ตอนที่ 14 ออกค่ายพักใจ (1)
หลังจากที่คุยกับพี่ท็อปเมื่อครู่ที่ผ่านมา ผมเดินกลับเข้ามายังห้องปั้นเพื่อทำงานต่อจากที่ค้างไว้ นึกถึงคำพูดของพี่ท็อปที่วนเวียนอยู่ในหัว...อีกฝ่ายจะรอผมได้จริงๆหรือไงกัน
ความจริงงั้นเหรอ
ตัวผมยังอยากจะรู้อะไรอีกกัน ต่อให้ฟังจากปากพี่ท็อปเองมันก็คงไม่ช่วยให้ความรู้สึกของผมที่เสียไปดีขึ้นมาได้หรอก ไอ้ผิงละจากฐานปั้นขึ้นมามองผมก่อนจะเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนลายจุดสีสันสดใสขัดกับหน้าตาโฉดดุรับกันได้ดีกับสกินเฮ ไอ้ผิงมันส่งสายตาสงสัยสอดรู้ของมันมาให้ผม
“เฮ้ย ไอ้สอง ตกลงมึงเลิกกับพี่ท็อปแล้วจริงๆเหรอวะ"ไอ้ผิงถอนหายใจเซ็งๆแล้วลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจไปมา ขณะเดียวกันไอ้โก๋โผล่หน้ามาจากงานปั้นของมันที่สูงจนบดบังร่างกายของมันไว้ได้ ผมแปลกใจที่เห็นมันมาทำงานวันนี้ เพราะตอนเช้ามันหายหัวไปไหนกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งแทน ไอ้โก๋ทำหน้าเจื่อน
“เออ สอง กูขอโทษนะเว้ย ที่กูไม่ได้สนใจมึงเลย ช่วงก่อนหน้านั้น”ไอ้โก๋พูด ผมส่ายหน้าโบกมือให้มันอย่างไม่ถือสา
“ช่างเหอะน่า มึงเองก็เครียดเรื่องงาน กูไม่คิดมากหรอก เพื่อนก็คือเพื่อนอยู่วันยังค่ำ”ผมบอกมัน แต่ไม่ได้ตอบคำถามของไอ้ผิง
ผมไม่เคยเล่าเรื่องแผนการของเฮียแกนที่อยากให้ผมเจ็บ หรือเรื่องของพี่ท็อปที่หลอกลวงผม
“มึงจะบอกกูได้เมื่อไหร่วะ”ไอ้ผิงคว้าก้อนดินขว้างใส่ผมอย่างหมั่นไส้ก่อนจะเดินมาหาผมตรงหน้า ผมถอนหายใจขณะที่ลากเก้าอี้มานั่ง ในระหว่างที่ไอ้เพื่อนสองตัวก็รีบคว้าเก้าอี้มาสุมหัวกับผม
“....อือ ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันคลี่คลายหมดแล้ว กูเล่าให้พวกมึงฟังก็ได้”ขณะนั้นผมได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้มันฟัง โดยไม่ปิดบังสักเรื่องเดียว เรื่องมิ้นท์ เฮียแกน พี่ท็อป ไอ้โย ไอ้ยิม
“ทำไมเรื่องเยอะแบบนี้วะ กูล่ะนับถือมึงที่ยังมีชีวิตรอดมาจนป่านนี้”ไอ้โก๋พูดขำๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่วนไอ้ผิงมองหน้าผมนิ่งๆขมวดคิ้วเม้มปากแน่นเหมือนไม่พอใจ
“แล้วตกลงพี่ท็อปเค้าชอบมึงจริงๆใช่ไหม”ไอ้ผิงยิงคำถามใส่ ผมมองหน้าพวกมันสองคนแล้วครุ่นคิดจริงจัง ช่วงที่ผ่านมาผมรู้สึกแย่กับพี่ท็อป จนความรู้สึกเหล่านั้นในกลบบดบังทำให้ผมมองพี่ท็อปไม่ออก
