พิมพ์หน้านี้ - เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: รินดาwดาริน ที่ 17-06-2015 23:15:15

หัวข้อ: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 17-06-2015 23:15:15
คำเตือน นิยายเรื่องนี้มีรีเวิร์ส (สลับรุกรับกัน)

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************




**รีไรท์เนื้อหาใหม่สำหรับการรวมเล่ม บางฉากบางตอนอาจตัดทิ้งหรือมีการเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อความกระชับของเรื่อง


เรื่องย่อประกอบการตัดสินใจอ่าน


  คุณว่ามันแปลกไหมครับ ที่จู่ๆรุ่นพี่วิศวะข้างห้องก็'เข้าหา' ผมด้วยวิธีประหลาดสุดๆ
ผมตื่นขึ้นมาและพบว่า...นั่นล่ะ จินตนาการกันไปก่อนก็แล้วกัน แบบว่านอนเตียงเดียวกัน
อาจฟังดูประหลาด

แต่นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น เพราะคนอย่างไอ้สองยินดีจะ ‘เสี่ยง’กับคนที่ถูกใจเสมอ
ก็นะ...ใครๆก็ชอบความท้าทายกันทั้งนั้น จริงไหมล่ะ
แต่ใครมันจะไปรู้ว่าเรื่องทั้งหมดมีใครสักคนลิขิตไว้แล้ว พอมารู้ตัวอีกทีก็ถอนตัวไม่ขึ้น



== สารบัญ == 
เนื้อเรื่องหลัก คู่ ท็อปxสอง
 จุดเริ่มต้น  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3096081#msg3096081)
  ตอนที่ 1 สารท้า  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3096650#msg3096650)
 ตอนที่ 2 คนข้างห้องที่น่าสนใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3096650#msg3096650)
 ตอนที่ 3 OnTop  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3098932#msg3098932)      ตอนที่ 3 OnTop (ต่อ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3100208#msg3100208)
 ตอนที่ 4 เล่ห์กล  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3102185#msg3102185)
 ตอนที่ 5 ผลัดกันรุกผลัดกันรับ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3103847#msg3103847)
  ตอนที่ 6 (ตกหลุมพราง)รัก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3108052#msg3108052)
  ตอนที่ 7 วัยเด็กอาจหวนมาทำร้าย  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3112285#msg3112285)
 ตอนที่ 8 เสี่ยงตัวเเละหัวใจ   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3122195#msg3122195)
 ตอนที่ 9 ความจริงใจจากคนตรงข้าม  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3126708#msg3126708)
 ตอนที่ 10 เผชิญหน้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3128869#msg3128869)
 ตอนที่ 11 จอมวางแผน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3132199#msg3132199)
 ตอนที่ 12 เริ่มนับถอยหลัง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3134716#msg3134716)
 ตอนที่ 13 พังทลาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3137068#msg3137068)
 บทแทรก : ท็อป  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3139323#msg3139323)
 ตอนที่ 14 ออกค่ายพักใจ (1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3145320#msg3145320)
 ตอนที่ 15 ออกค่ายพักใจ (2) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3149655#msg3149655)
 ตอนที่ 16 เริ่มต้นใหม่ สถานะคนข้างห้อง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3169647#msg3169647)
 ตอนที่ 17 คำขอของคนข้างห้อง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3184435#msg3184435)
 ตอนที่ 18 วันหยุดที่ไม่น่าจดจำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3193245#msg3193245)
 ตอนที่ 18 วันหยุดที่ไม่น่าจดจำ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3207459#msg3207459)
 ตอนที่ 19 พิรุธของผิงกับเรื่องของพี่ดีน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3264271#msg3264271)
 ตอนที่ 20 วันเกิดพี่ท็อป  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3268084#msg3268084) 
 ตอนที่ 21 ของขวัญ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3274869#msg3274869)
 ตอนที่ 22 กลับบ้าน  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3287977#msg3287977)
 ตอนที่ 22 กลับบ้าน ต่อ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3295582#msg3295582)
 ตอนที่ 22 กลับบ้าน (จบ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3393550#msg3393550) 
 ตอนที่ 23 เติมรักทีละน้อย  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3410482#msg3410482)
 ตอนที่ 24 วันที่อารมณ์ดี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3564547#msg3564547)
 ตอนที่ 25 Make love  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3588056#msg3588056)
 ตอนที่ 26 วันสบายๆ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3618664#msg3618664)
 ตอนที่ 27 บทส่งท้าย  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3691497#msg3691497)
 ตอนที่ 28 ตอนจบ The End  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3695098#msg3695098)
      เรื่องของ ผิง
 ตอนที่ 1 ข้างห้องคนใหม่  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3168326#msg3168326)
 ตอนที่ 2 คิดมาก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3193247#msg3193247)
 ตอนที่ 3 ลองเปิดใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3264276#msg3264276)
 ตอนที่ 4 ออกทริปครั้งแรก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3268875#msg3268875)    ตอนที่ 4 ออกทริปครั้งแรก (ต่อ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3271142#msg3271142)   ตอนที่ 4 ออกทริปครั้งแรก (ต่อ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3274418#msg3274418)
 ตอนที่ 5 เดทแรกแบบไม่ตั้งใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3282764#msg3282764)   ตอนที่ 5 เดทแรกแบบไม่ตั้งใจ (ต่อ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3301743#msg3301743)
 ตอนที่ 6 พักเบรกไปสักพัก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3328539#msg3328539)   ตอนที่ 6 พักเบรกไปสักพัก (ต่อ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3689722#msg3689722) 
 ตอนที่ 7 ยังเหมือนเดิม  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3689724#msg3689724)
 ตอนที่ 8 สิ่งดีๆ   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3690740#msg3690740)
 เรื่องของผิง บทส่งท้าย (จบ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3695099#msg3695099)

    Deen Diary
 บทที่ 1 อดีตที่ไม่น่าจดจำ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3269679#msg3269679)
 บทที่ 2 คนที่หายไปกลับมา  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3269681#msg3269681)   บทที่ 2 คนที่หายไปกลับมา (ต่อ) + บทที่ 3 ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3281426#msg3281426)
 บทที่ 4 หัวใจที่ไม่แข็งแกร่ง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3281442#msg3281442)
 บทที่ 5 ปล่อยวาง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3295585#msg3295585)   บทที่ 5 ปล่อยวาง (ต่อ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3327782#msg3327782)
 บทที่ 6 เปิดใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3450294#msg3450294) 
 บทที่ 7 แท้จริงแล้ว เราอาจไม่ได้เกลียดกัน  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3514517#msg3514517)
 บทแทรก : แกน  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3559033#msg3559033)
 บทที่ 8 การเริ่มใหม่ กับคนที่เคยเกลียด  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3632792#msg3632792)             บทที่ 8 การเริ่มใหม่ กับคนที่เคยเกลียด (ต่อ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3690222#msg3690222)
 บทที่ 9 บทส่งท้าย (ดีน)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47403.msg3691850#msg3691850)

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 17-06-2015 23:23:18
เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ'  (ฉบับรีไรท์)




จุดเริ่มต้น : บทนำ




ท่ามกลางความมืดสลัวกับสติที่ยังไม่เต็มตื่นนักเพราะฤทธิ์มึนเมาจากงานเลี้ยงของรุ่นพี่ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนหลับๆตื่นๆคล้ายกับกำลังฝันซะอย่างนั้น…แต่เป็นฝันที่หวาบหวิวชวนให้เลือดในกายร้อนฉ่าไปด้วย

ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกัน

เสียงหายใจหอบจากใครสักคนที่กำลังอยู่ด้านบนตัวผมยังคงแจ่มชัดและเริ่มชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น สิ่งที่ผมกำลังรับรู้ก็คือความเสียวจากคนด้านบนกำลังบรรเลงบทรัก  แน่นอนว่ากำลังรบเร้ากับเจ้าโลกของผมอยู่...

อืม

น้ำหนักอุ่นร้อนที่โอบอุ้มท่อนล่างของผมทำเอาเผลอใจไปกับสัมผัสนั้นอยู่นาน จนสติเริ่มเข้าที่เข้าทางกำลังประมวลผลอย่างช้าว่า ‘นั่นใครกันนะ’ ผมกระพริบตามองผ่านความมืดสลัวเห็นเป็นทรวดทรงองค์เอวที่ไม่บอบบาง เอวไม่คอด แถมยังเสียงหอบต่ำๆเป็นเสียงของผู้ชาย

เฮ้ย  มันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่น่าเมาจนไม่รู้ตัวว่าถูกอุ้มมาที่อื่นได้แน่ๆ หรือว่าโดนวางยาตอนไหนกัน

"ใครน่ะ..."ผมยับยั้งชั่งใจไม่เผลอไปกับการยั่วยวนที่โยกแรงๆราวกับเห็นผมไม่มีตัวตน

"..อย่าเพิ่งพูด"น้ำเสียงที่ตอบกลับมาหอบปนเสียงครางในลำคอ ระหว่างนั้นอีกฝ่ายโน้มตัวมาจูบผมเป็นการตัดรำคาญ สะโพกแกร่งของเจ้าตัวยังคงเดินเครื่องต่อไปไม่มีเหนื่อย

อีกฝ่ายเป็นใครถึงกล้ามาทำแบบนี้กับผมได้ แม้ว่าผมจะได้เปรียบก็เถอะ ขณะที่สมองกำลังประมวลผลไปด้วย รับรู้รสสัมผัสของอีกฝ่ายไปด้วย พร้อมๆกันทำเอายิ่งเตลิด คิดอะไรไม่ออก

น้ำเสียงแบบนี้ คุ้นหูจริงๆ  ‘ใครกันนะ...นึกให้ออกสิวะไอ้สอง’ ขณะที่กำลังคิดไปคิดมา ขณะเดียวกันอีกฝ่ายกดสะโพกลงมาเล่นเอาหยุดคิดไปเลย ผมไม่สามารถคิดอะไรได้อีก

"อา...กูไม่ไหวแล้ว"คนด้านบนพึมพำ ผมแค่ครางต่ำๆออกมาแทน ร่างนั้นถอนตัวออกจาก‘ส่วนนั้น’ของผมไป ก่อนจะหันหลังให้ผมในท่าเตรียมพร้อม ท่าทางของเขาทำให้ผมสตั้นไปชั่วขณะ ถึงจะไม่อินโนเซ้นท์แต่การเชื้อเชิญของเขาคนนี้ทำให้ผมอึ้งไปนิดๆ ที่สำคัญผมเองก็แอบตกใจเพราะไม่รู้ว่าชายคนนี้มันเป็นใครต่างหาก เชิญชวนแบบนี้ถ้าไม่เชี่ยวจัดก็แสดงว่าต้องรู้จักผมแน่ๆ
จะทำกับใครก็ต้องเห็นหน้าเห็นตากันก่อนสิ

“เร็วๆสิวะ เดี๋ยวขาดตอน”น้ำเสียงที่ดังมาจากคนแปลกหน้าดูเร่งเร้า จนผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าน้ำเสียงเช่นนี้ มีคนเดียว ผมยิ้มกริ่ม ในเมื่อเป็นคนรู้จักก็ไม่รอช้าเลยเข้าไปประจำการ ดูเหมือนว่าพี่เขาจะเตรียมพร้อมให้ผม เพราะของของผมสวมสิ่งป้องกันไว้เรียบร้อย เมื่อผมจ่อสิ่งแข็งขื่นของตัวเองเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย ร่างนั้นเกร็งก่อนจะครางออกมา ผมจับสะโพกแกร่งของเขาไว้เต็มมือ ก่อนจะขยับใส่เครื่องเดินหน้าเข้าไปในตัวของอีกฝ่ายตามอารมณ์พุ่งสูง  กระแทกกระทั้นอยู่ไม่นาน ก็เสร็จสิ้นกิจกาม ต่างฝ่ายต่างล้มตัวนอนลงกับเตียง

ผมจำได้แล้วว่า เขาคือใคร ก่อนจะขยับตัวไปหาร่างเปลือยเปล่าที่นอนหอบ หายใจแรง ผมนอนพิงอกแข็งแกร่งแล้วกระซิบข้างหูอีกฝ่าย

“ไม่คิดว่าพี่จะชอบแบบนี้"ผมพูด อีกฝ่ายหันหน้ามาหาผมแล้วกระตุกยิ้ม “พี่ท็อปครับ...”

“นึกว่าจะจำไม่ได้ซะแล้วไอ้นี่...นานนะกว่าจะเรียกชื่อกัน”อีกฝ่ายตอบกลับมา ทำเอาผมหัวเราะเสียงแผ่วๆกับเจ้าตัว ยกแขนกอดลำตัวไว้เหมือนคนคุ้นเคย เพราะว่าคน ๆ นี้ ก็คือรุ่นพี่ มหา’ลัยเดียวกัน และยังเป็นคนข้างห้องข้างเคียงอีกด้วย อีกฝ่ายชื่อ ท็อป เรียนอยู่ วิศวะฯเครื่องกล ถึงว่า เครื่องแรงพี่เขาดีจริง ๆด้วย

“อะไรกันครับ ได้เค้าไปแล้วแท้ๆ ยังมาหงุดหงิดอีกแหนะ”ผมหัวเราะแกล้งทำเสียงเง้างอน ซบกับไหล่กว้างของพี่ท็อป เหตุการณ์บนเตียงเมื่อครู่ก่อนทำให้ผมกล้าขยับเขยื้อนความสนิทชิดกายมากขึ้นไปกว่าเดิม

“เงียบไปเหอะ ไอ้นี่ แล้วก็เอามือออกจากตัวกูด้วย”อีกฝ่ายพึมพำก่อนจะปัดป่ายมือของผมที่วนเวียนไต่ไปยังช่วงล่าง

“เอ้า ไม่ต่ออีกยกเหรอครับ”ผมยิ้ม เหลือบมองใบหน้าที่อยู่ไม่ห่างกันนัก เจ้าตัวส่งเสียงในลำคอ “ไม่ ...กูก็แค่หาที่ลงแก้ขัด เห็นมึงเมาก็เลย...”พี่ท็อปพูด ไม่แม้แต่จะปรายตามองมาผมสักนิด ผมเลยเรียกร้องความสนใจด้วยการแซ็วอีกฝ่าย

“พี่ขืนจู๋ผมแล้ว รับผิดชอบด้วยนะ”ผมหัวเราะเบาๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเล่นหัวกับพี่ท็อป ปกติก็มักจะแซ็วพี่เขาบ่อย ๆ เรื่องเกย์ ๆ เนี่ยแหละ เพราะรู้ว่าพี่ท็อปเป็นเกย์ แต่ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเจ้าตัวเลิกกับแฟนก็เลยเฮิร์ทจริง...ช่วงหลังเลยไม่ค่อยกล้าแซว

“ถุย มึงเองก็ได้อานิสงด้วยไม่ใช่เหรอไง อีกอย่างนี่เรียกว่าสมยอมนะไอ้น้อง ขืนจู๋พ่องมึงสิ"

“โธ่ ล้อเล่นครับ ตกใจนะเนี่ย อยู่ดีๆก็ได้เมียวิศวะ โคตรโชคดี”ผมหัวเราะชอบใจ ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเสียจู๋ เอ้ย เสียตัวให้กับผู้ชาย รสนิยมของผมเองก็ได้หมดถ้าพึงใจ ผมคงเป็นไบ หญิงก็ได้ ชายยิ่งดี ถึงแม้ว่าช่วงหลังมานี้จะเลือกกินแต่ผู้ชายก็เถอะ ในกรณีของพี่ท็อป ยังดีนะที่ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เพราะผมไม่นิยมแบบ one night stand อย่างน้อยก็เลือก ต้องรู้จักกันซะก่อน

"หึ ๆ คิดว่าจะมีอีกเหรอ”พี่ท็อปหันหน้ามามองทางผม ในความมืดผมมองเห็นรูปหน้าที่เรียวได้สัดส่วน ทรงผมที่เจ้าตัวตัดเป็นประจำคืออันเดอร์คัท คิ้วเรียวดกดำ จัดได้ว่าหล่อ แต่หวนนึกถึงไอ้บอม แฟนเก่าของพี่เขาคนนั้นก็จัดว่าเป็นผู้ชายกร่างๆคนหนึ่ง ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้าของมันนัก เลิกไปได้ก็ดี 

 “...ทำไมล่ะ ได้เค้าแล้วทิ้งเลยหรอ”ผมทำปากยื่น ขยับตัวนอนตะแคงข้าง นอนมองอีกฝ่ายแทน  “อย่าตอแหลน่าไอ้สอง ติดใจนัก มึงก็ไปหาเอากับเด็กๆมึงโน้น”พี่ท็อปยันผมไปให้ห่างตัว

“ผมชักจะถูกใจพี่แล้วสิเนี่ย”ผมยิ้ม

"...มึงอย่ามาล้อเล่นให้มันมาก กูอยู่ในช่วงอกหัก เดี๋ยวก็เกาะไม่ปล่อยแล้วจะหนาว”เจ้าตัวขยับเปลี่ยนท่านอน เอาแขนรองศีรษะไว้ มุมปากมีรอยยิ้มแห่งความเจ้าเล่ห์

“คงได้สนุกมากกว่ามั้งครับ”ผมบอก

“หึ เล่นไม่เลิกนะ เอ้า รีบกลับไปห้องมึงไป กูจะนอน”พี่ท็อปยื่นเท้ามาสะกิดที่ท่อนขาผมแรง ๆ ทำเอาผมลุกขึ้นมนั่ง ย่นคิ้วอย่างขัดใจ

“อ้าว นอนด้วยกันสิครับ อุ่นดี”ผมมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองไปทางอื่น นอนมองฝ้าเพดาน

“ทำไมมึงปากดีแบบนี้วะ ฮึ ระวังเหอะ นอนเตียงเดียวกับกู จะมีผัวไม่รู้ตัวนะ สอง”พี่ท็อปเหลียวหน้ามายกยิ้ม นัยน์ตาสีดำวาบวับในความมืดสลัว ผมหัวเราะ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดแบบนี้ ถ้ามีแรงทำต่อ ผมก็ยินยอมให้ เอ้ย ล้อเล่นหรอก คนเราไม่ควรโลเล ไม่หวั่นไหวกับแรงยั่วยุ

“อย่าเลยพี่ เป็นเมียผมไปแล้ว ก็ไม่มีทางพลิกมาเล่นผมได้หรอกน่า”ผมพูดอย่างจริงจัง ยื่นหน้าเข้าไปมองพี่ท็อปใกล้ๆ และเห็นว่าใบหน้านั้นยิ้มอยู่

“ปากดีจริงๆด้วยแฮะ กูชักอยากจะลองซะแล้วสิ ว่าดีแต่พูดหรือเปล่า”พี่ท็อปพูดช้าๆ มองผมด้วยสายตาแพรวพราว ท่าทางเหมือนเจอของถูกใจ ราวกับผมแป็นของเล่นชิ้นโปรดที่ตามหามานาน

“งั้นก็ยินดีเลยครับ”ผมยิ้มกว้าง ไม่ขัดศรัทธาหรอกเพราะงานนี้ก็มีแต่ได้กับได้  ไอ้ผมมันก็กล้าได้กล้าเสียอยู่แล้วด้วยสิ





REWRITE : 21 /1/2561
BY RindadaRin
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ
เริ่มหัวข้อโดย: Pakbung Mazo ที่ 17-06-2015 23:30:21
เฮ้ยยยยไอ้สองงง ให้พี่เขาเดินสะดวกเถอะน่า 555555555 #รอติดตามนะคะสู้ๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 17-06-2015 23:32:06
มาติดตามเรื่องใหม่
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 17-06-2015 23:37:38
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-06-2015 23:47:11
เริ่มเรื่องมาก็จัดกันซะละ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 18-06-2015 07:17:02
เริ่มมาก้อลักหลับกันซะแระ  :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 18-06-2015 07:22:50
ใช่หรอ นี่คุยอะไรกันเนี่ยยย เค้าเขินนะ :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 18-06-2015 07:44:53
เดี๋ยวนะ เปิดเรื่องมาปุ๊บ ได้กันปั๊บ
 :laugh: ชอบเลย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: Satang_P ที่ 18-06-2015 08:29:12
 :hao6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-06-2015 08:32:59
 :o8:   :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 18-06-2015 08:37:08
แหม..มาท้ากันแบบนี้ เดี๋ยวระวังตำแหน่งจะสลับกันกลายเป็นเมียจริงๆหรอก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 18-06-2015 09:03:33
ฉากแรกก็เรียกเลือดซะแล้ว :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 18-06-2015 11:32:42
รุกไม่ได้ลักหลับนะ แต่เป็นรับแทน คึคึ

เปิดมาก็ร้อนแรงกันซะแล้วว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 18-06-2015 11:36:09
 :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 18-06-2015 11:54:16
เปิดมาก็สูบเลือดเลย
รออออ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 18-06-2015 11:55:39
เห้ย ใจเย็นะไอ้สอง !!!! 5555555555555
ให้พี่เค้าเดินสะดวกเถอะไอ้สอง  555555555555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 18-06-2015 13:17:30
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 18-06-2015 13:33:00
ชอบๆๆ พี่ท๊อปปปปปปป  :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #เริ่มก่อเหตุ #17.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: SheGame ที่ 18-06-2015 16:12:37
โอเคเลยอ่าาาาา ติดตามๆค่ะ :mew1: :mew1: :mew1: :m3: :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 1 สารท้า Rewrite
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 18-06-2015 16:25:38

ตอนที่ 1 สารท้า


รุ่งเช้าหลังจากที่ลุกจากเตียงของพี่ท็อป ผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่เขาเลย คงมีเรียน หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวชุดลำลองเสร็จ ผมเลยมานั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนข้างๆกับอาคารหอพัก พ่นควันมะเร็งออกมาให้ม้วนตัวอยู่ในอากาศให้นานที่สุดและเป็นวง พอใจลอยก็พลอยนึกถึง ‘พี่ท็อป’ นอกจากเป็นเพื่อนข้างห้อง เรียนอยู่ปีสาม เรื่องอื่นๆที่ลึกลงไปกว่านั้น ผมไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ แค่คืนเดียว ไม่ทำให้ผมรู้จักมักจี่เจ้าตัวไปมากกว่านี้ได้ ที่จริงแล้วพี่ท็อปทำผมทึ่งไม่น้อยเลย ไม่นึกว่าหล่อๆแบบนั้นจะชอบออนท็อป

‘อืม สมชื่อแฮะ ครบเครื่องดีจริงๆ จะหาแบบนี้ได้อีกไหม’ ผมเผลอหัวเราะออกมา เหมือนเป็นเรื่องขำขันชั้นดี  ผมดับบุหรี่ทิ้ง แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมามากดหาเบอร์พี่ท็อปก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น ‘OnTop’ แทน จากนั้นก็กระดิกนิ้วชั่งใจรอสักสามวินาทีก่อนที่จะตัดสินใจโทรหาเจ้าของชื่อ

รอสายไม่นานนัก ปลายสายก็กดรับ

[มีอะไร] ปลายสายต้อนรับด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ทำเอาคนฟังอย่างผมย่นหน้าทันที

“ก็แค่คิดถึง เลยโทรหา แล้วนี่ทำอะไรอยู่”ผมชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย 

[หึ ทำไมคืนเดียวหลงพี่แล้วเหรอ] คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ผมหัวเราะชอบใจ เอาไปหนึ่งแต้มสำหรับความเย่อหยิ่งหลงตัวเอง

“ยังก่อนพี่ แล้วนี่ยังเรียนอยู่เหรอ”ผมถามเพราะได้ยินเสียงคนพูดคุยกันเสียงดังเล็ดรอดมาให้ได้ยินแว่วๆ

[เปล่า ทำงาน] อีกฝ่ายตอบกลับมาสั้นๆ ทำเอาเหมือนว่าผมสะเหล่อไปถามเอง  “แล้วคืนนี้พี่กลับมานอนห้องไหม”ผมชวนคุย บ่อยครั้งที่ไม่เห็นพี่เขามาค้างที่ห้องอยู่เหมือนกัน

[ทำไมคิดถึงเตียงกูหรือไง] พี่ท็อปไม่ได้ตอบคำถาม เพียงแค่หัวเราะเบาๆก่อนจะยิงมุกหลงตัวเองอีกดอก แต่ก็ทำให้ผมยกยิ้มออกมา

“หู้ พี่นี่คิดแต่เรื่องบนเตียงนะเนี่ย”

[หึๆ ทำเป็นพูดดีไป ไม่มีธุระอะไรใช่ไหมที่โทรมา]

“โธ่ ไร้เยื่อใย ก็แค่อยากโทรมาหาเฉยๆไม่ได้เหรอไง”

[ไม่ใช่แฟนอย่าสะเหล่อทำแทนสิ]

“อ้าว พี่มีแฟนแล้วเหรอ ทำไมเร็วจัง”ผมใจแป้วลงในทันที ก็ไหนว่าเลิกกันแล้ว

[กูกลับไปคบมันอีกแล้วว่ะ] อ้าว ทั้งๆที่เมื่อคืนยังอยู่กับผมอยู่เลย ทำไมถึงรวดเร็วแบบนี้ อีกฝ่ายทำผมงงไม่น้อย

“พี่แม่งโง่”ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เคยได้ยินพี่ท็อปบ่นเรื่องแฟนให้ฟังหลายครั้งว่า มันกระล่อนปิ้นป้อนแค่ไหน เลิกกันไปหลายรอบ ไม่คิดว่าจะกลับไปตายรังอีก 

[พอๆ เลิกด่าคำนี้ กูโดนมาเยอะแล้ว] คนปลายสายเอ่ยเสียงเอือมระอา

“ก็มันจริงนี่ อยากหาดีๆมาเคาะห้องผมได้ตลอดแหละ”ผมหยอดอีกฝ่าย

[ไปเรื่อยนะ คราวนี้กูแค่ถอนทุนคืนเว้ย กูก็ไม่ได้พันธุ์เดียวกับควายนะ]

“เอาตัวเข้าแลกเลยหรอพี่ การถอนทุนของพี่น่ะ”ผมเลิกคิ้วแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ถอนทุนอะไรกันนะ

[ใครบอกว่ากูจะถอนทุนแบบนั้นกัน...] ฟังจากน้ำเสียงทุ่มต่ำของอีกฝ่ายแล้วท่าทางจะมีแผนการแล้ว พี่ท็อปก็คงไม่ยอมเจ็บแบบฟรีฝ่ายเดียวหรอก

“อะ มีแผนเด็ด บอกผมหน่อย”อยู่ๆก็อยากกินเผือกขึ้นมาซะงั้น

[ทำไมต้องบอก... งั้นแค่นี้นะ บาย] เอ้า ไม่ทันจะอ้าปากออกเสียง คู่สนทนาก็วางสายไปก่อน อะไรกันเนี่ย พี่ท็อปนี่เดาใจยากจริงๆ ผมมองโทรศัพท์ที่ทิ้งประวัติการโทรไว้พร้อมเวลาอย่างใจลอย เมื่อหมดอารมณ์สนุก ผมเดินกลับขึ้นห้องพัก เมื่อเดินมาถึงชั้นสาม ซึ่งเป็นชั้นที่ผมอาศัยอยู่ ก็เห็นว่าห้องตรงข้ามกับผม กำลังขนของย้ายเข้ามาใหม่ ผมชะงักเท้า รู้สึกสงสัยเลยชะเง้อหน้ามองเข้าผ่านบานประตูที่เปิดแง้มเล็กน้อย

‘ผู้หญิงหรือผู้ชายกันนะ’ ผมพยายามมองเข้าไปไม่เห็นเจ้าของห้องแม้แต่เงา เห็นแต่พื้นห้องโล่งๆและเสียงกุกกัก

“เฮ้ย”ผมสะดุ้งเฮือก ร้องตกใจเมื่อบานประตูถูกเปิดออกกว้าง ปรากฏเป็นเจ้าของห้อง ทำเอาผมแทบชนเข้ากับชายรูปร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อคอกลมสีขาวบางๆ กับบ็อกเซอร์สีน้ำเงิน

“เป็นโรคจิตเหรอไง”เจ้าของห้องพูดเสียงราบเรียบ ผมถอยห่างออกมาให้พ้นบริเวณ จากนั้นก็สำรวจใบหน้าของผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง แล้วก็ต้องอุทานในใจว่าคนนี้หน้าตาไม่เลวเลย แถมเป็นหนุ่มแว่นซะด้วย ผู้ชายร่างสูงตรงหน้าผมน่าจะวัยเดียวกัน คงเรียนอยู่ปีสอง ไม่ก็ปีสาม รูปร่างดีเหมือนคนเล่นกีฬา คิ้วเข้มกับตาคมภายใต้กรอบแว่นทรงสี่เหลี่ยมสีฟ้าอ่อนนั่น มีเสน่ห์ไม่น้อย

“เปล่าครับ แค่อยากรู้ว่าผู้ชายหรือหญิง”ผมตอบไปตามจริง เป็นธรรมดาของผมที่ต้องอยากรู้ว่าคนที่อยู่ห้องตรงกันข้ามนั้นเพศไหน

“รู้แล้วจะทำไมล่ะครับ จะจีบหรือไง”อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งออกจะหงุดหงิด ใบหน้าเรียบเฉยอีกต่างหาก ผมมองหน้ามันงงๆกับคำตอบที่ได้ยิน  โคตรหลงตัวเอง ผมหัวเราะลั่นแล้วโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

“ตลกแล้วครับ แค่อยากรู้จักเพื่อนร่วมหอพักก็แค่นั้นเอง ...งั้นผมไม่กวนแล้ว"ผมมองหน้าเขาอีกครั้งก่อนจะถอยทัพกลับไปยังห้องตนเอง แต่ไม่ทันไรเสียงทุ้มก็รั้งผมไว้ซะก่อน“เดี๋ยว...”

ผมหมุนตัวกับไปเผชิญหน้าอีกฝ่าย “เอ่อ ครับ?”

“ขอบุหรี่ตัวสิ หมดพอดีขี้เกียจไปซื้อ”หนุ่มแว่นพูดหน้าตายพร้อมยื่นมือมาทางผม แววตาสีดำสนิทจ้องมองผมนิ่งไม่กระพริบ ทำเอาผมมึนงงไปหลายวิ ไม่คิดว่าเจอกันครั้งแรกแล้วมีหน้ามาขอบุหรี่จากผมอีก คงได้กลิ่นบุหรี่ที่ผมสูบไปก่อนหน้านั้นล่ะมั้ง

“อ้อ ได้ๆ”ผมล้วงยื่นซองบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงออกไปให้ ในนั้นเหลืออยู่สองมวน อีกฝ่ายรับไปก่อนจะมองข้างในซองแล้วหยิบกระเป๋าเงินออกมา

“ไม่คิด--/ ไม่ต้องทอน”ผมเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะหยิบเงิน ก็รีบพูดทันที แต่ไอ้แว่นนั่นพูดแทรกก่อนแล้วยัดเงินใส่มือผม จากนั้นก็กระแทกประตูปิดใส่หน้าผมดังปัง

อะไรกัน ทำเป็นอวดรวย แม่งให้แบงค์ 500 ผมมาด้วย บุหรี่แค่สองมวนเองนะ ผมคว้าเงินที่ปลิวหล่นมาเก็บไว้ แต่ก็เอาเถอะ ให้ก็เอาวะ ตอนนี้กำลังจนเลย ผมส่ายหน้า แต่มีรอยยิ้ม ก่อนเดินกลับเข้ามาที่ห้องตัวเอง ยังไม่ได้ฤกษ์ทำความสะอาดห้องสักที กลายเป็นว่าห้องนอนไม่ต่างจากห้องเก็บของสักเท่าไหร่ ผมใช้ขากวาดกองขยะ พวกกระดาษร้อยปอนด์ โฟมและพวกถุงขนม กระป๋องเบียร์ที่เกะกะขวางทางเดินไปสุมกันไว้ริมห้อง นี่สินะที่เขาเรียกว่า ที่ซุกหัวนอนของแท้

ผมคว้ากระเป๋าสะพายเตรียมตัวไปคณะ เพราะส่วนใหญ่หากว่างก็ใช้เวลาอยู่ที่ห้องเพ้นท์ของชั้นปีเป็นประจำ


เมื่อผมขับรถมอเตอร์ไซด์จากหอพักมาถึงคณะแล้ว ก็ตรงดิ่งไปยังห้องเพ้นท์ชั้นล่างใต้โถงตึกภาควิชา ภายในห้องมีเพื่อนร่วมสาขาอยู่ไม่ถึงสิบคน ในจำนวนนั้นมีเพื่อนสนิทของผมอยู่สองคน ทักทายกันไม่นานผมก็กลับไปประจำที่บล็อกของตนเอง ที่ขึงผ้าแคนวาสไว้เรียบร้อย สำหรับวิชาเพ้นท์เบื้องต้น หลังจากเสร็จสิ้นจากการลงแบ็คกราวด์เฟรมรูปไปเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ไม่อยู่คุม ปล่อยให้ทำงานไป แค่มีงานมาส่งให้ทันเวลาก็พอ

“มึงว่าพี่ท็อป เขาเป็นรุกหรือรับวะ”ไอ้ผิง ผู้ชายสูงผิวขาวเหลือง หัวเกรียนระเบิดหูไว้เล็ก ๆ ไม่เป็นที่น่ารังเกียจมากนัก ได้เอ่ยชื่อที่ทำผมสั่นสะท้านมาแล้วเมื่อคืน

“กูว่าอย่างพี่ท็อปนะ ต้องเป็นฝ่ายทำมากกว่า หล่อๆแบบนั้นจะโดนเอาให้เสียของทำไม”เสียงสูงของไอ้โก๋ดังต่อทันทีที่ไอ้ผิงพูดจบ มันกระแอมไอทำท่าเหมือนรู้ดี ผมหัวเราะในใจ ไม่รู้อะไรซะแล้วพวกมึง ก็เพราะไม่อยากเสียของน่ะสิเลยต้องรุกเข้าใส่เพื่อเป็นรับน่ะ แต่ของแบบนี้มันตายตัวซะทีไหน ยิ่งแมนๆอย่างพี่ท็อปด้วยแล้ว ดูไม่ออกเลยว่าจะแนวไหน

“แล้วมึงสองตัวรู้จักพี่ท็อปด้วยเหรอวะ”ผมถาม นั่งฟังมาตั้งนานหัวข้อสนทนาก็มีแต่เรื่องนี้ เพื่อนสองคนหันมามองผมแล้วส่ายหน้า

“ก็เพิ่งรู้จักไม่นานเอง ไม่รู้อะไรซะแล้วมึง มึงก็รู้จักเฮียแกนใช่ไหมวะ”ผมพยักหน้า ใครบ้างจะไม่รู้จักเฮียแกน รุ่นพี่คนเก่งประจำภาควิชา เซอร์ได้ใจ ผมหยักศกยาวประบ่า มีไรหนวดนิดหน่อย สูงชะรูดขูดเสา หน้าออกฝรั่งหน่อยโดยเฉพาะจมูก พอฟังแบบนี้แล้ว คงเรื่องอะไรกับพี่ท็อปหรือไง ผมสนใจขึ้นมาทันที “เล่าต่อสิ”

“เฮียแกนน่ะสิ ท้าพี่ท็อปชกที่ค่ายเฮียอ๋อง ได้ยินเฮียแกนประกาศว่าจะน็อคพี่ท็อปให้ได้เย็นนี้ด้วย”ไอ้โก๋ตบมือเข้าหากันระหว่างที่พูด

“ว่าไงนะ”ผมตกใจ อย่างพี่ท็อปเนี่ยนะชกมวย  นั่นมันมวยคนล่ะรุ่น กระดูกคนละเบอร์เลยนี่หว่า ทำไมเฮียแกนถึงท้าพี่ท็อปได้  อีกอย่างขึ้นชกเย็นนี้ด้วย ผมหยิบนาฬิกาแบบโบราณที่เป็นเหมือนสร้อคอออกมาดูเวลา เข็มชี้ไปที่เลขห้า ผมเงยหน้ามองเพื่อนทั้งสองคน

“เออ เรื่องนี้ ลับนะเว้ย เห็นว่ามีลงขันกันด้วยว่ะ”ผมพยักหน้า ก็เหมือนพนันว่างั้นเหอะ “มึงลงข้างใคร”ไอ้ผิงถามผม แต่ไอ้โก๋รีบตอบขึ้นมาแทน

“มันก็แน่อยู่แล้วดิ ก็ต้องเฮียแกนร้อยล้านเปอร์เซ็นต์ เพื่อนเฮียแกแม่งมาเกทับด้วยนะโดยเฉพาะปีเรา”ผมเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เห็นด้วย ปัญหาเกิดที่ตัวเองหรือเปล่า แล้วจะมาดึงรุ่นน้องในภาควิชาไปเกี่ยวอีก คนอื่นเขายิ่งมองคณะพวกผมไม่ดีอยู่ ยังจะไปซ้ำเติมเหยียบย่ำอีก

“แต่ยังทำไงได้วะ”ไอ้โก๋ใส่อารมณ์แล้วส่ายหัว

“ดวลกันตอนไหนวะ นี่ก็เย็นแล้ว”ผมถาม “หนึ่งทุ่ม หรือไม่ก็เร็วกว่านั้น”ไอ้ผิงตอบ ผมขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจ พี่ท็อปปิดเงียบเลย
ทั้งๆที่จะใส่นวมขึ้นสังเวียนกับรุ่นพี่ผมแท้ ๆ โธ่ อีกฝ่ายจะเป็นกระสอบทรายให้เฮียแกนจัดการน็อคหรือไงกัน ผมเดินแยกมาจากพวกมันแล้วโทศัพท์หาพี่ท็อป

รอสายอยู่นาน จนมันตัดไปสองรอบ แต่ผมก็ตื้อโทรจิกต่อไปเรื่อยๆ

[มีอะไร] คู่สนทนารับสายด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไม่เห็นรู้เลยว่าจะดวลกับเฮียแกน”ผมตอบกลับไป ที่ปลายสายถอนหายใจเหมือนเซ็ง

[ แล้วไง... มึงจะมาเป็นพี่เลี้ยงกูเหรอ]

“อ้าว ได้จริงเหรอ ผมไปแน่ๆ ถ้าพี่ต้องการ”ผมบอก ปลายสายหัวเราะ น้ำเสียงสดใส แต่ผมพูดจริงนั่นแหละ เฮียแกนเขาเป็นมวยอยู่แล้ว เชิงมวยไม่ต้องพูดถึง ส่วนพี่ท็อปก็หุ่นใช้ได้อยู่หรอก แต่จะไปสู้กับที่คนเคยผ่านสังเวียนจริงมาแล้วไหวได้ยังไง

[มาสิ ไม่กลัวผิดใจกับพี่มึงหรือไง]

“นึกว่าเรื่องอะไร สิวๆครับ เดี๋ยวผมหอบยาดมยาหอมไปให้ถึงที่เลย เอาน้ำมันมวยไหม”ผมหัวเราะ ถ้าเป็นพี่เลี้ยงข้างสังเวียนให้พี่ท็อปได้ ผมก็เตรียมพร้อมอยู่แล้ว

[ไอ้สอง ซีเรียสนะ ถ้าจะมาก็รีบมาให้ไวเลย เร็วเข้า กูรออยู่ค่ายเฮียอ๋องแล้ว]

“โอเคพี่ เดี๋ยวไป”ผมวางสายแล้วเดินไปหาเพื่อนทั้งสอง

แต่เมื่อกี้ก็ลืมถามเจ้าตัวไปเลยที่ท้าชกกันด้วยเรื่องอะไร เรื่องผู้หญิง? ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งเป็นผู้ชาย? ก็ไม่มีทางหรอก เฮียแกนดูท่าทางไม่ใช่พวกนิยมพวกเดียวกันด้วย แต่คงจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่นอน

“แล้วนี่มึงสองคนไม่รีบไปค่ายมวยเหรอ”ผมมองมันงงๆ เห็นนั่งดูดบุหรี่สบายใจไม่รีบร้อน ไหนว่าโดนเกณฑ์ให้ไปข่มพี่ท็อปกัน

“ยังหรอก แล้วมึงลงข้างใคร”ไอ้ผิงถามผมอีกครั้ง “เดี๋ยวก็รู้น่า"ผมแค่ยิ้มแล้วนึกถึงหน้าของพี่ท็อป เป็นใครๆก็ต้องลงข้างเมี—เอ้ย พี่ชายข้างห้องอยู่แล้วล่ะ 

ผมละจากไอ้ผิงกับโก๋ รีบวิ่งไปที่โรงจอดรถ คว้าคาวาซากิคู่ใจเสียบกุญแจ สตาร์ทเครื่องออกจากคณะไป มุ่งสู่ทางออกประตูสี่ข้างมหา’ลัย แล้วแวะซื้อยาหอมติดมือมาด้วย ไม่รู้ว่าทางพี่ท็อปจะเตรียมอะไรมาบ้าง อีกอย่างพี่ท็อปจะทาน้ำมันนวดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผ่านไปไม่นานผมก็มาถึงที่ค่ายมวย ถึงจะเรียกว่าเป็นค่ายมวยแต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นค่ายใหญ่นัก เหมือนโรงยิมแบบเปิด ที่โถงกว้างเห็นมีกลุ่มคนห้าสิบกว่าคนกำลังจับกลุ่มกัน โดยส่วนใหญ่คนที่มาเล่นในยิมเฮียอ๋องมาจากเด็กมหา’ลัยแห่งนี้กันทั้งนั้น ผมจอดรถ ก่อนจะเดินเข้าไปในลานซ้อม มีเบาะปูรองพื้น สังเวียนมวยสี่ตัวเรียงติดกัน พร้อมกับกระสอบทรายที่ห้อยเรียงเป็นแถวแยกไปทางด้านหลัง

 “เฮ้ย ไอ้สอง มึงมานี่เลย”พี่จิว หนึ่งในกลุ่มของเฮียแกนเรียก และคว้าตัวผมไว้ได้ จากนั้นก็ลากเข้าไปในกลุ่มเด็กสาขาทัศนะศิลป์ฯมีรุ่นเดียวกับผมและปีสามประปราย ผมมองไปทางฝั่งตรงข้ามเห็นว่าพวกวิศวะเป็นกลุ่มเล็กๆ พี่ท็อปยืนอยู่ตรงนั้นกับกลุ่มเพื่อนของเขา กำลังเตรียมพร้อมใส่กางเกงมวยแล้วด้วย ยืนโชว์รูปร่างที่มีกล้ามเนื้อให้เห็น อย่างน้อยก็มีแพค พี่เขาหันมามองผมแวบเดียว จากนั้นก็ก้มหน้าพันผ้าที่มือตัวเองต่อ

“เฮ้ย ปล่อยผมก่อนดิ จะไปหาเพื่อน”ผมบอกแล้วดิ้นให้หลุดจากพี่จิว อีกฝ่ายที่ทำหน้างง เพราะเฮียแกนกำลังวอร์มร่างกายอยู่ เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วใส่นวมสีแดงสีเดียวกับกางเกง รวบผมไว้ด้านหลังเรียบร้อย

“จะไปไหน อีกเดี๋ยวก็จะชกแล้ว ไหนพวกไอ้ผิงอ่ะ ไม่เห็นหน้ามันเลย”

“ไม่รู้สิพี่ ไม่ได้มาด้วยกัน”ผมตอบอย่างอารมณ์ไม่ดี แล้วเดินเบียดผ่านกลุ่มคน ไปหาฝั่งพี่ท็อป อีกฟากหนึงของสังเวียนมวย พี่ท็อปและกลุ่มเพื่อนสามสี่คนกำลังยืนล้อมกันอยู่ ผมโบกมือร้องเรียก

“พี่ท็อป ผมมาแล้วครับ”ผมเดินแทรกตัวผ่านเพื่อนของพี่ท็อป  พวกนั้นมองผมเป็นตาเดียว ส่วนพี่ท็อปเงยหน้ามองผมก่อนจะพยักหน้ามาให้เป็นเชิงทักทาย ผมรีบแจกยิ้มให้เพื่อนพี่ท็อป เพราะเริ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้ามองผมอย่างสงสัยว่าเด็กนี่มาทำอะไรตรงนี้

“โคตรเท่อ่ะ งานนี้น็อคไม่น็อคครับ”ผมพูดติดขำ เหลือบมองอีกฝ่ายที่กำลังยืนพันผ้าสีขาวอยู่อย่างทุลักทุเลเพราะเป็นมือข้างที่ไม่ถนัด ไม่ยอมให้เพื่อนมาช่วยอีกแรง “ไอ้นี่หนิ อย่างกูนะ ไม่เสมอ ก็ชนะ”เจ้าตัวพูดเจือหัวเราะ ยังบอกว่ามีเสมอ แสดงว่าเตรียมใจมาแล้วล่ะสิ

“มา เดี๋ยวผมทำให้”ผมบอกแล้วเข้าไปช่วย เจ้าตัวยื่นมือมาหา ผมจับผ้าไว้แล้วสอดไปข้างใต้พันรอบมือไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนผมก็พอมีประสบการณ์ได้เรียนชกมวยกับพ่อบ้าง แต่ไม่ได้เก่งกาจ แค่เล่นสนุกมากกว่า พี่ท็อปยิ้มมุมปากเหมือนพอใจ 

“เด็กนี่ ใครวะท็อป”มีเพื่อนคนหนึงเอ่ยถาม ขยับเข้ามามองผมกับพี่ท็อปอย่างสงสัย

“ก็แค่เด็กข้างห้อง ชื่อสอง เรียนศิลปกรรมฯ”พอเจ้าตัวพูดจบ สามสี่คนนั้นก็จ้องผมเขม็งเหมือนไม่วางใจ

“น่าๆ นี่มันน้องกูเอง”พี่ท็อปเอ่ยปรามเพื่อนของตัวเองด้วยใบหน้าฉาบรอยยิ้ม ผมมองอีกฝ่ายอยู่นาน  “แค่น้องเองเหรอ”ผมพูดด้วยรอยยิ้ม

“หุบปาก แล้วพันผ้าเร็วๆเข้า”พี่ท็อปหันมาสั่ง ทำเอาผมหัวเราะ ก่อนจะลอบมองหน้าพี่ท็อปอยู่หลายครั้ง พลางคิดอยู่ในใจว่า ถ้าหากใบหน้านี้ถูกทำใฟ้ฟกช้ำดำเขียวคงน่าเสียดาย 

“แล้วทำไมพี่ถึงรับคำท้าเฮียแกนล่ะ มีเรื่องอะไรเหรอ บอกได้หรือเปล่าครับ”ผมลองถาม

“หึ ก็ไม่มีอะไรมาก คนมันจะต่อยกัน ต้องมีเรื่องอะไรมากมาย นอกจากเกลียดขี้หน้า”พี่ท็อปยังไม่ยอมตอบมาตรงๆ ผมย่นคิ้ว ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ก็นะ...ไอ้ผมมันก็แค่เด็กข้างห้อง”ผมพึมพำ อีกฝ่ายหัวเราะ ยื่นมือมาผลักศีรษะผมเบาๆ

“ไอ้แกนน่ะ เป็นอริเก่ากูเองนั่นแหละ มีเรื่องที่เคลียร์ไม่ลงนิดหน่อย”พี่ท็อปพูด ฟังแล้วเหมือนมีความแข็งกร้าวอยู่ในเนื้อเสียง ผมขมวดคิ้วสงสัยว่าทำไมไม่ไปตีกันข้างนอกเลยนะมาชกกันบนสังเวียนเพื่ออะไร ไม่ใช่กีฬาซะหน่อย

“แล้วพี่จะไหวไหมเนี่ย”ผมมอง เจ้าตัวไหวไหล่เบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ “กูเคยชกมาบ้าง แต่ก็นานมาแล้ว”ผมเลิกคิ้วมองแต่ดูจากท่าทีของพี่ท็อป เหมือนไม่ได้ซีเรียสอะไรมากมาย ส่วนเพื่อนของพี่ท็อปก็มาเชียร์ปกติ และไม่ได้มีรุ่นน้องมามากมายด้วย เหมือนแค่รู้กันแค่กลุ่มเพื่อนสนิท

“สนิมไม่ขึ้นแล้วหรือไงวะ”เพื่อนพี่ท็อปเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา เมื่อพันผ้าเสร็จแล้ว ก็ใส่นวมสีน้ำเงินทั้งสองข้าง “ระวังไว้บ้างนะ ไอ้แกนมันเป็นมวย”เพื่อนคนนั้นพูด ท่าทางเหมือนเจ้าสำอาง เพราะผิวขาว รูปร่างไม่หนาเท่าไหร่ พี่ท็อปเบ้ปากก่อนจะแกว่งแขนไปมาเพื่อยืดกล้ามเนื้อ 

“อันที่จริง พี่ก็ไม่อยากให้มันขึ้นชกหรอก”พี่คนนั้นหันมาพูดกับผมอีกที จากนั้นเลยได้คุยกันสองสามประโยค เพื่อนพี่ท็อปคนนี้ชื่อธาม ส่วนสามคนที่เหลือ ผมฟังผ่านๆหู อย่างไม่คิดอะไรมาก 

“ไอ้สอง แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร”พี่ท็อปเดินมาหา ก่อนจะพยักพเยิดไปทางเวทีมวยที่อยู่ทางด้านหลังผม เลยหมุนตัวไปมองตาม ก็เห็นว่าเฮียแกนขึ้นมายืนบนสังเวียนแล้ว กำลังเท้าแขนกับเชือกเวทีมองลงมาหาผมอยู่

“เฮ้ย ไอ้สอง!”เสียงเข้มของเฮียแกนตะโกนเรียก “มีอะไรเหรอเฮีย” ผมตอบกลับอย่างซื่อ ๆ กลบเกลื่อนการมาสุงสิงกับพี่ท็อปแบบหน้าตาเฉย เฮียแกนจ้องผม 

“ไปทำอะไรตรงนั้น มาอยู่กับพวกกูนี่”เฮียแกนสั่ง ท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ผมเกาศีรษะ เหลียวมองพี่ท็อปก่อนจะเดินไปคุยกับเฮียแกนใกล้ๆ 

“คือผมมาเป็นพี่เลี้ยงให้พี่ท็อปน่ะ”ผมตอบ เฮียแกนแค่มองหน้าผม จากนั้นก็เหลือบมองพี่ท็อป ก่อนจะถอยกลับไปยืนที่มุมของตนเอง

พี่ท็อปเดินมาที่สังเวียนมวย ขยิบตาให้ผมก่อนจะรีบปีนขึ้นไปบนเวที แล้วลอดเชือกเข้าไปด้านในสังเวียน พี่ธามขยับมาดูใกล้ๆเวที  ตอนนี้เองผมถึงรู้ว่าชกแบบไม่มีกรรมการเสียด้วย แบบนี้ต่างอะไรจากการดาหน้าต่อยกันให้ล้มไปข้างหนึ่งล่ะ

“นี่พี่ครับ เค้ามีเรื่องอะไรกันเหรอ”ผมหันไปถามเพื่อนพี่ท็อป เขาหันมองผม สายตาอ่านได้ว่าเสือก “ไม่ต้องรู้หรอกน่า”
จบครับ ไม่ตอบ ผมไม่อยากรู้ก็ได้ ไว้ค่อยตามสืบเอาทีหลัง ก็ไม่น่ายากอะไร เมื่อพร้อมกันทั้งสองฝ่าย จึงมีสัญญาณจากเฮียอ๋องที่ยืนดูอยู่ข้างเวทีมวย จากนั้นการชกก็ได้เริ่มต้นขึ้น ชกครั้งนี้เป็นการชกแบบไม่มีพัก ยาวจนกว่าไม่ใครก็ใคร จะล้มลงก่อน ผมแอบกลัวนิดหน่อย กลัวว่าพี่ท็อปจะโดนน็อคเข้าจริงๆ

เฮียแกนเริ่มเดินเข้าใส่พี่ท็อปทันที ปล่อยหมัดซ้ายหมัดขวาเป็นว่าเล่น ยังดีที่พี่ท็อปยังการ์ดไม่ตก เสียงเชียร์จากเพื่อนพี่ท็อปดังลั่นอยู่ข้างๆผม แต่ก็ต้องแพ้ให้กับเสียงเฮจากเด็กสาขาผม เมื่อเฮียแกนชกโดนเป้าสำคัญๆอย่างที่ใบหน้า หรือไม่ก็ศอกใส่ เฮียแกนก็โหด ไม่ยอมอ่อนให้ อีกฝ่ายเอาจริงเสียด้วย

‘ระบมไปหมดแล้วพี่ชายผม’ ผมเบ้หน้าทันทีเมื่อหมัดซ้ายโดนเข้ากลางลำตัวของพี่ท็อป ผ่านไปสิบนาที เจ้าตัวยังไม่ล้ม แม้จะโดนบุกใส่ไม่เว้นช่วง เพราะสกิลการหลบ แม้จะผ่อนแรงลงเยอะ แต่ก็ถือว่าหลบได้เก่ง เฮียแกนก็ไม่ปล่อยให้มีช่องว่าง การ์ดไม่ตก ฟุตเวิร์คสุดยอดขยับไปมาอยู่ตลอด ไม่ให้พี่ท็อปสามารถหาจังหวะสวนด้วยหมัดฮุกขวาข้างถนัดได้

 “พี่ท็อปสู้ๆ”ผมตะโกนเชียร์ เห็นพี่ท็อปยิ้มได้ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง พี่ธามเหลียวมองผมนิ่งๆ บนเวทีมวย พี่ท็อปเดินหน้าแลกหมัดกับเฮียแกนเต็มที่จนถอยร่นไปติดมุม เจ้าตัวปล่อยหมัดขวาได้สำเร็จ โดนไปเข้าที่ใบหน้าด้านซ้ายของเฮียแกนเต็มๆ แต่ก็ถูกตอบโต้ด้วยศอกของเฮียแกนไป คราวนี้หลบไม่ทัน เลยได้เลือด ปรากฏว่าคิ้วแตก หยดเลือดสีแดงเริ่มไหลลงมาเป็นทาง อาบข้างแก้ม พี่ท็อปยกแขนมาเช็ดเลือด 

“พี่ท็อป!”ผมตกใจ เฮียกะจะเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยหรือไง เอาเข้าจริงแล้ว จากเชิงมวยของเฮียแกนก็ชนะขาด แต่ที่พี่ท็อปรับคำท้าขึ้นชกด้วยก็เพราะไม่อยากเสียศักศรีดิ์ เพราะโดนท้าซะขนาดนั้น

‘...หรือมีเรื่องหนักหนาสาหัสกันจริงๆ’ผมปีนขึ้นไปที่เวทีมวย พี่ธามเพื่อนของพี่ท็อปไม่ทันจะห้าม ผมก็ยืนเกาะเชือกไว้แน่น มองเฮียแกนที่หยุดการชกไป

“อะไรของมึง ไอ้สอง”พี่ท็อปเดินเข้ามาถาม เลือดยังไหลไม่หยุด ผมไม่สนใจคนในยิม

“ดูหน้าพี่สิ ช้ำไปหมดแล้ว ผมว่าพอเหอะ ยอมแพ้ ...เดี๋ยวได้ตายกันพอดี”ผมพูดห้วนๆ ในใจเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมา  เหลือบมองหางคิ้วที่เป็นแผลเปิด สงสัยต้องมีเย็บกันบ้าง

“เฮ้ย มึงยุ่งอะไรด้วย พวกกูตกลงกันแล้ว มึงลงไป กูจะชกต่อ”เฮียแกนเดินมาพูดกับผมท่าทางเอาเรื่อง พี่ท็อปจ้องผมไม่วางตา

“เฮียก็เกินไป ท้าพี่ท็อปชก ทั้งๆที่เชิงมวยเฮียก็เหนือกว่า ยังจะดีใจได้อีกหรือไง”ผมพูดเสียงดัง ถึงจะเป็นการทำลายหน้าตาเฮียไปบ้าง แต่บางอย่งที่อีกฝ่ายทำก็ไม่ได้เป็นเรื่องดี

“มันไม่เกี่ยวกับมึง ลงไป!”เฮียแกนตะคอกใส่ ผมเองก็ไม่ค่อยสนิทกับเฮียเท่าไหร่ แค่อยู่สาขาเดียวกับผม เคยเจอตามกิจกรรมของคณะ เป็นคนที่เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชื่นชม และเกรงอกเกรงใจกันทั้งคณะ เพราะเป็นคนเลือดกิจกรรมสูง เรียนก็ดี ไม่แปลกเลยที่ได้รับการยอมรับ

 “ไอ้สองลงไป”พี่ท็อปพูดเสียงเข้ม ผมลังเลใจอยู่บ้าง ถ้าเพื่อนผมมาทำแบบนี้ ผมก็คงมาห้ามเหมือนกัน และไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวให้เป็นพระเอกอะไรพวกนั้นหรอก แต่แบบนี้มันเสี่ยงอันตรายมากกว่า พอได้หนึ่งแผล แผลสองก็คงตามมาแน่ๆ ไม่อยากนึกว่าตอนที่หน้าพี่ท็อปแหกมันจะออกมาเลวร้ายแค่ไหน เฮียแกนก็ไม่ยอมหยุดมือด้วย

“ไม่พี่...จนกว่าจะยกเลิกการชกนี่ไปซะ ทำไมไม่ไปตีกันข้างนอก แบบนั้นแฟร์กว่าอีก”

“ไอ้สอง!”เฮียแกนตวาดใส่ ทั้งโรงยิมเหมือนจะเงียบไป ผมหันไปมองหน้าพี่ท็อปแล้วก็มั่นใจว่าต้องหยุดการชกไปก่อน  “ผมต้องยุ่งดิเฮีย เพราะนี่น่ะ...”ผมอาจขอเฮียให้หยุดชกได้ ถ้าหากอ้างว่าพี่ท็อปเป็นแฟนผม ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร

“ไอ้สอง”พี่ท็อปปราม นอกจากกลุ่มเพื่อนพี่ท็อปแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าพี่ท็อปเป็นเกย์

“อะไร ทำไมมึงต้องมาปกป้องมันด้วย ...มึงทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าหักหน้ากู”เฮียแกนพูดผลักผมแรง ๆ จนเกือบตกเวที แต่ผมคว้าเชือกไว้แน่น

“เอ่อ...ผมก็ลำบากใจนะเฮีย... ผมนับถือเฮีย แต่แฟนก็ส่วนแฟน”ผมตอบกลับไปเสียงดังให้พวกที่อยู่ด้านล่างได้ยินกัน มีเสียงฮือฮาดังขึ้นทีละนิด พี่ท็อปหันมองหน้าผมนิ่ง

“นี่มึง...”เฮียแกนมองหน้าผม แล้วหันไปมองหน้าพี่ท็อปด้วยสายตาเหลือเชื่อ ก่อนจะแยกยิ้มก่อนจะหัวเราะเยาะ

“ขำเชี่ยอะไร”พี่ท็อปพูดกับเฮียแกน “มึงสองคนเนี่ยนะ... หึๆ มึงจะบอกว่ามึงทนไม่ได้ที่ ผัว เอ้ย หรือเมียมึงเจ็บตัวงั้นสิ”เฮียแกนหันมาหาเรื่องผมแทน เหมือนโดนต่อยด้วยหมัดฮุกหนักๆ ผมหน้าชาไปซีกเดียว หน้าหดเหลือสองนิ้ว ได้ฟังแบบนี้แล้วก็กระดากใจ

“ครับเฮีย จะให้ผมชกแทนได้ไหมล่ะ”ผมบอก พี่ท็อปทำหน้ายุ่งยาก ก่อนจะเข้ามาจับแขนผมไว้แน่น “เฮ้ย สอง เงียบเถอะ”

“ตลกน่า มันเป็นเรื่องของกูกับไอ้ท็อป ไม่เกี่ยวกับมึง”เฮียแกนไม่ยอม ผมเงียบไป

“แล้วไง ถ้าพี่ท็อปยอมแพ้ก็พอแล้ว ชกไปยังไงเฮียก็ต้องชนะอยู่ดี แค่เอาสะใจเหรอไง ถ้าน็อคพี่ท็อปได้น่ะ”ผมส่ายหน้า ไม่รู้ว่าสองคนนี้มีปัญหาอะไรกัน บ้าหรือเปล่า น็อคคนไม่เป็นมวยเนี่ยนะ

 “...มึงจะไม่ยอมง่ายๆใช่ไหมวะ”เฮียแกนมองผมนิ่งๆ 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 18-06-2015 16:27:41
“ใช่เฮีย”ผมยืนยัน เฮียแกนส่ายหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ “หึๆ มึงมันโง่ไอ้สอง...เออ ก็ได้ ไอ้ท็อปมันยอมแพ้ในครั้งนี้ แต่ครั้งหน้า กูจะไม่หยุดแน่ๆ”ผมมึนงง มองเฮียแกนเดินกลับลงจากเวทีมวยไปง่ายๆ อีกฝ่ายยอมง่ายแบบนี้เลยเหรอ

“สรุปคือจบแล้วใช่ไหม”พี่ท็อปตะโกนถามเฮียแกน คนโดนถามหยุดชะงัก

“เออ แต่มึงกับกูยังต้องเจอกันอีกนาน... โชคดีที่มึงได้...เมีย มาช่วยชีวิตไว้”เฮียแกนพูด จ้องหน้าผมแล้วเดินผ่านกลุ่มเพื่อนของตัวเองเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อ ทำเอาผมแทบทรุด เมียงั้นเหรอ ผมจะอ้าปากพูดแต่มีเสียงซุบซิบจากเพื่อนพี่ท็อปลั่น

“ใครว่า— เฮ้ย”ไม่ทันจะได้ปฏิเสธ พี่ท็อปเดินเข้ามาใกล้ ยื่นหน้ามาประกบปากผม ท่ามกลางสายตาของคนอื่น ผมอึ้งไป รู้ตัวอีกทีพี่ท็อปถอยห่างจากผมไป สีหน้ายิ้มแย้ม แววตาดูสนุกสนาน ผมจับปากเพราะเห็นว่ามีอะไรเปียกเปื้อน มองที่นิ้วมือ มือเลือดติดอยู่

“กูบอกแล้วไง ปากดีอย่างมึงต้องพิสูจน์ซะหน่อย”พี่ท็อปพูดกับผม

ผมเลียปากตัวเอง ถือว่าเป็นจูบที่มีรสเลือดด้วย

 “เล่นแบบนี้เเลยหรอพี่”ผมแค่หัวเราะ ปล่อยให้พี่ท็อปดีใจไปก่อนเถอะ ขี้เกียจจะตอบโต้ด้วย เมื่อเหตุการณ์สงบลง ผมพยุงพี่ท็อปลงจากเวทีมวย แล้วยังต้องถูกเพื่อนพี่ท็อปมารุมล้อม ถามคำถามร้อยแปดอีก

“อะไรวะ แล้วมาทำมึนบอกว่าน้อง”พี่ธามพูดกับพี่ท็อป สีหน้าชื่นชมกับเหตุการณ์เมื่อครู่

“ถึงมึงจะแพ้ แต่กูก็เตรียมใจแล้ว... ไม่คิดว่าจะเปิดตัวแบบนี้นะไอ้ท็อป”ใครสักคนพูด

ระหว่างที่พาพี่ท็อปกลับไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อ ก็เจอเข้ากับไอ้ผิง และไอ้โก๋พอดี มันทำหน้าตื่นตระหนกดึงแขนผมมาคุยด้วย

“เพื่อนเลว แอบไปมีผัวตอนไหนได้วะเนี่ย”ไอ้ผิงยื่นมือมาผลักผมแรง ๆ ด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ ผมส่ายหน้า ดูเหมือนผมจะตกเป็นฝ่ายเสียหาย

“ตลกแล้ว กูเป็นผัวพี่ท็อปมั้ง”ผมรีบพูดแข่งกับเสียงรอบตัวที่ดังเหมือนผึ้งแตกรัง

“ไอ้นี่ เค้าก็ได้ยินกันทั้งยิม เห็นไหม”ไอ้โก๋ว่า

“เฮ้ย ไอ้พวกนี้ มึงไม่เชื่อกูเหรอไง”ผมบอกเสียงอ่อนระโหย

“ไม่”มันสองคนพร้อมใจกันตอบ ไอ้เพื่อนเวรเอ้ย แต่ผมไม่อยากเถียงเพราะพี่ท็อปเดินไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องแต่งตัวของยิม ผมรีบตามไปทันที เมื่อเดินเข้าไปด้านในห้อง มีล็อกเกอร์อยู่ริมห้อง เจ้าตัวนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวยาว กำลังนั่งส่องกระจกเล็กๆในมือ ถือผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไว้ด้วย เพื่อนพี่ท็อปกำลังหยิบเสื้อลำลองของพี่ท็อปมาให้ ผมรับมถือไว้ก่อนจะจับแขนเจ้าตัวไว้

“ไปหาหมอเลย เร็วเข้าเหอะ”ผมบอกก่อนจะมองแผลที่เหนือคิ้ว ยาวหลายซ.ม. พี่ท็อปซับเลือดด้วยผ้าขนหนูแล้วหันมายิ้มให้ผม

“โอเคน่า.. มึงนี่เหนือความคาดหมายจริงๆ”พี่ท็อปหัวเราะ แล้วบอกให้เพื่อนไปรอด้านนอก ผมไม่สนใจสายตาที่ล้อเลียนผมกับพี่ท็อป จนพวกนั้นเดินหายออกไป พี่ท็อปก่อนจะลุกขึ้นยืน ถอดกางเกงเปลี่ยนชุดต่อหน้าผมอย่างไม่กระดากอาย ผมเองก็เพิ่งได้เห็นแบบชัดเต็มตาก็คราวนี้

“มองอะไร เดี๋ยวคืนนี้ให้มองนานๆเลย”พี่ท็อปพูดทีเล่นทีจริงส่งยิ้มให้ แต่ผมนี่คิดลึกไปถึงไหนต่อไหน

“ได้เลยพี่ ...เออ ไหนว่ากลับไปคบกับไอ้คนเก่าของพี่ไง”ผมขมวดคิ้วมอง มาพูดจาหมาหยอกไก่แบบนี้ ก็ไม่โสดซะหน่อย

“ก็แค่คบ แล้วไงวะ กูไม่ได้ชอบมันแล้ว กูแค่หาทางเอาคืนนิดๆหน่อย”พี่ท็อปพูดอย่างไม่ใส่ใจ ยังคงมีรอยยิ้ม เอาคืนแบบไหนกัน ระหว่างนั้นผมพาพี่ท็อปไปโรงพยาบาลในมหา’ลัยเพราะว่าอยู่ใกล้ที่สุดแล้ว และอยากที่คาดไว้ว่าพี่ท็อปโดนเย็บไปสี่เข็ม นอกนั้นก็ได้ยาแก้อักเสบแก้ปวดมาชุดใหญ่ ในเมื่อมีผมดูแล เพื่อนๆพี่เขาก็แยกย้ายกันกลับ จากนั้นพี่ท็อปก็ซ้อนรถมอเตอร์ไซด์

ผมกลับมาที่หอพัก พอมาถึงห้องพักของพี่ท็อป เจ้าตัวเดินไปนั่งลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง ท่าทางระบมช้ำไปทั้งตัว อาการปวดก็คงเริ่มออกอาการ ผมเดินเข้าไปสำรวจบาดแผลฟกช้ำบนใบหน้าพี่ท็อป

“หน้าช้ำ เสียหล่อหมด”ผมพึมพำ  เอื้อมมือไปสัมผัสรอยแผลเหนือโหนกแก้มที่ขึ้นฝ่าดเลือดชัดเจน ไหนจะรอยฟกช้ำดำเขียวที่เริ่มจะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น บอกได้คำเดียวว่าเละ

“เออ กูก็หลบได้มากที่สุดเท่านี้แหละ”พี่ท็อปเบนหน้าหนีสัมผัสจากมือของผมแล้วจ้องเขม็ง ผมเองอยากถามอยู่เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไรกับเฮียแกนกันแน่ รับคำท้าทั้งๆที่รู้ว่าต้องแพ้

“ดูปากสิ ช้ำหมดแล้ว”ผมพูดปราม ก่อนจะยื่นมือไปแตะบริเวณมุมริมฝีปาก มีรอยช้ำและมีรอยแตกเล็กๆของเจ้าตัว เห็นแล้วรู้สึกเจ็บแทนไปด้วย เลยได้โอกาสไล่นิ้วมือไปตามเรียวปากนั้นช้าๆแผ่วเบา ขณะนั้นเลยมองสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างละเอียดและชัดเจน ผมสบตากับพี่ท็อป  นัยน์ตาสีดำจับจ้องผมไม่วางตาเช่นกัน เหมือนพี่ท็อปมีแรงดึงดูดที่ประหลาดทำให้ผมอยากเข้าหา

 ผมนึกอยากแกล้งเอาคืนพี่ท็อปเลยยื่นหน้าหมายจะจูบ เจ้าตัวเองก็ไม่ได้เอนตัวหนีไปไหน ผมประทับริมฝีปากไปที่บริเวณมุมปากของอีกฝ่าย ไล้ลิ้นไปตามริมฝีปากอย่างแผ่วเบา ใช้มือประคองใบหน้าของพี่ท็อป สอดลิ้นเข้าหา ก่อนจะจูบหนักหน่วง

“โอ้ย เชี่ยสอง”พี่ท็อปสะดุ้งโหยงแล้วผลักผมออกห่าง ก่อนจะเบ้หน้าเพราะเจ็บ เจ้าตัวเอามือแตะที่บาดแผลบริเวณมุมปากที่บอบช้ำ คิ้วขมวดเข้าหากัน ก่อนจะหันมองผมด้วยสายตาอันดุดัน

“ขอโทษครับ”ผมเกาศีรษะแก้เก้อ แล้วส่งยิ้มซื่อให้ ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายยื่นมือเข้าไปเลิกชายเสื้อของพี่ท็อปขึ้น เพื่อดูรอยแดงทั่วลำตัวที่กำลังห้อเลือดเป็นจุดๆ 

“คืนนี้ผมนอนด้วยนะ พี่เจ็บขนาดนี้ ผมเป็นห่วง”ผมพูดเสียงจริงจัง มองหน้าพี่ท็อปนิ่งๆ แล้วล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างถือวิสาสะ

“หึ ข้ออ้างหรือเปล่าวะ อยากนอนกับกูว่ามาเหอะ”พี่ท็อปขยับตัวมาหา รอยยิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นมือมาปัดเส้นผมที่ปรกหน้าให้ผมไปด้วย ทำเอาผมใจเต้นรัวไปด้วย อยู่ๆก็รู้สึกอยากใกล้ชิดอีกฝ่ายให้มกกว่านี้ นี่ผมกำลังพลาดอะไรไปหรือเปล่านะ ‘นอนของพี่ท็อปนี่หมายความไปแง่ไหนนะ’ ผมคิดหนักหน่วง

“อือ ผมอยากนอนกับพี่”ผมตอบแล้วยิ้มกว้าง พี่ท็อปขมวดคิ้ว  ผมเลยรีบสำทับอีกรอบว่า“นอนเป็นเพื่อน กลัวพี่ปวดเนื้อปวดตัวขึ้นมาจะได้ช่วยทัน”

พี่ท็อปมองหน้าผมอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนข้างๆผมอย่างช้าๆ เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายทำให้ผมยิ้มออก


“เหอะ กูว่า มึงชักหลงกูแล้วนะ นี่แค่เริ่มต้นเอง ไอ้สอง”พี่ท็อปหันมอง แววตาคู่นี้มีประกายขึ้นมา
ก็นั่นน่ะสิ มันเพิ่งเริ่มต้นเองนี่ ผมชักไม่แน่ใจกับไอ้สิ่งที่เรียกว่า ‘หัวใจ’ และ ‘ความรู้สึก’ซะแล้วสิ ชีวิตคนเรานี่มันยากจะคาดเดาจริงๆ


 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 18-06-2015 16:30:16
มารอติดตามตอนใหม่คับ สนุกดี
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-06-2015 17:43:35
 :pig4:  ติดเรื่องนี้เข้าให้แล้ว

พี่ท้อปนี่แอบร้ายนะ มันต้องมีเงื่อนงำแน่ๆ ได้กันแล้วถึงสปาร์คเนาะ
 แต่ก็นั่นแหละนี่มันแค่เริ่มต้น.  :hao3: 
ว่าแต่คนข้างห้องนี่ใคร ป๋าซะ   ขอบคุณค่ะมาต่ออีกนะ.
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 18-06-2015 18:37:15
 :z1:  :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:

ผมอยากนอนกับพี่ อิอิ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 18-06-2015 19:39:47
หนุ่มแว่นห้องตรงข้ามนั่นเป็ใครรรรร  :m28:
 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 18-06-2015 19:44:17
  " OnTop "  55555
ชอบอ่ะะ  :ling1:
รอ ๆ ตอนต่อไปอยู่น๊าาา
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 18-06-2015 20:36:03
โถววววววว สองหลงพี่ท็อปซะหัวปักหัวปัมเลยอะ  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 18-06-2015 21:20:02
อ่าวสองเป้นเมียซะละ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 18-06-2015 23:06:42
ฮ่าๆๆๆ
สองนี่น่ารักนะ จากผัว เป็นเมียซะแล้ว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 18-06-2015 23:29:32
เจิมเรื่องใหม่ๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 19-06-2015 00:16:57
เงื่อนงำน่าสงสัย แต่นี่แค่เริ่มต้นเองยังทำให้ติดขนาดนี้ จะรออ่านนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 19-06-2015 00:22:50
มันน่าสงสัยนะเนี่ย   ทั้งพี่ท็อป เฮีย พี่เเว่น เเล้วก็สถานะของสอง

สอง คะ เป็น ผัว จริงๆ หรอ คะ

 :a11: :a11:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 19-06-2015 05:40:43
ไอ้สองมึงได้กลายจากผัวเป็นเมียแน่งานนี้

แบบตอนแรกพี่มันอ่อยให้ไง แล้วทีนี้ก็จับมึงทำเมียแทน 555+

สาธุขอให้บทให้พลิก 555 :hao6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-1 #18.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 19-06-2015 10:51:16
น่าติดตาม.  มาต่อบ่อยๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # ตอนที่ 2 คนข้างห้องที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 19-06-2015 14:29:13
เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ฉบับรีไรท์ 21/1/2561


ตอนที่ 2 คนข้างห้องที่น่าสนใจ

หลังจากที่พี่ท็อปยอมให้ผมมานอนค้างที่ห้องอีกฝ่ายได้ ถึงแม้ว่าห้องของผมจะอยู่ถัดไปแค่ก้าวสองก้าว แต่ผมก็ถือโอกาสนี้เป็นตัวเร่งพัฒนาความสัมพันธ์ของเราไปในตัว มาตอนนี้ผมต้องรับหน้าที่เป็นเบ๊ประจำตัวของพี่ท็อป ซื้อข้าวกล่องกับโจ๊กหมูสับที่ร้านเจ้าประจำตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหอพัก

“เลือกอย่างไหน”ผมบอก ก่อนจะชูถุงข้าวกล่องกับโจ๊กให้พี่ท็อปเลือก เจ้าตัวชี้นิ้วมาที่ถุงโจ๊ก ผมจัดการเทโจ๊กใส่ถ้วย แล้วเตรียมยาให้พี่ท็อปก่อนอาหารและหลังอาหาร ระหว่างนั้นที่ทานมื้อเช้า ผมเหลือบมองอีกฝ่ายบ่อยๆ อย่างลืมตัว

“มองอะไร อยากแดกเหรอไง”พี่ท็อปมองหน้าผมตาปริบ ๆ อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะจักโจ๊กแล้วยื่นช้อนมาใกล้ ๆ ปากผม

“อยากแดกพี่ มากกว่าโจ๊กอีก”ผมพูดด้วยยิ้ม ไม่ทันขาดคำพี่ท็อปเลยแกล้งดันช้อนเข้ามาหา จนผมต้องอ้าปากงับอย่างเสียไม่ได้ ไม่ทันได้คิดว่าโจ๊กช้อนนี้ยังคงร้อนอยู่

“โอ้ย  ร้อน”ผมรีบกลืนลงคอ เพราะมันร้อนเกินไป จะคายทิ้งก็ไม่ดีอีก ผมลิ้นชาน้ำตาเล็ด แต่พี่ท็อปหัวเราะ ท่าทงสะใจที่เห็นผมดิ้นอย่างกับไส้เดือน

“หึๆ สมน้ำหน้า มึงนี่คิดแต่จะปล้ำกูสินะ”พี่ท็อปปรามด้วยสายตาดุๆมาให้ผม

“ระดับผมไม่ปล้ำหรอก พี่สมยอมแน่นอน”ผมพูด พี่ท็อปขำหึ

ก๊อก ก๊อก

ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังถี่ๆติดกัน  พี่ท็อปมองหน้าผมเป็นนัยว่าให้ลุกไปดู  ผมลุกขึ้นยืนเดินไปเปิดประตูอย่างว่าง่าย คิดว่าเป็นมารผจญ

“มาหาใครครับ”ผมเปิดประตูออกพร้อมเอ่ยออกไป ลืมไปสนิทเลยว่านี่ห้องพี่ท็อป ผมมองหน้าผู้มาเยือนคนใหม่แล้วก็ต้องร้องอ๋อทันที แฟนเก่าพี่ท็อปนี่เอง มันชื่อ บอม มองผมด้วยสายตาแข็งกร้าวไม่พอใจชัดเจน ที่สำคัญมันเป็นเด็กช่างเรียนเทคนิคฯไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยผมมากนัก

“มาหาแฟนกู แล้วมึงเป็นใครวะ”มันตะคอกดังลั่น ผลักผมแรงๆ ผมแค่ยิ้มยวนใส่มันแล้วไหวไหล่ก่อนจะเหลือบมองพี่ท็อปที่นั่งทานโจ๊กอยู่ที่โต๊ะอย่างไม่สะทกสะท้าน อีกฝ่ายยิ้มให้ผม

“แฟนใหม่พี่ท็อป”ผมตอบ มันทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะง้างหมัด แต่พี่ท็อปเดินมาห้ามซะก่อน

“ไอ้สอง กลับห้องมึงไป” สิ้นคำของพี่ท็อป ทำเอาผมไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ผมมองหน้าพี่ท็อป ไม่เข้าใจเจ้าตัวนัก

“มันเป็นใครวะ แล้วดูสภาพมึง”ไอ้บอมแทรกตัวกระแทกไหล่ผมเข้าไปหาพี่ท็อป ก่อนจะจับหน้าพี่ท็อปแล้วผลัก

“แน่ใจนะว่า...”ผมหันไปพูดกับพี่ท็อป เผื่อไอ้บอมมันลงไม้ลงมือกับพี่ท็อปขึ้นมา “เอาน่า มึงกลับไปก่อน”พี่ท็อปพูดเสียงห้วน ผมถอนหายใจแรง ไล่แบบนี้ จะอยู่ไปทำไม ผมเดินออกจากห้อง ไม่วายจะส่งสายตาเขม่นใส่แฟนพี่ท็อปเพื่อระบายอารมณ์

ผมปิดประตูห้องพี่ท็อปเสียงเสียงดัง รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เมื่อเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าห้องตัวเอง จังหวะเดียวกันไอ้แว่นห้องฝั่งตรงข้ามเปิดประตูออกมายืนพิงกรอบประตู มองผมด้วยนิ่งๆ สายตาหลังกรอบแว่นนั้นเย็นชาเดาไม่ออก ผมไม่ชอบคนประเภทนี้จริงๆ เพราะไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่กันแน่

“หึ...”มันส่งเสียงในลำคอก่อนจะมองหน้าผม จากนั้นปิดประตูแล้วเดินลงบันไดไปด้านล่างไป

“อะไรของมัน”ผมไม่เข้าใจพฤติกรรมของอีกฝ่ายนัก ผมถอนหายใจ ส่ายหน้ากับตัวเองแล้วเปิดประตูเข้าไปข้างในห้อง ได้ยินเสียงพี่ท็อปทะเลาะกับไอ้บอมแว่วมาให้ได้ยิน

ช่วงบ่ายผมเข้าคณะไปเรียนสองคาบ พอเลิกเรียนห้าโมงเย็น ก็มาที่ห้องเพ้นท์ชั้นล่างตามเคย นั่งทำงานดรออิ้งต่อให้เสร็จ เจอเพื่อหน้าเดิมๆอยู่เป็นประจำ ผมเหลาดินสอEEให้แหลมแล้วเน้นรายละเอียดที่บริเวณนัยน์ตาทั้งสองข้าง พยายามให้คล้ายคลึงกับเจ้าตัวมากที่สุด มองไปมองมาเหมือนว่ากำลังจ้องมองผมผ่านภาพวาด ผมนั่งงมอยู่ที่กระดานสเก็ตอยู่นาน จากนั้นก็บิดขี้เกียจไล่ความปวดเมื่อย หมุนดินสอในมือไปมา พลางถอนหายใจเบื่อๆทิ้งหลายครั้ง

เบื่อแฮะ  ผมกดหาเบอร์ ‘โย’ รุ่นน้อง โรงเรียนเก่าของผมเอง กำลังเรียนม.4 วัยกำลังมันส์ ที่บ้านโยเคร่งครัดเรื่องแฟน เรื่องเพศ เน้นการเรียนจนทำให้โยต้องหาเพื่อนในโซเชียลฯแทน เพื่อเรียนรู้เรื่องเซ็กส์ ผมก็แค่ให้บทเรียนเด็กนั่นนิดหน่อย แน่นอนว่าก็ไม่ใช่กับผมคนแรกหรอก

[ครับ พี่สอง] น้ำเสียงที่ตอบกลับมาออกตื่นเต้น ติดกระแดะนิดๆในหางเสียงนั้น ทำให้ผมแค่นเสียงในลำคอ

“ว่างหรือเปล่า มาหาพี่หน่อยสิ”ผมถาม หยิบนาฬิกาในเสื้อมามองเวลา ตอนนี้ก็หกโมงเย็นแล้วพอดี เพื่อนๆผมก็แยกย้ายกันกลับหอตั้งแต่เรียนเสร็จแล้ว

[ว่างครับพี่  เดี๋ยวผมไปหานะ คิดถึงพอดี]

“อือ มาที่หอพี่เหมือนเดิม ไม่ต้องรีบหรอก”ผมบอก ฝ่ายนั้นหัวเราะแล้ววางสายไป ผมเก็บของใส่กระเป๋าสะพายแล้วกลับไปที่หอพัก อย่างไม่เร่งรีบนัก เพราะโยคงไม่รีบบึ่งมาหาผมรวดเร็วภายในยี่สิบนาทีนี้แน่ ๆ ผมมาถึงห้อง ลองไปเคาะประตูห้องพี่ท็อป แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา คงไม่อยู่ ผมนิ่งไปแล้วกลับเข้าห้องของตัวเอง อาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่น

ไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมเดินไปเปิดให้โย เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบาง ผิวขาว ลักษณะไม่ค่อยแมนสมชายเท่าไหร่ ออกจะคล้ายคุณหนูเจ้าสำอาง ในตอนแรกก็ยังแมนๆอยู่หรอก แต่หลังๆมาสนิทกับผม เหมือนไม่ค่อยรักษากิริยาเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่อยากโละทิ้งเพราะโยเองก็ยังมีดีอยู่นี่

“ไม่เจอตั้งนาน คิดถึงแย่เลย”ผมเปิดประตูออกกว้างรับโย ขณะเดียวกันหนุ่มแว่นก็เดินกลับขึ้นมาที่ห้องออกมาพอดี มันมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ผมละสายตาจากมัน เมื่อโย ยื่นหน้ามาหอมแก้มแล้วรีบดันผมเข้าห้องก่อนจะปิดประตูดังปัง ไม่สนใจคนอื่น อันที่จริงไม่ได้มองซ้ายมองขวาเลยด้วยซ้ำ

“ปากหวานจริงๆ พี่สองเนี่ย”โยเดินจับมือผมไปที่เตียง 

“หึ ก็คิดถึงจริงๆ”ผมบอกแล้วหัวเราะ ก่อนจะดึงร่างของเด็กหนุ่มมากอดแน่นเอนตัวลงเตียงไปพร้อมๆกัน

“เหรอ คิดถึงอย่างอื่นมากกว่ามั้ง”โยพูด แล้วจูบผมไปทั่วทั้งหน้า แล้วขึ้นคร่อมผมทันที ผมมองปากแดงอิ่มเอิบที่ผ่านการแต่งแต้มมาแล้ว เข้ามาก้มลงจูบ อีกทั้งมืออยู่ไม่สุขลูบผ่านใต้เสื้อไปตามลำตัว ร่างกายที่เคยผ่านมือมาแล้ว ไม่ต่างอะไรกับวัวเคยขา ม้าเคยขี่ ไม่นานนักก็เล่นสนุกกันเพลิน จนโยหมดเรี่ยวหมดแรงไป

“งั้นคืนนี้โยขอค้างกับพี่สองนะ”โยเอ่ยเสียงเล็กนุ่มรื่นหู ก่อนจะกอดผมไว้แน่น เนื้อตัวเปลือเปล่าแนบชิดกัน ผมถอนหายใจแรง ก่อนจะเหลือบไปหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดู มีไลน์ค้างจากพี่ท็อป ผมอ่านผ่านเหมือนว่าเจ้าตัวกลับมาที่ห้องแล้ว ผมดึงแขนอีกฝ่ายออกก่อนจะลุกออกจากเตียงทันที

“ไม่ได้หรอก พี่นัดเพื่อนไว้”ผมบอกปัด เพราะคืนนี้ผมจะไปนอนเป็นเพื่อนพี่ท็อป หนึ่ง เพื่อเร่งทำคะแนน สอง เพราะเป็นห่วงเจ้าตัวด้วย

“โธ่ นานๆจะเจอโยที พี่สองก็เป็นแบบนี้อีกล่ะ”อีกฝ่ายทำหน้าเง้างอน สายตาตัดพ้อมองผมอย่างไม่ลดละ

“คืนนี้ไม่ได้จริงๆ กลับไปนอนกับม๊าเถอะ”ผมบอกอย่างอดทน มาคิดดูอีกที โยมันต้องโกหกม๊ากับป๊าเพื่อมาหาผมแน่ ๆ ไม่น่าโทรหาโยเลย

“ก็บอกม๊าแล้วว่ามานอนกับเพื่อน แล้วคืนนี้โยจะนอนที่ไหน”โยยังคงดื้อดึงงอแง ทำให้ผมอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง ผมชักสีหน้าใส่

“เอาแบบนี้ โยนอนห้องพี่แล้วกัน เดี๋ยวพี่จะไปหาเพื่อนเอง”...เพื่อนข้างห้องน่ะ โยเงียบไป แค่นั่งมองผมอย่างไม่พอใจ มือน้อยกำมัดแน่น มันคงโกรธที่ผมไม่แยแส ถ้าทำได้มันคงฟาดไม้ฟาดมือใส่ผมไปตั้งนานแล้ว

ผมเสนอทางเลือกให้โย ก่อนจะเข้าห้องน้ำไปโดยไม่สนใจอีกฝ่าย  “ก็ได้ๆ โยนอนห้องพี่สองคนเดียวก็ได้ พี่สองไปหาเพื่อนเถอะ”โยตอบ เหมือนว่ามันมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ แต่ผมล็อกไว้แล้ว ผมอาบน้ำอีกครั้ง เมื่อออกมาจากห้องน้ำ เห็ยว่ามันยังนอนอยู่บนเตียง

“แล้วก็อย่าค้นอะไรออกมาล่ะ”ผมพูด ก่อนจะหยิบกุญแจรถกับกระเป๋าเงินติดมาด้วย ไม่ได้หันไปมองโยอีกว่ามีสีหน้าแบบไหน ผมออกจากห้อง แล้วเดินสามสี่ก้าวมาหยุดที่หน้าห้องของพี่ท็อป ผมเคาะห้องพี่ท็อป ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาใกล้ประตูห้อง

“ไง ...”พี่ท็อปเป็นฝ่ายเปิดประตู ผมยิ้มกว้างไปให้

“มันกลับไปแล้วเหรอ”ผมถามแล้วชะเง้อมองไปในห้องพอเป็นพิธี อีกฝ่ายมอง“อือ เข้ามาสิ”พี่ท็อปบอก ใบหน้านิ่งเฉย ไม่ยิ้มแย้ม อีกฝ่ายโกรธอะไรผมหรือเปล่านะ

“มึงมาทำไม”พี่ท็อปถาม มองหน้าผมไปด้วย ระหว่างที่กำลังหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงช้าๆ คิ้วย่นเข้ากัน ผมเห็นว่ารอยฟกช้ำบนหน้าพี่ท็อปเด่นชัดขึ้นและเปลี่ยนสีไปแล้ว ออกจะน่ากลัวอยู่เหมือนกัน

“บอกแล้วไง ว่าผมจะมานอนเป็นเพื่อน”ผมบอกด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินไปล้างเท้าในห้องน้ำให้สะอาด เหลือบมองพวกโฟมล้างหน้า แปรงสีฟันในนี้แล้วเหมือนว่าเป็นของส่วนตัวสำหรับคนเดียว ไม่มีอะไรที่เป็นคู่ ผมยิ้มออกมาอย่างเบาใจ แสดงว่าไอ้บอมคงไม่กลับมาอยู่ในสาระบบของพี่ท็อปอีกแล้ว เมื่อผมเดินออกมา พี่ท็อปนั่งกอดอกมองก่อนจะพูดนิ่งๆ

“หึ แล้วเด็กตุ๊ดมึงล่ะ”พอได้ยินแล้ว ผมหุบยิ้ม หน้าบึ้งทันที

“ตุ๊ดไหน ไม่ใช่ตุ๊ดซะหน่อย”ผมรีบปฏิเสธ  พี่ท็อปส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะออกมา “แล้วมึงทิ้งมันไว้อย่างนั้นเหรอ”

“เปล่านะพี่ มันอยากนอนห้องผมเอง”ผมบอก พี่ท็อปไหวไหล่เหมือนไม่สนใจฟังผมเท่าไหร่ เพราะกำลังจัดเตียงนอน ตบ ๆ หมอนให้ฟู ๆ

“เออ ๆ กูจะนอนพักล่ะ เพลียนิดหน่อย วันนี้ไปเรียนมาด้วย วิชานี้ขาดไม่ได้อีก มึงปิดไฟซะ”พี่ท็อปสั่งไม่ได้มองหน้าผม อีกฝ่ายเอนตัวลงนอนบนเตียงมุมซ้าย ผมเดินไปปิดไฟให้ ในห้องมืดสลัวยังดีที่มีแสงไฟลอดผ่านม่านบางๆ

ผมเดินไปที่เตียง ล้มตัวลงนอนข้างพี่ท็อป แม้จะยังไม่ง่วงนัก แต่ก็ไม่อยากกลับไปเจอกับโยตอนนี้อีก ผมเหลือบมองเจ้าตัวที่นอนหลับตาอยู่ ท่าทางไม่สบายเท่าไหร่เพราะเห็นผ่านความมืดว่าขมวดคิ้วอยู่

“ปวดแผลหรือเปล่าครับ”

“ก็มีนิดหน่อย ตามปกตินั่นแหละ ...มึงอย่าถามเรื่องไอ้บอมตอนนี้เลย”พี่ท็อปรีบพูดดักผม

ผมเลยถอนหายใจยาวๆ ในหัวคิดอะไรมากมาย ... ค่ำคืนนี้เหมือนมีเรื่องมากมายให้ผ่านพ้น ผมนอนคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หลายนาทีก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย

...


