมายร้อยแปดที่เค้าอยากจะพูดกับผม จริงๆตัวผมเองก็มีคำถามมากมายอยากจะถามมาร์คเหมือนกัน แต่ครั้นจะมาถามตอนนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมกับมาร์ค ไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว...
“มาร์คขอบคุณนะครับพี่ฟิว ที่พี่ฟิวยอมตามใจมาร์คมาจนถึงวันนี้ มาร์คขอบคุณมากๆ..” น้ำตาไหลเอ่อออกมาจาก ดวงตาใสๆนั้น มันคือท่าที่ที่อ่อนแอที่สุดที่มาร์คเคยแสดงให้ผมเห็นเลยตั้งแต่รู้จักกันมา แม้แต่ในตอนที่เค้ามาสารภาพว่านอกใจผม เค้ายังไม่ดูอ่อนแอเท่าวันนี้เลย ผมเห็นแล้วก็ต้องถอนหายใจ...
“เฮ้ มาร์ค วันนี้เป็นวันดีของมึงนะ มึงจะมาร้องไห้แบบนี้ได้ยังไง มึงจะเป็นพ่อคนแล้วนะ” ผมล้วงเข้าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกมาเพื่อซับน้ำตาให้มาร์ค มันยังคงร้องไห้ไม่หยุด ผมไม่ค่อยแน่ใจในความรู้สึกมันเท่าไร แต่มันน่าจะกำลังเสียใจที่มันทำร้ายจิตใจผม เพราะฉะนั้นผมก็ควรจะปลอบใจในส่วนนั้น
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา 8 ปี กูมีความสุขมาก กูไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำ ว่าชาตินี้จะมีผู้ชายคนไหนที่ทำให้กูมีความสุขได้ขนาดนี้ พ่อกูก็หายไปตั้งแต่กูยังเด็ก ชีวิตกูอยู่กับแม่อยู่กับป้ามาตลอด กูไม่เคยคิด ว่ากูจะต้องรักกับผู้ชาย และไม่คิดเลยว่าท้ายที่สุดกูจะต้องมาตกลงปลงใจกับมึงแล้วอยู่กับมึงมายาวนานขนาดนี้ มึงเป็นผู้ชายที่กูรักที่สุดในชีวิตกูเลยนะรู้ตัวหรือเปล่า”
มาร์คนิ่งเงียบฟังผม น้ำตายังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย
“กูเองก็ขอบคุณมึงเหมือนกัน ที่มึงเป็นความรักให้กูตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา” ประโยคนี้ทำให้มาร์คที่ตอนแรกแค่น้ำตาไหล ฟูมฟายออกมาอย่างหมดท่า มาร์คปล่อยโฮ ผมเองต้องกอดประคองเจ้าตัวเองไว้ มาร์คร้องไห้ซบไหล่ของผม เค้าคงมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดออกมา แต่ไม่สามารถกลั่นกรองออกมาได้ ผมลูบหลังมาร์คไว้เพื่อเรียกขวัญ จนมาร์คค่อยๆนิ่งลงในที่สุด
“มาร์ค....” ผมเรียกเจ้าตัว แล้วค่อยๆผละเจ้าตัวออกมาจากอ้อมแขนผม
“ครับ...”
“มึงสัญญากับกูได้ไหม ว่ามึงจะดูแลหลานกูอย่างดีที่สุด”
“ครับ”
“มึงต้องเลี้ยงให้เค้าเติบโตมาเป็นผู้ชายที่สง่าผ่าเผย ทั้งการศึกษา ชื่อเสียง เงินทอง หน้าที่การงาน หลานกูต้องไม่แพ้ใคร”
“ครับ มาร์คจะเลี้ยงเค้าออกมาให้ดีให้ได้เลยครับ”
“แล้วมึงก็ต้องให้ทั้งความรัก ความเอาใจใส่ มึงต้องทำเค้ารู้สึกว่าตัวเองพิเศษที่สุด พิเศษกว่าใครๆ”
“ครับ มาร์คจะทำตามที่พี่ฟิวบอกครับ”
“แล้วก็...........” ผมสุดหายใจเข้าลึกๆ “ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มึงจะต้องสอนหลายกู.....ว่าเค้าจะต้องไม่ทำร้ายจิตใจใครแบบที่มึงทำกับกูเด็ดขาด.....มึงเข้าใจไหม.....”