“ก็อาจจะ”ผมไม่กล้าฟันธง ผมรู้สึก50-50มากกว่า ถึงวันนี้พี่ท็อปจะมาหาผมและพูดบางอย่างกับผมไปแล้วนั้น ผมก็รู้สึกแปลกๆ ไม่เชิงว่าดีใจ
“มันก็ต้องรู้สึกบ้างนั่นแหละวะ”ไอ้โก๋เป็นฝ่ายพูด
“แล้วมึงจะเอาไงกับไอ้ยิม มึงจะกั๊กๆไม่ได้นะเว้ย อย่าไปให้ความหวังเลย ถ้าไม่คิดจะรัก”ไอ้ผิงพูดถึงเรื่องไอ้ยิมขึ้นมา ไอ้โก๋พยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้ว่ามันจะห่างๆจากผมไปบ้างแต่มันก็รับรู้เรื่องของผมจากไอ้ผิงอีกทางหนึง ไอ้ผิงมันบอกผมว่าไอ้โก๋ก็มาถามไถ่เรื่องของผมบ้าง
“เออ กูบอกมันไปแล้วว่าไม่ได้ชอบมัน”ผมตอบแล้วไหวไหล่ นอกนั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าไอ้ยิมมันจะคิดยังไงหรือปฏิบัติตัวอย่างไงเพราะในเมื่อมันรับรู้ความรู้สึกของผมที่มีต่อมันว่าให้ได้แค่ไหน อย่างน้อยมันก็น่าจะรู้สถานการณ์ของตัวเองดี
“มึงต้องใช้มาตรการเด็ดขาด”ไอ้โก๋พูด
“มึงคิดว่ามันจะหยุดความรู้สึกไว้เท่าเดิมหรือไง ในเมื่อมึงยังอยู่ข้างๆมันแบบนี้ มันก็ต้องมีความหวังเพิ่มขึ้นบ้างแหละวะ ทางที่ดีนะ...มึงต้องยื่นคำขาดไปซะ”ไอ้โก๋พูดมีเหตุผล ถ้าผมยังคงทำดีกับคนที่ชอบ มันก็เหมือนทำร้ายใจไอ้ยิมมันทางอ้อม ความหวังมันก็ต้องงอกเงยเติบโตคงไม่มีใครห้ามความรู้สึกของตัวเองได้อีกอย่างไอ้ยิมชอบผมทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีความหวัง...มันก็คงเจ็บน่าดู
“เออ กูก็อยากทำแบบนั้น”ผมบอกคงต้องหาโอกาสเหมาะๆบอกกับมัน
“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจบอกกูได้นะเว้ย”ไอ้ผิงทำหน้าจริงจังแล้วตบแขนผม
“หึ แหม มึงเป็นกรูรูเรื่องความรักหรือไงวะ”ผมหัวเราะใส่ไอ้ผิง มันพยักหน้า
“แน่นอนอยู่แล้ว ไอ้ผิงไม่เคยแห้ว มึงก็รู้”
“แล้วไอ้ที่โสดมาจนทุกวันนี้ไม่เรียกว่าแห้วหรือไง”ไอ้โก๋สวนกลับ
“เฮ้ย กูเป็นคนปล่อยเค้าไปเอง อย่างกูเนี่ยนะ ไม่นิยมแห้วว่ะ จีบติดทุกคนเว้ยถ้าคิดจะเอาจริง”มันคุยโว ทั้งที่รู้ๆกันอยู่ว่าจีบใครแล้วได้แค่เพื่อนหรือไม่ก็พี่น้องบ้าง อาจเป็นเพราะมันแค่กั๊กๆความสัมพันธ์ไม่ยอมพัฒนาไปมากกว่านั้น เลยแห้วทุกที แต่ก็ยังจะหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเอง
“เออ แล้วนี่ปิดเทอมนี้กลับบ้านกันหมดเลยหรอวะ”ไอ้โก๋ถามผมกับไอ้ผิง
“อืม ไม่รู้สิ บางทีก็ไม่อยากกลับนะ อยู่บ้านไม่มีอะไรทำมาช่วยงานที่คณะดีกว่า”ไอ้ผิงทำหน้าคิด
“..ไปกับพวกพี่ดีนเปล่าวะ ไปออกค่ายเล็กๆซ่อมแซมห้องสมุดกับทาสีห้องเรียน”ไอ้โก๋ชวน ผมถึงกับหูผึ่ง ถ้าไปคณะเล็กๆจำนวนไม่มากทำงานกันจริงๆก็น่าสนใจดี ผมหันไปมองไอ้ผิง