ผมถูกปลุกโดยพี่ท็อป เห็นได้ชัดว่าสีหน้าพี่เขาดีขึ้น ผมผุดลุกขึ้นมานั่งมองพี่ท็อปที่กำลังแต่งตัวหลังอาบน้ำเสร็จ ผมขยี้ตาหาวนอน ก่อนจะลุกไปช่วยพี่ท็อป

“มาผมใส่ให้”ผมยิ้มบอกแล้ว ดึงเสื้อออกจากมือพี่ท็อปค่อยๆสวมแขนที่ละข้าง ก่อนจะติดกระดุมให้ทีละเม็ด ผมเหลือบมองหน้าพี่ท็อป ที่จ้องหน้าผมอยู่ตาไม่กระพริบ

“อยากจูบผมเหรอ แต่ยังไม่ได้แปรงฟันเลยนะ”ผมหัวเราะ พี่ท็อปส่ายหน้าเขกหัวผมเบาๆ

“ก็แค่คิดว่ามึงใช้ง่ายดีว่ะ เบ๊กูดี ๆ นี่เอง เอ... เหมือนหมาที่บ้านกูเลยว่ะ ชื่อทู พันธุ์ลาบาดอร์ด้วยนะ”พี่ท็อปหัวเราะ หนำซ้ำยังเปรียบเทียบผมซะเสียของหมด

“อย่างผมนี่คุณภาพดีกว่าหมาพี่ก็แล้วกัน”ผมพูดอย่างไม่คิดอะไร แล้วเอื้อมไปหยิบกางเกงขาสั้นแบบมีซิปมาให้  “มีเรียนไหม”พี่ท็อปถาม ผมคลี่กางเกงออก

“ไม่มีครับ แล้วพี่ล่ะ”ผมเงยหน้ามอง ขณะที่พี่ท็อปจับแขนผมไว้แล้วหย่อนขาลงมาทีละข้าง เจ้าตัวเบ้หน้าอย่างปวดแผล “กูลาเอา ปวดแผลว่ะ”พี่ท็อปย่นหน้า ผมรูดซิปกางเกงขาสั้นให้พี่ท็อปช้าๆ

“อ้อยอิ่งอะไรตรงเป้ากู ไอ้นี่”พี่ท็อปผลักผมออกไปห่างๆแล้วรูดซิปเอง ผมหัวเราะแค่แกล้งอีกฝ่ายเล่น

“มา ผมทายาให้”ผมพาพี่ท็อปไปนั่งที่เตียง ลากเก้าอี้มานั่งทายาให้อีกฝ่าย ผมจุ่มสำลีลงกับยาฆ่าเชื้อเบทาดีน ผมแตะเบาๆลงกับแผลเหนือโหนกแก้ม  ระหว่างที่ในห้องเงียบ ทว่าหูของผมดันได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน

“เสียงอะไร”พี่ท็อปเลิกคิ้ว กรอกตาไปมาแล้วหันไปมองทางห้องของผม ผมเงียบฟังดูบ้าง พอฟังดีๆเหมือนคนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอย่างเมามัน เสียงนี้มัน...ไอ้โย ทำเอาผมหน้าเปลี่ยนสีด้วยความรู้สึกขายขี้หน้าต่อหน้าพี่ท็อป บวกกับความหงุดหงิดในตัวไอ้โยอีกคูณสอง ผมถึงกับเลือดขึ้นหน้า

“เด็กมึงอะ หึ ใช่ย่อยเลย”พี่ท็อปหัวเราะ ผมรีบทำแผลให้พี่ท็อปด้วยใจที่ไม่สงบ ข่มอาการเดือดดางเอาไว้ แล้วลงไปซื้อโจ๊กให้พี่ท็อปให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินกลับห้อง ผมเปิดประตูออกอย่างแรงด้วยอารมณ์โมโห พอประตูเปิด เจอไอ้โยกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงของผู้ชายล่ำๆคนนึงอยู่

‘เวร ทำกันบนเตียงกูเลยเหรอ’ ผมกระชากมันออกเต็มแรง มันสองคนทำหน้าผงะตกใจร้องลั่น โดยเฉพาะกับไอ้โย “โอ้ย เฮ้ยพี่”มันร้องขณะที่กำลังลุกจากพื้น

“มึงนี่มัน...! นี่มันห้องของกูนะ”ผมตวาดใส่หน้ามัน

“ก็พี่ไม่สนใจโยอ่ะ ทำไมจะตีโยหรอ”เด็กนั่นเดินเข้ามาหาผมเหมือนท้าทาย

“เออ ไปให้พ้นจากห้องกู!”ผมลากมันสองตัวออกจากห้อง ไอ้โยโวยวายลั่น “ไม่ต้องมายุ่งกับกูอีกนะมึง”ผมทิ้งท้ายบอกมัน ไอ้โยทำหน้าเหมือนจะไม่ยอม แต่ไอ้ล่ำนั่นลากตัวมันหนีไปก่อน

ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง และอารมณ์เสียออกไปที่นอกระเบียง จุดบุหรี่สูบทันที ก่อนจะยื่นหน้าไปมองทางระเบียงข้างๆ ที่ไม่เห็นอะไร นอกจากราวเหล็กจับของระเบียง เนื่องจากแต่ละห้องจะมีผนังปูนกั้นไว้ทำให้มองไม่เห็นระเบียงของห้องข้างๆ นอกเสียจากจะยื่นหน้าออกไปมองถึงจะเห็นราวระเบียงห้องข้างๆได้

“พี่ท็อป พี่ท็อปครับ!”ผมตะโกนเรียก

“ไรวะ”เสียงพี่ท็อปตอบกลับมา แค่เสียงก็โอเค ในตอนนี้ผมไม่พร้อมอยู่ในอารมณ์ที่จะเห็นหน้าพี่ท็อปหรอก คงได้หัวเราะเยาะผมแน่ ๆ ล่ะ ขายหน้าฉิบ ผมมองเห็นแค่ท่อนแขนของพี่ท็อปที่วางพาดอยู่ตรงระเบียงเท่านั้น

“เซ็ง”ผมบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้  “หึ แค่เด็กคนเดียว”พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ

“มันหยามผม”ผมกระแทกเสียงหงุดหงิด กับไอ้โย ผมไม่ได้รักมัน หรือหวงก้างอะไร เพียงแต่มันเป็นเด็กผมนี่ แต่ดันข้ามหน้าข้ามตาผมแบบนี้ ไม่ชอบเลยแฮะ ผมสูบบุหรี่ต่อพ่นควันมะเร็งออกเป็นระยะ พี่ท็อปเงียบไป ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

“ลองคบกับผมไม่ได้เหรอ ผมเทคแคร์เก่งนะ”ผมลองหย่อนเบ็ดไป แต่พูดมาจากใจจริง ผมหันมองไปทางด้านข้างมองเห็นมือพี่ท็อปที่กระดิกไปมาอยู่

“ไม่ล่ะ”คำตอบของพี่ท็อปทำให้ผมใจแกว่งไปนิดหน่อย เหมือนฟองอากาศแตกโพล๊ะ อีกฝ่ายเล่นตอบมาแบบไม่คิดขนาดนี้ ผมหน้าม้านไปเลย

“ทำไมล่ะ”ผมถามอย่างไม่เข้าใจ ไม่เห็นว่ามีอะไรเสียหายตรงไหนด้วยซ้ำ เจ้าตัวเงียบไปหลายนาที ผมแค่รอคำตอบ

“ในเมื่อได้กูง่าย ๆ แล้ว คิดว่าจะเป็นแฟนกูง่าย ๆ เหมือนกันเหรอไงวะ”พี่ท็อปพูดเสียงเนือยๆตอบกลับมาเหมือนเป็นเรื่องน่าเบื่อ

“โธ อะไรกัน”ผมย่นหน้า ก่อนจะขยี้บุหรี่ลงกับราวระเบียงจนมอดดับไปแล้วโยนทิ้งลงถังขยะลูกเล็กตรงมุมระเบียงอย่างไม่แย่แส

“หึ... มึงนี่นิสัยเหมือนไอ้บอม...มีเด็กซุกซ่อน กูเกลียด”

“ตอนนี้ผมโสดไงครับ จะคบใครก็ได้ อย่าเอาผมไปเทียบกับมันเลย”ผมพูดอย่างไม่ชอบใจนัก ได้ยินเสียงถอนหายใจจากอีกฝ่ายเบาๆ

“แต่กูไม่ใช่เด็กมึง บอกให้รู้ไว้”อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงดึงดันเช่นเดิมจนผมไม่เห็นเส้นทางแห่งความเป็นไปได้จนต้องถอนหายใจแรงๆ

“ครับ ผมไม่เห็นพี่เป็นแบบนั้นซะหน่อย ผมคบใคร ผมก็ให้เกียรตินะ”ผมพูดความจริง ถ้าเป็นแฟนล่ะก็ ผมจริงใจและพร้อมเทคแคร์อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังไม่เจอคนที่อยากได้มาเป็นแฟนเลยสักที ถึงได้ทำตัวเรื่อยเปื่อย

“จริงเหรอวะ”พี่ท็อปทำเสียงเหมือนไม่เชื่อ

“จริงสิ ลองคบแล้วจะรู้”ผมหัวเราะแผ่วๆ พี่ท็อปเงียบเสียงไป “แล้วพี่เลิกกับไอ้บอมหรือยัง”

“..ยัง..”อีกฝ่ายตอบสั้นๆ ผมย่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะพี่”

“...ต้องบอกมึงด้วยเหรอ”สิ้นคำพูดของอีกฝ่าย เหมือนด่าผมทางอ้อม ผมเลยเงียบไป ไม่ง่ายจริงๆซะด้วยกับการคิดจะเดินหน้าเข้าหาพี่ท็อปเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ด้านความรู้สึก ผมไม่ได้ต้องการแค่ร่างกาย เพราะมันไม่ยากหรอก แต่ลองคิดดูจริงๆจังแล้วผมก็ได้แค่ร่างกายแน่

“ก็แค่ให้มันชดใช้ให้กูน่ะ มึงไม่ต้องรู้หรอก”พี่ท็อปตอบมาจนได้ ผมเลิกคิ้วสงสัย เลิกวอแวประเด็นนี้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเบื่อ

“โอเค ๆ ผมยอมเป็นกิ๊กก็ได้”ผมหัวเราะออกมา ทำทีพูดเล่นไปแบบนั้น 

“มึงกับกูไปกันไม่ได้หรอก คงได้แค่สนุกๆ มึงมันรักสนุก แต่กูน่ะ...ต้องการคนจริงใจ ไม่รู้สิ เพราะกูผ่านมาเยอะ เจอแต่คนแย่ๆก็บ่อย กูเลยเบื่อว่ะ”ผมมองเห็นพี่ท็อปถือบุหรี่ไว้ในมือ 

“ผมก็เป็นคนแย่ ๆ ด้วยเหรอพี่”ผมถาม มองมือพี่ท็อปที่ยกบุหรี่ไปสูบอย่างอดทน “มึงต้องให้กูบอกด้วยเหรอ”อีกฝ่ายพูดเยาะ ๆ ขณะมองควันบุหรี่ที่ลอยมาจากระเบียงห้องของเจ้าตัว

“ผมเป็นคนดีได้นะ ถ้าพี่ต้องการ”ผมเงียบไปนานสองนานก่อนจะเอ่ยออกไป ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาพูดแบบนี้กับใครด้วยซ้ำ แต่พี่ท็อปทำให้ผมมีแรงกระตุ้นอย่างบอกไม่ถูก

“ฮ่าๆ มึงน่ะเหรอ จะหยุด”พี่ท็อปขำทันทีที่ผมพูดจบ

“ได้สิพี่ ถ้าผมอยากหยุดจริง ๆ ผมเองก็เซ็ง ๆ เหมือนกันนะแบบนี้”ผมบอก แหงนหน้ามองท้องฟ้ากระจ่างใสเหนืออาคารใกล้เคียงอย่างเหม่อลอย วันนี้มีเมฆไม่มาก และแสงตะวันเจิดจ้า

“ถ้าแค่เซ็ง แล้วอยากมาคบกัน กูขอบาย”พี่ท็อปพูดเสียงดังเหมือนให้ผมได้ยินชัดเจน ผมเม้มปากส่ายหน้า “ก็นึกว่าชอบเสี่ยงซะอีก อุตส่าห์ดีใจ”ผมหัวเราะออกมา

“เสี่ยงที่ว่าคือไม่ใช่ฐานะแฟนไง มึงมาแปลกนะวันนี้”พี่ท็อปยื่นหน้ามามองผมผ่านผนังกั้น ผมยิ้ม

“ผมไม่เคยไล่ตามใครเลยนะ พี่เป็นคนแรก.. ผมทำตามที่พี่สั่งได้ ผมเอาใจพี่ได้ ...ปกติผมไม่เอาใจใครหรอก แต่กับพี่ ผมยอมง่ายๆเลย”ผมมองใบหน้าพี่ท็อปที่ยังคงยื่นมามองผมอยู่ เจ้าตัวหดศีรษะกลับไปในระเบียงตามเดิมก่อนจะพูดออกมาให้ได้ยิน
“เสี่ยวว่ะ”

“พูดจริงนี่ครับ”ดันไม่เชื่อกันอีก ผมเลยเงียบไป “พักผ่อนเถอะพี่ ผมไม่กวนล่ะ”ผมบอกทิ้งท้าย ก่อนจะเดินกลับเข้ามาข้างในห้อง สองหูได้ยินพี่ท็อปเรียกชื่อผมกลับมาก็เท่านั้น

“โธ่เอ้ย”ผมสบถ ก่อนจะเตะไปที่กล่องกระดาษปอนด์กับกระดาษบรู๊ฟที่ม้วนไว้จนล้มลงระเนระนาด ผมหงุดหงิด ก่อนจะเดินไปดึงผ้าสีขาวที่คลุมขาตั้งรูปไว้ออก งานตอนนี้เหลือแค่ลงแสงเงาเท่านั้น ผมมองรูปสเก็ตนั้นอยู่นานจนถอนหายใจ “เฮ้อ...พี่ท็อป...”สงสัยผมจะชอบพี่ท็อปเข้าอย่างจังจริง ๆ ด้วย ถึงได้เพ้อขนาดนี้

...


ผมยังคงทำหน้าที่เมียแค่ในนามที่ดีของพี่ท็อป หึๆ อันที่จริงพี่ท็อปสั่งต่างหาก เห็นว่าผมใช้(งาน)ได้ สั่งแล้วทำตามทุกอย่าง เช้าวันนี้ผมเลยไปส่งพี่ท็อปที่คณะ คณะนี้นี่กว้างใหญ่จริงๆ ทำเอาคณะผมหมองไปเลยซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนี่เอง งบน้อยก็แบบนี้
ผมใช้เคเอสอาร์คู่ใจไปส่งพี่ท็อป ผมจอดรถมอเตอร์ไซด์ที่หน้าตึกภาคเครื่องกลฯ

“บริการส่งถึงที่เลยครับ”ผมบอกก่อนจะดับเครื่องแล้วใส่ขาตั้งรถไว้ รับหมวกกันน็อคจากพี่ท็อปมาถือ ผมเห็นสายตาของเพื่อนร่วมภาควิชาจ้องมองมาทางเรา ก็นะ พี่ท็อปเล่นประกาศ จูบโชว์ว่าผมเป็นเมียเค้าซะขนาดนี้ พี่ท็อปยังไม่หายเจ็บดี แต่ไม่อยากขาดเรียนวิชาสำคัญๆ อีกอย่างถึงจะเจ็บอยู่แต่ความเท่ห์ความหล่อก็ใช่ย่อย กว่าผมจะจับพี่ท็อปใส่ยีนส์ขาดวิ่นตามแฟชั่นกับช็อปสีน้ำเงินแก่ ๆได้ก็ลำบากพอตัว 

ผมดึงกุญแจรถออกมาถือไว้แล้วหิ้วกระเป๋าเรียนพี่ท็อปไว้ หนักใช่ย่อย

“เออ ขอบใจ ว่าแต่กูเจ็บแขนอยู่เลยว่ะ เดินไปส่งกูหน่อย”พี่ท็อปพูดเจือหัวเราะไปด้วย แววตาที่มองผมเหมือนผู้ชนะ ชี้มาที่กระเป๋าของตัวเองที่อยู่ในมือผม

เออว่ะ เล่นง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ “เอาใหญ่เลยนะพี่”ผมส่ายหน้า

“ป๊อดว่ะ แค่เดินไปส่งที่หน้าห้องเรียนกูเองนะ”พี่ท็อปส่ายหน้ายิ้ม ๆ กอดอกมองไปรอบตึก เจอเพื่อนตัวเองก็โบกมือทักทาย ยักคิ้วเล่นหูเล่นตา อากัปกิริยาหน้าชื่นตาบานแบบนี้น่าจะเกี่ยวกับการที่ผมตกเป็นเมียของเจ้าตัว ทั้งๆที่ความจริงแล้วพี่แกยังไม่ได้กดผมเลยสักนิด 

“เออ ก็ได้ครับพี่”ผมยอมตกลง แล้วส่ายหน้า ก่อนจะเดินตามพี่ท็อปเข้ามาในบริเวณตึกเรียน มีเพื่อนพี่ท็อปเข้ามาคุยด้วยเป็นครั้งคราวแล้วหนำซ้ำแซวผมอีก

“วู้ๆ มาส่งถึงที่เลยว่ะ เป็นห่วงเพื่อนผมเหรอครับ”ก็ไม่ใช่ใคร พี่ธาม เพื่อนสนิทของพี่ท็อปเดินเข้ามากอดคอผมไปด้วยอย่างถือวิสาสะ ผมแค่มองหน้ามันนิ่ง ๆ แต่พี่แกไม่ได้สลดอะไรก่อนจะหัวเราะชอบใจ “เมียดุด้วยเว้ย ไอ้ท็อป”

“นี่พี่ ภูมิใจมากใช่ป่ะ ที่บอกคนอื่นว่าผมเป็นเมียอะ”ผมพูดกับพี่ทอปเบส เมื่อพี่ธามเดินละลิ่วนำหน้าขึ้นบันไดไปแล้ว ส่วนผมเดินไปกดลิฟต์ให้ “หึๆ แน่นอน ไม่งั้นเสียชื่อกู”พี่ท็อปยักคิ้วใส่ ผมลังเลเรื่องไอบอมนิดหน่อย

“แล้วไอ้บอมล่ะ ตกลงมันผัวหรือเมียพี่กันแน่”ผมถาม ชักไม่แน่ใจแล้วว่าไอ้บอมสถานะไหน พี่ท็อปยิ้มกริ่มมาให้ แต่ไม่ได้ตอบคำถามของผม

“ฮึ ระวังตูดมึงให้ดีไอ้สอง เดี๋ยวกูเผลอใส่เข้าไปแล้วจะติดใจยาว กูขี้คล้านจะเป็นผัวมึง”พี่ท็อปพูดอย่างถือดี ทำผมหลุดขำ

“พูดดีซะด้วย ปากดีอีกแล้ว คืนนี้ไหมล่ะ”ผมท้าอีกฝ่าย ผมเอาจริงนะ แต่ไม่ทันที่พี่ท็อปจะอ้าปากตอบ ประตูลิฟต์ก็เลื่อนออก ภาพเบื้องหน้าทำให้ผมตกใจพอสมควร เมื่อเห็นฝูงชนคนเสื้อช็อปสีเดียวกับพี่ท็อปมายืนออ

เฮ้ย อะไรกัน ผมมองงงๆ แล้วเดินออกมากับพี่ท็อปหน้าบานกว่าเดิม ไอ้ที่เจ็บจากรอยช้ำดูเหมือนจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง

“ท็อป แม่งเมียตามมาคุม เข้าไปเรียนด้วยเลยไหม อาจารย์ภาคพี่ใจดีนะ”ใครสักคนเข้ามาเกาะแข้งเกาะขาผมพูดล้อ

“อย่าดิพี่ ผมไม่ขำ”ผมตอบนิ่งๆ ต้องทำหน้าเซ็งเข้าไว้ พี่ท็อปแค่ยิ้มชอบใจเท่านั้น ก่อนจะเดินมากอดคอผมไม่สะทกสะท้านเดินไปยังหน้าห้องเรียน

“เออ ยอมให้ก็แล้วกันนะ”ผมกระซิบบอกเสียงนิ่งๆ ยอมให้คนอื่นเข้าใจว่าเป็นเมียอีกฝ่ายน่ะสิ ไม่ได้เขินอะไร แค่อายมากกว่า

“หึๆ ยอมไปตลอดเลยไม่ได้เหรอไง”พี่ท็อปหันมายิ้มกับผม ทำเอาผมชะงักไปอีกรอบ รอยยิ้มของพี่ทำให้ผมช็อตหลายครั้งแล้วนะ

“ตลกแล้ว ไม่ดีนะครับไม่ดี”ผมบอกแล้ววางกระเป๋าของพี่ท็อปไว้หน้าระเบียงห้องเพราะยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน พี่ท็อปจึงนั่งลง อย่างน้อยก็ไม่มีคนมาวุ่นวาย

“เออ จะคอยดู...มึงไปเหอะ”พี่ท็อปยิ้ม แล้วโบกมือให้ ผมผงกหัว “ไปแล้วนะ”ผมบอกก่อนจะเดินไม่สนใจเพื่อนร่วมชั้นปีของพี่ท็อป ระหว่างที่เดินกลับ ผมชะงักเมื่อเจอกับร่างสูงของหนุ่มแว่นที่อยู่ห้องตรงข้ามกับผม นี่มันเรียนอยู่วิศวะเครื่องกลฯด้วยเหรอ ผมมองมันอย่างแปลกใจ

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 2 คนข้างห้องที่น่าสนใจ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 19-06-2015 14:31:20
ผมเดินกลับไปที่รถเคเอสอาร์ พอเดินไปถึง ในระยะไม่เกินสองเมตรผมก็เห็นว่ามีโพสต์อิทสีชมพูแปะอยู่ที่เบาะรถ โดยข้างกันยั้ยมีกุหลาบเหี่ยว ๆ หนึ่งดอกวางอยู่ ผมเดินมามอง เหลียวมองไปรอบบริเวณหน้าอาคารเรียน ซึ่งคนเริ่มน้อยลงแล้ว ท่าทางไม่มีใครสนใจผม

ผมก้มอ่าน ใจความในนั้นเขียนว่า ‘สอง เมียพี่ท็อป ป.ล.ไว้จะพิจารณาเรื่องแฟนนะ’ ผมมองลายมือคุ้นตานี้ ก่อนจะนึกถึงพี่ท็อป มิน่า เพื่อน ๆ มันถึงแซวผมนัก ผมหัวเราะออกมา หลังจากนั้นก็กลับไปเรียน วันนี้มีแต่วิชาภาคปฏิบัติทำงานอย่างเดียว น่ารักดีนะพี่ท็อป ผมเก็ยดอกกุหลาบไว้ในกระเป๋าสะพาย

เบื้องหน้าผมเป็นเฟรมผ้าใบแคนวาสขนาด150x100 เป็นงานชิ้นใหญ่ สำหรับการสอบมิดเทอมนี้ จะอยู่จะไปก็วัดกันที่ชิ้นนี้ พอเกิดเรื่องของพี่ท็อปทำให้ผมต้องโละแผลนงานเก่าทิ้งแล้วร่างงานใหม่ เพราะเกิดแรงบันดาลใจใหม่ๆขึ้นมา หลังจากที่ได้ร่างภาพงานใหม่แล้ว ผมก็เริ่มลงสี มัวแต่ใจลอยเผลอลงสีหนักมือไปหน่อย

“อ้าวเวร”ผมรีบใช้ผ้ามาเช็ดสีที่เลอะออกทันที ก่อนจะลงสีทับเกลี่ยให้เท่ากันในส่วนของใบหน้า สีเนื้อจะกลายเป็นสีเนื้อเข้มๆดำๆซะแล้ว อย่างกับอะไรไหม้

“เป็นอะไรวะสอง แม่งเหม่อตลอด ไปทำสมาธิไป เดี๋ยวงานพัง”ไอ้ผิงเดินมาบอกผม ตบหลังปุๆ ผมถอนหายใจแล้วทิ้งแปรงพู่กันลง ที่โต๊ะกลมหินอ่อนเก่าๆหลังห้องเพ้นท์ ห่างออกไปไม่กี่เมตรก็เป็นพุ่มหญ้าเตี้ยรกมีแต่พวกของเครื่องมือ เครื่องใช้เกี่ยวกับงานศิลป์ที่ชำรุดแล้วมากองทิ้งไว้ ผมนั่งปล่อยความคิด ก่อนจะวกกลับไปหาพี่ท็อป หลายวันมานี้ พี่ชายข้างห้องของผมวนเวียนอยู่ในหัวบ่อยๆ แทบจะสามเวลาเช้ากลางวันเย็นเลยทีเดียว

พี่ท็อปไม่ใช่สเป็คผมหรอก เรียกได้ว่าโดนใจมากกว่า อันที่จริงผมก็ไม่ได้มีสเป็คตายตัว แต่ที่แน่ๆแค่ยอมเป็นเมียผมก็พอ หน้าตาก็รองลงมา ผมยังจำได้ตอนที่เจอพี่ท็อปครั้งแรก ก็แค่ชื่นชมความหล่อ ผิวเนียนๆแค่นั้นเอง ที่โดดเด่นคือดวงตาของพี่ท็อป ผมชอบมองเป็นพิเศษ เลยแซ็วพี่เขาไปตามความคะนองปาก แรก ๆ ที่ผมย้ายมาอยู่ก็เห็นว่าไอ้บอมมันมาส่งพี่ท็อปเช้าถึงเย็นถึง

ย้อนกลับไปคืนเกิดเหตุครั้งแรก สายรหัสนัดเลี้ยงเหล้าที่ร้านของพี่ตั้ม ก็ไม่มีอะไรมากแค่พูดคุยกันเฮฮาประสาพี่น้อง จิบเหล้าเคล้าดนตรี ประจวบเหมาะกับกลุ่มพี่ท็อปมาเลี้ยงเหล้าร้านนี้พอดี ผมยังจำได้ว่าพี่ท็อปเมา ได้ยินว่าเลิกกับเหี้ยบอม พี่ท็อปคงดีใจมากไปหน่อย ซัดไปเยอะ ไปนอนหมอบเหมือดที่หลังร้าน ส่วนพวกสายรหัสผมก็เมาแอ๋พอกัน เลยเถียงกันยกใหญ่ว่าใครจะไปส่งผมเพราะสภาพเดินไม่ตรงทาง แต่แล้วพี่ชายใจดีอย่างพี่ท็อปที่สร่างเมาก่อนอาสาไปส่งผมที่หอพักเองเพราะอยู่หอพักเดียวกัน...

เท่านั้นแหละ...คืนนั้นก็ได้สนุกกันแบบมึนๆ เพราะยังเบลอๆ คืนนั้นคงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของผมเลย ถึงจะเสียดายที่เรื่องราวก่อนหน้านั้นผมจำรายละเอียดไม่ได้ก็เถอะ

“เป็นอะไรวะ ผัวทิ้งเหรอไง”เสียงไอ้ผิงดังขึ้นมาใกล้ ๆ พร้อมกับร่างของมันทิ้งตัวนั่งลงข้างผม แล้วหยิบไฟแช็กมาจุดสารมะเร็งเข้าปอดบ้าง

“สัด ตูดกูยังซิงอยู่นะเว้ย”ผมเอื้อมไปดีดหน้าผากมันแรงๆ หมดอารมณ์เลย กำลังชิวล์อยู่

“เหอะ อย่ามา ๆ กูรู้ว่ามึงกลัวเสียเซลล์”ไอ้ผิงเอนตัวออกห่างผมแล้วหัวเราะ ไอ้เพื่อนเวรกดันไม่เชื่อกันอีก ผมยิ้มขำ มันเป็นสีสันในชีวิตผมเลย ไอ้ผิง

“เปลี่ยนเรื่องเถอะ แล้วมึงเจอเฮียแกนบ้างไหมวะ"ผมถาม เข้าคณะมายังไม่เจอพวกเฮียแกนเลย หายหัวไปไหนกันหมดนะ หลังจากจบเรื่องที่ค่ายเฮียอ๋องก็เหมือนผมไปวางระเบิดทิ้งไว้ ที่สำคัญเงินที่พนันกันไว้ก็ได้แค่ครึ่งเดียว เพราะผมไปขวางซะก่อนถึงแม้เฮียแกนจะชนะ แต่ที่ลงกันไว้คือชนะน็อคต่างหาก

“ไม่เจอว่ะ แต่มึงระวังไว้หน่อยก็ดี เฮียแกนไม่เอาเรื่องมึง ก็ไม่ได้หมายความว่าเพื่อนๆเฮียแกนจะหยุดนะเว้ย"ไอ้ผิงหันมามองหน้าผมท่าทางซีเรียสผมหัวเราะ

“เออ กลัวที่ไหน”ไม่ได้อวดเก่ง แต่ผมก็ผ่าดงตีนได้พอตัว

“อืม มึงเก่ง แล้วพี่ท็อปนี่ยังไงแน่วะ มึงไปสปาร์คตอนไหน"ไอ้ผิงหัวเราะถามอย่างสอดรู้ ไอ้ผิงคือเพื่อนที่โตมาในละแวกบ้านเดียวกัน 

“อยู่ข้างห้องกูเองแหละ”ผมบอก

“ฮ่าๆ ง่ายดีวะ เดี๋ยวกูไปส่องคนข้างห้องก่อนดิ หญิงหรือชาย”ไอ้ผิงพูดกวนๆ ท่าทางสนุกสนาน ผมเหลือบมองหน้ามัน ก่อนจะครุ่นคิดอย่างร้ายกาจขอให้คำอธิษฐานของผมเป็นจริงด้วยเถิด

สัดผิง สาธุของให้ข้างห้องมึงเป็นเกย์คิงร่างยักษ์

...


หลังจากที่ไม่มีอารมณ์ปั่นงานผมมานั่งเซ็งอยู่ที่ร้านกาแฟข้างคณะ เป็นร้านที่พวกสถาปัตย์ชอบมานั่งกันประจำ มาก็มากันเป็นโขยงสร้างความฟินให้แก่สาวๆจำนวนน้อยนิดในภาคของผมที่มานั่งส่องผู้ชายเป็นกิจวัตร ร้านนี้ตกแต่งเรียบง่ายสบายตา รับธรรมชาติ เพราะต้นไม้ยืนต้นเยอะเลยทำให้ร่มรื่น ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านล่างใกล้ๆกับโต๊ะของพวกสถาปัตย์ ก็เพื่อนๆผมที่เคยรู้จักมักจี่กันมาบ้าง หนึ่งในนั้นชื่อเถาก็พอจะคุยกันได้อยู่

พอมีเวลานั่งคิดเรื่องเฮียแกนกับพี่ท็อป จากที่ตามเสือก เอ้ย ตามสืบมาจากรุ่นพี่ที่รู้จัก พี่ตั้ม เป็นเจ้าของร้านเหล้าบริเวณหลังมหา’ลัย เจ้าตัวเป็นเพื่อนในกลุ่มของเฮียแกน เล่าให้ฟังว่าพี่ท็อปกับเฮียทะเลาะกันเรื่องผู้หญิง ผมแปลกใจจริงๆ เพราะไม่คิดว่าอย่างพี่ท็อปจะมีเรื่องมีราวเพราะสาว ผมหยิบโทรศัพท์ออกมากดเล่นฆ่าเวลา มองเห็นแชทของพี่ตั้มที่ทักมองชวนเรื่องออกทริปเคเอสอาร์ ผมยังไม่แน่ใจนักเลยไม่ได้ให้คำตอบอีกฝ่ายไป

“ไงสอง นั่งด้วยคน”ไอ้เถานั่นเอง มันส่งยิ้มมาให้ ผมพยักหน้า อีกฝ่ายนั่งลงข้างๆผม แล้วชี้ไปที่โต๊ะของมัน ผมมองตาม “อะไรวะ”

“เห็นเด็กคนนั้นป่ะ”มันกระซิบ ผมมองตาม ก็เจอกับเด็กปีหนึ่งผิวขาวรูปร่างผอมบาง จัดว่าตัวเตี้ยสำหรับผู้ชาย มีป้ายชื่อแขวนไว้ตามเคย ผมถอนสายตากลับมา “แล้วไง เด็กมึงเหรอ”ผมพูดขำๆ ไอ้เถาหัวเราพรืด

“เออ ชื่อมุ น้องรหัสกูเอง... สนใจไหม กูเป็นพ่อสื่อให้”อยู่ๆมันก็เสนอหน้ามาแนะนำรุ่นน้องให้ผมซะอย่างนั้น ผมเบ้หน้า “ไม่สนใจว่ะ”ผมตอบ

“จริงเหรอ นึกว่าแบบนั้นแนวมึงซะอีก”ไอ้เถาพึมพำ ผมเหลียวมองน้องมุคนนั้นอีกครั้ง เจ้าตัวยิ้มให้ผมอายๆ แนวนี้ หมายถึง แนวแอ๊บน่ะเหรอ คล้ายไอ้โยหน่อยๆ ลักษณะภายนอก ไม่สมชายนัก ผมหลุดยิ้ม

“ใครว่าล่ะ กูชอบพี่ท็อป วิศวะคนนั้นไง”ผมนึกขำขึ้นมา ที่ไอ้เถาไม่รู้เรื่องของผม อีกฝ่ายเลิกคิ้วมองถอนหายใจ

“แล้วไอ้ที่ลือ ๆ ว่ามึงมีเด็กด้วยเหรอวะ”ไอ้เถายื่นหน้ามาถาม ผมจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างสังเกตสังกา ลอบจับพิรุธมันไปพลาง ๆ

“...อืม ก็จริง ..แล้วทำไมวะ”ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจนัก ไอ้เถามองผมท่าทางเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง ผมแค่รอมันเปิดปาก

“ไม่กลัวหรือไง”ไอ้เถาส่ายหน้า มันเดาะลิ้นท่าทางกวนตีน  “กลัวอะไร”ผมหัวเราะ ถ้าเรื่องโรค ผมก็ป้องกันทุกรายอยู่แล้ว

“...มึงเอาไปเรื่อย เบื่อก็โละทิ้งอย่างกับขยะ ไม่กลัวโดนเอาคืนเหรอวะ”อีกฝ่ายพูด ผมถึงชะงักงัน หันไปมองหน้ามัน อีกฝ่ายจ้องหน้าผมอยู่ก่อน ที่พูดแบบนี้หมายความว่าไง ไอ้นี่ชักได้กลิ่นตุ ๆ ซะแล้วสิ

“กูไม่ได้ไปบังคับใคร พวกนั้นเต็มใจมาหากูเอง กูผิดเหรอไง”ผมไม่พอใจนิดหน่อย การที่ผมจะนอนกับใครสักคน อย่างน้อยก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ว่าจะได้แค่ไหน และไม่ใช่แฟนของผมแน่นอน ผมแปลกใจที่เห็นคนอื่นมาดิ้นกันเรื่องนี้ ราวกับว่าไปฝืนใจใคร

“...ไม่รู้สิ แต่คนอื่นไม่ได้คิดกับมึงแบบนั้นเสียหน่อย”ผมแค่นยิ้ม ว่าไปแล้วไอ้เถาเป็นเดือดเป็นร้อนจังนะ ผมไม่สนคำพูดนินทาเรื่องรสนิยมของผมจากพวกคนแปลกหน้าหรอก ไม่ได้มีผลกระทบต่อชีวิตของผมเลย

“กูไม่แคร์หรอกเว้ย" ผมหัวเราะไหวไหล่ไม่สนใจก่อนจะนั่งเล่นเกมส์ในมือถือต่อ แต่แล้วก็สะดุ้ง เมื่อรู้สึกถึงความเย็นที่ศีรษะ และคนที่อยู่ด้านหลังผม

“ใครวะ”ผมหันไปศอกใส่ แต่ไอ้นั่นมันหลบทัน เมื่อเห็นว่าคือใครผมก็ตาโต “เฮ้ยนี่มึง...”ไอ้แว่นนั่นไง มันอีกฝ่ายยิ้มบาง ๆ ในมือถือแก้วกาแฟไว้ ไอ้เวรนี่ เป็นใครมาจากไหน ผมขมวดคิ้วชักสีหน้าใส่ ลุกขึ้นยืนแล้วเอามือจับเส้นผมที่เปียกไปบ้าง ผมมองมันอีกครั้ง

ไอ้เถาเอ่ยเบาๆ “นี่พี่ยิม รุ่นพี่โรงเรียนเก่ากูเอง”มันหัวเราะ แต่ผมไม่ชอบน้ำเสียงของมันสักนิด ผมมองหน้าอีกฝ่ายที่จ้องหน้าผมตาไม่กระพริบ ไอ้แว่นนั่นน่ารำคาญจริงๆ

“กูไปโทรศัพท์ก่อนนะ”อ้าว ไอ้เถาลุกจากโต๊ะ ก่อนจะเดินมองหน้าจอโทรศัพท์ออกไป ท่าทางมีพิรุธลับลมคมในอะไรสักอย่าง ผมหันไปมองยิมหนุ่มแว่นด้วยรอยยิ้ม

“ไม่มีเรียนเหรอ”ผมถามแล้วจ้องหน้ามัน ผมไม่ชอบมันเลยจริงๆ

“เลิกเรียนแล้ว”มันยิ้ม

“เหรอ...”ผมไม่ค่อยอยากเสวนาด้วยเท่าไหร่นัก เลยเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง

“ไม่เข้าใจ ตกลงมึงเป็นคนยังไงกันแน่ เป็นพวกรักสนุกขนาดที่ว่าต้องนอนกับแฟนคนอื่นเลยหรือไง...”ยิมพูดอย่างไม่พอใจ สายตาหลังกรอบแว่นคราวนี้ปรากฏความไม่พอใจชัดเจน

หมายถึงใครนะ อ้อ พี่ท็อปน่ะเหรอ ผมหัวเราะออกมา แบบนี้สินะที่เรียกว่าพวกไม่รู้จริงแล้วเสือกเก่งมาพูด “ก็ตื่นเต้นดีนี่”

“..ระวังตัวไว้บ้างก็ดี”ยิมมองหน้าผมนิ่งๆ

“ทำไม พี่นี่น่าสงสัยนะ เหมือนเป็นคนเงียบๆ แต่ทำไมชอบเสือกจัง”ไอ้ยิมแค่ยิ้มกลับมา

“...รสนิยมพิลึก...นอกจากจะชอบนอนกับแฟนชาวบ้านแล้วยังมั่วไม่เลือก อยากจะรู้จุดจบของมึงจริงๆ”ผมชั่งใจกับคำพูดของยิม ท่าทางเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในน้ำเสียงนั้น

ผมไม่สนใจมันอีกต่อไป แล้วเดินไปทำงานต่อเพราะเสียเวลามานานแล้ว ยิมมันหัวเราะไล่หลังผม ยิ่งทำให้ผมประสาทเสีย
อะไรกัน  มันต้องการอะไรจากผมกันแน่ หรือว่า...เด็กผมสักคนจะเป็นแฟนมันหรือไง ก็ไม่แน่ คงต้องไปเช็คบ้างแล้ว ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ เห็นว่ามันเพิ่งย้ายมาอยู่หอพักเดียวกับผม อีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่านะ ผมต้องสืบเรื่องของมันให้ได้

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-06-2015 15:02:49
 :L1:  ขอบคุณที่มาต่อค่ะ
เห็นด้วย ออนท้อปไปเถอะพี่
เรทแบบตอนบทนำเหรอ เราว่ามันเป็นnc ที่แนวดีค่ะ เอาตามที่คนเขียนสบายใจอยากจะสื่อเลยค่ะ
เรื่องอื่นยิ่งกว่านี้นะ หุหุ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 19-06-2015 15:40:22
ออนท๊อป  :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 19-06-2015 15:57:07
ตอนนี้สนุกคับ อ่านไปหัวเราะไปกับบุคลิกกวนๆของตัวละคร เข้ากันดี ลุ้นเลยว่าคู่สอง ท็อป จะเป็นไปยังไง ๕๕๕ รอ รอ รออ่านตอนใหม่คับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 19-06-2015 16:38:12
ไม่แรงค่ะ ไม่แรงงงงงง มากกว่านี้ก็ด้ายยยยน๊าาา เค้าชอบ หุ หุ  :m10:
ยังยืนยันคำเดิมมมม คือชอบพี่ท๊อปมว๊ากกกก ชอบสองด้วยอ่ะ 5555

รอ ๆๆๆตอนต่อไปรัวๆๆๆๆ


หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 19-06-2015 16:42:23
‘น้องสอง เมียพี่ท็อป ’
55555555 5

ปล.ฉากเรทจัดเต็มเลอคร๊าาาา เค้าอยากเสียเลือดดดดด 555

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 19-06-2015 16:46:52
เฮ้ยยยยย อ่านแล้วโดน ชอบอ่ะ #ท๊อปสองสลับมั้ยยังไง ลุ้นๆๆๆ

อยากอ่านต่อแล้ววววอ่าา "พี่ออนท๊อป เอ้ย พี่ท๊อปปปปปป"

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: Ѷanᴉ££a ที่ 19-06-2015 17:00:49
สุดท้าย...

อกหัก แล้วได้เป็นแฟนกับแว่นแทน #ผิด #เค้าล้อเล่น
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 19-06-2015 17:18:52
ฮาดี
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 19-06-2015 18:29:33
เราสนุกกับการอ่านเรื่องนี้อ่ะ มาต่อไวๆ นะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: NY_JK ที่ 19-06-2015 20:00:46
ยังคงสงสัยในตัวหนุ่มแว่นห้องตรงข้ามสอง
แอบเชียร์พี่แกได้ป่ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: ♥♥ดอกช่อบานสะพรั่ง♥♥ ที่ 19-06-2015 22:06:27
น่าตามติด  :laugh:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 19-06-2015 22:44:25
สนุกอ่ะ
ฉากเรทจัดเต็มไปเลย อิอิ
รออ่ารจ้า
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: บี ที่ 19-06-2015 23:42:52
สนุกมากๆๆๆตามๆๆๆๆๆ. 5555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 19-06-2015 23:54:26
ลุ้นอ่ะ แต่ติดตรงพี่แว่นห้องตรงข้าม ว่าจะพริกโผป่าว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 20-06-2015 00:01:48
ขอจิ้นสองกับหนุ่มแว่น 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 20-06-2015 00:43:48
สงสัยว่าแว่นจะเป็นใคร
แตรเชียร์แว่นมากกว่า

บวกเป็ดให้ครับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-06-2015 01:15:13
สนุกค่ะ

ติดตามต่อไปว่าน้องสองจะเพลี่ยงพล้ำพี่(ออน)ท๊อปหรือเปล่า  :hao6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 20-06-2015 01:20:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 20-06-2015 08:02:39
อ่านตอนบทนำ ตบหน้าขาตัวเองดังปุ๊!!
ไม่อ่านได้ไงว่ะ นานๆ เจอทีนะ ลอบเช้ามาขย่มชาวบ้านเขาเนี่ย
ชอบๆ รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 20-06-2015 08:58:24
งานนี้มีแววจะได้เสียบพี่ท็อปรอบเดียวล่ะม้าง 55555555555
สองอ่อนว่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: Guill ที่ 20-06-2015 09:09:39
มารอติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: napatty ที่ 20-06-2015 09:46:23
ตลกสองอะ โดนแซวเกือบเสียศูนย์เลย55555 :laugh:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 20-06-2015 10:29:27
ขอให้ท็อปคู่กับสอง :call:สาธุ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 20-06-2015 10:36:34
พี่แว่นเร่ิมมีบทเยอะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: PaTtO ที่ 20-06-2015 11:42:44
น้องสอง...โถโถ สงสัยมีแววแค่รอบเดียว
พี่ท๊อปก็กล้าพูด เป็นผัวน้องเค้าเมื่อไหร่เนี่ย555
แอบเชียร์ผู้ชายห้องตรงข้ามอ่ะ เผื่อน้องสองอกหัก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 20-06-2015 12:57:00
เขียนได้สนุกดี น่าติดตามๆ
 :hao6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: ReiiHarem ที่ 20-06-2015 16:19:33
ชอบ ออนท๊อปปปปป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 20-06-2015 16:48:09
 :z13:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-2 #19.06.58
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 20-06-2015 18:26:07
รอดูว่า วิศวะ คนไหน 

สามีน้องสอง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 3 OnTop
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 20-06-2015 19:34:39
ตอนที่ 3 OnTop

ผมกลับมาที่ห้องเพ้นท์ก็เจอเพื่อนที่นั่งทำงานอยู่แค่สี่ห้าคนนอกนั้นก็ไปเที่ยวกันหมด รวมถึงไอ้โก๋ด้วย ผมเดินมาที่เฟรมผ้าใบ ไอ้ผิงคาบดินสอไว้ก่อนจะสไลด์เก้าอี้ล้อเลื่อนมาหาผม เพราะเฟรมของมันตั้งอยู่ทางด้านหน้า

 “ไง ผัวกลับก็นั่งเซ็งต่อ มึงเป็นอะไรวะพักนี้”ไอ้ผิงกระดิกเท้าของมันใกล้ ๆ อย่างกวนอารมณ์

 “ไม่รู้โว้ย แค่เซ็งๆ อีกอย่างนะมึง ไม่เชื่อหรอวะว่ากูเป็นผัวพี่ท็อป”ผมส่ายหน้า ไอ้ผิงหรี่ตามองผม แล้วดึงดินสอออกจากปากแล้วแกว่งไปมา

 “ไม่รู้ว่ะ มันก็กินกันไม่ลง แต่พี่ท็อปเขาพูดก่อนไง ใส่ก่อนได้เปรียบกว่าไง”ไอ้ผิงหัวเราะ เห็นเป็นเรื่องขำๆ ผมยันเก้าอี้มันออกห่าง

“แล้วมึงไม่เคยได้ยินว่าหัวเราะทีหลังดังกว่าหรือไงวะ”ผมหัวเราะก่อนจะเอนหลังกับพนักเก้าอี้ ไอ้ผิงทำหน้าคิด

 “อืม ไม่รู้ว่ะ กูไม่ยุ่งด้วยหรอก แค่แซวให้พอเป็นกระษัย คราวหน้าคราวหลังก็ตั้งกล้องไว้แล้วส่งมาให้กูดู จะได้รู้ไปเลยว่าใครพูดจริง”ไอ้ผิงตบเข่าฉาดใหญ่ โรคจิตแล้วเหอะ ผมโบกมือไล่มันให้ไปไกลๆ เพื่อกลับมามีสมาธิทำงานต่อ...

ตืด ตืด ตืด

โทรศัพท์สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง ผมหยิบออกมาดู เห็นว่าเป็นใครเลยยิ้มออกทันที OnTop ปรากฏอยู่บนหน้าเจอ

 “ครับพี่”ผมกดรับสาย ไม่ได้กระโตกกระตากดีใจอะไรมากนัก แม้ว่าใจจะลอยไปหาอีกฝ่ายแล้วก็ตาม

[เออ เย็นนี้มาหากูที่ห้องก็ได้นะ รออยู่] เจ้าตัวพูด ผมยิ้มกริ่ม มีความมุ่งหมายอะไรในน้ำเสียงนั้นหรือเปล่านะ

“ได้ครับ ไม่บอก ผมก็ไปหาอยู่ดี”

[อา... โอเค งั้นเจอกันนะ กูโทรมาบอกเฉยๆน่ะ ตอนนี้ถึงห้องแล้ว] พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ ผมยิ่งใจพองโตมากกว่าเดิม

“ครับ เจอกันครับ”ผมตอบ ก่อนจะวางสายไป ในเวลานี้เหมือนผมกลายเป็นเด็กน้อยที่กำลังมีความรัก เหมือนไม่ประสีประสาอะไร
หลังจากที่ทำงานอยู่ที่ห้องเพ้นท์จนมืด ผมหยิบนาฬิกามาดูเวลา ก็เลยหนึ่งทุ่มแล้ว เลยได้เวลาเก็บของ ในเมื่องานก็คืบหน้าไปตามที่หวังไว้ 

เมื่อกลับมาถึงห้องของพี่ท็อป ปรากฏว่าเจ้าตัวยังไม่ได้อาบน้ำ แถมยังไม่ยอมเปลี่ยนชุดอีก เหมือนกำลังเวลา ผมเลยต้องมาช่วยพี่ท็อปถอดกางเกงยีนส์ออก กลายเป็นเบ๊ไปแล้วจริง เจ้าตัวนั่งลงบนเตียง ผมดึงขากางเกงออกมาได้สำเร็จ เหลือบมองพี่ท็อป แล้วโน้มหน้าไปจูบแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ ได้กลิ่นน้ำหอมจางๆจากตัวของอีกฝ่ายแล้วใจสั่นขึ้นมา

“ฮึ่ม กูเจ็บอยู่ ทำมึงไม่ไหวหรอก”พี่ท็อปพึมพำ ไม่หลบเลี่ยงการดอมดมที่ข้างแก้ม เลื่อนต่ำไปที่ใบหู แหนะ มาทำเล่นมุก ผมหัวเราะ

“ผมทำได้นะ พร้อมเสมอ”ผมบอก เข้าไปคลอเคลียกอดจูบแบบทีเล่นทีจริง

“กูไม่อยากทำ”พี่ท็อปส่ายหน้าแล้วหัวเราะ ดันบ่าของผมออกห่าง ผมถอยออกมา “อืม จะให้ทำอะไรอีกเปล่าพี่ ผมว่าจะไปอาบน้ำแล้ว”ผมเก็บเสื้อช็อปกับกางเกงยีนส์พี่ท็อปไปใส่ตะกร้าหน้าห้องน้ำ

“อืม เดี๋ยวกูขออาบน้ำก่อนนะ ถ้ามึงอาบเสร็จแล้ว...มารอกูที่ห้องเลยสิ”พี่ท็อปบอกแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะตบมือลงกับเตียงเหมือนเชื้อเชิญ แววตาสีนิลทั้งสองข้างวาววับ 

 “ให้นอนกับพี่น่ะเหรอครับ”ผมถามย้ำ เน้นคำ “นอนเป็นเพื่อนเว้ย”พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ แล้วมองผมเหมือนมีแผน โบกมือไล่ผม

 “โอเคๆ งั้นเดี๋ยวผมมานะครับ”ผมบอกทิ้งท้าย แล้วเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง ผมเหลือบไปมองห้องตรงข้ามนิ่งๆ ห้องของมันเงียบสนิทเหมือนไม่มีคนอยู่ ผมไหวไหล่เลิกสนใจก่อนจะเปิดห้องตัวเองแล้วเข้าไปอาบน้ำ ชำระร่างกายให้สะอาด พี่ท็อป นี่ไม่เบาเลย แต่เจ็บตัวอยู่แท้ ๆ จะไหวเหรอ ผมขัดทุกซอกทุกมุมให้หอมฟุ้งแล้วออกมาแต่งตัวใส่เสื้อยืดสีเทากับสวมบ็อกเซอร์อย่างเดียวเท่านั้น

ผมกลับเข้ามาที่ห้องของพี่ท็อปแล้วล็อคกลอน เจ้าของห้องนั่งห้อยขาอยู่ริมเตียง ใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเหมือนกัน ผมยิ้มกริ่ม เดินมเข้าไปหา

“ยื้มห่าอะไร มาทายาให้กูเลย”พี่ท็อปบุ้ยใบ้ไปทางกล่องยา ผมเลยลากเก้าอี้มาวางตรงหน้าพี่ท็อปแล้วเข้าไปทายาฆ่าเชื้อให้ที่เหนือคิ้วกับที่โหนกแก้ม สีช้ำเลือดชำหนองเริ่มชัดมากขึ้น คาดว่าอีกอีกสองสามวันคงเบาลง อีกฝ่ายมองหน้าผมเหมือนคิดอะไรสักอย่างอยู่

“มีอะไรเหรอพี่”ผมถามเพราะเจ้าตัวนิ่งเงียบไป ทำท่าทางอึกอัก

“ไม่มีอะไรหรอก”พี่ท็อปตอบ ผมมองหน้าอีกฝ่ายแล้วยื่นมือไปแตะสัมผัสที่แผลเหนือริมฝีปาก พี่ท็อปยิ้มออกมา

“ทำไม อยากจูบกูล่ะสิ”อีกฝ่ายช้อนตามองผมอย่างจงใจ ผมแค่ยิ้มก่อนลุกยืนแล้วจับหน้าพี่ท็อปเงยขึ้นมา ด้วยใจเต้นรัว

“แล้วจูบได้ไหมล่ะ”ผมพูดเบาๆ แต่ไม่รอคำตอบ ก้มหน้าไปประกบปากกับพี่ท็อปแผ่วเบา อีกฝ่ายเผยอปากให้ ผมจึงสอดลิ้นเข้าไป พี่ท็อปตอบรับจูบผม เราจูบกันอยู่นาน มือของพี่ท็อปไม่อยู่นิ่ง เลื่อนลงมาเค้นคลึงกับร่างกายส่วนล่างของผมจนมันตื่นตัว
ก่อนจะดึงบอกเซอร์อย่างไม่ลีรอ แบบนี้ต้องรับผิดชอบด้วยล่ะ เจ้าตัวเล่นปลุกเร้าซะขนาดนี้

“...เตรียมเสียตัวแล้วเหรอ”พี่ท็อปหัวเราะเสียงแผ่ว แล้วดึงบ็อกเซอร์ลงต่ำอีก ผมไม่ตอบ เลื่อนมือไปสัมผัสส่วนแข็งขื่นของพี่ท็อปบ้าง ถึงได้รู้ว่าเจ้าตัวเองก็ไม่ได้ใส่ชั้นในเหมือนกัน ผมเข้าไปจูบต้นคออีกฝ่ายไปด้วย ผมกับพี่ท็อปปลุกอารมณ์กันไปสักพัก จนเจ้าตัวเอ่ยปากพูด

“...ช่วยพี่หน่อยสิ อยากว่ะ”พี่ท็อปเอ่ย น้ำเสียงบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เต็มอัดอั้น อีกฝ่ายมองผมเหมือนจะกลืนกิน

“ได้สิ”ผมบอกอย่างยินดี ก่อนจะดึงบ็อกเซอร์ลงต่ำอีก จนกระทั่งเห็นของพี่ท็อปแบบเต็มตา “จ้องขนาดนี้ อยากโดนเหรอ...”

“พี่นี่นะ...”ผมหัวเราะ ผมก้มลงไปละเลงลิ้นกับท่อนล่างนั้นอย่างใจเย็น หน้าท้องเกร็งเขม็งจนเห็นซิกแพคเล็กๆเด่นชัดขึ้น ผมขยับขึ้นไปเลียกล้ามเนื้อบนหน้าท้องของพี่ท็อปอย่างแผ่วเบาเพราะระวังรอยช้ำ ผมไม่กล้าเล่นอะไรมากนัก

“อา...สอง ช่วยพี่หน่อยสิ”พี่ท็อปพึมพำ เหลือบมองผม มือข้างถนัดยื่นมาสอดเรือนผมยาวที่ปล่อยไว้ออกไปให้พ้นใบหน้า ทำเอาผมจนวาบหวิวในใจ ผมไม่ตอบเพียงแต่ก้มลงเลียสัดส่วนนั้นของของพี่ท็อปอย่างจดจ่อ ก่อนจะจัดการใช้ปากเป็นเครื่องมือส่งผ่านความเสียวซ่านให้แก่อีกฝ่าย ผมโยกศีรษะขึ้นลงตามความยาว ดูดเลียปรนเปรออีกฝ่าย

“สอง...”พี่ท็อปเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ มือข้างนั้นจับศีรษะผมไว้ เหมือนบอกให้หยุด ผมชะงัก หยุดการกระทำ “...มีอะไรพี่”

“กูอยากเอามึงว่ะ”ผมตกใจที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาตรงๆ แววตาและสีหน้าของเจ้าตัวบ่งบอกว่าพูดจริง ทำเอาผมกลืนน้ำลายลงคอ ผมก้มมองท่อนล่างของอีกฝ่ายที่ยังคงปรากฏอยู่ในสายตา

“ว่าไงนะพี่”ผมถามซ้ำอีกครั้ง

“กูได้มึงเป็นเมีย อยากเอามึงไง ชัดเจนไหม”พี่ท็อปพูดย้ำอีกรอบ ก็ยิ่งซ้ำเติมความจริง ผมหน้าม้านไป ก่อนจะอึกอัก รู้สึกว่าอารมณ์เริ่มหดหาย

“คือ...พี่ ผมไม่อยากรับอ่ะ”ผมตอบเบาๆ ปกติคนที่ผมเคยมีสัมพันธ์ด้วยก็ตกลงกันมาตั้งแต่ต้นว่าใครจะเอายังไง ถ้าไม่ตรงสเป็คก็แยกทางไป แต่กับพี่ท็อปนั้น ผมชอบอีกฝ่าย

“แต่พี่ต้องการสองจริงๆ นี่ถ้าพี่ไม่เจ็บ พี่คงยอมให้สองไปแล้ว”พี่ท็อปพยายามเกลี้ยกล่อม หันมาใช้คำสุภาพชโลมใจผม นี่สินะ เขาว่าอย่าเผลอไผลไปกับผู้ชายที่ใช้คำหวานหูเวลาหลอกแอ้ม ผมลังเลใจ ไม่ทันได้คำตอบพี่ท็อปดึงตัวผมขึ้นมาบนเตียง ยื่นหน้ามาประกบจูบ ออกจะรุนแรงไปมาก แถมกัดปากผมไปด้วยราวกับจะหยอกล้อ ลิ้นร้อนลากเลียไปทั่วเรียวปากผมอย่างเชี่ยวชาญก่อนจะจาบจ้วงเข้ามาไม่หยุด จนแทบลืมหายใจ

อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้ผมได้พักหายใจนาน ถอนปากออก ก่อนจะจูบเข้ามาใหม่ มือข้างถนัดประคองต้นคอไว้ บดจูบลงมาหนักหน่วง จนแทบจะกลืนกินผมได้ จูบของพี่ท็อปรุนแรงและหนักหน่วงจนได้ยินเสียงสัมผัสจากกัน ผมกลับมีอารมณ์ขึ้นมาตามเดิม ใจเริ่มเอนเอง อีกฝ่ายคิดจะเคลมผมอย่างจริงจัง

“อื้ม...พอก่อน นี่พี่จะ...”ผมหายใจแรง กอบโกยอากาศ แต่ก็ยังคงรู้สึกใจหายไปแวบนึง พลางสบตากับอีกฝ่ายไม่กระพริบ

“อืม ครั้งเดียวเองน่า...ไม่เป็นอะไรหรอก”พี่ท็อปกล่อม ก่อนจะเลื่อนมือไปสัมผัสส่วนนั้นของตนเอง ลูบไล้ผ่านส่วนปลาย ทุกการกระทำล้วนอยู่ในสายตาผมทั้งนั้น ผมกลืนน้ำลายอย่างลำบาก รู้ตัวว่ากำลังตกหลุมพรางของเจ้าตัวจากนั้นอีกฝ่ายก็ยื่นนิ้วมือนั้นมาไล้ตามเรียวปากผมอีกที ผมคิดอะไรไม่ออก ทำเอาผมตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้ ไล่งับนิ้วมือของพี่ท็อป ให้ตายสิ พี่ท็อปก็ต้องมีดีบ้างแหละนะ ถึงผมจะไม่รู้สถานะบนเตียงที่แท้จริงของอีกฝ่ายก็เถอะ แต่สมัยนี้แล้วมันไม่ได้ตายตัวซะหน่อย

“ได้ไหม”พี่ท็อปถามก่อนจะปล่อยให้ผมงับนิ้วมือไว้จนได้ เจ้าตัวสอดมันเข้ามาในปากผม สารภาพตามตรง ผมใจแกว่งไปตั้งแต่อีกฝ่ายดึงผมมาจูบ เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้ ไม่ต้องคิดมาก ผมดูดเรียวนิ้วพี่ท็อป อีกฝ่ายก็เหมือนจะสนุกกับการให้ผมดูดนิ้ว

 “จะยอมให้พี่ไม่ได้เลยเหรอ ลองก่อนแล้วจะติดใจ"พี่ท็อปพูดแล้วยิ้ม เลื่อนมือมารั้งลำคอผมแล้วจูบฟัดเหวี่ยงกันพอควร พี่ท็อปขยับตัวไปชิดติดกับพนักเตียง ไม่ลืมหยิบหมอนมารองรับก่อนจะเอนตัวไปพิง ดึงให้ผมตามไปคร่อมด้านบน

“พี่เจ็บตัวอยู่ อย่าคิดจะใส่มาเชียว"พี่ท็อปปราม ปรายสายตาดุมาให้ ผมยิ้ม

“ รู้ครับ แค่ช่วยพี่”ผมเลยได้โอกาสช่วยพี่ท็อปปลดปล่อยอารมณ์ได้อย่างต่อเนื่อง ผมยื่นมือไปเคล้งคลึงกับท่อนล่างของอีกฝ่าย จัดการใช้มือรูดไปมาก่อนจะใช้เรียวปากจัดการอีกที

“อือ..”พี่ท็อปแค่หลับตา ส่งเสียงครางเป็นระยะ ผมมีเทคนิคอะไรก็งัดออกมาใช้ให้หมด

“อะ...ไอ้สอง”พี่ท็อปเกร็งขึ้นมา ก่อนจะส่งเสียงครางแผ่วในลำคอ อีกฝ่ายปล่อยของเหลวแห่งกามอารมณ์ออกมาจนหมด ผมผละออกจากของพี่ท็อป

“พี่ทำให้ผมบ้างสิ”ผมบอก แล้วยืดตัวขยับไปคร่อมตรงข้างหน้าพี่ท็อป เจ้าตัวมองผม

“พี่เจ็บปากอยู่... งั้นแค่ลิ้นก็พอ”ผมยิ้ม แล้วพยักหน้า ตอนนี้ยังไงก็ได้หมดนั่นแหละ เจ้าตัวใช้แค่ลิ้นเลียเท่านั้นแต่ก็ทำผมเกร็งได้ไม่น้อย

“อืม ..แบบนี้คงเสร็จช้าว่ะ เอาแบบนี้ไหม”พี่ท็อปเอ่ยขึ้นมา นัยน์ตาที่จับจ้องผมเหมือนมีแผน มือข้างถนัดยังกำรอบของผมไว้ไม่ปล่อย

“อะไรครับ”ผมก้มมอง พี่ท็อปยิ้มก่อนจะโอบลำตัวผมไว้ “ออนท็อปให้พี่สิ”สิ้นเสียงนั้น ผมรู้สึกหน้าม้านไหม้ไปแถบหนึ่ง วินาทีนั้นผมนิ่งงัน อารมณ์แทบหดหายไปในทันที ผมจ้องหน้าพี่ท็อป เจ้าตัวมองผมด้วยสายตาท้าทาย ผมกลืนน้ำลาย ผมส่ายหน้าช้าๆ แวบแรกผมกลัวนิดหน่อย คนมันไม่เคย

 “โธ่ พี่ พูดเล่นใช่ไหมเนี่ย”ผมเองก็ไม่อยากขัดใจพี่ท็อปหรอก แม้ใจจะเอนเอียงไปบ้างก็เถอะ ก็ขอเล่นตัวอีกสักหน่อย

“สองชอบพี่ใช่ไหมครับ"พี่ท็อปเปลี่ยนมาพูดเพราะกับผม ทำเอาใจหวิวทุกทีแบบนี้ต้องมีเป้าประสงค์ ซึ่งก็ชัดเจนซะขนาดนี้ 

“ชอบสิ ถามได้”ผมยิ้มตอบ อยากรู้จะมาเล่ห์ไหน

“หึๆ งั้นก็ออนท็อปให้สิ”อยู่ๆพี่ท็อปก็ยันตัวลุกขึ้นมา ทำให้ผมผงะตกใจ แต่อีกฝ่ายรวดเร็วกว่าคว้าสะโพกผมไว้แน่นเต็มมือ

“ก็เมมชื่อกูไว้แบบนี้นี่”พี่ท็อปหัวเราะเหมือนพอใจ ดันรู้อีกแหนะ ผมยังคงนิ่งอยู่ ขณะนั้นมือพี่ท็อปเริ่มอยู่ไม่สุขลูบวนเวียนอยู่แถวเนินก้นผมไปมา ปากสีเนื้อนั่นไม่ปล่อยให้เหือดแห้งเข้ามาจูบผมไม่ห่างจนเปียกชุ่ม ทั้งดูดทั้งกัดเลย จนผมเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมาเหมือนไฟจุดติดแล้ว ไหนว่าเจ็บอยู่ไง ที่ไอ้เรื่องแบบนี้ล่ะก็ ...รุกเข้าใส่แบบลืมเจ็บเลยนะ พี่ท็อปยิ้มกว้างมองผมด้วยสายตาเหมือนเสือจะกินเนื้อ อย่างว่า ผมนี่เนื้อนุ่มด้วยสิ 

ผมไม่ตอบอะไรและก็ไม่ขัดขืน เจ้าตัวคงรู้แล้วล่ะว่าผมยอมให้ พี่ท็อปเลยรั้งเอวผมไว้ ก่อนจะเข้ามาซุกไซร้โลมเลียผมต่อเหมือนของอร่อย “พี่อย่าทำรอยให้ผมก็พอ”ผมบอก ยอมให้พี่ท็อป จากนั้นถอดเสื้อกับสร้อยนาฬิกาที่ใส่ไว้ออก 

พี่ท็อปยิ้ม พยักหน้าแล้วเข้ามาจูบผมอีก แต่ชั่วขณะนั้นในใจผมก็ยังขัดแย้งกันอยู่ ก็คนมันไม่เคยมีครั้งแรกนี่นะ

“พี่เอาจริงสินะ”ผมเบนหน้าหนีพี่ท็อปที่ตามจูบไม่เลิก “ก็ถอดขนาดนี้แล้วยังจะต้องคิดอีกเหรอ”พี่ท็อปพึมพำ เลื่อนใบหน้ามาจูบตามลำคอ มือไม่ปล่อยให้ว่าง เลื่อนมาลูบไล้ตามท่อนขา เจ้าตัวขบเม้มตามผิวหนังจนเกิดเสียงให้จัก๊กจี้ เลื่อนต่ำลงมาที่ยอดอก ดูดเลีย จนผมเกร็งไปทั้งตัว ปล่อยเสียงครางออกมาจนได้ ผมสอดมือเข้าไปในเส้นผมของอีกฝ่าย พี่ท็อปยังคงละเลงลิ้นลงกับยอดอกสีเนื้ออยู่อย่างนั้น มืออีกข้างเลื่อนลงเล้าโลมกับท่อนล่างของผมที่ตื่นตัวเต็มที่

 เนื้อตัวผมเหมือนโดนไฟจี้ทุกครั้งที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายสัมผัส จากนั้นพี่ท็อปเอนตัวไปพิงกับหมอน เตรียมพร้อมให้ผมปฏิบัติภารกิจ

“เต็มที่เลยสอง พี่พร้อมล่ะ"พี่ท็อปมองผมแล้วยิ้ม ก่อนจะเอื้อมไปควานเอาคอนดอมในลิ้นชัก เเล้วแกะซองใส่ให้ตัวเองเสร็จสรรพ “ไม่ทำให้ตัวเองเหรอ เดี๋ยวพี่ช่วย”พี่ท็อปพูดยิ้มๆ ก่อนจะยื่นหลอดเจลอันเล็กกะทัดรัดให้ผม ทีแบบนี้มองผมตาหวานเชียว

“ตูดผม พี่ไม่ต้องห่วง”ผมหัวเราะก่อนจะบีบเจลอย่างเงอะงะ ผมเคยเห็นคู่นอนของผมทำอยู่หลายครั้ง ไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติจริง มันก็ออกมางกๆเงิ่นๆ หนำซ้ำต่อหน้าพี่ท็อปอีก อายฉิบ “ไหวไหม”พี่ท็อปถามอย่างเป็นห่วง ผมไม่ตอบสอดนิ้วที่ชโลมเจลไว้เยอะ ค่อยๆสอดเข้าไปอย่างรู้งาน พี่ท็อปยิ้มกริ่ม ผมหน้าแดงขึ้นมา เมื่ออีกฝ่ายเริ่มช่วยตัวเองไปด้วย ผมเม้มปากแน่น เมื่อพร้อมแล้วก็คร่อมอีกฝ่าย ยื่นหน้าไปจูบพี่ท็อปอีกครั้ง เจ้าตัวลูบไปทั่วตัวผมอย่างอดกลั้น

ผมจับส่วนนั้นของอีกฝ่ายตั้งฐานทัพ ระหว่างนั้นผมค่อยเป็นค่อยไปอย่างเชื่องช้า กดตัวลงไป เออ แต่ไม่เข้าง่ายๆ อันที่จริง ผมกลัวต่างหาก เลยไม่กล้าทุ่มแรงกดลงไปเสียมากกว่า แต่นานเข้า เป็นผมซะเองที่เริ่มหงุดหงิดแล้ว เลยปล่อยเลยตามเลยกดสะโพกลงไปทีละนิด รับรู้ว่าสิ่งแปลกอยู่ด้านใน มันชำแหรกเข้ามาจนเจ็บปวดแต่ก็ยังรู้สึกดี

“โอย..เจ็บ..”ผมหลับตาแน่น พี่ท็อปจูบผมอย่างแผ่วเบา อีกมือก็เข้ามากอบกุมส่วนตื่นตัวของผมไปด้วย ขยับมือสร้างอารมณ์ให้ผม ขณะนั้นผมค่อยๆขยับตัวปรับสภาพร่างกายให้รับกับสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในตัวอย่างช้าๆ จนเริ่มรู้สึกดีขึ้นจึงโยกตัวให้ลงไปลึกกว่านี้ ผมเกร็งแน่น ถอนหายใจแรง โอบลำคอของพี่ท็อปไว้เป็นหลัก เผชิญกับความรู้สึกแน่นอึดอัด รู้สึกว่ามันฝืดไปด้วยซ้ำ

“ไหวไหม”พี่ท็อปกระซิบ ผมพยักหน้า อดใจไม่ไหวเข้าไปจูบพี่ท็อปต่อ อีกฝ่ายลูบไปตามสะโพกผม ลูบไล้ไปยังขาอ่อน ผมปล่อยอารมณ์ให้ตัวเองไม่เกร็งก่อนจะโยกตัวอย่างช้าๆจนชินกับสิ่งแปลกปลอมที่ร้อน แข็ง และเหมือนจะกระตุกเล็กน้อย อา...ไอ้นั่นมันท่าจะชอบนี่นะ ผมโยกตัวต่อ ช่องทางนี้ไหวต่อความรู้สึก ผมหลับตาแน่น เริ่มขยับเป็นจังหวะที่เข้าที่เข้าทาง ฝ่ามือของพี่ท็อปจับอยู่ที่สะโพกคอยกำกับแรงและจังหวะให้ผมไปด้วย 

"อา..สอง แม่ง....”พี่ท็อปครางต่ำผ่านลำคอ ผมซุกหน้าลงกับต้นคออีกฝ่าย รู้ว่าพี่ท็อปพูดอะไร เมื่อกี้ได้ยินแว่วๆ หากไม่ฟิตก็แปลกล่ะ ผมจูบลำคออีกฝ่ายไปด้วยความอดกลั้น จนกระทั่งผมเริ่มชินจนทางสะดวกโยกตัวลงลึกกว่าเดิม

“อะ...”ผมร้องครางเสียงหลงเมื่อเจอเข้ากับจุดไหวสัมผัสของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะบดสะโพกลงไป ไหนๆก็เป็นฝ่ายรับไปแล้ว ลองทำสักครั้งก็ไม่เสียหาย ผม

“ยั่วเหรอ”อีกฝ่ายกระซิบ มองผมด้วยสายตาวาบวับ ผมยิ้ม นึกถึงแรงสัมผัสที่พี่ท็อปเคยขย่มผมไปคราวก่อน “พี่เคยทำ...โอ้ย...”ผมร้องคราง สูดปากไปด้วย เมื่ออีกฝ่ายแกล้งกระแทกเอวสวนขึ้นมาด้วย จนเกร็งเขม็ง ตอบรับแรงส่งของอีกฝ่ายไปด้วย

“อะ พี่...”อีกฝ่ายเริ่มคุมเกมส์เอง ขยับสะโพกสวนกลับมา ยิ่งถูกกระตุ้นก็ยิ่งตอบรับเข้าไปอีก ผมครางอื้ออึง ไม่ค่อยชอบความรู้สึกนี้เท่าไหร่ แม้ร่างงกายจะตอบสนองก็ตาม เลยชะลอจังหวะก่อนจะโน้มตัวไปกอดคอพี่ท็อปนิ่งๆ แบบนี้เครื่องพังหมด ไม่แหกก็บุญโข 

“พี่จัดการหน่อยดิ”ผมบอกขณะที่ยังโน้มตัวซบกับบ่าพี่ท็อป ไม่วายดูดเม้มไหล่พี่ท็อปไปด้วย พี่ท็อปรับคำแล้วยกสะโพกผมไว้ให้มั่นก่อนจะกระแทกเอวขึ้นสวนมาถี่ๆ ผมหลับตาแน่นไซร้พี่ท็อปไปพลางแก้ความเสียวที่ได้รับจากแรงด้านล่าง

อีกฝ่ายจับโพกของผมไว้คุมจังหวะให้ขยับลงมารับแรงกระแทกกระทั้นของเจ้าตัว จนผมหูตาพร่ามัว ยอมขยับสะโพกไปตามอารมณ์ พี่ท็อปครางต่ำก่อนจะกดลำตัวเข้ามาจนมิด ปล่อยความต้องการออกมาจนได้ ไม่ต่างจากผมที่เสร็จสมไปก่อนหน้านั้นไม่นาน ให้ตาย นี่ผมเสร็จโดยแทบไม่ต้องทำอะไรมาก ก็แค่ออนท็อป... แม้จะเจ็บตัวไปบ้างก็เถอะ สรุปแล้ว ไอ้การตกเป็นเมียเนี่ย ผมไม่ชอบเลยสักนิด!

...
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PaTtO ที่ 20-06-2015 20:10:33
 :a5:
เอาจริงหรอพี่ท๊อป
น้องสอง ซิงหนูไม่รอดแน่ๆ
ไม่พี่ท๊อป
ก็บุคคลน่าสงสัยอย่างพี่ยิมเนี่ยแหละ :laugh:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 20-06-2015 20:40:33
 :m28: :m28: :m28: สรุปใครพระเอกนร๊าาาาาาาาาาาาาาา..  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-06-2015 20:45:19
พี่ท๊อปดูจะเชี่ยวนะ  น้องสองจะรอดรึเปล่า ลุ้นๆๆๆ    :hao7:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-06-2015 20:49:18
หรือเรื่องนี้จะไม่มีเมะที่แท้จริง

พี่ยิมน่ากลัว. ทั้งหมดนี่เป็นแผนใช่ไหมอ่า.  :katai1:   
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ziqh.leo ที่ 20-06-2015 21:27:54
เหยยยยยยยแกกกกกก  :hao6: :hao6:
ยังไงๆ สรุปสองจะออนท๊อปไหม? 5555  :hao7:
แต่แอบสงสัยยิม มีอะไรลับลมคมในน้อ
ไม่ใช่ว่าท๊อปจะหลอกฟันสอง แล้วยิมมาพูดเป็นนัยนะ หึหึ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Sugar_Halloween ที่ 20-06-2015 21:33:35
ท็อป เธอต้อนน้องเหมือนต้อนกวางเชียว ตายๆ จะรอดมั้ยเนี่ย :haun4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 20-06-2015 21:33:38
ไอ้สองเอ้ยยยยย ได้ผัวหล่อแน่ๆ 555+
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 20-06-2015 22:27:07
จะรอดไหมเนี่ยะ  ลุุน ๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 20-06-2015 22:43:27
อ๊ากกกก สองจากผัวจะพลิกบทบาทมาเป็นเมียยยยยแล้วอ๋ออออ?
โอ้ยยยยย ลุ้นๆๆๆ จบได้ค้างมากกก

อยากจะบอกว่าติดเรื่องนี้ มว๊ากกกกกกกกก โอ้ยยชอบอ่ะ สองท๊อป เอะ หรือว่า ท๊อปสองง
5555555555

ปล.ยิมดูมีอัลไลๆๆเนอะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: NY_JK ที่ 20-06-2015 22:47:48
สองจะโดนจิ้มจริงเหรอ  :m20:
พี่ยิมชอบมาพร้อมกับปริศนา  :mew2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 20-06-2015 22:51:38
นู๋สองจะกลายเป็เมียพี่ท๊อปซะล่ะ ไม่น๊าาาาา รักษาประตูไว้ลูกกก ท่องไว้ ผัว เอ้ย สามีเท่านั้น ๆๆๆ 5555
ยิมนี่ดูแปลกๆๆอ่ะ อยากอ่านต่อแล้ว ตอนต่อไปเลยมั้ย แบบว่ามันค้างคาาาา 55


หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 20-06-2015 22:55:54
พี่ท๊อป จะให้ออนท๊อปซะล่ะ สองว่าไงอ่ะแกรร? ตกลงมั้ยยย   :m12:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 20-06-2015 23:24:22
เอาใจช่วยนะสอง จะโดนกดรึป่าว รออ่านตอนใหม่คับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Niinuii ที่ 20-06-2015 23:37:20
อู้ยยยยย น้องสอง ไม่น่ารอดๆๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 20-06-2015 23:41:56
โดนแน่เลยสอง  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 21-06-2015 00:17:40
ผลัดกันยอมขึ้นลง :z1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 21-06-2015 01:52:02
ใครๆ ก็หน้าสงสัยพอกัน ว่าแล้วเชียวสองไม่ได้รุกหรอก แผนชัว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-06-2015 01:54:28
อีแว่นยิมนี้แค้นอะไรสองอะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 21-06-2015 02:40:48
สองก็ยอมๆพี่เขาหน่อย ผลัดกันไง ไม่เสียเปรียบบบ
พี่ท็อปเจ็บอยู่นะ เห็นมั้ย 55555555555
รักเขาก็ยอมหน่อยสิเอ้ออ  :hao7:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 21-06-2015 03:03:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 21-06-2015 09:59:00
เชียร์ให้สองเป็นรับ ท่าจะมันส์กว่าเยอะ
ฮ่าๆๆๆอ่ะ สองชอบท็อป จัดเลย
รออยู่ฉากที่รอคอย
หรือว่าพี่แว่นก็เมียท๊อป เอ๊ะ ยังไง สองน่าจะจำเด็กในสังกัดได้น่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 21-06-2015 10:09:56
รอสองขึ้นออนท็อปอยู่นะ
 :impress2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 21-06-2015 10:44:21
ผลัดกันก็ได้..หรือจะ 3P กับหนุ่มแว่นข้างห้องอีกคนก็ได้นะ เค้าชอบ! :hao7:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-3 #20.06.58 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 21-06-2015 20:00:59
สองโดนแล้วไง
55555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 3 OnTop (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 21-06-2015 20:14:09
( ต่อ) ตอนที่ 3

“โอย....โคตรเจ็บเลย ไม่เอาแล้วนะ”ผมนอนคว่ำหน้าแล้วบ่นอู้อี้กับหมอน อันที่จริงที่ผมยอมขึ้นให้คือเห็นพี่ท็อปอยากจริง “ไม่ชอบเหรอ”พี่ท็อปหันมามองหน้าผมแล้วยิ้ม ยังมีหน้ามาถามอีก

“ไม่ค่อยอ่ะ...แต่ก็ได้อยู่...แม่งแสบว่ะพี่”ผมพึมพำ แล้วหัวเราะ เลื่อนมือไปกุมก้นของตัวเอง รู้สึกแสบร้อนที่ช่องทางของขึ้นมา มันเต้นตุบๆ ยิ่งเวลาขยับเดินนี่นะ แทบร้องจ๊าก และโชคดีที่ครั้งแรกไม่มีเลือด คงเพราะไม่ได้รุนแรงใส่เต็มแบบในหนังอะไรแบบนั้น ไม่งั้นคงได้แต๋วแตกกันบ้าง

“เสียดายของ ถ้าไม่ได้ใช้”พี่ท็อปหัวเราะแล้วเข้ามากอดผมไว้ ฝ่ามือวนเวียนลูบไล้แถวเนินก้นผมไปด้วย ผมเหลือบมองอีกฝ่ายนิ่งๆ 

“อย่าพี่ ไม่มีครั้งที่สองแล้วนะ”ผมปัดมือพี่ท็อปออก เมื่อมือนั้นบีบก้นผมเต็มแรง เต็มมือ

“โอเคครับ...”เจ้าตัวยอมปล่อย แน่ล่ะสิ พอได้ฟันผมไปแล้วก็หวานขึ้นมาเป็นกอง พี่ท็อปยื่นหน้ามาหอมแก้มฟอดใหญ่ จนผมรู้สึกถึงการตกเป็นรองขึ้นมา อีกฝ่ายยื่นจมูกมาเกลี่ยที่แก้ม

“เป็นเมียพี่จริงๆแล้วนะ”พี่ท็อปพูด เหลือบมองตาผม

“พี่ก็เมียผมนั่นแหละครับ”ผมบอก พลิกตัวมานอนตะแคงข้าง ขยับเข้าไปนอนหนุนบ่าอีกฝ่ายแทน

พี่ท็อปยิ้มมุมปากนิดๆ แววตานึกสนุกขึ้นมา “แล้วมันจะต่างกันไงวะ ในเมื่อก็ได้กันไปแล้ว จะไม่ให้พลิกได้อีกเลยเหรอ”อีกฝ่ายพูด ยกแขนมาโอบไหล่ผม ทำเอาผมคิดตามไปด้วย  คิดไปคิดมา ผมกับพี่ท็อปก็เป็นผัวเป็นเมียของกันและกัน อืม จะผลัดกันเลยดีไหมนะ ผมก็ไม่อยากเป็นรับแบบถาวรหรอก

“อืม ไม่รู้ล่ะ อยากรู้ว่าใครแน่กว่าใคร”ผมพูด มองหน้าพี่ท็อป แล้วยื่นหน้าไปจูบที่รอยช้ำเหนือโหนกแก้มเบาๆ ก่อนเลื่อนมาประกบจูบพี่ท็อปจนพอใจ

“หึ ตามใจ กูก็ไม่ซีเรียสขนาดนั้น”พี่ท็อปยิ้ม มองผมไม่วางตา

“เหรอ ก็ได้เค้าทั้งขึ้นทั้งล่อง จะไม่คุ้มได้ไง”ผมพูดความจริง อีกอย่างพี่ท็อปนี่ไม่น่าไว้ใจจริงๆ วันดีคืนดีเกิดอยากเสียบผมขึ้นมาอีกจะทำยังไง

“ปากดีนะมึง”พี่ท็อปก้มหน้ามาหมายจะจูบ แต่ผมเอนหลบได้ทัน “ก็แน่อยู่แล้วยังอื่นก็ดีด้วยนะ”ผมหัวเราะ

“ตูดฟิตใช่ไหม”พี่ท็อปสวนกลับมาทันที ผมได้ยินแล้วอ้าปาก คิดอะไรไม่ออก พูดเรื่องนี้ทีไรแล้วผมใจหวิวทุกที

“อะไรวะ เลิกเลยๆ”ผมผลักพี่ท็อปให้ออกห่างจากตัว คิ้วขมวดเข้าหากันทันที “หึ อะไรวะ นึกว่าจะแน่ ก็บอกเองนี่หว่า ด้วยความยินดี แล้วโวยวายทำไม”

 “ตกลงพี่อยากคบผมไหม”ผมหันมองหน้าพี่ท็อปอย่างจริงจัง พอผมเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เจ้าตัวแค่ยิ้ม คิดคำตอบอยู่นาน

“...ไม่รู้ว่ะ... รอได้เปล่า กูมีเรื่องจบไม่ลงอยู่ แต่เป็นมึงก็น่าสนใจดีนี่”พี่ท็อปเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะขยับเข้ามากอดผมไว้ ลักษณะเหมือนที่ผมเคยกอดบรรดาเมียๆทั้งหลาย ราวกับเห็นภาพทับซ้อน ฝ่ามืออุ่นของเจ้าตัวลูบไล้แก้มผมไปมา

"เรื่องไอ้บอม เฮียแกนน่ะเหรอ”ผมเอ่ย รู้สึกหงุดหงิดกับชื่อของสองคนนี้เสมอ ผมเงยหน้ามอง พี่ท็อปพยักหน้าให้กับคำถามของผมก่อนจะตอบเสียงนุ่มคล้ายกับปลอบประโลม

“อืม... เคลียร์ๆกับไอ้บอมก่อน”

“อ้าว แบบนี้เค้าก็เป็นชู้สิ ตายห่าแล้วไง”ผมแกล้งออดอ้อนกอดพี่ท็อปแน่นขึ้นไปอีก อีกฝ่ายแค่หัวเราะชอบใจ

“ไม่ใช่หรอก...”เสียงพี่ท็อปเอ่ยแผ่วเบา จากนั้นผมเผลอหลับไป พักหนึ่งพี่ท็อปทำท่าจะเสียบผมอีกรอบ ยังดีที่ผมไหวตัวทัน ตื่นนอนขึ้นมาก่อนที่พี่ท็อปจะจับผมแหกแข้งแหกขาอีก ผมบ่นอุบ “พี่แม่งน่ากลัว รับปากแล้วนี่”ผมผุดลุกมานั่งช้าๆ ความเจ็บแล่นขึ้นมาจากก้น พี่ท็อปหัวเราะแค่จะแกล้งผม เพราะเห็นนอนไม่ตื่นเสียที ผมมองเวลานี่ก็เที่ยงคืนกว่าๆแล้วด้วย
ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูรัวๆดังขึ้น ผมมองหน้าพี่ท็อป ใครกันมาเอาป่านนี้

“ใครอะ”ผมถาม

“เดี๋ยวกูไปดูเอง”ผมมองตามอีกฝ่ายที่ลุกเดินไปทั้งอย่างนั้น ใส่บ็อกเซอร์ตัวเดียวโท่งๆออกไปเปิดประตู ผมมองอย่างอยากรู้

“...มีอะไรอีก”ปรากฏว่าเป็นไอ้บอม ผมนิ่วหน้า มันมาทำไม ผมมองมันอย่างนึกสงสัย

“อะไรวะ ไอ้นี่อีกแล้ว มันไม่มีที่ซุกหัวนอนหรือไง”ไอ้บอมมองผมอย่างไม่สบอารมณ์ มันปากหมาอีก ทำเอาผมทำอารมณ์ไม่ดี

“มาทำไมวะ ไม่ได้นัดมา”พี่ท็อปพูดอารมณ์เสีย

“เออ กูก็อยากจบๆจะแย่แล้ว”มันกัดฟันพูด ผมเงี่ยหูฟัง ท่าทางจะเด็ดอยู่นะ ว่าแต่ไอ้บอมไปทำอะไรพี่ท็อปกันนะ พี่ท็อปหันมองผม ก่อนจะพูดหน้าตายว่า “ห้องไม่ว่าง”

“ไล่มันกลับไป”อ้าว ไอ้นี่ ผมเหลือบมองไอ้บอม ก่อนจะลุกออกจากเตียง “ผมกลับก็ได้นะพี่”ผมบอก

“อืม ออกไปก่อนนะ โทษทีนะ”พี่ท็อปหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ผมแค่รีบใส่เสื้อผ้าทันทีก่อนจะเดินออกไปจากห้อง พอได้ก้าวขาเดินถึงได้รู้พิษสงของการโดนเปิดวันแรก ปวดก้นพอตัวเลย แต่เก็บอาการไว้ ผมเหลือบมองหน้าไอ้บอม มันไม่พอใจผมเช่นกัน พอออกจากห้องพี่ท็อปมาก็เจอกับตัวมารอย่างยิมเข้าให้ มันกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ สายตามันเหลือบมองมาที่ผมไปด้วย ก่อนจะเดินหมุนกุญแจรถลงบันไดไป...เบื่อหน้ามันจริงๆ ผมเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง

ตืด ตืด ตืด

ไม่ทันได้นั่งลงกับเตียงก็ต้องหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ‘น้องโย’ ลืมไปว่ายังไม่ได้โละเบอร์มันออก แล้วโยมันโทรมาทำไมกัน ผมอารมณ์เสียขึ้นมาทันที ผมคิดอะไรอยู่ก่อนจะกดรับ

 [ ฮือ... พี่สอง] ทันทีที่กดรับปลายสายสะอึกสะอื้นเรียกชื่อผม นอกนั้นฟังไม่ออก ผมขมวดคิ้ว โยเป็นอะไรของมันกัน

“มีอะไร”ผมตอบกลับห้วนๆ

 [ฮือ ผมไปหาพี่ได้ไหม]

“...”ผมเงียบ อยากรู้มันจะมาไม้ไหนกัน

[พี่สองอ่ะ อย่าเงียบสิครับ ฮือๆ ผมไม่รู้จะโทรหาใครแล้ว ผมคิดถึงพี่คนเดียวเลย]

“เออ จะมาก็มา”ผมบอกตัดรำคาญ

[ฮึก... มารับโยหน่อยสิครับ โยไม่มีเงินเลยอ่ะ ฮือ.. ได้ไหมพี่สอง] เด็กเปรตจริงๆ อีกฝ่ายพูดไปร้องไห้ไป จนผมอดใจอ่อนไม่ได้

“แล้วอยู่ที่ไหน”โยตอบกลับมาบอกว่าอยู่แถวสี่แยกถนน xx ซึ่งไกลจากบ้านของมันมาก แล้วไปทำอะไรตรงนั้นกัน นี่ก็เที่ยงคืนกว่าๆแล้วด้วย ผมเป็นห่วงมันขึ้นมานิดๆ มันยังเด็กอยู่ม.4 เอง ให้เดาว่าต้องทะเลาะกับป๊ามัน ผมเลยต้องฝืนไปรับมันเพราะอาการเจ็บก้นแผงฤทธิ์แล้ว ผมเอารถเคเอสอาร์ไปรับโยที่สี่แยกดังกล่าว พอไปถึงโยมันร้องไห้ฮึกฮัก ก่อนจะเข้ามากอดผมแน่นๆ ยังอยู่ในสภาพเสื้อนักเรียนสีขาวแต่กางเกงลำลองขาสั้น

“...ฮือ พี่สอง..”ไม่รู้ว่ามันทำมารยาอะไรหรือเปล่า ผมได้แต่ถอนหายใจ

“รีบๆขึ้นมาเหอะ มันดึกมากแล้ว กูจะได้ไปส่งบ้าน”ผมบอก โยส่ายหน้ากอดผมแน่นไปอีก “ไม่เอานะ...โย ไม่อยากกลับบ้านตอนนี้ ป๊ายังโมโหโยอยู่เลย...”มันพูดอู้อี้กับท่อนแขนของผมแทน 

“งั้นขึ้นมาเร็วๆ”ผมบอกแล้วดึงมืออีกฝ่ายออก

ผ่านไปเกือบ15นาทีกว่าจะมาถึงหอพักของผมได้ มันสะอื้นมาตลอดทางคว้าแขนผมไว้ไม่ยอมปล่อย ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงปลอบมันมากกว่านี้ แต่โยมันทำตัวไม่น่ารักเมื่อวันก่อน ผมก็อดรำคาญมันไม่ได้ พอมาถึงห้อง ไม่ทันที่ผมจะถอดเสื้อแขนยาวออก โยก็เข้ามากอดผมทันที

“อะไรอีก”ผมถาม ไม่ได้ผลักไสอีกฝ่ายออกไป

“ฮึก...พี่สองอ่ะ... โยกำลังร้องไห้เสียใจอยู่นะ ไม่ปลอบหน่อยหรอ”โยเงยหน้าที่เงาวับไปด้วยน้ำตา ดวงตาทั้งสองข้างฉ่ำแดงและบวมอีกต่างหาก ผมถอนหายใจ

“กูปลอบใครไม่เป็น มีอะไรว่ามา”ผมดึงแขนมันออกแล้วเดินไปถอดเสื้อออกเหลือแต่บ็อกเซอร์ ตอนนี้ผมยังคงเจ็บแสบที่ก้นอยู่ ไม่มีอารมณ์มาเล่นสนุกกับโยหรอก เลยนั่งลงกับเตียงมองอีกฝ่ายที่เดินมาหา

“เกลียดโยแล้วเหรอ”

“ก็ไม่เชิง”ผมมองหน้ามันอย่างเต็มตา จึงได้รู้ว่า ผมยังโกรธมันอยู่ แต่ไม่ได้เกลียดอะไรมันหรอก

“พี่สองอะ โยทะเลาะกับป๊า ฮือ ดูนี่ ป๊าตีโยด้วย เป็นรอยเลย”โยถอดกางเกงให้ดูมีรอยแดงๆถลอกๆเป็นเส้นๆเหมือนรอยไม้ปรากฏบนก้นขาว

“ไปทำเรื่องอะไรอีกล่ะ”ผมถอนหายใจเพราะเคยฟังมันบ่นเรื่องทะเลาะกับป๊ามัน

“ก็เรื่องที่โยพา...ผู้ชายเข้าบ้าน”

“จะบ้าหรือไง ไม่เคยบอกแบบนั้น”ผมเอ่ยเสียงห้วน มองคนตัวเตี้ยกว่าด้วยสายตาไม่พอใจ อยู่ๆจะมาโบ้ยความผิดให้ผมคนเดียวก็ไม่ถูก ที่สำคัญผมไม่เคยบอกให้มันไปทำตัวแบบนั้นเลย

“ก็พี่สองบอกให้โยหาเพื่อนเยอะๆไง”อีกฝ่ายยังคงไม่ยอมลดราวาศอกให้ มันมองผมด้วยสายตากล่าวโทษ

“ก็ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ไปเอากับใครก็ได้ อ้อ ไม่ให้พาเข้าบ้าน รู้ทั้งรู้ว่าป๊ากับม๊าเคร่งเรื่องนี้ก็ยังจะพาไปอีก”ผมพูดอย่างเหนื่อยใจไม่คิดว่าโยจะทำตัวไร้สมองแบบนี้หรือว่ามันประชดใคร

“ก็เพราะพี่สองนั่นแหละ”โยยังยืนยันเหมือนเดิม ผมถอนหายใจ ไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายเลยสักนิด

“เพราะกู?”ผมถามเสียงกังขา

“ใช่ เพราะพี่ไม่สนใจโยไง โยถึงต้องไปหาคนอื่น”มันพูดอย่างน้อยอกน้อยใจสายตาที่มองมาดูตัดพ้อต่อว่าผม

“อย่ามางี่เง่า มึงไม่ใช่แฟนกู”ผมพูดห้วนๆตัดอารมณ์ของอีกฝ่าย มันทำท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีก ผมเริ่มรำคาญตอนแรกก็ว่าสงสารแต่ไปๆมาๆแม่งเป็นภาระจริงๆ

“ฮือ...พี่สองใจร้ายว่ะ ไม่รักโยหรอ”โยเริ่มโวยวาย แววตาทั้งสองข้างแดงก่ำ มีน้ำใสๆเอ่อล้นออกมาทีละนิด ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเรียนวิธีการแอคติ้งมาจากไหน แต่มันสมจริงมาก ผมมองมันอย่างเฉยเมย

“กูเคยพูดเหรอโย จำที่เคยบอกไม่ได้หรือไง”ผมพูด

“ก็รู้แล้ว...ก็นึกว่าจะชอบโยบ้าง เมื่อก่อนหวานกว่านี้อีก”โยมองผมไม่ละสายตาไปไหน

“ก็เมื่อก่อนไง”ผมบอก เมื่อก่อนมันทำตัวน่ารักกว่านี้ ไม่ค่อยมาวุ่นวายอะไรกับผม ตามที่ตกลงกันตั้งแต่แรกว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นก็แค่เรื่องเซ็กส์ไม่ต้องพูดถึงความรักความชอบอะไรทั้งนั้น

“จะเขี่ยโยทิ้งไม่ง่ายนะ”โยพูดอย่างไม่ยอมแพ้ แววตาคู่นั้นจ้องผมอย่างถือดี

“ลองดูไหมล่ะ”ผมท้า แล้วเดินเข้าไปหามัน โยแค่มองหน้าผมนิ่งๆและเบะปากทำท่าจะร้องไห้หนักกว่าเดิม

“เออๆ มึงเงียบเหอะ แล้วที่บ้านรู้ไหมว่าออกมาข้างนอก”ผมถาม ในใจสังหรณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก โยแค่ไหวไหล่ปาดน้ำตาออกไปจากแก้ม

“ไม่รู้ โยหนีมา”มันพึมพำไม่กล้าสบตากับผม คำตอบที่ได้ยินทำเอาผมควันออกหู รู้สึกว่าโยทำอะไรก็ขวางหูขวางตาไปซะหมด

“ห๊ะ ทำไมมึงทำแบบนี้ ให้ตายเหอะ มึงนี่...ไม่คิดว่าป๊าม๊าเค้าเป็นห่วงเลยเหรอวะ”ผมเกาศีรษะอย่างอารมณ์เสีย ป๊ากับม๊ามันยิ่งประคบประหงมมันยิ่งกว่าไข่ในหิน มันออกมาจากบ้านโดยไม่บอกกล่าวใครแบบนี้ ป๊ากับม๊าคงออกตามหากันวุ่น

“ก็โยไม่อยากอยู่บ้านแล้วนี่ คืนนี้โยขอค้างด้วยนะ นะๆ พี่สอง”โยเข้ามาจับแขนผม แววตาของมันดูอ้อนวอน ผมส่ายหน้า สะบัดแขนออกจากมือของอีกฝ่าย

“ไม่ได้ เดี๋ยวป๊าม๊าเป็นห่วง”ผมขมวดคิ้ว มองคนตัวเตี้ยกว่าอย่างหนักใจ  “...ไม่สนใจหรอก”โยบ่นอุบ เดินไปนั่งที่เตียงอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร

“โทรไปบอกซะ ว่าอยู่บ้านพี่ เค้าจะได้ไม่เป็นห่วง”ผมย้ำคำเดิมก่อนจะยื่นโทรศัพท์ไปให้ โยทำหน้าง้ำงอ ก่อนจะยอมรับโทรศัพท์จากมือของผมไป เฮ้อ ผมล่ะเบื่อจริงๆ

“ก็ได้ๆ...”มันทำหน้าบึ้งแล้วกดเบอร์ม๊าแล้วโทรออก ก่อนจะเปิดปากพูด “โหลม๊า...นี่โยเองนะ...อืม อยู่กับพี่...พี่ที่มหาลัย...ไว้ใจได้สิม๊า...เป็นเพื่อนอาเฮียอ่ะ ..อื้มๆ แล้วป๊าล่ะ...”เหมือนพูดอะไรกันไม่นานจากนั้นก็วางสายไป ผมเองก็ร้อนใจเลยถามมัน

“ว่าไงบ้าง”

“อืม ม๊าไม่โกรธโย มีแต่ป๊าแล้วกับอาเฮียเท่านั้นแหละที่เกลียดโกรธโยอยู่...”โยถอนหายใจ ก่อนจะคืนโทรศัพท์มาให้ผม อีกฝ่ายทำหน้าเบื่อหน่าย “ทำไมวะ”ผมถาม

“ก็...อาเฮียน่ะสิ รู้เรื่องที่โย..คบผู้ชายแล้วก็...ชอบนอนกับผู้ชายอะ อาเฮียเอาไปฟ้องป๊ากับม๊าแต่ป๊ากับม๊าไม่เชื่อ ก็เลยไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเท่าไหร่ จนมาเมื่อวานอยู่ๆป๊าก็ขอดูเฟสโย...แต่โยไม่ให้”ผมฟังเงียบๆ พอจะนึกภาพออกว่าปฏิกิริยาของครอบครัวมันเป็นยังไง

 “งั้นคืนนี้…”โยเปลี่ยนเรื่อง มันหันมามองผมด้วยสายตาแพรวพราว ผมส่ายหน้า

“นอนอย่างเดียวเถอะ ไม่งั้นก็กลับไปดูดเจี๊ยวไอ้บึกนั่นต่อ”ผมบอกอย่างหงุดหงิด โยเดินเข้ามาตีแขนผมหลายเพียะ “บ้าหรอ ไม่เอาแล้วอะ ชอบพี่สองมากกว่า ใจดี”โยยิ้มแล้วเข้าหอมแก้มผมฟอดใหญ่ ผมเลยปล่อยเลยตามเลยไม่อยากปากเปียกปากแฉะเอ่ยห้ามมัน

“กูจะเตะมึงให้เละคาตีนกูนี่ กูใจดีแล้วสินะ”ผมมองหน้ามันนิ่งๆ ไอ้โยยิ้มกว้าง ก่อนจะนั่งลงบนเตียงต่อตามเดิม

“อื้ม ก็ใจดีกว่าป๊าอีก เบื่อ ขอมานอนกับพี่สองทุกวันเลยได้ไหมอะ ไม่อยากอยู่บ้านแล้ว"โยทำหน้าบึ้ง มองผมเหมือนขอร้อง ผมจ้องมันเขม็ง “ไม่มีทาง กลับไปอยู่บ้านกับป๊าม๊ามึงนั่นแหละ”ผมบอก

“คืนนี้ไม่ได้เหรอ คิดถึงพี่สองจะตาย”โยพูดอ้อนๆก่อนจะขยับมาใกล้ ดูออกว่าไอ้โยมันต้องการอะไร แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์อยากจะทำอะไรกับมันหรอก ผมแค่ผลักมันออกห่าง

“นอนอย่างเดียว ไม่งั้นก็กลับบ้านไป”ผมบอกเสียงเข้ม มันทำหน้าไม่พอใจแต่ก็เถียงอะไรไม่ได้

“งั้นกอดก็พอ”โยบอกอย่างเอาแต่ใจก่อนจะเข้ามากอดผมแน่น ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ โยคือภาระของผมจริงๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 3 OnTop (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 21-06-2015 20:17:17
...