น้ำตาร่วงออกมาจากดวงตาของมาร์คทั้ง 2 ข้างอีกครั้ง…. ผมไม่ได้มีเจตนาจะว่ากล่าวอะไรมาร์ค เพียงแต่ผมไม่อยากให้หลานของผมต้องมีประสบการณ์ที่เจ็บปวด นั้นก็เพราะ ในการทำร้ายจิตใจคนอื่นนั้น หลายๆครั้งคนที่เจ็บปวดที่สุด ก็คือคนทำนี้ละ
“ครับ มาร์คจะทำให้ได้ มาร์คสัญญาครับ” เค้ารับคำผม
ผมยิ้มให้กับการรับคำของมาร์ค ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหัวมาร์คเบาๆ ผมชอบทำแบบนี้กับมาร์คในเวลาที่เค้าทำอะไรถูกใจผม เป็นความรู้สึกที่ชวนคิดถึงดีชะมัดเลย
“ดีมากคนเก่งของกู” ผมยิ้มให้มาร์ค ผมไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าผมเป็นแบบไหน แต่มั่นใจว่า รอยยิ้มของผมที่ส่งผ่านไปให้มาร์คเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ที่ผมส่งผ่านมันมากจากก้นบึ้งของหัวใจ
“สุดท้าย....กูขอให้ครอบครัวมึงมีความสุขนะ.......”
นี้คือสิ่งสุดท้ายที่ผมพอจะอวยพรให้มาร์คได้ สิ่งสุดท้ายที่ผมพอจะทำให้ผู้ชายที่ผมรักที่สุดในชีวิตได้ ผมค่อยๆผละตัวออกจากมาร์ค มองเค้าด้วยรอยยิ้ม ผมสาบานกับตัวเองว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในงานวันนี้ผมจะต้องไม่พลาด ผมจะต้องไม่ร้องไห้ ผมจะต้องไม่เสียใจ ผมจะต้องแข็งแกร่งยืนหยัด เพราะถ้าผมไม่ทำแบบนี้ ไม่มีทางที่มาร์คปล่อยผมไปอย่างวางใจได้ ทั้งหมดก็เพื่อเค้า เพื่อมาร์คคนเดียวเท่านั้น
“ดึกแล้วกูกลับก่อนนะ พรุ่งนี้ก็ต้องไปเปิดร้านอีก” ผมยิ้มให้มาร์คเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังให้มาร์คแล้วเดินออกไป
“พี่ฟิวครับ....” มาร์คเรียกผมจนผมต้องหยุดชะงัก ผมหันหน้าไปหามาร์ค สิ่งที่กำลังรอผมอยู่ตรงนั้น คือ สายตาวิงวอนเจ้าเก่าที่มาร์คชอบใช้กับผม สายตาที่เคยเล่นงานผมเสียจนอยู่หมัดเมื่อก่อน ครั้งนี้เจ้าสายตานั้นมันก็กำลังต้องการเรียกร้องอะไรบางอย่างจากผมเหมือนเดิม
“เรา.....จะกลับเป็นเหมือนเดิมได้ไหมครับ......เหมือนแต่ก่อน”
..............
ผมคิดว่าผมพอเข้าใจสิ่งที่มาร์คกำลังจะสื่อ...
ถ้ามาร์คพูดคำนี้ก่อนหน้านี้ ผมคงโผเข้ากอดมาร์คด้วยความดีใจไปเสียแล้ว เพราะไม่ว่ายังไงผมก็หวังลึกๆในจิตใจว่าท้ายที่สุดเค้าจะเลือกผม แต่สถานการณ์ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ผมรับไม่ได้ถ้าตัวเองต้องอยู่ในสถานะชู้ และเหนือสิ่งอื่นใด ผมคงทนทำร้ายเจ้าตัวเล็กที่กำลังจะเกิดมาไม่ได้......
ผมคิดอยู่ชั่วครู่..... ผมคิดว่าคำตอบของผมคงดีที่สุดสำหรับทุกคนแล้ว
“ไม่ได้หรอกมาร์ค........มันเป็นไปไม่ได้แล้วละ...” ผมตอบ
เมื่อมาร์คได้ยินคำตอบเจ้าตัวก็คอตกด้วยความผิดหวัง ผมยิ้มให้มาร์คอีกครั้งก่อนที่จะเดินแยกออกมา ผมเดินเข้าไปลารุ่นน้องในงาน แล้วก็ตรงไปยังรถของตัวเอง ก่อนจะขับรถออกมา ผมก็มองตัวเองในกระจกมองหลัง ภาพของผมที่สะท้อนออกมาก็ดูไม่แย่เท่าไร...... อย่างน้อยก็เหมือนจะดูดีกว่าเมื่อวานละนะ....
เหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือ
นี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมสามารถปฏิเสธสายตานั้นของมาร์คได้
หลังจากนี้ไม่ว่ายังไง ผมก็ภาวนาให้มาร์คมีความสุข กับครอบครัว กับลูก กับทุกสิ่งที่เค้าต้องการ
ผมจะคอยเฝ้ามองเค้าห่างอยู่ตรงนี้เอง....
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ฺBefore Wedding Days -- คืนก่อนวันแต่งงาน -------- 13/7/2558
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------