“เอาไงมึง กูไปนะเว้ย"ผมบอก เพราะก็ว่างๆไม่ได้หางานพิเศษทำฆ่าเวลาช่วงปิดเทอม
“อืม น่าสนว่ะ ดูก่อนนะติดอะไรหรือเปล่า”ไอ้ผิงหยิบโทรศัพท์มากดเช็คไปพลาง
“แล้วมึงจะชวนไอ้ยิมไปไหมวะ”ไอ้ผิงเงยหน้ามาถามผม “คงไม่ว่ะ...ไม่รู้สิ คณะอื่นไปได้ด้วยเหรอ”ผมหันไปถามไอ้โก๋
“มันก็ได้แหละ ค่ายนี้ก็เพื่อนๆกันไม่ได้เป็นทางการอะไรแบบนั้นไม่ถึงห้าสิบคนหรอก ออกงบเองไง อาสาไปทำเอง”ไอ้โก๋อธิบาย
“...อืม”ตอนแรกผมนึกถึงพี่ท็อปขึ้นมา คิดว่าคงชอบอยากไปแน่นอน พี่ท็อปเองก็ชอบอะไรลุยๆเหมือนผม ..แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น
ผมกลับมาที่หอพัก ขณะที่ไขกุญแจห้องผมเหลือบมองไปยังห้องฝั่งตรงข้าม ยิมคงไม่เลิกเรียนเพราะห้องเงียบกริบก่อนจะมองไปทางห้องของพี่ท็อปแล้วหวั่นในใจ แล้วเปิดประตูเข้ามาในห้อง ผมเปิดโทรทัศน์แก้เซ็งก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบพวงกุญแจไม้แกะสลักขึ้นมาถือ เสียดายที่ไม่ได้ให้พี่ท็อป ผมคิดเรื่องพี่ท็อปไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่โทรศัพท์จะดังขึ้น
'OnTop' ผมมองอย่างแปลกใจ มีเรื่องอะไรหรือเปล่านะ.. ผมชั่งใจอยู่นานจนหน้าจอดับไป จนกระทั่งผมรอให้พี่ท็อปโทรมาอีกครั้ง
ตืด ตืด ตืด
ผมกดรับ ในขณะที่ปลายสายเริ่มพูด
[ปิดเทอมนี้ กูคงไม่ได้เจอหน้ามึงอีกแน่ๆ จำได้ไหมที่กูเคยบอกว่าแม่พี่จะพาไปดูงาน ที่ชลบุรี ] ผมนิ่งงัน ใจหล่นวูบกับเรื่องที่ได้ยินอย่างไม่คาดคิด
“...จะไปวันไหนหรอพี่"ผมถามกลับเสียงแผ่ว
[อีกวันสองวันนี่แหละ]...เร็วจัง...ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาผมก็แทบไม่ได้เจอหน้าพี่ท็อปเลย วันนี้ที่พี่ท็อปมาหาผมเป็นครั้งแรกในรอบสองเดือนมันทำให้ผมได้รู้ว่ายังรักพี่ท็อปอยู่ และคิดถึงพี่ท็อป
“ทำไมเร็วจัง"
[...3 เดือนสำหรับโอกาสของกู...หรือ...ให้โอกาสตัวเอง..เปิดใจรับคนอื่น] ผมขมวดคิ้ว แล้วถอนใจ ทำแบบนี้พี่ท็อปไม่เหนื่อยบ้างหรือไง
“นานขนาดนั้น พี่คิดว่าผมจะรอพี่ได้หรือไง หาคนอื่นไม่ง่ายกว่าหรอครับ...แล้วถ้าผมยอมให้โอกาสคนอื่นพี่จะยอมตัดใจจากผมหรือไง"ผมถามกลับไป ปลายสายเงียบไป ทำให้ผมระเบิดอารมณ์ออกมา
“ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ด้วยวะ! มันจะตายหรือไงถ้าพี่มาตามง้อผม ในเมื่อพี่เป็นฝ่ายผิดทำไมต้องมาตั้งเงื่อนไขกับผมอีก!"