เช้าวันต่อมา ผมสะดุ้งตื่นจากการโทรมาปลุกของพี่ท็อป ผมแหกขี้ตามารับโทรศัพท์ในเวลาหกโมงครึ่ง ข้างกันนั้นมีไอ้โยนอนกอดผมไว้ไม่ปล่อยเลย ผมยกแขนเล็กๆของมันออกจากตัว ก่อนจะรับสายพี่ท็อป

“ครับพี่”น้ำเสียงของผมงัวเงียชัดเจนแม้ว่าจะพยายามทำเป็นสดชื่นก็ตามที คนปลายสายหัวเราะเบาๆ

[ซื้อโจ๊กให้หน่อย] พี่ท็อปสั่งจนผมนิ่วหน้า นี่ผมกลายเป็นเบ๊ของพี่ไปแล้วเหรอไง จะปฏิเสธก็ไม่ได้

“อืมๆ เดี๋ยวแวะไปหานะครับ”ผมตอบกลับไป ระหว่างนั้นก็ลุกจากเตียงเดินมาหยิบเสื้อผ้ามาสวมทับลวกๆ พี่ท็อปวางสายไปแล้ว คนบนเตียงขยับตัวตื่นมามองผม

“คุยกับใครอ่ะ แฟนเหรอ"โยงัวเงียถามแล้วลุกขึ้นนั่งมองด้วยใบหน้ายับยู่ยี่ด้วยความงัวเงีย ผมส่ายหน้า

“เปล่า”รู้สึกหงุดหงิดที่ต้องมาย้ำสถานะของตัวเองแบบนี้ โยทำหน้าประหลาดใจ

“อ้าว แล้วทำไมต้องโทรมาปลุก”ผมขมวดคิ้วกับการตั้งคำถามมากมายของอีกฝ่าย โยมันเซ้าซี้จริงๆ

“ไม่ไปเรียนหรอไง”ผมเปลี่ยนเรื่อง วันนี้เป็นวันพุธ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามันต้องไปโรงเรียน มาอยู่กับผมแบบนี้มันจะไปเรียนยังไง ผมไม่อยากให้มันขาดเรียนหรอก ไหนจะป๊ากับม๊ามันอีก ไม่อยากให้เรื่องยุ่งยาก

“ไม่ไปอ่ะ ขี้เกียจ”ไอ้โยส่ายหน้า แววตารั้นเอาแต่ใจ พูดอย่างไม่สนใจอะไร ผมมองมันเงียบๆ ทำไมมันทำตัวไร้สาระได้มากขนาดนี้นะ “อย่าดื้อสิ”ผมบอกปรามๆ

“ไม่ได้เอาชุดนักเรียนมา”ไอ้โยบอกก่อนจะล้มตัวลงนอนต่ออย่างไม่ใส่ใจ ผมยืนมองด้วยสายตาเอือมระอา ช่างเถอะ ในเมื่อมันไม่สนใจเรียน พูดไปก็ไม่เข้าหูมันหรอก

“อืม...ตามใจ”ผมไม่พูดอะไรอีกแค่เดินออกจากห้อง เบื่อจริงทำไมชีวิตผมต้องมาเจอเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ด้วย ผมไปซื้อโจ๊กมาให้พี่ท็อปกับโยด้วย รอไม่นานก็ได้โจ๊กร้อนๆกลับหอพัก เมื่อเดินกลับมาที่หอพร้อมกับถุงโจ๊กสามถุง ระหว่างที่เดินขึ้นบันได ผมสวนกับยิมอีกแล้ว มันเหลือบตามามองผมก่อนจะขมวดคิ้วมองที่ถุงในมือผม แล้วมันก็แค่นยิ้มออกมา...

อะไรกัน ผมหันไปมองมันงงๆ ก่อนจะเดินไปยังห้องของพี่ท็อป

“มาแล้วครับ... โจ๊กร้อนๆ”ผมบอก ขณะเดียวกันพี่ท็อปอาบน้ำเสร็จพอดี เดินโชว์หุ่นช้ำเลือดของตัวเอง และกำลังเช็ดผมไปมาแล้วเดินมาหา สายตาเหลือบมองถุงโจ๊กอีกสองถุงด้วยรอยยิ้ม

“อีกหนึ่งถุง นี่ของใครกัน อย่าบอกนะเอาเด็กมากกทันทีที่ออกจากห้องกู"พี่ท็อปเอ่ยด้วยรอยยิ้ม สายตาเหมือนเห็นเรื่องสนุก ผมรีบปฏิเสธ

“ไม่ใช่ครับพี่ ไอ้โยไง คนก่อนน่ะ”ผมบอก

“อ้าว นี่ยังแดกของเก่าอยู่แกเหรอ”พี่ท็อปทำหน้าล้อเลียนก่อนจะหัวเราะเบาะผมเบาๆให้ระคายหู

“แหมพี่ มันแค่มาหาที่ซุกหัวนอน เฮ้อ”ผมโอดครวญ รู้สึกเสียหน้าที่โดนพี่ท็อปปรามาส จากนั้นก็เลยเล่าเรื่องของโยให้พี่ท็อปฟัง

“อืม ระวังคุกนะมึง”พี่ท็อปมองผมด้วยสายตานิ่งๆ บอกเตือนผมด้วยน้ำเสียงปรามๆ ผมย่นคิ้วก่อนจะถอนหายใจ ผมก็ไม่ได้รู้สึกดีเรื่องไอ้โยหรอก

“นั่นสิ เสียวๆเหมือนกันเนี่ย”ผมพูดไปตามตรง มีลางสังหรณ์ว่าไอ้โยจะไม่ยอมเลิกยุ่งกับผมง่ายๆ สังเกตจากปฏิกิริยาเมื่อคืนแล้วก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

 “หึ แล้วแบบนี้จะขอกูเป็นแฟน ฝันไปเถอะ”พี่ท็อปส่ายหน้าพูด ก่อนจะเช็ดผมต่อไปเรื่อยๆมองผมด้วยแววตาเรียบเฉยจนผมใจหายวาบ

“โห พี่ ก็—”ผมยังไม่ทันแก้ตัวจบ พี่ท็อปก็พูดแทรกอย่างไม่ใส่ใจอะไร ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ  "ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่"

“ผมยังไม่ถามพี่เรื่องไอ้บอมเลยนะ"

“แล้วไม่ถามล่ะ รอให้ถามอยู่"

“....แล้วเป็นไงบ้าง"ผมถามทันที พี่ท็อปแค่ไหวไหล่ด้วยท่วงทีสบายๆ

“อืม อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวก็เลิก”อีกฝ่ายดูไม่แยแสอะไร ทำให้ผมแปลกใจว่าไอ้บอมมันไปทำอะไรให้พี่ท็อปกันแน่ อีกอย่างท่าทีของพี่ท็อปทำให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกอะไรกับแฟนรักเก่าแล้ว

“มันติดหนี้พี่หรือไง”ผมพูดติดตลกไปแบบนั้นแต่สีหน้าและท่าทางของพี่ท็อปเมื่อตอบผมกลับมาทำให้ผมหุบยิ้มทันที

“ใช่ มันติดหนี้กูอยู่”พี่ท็อปพูดนิ่งๆ แววตาดูแข็งกร้าวไปชั่วขณะ สีหน้าดูเหี้ยมขึ้นมา ไม่ค่อยได้เห็นพี่ท็อปแสดงอารมณ์แบบนี้เท่าไหร่ แค่ครั้งสองครั้งเองแค่เฉพาะเวลาที่ทะเลาะกับไอ้บอม


หลังจากนั้นผมกลับมายังห้องของตนเอง “หิวหรือยัง”ผมเอ่ยถามเด็กหนุ่มระหว่างที่เดินเข้ามาในห้อง โยเข้าตรงหรี่เข้ามาหาผมด้วยสีหน้าสดใส


“นานจัง โยรอจนไส้กิ่วแล้วเนี่ย”อีกฝ่ายเข้ามาจับแขนผมไว้แน่น แต่ผมชักสีหน้าใส่จนมันเองที่ต้องเป็นคนถอยห่างออกไปเอง 


“มากินได้แล้ว”ผมบอกน้ำเสียงเรียบเฉย แล้วเดินไปหยิบถ้วยมาให้โยก่อนจะเดินมาตั้งโต๊ะตัวเล็กให้อีกฝ่าย แค่นี้ก็ถือว่าผมบริการโยเต็มที่แล้ว


“พี่สองวาดรูปใครเหรอ หล่อดีนะ”โยถามเอ่ยถามอย่างสนใจ ขณะที่ผมกำลังแกะถุงโจ๊กเทใส่ถ้วยให้ ผมเงยหน้ามองมันเงียบๆ

“อย่ายุ่งน่า”ผมบอกห้วนๆ ไม่อยากให้โยมาวุ่นวายกับข้าวของในห้องผมแบบมั่วๆ ที่ผมเตือนไปก่อนหน้านั้นมันคงไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยสินะ ไอ้โยทำหน้าบึ้ง ย่นคิ้วเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจ

“ใจร้ายว่ะ คนนี้เหรอแฟนพี่”โยถามเสียงอ่อยๆแล้วมองหน้าผมนิ่งๆ ผมเลื่อนถ้วยโจ๊กหมูไปให้โย มันยิ้มดีใจที่ผมบริการมันดี

“ว่าที่แฟน”ผมบอกเน้นเสียง แล้วถอนหายใจออกมา “เหรอ…”โยพึมพำเบาๆ

“ตกลงจะไม่ไปเรียนใช่ไหม”ผมถามซ้ำอีกครั้ง ทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ไอ้โยพยักหน้าตักโจ๊กเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย “อืม โยอยากอยู่กับพี่สองมากกว่า”

“กูจะทำงาน ...ถ้าจะอยู่ก็เงียบๆ”ผมบอกอย่างเหนื่อยใจ ถึงจะห้ามเจ้าตัวก็คงไม่ฟังผมหรอก

“ครับ”โยมองหน้าผมอยู่นาน แววตาใสกลมโตนั้นแสดงความรู้สึกออกมาชัดเจน จนผมหวั่นใจ “มึงไม่ต้องมาชอบกูเลยนะ กูไม่รักมึงหรอก”ผมรีบพูดออกมาทันที โยทำไหล่ห่อ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ใจร้ายอะ..”โยก้มหน้าลงก่อนจะคนๆโจ๊กในถ้วยตนเองไปมาอย่างเหม่อลอยท่าทางราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ผมมองท่าทีของมันอย่างไม่สบายใจ

“ต่อไปก็ไม่ต้องมานอนกับกูอีกด้วย"ผมเริ่มเปิดประเด็น อีกฝ่ายเงยหน้ามองด้วยสายตาตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสายตาตั้งคำถาม

“อ้าว...ทำไมอะ”โยถามเสียงดัง

“กลับบ้านไปอยู่กับม๊า เป็นเด็กดีไปเหอะ เหลวไหลมามากแล้ว"ผมบอก ทำหน้าจริงจัง ผมเองอยากให้โยหยุดเรื่องที่กำลังทำอยู่ไม่ว่าจะกับผมเองหรือแม้แต่คนอื่นๆอีก ไม่อยากให้มันทำตัวแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้น อย่างน้อยผมก็ยังมีความห่วงใยให้มัน

“ก็เพราะใครกันล่ะ"โยโทษผมทันที ซึ่งผมก็คาดการณ์ไว้แล้ว ผมก็คิดว่าเป็นความผิดของตนเองด้วยส่วนหนึ่ง ที่ชักจูงมันเข้ามาสู่เรื่องคาวๆมั่วกามแบบนี้ แต่ผมไม่ได้บังคับหรือล่อลวงอะไร หรือทำอะไรที่ผิดกฎหมายเลยสักนิด โยก็แค่เป็นเด็กอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเซ็กส์ที่หาเอาจากที่บ้านหรือเพื่อนในรั้วโรงเรียนไม่ได้ อย่างที่บอก ผมรู้จักมันผ่านเน็ต ในเว็บไซน์เกย์เว็บหนึง โยตั้งกระทู้หนึ่งขึ้นมาแนะนำตัวและทิ้งรูปเปลือยๆไว้ ตอนนั้นผมก็แค่นึกสนุกเท่านั้นเองเห็นว่าโยมันอยากลองกับผู้ชาย... อันที่จริงมันก็ชอบผู้ชายนั่นแหละ และที่สำคัญมันเด็กและยังซิงๆอยู่แต่ไม่ใสซื่อเหมือนหน้าตาเลยสักนิด ผมเลยทักแชทมันไป แลกเบอร์แลกรูปกันแล้วนัดเจอ...ก็ตามลูปเดิมๆคือนัดมามีเซ็กส์แค่นั้น แต่โยมันตื้อผมเรื่อยๆ จนต้องยอมสนิทด้วย

“กูจูงจมูกมึงเหรอไง"ผมพูดเสียงดัง

“พี่สองชวนผมออกมาจากบ้านเองนี่"โยเถียงกลับ ผมเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมากับคำกล่าวโทษในน้ำเสียงของอีกฝ่าย

“อย่าพูดเหมือนว่ากูเป็นคนแรก "ผมมองหน้ามันนิ่งๆ เท่าที่ผมรู้ ก่อนหน้านั้นมันน่าจะเรียนรู้อะไรมาบ้างแล้ว ตอนแรกผมคิดว่ามันจะสดใหม่ แต่ก็นะ ไม่ทันได้คิดว่ามันคงไม่มีทางเวอร์จิ้นแน่ๆเพราะงั้นคงมาเล่นเว็บเกย์หรอก

“...ก็คนแรก โยรู้จักพี่คนแรก แล้วก็พาผมไปมั่วไง"ไอ้โยพูดอย่างดื้อดึง

“ไอ้โย!"ผมโมโห ที่จริงผมให้เกียรติทุกคนเสมอ ยกเว้นคนๆนั้นล้ำเส้นเกินกว่าที่ขีดไว้ ซึ่งผมก็ไม่ไว้หน้าหรอก

“...ไม่รู้ล่ะ ไม่งั้นโยจะฟ้องป๊ากับอาเฮียแน่ คอยดูเถอะ ถึงจะโกรธโย แต่สองคนนั้นก็ต้องจัดการกับพี่สองได้แน่นอน ลองดูสิ"มันพูดอย่างไม่เกรงกลัว ใบหน้าดูดื้อรั้น นั่นไงลางสังหรณ์ของผมมันแม่นจริงๆด้วย คงสายไปที่จะสลัดมันออกห่าง

“เออ เอาสิ คิดว่ากูกลัวเหรอ ถ้าไม่ใช่กูก็เป็นคนอื่นอยู่ดี อย่ามาอ้างว่าเป็นเพราะกูคนเดียว!"

“...พี่สองอะ ฮือ"โยกลับมาบีบน้ำตาร้องไห้อีกครั้ง ผมถอนหายใจเซ็งๆ แม่งไอ้โยจะเป็นภาระแก่ผมในวันหน้าแน่ๆ ผมเดินเข้าไปหามันที่โต๊ะอีกฝั่ง เข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้างแน่นๆ ก่อนจะก้มหน้าไปพูดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม ไม่อยากให้มันเตลิด

“ไอ้โย มึงจำข้อตกลงได้ไหม"ผมเอ่ย

“ได้..."โยพยักหน้า พูดเสียงแผ่วเบา แววตาสั่นไหวจ้องมองผมอย่างขอความเห็นใจ

“กูไม่เคยบังคับมึงนะ ..."ผมพูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินกลับไปที่นั่งของตัวเอง ก้มหน้ากินโจ๊กต่อ โยไม่ได้พูดอะไรอีก มันมองหน้าผมสักพักก่อนจะก้มหน้าก้มตาตักโจ๊กเข้าปากเงียบๆ

จากนั้นไม่นานโยออกไปซื้อขนมที่เซเว่นในซอยหอพัก ผมเลยถือโอกาสเดินไปหาพี่ท็อปในห้องถัดไป พอเข้ามาด้านใน พี่ท็อปยิ้มมุมปากเหมือนรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น  “ไง เด็กมึงงอแงหรอ"พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ

“ได้ยินด้วยเหรอพี่"ผมทำหน้าเซ็ง “ระวังเรื่องจะยุ่งนะ อย่าลืมว่ามันก็มีพ่อมีแม่"พี่ท็อปพูดเชิงสั่งสอน ผมแค่รับฟังเงียบๆ แต่ไม่อยากเอามาซีเรียสในตอนนี้ เลยเปลี่ยนเรื่องคุยแทน

“ไม่มีเรียนเหรอครับ”ผมถาม

“มี ตอนเก้าโมงนี่แหละ เออ ขอกุญแจรถหน่อยสิ น้ำมันรถกูหมดแล้ว"พี่ท็อปยื่นมือกระดิกนิ้วมาทางผม

“ให้ผมไปส่งเหอะ ขี่ไหวเหรอ"ผมถาม มองพี่ท็อปที่ยังคงมีร่องรอยของการพกช้ำตามใบหน้า เจ้าตัวส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมา

“หึ ไหวน่า กูไม่อ่อนแอขนาดนั้น”พี่ท็อปพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน ผมเลยต้องพยักหน้า ยอมแพ้

“อืม ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมพี่”ผมเอ่ยถามอย่างลังเล อีกฝ่ายมองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนจะผงกหัวให้ “ว่ามาสิ”

“พี่กับเฮียแกนมีเรื่องอะไรกันแน่..."ผมสังเกตว่าพี่ท็อป มีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาเล็กน้อย แววตาดูไร้อารมณ์

“..ก็แค่เรื่องผู้หญิงคนหนึ่ง นานมาแล้วล่ะ"ผมแปลกใจกับคำตอบของพี่ท็อป ยังจำเรื่องที่พี่ตั้มพูดให้ฟังคราวก่อนได้ดี แต่ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องผู้หญิง เรื่องชู้สาว

“...แย่งแฟนกันเหรอ”

“ไม่ใช่หรอก น้องไอ้แกนน่ะ...อย่าเพิ่งถามเลย ถ้าจบเรื่อง กูจะเล่าให้มึงฟังเองนะ”พี่ท็อปยิ้มบางๆก่อนจะยื่นมือมาลูบศีรษะของผมไปด้วยแล้วโยกๆ เหมือนผมเป็นตุ๊กตา ผมย่นคิ้วตาม

“ครับ แล้วพี่...ไม่โกรธเหรอ...เรื่องไอ้โยมัน..”ผมอึกอักนิดหน่อย

“อ้อ เด็กตุ๊ดนั่นน่ะเหรอ ทำไมกูต้องเอามาโกรธด้วยวะ ฮ่าๆ”พี่ท็อปยิ้ม ก่อนจะไหวไหล่ไม่ใส่ใจ ผมโล่งใจขึ้นมา

“...ก็นึกว่าจะ...”ผมพูดไม่ทันจบพี่ท็อปก็ดักซะก่อน “กูไม่ได้ไร้สาระขนาดนั้น  ...แต่ถ้าคิดจะเดินหน้าจริงจังกับกูล่ะก็...อย่าให้มีบ่อยๆล่ะ กูเบื่อมากกว่า อย่าให้กูต้องเจอคนแย่ๆอีกเลย”พี่ท็อปเอ่ยเรียบๆ เหลือบมองผมไปด้วย

“ครับพี่"ผมยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บแก้มพี่ท็อปเบาๆก่อนที่เจ้าตัวจะเพ่งกระบาลผม “หึ มึงนี่ได้ใจใหญ่เลยนะ”พี่ท็อปส่ายหน้า ดันตัวผมให้ออกจากห้อง

ผมกลับมาที่ห้องแล้วยังไม่เห็นไอ้โยยังไม่กลับมาอีก แค่ไปเซเว่นหน้าปากซอยแท้ๆ จนกระทั่งพี่ท็อปมาขอกุญแจรถจากผม ไอ้โยก็ยังคงไม่โผล่หัวออกมา

ตืด ตืด ตืด

ผมเห็นว่าไอ้โยโทรมาหา เลยกดรับสาย

“ทำไมไปนานจัง”ผมถามทันที คนปลายสายตอบกลับด้วยความอึกอัก

[พี่สองผมกลับบ้านก่อนนะพี่ ...ต้องไปหาม๊าอะ แค่นี้นะพี่] จากนั้นโยมันก็วางสายไปเลย ผมงุนงง ฟังจากน้ำเสียงของโยที่ดูเหมือนตื่นๆ และร้อนรนด้วย ผมสงสัยว่าเป็นอะไรของมันกัน พอนึกขึ้นได้ว่าบุหรี่ก็หมดอีก ผมเลยอยากเข้าไปตีสนิทยิมซะหน่อยดีกว่า ผมเดินออกจากห้องแล้วเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องฝั่งตรงข้ามกับห้องผม ผมเคาะประตูติดๆกัน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

รอไม่นานเจ้าของห้องก็ออกมาเปิดประตูด้วยสีหน้าแปลกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด "มีอะไร...."

"ขอบุหรี่สักสองสามตัวสิ มีหรือเปล่าวะ"ผมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม คนตัวสูงกว่าเล็กน้อยขยับแว่นก่อนจะจ้องมองมานิ่งๆ

“หึ มาขอกับกู... แล้วก็ช่วยพูดดีๆด้วย”มันปิดประตูใส่หน้าผมเต็มแรง จนเกือบหลบไม่ทันซะแล้ว ถ้าเข้าห้องมันได้ก็ดีนะ อย่างเข้าไปสำรวจเหมือนกัน

ก๊อก ก๊อก

ผมใช้สองมือเคาะ ว่าแต่มันไม่ไปเรียนหรือไงนะ ผมขมวดคิ้วสงสัย “อะไรอีก”คราวนี้ยิมมันไม่ได้ใส่แว่น มองไปแล้วก็ไม่ชินตาแต่ก็หล่อดี

“ก็บอกว่าขอบุหรี่หน่อย พี่ท็อปไม่อยู่แล้ว แล้วพี่ไม่ไปเรียนเหรอ"ผมยิ้ม มันทำหน้านิ่ง “เข้ามาสิวะ”และแล้วผมก็เข้าห้องมันได้ ผมมองรอบๆห้องมันก็ไม่มีอะไรมาก สะอาดเรียบร้อยดี ไม่มีของมาก ภายในห้องสี่เหลี่ยมมีเตียงนอนติดชิดริมห้อง ข้างๆกันมีตู้เสื้อผ้า และตู้เก็บหนังสือเล็กๆที่แน่นขนัดไปด้วยหนังสือเรียน

ยิมเดินไปหยิบซองบุหรี่ที่โต๊ะลิ้นชักก่อนจะโยนให้ ผมรับมามองเห็นว่ามีอยู่สี่มวนเอง “แต๊งมากๆ”ผมหัวเราะ ยิมมองหน้าผมนิ่งๆ

“แล้วไหนล่ะ....ของแลกเปลี่ยน"ยิมยิ้มมุมปาก ผมมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ  “โอเค ...ไม่ได้เอาเงินมาด้วยสิ ทำไงดีล่ะ"ผมบอก ทำเป็นมองไปรอบๆห้องอย่างสังเกตสังกา ยิมเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ผมเลิกคิ้วมองอย่างพิจารณา 

“...ไม่ต้องเป็นเงินก็ได้”อีกฝ่ายเอ่ยเรียบๆ แค่บุหรี่สี่มวนจะต้องเอาอะไรไปแลกนะ...หึ พูดเหมือนอ่อยผมเลย

“หึๆ ขอคิดก่อนนะ... อะไรดีว้า...”ผมทำหน้านึกก่อนจะเข้าไปหาแล้วยื่นหน้าไปจูบแก้มยิมเบาๆ ผมสังเกตในระหว่างนั้นว่ายิมมันตกใจยืนนิ่ง มีแววตาวูบไหวหลังกรอบแว่น ผมหัวเราะในใจแล้วเลื่อนไปจูบต้นคอของยิมบ้าง ทันใดนั้นยิมผลักผมออกเต็มแรง

“ไอ้สอง! ทำเหี้ยอะไร มึงนี่มันไม่เลือกหน้าจริงๆ”อีกฝ่ายตวาดใส่ แววตาโกรธเกรี้ยว ผมยิ้ม ไม่สนใจเท่าไหร่

“อะไรกัน แค่นี้เอง ผู้ชายไม่เสียหายหรอกน่า...อ้อ ใครว่าไม่เลือก นี่ก็คนตรงข้ามกันเอง สนิทๆกันเข้าไว้นะพี่ยิม...จะได้เสือกเรื่องผมง่ายๆไง”ผมยิ้มแล้วหัวเราะพอใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องของอีกฝ่าย ผมเห็นหน้ายิมก่อนจะปิดประตูแค่ยืนมองผมมองด้วยสายตาเดาไม่ออก ผมอารมณ์ดีเดินเข้าห้องตัวเอง ออกไปนั่งที่นอกระเบียงแล้วจุดบุหรี่ หยิบโทรศัพท์มากดเบอร์โทรของพี่ตั้มทันที รอสายไม่กี่ตู๊ด

“เออว่าไงไอ้สอง”

“ขอโทษที่รบกวนนะพี่ พี่รู้จักคนที่ยิมไหมครับ อยู่วิศวะเครื่องกลปีสาม”ผมรีบพูด เผื่อว่าพี่ตั้มจะเคยเห็นหน้าเห็นตา หรือไม่ก็เคยได้ยินชื่อ

“ไอ้ยิมเหรอวะ อืม เคยเจอนะแต่ไม่ค่อยรู้อะไรมาก ทำไม มีเรื่องกันหรือไง อยากให้กูช่วยสืบว่างั้น”

“ครับพี่ ได้ไหมอ่ะ พอดีอยากรู้ประวัติ แล้วก็ญาติพี่น้องยันผัวยันเมียมันเลยพี่”

“แหม ทำอย่างกับว่ากูเป็นโคนัน เออ แต่บอกไว้ก่อนนะ งานนี้ไม่หมู”

“ทำไมอะพี่”

“ก็มันอยู่แก๊งเดียวกับไอ้แกนไง” ดูเหมือนว่าผมกำลังหย่อนตีนลงในดงปูกล้ามโตๆให้หนีบเล่น ตั้งแต่พี่ท็อปเข้ามาในชีวิตผมมากขึ้นก็เจอแต่เรื่อง

“อ้าวเหรอ”ผมตกใจขึ้นมา รู้สึกว่ายิมไม่ใช่คนที่ผมจะไปเล่นแง่ด้วยง่ายๆ ในใจพลันนึกถึงพี่ท็อปขึ้นมา

 “เออ ได้เรื่องแล้วจะโทรหา”พี่ตั้มบอกทิ้งท้ายก่อนจะวางสายไป

เอาล่ะ...คราวนี้ผมจะระวังตัวมากขึ้นตามที่ไอ้ผิงบอก ตอนนี้ ไอ้ยิมดูเหมือนจะเริ่มเข้ามาวุ่นวายกับผมมากแล้วตั้งแต่มันย้ายมา ...ว่าแต่เป็นแผนของใครหรือเปล่านะ..? เกี่ยวกับพี่ท็อปหรือเปล่า เพราะยิมมันพวกเดียวกับเฮียแกน

เห็นทีจะต้องขุดหลุมดักทางหนุ่มแว่นที่แสนตื่นตูมนั่นหน่อยแล้ว นึกว่าจะเด็ด แล้วกล้าพูดนะว่าผมอ่อน ใครกันแน่วะที่โคตรอ่อน...  พอนึกพึงพี่ท็อปแล้วผมหน้าหมองลง คิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรให้ผมต้องผิดหวัง เพราะผมคิดดีแล้วว่าอยากเดินหน้าจีบพี่ท็อปแบบจริงจังสักที ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับพี่ท็อปจะดูแปลก ๆ ได้กันก่อนแล้วสานต่อทีหลัง แต่มันจะไม่ฉาบฉวยเหมือนตอนเริ่มต้นหรอก เพราะความรู้สึกของผมน่ะ ไม่เอามาล้อเล่นหรอก

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 21-06-2015 20:22:43
ชักมึนละ. อีรุงตุงนังดีแท้
น้องโยน่าห่วงสุด. ตัวปัญหาเลยอะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 21-06-2015 20:28:30
ยิมพี่ชายโยหรือเปล่า?
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 21-06-2015 20:33:09
ไม่ใช่ส่าพลิกล็อคยิมเป็นพระเอกนะ 555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 21-06-2015 20:59:19
คืออัลไลยังไง ท๊อปสอง สองยิม ยิมท๊อป(?) ดูยุ่งเหยิงมากกกกก
ความสัมพันธดูงงๆๆอ่ะ 555

ใครจะคู่กะสองละเนี่ยยย ท๊อปหรือว่ายิม  โอ้ยยรอตอนต่อไปปป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PaTtO ที่ 21-06-2015 21:03:59
น้องสองนี่น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 21-06-2015 21:05:41
อ่าาา สองไปแล้ววววว 5555
โดนอิพี่ท๊อปเปิดเลยไงง  แหม่ๆๆ ผลัดกันเนอะ

ยิมนี่คงไม่ใช้ว่าแอบชอบสองหรอกนะ  หรือว่ามีแผนการอะไรในใจ
โว๊ะะะ ๆ เรื่องนี้ เงื่อนงำเยอะจิง ท๊อป แกน ยิม เกี่ยวกันยังไง อยากรู้!!!
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 21-06-2015 21:08:59
จะเอาท็อปสองอ่ะ :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Sugar_Halloween ที่ 21-06-2015 21:12:26
ความสัมพันธ์คลุมเครือ o8 3P รึเปล่า อย่านะ :m15:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 21-06-2015 21:16:59
สอง ออนท๊อปซะล่ะ >//<

ยิมมมมมมมม น่าสงสัยอ่า คงจะไม่ 3P ใช่มั้ยยยยย ถ้าใช่ เค้าา......จะได้กรี้ดดดดดดดดด ว่า..ไม่เอาน๊าาาาา
ท๊อปสองเท่านั้นน 55555

ท๊อป แกน ยิม สามคนนี้วางแผนเล่นเกมส์อะไรกันอยู่หรือเปล่า
โดยมีสองเป็นตัวล่อหรืออะไรยังไง ทำไมรู้สึกว่า สามคนนี้พยายามดึงสองให้สนใจตกลงไปในหลุมพรางไงไม่รู้
(เอะหรือตรูคิดลึกคิดมากกกกไป55555)

รอลุ้นตอนต่อไปรัวๆๆๆๆๆ  :ling1:
ปล.1 มาทุกวันเลออออ ชอบมว๊ากกกกกกกกก
ปล.2 ตอนนี้สองดูแรดดอ่ะ รู้ยังง!! (วิ่งไปฟ้องพี่ท๊อปแปป) หอมแก้มยิมนี่คืออัลไล อ่อยช่ะ? 5555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 21-06-2015 21:37:16
รอ ติดตามตอนใหม่คับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 21-06-2015 21:55:42
 :really2: :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ziqh.leo ที่ 21-06-2015 22:20:54
โอววว ไม่คิดว่าน้องสองจะยอมออนท๊อปนะเนี่ย 555
รอตอนต่อไปค่า เป็นอะไรที่งงงวยมากในเรื่องของความสัมพันธ์
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 21-06-2015 22:38:25
สองเอ้ยยย หันไปเอาดีทางออนท็อปเถอะ น่าจะรุ่งพุ่งกระฉูด

ยิมโคตรแปลก คิดไม่ออกเลยมาปมไหน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 21-06-2015 22:40:55
อยากรู้เหมือนสอง ตกลง ใคร เกี่ยวข้องกันยังไง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 21-06-2015 23:01:33
 :try2: เอิ่ม เริ่มสับสนอ่ะ ตกลงว่าใครมีอดีตอะไรยังไงกัน แค้นกันไปแค้นกันมาเนี่ย
แล้วอีน้องโย เอ็งเป็นไรมากป๊ะ ทำตัวมีพิรุดนะเราอ่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: QXanth139 ที่ 21-06-2015 23:52:11
อีรุงตุงนังมากกกกก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 22-06-2015 00:26:31
 :katai1: :hao7: :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 22-06-2015 00:29:41
สลับซับซ้อน
เดาไม่ถูกเลย
555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: BoolinMini ที่ 22-06-2015 03:36:36
โยนี่ตัววุ่นวายในอนาคตหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 22-06-2015 11:17:16
เล่นกับยิมมากระวังจะโดนยิมจับออนท็อปมั่งหรอก :hao3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 22-06-2015 15:35:50
ยิมนี่จะเป็นเฮีย ของโยรึเปล่า

เฮียแกนก้เป็นอริกับท็อปนั่นแหละ  ส่วนยิมคือเเก๊งเดียวกับเฮียเเกน  แล้วก็ไม่ชอบสอง ที่มานัวอยู่กะน้องชาย  เลยสัมพันธ์กันอิรุงตุงนัง    ใช่ไหมมมมมมมม    แต่เราขอให้ซับซ้อนกว่านี้     ส่วนตัวโคตรจะพุ่งเป้าไปที่เฮียแกน  คืออยากรู้แบบสุดอะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 22-06-2015 17:26:35
ยกนี้ถือว่าเสมอ 1 : 1 เลยแฮะ 5555555555555
มาดูกันว่านี่จะเป็นครั้งแรกหรือครั้งสุดท้ายของสองกัน 555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-06-2015 23:42:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 23-06-2015 00:33:08
เรื่องชักจะซับซ้อน แล้วน้องสองก็กำลังเล่นกับไฟหรือเปล่า

ระวังหลังดีๆนะ   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #ก่อเหตุอีกครั้ง-4 #21.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: BlackClover ที่ 23-06-2015 11:49:24
แอบเชียร์ยิม..ไม่รู้สิมันดูลึกลับน่าค้นหาดี  แล้วรู้สึกชอบใจตั้งแต่เปิดตัวล่ะ
คิดเหมือนกันว่า ยิมเป็นพี่ของโย ...ดูจากชื่อ+ ที่บอกว่าพี่ชายย้ายออกไป
ไหนจะุตอนเอาน้ำไปราดหัวอีก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 4 เล่ห์กล
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 23-06-2015 14:02:59
ตอนที่ 4 เล่ห์กล

ผมเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมไปปั่นงานต่อที่คณะ แต่เมื่อเดินมาถึงโรงจอดรถบริเวณข้างหอพัก ดันลืมไปได้ว่าพี่ท็อปเอารถผมไปใช้ ผมกดโทรศัพท์หาไอ้ผิงแต่มันเสือกไม่รับอีก สงสัยตายห่าไปพร้อมๆงานมันแล้วแน่ๆ ในเวลาเดียวกันนั้น สายตาผมเหลือบไปเห็นยิมกำลังเดินออกมาจากหอพักใส่รองเท้าอยู่พอดี

 “เฮ้ย พี่ยิมครับ จะเข้ามอเหรอ ให้ผมติดรถไปด้วยนะ”ผมถามเมื่อยิมเดินมาที่โรงจอดรถ ในขณะที่อีกฝ่ายเดินหน้านิ่งไม่สนใจผม

"..."เมื่อไม่ได้รับคำตอบผมเลยตื้อต่อไป “พี่แว่น เอ้ย พี่ยิม ขอติดรถไปด้วยได้ไหมครับ ผมต้องไปทำงานที่คณะ โทรหาเพื่อนไม่ติดเลยสักคน”ผมเดินไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น ทำหน้าละห้อยเพื่อเรียกคะแนนความสงสาร ยิมเหลียวมามองผม คิ้มขมวดมุ่น

“...มึงเป็นคนยังไงกันแน่วะ”ยิมพูดแล้วมองหน้าผม สีหน้าดูสับสนก่อนจะกลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิม ผมครุ่นคิดกับคำถามของยิมและแปลกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายถามแบบนี้

“ฮ่าๆ จะให้ผมตอบจริงๆหรือไงกัน ผมว่าพี่มีคำตอบอยู่แล้วล่ะ --แล้วนี่จะให้ผมติดรถไปด้วยไหม”ผมยิ้มกว้าง ยิมแค่ถอนหายใจ ก่อนจะมองนาฬิกาที่ข้อมือซ้าย

“จ่ายมาก่อน”คำพูดของยิมทำให้ผมต้องมองหน้าอีกฝ่ายงงๆ ยิมโยนหมวกกันน็อคสีขาวมาให้ “เงินเหรอ...หรือว่าจูจุ๊บ?”ผมแกล้งหัวเราะเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อหยอกล้อแต่ยิมนิ่งไม่ได้ขยับ

“500 เอามาให้กู”

“ห๊ะ เยอะจังวะ”ผมยิ้มกว้างสวมหมวกกันน็อคแล้วหยิบกระเป๋าเงินออกมา นับแบงค์ร้อยให้ห้าใบ ยิมแค่ยิ้มนิดๆก่อนจะรับเงินใส่กระเป๋าแล้วหันไปเสียบกุญแจรถแล้วถอยออกมา

โห เอาจริงด้วยเว้ย นึกว่าขำๆ หมดกันค่าข้าวค่าสีค่ากระดาษ  ยิมสตาร์ทรถก่อนจะเบิ้ลสองสามครั้ง “...ขึ้นมา”

ผมรีบขึ้นไปซ้อนท้ายอีกฝ่ายทันที ตอนออกตัวก็ไม่บอกไม่กล่าวเลย ผมเกือบหงายหลัง ในหัวครุ่นคิดเรื่องของอีกฝ่ายอยู่ หึ ต้องตีสนิทให้ตายใจแล้วค่อยตลบหลัง ยิมขี่รถได้ถูกกฎจราจรจริงๆขับช้าด้วย ไม่รู้ว่าจะแกล้งหรือไง ดีนะที่โกหกไปว่ารีบ ถ้าชั่วโมงเร่งรีบจริงๆผมคงพ่นไฟ

ยิมจอดรถที่หน้าคณะผม

“ขอบคุณมากครับ”ผมถอดหมวกกันน็อคแล้วยื่นให้อีกฝ่าย ที่แค่มองหน้าผมนิ่งๆ ไม่ออกรถไปสักที ผมเลยจ้องกลับบ้าง จะเล่นเกมส์หรอไงครับ ใครหลบตาคนนั้นแพ้

“...ระวังตัวไว้บ้างก็ดี ขอเตือนไว้ก่อน”จากนั้นก็บิดรถออกไปด้วยความเร็ว ทิ้งให้ผมโมโหโกรธาอยู่ฝ่ายเดียว อุตส่าห์รู้สึกดีกับมันซะหน่อย คำพูดน้ำเสียงของมันยังสะท้อนอยู่ในหัว...เตือนงั้นเหรอ...มันเตือนผมเรื่องอะไรกัน...ผมนึกไปถึงคำพูดน่าสงสัยของไอ้เถากับยิมตอนที่อยู่ร้านกาแฟ

เอาสิ...ผมจะรอดูน้ำยาของมันว่าจะไปได้สักกี่น้ำ คิดจะขู่ผมเหรอไง ผมแค่นหัวเราะออกมาก่อนจะเดินเข้าคณะไปตึกจิตรกรรม เดินผ่านลานกลางระหว่างอาคาร แดดยามสายช่างกัดกินผิวหนังจริงๆ ผมเดินไปซื้อลูกชิ้นนึ่งมาสามสี่ไม้กับข้าวเหนียวหมูปิ้งร้านประจำ ขณะที่กำลังจะควักเงินจ่ายคนขาย แขนปริศนาก็ยื่นเงินชิงตัดหน้าผมไปซะก่อน “นี่ครับ”ผมหันไปมองคนที่ยืนข้างๆ ก็เจอกับร่างสูงชะลูด กับหน้าออกฝรั่ง ผมหยักศกประบ่า

“เฮียแกน”ผมตกใจนิดหน่อย ไม่รู้ว่ามายืนข้างๆผมตอนไหน

“เออ ทำไมวะ ตกใจอย่างกับเห็นผี”เฮียแกนหัวเราะแล้วรับเงินทอนกลับมา ผมถือถุงของกินที่ผมซื้อ ไม่สิ เฮียแกนออกให้

“ขอบคุณนะเฮีย ทำไมใจดีจังล่ะเนี่ย”ผมหัวเราะแบบเสแสร้ง มาเงียบๆข่มผมได้ไม่น้อยเลย เฮียแกนชี้ไปที่โต๊ะไม้ริมทางเดิน ผมเดินไปนั่ง

“มาปั่นงานหรอไงมึง”

“ครับเฮีย ยังไม่ถึงไหนเลย”ผมยิ้มแล้วมองหน้าเฮีย ที่มีรอยช้ำจางๆที่เหนือโหนกแก้ม ผมยังจำคำพูดของตัวเองได้ดี เฮียแกนคงลืมไม่ลงพอกัน

“เออ เร่งหน่อยเดียวก็เผางานกันพอดี...แล้วมึง...เป็นยังไงบ้างวะ”เฮีอแกนขยับมามองหน้าผมก่อนจะกอดอกฟังผม

“ก็เรื่อยๆอะเฮีย ผมก็ชิวล์ตามประสานี่แหละ แล้วเฮียล่ะสบายดีไหมครับ”ผมถามจ้องหน้าอีกฝ่ายกลับอย่างไม่เกรงกลัว อีกฝ่ายแค่ยิ้มสุภาพมาให้ก่อนจะเงียบไปนานไม่ได้ตอบคำถามของผม เฮียแกนสบตาผมนิ่งๆ

“...กูถามจริงๆ ทำไมต้องหักหน้ากูขนาดนั้นวะ”

“หักหน้าอะไรเฮีย ผมแค่...ไม่อยากให้เฮียถูกนินทาลับหลังแย่ๆ เฮียก็รู้อยู่แก่ใจว่าทำไม”ผมพูดก่อนจะถอนหายใจ ยังจะวกมาเรื่องชกวันนั้นอีก ผมเริ่มเบื่อขึ้นมา

“ไอ้สอง ดูถูกกูเกินไปหรือเปล่าวะ...กูกับไอ้ท็อปมีเรื่องกันมาตั้งนานแล้ว กูตั้งใจจะตัดสินกันวันนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่มึงมาขวาง”

“แล้วพี่ท็อปรู้หรือเปล่าว่าเฮียจะตัดสินน่ะ...ให้มันแฟร์ๆกันหน่อยดิเฮีย ผมชื่นชมเฮียมาตลอด เฮียน่าจะรู้นี่”ผมพูดความจริง ใครๆก็ชื่นชมเฮียแกนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะด้านการเรียน ความสามารถในการคุมคนอย่างผู้นำเชียร์ ประธานสโมฯในรุ่นก่อนๆ

“มึงก็ต้องเข้าข้างผัวมึงอยู่แล้ว...”เฮียแกนพ่นลมหายใจแรงแล้วแค่นยิ้มหัวเราะเบาๆ ผมมองหน้าอีกฝ่าย “งั้นผมก็ขอโทษด้วยแล้วกันถ้ามันทำให้เฮียขายหน้ามากนัก”

“มึงนี่เก่งนะ เก่งจริงๆ”เฮียพูดนิ่งๆ ผมถอนหายใจแรงๆ ผมไม่อยากมีปัญหากับเฮียเลยจริงๆ

“ขอบคุณนะเฮียสำหรับมื้อนี้”ผมชูถุงของกินขึ้นมา ใครจะหาว่าผมหน้าด้านไม่สนล่ะครับ ออกให้ผมเอง ผมไม่ย้อนถามหรอกว่าจ่ายให้ทำไม ผมลุกขึ้นยืนเตรียมเดินไปยังห้องเพ้นท์

“...เก่งแต่เรื่องเหี้ยๆ... กูแค่สงสัยว่ามึงอยู่รอดมาถึงวันนี้ได้ยังไง”ผมชะงักกึก เฮียแกนหมายถึงเรื่องอะไรกัน...จะว่าไปเรื่องเหี้ยๆที่ผมทำก็เหี้ยไม่เท่าที่เฮียแกนทำ ผมหมุนตัวกลับแล้วเดินไปหาเฮียแกนที่นั่งมองผม

“เฮียต้องการอะไร”ผมถามตรงๆ ยังไม่อยากเผยไต๋ออกไปก่อน

“ก็แค่เตือนว่าเด็กมันมีพ่อมีแม่นะโว้ย ทำลูกชายบ้านนั้นเสียคนขนาดนั้นมึงรับผิดชอบไหวหรอ นี่พูดในฐานะที่กูอายุมากกว่านะ กูแค่เห็นว่าอนาคตมึงจะได้ดีกว่านี้ ถ้าไม่ไปทำเรื่องแบบนั้น”ผมนิ่งงัน...พูดถึงเรื่องโยหรือไง มีโยคนเดียวมี่เด็กสุดแล้ว

“แล้วเฮียรู้อะไรมากกว่านี้ไหมล่ะครับ หรือไปฟังใครแล้วเอามาพูด”

“...ฮ่าๆ ทำไมวะ มึงจะต่อยกูให้หน้าแหกเหมือนที่คุยบนเวทีวันนั้นน่ะเหรอ ก็เท่ห์ดีนะ พวกทำตัวแตกต่างจากคนอื่น แต่ก็เหมือนเอาคอมาวางบนเขียงรอให้กูสับ...อย่าทะนงตัวเกินไปไอ้สอง ระวังตัวไว้เหอะ พวกกูกัดไม่ปล่อย”เฮียลุกเดินออกจากโต๊ะ ยิ้มเหมือนหวังดีมาตบไหล่ผมเบาๆ แล้วเดินขึ้นบันไดไป

ผมยืนนิ่งเหมือนโดนสูบวิญญาณออกจากร่างก่อนจะเดินเอาของที่เฮียแกนจ่ายให้ไปทิ้งลงขยะ อารมณ์เสียอีก ผมเดินไปหาไอ้ผิงที่ห้องเพ้นท์

“เฮ้ย ผิง ตายห่าแล้วหรือไง”ผมเดินเข้าไปทักเพื่อนสนิท เห็นไอ้ผิงนอนอยู่ริมห้องสภาพดูไม่ได้เลย ตาปรือๆบวมๆ ไอ้ผิงเช็ดน้ำลายแล้วผุดลุกมาหาวนอน

“ฮ้าว ง่วงฉิบ มึงไม่ได้ซื้ออะไรมาเลยหรอ”ไอ้ผิงมองผมตาละห้อย ผมส่ายหน้าแล้วนั่งลงตรงหน้ามัน

“ยังตื่นไม่เต็มตาหรือไง มา เดี๋ยวกูเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง รับรองตาสว่างแน่”ผมบอก ไอ้ผิงทำท่าสนใจ ผมค่อยๆเล่าเรื่องของเฮียแกน และถ้อยคำที่เจ้าตัวพูดกับผมที่โรงอาหารให้ฟังคร่าวๆ “สรุปว่าเฮียแกนมาหาเรื่องมึงเหรอ”ไอ้ผิงเอ่ยถามด้วยสีหน้ามึนๆ

“มาขู่เว้ย”ผมตอบกลับไป เหมือนมาเตือนก่อนแล้วค่อยจัดการทีหลังอะไรแบบนั้น พลางนึกถึงไอ้ยิมอีกคน ตกลงมาอยู่พวกเดียวกันกับเฮียแกนงั้นเหรอ แท็กทีมกันมาเชียว ผมเริ่มเสียวสันหลัง หวั่นๆว่าจะโดนเล่นงานในเวลาอันใกล้นี้

“กูบอกมึงแล้วไง ไอ้สอง...แล้วนี่มึงจะเอาไงต่อ”มันพูดเสียงเครียด ผมถอนหายใจ ยิ่งมาพูดพร้อมๆกันแบบนี้ผมก็ยิ่งสงสัยในตัวพวกมันมากขึ้น ทั้งไอ้ยิมกับเฮียแกน

“เฮ้อ เรื่องไอ้โย...แม่งเอ้ย ไม่คิดว่าจะเรื่องจะเป็นแบบนี้”ผมส่ายหน้า ไอ้ผิงมองผมด้วยสายตานิ่งเฉย มันยกยิมอย่างสมน้ำหน้า

“เออว่ะ ไอ้เด็กนั่นกูบอกแล้วมึงเขี่ยทิ้งไปเลย เสือกเก็บไว้ทำพันธุ์อีก”มันส่ายหน้า

“กูจะไปรู้ไหมวะ มันก็ไม่เคยขัดกูเลยนี่”ผมพูดอย่างเหนื่อยหน่าย “ถ้าป๊ากับม๊ามันรู้เรื่องนะ กูว่ามึงไม่รอดแหงๆ”ไอ้ผิงขยับมาพูดเสียงเครียด คิ้วขมวดเข้าหากัน ผมมองมันอย่างข้องใจ

    “ไอ้นี่ ให้กำลังใจกูจัง... ไอ้โยมันไม่เอาไปฟ้องปากับม๊ามันหรอก กูว่ามันไม่กล้าขนาดนั้น”ผมพูดปลอบใจตัวเอง แต่ในตอนนี้ก็ไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าเรื่องนี้มันจะไปจบลงที่ตรงไหน

“กูกลัวเป็นเรื่องขึ้นมาว่ะ...คราวก่อนที่มึงรอดมาได้เพราะอีกฝ่ายไม่เอาเรื่องมึงนะเว้ย”อยู่ๆไอ้ผิงก็พูดเรื่องเก่าๆขึ้นมา ยิ่งทำให้ผมอารมณ์เสียมากกว่าเดิม

“ไอ้ผิง มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นกูก็ยังเด็กๆอยู่”ผมถอนหายใจ ไม่อยากพูดถึงเรื่องเก่าๆอีก ผมอารมณ์ไม่ดี ปวดหัวจนจะระเบิด ไอ้ผิงเลยหัวเราะเบาๆ ยื่นมือมาตบไหล่ผมเบาๆ

“เออกูรู้ มึงถึงมาคั่วผู้ชายนี่ไง”

“เออ มึงก็พูดให้กูหวั่นๆ”ผมถอนหายใจ ไอ้ผิงยิ้ม “ไม่ต้องคิดมากเรื่องไอ้โย กูว่าตอนนี้มึงควรหาทางรับมือเฮียแกนดีกว่า”ก็เพราะคำพูดของมันนั่นแหละ ทำให้ผมคิดมากเรื่องไอ้โยหนักกว่าเดิมน่ะสิ

“ไม่รู้ ...แต่มึงบอกว่าใส่ก่อนได้เปรียบไง”

“โห นี่มันพวกเฮียแกนนะเว้ย ใส่ก่อนก็เหมือนเปิดศึก มึงก็ต้องรอจังหวะรอดูท่าทีของพวกเฮียแกน ไอ้ยิมนั่นด้วย อยู่ห้องตรงข้ามกันเลยนี่ ระวังนะมึง...”ไอ้ผิงทำเสียงต่ำมองผมด้วยสายตาพิเรนทร์ชอบกล

“อะไรของมึง”

“ข้างห้องมึงยังไม่รอด แล้วห้องตรงข้ามล่ะวะ จะเหลือเหรอ ฮ่าๆ ระวังไว้นะมึงเดี๋ยวมีเมีย เอ้ย มีผัวเพิ่มขึ้นมาแล้วจะหนาว”ไอ้ผิงมองผมอย่างล้อเลียน ทำให้ผมคลายความกังวลลงไปได้บ้าง

“หึ กูเนี่ยนะจะมีผัว เหอะ ไม่มีทางหรอก”ผมส่ายหน้า แค่พี่ท็อปคนเดียวก็เกินพอแล้ว

“แล้วพี่ท็อป เมื่อคืนมึงได้ฟันไหม เห็นเถียงกันอยู่ได้ ใครบนใครล่าง”มันยื่นหน้ามาถามด้วยความอยากรู้ ผมเหลือบมองมันนิ่งๆ

“กูอยู่บน มึงจบเรื่องหรือยัง”ผมอารมณ์เสียใส่มัน ร่องรอยจากเมื่อคืนยังปวดตุบๆอยู่ที่ก้นของผมอยู่เลย

“เหรอวะ....”ไอ้ผิงมันมองผมเหมือนไม่แน่ใจ เอ้า พูดจริงก็ไม่เชื่ออีก โกหกที่ไหนแค่พูดไม่หมด

“ไอ้โก๋ไปไหน”ผมชะเง้อมองหาเงาหัวของเพื่อนอีกคนดูบ้าง ตั้งแต่เข้ามาคณะยังไม่เห็นหน้ามันเลย พักนี้มันชอบออกไปกับเพื่อนกลุ่มอื่นบ่อยกว่าพวกผมอีก

“ไปแดกข้าวล่ะมั้ง”

“เฮ้อ เซ็งว่ะ”ผมพึมพำ มองไอ้ผิงเดินไปนั่งทำงานที่หน้าเฟรมต่อ ผมหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์พี่ท็อปอย่างลังเลใจเรียนอยู่หรือเปล่านะ ผมควรโทรไปดีไหม ไม่ทันกดโทรออก OnTop ก็โทรเข้ามาเสียก่อน หึ ใจตรงกันเลย

“หวัดดีครับ”

[เออ มึงมาคณะกับใครวะ] พี่ท็อปเปิดหัวข้อสนทนาด้วยเรื่องของไอ้ยิม ผมประหลาดใจ ใครเป็นสายสืบให้เจ้าตัวกันถึงรู้เรื่องเร็วแบบนี้

“ฮั่นแน่ ข่าวล่ามาไว ใครคาบข่าวกันนะ ผมมากับไอ้ยิม เสียค่าวินไปตั้ง500แหนะ”ผมหัวเราะ พี่ท็อปเหมือนเงียบไป

[...มันต้องการอะไรหรือเปล่าวะ] น้ำเสียงของคนปลายสายดูเคร่งขรึมขึ้นมา ผมนิ่วหน้า

“หืม ไม่นี่พี่ ผมไปกวนตีนมันไว้เยอะ คงจะเอาคืนผมมั้ง แล้วนี่พี่คิดถึงผมเหรอครับถึงได้โทรมา”

[ไม่คิดถึงโทรมาไม่ได้ใช่ไหมวะ] พี่ท็อปหัวเราะชอบใจ

“จะตอบให้ชื่นใจไม่ได้หรอครับ”ผมแกล้งพูดไปแบบนั้นเอง

[เออ แค่นึกถึงเฉยๆว่ะ หึๆ คืนนี้ว่างไหม] พี่ท็อปถาม

“ว่างครับ จะจองตัวผมหรอ”ผมยิ้มกับตัวเอง

[เออ ไปแดกเหล้ากันไปไหม]

“ฟรีใช่ไหมพี่”ผมถาม

[เออกูเลี้ยงมึงเอง เมียทั้งคน] พี่ท็อปหัวเราะเหมือนสะใจ

“ครับผม เมียก็เมีย อย่างกับว่าผมแคร์อ่ะ”ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่

[ชวนไอ้ผิงไปด้วยก็ได้นะ]

“โอเคเลยพี่”ผมรับปาก มองไอ้ผิงที่กำลังก้มหน้าทำงานของตัวเองไปด้วย ของฟรีมันไม่พลาดหรอก

[เดี๋ยวกูไปรับมืดๆได้ไหมวะ รอที่คณะเลย ไปร้านหลังคลองชลฯ]

“ได้ครับ มาถึงแล้วก็โทรมานะพี่” ผมวางสายก่อนจะเอ่ยถามเพื่อนสนิท “ผิงไปแดกเหล้าหรือเปล่าวะ”

“หืม ไปกับพี่ท็อปเหรอ ไปสิ ของฟรีกูไปหมด”ไอ้ผิงตอบกลับมาแบบไม่ต้องคิด มันยิ้มกว้าง “ไอ้โก๋ล่ะ”ผมถาม

“โอย ไม่ต้องชวนมันหรอกแค่เมื่อวานมันก็จะตายห่าแล้ว”

“เออๆ รอมืดๆนะพี่ท็อปจะโทรมา”ผมเดินไปหยิบบุหรี่จากกระเป๋าไอ้ผิงมาหนึ่งมวนแล้วเดินไปอ้อมไปหลังห้องเพ้นท์ นั่งปล่อยความคิดคนเดียวเงียบๆ รู้สึกโปร่งสบายขึ้น


เมื่อได้เวลาพี่ท็อปก็มารับผม ส่วนไอ้ผิงขี่รถตามมา อยากจะบอกว่าทางสายหลังคลองชลหลังมอนี่เปลี่ยวจริงๆ เสี่ยงโดนฉุดสุดๆเพราะมืดเสาไฟห่างเป็นกิโลเลยมั้ง สงสัยกินงบกันไปหมด เมื่อมาถึงร้านเหล้า บรรยากาศชิวล์เพื่อชีวิตอีกตามเคย ร้านเหล้าเคล้าเสียงดนตรีมีอยู่สองโซนคือโซนด้านในร้านคือติดกับเวทีร้องเพลง อีกด้านนึงคือโซนด้านข้าง ซึ่งโต๊ะของพี่ท็อปก็อยู่โซนนี้

“ไง ตัวติดกันอีกตามเคยนะ”พี่ธามเรียกก่อนจะยิ้มทักทาย ผมแค่ยิ้มแล้วนั่งลงเก้าอี้ข้างๆพี่ท็อปที่นั่งติดมุมร้านบรรยกาศสลัวได้ที่ ไอ้ผิงนั่งลงข้างๆผม

“ไอ้สองกินอะไร”พี่ท็อปถาม กำลังคีบน้ำแข็งให้ผมอยู่

“เหล้าโซดาก็ได้พี่”ผมยิ้มตอบ พี่ท็อปชงเหล้าให้ผม  ยื่นแก้วมาให้แล้วขยับเก้าอี้หันเข้าหาผม

“ทำไมครับ อยากมองแต่ผมหรือไงกัน”ผมยิ้มหวาน พี่ท็อปหัวเราะแล้วพูด “ยังไม่ทันเมาเลยนะไอ้สอง ปากดีอีกแล้ว”

“ผมก็ปากดีแบบนี้แหละพี่ เพิ่งรู้หรือไง”ผมยิ้มขำ


พี่ท็อปดึงผมเข้าไปในโลกส่วนตัวกันสองคน ไม่ได้สนใจสายตาของเพื่อนรวมโต๊ะอย่างพี่ธาม พี่อิฐ หรือไอ้ผิง เสียงเพลงดังพอที่จะกลบเสียงของผม


“สองมึงอยากรู้ไหมว่า ทำไมกูถึงยังคบกับไอ้บอมอยู่”พี่ท็อปพูด ผมต้องโน้มหน้าไปฟังเพราะเสียงรบกวนเยอะ “ทำไมล่ะครับ”ผมถาม พี่ท็อปแค่ยิ้มบางๆ

“ที่กูบอกว่ามันติดหนี้กูน่ะ เรื่องจริง”

“หนี้แบบไหนกันพี่”ผมสงสัย หนี้เงิน หรือว่าหนี้บัญชีแค้นอะไร

“หึ หนี้เงินนั่นแหละ มันแอบไปออฟเด็กลับหลังกูอยู่บ่อยๆ หึ แต่เสือกใช้บัตรกู แต่บัตรนั่นของแม่กูเองแหละ ที่เอาให้กูไว้ใช้น่ะก็เลยแจ็กพอร์ตแตกเพราะแม่มาเช็คทีหลังว่ากูเอาไปใช้อะไรบ้าง...ความเชื่อใจติดลบ หักเงินกูอีก ริบบัตรคืน มีแต่เสียกับเสียว่ะ มึงคิดดู..ไม่อย่างนั้นมันคงใช้ไปเยอะกว่านี้ก็เลยต้องหาทางให้มันใช้หนี้กูให้ได้ เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใครนะเว้ย”

“อืม แล้วไอ้บอมมันต้องทำอะไรใช้หนี้พี่”ผมมองหน้าพี่ท็อปที่ยิ้มแปลกๆ

“ก็คืนเงินกูเท่าที่มันใช้ไป...แต่ต้องแลกด้วยการ...”พี่ท็อปโน้มหน้ามาใกล้ผม มือของพี่ท็อปวนเวียนอยู่แถวต้นขาผมที่ลูบและบีบเล่น ผมหัวเราะเบาๆ

“อย่าบอกนะว่าเอาตัวเข้าชดใช้นะ”ผมพูด พี่ท็อปยักคิ้วให้

“เออ ก็คุ้ม ได้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยเลย”พี่ท็อปนี่น่ากลัวกว่าที่คิดไว้นะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้บอมมันต้องโดนพี่ท็อปทะลวงไส้แน่นอน

“โหดว่ะ น่ากลัวแฮะ”ผมหัวเราะเบาๆ พี่ท็อปยิ้มก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ผม “มันเอาเงินไปใช้อย่างอื่นด้วยน่ะสิ...เสียเครดิตกูหมด ก็เลยเอาคืนเล็กๆน้อยๆ”

“อืม ก็สมควรแล้วมั้งนะ”ผมไหวไหล่แล้วตระครุบมือพี่ท็อปออกจากการเกาะกุมที่คุกคามมายังเป้ากางเกงผมเรียบร้อย ผมเหลียวมองรอบตัวมีแค่ไอ้ผิงที่นั่งจ้องอยู่ มันทำหน้าเอือมแล้วเบือนหน้าหนีไปคุยกับพี่อิฐแทน

“...มึงล่ะวะ กูจะเชื่อมึงได้ไหม”

“ผมบอกแล้วไงว่า ผมพร้อมที่จะจริงจังกับใคร ผมก็ทำได้นะ ผมว่าผมชอบพี่”ผมยิ้มแล้วก้มมองมือผมที่จับมือพี่ท็อปอยู่ เล่นไล้ไปตามกระดูกนิ้วมือเบาๆ

“จริงเหรอ”

“ใช่ดิพี่ เพราะผมชอบพี่ไม่อย่างนั้นจะยอมขนาดนี้เลยเหรอครับ”ผมหัวเราะ พี่ท็อปสบตาผมนิ่งๆเหมือนกำลังค้นหาอะไรจากแววตาของผม “หึ ปากดีนะ มึงเก่งจังเรื่องพูดเนี่ย”

“ผมพูดจริงแล้วก็ไม่เชื่ออีก”ผมทำหน้าเง้างอน แล้วชนแก้วกับพี่ท็อปที่มองผมไม่วางตา ผมหันไปคุยกับไอ้ผิง

“เอ้าๆ จะสิงกันแล้วหรือไงวะ เกรงใจเพื่อนบ้างก็ได้นะไอ้ท็อป”พี่ธามหัวเราะ แล้วดึงแขนพี่ท็อปให้ขยับออกห่างผม

“ไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย”พี่ท็อปขยับเก้าอี้เข้าหาโต๊ะ

“ผมปวดฉี่ ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะพี่”ผมบอกพี่ท็อปแล้วลุกไปห้องน้ำหลังร้าน เนื่องจากร้านเหล้าแห่งนี้เป็นร้านชิวล์ๆ ตัวห้องน้ำอยู่ห่างจากตัวร้านอยู่สองสามเมตร ทำให้เวลาเดินออกจากร้านเหล้า จะมีที่ว่างระหว่างหน้าห้องน้ำกับทางออกร้านอยู่ ทำให้มีคู่หนุ่มสาว หรือแม้กระทั่งชายกับชายแต่ส่วนมากที่เจอจะเป็นชายหญิงนั่งยืนจู๋จี๋แทบจะสิงรวมร่างกันได้อยู่แล้ว ผมเดินมาล้างมือ เจอไอ้เถาเข้ามาในห้องน้ำพอดี ผมมองมันงงๆ

“อ้าว อยู่ร้านนี้ด้วยเหรอ”

“เออ แต่อยู่โซนด้านในนู้น มึงมากับพี่ท็อปเหรอ”ไอ้เถาถาม ผมพยักหน้าแล้วส่องกระจกต่อ

“พี่ยิมก็มานะ”ผมสงสัย มันบอกผมทำไมกัน ผมเห็นว่าไอ้เถามันมองผมอยู่

“เออแล้วไงวะ”ผมทำไม่สนใจ เพราะยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผมอยู่ดี

“พี่เค้าบอกให้ไปหา”
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 4 เล่ห์กล
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 23-06-2015 14:03:20
หืม? ยิมเนี่ยนะ อยากเจอผมน่ะ เหนือความคาดหมายจริงๆ

“กูเนี่ยนะ ฮ่าๆ ทำไมวะ นี่เตี้ยมกันมาแล้วสิเนี่ย”ผมหัวเราะ แสดงว่ามันรอจังหวะให้ผมออกมาคนเดียวแล้วเข้าหาผมหรือไง... แบบนี้มีแผนชัดๆ

“พี่ยิมบอกว่า เรื่องเงินเมื่อเช้า ก็บอกมาว่างั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”ไอ้เถาบอกผมต่อเห็นมันทำหน้าสงสัยเหมือนกัน คงไม่รู้เรื่องอะไร

“เหรอวะ”ผมคิดอย่างสงสัย เงิน500บาทนั่นน่ะหรอ ยิมจะมาไม้ไหนกัน  ผมนึกถึงคำพี่ท็อป 'มันต้องการอะไรจากมึงหรือเปล่า' ประกอบกับพฤติกรรมน่าแคลงใจของยิมกับเฮียแกนทำให้ผมอยากรู้จริงๆ

“ถ้าไงก็ไปหาพี่ยิมด้วยล่ะ"ไอ้เถาเดินไปเข้าห้องน้ำห้องริมสุด ผมเดินออกจากห้องน้ำ แล้วโทรหาไอ้ผิง

“เออ กูไปโต๊ะไอ้เถานะ ถ้ากูมาช้าเกินครึ่งชั่วโมงแสดงว่างานเข้า โอเคหรือเปล่าวะ”

[เออๆ ว่าแต่มีเรื่องอะไรวะ]

“ก็เรื่องไอ้ยิมน่ะ "

[มึงนี่แกว่งตีนหาเสี้ยนจริงๆ]ไอ้ผิงว่า

“ฝากดูพี่ท็อปด้วย อย่าให้ไปม่อใครนะ”ผมทิ้งท้ายบอกมัน

[ถุย เขาไม่ใช่มึงเว้ย]แล้วมันก็ตัดสายไป

ผมเดินไปโซนในสุดก็เห็นไอ้ยิมนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว เห็นว่ามีแก้วหลายใบวางเกลื่อนโต๊ะเลย วันนี้มันไม่ได้ใส่แว่น คอนแทคเลนส์ล่ะมั้ง

“มีอะไรวะ แล้วเพื่อนไปไหนหมด”ผมนั่งลงโดยไม่รอให้ยิมบอก

“เรื่องเงินน่ะ...ที่พี่ให้ผมมา 500”ยิมไม่ตอบคำถามผม แค่ชงเหล้าให้ตัวเองแล้วยกดื่มด้วยท่าทีสบายๆเหมือนไม่เห็นผมอยู่ในสายตา

“มีอะไรก็ว่ามาดิ”ผมหงุดหงิดที่มันทำท่าทางแบบนั้น ต้องให้ผมถามก่อนหรือไง

ยิมมองหน้าผมแล้ววางแก้วเหล้าลง “ไปกับกูไหม” ผมแปลกใจที่มันมาไม้นี้ เพื่ออะไรกัน? อีกอย่างจะให้ผมเอาตัวแลกกับเงิน500บาทน่ะเหรอ โคตรรดูถูก ผมแค่ยิ้มส่ายหน้า ทำเป็นแช่มชื่นแต่ใอกร้อนเป็นไฟ

 “ทำไมเกิดอยากแดกผมขึ้นมาเหรอ มีอะไรดลใจเหรอครับพี่ยิม”ผมแกล้งทำเสียงอ่อนลง ยื่นหน้าไปมองไอ้ยิมใกล้ๆแล้วหัวเราะ

“แค่ตอบมา ตกลงหรือไม่ตกลง”มันยังคงรักษาความสงบนิ่งของมันไว้ได้ดี ผมถอนหายใจ  สมองกำลังประมวล ตกลงมันทำแบบนี้เพราะอยากทำจริงๆหรือมีแผนการอะไร ผมเองก็อยากรู้ ลองเสนอตัวเข้าไปหน่อยจะเป็นอะไรไป คิดว่ามันคงไม่มาทำร้ายอะไรผมหรอก

“...ตกลง”ผมตอบด้วยรอยยิ้ม ไอ้ยิมนิ่งไป เห็นคิ้วมันขมวดคิ้วเข้ากัน แสดงว่าเป็นกังวลล่ะสิ

“แล้วแฟนมึงล่ะ...เออ ลืมไป ท็อปมันมีแฟนอยู่แล้ว ส่วนมึงก็แค่คู่นอนใช่ไหม”ไอ้ยิมทำเป็นพูดดี ผมไหวไหล่ไม่สนใจเท่าไหร่

“แล้วพี่ล่ะ ถ้าเอ่ยปากชวนผมขนาดนี้”

“หึ ตามมา”มันไม่ตอบคำถาม ผมมองมันอย่างท้าทาย เอาสิ อยากรู้ว่ามันจะทำอะไร ผมเดินตามมันไปที่หลังร้าน มีห้องหนึ่งอยู่ มันเปิดเข้าไป ท่าทางจะเตรียมการมาแล้ว เพราะน่าจะเป็นห้องเก็บของของร้านนี้มากกว่า ผมเดินเข้าไปมองรอบห้องมืดสลัว ๆ มีไฟสีส้มขุ่นๆกระพริบติดๆดับๆเป็นระยะ ในห้องมีกล่องลังวางซ้อนๆกัน มีกองผ้าปูโต๊ะเป็นก้อนม้วนใหญ่ๆอยู่ริมห้อง

“จะเอาตรงนี้เลยเหรอ”ผมถามมันแล้วมองไปรอบๆห้องอีกครั้งเผื่อว่ามันจะเล่นตุกติกอะไร

“ทำไมวะ ป๊อดเหรอ”มันดันผมไปชิดกำแพง ก็เอาสิ อยากจะเห็นลีลาหนุ่มแว่นหน่อยเป็นไง ผมเป็นคนกล้าได้กล้าเสียอยู่แล้ว

“เปล่า ก็เร้าใจดี”ยิมโน้มมาจูบผมไม่ห่าง เบียดชิดเข้ามา ก่อนจะผลักผมลงไปที่กองผ้าปูโต๊ะ หลังผมกระแทกไปกับพื้นแข็งๆที่รองอยู่ใต้ผ้า  แถมรุนแรงซะด้วยนะ

“เบาๆ เดี๋ยวช้ำหมด”ผมหัวเราะ  “หึ...”มันยิ้ม คงคิดว่าคุมเกมส์สินะ ผมแค่ปล่อยให้มันทำ ผมแค่รอพลิกเท่านั้น

“อืม...”ผมรั้งคอในมาจูบต่อ มือมันก็ไม่อยู่สุขวนเวียนอยู่แถวกางเกง ผมดูดลิ้นมัน กัดริมฝีปากล่างมันแรงๆจนได้เลือด มันเจ็บแต่ผมไม่ปล่อย รั้งคอมันไว้แล้วดึงเสื้อมันแรงๆให้ล้มลงแล้วผมพลิกคร่อมมันไว้

“เป็นไง ชอบไหม”ผมรับรู้รสชาติฝาดเลือด ผมใช้เข่ากดมันไว้มันย่นหน้าเจ็บ

“เหี้ย ปล่อยกู”มันพยายามลุกแต่ผมกดมันไว้

“อยากโดนเหรอยิม หึ มึงเล่นผิดคนแล้ว”นอกจากพี่ท็อปผมไม่ให้ใครมารุกผมได้หรอก ผมโน้มไปเลียดูดที่คอเจ้าตัวแรงๆจนเกิดรอย

“คิดว่าผมโง่งั้นสิ...ไอ้ความดื้อดึงแบบนี้มันคล้ายใครกันน้า....”ผมมองหน้าขึ้นสีแดงเรื่อๆของอีกฝ่าย มันเม้มปากแน่น มองผมนิ่งๆตามเคย ผมลุกจากตัวยิม

“อยากรู้เรื่องของผมจนต้องเอาตัวเข้าแลกเลยเหรอไง แต่ก็ขอบคุณว่ะ ทำผมตื่นเต้นขึ้นมาได้”ผมยิ้มแล้วมองยิมที่ผุดลุกจากกองผ้า

“อย่าคิดเองเออเองสิ”อีกฝ่ายยังคงนิ่งได้อีก ปัดเนื้อตัวที่เปื้อนไรฝุ่นแล้วก็เช็ดปากแรงๆ

“แล้วไม่ใช่หรือไง...หรือว่า..เกิดปิ๊งผมขึ้นมาเหรอไง”ยิมมองหน้าผม

“ไม่ใช่แบบนั้น กูอยากรู้ว่ามึงจะยอมกูหรือเปล่า ก็เห็นว่านอนกับคนอื่นง่ายๆเสมอ”มันพูดกลบเกลื่อน แต่จุดประสงค์ของมันจะมีเท่านี้จริงๆงั้นเหรอไง

“ใครล่ะ บอกชื่อมาหน่อยสิ ว่าที่นอนกับกูง่ายๆน่ะ”ในบรรดาคนที่ผมคั่วด้วยเนี่ย ไม่มีแบบ One night  stand เลยสักคน กว่าจะมาเป็นคู่นอนของผมอย่างน้อยต้องคุยถูกคอ ฟังข้อตกลงที่โอเคทั้งสองฝ่าย และแน่นอนผมไม่แคร์หรอกว่าโสดไหม

“...ก็ท็อปไง”ไอ้ยิมเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ แววตาหลังกรอบแว่นดูสับสน ผมมองมันอย่างตั้งใจ

“หึ ก็ใช่ พี่ท็อปก็เป็นคนรู้จักมักคุ้นกันอยู่....ทำไมวะ มึงชอบพี่ท็อปเหรอ”ผมลองเดาดู แต่ไอ้ยิมแค่นิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะชอบอะไรพี่ท็อปหรอก แต่ไม่เข้าใจว่ามันจะมาวุ่นวายกับผมทำไม มันต้องการอะไรกันแน่

“กูเลือกคนดีๆกว่านี้ได้...”ยิมเอ่ยเบาๆหลังจากเงียบไปนาน คำตอบของมันทำให้ผมหัวเราะออกมา แม้ว่ามันจะไม่มีเรื่องอะไรให้ขำ

“แล้วพี่ล่ะ มีดีหรือเปล่าวะ”ผมเอ่ยเสียงสงสัยมองคนตรงหน้าอย่างสนใจ

“...ทำไม สนใจกูเหรอ”อีกฝ่ายพูดเรียบๆ ยังจะมาย้อนผมอีก ผมส่ายหน้า ยิมไม่ทำให้ผมสนใจมันมากไปกว่าเรื่องเกี่ยวข้องกับเฮียแกนหรอก ผมไม่ได้ชอบมัน มันไม่ใช่สเป็คผมเลยสักนิด ผมแค่ยิ้มบางๆ

“นั่นสิ ต้องดูก่อนว่ามีดี หรือเปล่า…”

“กูก็แค่เห็นว่าคนแบบไอ้ท็อปน่ะหรอ อริไอ้แกนมัน กระจอกว่ะ”ยิมหัวเราะ ผมเลิกคิ้วมอง ไม่พอใจมันอย่างแรงที่พูดจาแบบนั้น ผมไม่ใช่คนดี พี่ท็อปไม่ใช่คนดี แล้วยังไงล่ะ เกี่ยวอะไรกับมันด้วยเหรอไง 

“แล้วพี่ล่ะ ก็กระจอกเหมือนกัน แต่...ชอบเล่นพรรคเล่นพวก ใครกระจอกกว่าใคร”ผมตอกกลับอย่างไม่พอใจ จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความหงุดหงิด

“...กูกับไอ้แกนเป็นเพื่อนกันก็จริง แต่อย่าเหมารวมสิวะ กูก็มีวิธีของตัวเองที่จะจัดการกับคนที่เกลียด บอกให้เบาใจก็ได้...กูกับไอ้ท็อปไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไร ไม่จำเป็นต้องไปพาลเกลียดมันหรอก...”ยิมพูด

“งั้นเหรอ...”ผมมองอีกฝ่ายอย่างข้องใจ

“แต่เป็นมึงต่างหาก...ที่ต้องระวังตัวจากกู…”

“ผมกับพี่ ไปทะเลาะกันตอนไหน"ผมถามอย่างไม่เข้าใจ ผมไม่เคยไปทำอะไรให้มันเดือดร้อนเลยสักครั้ง ทำไมมันต้องมารังควานในเรื่องที่ผมไม่รู้ด้วย แทนที่จะบอกผมให้เข้าใจ ไม่ใช่มาเล่นเกมส์บ้าๆบอๆแบบนี้

         “...ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”อีกฝ่ายตอบห้วนๆ ผมแค่ยิ้ม

“ให้แล้วไม่รับคืน....”ผมคืนแบงก์500กลับไปให้ ถ้าผมรับ มันคงดูไม่ดี ผมเดินออกมาจากห้องนั้น ไอ้ยิม...เดี๋ยวคงได้รู้กันล่ะ ผมมองนาฬิกา...ผ่านมายี่สิบนาทีแล้ว ผมกลับไปที่โต๊ะ พี่ท็อปหันหน้ามามองอย่างสงสัย

"หายหัวไปไหนมาวะ นาน"

“ไปข้างนอกกันเหอะพี่ ไม่สนุกเลยพี่”ผมบอกทำหน้าเซ็งๆ พี่ท็อปพยักหน้า คงรู้ว่าคงเกิดเรื่องอะไรขึ้น “พี่ธาม ฝากเพื่อนผมด้วยนะ"ผมยิ้มตบไหล่ไอ้ผิงเบาๆมันแค่ยักคิ้วให้ผม

"เออๆ ไม่ต้องห่วง แล้วจะไปต่อไหนกันวะ ถึงข้างทางจะมืด แต่ก็เลือกที่หน่อยนะเว้ย"พี่ธามหัวเราะแซว คนในโต๊ะมองผมกับพี่ท็อปด้วยสายตาล้อเลียน ผมไม่ใส่ใจอะไร ผมเดินออกมาจากร้าน จนมาถึงลานจอดรถ หยุดลงที่ข้างๆรถของพี่ท็อป เจ้าตัวเดินตามมาด้านหลัง

"ไปนั่งเล่นให้อาหารปลาในมอไหมพี่"ผมเอ่ยชวน พี่ท็อปทำหน้าแปลกใจ มองผมอย่างค้นหา

"ดึกขนาดนี้เนี่ยนะ”พี่ท็อปยิ้ม

"น่า ไม่ได้เหรอครับ เอาใจหน่อย"ผมแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนดูบ้าง อีกฝ่ายมองยิ้มๆ

"โอเคๆ ตามใจมึง"พี่ท็อปหัวเราะแล้วผลักศีรษะผมเบาๆ

คราวนี้ผมเป็นคนขี่รถมอเตอร์ไซด์ของพี่ท็อปเข้าไปในมหา’ลัย ก่อนจะจอดแวะซื้อขนมปังมาสองห่อใหญ่ที่ริมถนนหน้าโรงอาหารหอใน แล้วตรงไปยังอ่างเก็บน้ำที่อยู่ทางด้านหลังมหา’ลัยซึ่งเป็นสถานที่ให้อาหารปลา หรือวิ่งออกกำลังกาย โดยรอบๆอ่างที่มีพื้นที่กว้างพอ และมีแสงไฟเพียงพอ

ผมเข้าไปจอดที่ลานจอดรถหลังโรงอาหารหอใน "นึกครึ้มอะไรวะ "พี่ท็อปวางหมวกกันน็อคกับเบาะรถ แล้วเดินตามผมมา

"ก็แค่อยากหาที่นัวกันหน่อย"ผมพูดขำๆ ก่อนจะเดินลงไปตามขั้นบันไดเพื่อลงไปบริเวณสันอ่างเก็บน้ำ แสงไฟสีส้มสว่างจ้าจากสปอร์ตไลท์ทำให้มองเห็นทางเดินได้สะดวก ผมเลือกทำเลที่เงียบๆห่างจากผู้คน

  "เฮ้อ อากาศดีนะครับ ทำไมเราต้องมัวแต่ไปมั่วสุมในร้านเหล้ากันนะ"ผมหัวเราะแล้วมองไปรอบๆอ่างเก็บน้ำที่มีคนบางตาเดินเล่นเป็นจุดๆ

"เออว่ะ เข้าท่าๆ ว่าแต่มึงมีอะไรไม่สบายใจหรือไง"พี่ท็อปขยับมานั่งใกล้ๆผมแล้วจับหน้าผมให้หันมาทางตัวเอง

"ดูออกด้วยหรอพี่"ผมเลิกคิ้วถาม

"อืม แววตามึงอ่ะ ชัดเจนเลย"พี่ท็อปจ้องตาผมนิ่งทำให้ผมยิ้มออกมา

"ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลย"

"ก็ไม่หรอก แต่เพราะกูสังเกตมั้งเลยรู้ แต่กูไม่เซ้าซี้หรอก เพราะกูเองยังมีเรื่องปิดบังมึงเลย"พี่ท็อปปล่อยมือแล้วส่ายหน้าหัวเราะเบาๆไปด้วย ผมถอนหายใจเซ็งๆแล้วมองลงไปในน้ำที่นิ่งสนิท

"....ผมไปเจอไอ้ยิมมา"

"อืม"

"ผมไม่เข้าใจมันเลย มันบอกให้ผมระวังตัว แล้วก็บอกว่ามันไม่ได้มาดี หึ ผมกำลังคิดอยู่ว่าเรื่องอะไร"ถึงไม่ค่อยแน่ใจในสิ่งที่สงสัยก็เถอะ คงต้องไปตรวจสอบให้ชัดเจนอีกที

"...ก็ไม่ต้องคิดหรอก คิดมากก็ปวดสมอง เปลืองพื้นที่เปล่าๆแค่รับมือมันให้ได้ก็พอ ไอ้ยิมมันดีอย่างนึง มันเป็นคนตรง แล้วก็แยกแยะออก ..."

"เฮ้อ เซ็งว่ะ"

"มึงมันขี้เบื่อจริงๆ อยู่กับกูนานๆจะเบื่อกูด้วยหรือเปล่าวะ"พี่ท็อปเอนตัวเท้าแขนไปด้านหลังแล้วใช้เท้าเตะผมเบาๆ

"ถ้าอยู่กับพี่ท็อป ผมก็แฮปปี้แล้วครับ"ผมยิ้มกว้าง

"ชอบพี่จริงๆใช่ไหม"พี่ท็อปพูด ผมหัวเราะเบาๆ "ครับ ผมชอบพี่"ผมสบตาอีกฝ่ายใกล้ๆ

“พี่มีเรื่องจะบอกมาตั้งนานแล้ว"พี่ท็อปลุกมานั่งขัดสมาธิตรงหน้าผมใกล้ๆ

“ครับผม ว่ามาเลยครับ"

"อันที่จริง...พี่ชอบสองมานานแล้ว..."คำพูดของพี่ท็อปเหมือนมีศรรักมาปักลงกลางใจ สิ่งที่ยืนยันได้ดีว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่ท็อปคือเรื่องจริง หัวใจที่เต้นถี่ เลือดสูบฉีดแรง

“หมายความว่า..."ผมถามช้า ๆ  รู้สึกแปลกใจระคนดีใจไปด้วย พี่ท็อปยิ้มบาง ๆ แล้วดึงมือผมจับ

“อืม พี่แค่ลวงสองมาตกหลุมพลางที่ขุดไว้ตั้งนาน...ฮ่าๆ หลงพี่ชายคนนี้แล้วสินะ"พี่ท็อปหัวเราะก้อง ทำเอาผมขำพรืด ให้ตายเถอะ ผมคิดว่าพี่ท็อปไม่สนใจผมเลย

"แหม ร้ายนะครับเนี่ย แต่ก็เก่งนะ ทำให้ไอ้สองใจเต้นรัวขนาดนี้ได้เนี่ย"ผมยิ้มแล้วยื่นหน้าไปใกล้เพื่อจูบพี่ท็อป แต่มือของเจ้าตัวผลักหน้าผมออกแรงๆ

"อยู่ใกล้มึงมีแต่เปลืองตัวว่ะ"พี่ท็อปแกะห่อขนมปัง ผมแค่ยิ้ม รู้สึกว่าวันนี้ท้องฟ้าสวยกว่าปกติ

"ฮ่าๆ น่าจะรู้ว่าเปลืองตั้งแต่ออนท็อปผมวันนั้นแล้วนะ"ผมหัวเราะแล้วโยนขนมปังลงในน้ำ

"เออว่ะ โคตรเปลืองตัว....แต่ก็คุ้มนะ"พี่ท็อปหันมายิ้มกับผมแล้วยักคิ้วให้ ผมรู้สึกสบายใจและอุ่นใจขึ้นมาทันที

“งั้นเรามาคบกันเถอะ”ผมพูด

“ฮ่าๆ เร็วไปไอ้น้อง รอให้กูพิสูจน์อะไรหลายๆอย่างก่อนดิ บอกแล้วไงเป็นแฟนกูมันไม่ง่ายนะโว้ย”พี่ท็อปขว้างขนมไปลงไปหลายก้อน

“โอเคครับ ตามใจพี่อยู่แล้ว แต่ขออย่างเดียวนะ”

“อะไร”

“...อย่ามองใครอีกนอกจากผมได้ไหม”ผมเอ่ยเบาๆ ถึงจะไม่ใช่แฟนกัน แต่ผมก็ไม่อยากอยู่ในสถานะที่เป็นตัวเลือกของพี่ท็อป ผมไม่ชอบเรื่องแบบนี้

“แล้วกูจะเสียเปรียบไหมเนี่ย แล้วมึงล่ะ ไปเคลียร์ตัวเองก่อนดีไหมวะ”พี่ท็อปพูด มองผมอย่างกังขาไม่ต่างกัน ผมไหวไหล่ ผมเองก็อยากไปเคลียร์ตัวเองเหมือนกัน

“ได้อยู่แล้ว ผมก็ตั้งใจไว้แบบนั้นแหละพี่ ผมว่าผมจะหยุดแล้วว่ะ”ผมบอก จากที่เคยกิ๊กกั๊กไปเรื่อยๆไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที เมื่อก่อนผมยังสนุกกับการทำแบบนั้น แต่ในเวลานี้ผมกลับไม่อยากได้อะไรอีก มันเหมือนผมเบื่อกับเรื่องเดิมๆ และพอเจอพี่ท็อป มันทำให้ผมทุ่มความสำคัญกับเจ้าตัวไปซะหมด

“อืม แล้วกูจะคอยดูนะ ว่าจะทำได้จริงอย่างที่พูดไหม”พี่ท็อปส่งยิ้มมาให้ แววตามีประกายสดใสขึ้นมา อย่างที่เคยบอกไว้ ผมสปาร์คกับรอยยิ้มของพี่ท็อปจริงๆ โดยไม่รู้ตัว


ราวกับว่าผมเดินไปตกหลุมพรางที่เจ้าตัวขุดไว้แบบลับๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-06-2015 14:17:57
 :hao7:  แอบห่วงสองลึกๆอะ
กับพี่ท็อปก็ยังระแวงอยู่นะเนี่ย
พี่ยิมกับเฮียแกนนี่จะเอาไงกับสองมันกันแน่
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 23-06-2015 15:39:17
:mew6: :mew6: :mew6: เรื่องนี้ยิ่งอ่านยิ่งเครียด
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 23-06-2015 16:08:58
ยิมนี่ชอบสองจิงช่ะ? 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 23-06-2015 16:13:35
ยังคลุมเครือกับยิม มีอะไรกับสอง หรือจะเป็นคนมาพิสูจน์สองก่อนจะไปคบกับท็อป ๕๕๕ รอ รอ รออ่านตอนใหม่คับ  มาต่อเร็วๆนะคับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 23-06-2015 16:25:40
เค้าว่าพี่ท๊อปน่ากลัววววววอ่ะ เป็นคนดูง่ายๆไม่อะไร แต่อ่านยากทั้งเหมือนมีเรื่องอะไรในใจ(?) (แต่ชอบอ่ะ )
พี่แกรคงไม่ได้หลอกใช้สองใช่ม่ะ?  ถ้าใช่นี่ สองคงจะเจ็บปวดมากก
มันจะเกี่ยวกันกับที่แกนพูดว่าสองโง่รึเปล่า แล้วเรื่องในอดีตที่สองเคยก่อไว้จะเกี่ยวกับน้องสาวเฮียแกนไหม
แล้วยิมแค้นนนนอัลไลกันแน่ หรือว่าแอบชอบสองอยู่เลยพยายามทำตัวเย็นชา (มโนชนะเลิศมากก ณ.จุดนี้) 5555
โอ้ยยยยยย ลุ้นนนนนมากกก รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 23-06-2015 16:29:50
สองนี่ปากดีจิงๆๆ 555
อยากรู้เรื่องในอดีตที่สองเคยทำไว้จังงง ว่าสองทำไรกะใครอ่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 23-06-2015 17:40:40
อ่านไปอ่านมานี่เครียดตามเลยนะเนี่ย ความจริงไม่มีใครน่าไว้ใจเลยสักคนอ่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 23-06-2015 18:23:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 23-06-2015 18:42:23
พี่ท็อปนี่ไม่น่าไว้ใจอะ 55555555555555
แต่ยิมนี่รู้สึกอะไรได้ลางๆ...
เห็นพูดเรื่องทำเขาเสียคนอะไรงี้...
คิดๆดูยิมกับโยก็ย.ยักษ์เหมือนกันเลยนะคะ 855555555
แล้วโยก็มีเฮียใช่มั้ย...บางทีอาจจะเป็นยิม?
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 23-06-2015 18:57:16
กลัวว่าพี่ท็อปนี่จะเป็นตัวบอสจังเลย สังหรณ์พิลึกกกกก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 23-06-2015 19:57:36
โยน้องยิม

ยิมพี่โย

แล้วพี่ท๊อปกะน้องสอง  จะตกลงกันได้เมื่อไหร่
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 23-06-2015 21:09:46
เรื่องนี้ไว้ใจใครได้บ้างเนี่ย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 23-06-2015 21:24:53
ขอให้ท็อปสองนะ :z3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 23-06-2015 22:49:04
ว่าแต่น้องสองไปสร้างโจทย์อะไรเยอะแยะกันจ๊ะ  เรื่องมันซับซ้อน  ซับซ้อนจริงๆ   :mew2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 23-06-2015 23:33:23
ยังไม่น่าไว้ใจใครอยู่ดี เพราะทุกคนเข้ามาพร้อม ๆ กัน
ต่างก็มีสิ่งที่แอบแฝงเหมือนกัน สองคงต้องระวังตัวให้มากนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 24-06-2015 01:17:06
ยังคงงงต่อไป
555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 24-06-2015 03:18:22
สองไปพรากซิงสาวไหนที่เป็นน้องสาวใครมาหรือเปล่า?  อาจจะยังไม่เต็ม 15 แต่ทางนั้นก็ไม่เอาเรื่อง   มาตอนนี้มามีเรื่องโยอีก  ยิมน่าจะเป็นะพี่โย  แต่สองก็ไม่ใช่คนที่ล่อโยมาทางสายนี้นี่นา  นางเชี่ยวตั้งแต่ก่อนจะมาเจอสองอีก   ยิมอาจจะมาเอาเรื่องโยกับสอง    แต่คนที่น่ากลัวที่สุดก็พี่ท็อปนี่แหละ  อ่านยาก  ร้ายลึก   พี่เขาเอาสองจนอยู่หมัดเลย   สองคงไม่ได้กดพี่เขาอีกแล้วล่ะ   ขนาดไอ้บอมก็ยังต้องมาเป็นเมียพี่เขาเลย   แล้วทุเรศที่สุดที่เอาบัตรเครดิทคนอื่นไปรูดอ็อฟเด็ก   กลัวที่สุดว่าพี่ม็อปจะเป็นพี่สาวของคดีเก่าสองมาเอาคืน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ziqh.leo ที่ 24-06-2015 09:31:14
ท๊อป หรือ ยิม
ยิม หรือ ท๊อป

 :katai1:

แต่มีลางสังหรณ์แปลกๆกับท๊อปอ่า แบบไม่ค่อยดี
อยากรู้มากว่ายิมคิดอะไรอยู่
หนุ่มแว่นเดาออกยากขนาดนี้เลยเหรอเครอะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 24-06-2015 11:28:25
จากที่พี่แกนมาขู่? มาเตือน? ไหนจะยิมมาพูดอีก เราว่ายิมต้องเป็นพี่โยแน่เลย
ไหนจะท็อปอีก ยังไงก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดีอ่ะ สองไม่ควรประมาท3คนนี้ที่สุดแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 24-06-2015 11:47:51
ยิมนี่เป็นพี่โยใช่มั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-5 #23.06.58 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PaTtO ที่ 24-06-2015 22:44:03
ศัตรูรอบทิศเลยน้องสองเอ๊ย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 5 ผลัดกันรุกผลัดกันรับ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 25-06-2015 00:23:50
ตอนที่ 5  ผลัดกันรุกผลัดกันรับ

ผมกลับมาหอพักก็ดึกดื่นแล้ว เป็นเวลาสามทุ่มกว่าๆพี่ท็อปเข้าห้องของตังเองไป ผมกลับมาห้อง เคลียร์งานอยู่สักพัก นั่งคิดเรื่องยิม ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิดล่ะก็ แสดงว่าก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเฮียแกนด้วยแน่ๆ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง ยิมมันจะต้องการอะไรจากผมอีก แล้วที่มันทำกับผมที่ร้านเหล้า มันทำแบบนั้นไปทำไม ผมไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร จริงอย่างที่พี่ท็อปบอกไม่ต้องคิดมากให้เปลืองสมอง ปวดหัวเปล่าๆ

หลังจากอาบน้ำเตรียมเข้านอน ผมล้มตัวลงบนเตียง ...รู้สึกว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เฮ้อ ผมชักบ้าเข้าไปทุกที ผมนอนไม่หลับ ทั้งๆที่เป็นห้อง เป็นเตียงของตัวเองแต่กลับไม่สบายใจ สงสัยเพราะนอนคนเดียวแหงๆ ข้างกายมันว่างเกินไป ผมหยิบโทรศัพท์มากดชื่อพี่ท็อป ลังเลว่าจะโทรไปดีไหม พี่ท็อปจะนอนหรือยัง คงยังหรอก ....พี่ท็อปนอนดึกอยู่แล้วล่ะ ผมกดโทรออก มองหน้าจอโทรศัพท์นิ่งตาไม่กระพริบเพื่อรอให้ปลายสายกดรับ

[ว่าไงวะ]

"นอนหรือยังพี่"

[ทำไม นอนไม่หลับ คิดถึงกูหรือคิดถึงเตียงกู]

"รู้ทันอีก นอนไม่หลับ ขอนอนด้วยคนดิ "ผมอ้อน พี่ท็อปหัวเราะ

[มาดิ เตรียมถุงยางมาด้วยนะ] พี่ท็อปเล่นมุกก่อนวางสาย ผมหัวเราะกับตัวเองแล้วปิดไฟในห้องนอนแล้วเดินออกจากห้องไปเคาะประตูห้องของอีกฝ่าย เจ้าตัวยิ้มรับเมื่อเปิดประตูให้ผม จากนั้นเดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ มีหนังสือเล่มหนากางเปิดอยู่กับสมุดสองสามเล่ม

“ทำงานเหรอครับ”ผมเดินไปนั่งบนเตียง หยิบเอาตุ๊กตาลิงมากอดมองพี่ท็อปที่เดินมานั่งบนเตียง

“เสร็จพอดีเลยว่ะ หึ ติดกูซะแล้วหรอมึง"”พี่ท็อปยิ้มขำ

"นอนไม่หลับต่างหาก กอดใครก็ไม่อุ่นเท่าพี่"ผมล้มตัวนอนลงบนเตียง แล้วมองหน้าพี่ท็อปตาไม่กระพริบ เจ้าตัวส่ายหน้ายิ้ม ไม่พูดอะไร จากนั้นอีกฝ่ายเดินไปปิดไฟในห้อง แล้วเดินมานอนข้างๆผม พี่ท็อปนอนตะแคงหันหน้ามาหา ผมมองใบหน้านั้นในความมืด ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

"พี่ท็อป ถ้าหากว่าผมโดนเล่นงาน พี่จะช่วยผมป่ะ"

"ช่วยสิ จะทิ้งเมียได้ไง"พี่ท็อปตอบเจือหัวเราะเบาๆ ใช้มือมาจิ้มหน้าผากผมเบาๆ "พี่ก็เล่นไม่เลิกเลย"ผมหัวเราะ

"ไม่ต้องห่วงน่า กูไม่ทิ้งมึงหรอก ในเมื่อมึงยังช่วยกูตอนชกกับไอ้แกนเลย"พี่ท็อปนอนมองผมแล้วเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง

"อืม... ถามจริง ในเมื่อพี่รู้ว่าตัวเองต้องแพ้แล้วทำไมไปชกกับเฮียแกนอีก"

"...ก็เพราะว่าต้องแพ้น่ะสิ กูเลยชก"

"ห๊ะ งง"ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

"ที่ขึ้นชกน่ะไม่สำคัญว่าแพ้หรือชนะ แต่อยู่ที่ว่าชกกันแล้ว ก็เหมือนได้เอาคืน ประมาณว่าไอ้แกนมันคงสะใจ แล้วก็พอใจที่กูเจ็บตัว"พี่ท็อปพูด

"อืม ไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็พยายามจะเข้าใจนะ แล้วพี่ต้องเจอกับเฮียแกนอีกไหม"

"ก็อย่างที่มันประกาศไว้ อาจจะเจอนอกรอบ เพราะยังเคลียร์ไม่จบสักที"พี่ท็อปถอนหายใจ

"ไม่ต้องห่วงพี่ มีไอ้สองอยู่ทั้งคน ผมช่วยพี่อยู่แล้ว"

"มึงนี่ เรื่องตัวเองเอาให้รอดเหอะ"ผมหัวเราะที่พี่ท็อปพูดซะตรงใจ

"แน่นอนอยู่แล้ว ผมไม่ปล่อยให้พวกนั้นมาปั่นหัวผมเล่นหรอก"ถึงแม้ว่าผมจะเป็นรองกว่าสองคนนั้นเพราะผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพวกเขา ผมขยับเข้าไปกอดพี่ท็อป เงยมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่ไม่ห่างจากหน้าผมนัก

“พี่ชอบผมจริงๆเหรอ"ถ้าห้องไม่มืด ผมอยากจะมองเห็นแววตาและสีหน้าของพี่ท็อป

“ชอบสิ ทำไมวะ ไม่เชื่อหรือไง"คำพูดของพี่ท็อปจี้จุดผมได้ไม่น้อย ก็ไม่เชิงว่าไม่เชื่อ แต่ว่าผมแค่รู้สึกเหมือนที่เป็นอยู่นี่มันดูเปราะบางต่างหาก

“เชื่ออยู่แล้วครับ แต่ผมกลัวว่า...."

“อะไร”

“กลัวว่าจะได้เค้าแล้วทิ้งน่ะซี่ "ผมหัวเราะแล้วแกล้งเข้าไปซบไหล่พี่ท็อป

“ฮ่าๆ นั่นดิ หลอกฟันแล้วทิ้งเลยดีไหม"พี่ท็อปยื่นหน้ามาใกล้ผมจนจมูกชิดกับแก้มของผม โห คำพูดน่ากลัวจริงๆด้วย ท่าเป็นแบบนั้นผมคงเจ็บใจน่าดู

“น่ากลัวอะ"

“พอๆ นอนเลย มึงนี่...กูเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเบื่อพวกเหี้ยๆ อยากจริงจังระยะยาว ถ้าทำให้กูเห็นว่ามึงเลิกกุ๊กกิ๊กคนนั้นคนนี้ซะสิ”พี่ท็อปพูดเสียงขุ่นเคือง

"ครับผม"

"ตอนนี้ก็เป็นเมียน้อยกูไปก่อนนะ"พูดจบก็เข้ามากอดผมแบบเต็มแรง เอาขาก่าย รัดผมแน่นจนหน้าผมซุกไปกับอ้อมอกอุ่นๆ แทบหายใจไม่ออก

"โห ใจร้าย จริง ผัวน้อยได้ไหมพี่"ผมแก้คำใหม่ ทำไมต้องเมียน้อยด้วย ชอบย้ำซ้ำเติมผมจริงๆเลย

"ยังคิดจะพลิกกูได้อีกหรอ ...จำคำพูดกูได้ไหมว่า นอนเตียงเดียวกับกูแล้วจะมีผัว...นี่ไม่ได้คุยโวนะ”พี่ท็อปคลายกอดลงแล้วพูดอยู่ข้างหูผม ให้อารมณ์จักกะจี้ สยิวหน่อยๆ

"ไอ้ผมก็ไม่ชอบเป็นเมียด้วยสิเนี่ย”ผมถอนหายใจแรง แต่แล้วก็ถูกพี่ท็อปถีบยันไปจนติดกับพนังห้อง จากนั้นพี่ท็อปก็กลิ้งตัวมานอนเบียดผมจนชิด

 "นอนซะนะ ถ้ายังพูดมากอยู่กูจับแหกจริงด้วย"พี่ท็อปขู่ใกล้ๆ ผมหวั่นใจนิดหน่อย ลืมไม่ได้เลยว่าพี่ท็อปเองก็แรงเยอะ ที่สำคัญเคยพลิกไอ้บอมมาแล้ว โคตรเกย์เลยว่ะ ฮ่าๆ

"โอเค นอนแล้วๆ"ผมยิ้มกว้างแล้วนอนหนุนไหล่พี่ท็อปซะเลย "...หลับฝันดีครับพี่ท็อป"ผมพูดข้างหูพี่ท็อปเบาๆ

"เออ หลับฝันดี"อีกฝ่ายตอบกลับมา ผมรั้งหน้าพี่ท็อปมาจูบก่อนจะเอนตัวนอนอย่างสุขใจ เจ้าตัวแค่ยิ้มในความมืดแล้วนอนหลับ แต่ผมยังคงหลับไม่ลง เพราะความคิดที่วนเวียนอยู่ไม่รู้จบ แค่ปล่อยให้ตัวเองลืมตามองหน้าพี่ท็อปจนผล็อยหลับไป


เมื่อรุ่งเช้าของอีกวันมาถึง เป็นวันที่ผมว่างทั้งวันแต่มีงานที่ต้องสะสาง ผมหันไปมองพี่ท็อปที่นอนหลับคร่อกๆยังไม่ตื่น ผมมองนิ่งๆแล้วแอบคิดชั่วร้าย แอบลักหลับเลยดีไหมวะ ผมขยับเข้าไปใกล้ก่อนจะเลื่อนมือไปจับส่วนกลางลำตัวของพี่ท็อปเบาๆ

"ไอ้สอง เดี๋ยวเหอะ"เสียงเข้มของพี่ท็อปทำให้ผมหยุดมือ ก่อนจะเหลือบไปมองพี่ท็อป เจ้าตัวยังคงนอนหลับตาอยู่ ผมยิ้มขำ

"ฮ่าๆ หยอกเล่นน่า"ผมพูดก่อนจะบีบเบาๆเป็นการส่งท้ายแล้วละมือออกจากเป้ากางเกงของเจ้าตัวแล้วหัวเราะ พี่ท็อปลืมตามองหน้าผม

"ถ้ามันตื่นขึ้นมาทำไงวะ"พี่ท็อปยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมานั่ง บิดขี้เกียจไปมาบนเตียง

"หึๆ ก็ทำให้มันสงบสิพี่"ผมไหวไหล่ เรื่องแค่นี้เอง พี่ท็อปยิ้มยกแขนมากอดคอผม ดึงรั้งให้เข้ามาใกล้ๆ

“ด้วยมือของกูหรือว่าตูดมึง”สิ้นคำของพี่ท็อป ผมพ่นลมหายใจดังพรืด อีกฝ่ายยังวกมาเรื่องก้นของผมจนได้นะ ผมขยับตัวออกจากการโอบกอดของเจ้าตัว

“มือผมก็ได้นะแหม ไม่ต้องเล่นของต่ำหรอก"ผมพูดติดตลก ก่อนจะขยับตัวออกห่างจากพี่ท็อปได้สำเร็จ

"กูพูดเล่น วันนี้กูไม่มีเรียน แล้วมึงล่ะต้องไปทำงานที่คณะเปล่า”พี่ท็อปเลิกแกล้งผม

"วันนี้ไม่มีครับ แต่ต้องไปวาด landscape นอกสถานที่”ต้องทำงานอีกแล้ว พอได้มาอยู่กับพี่ท็อปแล้วทำให้ขี้เกียจจริงๆ พลอยไม่อยากทำอะไร

"ไปวาดที่ไหน"พี่ท็อปถาม ผมนิ่งคิดอยู่นานก่อนะส่ายหน้า

"ไม่รู้เลยพี่ ยังหาที่สวยๆทำเลดีๆไม่เจอเลย มีที่ดีๆแนะนำไหมครับ”ผมลองถามพี่ท็อปดูเผื่อว่าจะได้ไอเดียใหม่ๆบ้าง พี่ท็อปยิ้ม

“ไปกับกูไหม กูจะกลับบ้านพอดี”คำชวนของพี่ท็อปทำผมหูผึ่ง รีบถามต่อทันที “บ้านพี่เหรอ มีมุมเจ๋งๆงั้นสิ”ผมพูดอย่างสนใจ พี่ท็อปพยักหน้า ก่อนจะลุกลงจากเตียงเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพาดไหล่เตรียมอาบน้ำ

"อืม ก็มีสวนเยอะ แล้วก็ออกแบบโดยสถาปนิกเชียวนะ”พี่ท็อปอวดสรรพคุณบ้านของตัวเอง แต่มันก็ทำให้ผมสนใจได้ดี อยากไปบ้านอีกฝ่ายเหมือนกัน ถือเป็นการขยับความสัมพันธ์ได้ดี

"งั้นก็ดีเลย มีโอกาสจะได้เจอหน้าแม่พี่หรือเปล่าเนี่ย"ผมถาม ต้องทำความรู้จักผู้ใหญ่ซะหน่อยจะทำการใหญ่ทั้งที

"ทำไม จะไปเคารพแม่ผัวเหรอวะ"พี่ท็อปหัวเราะร่า พูดออกมาเหมือนสลายฝันของผมลงต่อหน้าต่อตา เจ้าตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ

"หุ้ว เดี๋ยวผมจับปล้ำแม่งเลย พี่ก็ปากดีเหมือนกันแหละวะ"ผมโวยวายแล้วทำทีเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วย พี่ท็อปส่ายหน้าแล้วผลักร่างของผมให้ออกจากห้องน้ำเบาๆ

"หึๆ ไปอาบน้ำแต่งตัวเร็วเข้า เดี๋ยวสายแล้วแดดมันร้อนนะ"พี่ท็อปบอกด้วยน้ำเสียงดุๆ เป็นงานเป็นการขึ้นมา ผมยอมถอย ก่อนจะเดินออกจากห้องของพี่ท็อป ระหว่างนั้นผมหันไปมองห้องตรงข้ามอยู่เงียบๆ ห้องนั้นเงียบฉี่ไร้คนอยู่ ยิมมันไม่ได้กลับมานอนที่หอพักสินะ ผมสับสน คนพวกนั้นกำลังเล่นอะไรกันอยู่ ที่ยิมทำแบบนั้นกับผมเพราะอะไรกัน แค่ปั่นหัวผม ไอ้ยิมคงไม่ได้คิดอะไรกับผมจริงๆหรอกนะ

ผมกลับเข้าห้องแล้วอาบน้ำแต่งตัว เตรียมอุปกรณ์วาดภาพใส่เป้สะพายข้างที่ออกแบบเองเพ้นท์เอง เอาไปขายที่คณะก็ได้กำไรนิดหน่อยตามประสาจิตกรไส้แห้ง ถ้าฟลุคก็ขายได้ราคาดีหน่อย เฮ้อ ชีวิตคนศิลป์ก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีคนอุปถัมภ์ค้ำชูเสียที 
พี่ท็อปมาเคาะประตูห้องผมเป็นสัญญาณให้ออกมาได้แล้ว คราวนี้พี่ท็อปใช้รถมอเตอร์ไซด์ของพี่เขาเอง ผมเป็นฝ่ายซ้อน พี่ท็อปเป็นคนขับ บ้านของพี่ท็อปอยู่ในเศรษฐกิจทำเลดีเสียด้วย แน่นอนว่ารถติดอีก พี่ท็อปเลี้ยวรถเข้าไปในซอยหมู่บ้านหรูที่อยู่ห่างจากห้างสรรพสินค้าไม่กี่ถนนเอง

เมื่อมาถึงบ้านก็สมกับที่คุยไว้ บ้านสองชั้นไม่ใหญ่มากนักแต่ดีไซน์หรู ตัวบ้านมีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมไม่มีชายคาบ้านพื้นหลังคาเรียบเฉียงลงไปด้านหลัง ประตูทางเข้าบ้านเป็นบานกระจกเลื่อน ทำให้มองเห็นห้องนั่งเล่น ชุดโซฟาเรียบๆกับชุดโอมเทียร์เตอร์ขนาดใหญ่ด้วย ชั้นบนมีระเบียงยื่นออกมาเป็นชายคาให้แก่ตัวบ้านได้ มีสวนหย่อมเล็กๆ ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นเรียบๆ พื้นเป็นกรวดหินเล็กๆกับกระเบื้องสลับลายใบไม้ มีศาลายกพื้นทรงสี่เหลี่ยมมุงหลังคา มีโต๊ะน้ำชาและเบาะนั่งสองใบวางอยู่เป็นระเบียบ

"สวยดีนะพี่ แล้วไม่มีคนอยู่เหรอ”ผมชะเง้อมองไปรอบๆบ้าน

"อือ แม่กูไปสัมมนาที่เชียงใหม่อีกหลายวันกว่าจะกลับ”พี่ท็อปบอกขณะถอนรองเท้า จากนั้นก็ไขกุญแจเลื่อนประตูบานกระจกออก ด้านในบ้านดูกว้างกว่าที่เห็นจากด้านนอก เพราะแบ่งโซนจัดสรรได้ดี

“แบบนี้ก็ทางสะดวกทำอะไรกันก็ได้น่ะสิ”ผมหัวเราะแซวพี่ท็อปที่เปิดแอร์ให้ “หึๆ เดี๋ยวคืนนี้ก็รู้เอง”พี่ท็อปเดินไปที่ครัว เอาของว่างมาให้ผมกิน

“พี่เป็นลูกคนเดียวเหรอเนี่ย”ผมมองกรอบรูปครอบครัวบานใหญ่ที่แขวนริมผนังห้อง พี่ท็อปเดินมานั่งข้างๆผม

“อืม เป็นลูกคนเดียว แต่ฝากความหวังอะไรไม่ได้เลยว่ะ ฮ่าๆ หลานคงไม่มีให้พ่อแม่อุ้มแล้ว”พี่ท็อปพูดยิ้มๆ ผมมองไปรอบๆบ้าน ส่วนมากจะมีรูปถ่ายคู่กับคุณแม่มากกว่า คุณพ่อเพราะผมเห็นมีรูปเดียวจริงๆคือรูปใหญ่ที่แขวนบนผนัง ในรูปพี่ท็อปยังอายุประมาณแค่สิบขวบเองมั้ง แต่ผมไม่ได้ถามอะไร

“แม่หย่ากับพ่อไปแล้ว...”พี่ท็อปเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ผมหันไปมองพี่ท็อปที่จ้องผมก่อนแล้ว สายตาหม่นลง “...พี่ไม่ต้องเล่าก็ได้นะ”

“ไม่หรอก กูอยากให้มึงรู้เรื่องของกูบ้าง...แม่ไม่เคยบอกกูว่าหย่าเพราะอะไร กูก็ไม่อยากรู้หรอก ได้แค่เดา แล้วก็คิดมากไปเอง บันทอนจิตใจเปล่าๆ แต่กูก็ยังติดต่อกับพ่ออยู่... พ่อก็ไม่ได้บอกอะไร กูก็คิดว่าดีแล้วล่ะที่ไม่รู้... จนตอนนี้กูเลิกคิดไปแล้ว กูถึงได้บอกมึงไงว่าอย่าไปคิดเรื่องไอ้ยิมให้มันมาก เปลืองสมอง บันทอนตัวเองไปทำไมกัน ไม่อย่างนั้นมึงอาจไม่มีความสุขเพราะมัวแต่คิดเรื่องของมัน ถึงจะคิดเรื่องของมันแต่ก็อย่าให้มากไปกว่ากูล่ะ หึๆ มันหล่อดีนะ”

“ผมเลิกคิดเรื่องของมันไปแล้วพี่ ยอมรับว่ามันหล่อดี แต่ไม่เสป็คเลย แบบพี่ท็อปผมชอบสุดแล้ว”ผมไม่วายหยอดพี่ท็อปไป

“ไปทำงานซะไป หยอดไปเรื่อย สนุกปากสินะมึง”พี่ท็อปโบกมือไล่

ผมใช้เวลาอยู่กับพี่ท็อป ผมไปนั่งวาดแลนสแคปโดยใช้สวนของบ้านเป็นงานของผม พี่ท็อปเป็นเพื่อนแก้เบื่อตอนหมดอารมณ์ทำงานได้ดี

“ไหนว่ามีหมาชื่อทูไง ไม่เห็นหัวเลย”ผมเพิ่งนึกได้เลยถามออกไป

“อ๋อ แม่เอาไอ้ทูมันไปด้วย ฮ่ะๆ ก็ส่วนใหญ่กูอยู่หอพักนี่หว่า จะมีเวลามาเลี้ยง มาให้อาหารมันได้ยังไงวะ มึงนี่ไม่ค่อยฉลาดเลย”พี่ท็อปเอ่ยก่อนจะยิ้มขำ มองผมราวกับผมเป็นไอ้ทูอย่างนั้นแหละ ผมไหวไหล่ ย่นคิ้ว

“ใครจะไปรู้ล่ะครับ”ผมบอก ขณะเดียวกันโทรศัพท์ก็สั่นเตือนอยู่ในกระเป๋ากางเกงข้างถนัด ผมหยิบโทรศัพท์มาดูปรากฏว่าเป็นเบอร์ของ ‘โย’ ผมนิ่วหน้าสงสัย โทรมาทำไมกัน จากนั้นก็มองไปยังพี่ท็อปที่กำลังจดจ้องผมอยู่เช่นกัน แววตามีคำถาม

“ไอ้โยน่ะพี่”ผมบอก ก่อนจะมองโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในมือ พี่ท็อปมองด้วยสายตาเรียบเฉย ผมเดาไม่ออกว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่

“อืม ยังไม่เลิกติดต่ออีกหรือไง”พี่ท็อปถามด้วยความข้องใจ

“มันไม่ปล่อยผมง่ายๆหรอก”ผมบอกเบาๆ ไอ้โยเหมือนเป็นระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะสร้างเรื่องให้ผมได้มากแค่ไหน
พี่ท็อปถอนหายใจเหมือนเซ็งๆ “ตัดสินใจได้แล้วนะ มึงบอกเองว่ายังไม่18 กูเป็นห่วงมึงว่ะ ถ้าเรื่องมันเลยเถิดขึ้นมา”ผมพยักหน้าเข้าใจที่อีกฝ่ายเอ่ยเตือนดี ผมเลือกตัดสายมันทิ้งไปก่อนเพราะกำลังคุยกับพี่ท็อป

“ครับ ผมพยายามอยู่... มันก็ไม่ง่ายด้วยสิ...ผมกลัวว่ามันจะบอกป๊ากับม๊ามัน ไหนจะอาเฮียของมันอีก มีหวังตามโหงแน่ๆผม”ผมแอบกังวลนิดหน่อยเมื่อนึกถึงอาเฮียของมัน ถึงเวลาที่ต้องเช็คจริงๆจังซะแล้ว ในใจผมมีชื่อของไอ้ยิมปรากฏอยู่อย่างลังเลใจ แต่มันดูเป็นไปได้ที่สุดแล้ว

“มีอะไรก็บอกกู เผื่อกูช่วยได้”พี่ท็อปพูด แล้วยื่นมือมากุมมือผมแล้วกระชับแน่น ผมยิ้มรับ

“ครับ ผมจะบอกพี่ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมา ขอโทษนะพี่ ผมต้องโทรกลับ”ผมบอก

“เออ กูไม่คิดมากหรอก ไปจัดการซะ”พี่ท็อปพูดอย่างไม่ใส่ใจอะไร ผมเลยลุกเดินออกไปโทรกลับหาไอ้โย เพียงรอสายไม่นาน คนปลายสายก็กดรับทันที

“มีอะไรวะโย”ผมถาม บอกตามตรงผมแอบกลัวคำตอบของมันนิดหน่อย

[อยู่ไหนอ่ะพี่สอง โยอยากไปหา] คู่สนทนาเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ผมแปลกใจว่าทำไมมันถึงยังระรื่นได้อยู่อีก ทั้งๆที่เรื่องคราวก่อนผมกับมันยังไม่เคลียร์กันเลย ผมถอนหายใจ

“กูออกมาทำงาน มีอะไรอีกไหม นอกจากอยากมาหากู”

[โห ก็แค่อยากเจอหน้าพี่สองเท่านั้นเอง] ไอ้โยตอบกลับมาอย่างงอแง

“อืมๆ กูถามอะไรหน่อยสิ”

[อะไรอะ]

“อาเฮียมึงชื่ออะไรวะ”ผมถาม กลั้นใจรอฟังคำตอบของไอโยอยู่เหมือนกัน

[ถามทำไม อย่าบอกนะว่าจะกินอาเฮียของโยน่ะ ไม่ยอมหรอก] ไอ้โยดันประสาทแตก ไม่ยอมบอก ผมกรอกตาอย่างอดทน

“ไม่ใช่ กูอยากรู้ว่าชื่ออะไร ใช่ชื่อยิมไหมวะ”

[อ๋อ....] โยลากเสียงยาว แต่ทว่ามีเสียงแก่ทุ้มของป๊ามันแทรกมาซะก่อน จับความได้ว่า

 [... (ไอโย!! บอกแล้วไงว่าไม่ให้ใช้โทรศัพท์เวลานี้ เอามานี่ คุยกับใครอยู่ ต้องให้ยึดไปจริงใช่ไหม) พี่สอง....เดี๋ยวดิ กำลังคุยอยู่นะ เฮียก็อย่ามาแย่งเด้!--- ]


แล้วสายก็ตัดไป ผมใจเต้นตุบตับ ไม่น่ามาตัดสายเอาตอนนี้ ไอ้โยเกือบหลุดชื่อเฮียของมันมาแล้วไง ผมถอนหายใจด้วยความเซ็ง แล้วเดินกลับไปหาพี่ท็อป แม้ว่าในใจจะฟันธงไปเรียบร้อยแล้วว่าเป็นไอ้ยิม ดูจากชื่อก็คล้ายกันแล้ว


“แล้วว่าไงบ้าง เรื่องเด็กน้อยของมึง”

“เฮ้อ ไม่ทันคุย โดนป๊ามันยึดโทรศัพท์ไปแล้ว”ผมส่ายหน้า พี่ท็อปหัวเราะ “เด็กมึงคนนี้คงใช่ย่อยเลยว่ะ”

“หึ ใช่ อยากกระทืบจริงๆ”

“เอาน่า ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็มีทางออกเองแหละ กูเคยผ่านมาก่อน”พี่ท็อปพูดเรียบๆ ผมหันไปมองอย่างแปลกใจ

“จริงดิ ซุกเด็กไว้เหรอไงพี่”ผมถามยิ้มๆ พี่ท็อปส่ายหน้าเบาๆ

“เมื่อก่อนนู้นไง เมื่อก่อนกูก็เป็นคนเหี้ยๆทำให้แม่หนักใจ แต่ตอนนี้เป็นคนดีแล้ว อยากกำหลาบคนเหี้ยดูบ้าง”พี่ท็อปมองหน้าผม คำว่าเหี้ยก็กระเด็นใส่หน้าผมเต็มๆ ผมไหวไหล่

“ถึงจะเหี้ยแต่ก็มีหัวใจรักจริงนะพี่”ผมยิ้มเอาใจ แล้วเข้าไปเอนอิงพิงตัวพี่ท็อปเล่นอย่างออเซาะ ที่จริงแล้วผมไม่ใช่คนเอาอกเอาใจใครหรอก แต่อยู่กับพี่ท็อปก็ต้องเซอร์วิสหน่อย 

“ให้มันจริงเถอะ อย่าพูดออกมาง่ายๆจนไม่น่าเชื่อถือนะมึง”พี่ท็อปพูด แล้วผลักผมออก

“พี่ยังเปลี่ยนได้ แล้วไอ้สองล่ะมันก็ต้องได้สิพี่”ผมพูดตรงๆ ถ้าจบเรื่องโยได้ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก ผมไม่มีเรื่องอะไรให้หนักใจอีก ยกเว้นเรื่องเฮียแกนนี่แหละ แต่มันคนกรณีกัน 

“เข้าใจพูดนะมึง เออ กูจะคอยดู”พี่ท็อปส่ายหน้า ใบหน้าฉาบรอยยิ้มบางๆ

“พี่เตรียมตัวเป็นแฟนถาวรของผมได้เลย”ผมยิ้ม พูดอย่างมั่นใจ ผมไม่ปล่อยคนที่พรากครั้งแรกของตัวเองหลุดมือไปง่ายๆหรอก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 5 ผลัดกันรุกผลัดกันรับ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 25-06-2015 00:24:14
จนระทั่งล่วงเลยเวลามาจน 22:00 แล้ว ผมทำงานเสร็จไปเรียบร้อยหลายชั่วโมงก่อนหน้านั้น พี่ท็อปกับผมก็ย้ายมาอยู่ชั้นบน และตอนนี้ผมกำลังนั่งลงสีรูปในสมุดวาดที่เอาไว้วาดเล่น ผมวาดโครงหน้าพี่ท็อปลงไป แต่งแต้มแววตาในภาพเป็นอย่างแรกและประณีตกว่าปกติ ผมชอบแววตาของพี่ท็อปที่สุดแล้ว

“นี่มึงคลั่งกูขนาดนี้เลยหรอ”พี่ท็อปก้มมามองรูปแล้วยิ้ม

“หึๆ ยังไม่ถึงขั้นคลั่ง แต่ก็หลงได้ที่แล้วนะ”ผมหัวเราะ ผมมักชอบวาดคนที่ผมชอบลงในสมุดสะสมของตัวเอง วาดซ้ำ ๆ ในหลาย ๆ อิริยาบถ อย่างพี่ท็อป ถือว่าเป็นการฝึกมือไปในตัวด้วย

 “ดึกแล้ว...ไม่กลับหอเหรอ”พี่ท็อปแกล้งถามทั้งๆที่รู้คำตอบดี ทำสีหน้าท่าทางมีเลศนัยชัดเจน ผมหัวเราะในใจ

"อยากให้ผมค้างไหมล่ะ"

"กูไม่ถามกูก็รู้ว่ามึงต้องค้างอยู่แล้ว"พี่ท็อปเดินไปเข้าห้องน้ำ แล้วกวักมือเรียก “มาอาบน้ำด้วยกันสิ”ผมรีบทิ้งสมุดวาดทันที เห็นแววได้ทะลวงพี่ท็อปย้ำสถานะซะหน่อยแล้ว ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปผืนนึง พี่ท็อปกำลังถอดกางเกงชิ้นสุดท้ายออกพอดี ผมมองยิ้มๆ รวดเร็วดีจริงๆ

"มาพี่ ผมอาบให้ครับ"ผมยิ้มบอก แล้วเดินไปหมุนฝักบัว อันที่จริงห้องน้ำกว้างพอตัว มีอ่างจากุชชี่อยู่ด้วย ใกล้ๆกันนั้นมีฝักบัวแบบติดเพดาน มีไฟ LED เวลาเปิดด้วย น่าลองตรงนั้นจริงๆ

"เอาดิ แต่มึงต้องถอดด้วยสิ เสียเปรียบหมด"พี่ท็อปเดินเข้ามาปลดซิปกางเกงผมเบาๆ ผมยิ้มแล้วถอดเสื้อผ้าออกจนเปลือยเหมือนกัน ขนลุก เพราะบรรยากาศในห้องน้ำเย็น ผมถือสายฝักบัวฉีดลงบนตัวพี่ท็อปจนเปียกโชกแล้วเทสบู่เหลวลูบไล้เล่นไปทั่วแผ่นอกอีกฝ่ายจนเกิดฟอง ในขณะนั้นพี่ท็อปยืนลูบตัวไปด้วยเหมือนยั่วผมเล่น ผมมองแล้วยิ้ม เจ้าตัวดึงสายฝักบัวมาราดน้ำใส่ผมบ้าง

“...ยืนนิ่งๆนะมึง”พี่ท็อปจับตัวผมไว้แล้วฉีดน้ำให้ ผมหยิบขวดสบู่เหลวมาเทลงบนตัวแล้วลูบเล่น ในขณะที่พี่ท็อปเลื่อนมือไปจับท่อนล่างของผมที่เริ่มตื่นตัวขึ้นมา ผมยื่นหน้าไปจูบพี่ท็อปอย่างนุ่มนวล จากนั้นผมกับพี่ท็อปก็ผลัดกันเล้าโลมจนมีอารมณ์พร้อบรบกันทั้งคู่ ผมจับพี่ท็อปหันหลัง อีกฝ่ายพูดออกมาก่อนที่ผมจะประจำการ

“หึๆ เสร็จแล้วอย่าลืมออนท็อปให้กูด้วยนะ แฟร์ๆเว้ย"ผมชะงักไปครุ่นคิดไม่นาน ในเมื่อเหตุการณ์พามาถึงขนาดนี้แล้วจะหยุดก็ใช่เรื่อง ที่สำคัญผมก็ไม่ขาดทุนอะไร ผมโน้มไปจูบต้นคอพี่ท็อปไล่มาจนถึงแผ่นหลัง รับรู้ได้ว่าพี่ท็อปขนลุกขึ้นมา ผมหยิบคอมดอมจากชั้นวางอันเล็กบนอ่างล่างหน้ามาสวมให้ตัวเอง

ผมจับสะโพกพี่ท็อปไว้ แล้วใส่เข้าไปช้าๆ ได้ยินพี่ท็อปครางผ่านลำคอ

“อะ...”ผมขยับเอวเนิบๆ ก่อนจะถอดถอนจนสุดความยาวแล้วกดเข้าไปใหม่อยู่หลายครั้ง พี่ท็อปเกร็งแน่น เอื้อมมือมาลูบต้นขาไปพลาง ผมโน้มตัวไปจูบพี่ท็อปไปด้วย

"อะ..พี่ ... "ผมครางแผ่วเมื่อรู้สึกถึงการรัดแน่นที่มากขึ้นทุกครั้งที่เข้าออก ผมเร่งจังหวะให้เร็วถี่ขึ้น พี่ท็อปสูดปากหายใจหอบยืนขาสั่นสะท้านจนเจ้าตัวแทบยืนไม่อยู่ มืออีกข้างที่ว่างอยู่เอื้อมไปจัดการกับส่วนนั้นของพี่ท็อปที่ใกล้กำลังปลดปล่อยเต็มที

พี่ท็อปคราง ผมกระแทกเอวเข้าไปถี่ๆหลายครั้งก่อนจะดึงออก จับตัวอีกฝ่ายนอนลง แล้วสอดใส่เข้าไปใหม่อีกครั้ง มือของเจ้าตัวจับอยู่ที่เอวของผม จิกแน่นตามไปแรงอารมณ์ ผมโน้มไปประกบจูบกับพี่ท็อป ลิ้นเกี่ยวพัน อีกฝ่ายครางอืออยู่ในลำคอ รับรู้ได้ว่าพี่ท็อปใกล้ถึงฝั่งแล้ว

“โอย เชี่ยสอง เสร็จยังวะ”พี่ท็อปปรือตาถาม “ใกล้แล้ว”ผมกัดฟันบอก ขยับสะโพกเข้าออกถี่ๆหลายครั้ง จากนั้นก็ถอนออกแล้วกดสะโพกลงลึก พร้อมกับกอดอีกฝ่ายแน่นเมื่อร่างกายของพี่ท็อปเกร็งเขม็ง ปลดเปลื้องอารมณ์ออกมาไล่เลี่ยกัน  ผมดึงตัวออกจากช่องทางที่บีบรัดแน่น โน้มหน้าไปจูบอีกฝ่ายเบาๆ

“แสบว่ะ ... มึงรุนแรงไปนะ"พี่ท็อปย่นหน้า ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ แล้วขยับตัวขึ้นมานั่ง ผมหอบแฮ่ก

“โทษทีพี่”ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เปิดน้ำมาชำระล้างตัวให้อีกฝ่ายไปด้วย

"อืม เตรียมตัวได้เลย"ผมย่นหน้าทันที ยังจะเอาอีกเหรอ พี่ท็อปยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมา “ไม่พักก่อนเหรอพี่"ผมถามเบาๆ

"ไม่ เดี๋ยวมึงเบี้ยวกู"พี่ท็อปขมวดคิ้วมองหน้าผม ก่อนจะล้างเนื้อตัวทำความสะอาดอีกรอบ ผมหายใจเข้าออกแรงๆ แบบนี้คงต้องทำใจ

“โอเคๆ พี่ออกไปก่อนล่ะกัน”ผมบอก มองพี่ท็อปเดินหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอว ผมล้างเนื้อล้างตัวเสร็จเรียบร้อย ชำระร่างกายสะอาดทุกซอกมุม แล้วพันผ้าเช็ดตัวออกมาเจอพี่ท็อปที่อยู่ในสภาพเดียว กำลังนั่งอยู่ที่โซฟา

"มานี่สิ"พี่ท็อปกวักมือ ตบเบาะข้างๆ ผมเลยจำต้องเดินไปนั่ง "จะทำตรงนี้เลเยหรอ"ผมมองไปรอบๆ พี่ท็อปหัวเราะแล้วเดินไปรูดม่านปิดให้สนิท

“กลัวอะไรวะ มาให้ไว”พี่ท็อปเอนตัวพิงกับพนักแขนโซฟา ใบหน้าเจ้าเล่ห์ยิ้มบางๆมองผม สายตาแม่งเอาเรื่องจริงๆ “ไปที่เตียงไม่ได้เหรอ ผมไม่ถนัดอ่ะ"ผมถ่วงเวลา แบบนี้ต้องเมื่อยแน่เลย ที่สำคัญผมไม่ชอบออนท็อปเลยด้วย

"ไม่ เปลี่ยนที่บ้าง ครั้งนี้ต้องทำจนเสร็จนะ"พี่ท็อปสำทับ มองผมไม่วางตา ผมกลืนน้ำลาย

“ก็ผมไม่ค่อยชอบอ่ะ"ผมอิดออดไม่ยอมเริ่มเอง ที่จริงผมรู้ว่าคงไม่มีวันเสร็จโดยที่ผมคุมเกมส์อยู่ด้านบนหรอก

“หรือจะให้กูเอา กูแรงดีไม่มีตกนะ มึงน่าจะรู้"พี่ท็อปทำท่าจะลุกขึ้นมา แต่ผมดันตัวไว้ก่อน พี่ท็อปแรงเยอะจะตายไป ผมย่นหน้า

“โอเคครับ แหม เริ่มก็ได้”ผมปลดผ้าเช็ดตัวออก แล้วขึ้นไปนั่งคร่อมพี่ท็อปไว้ ขาข้างซ้ายตั้งหลักที่พื้น พี่ท็อปยื่นเจลกับคอนดอมมาให้อย่างรู้งาน ผมเลยต้องจัดการเคลียร์เส้นทางให้สะดวกๆ

"มองทำไมครับ ผมอายนะ"ผมบอกแล้วเงยหน้ามามองพี่ท็อปตาปริบๆ พี่ท็อปแค่หัวเราะ "อายห่าไร เร็วๆหน่อย อยากเข้าถ้ำแล้ว"จริงๆ ไอ้พี่เวร พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมกดตัวลงกับส่วนแข็งขื่นของอีกฝ่าย โยกตัวช้าๆปรับสภาพให้ร่างกายคุ้นชินกับของของพี่ท็อป ผมหลับตา ปล่อยไปตามอารมณ์ เกาะไหล่อีกฝ่ายไว้ โยกสะโพกขึ้นลงถี่รับกับแรงสวนจากพี่ท็อปที่ขยับเอวตามอารมณ์

ผมผ่อนจังหวะช้าลง 

“...ไม่ไหวว่ะ เมื่อย พี่ช่วยหน่อย"ผมบอก รู้สึกปวดตุบๆที่ทางด้านหลัง พี่ท็อปเปลี่ยนท่าค่อยๆดันตัวผมนอนลงกับโซฟา จัดท่าให้ผมเสร็จสรรพ ไม่คิดว่าจะต้องโดนพี่ท็อปทะลวงเองแบบนี้เลย น่าอายจริงๆ เสียชื่อฉิบ ผมเหลือบมองอีกฝ่าย ที่เสือกใส่ตัวตนอันร้อนระอุเข้ามาช้าๆ ก่อนจะขยับเอวเข้าออกอย่างรู้จังหวะ ไม่นานก็ทำเอาผมครางอืออา ตอบสนองต่อคนด้านบน พี่ท็อปโน้มตัวมาแนบชิด แล้วบดขยี้สะโพกลงมาพร้อมๆกัน ทำเอาผมครางอื้อเลยทีเดียว

“อา.. เบาๆ"ถึงปากจะบอกให้อีกฝ่ายเบาๆ แต่ก็เจ้าตัวก็ไม่เบาแรงให้หรอก แต่กลับกันมากกว่า ใส่มาเต็มจนจุก จากจุกกลายเป็นความสุขสมแทน ผมหลับตาแน่นไม่อยากรับรู้การเคลื่อนไหวของพี่ท็อป

“อะ...อา”ผมเกร็งแน่น เอื้อมไปจับของตนเองที่ตื่นตัวไม่แพ้กัน พี่ท็อปยิ่งโถมแรงถี่ขึ้นอีก

"โอ้ย... พี่”ผมคราง เริ่มทนไม่ไหว จัดการของตัวเองไปด้วย จนเส้นฟางแห่งอารมณ์ขาดผึง ผมปล่อยออกมาอีกรอบ พี่ท็อปตามมาติดๆ

 อย่างที่พูดไว้อีกฝ่ายแรงดีไม่มีตกจริงๆ เล่นผมซะชาดิกปวดแสบไปด้วยอีกต่างหาก “เฮ้ย สอง แม่งเลือดออก”พี่ท็อปร้องอย่างตกใจ ผมผงะเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือไปแตะทางด้านหลังของตัวเอง ยกออกมาดูก็เห็นเลือดสีแดงสด เปรอะเปื้อนฝ่ามือไม่น้อย ทำเอาผมหน้าเสียไป พี่ท็อปมองผมเหมือนขอโทษทางสายตา

"โหย พี่ แม่ง"ผมหงุดหงิดขึ้นมา พอขยับตัวก็ปวดระบมทันที ผมอดกลั้น พอจะเข้าใจอารมณ์พวกรับสาวๆโดนกระทำแล้วเลือดซิบ

"ขอโทษ กูไม่คิดว่าจะได้เลือด"พี่ท็อปบอก ก็นั่นสินะ ก็ไม่ใช่ครั้งแรก แต่คงเพราะครั้งนี้พี่ท็อปใส่เต็มซะขนาดนั้น ผมไม่ตอบอะไร แค่ยันตัวลุกขึ้นยืน ทั้งปวดก้น ปวดเอว และขาสั่นเล็กน้อยตอนยืนขึ้น

“เดี๋ยวพี่ทำแผลให้นะ”

"ครับ งอนว่ะ”ผมแกล้งสะบัดหน้าหนีแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ แค่ก้าวขาก็รับรู้ถึงฤทิ์เดช ตอนทำก็มันอยู่หรอก มาตอนนี้ล่ะ ปวดร้าวจริงๆ อึ่ย แสบชิบ ผมล้างเนื้อตัวอย่างเชื่องช้า อารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ ไม่ลืมจะสวนประตูหลังตัวเองไปด้วย แม้ว่าพี่ท็อปจะใส่คอนดอมก็เถอะ ลองสอดนิ้วเข้าไปดู แล้วมีแผลถลอกด้วย ถึงว่าแสบนัก ผมเดินลากขามานอนบนเตียง เห็นพี่ท็อปกำลังค้นหายาในกล่องบนโต๊ะอยู่ พี่ท็อปมองหน้าผม

"เจอแล้ว เดี๋ยวพี่ทำให้"

"เบาๆนะ พี่"ผมบอกแล้วปล่อยให้พี่ท็อปทายาภายนอกให้แล้วก็ยาเหน็บ  โดนแหกแล้วแหกอีก อาการปวกตุบๆลดลง แต่ยังแสบจี๊ดอยู่ แต่ก็พอทำให้ผมเริ่มเคลิ้มหลับได้ รับรู้ว่าพี่ท็อปเอนตัวลงนอนข้างผม "ขอโทษนะ..."เจ้าตัวกระซิบเบาๆ ผมลืมตาขึ้นมา เห็นพี่ท็อปนอนมองผมอยู่

"โห แค่นี้เอง เดี๋ยวก็หายพี่ "ผมยิ้มแล้วหาวนอน อีกฝ่ายยิ้มมาให้ แล้วปิดไฟที่หัวเตียงในห้องมืดสลัวทันที

"...สอง"พี่ท็อปเรียกอยู่ใกล้ๆจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ผมกระทบกับแก้มของผม "ครับพี่"

"รู้เอาไว้นะ ว่ากูชอบมึง"พี่ทอปพูด ในใจของผมยินดี ดอกไม้เบ่งบาน

"อือ"ผมรับคำเงียบ ๆ  ฉุกคิดขึ้นมาว่าเจ้าตัวรู้สึกผิดอะไรหรือเปล่า

"กูกลัวมึงคิดมาก ที่กูไม่ยอมคบ แต่เสือกมาเอามึงเนี่ย"พี่ท็อปจับมือผมมาคลึงเล่น ทำให้ผมยิ่งเคลิ้มจะหลับ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นทุกที

"ไม่หรอก ผมไม่ได้คิดมากซะหน่อย แต่ถ้าไม่อยากให้ผมไม่คิดมาก็... ให้ผมจะเป็นอะไรกับพี่ดี”ผมได้ยินพี่ท็อปหัวเราะ

"น้องชายข้างห้องไง"อีกฝ่ายตอบ ผมส่ายหน้า “ไม่เอาแบบนี้ดิพี่”

"เอาเป็นว่ามึงกับกูแค่...ระยะดูใจก็พอ... ไม่ใช่แฟนโอเคนะ"พี่ท็อปยังคงยืนกรานเรื่องแฟนซึ่งผมก็เข้าใจดี

"แล้วแต่ ผมไม่ซีเรียส"เพราะยังไงผมก็อยู่กับพี่ท็อปแค่เอื้อมเอง อีกอย่างสภาวะแบบนี้ใช่ว่าผมจะไม่เคยเจอ

"เลี้ยงง่ายดีวะ มึงเนี่ย"พี่ท็อปเข้ามากอดแล้วนอนเงียบๆ ไม่นานผมก็เข้าสู่ห้วงนินทรา....


    ผมสะลึมสะลือ รับรู้ว่าเช้าแล้วเพราะข่าวยามเช้าดังเบาๆ พี่ท็อปตื่นแล้ว ฟิตจริงๆ ผมตื่นแต่ยังคงไม่ลืมตา จนกระทั่งได้ยินเสียงอีกฝ่ายเหมือนเดินมาจากนอกระเบียงเพราะเสียงปิดกระจกเลื่อนดังปึงเบาๆ


"กูบอกแล้วไงวะ.....ขอร้องเหอะว่าอย่าดึงกูไปเกี่ยวด้วย ...นั่นมันเรื่องของมึงไม่ใช่เหรอ...."ผมนิ่งงัน พยายามจดจ่อกับเสียงพี่ท็อปที่คุยโทรศัพท์อยู่....พี่ท็อปคุยกับใคร...แล้วคุยเรื่องอะไรอยู่...

ไอ้บอมหรอ...

"เออ คิดว่ากูกลัวเหรอไง....เปล่าซะหน่อย ไม่รู้อะไรอย่าเสือกพูด....แล้วก็ไม่ต้องติดต่อกูมาอีกนะ......เลิกยุ่ง เรื่องเอากูเข้าไปเกี่ยวด้วย..." ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ ความเคลือบแคลงสงสัยในตัวอีกฝ่าย...เรื่องของพี่ท็อป ผมไม่ควรเข้าไปยุ่ง ผมรู้ดีว่ามันน่ารำคาญถ้าถูกถามเซ้าซี้ ผมควรเงียบ แล้วคอยจับผิดพี่ท็อปน่ะหรือ แต่นั่นไม่ใช่นิสัยผม

ผมผุดลุกขึ้นมานั่งจนลืมว่าอยู่ในสภาพไหน ถึงกับกำมือแน่น อย่างน้อยก็เบาลงแล้ว พี่ท็อปยืนมองผมอยู่หน้าโทรทัศน์

"ไง ตื่นนานแล้วเหรอวะ ได้ยินด้วยสินะ เสียงกูคงปลุกมึง"

"ก็ไม่หรอก... แล้วนั่น เรื่องอะไร"ผมขมวดคิ้วถาม

"เรื่องไม่เป็นเรื่อง กูล่ะเบื่อพวกเพื่อนแม่งชอบดึงชื่อกูไปเกี่ยว ทะเลาะกันเอง แต่อยากยืมมือกู โคตรป๊อด"พี่ท็อปส่ายหน้าแล้วโยนโทรศัพท์ลงบนโซฟา ผมไหวไหล่ ถึงผมจะขี้เสือก แต่ไม่รู้ไม่เห็นบางเรื่องก็ดี

"จริงดิ ดีแล้วไม่ต้องไปยุ่งให้เรื่องบานปรายหรอก...แล้วนี่กลิ่นอะไรหอมๆอ่ะ" ผมทำจมูกฟุดฟิด

"กูทำข้าวต้มให้มึง อยู่ด้านล่างน่ะ จมูกดีนะมึง"

"พี่ทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ ไม่รู้เลยนะเนี่ย" ผมขยับลุกจากเตียงแต่ความปวดจากก้นและอาการสั่นเล็กน้อยของกล้ามเนื้อขา
"ไหวเปล่าวะ"

"ไหวๆ อย่าถามผมอีกนะ ไม่ชอบคำถามนี้ ไม่ผ่านๆพี่"ผมหัวเราะ

"เดี๋ยวตามลงไปข้างล่างนะ กูเตรียมเสื้อผ้าให้มึงแล้ว"พี่ท็อปชี้ไปเสื้อผ้าที่พับวางอยู่บนเก้าอี้

"ครับพี่" ผมไม่อยากสงสัยพี่ท็อป เพราะมันจะบ่อนทำลายความสัมพันธ์และความรู้สึก...ของผมเอง

...

"มึงนี่ก็อึดใช้ได้เลยนะ เดินไหวได้ขนาดนี้"พี่ท็อปยกนิ้วโป้งให้แล้วเลื่อนถ้วยข้าวต้มกับ กับแกล้มพวกของทอดและผัดเต้าเจี้ยว

"แค่นี้เอง ใครจะนอนซม"ผมไหวไหล่ ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นหรอก เสียสูญหมด

"หึๆ ลองให้เจอแบบเต็มแม็ทซ์เถอะ ค่อยปากดี"พี่ท็อปพูดเสียงเข้ม ทำเหมือนขู่ แต่แอบกลัวอยู่บ้าง ตกลงผมต้องเป็นเมียถาวรเลยหรอ ไม่ดีมั้งเนี่ย

"ไหนมาชิมฝีมือหน่อย"ผมยิ้มแล้วอ้าปาก รอพี่ท็อปป้อนให้

"เป็นเด็กๆเลยมึง...เอ้า"พี่ท็อปตักข้าวต้มมาพอดีคำแล้วเป่าให้หายร้อยก่อนจะยื่นป้อนให้ผม

"อืม...อร่อยเหาะไปเลย"ผมชม

"เว่อร์ล่ะมึง "อีกฝ่ายหัวเราะเสียงใส

"พี่ท็อป...."

"หืม?"พี่ท็อปหันหน้ามองผมอย่างงงๆ เมื่อผมขยับหน้าไปใกล้ ผมมองเข้าไปในแววตาสีดำประกายที่ผมชอบมาตลอด แววตาพี่ท็อปสั่นไหวเล็กน้อย

"อืม ไอ้สองทำตัวแปลกไปทุกที สงสัยกูมีของดีแน่เลย"พี่ท็อปพูดขึ้นมาเล่นๆ ทำลายความเงียบระหว่างเรา

"เมื่อก่อน ผมก็ไม่สนหรอกว่าใครจะจริงใจหรือไม่จริงใจกับผม... แต่มาตอนนี้ผมแคร์พี่ ผมก็แค่อยากรู้ แม่ง ถึงฟังน้ำเน่าก็เถอะ”ผมพูดด้วยรอยยิ้ม สังเหตอีกฝ่ายไปด้วย พี่ท็อปส่งยิ้มมาให้ผม

"กูดีใจนะ ที่มึงรู้สึกแบบนี้... กูเองไม่ชอบเล่นกับความรู้สึกของใคร เพราะฉะนั้น อยากให้มึงเชื่อกู อีกอย่างมึงเป็นคนสำคัญกับกูนะ”

ผมอยากลองไว้ใจใครสักคนโดยที่ไม่ต้องแคลงใจอะไรมาก เป็นพี่ท็อปจะได้ไหมนะ ผมเองก็อยากรู้

"ครับ... ข้าวต้มเย็นหมดแล้ว"ผมอายนิดหน่อย เพราะแววตาของพี่ท็อปที่มองผม เจ้าตัวส่ายหน้าแล้วกินข้าวต้มเงียบๆ
 เอาเป็นว่า ผมจะเชื่อในสิ่งที่ผมเห็น ที่ผมสัมผัสได้ด้วยตัวของผมเองแล้วกัน

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 25-06-2015 01:23:51
ไอ้สองไปแก้ปัญหาเรื่องน้องโยก่อนเถอะ เอาให้รอดจากเด็กให้ได้ ๕๕๕ ตอนใหม่มาเร็วๆนะคับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 25-06-2015 03:22:45
สองขี้อ้อนอ่ะ เห็นแววสองตกเป็นเมียพี่ท๊อปตัลลอดดดดมารำไร
5555555555555 55
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 25-06-2015 03:41:19
พี่ท็อป กับ สอง  :jul1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 25-06-2015 08:40:55
ชอบนิสัยพี่ท็อป แมนๆแฟร์ๆ สองก็อย่าอิดออดนักเลยตอนเป็นเมียเนี่ยะ พี่เขาให้เสียบนี่ใจกว้างที่สุดล่ะ
ชอบจังแนวนี้ ผลัดกันทำ  หาอ่านยาาาาาาาาาาาก แรร์ไอเทม
เด็กโย ต้องนำภัยมาให้สอง ชัวร์
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 25-06-2015 08:58:27
 :กอด1:  น้องสองเมียรัก
รอผลัดกันเสียบคืนอยู่สินะ อย่าทิ้งความตั้งใจนั้นนะ
เหมือนภัยร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาในตอนที่เรากำลังตายใจแบบนี้แหละ จะเชื่อใจพี่ท็อปก็ได้แต่คนอื่นๆน่ะเชื่อยากมาก
รอต่อจ้าคนเขียน  :mew1: 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ziqh.leo ที่ 25-06-2015 10:36:53
สองขี้อ้อนมากกกกก
แต่เราชอบให้สองเป็นรุกมากกว่านะ  :hao3:

อยากรู้ว่าเฮียของโยใช่ยิมรึเปล่าาา  :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 25-06-2015 11:23:56
สองขี้อ้อนนนมว๊ากกกกกก เห็นด้วยอ่ะ แบบว่าอยากให้สองรุกกกกพี่ท๊อปป 5555

สองขี้อ้อนมากกกกก
แต่เราชอบให้สองเป็นรุกมากกว่านะ  :hao3:

อยากรู้ว่าเฮียของโยใช่ยิมรึเปล่าาา  :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 25-06-2015 11:32:15
ท๊อปสอง สองท๊อป  :m10:
ไม่เอาโย เอาอิน้องโยไปเก็บด่วนน!
55555

ปล.ป๊าไม่น่ามาขัดจังหวะเล้ยยยย กำลังลุ้นว่าโยจะตอบว่าไง 55
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: milky way ที่ 25-06-2015 12:29:37
เราก็อยากให้สองรุกมากกว่า
ว่าแต่พี่ท๊อปมีความลับที่ปิดไว้แน่เลย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 25-06-2015 15:39:25
ใครมาดี ใครมาร้ายต้องรอต่อไป ไม่อย่างเดา เนอะๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 25-06-2015 18:22:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 25-06-2015 20:17:29
พี่ยิมชัวร์!! เราเชื่อว่าใช่ 555555555555555555555
เฮียของโยนี่คงเป็นใครไม่ได้นอกจากยิมแล้ว...
#แต่ถ้าไม่ใช่คงแอบตกใจค่ะ455555555555555555
พี่ท็อปยังทำตัวมีลับลมคมในเหมือนเดิมเลย
เอาเป็นว่าจะเชื่อใจพี่ท็อปนะ ;3;

ตอนนี้แต้มก็เสมอกันอีกแล้ว 555555555555
ในอนาคตจะถาวรหรือแข่งกันทำแต้มเอ่ย  :hao7:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 25-06-2015 20:38:51
โย ยิม เออ ชื่อคล้องกันแหะ สงสัยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 26-06-2015 01:04:49
สองได้ออนท็อปอีกแล้ว!!
 :hao6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 27-06-2015 12:11:39
ท่าทางสองจะต้องออนท๊อปถาวรแล้วมั้งเนี่ย อิอิ
ท๊อปมีอะไรปิดบังไหมเนี่ย ยังไงก็เชียร์ท๊อป ฮ่าๆๆๆๆ
ยิมต้องพี่โยแน่เลย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 27-06-2015 13:00:08
รอตอนต่อไป  :katai5:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 27-06-2015 18:19:30
สงสัยคู่นี้จะผลัดกันตลอดแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mox2224 ที่ 27-06-2015 22:29:58
ยิมพี่โยชัวร์
แต่ทำไมรู้สึกเหมือนพี่ท็อปหลอกสองแปลกๆ
ดูรักเร็วชอบเร็ว บอกชอบมานานแล้วทั้งที่สองเพิ่งเจอไม่นาน
หรือเราคิดมากไปเอง

ป.ล. แอบชอบยิมดูเย็นชา แปลกๆดี เป็นพระเอกเราก็ไม่ว่านะอิๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 28-06-2015 09:59:10
ชอบให้สองเป็นรุกมากกว่า
อีกอย่างการที่สลับกันสถานะไม่ชัดเจน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Glitterycandy ที่ 28-06-2015 13:45:21
ยิมส่งท็อปมาเอาคืนให้น้องโย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 28-06-2015 15:58:06
เพิ่งได้อ่านเรื่องงนี้ค่ะ  ดูปมเยอะแยะเลยนะเนี่ยย

อ่านไปนี่ยังสงสัยตลอดว่าใครเป็นพระเอกมันก็มีโอกาสนะว่าอาจจะเป็นยิมหรือท๊อป

นี่ลุ้นกว่าเรื่องความลับของพี่ท๊อปอีก 555555

รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 28-06-2015 20:23:50
อยากรู้ว่าสองจะเคลียร์ปัญหายังไง

รอจ้าาาาาาาาาาา


 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-6 #25.06.58 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kjkjji ที่ 28-06-2015 20:54:29
โอ้ยย อ่านตอนแรกๆเราเดาว่าคู่ของน้องสองนี่ต้องพี่ยิมแน่เลย ออกแนวพระเอกหล่อ ลึกลับ มีประเด็นและโผล่มาทีหลังไรงี้ แอบคิดว่าน้องสองพี่ท็อปสปาร์คกันไวไป พี่ท็อปแม่มตัวหลอกแน่ๆ 555 แบบ..พี่ท็อปต้องไปคู่อีตาพี่แกนแน่เลย
แต่พอมาถึงตอนที่น้องสองยอมให้พี่ท็อปรุก เราเริ่มเขวละ เห้ยยยย
ยิ่งหลังๆอ่านสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วยิ่งแบบบ เห้ยยยย
ได้แต่หวังว่าจะไม่มีพลิกเปลี่ยนคู่ ขอสองท็อป ท็อปสองเถอะ ไหนๆก็ไหนๆละ  :heaven

ปล.แอบติดใจพี่ท็อปตอนเป็นรุกนะ พี่แกอย่างหล่อ
แต่ตอนเป็นรับก็แซ่บมากกก นี่เป็นน้องสองจะคลุกวงในตลอดเวลาเลย 55555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 6 ตกหลุม (พราง) รัก
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 28-06-2015 21:02:11
ตอนที่ 6 ตกหลุม (พราง) รัก

ช่วงหนึ่งสัปดาห์หลังจากกลับจากบ้านพี่ท็อปแล้ว ผมแทบจะย้ายสัมมะโนครัวไปอยู่ห้องอีกฝ่าย กลางวันไปเรียน กลางคืนไปนอนกับพี่ท็อป เย็นวันนี้หลังจากที่ปั่นงานที่คณะได้ไปตามที่วางแผนไว้แล้ว พี่ตั้มโทรหาผมเรื่องยิม เท่าที่ฟังจากปากของเจ้าตัว พี่ตั้มบอกว่าไอ้โย เป็นน้องชายของยิมจริงๆด้วย ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่ผมหนักใจขึ้นมาเพราะยิมมันดูโกรธเคืองผม คำพูดทุกอย่างที่มันเคยเอ่ย ผมจำได้ขึ้นใจ เรื่องที่อีกฝ่ายพูดเตือนด้วย

[เด็กอยู่เลยนะเว้ย ม.4 เอง... เวรเหอะ ถ้าพ่อแม่มันเอาเรื่อง มึงนี่เสี่ยงคุกนะ ถ้าไม่คุกก็จ่ายเงินบานเลย]ถ้อยคำของพี่ตั้มทำหนักใจ ในเมื่อผมก็หวั่นใจเป็นทุนเดิม ถ้าหากเจอคดีพรากผู้เยาว์เข้าจริงๆล่ะก็ ได้ตายโหงแน่นอน ยอมความก็ไม่ได้ด้วย อนาคตผมคงดับจริงๆ ปัญหาคงตามมาเป็นพรวน ส่วนยิม...คงจะมาเอาเรื่องผมสินะ ...น้องมันทั้งคน

" แต่ทำยังไงได้ล่ะพี่ ผมว่าจะตัดไฟซะก่อน ไม่รู้ว่าจะทันหรือเปล่า”

[...ฮึ....มันเป็นเพื่อนกับไอ้แกน กูว่าคงช้าไปแล้วมั้ง ไอ้สองเว้ย]พี่ตั้มจุดบอก ผมถอนหายใจ

"แล้วเฮียแกนกับพี่ท็อปมีเรื่องอะไร"

[อืม ยากว่ะ แต่ละคนก็พูดไม่ตรงกัน เพราะเรื่องทะเลาะกันจริงๆน่ะ สามสี่ปีก่อนนู้นมั้ง แต่มันเพิ่งจะมาหนักเมื่อสามสี่เดือนนี่เอง] ผมนิ่งฟัง ตอนนั้นถามจากพี่ท็อป บอกทะเลาะเรื่องน้องสาวเฮียแกน ผมเดาว่าน้องสาวเฮียแกนต้องเป็นเด็กเก่าพี่ท็อปแน่ๆเลย

"...แล้วเฮียแกนมีน้องสาวไหมพี่"

[ห๊ะ ไม่นี่หว่า ลูกคนเดียว...]พี่ตั้มตอบเสียงดังฟังชัด ผมชะงักไป น่าแปลก ก็พี่ท็อปบอกว่าเรื่องน้องสาวเฮียแเกนนี่ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ซะได้

"มั่นใจ100%ไหมพี่ผมอยากให้ชัวร์ๆ"ผมทำหน้าเซ็ง นี่เรื่องชักอิรุงตุงนังจริงๆ

[...เออ ก็ในทะเบียนบ้านมันบอกไว้แบบนี้นี่หว่า...เดี๋ยวกูส่งไปให้ดูในแชทนะ... ถ้ายังข้องใจเดี๋ยวกูจะลองไปสืบดูอีกทีแล้วกัน] พี่ตั้มบอก ไม่นาน ผมก็เปิดแชท กดดูรูปภาพระเบียนประวัติของเฮียแกน ผมมองชื่อ ‘กฤตพัฒน์ ณกรกันต์’ เป็นชื่อสกุลจริงของเฮียแกน ผมรู้สึกคุ้น ๆ ในความรู้สึกว่าเคยได้ยินนามสกุลนี้มาจากที่ไหนนะ ผมขยายภาพ ในนั้นก็กรอกว่าเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง

ใครกันที่โกหก...พี่ท็อปเหรอ จะโกหกไปทำไมกัน?

ผมวางสายจากพี่ตั้ม เดินขึ้นมาชั้นสามที่เงียบกริบ ผมเอาหูไปแนบประตูห้องพี่ท็อปที่เงียบฉี่ ผมลองเคาะประตูเบาๆสองสามครั้ง ไม่มีเสียงตอบรับหรือเสียงการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย สงสัยไปเรียน ผมเดินหยุดที่หน้าห้องตัวเอง แล้วจ้องไปที่ห้องของยิมที่เงียบกริบเหมือนกัน ผมลองไปเคาะดูบ้าง...เงียบเชียบเหมือนเคย หายไปพร้อมๆกันแบบนี้ ผมเลยอยากไข้ข้อข้องใจ ถึงแม้จะรู้ดีว่าพี่ท็อปกับยิมมันเรียนภาคเดียวกันก็เถอะ

ผมเปิดเว็บ reg ของมหา’ลัยแล้วเสิร์ชชื่อสกุลจริงพี่ท็อปลงไป ผมกดเอ็นเทอร์ ปรากฏตารางเรียนขึ้นมา ผมกวาดสายตามองแล้วก็พบว่ามีชั่วโมงเรียนอยู่ยาวไปถึงสองทุ่มเลย ก่อนจะตลกตัวเอง ผมชักระแวงแม่งไปทุกเรื่องจริงๆ ผมลองโทรหาโยดูแต่ไม่รับสายผม ผมโทรจิกไปสี่ห้าสายก็ไม่รับอีก จนผมเริ่มหงุดหงิดเลยส่งข้อความไปแทน

2 : โทรกลับด้วย มีเรื่องจะคุย
ผมล้มตัวนอนลงกับเตียง นอนคิดอะไรสักพัก สายตาเลื่อนไปจับที่ขาตั้งไม้ที่มีรูปของใบหน้าพี่ท็อปตั้งอยู่ปลายเตียง พี่ท็อปกำลังยิ้มอยู่ในภาพที่ผมจิตนาการขึ้นมาเอง ‘จะหลอกหรือจะรักเอาให้แน่สิพี่’ผมคิดในใจ
ผมนอนฟังเพลงในโทรศัพท์ จนกระทั่งมีคนโทรเข้ามา รู้ได้ทันทีว่าใคร ผมกดรับสายแต่ไม่ได้พูดอะไร

[ไงครับพี่สอง] โยเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน

"เย็นนี้ออกมาเจอได้ไหม มีเรื่องจะคุยด้วย”ผมลุกขึ้นจากเตียงมองนาฬิกา ห้าโมงเย็นแล้ว

[มีเรื่องอะไรหรือเปล่าพี่สอง กลัวป๊าไม่ให้ออกบ้านอะพี่]

“เรื่องสำคัญ เกี่ยวกับเฮียยิมของมึง”

[อ้าว รู้จักกันด้วยเหรอ พี่สองอะ โยคงไปเจอพี่บ่อยๆไม่ได้แล้วนะ]

“เออ กูไม่ได้สนใจเรื่องนั้นโว้ย นี่เรื่องคอขาดบาดตายเกี่ยวกับมึงแล้วก็กู...มารอปากซอยจะขี่รถไปรับ”ผมบอกมันอย่างหงุดหงิด โยยอมตกลง

[ถ้าขอป๊าได้ เดี๋ยวส่งข้อความไปหานะ]

ผมถอนหายใจเบื่อๆ ก่อนจะลุกหยิบหมวกกันน็อคมาถือลงไปรอที่หน้าโรงจอดรถ ไม่นานเสียงสั่นเป็นสัญญาณว่ามีข้อความเข้า

Yo : พี่สองมารอโยที่หน้าซอยเลย โยจะรออยู่ที่หน้าเซเว่น
ในใจผมก็คดว่าโยมันต้องออกมาหาผมได้อยู่แล้ว

ผมสตาร์ทรถ แล้วขับไปตามถนนเส้นใหญ่ตรงไปยังซอยบ้านของโย ผมก็หวั่นๆถ้าเกิดไอ้ยิมรู้เรื่องขึ้นมาเดี๋ยวมันจะควันออกหูอีก ผมนัดเจอกับโยวันนี้เพราะต้องการจะจบความสัมพันธ์ทางกายให้เด็ดขาด เพราะถึงจะปล่อยต่อไปก็ไม่เกิดเรื่องดี
ผมเห็นร่างขาวๆไซน์มินิของไอ้โยที่ยืนกดโทรศัพท์อยู่หน้าเซเว่น ผมขี่เข้าไปจอดด้านหน้า โยเงยหน้ามามองแล้วยิ้มกว้างวิ่งมาหาผมท่าทางดีใจ

“คิดถึงพี่สองจัง มาหอมหน่อย”ผมรีบหลบเอนหน้าหนีไอ้โย มันทำท่าจะจูบผมจริงๆด้วย ผมผลักมันแรงๆ

“ให้ไวดิ กูจริงจังนะ”ผมพูดไม่ยิ้ม โยหน้างอไม่พอใจแต่ก็เดินมาซ้อมหลังผม แถมยังกอดเอวผมไว้อีก ผมได้แต่ถอนหายใจ เถียงกับมันก็รังแต่จะเสียเวลาเปล่า

“พี่สองพาโยไปไหน โยก็ไปหมดแหละ”คนด้านหลังหัวเราะเสียงใส ผมได้แต่ข่มใจขี่รถไปยังร้านกาแฟที่อยู่คนละพื้นที่กับละแวกบ้านของมันเผื่อป๊าม๊ามันผ่านมาเจอเข้าเดี๋ยวจะซวย

ผมเดินเข้าไปที่ร้านกาแฟ มีโยเดินตามประชิดไม่ห่าง ผมสั่งคาปูชิโน่มาแก้วนึง โยสั่งโกโก้ ผมเดินไปเลือกโต๊ะที่อยู่มุมสุด โยมันมานั่งข้างๆผม

“กูจะพูดเลยนะ...กูว่ามึงกับกูอย่าเจอกันอีกเลย เลิกติดต่อเลิกรู้จักกัน...”ทันทีที่ผมพูดจบ โยที่นั่งมองผมด้วยสีหน้าแจ่มใสกลายเป็นหมองลงทันตา มันนั่งนิ่งหน้าแดงก่ำเหมือนโกรธ

“....ทำไมอะพี่ โยจะไม่ทำตัวงี่เง่าอีกแล้วนะ นะๆ”โยจับแขนผมแล้วเขย่า ผมถอนหายใจ มองหน้ามันนิ่งๆ

“มึงรู้ไหม พี่มึงจะเอาเรื่องกู อีกอย่างถ้าเรื่องนี้ถึงหูป๊ามึง มึงคิดว่ากูจะปลอดภัยหรือไง”โยทำหน้าอึ้งๆ ผมยอมรับว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว ผมก็แค่ไอ้สองผู้ชายห่วยๆมาแต่ไหนแต่ไรแก้ไม่หายหรอก ผลประโยชน์ของตัวเองก็ต้องรักษาไว้

“...เฮียยิมน่ะเหรอ พี่สองกลัวหรือไง ถ้าเฮียมันมาวุ่นวายกับพี่ พี่ก็สั่งสอนมันไปเลยสิ”โยพูดด้วยอารมณ์ ผมส่ายหน้า วันนี้จะคุยกันรู้เรื่องไหม  ผมไม่พูดอะไร เพราะมีคนมาเสิร์ฟออเดอร์ที่ผมกับโยสั่งไปมาวางที่โต๊ะ

“เออ ถ้ามันทำแบบนั้นก็ดีสิ กูคงไม่ถ่อมาหามึงแบบนี้ มึงยังไม่18 เลย ถ้ากูโดนแจ้งความ กูก็จบเห่ อยากให้กูเข้าคุกขึ้นศาลหรือไงวะโย ...ถือว่ากูขอร้องล่ะ”ผมจำใจต้องพูดแบบนี้ ทำให้ตัวเองน่าสงสาร แต่มันก็เป็นความจริงนั่นล่ะ

“...โดนจับเลยเหรอ... ถ้าอย่างนั้นโยจะไปคุยกับเฮียกับป๊าให้นะ เขาไม่เอาเรื่องพี่สองหรอก”โยยิ้มเจื่อนมองหน้าผมอย่างคาดหวัง ผมถอนหายใจ

“มึงทะเลาะกับป๊ากับอาเฮียของมึงไม่ใช่หรือไง ... มึงกล้าพูดเหรอว่าที่ผ่านมามึงทำอะไรกับใครมาบ้าง”ผมแทบจะตะคอกใส่มัน โยหน้าซีด เงียบไปมันกัดเล็บตัวเองไปพลาง คิ้วขมวดเข้าหากัน ผมแค่นเสียงอย่างอารมณ์เสีย ผมจะต้องมาตกม้าตายเพราะโยน่ะเหรอ ไม่มีทางหรอก ผมปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ พ่อเอาผมตายแน่ๆ คราวนี้ผมคงได้ไปอยู่ข้างถนน

 ผ่านไปหลายนาทีไม่มีใครพูดอะไรออกมา

“ฮึก...ผมชอบพี่รักพี่อ่ะ ผมไม่อยากเลิกกับพี่”

“ห๊ะ กูกับมึงไม่ได้คบกันเสียหน่อย กูบอกมึงแล้วไงโย นี่ก็เพื่อตัวมึงเองนะ...”ผมเงียบไป มีเพียงเสียงสูดน้ำมูกดังมาจากโยเท่านั้น

“ถ้าโยอายุ18 แล้วแสดงว่ายังเจอกับพี่สองได้เหมือนเดิมใช่ไหม”โยยื่นหน้ามาถามผม จับมือผมไว้แน่นๆ ผมหลับตาพ่นลมหายใจ ผมไม่แน่ใจว่าสามารถแจ้งความย้อนหลังได้หรือเปล่า

“กูไม่ได้รักมึง โย กูเห็นมึงเป็นแค่...โย มึงก็รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นไม่ได้”ผมบอกมันอย่างละเหี่ยใจ โยหน้าบึ้งฮึดฮัดไม่พอใจขึ้นมา ผมดึงไหล่มันเข้ามาใกล้ ส่งสายตาดุดันไปให้เพื่อมันจะกลัวบ้าง

“ตอบมา จะเลิกยุ่งกับกูหรือเปล่า”ผมกระซิบมันแต่ก็แฝงความแข็งกระด้างดุดัน โยจ้องตาผมไม่กระพริบ เหมือนคนเจ้าคิดเจ้าแค้น

“พี่สองใจร้าย อีกไม่กี่เดือนเอง โยจะ18แล้ว นะๆ แล้วโยจะยอมถอยออกไปก่อน โยจะเลิกติดต่อพี่สอง จะลบเบอร์ ลบเฟส ลบรูปลบทุกอย่างเลยนะ ถ้าพี่สองยอมตกลงกับคำขอของโยบ้าง”

“...”ผมไม่ตอบอะไร ให้ตายเหอะ ทำไมมันถึงสลัดยากแบบนี้ ทีไอ้ตอนที่ตกลงกันครั้งแรกมันยังยิ้มรับด้วยความเต็มใจ

“หรือจะให้ผมไปฟ้องป๊ากับอาเฮียว่าพี่สองข่มขืน ทำอนาจารโย”

ผมมองหน้ามันอย่างตกใจ ไม่คิดว่ามันจะเล่นแง่แบบนี้

“โอ้โย!”

“ว่าไงล่ะพี่สอง ไม่รู้ล่ะ โยพูดจริง”โยปล่อยมือผมแล้วหยิบแก้วโกโก้มาดื่มอย่างสบายใจ คงคิดว่าถือไพ่เหนือกว่าผมก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่ปฏิเสธหรือต่อรองอะไรได้

“เออ ก็ได้...ตกลงตามนั้น แต่ต้องรอเวลาก่อน ไม่ใช่ว่าพอมึง18แล้วจะมาเจอกูได้เหมือนเดิม กฎหมายมันคุ้มครองพวกเด็กเยาวชนจะตาย”

“เย้ พี่สองน่ารักจัง ...โห แบบนี้โยก็จะไม่ได้ยินเสียงพี่สองอีกนานเลย อีกอย่าง...โยต้องเหงามากแน่ๆเลย”โยหัวเราะแล้วกอดแขนผมอย่างไม่อาย ผมถอนหายใจ ไอ้เด็กเปรตเอ้ย อย่าให้ถึงทีผมนะ ผมจะเอาคืนแน่นอน

“เออๆ ช่วยลบเบอร์หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับกูออกให้หมดนะ”ผมกำชับมันอีกรอบ

“วางใจหายห่วงเลยครับ งั้นพี่สองหอมแก้มโยหน่อยนะ นะๆ อีกหน่อยก็ไม่เจอกันแล้วอะ”โยเข้ามาใกล้ ผมเหลือบมองรอบตัว คนไม่ค่อยมี แต่ว่าพนักงานคอยจ้องอยู่น่ะสิ ผมเลยไม่อยากลีลาชักช้า เลยต้องยื่นหน้าไปหอมแก้มโยฟอดนึงอย่างเสียไม่ได้ โยหัวเราะพอใจ

“แบบนี้ค่อยดีหน่อย แล้วพี่สองรู้จักเฮียของโยได้ยังไง”โยทำหน้าสงสัย ผมนึกถึงไอ้ยิมแล้วหงุดหงิด “ก็มันอยู่หอเดียวกับกู แล้วมันชอบกวนตีนเหมือนจะหาเรื่องกูหน่อยๆ เหอะ”

“โยก็ลืมบอกไป วันนั้นที่โยรีบกลับออกมาก่อนเพราะว่าโยเห็นอาเฮียน่ะสิ เลยต้องเปิดแน่บมาก่อน โลกกลมเกินไปแล้ว”โยทำหน้าเซ็ง เหอะ ไอ้ยิมมันก็ห่วงน้องไม่เข้าท่าเลย ดูนิสัยน้องมันก่อนเถอะ

“เหอะ ก็ว่าอยู่....เอาเป็นว่ามึงกับกูเจอกันวันนี้วันสุดท้าย กลับได้แล้ว”ผมบอกโยแล้วดึงให้มันลุกขึ้น มันทำหน้าอิดออดแต่ก็ยอมตามมา ผมสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของมันได้แล้วเดินไปจ่ายเงิน ผมไม่รู้ว่าทำแบบนี้แล้วจะช่วยให้อะไรดีขึ้นไหม แต่อย่างน้อยช่วงนี้ผมก็ปัดไอ้ตัวรังควานออกไปได้คนนึงแล้ว

หลังจากที่ไปส่งไอ้โยที่หน้าซอยแล้วผมก็วกกลับมาที่หอพัก ฟ้าก็มืดแล้ว คงจะหกโมงเย็นกว่าๆได้แล้วล่ะมั้ง เมื่อมาถึงโรงจอดรถข้างหอ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาพี่ท็อป แต่ไม่รับสาย ผมโทรไปอีกสองสามรอบ แต่ก็ไม่รับเหมือนเดิม ทำอะไรอยู่นะ

เฮ้อ ผมนี่ทำตัวน่ารำคาญเป็นพวกโทรจิกซะอย่างนั้น
ผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสามก็เจอกับยิมที่ยืนก้มหน้ากดโทรศัพท์พิงประตูหน้าห้องตัวเองอยู่ ผมเดินไปยืนตรงหน้ามัน

"ไง....อาเฮีย"ผมทักเสียงสดใส มองหน้าที่ประดับด้วยแว่นตาตามเดิมของมัน ยิมเงยหน้าจากโทรศัพท์แล้วมองผมนิ่งๆไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมเหลือบมองที่เรียวต้นคอขาวของมันที่มีรอยดูดจางมากแล้ว ผมยิ้มเยาะ

"...ท่าทางจะรักน้องชายมากจริงซะด้วย แต่คงเสียเปล่า"ผมหัวเราะ นึกถึงท่าทางของโอ้โยแล้วก็เหนื่อยใจแทนมันที่มีน้องแบบนี้

"...ถ้างั้นมึงก็ระวังหน่อยนะ อยู่ใกล้พี่ชายขนาดนี้"ยิมพูดนิ่งๆ เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง กอดอกยืนมองผมนิ่งตามเดิม

"ระวังอะไร พี่เตือนมครั้งที่สามแล้วนะ ...จะทำเหมือนวันนั้นเหรอ"

"หึ มึงไม่ได้อยู่ในสถานะที่ต่อรองได้ ...อย่าลืมสิ...น้องกูยังไม่18เลย...”ยิมหัวเราะคล้ายจะเย้ยหยัน ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่จ้องหน้ามันนิ่งๆ กำหมัดแน่นอยากชกปากมันจริงๆ "จำเอาไว้เรื่องนี้ สั่นคลอนอนาคตมึงได้นะ"

"พี่ก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าโยมันเต็มใจ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่สิวะ"ผมไม่พอใจ ตะคอกใส่มัน ทำเหมือนผมล่อลวง ให้โยมันตามผมมาอย่างไม่เต็มใจ “พูดกับมึงไป มึงก็ไม่เข้าใจ เพราะมึงมันไม่ได้สำนึกอะไรได้อยู่แล้ว”

"เอาสิ อยากทำอะไรก็ทำ เป็นสิทธิ์ของพี่นี่ "ผมแค่นเสียงบอกมัน ถ้ามันจะแจ้งความผมจะทำอะไรได้ ยิมยืนนิ่งเหมือนข่มอารมณ์โกรธ มันมองหน้าผมเขม็ง ผมเห็นว่ามันไม่มีอะไรจะพูด เลยหมุนตัวกลับเข้าห้อง

"เดี๋ยว...."ผมชะงักหันไปตามเสียง ฉับพลันนั้นแรงปะทะหนักก็กระแทกเข้าที่สันกรามผมเต็มแรง อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ผมล้มไปกองกับพื้น มึนไปแวบนึง

"เชี่ยเอ้ย  ..."ผมผุดลุกขึ้น รู้สึกโกรธ เข้าไปหามัน ยิมแค่ยิ้มออกมาก่อนจะพูดเบาๆ "ถ้ามีสำนึก ก็ควรจะกลับเข้าห้องมึงไปเงียบๆได้แล้ว"คำพูดของมันทำให้ผม กำหมัดแน่น ทำได้แค่ผลักมันออกเต็มแรง ผมสบถก่อนจะหุนหันเข้าห้องปิดประตูเสียงดัง

ผมโทรหาพี่ท็อปอีกครั้ง คราวนี้ไม่รับอีก โธ่เว้ย ผมเซ็งมาก หงุดหงิดจนต้องระบายอารมณ์กับข้างของในห้อง ผมเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบเบียร์สองกระป๋องมาเปิดดื่มดับอารมณ์ที่พุ่งพล่านอยู่ตอนนี้ ผมหลับตาปล่อยอารมณ์หงุดหงิดให้ไหลผ่านจากร่างกายไป ผมลืมตาในความมืด เบื่อ เซ็ง เหงา ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ รู้สึกอยากเมาขึ้นมา ความรู้สึกเดิมๆเข้ามากัดกิน ไม่อยากอยู่คนเดียวมันต้องมีใครสักคนมาเติมเต็มซะหน่อย ผมลูบสันกรามที่ปวดขึ้นมาอย่างอารมณ์เสีย

ผมกดโทรออกไปหาไอ้โก๋เพื่อนผมเอง

[ไงวะ]

“อยู่หอเปล่าวะ อยากแดกหล้าว่ะ”ผมบอกมันด้วยอารมณ์เซ็งเต็มที่

[เปล่า อยู่บ้านไอ้บีเว้ย มาเปล่าๆ เหล้าเบียร์เพียบ พอดีเพิ่งทำงานเสร็จที่คณะเลยมาฉลองกันหน่อย มึงหายหัวไปไหนวะ]

“เออๆ มารับกูหน่อยดิ เฮ้อ กูไม่ได้หายหัวไปไหนหรอกแค่--”

[มัวแต่ไปเฝ้าที่วิศวะหรอวะ ฮ่าๆ เพื่อนกูเป็นหนักจริงๆ]ไอ้โก๋หัวเราะ ผมได้ยินเสียงคุยดังๆกับเสียงเพลงของพี่เสกดังแทรกเข้ามา

“หึๆ เดี๋ยวกูลงไปรอนะเว้ย”

[โอเคเพื่อน เจอกัน] ผมวางสายจากไอ้โก๋แล้วก็เข้าไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดกางเกงบอลทำธรรมดา ผมหยิบกระเป๋าเงินออกมาอย่างเดียว เหลียวมองห้องพี่ท็อปที่เงียบสงัดก่อนจะถอนหายใจเซ็งๆ

ผมนั่งรอไอ้โก๋มารับไม่นานนัก แค่ไม่ถึงสิบนาที ไอ้โก๋ก็ขี่c5สีน้ำเงินมารับผม “ทำหน้าตาเป็นหมาหงอยอีกแล้วเพื่อนกู โรคเก่ามาถามหาหรอวะ”ไอ้โก๋มองหน้าผมแล้วส่ายหน้าก่อนจะชะงักไป “เฮ้ย โดนใครต่อยมา” ผมกระโดดไปซ้อนมันแล้วสะกิดให้มันออก
รถได้

“คนแถวนี้แหละ—คนเยอะไหมวะ” 

“เออ ก็ห้าหกคน เพื่อนเราทั้งนั้นแหละ”ไอ้โก๋ว่า คงจะมีแต่เพื่อนๆผม อย่างไอ้ผิง ไอ้โก๋ ไอ้เชี่ยวไอ้พอล
ไอ้โก๋ขี่รถไปทางหลังคลองชลข้ามสะพานไปตรงเข้าหมูบ้าน ลัดเลาะซอยเล็กๆไป ก็เจอกับบ้านไม้ยกพื้นสองชั้น ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นไม้สักคาดว่าเป็นบ้านของไอ้บี ที่ลานหน้าบ้านมีผู้ชายห้าคนปูเสื่อนั่งตั้งวง แหกปากร้องเพลงพี่เสกกันลั่น พอพวกนั้นเห็นผมกับไอ้โก๋ก็โบกมือส่งเสียงเรียกกันเย้วๆ

“ไงพวก ไม่ได้เห็นหน้ามึงมาหลายวันเลยว่ะ มาๆ พญาเสือรอมึงอยู่”ไอ้เชี่ยวชูขวดเหล้าที่มีน้ำสีใสมีรูปตราเสืออยู่

“ไอ้ห่า แม่ง40ดีกรีเลยเหรอ  กะให้กูตายเลยสินะ”ผมหัวเราะแล้วถอดรองเท้าแล้วเข้าไปนั่งข้างๆไอ้ผิง โดยมีไอ้เชี่ยวเทเหล้าใส่แก้วช็อตมาให้ซะเต็มปรี่

“เอาไป สำหรับมึง โทษฐานที่เห็นแฟนดีกว่าเพื่อน”

“เออ แล้วทำไมมึงมาคนเดียววะ นึกว่าจะตัวติดกับพี่ชายข้างห้องซะแล้ว”ไอ้ผิงที่ยื่นหน้ามาใกล้กอดคอผม ท่าทางมันเมาแล้ว ตาฉ่ำๆหน้าแดงหน้าดำไปแล้ว

“อย่าถามเรื่องนี้เหอะ เมาแล้วไปนอนเลย เฮ้ย มึง เอามันไปเก็บเหอะ ท่าทางไม่ไหวแล้ว”ผมบอกไอ้โก๋ที่หัวเราะกับท่าทางของไอ้ผิง ผมกับไอ้โก๋หิ้วปีกมันคนละข้าง พาไปนอนบนเสื่อที่ปูอยู่ชั้นล่าง เปิดพัดลมให้มันไว้ ถึงจะพูดว่ามาแดกเหล้ากับเพื่อน แต่ผมซัดคนเดียวเงียบๆ ไม่พูดไม่จากับใคร ใครถามอะไรผมก็แค่ถอนหายใจส่ายหน้า ผมแค่เบื่อ เซ็งกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม เห็นน้ำสีใสแบบนี้ เล่นงานผมได้เป๋เลย ผมลืมเวียนหัว โลกหมุนนิดหน่อย รู้สึกกับแกล้มที่กินไปมันตีขึ้นมา ยอมรับว่าเมา แต่ยังรู้สึกตัวว่าอะไรเป็นอะไร ผมพยุงตัวเองไปอ้วกในห้องน้ำ แทบหมดไส้หมดพุง

ผมล้างหน้า เดินเซขาสั่น พรุ่งนี้ผมคงไม่ไหวแน่นอน ผมล้มตัวลงไปนอนข้างๆไอ้ผิงที่กรนสนั่น

ตืด ตืด ตืด ผมพยายามใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่ล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูที่หน้าจอ ‘พี่ท็อป’ หืม?? โทรกลับมาแล้วเหรอ ผมกดรับสาย

“ครับเพ่”รู้สึกว่าลิ้นพันกัน ผมหัวเราะออกมาด้วยความเมา

[เฮ้ย เมาเหรอวะ มึงมีอะไรวะ โทรหากูซะเยอะ]

“แล้วทำไมพี่ ไม่รับสายผมล่ะ ไอ้เราก็เป็นห่วง โธ่”ผมโวยวายลั่น พี่ท็อปหัวเราะ

[มึงเมาขนาดหนักเลยว่ะสอง ไปแดกที่ไหน ที่ร้านหรือว่าบ้านเพื่อนมึง]

“บ้านเพื่อน บอกแล้วจะรู้จักเหรอ ไอ้บี บ้านไอ้บี รู้จักเปล่าครับ”ผมถาม พยายามยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง หรี่ตามองไอ้พวกเพื่อนอีกสามสี่คนที่ยังทรหดแดกเหล้าต่อไปได้ แม่งคอเหล็กจริงๆ

[บอกมาว่าอยู่แถวไหน]

“หลังคลองชล ข้ามสะพานมาก็เจอแล้ว เออ พี่โทรมาทำไมอะ โทรมาถามแค่นี้เหรอ”

[เออไอ้เหี้ยนี่ มึงพูดดีๆ อยู่ตรงไหน] ผมส่ายหน้า กวักมือเรียกไอ้โก๋ “โก๋!”ผมตะโกนเรียกมัน ไอ้โก๋วิ่งเหยาะๆมาหาผม “มีไรวะ”

“บอกพี่กูหน่อยว่าที่นี่ที่ไหน”ผมยื่นโทรศัพท์ไปให้ไอ้โก๋ที่ทำหน้ามึนๆ ผมหัวเราะที่มันเอ๋อ ก่อนจะเอนตัวนอนลงหลับตา แย่ว่ะ มึนหัว ผมได้ยินเสียงไอ้โก๋บอกทางพี่ท็อปอยู่ แต่คุยนานมากแทบจะบอกทุกๆตารางเมตรเลยมั้ง หึๆ จากนั้นผมก็เผลอหลับไป

 “สอง ไอ้สอง”เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูดังอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับอะไรเย็นๆมาสัมผัสที่ใบหน้าลำคอและแขน ผมหลับตาส่งเสียงอือออไป สมองประมวลผลได้ว่าผมกำลังถูกเช็ดตัวอยู่

“เฮ้อ มึงนี่ซัดไปเยอะเลยนะ เมาเป็นหมาเลยว่ะ”เสียงนั้นยังคงบ่นผมอยู่...