[กูแค่อยากให้เวลามึงไง มึงมองหน้ากู แล้วมึงนึกถึงอะไร ? เรื่องที่กูทำกับมึงไง กูไม่ต้องการแบบนั้นหรอก]พี่ท็อปตอบเสียงอึกอัก คงจะตกใจที่ผมพูดแบบนั้นออกไป
“แล้วพี่ีคิดว่าทำได้เหรอไง เวลาที่พี่ให้ผม มันช่วยความรู้สึกผมที่เสียไปมันกลับมาไม่ได้หรอก"
[กูจะสร้างมันขึ้นมาใหม่เอง ...กูขอโทษจริงๆ ] ผมนิ่ง ก่อนจะถามคำถามที่ค้างคาใจมานาน ความจริงผมอยากได้ยินคำพูดนี้โดยเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายมากกว่า
“พี่ชอบผมบ้างไหม”
[ชอบสิ กูชอบมึงมาก ....] น้ำเสียงที่ได้ยินชัดเจนและหนักแน่นพอให้ผมเชื่อในสิ่งที่พี่ท็อปพูด
“แล้วพี่ไม่คิดจะติดต่อผมเลยหรือไง”ผมถามต่อไปเรื่อย ๆคนปลายสายตอบกลับมาอย่างไม่มั่นใจนัก
[..กูแค่ไม่กล้า]
“ทีแบบนี้ล่ะทำป๊อด"ผมพูดเสียงขุ่น
[อืม คงจริงอย่างที่ว่า แค่มองหน้ามึงกูยังไม่ค่อยกล้า เหมือนกูไม่มีสิทธ์ยังไงยังงั้น] อีกฝ่ายพึมพำกลับมา
“อืม 3 เดือนของพี่ พี่จะไม่ยุ่งกับคนอื่นได้หรือไงครับ"ผมไม่แน่ใจ ความเหงาบางครั้งมันน่ากลัว ทำให้คนพลาดพลั้งมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เหมือนกับตัวผมสมัยก่อน ที่เคยอ้างว่าเหงา ถึงได้ให้คนอื่นเข้ามาเรื่อยๆ แต่มาตอนนี้ผมชักชาชินและไม่กล้าที่จะทำแบบนั้นอีก
[กูไม่คิดอยากมีใครอีกหรอก]
“แล้วคิดว่าผมยังจะ....ให้โอกาสพี่อีกครั้งหรอครับ"
[...กูไม่รู้] อีกฝ่าบกลายเป็นคนไม่หนักแน่นไปซะได้
“งั้นพี่ก็ไร้จุดหมายน่ะสิ”ผมหัวเราะออกมา ปลายเงียบไปนาน จนผมต้องพูดต่อ
“.....ส่วนเรื่องความจริงอะไรนั่นผมไม่อยากรู้หรอก”
[ทำไมวะ] พี่ท็อปดูตกใจ ผมถอนหายใจ
“มันไม่สำคัญแล้วล่ะพี่ ...อันที่จริงมันสายไปแล้ว มันเหมือนพี่กำลังแก้ตัว ผมให้พี่ได้พูดความจริงหลายครั้งแต่พี่ไม่ทำ"ผมยังโกรธไม่หายที่พี่ท็อปเลือกที่จะเงียบไม่ยอมบอกอะไรสักอย่าง
[กูรู้]
“ถ้าอย่างนั้น รอผมหนึ่งเดือนนะ ถ้าผมติดต่อพี่ไปแสดงว่าผมจะให้โอกาสพี่อีกครั้ง”ผมลังเลอยู่บ้าง แต่ก็ตั้งเงื่อนไขกับอีกฝ่ายไป ต้องรอดูอีกสามเดือน หากผมสามารถมองพี่ท็อปเหมือนเดิมได้ ก็คงดี
[มึงพูดจริงหรอวะ... เออ ได้สิวะ กูจะรอนะ ] น้ำเสียงของเจ้าตัวดูตื่นเต้นดีใจ ผมแค่ยิ้ม
“อืม แต่มันไม่ได้การันตีว่าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”ผมพูดต่อ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็พูดดักไปแบบนั้น ไม่อยากให้พี่ท็อปได้ใจไปกว่านี้แล้ว
[อือ ขอบคุณนะสอง]
“ครับ แค่นี้นะพี่ .."