“..พี่..ท็อป หรอ”ผมถามออกไปเบาๆ ก่อนจะพยายามลืมตาขึ้น

“เออดิ กูเอง ผัวมึงไง”พี่ท็อปหัวเราะแล้วใช้มือเย็นๆมาตบๆแก้มผมทั้งสองข้างไม่แรงมากนัก ผมชะงักไป ผมเมาๆแบบนี้อาจจะเสี่ยงต่อการโดนเสียบได้ ผมสะดุ้งลืมตาขึ้นมาทันที ก็พบว่าหน้าพี่ท็อปอยู่ห่างแค่คืบเดียวกำลังมองหน้าผมอยู่ ผมกระพริบตางงๆ

“พี่พาผมมาหรอ”ผมถาม พี่ท็อปยิ้มแล้วลูบๆแก้มผมต่อไป ผมกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง สภาพห้องรกๆ คุ้นตา....นี่มันห้องของผมเอง ผมยังมองเห็นรูปพี่ท็อปตั้งอยู่ปลายเตียงอยู่เลย น่าอายจริงๆเลย เผยไต๋ไปซะแล้ว

“อืม มึงเมาแล้วปากมากนะ”พี่ท็อปยิ้มน้อยๆแล้วดีดหน้าผากผมแรงๆจนดังป๊อก ผมย่นหน้าส่งเสียงประท้วง

“มึนหัวว่ะ พี่แอบทำอะไรผมหรือเปล่าเนี่ย ฮ่าๆ”ผมหัวเราะออกมาแล้วพยายามยันตัวลุกขึ้นมานั่งมีพี่ท็อปช่วยประคองเป็นสาวๆไปได้

“หึ อยากให้ทำหรือไงวะ”พี่ท็อปส่ายหน้า แล้วขยับมานั่งข้างๆผมอีกฝั่งนึงที่ติดผนังห้อง ผมหันไปมองพี่ท็อป

“จะค้างห้องผมเหรอครับ”

“อืม ไม่ได้เหรอไง”พี่ท็อปไหวไหล่แล้วจับจ้องไปที่รูปสเก็ตใบหน้าของตนเองที่อยู่ทางปลายเตียงแล้วยิ้ม ผมแค่ยิ้มกับตัวเอง

“หล่อกว่าตัวจริงอีกเนอะ ว่าไหม”ผมพูด

“เออว่ะ แถมกูยังดูฟรุ้งฟริ้งแปลกๆด้วย  ในจิตนาการกูดูยิ้มมีอ่อร่าขนาดนี้เลยหรอ”พี่ท็อปหันมามองผมแล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆ ผมแค่เหยียดยิ้ม “ประมาณนั้นครับ”รอยยิ้มกระชากใจ

“ขอโทษนะ ที่ไม่ได้รับสายมึงพอดีว่ากูกำลังเคลียร์เรื่องเก่าๆอยู่”พี่ท็อปพูด ผมแค่นิ่งไปปล่อยให้คำพูดผ่านหูไป

“ท่าทางจะสำคัญมาก”

“เรื่องไอ้แกนไง”

“ครับ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่หงุดหงิดที่ติดต่อไม่ได้”ผมหัวเราะกับความงี่เง่าของตัวเอง พี่ท็อปส่ายหน้าเบาๆ

“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร... นี่สอง ถ้าหากคราวหน้ากูต้องต่อยตีกับไอ้แกนอีก กูไม่อยากให้มึงเข้ามาเกี่ยว หมายถึงโดนรากแหไปด้วย ไอ้แกนมันเจ้าคิดเจ้าแค้น มันลากคนที่เข้าข้างกูไปหมดแหละ”พี่ท็อปอธิบายให้ฟัง เฮียแกน ชักจะเหม็นขี้หน้าแล้วสิ

“ครับ ผมไม่เข้าไปขว้างหรอก ถ้ามันเป็นการตัดสินกันระหว่างพี่กับเฮียแกน”ผมพูด ในใจอยากถามเรื่องน้องสาวเฮียแกน พี่ท็อปมองหน้าผมเหมือนค้นหาอะไรบางอย่าง

“มีเรื่องไม่สบายใจหรอ”พี่ท็อปมองออกอีกแล้ว

“ใช่ครับ”

“เกี่ยวกับกูหรือเปล่า”พี่ท็อปขมวดคิ้วมองหน้าผม

“ก็ไม่เชิง...ผมถามพี่ได้ไหม”ผมกลัวว่าพี่ท็อปจะไม่ตอบ

“อืมว่ามาสิ”พี่ท็อปหันหน้ามามองผม

ผมจ้องตาพี่ท็อปนิ่งๆ “เฮียแกนมีน้องสาวด้วยหรอพี่”พี่ท็อปย่นคิ้วเข้าหากัน

“มีสิ...”ผมแปลกใจ เพราะพี่ท็อปตอบอย่างมั่นใจ “แต่ว่า ทำไมใน--”

“น้องคนละแม่ ใช้คนละนามสกุลไง ...ก็เลยไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน กูบอกมึงก็ได้สอง ...น้องไอ้แกนเป็นแฟนเก่ากูเอง”พี่ท็อปพูดช้าๆ ผมมองหน้าพี่ท็อปอย่างแปลกใจ แฟนเก่า? ผมยิ้มออกมานิดนึง

“พี่คบผู้หญิงด้วยเหรอ”

“ก็เออสิ เมื่อก่อนน่ะ... ดูแปลกใจมากนะมึง”พี่ท็อปผลักหน้าผมออกห่าง ผมแค่ยิ้ม ไม่ได้ถามต่อเรื่องสาเหตุการทะเลาะเพราะจะก้าวก่ายเกินไป

“นิดนึงพี่ ว่าแต่คืนนี้เพิ่ง...”ผมหยิบนาฬิกาที่ห้อยคอมาดู “ห้าทุ่มครึ่งอยู่เลย... ผมเป็นคนนอนดึกด้วยสิพี่”ผมยิ้มให้พี่ท็อปที่เลิกคิ้วมองผม ก่อนจะขยับมาพิงผม

“จะอ่อยกูหรอไง”

“ผมแค่อยากให้พี่ลองเตียงผมหน่อยไง”ผมหัวเราะพูดทีเล่นทีจริง ถ้าได้ก็ดี ถ้าปฏิเสธก็โอเค พี่ท็อปยื่นหน้ามาคลอเคลียกับปลายคางกับลำคอผม

“โดนอะไรมาเนี่ย”พี่ท็อปขมวดคิ้วถาม แตะเบาๆที่รอยบวมเล็กๆแล้วย่นหน้า “ก็แค่...คู่กรณีน่ะ...”ผมถอนหายใจ แล้วตะปบมือพี่ท็อปที่เลื้อยเข้ามาในเสื้อผม

“อ๋อ...แค่นี้ไม่สะเทือนใช่ไหมวะ”

“จิ๊บๆ”ผมยิ้มกว้างแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะจับข้อมือพี่ท็อปไว้แน่นๆ เจ้าตัวย่นหน้ามอง

“บอกไว้ก่อนนะ...นอนเตียงเดียวกับผมน่ะ ไม่มีทางพลิกผมได้หรอก”ผมพูดเบาๆ พี่ท็อปเม้มปากคิดกรอกตาไปมา “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”พี่ท็อปไหวไหล่

“แล้วผมก็ไม่อ่อนข้อให้พี่แล้ว”
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 28-06-2015 21:04:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mox2224 ที่ 28-06-2015 21:28:04
เพิ่งรู้ว่ายิมเตี้ยกว่าสอง...
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 28-06-2015 22:02:42
พออ่านตอนนี้ก็อยากให้พี่ท็อปรักสองจริงจังเลย  สองจะได้เป็นคนเอาถ่าน ฮ่าๆๆๆๆๆ มีพี่ท๊อปเป็นแรงใจไรงี้อ่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 28-06-2015 22:27:04
โยนี่ สลัดยาก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 28-06-2015 22:33:53
รรร ร ต่อไป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 28-06-2015 22:42:30
พี่ท็อปชอบไอ้สองจริงๆ สิน๊า
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 28-06-2015 22:43:58
สองคิดถูกแล้ววว  สองครั้งพอเนอะ!!!
5555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 28-06-2015 22:46:52
ไม่เอาโย ไม่เอายิม จะเอาแต่สองท๊อปปปปเท่านั้นนน!!  :ling1:


หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 28-06-2015 22:57:14
น้องดยหนูควรหยุดได้แล้วนะลูกกก

โถววววววว

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 28-06-2015 23:06:05
สองไม่ปล่อยพี่ท็อปทำประตูแล้วเหรอ 55555555555
ของแบบนี้เสมอกันน่ะดีแล้ว 5555555555
แต่ก็อย่างว่า...พี่ท็อปทำตัวน่าระแวงมั่กกก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 28-06-2015 23:10:44
สองจะหยุดพี่ท๊อปทำประตูได้จิงอ๋อออ ถ้าพี่ท๊อปอ้อนล่ะจะใจอ่อนมั้ยย? 55
แต่ก็แอบเชียรสองเป็นผัวพี่ท๊อปตลอดดดดไปอยู่น๊าาาา  อยากเห็สองเอาท๊อปอยู่อ่ะ!
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 28-06-2015 23:50:07
ถ้านามสกุลแกนคุ้นๆ แล้วทำไมสองไม่ลองสืบจากนามสกุลดูบ้างอ่ะ ในเมื่อท็อปบอกว่าน้องสาวแกนเป็นแฟนเก่าบางทีอาจมีมากกว่าเรื่องโยก็ได้ แต่ที่สำคัญคือโยนี่ทำไมไม่ยอมหยุดแล้วกลับไปเป็นเด็กดีซะทีนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 28-06-2015 23:53:57
ขุ่นพระ คดีพลิก สองทำเราสตั้นไปเป็นนาที แต่เอ ท็อปจะกลับมาทวงบัลลังก์มั้ยนะ :oo1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 29-06-2015 00:24:47
ไอ้สองเอ้ย จะสลัดน้องโยก็ทำไม่ได้ ๕๕๕ เอาใจช่วยนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 29-06-2015 01:15:41
แอบเบื่อโยเบาๆ. ปัญหาดูอิรุงตุงนังมากเลย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: MimoreQ ที่ 29-06-2015 01:46:23
บอกตามตรงว่า 3P ได้นะ เราไม่เกี่ยงงงง ฮุฮุ อวย 3P ต่อไป แม้จะขัดต่ออุดมการณ์ของนักเขียน ฮ่าฮ่า

ถึงแม้ว่าเราจะพอเดาพระ-นายออกว่าเป็นคู่ไหน เราทายว่าพระเอกนายเอกน่าจะเป็น ท็อปสอง
แต่ไม่รู้ทำไมเราถึงเชียร์ #ยิมสอง โอ้ย ชอบยิม ชอบหนุ่มแว่น :hao5: อยากได้ยิม เชียร์ยิมสุดหัวใจแม้ว่าจะไม่มีผลก็ตาม  :heaven ขอเถอะค่ะ เปลี่ยนค่ะเปลี่ยน เปลี่ยนท็อปเป็นยิมจะได้ไหม 5555 งานนี้ทีมอวยหนุ่มแว่นมาแล้วค่า 5555

ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ คลิกเข้ามาอ่านเพราะสะดุดกับชื่อเรื่อง แต่พอมาอ่านแล้ว เฮ้ย! มันมีอะไรมากกว่าชื่อเรื่องอ่ะ มาถึงตอน 7 แล้วยังเดาทางไม่ถูกเลยว่าตัวละครแต่ละตัวมีปมอะไรกันแน่ แต่คิดว่าไม่ซับซ้อน

ถึงคนเขียนจะบอกว่ามันใสๆ แต่เอาจริงๆ ก็แอบเครียดอยู่นะคะ เพราะต้องขบคิดว่าตัวละครมีเหตุผลอะไร สำหรับเรา เราว่า 'ท็อป' เป็นตัวละครที่น่าค้นหาที่สุดค่ะ เพราะดูเหมือนจะมีปมเยอะกว่าคนอื่น
แต่ว่าก็ไม่กล้าฟันธงมาก ทุกช็อตในเรื่อง อย่างเช่นที่ร้านกาแฟที่สองนัดคุยกับโย แล้วมีพนักงานสอดส่องเรายังเก็บมาคิดเลยอ่ะ แม้แต่ผิงหรือพี่ตั้ม ทุกคนก็น่าสงสัยหมด มีแค่สองเท่านั้นที่คนอ่านรู้สึกยังไง ดูซับซ้อนจังเลยค่ะ เราชอบมากค่ะ รอคนเขียนมาอัพตอนต่อไปในเร็วๆ นี้นะคะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 29-06-2015 02:40:33
โยเหมือนพวกทำผิดแล้วไม่ยอมสำนึกผิด เกลียดแรง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 29-06-2015 05:47:07
 :katai1:  โยร้ายมาก
อีกไม่กี่เดือนจะ18แปลว่านางจะหาทางกลับมาป่วนอีก.
ยังไงก็ท้อปสอง.  :mew1:  ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 29-06-2015 08:09:49
อยากให้สลับกันบ้างผลัดกันบ้าง

เพราะคนเท่ๆอย่างพี่ท็อป ไม่มีทางเป็นรองใครได้ตลอดหรอก

สองก็ยอมๆพี่ท็อปไปเหอะนะ เดี๋ยวพี่ท็อปไปมีเมียเป็นคนอื่นแล้วเอ็งจะหนาว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ziqh.leo ที่ 29-06-2015 15:09:18
ชีวิตนุ้งสอง ช่างวุ่นวายยยยย
รีบเครียล์ด่วน  :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 29-06-2015 19:03:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-06-2015 00:34:30
เหมือนเด็กแบดแบดมารวมกัน
ทุกคนมีปัญหาหมด ฮ่าาาาา
รอดูว่าสุดท้ายจะเป็นไง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' #หลังก่อเหตุ-7 #28.06.58 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 30-06-2015 01:09:11
ดูมันจริงดิค่ะ ชีวิตลูกผู้ชาย  o13
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 7 วัยเด็กอาจหวนมาทำร้าย
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 03-07-2015 01:05:57
ตอนที่ 7 วัยเด็กอาจหวนมาทำร้าย

"ก็ไม่เสียหาย แต่แน่ใจหรอว่ากูจะไม่มีน้ำยาขนาดที่ว่า—"ผมไม่รอให้พี่ท็อปพูดจบ โน้มตัวเข้าประกบปากพี่ท็อปทันที บดโลมริมฝีปากอีกฝ่ายหนักหน่วง พี่ท็อปส่งเสียงครางประท้วง ผมดันไหล่พี่ท็อปให้นอนราบลงเตียงแล้วคร่อมตัวพี่ท็อปไว้

"อือ..." ผมเลิกชายเสื้อพี่ท็อปขึ้น แล้วก้มเข้าโลมเลียแผ่นอกแบนราบ ลิ้นลากผ่านตุ่มไตเล็กๆทั้งสองข้างหนักหน่วง เม้มขบหยอกล้อพี่ท็อปที่เกร็งตัว ผมยิ้มแล้วขยับตัวเบียดแทรกหว่างขา โน้มตัวแนบกายพี่ท็อป บดจูบลงไปต่อ มือไม่อยู่นิ่งเลื่อนลงมาปลดกางเกงพี่ท็อปดึงออกจากสะโพก พี่ท็อปยกตัวขึ้นเพื่อให้ผมถอดกางเกงชั้นในได้ง่าย มือพี่ท็อปเอื้อมมาปลดกางเกงให้ผมไปด้วย

พี่ท็อปยิ้มเหมือนยั่ว ผมแยกขาเจ้าตัวออกกว้างเกี่ยวเอวผมไว้ ผมจับส่วนอ่อนไหวที่แข็งขื่นของพี่ท็อป ขยับมือเร่งเร้าอารมณ์ให้ มืออีกข้างลูบไล้เค้นคลึงไปตามแผ่นอก ก่อนจะหยุดถอดเสื้ออีกฝ่ายออก แล้วบดสัมผัสไปรอบปานนมสีเนื้ออ่อน  พี่ท็อปร้องเบาๆเมื่อผมเร่งมือกอบกุมส่วนอ่อนไหวที่ร้อนรุ่ม ผมไม่ลืมควานหาคอนดอมในลิ้นชักใกล้ๆกัน ผมจับข้อพับของอีกฝ่ายและดันออกกว้าง โน้มตัวแทรกกายไปทาบทับ ผมโน้มไปจูบตามลาดไหล่ สัมผัสได้ถึงลมหายใจกระชั้นถี่ของพี่ท็อป พี่ท็อปโอบรัดคล้องคอผมไว้ ตอบรับจูบของผมที่จาบจ้วงดุดัน จนรับรสเลือดฝืดเฟื่อน

"อืม สองมึงเล่นจัง กูแสบไปทั้งตัวแล้วเนี่ย เอาคืนเหรอ"พี่ท็อปพูด ผมละจากการสร้างรอยแดงที่ต้นคอ ไล้ลากลิ้นลงมาตามลำตัววนรอบสะดือพี่ท็อปที่สะดุ้ง

"อืม สะใจดี"ผมหัวเราะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ผมแทบหมดอารมณ์เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างแรง จนแทบจะพัง ผมมองหน้าพี่ท็อปที่ขมวดคิ้วขัดใจ


"ใครวะ... มีอะไร"ผมตะโกนถามยังไม่ยอมออกห่างจากพี่ท็อป เสียงเคาะประตูดังลั่น  "แม่งเอ้ย"ผมสบถ ก่อนจะถอยออกจากตัวพี่ท็อป ดึงคอนดอมออกอย่างหงุดหงิด


"ไปดูให้จบๆเหอะ"พี่ท็อปพูดแล้วดึงผ้าห่มมาปิดท่อนล่าง ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันเอว แล้วเดินไปเปิดประตูอย่างเสียอารมณ์

"มีอะไร"ผมตวาดใส่ แต่พอเห็นหน้าชัดปรากฏว่าเป็นไอ้ยิม ผมมองมันงงๆ

"...มีเรื่องจะคุยด้วย"ยิมพูด ก่อนจะเหลือบมองผมแล้วก็กวาดสายตาไปในห้อง ผมพ่นลมหายใจแรง

"นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว มีเรื่องอะไร"ผมถามอย่างอารมณ์เสีย นี่ก็ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว มันจะมาเร่งรีบอะไรตอนนี้ ยิมหัวเราะเบาๆ

"เรื่องน้องกูน่ะ ก็เห็นว่ายังไม่นอน... ถ้าขัดจังหวะก็โทษที”มันพูดเสียงเรียบ ผมถอนหายใจ "เออ รอเดี๋ยวนะ"ผมบอกมันแล้วปิดประตูห้อง แล้วเดินมาหาพี่ท็อปที่ลุกขึ้นนั่ง "มีอะไรวะ"

"มันอยากคุยกับผมเรื่องไอ้โยน่ะพี่...เซ็ง ขัดอารมณ์"ผมบ่นอุบ พี่ท็อปหัวเราะ แล้วลุกมาใส่บ็อกเซอร์ แล้วหยิบบุหรี่มาสูบ

"เอาน่า ไปเคลียร์เหอะ กูรอได้"พี่ท็อปยิ้ม ผมเลยหยิบกางเกงมาใส่ แล้วเข้าไปหอมแก้มพี่ท็อปอีกฟอด

"อย่าหนีไปไหนนะ "ผมบอก พี่ท็อปพยักหน้า "น่า กูไม่หนีมึงหรอก ไปนั่งเล่นด้านนอกล่ะ"พี่ท็อปเดินไปเปิดประตูระเบียงห้องออกไป ผมเดินเปิดประตูห้องออกไปหายิม เห็นอีกฝ่ายยืนพิงประตูอยู่หน้าห้องของตัวเอง 

"ว่ามา"ผมเดินเข้าไปหา

"หึ กูขัดเวลาความสุขมึงหรือเปล่าวะ”มันยิ้มทำหน้าพอใจ

"อย่าลีลา พูดมาดิ"ผมบอกอย่างอารมณ์ไม่ดี

"มึงรู้ไหม กูทะเลาะกับที่บ้านเพราะเรื่องไอ้โย กูเห็นว่ามันมั่วไปเรื่อย ป๊าเสือกไม่เชื่อกู  ทั้งๆที่กูเห็นว่ามันเก็บรูปมึงไว้เป็นโฟเดอร์ แต่มันดันลบตอนที่ป๊ามาขอดู กูเลยต้องออกมาอยู่ข้างนอกแบบนี้"ยิมเล่า ผมตกใจที่ได้ยินแบบนี้ก่อนจะตั้งสติ

"...โยมันดื้อเองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผม"ผมแย้งกลับไป ก็รู้ๆอยู่ความดื้อนิสัยเสียของไอ้โย ผมว่าคนบ้านมันไม่รู้พิษสงกันอีกหรือยังไง

"เกี่ยวสิวะ ..ก็เพราะมึงไม่ใช่เหรอ ที่ลากน้องกูมาทางนี้ ถึงมันจะไม่ใช่เด็กดีเด่อะไร แต่มันก็อยู่ในกรอบเกณฑ์เสมอ แต่เพราะมึง...มันถึงเป็นแบบนี้"อีกฝ่ายพูด จ้องหน้าผม มันเลื่อนสายตามองรอยช้ำจากหมัดของมันคราวก่อน

"ก็เพราะกรอบเกณฑ์นั่นไง ทำให้น้องพี่เก็บกด อีกอย่างถ้าไม่ใช่ผม ก็ต้องเป็นคนอื่นอยู่ดี"ผมตอบไปตามที่คิด ถ้าไม่ใช่ผม มันคงไปหาเจอเข้าสักคนนั่นแหละ โยมันอาจจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ หากว่าถ้าไม่ใช่ผม ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนดีอะไร แต่ผมก็รู้ขอบเขตของตัวเองเสมอ

"...แต่มันก็เป็นมึงอยู่ดีไง... มันเปลี่ยนไปเพราะมึง"ยิมจ้องเขม็งมาที่ผม น้ำเสียงไม่พอใจชัดเจน แววตาหลังกรอบแว่นนั่นดุดันคุกคามผมได้ดี จนต้องถอยห่างเว้นระยะออกมา

"...แล้วจะให้ผมทำอย่างไง ผใเลิกติดต่อกับมันแล้ว”ผมถอนหายใจ มันไม่ใช่ความผิดของผมฝ่ายเดียวสักหน่อย

"....ป๊ากูสงสัยเรื่องของมัน ตอนนี้ตั้งใจจะให้กูดูแลโย ที่สำคัญ...มึงรู้ใช่ไหมว่ามันถ่ายรูปไว้"ยิมระงับอารมณ์โกรธไว้แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

ผมเลิกคิ้วมอง ถ่ายรูป...คงไม่ใช่รูปดีๆแน่

"รู้แค่ว่ามันชอบถ่ายรูปคู่กับผม"เรียกให้ถูกถ่ายรูปกับคู่นอนของมัน ผมไม่รู้ว่ามันจะเก็บไว้หาพระแสงอะไร ผมเคยเห็นรูปที่มันถ่ายกับไอ้หน้าตี๋ที่ไหนก็ไม่รู้ในห้องน้ำสภาพเปลือยอก

"...หึ ระวังไว้เหอะ ถ้าหลุดออกมาให้กูเห็น กูสามารถใช้เป็นหลักฐานได้"ยิมยิ้มเยาะ

"พี่จะแจ้งจริงๆใช่ไหม"ผมถาม รู้สึกว่ากำลังเดินลเหว ถ้าหากอีกฝ่ายแจ้งความจริงๆ ผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แค่เตรียมทนายดีๆไว้หรือไม่ก็ไปไกล่เกลี่ย

"...ก็ไม่รู้สิ..."ยิมมองหน้าผม น้ำเสียงยียวนกวนประสาท ผมเลิกคิ้วสงสัย

"ถามจริงๆเถอะ พี่ต้องการอะไรกันแน่เหรอ"ผมจ้องหน้ายิม พยายามค้นหาคำตอบ มันต้องการอะไรจากผมกันแน่

"...กู—อย่าถามเซ้าซี้กู รู้แค่ว่ามึงต้องระวังตัวให้ดี ...เพราะมึงก็เคยหวิดคุกมาแล้วนี่"ยิมเดินมาใกล้ ผมชะงัก มันรู้เรื่องของผมได้ยังไง หรือเพราะเฮียแกน ผมนิ่วหน้า "...พี่ทำแบบนี้ทำไม"

"...กูเองก็ไม่ชอบทำลายอนาคตของใคร...แต่กูถามจริงๆเถอะ มึงเคยรู้สึกผิดบ้างไหม ที่ไปสร้างรอยแผลให้คนอื่น”ยิมเดินมาใกล้ผม แต่ผมไม่ถอยหนี แค่เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ ขบคิดกับคำพูดของมันอีกครั้ง

"....ผมทำอะไรล่ะ”ทำเหมือนกับว่าไอ้โยมันเป็นเหยื่อที่ไม่รู้อีโหน่อิเหน่อะไร ผมละสายตาจากใบหน้าของยิมไปมองทางอื่น

"กูแค่ไม่อยากเห็นมึงต้องมีชีวิตวนเวียนอยู่แบบนี้ โอกาสไม่ได้มีบ่อยๆหรอกนะ"ยิมพูดจบก็เดินหนีเหมือนจะกลับเข้าห้อง คำพูดของมันสร้างความสงสัยมากขึ้นจนผมต้องคว้าแขนมันไว้ก่อน

“หมายความว่ายังไง”ผมเดินไปดักหน้าอีกฝ่าย ยิมแค่ถอนหายใจ จ้องผมนิ่งๆ "คิดไม่ได้ก็โง่อยู่แบบนี้"มันพูดนิ่งๆเหมือนเหนื่อยเต็มทน

"เดี๋ยว! พี่เคยรู้จักผมหรือเปล่า"ผมถาม เงยมองหน้ายิมที่ดูเหมือนตกใจนิดนึงก่อนจะเป็นเมินเฉยตามเดิม "...เปล่านี่"

"กูไม่ใช่ศัตรูของมึงหรอก ที่มึงต้องระวังคือไอ้แกนต่างหาก”ผมล่ะเบื่อกับไอ้ชื่อนี้จริงๆ เมื่อไร่ชื่อนี้จะออกไปจากหัวผมได้ ผมเซ็งเพราะเฮียแกนมันเต็มทนแล้วหรือต้องให้ไปเค้นคอถามว่าต้องการอะไรจากผม จะได้จบๆกันไป มาปั่นประสาทผมเล่นทำบ้าอะไร

"พี่รู้อะไรก็บอกผมมาสิ"ผมหงุดหงิดผลักอีกฝ่ายเต็มแรง ยิมแค่เซไป มองหน้าผมเหมือนจะหาเรื่อง

"ความผิดของมึงมันมีอยู่กี่เรื่องกัน..."ยิมถอดแว่น กุมขมับนิ่งๆ ก่อนจะกลับมาใส่แว่นตามเดิม ผมทุบประตูห้องมันระบายอารมณ์

"แล้วเรื่องโย...."

"มึงเลิกพฤติกรรมแบบนี้ได้ไหมล่ะ เที่ยวพาคนอื่นไปมั่วน่ะ"ผมขมวดคิ้วไม่ชอบใจแต่ก็เงียบไว้

"ผมไม่ได้ทำแบบนั้น!... เอาเถอะ จะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม แต่ผมก็เลิกยุ่งกับคนอื่นไปแล้ว น้องพี่ก็ด้วย ทางที่ดีพี่ควรก็จับตาดูมันมากกว่า เพราะผมสลัดไม่หลุด"

“ก็ดี หัดทำตัวเป็นคนดีบ้างเถอะ”ยิมถอนหายใจ แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ผมยิ่งแปลกใจ คราวก่อนเจ้าตัวยังชกหน้าผมอยู่เลย

“ทำไม ถ้ากูเป็นคนดีแล้วมึงจะทำใจชอบกูหรือไง”ผมสวนกลับ ลองแหย่มันเล่นไปแบบนั้น

“อย่าหลงตัวเองให้มาก”

“แล้วที่ร้านเหล้าวันนั้น ทำแบบนั้นทำไม"ผมซักอีกฝ่ายต่อ พฤติกรรมชวนน่าสงสัย ตกลงจะเกลียด หรือจะดีกับผมกันแน่ มาวันนี้ผมยิ่งสับสนไม่แน่ใจกับอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายเลย

“...กูก็แค่ลองใจมึงเฉยๆ"ยิมไหวไหล่แล้วตอบไม่ได้องหน้าผมสักนิด ผมแค่นยิ้ม

“คิดว่าจะเชื่อหรอไง ชอบผมเหรอ พี่นี่ชักแปลกๆนะ"ผมพูด เงยมองไปใกล้ใบหน้าของอีกฝ่าย ยิมแค่ผลักผมออกห่างแล้วเดินเปิดประตูเข้าห้อง ผมได้แต่มองนิ่งๆ แต่ก่อนที่ยิมจะปิดประตูใส่หน้า 

"เออ งั้นบอกให้เอาบุญก็ได้นะ...กูรู้จักมึง แต่มึงไม่รู้จักกูหรอก เพราะมึงมันพวกไม่สนใจใครอยู่แล้วนี่….."ยิมมองด้วยสายตานิ่งเฉยตามเคย ผมยืนคิดอยู่ พอจะอ้าปากถามก็ไม่ทันการ

"เดี๋ยวสิ เฮ้ย"ผมร้องตะโกนเมื่อ อีกฝ่ายปิดประตูห้องไปก่อนที่ผมจะทันได้ถามไถ่อะไรให้รู้เรื่อง

หมายความว่าไง รู้จักแต่ฝ่ายเดียว ถ้าให้ผมตีความคือ อีกฝ่ายแอบชอบผมหรอ ...ไม่จริงมั้ง คนอย่างยิมเนี่ยนะ ผมยืนทำใจให้สงบ แล้วเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง เห็นพี่ท็อปกำลังนั่งอยู่บนเตียงพิงผนัง ในมือเปิดดูอัลบั้มรูปสมัยม.ปลายของผมด้วยสายตาสนใจ ผมยิ้มออกมา เดินไปนั่งบนเตียงข้างๆพี่ท็อป ส่วนมากเป็นรูปตอนม.ปลายกับเพื่อนๆในตอนนั้น พี่ท็อปปิดอัลบั้มลงแล้วหันมาจ้องหน้าผมอยู่สักพักแล้วถาม

“ทำไมเครื่องแบบไม่เหมือนกัน"พี่ท็อปเปิดรูปไปที่หน้าสุดท้าย รูปวันปัจฉิมฯในกางเกงสีน้ำเงินของเอกชน

"...คือผมย้ายออกตอนม.5น่ะพี่ ก็เลยย้ายมาเรียนที่โรงเรียนเอกชนที่นี่แทน"ผมตอบเบาๆ ไม่อยากนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ออกจากโรงเรียนมากนัก

“งั้นเหรอ... งั้นกูไม่อยากถามเซ้าซี้ดีกว่า”พี่ท็อปคืนอัลบั้มมาให้ผม แล้วเอนตัวมองหน้าผมใกล้ๆ

“ผมบอกได้แต่...เรื่องไม่ค่อยดีเท่าไหร่"ผมพึมพำ ความผิดในตอนนั้นผมไม่เคยเก็บเอามาคิดให้รกสมอง มันเป็นเครื่องตอกย้ำความโง่เง่าของผมเอง พี่ท็อปดึงมือผมไปจับ

“กูรับได้น่า เรื่องบางเรื่องฝังไว้ในใจอย่างเดียวไม่ดีหรอกนะ”พี่ท็อปถอนหายใจ คงมีบางเรื่องที่ฝังอยู่ในใจพี่ท็อปสินะ ผมหลับตาถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

“ผมเป็นคนเหี้ยคนนึง ผมออกจากโรงเรียนกลางคันเพราะเกือบทำผู้หญิงท้องน่ะ”เกิดความเงียบขึ้นมาหลายนาที พี่ท็อปยังจับมือผมอยู่แล้วลูบไปมาเหมือนใจลอยก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ

"อืม เกือบเหรอ"

"วันนั้น ผมไม่ได้ป้องกัน เพราะไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ ผมเมา ผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่เคยด้วย เธอบอกว่างั้นนะ เลยคิดว่าไม่เป็นอะไร พอนอนด้วยกันเสร็จ ผมได้สติเลยตกใจ ตอนนั้นก็ยังเด็กๆอยู่ จากคืนนั้นผมไม่ได้ติดต่อเธออีกเลย เพราะผมกลัวว่าเค้าจะท้องด้วยแหละ เลยหนีมา เค้าก็พยายามติดต่อผมนะ แต่ผมหนี หลีกเลี่ยงเพราะกลัวคำตอบของเค้า เรื่องเลยกลับบานปรายเมื่อแม่ฝ่ายหญิงรู้เข้า ตอนแรกจะเอาเรื่องผมให้ได้ แต่พ่อผมไปพูดไกล่เกลี่ยอยู่นานจนฝ่ายนั้นยอมใจอ่อน...แต่ก็จ่ายค่าเสียหายไปเยอะเลย”ผมพึมพำ

"..ตอนนั้นผู้หญิงคนนั้นอายุเท่าไหร่"พี่ท็อปถาม

“16 มั้งไม่แน่ใจ... พี่ว่าผมเหี้ยไหม”ผมมองหน้าพี่ท็อป ถึงแม้ว่าผมจะพยายามบอกตัวเองหรือคนอื่นๆหลายครั้งว่าตอนนั้นยังเด็ก ไม่มีสติ หรือว่าเมา แต่ความจริงก็คือ มันก็แค่ข้ออ้างที่พอจะทำให้ผมดูเป็นคนดีขึ้นมา มีความผิดน้อยลง

"ก็แค่เด็กเหี้ยคนนึงที่พบเจอได้ทั่วไป แล้วมึงชอบเค้าไหม”พี่ท็อปหันมามอง ผมย้อนภาพไปหามิ้นท์ ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาดี ด้วยวัยในตอนนั้น คำว่ารักน่ะเหรอ ไม่มีทางหรอก มันไม่ใช่ความรักเลยสักนิด ก็แค่ชอบเท่านั้น

"ไม่ครับ มันก็แค่ ผมยังเด็กก็คะนองตามประสา  จบเรื่องผมเลยย้ายออกมาจากจังหวัดนั้น แล้วมาเรียนเอกชนที่นี่แทน... แล้วไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย”ถึงแม้ว่าฝ่ายนั้นอยากให้ผมรับผิดชอบโดยการให้หมั้นหมาย แต่พ่อปฏิเสธบอกว่าคนอย่างผมดูแลใครไม่ได้ ซึ่งมันก็จริง ผมไม่พร้อมที่จะดูแลใครในตอนนั้น

“แล้วตอนนี้มึงสำนึกบ้างหรือยัง”พี่ท็อปถามอีกครั้ง คราวนี้ผมเงียบไปนาน แต่ก็ตอบออกมาจนได้ “ผมก็ไม่ไปทำแบบนั้นกับใครอีกแล้ว”มาตอนนี้ก็ยกเว้นผู้ชาย สรุปแล้วผมเป็นคนแบบที่ยิมบอกจริงๆเหรอ ไม่รู้สำนึก

“ก็ดี จะได้ไม่พลาดอีก.."พี่ท็อปถอนหายใจแล้วยกแขนมากอดคอผมแน่น

"..เรื่องโย มันจะไม่มายุ่งกับผมสักพัก"ผมบอกเรื่องโย ไม่อยากเก็บเรื่องของมันไว้คนเดียว ผมปวดหัว จะให้ยังไงผมถึงจะเตะมันออกไปจากชีวิตได้ ขนาดไอ้ยิมเองน้องมันยังไม่ฟังเลย

"..สักพัก?"พี่ท็อปเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจ ผมเลยเล่าเรื่องความดื้อรั้นของโยให้พี่ท็อปฟัง

“ก็เด็กมันชอบมึง เอ...หรือติดใจมึงกันวะ”พี่ท็อปหัวเราะ ผมรีบส่งเสียงประท้วง ก่อนจะหันไปสำรวจรอยสีแดงจ้ำเล็ก ๆ ตามลำคอและรอยฟันตามหน้าอกของพี่ท็อปอย่างพอใจ

“อยากต่อหรือไง"พี่ท็อปยื่นหน้ามากระซิบแล้วขบติ่งหูผมเล่น ผมเอนตัวออก "ให้ไหมล่ะพี่"ผมถาม หวังลึกๆว่าจะตกลงเพราะผมอารมณ์ค้างด้วย แต่ถ้าไม่ผมก็ไม่ดึงดัน

"...คืนนี้นอนเฉยๆก็พอได้ไหมวะ"พี่ท็อปยิ้ม ยื่นหน้ามาพิงไหล่ผม ผมได้แต่ขำหึๆ คิดอยู่แล้วเชียวว่าต้องแห้ว

"ตามใจพี่แล้วกัน"ผมเอื้อมไปปิดไฟข้างๆ เตรียมตัวนอน คืนนี้มันหนักหนาจริงๆ กว่าจะได้เอนหลังลงเตียง ผมขยับลงนอนโอบเอวพี่ท็อปไว้นิ่งๆใต้แสงไฟแผ่วๆผ่านหน้าต่างห้อง ปล่อยความคิดให้ไหลผ่าน

"...คิดมาก เดี๋ยวนอนไม่หลับนะ"พี่ท็อปพูดใกล้ๆ ผมแค่หลับตาลงแล้วกอดพี่ท็อปแนบอก ได้ยินเสียงพี่ท็อปหัวเราะอู้อี้

"ขอกอดหน่อย นอนไม่หลับ "ผมพึมพำ เริ่มง่วงขึ้นมาแล้ว ผมหลับตารับสัมผัสอุ่นจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย “หาเรื่องกอดกูล่ะสิ"พี่ท็อปพึมพำ ผมยิ้ม

"ก็มีส่วน แต่กอดพี่แล้วมันอุ่น ผมค่อยนอนหลับสบายหน่อย"ผมตอบ ยิ้มในความมืด คงจะดีถ้าผมลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเรื่องวุ่นวายพวกนี้จะจางหายไป ผมนอนหลับตา ไออุ่นที่ได้จากพี่ท็อปผ่อนคลายความตึงเครียดในใจผมลงได้บ้าง



เป็นอีกวันที่โชคดี เย็นวันนี้ผมไปรับพี่ท็อปที่คณะ เจ้าตัวอารมณ์ดีบอกว่าจะพาผมไปเจอกับแม่ด้วย ผมแปลกใจที่อีกฝ่ายมาชวนผม แต่ก็เป็นเรื่องดี เผื่อว่าผมกับพี่ท็อปจะคืบหน้าบ้าง ผมเดินกอดคอพี่ท็อปขึ้นไปยังชั้นสาม ก่อนชะงักเมื่อเห็นเฮียแกนยืนคุยกับยิมอยู่ที่หน้าประตูห้อง พี่ท็อปส่งเสียงในลำคแให้ได้ยิน ผมทำเป็นไม่สนใจพวกนั้น

"ถ้าจะไป ก็เคาะเรียกนะพี่"ผมบอก แล้วไขกุญแจเข้าห้องของตัวเอง พี่ท็อปยิ้มแล้วพยักหน้าให้ บรรยากาศอึดอัดประหลาดก่อตัวขึ้นทันที มีเพียงความเงียบเท่านั้น พี่ท็อปเปิดประตูเข้าไปในห้องเสียงดัง ผมเปิดประตูห้องค้างไว้ แล้วเหลียวมองหน้าเฮียแกน เพราะเจ้าตัวจ้องผมเขม็งมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

"...พี่มีเรื่องอะไรกับผมกันแน่”ผมถาม ยิมเหลือบมองผมเงียบๆ ท่าทางมันดูลนลาน ผมมองเฮียแกนที่รวบผมไว้ตามเคย ใบหน้าลูกผสมนั้นนิ่งเฉย

"พี่? กล้าเรียกนะ มึงก็ลองใช้สมองหน่อยแล้วกัน เผื่อจะกระตุ้นความจำอะไรมาบ้าง ลืมง่ายจริงๆ"เฮียแกนพูด เรื่องของผมกับเฮียแกนคงจะหนักกว่าพี่ท็อปล่ะมั้งเพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้  เมื่อก่อนไม่เคยเป็นขนาดนี้นะ ผมขี้เกียจทะเลาะด้วย กลับเข้าห้องของตัวเองอย่างเสียอารมณ์ อุตส่าห์อารมณ์ดีแท้ๆ เจอมารอีก แม่งเซ็งจริงๆ ผมหยิบผ้าเช็ดตัว เดินไปอาบน้ำ

ผมออกนั่งเล่นหน้าระเบียง รับอากาศสบายๆให้หัวสมองปรอดโปร่ง  “สองเว้ย”เสียงเรียกมาจากทางระเบียงห้องของพี่ท็อปดังขึ้น ผมยื่นหน้าออกไป มองทางฝั่งพี่ท็อป เห็นเจ้าตัวยื่นหน้ามามองเหมือนกัน อีกฝ่ายยิ้ม

“ครับพี่”ผมโบกมือให้ คุยกันแบบนี้ก็แปลกดี โทรศัพท์มีไม่โทรมา ผมยิ้ม

"เสร็จหรือยัง"พี่ท็อปถาม

"เรียบร้อยแล้วพี่"

"เออ ไอ้แกนทำกูอารมณ์เสีย แค่เห็นหน้าก็ไม่สบอารมณ์"พี่ท็อปบ่นเป็นหมีกินผึ้ง

"อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์เลยพี่..."ผมส่ายหน้า ไม่อย่างนั้น อารมณ์เสียไปเปล่า ๆ

“เออ นั่นสิ อีกห้านาทีนะ มึงเอาสมุดวาดภาพไปด้วยนะ”พี่ท็อปบอก ผมแปลกใจ แต่ก็นึกสนุกขึ้นมา สงสัยจะมีอะไรให้ผมทำแหง

"อยากเป็นแบบให้ผมหรอไง"ผมหัวเราะ แบบนู้ดก็ดีนะ ยังไม่เคยดรออิ้งนายแบบผู้ชายเลย

“รู้นะ มึงคิดอะไร ...ก็อยากจะมีอะไรให้มึงนิดหน่อยบ้าง”เจ้าตัวบอก ทำให้ผมยิ้ม  "โอเคนะเว้ย กูไปเก็บของนิดๆหน่อยๆก่อน เดี๋ยวก็ออกไปแล้ว"พี่ท็อปโบกมือแล้วหายเข้าห้องไป

ผมกลับเข้าไปในห้อง เดินไปหยิบสมุดวาดภาพมาเล่มนึงใส่กระเป๋าย่าม ไม่มีใครที่ทำให้ผมวาดรูปออกมาได้มากมายแบบนี้เลย ส่วนมาก ผมใจลอยร่างภาพใบหน้าพี่ท็อปออกมาบ่อยๆ นี่แสดงว่าผมคงเป็นเอามากจริงๆ เฮ้อ นี่ขนาดแค่ชอบนะ ถ้ารักเข้าจริงๆล่ะ ผมจะเป็นยังไงนะ

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 03-07-2015 01:43:27
ยิมนี่เป็นคนยังไง  สองนี่คดีเยอะจิงเลยนะ  ตอนยิมคุยกับสอง แอบบคิดนะว่าหรือ จะเป็น สองยิมวะ  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 03-07-2015 01:50:29
มิ้นอาจจะเป็นน้องของเฮียแกนหรือเปล่า ถึงดูเกลียดสองนัก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 03-07-2015 06:36:29
ก็ยังคงลุ้นชีวิตสองต่อไป. คู่กรณีเยอะแต่ไม่รู้ตัวสินะ.
หวังว่าจะไม่เป็นการลอบกัดแบบที่พี่ท้อปว่านะ
เห้อ   :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ziqh.leo ที่ 03-07-2015 08:11:08
อุ๊ต่ะะะ เค้าคบกันแล้ววว หวังว่าพี่ท็อปคงไม่หักหลังสองน้า ขอแค่นั้น  :ling1:
แต่รำคาญ อิพี่แกนมาก ดูเป็นคนไม่ค่อยมีความคิดนะ ถ้าแบบจะเกลียดท็อปก็เกลียดไปคนเดียวดิ ทำไมต้องมาพาลเกลียดสอง ไร้สาระมาก (อันนี้พูดในเรื่องที่สองกับท็อปคบกันนะ แต่ไม่รู้ว่าสองไปทำอะไรให้พี่แกไม่พอใจอีกรึเปล่า)
ส่วนยิมนี่ รู้จักสองแน่นอน รุ่นพี่ รร. เก่าเปล่า หรือยังไง ฮาๆ แต่แอบชอบสองรึเปล่า นั่นประเด็น

รออ่นตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Glitterycandy ที่ 03-07-2015 10:09:04
มิ้น เป็นน้องแกน และเป็นแฟนเก่าท็อป แต่เสร็จสองไปตอนนั้น?
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 03-07-2015 13:41:48
ยิมนี่ทาทางแปลกๆอ่ะ แอบชอบสองใช่ไหม ตอบ!
ตอนที่สองคุยกะยิม ทำไมเค้ารู้สึกว่า สองคนนี้มันมีเคมีบางอย่าง 555 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 03-07-2015 13:47:40
มิ้นนี่น้องเฮียแกนรึเปล่า "มิ้น"นี่คือชนวนของเรื่องทั้งหมดใช่ไหม!?
ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้แล้วอ่ะะ ลุ้นตามไปด้วยเลยไง ว่าสรุกแล้วใครกันแน่ที่ร้ายกับสองที่สุดดด
หวังว่าคงจะไม่ใช่พี่ท๊อปน๊าาาาา  :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 03-07-2015 13:50:02
ชีวิตสองี่ช่างวุ่นวายซะจิงงงง 555
ไหนจะพี่ท๊อป เฮียแกน ยิม น้องโย แล้วยังมิ้น? เฮ้อออเหนื่อยแทน  :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 03-07-2015 15:35:32
มิ้นเป็นน้องเฮียแกน แล้วก็เป็นแฟนเก่าพี่ท๊อป

ยิมนี่อาจจะแอบชอบสองมานานแล้วหรือเปล่า

จะมีคดีพลิกไรไหมเนี่ย แต่เราชอบสองท๊อปน้าา

ตอนนี้ยาวสะใจมากค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 03-07-2015 16:30:52
รักเรื่องนี้จัง แมนๆเตะบอล กรี๊สส  :-[

ปล.รำคาญโยมากค่ะ ช่วยเอาไปไกลๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: hczmtp ที่ 03-07-2015 18:27:07
สองไปสร้างศัตรูไว้เยอะเหรอเนี่ย โอยยย คนที่เข้าหาแต่ละคนก็แปลกๆ ฮืออ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 03-07-2015 21:50:03
สองกับพี่ท็อปเริ่มต้นเป็นแฟนกันแล้ว แต่ปัญหายังมีอยู่ รอๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 03-07-2015 22:00:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mox2224 ที่ 03-07-2015 22:43:43
มิ้นน้องเฮียแกนชัวร์
แต่ท๊อปนี่น่าจะมีส่วนเกี่ยวและอาจจะหลอกสอง
ที่ยิมบอกอาจจะเป็นท๊อป เพราะยิมบอกสองไม่ระวังตัว
สองยิมก็ได้นะ อุ้บส์
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-07-2015 22:53:36
น้องสาวเฮียแกนสิ่นะ กุญแจของเรื่องนี้
ว่าแต่ สองประกาศไปแบบนั้น ยอมเป็นเมียถาวรเลยจริงดิ่ 55555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 04-07-2015 05:41:49
มีแต่คนเดาว่ามิ้นน้องเฮียแกน
ว่าแต่น้องเป็นไงมั่งอ่ะ
สงสารน้องมิ้นนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 04-07-2015 10:21:25
เฮียแกนมีน้องสาวนะเราจำได้ 555555555
คนที่สองหนีมานี่น้องเฮียแกนแหง...
ทำไมชอบไปวุ่นวายกับน้องชาวบ้านจังโว๊ะ 55555555555555
แต่น้องสาวเฮียแกนก็แฟนเก่าพี่ท็อป........อืม...
เริ่มไม่ไว้ใจพี่ท็อปอีกแล้วค่ะ
55555555555555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 04-07-2015 11:15:30
สองเอ๊ย  ทำไมคดีเยอะ โจทย์เยอะอย่างนี้  จะรอดหรือเปล่าเนี่ย 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 04-07-2015 14:02:57
น้องเฮียแกนอาจจะเป็นคนที่สองเคยอึ้บแล้วหวิดท้องก็เป็นได้
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 05-07-2015 03:32:21
เรื่องพลิกไปพลิกมาดีจัง ไม่ได้หมายถึงแค่ท็อปสอง สองท็อปนะ  :hao3: แต่ตัวละครทุกตัวมันดูมีเงื่อนงำไปหมด
ยิมนี่ออกมาทีไร ก็ชวนให้คิดตลอดว่า...จะเป็นยิมสองหรือเปล่าน้า  o18 แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบพี่ท็อปนะ ดูมีเสน่ห์ดี แมนแต่ก็ยั่วๆ  :hao6:
ยิ่งตอนท็อปเรียกตัวเองว่าพี่ ตอนสองเป็นเมียท็อปอีกรอบ... "เดี๋ยวพี่ทำแผลให้นะ" หึๆ น่ารักอ่ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: thanchnt ที่ 06-07-2015 00:28:24
เป็นอะไรที่ปมเยอะแยะไปหมดเลย ชอบความสัมพันธ์ของท็อปสองมากอ่ะ 55555555
แต่จริงๆแอบเชียร์ยิมสอง แพ้หนุ่มแว่นสายเถื่อนมาก  :haun4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: nuttzier ที่ 06-07-2015 13:48:08
เครียตนะครับ  แบบนี้
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 06-07-2015 23:20:41
 :z2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 06-07-2015 23:59:29
มิ้นอาจจะเป็นน้องเฮียแกน แล้วมาเป็นแฟนท๊อปอีกที
แต่โดนสองสอยไปก่อน แล้วเขี่ยวทิ้ง ทำให้ทั้งสองคนตามมาล้างแค้นหรือเปล่า
เพราะท๊อปก็เหมือนมีความลับอะไรซ่อนอยู่เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 10-07-2015 23:53:43
มีเรื่องเดียวที่ สอง จะมีเรื่องกันเฮียแกนได้ คือ เรื่อง น้องสาวเฮียแกน จัใข่ คนที่เคยมีไรกับสองป่าว แต่ยังไปเกี่ยวกับพี่ท๊อปอีก แสดงแว้ เอ๊ย แสดงว่า สองกับพี่ท๊อป ได้ผู้หญิงคนเกียวกัน งงเนอะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 11-07-2015 13:03:37
ท๊อปน่าสงสัยสุดละ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 11-07-2015 13:13:53
โอ่ย สงสารน้องมิน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-8 #3.07.58 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 11-07-2015 13:18:04
รอตอนต่อไปอยู่น๊าาา
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 8 เสี่ยงตัวและหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 13-07-2015 05:35:40
ตอนที่ 8 เสี่ยงตัวและหัวใจ

ผมกับพี่ท็อปเดินทางโดยขึ้นแท็กซี่แทนที่จะใช้รถมอเตอร์ไซด์เพราะว่าฟ้ามืดแล้ว ถึงแถวบ้านพี่ท็อปจะอยู่ใกล้แหล่งเศรษฐกิจ ย่านหรูแต่ตามซอยก็เคยมีการดักจี้ ปล้นทรัพย์มาแล้ว พี่ท็อปก็เลยไม่อยากเสี่ยง
เมื่อรถแท็กซี่ขับมาจอดถึงหน้าบ้านพี่ท็อป ผมกับพี่ท็อปลงจากรถ มองเข้าไปในรั้วบ้าน เห็นว่ามีไฟเปิดสว่างจ้าทั้งในตัวบ้านและนอกบ้าน

“รอแป๊บนะ”พี่ท็อปหันมาบอกผม แล้วหยิบกุญแจมาไขโซ่กุญแจที่คล้องไว้ที่ประตูเล็กๆอีกด้านนึง ผมเห็นเงาตะคุ่มพร้อมเสียงหอบแฮกดังมาใกล้ จากนั้นก็มีเสียงเห่าดังอยู่ริมรั้ว ไอ้เจ้าตัวสีขาวออกน้ำตาลพยายามตะกายปีนรั้วบ้านอย่างเสียมารยาท

“ไงไอ้ทู คิดถึงกูล่ะสิ”พี่ท็อปเรียกชื่อมันที่ตอนนี้สายหางดิ๊กๆแทบหลุด

“นี่เหรอพี่ ไอ้ทู”ผมกำลังมองหมาหน้าตามึน ๆ ที่กำลังเลียมือพี่ท็อปอยู่ ผมเดินตามพี่ท็อปเข้าไปในบ้าน ไอ้ทูมันหันมาสนใจผม มันเดินมาดมๆฟุดฟิดๆ หางกระดิกไปมา มันหันมาสนใจผมบ้าง ดมฟุดฟิดท่าทางขี้เล่น ระหว่างนั้นพี่ท็อปก็ไขกุญแจเสร็จเรียบร้อยแล้วเปิดรั้วบ้านอันเล็กเข้าไป ผมเดินตามเข้าไปด้วย ก่อนจะล็อครั้วคล้องโซ่ให้

ไอ้ทูมันเดินมาขัดแข้งขัดขาพี่ท็อปดีอกดีใจ

“เฮ้ย พอๆ นี่เพื่อนมึง เอ้ย หรือน้องมึงดี มันชื่อไอ้สอง นู่น”พี่ท็อปก็บ้า คุยกับหมาอีก เจ้าตัวจับหน้าไอ้ทูให้หันมองมาทางผม

“ฮ่าๆ เพื่อนก็พอครับ ไงไอ้ทู หวัดดีๆ”ผมรับมุก เอ่ยเรียกชื่อมัน เจ้าหมาวิ่งมาหาผม พยายามจะกระโจนใส่ ผมลูบหัวไอ้ทูอย่างหมั่นเขี้ยว ปกติไม่ค่อยชอบหมาเท่าไหร่ ยกเว้นตัวนี้ก็ได้

“ป่ะ ไปหาแม่ผัวเถอะ อย่าให้ท่านรอนาน”พี่ท็อปคว้าคอผมลากเข้าไปในบ้าน ผมเหลือบมองอีกฝ่าย อยู่ๆก็ได้ตำแหน่งเมียมาจากพี่ท็อปซะแล้ว มีไอ้ทูวิ่งหูตั้งตามมา “อ่ะๆ แม่ผัวก็แม่ผัว หึ”ผมยอมแล้วกัน พี่ท็อปทำหน้าระรื่น ก่อนจะเลื่อนประตูกระจกออก

“แม่ครับ ท็อปมาแล้วครับ”พี่ท็อปตะโกนเสียงดังลั่น ยังไม่ปล่อยให้ผมเป็นอิสระจากแขนที่ล็อคคอไว้ซะเกือบหายใจลำบาก แม่พี่ท็อปเดินออกมาจากครัว ใบหน้าอ่อนโยนท่าทางใจดีตั้งแต่แรกเห็น

 “สวัสดีครับ”ผมหลุดจากการเกาะกุมของพี่ท็อปมาจนได้ แล้วยกมือสวัสดีทักทายคุณแม่พี่ท็อป ก่อนหน้านั้นพี่ท็อปบอกว่าแม่ชื่อ พร ผมกระดากปากหากจะเอ่ยเรียกแม่ครั้งแรก

“สวัสดีจ๊ะ นี่ยังไม่ได้ทานข้าวกันมาใช่ไหม แม่เตรียมไว้ให้แล้ว”แม่ยิ้มอย่างใจดี ผมหันมองหน้าพี่ท็อปที่หลิ่วตาให้ ผมวางกระเป๋าผ้าลงกับโซฟา จากนั้นพี่ท็อปดันหลังผมให้เดินไปยังห้องครัว

“ไม่ต้องห่วงนะ แม่กูใจดีมาก รับรองต้อนรับสะใภ้อย่างดี”พี่ท็อปสำทับอีกรอบ ผมกรอกตาทำหน้าเซ็ง เฮ้อ เอาเข้าไป ได้ใจไปใหญ่เลยพี่ท็อป ผมเดินเข้าไปยังครัวเล็กๆของบ้าน ตรงกลางมีโต๊ะอาหารสำหรับสี่ห้าคนได้ บนโต๊ะมีผักทอด น้ำพริกปลาทู น้ำพริกอ่อง ของโปรดผมทั้งนั้น

“น่าทานจังครับคุณแม่”ผมเสนอหน้าเรียกคุณแม่ซะเต็มปาก

“ก็ท็อป มันบอกแม่ว่าให้ทำของโปรดของเราไว้เผื่อด้วย ...แล้วสองรู้จักท็อปมันได้ยังไงล่ะหืม เห็นท็อปพูดถึงสองให้แม่ฟังบ่อยๆน่ะ”ขณะที่ผมนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามกับแม่พี่ท็อป ส่วนพี่ท็อปนั่งข้างๆผม

“อ๋อ พอดีว่าพี่ท็อปอยู่หอเดียวกับผม แล้วก็อยู่ห้องข้างๆกันนะครับ”ผมยิ้มตอบ พี่ท็อปตักข้าวในจานให้ทุกคน  คุณแม่พี่ท็อปมองหน้าลูกชายตัวเองสลับกับมองผมแล้วยิ้มกว้าง ผมเหลือบมองพี่ท็อปที่แอบยักคิ้วให้ผม

“งั้นเหรอจ๊ะ อยู่ใกล้ๆกันก็ดีเลยลูก แบบนี้แม่จะได้ให้สองช่วยดูไอ้ท็อปมัน ไม่รู้ทำตัวเหลวไหลอีกหรือเปล่า”แม่พี่ท็อปมองลูกชายตัวเองอย่างตำหนิเล็กน้อย พี่ท็อปหัวเราะ

“โธ่แม่ ท็อปเป็นเด็กดีแล้วนะแม่”

“เหรอจ๊ะ คราวก่อนก็เล่นบัตรแม่เกือบเต็มวงเงินเลยนะพ่อคุณ”แม่พี่ท็อปส่ายหน้า ผมมองพี่ท็อปยิ้มๆ

“น่า หยวนๆนะแม่ ท็อปก็คืนไปบางส่วนแล้วนี่ เลิกพูด ทานข้าวดีกว่า มาบ่นผมต่อหน้าสองได้ไงเนี่ย”พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตักแกงจืดสาหร่ายหมูสับให้แม่ตัวเอง

“สองทานเยอะๆนะลูก เนี่ยเจ้าท็อปมันขยั้นขยอให้แม่ทำตั้งเยอะแยะ ถ้าไม่หมดก็ให้มันเก็บกินจนเกลี้ยงคนเดียวเลย”แม่พี่ท็อปยิ้มให้ผม ผมเอื้อมจะไปตักผักทอด แต่พี่ท็อปมือไวกว่าแย่งไม้แย่งมือ จนผมต้องหดมือกลับมาที่เดิม พี่ท็อปตักผักทอดมาให้ผมถึงที่

“อ่ะ บริการเต็มที่”พี่ท็อปกระซิบเบาๆ ไม่เกรงใจสายตาของคุณแม่เลย ผมยิ้มแห้งๆไปให้ แต่มาคิดดูอีกทีท่านน่าจะรู้ว่าพี่ท็อปเป็นยังไง คบแต่ผู้ชาย

“สองคบกับท็อปมานานแล้วหรอลูก”คำถามของแม่พี่ท็อปทำเอาผมแทบสำลัก ไม่รู้ว่าพี่ท็อปเล่าเรื่องของผมให้คุณแม่เขาฟังไปแค่ไหนยังไง อีกอย่างผมกับพี่ท็อปก็ไม่เชิงว่าคบกันอยู่ ผมมองพี่ท็อป อีกฝ่ายส่งยิ้มให้ผม

“เอ่อ ก็เพิ่งคบกันครับแม่ เพิ่งรู้จักกันสองสามเดือนเอง”พี่ท็อปตอบคำถามแทนอย่างแยบยล ผมผงกหัวตาม สะกิดขาพี่ท็อปอยู่ใต้โต๊ะไปเบาๆ 

“งั้นเหรอเนี่ย นึกว่าท็อปมันจะพาแฟนมาหาแม่ซะอีก”แม่พูด มองหน้าลูกชายอย่างสงสัย ผมยิ้มแห้ง เจ้าตัวแค่ยิ้มบางๆ แม่พูดต่อเรื่อยๆ “แม่ก็ไม่ห้ามหรอกนะลูก จะคบกันยังไงแบบไหนแต่ขอให้ส่งเสริมพากันไปในด้านดีๆ คนจะได้ไม่นินทาว่าร้ายเอาได้”ผมกับพี่ท็อปรับคำ ว่าแต่แม่เขาจะรู้ไหมะว่าลูกชายก็สร้างเรื่องไว้เยอะเหมือนกัน

 “ครับ จะจำคำของแม่ให้ขึ้นใจเลย”พี่ท็อปยิ้มประจบแม่ตัวเอง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานข้าว ระหว่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก หลังจากที่ทานมื้อเย็นอิ่มหนำสำราญกันเป็นที่เรียบร้อย ผมก็อยู่คุยกับแม่พี่ท็อป ช่วยท่านล้างจานเก็บกวาดโต๊ะอาหาร ท่านก็ถามไถ่เรื่องเรียน เรื่องของผมบ้างพอผิวเผิน

“รู้ไหม ว่าเราเป็นคนแรกเลยนะที่ท็อปมันพามาบ้านน่ะ คนก่อนๆก็พอจะพูดถึงบ้าง แต่ไม่เคยพามาเจอตัวสักที”คุณแม่พี่ท็อปยิ้มกับผม เจอแบบนี้ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเปล่า แต่อย่างน้อยผมก็สำคัญกับพี่ท็อป ขนาดไอ้บอมอีกฝ่ายยังไม่พาเข้าบ้าน แต่ก็พอจะนึกภาพออก แม่คงตกใจน่าดูเลย

“จริงหรอครับ...ขอบคุณนะครับแม่ สำหรับข้าวมื้อนี้ กับข้าวอร่อยด้วย”ผมชวนคุยเรื่องอื่น ถึงท่านจะใจดีแต่ผมก็อึดอัดนิดหน่อย

“ไม่เป็นไรจ๊ะ ว่างๆก็ให้ท็อปพามาที่บ้านบ่อยๆก็ได้ วันไหนอยากทานอะไรก็บอกแม่ แม่จะได้ทำเตรียมไว้ให้”

“ขอบคุณมากครับ”จากนั้นแม่พี่ท็อปขอตัวไปทำงานที่ชั้นบน พี่ท็อปเห็นว่าอากาศดีเย็นสบายเลยชวนผมออกไปขี่รถเล่น เป็นรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสีเหลืองดำคันเตี้ยกว่ารถมอเตอร์ไซค์แบบปกติ ลักษณะดูแปลกตากว่ามอเตอร์ไซค์

“กอดเอวได้นะ”พี่ท็อปหันมายิ้มขณะที่บิดกุญแจสตาร์ทรถเบาๆ

“แหม ซิ่งให้ได้ก่อนเถอะพี่”ผมหัวเราะแต่ก็ยอมขึ้นไปซ้อนที่เบาะหลังที่เตี้ยกว่าเบาะคนขับขี่ แปลกๆ แบบนี้กอดไม่ถนัดเลยสิเนี่ย

“เอาน่า นี่เซอร์วิสมึงเต็มที่เลยนะจะบอกให้”พี่ท็อปพูดอารมณ์ดีๆ แล้วคว้ามือผมไปโอบที่เอวของตัวเอง ขนาดนี้แล้วจะขัดขืนไปทำไม แค่กอดเอว สบายมาก

“ซิ่งเลยพี่”ผมบอก ขณะที่พี่ท็อปค่อยๆออกตัวจากรั้วบ้านเลี้ยวไปทางด้านในซอยบ้านจัดสรร ระหว่างทางมีแสงนวลสว่างของไฟข้างทางอยู่ ถึงจะอยู่ในย่านเศรษฐกิจแต่ซอยบ้านจัดสรรแห่งนี้เงียบสงบดี

“เดี๋ยวแวะไปนั่งเล่นที่เดอะปาร์คกัน บรรยากาศกำลังดี”พี่ท็อปหันมามองผมแวบนึง ผมขานรับในลำคอ ก่อนจะแนบหน้าลงกับแผ่นหลังพี่ท็อป ไม่สนสายตาของคนที่ผ่านไปผ่านมา ก็นะผมไม่ใช่คนแถวนี้ พี่ท็อปเลี้ยวเข้าไปยังเดอะปาร์ค สวนสาธารณะมีระดับบรรยากาศยามค่ำคืนเลยทำให้ดูโรแมนติกนิดๆ พี่ท็อปขี่รถไปตามเส้นถนนเรียบๆที่ปูไว้สำหรับให้รถขับผ่าน ผมกวาดสายตาไปรอบๆ ส่วนมากจะมากันเป็นคู่ๆหรือไม่ก็มานั่งเล่น เดินเล่นกับครอบครัว รถค่อยๆชะลอลงช้าๆเมื่อมาถึงบริเวณสระน้ำกว้าง มีสวน แนวต้นไม้เป็นระเบียบ และแสงไฟส่องสว่างทำให้ไม่เป็นมุมอับลับตาคน ผมลงจากรถ พี่ท็อปเก็บกุญแจล็อครถ

“เดินไปก่อนเลยเดี๋ยวกูไปซื้อน้ำมาให้”พี่ท็อปชี้มือไปบริเวณตลิ่งขอบสระน้ำที่มีพื้นที่ว่างใกล้ร่มไม้มีดวงไฟเล็กๆประดับประดาอยู่ตามแนวกิ่งก้าน โรแมนซ์ดีจริงๆ

“ซื้อบุหรี่กับเบียร์มาให้ผมด้วยนะพี่”ผมยิ้มบอก บรรยากาศแบบนี้เปรี้ยวปากขึ้นมาเชียว ถ้าติดหรูหน่อยได้เบียร์นอกชั้นดีมาก็คงดีไม่น้อย ผมเดินไปนั่งบนพื้นหญ้านุ่มๆ ผมมองใจลอยไปเพลินๆ

ไม่นานพี่ท็อปกลับมา วางถุงบรรจุเบียร์มาสามกระป๋องกับบุหรี่หนึ่งซอง ผมยิ้ม จังหวะที่เงยหน้าหันไปมอง ผมก็เจอเข้ากับช่อดอกกุหลาบสีชมพู 3 ดอกอยู่ตรงหน้า ผมกระพริบตางงๆ ชั่วขณะหนึ่ง ผมอึ้งไปก่อนจะเปลี่ยนมายิ้มกว้างดีใจ ยกมือรับช่อดอกกุหลาบกระดาษสีน้ำตาลมาถือไว้

“ขอบคุณครับ”ผมยิ้มหน้าบาน “ให้ในโอกาสอะไรเนี่ย”ผมพึมพำ ในอกยินดีปรีดา

“ชอบไหมวะ”พี่ท็อปขยับมาใกล้ ยีหัวผมไปด้วย ทำเหมือนผมเป็นเด็กไปได้นะ พี่ทอปไม่ได้ตอบคำถามผม ดอกกุหลาบสีชมพูสีสวยดอกใหญ่อีกด้วย ...พี่ท็อปหมายความตามจำนวนดอกไหมนะ

“ชอบ แต่ชอบคนให้มากกว่าหลายเท่า”ผมหันไปยิ้มให้พี่ท็อปที่มองผมอยู่

“มึงนี่ได้ทีก็หยอดตลอดนะ แต่ก็นั่นแหละ แฟนทั้งคน มากกว่านี้กูก็ให้ได้น่า”พี่ท็อปยิ้ม ผมหันไปมองอีกฝ่ายอีกครั้ง คิ้วขมวดแน่น เมื่อกี้นี้ ผมหูฟาดไปเองหรือเปล่า พี่ท็อปพูดว่าแฟนไม่ใช่เหรอไง อีกฝ่ายทำหน้าขบขัน “แฟนเหรอ”ผมถามช้าๆ

“...เป็นแฟนกันดีไหมนะ”พี่ท็อปพึมพำด้วยรอยยิ้ม ผมยังคงใจเต้นรัว แต่ก็ยังคงตื่นเต้นไม่ได้ เหมือนเจ้าตัววางแผนมาเพื่อนการนี้

“พี่ถามจริงหรือเปล่าล่ะ”ผมถาม พี่ทอปขยับมาใกล้ มองผมอย่างค้นหา

“จริงสิ...เป็นแฟนกันดีไหม ลองคบกันดู เผื่อว่าเราจะไปกันได้”พี่ท็อปพูด ผมฟังจบประโยคแล้วก็ได้ยิ้มกว้างอย่างห้ามไม่ได้ ผมหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ เวลานี้ ผมเหมือนเด็กน้อยที่กำลังมีความรัก หน้ามืดตามัวเพราะคำว่ารักและหลง

“ผมมีคำตอบอยู่แล้ว และคิดว่าพี่ก็น่าจะรู้... ผมอยากคบพี่ มาลองคบกันก็ไม่เสียหายครับ”ผมบอก ก้มมองดอกกุหลาบในมือไปด้วย พี่ท็อปหัวเราะเสียงเบา “งั้นตอนนี้เราก็เป็นแฟนกันแล้วสิ...”พี่ท็อปพูดออกมาง่ายดาย ผมมองคนข้างๆอย่างไม่เชื่อสายตานัก ทุกอย่างดูรวดเร็วจนน่ากลัว แต่ผมก็เผลอใจไปแล้ว

 “แล้วเอาไปแอบไว้ตรงไหนเนี่ย”ผมถามแล้วชี้มาที่ช่อกุหลาบ พี่ท็อปยิ้ม “อยู่ใต้เบาะรถน่ะ กลัวแทบแย่ว่าจะช้ำ ไม่สวยเอา... ”

“ไม่สนหรอกว่าจะช้ำหรือเปล่า แค่ใจคนให้จริงใจก็พอ”ผมพูด แล้วหัวเราะออกมา เหลียวมองพี่ท็อป ก่อนจะหยิบเบียร์มาสองกระป๋องยื่นให้พี่ท็อป ก่อนจะเปิดให้ตัวเอง อีกฝ่ายมองผม

“ทำไมวะ กูกลัวไม่จริงใจหรือไง เห็นย้ำจัง ถึงขั้นรับมึงเป็นแฟนแบบนี้แล้ว ยังไม่มั่นใจอีกหรือไง”พี่ท็อปมองหน้า ผมไหวไหล่

“ผมก็อยากให้แน่ใจไงครับ”

“กังวลเป็นเจ้าสาวกลัวฝนไปได้นะมึง”

“เปรียบผมซะ หมดความแมน”ผมแกล้งทำหน้าเง้างอน เข้าไปซบไหล่พี่ท็อปทีเล่นทีจริง “ทำเป็นเล่นไป”

ผมหันไปมองพี่ท็อป หัวใจเต้นตึกตัก ผมไม่รู้ว่าทุกอย่างถูกวางแผนไว้หรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้น ก็โกยคะแนนใจจากผมไปได้เยอะเลยล่ะ  “....ตามใจพี่แล้วกัน”ผมยิ้ม ก่อนจะละสายตาจากหน้าพี่ท็อป มองลงไปที่สระน้ำนิ่ง ๆ หลังจากที่นั่งเล่น ดื่มเบียร์จนหมดกระป๋องแล้ว ร่างกายพออบอุ่น ผมกับพี่ท็อปก็กลับ

พี่ท็อปหันมายิ้มให้แล้วเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แล้วสตาร์ทเครื่อง ผมขึ้นไปซ้อนหลัง พี่ท็อปขี่รถออกไปตามทางตรงกลับไปยังบ้าน

พอจอดรถได้ปุ๊บ ไอ้ทูก็วิ่งกระดิกหางเข้ามาหาผมกับพี่ท็อปด้วยท่าทีดีอกดีใจ มันเลียมือผมก่อนจะกระโจนใส่พี่ท็อป “จุ๊ๆ ไปนอนได้แล้วไป”พี่ท็อปใช้ขาดันตัวอ้วนปุ๊กของมันออกห่าง มันแค่นั่งลิ้นห้อยมองผมกับพี่ท็อปเดินเข้าไปในบ้าน

“ทำไมไม่เอารถคันนั้นไปใช้ล่ะ”ผมถาม คิดว่าก็เท่ดี ไม่ค่อยมีคนใช้รถแบบนี้ พี่ท็อปทำหน้าคิด “อืม ขี้เกียจชาร์ตไฟอ่ะ อีกอย่างมันไม่ซิ่ง ไม่ทันใจวัยโจ๋เลยไง ฮ่าๆ”พี่ท็อปหัวเราะแล้วเดินกอดคอผมขึ้นไปยังชั้นสอง แม่พี่ท็อปคงนั่งทำงานอยู่ในห้อง เพราะเห็นว่าไปยังเปิดอยู่เลย

“อาบน้ำก่อนนะ ค่อยให้ของขวัญ”พี่ท็อปยิ้มเหมือนมีแผนการร้ายกาจ “ครับผม ว่าแต่จะให้ผมอาบให้เลยดีไหมพี่”

“อืม...มาสิ”พี่ท็อปยิ้ม ที่ยอมให้อาบน้ำด้วยเจ้าตัวคิดอะไรหรือเปล่าเนี่ย ผมเดินหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปสองผืน ให้พี่ท็อปด้วยผืนหนึง

“อาบน้ำให้พี่สะอาดๆล่ะ”พี่ท็อปยิ้มมุมปาก สังเกตว่าเปลี่ยนมาพูดจาสุภาพกับผมอีกแล้ว “ครับ จะถูให้หมดทุกซอกทุกมุมเลยพี่”ผมหัวเราะในลำคอแล้วถอดเสื้อผ้าออก สายตาแอบเหลือบมองอีกฝ่ายที่กำลังถอดกางเกงอยู่ เจ้าหันมาสบตาผมพอดี เลยส่งยิ้มมาให้ผม

ผมว่าวันนี้ พี่ท็อปยิ้มบ่อยกว่าปกตินะ ระหว่างนั้นเจ้าตัวเดินไปรูดม่านสีขุ่นออก เผยให้เห็นอ่างจากุซซี่ลักษณะสามเหลี่ยมมนๆติดกับมุมผนังห้องน้ำพอดิบพอดี แถมยังติดกระจกไว้ตรงมุมผนังทั้งสองด้าน แบบนี้เวลาลงอ่างก็เห็นภาพสะท้อนได้ครบทุกองศา ผมทึ่งอยู่บ้าง

“อยากเล่นดูไหม”พี่ท็อปพูด แล้วเอื้อมไปเปิดน้ำไว้ ผมมองหน้าพี่ท็อปแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย “อืม ก็น่าสนนะพี่”ผมบอก พี่ท็อปเปิดตะกร้าที่มีขวดครีมอาบน้ำออก “สนใจนวดไหม ดูนี่ มีน้ำมันนวดด้วยนะ”อีกฝ่ายหยิบขวดน้ำมันสีใสออกมาอ่านสรรพคุณด้วยแววตาสนใจ

“เอ่อ...ในอ่างเนี่ยนะพี่”ผมคิดว่าตัวเองพลาดท่าให้พี่ท็อปแล้วล่ะ วันนี้ผมตามอีกฝ่ายไม่ทันเลยจริงๆ สงสัยคงคิดแผนเผด็จศึกผมแน่นอน

“อืม ใช่สิ ทำไมคิดอะไรอยู่เหรอหืม...รู้อะไรไหม การนวดในอ่างเนี่ย ผ่อนคลายนะ ยิ่งได้น้ำอุ่นๆนวดเบาๆนะยิ่งดี จะว่าไปมึงเคยบอกว่านอนไม่ค่อยหลับไม่ใช่หรือไง นวดในอ่างนี่ก็ช่วยให้หลับสบายนะ”พี่ท็อปเอ่ยอย่างมีความหมายแล้วหัวเราะเบาๆ อีกฝ่ายเดินมาบีบไหล่ผมเบา ๆ แววตามีประกายสดใส ผมถอนหายใจพลางเกาจมูกไปเก้อๆ

“ตามใจพี่เถอะ”ผมบอก พี่ท็อปดึงมือให้ผมเดินเข้าไปนั่งในอ่างจากุซซี่ ซึ่งขณะนี้น้ำกำลังเพิ่มระดับความสูงมาจนครึ่งค่อนอ่างแล้ว พอผมก้าวขาหย่อนเท้าลงไปแล้ว ก็ค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งพิงขอบอ่าง จ้องมองพี่ท็อปที่ปรับระดับน้ำให้เบาลง น้ำอุ่นๆไหลปะทะร่างกาย รู้สึกได้ว่าน้ำในอ่างจะวนๆหน่อยคงเพราะพี่ท็อปตั้งระบบน้ำวนไว้ด้วย 

ผมมองพี่ท็อปที่กำลังเทน้ำยาลงในน้ำกลิ่นหอมอ่อน ๆ ฟุ้งกระจายอบอวล มองหุ่นพี่ท็อปผ่านน้ำแบบนี้ก็แปลกตาดีเหมือนกันนะ

“มองใหญ่เลยนะ ทำเหมือนไม่เคยเห็นซะงั้นวะ”พี่ท็อปยื่นเท้ามาแตะหน้าท้องของผมเบาๆ ผมเลยต้องตระครุบไว้ก่อนเพราะท่าทางจะไม่อยู่เฉยๆ ร้ายจริงพี่ท็อป

“ไหนจะให้นวดไงครับ”ผมถามทันทีเพื่อเบี่ยงประเด็น

“รีบร้อนจริงนะไอ้สอง อยากนวดพี่แล้วหรือไง”อีกฝ่ายพูดเหมือนมีเลศนัยมาให้ผมอีกแล้ว พี่ท็อปคว้าขวดครีมอาบน้ำมาถือไว้ แล้วเคลื่อยตังขยับมาใกล้ผมมากขึ้น ตอนนี้กลายเป็นว่าพี่ท็อปเข้ามานั่งทับผมซะแล้ว ท่าทางล่อแหลมเหลือเกิน

“ทาให้พี่หน่อยดิ แล้วก็นวดด้วยนะ”พี่ท็อปยื่นขวดครีมมาให้ ผมรับมาอ่าน เป็นครีมนวดตัวที่ทำจากสมุนไพร “อยู่ท่านี้น่ะเหรอ”ผมถาม

“เอาท่าที่ถนัดสิ”พี่ท็อปยักคิ้วให้ แม้ว่าน้ำจะอุ่นแต่ผมก็หนาวขึ้นมาซะอย่างนั้น เสียวสันหลังจริงๆ ผมเลยจับพี่ท็อปหันหลังแทน ได้ยินพี่ท็อปหัวเราะเบาๆ ร่างกายเปลือยเปล่าที่สัมผัสกันใต้น้ำไม่ได้ทำให้ผมเตลิด แต่ไอ้การนวดให้พี่ท็อปนี่แหละ จะทำให้ผมเตลิดไปไกลซะมากกว่า นี่สินะ เป้าหมายของพี่ท็อป

“พี่นี่เจ้าเล่ห์จริงๆ”ผมบ่นพึมพำแล้วเทน้ำยาสีใส กลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้บางชนิด ลงบนแผ่นหลัง และบริเวณบ่ากว้างของเจ้าตัวแล้วลงมือลูบไล้ให้ทั่ว

“บีบตรงไหล่หน่อย พี่เมื่อย”พี่ท็อปบอกเหลียวมามอง ระหว่างที่ผมลงน้ำหนักมือบีบนวดที่แนวไหล่ทั้งสองข้างของเจ้าตัว ทว่ามือสองข้างของอีกฝ่ายอยู่ไม่สุขเอาเสียเลย สองมือที่ใต้น้ำเอื้อมมาจับที่ต้นขาผมเบาๆ ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไร หากพี่ท็อปไม่เอนตัวมาชิดผมซะขนาดนี้  ผมเลยได้โอกาสกอดพี่ท็อปซะเลย อยากอ่อยดีนัก ผมโน้มหน้าไปหอมแก้มพี่ท็อปฟอดใหญ่ 

“พี่ยั่วผมเหรอ”ผมแกล้งยื่นหน้าเข้าไปไซร้ที่ต้นคอพี่ท็อป เห็นขนอ่อนของเจ้าตัวขนลุกซู่ทีเดียว

“เออสิ ทำขนาดนี้แล้วนี่”พี่ท็อปหัวเราะพอใจ ผมเลื่อนมือไปสัมผัสส่วนอ่อนไหวของคนในอ้อมกอดที่กำลังตื่นตัวพอๆกับของผม พี่ท็อปพลิกตัวออกแล้วหันมาเผชิญหน้ากับผม โดยที่พี่ท็อปนั่งคร่อมผมอยู่

พี่ท็อปไม่พูดอะไร แค่ยื่นหน้ามาชิดจนหน้าผากแตะสัมผัสกัน ผมมองตาพี่ท็อป แปลกที่อีกฝ่ายไม่มีสายตาตามแรงปรารถนาอย่างเดียว มีความอ่อนโยนเล็กๆที่ผมสัมผัสได้ แต่กว่าที่ผมจะได้โอกาสเปิดปากพูด อีกฝ่ายก็รั้งผมเข้ามาจูบ

ผมกำลังสับสน ในหัวตีกันให้วุ่นวาย วันนี้พี่ท็อปทำให้ผมประทับใจหลายๆอย่าง ถ้าแค่เซ็กส์ผมก็ไม่เกี่ยงหรอก แต่กลัวว่าผมจะเผลอให้ใจเจ้าตัวมากเกินไปจนฉุดไม่อยู่ ยิ่งไอ้เรื่องของความรู้สึกมันก็ห้ามกันไม่ได้ง่ายๆ จะให้ผมทำใจแข็งไม่สะทกสะท้านอะไรก็ใช่เรื่อง

“อือ...พี่ท็อปครับ”ผมเรียก หลังจากที่ดึงสติตัวเองกลับมาได้ “ว่าไงครับ....”พี่ท็อปเงยหน้ามาสบตาผมนิ่งๆ ผมยิ้ม ในเมื่อเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว

“...เฮ้อ ทำยังไงได้ ผมชอบพี่ขนาดหนักเลยว่ะ เอาเป็นว่าผมจะยอมเป็นของพี่ก็แล้วกัน”ผมกลั้นใจพูดออกไป อย่างน้อยก็เลี่ยงคำตรงๆไป พี่ท็อปทำหน้าประหลาดใจระคนอึ้งนิดหน่อยก่อนจะหัวเราะออกมา

“นี่พูดจริงเหรอวะไอ้สอง แน่ใจเหรอไง”พี่ท็อปยิ้มบางๆ ลูบแก้มผมไปด้วย ผมไหวไหล่ ก็ไม่เสียหายอะไรนี่นะ

“แต่ถ้าผมอยากสลับ พี่อย่าปฏิเสธล่ะ...ผมยอมพี่ขนาดนี้แล้วเนี่ย ยังไงก็เอ็นดูผมเยอะๆล่ะ เดี๋ยวมันจะช้ำใจเอา”ผมบอก นึกขำกับคำพูดของตัวเอง แม่ง น่าอายเหมือนกันนะ

“โอเค ๆ ในเมื่อสองพูดเองแบบนี้ พี่ก็ไม่ขัดหรอกนะ กำไรชัดๆเลยว่ะงานนี้”พี่ท็อปยิ้มพอใจ

“อ่ะๆ พูดซะ ผมอยากเปลี่ยนใจเลยนะ”ที่ผมยอม ไม่ใช่เพราะผมหลงอีกฝ่ายถึงขนาดนั้น แต่เพราะผมรู้ตัวอีกดีว่าไม่มีทางผลัดอีกฝ่ายไปทุกครั้งแน่ๆ ผมคงต้องพ่ายเจ้าตัวเข้าสักวัน ผมรู้ตัวดี

“ครับ รับรองพี่ไม่ทำให้สองช้ำหรอกนะ”พี่ท็อปยิ้ม ผมเลยหลับตาสักพัก “อยากทำอะไรก็ทำ ให้ไวเลยพี่ ชักช้าเดี๋ยวอดโปรโมชั่นนะ”ผมรีบบอก พี่ท็อปไม่ได้ตอบอะไร แค่ขยับตัวจับขาเปลี่ยนท่าทางให้ผมซะเสร็จสรรพ ให้ตาย รู้สึกเหมือนหมูที่รอโดนเชือด

พี่ท็อปสอดนิ้วเข้ามาก่อนเพื่อให้ผมเคยชิน จากนั้นร่างกายแข็งแรงของเจ้าตัวก็เบียดแทรกเข้ามาทีละนิด ความรู้สึกแปลกใหม่จากการที่สอดรับกันใต้น้ำอุ่นๆ ทำเอาผมใจเต้นตุบตับ พี่ท็อปดันตัวเข้ามาจนสุด จนผมเกร็งแน่นตามไปด้วย

“อะ โอ้ย แสบว่ะพี่”ผมนิ่วหน้า คงเพราะครั้งนี้แทบไม่ได้เล้าโลมกันมาก พี่ท็อปครางรับ โน้มหน้ามาจูบผมอยู่สักพักจนผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

“เจ็บอยู่ไหม”พี่ท็อปถาม ผมส่ายหน้า เจ้าตัวโน้มตัวลงมาแนบแน่นก่อนจะขยับสะโพกเบาๆจนผมเริ่มชิน จากที่เจ็บกลับกลายเป็นความหรรษาขึ้นมาแทน พี่ท็อปเร่งจังหวะกดสะโพกเข้าออกหนักๆจนผมสะท้านไปด้วย ผมครางผ่านลำคอ หลับตา ปล่อยไปตามอารมณ์

อีกฝ่ายจับสะโพกผมไว้ก่อนจะเร่งจังหวะกระแทกเอวลงมาถี่ๆ มืออีกข้างลูบเค้นคลึงก้นผมไปด้วย ปากก็ลามเลียไปทั่วลำคอ หน้าอก ลิ้นร้อนแตะสัมผัสดูดเม้มลงที่กกหู “อะ พี่ท็อป”ทำเอาผมอ่อนวูบ

“ดีไหมวะสอง”พี่ท็อปถามเสียงแหบพร่า สายตาจ้องมองผมไปด้วย ผมเม้มปาก ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะถามไปเพื่ออะไร

“ดีพี่... ผมจะเสร็จ โอะ..”พูดไม่ทันจบเจ้าตัวก็กระแทกลงมาเต็มเหนี่ยวไม่ยั้งเลย พี่ท็อปที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินเครื่องไม่หยุดนั้น ผ่อนแรงลง ก่อนจะจับผมลุกยืนขึ้น ผมโก่งตัวให้อีกฝ่ายจัดการ หันไปมองก็เห็น กระจกสะท้อนภาพตัวเองกับพี่ท็อปเข้าทำเอาผมเตลิดไปด้วย เจ้าตัวรั้งสะโพกผมไว้ ก่อนจะจ่อแท่งร้อนเข้ามาพรวดเดียว จนผมสะดุ้งเกร็งเผลอครางออกไป

พี่ท็อปกระแทกลงมาเน้นๆ ไม่วายตีมือลงที่แก้มก้นผมอีกเพลี๊ยะ เล่นเอาแสบไปเลยทีเดียว ทำไมซาดิสต์จังล่ะนะ ผมสูดปากไปด้วย อีกฝ่ายเร่งจังหวะเร็วขึ้นจนผมแทบยืนไม่อยู่ ผมยกขาเหยียบขอบอ่างไว้แทน เหมือนเป็นการเปิดทางให้อีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก

“อืม อะ อะ อา...”เจ้าตัวเลยได้ทีกระแทกกระทั้นกายเข้าใส่ผมไม่ยั้ง ผมเกร็งแน่น เอื้อมมาจัดการของตนเองไปด้วย ความหรรษาพุ่งปรี๊ดก่อนจะปลดปล่อยออกมา พี่ท็อปครางออกมา ก่อนจะกดสะโพกจนมิดใส่หลายครั้งก่อนจะกดพรวดเดียวแช่ไว้ บ่งบอกว่าเจ้าตัวปลดเปลื้องไปแล้ว ผมหอบหายใจแรง พี่ท็อปถอนกายออกจากผมได้ก็คว้าผมไปจูบ

“พี่ชอบสองนะ...”พี่ท็อปกระซิบเบาๆ ก่อนจะจูบผมอีกครั้ง ผมครางรับ

“ป่ะ เดี๋ยวพี่อาบน้ำให้”พี่ท็อปดึงผมให้ออกจากอ่าง  พอก้าวขาลงเหยียบพื้น รู้สึกเหมือนไปวิ่งรอบสนาม มา ขาอ่อนขาสั่นไปหมด  พี่ท็อปอาบน้ำให้ผมตามที่พูด ผมเดินพันผ้าเช็ดตัวออกมานั่งลงที่ปลายเตียง เหลือบตามองพี่ท็อปไปพลางแล้วถอนหายใจ

“เดี๋ยวหาเสื้อให้ใส่ รอเดี๋ยวนะ”พี่ท็อปหันมายิ้มแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าควานหาเสื้อผ้ามาให้ผม ผมกับพี่ท็อปก็ไซน์ใกล้เคียงกัน ใส่ด้วยกันได้

 “กูจะทำงานก่อนน่ะ มึงนอนก่อนเลยก็ได้”พี่ท็อปลูบหัวผมไปด้วย เอาเข้าไปเห็นผมเป็นเด็กน้อยหรือลูกหมากันนะ

“ก็ได้ งั้นผมนอนก่อนนะ ไม่ไหวอ่ะ ง่วงแล้ว”ผมบอก หลังจากที่สวมเสื้อผ้าเสร็จ ผมก็ลงนอนทันที รู้สึกว่าหนังตาเริ่มหนักขึ้นมา คว้าหมอนข้างมานอนกอด พี่ท็อปเดินมาดึงผ้าห่มผืนบางมาห่มให้ผม บริการดีอีกแล้ว พี่ท็อปขำเบาๆ

“เอาใจเมียหน่อยไง”ผมได้ยินแล้วเบ้หน้า “ได้ที ซ้ำเลยหรอพี่”พี่ท็อปหัวเราะแล้วเข้ามานั่งข้างๆ

“น่า...นอนนะ...เดี๋ยวจะมานอนกอด หึๆ”ไม่วายจะมาลูบหัวผมอีก เฮ้อ ผมนอนมองพี่ท็อปที่เดินไปนั่งหน้าโต๊ะคอม นั่งออกแบบงานอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับเครื่องจักร ผมก็เคลิ้มหลับไปจนได้ ...
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 8 เสี่ยงตัวและหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 13-07-2015 05:40:23
...


จนกระทั่งผมสะดุ้งตื่นมาอีกที พี่ท็อปก็กลับมานอนอยู่ข้างๆซะแล้ว ผมหรี่ตามองไปรอบห้อง แสงสว่างยามเช้าส่องทะลุม่านบางๆเข้ามาในห้อง ผมนอนเหยียดยาวบิดขี้เกียจแล้วขยับไปก่ายพี่ท็อป ผมนอนมองพี่ท็อปตอนหลับนี่ก็น่ารักดีนะ ผมจ้องใบหน้าที่สงบผ่อนคลายของพี่ท็อป ปากอ้าเล็กน้อย มีเสียงหายใจเบาๆ

ผมผุดลุกออกจากเตียง โอย แม่งเอ้ย ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย ยังจะมาปวดเมื่อยเนื้อตัวอีกเหรอเนี่ย ผมหาวนอนเดินไปเข้าห้องน้ำ สายตาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์พี่ท็อปวางอยู่บนโต๊ะ..ชั่วขณะนึง ความคิดชั่วร้ายก็ผุดออกมา ถ้าเพียงแค่ผมลองเช็คโทรศัพท์พี่ท็อปดูสักหน่อย คงไม่เสียหายอะไร

ผมมองพี่ท็อปที่นอนตะแคงหันหลังให้ผมอยู่ ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้โต๊ะคอมฯ ในใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น ผมคว้าโทรศัพท์พี่ท็อปมาถือไว้ในมือ ปลดล็อกหน้าจอ โชคดีที่ไม่ได้ใส่รหัสล็อกไว้เริ่มต้นจากอะไรดีนะ... ผมกดหารายชื่อที่โทรออกของพี่ท็อป สายตาไปสะดุดกับชื่อนึง

...พี่ตั้ม...พี่ท็อปรู้จักพี่ตั้มเป็นการส่วนตัวด้วยหรือไง... อ้าว ทำไมพี่ตั้มต้องทำเหมือนว่าไม่รู้จักมักคุ้นกับพี่ท็อปด้วยวะ ผมหันไปมองพี่ท็อปอีกรอบ ร่างนั้นยังคงหลับอยู่ ผมปัดความคิดแย่ๆออกไปก่อนจะ เปิดไปดูรายชื่อโทรเข้าแทน แน่นอนว่ามี พี่ตั้ม มีไอ้บอม แล้วก็มีผมซะส่วนมาก ผมไล่ลงมาที่ประวัติเก่าๆ

เฮียแกน...ผมไม่สงสัยมากนัก เฮียจะโทรหาพี่ท็อปเพื่อเคลียร์เรื่องเก่าๆก็ได้ ผมไหวไหล่ไม่สนใจเท่าไหร่ ผมมั่นใจว่าสองคนนี้ไม่ถูกกันแต่มีเบอร์กันก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง ประวัติที่เก่ากว่าท้ายสุดคือ ...เบอร์แปลกที่ไม่ได้เมมชื่อไว้ รู้สึกว่าโทรมาหลายครั้งเหมือนกัน ผมกดไปดูที่ข้อความเข้า มีข้อความจากเฮียแกนด้วย ผมใจสั่น มือเย็นเฉียบ ก่อนจะกดอ่าน

‘ถ้าอยากเคลียร์กับกูให้มันจบๆ มึงควรทำตามที่กูบอกไปตั้งแต่แรกมันก็สิ้นเรื่องแล้ว’

หมายความว่ายังไงกัน ผมเปิดหาข้อความตอบกลับของพี่ท็อป แต่ไม่มี ดูเหมือนว่าพี่ท็อปไม่ได้ตอบกลับไป ไม่ก็ตอบแต่ลบไป ย้อนไปถึง คราวก่อนที่พี่ท็อปโทรศัพท์คุยกับใครสักคน ประมาณว่า อย่าดึงพี่ท็อปเข้าไปเกี่ยวเรื่องอะไรนี่แหละ มันจะใช่เรื่องเดียวกันไหมนะ

ผมวางโทรศัพท์พี่ท็อปลง การไม่รู้อะไรเลย มันน่าจะดีกว่า ผมควรจะมีความสุข ไม่ต้องมาคิดเรื่องน่าปวดหัวพวกนี้อีก ทำไมยังไงดีวะ

“สอง”

ผมสะดุ้งเฮือกทันที่ได้ยินเสียงเรียกของพี่ท็อป ผมหันกลับไปมองเห็นว่าเจ้าตัวนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นนานแล้วหรือยัง เมื่อกี้ก็มัวแต่สนใจโทรศัพท์อย่างเดียว ผมถอนหายใจเดินเข้าไปหา “ครับ”ผมยืนหยุดตรงหน้าพี่ท็อป จ้องมองนิ่งๆ ผมอยากรู้ว่าใครจะเปิดปากพูดก่อนกัน พี่ท็อปมองผมนิ่งๆอยู่นาน

“...สงสัยเรื่องอะไรล่ะ...ถามกูมาสิ กูจะได้ตอบให้”พี่ท็อปเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน น้ำเสียงเรียบเฉยจนผมไม่รู้ว่าพี่ท็อปโกรธหรือเปล่า ผมถอนหายใจไหวไหล่เหมือนไม่แคร์

“ไม่หรอกพี่ ตอนนี้ผมไม่อยากรู้อะไรแล้ว”ผมพูดตามตรง อันที่จริงขอผมเป็นคนตาบอด หูหนวกไปเลยน่าจะดีกว่า

“พี่รู้ว่าสองยังคงระแวงพี่อยู่ พี่ก็โกรธหรอก แต่ถ้าสงสัยข้องใจอะไรก็ควรถาม ...อย่าทำแบบนี้”พี่ท็อปมองหน้าผม น้ำเสียงที่ใช้อ่อนลงมาก สรรพนามก็เปลี่ยนมาสุภาพอีกแล้ว ใบหน้านั้นหมองลง พี่ท็อปลุกขึ้นยืนเดินไปหยิบโทรศัพท์มาเปิดดู

“รู้จักพี่ตั้มด้วยเหรอ”ในที่สุดผมก็ถามออกไป เรื่องนี้ผมคาใจที่สุดแล้ว “ก็เหมือนที่มึงรู้จักไอ้ตั้มไงวะ กูแค่ใช้ให้มันหาข่าวให้เฉยๆ  ก็เรื่องไอ้แกน ไอ้ยิมแล้วก็เรื่อง....ของมึงด้วย”พี่ท็อปพูดเสียงเบา ผมขมวดคิ้วแน่น

 “งั้นเหรอ หมายความว่าพี่ให้พี่ตั้มสืบเรื่องของผมหรอครับ...เรื่องของผม”ผมเน้นย้ำอีกครั้ง หมายความว่าพี่ท็อปจะรู้ลึกถึงแค่ไหนกัน...เรื่องของมินท์ด้วยหรือเปล่า แล้วทำไมเมื่อคืนก่อนต้องทำเหมือนไม่รู้เรื่องในอดีตของผมด้วย

 “อืม ขอโทษนะ ที่ทำเหมือนไม่รู้อะไร แต่จะให้ทำยังไงวะ จะให้บอกมึงว่ากูรู้เรื่องของมึงแล้วงั้นเหรอ”พี่ท็อปถอนหายใจ เดินเข้ามาใกล้ผม ผมไม่เคยเห็นพี่ท็อปมีท่าทางกังวลแบบนี้มาก่อน คงกลัวผมเข้าใจผิด

“เหมือนผมโดนหลอกกลายๆยังไงก็ไม่รู้ว่ะพี่...แต่เอาเถอะ ผมไม่คิดมากหรอก....แต่ผมแค่...บางครั้งนะพี่ ผมแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพี่...”ผมมองหน้าพี่ท็อป ผมอาจจะไม่พอใจที่พี่ท็อปทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวเรื่องของผม ถามผมเหมือนอยากรู้เสียเต็มประดา แต่ที่จริงแล้วเขาก็รู้อยู่เต็มอกแท้ๆ

“...อยากรู้เรื่องของกูไหมล่ะสอง กูบอกมึงได้นะ”พี่ท็อปพูดด้วยสีหน้าแววตาจริงจัง ผมชั่งใจ...ผมอยากรู้เรื่องอะไรของพี่ท็อปนะ

“ผมขอถามคำถามเดียว....พี่มีอะไรปิดบังผมหรือเปล่าครับ”ผมถามออกไป... พี่ท็อปนิ่ง ม่คิดว่าผมจะถามออกมาแบบนี้ ผมรอฟังคำตอบอย่างจดจ่อ

“...มี...”

“บอกได้ไหมล่ะครับ”

“...ได้...มึงจะได้เลิกระแวงกูเสียทีไง...ไม่ใช่ว่ากูไม่รู้สึกอะไรที่เห็นว่ามึงไม่ไว้ใจ...กูก็เสียใจนะเว้ย...”พี่ท็อปถอนหายใจ ผมก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้หรอก... เสียบรรยากาศหมดเลย

“ขอโทษนะพี่ที่ผมยุ่งกับโทรศัพท์ของพี่”ผมรีบพูดเพื่อกู้สถานการณ์ พี่ท็อปยิ้มบางๆส่ายหน้า

“ไม่หรอก อย่าขอโทษเลยว่ะ....แปบนึงนะ”พี่ท็อปบอกแล้วเดินไปเปิดลิ้นชักด้านล่างสุดตรงโต๊ะเขียนหนังสือข้างๆโต๊ะคอมฯ ผมเห็นว่าพี่ท็อปถือกล่องสี่ไม้เหลี่ยมออกมา แล้วยื่นให้ผม

“อะไรครับ”

“เปิดดู”พี่ท็อปยื่นให้ผม ผมรับมาถือไว้ น้ำหนักของกล่องไม้เบา ไม่หนักมาก คาดว่าน่าจะเป็นรูปอยู่ในนั้น ผมมองพี่ท็อปก่อนจะเปิดฝากล่องออก ผมมองรูปถ่ายที่อยู่ที่อยู่ในกล่องด้วยความตกใจ แปลกใจ งุนงง

“มิ้นท์ ทำไมพี่ถึงได้....”ผมชะงักไป ก่อนจะนึกถึงคำพูดของพี่ท็อปว่ามีเรื่องกับเฮียแกนเพราะน้องสาวเฮียแกน หมายความว่า...

“...มิ้นท์ น้องสาวไอ้แกน แฟนเก่ากูเอง”ผมนิ่งงัน คิดอะไรไม่ออก มองรูปถ่ายยิ้มแย้มของมิ้นท์ที่อยู่ในชุดนักเรียนเก่าโรงเรียนที่ผมเคยอยู่... น่าตกใจกว่าคือ มิ้นท์เป็นน้องสาวของเฮียแกน นี่สินะ เหตุผลที่เฮียเกลียดขี้หน้าผม

ภาพซ้อนทับขึ้นมาเป็นฉากๆ เรื่องที่เฮียแกนคอยเตือนผม ที่แท้ก็หาแนวร่วมอย่างไอ้ยิม เพื่อจัดการกับผมงั้นเหรอ ผมพอจะรู้ว่าทำไมเฮียแกนถึงได้โกรธแค้นผมนัก....เหมือนๆที่ยิมมันโกรธผมแต่คงน้อยกว่าเฮียหลายเท่า....แล้วยังไงล่ะ ผมต้องชดใช้ให้พวกนี้ยังไงกัน?

ส่วนพี่ท็อป “แฟนเก่า....พี่...คบกับมิ้นท์ตอนไหน”ขณะที่ถามออกไป ผมหวั่นใจ ถึงแม้ว่าผมจะรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว...พี่ท็อปถอนหายใจเฮือกใหญ่

“....กูก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมายหรอกเรื่องของมิ้นท์น่ะ...สมัยนั้นกูอยู่ม.6 คนละโรงเรียน คนละจังหวัดกับมิ้นท์เลย แต่ที่เจอกันได้ก็เพราะงานกีฬาของเขตไง ตอนนั้นกูยังชอบผู้หญิงอยู่บ้าง ก็แค่คุยกันถูกคอ...ก็เลยขอคบ...ตอนนั้นมิ้นท์ก็ไม่มีแฟน...เค้าบอกกูว่างั้นนะ”

ก็ถูก มิ้นท์ไม่ได้มีแฟนนี่ กับผม....ผมไม่ยอมคบกับมิ้นท์ “งั้นเหรอ...แล้วพี่...ก็รู้สิว่า เกิดเรื่องกับมิ้นท์ ที่ผม...”ผมอึกอัก มองหน้าพี่ท็อปที่มีสีหน้าแปลกประหลาด

“อืม...ก็พอได้ยินข่าว”ผมเหมือนหมดแรงยืน รู้สึกปวดหัวขึ้นมาจี๊ดๆ ผมไม่ได้มองพี่ท็อป.... “เรื่องเฮียแกนล่ะ ทำไมเขาถึงเอาเรื่องพี่ล่ะ”

“...กูเคยทำผิดพลาดเหมือนกัน...อันที่จริงก่อนเกิดเรื่องของมึงน่ะ...กูก็เคยนอนกับมินท์มาก่อน”พี่ท็อปเงียบไป ที่จริงแล้วมิ้นท์โกหกผมว่ายังซิงอยู่น่ะสิ ผ่านพี่ท็อปมาก่อนอีก เฮ้อ...เรื่องอะไรวะ

“แล้วไง มันก็เลยโกรธพี่มาเป็นปีเนี่ยนะ”

“มันก็ส่วนนึง แต่กับไอ้แกน กูก็เหม็นขี้หน้ากันมานานแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องของมิ้นท์ กูก็ไม่ถูกกับมันอยู่ดี”

“อืม หมายความว่าพี่ฟันแล้วทิ้งใช่ไหม”ผมถามออกไป

“ประมาณนั้นแหละ”พี่ท็อปยิ้มเยาะให้ตัวเอง “ ทีนี้มึงเข้าใจหรือยังว่าเพราะอะไรกูถึงขึ้นชกในวันนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าต้องแพ้”พี่ท็อปเดินมาหาผม จับไหล่ทั้งสองข้าง สบตาผมเงียบๆ พยักหน้าเข้าใจ ใช่ ทุกอย่างแจ่มแจ้งหมดแล้ว

ถ้าเป็นลูกผู้ชายพอก็ควรยืดอกยอมรับคำท้าของเฮียแกนเพื่อไถ่โทษเรื่องน้องสาวสินะ “ที่ผมไปขัดวันนั้น....”ผมมันจอมสะเหล่อ ทำเสียเรื่องหมด

“ช่างเถอะ...กูกับมันยังมีเวลาเหลือเฟือ แต่ตอนนี้ กูแค่อยากให้มึงรู้ว่ากูได้มีเจตนาร้ายกับมึง...กูได้ไม่โกหกเวลาที่กูบอกว่าชอบมึง”อีกฝ่ายพูดเสียงหนักแน่น ผมพยักหน้า จิตใจอันหนักอึ้งผ่อนคลายลงมาบ้าง พี่ท็อปดึงผมเข้าไปกอดแน่นๆ

“...ผมไม่น่าทำเรื่องให้แย่ลงแบบนี้เลย”ผมยิ้มก่อนจะซบหน้าลงไปไหล่พี่ท็อปแล้วกอดโอบเจ้าตัวแน่นๆ ความสัมพันธ์กับพี่ท็อปจะไปได้ดีไหมนะ....ทั้งๆที่ผมกับพี่ท็อปก็ผ่านเรื่องแย่ๆที่ตัวเองทำผิดมา

“อืม กูรู้ ...แต่เรื่องเก่าๆก็ปล่อยให้เวลามันสะสางกันเอาเอง...ถึงเวลานั้นมึงก็ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเอง...มึงเข้าใจไหมวะสอง”พี่ท็อปบอกก่อนจะผละออกจากผม ก็ดี ผมจะได้ไม่หนีไปไหนเสียที ให้มันสิ้นๆเรื่องไปเลย กับเรื่องของเฮียแกน....ยิมและโย...

“ครับ ผมเข้าใจดี”ผมตอบ


งานนี้ผมก็ยังคงต้องเสี่ยงอยู่ดี เสี่ยงเอาหัวใจผมไปแลกรักของพี่ท็อป

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 13-07-2015 06:36:15
 :pig4:    กำลังคิดถึงท็อปสองอยู่พอดีเลยค่ะ.  อ่อ. แบบนี้นี่เอง
 ดีแล้วที่เคลียร์กันบนเตียง. 555 เวลาหวานๆมัวระแวงกันอยู่นี่มันแย่จริงน้อ
พี่ท็อปน่ารักอะ. สองก็คล้อยตามตลอดจะไม่เทใจยังไงไหวก็รักเขาไปนานแล้ว
ต่อไปก็รอเคลียร์เรื่องพวกนั้นไปพร้อมๆกันเนอะ #น้องสองเมียรัก

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 13-07-2015 11:50:50
น้องสองเมียพี่ท๊อปปปป แน่นอนแล้วสินะ!!!
คงไม่เปลี่ยนตำแหน่งอีกแล้วววเนอะ รึเปล่าา?
แต่ถ้าเปลี่ยนกันรับเปลี่ยนกันรุก เค้าก็โอน๊า 55
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 13-07-2015 11:57:51
อ่าา มิ้นนีน้องเฮียแกนนจิงด้วยอ่ะ ความลับเปิดเผยซะแล้ววว 555 ที่ี้สองก็โล่งใจได้แล้วววช่ะ? หรือยังไง
แต่เค้าว่ามันดูง่ายไปไหม เหมือนอิพี่ท๊อปยังมีไรปิดบังสองอยุ่อีกไงไม่รุ้ จิงง
คงไม่ใช่ว่าจะหลอกให้สองรักมากก แล้วทิ้งเพื่อแก้แค้นแทนมิ้นหรอกนะ เอะ หรือว่าเค้าจะคิดมากกกไป 555
ยังไงรอติดตามตอนต่อไปอยุ่นะ  o18
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 13-07-2015 12:04:28
สองยอมรับสถานะ"เมียพี่ท๊อป"แล้วใช่มั้ยยยย  :ling1:

55555

มิ้นเป็นน้องสาวเฮียแกนจิงๆๆ เฮ้ออ เรื่องมันชักวุ่ยวายยย ความจิงเปิดเผยแล้ว
แต่เค้ายังสงสัยว่ามันต้องมีไรมากกว่านั้นอีกแน่ 555 เหมือนอิพี่ท๊อปจะบอกไม่สุดดด
แล้วววไหนจะเรื่องอิน้องโยนั้นอีกกก

ปล.ยังแอบหวังว่าสองจะกลับลำหันมากดพี่ทท๊อปเป้นเมียอยู่น๊าา  55
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 13-07-2015 12:31:01
ก็ยังอยู่กะบความหวดระแวงหน่อยๆต่อไป คดีมันต้องมีพลิกบ้างแหละนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 13-07-2015 13:14:14
เปลี่ยนกันรุกเปลี่ยนกันรับไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าเปลี่ยนสามีให้สองเป็นพอ
ชอบพี่ท้อปอ่ะ :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: nuttzier ที่ 13-07-2015 21:15:29
เรื่องจะเป็นไงต่อไปหว่า ....????   เดาม่ายถูก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 13-07-2015 23:01:52
เหมือนยังไม่เคลียร์ ยังค้างๆคาๆอยู่เลย

ไม่สนิทใจกันทั้งคู่ซะที  เฮ้อออออ

แต่เราก็เชียร์น้าาา อย่าาเปลี่ยนคู่น้าาา
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 13-07-2015 23:06:30
โอเค...จะพยายามเลิกสงสัยพี่ท็อปนะคะ 5555555555555
เฮียแกนกับพี่ยิมแกก็ไม่ผิดจริงๆนั่นแหละ...
มีแต่พวกเอ็งสองคนไปทำกับน้องสาวเขาก่อนทั้งนั้น พวกเลว 555555555555555555
แต่ก็หวังว่าจะเคลียร์เรื่องในอดีตได้หมดซักทีน้า...
แล้วก็พี่ท็อปไม่มีอะไรแอบแฝงแล้วใช่มั้ย 55555555555555
ปล.สองจะยอมเสียเอกราชให้พี่ท็อปตลอดไปเหรอ!!
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 13-07-2015 23:18:28
มิ้นเป็นน้องเฮียแกนจริง ๆ ด้วยแต่เรื่องพี่ท๊อป ดูมันเร็วไปไหม
เหมือนพี่ท๊อปเตรียมทุกอย่างเพื่อให้สองรัก และหลงในเวลาอันสั้นยังไงไม่รู้
ยังติดใจคำพูดยิมอยู่เล็ก ๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 14-07-2015 12:01:10
โห้....อดีต เคยมีเมียคนเดียวกัน ปัจจุบัน ได้กันเอง อิอิ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 14-07-2015 22:06:19
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-9 #13.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 15-07-2015 22:54:58
เรื่องมันง่ายไปนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 9 ความจริงใจจากคนตรงข้าม
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 17-07-2015 17:15:32
ตอนที่ 9 ความจริงใจจากคนตรงข้าม

ผมกับพี่ท็อปนั่งแท็กซี่กลับหอพักตอนเที่ยง หลังจากที่ทานมื้อเที่ยงและล่ำลาแม่พี่ท็อปเป็นที่เรียบร้อย ผมเข้ามาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปคณะตอนบ่ายโมงเพราะมีเรียนปั้นทั้งบ่ายเลย ส่วนพี่ท็อปคาดว่าน่าจะกลับมานอนต่อที่ห้อง ผมหยิบกระเป๋าสะพายกับถุงดำ ผ้ากันเปื้อน และตะกร้าไปด้วย วันนี้ต้องไปนวดดินอีก เมื่อเดินลงมาถึงที่โรงจอดรถเจอไอ้ยิมนั่งคุยโทรศัพท์บนรถพอดี

“...แฟนไม่ไปส่งที่คณะหรือไง”ยิมเอ่ยทักส่งยิ้มกวนๆมาให้ วันนี้มันไม่ได้ใส่แว่น จะว่าไปอีกฝ่ายตัดผมใหม่ ดูสั้นขึ้น และหน้าตาดูเด็กลงเยอะเลย

“ไม่ได้เป็นง่อยนี่หว่า ไปเองได้ครับ”ผมไม่สนใจยิม วางข้าวของสัมภาระลงก่อนจะหยิบหมวกกันน็อคมาสวม ยิมเก็บโทรศัพท์หยิบกระเป๋ามาสะพาย

“เดี๋ยวไปส่ง....”ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ยิมมันยืมแกว่งพวงกุญแจในมือไปมา ผมมองหน้าอีกฝ่ายงงๆ จะมาไม้ไหนกัน

“พูดเล่นพูดจริง”ผมขมวดคิ้วถาม ยิมแค่ไหวไหล่ทำหน้าเรียบเฉยตามแบบฉบับของมัน

“ถ้าอยากให้ไปส่ง ก็ไปให้ได้”แหม ดูต่อปากต่อคำ งั้นแสดงว่าผมต้องอยากให้มันไปส่งแล้วล่ะ กะว่าจะตะล่อมถามมันเรื่องเมื่อวานซะหน่อย ที่มันทำท่าทางและพูดจาแปลกๆกับผม

“...อืม...ถ้าฟรีไม่เสียค่าวิน ก็ไปอยู่แล้ว ไม่เกี่ยงหรอก”ผมหยิบข้าวของมาถือไว้เหลือบมองหน้ายิมที่มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาน้อยๆ มันถอยรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองออกมาก่อนจะสตาร์ทเครื่อง

“รีบไหม”อีกฝ่ายถาม ขณะที่ซ้อนท้ายมันแล้ว  ผมสงสัย ยิมมันจะถามทำไมนะ มาแปลกมากวันนี้ “ทำไมครับ พี่จะเลี้ยงข้าวเหรอ ผมกินมาแล้ว”ผมถาม ยิมไม่ตอบอะไรแค่ออกรถไปช้าๆ “ว่าไง พี่ถามทำไม”ผมต้องถามซ้ำอีกครั้ง เป็นคนที่น่าหงุดหงิดจริงๆ ผมล่ะไม่ชอบเวลาถามแล้วไม่ตอบ กวนประสาท

“ก็จะได้แวะกินกาแฟก่อนไง”ยิมหันมาพูด ก่อนจะขี่รถไปจอดที่ร้านกาแฟข้างๆประตู5ของมหา’ลัย ผมถอดหมวกกันน็อคออกแล้ววางของบนเบาะรถก่อนจะเดินตามหลังยิมไป เพราะข้างนอกอากาศร้อน ร้านหรูเสียด้วยมีแววว่าจะได้กินของฟรีอีกแล้วสิเรา

“กินอะไรมึง”ยิมหันมาถามผม ขณะหยุดที่หน้าเคาร์เตอร์ ผมกรอกตามองป้ายเมนูอย่างใคร่ครวญ ยิมสั่งเอซเปสโซ่เข้ม ๆ หนึ่งแก้ว มันเคาะนิ้วรอผมสั่งอย่างอดทน สายตานิ่งๆของมันทำให้ผมนึกอยากจะแกล้ง แต่มองสีหน้าพนักงานแล้วก็ต้องพับความคิดเก็บไว้

 “...เอาชาเขียวกับบราวนี่ย์แล้วกันครับ”ผมสั่ง ก่อนจะเหลือบมองยิมที่เดินไปเลือกโต๊ะ เห็นเดินไปนั่งโต๊ะริมติดกระจก ไอ้ยิมอยู่ๆก็มาทำใจดีด้วย เป็นบ้าบออะไรของมันกัน ผมได้แต่คิดในใจก่อจะตามมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับมัน

“...คิดยังไงมาทำดีด้วยครับเนี่ย เป็นบ้า ผีเข้าผีออกหรือไง”ผมเปิดปากพูดก่อน ยิมแค่หัวเราะเบาๆแล้วเอนหลังกอดอกมองผมแทน มันอมยิ้มท่าทางกวนประสาท

“...ทำไมวะ มึงก็ไม่ได้ปฏิเสธความดีของกูนี่”ยิมพูด ท่าทางของเจ้าตัวดูเอื่อยๆเรื่อยๆดูสบายอารมณ์ หรือว่ามันสนุกที่ได้แกล้งปั่นประสาทผมแบบนี้ ผมมองหน้าอีกฝ่ายเขม็ง

“ของฟรี ผมชอบครับ”

“...ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆหรอก”ยิมโน้มตัวมาข้างหน้า ยื่นหน้ามาใกล้กับผม สายตาอีกฝ่ายดูเจ้าเล่ห์พิกล หรือว่าผมตาฟาดไป ยิมแย้มยิ้มช้า ๆ แล้วหัวเราออกมาเหมือนสนุกสนานทำให้ผมหงุดหงิด

“หมายความว่าไงเนี่ย”ผมทำเสียงไม่พอใจ

“ก็แค่พูดให้มึงคิด... ดูสิ แค่นี้มึงยังหลวมตัวตามกูมาต้อยๆ หลอกง่ายนะมึง”ยิมหัวเราะ ผมนิ่งอึ้ง อีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่ ผมเริ่มเครียดขึ้นมาจ้องหน้ายิมนิ่งๆข่มอารมณ์หงุดหงิดไว้ ระหว่างนั้นพนักงานก็มาเสิร์ฟออเดอร์ที่โต๊ะ ยิมเปิดกระเป๋าเงินจ่ายค่าชาเขียวกับบราวนี่ย์ของผม ผมเลิกสนใจมัน แล้วหันมาตักบราวนี่ย์เข้าปาก รู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ ของฟรีก็แบบนี้แหละ

“...ชอบกินเหรอไง”อีกฝ่ายยื่นหน้ามาถาม มันมองผมทุกอาริยาบถ ทำเอากระเดือกไม่ลง ผมเลยก้มหน้าก้มตากิน

“อืม”ผมรับคำเงียบๆ “หึ... นึกว่าชอบกินอะไรที่มันง่ายๆถูกๆดาดๆซะอีก”เจ้าตัวยิ้มเยาะ กอดอกมองผมนิ่ง ผมวางช้อนลง

“....พี่มีอะไรจะพูด ก็พูดออกมาตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม”ผมกระชากเสียงใส่ เตรียมลุกออกจากโต๊ะแต่ยิมมันเข้ามาจับแขนผมไว้แน่น ทำตาแข็งๆใส่ผมอีก

“...อย่าเพิ่งไปสิ”ยิมรีบพูด ก่อนจะขยับเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ ผมแทน ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ

“พี่อย่ามากวนประสาทผม มีอะไรก็พูดมาตรงๆเถอะ”ผมได้ยินอีกฝ่ายถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะหันมามองหน้าผมยิ้มๆ อะไรของมันกัน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ผมเดาอารมณ์ยิมไม่ถูกจริงๆ

“...เปล่า...กูก็พูดไปแบบนั้นเองนั่นแหละ...”อีกฝ่ายพูดเบาๆ มันเม้มปากแน่น คิ้วขมวดมุ่น ทำท่าเหมือนมีอะไรอยากจะพูดแต่ยังปิดปากเงียบ

"เอ้า พี่นี่..."ผมยังคงจ้องยิมไม่หลบสายตา แต่เป็นเจ้าตัวซะอีกที่เสมองไปทางอื่น

"ก็แค่ อยากชวนมาด้วยเฉยๆ"อีกฝ่ายหันมาพูดน้ำเสียงนิ่งๆ คำพูดของเจ้าตัวทำเอาผมอึกอัก ดูจากสีหน้าท่าทางของยิมแล้วคงพูดจริง...ผมเงียบไป ก่อนจะหัวเราะออกมา

"ฮั่นแน่ๆ แอบคิดซัมติงอะไรกับผมหรือเปล่าครับ"ผมหันไปล้อเลียนคนข้างตัว ยิมส่ายศีรษะ ทำหน้าเหมือนจะหลุดขำ

"ถุย เข้าข้างตัวเองฉิบ"จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบแก้วเอซเปสโซ่ของตัวเองมาดื่ม

“ก็เห็นๆอยู่ ลากเค้าไปนู่นทีไปนั่นที แอบชอบผมเหรอครับพี่ยิม ผมมีแฟนแล้วนะ จีบไม่ติดหรอก”ผมแกล้งพูดไปแบบนั้น ยิมแทบสำลักใส่หน้าผม อีกฝ่ายวางแก้วลงเสียงดังก่อนจะตบหัวผมซะเต็มแรง ผมทำหน้าเหวอ ไม่คิดว่ายิมจะกล้าทำแบบนี้

“เพื่อนเล่นเหรอวะ”แอบเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าแดงด้วย

“อะไรครับ พูดเล่นนิดหน่อยไม่ได้หรือไง ทำเป็นเฉไฉ อันที่จริงผมพูดถูกใช่ไหมล่ะ”ผมยื่นหน้าไปมองยิม อยากรู้ว่าเจ้าตัวมีสีหน้ายังไง อีกฝ่ายเอนตัวออกแล้วผลักผมจนเก้าอี้ขยับ

“ยังอีก มึงนี่ กูใจดีด้วยหน่อย แม่งเอาใหญ่เลยนะ เดี๋ยวตบคว่ำ”ยิมทำตาดุ พร้อมกับทำท่าเหมือนจะตบผมจริงๆ ไม่รู้ว่าเล่นๆหรือว่าจริงจัง แต่ผมไม่กลัวแค่ส่งยิ้มไปให้

“โอเคๆ เลิกแล้วต่อกันนะ เออ เข้ามอได้แล้ว ผมมีเรียนครับ”ผมสะกิดไหล่อีกฝ่าย ยิมถอนหายใจก่อนจะลุกเดินนำหน้าไป ผมหยิบแก้วชาเขียวติดมือมาด้วย ...แปลกแฮะ ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่เคยคุยกับเจ้าตัวมากนัก แต่ผมก็รู้สึกสนิทกับมันขึ้นมาหน่อย เลยกล้าเล่นมากขึ้น อีกอย่างยิมมันก็ไม่ได้ทำท่าโกรธผมอะไรมากมาย

นั่นล่ะ...ทำให้ผมคิดมาก ว่ายิมมันต้องการอะไรกันแน่...แต่ในเมื่อมันมีท่าทาเป็นมิตร ผมก็พร้อมจะเป็นมิตรญาติดีกับมันได้ เมื่อรถมอเตอร์ไซค์ wave สีขาวเข้ามาจอดที่หน้าตึกคณะใหญ่ ผมลงจากรถมันแล้วถือตะกร้าไว้ ถอดหมวกกันน็อคมาถือไว้อีกข้าง

"เย็นนี้ว่างไหม"ยิมถาม ผมเงยหน้าจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่เคยพบเคยเห็น เฮ้ย ยิมมันผีเข้าจริงๆว่ะ ทำไมถึงทำแต่เรื่องเหนือความคาดหมายแบบนี้นะ

"ไม่รู้สิ ต้องดูก่อน คนมีแฟนก็แบบนี้แหละ คิวเต็ม"ผมหัวเราะบอกอีกฝ่ายไปอย่างนั้น ไม่รู้ว่าพี่ท็อปจะชวนไปไหนหรือเปล่า ไม่แน่พี่ท็อปอาจจะไปทำงานกับกลุ่มพี่ธามก็ได้ ยิมเบ้หน้าก่อนจะไหวไหล่เหมือนไม่สนใจ

"เออ งั้นกูอยู่หอสมุดนะ"อีกฝ่ายบอกแล้วมองหน้าผมอยู่นาน ผมชะงักกึก หมายความว่าจะอยู่รอรับเหรอไง อืม น่าคิดนะเนี่ย ช่างกลายเป็นจิตใจดีมีเมตตาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

"...บอกทำไม"ผมแกล้งกวนประสาทยิมเล่น ๆ

ยิมด่าผม ชูนิ้วกลางให้ ก่อนจะขับมอเตอร์ไซด์ไปตามเส้นทางไปยังหอสมุด ผมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าเล่นอะไรแบบนี้ ตั้งแต่ในร้านกาแฟเหมือนกัน ผมหัวเราะไล่หลัง ก่อนจะเดินถือข้าวของไปยังห้องปั้นที่อยู่ในตึกของสาขาประติมากรรมฯ ไม่เชิงเป็นห้องเพราะอยู่ชั้นล่างใต้ถุนอาคาร มีบอร์ดใหญ่กั้นเป็นฉากบังตา ผมเดินมาจนถึงโต๊ะยามเอ่ยทักทายนิดหน่อย
แล้วเดินอ้อมไปหลังบอร์ด เผยให้เห็นเพจปั้นไม้ที่วางเรียงตามจำนวนนิสิต ที่ด้านข้างมีโต๊ะเก้าอี้ยาวติดผนังมีเหล่าชาวศิลป์เพื่อนร่วมชั้นนั่งอยู่สามสี่คน

"ไงมึง นึกว่าตายห่าไปแล้ว"ไอ้ผิงหัวเราะโบกมือทักทาย ไอ้โก๋มองหน้าผมแล้วยิ้มกว้าง ผมวางของที่เพจปั้นของตนเอง วันนี้มีเรียนทั้งบ่ายเลย

“เออ กูตายยากเว้ย”ผมเดินไปสบทบกับพวกมัน ไอ้โก๋หัวเราะ “ขาดมึงไป ไม่มีใครหารค่าเหล้าเลยว่ะ”ไอ้โก๋พูด พวกนั้นก็ส่ายหน้า

“เฮ้อ กลายเป็นคนติดแฟนไปแล้ว เพื่อนกู”ไอ้ผิงทำหน้าเซ็งๆ แต่ผมแค่เงียบไม่อยากพูดอะไรมาก หลังจากที่อาจารย์มาก็เริ่มสอนงานให้ และให้แบ่งดินกันให้พอ ผมได้มาครึ่งถุงดำ ผมใส่ผ้ากันเปื้อนไว้แล้วมานั่งนวดดิน ก็ใช้เวลาไปเกือบๆยี่สิบนาที ก่อนจะลงมือปั้นดินขึ้นบล็อกสี่เหลี่ยมที่กระดานปั้น อย่างน้อยวันนี้ต้องทำนูนสูงให้เสร็จ  ผมใช้เวลาเกือบเต็มวันกว่าที่งานจะออกมาถูกสัดส่วน อาจารย์ก็มาตรวจงานแถวผมทันที ได้เกรดเป็นที่พอใจ ผมเก็บข้าวของเดินไปล้างมือให้สะอาดแล้วเดินไปนั่งเล่นที่โต๊ะหินอ่อนหลังคณะใกล้กับพุ่มไม้เก็บซากของเหลือใช้ ตั้งแต่สนิทกับพี่ท็อปจนกระทั่งคบเป็นแฟน ผมสูบบุหรี่น้อยลง บางวันก็แทบไม่ได้แตะเลย

“เป็นอะไรวะ ทำหน้าเซ็ง”ไอ้ผิงที่คงตรวจงานเสร็จแล้วเดินมาตบไหล่ผมแล้วนั่งลงข้างๆ

“เปล่า”ผมบอกเสียงเนือยๆ

“แบบนี้แหละ มีแฟนเป็นเด็กวิดวะ ต้องทำใจมีเวลาให้น้อย”ไอ้ผิงบอก ผมถอนหายใจ จริงๆก็ไม่ได้เซ็งเรื่องที่พี่ท็อปไม่ว่าง แต่อารมณ์ตอนนี้ผมรู้สึกเบื่อ เซ็งมากกว่า ไม่รู้ว่าเบื่ออะไร 

“เออ”ผมรับคำมันสั้นๆ ไอ้ผิงมองหน้าผมแบบจับผิด

“ทำไมมึงเป็นเอามากขนาดนี้วะเพื่อน”ไอ้ผิงส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ ผมเหลือบมองหน้ามัน มันคงคิดว่าผมเซ็งพี่ท็อปมั้ง ถึงผมบอกความจริงไปมันก็คงไม่เชื่อ

“เออ กูรักของกู”ผมแกล้งพูดแล้วหัวเราะไปด้วย

“วิ้ว รัก ด้วยว่ะ มึงนี่หนักนะ เขี้ยวเล็บมึงกุดไปหมดแล้ว”ไอเผิงขำ มองผมด้วยสายตาไม่อย่างเชื่อ “ระวังเหอะ โดนทิ้งแล้วจะหนาว”มันพูดต่อด้วยประโยคที่น่าตบปากเป็นอย่างมาก

“ไม่ทิ้งเว้ย”ผมผลักหน้ามันไปไกลๆ ปากหมาอีก เพิ่งคบกันได้ไม่กี่วันเองจะให้เลิก แม่งเสียเซลฟ์หมด  “เออ แล้วนี่เย็นนี้ไปด้วยกันเปล่า”มันเปลี่ยนเรื่องคุย

“ไปไหน”ผมถาม “แดกเหล้า”ไม่พ้นเรื่องนี้จริงๆเลยนะพวกมึง ไปกันได้ทุกวันมันไม่เบื่อบ้างหรือไงกัน

“วันยังค่ำนะพวกมึง”ผมส่ายหน้าระอากับพวกเพื่อนๆผม “โห พ่อคนดี”ไอ้ผิงทำเสียงประชด

“เออ กำลังกลับตัวอยู่เนี่ย”ผมยิ้มมุมปาก แล้วถอนหายใจ ไอ้ผิงมันคงคิดว่าเป็นมุกแต่ผมเอาจริงนะ ทำตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิม มันก็ไม่เสียหายตายชักอะไร ผมมองไอ้ผิงอย่างชั่งใจ ผมสนิทกับมันที่สุด เป็นเพื่อนกันมานานตั้งแต่ประถม เรื่องของมิ้นท์กับเฮียแกนยังรบกวนจิตใจผมทุกวัน อย่างน้อยๆผมต้องฉุกคิดเรื่องสองคนนี้สักนาทีหรือนานกว่านั้น

“มึงรู้ไหม มิ้นท์เป็นน้องเฮียแกน...”ผมเอ่ยเบาๆทำลายความเงียบ ไอ้ผิงได้ยินดังนั้นรีบผุดลุกคอตั้งมองหน้าผมด้วยความตกใจ

“ว่าไงนะมึง”ไอ้ผิงตาเหลือก มันตบหน้าผากตัวเองดังแปะแล้วนิ่งอึ้งไปสักพัก “เออ ตามที่ได้ยินนั่นแหละ”

“เวรแล้วมึง ไม่น่าเชื่อเลย มิ้นท์เนี่ยนะ...”ไอ้ผิงครางเบาๆ มันมองหน้าผมด้วยความกังวล ผมเล่าเรื่องทะเบียนบ้านของเฮียแกน มิ้นท์เป็นน้องสาวต่างแม่ และกำลังรวมมือกับไอ้ยิมเพื่อจัดการกับผมอีกต่อ เรียกได้ว่าถ้าพวกนี้เอาเรื่องผมจริงๆล่ะก็..ผมไม่รอดแน่ๆ

“กูควรทำไงดีวะ”

“...ไปคุยกับเฮียไหม”ไอ้ผิงบอก แบบนี้เท่ากับผมยื่นคอไปให้มันสับน่ะสิ ไม่มีทางหรอก เฮียแกนมันไม่ต้องการเจรจาหรอก

“บ้าเหรอวะ”

“อ้าว แล้วมึงจะทำยังไง”ไอ้ผิงถอนหายใจ มันเครียดตามผม ผมส่งยิ้มบางๆให้มัน “กูก็…แค่รอเวลาเท่านั้นแหละ”ผมบอกสั้นๆ ไอ้ผิงเม้มปากมันตบไหล่ผมอย่างเข้าใจ “เออ...กูเข้าใจ” แต่ผมแค่คิดขึ้นมาวูบนึงว่าผมจะติดต่อมิ้นท์ อีกฝ่าย อยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ เป็นยังไงบ้าง มาตอนนี้ ผมนึกถึงคำของไอ้ยิม...รอยแผลที่ผมสร้างไว้กับมิ้นท์ มันหนักหนาแค่ไหนกันนะ ผมลูบหน้าซบลงกับฝ่ามือ...ทำไมผมต้องเจออะไรแบบนี้ด้วยวะ มาแค้นผมอะไรตอนนี้ว่ะเฮีย ทำไมไม่จัดการผมไปตั้งแต่แรก ตั้งแต่ที่ผมเข้าเรียนปี1 เลยล่ะ




ผมนั่งอึนจมกับความคิดของตัวเองจนเป็นที่พอใจแล้วผมก็ลุกไปเก็บงานออก เพราะคาบหน้าต้องเปลี่ยนแบบอีกแล้ว พอได้เวลาเลิกเรียน 17:00 น. ผมก็เห็นเบอร์แปลกโทรเข้ามา ผมขมวดคิ้ว ในใจสงสัยอาจเป็นเบอร์ศัตรู...แต่คิดไปคิดมาคงไม่ใช่หรอกมั้ง

"สวัสดี"ผมกดรับ

[นี่กูเอง...ยิม...เย็นนี้ว่างไหม] ผมแปลกใจ อีกฝ่ายมีเบอร์ผมได้ยังไง แล้วมันจะมาไม้ไหนเนี่ย

“เออ ว่างแล้ว"ผมคว้ากระเป๋ามาสะพายแล้วเดินไปนั่งที่ระเบียงใต้ตึกภาควิชาของผม

[เออ ทำไมวะ ไอ้ท็อปไปไหน] ยิมถามน้ำเสียงเหมือนดีใจ อยากตอบมันว่าเสือก แต่ก็ไม่ดีกว่า รักษามารยาทหน่อย

"เคลียร์งานอยู่…แล้วพี่ถามทำไมเนี่ย"

[อ๋อ กลุ่มพวกมันลงเรียนคนละตัวกับกู เย็นนี้ไปเป็นเพื่อนกูหน่อย] เสียงนิ่งๆของอีกฝ่ายตามเดิม ผมย่นหน้าอีกครั้ง เฮ้ย ยิมมันบ้าไปแล้วแน่ๆ

"มาไม้ไหนเนี่ย ผมเดาอารมณ์พี่ไม่ถูกเลยว่ะ"ผมทำเป็นหัวเราะ

[เออ เดี๋ยวไปรับ แค่นี้]

“เฮ้ย! เดี๋ยว!”ผมเห็นว่ายิมตัดสายไปแล้ว อะไรกันยังพูดไม่จบเลย แล้วผมบอกตอนไหนว่าจะไปกับอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้น ผมจำใจนั่งรอยิม ผ่านไปไม่นานเห็นรถมอเตอร์ไซด์ของยิมมาจอดอยู่ด้านหน้า อีกฝ่ายเปิดหมวกกันน็อคแล้วกวักมือเรียก ผมถอนหายใจเดินไปหาก่อนจะเอ่ยปากถามทันที

“ตกลงพี่จะเอายังไงกับผมกันแน่”ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

"...อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ ไปเพื่อนกูซื้อของก่อน"ไอ้ยิมพูดอย่างใจเย็น มันจ้องหน้าผมนิ่งๆ "เหอะ"

"แล้วกูจะบอกมึงทุกอย่าง”ยิมตอบเสียงเบาๆ ทำหน้าเหมือนเหนื่อยล้าส่งยิ้มจืดๆมาให้ผม เจ้าตัวทำท่าโบกมือให้ผมไปซ้อนท้ายได้แล้ว ผมเม้มปากถอนหายใจก่อนจะเดินไปซ้อนเบาะหลัง

“ถ้าพูดไม่เคลียร์ ผมต่อยพี่แน่”ผมขู่ ยิมแค่เหลือบมามองก่อนจะหัวเราะ เจ้าตัวพาผมไปยังถนนเส้นหลังมหา’ลัย ก่อนจะข้ามสะพานคลองชลฯไปยังตลาดเย็นในหมู่บ้าน อีกฝ่ายจะมาซื้ออะไรกินหรือไงกัน

“กูว่าจะทำสุกี้เลี้ยงมึง”ยิมพูดหลังจากที่จอดรถแล้ว ผมมองหน้าอีกฝ่ายงงๆ

“เนื่องในโอกาสอะไรครับ พี่ไม่ชอบผมไม่ใช่เหรอ แล้วดูทำสิ...หวังผลอะไรล่ะสิ ของฟรีไม่มีในโลกนี่หว่า”ผมจ้องหน้ามันอย่างเอาเป็นเอาตาย ยิมส่ายหน้ายิ้มๆมาให้

“...ใช่ ของฟรีไม่มีในโลก ยกเว้นตอนนี้กับกูไง มันอยู่ที่เจตนาต่างหาก... มึงหุบปากแล้วตามมาเถอะ ถ้ายังอยากจะรู้เรื่องที่มึงสงสัยอยู่”ยิมทำหน้าตาย เดินนำผมไป

“ไอ้เชี่ยนี่”ผมไม่รู้สรรหาถ้อยคำใดมาให้มันเลย เอาเถอะ อย่างน้อยๆก็ไม่เสียเวลาไปเปล่า ๆ  ผมเดินตามหลังอีกฝ่ายไป ตลาดเย็นคือชาวบ้านแถวมอนำอาหาร ข้าวของมาขายบริเวณสองข้างถนน เป็นซอยเล็ก ๆ ไม่กว้างเท่าไหร่ เดินซื้อของทีก็ต้องระวัง เพราะมีรถสวนไปมา ส่วนใหญ่ก็เหมือนตลาดชุมชนทั่วไป

“กินผักได้ใช่ไหม”ยิมถาม ขณะที่หยุดอยู่หน้าร้านผักสด ผมพยักหน้าส่งเสียงอืมเบาๆ สายตามองพวงกุญแจไม้แกะสลักเป็นรูปต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นชื่อ ไอ้ยิมมองตามสายตาผมไป “แปบนะ”ผมบอกมัน ไอ้พยักหน้าเงียบๆ ผมเดินไปเลือกพวงกุญแจ

“ลุงครับ ผมขอซื้ออันที่ยังไม่ได้แกะได้ไหมครับ พอดีผมอยากแกะเองน่ะ ฮ่าๆ”ผมบอกคนขาย แกก็ใจดีเอาเนื้อไม้รูปทรงต่างๆมาให้ผมเลือก ผมว่าจะเอาไปแกะเป็นชื่อเอง

“เลือกเอาเลยพ่อหนุ่ม แกะเป็นด้วยเรอะ แกะมือหรือว่าเลเซอร์”ลุงแกถาม

“แกะเองเลยครับ ผมไม่มีเครื่องเลเซอร์ งานแฮนด์เมคก็ต้องใช้มือตัวเองทำแหละลุง ยิ่งเดี๋ยวนี้ฮิตไปใช้ยิงเลเซอร์กันหมดแล้วอ่ะลุง”ผมชวนลุงคุยไปด้วย แกก็เออออเห็นด้วย ของแกแกะสลักมือนี่แหละ เหมือนเป็นงานอดิเรก แถมยังทำขายส่งด้วย ผมเลือกเนื้อไม้สีเหลี่ยมลบมุมมาสองอันกับพวงกุญแจไม้แกะสลักรูปหมาร็อตไวเรอร์กับพิตบลูอันกลมๆมาด้วย เดี๋ยวค่อยไปใส่ชื่อทีหลัง ผมจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย หันไปมองไอ้ยิมที่เดินหายไปที่ร้านเนื้อหมูอีกฝั่งถนนนึง ผมข้ามถนนไปหามัน

“ไม่เห็นรอ นึกว่าหายไปไหน”ผมคุยกับยิม อีกฝ่ายมองหน้าผมนิ่ง ๆ ก่อนจะหันไปเลือกเนื้อหมูชิ้นกลางๆ กับเนื้ออีกชิ้นหนึ่งไปให้แม่ค้า

“ตลาดแค่นี้ไม่หลงไปไหนหรอก”มันพูดทำหน้าบึ้งใส่

“อะไร งอนเหรอ ผมเลือกของนานไป เอ๊ะ หรือว่าผมไม่ซื้อให้พี่ด้วย”ผมแกล้งพูด เห็นอีกฝายชะงัก หันมามองผมหลังจากที่รับเนื้อหมูมาแล้ว “ปัญญาอ่อน”

“อะไรเนี่ย ถ้าผมซื้อให้พี่ ก็จะเหมือนของพี่ท็อปน่ะสิ ผมต้องรอดูพฤติกรรมของพี่ก่อน ถ้ามาดี ผมอาจจะหาอะไรตอบแทนน้ำใจบ้าง”ผมพูดขณะที่เดินตามหลังยิมไป หลังจากที่มาถึงหอพักอย่างรอดปลอดภัยแล้ว หกโมงเป๊ะแล้วด้วยพี่ท็อปยังไม่กลับมา ผมนั่งรอยิมเตรียมของ เห็นมันยกหม้อสุกี้ลงมา แล้วหันผัก มันส่งสายตาเฉือดเฉือนมาให้

“ช่วยหั่นหมูบ้างสิ”อีกฝ่ายทำเสียงนิ่งๆ ผมหัวเราะนิดหน่อย มันบ้าหรือเปล่าเนี่ย ผมดึงเขียงไม้มาหั่นหมูกับเนื้อเป็นชิ้นบางพอดีคำ หลังจากที่หม้อเดือดได้ที่ก็ใส่ไข่ผักใส่หมูลงไปทีเดียวเลย วุ้นเส้นก็ตามมาทีหลัง

"เออ แล้วตกลงว่าไง...จะบอกได้หรือยัง"ผมเอ่ย

“มึงรู้แล้วสินะ ว่ามิ้นท์เป็นน้องเฮียแกน”ยิมพูด ผมพยักหน้า นั่งมองหมูสไลด์บนกระทะกำลังสุกอย่างใจลอย “อืม แล้วพี่เคยเจอมิ้นท์ไหมครับ”ผมถามต่อ

“หึ ไม่เคย แค่ได้ยินไอ้แกนพูดถึงอย่างเดียว”ไอ้ยิมมองหน้าผม

“แล้วพี่รู้เรื่องของผมได้ยังไง”เรื่องที่ผมเคยทำสมัยม.ปลายน่ะ แสดงว่ามันต้องรู้จักผมมาก่อนอยู่แล้ว แต่จะรู้จักได้อย่างไงนั้นต้องให้มันอธิบาย

“มึงว่าโลกกลมไหม กูเคยเห็นมึงที่งานกีฬา”ยิมเริ่มเล่าให้ผมฟังว่าตอนงานกีฬาตั้งแต่ระดับเขต จนกระทั่งระดับจังหวัด ระดับภาค มันบอกว่าแค่สะดุดตาเฉยๆ ระหว่างที่มันเล่ามันไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร แค่ทำหน้าตายนิ่งๆแบบที่เจ้าตัวเป็น อาจจะกลบเกลื่อนผมอยู่ก็ได้ ผมคิดว่าพี่ยิมคนนี้ อาจจะชอบผมก็ได้ล่ะมั้ง...

“หลงเสน่ห์ผมเหรอไง”ผมแหย่มันขำๆ  ยิมกลับยิ้ม “หึ แล้วแต่มึงจะตีความแล้วกัน...แต่กูเสียความรู้สึกมากที่รู้ว่ามึงกับโยทำอะไรกัน รู้ว่าไอ้โยทำตัวเหลวไหลแค่ไหนตั้งแต่มันเจอมึง กูโคตรโกรธ เสียใจ ไม่รู้ว่ะ แต่กูอยากให้มึงได้บทเรียนเจ็บๆดูบ้าง...”มันทำหน้าเหมือนสะใจ ผมแค่ยิ้ม

“อืม...”ตามนั้น อยากจะสะใจก็ตามแต่ ผมว่าตอนนี้ยิมมันคงรู้สึกเหม็นขี้หน้าผมมากกว่า ลองาคิดดู ถ้าหากผมเป็นยิม ผมก็คงรู้สึกอย่างเดียวกัน

“กูจะไม่แจ้งความ....”ไอ้ยิมพูดช้า ๆ  ผมเงยหน้ามองเจ้าตัวอย่างตกใจ ก็ไหนอยากให้ผมได้บทเรียนไง อีกฝ่ายทำหน้าเรียบเฉย มองผมอยู่นาน

“..ทำไมครับ”ผมถามเบาๆ รู้สึกแย่ขึ้นมานิดหน่อย ปกติก็ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน

“เพราะยังไง ไอ้แกนคงไม่ปล่อยมึงไปง่ายๆ”คำพูดของอีกฝ่าย ไขข้อข้องใจของผมได้ชัดเจนดี ถ้าปล่อยให้ผมเข้าสู่กระบวนการกฎหมายในเรื่องของไอ้โย อย่างน้อย ๆ ผมอาจไม่ติดคุก ศาลอาจนัดไกล่เกลี่ย จ่ายค่าเสียหายให้กันได้ แต่ถ้าใช้วิธีของเฮียแกน ไม่รู้ว่าผมต้องเจอกับอะไร เฮียแกนเป็นคนที่ผมเดาไม่ออก อีกฝ่ายไม่เคยมาทำร้ายผม นอกจากคำเตือนคราวก่อน ที่รู้ๆคือเจ้าตัวกำลังตัดสินผมเอง แทนที่จะใช้กฎหมาย...ลึกๆแล้วผมเองก็ไม่อยากขึ้นศาลหรอก อนาคตผมคงจบสิ้น

“เฮียจะทำอะไรเหรอครับ”ผมลองถามดู เผื่อยิมมันรู้ “หึ กูก็ไม่รู้หรอก ...”อีกฝ่ายทำหน้าเจื่อนลง มันถอนหายใจท่าทางดูเครียดๆ

“ผมผิดจริง ผมยอมรับ”ผมไหวไหล่ ในห้องเงียบเสียงลง ผมกับมันแค่นั่งเงียบๆคิดอะไรอยู่ในใจ 

“ยิม ผมขอโทษ”ผมมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกไป “เรื่องอะไร...”มันทำหน้างง

“ก็...เรื่องโยไง น้องพี่น่ะ”ผมพูด อีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจ มองมาที่ผมราวกับว่าตกใจที่ผมพูดขอโทษ “...แล้วไอ้โยมันเป็นไงบ้าง”ผมถามต่อ เรื่องโยอยากรู้ว่า มันเป็นยังไงบ้าง

“อืม...มันก็อารมณ์เสียใส่กูน่ะสิ...มันก็เคยถามถึงมึงว่าเป็นยังไงบ้าง อยากคุยกับมึง”ยิมหัวเราะส่ายหน้า

“น้องพี่มันร้ายจะตาย”

“เออ กูรู้...แต่กูจะดูมันเอง กูจะไม่ให้มันมาเจอมึงอีกแล้ว...กูต้องทำข้อตกลงกับมันหลายเรื่องเลย”อีกฝ่ายถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อเอ่ยถึงน้องชายของตัวเอง ผมเม้าปาก

“อืม พี่รู้แล้วใช่ไหม โยบอกว่าสิบแปดเมื่อไหร่ จะกลับมาหาผมตามเดิม”ผมบอก ยิมพยักหน้า

“เออ กูกำลังหาทางจัดการมันอยู่ กูก็ไม่อยากให้เรื่องถึงหูป๊ากับม๊า เดี๋ยวก็เครียดอีก ยิ่งป๊ากับม๊ารักมันมากอยู่ด้วย”อีกฝ่ายพึมพำ ผมมองเจ้าตัวอยู่นาน อีกฝ่ายเหลียวมองผม

“ยังไงก็ขอบคุณนะครับ”ผมบอกจากใจ เห็นยิมคลี่ยิ้มออกมา “อืม”
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 9 ความจริงใจจากคนตรงข้าม
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 17-07-2015 17:20:26
ก๊อก ก๊อก

ระหว่างนั้นมีคนมาเคาะประตูห้องยิม เจ้าตัวทำหน้าแปลกใจ “ใคร”ผมถาม ยิมส่ายหน้าแล้วลุกเดินไปเปิดประตู ผมชะเง้อหน้าไปมองบ้าง  “อ้าว...ไอ้ท็อป”ผมผุดลุกขึ้นเดินไปหาทันที เมื่อเห็นพี่ท็อปยืนอยู่หน้าห้อง กำลังโบกมือเรียกผม

“ไงพี่ท็อป เดี๋ยวผมไปหานะ”ผมบอกพี่ท็อป อีกฝ่ายไม่พูดอะไรแค่เดินกลับไปยังห้องตัวเอง ผมเลยเดินมาเก็บกระเป๋า ยิมมองผมนิ่งๆ

“เออ งั้นผมไปก่อนนะ คราวหน้าไว้ผมเลี้ยงพี่เองครับ”ผมบอก ยิมไหวไหล่แล้วเดินไปเก็บถ้วยกับช้อนไปล้าง  “อืม ไว้เจอกัน”อีกฝ่ายบอกทิ้งท้าย ผมเดินออกจากห้องของยิมแล้วเดินตรงไปไม่ถึงสิบเก้า เคาะประตูห้องของพี่ท็อป ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เห็นว่าเจ้าตัวนั่งแกะถุงกับข้าวอยู่ที่โต๊ะเล็ก ๆ ที่หน้าโทรทัศน์ ผมเห็นว่าอีกฝ่ายซื้อน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋

“อ้าว ซื้อมาด้วยเหรอพี่”ผมเดินไปนั่งลงตรงหน้า พี่ท็อปเงยหน้ามองผม “อิ่มแล้วไม่ใช่เหรอวะ”ว่าแล้วก็หันไปกินข้าวต่อ สงสัยจะโกรธล่ะมั้ง

“...ยังหรอกน่า”ผมบอก แค่สุกี้ไม่อิ่มท้องหรอก ผมเอื้อมไปหยิบถุงน้ำเต้าหู้มาแกะ “อิ่มก็ไม่ต้องกิน ไม่ต้องเอาใจกูหรอก”พี่ท็อปพูด ผมมองหน้าพี่ท็อป 

“ผมก็ลืมโทรบอกพี่เลย”ผมบอก เลยไม่รู้ว่าพี่ท็อปกินข้าวมาหรือยัง “ช่างเถอะ เรื่องเล็กน้อย”พี่ท็อปหันมายิ้มให้ผม

“ช่วงนี้คงไม่มีเวลาให้มึงแล้วนะ ต้องทำโปรเจ็คกับเข้าแลป ปิดเทอมช่วงสั้นๆ ที่จะถึงนี่ กูต้องไปดูงานกับที่บ้านอีก...”พี่ท็อปเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ ผมพยักหน้า “ครับ ผมเข้าใจ”

หลังจากที่ผมกับพี่ท็อปทานข้าว จัดการของหวานจนอิ่ม อีกฝ่ายถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่บ็อกเซอร์ ผมกำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงของพี่ท็อป มองหุ่นเจ้าตัวที่มีซิกแพคอยู่บ้างอย่างสนใจ

 "มองขนาดนี้อยากกินเหรอ"

"ใช่ หุ่นแซ่บขนาดนี้"ผมหัวเราะออกมา ไม่ทันขาดคำพี่ท็อปเดินมาหาผม แล้วหยุดยืนข้างเตียง ผมเหลียวมอง  “ลูบสิ”พี่ท็อปบอก ผมมองนิ่ง ๆ

“แค่แซ็วเล่นเอง”ผมกลัวว่าจะไม่ใช่แค่ลูบน่ะสิ แต่ก็ไม่วายยื่นมือไปสัมผัสหน้าท้องที่มีกล้าเนื้อแข็งแรง แกล้งลูบลงต่ำเรื่อย ๆ  แต่พี่ท็อปจับมือผมไว้ก่อน

“พอเลยมึง ทะลึ่งตลอด”พี่ท็อปผลักหัวผมออกแล้วหัวเราะ พี่ท็อปเข้าไปอาบน้ำ ผมนอนดูหนังอยู่บนเตียง ก็มีสายเข้าจากพี่ตั้ม ผมผุดลุกขึ้นยืน รับคว้าโทรศัพท์ออกไปคุยที่นอกระเบียง

 “ว่าไงพี่”ผมถามทันที

[น้องสาวไอ้แกนแฟนมึงใช่ไหม] พี่ตั้มถาม

“เปล่า แค่คุยๆ”ผมบอก นึกถึงสมัยนั้น ตอนคุยกับผม มิ้นท์ก็คงคบกับพี่ท็อปด้วยล่ะมั้ง

[เออ เดี๋ยวส่งรูปให้ดูในแชทนะ เปิดดูด้วยล่ะ] อีกฝ่ายบอก ผมพักสายแล้วเปิดแชทขึ้นมา กดดูรูปที่อีกฝ่ายส่งให้ เป็นรูปคู่ของพี่ท็อปกับมิ้นท์ ผมมองแล้วรู้สึกแปลกๆในใจ ไหนจะรูปที่พี่ท็อปถ่ายคู่กับมิ้นท์ในโรงพยาบาล ว่าแต่มิ้นท์เป็นอะไรจากนั้นผมสะดุดกับรูปใบหนึ่ง เป็นรูปที่พี่ท็อปยืนอยู่ข้างมิ้นท์กับเฮียแกนด้วย แต่ยังอยู่ในชุดนักเรียน

ผมสงสัย นึกว่าสองคนนี้ไม่ถูกกันซะอีก ผมเปลี่ยนมาคุยกับพี่ตั้มต่อ

“ทำไมมันถึงถ่ายด้วยกันได้พี่”

 [ก่อนจะมีเรื่องกัน พวกมันก็ยังดีๆกันอยู่...ก็ไม่เชิงว่าสนิท คือประมาณว่าไอ้ท็อปรู้จักกับไอ้แกนก่อน แต่แค่ผิวเผิน... ตอนนั้นท็อปคงไม่รู้ว่ามิ้นท์เป็นน้องไอ้แกนล่ะมั้ง กูรู้มาว่า พอไอ้ท็อปรู้ว่าเป็นน้องไอ้แกนมันก็เลยชิ่งบอกเลิกไปเลย ไอ้แกนก็ทะเลาะกับไอ้ท็อป ...ไอ้ท็อปมันเลยโดดแบนจากกลุ่ม แยกตัวออกมาอยู่คนเดียวไง แล้วพวกมันก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่นั้นมา ]
ผมรู้สึกมึนงง ตื้อๆในหัว เหมือนว่าความรู้สึกบางอย่างมันขาดหายไประหว่างที่ฟังเรื่อง

[กูกลัวมึงหลงมันเกินไป]

“อะไรพี่”ผมถามเสียงแห้ง

[คือ....มึงคิดหรอว่าคนอย่างไอ้ท็อปมันจะจริงจังกับคนที่ทับทางมันน่ะ... คือ กูว่ามันไม่ใช่ ยิ่งไอ้ท็อปมันรักศักดิ์ศรีมันจะตาย มันไม่ยอมให้ใครมาหยามมันได้หรอก ] พี่ตั้มพูด เหมือนสะกดผมไปในตัว ผมถอนหายใจ ผมไม่เคยฉุกคิดเรื่องนี้มาก่อน

“...พี่จะพูดอะไร”

[กูอยากมึงให้ใช้สมองไต่ตรอง ไม่ใช้หัวใจเข้าว่า ... ถึงมึงจะชอบมันมากแค่ไหนแต่มึงอย่าสูญเสียความเป็นตัวเองสิวะ มันไม่ใช่ตัวมึงเลยว่ะ]

 [เฮ้อ สองมึงเผื่อใจหน่อยก็ดี กูรู้ว่าไอ้ท็อปไม่เหมือนใครที่มึงเคยคั่วอยู่ ...มึงอย่าลืมดิ ว่ามันคือไอ้ท็อป...ไอ้ท็อปที่ไม่เคยสุงสิงไปยุ่งเรื่องของใคร ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องมันก่อน ]คำพูดของพี่ตั้มเหมือนมากระแทกหน้าผมจังๆ ตอนแรกผมทำใจได้แล้วว่าพี่ท็อปยังมีเรื่องปิดบังผมอยู่ แต่ผมเลิกที่จะไม่ใส่ใจ ผมก็แค่รักษาความสัมพันธ์ของพี่ท็อปให้ดี

“ครับ ผมรู้พี่ ผมก็พยายามอยู่”พอมาคิดดูอีกที หากว่าผมไม่ไปยุ่งกับโทรศัพท์พี่ท็อป เจ้าตัวจะบอกผมไหมหรือแค่หลอกไปเรื่อยๆ

 “พี่ทำให้ผมเครียดนะรู้ไหม”ผมพูดต่อ เกราะกำบังของผมพังทลายลงไปตั้งแต่พี่ท็อปเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตผม ผมกลายเป็นคนที่อ่อนลงกว่าเดิม...นี่มันดีหรือแย่กันนะ

[เออ โทษที...อยากไปคลายเครียดไหมวะสอง ที่กูจะจัดทริปไง ไปหรือเปล่า กูกะจะทดลองไปใกล้ๆก่อน ไปเฉพาะเพื่อนกูเนี่ยแหละ อาทิตย์ที่จะถึงนี่แหละ ]

“...อืม ถ้าไม่ติดอะไรก็อยากไปนะพี่”ผมบอกเนือยๆ อันที่จริงผมไม่อยากทำอะไรมากกว่า

 [เออ ถ้ายังไงก็โทรมาบอกด้วยล่ะ]

ผมกลับเข้าในห้อง พี่ท็อปยังคงไม่ออกจากห้องน้ำ ก็ไหนว่าพี่ท็อปไม่ชอบเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นไง คิดจะมาหลอกผมเหรอ หรือมันมีอะไรมากกว่านั้นกันนะ ถ้าผมรักพี่ท็อปขึ้นมาจริงๆล่ะก็ อยากจะรู้ว่าถึงเวลานั้นแล้วเจ้าตัวจะเลิกกับผมหรือเปล่า แต่ผมไม่ยอมหรอกนะ ตอนนี้ขอแกล้งโง่ ไม่ต่างอะไรจากไอ้ทู ที่มันยอมเจ้าของไปซะทุกอย่าง แถมยังติดหนึบอีกด้วย แต่ถึงเรื่องจะเป็นแบบนี้ ผมก็ยังชอบพี่ท็อปอยู่ ผมควรจะหยุดอยู่แค่นี้หรือไม่นะ  ถ้าถลำตัวลงไปแล้วคงถอนได้ยาก

พี่ท็อปเคยพูดนี่นะ ว่าผมเหมือนไอ้ทู แต่ก็บ่อยครั้งไปที่หมามันหันมาแว้งกัดเจ้าของเอาได้

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 17-07-2015 19:39:17
ท่าจะความสงบก่อนพายุเข้าแน่ๆเลย       ไม่รู้ว่าสองไปทำอะไรไว้กับมินท์   มินท์ถึงกับเข้ารพ   ทั้งหมดอาจจะเป็นแผนหมดเลยก็ได้ แกน ท็อป ยิม ตั้ม )ความระแวงขึ้นสมอง  ยิ่งท็อปบอกสองว่าให้เตรียมรับผลจากสิ่งที่ทำไว้ด้วย    แกนอาจจะบังคับให้ท็อปทำตามแผนก็ได้
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-07-2015 20:06:25
เรานี่เครียดไปกับสองด้วยเลย.  :katai1:
มิตรที่ว่ามีเนี่ยจะพึ่งได้ไหมสุดท้ายแล้วเพราะมีแต่คนจ้องจะจองกฐิน
แล้วทั้งคำท็อปคำยิมจะเชื่อได้สักแค่ไหน. ตอนนี้หวั่นไหวกับสองยิมเล็กน้อย. อิอิ
ตอนแรกไม่นึกว่าเนื้อเรื่องจะมาทางนี้เลยนะ เรื่องของเรื่องมันคือเกิดอะไรขึ้นก่อนจะเกิดเหตุที่ห้องข้างๆตะหาก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 17-07-2015 20:46:14
เอะยังไง ๆๆ ล่ะทีนี้!?  จากท๊อปสอง จะกลายเป็นยิมสอง!? รึเปล่าาา
สองคนนี้ดูเคมีเข้ากันอ่ะ เวลาสองอยู่ด้วยแล้ววดูเป็นตัวเองง 555
เอะหรือว่าเราจะแอบเชียร์ยิมดี 555 (ล้อเล่นน) ยังไงก็ยังอยากให้เป็น#ท๊อปสองเหมือนเดิม
แค่เริ่มเอนเอียงงนิดๆ แค่นั้นเองงงง 555  :hao3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 17-07-2015 20:50:21
เอาแล้ววว ยิมเริ่มรุกน้องสองเมียรักพี่ท๊อปซะแล้วววว
แล้วสรุปพี่ท๊อปคิดจะทำไรกัรแน่เนี่ยยย!!!! รอ ๆๆ ตอนต่อไปลุ้นมากกก

ปล.หรือว่าทั้งหมดที่พี่ท๊อปทำ มันเป็นแผนของเฮียแกนกับพี่ท๊อปที่ร่วมมือกันหลอกสอง
โอ้ยยยิ่งคิดยิ่งเยอะะ 555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 17-07-2015 21:10:42
จะเอาท็อปสอง :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 17-07-2015 21:40:17
ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคนสินะ

สู้ๆสอง

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 17-07-2015 21:57:55
 :hao4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: armize ที่ 17-07-2015 22:09:00
สงสารสอง อ่ะ เครียดแทน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 17-07-2015 22:19:48
เครียดตามสอง 55555555555555
พี่ท็อป พี่เนี่ยนะ..จะทำให้เชื่อใจตลอดไม่ได้เชียวหรือ
เดี๋ยวก็ระแวง เดี๋ยวก็เลิกระแวง และกลับมาระแวงอีกครั้ง
ความลับพี่มันเยอะเกินไป 55555555555555
แล้วพี่ยิมนี่ยังไงหว่า อันนี้คือมาจีบรึเปล่า 55555555
หรือจะมีคดีพลิก จากท็อปสองกลายเป็นสองยิม(?)
 :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 17-07-2015 22:52:06
เรื่องมัน อิรุงตุงนัง เหมืแนจะเคลียร์แต่ก็ไม่เคลียร์
โดยส่วนตัว เราว่าสองค่อนข้างเห็นแก่ตัวมากกว่านะ ในหลายๆครั้ง เลือกตัวเองเป็นที่ตั้ง สำนึกจริงรึป่าวก็ไม่รู้ เหมือนเรื่องมิ้น
หรือต่อให้เป็นเรื่องโย ก็ยังทำตัวเหมือนเดิม  มันคงดูเป็นเรื่องจริง จนเรารู้สึกว่าน่าเบื่อเบาๆ สำหรับคนแบบนี้อ่ะนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 17-07-2015 23:28:08
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หรือออ พี่ยิมมมเปนพระเอกกกน้าาา
โอ้ยยยย
แต่ก้ชอบพี่ท๊อปน้าาาา
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 17-07-2015 23:31:48
เครียดตามสองเลยนะนี่ อย่างนี้จะเชื่อใจใครได้บ้างเนี้ยะ
ทุกคนดูมีเงื่อนงำตลอด เหมือนจะดี แต่ก็ไม่ดี
เหมือนจะเลยว แต่ก็ไม่เชิง คิดแล้วปวดหัว สงสัยคงจะเล่นสงครามประสาทกันซะมากกว่านะนี่
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 18-07-2015 00:09:01
ปวดหัวกับเรื่องนี้ เหมือนจะเดาทางได้ เหมือนจะคลี่คลาย แต่อีกตอนกลับพลิกล็อคอีกแล้ว สนุกดี 555+ ชอบสองนะ อะไรก็ยิ้มหัวเราะไว้ก่อน ^^ แล้วก็เป็นคนตรงๆด้วย ชอบคนแบบนี้จังน๊าาา~
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 18-07-2015 09:49:59
เครียดดดดด -___-""
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 19-07-2015 08:25:48
เรื่องนี้ดูอารมณ์เทาๆหม่นๆไงชอบกล
อ่านไปเสียวอยู่ตลอดเลยว่าจะพลิกไปแบบไหน
เหมือนอารมณ์แบบอะไรก็เกิดขึ้นได้ ในเรื่องนี้
เสียวชีวิตไอ้สองจริงๆ. มีแต่หวิดคุกจนแล้วจนรอด แหม
มิ้นนี่ เป็นน้อง เฮียคนนั้นป่ะ แล้วท๊อปเลิกปู้ยี้ปู้ยำ  บอมรึยัง
สลับกันแบบนี้ ก็เร้าใจดีเหมือนกันนะ
 :impress2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 19-07-2015 15:34:47
อ่านตอนนี้เริ่มรู้สึกเอ๊ หรือจะยิมสองหว่าา

พี่ท๊อปเหมือนยังกั๊ก กุมความลับเอาไว้หลายเรื่องอ่ะมันดูไม่จริงใจกะสอง

แต่ยังไงก็ยัง ทีมพี่ท๊อปนะ 55555

รอตอนต่อไปค่ะ


หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 19-07-2015 18:41:16
เอาล่ะซิ พี่ท๊อปนี้ัยังไงเนี่ย
ยิมทำดีเข้าใส่แล้ว
สองจะไปเที่ยวกับยิมด้วย
แต่ก็ยังเชียร์ท๊อปให้สอง ฮ่าๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-10 #17.07.58 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 19-07-2015 18:59:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 10 เผชิญหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 19-07-2015 19:46:11
ตอนที่ 10 เผชิญหน้า

หลังจากที่ผมตั้งสติกับเรื่องนี้ได้ ผมลองชวนพี่ท็อปไปออกทริปกับพวกพี่ตั้ม แว่ว ๆ ว่ามียิมไปด้วย แปลกใจเหมือนกัน ไม่คิดว่ายิมจะรู้จักกับพี่ตั้มด้วย ทริปเขาค้อ ไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่น ก็ไม่ต้องไปเจอกับกองทัพมนุษย์มากนัก ช่วงนี้อากาศไม่ร้อนเกินไป คิดว่าบนเขาอากาศน่าจะเย็นลงหน่อย คงมีทะเลหมอกให้ได้เห็นบ้าง

ระหว่างที่ผมกับพี่ท็อปเข้านอนไปได้สักพัก แต่ผมยังหลับไม่ลง หันมองไปที่คนข้างกาย อีกฝ่ายยังคงไม่หลับสนิท ผมเลยสำรวจใบหน้าของเจ้าตัวไปเรื่อย ๆ

“เป็นอะไร จ้องหน้ากูขนาดนี้”พี่ท็อปลืมตาขึ้นมา  อีกฝ่ายกำลังเล่นละครอยู่หรือเปล่า ผมอาจเข้าข้างตัวเอง แต่เวลาที่พี่ท็อปอยู่กับผม มีหลายมุมที่พี่ท็อปไม่ได้แสดงให้คนอื่น ๆ ได้เห็น มันทำให้ผมรู้สึกพิเศษขึ้นมาล่ะมั้ง

“เปล่า ก็แค่มองเฉยๆ”ผมยิ้มให้ พี่ท็อปทำหน้าแปลกๆ “เฮ้ย เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ทำไมพี่ถึงยอมเป็นแฟนผมล่ะ”ผมถามหลังจากที่เงียบไปนาน อีกฝ่ายมีสีหน้าตกใจขึ้นมาก่อนจะเลิกคิ้วมองผมอย่างสงสัย

“...สอง นี่มึงเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ตอบผมมาก่อนดิ ก็แค่อยากรู้”ผมย้ำอีกครั้ง จ้องลึกเข้าไปในแววตาของพี่ท็อป นัยน์ตาสีดำมีประกายเล็กน้อยคู่นี้ทำให้ผมหลงใหล เจ้าตัวมองผมกลับนิ่งๆก่อนจะยิ้มมุมปากออกมา

“กูเห็นว่ามึงทุ่มเทดี กูเคยคิดว่าอย่างมึงเนี่ย ไม่ใช่สเป็คของกู ...คงไม่ชอบมึงแน่นอน แล้วกูเองก็อยากจะรู้ว่าคนอย่างมึงจะทนอยู่กับกูไปได้นานแค่ไหน...”แววตาพี่ท็อปดูสั่นไหวเหมือนกังวลอยู่

“แล้วพี่คิดว่าผมจะทนได้หรือเปล่าล่ะ”

“กูไม่รู้จริงๆ มึงมันเอาแน่เอานอนไม่ได้นี่หว่า”พี่ท็อปยิ้มออกมานิดนึง ผมละสายตาออกจากนัยน์ตาสีดำของพี่ท็อป แล้วหันมาสนใจกับนิ้วมือเรียวรับกันดีของพี่ท็อป จับคลึงเล่นไปมาอย่างเพลินใจ

“ขนาดนั้นเลย”

“ถามทำไม กูตกใจเลยนะเว้ยตอนมึงถาม”

“ทำไมล่ะพี่ ผมเป็นคนอ่อนไหวนะเนี่ยเห็นแบบนี้ บอบบางจะตาย”ผมแกล้งทำเสียงเง้างอน จนพี่ท็อปผลักผมออกห่าง

“ถามกูแต่ละอย่าง ไม่มั่นใจในตัวกูว่างั้น”พี่ท็อปดันผมนอนราบลงกับเตียง ก่อนที่พี่ท็อปจะขึ้นมาคร่อมทับผมไว้ ผมแอบหวั่น อย่าบอกนะว่าจะทะลวงถ้ำผมน่ะ

“แล้วพี่ทำให้ผมมั่นใจในตัวพี่ได้ไหมล่ะ ผมคบกับพี่เพราะผมชอบพี่ มันไม่ใช่เกมส์ของใคร... ผมไม่อยากถูกเล่นเหมือนหมากตัวนึง”ผมพูด พี่ท็อปก้มลงใกล้ผมจนจมูกแตะสัมผัสกัน

“กูรู้ มึงไม่ผิดหรอกที่จะสงสัยในตัวกู...กูเองก็มีหลายอย่างที่ยังเคลียร์ไม่ลง...กูเคยบอกมึงแล้วไงว่ากูไม่ชอบเล่นกับความรู้สึกของใคร ที่กูทำ ที่กูพูดหรือที่กูแสดงออกกับมึงมันคือความจริง...”พี่ท็อปเลื่อนมามองหน้าผม มือสองข้างประคองหน้าผมไว้ ผมใจเต้นรัวในขณะที่พี่ท็อปพูด

“ครับ”บอกตามตรงว่าผมเชื่อพี่ท็อปทุกอย่าง ผมเชื่อว่าพี่ท็อปน่ะไม่ได้โกหก แต่ การกระทำของพี่ท็อปยังคลุมเครือ ผมไม่รู้ว่าทั้งหมดที่เจ้าตัวทำมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือไม่ ผมเดาไม่ออก ไม่อยากนึกไปถึงเฮียแกน เพราะลึก ๆ ผมรู้ว่าพี่ท็อปก็แค่อริเก่าเฮีย มันคงไม่มีอะไรมากกว่านั้น

“กูไม่รู้ว่ามึงไปฟังอะไรจากใครมา...มึงรับฟังได้แต่อย่าให้ข้อมูลพวกนั้นชักจูงมึงมากเกินไป จนมองไม่เห็นความจริง”อีกฝ่ายพูดเบาๆ โน้มหน้าลงมาใกล้ จรดริมฝีปากลงบนหว่างคิ้ว ผมหลับตาลง พี่ท็อปยังคงคลอเคลียจูบไปทั่วใบหน้าของผม

“อืม ผมจะเก็บเอาไปคิดครับ”ผมพึมพำบอกแล้วลืมตาเห็นพี่ท็อปส่งยิ้มให้ผม แล้วพลิกตัวลงมานอนหันหน้าเข้าหาผม ก่อนจะโอบแขนกอดรัดผมไว้ คำพูดของคน มันสามารถทำลายคนได้เหมือนกันนะ ต่างคนต่างพูด 

ผมหันหน้าไปมองพี่ท็อป “ครับผม รักพี่นะครับ”ผมบอกออกไป  พี่ท็อปยิ้ม “แน่ใจแล้วเหรอว่ารัก ทำไมพูดง่ายจัง”

“อืม รักก็คือรักแหละ ไม่รู้ว่ามันมากแค่ไหน แต่สำหรับพี่ก็มากกว่าใครทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นช่วยรักผมให้มากๆด้วยล่ะ”ผมหัวเราะแล้วเข้าไปกอดพี่ท็อป “ครับ”พี่ท็อปเงียบเสียงลง ผมรอคำพูดที่เหลือ ไม่ได้คาดหวังว่าพี่ท็อปจะรักเท่าที่ผมรักหรอก ผมรู้ว่าพี่ท็อปไม่รักใครง่ายๆ โดยเฉพาะคนอย่างผม ถึงผมจะพิเศษกว่าใครคนอื่นก็เถอะ

“เอาเป็นว่ากูชอบมึง มาตอนนี้ก็ชอบมากขึ้นกว่าเดิม ...กูเป็นคนใจแข็งนะสอง อาจเป็นเพราะมึงเป็นประเภทที่รักสนุกมาก่อน มันเลยทำให้กูยังไม่เทใจไปให้มึงตั้งแต่แรก”พี่ท็อปพูดเบาๆ ผมพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ผิดหวังขึ้นมานิดหน่อย

“ครับ พอทำใจได้ ฮ่าๆ”ผมแกล้งหัวเราะแล้วเงียบ “ว่าแต่พี่ยังติดต่อกับมิ้นท์อยู่หรือเปล่า...”ผมถามออกไป พี่ท็อปมองหน้าผมอย่างแปลกใจก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่ได้ติดต่อไปแล้ว ตอนนี้น่ะ แต่เมื่อก่อนเคยติดต่อไปช่วงที่เกิดเรื่องมึงกับมิ้นท์น่ะ หลังจากนั้นไอ้แกนก็ไม่ยอมให้กูเฉียดไปใกล้น้องมันอีก จริง ๆ กูก็ไม่ได้ชอบมิ้นท์แล้ว เลยตัดสินใจไม่เข้าไปยุ่งด้วย”พี่ท็อปถอนหายใจ ผมนึกถึงรูปที่มิ้นท์ที่อยู่โรงพยาบาล ผมอยากถามแต่คิดว่าในเวลานี้ผมควรพอกับเรื่องพวกนี้ได้แล้ว คุยเรื่องนี้มากๆมันจะบั่นทอนความรู้สึกกันไปเปล่าๆ

“งั้นเหรอพี่ โอเค จบคำถามแล้ว”ผมหนักใจ ไม่รู้ว่าควรกังวลเรื่องพี่ท็อปหรือเฮียแกนดี น่าทีนี้คงต้องเฮียแกนซึ่งเหมือนระเบิดเวลา ไม่รู้จะตู้มเมื่อไหร่

ขยับไปนอนพิงไหล่อีกฝ่ายอย่างเคยชิน เจ้าตัวก้มมองยิ้ม ๆ แล้วกดจมูกลงกับลำคอของผม เลยแกล้งล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อพี่ท็อปลูบซิคแพ็คไปพลาง “อือ นอนดีๆ อย่าซนมาก เดี๋ยวก็ไม่ได้นอนหรอก”พี่ท็อปพูดงึมงำ ผมหัวเราะแล้วดึงมือกลับออกมา

“ฝันดีครับ จุ๊บ”ผมขยับหน้าไปกระซิบบอกแล้วยื่นหน้าไปแตะปากพี่ท็อปเบาๆ ผมเห็นว่าพี่ท็อปกำลังอมยิ้มอยู่ ผมนอนมองพี่ท็อปอยู่เงียบๆจนกระทั่งค่อยๆเคลิ้มหลับไปช้าๆ


...


จนมาถึงวันอาทิตย์ของการนัดหมายทริป ksr ซึ่งพี่ตั้มได้รายงานบอกมาว่าไปกันทั้งหมด 6 คน  พี่ตั้มบอกให้เตรียมของใช้จำเป็นมาให้พร้อมเพราะไม่ได้พักรีสอร์ท แต่จะนอนเต้นท์รับบรรยากาศเอาแทน ข้อสำคัญที่สุดคือต้องเช็คด้วยว่ารถ เคเอสอร์ รุ่นปี 2012 ของผมนั้นไม่ได้ตัดแต่งจนผิดกฎหมาย หมวกกันน็อคเต็มใบ ไม่งั้นเจอเรียกแน่ๆ ปกติผมก็ไม่ได้ไปแต่งรถจนกลายเป็นรถเด็กแว้นขนาดนั้น ทุกอย่างปกติ พี่ท็อปเอากล้องไปตัวนึง

พี่ท็อปเป็นฝ่ายซ้อน เพราะยังขับรถไม่แข็งเท่าไหร่ อีกทั้งต้องขึ้นถนนใหญ่สายหลักกลัวว่าจะเกิดอันตราย พอไปถึงจุดนัดพบเวลาประมาณ10:00. บริเวณหน้ามหา’ลัยทางประตูหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ผมห่อเหี่ยวและบรรลัยที่สุดก็คือเฮียแกนมาด้วย ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มพี่ตั้มเพราะเฮียแกนตัดผมจากยาวประมาณบ่า เหลือแค่ระดับคางผมหยักศกรับกับใบหน้าคมสไตล์ลูกครึ่ง ยิมที่นั่งอยู่บนรถเคเอสอาร์สีดำแดงเปิดบังโคนด้วย

ผมแทบปาหมวกกันน็อคใส่พี่ตั้ม แต่ก็ทำได้แค่ส่งสายตาตั้งคำถามไปให้ บรรยากาศอึดอัดทันที ตอนนี้มากันครบแล้วมีพี่ตั้ม พี่เบสเพื่อนพี่ตั้ม เฮียแกน ยิม พี่ท็อปแล้วก็ผม อืม คงเป็นทริปที่โคตรสนุก

“เออ มากันครบแล้ว...ไงไอ้ท็อป เป็นสก๊อยให้ไอ้สองมันหรอวะ ฮ่าๆ”พี่ตั้มหัวเราะไม่ดูบรรยากาศเลย เฮียแกนเอาแต่จ้องหน้าผมไม่วางตาเลย ผมกังวลว่าทริปนี้มันต้องถูกวางแผนไว้แล้วแน่ๆ
พี่ท็อปสะกิดผม “โอเคนะเว้ย”นี่ถามจากใจหรือว่าแสร้งถาม

“อืม ไม่โอเคก็ต้องโอเค”ผมบอก

พี่ตั้มบอกบอกลำดับการออกรถให้ผมตามหลังพี่เบสไป ตามด้วยพี่ตั้มเอง ไอ้ยิม เฮียแกน ขณะที่ผมเร่งเครื่องออกตัวเฮียแกนก็แซงหน้าผมไปทันที ผมมองกระจกหลังยิมตามมาเว้นระยะไว้ พี่ท็อปยื่นหน้ามามองก่อนจะซบหน้าลงกับหลังของผม รู้สึกได้ว่าพี่ท็อปเอื้อมแขนกอดเอวผมไว้ข้างนึง เท่านี้ผมก็อุ่นใจ

เคเอสอาร์ 6 คัน มุ่งหน้าสู่ถนนสายหลักมุ่งตรงไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่อำเภอวิเชียรบุรี อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ระหว่างทางจะพบเนินมหัศจรรย์ถึงสี่แยกรื่นฤดี เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนหมายเลข 2196 สู่อำเภอเขาค้อ อากาศไม่ร้อนมาก ผ่านมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ผมมองรถคันหน้า คือ พี่ตั้มเปิดไฟเลี้ยวไว้ คงจะแวะหาอะไรลองท้องล่ะมั้ง แต่นี่เพิ่งสิบเอ็ดโมงเช้าอยู่เลย ผมตามไปจอดที่ร้านอาหารตามสั่งร้านใหญ่ เป็นร้านสำหรับพวกทัวร์ อาหารก็จะมีให้เลือกไม่มาก

"เมื่อยไหมพี่"ผมถามพี่ท็อป ที่ทำหน้าบูด ขณะที่เจ้าตัวกำลังถอดเสื้อแจ็คเก็ตออก "เออ เมื่อยตูดชิบ แต่กูไม่กล้าขี่เองว่ะ รถเยอะ"พี่ท็อปบิดขี้เกียจไปมา ผมมองยิมที่กำลังถอดหมวกกันน็อคมันส่งยิ้มให้ผมบางๆ

"ไปเหอะ"ผมดึงแขนพี่ท็อปให้เดินเข้าไปข้างในร้าน ผมมองหาโต๊ะนั่ง มีรถทัวร์มาลงก่อนหน้านั้น ทำให้ที่นั่งมีจำกัด พี่ตั้มโบกมือให้ผมจากโต๊ะตัวยาวนั่งริมสุด...ประเด็นคือนั่งร่วมโต๊ะกับเฮียแกน

“เหอะ แดกไม่ลงแน่เลยกู”พี่ท็อปบ่นพึมพำจากด้านหลัง ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เมื่อได้อาหารมา ผมจำใจเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามกับเฮียแกนพอดิบพอดี ผมถอนหายใจ นึกเซ็งๆกับสายตานิ่งๆที่จับจ้องมาที่ผมของเฮียแกน สายตารู้สึกผิดจากพี่ตั้ม และสายตาของไอ้ยิม บนโต๊ะอึดอัดขึ้นมาทันที พี่ท็อปถอนหายใจหลายครั้งต่อนาที แต่ก็ลงมือทานข้าวไม่สนใครหน้าไหน ผมรู้สึกอิ่มๆ ตรงๆคือกระเดือกไม่ลง แต่ก็ต้องฝืนตักเข้าปาก

เฮียแกนเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ ผมเห็นจากหางตาว่าเฮียแกยังคงจ้องผมอยู่ อะไรวะ อึดอัดจริงๆ เหมือนเฮียแกนสนุกกับการเล่นสงครามประสาทกับผม ไม่มีคำพูดออกจากปากสักคำ มีเพียงสายตาเย็นชาเท่านั้น

“...กินมันทอดไหมสอง เดี๋ยวกูไปซื้อให้”พี่ท็อปหันมาพูดกับผม

“เอาดิ ซื้อมาสองถุงเลยพี่”ผมยิ้มบอก พี่ท็อปลุกออกจากโต๊ะไม่วายส่งสายตาไม่พอใจไปให้เฮียแกนกับพี่ตั้ม ผมหยิบน้ำมาดื่ม จังหวะนี้ทำให้ผมสบตากับเฮียแกนเต็มๆ

“...ดีใจหรือปอดแหกที่เจอกูวะไอ้สอง”เฮียแกนเอ่ยเป็นครั้งแรก

“แค่ตกใจมากกว่า”ผมบอก เฮียแกนหัวเราะในลำคอ ไอ้ยิมหยิบยาหยอดตาออกมาวางบนโต๊ะ มันสะกิดแขนผมใต้โต๊ะ

“เหรอวะ แต่กูดีใจนะ มีโอกาสซะที”เฮียแกนแค่นเสียงหึหะ บนโต๊ะเงียบกริบ ผมหันไปมองพี่ท็อปที่กำลังจ่ายเงินอยู่ พยายามข่มผมอยู่สินะ เจอเฮียแกนผมก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นแผนที่วางเอาไว้อยู่แล้ว ผมได้แต่เดาว่าเฮียแกนจะทำอะไรกับผม คงไม่ผลักผมตกจากเขาหรอกมั้ง

“...ก็...แล้วแต่เฮียเถอะครับ ผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่”ผมไหวไหล่ เฮียแกนทำหน้าเหมือนหงุดหงิด ไม่ทันจะอ้าปากตอกกลับผมได้ ไอ้ยิมก็โพล่งออกมา

“เฮ้ยสอง หยอดตาให้กูหน่อย ไม่ถนัดว่ะ”ยิมยิ้ม ยื่นหลอดน้ำยามาใส่มือผม พี่ท็อปเดินกลับมาที่โต๊ะพอดีสีหน้ามึนงงที่เห็นผมลุกยืนไปหยอดตาให้ยิม ผมยิ้มให้พี่ท็อป ก่อนจะรีบๆหยอดตาให้ไอ้ยิม ไม่รู้ว่ามันทำเล่ห์เหลี่ยมใส่ผมหรือเปล่า มันเอาแต่กระพริบตาบ้าง หลับตาบ้าง ผมเสียเวลาหลายนาทีกับการหยอดตาให้มัน

“เรียบร้อย”ผมแอบกระตุกเส้นผมของอีกฝ่าย ติดมือมาสองสามเส้น มันทำหน้าเจ็บแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา พี่ท็อปจ้องหน้าผมนิ่งๆแล้วถอนหายใจ

“พักกันหายเหนื่อยแล้ว ไปต่อกันเหอะ เดี๋ยวจะไปถึงเขาค้อมืดนะเว้ย”พี่ตั้มบอก อันที่จริงไม่อยากพักนานกับบรรยากาศมาคุที่เพิ่มเข้าไปอีก

“ไอ้ยิมมันคิดจะทำอะไรกันวะ”พี่ท็อปทำหน้านิ่งๆก่อนจะหันมาพูดกับผม เท่าที่นึกออกมันคงรู้ว่าพี่ท็อปไม่ชอบมัน ก็เลยหาเรื่องให้พี่ท็อปอารมณ์เสียเล่นๆล่ะมั้ง

“มันแกล้งพี่ไงครับ อยากเห็นพี่หงุดหงิด”ผมบอก ขณะเดินไปเสียบกุญแจรถแล้วสตาร์ท พี่ท็อปหัวเราะเยาะๆ

“มันหาเรื่องยุ่งกับมึงด้วยนั่นแหละ...ทำไมกูจะไม่รู้...เออสอง ไอ้แกนมันพูดอะไรกับมึง”พี่ท็อปเข้ามากระซิบขณะที่ซ้อนท้ายผมก่อนจะสวมหมอกกันน็อค ผมเหลือบมองพี่ตั้มที่คร่อม ksr ไว้ ส่งสัญญาณให้เตรียมตัวออกรถได้แล้ว

“หาเรื่องกระทืบผมมั้ง”ผมบอกแล้วหัวเราะแห้งๆแบบไร้อารมณ์ ก่อนจะเร่งเครื่องขี่ตามพี่ตั้มไป มียิมตามหลังเหมือนเคย
พวกผมขับขี่ขึ้นมาเรื่อยๆ เส้นทางไม่ชันมากนัก ระหว่างสองข้างทางมีต้นไม้ลายล้อมเขียวขจีดูสวยสด พอทำให้ใจผมผ่อนคลายลง พวกผมเดินทางมาถึงเขาค้อประมาณเกือบ 5 โมงเย็น เป็นครั้งแรกที่ใช้เวลาเดินทางนานมากอาจเป็นเพราะแวะบ่อย พักเข้าห้องน้ำบ้าง อีกอย่างตลอดทางที่เข้าเขตป่าเขารถก็ไม่สันจรเยอะ จึงทำให้ขี่รถเรื่อยๆได้ จนกระทั่งมาถึงจุดชมวิว ผมเห็นหมอกลอยๆอยู่พอประมาณ เลยไปข้างหน้าอีกนิด ตรงทางไปรษณีย์ของเขาค้อมีกลุ่มหมอกลอยมาแน่นๆ อากาศสดชื่นเย็นสบายดี ตอนดึกๆอาจเย็นลงกว่าเดิมแน่นอน

พี่ตั้มบอกว่าจะกางเต้นท์นอนที่ตรงบริเวณไปรษณีย์นี่แหละ ข้างๆกับไปรษณีย์จะมีป่าสนเล็กๆ พอมีลมพัดมาหมอกก็ฟุ้งเป็นระยะ เป็นครั้งแรกของผมกับพี่ท็อปเลยที่ได้เห็นทะเลหมอกตอนเย็น

“เออ เตรียมกางเต้นท์ได้เลย เลือกมุมกันเอง เดี๋ยวพระอาทิตย์จะตกแล้วเนี่ย”พี่ตั้มบอก ท่าทางสบายไม่ตื่นเต้นเหมือนผม เพราะพี่ตั้มมาหลายครั้งมาก ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาเองกับกลุ่มเพื่อนๆของพี่เขา

“มุมนี้สวยดีนะ กางเต้นท์เสร็จแล้วเดี๋ยวไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกกันดีไหม โรแมนติกดี”พี่ท็อปยิ้มกว้างมองผมสายตาเป็นประกาย ขณะที่ช่วยผมกางเต้นท์จนเสร็จแล้วเข้าเอากระเป๋าคนละใบมาเก็บ พี่ท็อปเอากล้องออกมาปรับเลนส์ กว่าจะรู้ตัวก็โดนพี่ท็อปแชะไปหลายภาพแล้ว ผมหยิบกระเป๋าสะพายออกมา

“เออ มึงสองคนจะไปกับพวกกูหรือเปล่า กูจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาซ่อนแก้ว”พี่ตั้มเดินมาถามผมในเต้นท์

“ยังจะมาชวนผมอีก พี่แม่ง--”ผมไม่ได้ด่าพี่ตั้ม พี่ท็อปก็ตัดบทซะก่อน

“กูสองคนไม่ไป ไปก็เสียบรรยากาศเปล่าๆ”พี่ท็อปพูดนิ่งๆ พี่ตั้มถอนหายใจ เหลือบมองผมเงียบๆ “โทษทีว่ะสอง...กูไม่คิดว่าไอ้แกนมันจะมาด้วย...อีกอย่าง...”