ผมวางสายด้วยใจที่สับสน ผมก็เป็นซะแบบนี้ใจอ่อนให้พี่ท็อป ผมจะรอดูว่าพี่ท็อปจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า ผมใจลอยมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับไปแล้วอยู่อย่างนั้น เย็นวันนั้นผมแวะไปหายิมที่ห้อง เพื่อเอ่ยชวนเรื่องการออกค่าย
“ปิดเทอมว่างไหมครับ พอดีว่าจะชวนไปออกค่าย”ผมบอก อีกฝ่ายชวนผมเข้าไปในห้อง แต่ผมไม่อยากเข้าไปเพราะคงจะคุยไม่นาน เลยยืนอยู่ที่หน้าประตู อีกฝ่ายดูลังเลใจ
“กูไปได้เหรอ”
“ได้สิ เป็นค่ายของกลุ่มรุ่นพี่น่ะ ไม่ใช่ค่ายของคณะหรอก”ผมบอก ยิมพยักหน้า “ก็น่าสนใจนะ เป็นที่ไหนล่ะ”อีกฝ่ายถาม ผมบอกรายละเอียดมันไป เป็นค่ายซ่อมแซมอาคารเรียนของเด็กชาวเขา ท่าทางมันก็สนใจอยู่เหมือนกัน
“ผมมาคิดดูแล้วนะพี่ ผมว่า...”ผมพยายามหาคำพูดดีๆ บอกกับอีกฝ่ายให้ตัดใจจากผม ยิมถอนหายใจก่อนจะพูดแทรก
“ถ้ามีกำหนดการเรื่องค่ายยังไงก็บอกด้วยล่ะกัน”เจ้าตัวบอก ก่อนจะดึงบานประตูปิดเบาๆ ผมนิ่งงัน อีกฝ่ายคงรู้สึกได้ว่าผมจะพูดอะไร ผมเองก็ไม่อยากให้มันมาเสียใจแบบนี้
หลังจากที่เข้าไปฟังรายละเอียดค่ายๆกับพวกไอ้ผิงแล้วผมก็นำมาบอกไอ้ยิม ค่ายอาสานี้มีรุ่นพี่สาขาผมซะส่วนใหญ่ พี่ดีนเป็นสายรหัสเดียวของไอ้โก๋มัน แล้วก็รุ่นเดียวกับผมประมาณ 10 คน และคณะสถาปัตย์อีก 10 คน ระยะเวลาที่ไปค่ายประมาณ3วัน2คืน เน้นทำงานมากกว่าไปสันทนาการอีกอย่างไม่มีเด็กๆให้แจกขนมด้วยเพราะปิดเทอมกันหมดแล้ว
พี่ดีนบอกว่างานนี้ทุกคนต้องมีหน้าที่และงานต้องเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด จังหวัดที่ไปอยู่ทางภาคเหนือตอนล่างใช้เวลาไม่เกินสามชั่วโมง
จนกระทั่งเมื่อถึงวันออกค่าย ผมกับยิมมาที่คณะที่เป็นจุดนัดพบ เมื่อจอดรถไว้แล้วผมก็เห็นรถสองแถวคันใหญ่สำหรับออกค่ายจอดอยู่หน้าลานคณะ พวกพี่ดีนกำลังขนสัมภาระใหญ่ไปไว้บนหลังคาแล้วเอาผ้าใบคลุมอีกทีเผื่อฝนตก
ผมกับยิมเดินไปหาพวกไอ้ผิงที่นั่งอยู่ริมฟุตบาท แต่ที่คาดไม่ถึงคือ ไอ้เถา กับน้องมุ นั่งรวมอยู่ด้วย
“อ้าว พี่ยิมมาด้วยหรอเนี่ย”ไอ้เถารีบเอ่ยทักทายก่อนจะส่งสายตาสงสัยมาที่ผม
“เออ ก็มากับพวกไอ้สองเนี่ยแหละ"ยิมตอบกลับไปนิ่งๆ ไอ้เถาทำหน้างงเข้ามากกว่าเดิมก่อนจะกลบเกลื่อน แล้วหันมาคุยกับผม
“เออสอง ได้ข่าวว่าโสดแล้วเหรอวะ พี่ท็อปบอกเลิกหรือไง"ไอ้เถาถามเสียงดัง ข้างๆกันนั้นมุน้องรหัสของมันก็หันมายิ้มให้ผม
"เออกูโสด แล้วไงวะ"ผมตอบอย่างหงุดหงิดไอ้เถาหัวเราะแล้วมองมุที่ยืนยิ้มให้ผมอยู่
"เอาแล้วไงมึง ได้เมียใหม่แน่"ไอ้ผิงเดินมากระซิบกระซาบเบาๆ ผมศอกใส่มันไป ยิมจ้องไอ้ผิงนิ่งๆคงจะได้ยินที่มันพูดล่ะมั้ง
"หวัดดีครับพี่สอง ไม่ได้เจอพี่นานแล้วนะครับ"มุเอ่ยทักทายกับผมแล้วเดินมายืนตรงหน้าผม
"อือ ช่วงนี้พี่ยุ่งๆน่ะ"ผมยิ้มตอบแบบไม่คิดอะไร ยิมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ให้ได้ยิน ผมได้แต่เก็บความไม่สบายใจเอาไว้คนเดียว
และแล้วก็ได้กฤษออกเดินทาง ทั้งคันรถก็ตีกลองสลับกับร้องเพลงสนุกๆแก้เบื่อกัน ผมนั่งข้างไอ้ผิงกับยิม ส่วนไอ้โก๋ไปนั่งอยู่ท้ายรถกับพวกพี่ๆส่วนไอ้เถานั่งถัดจากไอ้ผิงตามด้วยมุที่แอบชำเลืองมาทางผมบ่อยๆ
"เด็กนั่นท่าทางจะชอบมึง แบบนั้นสเป็คไม่ใช่หรือไง"ยิมยื่นหน้ามากระซิบเพราะพื้นท่ีบริเวณตรงกลางเป็นที่วางกลองกับพวกที่ชอบเต้นแร้งเต้นกากันยืนบ้างนั่งบ้าง
"ใครบอก สเป็คกูไม่ใช่แบบนั้นหรอก"ผมถอนหายใจ น้องมุคนนี้ต่อให้ผมไม่ได้ชอบพี่ท็อปอยู่ผมก็ไม่เล่นด้วยหรอก ให้คุยธรรมดาน่ะพอไหว
"ต้องแบบไอ้ท็อปหรือไง"ผมมองหน้ามันแล้วไม่ตอบ ผมเคยบอกไว้ก่อนหน้านั้นว่าหน้าตาเป็นเรื่องรองลงมา แต่ถ้าคุยกันรู้เรื่องเข้ากันได้สำหรับผมก็ชอบได้ กับพี่ท็อป เจอครั้งแรกไม่ได้สปาร์คกันเลยซะหน่อย
"มึงก็ชอบวนมาหาพี่ท็อปอยู่เรื่อย "ผมพึมพำ เจ้าตัวได้แต่ยุกยิกๆอยู่ข้างๆ
"สองๆ"ไอ้ผิงสะกิดแขนผม ผมหันไปมองมันก่อนจะเห็นว่าไอ้ผิงมันชี้มือไปทางไอ้เถาที่โบกมือให้ผมแล้วชี้มือไปที่น้องมุ ผมมองหน้าไอ้ผิงโดยอัตโนมัติ
"น้องเค้าอยากคุยกับมึง"
"คุยอะไรวะ"ผมทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่อยากหาภาระเพิ่ม
"เออน่า ไม่เสียหาย เผื่อถูกใจไง "ไอ้ผิงหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อสลับที่ ไอ้เถาสลับกับมุ กลายเป็นว่าตอนนี้มุมานั่งข้างผม ถัดไปก็ไอ้ผิง ไอ้เถา
"มีอะไรคุยกับพี่ครับ"ผมถามอย่างเป็นมิตร ก็ดีจะได้ไม่เหงาปาก คุยกับยิมแล้วชอบวกมาเรื่องพี่ท็อปตลอด
มุส่งรอยยิ้มมาให้ผม จะว่าไปน้องก็หน้าตาดีนะ ผิวขาว จมูกโด่ง พอยิ้มแล้วน่ารัก เรือนผมสีคาราเมลอ่อนนุ่มรับกับสีผิวได้ดี ผมมองอีกฝ่ายเพลินๆ จนน้องทำหน้ากระอักกระอ่วน
"พี่สองมองหน้าผมทำไมอ่ะ "มุถามเขินๆ
"เปล่าหรอก แค่มองเฉยๆน่า แล้วคิดยังไงมาออกค่ายเนี่ย"ผมชวนคุยไปเรื่อย
"อ๋อ พอดีปิดเทอมมันว่างๆ แล้วพี่เถาชวนด้วยเลยอยากมา น่าสนุกดี"