“ครับๆ ผมไม่โกรธเคืองพี่หรอก”แต่ในใจนี่ไฟสุมจนท่วมหัวแล้ว พี่ตั้มหน้าเจื่อน ก่อนจะถอยออกจากเต้นท์ผมไป ผมได้ยินพวกนั้นคุยกัน เสียงเฮียแกนหัวเราะ ไม่นานนักเสียงฝีเท้าก็เริ่มเบาลง พี่ท็อปสบถ

“รมณ์เสียเลยแม่ง...เดี๋ยวกูไปซื้อเบียร์ที่มินิมาร์ท มึงเอาผ้าไปปูรอกูก่อนเลย”พี่ท็อปเปลี่ยนมายิ้มให้ผมแล้วลอดเต้นท์ออกไป
ผมหยิบผ้าผืนบางยาวพอที่ผมกับพี่ท็อปจะนั่งด้วยกันได้ จากที่คิดว่าทริปนี้คงหาเวลาสวีทกับพี่ท็อปแล้วแท้ๆ กลับกลายเป็นห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย ผมคว้าสมุดสเก็ตออกมาด้วย ก่อนจะรูดซิปปิดเต้นท์ไว้ ก่อนจะเดินไปเลือกที่สวยๆที่จะเห็นพระอาทิตย์ตกกระทบกับหมอกได้สวยๆ ผมนั่งรอพี่ท็อป

ตืด ตืด ตืด

มีข้อความจากไอ้ยิม.....ผมมองอย่างแปลกใจก่อนจะเปิดอ่าน

เดี๋ยวจะเอารูปมาฝากนะเว้ย –ยิม

ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจไอ้ยิมเลยสักนิด มันมาทำแบบนี้ทำไม ผมมองอย่างหงุดหงิดก่อนจะลบข้อความมันทิ้ง ลบเบอร์มันออกจากโทรศัพท์ด้วย พี่ท็อปเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมยิ้มโบกมือให้พี่ท็อป

“แถวนี้มีสอร์ทสวยๆทั้งนั้นเลยว่ะ”พี่ท็อปยื่นหน้ามาพูดเบาๆ

“อืม เปลี่ยนบรรยากาศดีนะพี่ อยากเปิดห้องหรอไงครับ”ผมหัวเราะ ผมคิดว่าพี่ท็อปพูดเล่นไปแบบนั้นเอง อีกฝ่ายแค่ยิ้มก่อนจะยื่นเบียร์มาให้ผมกระป๋องนึง

“อยู่กันสองคนแบบนี้ก็ดีนะ...”พี่ท็อปพูด เอื้อมมาจับมือผมไว้แล้วยิ้มกว้างให้ผม “ครับ ผมก็ชอบ”ผมยิ้มแก้เก้อไปแบบนั้น

“มึงกับกูไม่ค่อยถ่ายรูปด้วยกันเลยว่ะ”พี่ท็อปพูดขณะที่กำลังถ่ายรูปทะเลหมอกยามเย็น ฟ้าเริ่มลืดสลัวเป็นสีส้มแดง ผมกับพี่ท็อปไม่ชอบถ่ายรูปตัวเองเท่าไหร่ มันเลยทำให้ผมกับพี่ท็อปมีรูปคู่น้อยมาก แต่ผมก็ไม่ซีเรียส มันก็แค่รูป

“อืม ผมไม่บ้ากล้องว่ะ”ผมหัวเราะ พี่ท็อปหันมามองตาปริบๆ

“แต่ในเวลานี้ น่าจะมีรูปของเราเก็บไว้ดูบ้างนะ มาเดี๋ยวเอากล้องกูก็ได้”พี่ท็อปยิ้มพูดเสียงกระตือรือร้น หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะขยับมาใกล้ๆ แก้มแนบแก้มเลยล่ะ พี่ท็อปก็บ่นๆว่าน่าจะเอาขาตั้งกล้องมาด้วยจะได้มีภาพคู่สวยๆ
การเห็นทะเลหมอกในตอนเย็นพร้อมๆกับพระอาทิตย์ตก ทำให้ผมรู้สึกว่าคุ้มค่าอยู่เหมือนกันที่แลกกับอารมณ์ขุ่นมัวจากเฮียแกน 

ผมกับพี่ท็อปนั่งมองเงาต้นไม้ที่ผลุบๆโผล่ๆอยู่ท่ามกลางสายหมอกกับแสงยามเย็น มันสวยสุดๆครับ แถมโรแมนติกนิดๆ พี่ท็อปเลยหาจังหวะที่ปลอดสายตาคนดึงหน้าผมไปจูบปิดท้ายแสงสุดท้ายของเย็นวันนี้


ตกดึกอากาศเย็นลงจนต้องเอาผ้าห่มผืนบางมาแบ่งกันห่มกับพี่ท็อป หลังจากที่ขี่รถออกไปหามื้อเย็นบริเวณเขาลูกนี้ ผมกับพี่ท็อปก็เลี่ยงที่จะไม่เจอหน้าเฮียแกนไม่ใช่ว่าปอดแหกอะไร แต่ไม่อยากให้เกดบรรยากาศไม่ดีขึ้นมาอีก มันก็พลอยทำให้คนอื่นๆที่เหลือไม่สนุกไปด้วย

“ขอกอดหน่อย”ผมบอกขณะที่หันหน้านอนหนุนแขนพี่ท็อปไว้ พี่ท็อปแค่หัวเราะเบาๆ ผมกอดพี่ท็อปไว้แล้วข่มตาหลับ ผมรู้สึกว่าพี่ท็อปนอนลืมตามองผมอยู่

“ไม่ต้องกลัวน่า กูจะอยู่ข้างๆมึงเอง”พี่ท็อปพูดกับผมเบาๆ ผมกำลังกลัวอยู่หรือไง ลองถามใจตัวเองเรื่องของเฮียแกน...ใช่...ผมอาจกำลังหวาดหวั่นเล็กน้อย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆผมก็คงไม่ต่อต้านอะไร ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนที่พี่ท็อปบอก

“พี่จะไม่ทิ้งผมไปแน่นะ”ผมถามเบาๆแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย พี่ท็อปใช้มือเล่นเส้นผมของผมไปมาเบาๆจนผมเคลิ้มๆจะหลับ

“แน่นอนอยู่แล้วครับ”พี่ท็อปตอบหนักแน่น ก่อนจะเข้ามากอดผมไปด้วย


        หลังจากที่หลับไปได้สักพัก ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนตีสองกว่าๆ บรรยากาศในยามนี้เงียบสงบมีเพียงเสียงลม เสียงสัตว์กลางคืนให้ได้ยินเท่านั้นผมลุกไปเข้าห้องน้ำ เมื่อทำธุระจนเสร็จ ระหว่างที่เดินออกมาก็เจอกับเฮียแกนที่ยืนอยู่ในมุมมืดๆ ทำเอาผมชะงักกึก เฮียแกนโยนบุหรี่ทิ้งแล้วใช้เท้าเหยียบช้าๆ ก่อนจะหันมาจ้องผม

ผมไม่ได้หนีไปไหน เดินตรงไปหาเฮียแกน แค่มองนิ่งๆ ระหว่างนั้นผมกับเฮียแกนจ้องหน้ากันอยู่นาน ผมคิดว่าเบาะๆต้องโดนสักสองสามหมัด ในใจเต้นระส่ำ ผมกำลังกลัว...เพราะผมเป็นฝ่ายผิด ถ้าหากผมไม่มีชนักติดหลังผมจะไม่ยอมเฮียแกนต่อยหน้าผมได้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมทำอะไรก็ผิด

“...อยากจะคุยอะไรกับผมหรือเปล่า”ผมเอ่ยออกมาจนได้ เพราะเบื่อที่จะต้องเล่นสงครามแบบนี้

“หึ ยังมีเรื่องต้องคุยอีกหรือไงวะ”อีกฝ่ายส่ายหน้า เดินเข้ามากระชากคอเสื้อผมเต็มแรง จังหวะนั้นเล็บมือของเฮียแกนก็ขยุ้มข่วนเนื้อช่วงอกผมไปได้ รู้สึกเจ็บแสบชาๆนิดหน่อย

“...เฮียจะเอายังไง”ผมพูดต่อ แววตาของเฮียแกนมืดสนิทมีแต่ไม่พอใจ ที่แสดงออกมาให้ผมเห็น “ไอ้ยิมไม่เอาเรื่องมึง กูล่ะเชื่อมันเลย แต่กูไม่อ่อนข้อให้มึงหรอกนะ”เฮียแกนกัดฟันพูด

“ผมขอโทษเรื่องมิ้นท์”ผมพูด ...ไม่ได้โกหกเสแสร้งแต่อย่างใด  “มึงพูดช้าไป ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีเท่าไหร่”เฮียแกนหัวเราะเยาะใส่

“แล้วมิ้นท์เป็นยังไงบ้าง”ผมถาม เฮียแกนขมวดคิ้วแน่น เหมือนผมไปแตะสวิทซ์ความอดทนของเฮียแกนให้เปิดออก

“มึงไม่มีสิทธิ์ถามอะไร ไม่ต้องเข้ามาวุ่นวายกับน้องของกูอีก!”

“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะเฮีย”ผมเหนื่อยที่จะพูด แต่วินาทีที่ผมพูดจบ ผมก็รู้ว่าจะเจอกับอะไร

ผลั่ก ชั่วพริบตาเฮียแกนก็ชกหน้าผมเต็มแรง จนผมล้มลงไปนอนกับพื้นดินเย็นชื้น อาการชาที่โหนกแก้มพร้อมๆกับความเจ็บที่ค่อยๆซึมทราบเข้ามา เฮียแกนเข้ามาคร่อมผมไว้

“มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ถ้ามึงสำนึกผิดก็ควรจะเจียมกะลาหัวมึงหน่อย”เฮียแกนตะคอกง้างหมัดขึ้นสูงก่อนจะสวนใส่หน้าผมอีกหมัดจนได้เลือดครั้งนี้กระแทกโดนคางผมเต็มๆเลย

“อย่าคิดว่ากูจะอภัยให้มึง”

“เรื่องนี้ต้องถามกับมิ้นท์ว่าจะยอมอภัยให้ผมหรือเปล่า ...ถึงแม้ว่าพี่จะเกลียดผมแค่ไหนก็ตาม พี่ไม่มีสิทธิ์มาตัดสินแทนมิ้นท์”ผมพูด เฮียแกนเหมือนโมโหมากกว่าเดิม

“บอกแล้วไงว่าอย่าพูด มึงคิดว่ามิ้นท์จะยอมยกโทษให้อภัยผู้ชายหน้าตัวเมียอย่างมึงหรือไง ไม่มีทางหรอก”เฮียแกนผลักหน้าผมลงไปกระแทกพื้น ผมลุกขึ้นมานั่ง

“...ถ้ามิ้นท์เลือกอย่างนั้นผมก็ต้องยอมรับ”ผมเงยหน้ามองเฮียแกนนิ่งๆ ผมไม่หนีไปไหน เมื่ออีกฝ่ายโถมแรงเข้ามาถีบลงที่ท้องโดนลิ้นปี่ผมพอดี ผมจุกปวดจี๊ดขึ้นมาทันทีทำได้แค่งอตัวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด คนที่ยืนค้ำผมอยู่เหมือนอารมณ์ที่กักเก็บมานานถูกปลดปล่อยออก จากปะทะแรงๆค่อยๆผ่อนเบาลงเรื่อยๆ เหมือนตอนนี้แรงเกลียดชังเริ่มลดลง เฮียแกนหายใจแรง ก่อนจะขยุ้มศีรษะตัวเองเหมือนพยายามข่มอารมณ์ไว้

“ทำเป็นพูดดี จนมุมล่ะสิมึง ถ้าไม่มีเรื่องไอ้ยิมเข้ามา คนอย่างมึงก็คงทำตัวมั่วๆแบบเดิมไปเรื่อยๆ กูคิดไม่ถึงว่าไอ้ท็อปมันจะตาต่ำขนาดหนัก ลดตัวมาคบกับมึงเนี่ยนะ  ก็สมกันดีนะ”

“...พี่ท็อปเคยเป็นเพื่อนเฮียมาก่อนสินะ”ผมพยายามถามต่อ คอยถ่วงเวลาเฮียแกนไว้ ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังโกรธคงหลุดเรื่องอะไรออกมาบ้าง

“ใช่ แต่มันไม่ใช่เพื่อน ก็แค่คนรู้จักธรรมดาๆ กูกับมันไม่มีทางญาติดีกันหรอก....”เฮียแกนลุกขึ้นยืนมองผมด้วยสายตาที่เดาไม่ออก

“...ถ้าเฮียจะเล่นงานผม ก็ทำแค่ผม ขอร้องเหอะ อย่าดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”ผมพยายามทรงตัวลุกขึ้นยืน

“ทำไม มึงมีสิทธิ์อะไรมาห้ามกูวะ...ทำไม มึงระแวงไอ้ท็อปล่ะสิ”เฮียแกนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกวาดสายตามองมาที่ผมอย่างดูหมิ่น

“...”ผมไม่ตอบอะไร

“ก็ดีระแวงมันเข้าไป ไอ้ท็อปมันก็คล้ายๆมึงนะ คบใครไม่ค่อยยืด.....อาจจะรวมถึงมึงด้วยก็ได้...ระวังโดนเขี่ยทิ้งเข้าสักวัน กูจะหัวเราะเยาะมึงให้ลั่น”

“เฮียจะทำอะไรกันแน่”ผมถามเบาๆ ไม่พยายามไม่คิดมากกับคำของเฮียแกน

“....กลัวล่ะสิ มึงไม่เคยโดนทิ้งสินะ...หึๆ เจอกับตัวเข้าสักวันมึงคงจำไปจนวันตาย...”เฮียแกนเข้ามายืนตรงหน้าผม สีหน้าเรียบเฉย “ใช่ไหม...มึงกลัวเรื่องนี้สินะ...”เฮียแกนยกยิ้มอย่างพอใจ

“ไอ้แกน...”ผมแอบสะดุ้ง เมื่อเห็นร่างสูงคุ้นตามายืนเงียบๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงจึงรู้ว่าเป็นพี่ท็อป เฮียแกนหันไปมองหน้าพี่ท็อปแล้วยิ้มเยาะ พี่ท็อปเร่งฝีเท้าเดินมาหาผมก่อนจะมองมาที่รอยช้ำจากหมัดเฮียแกนอย่างตกใจ ก่อนจะหันไปหาเฮียแกน

“มึงเป็นบ้าอะไรวะ”พี่ท็อปพูดกับเฮียแกน ผลักอกเฮียแกนแรงๆจนเซ

“มึงก็อีกตัว ระวังไว้เหอะ กูกับมึงยังเคลียร์กันไม่จบ...กูพร้อมเสมอที่จะจบเรื่องของมึง อย่ามัวแต่หนีสิวะ”ผมมองเฮียแกนกับพี่ท็อปอยู่เงียบๆ

“เออ กูก็เบื่อเต็มทนกับเรื่องนี้แล้ว”พี่ท็อปตะคอกใส่ เฮียแกนยิ้มยียวนมาให้

“มันอยู่ที่มึงนั่นแหละ—แล้วหวังว่าคราวนี้มึงจะไม่เข้ามายุ่งอีกนะ”เฮียแกนหันมาพูดกับผม “และตราบใดที่มึงยังไม่ได้บทเรียนเจ็บๆล่ะก็...กูไม่เลิกราแน่”เฮียแกนทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับเต้นท์ของตัวเองไป

ผมปล่อยให้ถ้อยคำนั้นฝังซึมลงในสมอง ปล่อยให้เฮียแกนเดินหายลับไป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 10 เผชิญหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 19-07-2015 19:50:25
“มึงเป็นอะไรมากไหม”พี่ท็อปจับหน้าผมหันไปมาเพื่อดูแผลที่หน้าของผม ผมส่ายหน้า พี่ท็อปมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักดูเป้นกังวล

“ผมโอเคน่า”ผมยิ้มออกมา แล้วปัดเนื้อตัวที่เปื้อนดิน พี่ท็อปถอนหายใจแรงๆก่อนจะพาผมเดินกลับมาที่เต้นท์ ผมไม่รู้ว่าพวกนั้นนอนหลับกันจริงๆหรือเปล่า แต่ผมเห็นเต้นท์ของไอ้ยิมยังมีแสงเล็ดรอดบางๆออกมา ผมลอดตัวเข้าไปในเต้นท์

“มึงจะไม่ตอบโต้มันเลยใช่ไหม”พี่ท็อปถามเสียงขุ่น เอื้อมมือมาแตะผลแตกที่มุมปากของผม

“แล้วจะให้ผมสวนกลับหรอ...ผมผิดนี่ ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”ผมหลับตาถอนหายใจ ความเจ็บแปลบพุ่งขึ้นมาเมื่อผมเอนตัวนอนลง พี่ท็อปชะงักก่อนจะมองผมนิ่งๆแล้วเข้ามาเลิกชายเสื้อผมขึ้น

 “มันก็ใช่ แต่มึงจะยอมเป็นกระสอบทรายให้มันตลอดไม่ได้ ป้องกันตัวบ้างสิ ไม่งั้นมึงจะเจ็บหนักแน่ๆ มือตีนมันไม่ธรรมดาเลยนะเว้ย”พี่ท็อปทำหน้าเครียด ดูเป็นห่วงผม พี่ท็อปลูบรอยแดงๆเป็นปื้นที่หน้าท้องของผมเบาๆแล้วถอนหายใจ พรุ่งนี้มันคงช้ำแน่ๆ

ผมมองพี่ท็อปแล้วยิ้มกว้างจนเจ็บปาก

“เป็นห่วงผมด้วยเหรอ”

“กูก็ต้องห่วงมึงสิ”พี่ท็อปทำตาโตใส่เหมือนตกใจที่ผมถามแบบนี้ออกไป

“แหม ชื่นใจจัง”ผมหัวเราะ พี่ท็อปมองหน้าผมด้วยสายตาฉงน “น้ำเสียงประชดๆนะ ...กูไม่อยากให้มึงเจ็บตัวแบบนี้เลย...”พี่ท็อปพูดเสียงจริงจัง ผมนิ่งคิด นี่มันแค่เริ่มต้นเอง

“กินยาแก้ปวดกับแก้อักเสบกันไว้เลยนะ ตอนเช้ามึงต้องปวดแผลแน่ๆ”พี่ท็อปค้นหาแผงยาในกระเป๋าสะพายของตัวเองอยู่สักพักก่อนจะแกะเม็ดยาออกมาจากแผงอย่างละเม็ด ก่อนจะยื่นเม็ดยาให้ผมกับขวดน้ำ

“ขอบคุณครับ”ผมยิ้มบางๆแล้วพยุงตัวขึ้นมากรอกยาเข้าปาก อันที่จริงผมเกลียดการกินยาเม็ดมาก มันจะขมคอและอยากจะแหวะออกมาเมื่อรสขมของยาสัมผัสคอ แต่ในเวลานี้ผมกลืนยาลงคอไปง่ายๆ จากนั้นผมล้มตัวนอนลงหันหลังให้พี่ท็อป หน้าตาผมตอนนี้ไม่ชวนมองแม้แต่น้อย อันที่จริงผมไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นว่าผมอ่อนแอ เจ้าตัวดึงผ้าห่มให้ผมแล้วยกแขนมาโอบผมซะแน่น

“อย่าคิดมากสิวะ กูรู้ว่ามึงกังวลเรื่องของกู บอกแล้วไงแววตามึงฟ้องทุกอย่าง นอนเหอะ อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้”พี่ท็อปกระชักแขนแน่นขึ้น ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะข่มตาให้หลับ วันพรุ่งนี้ของผมคงไม่สนุกอีกต่อไปแล้วสำหรับทริปครั้งนี้


รุ่งเช้าตรู่อากาศแจ่มใส มีหมอกบางตา เวลาประมาณแปดโมงเช้า ผมกับพี่ท็อปช่วยกันเก็บเต้นท์จนเสร็จ พวกเฮียแกนตื่นก่อนผมเพราะไปที่วัดใกล้ๆเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น และเป็นดังคาดผมปวดแผลที่แก้ม มีรอยฟกช้ำเด่นขึ้นสีชัดเจน แผลที่มุมปากเจ็บตึง พี่ท็อปดึงมือผมไปที่ห้องน้ำ

“ไหนดูสิ....”พี่ท็อปมองไปทั่วใบหน้าของผมก่อนจะควานหาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆมาชุบน้ำแล้วเช็ดหน้าให้ผมเบาๆ “ล้างหน้าล้างตาก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปซื้อยาให้”พี่ท็อปจับมือผมก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไป ผมล้างหน้าอีกครั้งแล้วแปรงฟัน น้ำก็ยังไม่ได้อาบเลย คงกลับไปอาบที่หอเอาแล้วกัน

ไม่นานนักพี่ท็อปกลับมาพร้อมพลาสเตอร์แปะแผล ลายการ์ตูนสีน้ำตาลอ่อน มาแปะรอยแผลโหนกแก้ม ผมยิ้มมองหน้าพี่ท็อปไม่วางตา

"..กลับถึงหอแล้วเดี๋ยวนอนพักซะนะ "พี่ท็อปมองหน้าผม ก่อนจะรั้งต้นคอผมลงมาจูบ “ครับผม”ถ้ามีคนดูแลแบบนี้ก็โอเคแล้วล่ะ

"กูเป็นห่วงมึงนะ "พี่ท็อปยิ้มแล้วจับมือผมเดินออกจากห้องน้ำ เจอไอ้ยิมยืนพิงผนังห้องน้ำอยู่ข้างๆท้างเข้า ผมมองมันอย่างแปลกใจ ไหนว่าไปวัดบนเขา ทำไมกลับมาเร็วจัง มันหันมามองหน้าผมกับพี่ท็อป

"ขอคุยกับไอ้สองหน่อย"ยิมพูดกับพี่ท็อป ผมเหลือบมองพี่ท็อปที่ทำหน้าไม่พอใจเท่าไหร่

"...อย่านานล่ะ"พี่ท็อปพูดห้วน ก่อนจะหันมายิ้มให้ผม "อย่าไปเล่นกับมันมากนะ"พี่ท็อปกระซิบ ผมหัวเราะเบาๆ "วางใจได้ เดี๋ยวตามไป"ผมยิ้มบอก พี่ท็อปพยักหน้าแล้วเดินกลับไปที่วางสัมภาระของตัวเอง

ผมเดินไปหายิม “มีเรื่องอะไรครับ”ผมทำหน้าเบื่อหน่าย ชีวิตผมก็วนเวียนอยู่แค่นี้ คนใกล้ชิดกับศัตรูอย่างเฮียแกนทั้งนั้น พี่ตั้ม ยิม...

“...มึงเป็นไงบ้าง”ยิมถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง มันมองไปทั่วใบหน้าและลำตัวของผม ราวกับว่าจะสแกนให้เห็นทั้งนอกทั้งในเสื้อผ้า

“แล้วพี่เห็นผมไม่โอเคหรือไง”ผมยิ้มขำ แล้วละสายตาออกจากหน้ารู้สึกผิดของยิม “กูก็ไม่รู้ว่าไอ้แกนจะมาด้วย”มันรีบพูด ผมส่ายหน้า

“อืม ผมรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่ได้โทษพี่ซะหน่อย อีกอย่างผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากด้วย”ผมไหวไหล่อย่างไม่สนใจเท่าไหร่

“กูกลัวมึงเข้าใจผิด.... กูไม่ได้ร่วมมือกับมันนะเว้ยสอง”อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ผมจนชิด แต่ผมถอยห่างออกมา

“...ขอบใจนะพี่...แต่ผมไม่อยากโดนหลอกอีก ผมว่าพี่อย่ามายุ่งกับผมอีกเลย...ผมระแวงไปทุกๆอย่างแล้วในตอนนี้”ผมบอกเบาๆ ขณะพูดก็มองหน้าอีกฝ่ายไปด้วย มันมีสีหน้าตกใจกับคำพูดของผม ให้ผมระแวงพี่ท็อปกับเฮียแกนแค่นี้ก็พอ มันน่าจะลดความวุ่นวายลงได้

“เดี๋ยวมึง—”

ผมไม่รอให้ยิมมีโอกาสได้พูดอีก จึงเดินแยกออกมาหาพี่ท็อป ตอนนี้ตื่นกันหมดแล้ว พี่ตั้มมองหน้าผมอย่างสลดเมื่อเห็นแผลบนหน้าผม

“เออ จะกลับตอนไหน”พี่ท็อปถามพี่ตั้ม ขณะที่สะพายกระเป๋าไว้บนหลัง ผมเดินไปหาพี่ท็อปไม่สนสายตาของเพื่อนพี่ตั้มหรือแม้แต่เฮียแกน

“บ่าย ๆ ค่อยกลับ กูว่าจะไปภูทับเบิกต่อ มึงสองคนจะไปหรือเปล่า”พี่ตั้มบอกก่อนจะเหลือบมองผมอีกรอบ “...ไม่ล่ะ พวกพี่ไปกันเหอะ ผมจะอยู่ตามแถวนี้นี่แหละ”ผมบอก แล้วหันไปมองพี่ท็อป อีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วย

“เออ งั้นเจอกันนะเว้ย”พี่ตั้มบอก แต่ยังหลบสายตาผมอยู่ก่อนจะเดินไปหาเฮียแกน ผมสะพายกระเป๋าขึ้นหลังล้วงหยิบกุญแจรถมาถือไว้ในมือ ก่อนจะเดินไปหาพี่ท็อปที่ละสายตาจากกลุ่มเฮียแกนมามองผมแทน

“สองไปหาอะไรกินกันเถอะ”พี่ท็อปพูด แล้วเข้ามาจับมือผมไปด้วย

“ไปร้านไหนดีพี่ เมื่อเย็นก็ไม่ได้เดินสำรวจ”ผมถาม ขณะเดินมาถึงที่จอดรถ

“ตอนกูไปซื้อยาให้มึง เห็นร้านดีๆอยู่ร้านนึง มา เดี๋ยวกูขี่เอง”พี่ท็อปบอก แล้วดึงกุญแจรถจากมือของผมไป ผมมองไปรอบ ๆ รถไม่เยอะเลยไว้ใจให้พี่ท็อปเป็นคนขับขี่ได้ตามสะดวก อีกฝ่ายพาผมมาที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากไปรษณีย์นัก ประมาณ 5-10 นาทีก็ถึงแล้ว

ดูเหมือนพี่ท็อปจะเคยมาแล้วล่ะมั้งเพราะรู้ที่ทาง พาผมเดินไปที่ร้านอาหารในรีสอร์ทสไตล์โมเดิร์นๆอยู่ที่ชั้นสอง โต๊ะติดระเบียงด้านนอก มีทิวเขาสลับหมู่บ้านให้เห็นให้มองกันจนเพลินตา

“พี่เคยมาเหรอ”ผมถามขณะที่เปิดดูเมนูอาหาร

“เปล่าหรอก พี่เข้าไปดูรีวิวเอาน่ะ เห็นว่ารีสอร์ทนี้สวย อาหารอร่อย”พี่ท็อปส่งยิ้มเงยหน้าขึ้นมองผม

“มีแผนการตลอดนะพี่เนี่ย”ผมขำ ก่อนจะเหลือบมองราคากาแฟหลักร้อยแล้วแทบไม่อยากกินเลย แต่ก็นะ ผมว่ามันคุ้มอยู่แลกกับวิวสวยๆแบบนี้ อาหารชนิดอื่นไม่ต้องพูดถึงเลย

“มื้อนี้พี่เลี้ยงนะ อยากเอาใจ”พี่ท็อปยิ้มกว้าง ผมเหลือบไปมองพนักงานสาวสวยที่เดินมารับออเดอร์ ผมเลยสั่งอาหารง่ายๆจานเดียว กับกาแฟ พี่ท็อปสั่งสเต็กมา เอาวะหรูเชียว

“ให้ผมออกครึ่งนึงเถอะพี่ มันแพงอยู่นะ”ผมบอก เกินพันแน่นอน ให้พี่ท็อปเลี้ยงเหมือนเอาเปรียบยังไงไม่รู้ อีกฝ่ายพยักหน้าไม่ได้แย้งอะไรกลับมา ผมมองออกนอกระเบียงมองสายหมอกบางๆกระจายตัวฟุ้งอยู่ตามทิวเขา

“..วิวสวยเนอะ เราน่าจะมานอนที่นี่”พี่ท็อปหันมาพูดสีหน้ามีความสุข

“นั่นสิ ถ้ามากันสองคนคงโรแมนติกสุดๆ”ผมหัวเราะจนเจ็บปาก คงฟินไปเลยทีเดียว กระเป๋าคงแบนไปไม่น้อยเมื่อเห็นค่าห้องต่อคืนแวบ ๆ

“วันหลังเรามาด้วยกันอีกเนอะ สอง” พี่ท็อปขยับมาจับมือผมบนโต๊ะ

ผมมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ถ้ามีอีกก็ดีสิ ผมแค่ยิ้มแล้วหยิบสมุดสเก็ตออกมา ร่างภาพพี่ท็อปไปพลางๆ ฆ่าเวลาตอนมือว่าง อีกฝ่ายหันหน้ามามอง “วาดอีกแล้วเหรอ ไหน วาดไปถึงไหนแล้ว”พูดจบ เจ้าตัวยื่นหน้ามามองสมุดสเก็ตของผม

“ก็เกือบๆทุกอิริยาบถ ยกเว้นตอน....”ผมเอ่ยช้า ๆ ยิ้มเจ้าเล่ห์ มองหน้าพี่ท็อปอยู่ตลอด “อะไร ตอนโป๊เหรอ”เจ้าตัวพูดต่อ ผมไหวไหล่

“ผมวาดไปแล้ว ...เหลือแต่ตอนกินตับอ่ะพี่”ผมแกล้งพูด ก่อนจะหัวเราะออกมา พี่ท็อปทำหน้าเหวอ

“ฮ่าๆ ทะลึ่งนะ อุจาดฉิบ”อีกฝ่ายเอื้อมมาตบศีรษะผมเต็มแรง ผมได้แต่ร้องโอดโอยพลางคิดในใจ อะไรกัน คนเจ็บอยู่แท้ๆ ไม่ทะนุถนอมกันเลย

“อะไรพี่ นี่มันงานศิลปะ มันอยู่ที่จิตวิญญาณครับพี่”ผมบอก หลังจากอีกฝ่ายเลิกทำร้ายผมแล้ว เจ้าตัวส่ายหน้า “วาดเก็บไว้ว่าวหรือไง”

“เก็บไว้เป็นความทรงจำไง พอมองรูปคงจำเรื่องทุกๆเรื่องที่เคยทำด้วยกัน...”ผมลองพูดออกไป เพื่อสังเกตปฏิกิริยาของพี่ท็อป แล้วละสายตาไปมองนอกระเบียงแทน

“เฮ้ย ทำไมมึงพูดแบบนี้วะ” อีกฝ่ายหุบยิ้ม แล้วเอื้อมมือมาจับคางผมหันมาทางพี่ท็อปตามเดิม

“แค่พูดเฉย ๆ ยังไงซะก็ต้องมีวันที่ต้องแยกกันอยู่ดี อีกไม่นานพี่ก็จะจบออกไป”ผมบอก ชีวิตวันข้างหน้า ใครจะไปคาดเดาได้ ผมเองยังไม่แน่ใจเลยว่าจะคบกับพี่ท็อปได้นานแค่ไหน

“มึงทำเสียบรรยากาศหมด พอ ๆ เลิก  เป็นคนคิดมากตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”พี่ท็อปคว้าเมนูฟาดลงบนหัวผมเบา ๆ แก้สถานการณ์ ทำเอาผมหลุดขำออกมา เจ้าตัวมองหน้าผมแล้วส่ายหน้า จากนั้นออร์เดอร์ของผมกับพี่ท็อปก็มาเสิร์ฟ เราสองคนลงมือทานอาหารเงียบ ๆ  เมื่อจัดการของคาวจนหมดเรียบร้อย ก็เหลือสั่งของหวานมาเพิ่ม ผมเสมองไปที่นอกระบียง ขนาดนี่ก็เก้าโมงกว่า ๆ แล้วแดดยังไม่ออกเลย อากาศดีมากจริงๆ ยิ่งอยู่กับคนที่เรารักด้วยล่ะก็ ...แทบไม่อยากกลับจริงๆ เพราะเวลานี้ได้อยู่กับพี่ท็อปแบบไม่ขอคิดอะไรมาก

หนำซ้ำอีกฝ่ายชอบทำให้ผมรู้สึกพิเศษขึ้นมาอีกแล้ว มาทำให้ผมหวั่นไหวจนเสียกระบวนไปหมด ไอ้สองคนนี้คงรักพี่ท็อปเข้าไปแล้วจริงๆหรอเนี่ย... แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อรักไปแล้ว ถ้าจะเจ็บกลับมา ก็คงห้ามไม่ได้

 “สอง...”

“...ครับ”ผมหันมาหาพี่ท็อป ในมือเหมือนกำอะไรไว้ในมือ ผมมองอย่างสงสัย

“พี่มีอะไรจะให้ด้วย”อีกฝ่ายพูดเบา ๆ ดวงตาเป็นประกายวูบไหวเหมือนมีอะไรที่น่าสนใจ “ทำอะไรลับๆล่อๆ”ผมทำหน้ามึน ผมมองทุกอิริยาบถของเจ้าตัว

“หลับตาก่อนดิ”พี่ท็อปบอก ผมทำหน้างง แต่ก็ยอมทำตามนั้น ...หลับตาลง หูของผมได้ยินเสียงพี่ท็อปขยับของบนโต๊ะ ทำอะไรสักอย่างบริเวณโต๊ะทางด้านหน้าผม

ในใจผมเต้นรัว ผมมั่นใจว่าไม่ใช่แหวน หรือข้าวของ เพราะพี่ท็อปไม่ชอบใส่เครื่องประดับ ผมก็เช่นกัน ผมไม่เคยอยากได้สิ่งของแทนใจพวกนี้เลย

“ลืมตาได้...”น้ำเสียงพี่ท็อปเจือเสียงตื่นเต้นพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆของพี่ท็อป ผมลืมตา เจอกับใบหน้าของพี่ท็อป เลื่อนสายตามองลงบนโต๊ะ

เฮ้ย

“นี่พี่เปิดห้องเหรอ”ผมยิ้มกว้างเมื่อเห็นกุญแจของรีสอร์ทวางอยู่บนผ้าเช็ดปาก ผมหยิบมาดูมีพวงกุญแจไม้แกะสลักเลขห้องไว้ด้วย

“ไม่ดีเหรอไง อยู่เที่ยวต่อกัน แค่มึงกับกูไง”พี่ท็อปเท้าคางมองผมยิ้มๆ สายตามีความสุขดี  “จะให้ผมโดดเรียนหรอไง”

“...กูก็โดด”พี่ท็อปหัวเราะ ไม่รู้ว่าอำ หรือพูดจริง อยากสวีทก็ต้องแลกเวลาเรียน ของผมตั้งครึ่งเช้าแหนะ ดีนะเป็นวิชาของมอ กับวิชาเพ้นท์ซึ่งให้ทำงานเดิมให้เสร็จขาดได้อยู่แล้ว

“โอเค ก็ได้ นี่แสดงว่าวางแผนไว้เรียบร้อย หวังผลอะไรหรือเปล่า”ผมแกล้งบอก หวังฟันผมล่ะสิ

“อืม ถ้าไม่วางแผนไว้มึงจะอยู่กับกูหรอ... เห็นว่าทริปนี้แม่งห่วยแตก ก็เลยอยากต่อเวลาให้มึงอีกไง แล้วรีสอร์ทมีห้องว่างพอดี”อีกฝ่ายพูด ผมมองเจ้าตัวแต่ไม่ได้พูดอะไร

 “กูอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นที่วัดตรงเขานู่นน่ะ เห็นรูปในอินเตอร์เน็ตวัดลอยอยู่บนหมอกเลย กูอยากจะไปเห็นเหมือนกัน”พี่ท็อปพูดไปยิ้มไป ผมไหวไหล่ ถึงขนาดจองไว้แล้ว จะล้มเลิกก็เสียเวลาอีก

“ก็ดีเหมือนกัน อยากไปกับแฟน”ผมบอก

“กูโทรบอกไอ้ตั้มก่อนนะ”พี่ท็อปหยิบโทรศัพท์โทรหาพี่ตั้มทันที “เออ ไม่ต้องรอ งั้นแค่นี้นะ”พี่ท็อปวางสายจากพี่ตั้มท่าทางหงุดหงิด “ยังจะมากวนอารมณ์กูอีก”

“ทำไมเหรอพี่”

“เชี่ย แกนน่ะสิ แม่ง ปากหมา”ผมพยักหน้า คงจะพูดแซวอะไรแน่ ๆ แต่พี่ท็อปคงไม่อยากได้ยินจากคู่อริ เมื่อเช็คบิลค่าอาหารแล้วก็ตรงไปยังห้องพักชั้นสาม เปิดประตูเข้าห้องไป ในห้องตกแต่งเรียบง่าย ที่เตียงนอนตกแต่งสวยงามมีหมอนสามสีวางเรียงกัน ห้องน้ำ ระเบียง ทุกอย่างดูสวยลงตัว ห้องน้ำสามารถเปิดเข้าไปเห็นห้องนอนได้ด้วย ดูเหมือนอีกฝ่ายชอบอะไรที่มันแปลกนิดหน่อย

“คิดนานไหมเนี่ย ตอนจองห้องน่ะ”ผมวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ ก่อนจะเดินไปรูดม่านออก “ไม่เลย กูนึกถึงมึงคนแรกเลย อยากให้มึงมีความสุขมากกว่า”พี่ท็อปพูด เดินเข้ามากอดผมจากด้านหลัง

“ขอบคุณมากครับ ที่ชวนผมโดดเรียน”ผมตอบ พี่ท็อปหัวเราะออกมาทันทีแล้วผลักผมออก แค่ล้อกันสนุกๆ ผมกระโดดลงไปนอนบนเตียง นุ่ม สปริงตัวดีมาก แต่ผมก็เจ็บแปลบที่ลิ้นปี่อยู่ดี  ถ้ามานอนคนเดียวคงเหงา ห้องแบบนี้ สวีทรูมชัด ๆ

“งั้นวันนี้ทำอะไรกันดีวะ”พี่ท็อปล้มตัวนอนลงข้างๆผม

“ฮั่นแน่ จะซั่มผมเหรอ”ผมแกล้งเอามือไปลูบหน้าพี่ท็อปที่กำลังงับนิ้วผมไว้แทน “เออ ซั่มเมียผิดตรงไหน”ว่าแล้วก็กัดดังกึก เข้าเนื้อเลย

“เจ็บนะเนี่ย  พูดซะสะเทือนใจเล็กน้อย  เพิ่งอิ่ม ๆ เนี่ยนะ”ผมหัวเราะ ไม่ไหวมั้งแบบนี้ พี่ท็อปชะเง้อหน้าจากหมอนมามองผม

“ใครจะเอาตอนอิ่ม ๆ  บ้าหรือไง รอคืนนี้ก่อน เสร็จกู”ผมทำเสียงอือออตอบรับไป หลวมตัวมาด้วยขนาดนี้ คืนทุนให้หน่อยล่ะกัน 

“ยังไม่เที่ยงเลยพี่ อยากไปไหนป่ะ”ผมพลิกตัวไปหาพี่ท็อป ใจจริงอยากนอนต่อสักงีบหนึ่งเอาแรงซะหน่อย

“ง่วงว่ะ กินเยอะไปหน่อย”พี่ท็อปหัวเราะคลอไปด้วย “เยี่ยมเลย ผมก็ง่วง งั้นนอนแล้วนะ อย่ากวนด้วย”ผมบอก แล้วขยับไปตบหมอนให้ฟูๆ แล้วนอนลงทันที




ผมตื่นมาอีกที ฟ้าก็มืดแล้วเห็นจากหน้าต่างที่เปิดม่านไว้จนสุด ผมมองนาฬิกาที่ผนัง 19:00 น.  หลับเป็นตายเลย ผมเห็นโน้ตแปะไว้ว่า เจ้าตัวออกไปซื้อของด้าล่าง ผมออกมานั่งเล่นที่โซฟา เปิดทีวีดูไม่ห้องเงียบเกินไป ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง อีกฝ่ายก็กลับมา ผมมองถุงหิ้วในมืออีกฝ่ายอย่างสังเกต


“อ่ะ รางวัล”พี่ท็อปโยน Condom แบบธรรมดากับแบบปุ่มมาให้ผม เฮ้ย พี่ท็อป ผมพูดไม่ออก อีกฝ่ายยิ้มกริ่ม

 “เลือกเอาอยากได้แบบไหน”ผมแค่หัวเราะ นี่อีกฝ่ายไม่เห็นผมเป็นคนบาดเจ็บอยู่เลยเหรอ ผมโยนแบบธรรมดาไปให้แบบไม่ต้องคิด “สงสารผมเหอะ”ผมบอกก่อนจะเอาไอ้สัมผัสพิสดารไปเก็บในลิ้นชัก คิดแล้วเสียวแทน ฮึ่ย

“ถ้าไม่พอก็ใช้ของรีสอร์ท ในห้องน้ำเห็นมีสองสามอัน”เจ้าตัวยิ้มเจ้าเล่ห์  ผมฟังแล้วลังเลใจว่าอีกฝ่ายกำลังหยอกผมอยู่หรือเปล่า

“เครื่องพังพอดี ใช้งานเบา ๆ ก็ดีนะพี่”ผมบอกแล้วขึ้นไปนอนพิงหมอนบนเตียง พี่ท็อปหยิบเอาสำลี ยาฆ่าเชื้อออกมาวางบนโต๊ะ ยาแก้อักเสบแผงนึงคนละยี่ห้อกับที่เจ้าตัวให้ผมกินเมื่อคืน

“กูไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก มึงยังเจ็บอยู่”อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ ก่อนจะเดินมานั่งตรงหน้าผม แล้วยื่นมือมาจับหน้าผมหันซ้าย หันขวา “เริ่มช้ำเลือดแล้วไอ้สอง ไม่เจ็บเหรอ”เจ้าตัวทำหน้าเหมือนเจ็บแทน

“อืม ก็พอทนได้ แต่พอคุยๆกับพี่ก็พอให้ลืมความเจ็บไปได้บ้าง”ผมบอก พี่ท็อปผงะก่อนจะเบ้หน้า “เน่าฉิบ”อีกฝ่ายทายาให้ผมเสร็จ  “เออ จะกินข้าวยัง จะได้สั่งมาเลย มึงต้องกินยาอีก”ผมเริ่มห่อเหี่ยว

“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกพี่ ไม่กินไม่ได้หรอ ทายาอย่างเดียวพอ”

“ไม่ได้ จะได้หายเร็ว ๆ”

“ก็ได้ครับ สั่งมาเลยก็ได้”ผมบอก พี่ท็อปก็บริการดีตามเคย โทรไปสั่งรูมเซอร์วิสให้ผม ระหว่างนั้นพี่ท็อปก็เดินไปหยิบกระเป๋ากล้องออกมาเช็ครูป

ตืด ตืด ตืด

ผมมองโทรศัพท์ เป็นเบอร์แปลก แต่ผมสี่ตัวท้ายได้ เป็นเบอร์ยิม ผมลังเลนิดหน่อย อีกฝ่ายจะโทรมาทำไมอีก จนแล้วจนรอด ผมก็เอื้อมไปกดรับสายอยู่ดี

“ฮัลโหล”ผมรับสาย ทว่าปลายสายยังคงเงียบอยู่ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

[ มึงเป็นยังไงบ้างวะ]

“ก็มีความสุขดีนี่หว่า ทำไมเหรอพี่”ผมตอบ

[...จะกลับเมื่อไหร่] ยิมถามเสียงเรียบเฉย ผมถอนหายใจ

“พรุ่งนี้ แล้วมีอะไรหรือเปล่า”ผมยังสงสัยว่าอีกฝ่ายมันโทรมาทำไม

[งั้นก็ขาดเรียนน่ะสิ...]

“อืม แต่ก็คุ้ม”ผมบอกไปแบบนั้น ถ้าวิเคราะห์กันตรงๆ มันไม่คุ้มกันหรอก

[...มึงโกรธกูเหรอ]

“เปล่าหรอก...แต่ผมไม่อยากยุ่งกับพี่อีก เข้าใจใช่ไหม”ผมอารมณ์เสียขึ้นมาทันที พี่ท็อปเงยหน้ามามอง มีสีหน้าสงสัย ก่อนจะก้มไปสนใจกล้องต่อไป แต่มั่นใจว่าเจ้าตัวต้องแอบฟัง ส่วนยิมเงียบไปนาน จนผมคิดว่ามันวางสายไปแล้ว แต่พอมองหน้าจอ เวลายังขึ้นอยู่ “ยิม...”

[…ทำไมวะ มาปอดแหกอะไรตอนนี้]

“...เพื่อความปลอดภัยของผมเอง ผมควรระวังตัวเองใช่ไหม”

[ไอ้แกนไม่เกี่ยวกับกู]

“แต่เฮียคุมพี่ได้ใช่ไหม”ผมถามมัน บางครั้งก็แปลกใจที่คนอย่างยิมไปยอมฟังเฮียแกนแบบนั้น

[…มันคนละเรื่องกัน กูยังอยากคุยกับมึงนะเว้ย] คนปลายสายเงียบไปอีกรอบ ผมได้แค่เสียงลมหายใจของอีกฝ่าย

“...ผมยังไม่ไว้ใจพี่”

[ทำไมวะ]

“ช่างเถอะ เจอกันแล้วค่อยเคลียร์ โอเคนะครับ ผมเจ็บปาก”ผมบอก อยู่ๆก็เอาลิ้นดุนแผลด้านใน ยิมถอนหายใจ

[อืม...แล้วเจอกัน]

ผมได้แต่ถอนหายใจ รู้สึกว่าผมคงคาดหวังกับยิมเกินไป

หลังจากที่ทานมื้อค่ำอิ่มเป็นที่เรียบร้อย พี่ท็อปก็เข้ามาทายาฆ่าเชื้อตามแผลพกช้ำให้ผม ระหว่างนั้นพี่ท็อปก็ไม่ได้ถามเรื่องโทรศัพท์เมื่อครู่ก่อนนั้น

“...ยิมมันโทรมา...เฮ้อ ผมจะไม่เข้าไปยุ่งกับมันแล้ว”ผมบอกขณะที่เอนตัวนอนลงบนเตียง พี่ท็อปเดินไปปิดไฟในห้องน้ำแล้วปิดในห้องเตรียมนอน ผมเอื้อมไปเปิดสวิทซ์โคมไฟ ผมเป็นโรคอย่างนึงคือถ้าปิดไฟแล้วจะนอนไม่หลับ อาจเพราะผมกลัวแต่ก็ไม่เชิงว่ากลัวความมืด อาจแค่ไม่ชินกับการนอนในห้องสี่เหลี่ยมมืดมิด ถ้าไม่เปิดไฟในห้องน้ำไว้ก็เปิดโคมไฟไว้แทน ผมนอนมอง

อีกฝ่ายที่เดินมานอนที่เตียงข้างกายผม

“ถ้ามึงสบายใจแบบนั้นก็ดีแล้ว แต่มันจะยอมอยู่เฉยๆแน่หรอ ในเมื่อมันชอบมึง”พี่ท็อปหันหน้ามามองผม ถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมคงต้องเคลียร์ให้รู้เรื่องหรือไม่ก็จนกว่าเรื่องของเฮียแกนจะจบลงก่อน

“...มันต้องเข้าใจ”ถ้าหากว่าไอ้ยิมมันชอบผมจริงๆ คืนนั้นผมกับพี่ท็อปนอนหลับสบาย ผมยังอยู่รอดปลอดภัย คอนดอมกล่องนั้นยังไม่ได้แกะ ถึงเจ้าตัวจะทำท่าเสียดายก็เถอะ 

  พี่ท็อปตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีห้า เพราะวางแผนจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่วัดบนเขาที่อยู่ไม่ไกลจากตัวรีสอร์ทนัก ผมเองก็อยากเห็นภาพวัดลอยอยู่บนหมอก พี่ท็อปทำหน้าที่แฟนที่ดีเป็นคนอาสาขี่รถเอง ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีก็ถึงแล้ว เมื่อมาถึงวัดตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แต่น่าผิดหวังนิดหน่อยเช้านี้ไม่มีหมอกเลย พี่ท็อปเลยเกิดอาการเซ็งแล้วก็ตัดสินใจขับรถเข้าไปดูทะเลหมอกในเขาดีกว่า

เมื่อเริ่มเห็นแสงสีทองที่ขอบฟ้า เห็นหมอกลอยต่ำระหว่างทางที่ขี่รถก็จะมีกลุ่มหมอกเป็นช่วง ๆ เมื่อมาถึงวัดที่เลยไปรษณีย์มาหลายกิโลฯ ทะเลหมอกที่วัดเป็นเนินเขาสูงๆต่ำๆสลับกันไป มีหมู่บ้านผลุบๆโพล่ๆอยู่กลางหมอก เห็นท้องฟ้าเป็นสีทองกระจ่างตาเลยทีเดียว อย่างน้อยครั้งนี้ก็มาไม่เสียเที่ยวเท่าไหร่ พี่ท็อปใช้เวลาถ่ายรูปอยู่นานจนเพลินไปเลย จากนั้นก็เดินเล่นที่วัดอยู่ไม่นานก็กลับมารีสอร์ท เตรียมเช็คเอ้าท์ตอนสิบโมงเช้า

พี่ท็อปเป็นคนขี่มอเตอร์ไซด์ในรอบขากลับนี้ เพราะไม่อยากให้ผมเหนื่อย

“รู้ไหมแผนการล่มไปหนึ่งอย่าง”เจ้าตัวพูดให้ฟังหลังจากที่เช็คเอ้าท์ออกมาแล้ว ผมเดาได้เลย ถ้าตามสูตรแล้วทำเซอร์ไพร์ผม จองห้องไว้จะไม่พ้นเรื่องบนเตียงได้ยังไง

“ช่วยไม่ได้ จังหวะไม่ดี”ผมยิ้มขำ  เท่านี้ก็สิ้นสุดทริปของผมกับพี่ท็อป ถ้าไม่มีเรื่องเฮียแกน มันน่าโอเคและเป็นไปได้สวยงามกว่านี้ ผมต้องทำยังไงกันแน่ ถึงจะหมดเรื่องพวกนี้ไปเสียที  แต่เอาเถอะ ผมตัดสินใจจะหาวิธีติดต่อกับมิ้นท์ ผมจะเคลียร์ทุกเรื่องและขอโทษมิ้นท์ซะ

สำหรับพี่ท็อป ในตอนนี้ไม่รู้ว่าจะสามารถเป็นหมาที่แว้งกัดเจ้าของได้หรือเปล่า หรือมันจะมาตายเอาตอนจบ เพราะรักเจ้าของมันมากเกินไป

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 19-07-2015 20:59:41
อยากบอกว่าคนอ่านก็ระแวงเหมือนกัน เหอๆ ชักประสาทไปด้วยแล้ว เหอๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 19-07-2015 21:48:57
จะเขื่อใจใครได้มั้งเนี่ย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 19-07-2015 22:16:21
 :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 19-07-2015 22:21:40
ระแวง สับสน งง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 19-07-2015 22:43:02
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 19-07-2015 22:43:17
สับสนตามสองทุกที 5555555555555555
ทุกครั้งที่พี่ท็อปทำให้ไว้ใจ สองก็ยังคงสงสัยอยู่ตลอด
แล้วนี่เฮียแกนแกยังมาพูดแบบนี้อีก โอ้ย...ขอเถอะ
พี่ท็อปก็แสดงออกว่ารักสองนะ คงไม่มีอะไรแอบแฝงใช่มั้ย TwT
กับพี่ยิมนี่เฮียแกรุกหนักขึ้นทุกที 5555555555555
กลัวจะมาเป็นมือที่สามจริงๆนะ
 :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-07-2015 22:50:26
อ่านแล้วก็ระแวงตาม
ทำไมรู้สึกว่าพี่ท๊อปน่าระแวงสุดก็ไม่รู้
ลุ้นต่อไปๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ziqh.leo ที่ 19-07-2015 22:54:02
นี่ระแวงแทนสอง เอาจริง 555555
กลัวใจท๊อปมากเลย เชียร์ท๊อปนะ
แต่ก็กลัวมาแบบแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ 55

แต่เราว่ายิมไม่น่ามีอะไรแล้วนะ
ส่วนแกนถ้าได้แก้แค้นแล้ว ก็คงไม่อะไรแล้วมั้ง
แต่ไม่ชอบ ตรงที่เหมือนชอบกัดอ่ะ นิสัยผู้หญิงมาก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 19-07-2015 23:43:41
อ่านไปก็ระแวงแทนสองไปเหมือนกันนะ

พี่ท็อปหวานมากตอนนี้

ลุ้นกันต่อไปปปป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 20-07-2015 00:05:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 20-07-2015 01:23:02
จะหวานจะสุขก็ไม่สุด  รู้สึกโหวงเหวงในช่องท้องตลอดเวลา  ยังกับเป็นสองที่โดนแกนต่อยที่ท้อง

ใจบอกสำเหนียกรู้ว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นเพียงแต่ไม่รู้ว่าอะไรกับใครจะทำให้เกิด  หรือจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

คิดว่าสองอาจจะถูกท็อปทิ้งหลังจากที่รักเข้าไปเต็มหน่วย  เหมือนสองเตรียมใจแล้วเรียบร้อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เจ็บ

เรื่องโยนี่โทษสองได้ไม่น่าจะเต็มปากเพราะว่าโยเองก็ใช่ย่อย  กรณีโยนี้รู้สึกว่าสองเป็นแพะรับบาปเต็มๆ

อยากรู้ว่าสองทำอะไรมินท์ ทำน้องท้องแล้วทิ้งหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 20-07-2015 06:00:06
สับสน ใจเริ่มเอียงไหายิม
แต่ก็ยังชอบพี่ท๊อปอยู่เหมือนเดิม
เฮ่ออ ไม่รู้เว้ย แต่ ลงเอยคงเป็น ท๊อปสองแหละ. ไม่น่าเป็นยิมได้
 :hao4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 20-07-2015 08:51:10
เป็นคนอ่านนี่สับสนยิ่งกว่าไอ้สองอีกเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-07-2015 09:03:57
 :really2:  ระหว่างที่อึนๆหน่วง ระแวงสงสัย เราขอให้พี่ท็อปคืนความสุขให้คนอ่านด้วยการ ON TOP แบบตอนบทนำค่ะ
เรารู้ว่าสองมันก็หวังอยู่ 555   :impress2: 
เอาใจช่วยนะสอง อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดแต่ว่าห้ามประมาทเด็ดขาด
คนเขียนสู้ๆค่ะ มาต่ออีกไวๆนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 20-07-2015 13:39:25
สองระแวงซะแล้ววขนาดรักพี่ท็อปสองก็ยังไม่มั่นใจล่ะ  เฮียแกนคงจะช่วยพี่ยิม จีบสองเพื่อให้สองกับพี่ท็อปเจอบทเรียนที่ทำไว้กับน้องมิ้นท์แน่ๆเลย พี่ท็อปก็เป็นเพื่อนเก่าของเฮีย รึว่าเอียแกนจะชอบพี่ท็อปตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมล่ะ พอพี่ท็อปเล่นน้องสาวแกแล้วเกิดเรื่องน้องมิ้นท์ขึ้นมา เฮียแกเลยไม่พอใจกลายเป็นอารมณ์แค้นใจไม่หาย  จินตนาการสำคัญกว่าการรู้ความจริง ๕๕๕  รอ รอ รออ่านตอนใหม่คับ มาเร็วๆนะคับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 20-07-2015 17:26:35
จะหวานก็วานได้ไม่สุดติ่ง มีแต่ระแวงกับสงสัยสุดๆ เลยตอนนี้
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 20-07-2015 21:47:09
สนุกดีๆ
เรื่องน่าปวดหัวเยอะมากกกกก
ยิมนี่ดีจริงใช่มั้ย แอบชอบหรอ
แล้วพี่ท็อป จริงใจมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 20-07-2015 22:42:12
พี่ท็อปน่ารักอ่ะ ดูแลเมียเป็นอย่างดีเลย  o18 แต่มันก็ฟินได้ไม่ค่อยสุดเท่าไร เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่ทำให้พี่ท็อปน่าสงสัย แต่พี่ท็อปคงไม่ได้มาร้ายใช่ไหม เพราะไม่งั้นคงบอกรักสองแบบส่งๆ ไปง่ายๆ แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก :hao4:
แถมความเป็นไปได้ที่ยิมจะคู่กับสองแทน ก็มีให้เห็นเรื่อยๆ อีก สรุปว่าเดาทางไม่ถูกเลย  :serius2:

ยังไงก็ลุ้นท็อปสองนะ ถ้ามองข้ามเรื่องความหวาดระแวงไป เวลาที่สองอยู่กับพี่ท็อป สองจะดูอ้อนๆ ยอมท็อปตลอด ส่วนท็อปก็เอาใจใส่สองดี  :กอด1: 

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: nuttzier ที่ 20-07-2015 23:27:54
เรื่องเยอะจังเนอะ  คุณชายสอง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 21-07-2015 02:08:39
จะเชื่อใจใครได้บ้างมั้ยยยยย
อ่านไปก็ระแวงตลอดเวลาเหมืินกัน กลัวหักมุมอีก  :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: namzagirl ที่ 21-07-2015 02:44:12
สับสนสุดๆ :serius2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 21-07-2015 09:30:32
แต่ดู ๆ ไปพี่ท็อปมันก็ดูจะชอบสองบ้างแหละแต่อาจจะยังไม่ใช่รัก

ส่วนยิมนี่ถ้าให้คิดนะเหมือนแอบชอบสองอยู่เลย

แบบว่าเคยเจอกันตอนม.ปลายแล้วเป็นรักแรกพบไรเงี่ย

แต่พอดีมาเกิดเรื่องน้องของยิมก่อนเลยเปลี่ยนจากชอบมาเป็นเจ็บปวดและแค้นแทน

แต่เพราะชอบนั้นแหละที่ทำให้ตัดใจไม่ได้เลยมาแอบตีเนียนใกล้ชิดแบบนี้

แต่ก็ดันมีไอ้พี่ท็อปอีกคนเลยยังแทรกไม่ได้ไง

เรามโนไปเอง ขอภัยหากใครมาอ่านคอมเม้นท์เรา 5555

ส่วนเฮียแกนคิดว่าแค้นฝั่งหุ่นมาก แบบว่าไม่ได้เอาคืนชาตินนี้นอนตายตาไม่หลับแต่ก็ควรให้น้องมาเคลีย์ด้วยป่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-11 #19.07.58 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-07-2015 12:29:23
 :hao7:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 11 จอมวางแผน
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 22-07-2015 21:28:17
ตอนที่ 11 จอมวางแผน

ผ่านไปสองสัปดาห์ผมกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมคืออยู่กับกลางวันอยู่ห้องตัวเอง ส่วนตอนกลางคืนไปนอนกับพี่ท็อป แต่ก็ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาพี่ท็อปมีงานเยอะขึ้น บางครั้งก็ไม่ได้โทรคุยกันเลย บางครั้งก็ไม่ได้กลับมานอนที่ห้อง ส่วนเฮียแกนไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ส่วนยิมก็ไม่ค่อยมาให้ผมเห็นหน้าตั้งแต่วันที่มันโทรมาหาผม  ผมเทียวไปเทียวมาระหว่างคณะกับหอพัก ไหนจะงานปั้นแบบนูนสูง ไหนจะงานเพ้นท์มิดเทอมที่ดูเหมือนผมคงต้องเร่งเผางานเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ

“มึงชอบหายหัวไปอยู่เรื่อย ติดแฟนแล้วทิ้งงานเหรอวะ”ไอ้ผิงได้ที ด่าผมตั้งแต่เจอหน้าที่ห้องเพ้นท์ ผมถอนหายใจเบื่อหน่าย เมื่อกี้ก็เจออาจารย์บ่นๆมาแล้วรอบนึง มาเจอไอ้ผิงอีกตัว สมองผมจะรวน

“กูก็มาแล้วนี่ไง อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”ผมบอกมัน ก่อนจะผสมสีในถาด ไอ้ผิงเท้าเอวมองผมทำงาน สงสัยมันคงเสร็จแล้ว น่าอิจฉาจริงๆ ตอนนี้มันก็เหลือแค่งานปั้นเท่านั้น เรื่องเฮียแกนผมไม่ได้เล่าให้มันฟัง แต่ผมว่ามันก็รู้นั่นแหละว่าหน้าผมโดนใครต่อยมา อริผมจะมีใครไปได้

“เฮ้อ มึงนี่นะ มากูช่วย แค่ลงแบ็คกราวด์ด้านหลังใช่ไหมวะ”ผมหันมองมันอย่างซึ้งใจ ไอ้ผิงก้มตัวอยู่เหนือถาดสี

“เออ ขอบใจนะเว้ยผิง เสร็จงานแล้วกูจะ—”

“เลี้ยงกูชุดใหญ่เลยนะเว้ย ไม่ถึงใจ กูไม่ยอมจริงๆนะมึง”ไอ้ผิงชิงตัดบทผมก่อน แล้วยื่นมือมาตบกะโหลกผมแรงๆจนสมใจมัน ก็ไม่ใช่ว่าผมจะทำไม่ทันหรอก แต่ผมไม่ได้มีแค่งานนี้งานเดียว ต้องแบ่งเวลาไปทำงานปั้นอีก ของผมเพิ่งนวดดินแค่นั้นเอง ของไอ้ผิงกับเพื่อนหลายๆคนขึ้นรูปกันแล้ว

“หลังมิดเทอมนะเว้ย”ผมบอกแล้วยิ้มให้ตัวเองอย่างน้อยก็เพื่อนดีๆคนนึงล่ะ

“เออ ไอ้สอง ทำไมช่วงนี้มึงดูโทรมๆไปวะ”ไอ้ผิงหันหน้ามาจากเฟรมงาน ผมนิ่งไปแล้วตีหน้าแช่มชื่น

“สงสัยนอนน้อยมั้ง กูคิดงานดึกๆติดมาหลายวันแล้ว”ผมบอก อันที่จริงคิดมากเรื่องเฮียแกนนั่นแหละ ผมกำลังหาทางติดต่อกับมิ้นท์ แน่นอนเบอร์เก่าไม่ได้ใช้แล้ว อีกอย่างจะไปให้พี่ตั้มช่วยก็ไม่ได้อีก เดี๋ยวเรื่องไปถึงหูเฮีย ผมต้องเข้าเฟซไปล่าขุดหาเพื่อนเก่าสมัยมัธยม แอบถามถึงมิ้นท์ดูส่วนใหญ่ก็ไม่มีเบอร์ติดต่อแล้ว ผมไม่กล้าถามมาก ไม่รู้ว่าเพื่อนคนไหนยังสนิทกับมิ้นท์อยู่หรือเปล่า เดี๋ยวเฮียแกนตามรอยเจอ

“พักผ่อนบ้างนะมึง เดี๋ยวป่วยแล้วจะซวย ใกล้จะมิดเทอมแล้วนะ”ไอ้ผิงมองผมอยู่นานก่อนจะหันไปลงสีต่อ ผมถอนหายใจ เรื่องของมิ้นท์เหมือนไม่เห็นทางไปต่อได้เลย

“เออ หมดงานแล้วก็คงหลับเป็นตาย...เอ้อ ผิง กินอะไรเปล่าวะ กูว่าจะไปซื้อกาแฟ”ผมลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าเงินมาถือ ไอ้ผิงทำหน้าคิดอยู่หลายนาที

“อืม...เอาชาเย็นมาให้แก้วนึง มึงจ่ายใช่ไหม”ไอ้ผิงหัวเราะ ผมพยักหน้าไปให้มันแล้วเดินออกจากห้องเพ้นท์ผ่านใต้ตึกภาควิชา ไปยังร้านกาแฟที่อยู่ข้างกัน ผมเหลือบตามองไปตามโต๊ะใต้ร่มที่มีช็อปวิศวะมานั่งอยู่สองโต๊ะ ภาคเดียวกับพี่ท็อป แต่คนละกลุ่มกัน เป็นยิมนั่นเอง

ขณะที่ผมเดินไปสั่งกาแฟ ยิมที่นั่งอยู่โต๊ะติดกับต้นไม้ใหญ่ มันหันมามองเห็นผมพอดี คราวนี้มันกลับมาใส่แว่นอีกครั้งนึง “แล้วก็เอาชาเย็นหนึ่งแก้วด้วยนะครับ...”ผมบอกพี่แยม “จ้า สั่งให้เพื่อนซี้เหรอ ทำไมรายนั้นเปลี่ยนเมนูบ๊อยบ่อย”พี่แยมหัวเราะไปด้วยเมื่อพูดถึงไอ้ผิง แต่ก็จริงนะ มาสั่งทีก็เปลี่ยนไปเรื่อย

“อย่าไปสนใจมันเลย แค่เอาเงินอย่างเดียว”ผมหัวเราะเบา ๆ  รู้สึกเหมือนมีคนมายืนใกล้ ๆ “ขอคาปูชิโน่อีกแก้วด้วยครับ”ยิมเผยยิ้ม ขณะที่พี่แยมกำลังชงออเดอร์ของผมอยู่ ผมหันไปมองหน้ามันนิ่งๆ ก่อนจะขยับหนีไปยืนออกห่าง

“ไม่ทักหน่อยเหรอไง”ยิมหันมาคุยกับผม ผมแกล้งหยิบใบเมนูมาดู  “กูแค่อยากมาเตือน...”
ประโยคนี้ทำเอาผมหันขวับไปมองทางมันทันที “หมายความว่าไง เตือนเรื่องอะไร”ผมถามห้วนๆ ไอ้ยิมแค่หัวเราะอยู่ในลำคอ

“อย่าพยายามที่จะตามหามิ้นท์เลย...ไม่งั้นมึงเดือดร้อนแน่”ผมนิ่งไป... มันรู้ได้ยังไง หรือว่าเฮียแกนรู้

“เรื่องของผมเหอะ”ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจ ยิมเข้ามาคว้าแขนผมไว้ คงกลัวผมหนีเพราะคาปูชิโน่ของผมได้แล้ว ผมทำหน้าหงุดหงิด แต่มันยังคงจับแขนผมแน่นไม่ปล่อย

“ทำไมมึงต้องดื้อรั้นขนาดนี้...แฟนมึงไม่ได้เตือนหรือไงว่าเข้าไปยุ่งกับมิ้นท์อีกจะเจออะไร”ผมขมวดคิ้วกับคำพูดของยิม พี่ท็อปเคยติดต่อกับมิ้นท์ด้วยเหรอ ผมหันไปมองหน้าอีกฝ่าย ในใจสับสนปั่นป่วนขึ้นมา ยิมคลายมือที่แขนผมลง มันคงรู้ว่าผมคงไม่หนีไปไหนแน่นอน

“ได้แล้วจ้าสอง”พี่แยมพูดแทรก มีสีหน้าแปลกๆมองผมสลับกับยิมไปด้วย ผมรับแก้วชาเย็นมาวางแล้วจ่ายเงิน ผมเตรียมจะถามมันเรื่องนี้แต่มันทำหน้านิ่งพูดขึ้นมาก่อน

“หาที่เงียบ ๆ คุยกัน”ยิมเหลือบมองผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเคย ผมถอนหายใจ ในเมื่อมันมีเรื่องสำคัญขนาดนี้ ผมคงไม่โง่เดินหนีมันไปไหน หลังจากที่ไอ้ยิมจ่ายเงินค่ากาแฟแล้ว ผมก็พามันไปที่ห้องเพ้นท์ ไอ้ผิงมองยิมด้วยสายตางุนงง แต่ไม่ได้ถามอะไร ผมพามันไปหลังห้องเพ้นท์ จะได้ไม่ถูกรบกวนจากเพื่อนๆผม

 “พี่มาที่นี่ไม่คิดว่าเฮียแกนจะเห็นเหรอ”ผมเหลือบมองไปรอบๆอย่างระแวง

“ไม่หรอก วันนี้มันไม่อยู่น่ะ ไม่งั้นกูจะถ่อมาซื้อกาแฟที่นี่ทำไม...”ยิมมองหน้าผมแวบนึงก่อนจะหันไปมองอย่างอื่นแทน

“แล้วที่มึงพูดมาเมื่อกี้หมายความว่าไงวะ”

“...กูแปลกใจ ทำไมไอ้ท็อปไม่เล่าให้มึงฟังบ้าง”อีกฝายยิ้มยียวน ทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมา อีกแล้วเหรอพี่ท็อปที่โกหกผม แล้วยังมีเรื่องอะไรที่พี่ท็อปบอกผมไม่หมดบ้างนะ ยิมส่งยิ้มแปลกๆมาให้

“ถ้ากูไม่เอ่ยถึงไอ้ท็อปมึงก็คงไม่สนใจขนาดนี้”ผมมองหน้ามันอย่างเหนื่อยหน่าย “อย่าลีลา พูดมาเถอะ”ผมพูดตัดความร้อนรนในใจ

“...มึงจำได้ไหมที่ไอ้แกนท้าไอ้ท็อปชกที่ค่ายเฮียอ๋องน่ะ”

“เออ จำได้”เรื่องในวันนั้นเป็นชนวนให้เฮียแกนเริ่มแสดงท่าทีไม่ชอบหน้าผม

“...ก็เพราะไอ้ท็อปมันไปหามิ้นท์ กูไม่รู้หรอกว่ามันไปทำอะไรแต่ไอ้แกนมันโกรธมาก ถึงขั้นท้าชกไอ้ท็อปและอยากน็อคมันแบบนั้น”ยิมพูด มันถอนหายใจแรงๆ เรื่องราวในวันนั้นฉายเข้ามาในหัวทันที ถ้าผมไม่เข้าไปห้ามพี่ท็อปต้องโดนน็อคแน่นอน เฮียแกนท้าพี่ท็อปด้วยเรื่องของมิ้นท์ แต่ผมเข้าไปห้ามในวันนั้นซะก่อน เฮียแกนก็ยอมหยุดให้ผม

 ตอนนั้นผมไม่ได้เอะใจอะไรทั้งนั้น พอมาในวันนี้ มันกลับกัน มันน่าสงสัยมากจริงๆ ทั้งเฮียแกน พี่ท็อป ผมพยายามนึกถึงคำพูดของเฮียแกน... แต่ก็จำได้ลางๆ

“แล้วพี่รู้อะไรอีกหรือเปล่า ...วันนั้นได้อยู่ที่ค่ายมวยไหมะ”ผมถามต่อ ยิมมองผม ชั่วอึดใจนึงมันก็ถอนหายใจอีกครั้ง สีหน้าของเจ้าตัวดูเหมือนเหนื่อยล้า

“อืม...อยู่...”มันตอบสีหน้าเรียบเฉย

“แล้วพี่ก็เห็นทุกอย่างสินะ พี่รู้ไหมว่าทำไมเฮียแกนถึงยอมหยุดชก” ถ้าหากผมรู้เหตุผลที่เฮียแกนยอมหยุดชกพี่ท็อป บางทีอะไรๆมันคงกระจ่างขึ้นมาบ้าง

“...กูไม่รู้เหมือนกัน”ไอ้ยิมส่ายหน้า แต่ผมไม่เชื่อแบบนั้น มันต้องรู้อะไรบ้างแน่ๆ

“...ทำไมพี่ถึงบอกความจริงกับผมไม่ได้ล่ะ มาหาผมทั้งที แล้วยังมาปิดบังอีก”ผมระบายอารมณ์ที่อัดอั้นมานาน เดินไปเตะขวดพลาสติกเก่าที่วางอยู่ตามพื้นแถวนั้น

“ได้ ถ้ากูบอก ...มึงต้องกลับมาคุยกับกูเหมือนเดิม”ยิมเข้ามาดึงรั้งท่อนแขนของผม ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าตัว

“อะไรนะ”ผมล่ะเชื่อมันเลย นี่มันกล้าต่อรองงั้นเหรอ ผมโบกมือส่ายหน้า ถ้ามียิมยังวนเวียนอยู่ใกล้ผมแบบนี้ ผมก็ยิ่งระแวงหนักกว่าเดิม

“...กูยอมไม่เอาเรื่องมึงนะสอง...กูอุตส่าห์ล้มเลิกการแจ้งความ ทั้งๆที่กูเตรียมหลักฐานเอาไว้แล้ว”ไอ้ยิมพูดเสียงดัง ผมใจหายวูบไปทันที หลักฐานงั้นเหรอ ถ้าอีกฝ่ายจะรวบรวมหลักฐานแจ้งความเมื่อไหร่ก็ได้สินะ ผมดึงแขนออกจากมือยิม ก่อนจะเดินวนไปวนมาเพื่อคบคิด

ผมเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายที่ยืนกอดอกมองมาทางผม

“ก็ได้ ผมยอม แต่พี่ต้องบอกสิ่งที่พี่รู้มาให้หมด”ผมเอ่ย จ้องเข้าไปในแววตาของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ยิมพยักหน้า

“ได้ กูจะบอกมึง เรื่องแรก ทำไมไอ้แกนถึงยอมหยุดชก เพราะมันมีแผนน่ะ แผนที่เพิ่งคิดออกในตอนนั้น ไอ้แกนมันไม่คิดว่ามึงจะเข้ามาวุ่นวายขนาดนี้ ถึงขั้นบอกให้มันยกเลิกการชก”ไอ้ยิมเริ่มเล่า ผมขมวดคิ้วตาม แผนงั้นเหรอ

“แผนที่จะเอาคืนผมน่ะเหรอ”ผมพึมพำ สังหรณ์ใจถึงลางร้ายขึ้นมา พอนึกถึงความโกรธของเฮียแกนที่มีต่อผมแล้ว ก็อดหวั่นในใจไม่ได้ อีกฝ่ายคิดจะทำอะไร

“อืม”ยิมผงกหัวทันที

“เกี่ยวอะไรกับพี่ท็อปหรือเปล่า”ผมถามเสียงเบา กระอักกระอวนเล็กน้อย ผมไม่ชอบที่เผยจุดอ่อนของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้ ไม่อยากให้รู้ว่าผมก็ระแวงพี่ท็อปหรือให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง

 ยิมมองผมด้วยสายตาใคร่ครวญก่อนจะแย้มยิ้มออกมา

“มึงสงสัยไอ้ท็อปด้วยเหรอวะ นึกว่ามึงโง่อย่างที่ไอ้แกนบอกเสียอีก”ยิมหัวเราะเบาๆ ยิ่งทำให้ผมไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่

“บอกมาสิ...”

“...กูไม่แน่ใจเหมือนกัน...แต่ที่กูรู้ ไอ้แกนมันอยากใช้ไอ้ท็อปหลอกมึง”

ผมเงียบ บอกไม่ได้ว่าตอนนี้รู้สึกออย่างไร เพราะมันปะปนกันไปหมด ความรู้สึกใจหายวูบ ตกใจ  เสียใจ   หรือบางทีผมอาจรู้อยู่แล้วว่า เรื่องมันจะเป็นแบบนี้ การหลอกลวงน่ะ ผมพยายามนึกถึเหตุการณ์ในวันนั้น

“เฮ้ย มึงเสือกอะไรด้วยวะ พวกกูตกลงกันแล้ว มึงลงไป กูจะชกต่อ”พี่ท็อปเป็นฝ่ายพูด
“มันไม่เกี่ยวกับมึง ลงไป มันเป็นเรื่องของกูกับไอ้ท็อป ไม่เกี่ยวกับมึง” คำพูดของเฮียแกน
 “มึงมันโง่ไอ้สอง  เออ ก็ได้ ...ไอ้ท็อปมันยอมแพ้ในครั้งนี้ แต่ครั้งหน้ากูไม่หยุดแน่ๆ”


 ถ้อยคำในวันนั้นของพี่ท็อปกับเฮียแกนประดังเข้ามาทันที เหมือนย้อนไปในวันนั้นเห็นได้เป็นฉากๆ

“สอง”

“แล้วไง มันจะหลอกอะไรผม”ผมถาม แต่ไม่ได้หันไปมองหน้ายิมอีกแล้ว คำพูดของเฮียแกนในทริปคราวก่อน ผุดขึ้นมาทันที นี่น่ะเหรอ...บทเรียนแบบเจ็บๆน่ะ พี่ท็อปจะทำแบบนี้จริงเหรอ ผมไม่อยากเชื่อ

“กูไม่รู้หรอก แต่มันก็น่าจะเดาๆได้ มึงอย่าเพิ่งด่วนตัดสินสิวะ กูยังพูดไม่จบเลย”ไอ้ยิมเข้ามาจับไหล่ผมเขย่า คงกลัวผมสำลักความจริงตายล่ะมั้ง

“เออ ว่ามา”

“แต่...ไอ้ท็อปมันไม่ร่วมมือด้วย ไอ้แกนเลยโมโหมาก จำได้ว่าวันนั้นมันเหมือนคนบ้าเลย มันเมาด้วยแหละ กูได้ยินมันพึมพำว่า อุตส่าห์ให้โอกาสไอ้ท็อปอีกครั้ง แต่ไอ้ท็อปก็โยนทิ้งไป มันเลยผิดแผนไปหมด...”ยิมเงียบ สายตามันดูเป็นห่วงผมอย่างไม่ปิดบัง ผมกระพริบตา อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก

ผมสูดหายใจเข้า อย่างน้อยตอนนี้ผมก็เบาใจขึ้นมา ที่พี่ท็อปไม่ได้ร่วมมือกับเฮียแกนจริงๆสินะ

“แล้วเฮียแกน มีแผนอื่นเหรอ?”

“อืม...”

“อะไรล่ะ”ผมถาม ผลักอีกฝ่ายออกไปให้พ้นตัว

“ไม่รู้เหมือนกัน มันไม่ค่อยไว้ใจกูแล้ว เพราะกูไม่แจ้งความเรื่องมึงไง...ตอนแรกไอ้แกนมันคิดจะใช้กูจัดการมึง อย่างน้อยๆ มึงก็ต้องขึ้นศาล เสียชื่อเสียง แล้วก็อนาคตด้วย...แต่กูไม่ทำ”ยิมถอนใจ เดินไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อน ถอดแว่นตาออก ผมมองมันอย่างสับสน

 “ทำไมครับ ทำไมพี่ถถึงไม่แจ้งความไปเลยล่ะ มันก็ง่ายนิดเดียว หลักฐานก็มีแล้วนี่”ผมถาม เดินไปยืนตรงหน้ามัน อีกฝ่ายหลบตาผม

“ไม่รู้สิมันบอกไม่ถูก กูคิดเรื่องนี้หลายตลบ ความตั้งใจตอนแรกของกูคือ ตามหาคนที่ทำให้ไอ้โยทำตัวเหลวไหล อยากแจ้งความ...จนมารู้ว่าเป็นมึง กูเกลียดมึง ยิ่งรู้ว่ามึงชวนไอ้โยไปทำอะไรมาบ้าง กูก็ยิ่งไม่อยากทำใจชอบมึง กูยิ่งสับสนมาก กูเองก็ไม่อยากให้มึงไปทำแบบนี้กับใคร อยากให้มึงได้บทเรียน แต่กูก็กลัว กูไม่อยากให้มึงเจอเรื่องแบบนี้เพราะไอ้โยมันก็ไม่ได้เป็นเหยื่อ กูก็รู้ว่ามันเป็นคนยังไง”ยิมพูดออกมายืดยาว ผมได้แต่ยืนฟัง ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของมันอยู่

“...กูเลยเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น...อีกส่วนนึงเพราะว่ากู...ชอบมึง”ยิมเงยหน้าขึ้นมองผม

“...แต่กู—”ผมกำลังจะแย้งออกไป

“ช่างเถอะ ไม่ต้องพูด”อีกฝ่ายพูดแทรกก่อนที่ผมจะทันพูดจบ

“ขอบใจนะ ที่ไม่แจ้งความ”ผมพูดจากใจ เรื่องโย ผมก็ผิดส่วนนึง ในส่วนที่ชักจูงมันทำในสิ่งที่ไม่ดี(ในสายตาของคนในครอบครัวมัน) ผมไม่ใช่คนแรกของมันก็จริง แต่ผมเป็นคนเปิดโลกให้มันรู้ มันเห็น จนมันชักเหลวไหล ขาดเรียนบ่อยและเริ่มดื้อด้าน

“อืม...กูบอกมึงได้เท่านี้”ไอ้ยิมใส่แว่นกลับเข้าที่ ก่อนจ้องหน้าผมเหมือนว่าผมเป็นฝ่ายผิด

“อืม”

“เรื่องไอ้แกนก็ระวังไว้บ้าง ส่วนไอ้ท็อป ไม่ต้องฟังกูมากก็ได้นะ เพราะกูจะใส่ไฟมัน”ไอ้ยิมทำหน้าเหมือนพอใจ เอาเถอะ ผมจะใช้สมองกลั่นกรองอีกต่อ ว่าใครเป็นยังไง

“พี่นี่ทำตัวเป็นเด็กขี้อิจฉา”

“อืม กูอิจฉา”มันหันมาจ้องผมสายตาจริงจัง ผมหุบยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาเก้อๆ

“อย่าเลย แล้วไม่มีเรียนต่อหรือไง”ผมเปลี่ยนเรื่อง อีกฝ่ายทำหน้านิ่งเหมือนเดิม

“...มี งั้นกูไปก่อนนะ...”ยิมลุกขึ้นยืนจากม้านั่ง ผมเดินนำเจ้าตัวเข้าไปที่ห้องเพ้นท์ ออกไปส่งมันที่หน้าตึกภาควิชส

“ครับ ไว้เจอกัน”ผมบอก แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปข้างในตึก

“เดี๋ยวดิ... ”แต่ยิมเรียกไว้ก่อน ผมหันไปมอง อีกฝ่ายกลับเดินมาหา

“รูปที่กูถ่ายไว้ เดี๋ยวกูเอาไปให้นะ ก็ตั้งใจว่าจะถ่ายให้...แต่มึงดันโกรธซะก่อน”แล้วมันก็ยิ้มออกมา  เวลาเจ้ายิ้มทีนึงเนี่ย โลกสดใสขึ้นมาเชียว ใบหน้าของยิมดูดีขึ้น ถ้ามันขรึมๆ ดูไม่น่าเข้าใกล้เท่าไหร่ในมุมมองของผม แต่ถ้ามันยิ้มหรือหัวเราะ มันจะเป็นคนที่น่าสนใจมาก

แต่ก็นั่นแหละ ผมรักพี่ท็อปไปแล้วนี่

“อือ ไปเรียนได้แล้ว”ผมโบกมือไล่มัน อีกฝ่ายมองหน้าผมก่อนจะเดินกลับออกไปที่รถของมัน จอดอยู่หน้าร้านกาแฟ ผมเดินกลับไปที่ห้องเพ้นท์ ทิ้งไอ้ผิงให้ทำงานคนเดียว

“โทษทีว่ะ มัวแต่คุยธุระอยู่”ผมเดินมาที่เฟรมรูป ไอ้ผิงมันนั่งอยู่บนเก้าอี้หันหน้ามาจ้องผมแบบระอา ผมเห็นว่ามันลงแบ็คกราวด์ส่วนบนจนเสร็จแล้ว ออกจะทึมๆหม่นๆเน้นโทนดำ น้ำเงิน ม่วงซะส่วนมาก

“เหรอวะ คุยกับผู้ชายหน้าใหม่อีกแล้ว เปลี่ยนคนแล้วหรอไง”

“ไม่ใช่ พี่ท็อปคือ Number one ของกู”ผมเข้าไปดีดติ่งหูไอ้ผิง “อ๋อ ไอ้แว่นนั่นคือ Number two สินะ หลายใจจังเพื่อนกู เอ๊ะ หรือว่าเป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

“มึงนี่ กูรักเดียวใจเดียว เพื่อน”

“ฮ่าๆ พี่ท็อปคนนั้นน่ะนะ ไม่น่าเชื่อเว้ยเพื่อนกู เป็นเอามากจริงๆ”ไอ้ผิงส่ายหน้าทำเหมือนไม่เชื่อ “คอยดูแล้วกันเหอะ ”ผมหัวเราะ แล้วหันมาลงสีแบ็คกราวด์ที่เหลืออยู่ให้เสร็จ กำหนดส่งงานชิ้นนี้คืออาทิตย์หน้านี่เอง เดี๋ยวก็จะถึงเวลาให้พี่ท็อปมาดูซะแล้ว ไอ้ผิงกับผมย้ายเก็บสัมภาระย้ายไปทำงานที่ห้องปั้นต่อ

ผมกดเบอร์พี่ท็อปอย่างชั่งใจ...ไม่ได้คุยกันหลายวันแล้วด้วย เวลากลับหอพักก็ไม่ตรงกัน ผมกลับมา พี่ท็อปไม่อยู่มันก็สลับกันไปแบบนี้มาช่วงนึง แต่ผมก็แอบไปเช็คดูแล้ว พี่ท็อปมีงานจริงๆ

เหมือนมีโทรจิตส่งหากัน
‘OnTop’ โทรมาพอดีเลย ผมยิ้มกว้างทันที

“กำลังคิดถึงพอดีเลยพี่”ผมหัวเราะเบาๆ  ไอ้ผิงเดินมาเตะที่เพจปั้นประมาณว่าให้มาทำงาน ผมส่งนิ้วโอเคไปให้มัน ขอคุยกับพี่ท็อปไม่เกินสิบนาทีหรอก

[กูก็ว่าอยู่แล้ว ไม่ได้ยินเสียงกูสักอาทิตย์นึง มึงจะลงแดงหรือเปล่า] พี่ท็อปหัวเราะ

“ไม่หรอกแค่จี๊ดๆในอก หาเหล้าย้อมใจเอาก็ได้”ผมบอก กินเหล้าไม่รู้จะช่วยให้พร่ำเพ้อกว่าเดิมหรือหยุดคิดเรื่องพี่ท็อปกันแน่

[อะๆ อย่าเชียว ลดบ้างนะเหล้าอ่ะ แดกตลอด เออ กูโทรมาบอกว่าเย็นนี้ว่างนะเว้ย อยากไปไหนทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าสอง] ผมกะจะตอบไปว่าแค่พี่ท็อปอยู่ก็เกินพอแล้วแต่จะหาว่าเน่าเสี่ยวเกินไป

“อืม...ไปหาอะไรกินกันสองคนดีกว่าพี่ โอเคไหม”

[ดีเหมือนกัน ที่ไหนดี]

“อืม...ที่พาเพลินไหม ไม่เมาหรอก”ผมบอก ร้านพาเพลินเป็นร้านอาหารกึ่งๆร้านเหล้า ผมชอบสไตล์การตกแต่งของร้านออกแนวคันทรี่ๆนิดหน่อย

[โอเค ไม่ได้ไปนานแล้วเหมือนกัน แล้วมึงเลิกเรียนตอนไหน]

“ตอนห้าโมงเย็นอ่ะพี่”

[อืม เดี๋ยวกูรออยู่ที่ห้องนะ โอเค๊]

“โอเคครับ จุ๊บๆ”ผมวางสายหลังจากที่ได้ยินเสียงพี่ท็อปหัวเราะตามหลังมา

จากนั้นผมก็ใช้เวลาสองชั่วโมงไปกับการขึ้นฐานบนเพจ อย่างน้อยๆก็ได้เริ่มลงมือทำงานชิ้นนี้แล้ว อีกอย่างผมยังไม่ได้ร่างแบบเลย เฮ้อ เมื่อเลิกเรียนแล้วผมสะพายกระเป๋าเตรียมกลับหอพัก

“ไปแล้วนะเว้ยผิง”

“เออ กกกันเข้าไป มึงจะคิวว่างๆอีกเมื่อไหร่เนี่ย ไปแดกเหล้ากัน ไม่ได้ไปครบแก๊งกันนานแล้วนะมึง”

“อืม เดี๋ยวรอดูอีกทีนะ ไปวันไหนก็บอกด้วย จะได้ทำตัวให้ว่างไง”ผมบอกมัน ไอ้ผิงเดินมาตบๆไหล่ผม

ผมแยกมาจากไอ้ผิงแล้วเดินไปที่โรงจอดรถ วันทั้งวันไม่เห็นเฮียแกนเลย ก็ดี ถ้าเจอหน้ากัน ผมก็ไม่รู้ว่าเฮียแกนจะทำอะไร หรือ พูดอะไรออกมาหรือเปล่า เดี๋ยวก็เป็นข่าวแพร่สะพรั่งไปทั้งคณะอีก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 11 จอมวางแผน
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 22-07-2015 21:32:52
ผมกลับมาที่หอพัก ก็เห็นว่ามีรถของไอ้ยิมจอดอยู่ด้วย เฮ้อ ไอ้ยิมนะไอ้ยิม มาชอบผมได้ยังไง ผมเดินไปชั้นสามเคาะประตูห้องพี่ท็อปสองสามที ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง แต่แล้วก็ต้องชะงักกึกอยู่กับที่เมื่อเห็นแขกคุ้นหน้าอยู่ในห้องพี่ท็อป ไอ้บอมนั่นเอง....มันยืนอยู่กลางห้อง จ้องมองไปที่พี่ท็อปนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทันทีที่ไอ้บอมเห็นผมมันสะดุ้งตกใจ หน้าซีดเผือด ในขณะที่พี่ท็อปแค่หนมามองแล้วส่งยิ้มให้ผม

“ไง...เข้ามาสิ”พี่ท็อปพูดกับผมด้วยท่าทีปกติ ผมเหลือบตามองไอ้บอมที่มองผมด้วยสายตาไม่พอใจถึงพี่ท็อปจะเลิกติดต่อมันไปได้ระยะหนึ่งแล้วเพราะมันได้ชดใช้ตามจำนวนเงินที่ใช้ไปให้พี่ท็อปแล้วแต่พอมาเห็นไอ้บอมอยู่ในห้องพี่ท็อปแบบนี้แล้ว ผมรู้สึกปั่นป่วน โหวงเหวงในใจยังไงชอบกล

“เอ่อ งั้นกูไปก่อนนะ อย่าลืมนะมึง ...ช่วยกู”ไอ้บอมพูดด้วยน้ำเสียงฮึดฮัดไม่ค่อยพอใจแล้วมันก็รีบเดินออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน ไม่ได้มองหน้าผม

“ทำไมมันมาอยู่ที่นี่”ผมถามนิ่งๆ พยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

“คือว่ามัน.....”พี่ท็อปเริ่มพูดช้าๆ ไหวไหล่ไปด้วย

“มันมาทำอะไร..ตกลงนี่พี่ยังติดต่อกับมันอยู่เหรอ”ผมโพล่งออกมาอย่างหงุดหงิด อีกฝ่ายน่าจะบอกผมบ้าง เรื่องไอ้บอม ถึงพี่ท็อปบอกว่าไม่ได้รักมันแล้วก็ตาม พี่ท็อปลุกขึ้นยืนก้าวเดินมาหาผม

“นี่ยังพูดไม่จบเลยนะ แล้วมึงก็ยังคิดเอาเองแบบนี้”พี่ท็อปพูดอย่างใจเย็น ผมพยักหน้า พอจะรู้ว่าพี่ท็อปไม่พอใจเท่าไหร่ ใครๆก็ไม่ชอบคนที่พูดแทรกในขณะที่ตัวเองยังพูดไม่จบ

“ขอโทษครับ ก็ผมไม่ชอบมัน”ผมบอกเบาๆ

“กูรู้...แต่ที่มันมาวันนี้มันต้องการมายืมเงินกู”พี่ท็อปอธิบาย

“ห๊ะ”ผมถึงกับหูผึ่ง ไอ้บอมน่ะเหรอ

“มันติดพนันบอลน่ะ ไม่มีปัญญาใช้หนี้ แล้วก็ไม่มีใครให้มันยืมเงิน มันก็เลย....”พี่ท็อปเงียบเสียงมองหน้าผมไปด้วย ผมก็พอเดาออกว่ามันมาหาพี่ท็อปเพื่ออะไร.... ไอ้บอมมันจนตรอกขนาดนี้เลยหรือไง

“อ๋อ มันตั้งใจจะเอาตัวแลกเงินหรอไง”ผมพยายามพูดให้ดูดี แต่ถ้าหยาบกว่านี้ พี่ท็อปคงไม่พอใจ

“อืม แต่กูไม่ปฏิเสธมันไป มันก็เลยไม่พอใจ”พี่ท็อปแค่นยิ้มแล้วหัวเราะ

“...แล้วพี่จะทำยังไงต่อ ถ้ามันมาอีก”ผมถาม

“ไม่รู้สิ...แต่กูไม่เอากับมันหรอกวางใจได้”พี่ท็อปบีบไหล่ผมเบาๆ

“...มันติดหนี้เท่าไหร่”ผมลองถามดู พี่ท็อปเบ้ปาก

“หลายหมื่นอยู่”

“โห แล้วแบบนี้พี่ต้องเอามันกี่ครั้งกว่าจะหมด”ผมหัวเราะออกมา พี่ท็อปส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว

“กูไม่เอามันอยู่แล้ว”

“แล้วพี่—”

“ยังไงกูก็ไม่ให้มันยืมหรอก ยังไงมันต้องหาเองจนได้แหละ ที่มันมาหากูก็เผื่อจะฟลุกได้เท่านั้นแหละ มันขยาดกูจะตายไป”เจ้าตัวพูดน้ำเสียงเรียบเฉย ไร้เยื่อใย อืม.. มันก็จริงอย่างที่พูด ถ้าผมเป็นไอ้บอม ผมจะไม่โผล่หน้ามาให้พี่ท็อปเห็นอีก ยกเว้นจะหมดหนทางจริงๆ

“อาบน้ำเถอะ จะได้สดชื่น”พี่ท็อปยิ้มแช่มชื่นแล่วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาสองผืน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำคนแรก

“จะอาบด้วยเหรอ”ผมถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่เต็มอก

“เออ ไม่ได้เหรอวะ”

“ใครว่าล่ะ ดีเสียอีกมีคนถูหลังให้ไง..”พี่ท็อปยิ้มกว้าง เดินไปเปิดฝักบัวรอไว้ ห้องน้ำของห้องพักไม่ได้กว้างมาก มีชักโครกอยู่รวมด้วย พี่ท็อปขยับไปติดอ่างล้างหน้าเพื่อใหัผมมีพื้นที่ยืน หวังว่าเจ้าตัวจะไม่นึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศมาทำในห้องน้ำนี่หรอกนะ ผมถอดเสื้อผ้าออก ขณะที่อีกฝ่ายยืนมองผมอยู่นิ่งๆ

“มองอะไรพี่ ไหนว่าจะอาบน้ำ”ผมมองอีกฝ่ายแล้วหัวเราะ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่กันแน่..ผมใจสั่นเล็กน้อยเพราะอยู่ในสภาพชวนเสียวแบบนี้ผมเสียเปรียบจริงๆถอดเสื้ออยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายแค่ยิ้มก่อนจะถอดกางเกงออก ผมเลยถือฝักบัวมาราดตัวให้เปียกชุ่ม ไม่ทันสังเกตพี่ท็อปที่เปลือยเปล่าเข้ามาซ้อนหลังผมซะอย่างนั้น ในใจผมรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้

“ไหนว่าจะอาบน้ำไง”ผมเหลียวหน้าไปมองคนด้านหลัง พี่ท็อปหัวเราะ

“ก็อาบไง..แต่ต้องหลังจากนี้”ไม่พูดเปล่า อีกฝ่ายโน้มหน้าลงมาจูบที่ท้ายทอยของผมไปด้วย แถมเลียอีกต่างหาก

“ในนี้เนี่ยนะ แคบจะตาย”ผมบ่น นึกสภาพห้องน้ำหอพักแล้วมันทำอะไรไม่เต็มที่

“อืม มึงอยู่เฉยๆ เดี๋ยวกูจัดการเองน่า”พี่ท็อปบอกแล้วโอบแขนรอบเอวผมทันที มือไม่อยู่สุข ผมปล่อยให้เจ้าตัว จัดการกับร่างกายของผมได้เต็มที่

กว่าจะอาบน้ำเสร็จจริงๆก็ปาไปตั้งชั่วโมงกว่าๆนู่น พี่ท็อปเดินตัวปลิวออกมาท่าทางปลอดโปร่งโล่งสบาย ผมก็โล่งน่ะนะ...โล่งท่อน่ะสิ

...