"อืมๆ งั้นก็ไม่รู้น่ะสิว่าพี่จะมา"ผมถามยิ้ม
คาดว่าต้องมีพ่อสื่อแม่สื่อแหงๆ
".....พี่เถาบอกว่าพี่สองก็ไปด้วย "มุยิ้มเหมือนอาย ผมพยักหน้า แล้วมองข้ามไหล่มุไปมองทิวทัศน์ข้างทาง
"มึงจะหาเรื่องใส่ตัวทำไม"ยิมยื่นหน้ามากระซิบกับผม
"กูโสดนะเว้ย กูแค่คุยกับน้องเค้าเอง ทำไม หึงเหรอ"ผมแกล้งยียวนอีกฝ่าย ยิมขมวดคิ้วแน่น สีหน้าไม่พอใจ
"รู้แบบนี้ไม่น่ามาด้วยเลย"จากนั้นยิมมันก็หงุดหงิดขยับออกห่างผมไปเอง ผมเม้มปากอย่างไม่เข้าใจ "อะไรๆ มึงนี่ "ผมถามเสียงขุ่น เริ่มไม่พอใจอีกฝ่ายขึ้นมา
“ช่างเถอะ”ยิมตัดบทจบการสนทนาด้วยการหันหน้าไปอีกทางแทน
"เป็นอะไรหรือเปล่าครับพี่"
"เปล่าหรอก แล้วนี่ทำงานหนักได้เหรอเนี่ย ดูคุณหนูจัง"ผมหัวเราะ ในขณะที่มุแค่ย่นหน้า "ได้อยู่แล้วครับ คงไม่ได้แบกหามขนาดนั้นซะหน่อย แล้วผมขอเบอร์พี่สองหน่อยได้ไหมครับ"อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเล มองผมด้วยแววตาสนใจ ผมยิ้มขำ
“ไอ้เถาไม่มีเบอร์พี่เหรอครับ”ผมถามแต่ก็ยอมหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วยื่นให้มุ “เอาเบอร์มุมาดีกว่า”ผมยิ้มแล้วมองมุที่รับโทรศัพท์ผมไปก่อนจะกดเบอร์ของตัวเองลงไป
“เรียบร้อยครับ”มุยิ้มตาหยีมาให้ ผมเมมชื่อไว้อย่างไม่คิดอะไรมาก เห็นทีต้องรีบตัดสัมพันธ์ “มีอะไรก็โทรหาพี่ได้นะน้องชาย”ผมหันไปบอกอีกฝ่าย ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ มุหุบยิ้มแทบจะทันทีที่ได้ยินคำว่าน้องชายจากผม
ผมไม่กล้าเสี่ยงกับใครทั้งนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเหมือนเป็นแผลที่ตกสะเก็ดอยู่ในใจ แค่คิดว่าผมแค่คุยๆกิ๊กๆกับมุผมก็กลัวขึ้นมา ...บทเรียนของมิ้นท์นี้เจ็บแสบจริงๆ...ผมล่ะเข็ดหลาบไปจนตาย
การนั่งรถสภาพแบบนี้กับระยะทางเกือบๆร้อยกิโลฯ เป็นการทรมาณผมได้ทางอ้อม ผมขยับตัวหลายครั้งเพราะปวดก้นมาก.อยากเหยียดขายาวๆให้หายปวดเมื่อยมากกว่านั่งอยู่ท่าเดิม นี่ถ้าไม่ได้ไอ้โก๋ตะโกนบอกคนในรถว่าจะจอดพักที่ปัมน้ำมันข้างหน้าที่จะถึงในอีกไม่ช้า ผมคงได้โวย
"เมื่อยมากเลยหรอ"ในที่สุดยิมก็ยอมแพ้ มันเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน ผมมองหน้าเจ้าตัว "อือ เมื่อยชิบ ง่วงด้วย"ผมบอก็ อยากนอนหลับสักงีบแต่รถก็วิ่งเร็วแถมยังโครงเครงเป็นบางครั้งอีกด้วย
"สำออยหรือเปล่ามึง ทนหน่อย จะถึงปั้มแล้ว"ยิมยิ้ม ก่อนจะยื่นมือมาบีบขาผมคลายเมื่อยให้ ถ้าไม่อายสายตาใครผมจะซบอีกฝ่ายซะเดี๋ยวนี้เลย อยากได้ไหล่พิงตอนนอน
ไม่นานนึกรถก็ชะลอเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันใหญ่ไปจอดตรงจุดพักรถเพื่อให้ทุกคนได้พักและตัดการธุระส่วนตัว ผมรีบลงไปบิดขี้เกียจ ยืดแข้งยืดขาก็เหมือนได้เจอแสงสว่าง ยิมเดินมาหาผม
"จะเข้าเซ่เว่นไหม"มันถามผม ผมเหลือบมองพวกไอ้ผิงที่เดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว
"ปะ"ผมสะกิดแขนเจ้าตัวแล้วเดินไปพร้อมๆกัน
“สอง...กูขออะไรมึงได้ไหมวะ”อยู่ๆไอ้ยิมก็พูดขึ้นมา ผมหันไปมองมัน แววตาของมันดูสับสนและสั่นไหวอยู่หลังกรอบแว่น ผมพยักหน้าก่อนจะหยุดอยู่ข้างๆเก้าอี้แถวเซเว่น
“มึงอย่าบอกให้กูตัดใจได้ไหมวะ”ผมตกใจมากที่มันพูดแบบนี้ ผมมองหน้ามันไม่ได้เลย
“แต่พี่ก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าถึงยังไงผมก็...”ผมพยายามอธิบาย แต่ยิมพูดตัดบทผมก่อน
“กูเข้าใจ ...แต่มึงไม่คิดจะเปิดใจให้กูบ้างเลยหรอวะ...มึงจะไม่ชอบกูก็ได้ แต่ให้กูได้ใกล้มึงมากกว่านี้ไม่ได้เหรอวะสอง”อีกฝ่ายมองผมอย่างคาดหวัง
“...ผมไม่อยากให้พี่เสียใจ"ผมบอกไป อีกฝ่ายหัวเราะออกมาอย่างไร้อารมณ์ "เออ กูมันก็ต้องเสียใจอยู่วันยังค่ำ กูรู้”
“ผมให้โอกาสพี่ท็อปไปแล้ว...”
“แล้วไง แบบนี้กูถึงไม่ได้โอกาสบ้างเหรอวะ บางทีก็ก็คิด ถ้าหากว่าคนที่ชอบมึงมันไม่ใช่กู มึงจะให้โอกาสไหม”ยิมเอ่ย ผมถอนหายใจ ไม่ชอบอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลย และผมไม่อยากทำร้ายใจของอีกฝ่ายเช่นกัน
“ไม่หรอกพี่ ตอนนี้ผมไม่อยากมีใครเพิ่ม”ผม
“ทำไมวะ”
“พี่อาจจะต้องเจ็บนะ ถ้าหากผมให้โอกาสพี่"
"...แค่สามวันนี้เอง แล้วกูจะยอมตัดใจเอง "ยิมพูดเสียงมั่นคงซะจนผมไม่อยากปฏิเสธมันอีก
"โอเค ก็ได้ ตามใจ แต่อย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งหาผมนะ"ผมแกล้งหยอกมัน ไม่อยากให้ระหว่างผมกับมันอึดอัด ไอ้ยิมพยักหน้ายิ้มๆ
ผมกับยิมเข้าไปซื้อขนมปังกับน้ำมาตุนไว้ ผมไม่ได้ให้ความหวังมัน ในเมื่อมันต้องการแบบนี้ ผมก็ไม่ขัด เพราะอีกฝ่ายบอกเองว่าจะตัดใจจากผมหลังจากจบค่ายนี้ จะว่าไปเวลามันก็สั้น แค่สามวันสองคืนเอง ผมคิดทบทวนเรื่องของยิม ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่มีครั้งไหนที่เจ้าตัวล่วงเกินหรือฉวยโอกาสจากผมเลย หรือเป็นเพราะผมไม่เปิดใจรับยิมเข้ามากันแน่