กว่าจะมาถึงร้านอาหารกึ่งแอลกอฮอล์ก็มืดค่ำแล้ว ผมเลือกโต๊ะบริเวณด้านนอก รับอากาศกำลังสบายเหมาะแก่การนั่งจิบเหล้าเคล้าบุหรี่เหลือเกิน

“มื้อนี้ผมเลี้ยงเองพี่”ผมบอก ขณะที่สั่งอาหารมาสามสี่อย่างพร้อมมิกเซอร์หนึ่งชุด พี่ท็อปพยักหน้าแล้วยิ้ม ผมเองก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้มานั่งดื่มเหล้าตอนดึกๆหรอก ถ้าไม่ได้ไปบ้านเพื่อนๆ เพราะตั้งแต่สัปดาห์นี้ไปผมต้องทำงานต่อที่คณะ แทบจะค่อนคืนหรือไม่ก็นอนอยู่ที่คณะ ผมไม่ค่อยถนัดงานปั้น แม้ว่าจะเรียนแค่เบื้องต้นก็ตาม งานของผมโดนเอามาแก้สัดส่วนเล็กน้อย ต่างจากไอ้ผิงมันชอบงานปั้นพอๆกับงานจิตรกรรม  ผมเลยต้องใช้สมาธิมากกว่าเดิม

ขณะที่อาหารและมิกเซอร์มาถึงแล้ว พี่ท็อปก็ชงเหล้าให้ผมทันที อย่างกับว่าจะมอมผม

ผมรับแก้วเหล้ามาจากพี่ท็อป ผมมีหลายคำถามอย่างถามพี่ท็อปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ ผมอยากถามเรื่องเฮียแกน...เรื่องมิ้นท์ พี่ท็อป มีเบอร์มิ้นท์หรือเปล่านะ? ผมหวนนึกไปถึงเบอร์แปลกในเครื่องพี่ท็อป  นั่นใช่เบอร์ของมิ้นท์ใช่ไหมนะ  คงต้องหาโอกาสพิสูจน์ แต่จะให้พี่ท็อปรู้ไม่ได้

“...คิดอะไรอยู่วะ หน้านิ่วคิ้วขมวด”เสียงของอีกฝ่าย ปลุกให้ผมหันมาสนใจเจ้าตัว

“ก็คิดเรื่องของเราไงครับ”ผมยิ้มตอบ

“...เรื่องของเรา ทำไมวะ บอกได้เปล่า”พี่ท็อปส่งยิ้มมาให้

“ก็...คิดว่าพี่กับผม มากันได้ขนาดนี้ จุดเริ่มต้นของผมกับพี่คือคืนเลี้ยงสายรหัสของผม แล้วพี่ดันปล้ำผมซะงั้น “ผมหัวเราะ พี่ท็อปยิ้มบางๆแล้วขว้างก้อนน้ำแข็งใส่ผม

“มึงก็ให้ความร่วมมือดีนี่หว่า สมยอมนั่นแหละ.... กูก็เคยคิดเหมือนมึงนะ ตอนแรกกะแค่สนุกๆเอง แต่เรื่องมาเป็นแบบนี้ซะได้เนอะ”พี่ท็อปยิ้ม นัยน์ตาสีดจังจ้องมาที่ผมอย่างวาววับ

ผมแค่ยิ้ม ถ้าหากเรื่องคืนนั้นเป็นแค่เรื่องบังเอิญประจวบเหมาะได้จังหวะพอดีไม่มีเงื่อนงำอื่นก็ดีสิ แต่ผมคิดว่าลึกๆแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม ราวกับว่าวางแผนมาแล้ว ผมแค่สังหรณ์ใจเท่านั้นเองว่าพี่ท็อปจงใจให้เกิดเรื่องในคืนนั้นขึ้น ผมกลับมาคิดทบทวนหลายครั้งก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าคนอย่างพี่ท็อปจะอกหักเพราะไอ้บอม แล้วถึงขั้นเมามายขนาดนั้นเลยหรือ เพราะผู้ชายห่วยๆคนเดียวเนี่ยนะ คนเท่ๆอย่างพี่ท็อปคนนี้ถึงกลับต้องกินเหล้าย้อมใจมากมายจนเมา ก็ในเมื่อพี่ท็อปเองก็มีแผนจะเอาคืนไอ้บอมมันอยู่แล้วแท้ๆ

“ก็ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญของเราก็แล้วกัน"ผมแกล้งหัวเราะชอบใจออกมา เหลือบมองพี่ท็อปที่แค่ยิ้มมาให้ผมเหมือนเคย

“มึงต้องขอบใจกูให้เยอะๆเลยล่ะ”

“ครับ ทุกวันนี้ผมก็ซึ้งใจพี่จะแย่แล้ว”ผมยื่นมือไปดึงแก้มพี่ท็อปเล่น

“ปากดีอีกแล้วนะ อะ เอานี่ยัดปากไปก่อน”พี่ท็อปดึงมือผมออกแล้วจิ้มนักเก็ตไก่ใส่ปากผมแล้วหัวเราะสะใจ ที่ผมแทบสำลัก

“พี่ เกือบเข้าจมูกเลย”ผมคายออกมาวางบนจาน

"พี่สอง...”เสียงคุ้นหูที่ผมไม่นึกอยากได้ยินอีกดังขึ้นจากด้านข้าง ผมหันไปตามเสียงเรียกแม้ใจจะไม่อยากเห็นหน้ามันอีก

“อ้าว...โย”ผมทำหน้าแปลกใจ อีกฝ่ายมาที่นี่ได้ยังไงกันโดยเฉพาะร้านแถวมหา'ลัยผมแบบนี้

พี่ท็อปเอนหลังพิงเก้าอี้กอดอกมองโยด้วยสายตาเดาไม่ออก โยมันดูผอมลงกว่าเดิม สายตาดูดีใจมองมาที่ผมจากนั้นก็เหลือบมองไปทางพี่ท็อปแล้วทำหน้าเจื่อนลงเมื่อเห็นสายตานิ่งๆไม่หือไม่อือของเจ้าตัว

“...ดีจังที่เจอพี่ที่นี่ ไม่ได้เจอตั้งนาน คิดถึงแย่เลย”

“มาทำอะไรที่นี่”ผมถาม เหลือบมองพี่ท็อปที่ยกแก้วเหล้ามาจิบไปพลาง โยยิ้มกว้าง

“พอดีว่ามากับเพื่อนน่ะ...เปิดหูเปิดตาบ้างไง..อ้อ พี่สองไม่ต้องห่วงโยนะ ขอเฮียแล้ว”ผมไม่นึกเชื่อคำพูดของมันเลยสักนิด ผมคิดว่ามันต้องตะเวนเที่ยวร้านเหล้าแถวมหา'ลัยเพื่อหาทางเจอผมหรือเปล่านะ

“งั้นเหรอ”ผมไม่รู้จะตอบอะไร โยเลยถามต่อ “แล้วพี่สองมากับใครหรอ...หน้าไม่คุ้นเลย”ไอ้โยถามหน้าซื่อ อันที่จริงมันเคยเห็นภาพสเก็ตซ์ของพี่ท็อปในห้องของผมมาแล้ว แต่มาทำเฉไฉ ไม่รู้เรื่องราวอีก ผมมองโย ก่อนจะหันไปมองพี่ท็อป

“นี่พี่ท็อป ..แฟนกูเอง”ผมพูดแล้วพยักหน้าไปทางเจ้าตัวที่ยิ้มออกมาทันที  ส่วนไอ้โยมองผมนิ่งๆ แล้วทำหน้ายับย่น

“สวัสดี น้องโย ได้ยินเรื่องน้องมาเยอะเลย สองชอบเล่าให้ฟังน่ะ”พี่ท็อปหันมาทักทายไอ้โยบ้าง

“อ้าว พี่สองเล่าเรื่องอะไรให้พี่เค้าฟังเหรอ”ไอ้โยหน้าบึ้งทันที ผมถอนหายใจ

“ช่างเถอะ... แล้วไม่กลับไปหาเพื่อนหรือไง ออกมานานแล้ว”ผมพูด หาทางไล่โย อาจดูแย่ แต่มันมาทำเสียเรื่องไม่ได้ อีกอย่างผมไม่อยากยุ่งกับอีกฝ่ายอีกแล้ว ...แบบถาวรด้วย

“โธ่ พี่สองอ่ะ ไม่ได้เจอตั้งนาน ขอคุยด้วยไม่ได้หรือไง”อีกฝ่ายพูดอย่างไม่พอใจ

พี่ท็อปถอนหายใจแรง “ขอโทษนะน้องโย พอดีพี่อยากมีเวลาส่วนตัวกับ.เมีย เอ้ย แฟนพี่น่ะ ถือว่าพี่ขอล่ะ...กลับไปที่เดิมของน้องเถอะ”พี่ท็อปพูดด้วยท่าทียิ้มแย้ม น้ำเสียงนุ่มหู ผมทำหน้ากระอักกระอ่วนตอนที่พี่ท็อปพูด โยมันหันมาจ้องผมเหมือนไม่อยากเชื่อหู มันยืนมองผมอยู่สักพักก่อนจะเม้มปากแน่น

“งั้นโยไปก่อนนะพี่สอง”ผมมองหน้าอีกฝ่ายแล้วยิ้มให้มันเป็นครั้งสุดท้าย โยทำหน้างอนแล้วเดินกลับเข้าไปด้านในแทน ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก พี่ท็อปหัวเราะหึๆอย่างเจ้าเล่ห์

“ที่แท้มึงก็ปากดีนะสอง ทำไมไม่บอกไปเลยล่ะ...ว่าพี่น่ะเป็นอะไร”พี่ท็อปยื่นหน้ามาพูดใกล้  ผมหัวเราะ ก็ไม่ได้อายหรอก แต่มันกระดากปากเกินกว่าจะพูด พอมาอยู่ในสถานะนี้แล้วมันก็พูดยาก

“ ใจร้ายจริง ไม่รักษาหน้าผมเลยเหรอ”ผมพูดแล้วยิ้ม เจ้าตัวยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ

“ก็แค่พูดความจริงมันไม่ยากหรอก...เมื่อเย็นก็ย้ำสถานะไปแล้วแท้ๆ”พี่ท็อปทำหน้าเหมือนจะหัวเราะ

ผมส่ายหน้าเบาๆ บางครั้งความจริงมันก็ท่วมปากไงครับ หลังจากที่ไอ้โยกลับไปแล้ว พี่ท็อปดูจะร่าเริงขึ้นมาเยอะ ผมยังนึกแปลกใจโยมันแอบป๊ากับม๊ามาได้ยังไง ที่แน่ๆยิมไม่อนุญาติแน่นอน เฮ้อ ทำตัวเป็นเด็กดีมันยากนักหรือไง ผมเลยคิดอะไรดีๆออก ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา

“จะโทรหาใครหรอ”พี่ท็อปถาม

“อ๋อ ผมจะบอกไอ้ยิมให้มาจัดการน้องมันหน่อย”ผมบอกแล้วกดข้อความส่งไปให้ไอ้ยิม 'ผมเจอน้องพี่ที่พาเพลิน มาจัดการด้วยล่ะ' ผมส่งไปแบบนั้น ผมเองก็ไม่เข้าใจทำไมถึงต้องทำแบบนี้ แต่ยิมดูรักน้องมันดี ก็เลย ช่วยมันปรามโยหน่อย

“ไหนว่าจะเลิกยุ่งกับมัน”พี่ท็อปมองผมด้วยสีหน้าแปลกๆ  “มันตื้อน่ะพี่ อ้างบุญคุณเรื่องที่ไม่แจ้งความน่ะ เข้าใจต่อรองนะ พี่ว่าไหม”

“มันชอบมึง"พี่ท็อปพูดเสียงชัดเจน ผมพยักหน้าแล้วถอนหายใจ

“แต่ผมรักพี่...แค่นี้ชัดเจนพอไหมครับ”ผมตอบกลับ ขณะที่พี่ท็อปค่อยๆยิ้มก่อนจะยื่นมือมากุมมือผมไปด้วย

“อืม กูเชื่อ”พี่ท็อปยิ้มให้ผม แน่นอนว่าผมไม่ได้รับการตอบกลับคำว่ารักจากพี่ท็อป ผมเริ่มจะมั่นใจได้100% แล้วว่าพี่ท็อปกำลังวางหลุมดักทางผมไว้อยู่...แล้วอีกฝ่ายก็รู้เสียด้วยว่าผมยิ่งกว่าเต็มใจเดินตกลงไปในกับดักนั้น

ผ่านไปสองชั่วโมงกว่าๆ พี่ท็อปขยันชงเหล้าให้ผมเหลือเกิน คงกะจะมอมผมแน่นอน คืนนี้ผมอาจไม่รอดมือพี่ท็อปไปได้ ที่จริง
ผมก็เต็มใจให้พี่ท็อปมอมนั่นแหละ แฟนกันนี่นะ จะปฏิเสธไปทำไม ผมมึนนิดหน่อย แอบไปอ้วกในห้องน้ำมาแทบหมดไส้หมดพุง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยพี่ท็อปจึงเป็นคนขี่รถกลับหอพัก

“ไหนว่าไม่เมาไงวะ ดูสภาพสิ”พี่ท็อปบ่น ขณะที่พยุงตัวผมไว้ก่อนจะพยายามพาผมขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเล

“ไม่ได้เมาพี่”ผมบอกโบกไม้โบกมือแล้วพยายามก้าวขาเดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นช้าๆ แต่ตอนนี้เครื่องรวนไปหน่อยเลยงกๆเงิ่นๆ ถ้าไม่มีพี่ท็อปคอยพยุงมีหวังผมหงายหลังลงไปกองกับขั้นบันไดแน่

“เมาก็ดี จะได้ง่ายๆหน่อย”พี่ท็อปพูดแล้วหัวเราะไปด้วย

“อะไรพี่”ผมหัวเราะออกมาราวกับว่าเป็นเรื่องตลก

 ในที่สุดพี่ท็อปก็พาผมมานอนบนเตียง ได้ ใช้เวลาสิบกว่านาที พี่ท็อปหายใจหอบถอดเสื้อออกโยนทิ้งลงตะกร้าพี่ท็อปยิ้มจูบปากผมเบาๆแล้วเข้ามาปลดซิปกางเกงผมลง ผมกับพี่ท็อปเปล่าเปลือยกันทั้งคู่ หลังจากที่ใช้เจลหล่อลื่นนำทางจนร่างกายเริ่มปรับสภาพ ผมเปิดรับให้พี่ท็อปแทรกตัวเข้ามาทีละน้อยจนสุด

ผมครางเบาๆ ขณะที่อีกฝ่าย สอดมือใต้ข้าพับจากนั้นก็สวนสะโพกเข้าออกเร่งจังหวะเร็วขึ้น เห็นหน้าท้องแข็งแกร่งของพี่ท็อปตอนนี้แล้วยิ่งเพิ่มอารมณ์ให้ผมมากขึ้น ยื่นมือไปลูบไล้เร่งเร้าอีกฝ่ายไปในตัว ในเมื่อไฟสวาทมันสุ่มซะท่วมหัว ผมปล่อยให้พี่ท็อปดำเนินทุกอย่างไปจนจบเกมส์นี้

อาจจะรวมถึงเรื่องราวต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น ผมคงต้องปล่อยให้เวลาเป็นตัวคลี่คลายความจริงเองก็แล้วกัน  คล้ายกับคำพูดของยิม ที่เคยพูดไว้ว่าอยากจะรู้จุดจบของผมว่ามันจะออกมายับเยินแค่ไหน

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-07-2015 21:45:46
สองยิมยังทันป่าวว้า. เห้อ. สองเอ๊ย. แน่ใจแล้วใช่ปะ.

คนเขียนรู้ไหมคะว่ามันค้าง. ฮ่าๆ. รอค่ะ.  :L1: 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 22-07-2015 21:49:45
อ่านแล้วระแวงฝุดๆ

ฮือออออออ T~T
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 22-07-2015 22:11:20
ระแวง มึน งง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-07-2015 22:16:46
คือยังไงนะ สับสนแทนสองจริงๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 22-07-2015 22:22:31
ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคนเนอะ แต่ยิมอาจจะดีหรือปล่าว ยิ่งทอปยิ่งระแวงจิงๆนะ ไม่ไว้ใจทอปตั้งแต่แรกแล้วอ่ะ มันดูแปลกๆ ยิ่งบอมกลับมาอีก

สองก็ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามเกมเพื่อรอจุดจบสินะ

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 22-07-2015 22:27:17
ยิมเป็นคนดีกว่าที่คิดก็ว่าแล้วทำไมไม่ชกหน้าคนที่ทำให้น้องตัวเองเสียคน


ก็ว่าแล้วว่ายิมต้องแอบชอบตั้งแต่ที่เจอกันก็มองสองแปลก ๆ ตลอดนิ 55


คิดแล้วเชียวทำไมซื้อหวยไม่ถูกสักทีวะเรา


ไอ้พี่แกนนี่ก็น่าเตะว่ะ จะอะไรนักหนาวะชกก็ชกไปแล้วยังจะเอาไรอีกเพ่!!


เดี๋ยวตรูขึ้นชกด้วยอีกคนหรอกชิชะ (อันนี้ล้อเล่นนะ เอาจริงอิฉ้านคงสลบคาเวทีค่ะ 555 :laugh:)
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 22-07-2015 22:32:25
โอ๊ยอะไรกันนี่    ที่สุดของการระแวง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 22-07-2015 23:41:57
บอกเลยว่าอ่านแล้วระแวงสุดๆ คิดระแวงตามสองเผลอๆ มากกว่าสองด้วย 5555 นี่เริ่มอยากอ่านตอนจบไม่ก็ตอนที่ปมทุกอย่างคลี่คลายแล้วซิ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 23-07-2015 00:44:18
ยกยิมให้ผิงดีกว่า :oo1:
สองรักพี่ท้อบนะเนี่ยยอมทุกอย่างเลย ถ้าพี่ท้อปใจร้ายกับสองแย่แน่ :sad4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 23-07-2015 02:18:04
สงสารสอง ยังไม่รู้ตัวซะทีว่าจะโดนอะไรบ้าง :เฮ้อ:
ปกติถึงพี่ท็อปจะน่าสงสัยยังไง ก็ยังเห็นความจริงใจอยู่ แต่ช่วงท้ายๆ ของตอนนี้ ทำให้ชักจะเริ่มคิดล่ะว่าประมาทพี่ท็อปไม่ได้ ไม่รู้พี่แกมาดีหรือมาร้าย
อ้างถึง
"เมาก็ดี จะได้ง่ายๆหน่อย"
คำพูดนี้ฟังดูน่ากลัวอ่ะ พี่ท็อปอย่าทำให้สองเสียใจนะ น้องมันยอมพี่ทุกอย่างเลย :hao4:

แอบเทใจให้สองคู่ยิมเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ตอนนี้คู่นี้เค้ามีโมเมนต์น่ารักๆ ด้วยกัน  :hao3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 23-07-2015 03:04:59
ตอนนี้สนุกมากคับ หึยยย พี่ท็อปกับเฮียแกนมันต้องมีอะไรกันแน่ๆ ๕๕๕  เฮียแกนก็ไม่มีความสุขใจเจอหน้า สองกับท็อปทีไร มีแต่ความคิดพยาบาทมุ่งแต่จะเอาคืน 
         ส่วนยิมก็หาเรื่องมาคุยกับสองจนได้สินะ เอาหมายศาลมาขู่ เอาเรื่องเฮียแกนมาอ้าง ๕๕๕ แต่ก็คุ้มนะ เพื่อแลกกับการได้หยอดสองไปเรื่อยๆ ๕๕๕    รอ รอ รออ่านตอนใหม่คับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 23-07-2015 03:21:59
ไปๆมาๆเราอยากเชียร์สองยิมมากกว่าแล้วอ่ะ
พี่ท็อปเอาร่างกายเข้าแลกล้วนๆ ไม่มีใจเลยสักนิด :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-07-2015 06:59:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 23-07-2015 13:19:03
ไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าพี่ท๊อปอยุ่เบื้องหลังทุกๆอย่าง สองจะเป็นยังไงงง เฮ้อออ! :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 23-07-2015 13:21:57
เหนือยแทนสองมากกกบอกเลยย เชื่อใจไว้ใจใครไม่ได้แม้แต่พี่ท๊อป ที่ดูจะร้ายยยยยกว่าใคร รึเปล่าา
ทำไมเค้ารู้สึกว่า กุญแจความลับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี่ คือพี่ท๊อปกันนะ 555  หรือว่าเค้าจะคิกมากไปเองง 555
ยังไงก็จะรอตอนต่อไปนะคร๊าาาา ยอากรู้แล้ววว เรื่องมันเป็นไงกันแน่ สับสนแทนสองมักมากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 23-07-2015 14:19:12
ชอบเรื่องนี้มากกกกกก     อ่านแล้วสนุกมาก

หักเหลี่ยม เฉือนคมดี  ทุกตัวละครดูมีอะไรและฉลาด

เกือบไม่อ่านเพราะคิดว่าคงแนวลูกกวาดแบบที่นิยม  แต่ไม่ผิดหวังเลยสนุกๆ

ไม่ไว้ใจพี่ท้อปเลย  และชอบสุดคงสอง ที่ฉลาดแต่แกล้งโง่
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 23-07-2015 15:07:31
โอ้ยย สรุปยังไงเนี่ย  ท๊อปสอง สองยิม?
แต่ยังไงเค้าก็เชียรพีท๊อปอยุ่น๊าาา  เค้าไม่เชื่อหรอกว่า มาถึงขนาดนี้แล้วอิพี่ท๊อปมันจะไม่มีใจเลยย
อย่างน้อยก็ต้องมีความรุ้สึกกับสองบ้างล่ะ ถึงจะมีเรื่องปิดบังอยู่ก็เหอะะะ!!!

โอ้ยยย อยากอ่านพาสของอิพีท๊อปจุงงง ว่าคิดไรอยู่อ่ะ!??  :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ziqh.leo ที่ 23-07-2015 16:01:11
ไม่ใช่ท๊อปอัดคลิป ตอนสองโดนกระทำนะ เหอๆ
เงิบเลยนะนั่น..

สรุปมาถึงตอนนี้ก็ยิ่งรู้เลยว่าไม่ควรไว้ใจท๊อปอย่างยิ่ง 55555 คือไม่ไว้ใจมาตั้งแต่พาร์ทแรกถึงพาร์ทนี้
แต่ไม่อยากให้ท๊อปเป็นคนหักหลังนะ คือแอบเชียร์ลึกๆ


หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 23-07-2015 17:00:05
ลุ้นไปกับสองทุกๆตอนเลยค่ะ

พี่ท๊อปปิดบังไรเอาไว้เนี่ยยย เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 23-07-2015 20:52:25
ไม่ชอบที่สองต้องเป็นเมียพี่ท๊อปตลอดเลย  คนชอบกันต้องยอมตลอดเลยเหรอ  งง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 23-07-2015 23:03:53
ยิ่งอ่านยิ่งเพิ่มความระแวง สองเหมือนจะมีความสุขแต่ไม่สุด
เพราะทุกอย่างต่างมีปมให้ต้องขบคิด การอยู่ในที่สว่างโดยไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในที่มืด จะลงมือทำอะไรบ้าง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-12 #22.07.58 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 24-07-2015 17:11:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 12 เริ่มนับถอยหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 25-07-2015 14:26:34
ตอนที่ 12 เริ่มนับถอยหลัง

  ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เข้าสู่เช้าวันใหม่แล้ว ผมปวดหัวขึ้นมานิดๆแถมยังร้อนๆหนาวๆอีก ทำเหมือนจะเป็นไข้เลย ขณะที่ลืมตาขึ้นมาผมเห็นพี่ท็อปมองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว

“หลับเป็นตายเลยนะ”พี่ท็อปยิ้มแล้วยื่นมือมาลูบหน้าลูบตาผม

“โห นี่เที่ยงแล้วหรอเนี่ย”ผมตกใจก่อนจะบิดขี้เกียจแรงๆ “เห็นมึงหลับสบายก็ไม่อยากปลุก ไปอาบน้ำกัน จะได้ไปหาอะไรกินด้วย”พี่ท็อปยิ้มบางๆ แล้วลุกออกจากเตียง แต่ผมนอนต่อดึงผ้าห่มมาคลุมหน้า

“อาบก่อนเลยพี่ ขออีกแปบนึง”ผมบอกงัวเงีย แล้วโบกมือให้พี่ท็อป ผมได้ยินพี่ท็อปหัวเราะแล้วแรงตีที่ก้นผมเบาๆ

“ตามใจ”พี่ท็อปเดินเข้าห้องน้ำไป ผมรอจนกว่าจะได้ยินเสียงน้ำไหล จากนั้นค่อยๆลุกขึ้นนั่งก่อนกวาดสายตามองหาโทรศัพท์พี่ท็อป จนกระทั่งเห็นว่ามันวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ผมรีบเดินเข้าไปคว้ามากดหาเบอร์แปลก ไม่รู้ว่าพี่ท็อปจะลบไปหรือยัง

ผมกดดูประวัติการโทร เบอร์ที่โทรออก ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว จนสะดุดกับเบอร์แปลกที่ดูคุ้นตา คงใช่เบอร์เดียวกันนะ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองมากดเบอร์นี้ลงไปก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วเดินไปนอนต่อ พยายามนอนให้ปกติที่สุด

ผมได้ยินเสียงพี่ท็อปเปิดประตูห้องน้ำออกมา

“อาบน้ำได้แล้วสอง”พี่ท็อปเรียกเดินเข้ามาสะบัดเรือนผมที่หมาดน้ำ...หยดน้ำกระเซ็นโดนใบหน้าผม

“พี่ท็อป....”ผมทำเสียงโอดครวญแล้วลุกขึ้นไปกอดรอบเอวพี่ท็อปที่ยืนอยู่ข้างเตียง

“ไปอาบน้ำ....หรือจะให้พี่อาบให้”พี่ท็อปพูดเสียงนุ่ม ลูบไล้ไปตามเรือนผมของผมอย่างเบามือ ผมชะงักทันที ก่อนจะผลักพี่ท็อปออก

“ครับๆ อาบแล้วครับ”ผมหัวเราะแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำ ผมยืนมองกระจกตรงอ่างล้างหน้า มันสะท้อนตัวของผมออกมา ผมดูซีดเซียวลงอย่างที่ไอ้ผิงบอก สุขภาพจิตย่ำแย่ก็แบบนี้...แต่ที่เป็นอยู่ยังไม่สาหัส ต้องให้ถึงเวลาที่รู้ความจริงทุกอย่างนั่นแหละ สภาพของผมจะแย่กว่าที่เป็นกว่านี้ไหม

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมได้ยินเสียงเคาะประตูห้องพี่ท็อป เลยเงี่ยหูฟังว่าใครมา ได้ยินเสียงพี่ท็อปเดินไปเปิดประตู

“สองอยู่ไหม”ยิมนั่นเอง ผมขมวดคิ้วสงสัยว่ามันมาหาผมที่ห้องพี่ท็อปมีอะไรด่วนหรือเปล่า

“อยู่ แต่อาบน้ำ มีอะไรหรือเปล่า”พี่ท็อปถามเสียงห้วนๆ

“มีของจะให้มันน่ะ ...ฝากไว้ด้วยแล้วกัน..มันคงรู้ได้เองว่าคืออะไร”ยิมพูดเสียงเรียบๆตามเคย

“อืม เดี๋ยวจะเอาให้มันล่ะกัน”พี่ท็อปพูดน้ำเสียงแปลกๆ ก่อนจะปิดประตูเสียงดัง ยิมคงเอารูปถ่ายทริปนั้นมาให้ผมแน่ๆ เมื่อคืนผมก็ไม่ได้นอนห้องตัวเองด้วยสิ มันได้ไปเคาะห้องผมหรือเปล่า

"ไอ้ยิมเอาของมาให้มึง กูวางไว้บนโต๊ะนะ"พี่ท็อปพูดเสียงดังอยู่หน้าประตูห้องน้ำ

"ครับ..."ผมตอบไปสั้นๆและรีบอาบน้ำแปรงฟันจนเสร็จภารกิจ เมื่อผมเดินออกจากห้องน้ำเห็นพี่ท็อปแต่งตัวเสร็จแล้ว เสื้อนิสิตกับกางเกงยีนส์สีเข้ม ผมเห็นพี่ท็อปมองซองเอกสารสีน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะ คิ้วขมวดเล็กน้อย

“มันให้อะไรมึงวะ แอบกิ๊กกับมันหรือไง”ผมหัวเราะออกมานิดนึง ผมย่นหน้าแล้วเดินไปหยิบซองเอกสารมาดู หนักอยู่เหมือนกัน มันให้รูปผมมาซะเยอะเลย

“ก็แค่รูปน่ะพี่ ตอนไปทริปมันถ่ายไว้แล้วเอามาให้ผมดู”ผมเก็บซองใส่กระเป๋าสะพายของผม พี่ท็อปเดาะลิ้นเบาๆเหมือนขบคิดอะไรอยู่ ผมเหลือบมองพี่ท็อป ที่แสดงออกแบบนี้คือหึงหรือไงหรือแค่ไม่ชอบใจไอ้ยิมมันเฉยๆ

“แต่งตัวเถอะ เดี๋ยวไปกินข้าวกัน”พี่ท็อปยิ้มให้ผม

“โอเค เดี๋ยวแวะไปเอาของที่ห้องผมก่อนนะ”ผมบอกขณะที่รีบแต่งตัวจนเสร็จ ก่อนจะเดินไปเอาของที่ห้องของผม ผมเอาซองรูปวางไว้บนโต๊ะ ถ้าเบอร์ที่ผมได้มาเป็นเบอร์ของมิ้นท์จริงๆล่ะก็....ผมคงได้รู้ความจริงในบางเรื่องอย่างแน่นอน แต่อีกใจนึงผมก็กลัว กลัวว่าเรื่องของพี่ท็อปจะทำให้ผมเสียใจ หลังจากที่ผมกับพี่ท็อปแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้านข้าวราดแกงใกล้กับหอพัก วันนี้เป็นวันที่ผมเป็นคนขี่รถไปส่งพี่ท็อปที่คณะผมมาถึงคณะ

“ตอนเย็นไม่ต้องมารับพี่ก็ได้ เดี๋ยวพี่กลับกับพวกไอ้ธามเอาต้องอยู่แล็ปฯอีกสักพักก่อน”พี่ท็อปบอก

“โอเคครับ ไว้เจอกันคืนนี้”ผมยิ้มแล้วแล้วรับหมวกกันน็อคมาจากพี่ท็อป ผมมองตามหลังพี่ท็อปไปจนหายลับขึ้นตึกไป....ตอนนี้ผมรู้สึกท้อใจอย่างบอกไม่ถูก ผมขี่รถมอเตอร์ไซด์กับมายังคณะของตัวเอง แล้วรีบเดินไปยังห้องปั้น ผมเห็นไอ้ผิงมาถึงก่อนแล้ว มันโบกมือให้ผม

“วันนี้มาด้วยเว้ย”ไอ้ผิงยิ้ม ขณะที่ไอ้โก๋มองหน้าผม "ก็นะ...ไม่มาก็ไม่ทันส่งอะดิ"มันหัวเราะแล้วหันไปทำงานที่เพจต่อ
ผมรีบขึ้นฐานที่เพจปั้นหลังจากที่ไอ้ผิงช่วยผมใส่โครงแล้ว เรื่องโทรไปเบอร์นั้นคงต้องรอให้งานผมเสร็จไปครึ่งนึงก่อน เผื่อว่าเกิดเรื่องแย่ๆเข้าจะทำให้เสียงานเปล่าๆ ผมก็เป็นพวกพออารมณ์ไม่ดีแล้วจะทำงานออกมาได้ห่วยแตกมาก ผมเกลี่ยดินไปตามแบบที่ร่างไว้ได้ครึ่งนึงเหลือเก็บรายละเอียด เลยนั่งพักอยู่ริมห้อง ไม่นานไอ้โก๋ก็เดินมาหาผมแล้วยื่นซองสีขาวมาให้

“มีคนฝากมาให้มึงว่ะ”ไอ้โก๋บอก ผมรับซองนั้นมางงๆ ก่อนจะมองหน้าไอ้ผิงที่ทำหน้าอยากรู้ ผมเปิดซองออกมา เห็นมีรูปถ่ายอยู่หนึ่งใบ ผมหยิบออกมาดู ไอ้ผิงทำหน้าตกใจ ผมสอดรูปใบนั้นลงซองไปเหมือนเดิม ในใจผมเต้นรัว รู้สึกเหมือนโดนหักหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

รูปถ่ายใบนั้นเป็นรูปของมิ้นท์กับพี่ท็อป ถ่ายคู่กันที่น้ำตกแห่งหนึ่ง พี่ท็อปยืนยิ้มมีมิ้นท์คล้องแขนไว้ข้างนึง...และสิ่งที่ทำให้ชัดเจนว่าสองคนนี้ติดต่อกันมานานแล้วคือวันที่ที่ปรากฏอยู่ขอบภาพ เมื่อปีที่แล้วนี่เอง ในรูปตอนนั้นพี่ท็อปคงอยู่ปี 2 และผมยังอยู่ปี 1 พักอยู่หอใน

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ

“โอเคไหมวะ...ใครส่งมาให้วะ”ไอ้ผิงจับแขนผมแล้วคว้าซองรูปไปหาไอ้โก๋ ได้ยินมันถามว่าใครเป็นคนเอามาฝากไว้ ผมถอนหายใจ รู้สึกร้าวในอก ผมวางกระเป๋าลงที่หน้ากระดานปั้นของตัวเอง แล้วเดินไปนั่งพักที่ลานหญ้าหลังห้องปั้น ผมหยิบบุหรี่ออกมาสูบ ขณะจุดไฟ...ผมนึกถึงหน้าพี่ท็อปและคำพูดบ่นใส่ผมเวลาผมสูบบุหรี่ ผมนิ่งงัน ก่อนจะขว้างบุหรี่ทิ้งเข้าไปในพงหญ้า

ผมหัวเราะเยาะตัวเอง รูปนั่นคนที่ส่งมาให้ผมคงอยากให้ผมทุรนทุรายสินะ...จะเป็นใครไปได้นอกจากเฮียแกน แสดงว่ารู้หรือไงว่าพี่ท็อปติดต่อกับมิ้นท์ ผมลูบหน้าหลับตาลงรวบรวมสติกลับมาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดหาเบอร์ที่ได้มาแล้วโทรออก ถ้าเป็นเบอร์ของมิ้นท์จริง ผมจะพูดอะไรออกไปดี ใจผมเต้นรัว มือเย็นเยียบ รอสายไม่นานนักระบบก็ตอบรับ คนปลายสายกดรับ

[สวัสดีค่ะ]น้ำเสียงไม่มั่นคงจากปลายสายทำให้ผมแทบหยุดหายใจ มิ้นท์ จริงๆด้วย ชั่วขณะนั้นผมตกใจมาก รู้สึกหวั่นในใจ ผมพูดไม่ออก ที่แท้พี่ท็อปก็ติดต่อมิ้นท์จริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา

[ฮัลโหล ใครพูดคะ ]เสียงมิ้นท์ถามย้ำ ดูแคลงใจกับคู่สนทนาที่เงียบ

“...มิ้นท์...นี่สองเองนะ”ผมกลั้นใจพูดออกไปจนได้ จากนั้นปลายสายก็เงียบจนผมได้ยินเสียงหายใจของอีกฝ่ายแรงขึ้น

[...] ผมนิ่วหน้าเมื่อคนปลายสายไม่พูดอะไรออกมา

“มิ้นท์ ได้ยินไหม นี่สองไง...เราเอง”ผมย้ำอีกรอบ แต่ในวินาทีนั้นสายก็ตัดไปทันที ผมถอดใจ มองหน้าจอโทรศัพท์ที่สิ้นสุดการสนทนาไปแล้ว ...มิ้นท์คงเกลียดผมแล้วสินะ ขนาดเสียงยังไม่อยากได้ยินเลย

ผมทำท่าจะลุกกลับเข้าไปห้องปั้นแต่แล้วไม่คาดคิดว่ามิ้นท์จะโทรกลับมา ผมยิ้มดีใจแล้วรีบกดรับ

[โทรมาทำไม] มิ้นท์พูดเสียงห้วน ผมหุบยิ้ม สมองค้นหาถ้อยคำดีๆ

“มิ้นท์.. คือ...เราอยากคุยกับมิ้นท์ อยากคุยทุกเรื่องที่เราเคยทำไม่ดีใส่มิ้นท์”ผมพูดช้าๆ อยากเจอมิ้นท์ อยากพูดคุยกันให้รู้เรื่องแม้ว่ามันจะไม่ง่ายสำหรับตัวมิ้นท์เลยก็ตาม

[...ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้...มันผ่านมาหลายปีแล้วนะพี่สอง] มิ้นท์พูดเบาๆเสียงสั่นเครือ ผมเม้มปาก รู้สึกอับจนถ้อยคำ ความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้สัมผัสรับรู้ ทั้งๆที่ควรจะรู้สึกมานานแล้ว ผมรู้สึกผิดจริงๆ

“เราขอโทษ...มิ้นท์มาเจอเราหน่อยได้ไหม”ผมพูด

[...] ผมใจแป้วเมื่ออีกฝ่ายเงียบอีกครั้ง ผมนึกหาคำพูดใหม่

“...ได้ไหมมิ้นท์ แค่ครั้งเดียว เรามีเรื่องจะคุยกับมิ้นท์นะ สำคัญด้วย”ผมพูดตะกุกตะกักอย่างร้อนรน ผมต้องเจอมิ้นท์ให้ได้ ผมต้องการรู้ความจริงและขอโทษมิ้นท์ด้วยตัวเอง

[...มิ้นท์ไม่แน่ใจ ถ้าเกิดพี่แกนรู้เข้า เดี๋ยวจะซวยกันหมด วันอื่นไม่ได้หรอ]
แต่เราอยากคุยตอนนี้เลย เพราะเราคงไม่มีโอกาสได้ติดต่อมิ้นท์บ่อยๆหรอก”ผมพูดอย่างหมดหนทาง เพราะผมต้องการความจริงให้เร็วที่สุด

[...งั้นก็ได้....มิ้นท์ว่างช่วงบ่ายพอดี ตอนนี้อยู่ที่ฟิสเนตในมอ ...พี่จะมาได้หรือเปล่าล่ะ มาหามิ้นท์เองเลยน่าจะปลอดภัยจากพี่แกนได้] มิ้นท์ตอบกลับมา บ่ายนี้ผมต้องทำงานให้เสร็จด้วยสิ แต่แค่คุยกับมิ้นท์คงไม่นานหรอกมั้ง ผมมองนาฬิกา ตอนนี้บ่ายสามครึ่งแล้ว

“ได้สิ มิ้นท์อยู่ที่ไหนล่ะ”ผมถาม มิ้นท์เรียนอยู่มอเอกชนด้านบริหารธุรกิจ ผมเก็บของสะพายกระเป๋าเตรียมไปที่รถ ไอ้โก๋เดินมาหา

“จะไปไหนอีก ทำงานก่อนดิ เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน”มันบอก ผมรู้ว่ามันหวังดี แต่ผมรอไม่ได้จริงๆ

“ไปไม่นานหรอก เดี๋ยวกูกลับมาทำต่อ”ผมตบไหล่มันแล้วรีบเดินไปที่โรงจอดรถ จากนั้นก็ขี่รถไปหามิ้นท์ มหา’ลัย เอกชนดังกล่าวอยู่ห่างกันคนละโยชน์ มหา’ลัยผมอยู่นอกเมือง ส่วนมหา’ลัยของมิ้นท์อยู่ในตัวเมือง คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 20 นาทีแน่ๆ ผมมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม เมฆลอยต่ำ ท่าทางเหมือนฝนจะตก สงสัยพายุจะเข้า

หลังจากที่รีบบิดมาจนถึงมหา'ลัยดังกล่าวแล้ว ผมก็ขี่เข้าไปทางหน้ามอเพื่อหาสนามกีฬากลาง มีฟิสเนตอยู่ที่นั่น ผมหาที่จอดรถ แล้วเดินตรงไปหาฟิสเน็ตที่อยู่ใต้ตึกสแตนเชียร์ขนาดใหญ่

ผมเห็นมิ้นท์ยืนรอผมอยู่ตรงทางเข้าฟิสเน็ตในชุดนักศึกษาเข้ารูป มิ้นท์ดูเปลี่ยนไปมาก จากที่เป็นผู้หญิงหวานๆน่ารัก แต่ตอนนี้กลายเป็นสาวมั่นและสวยมากขึ้น ทำสีผมน้ำตาลเข้มเป็นลอน ผมเดินเข้าไปหาอย่างเกร็งๆ มิ้นท์โบกมือให้ทันทีที่เห็นผม

"ไง... มิ้นท์ สวยขึ้นนะไผมเอ่ยทักทายอย่างประหม่า ไม่ได้เจอกันหลายปี แถมยังทำเรื่องแย่ๆใส่อีกฝ่ายไว้ก่อนหนีหน้ามาอยู่ที่นี่ ผมทำตัวไม่ถูก

มิ้นท์ไม่ได้ตอบอะไรแค่มองผมอยู่เงียบๆ ไเราอยากขอโทษเรื่องเก่าๆ ทุกเรื่องเลยนะ ..เราเองก็ไม่ขอให้มิ้นท์ยกโทษให้หรอก เรารู้ว่าเราผิด”ผมพูดช้าๆ

อีกฝ่ายยังคงมองหน้าผมก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินนำผมไปหาที่คุย มิ้นท์เดินไปยังทางด้านข้างของสนามกีฬาติดกับคอร์ตเทนนิสเก่าๆเหมือนไม่ได้ใช้แล้ว ตรงนั้นมีม้านั่งอยู่ ผมเดินไปนั่งข้างๆมิ้นท์

“สำนึกได้จริงๆเหรอ”เมื่อเงียบไปสักพักมื้นท์ก็พูดออกมาก่อนจะหันมองหน้าผมด้วยสายตานิ่งๆ

“ใช่ เรารู้อยู่แก่ใจดี”ผมบอก จ้องตากับมิ้นท์ เพื่อให้เห็นว่าผมหมายความตามที่พูด

“รู้ไหมว่ามันไม่ง่ายเลยนะที่จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้น”มิ้นท์เม้มปากและละสายตาจากผมไปมองคอร์ตเทนนิสด้วยสายตาหม่นเหม่อ
ผมพยักหน้าเบาๆ ปล่อยให้ความอึดอัดเข้ามาครอบคลุม

“มิ้นท์กลัวแค่ไหน ตอนที่พี่บอกว่าไม่ได้ป้องกันแล้วกลัวว่ามิ้นท์จะท้อง ตอนที่พี่ไปซื้อยาคุมฉุกเฉินให้ มิ้นท์กลัวมาก ถ้าเกิดว่าท้องขึ้นมาจริงๆ พี่จะรับผิดชอบมิ้นท์หรือเปล่า...แล้วมิ้นท์ก็ได้คำตอบ ตอนที่พี่หายเงียบไป ไม่ทันจะรู้ผลว่ายาคุมนั่นช่วยได้ไหม มิ้นท์ก็ติดต่อพี่ไม่ได้เลย ไปหาที่บ้านก็ไม่อยู่ โทรไปก็ไม่รับ...ตอนนั้นมิ้นท์ก็รู้แล้วว่าพี่จะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น...ทิ้งให้มิ้นท์เผชิญเรื่องคนเดียว ถึงจะไม่ท้อง แต่มิ้นท์ก็กลัว จนแม่รู้เรื่องของเรา หึ ถ้าแม่ไม่แจ้งความล่ะก็ พี่คงไม่โผล่หน้ามา”มิ้นท์ระบายออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเป็นบางช่วง

“เราขอโทษ ไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้น...ตอนนั้นเรากลัวมาก...กลัวว่ามิ้นท์จะท้อง...ก็เลย...”

“ทิ้งมิ้นท์ไปซะ จะได้จบๆเรื่องใช่ไหม”มิ้นท์มองหน้าผมอย่างโกรธเคือง ผมเงียบ

“รู้อะไรไหม...ตอนแรกมิ้นท์ขอให้แม่ไม่เอาเรื่องพี่สอง แล้วให้แม่ขอทางพ่อพี่ให้หมั้นกับมิ้นท์แทน...แต่ก็ผิดหวังอีก”

“เรามันเลวเอง แต่ที่เรามาหามิ้นท์วันนี้ เราอยากขอโทษมิ้นท์จริงๆ สำหรับทุกอย่าง เรารู้แค่คำขอโทษของเรามันไม่ได้ช่วยให้มิ้นท์รู้สึกดีขึ้น”ผมบอก รู้สึกปั่นป่วนในใจไม่เคยรู้สึกแย่เท่านี้มาก่อน  ผมไม่อยากฟังเรื่องของมิ้นท์ ผมแค่ไม่อยากรู้สึกแย่ไปกว่านี้ ถึงแม้มันจะเป็นความผิดของผมก็ตาม มาตอนนี้ผมแทบสำลักความรู้สึกผิดจนมองหน้ามิ้นท์ไม่ติด

“ก็ดีแล้ว จะได้รู้ว่าอย่าไปทำแบบนี้กับใครอีก ถึงมิ้นท์จะไม่ใช่คนดีอะไร”มิ้นท์พูดเบาๆ

“ห็นมิ้นท์เคยเข้าโรงพยาบาลด้วย....มิ้นท์เป็นอะไร”ผมเปลี่ยนเรื่อง มิ้นท์มองหน้าผมแล้วยิ้มบางๆ

“รู้ด้วยเหรอ...”

“ใช่...มิ้นท์ป่วยเหรอ”

“อืม ป่วยใจ”แล้วมิ้นท์ก็หันมามองหน้าผมนิ่งๆ ผมเงียบปั้นหน้าไม่ถูก

“พอพี่สองย้ายออกไป...เรื่องของมิ้นก็แพร่ไปทั้งโรงเรียนว่าถูกพี่สองฟันแล้วทิ้ง มิ้นท์แทบไม่อยากไปโรงเรียน กลับมาบ้านก็เจอแม่เอาแต่ต่อว่าเรื่องนี้ มิ้นท์เครียดมาก พึ่งใครก็ไม่ได้ ไม่รู้จะทำยังไงเลยจะฆ่าตัวตาย แต่ดีนะที่แม่พาส่งโรงบาลทัน”ทันทีที่มินท์พูด

ผมตกใจมากไม่คิดว่ามิ้นท์จะพยายามฆ่าตัวตายแบบนั้น ไม่แปลกใจว่าทำไมเฮียแกนถึงแค้นผมนัก

“ถามจริงๆเถอะ ถ้าหากว่าพี่แกนไม่เอาคืนสองแบบนี้ สองยังจะทำตัวแบบเดิมไหม”

“คือ เราขอโทษ”ตอนนี้ผมพูดแค่นี้จริงๆ

“คิดว่ามิ้นท์ไม่รู้เหรอว่าหลังจากจบเรื่องของมิ้นท์ไปแล้ว พี่ก็ยังทำตัวเหมือนเดิม แต่แค่ไม่ยุ่งกับผู้หญิง  ไม่เคยนึกถึงหรือสำนึกเรื่องของมิ้นท์เลย ....ลองคิดดูแล้วถ้าไม่เกิดเรื่องพี่แกนแบบนี้ สองก็คงทำตัวมั่วๆ คบกับคนอื่นเหมือนเป็นเรื่องสนุกๆ”มิ้นท์แทงใจผมได้ดี แน่นอนข้อนี้ผมไม่เถียง

“ใช่ เราเป็นแบบนั้นจริง แต่ตอนนี้มันต่างกันไง”ผมบอก

“งั้นต้องขอบคุณพี่แกนนะ ที่ช่วยสั่งสอนพี่ พี่แกนก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้มิ้นท์ดีขึ้น”

“แล้วตอนนี้ล่ะ มิ้นท์พอใจหรือยัง”ผมถาม ในใจสั่นไหว

“มิ้นท์เคยคิดอยากให้สองโดนแบบมิ้นท์บ้างหรือคนอื่นๆที่พี่สองเคยทำ อยากให้รู้ถึงรสชาติของคนที่หมดหนทาง  แต่ก็ไม่อยากให้พี่ต้องเจอแบบที่มิ้นท์เคยเจอหรอก แต่พี่แกนเจ้าคิดเจ้าแค้น อยากให้พี่เจอบทเรียนบ้าง”

“อืม”

“พี่ท็อปเองก็ติดต่อกับมิ้นท์เรื่อย ๆ ไม่ใช่ในฐานะแฟน ถึงแม้ว่าช่วงนึงมิ้นท์กับพี่ท็อปจะคบกัน และมีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้น มิ้นท์ผิดเองด้วยนั่นแหละ แต่พี่ท็อปก็ไม่ได้หนีไปไหน มิ้นท์อยากเจอพี่ เลยให้พี่ท็อปช่วย เพราะพี่แกนไม่ยอมให้มิ้นท์ติดต่อกับพี่เลย”

“งั้น...พี่ท็อป”ผมพูดไม่ออก พี่ท็อปโกหกเรื่องมิ้นท์ ถ้าหากว่าเจ้าตัวให้ผมได้เจอมิ้นท์ล่ะก็ อะไรๆมันอาจดีขึ้นและเรื่องคงไม่เลยเถิดมาขนาดนี้

“คบกับพี่อยู่ใช่ไหม... ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ”มิ้นท์หัวเราะเบาๆ มองหน้าผมแล้วยิ้ม ผมอยากถามบางอย่างกับมิ้นท์เรื่องพี่ท็อป

“มิ้นท์ให้พี่ท็อปมาหลอกเราหรือเปล่า”ผมพูดออกมาจนได้

“แล้วถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะ พี่จะทำยังไง”คำพูดของมิ้นท์เหมือนสายฟ้าผ่ากลางใจ “แล้วมันจริงไหมล่ะ...”ผมถามย้ำอีกครั้ง
มิ้นท์ไม่ตอบ แค่ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินกลับเข้าไปในฟิสเนตต่อ ผมนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวนี้อยู่นาน จนฝนเริ่มลงเม็ด ผมยิ้มเยาะกับตัวเอง ในใจผมรู้ดี เรื่องของผมกับพี่ท็อปก็แค่เกมส์ของเจ้าตัว

เหมือนจิตวิญญาณของผมหายไปพร้อมๆกับความจริงจากปากของมิ้นท์...ผมแค่....เสียใจ ที่ทั้งหมดที่พี่ท็อปทำมันไม่ใช่ความจริงจากใจ มันเป็นเรื่องลวงๆ ผมไม่โกรธที่คนพวกนี้พยายามปั่นหัวผม  เพราะผมเองยอมโง่มาหลายครั้งเหลือเกิน เลือกที่จะมองข้ามความแคลงใจสงสัยในตัวอีกฝ่ายไป

ตอนนี้ผมตกลงมาอย่างหนัก ผมเปียกก่อนจะลุกเดินหาที่หลบฝน ผมวิ่งไปที่ลานจอดรถ มองเวลาก็พบว่ามันเย็นมากแล้ว ไม่อยากติดอยู่ที่นี่นานๆ ผมเสียใจ อยากร้องไห้ออกมา แต่น้ำตากลับไม่ไหล ผมหยิบหมวกกันน็อคมาสวม อากาศเย็นลงกว่าเดิม ผมกลับหอพักด้วยวภาพแบบนี้ ฝนตกลงมาตลอดทาง เหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ ผมเห็นยิมกำลังวิ่งเข้าไปในตึกพอดี อีกฝ่ายหันมองผม

“ตากฝนมาเหรอ”

“อือ”ผมตอบเรียบๆ เดินเข้าไปในตึก ยิมเดินตาม มันมองผมอย่างเป็นห่วง “สีหน้าไม่ดีเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าหรอก”

“ระวังเป็นหวัดนะ”อีกฝ่ายยังคงพูดต่อไป ผมหันไปมอง เจ้าตัวจ้องผม

“ช่างเถอะ”ผมพึมพำ ไม่มีแรงมาต่อล้อต่เถียงกับยิม “หรือว่าอกหัก”มันพูดออกมา ผมชะงักไป อกหักยังดีกว่า มาเจอหลอกแบบนี้ ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นสาม ผมเดินไปที่ห้องของตัวเอง “...มียาหรือเปล่า กูมียาแก้หวัดนะ”อีกฝ่ายบอก ผมหัวเราะ ไม่คิดว่าตัวเองป่วยหรอกนะ แม้ว่าเมื่อคืนก่อนจะปวดหัวอยู่บ้างก็ตาม

ผมเข้ามาในห้อง ขณะนั้นไอ้ยิมก็แทรกตัวเข้ามาด้วย ผมไม่ได้ว่าอะไร ผมไม่ได้ไล่อีกฝ่ายไป รู้สึกหนาวจนสั่นขึ้นมานิดหน่อย  แค่เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาคลุมตัวไว้ ไอ้ยิมกวาดสายตามองไปรอบห้อง ก่อนจะสะดุดกึกเมื่อเห็นภาพวาดใบหน้าพี่ท็อปตั้งอยู่ริมห้อง

“มึงชอบไอ้ท็อปขนาดนี้เลยเหรอ”มันหันมามองผมด้วยสายตาเรียบเฉย น้ำเสียงฟังดูแข็งๆ

“อืม กูคิดว่ากูรักพี่ท็อปว่ะ”ผมยิ้มเยาะกับตัวเอง ยิมถอนหายใจเสียงดัง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องโดยการใช้เท้าเขี่ยๆถุงดำและขวดเบียร์ที่ระเกะระกะอยู่ตามพื้น

“นี่ห้องมึงหรอเนี่ย...รกชิบ นอนเข้าไปได้ยังไง”ยิมส่ายหน้า ก่อนจะทำหน้ายับย่นขัดใจ

“หึ ใครว่า...นอนกับพี่ท็อปหรอก”ผมพึมพำ

“เออ...”ยิมกระแทกเสียง ผมมองหน้าอีกฝ่าย

“พี่กลับไปก่อนก็ได้นะ ผมจะอาบน้ำ”ผมบอกแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ยิมแค่ยืนนิ่ง

“รีบอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวไม่สบายเอา”อีกฝ่ายโบกมือไล่ทำเสียงหงุดหงิด ผมเลยไม่สนใจมันแล้วเข้าไปอาบน้ำ ผมจามหลายครั้ง มีแววว่าจะไม่สบายจริงๆด้วย ผมได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่ในห้อง ยิมนี่มันดื้อจริงๆ

ผมพันผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำ ก็ตกใจกับภาพที่เห็น เพราะยิมมันกำลังเก็บห้องให้ผมอยู่ อีกฝ่ายหันมาจ้องก่อนเบือนสายตาหันมาเก็บกวาดขยะใส่ถุงดำตามเดิม

“นี่พี่ ไม่ต้องทำหรอกครับ เดี๋ยวผมทำเอง”ผมรีบห้ามอีกฝ่าย แต่ก็คงไม่ทันเพราะเจ้าตัวทำความสะอาด เก็บกวาดขยะไปเกือบเสร็จแล้ว

“มึงไปแต่งตัวเหอะ เกะกะว่ะ”อีกฝ่ายบอก ใบหน้าเรียบเฉย แล้วดันตัวผมออกไปให้พ้นทาง  ผมมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยเลยตามเลย ผมเดินไปสวมใส่เสื้อผ้าที่หน้าตู้เสื้อผ้า เลยนึกสนุกอยากแกล้งยิม

“อย่าแอบดูของผมนะพี่”ผมหันไปหาอีกฝ่าย ขณะที่สวมกางเกง ยิมหันหน้ามามองแล้วจ้องผมนิ่งๆ

“อ่อยกูขนาดนี้ ยังจะหาว่ากูแอบมอง”เจ้าตัวส่ายหน้า กอดอกทอดสายตามองผมต่อไป ผมไหวไหล่แล้วหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหยิบเสื้อมาสวม จากนั้นเดินไปหยิบไม้กวาดมาช่วยยิมเก็บของด้วย เห็นว่ามันมองผมไม่ละสายตา มีรอบยิ้มมุมปาก

“พี่นี่โคตรดี ใครได้เป็นแฟนคงโชคดี”ผมพูดไปตามจริง ดูท่าทางของยิมแล้วมันคงเป็นคนรักจริงและจริงใจ

“งั้นเหรอ....แล้วมึงไม่อยากจะโชคดีบ้างเหรอไง”ผมหันขวับมองไปทางคนพูดทันที อะไรดลใจให้อีกฝ่ายพูดแบบนี้นะ ผมหัวเราะ

“ฮ่ะๆ พี่นี่ตลกดี คิดจะจีบผมจริงๆหรือไง"ผมยิ้มแล้วมัดปากถุงดำแล้วหิัวไปวางกองที่มุมห้อง

“...ก็เผื่อฟลุค เผื่อว่าเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาไง”ยิมพูดเบาๆ ผมหันไปมองทางมันอีกครั้ง ผมชอบอีกฝ่ายนะ อาจจะแค่เสี้ยวนึง แต่ไม่มากพอที่ผมจะเลิกรักพี่ท็อปแล้วหันมาชอบมันได้ ยิมแค่ยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินไปหยิบซองเอกสารที่มันให้ผมมาถือไว้

“ยังไม่ได้เปิดดูอีกเหรอ”ยิมถามแล้วเปิดซองรูปก่อนจะเลือกหยิบรูปมาหนึ่งใบแล้วยื่นให้ ผมรับมาถือไว้แล้วก้มดู เป็นรูปของผมเอง ที่ทะเลหมอกจำได้ว่าตอนนั้นผมนั่งรอพี่ท็อปไปซื้อเบียร์มาให้ ผมแปลกใจตอนนั้นยิมน่าจะไปกับพวกเฮียแกนนี่

"ถ่ายตอนไหน"ผมถาม

“กูวกกลับมาดูมึงไง .ตอนกูส่งข้อความหามึง แต่ไม่เห็นมึงตอบกลับมาเลย”ยิมพูด ผมถึงกับถอนหายใจ

“ขอบใจนะยิม...”ผมพูดได้แค่นี้ สำหรับสิ่งที่มันทำให้ผม

“มึงกินยาเลย เดี๋ยวไม่สบาย”ยิมบอก ก่อนจะเดินมาค้นบนโต๊ะเขียนหนังสือของผม พยายามหากระปุกยาที่วางปนกันไปมั่ว “คงหมดแล้วมั้ง...”ผมบอก แล้วเดินมานั่งที่เตียง อีกฝ่ายบ่นผมเรื่องห้องรกอีกรอบ

“เดี๋ยวไปเอามาให้”ยิมพูด สีหน้านิ่งเฉย จากนั้นก็เดินออกจากห้องของผมไป
ผมหยิบโทรศัพท์มากดดู พี่ท็อปไม่ได้โทรหาหรือส่งข้อความอะไรมาเลย ผมถอนหายใจแรง รู้สึกปวดหึวขึ้นมาตุบๆซะแล้ว ไม่นานนักยิมก็กลับเข้ามาพร้อมกระปุกยา แล้วบังคับให้ผมกินไปสองเม็ด ผมมองนาฬิกา ตอนนี้หนึ่งทุ่มเศษๆแล้ว จากนั้นก็ขยับไปนอนพิงหมอนที่รองหลังไว้ อีกฝ่ายยังคงเดินวนไปมา เก็บกวาดของเล็กๆน้อยราวกับทนเห็นความไม่เป็นระเบียบไม่ได้

“พี่ถอดแว่นแล้วดูดีกว่าตอนไม่ใส่อีก"ผมชวนคุย  สังเกตมาหลายคนแล้วว่าใบหน้าของคนที่ถอดแว่นกับตอนสวมแว่นดูต่างกัน และคนตรงหน้าผมนี่คือข้อพิสูจน์ ยิมไหวไหล่

“มันไม่ค่อยชิน”อีกฝ่ายพูด แล้วฉีดสเปรย์ดับกลิ่นพ่นไปทั่วห้อง ผมย่นจมูกเมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆของลาเวนเดอร์ผมสดชื่นขึ้นมาได้นิดหน่อย

“เดี๋ยวก็ชินไปเอง ใส่แว่นแล้วดูติ๋มๆ ไม่เร้าใจเลย”ผมได้ทีแกล้งพูดออกไปแบบนั้น เหลือบมองเจ้าตัวที่เหมือนจะชะงักไปเหมือนกัน ผมหัวเราะในลำคอ

ยิมยิ้มแล้วเดินมาหาผมที่เตียง“มึงไปเอาความคิดผิดๆ แบบนี้มาจากไหน ใช้กับกูไม่ได้หรอก”อีกฝ่ายเอ่ย แล้วเดินมาหาผม เจ้าตัวยิ้มกริ่มยื่นมือออกมาลูบลำคอผมอย่างท่าทีเล่นทีจริง

“ฮั่นแน่ ปากดีซะด้วย”ผมยิ้มล้อ

“ลองไหมล่ะ”ยิ้มพูด อีกฝ่ายโน้มตัวลง ยื่นหน้ามาใกล้จนเฉียดแก้มผมไป ผมย่นคอหลบ

“พี่ก็ใช่ย่อยเลยนะ”ผมหัวเราะแล้วผลักตัวอีกฝ่ายออกห่าง ยิมยิ้มพอใจแล้วมานั่งลงข้างผมบนเตียง

“ทำไมมึงไม่เรียกกูพี่วะ”ยิมถาม

“ก็เรียกนี่ไง อ๋อ หรืออยากให้เรียกชื่อแบบเพราะๆ” ผมยิ้ม แล้วมองสังเกตปฏิกิริยาของเจ้าตัวไปด้วย

“เปล่า”อีกฝ่ายพึมพำ เลิกคิ้วมองผม

ผมชั่งใจ มองอีกฝ่ายยิ้ม ๆ ก่อนจะลองเรียกตามที่มันต้องการ “พี่ยิม”ถึงจะรู้สึกไม่ชินปากนัก ยิมมันยิ้มก่อนจะหันหน้าไปมองอย่างอื่น “เขินด้วยแหรอ”ผมเลยแกล้งมันยื่นหน้าไปยิ้มล้อเลียน

“ไอ้สอง”ยิมมันทำหน้านิ่งตามเดิมแล้วพ่นสเปร์ดับกลิ่นใส่หน้าผมแทน ผมถึงกับสำลัก

“เชี่ยยิม”รสชาติแปลก ขมปะแล่มๆ ทำเอาผมเบ้หน้าก่อนจะชี้หน้าคาดโทษอีกฝ่าย

“นอนพักเถอะ เดี๋ยวแฟนมึงก็มาดูใจแล้ว”ยิมบอก ก่อนจะลุกเดินเอาขวดสเปรย์วางลงที่โต๊ะ ผมกลับมาคิดเรื่องพี่ท็อปอีกครั้ง ตอนแรกผมลืมไปชั่วขณะเพราะมียิมคุยด้วย ผมพยักหน้าให้อีกฝ่าย แล้วขยับตัวลงนอน 

“ไว้เจอกันนะ”อีกฝ่ายบอก มองผมอยู่นาน จากนั้นเดินออกจากห้องของผมไป

ผมนอนคิดเรื่องพี่ท็อป รู้ตัวอีกทีก็ไอออกมาติดต่อกันหลายครั้ง จนปวดจมูกขึ้นมา ผมถอนหายใจแรง  ท่าทางจะแย่กว่าที่คิด ผมยกมือแตะหน้าผากของตัวเอง ร้อนๆเหมือนกันแฮะ  ผมปวดหัวขึ้นมาอีกระลอก ช่วงสัปดาห์ก่อนก็ยิ่งนอนดึกๆอยู่แถมยังพักผ่อนน้อยแถมยังคอยกังวลเรื่องพี่ท็อปอีก

คืนนั้นพี่ท็อปไม่ได้กลับมานอนที่ห้อง ตอนแรกผมคิดอยู่ว่าจะโทรหา แต่แล้วกลับเผลอหลับไปวูบนึง  ตื่นมาอีกทีก็เกือบเที่ยงคืน ผมเริ่มเจ็บคอและเนื้อตัวร้อนรุ่ม เลยลุกไปอัดยาอีกรอบ

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 12 เริ่มนับถอยหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 25-07-2015 14:31:47
คืนทั้งคืนก็แทบไม่ได้นอนเพราะไอ แถมยังเจ็บคอและปวดหัวแทบระเบิด จนล่วงเลยมาจนเช้าวันใหม่ ผมรู้สึกล้าและอ่อนเพลีย คงไปคณะไม่ไหวแน่ เลยโทรบอกให้ไอ้ผิงฝากลาอาจารย์แทน ใบรับรองแพทย์จะตามไปทีหลัง
ผมกลืนอะไรไม่ลง แมักระทั่งน้ำลายก็ไม่อยากกลืน ...หลับๆตื่นๆเหมือนเห็นพี่ท็อปมานั่งข้างๆ

“สอง เป็นไรวะ ทำไมตัวร้อนแบบนี้เสียงพี่ท็อปนี่ แสดงว่ากลับมาแล้ว ผมฝืนยิ้มให้

“หืม...เอ่อ...ผมปวดหัวอ่ะ เจ็บคอด้วย..."ผมพยายามบอก กลืนน้ำลายลำบาก พี่ท็อปดูร้อนลน

“เดี๋ยวพี่พาไปหาหมอนะ”พี่ท็อปเข้ามาอังหน้าผากผมแล้วรีบลุกไปหยิบเสื้อคลุมของผมมาสวมให้ผมแต่ดูจะเสียเวลา พี่ท็อปวิ่งตึงๆออกไปจากห้อง กลับมาพร้อมโทรศัพท์และกระเป๋าสะพาย ก่อนจะเข้ามาพยุงผมให้ลุกเดิน

"...มึงไม่เป็นไรนะ กูโทรเรียกแท็กซี่แล้วเดี๋ยวไปหาหมอกัน ตัวมึงร้อนจัง"พี่ท็อฟพูด แล้วดึงแขนผมมาพาดไหล่ของตนเองแล้วพยุงผมให้ออกเดิน ผมเหลือบมองพี่ท็อปท่าทางดูเป็นห่วงผมจริงจัง

"เมื่อเย็นตากฝนมั้งครับมั้ง"ผมบอกเสียงแหบ

"ไม่สบายตั้งแต่เมื่อคืนหรอ....พี่ขอโทษนะ พี่นอนที่หอไอ้ธามมัวแต่เคลียร์งาน ...ขอโทษนะ"พี่ท็อปพูดซ้ำๆอยู่แบบนี้
ระหว่างที่พยุงร่างของผมให้ลงบันไดช้าๆแต่ก็เซเล็กน้อย

“ทนหน่อยนะสอง”พี่ท็อปพูดเสียงสั่นเครือ จนกระทั่งเดินมาถึงบันไดชั้นหนึ่งเจอเข้ากับไอ้ยิมพอดี มันมีท่าทีตกใจขึ้นมาวูบนึงก่อนจะเข้ามาหา

“มันเป็นอะไร”ไอ้ยิมถาม

“ป่วย หลีกหน่อย”พี่ท็อปพูดห้วนๆออกแรงพยุงร่างผมเดินต่อไป.ผมมองหน้าไอ้ยิม มันดูเป็นห่วงผมแต่ไม่แสดงออกมาก

“เดี๋ยวกูช่วยมึงแบกมัน...มึงคนเดียวไม่ไหวแน่ๆ”ไอ้ยิมไม่รอคำตอบจากพี่ท็อปเข้ามาดึงแขนผมไปอีกข้างแล้วพากันลากผมไปรอแท็กซี่ที่หน้าหอพัก พี่ท็อปหยิบเสื้อคลุมมาห่มตัวผมไว้

“ยังไหวอยู่ไหม”พี่ท็อปถามก่อนจะดึงมือผมไปจับ

“...อืม”ผมพยายามยิ้มให้พี่ท็อป ไอ้ยิมมองผมนิ่งๆ ผมส่งยิ้มให้มันบ้าง

ไม่นานรถแท็กซี่ก็เลี้ยวมาจอดที่หน้าหอพักตรงหน้าพอดี พี่ท็อปกับไอ้ยิมช่วยพาผมเข้าไปนั่งบนเบาะหลังจนสำเร็จ พี่ท็อปรีบเข้ามานั่งข้างๆผมแล้วเตรียมปิดประตูรถแต่ไอ้ยิมรั้งไว้ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามามองผม

“...ฝากดูมันด้วยนะ”ผมได้ยินเสียงไอ้ยิมพูด "อืม อยู่แล้ว..."พี่ท็อปก็อือเออตอบกลับไป ตลอดทางพี่ท็อปคอยถามอาการของผมอยู่เรื่อยๆแถมยังจับมือผมไม่ปล่อย...จนผมเริ่มสับสนและไขว้เขวอีกครั้ง                      .


  หลังจากที่ไปโรงพยาบาลมาแล้วผมก็โดนฉีดยาไปหนึ่งเข็มและรับยาแก้อักเสบยาพาราแก้ปวดศีรษะมาอย่างละชุด พี่ท็อปอยู่เฝ้าไข้ผมที่หัองพักต่อจากเรื่ีองวันนี้อย่างน้อยผมก็เห็นว่าพี่ท็อปก็ยังเป็นห่วงผมจริงๆ แค่นี้ผมก็ใจชื้นขึ้นมา

“...ไม่มีเรียนหรอพี่.."ผมถามเสียงแหบ พี่ท็อปส่ายหน้าเบาๆมองผม

“ตอนนี้มึงป่วยอยู่ กูอยู่เฝ้ามึงดีกว่า อาการมึงยังน่าห่วงอยู่นะ"พี่ท็อปขยับดึงผ้าห่มให้ผม

“ผมไม่เป็นอะไรหรอกพี่ แค่นอนพักผ่อนก็หายแล้ว พี่ขาดเรียนแบบนี้ไม่ดีเลยนะ..."เพราะใกล้สอบแล้ว แค่ผมป่วยธรรมดาผมก็ไม่อยากให้พี่ท็อปเสียการเรียนหรอก

“กูเป็นห่วงมึงนี่"พี่ท็อปลูบหัวผทเบาๆสายตาดูอ่อนโยนอย่างอห็นได้ชัด ผมยิ้มจับมือพี่ท็อปแน่นๆ

“เอาแบบนี้แล้วกัน งั้นผมโทรตามไอ้ผิงมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ครับ"ผมยิ้มบอกแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาโชว์พี่ท็อป

“  ...เอางั้นหรอ แค่ถ้ามีอะไรโทรหากูนะ "พี่ท็อปจับมือผมไว้ ผมยิ้มพยักหน้าไปให้

“ครับ จะโทรหาพี่คนแรกเลย"ผมบอก แล้วให้พี่ท็ือปโทรหาไอ้ผิงแทน พี่ท็อปอยู่เช็ดตัวให้ผมประมาณสิบนาทีก็ขอตัวกลับออกไปเรียน ไม่นานนักไอ้ผิงก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาผม

“กูว่าแล้วไง ดูมึงดิ โทรมชิบ"ไอ้ผิงบ่นแล้วเดินมาหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กในถาดมาเช็ดตัวให้ผมอีกรอบ

“...อืม...."ผมส่งเสียงให้มันแล้วย่นหน้าเพราะรำคาญเสียงบ่นของมัน
ผมนอนหลับไปได้สักพักก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้ายเรื่องของมิ้นท์กับพี่ท็อปดูสับสนปนเปกันจนมั่วไปหมด ผมนอนไม่หลับอีกต่อไปเพราะกลัวฝันเหมือนเดิม

“เป็นอะไรวะมึง"ไอ้ผิงรีบเดินมาหาผมทันที มันทำหน้าเครียดมองผม แต่ผมส่ายหน้า"แค่ฝันร้าย"

“มีอะไรบอกกูนะเว้ย มึงดูไม่ดีเลยว่ะ"ไอ้ผิงขมวดคิ้ว ผมยิ้มให้มัน

“เออ กูพร้อมแล้วกูจะบอกนะ...กโอเคขึ้นแล้วว่ะ มึงไปทำงานต่อเถอะ"ผมบอกมัน รู้สึกเกรงใจมันขึ้นมาบ้างและไม่อยากรบกวนมันมากไปกว่านี้

“ได้ไงวะ แฟนมึงกำชับกูอยู่"ไอ้ผิงรีบพูด แล้วเลื่อนชามโจ๊กหมูมาให้ผมบนโต๊ะ

“พี่ท็อปนะเหรอ"ผมถาม แล้วหันหน้าไปที่ชามร้อนๆ ผมตักโจ๊กเข้าปากสองสามคำ

“เออดิวะแฟนมึงมีหลายคนหรือไง"ไอ้ผิงทำหน้าขำๆ

“..งั้นเหรอ"

“พี่เค้าก็ดูเป็นห่วงมึงนะ"ไอ้ผิงพูดทำให้ผมยิ้มออกมาได้ ผมกินโจ๊กไปครึ่งชามแล้วตามด้วยยาอย่างละสองเม็ด ฤทธิ์ยาทำให้ผมเริ่มง่วง

...และผมหลับไปอีกครั้ง

แต่เหมือนไอ้ผิงมันพูดอะไรกับผมสักอย่างเห็นมันคุยโทรศัพท์ไปด้วย ผมก็สะลึมสลือจากพิษไข้จนรู้สึกได้ว่ามีน้ำเย็นๆสัมผัสที่ใบหน้าหลายครั้ง ใครเช็ดตัวให้ผมกัน ผมพยายามลืมตา ใช้เวลาไม่นานก็ปรับสภาพไดัผมมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตา

“...ยิม...พี่เองหรอ"ผมมองหน้ามันอยู่นาน..ทำไมถึงต้องทำดีกับผมขนาดนี้นะ ไอ้ยิมยิ้มบางๆแล้ววางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กลงในถาด

“เพื่อนมึงมีธุระก็เลยมาเคาะห้องกูให้มาเฝ้ามึง ดีนะกูเพิ่งกลับมา"ไอ้ยิมบอก ผมพยักหน้าเบาๆ

“อืมรบกวนด้วยนะ"

“ไม่เป็นไรหรอก...เต็มใจ"ผมต้องหันไปมองหน้ามันอีกครั้ง

“..ขอบใจนะ"ผมยิ้มให้มัน ไอ้ยิมเลยยิ้มกว้างขึ้นมา

“ไข้ลดลงเยอะแล้ว...กูตกใจที่เห็นมึงท่าทางแย่ "

“แล้วนี่เลิกเรียนแล้วสิ"

“ยังหรอก...พอดีแวะมาเอาของน่ะเลยเข้ามาดูมึงหน่อย"

“กูโอเคขึ้นเยอะแล้ว กูอยู่ได้น่า"ผมบอก ไอ้นี่ก็อีกคน จะโดดเรียนมาเฝ้าผมอีก ผมเลยเถียงกับมันอยู่นานจนมันยอมแพ้กลับไปเรียนต่อ

หลังจากยิมกลับไปเรียนต่อแล้ว ผมบิดขี้เกียจ ไม่เพลียเท่าตอนแรก ผมก็เปิดคอมดูตารางเรียนของพี่ทํอป มีเรียนยาวไปจนถึงหกโมงเย็น ผมมองนาฬิกาตอนนี้เพิ่งสี่โมงกว่า ๆ ผมคิดอยากลองเข้าไปในห้องของพี่ท็อป ลงไปชั้นล่างไปยังออฟฟิศของป้าเจ้าของหอพัก ซึ่งผมก็สนิทพอสมควร เลยไปขอกุญแจห้องพี่ท็อปเพราะแกก็รู้ว่าผมกับพี่ท็อปสนิทกัน เมื่อได้กุญแจมาแล้ว ผมเปิดห้องพี่ท็อป

เข้าไปหาของที่ผมไม่รู้ว่ามีอยู่หรือเปล่า...แค่อะไรก็ได้ที่พี่ท็อปทิ้งไว้
ผมเดินไปที่ลิ้นชักชั้นล่างมันถูกใส่กุญแจไว้สองชั้นติดกัน ต้องมีอะไรในนี้แน่ๆ ถึงผมจะมานอนห้องพี่ท็อปบ่อยๆแต่ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพี่ท็อปเลย แต่ไม่รู้จะเปิดลิ้นชักยังไง ผมน่าจะมีกุญแจผี ...คิดแล้วก็ได้แต่หงุดหงิดใจ

ผมเดินไปค้นบริเวณอื่นแทน ...ที่ตรงไหนที่ผมไม่เคยหยิบจับ..อืม...อาจจะชั้นหนังสือของพี่ท็อป ผมเดินไปดูลูบคลำ ปกติผมก็ไม่ได้สนใจหนังสือของพี่ท็อปอยู่แล้ว ผมลองเลื่อนหนังสือออกทีละเล่มไล่ตามชั้นจนกระทั่งชั้นล่างสุด ที่มีหนังสือวางเรียงแค่ครึ่งชั้น ส่วนอีกครึ่งที่เหลือเป็นตั้งที่วางซ้อนกันแทน

ขณะที่ผมหยิบหนังสือกองนั้นออกมาแต่เป็นความซุ่มซ่ามของผมที่หนังสือเล่มสุดท้ายหลุดมือตกลงกับพื้นทำให้ผมหยิบขึ้นมามีรูปถ่ายถูกสอดไว้ด้านในผมหยิบมาดู เป็นรูปของผมกับมิ้นท์ในสมัยมัธยมเป็นภาพโพราลอย...ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมถึงมีรูปผมได้เพราะมิ้นท์นั่นเอง ผมเงยหน้ามองที่ว่างด้านในสุดเห็นกล่องแบนๆสี่เหลี่ยมวางชิดผนังเป็นแนวตั้ง ดูลักษณะแล้วเจ้าของห้องคงตั้งใจเอามาซ่อนให้พ้นสายตา  ผมหยิบกล่องใบนั้นออกมามีสติ๊กเกอร์การ์ตูนติดอยู่เป็นตัวการ์ตูนน่ารักๆของผู้หญิง

ผมเปิดออกดู...

ข้างในบรรจุรูปถ่ายของผมกับมิ้นท์ส่วนมากเป็นรูปของผมทั้งนั้นมันเป็นภาพเล็กๆเหมือนล้างจากโทรศัพท์ ส่วนใหญ่เป็นรูปจากกล้องของมิ้นท์เพราะผมเคยเห็นรูปในมือถือของมิ้นท์ที่มีแต่รูปของผม มาอยู่ที่พี่ท็อปแบบรี้แสดงว่ามิ้นท์ให้มาชัดเจนขนาดนี้แล้ว ผมคงไม่สามารถหาเหตุผลมาหลอกตัวเองได้อีก ผมต้องยอมรับอย่างเต็มอกเต็มปากว่าพี่ท็อปเข้าหาผมและเข้ามาในใจผมได้เพราะเรื่องของมิ้นท์

ผมไม่รู้ว่ามิ้นท์ขอให้พี่ท็อปทำแบบนี้หรือเปล่า...ผมนิ่งงันไปชั่วขณะก่อนจะเรียบเรียงเหตุการณ์ระหว่างผมกับพี่ท็อปและมิ้นท์ ผมเชื่อว่าลึกๆแล้วพี่ีท็อปมีความจริงใจต่อผมไม่มากก็น้อย คนพวกนี้เห็นผมเป็นหมากตัวนึงในเกมส์ของพวกมัน...แต่ผมจะโกรธแค้นไปทำไมในเมื่อสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ก็คือ ผลของการกระทำอันไร้สำนึกของตัวเอง

แล้วไง...ทำผมเจ็บได้พวกนั้นจะสะใจพอใจกันแล้วสินะ....ใช่ไหมนะ...ผมนั่งนิ่งจมไปกับความคิดแย่ๆอยู่นาน...ผมรีบเก็บของให้อยู่ในสภาพเดิมและล็อคห้องพี่ท็อปแล้วนำกุญแจสำรองไปคืนเจ้าของหอที่ออฟฟิส  ผมเดินกลับไปยังห้องตัวเอง รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ผมล้มตัวนอนลงบนเตียง ดูเหมือนไข้ผมจะขึ้นอีกครั้ง ผมนอนมองเพดานห้อง... ความรู้สึกของผมที่ให้พี่ท็อปค่อยๆพังทะลายลงทีละน้อย

ทำไมวะ ทำไม ได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเอง จนนึกไปถึงกรณีไอ้บอม แฟนเก่าพี่ท็อป มันยังไม่รอดมือพี่ท็อปเลย คนอย่างพี่ท็อป ศักดิ์ศรีมันหยามกันไม่ได้

เอาสิ....ร้องไห้เลย พอเจอกับตัวแล้ว ผมกลับไม่มีน้ำตาสักหยด แต่ใจเจ้ากรรมดูจะสวนทางกับต่อมน้ำตาของผม
ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา....กดเบอร์ของพี่ท็อปแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ...ไอ้ผิงมันจะว่างหรือยัง ผมอยากได้เพื่อนสักคนคอยปลอบใจแต่มันคงซ้ำเติมผมแน่ๆ Number one ของผม ทำเอาผมแทบกระอักทีเดียว พี่ท็อปคงรู้ว่าผมเทใจไปให้เยอะแล้ว ในเมื่อผมรักพี่ขนาดนี้แล้วก็รับไปเยอะๆเลยแล้วกัน

ผมกดโทรหาพี่ท็อป รอสายไม่นาน

[ว่าไงครับ]

“ยุ่งหรือเปล่าพี่”

[คุยได้ครับ เป็นอะไรหรือเปล่า]

“เปล่าหรอก แค่อยากรู้ว่าพี่จะกลับตอนไหน ขากลับฝากซื้อโจ๊กให้ผมด้วยนะ”ผมพูด ทำเสียงออดอ้อนแบบปกติ

[..ได้สิ แล้วไข้ลดบ้างหรือยัง]

“ก็โอเคขึ้นแล้ว แต่คงจะดีกว่านี้ถ้ามีคนให้กำลังใจ”ผมหัวเราะเบาๆ

[..ใครว้า ไอ้ยิมหรือไง]พ่ีท็อปหัวเราะ ผมยิ้ม

“แฟนผมที่ชื่อท็อปอ่ะ กลับมาหาผมเร็วๆล่ะครับ คิดถึง”ผมบอกไปแบบนั้น ให้อีกฝ่ายได้ใจไปเอง

[อ้อนจังนะ งั้นพักผ่อนล่ะเดี๋ยวจะรีบกลับซื้อโจ๊กไปให้นะ]

“โอเค ครับ”ผมกดวางสาย

แต่ทำไมผมถึงได้หนักใจได้ขนาดนี้ การเสแสร้งมันไม่ง่ายเลย แต่ทำไมพี่ท็อปทำเหมือนว่าง่ายนักล่ะ คิดไปคิดมาผมก็ได้คำตอบ เพราะผมเสแสร้งกับคนที่รัก มันเลยยาก ส่วนพี่ท็อปการเสแสร้งกับคนที่ไม่รัก มันคงเป็นเรื่องง่าย

ตกลงใครร้ายกว่ากันล่ะอย่างน้อยผมก็ไม่เคยเสแสร้งแสดงละครมารักกับเด็กของผมเลยสักคน หรือแม้แต่มิ้นท์ผมก็ไม่ได้แค่รักสนุกอย่างเดียว ผมชอบมิ้นท์มาก แต่ไม่ใช่ความรัก ผมส่ายหน้า จากนั้นลุกมากินยาพาราอีกสองเม็ดเพราะปวดหัวแทบระเบิด นอนห่มผ้า สายตามองเพดานห้อง

ผมควรจะจบเรื่องนี้ยังไงดี
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-07-2015 14:38:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 25-07-2015 15:14:23
หน่วงแทนสองจริงๆ  อะไรมันจะซับไปซ้อนมาขนาดนี้

สุดท้ายแล้วใครจะชนะเกมนี้กัน คงมีแต่คนที่เสียใจ  เฮ้อ !    :mew2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 25-07-2015 15:30:10
สงสารสองจัง บทเรียนครั้งนี้ได้มาแลกกับความปวดใจ.  :mew5:
อกหักไม่ตายหรอกแต่แค่ไม่อยากให้พี่ท้อปกับแกนเล่นถึงขนาดให้เสียอนาคต
เราว่าสองควรอยู่คนเดียว ยิมเองก็พี่โย พี่น้องตีกันอีก
พี่ท็อปนี่คงลาขาดจะเอาอะไรมาไว้ใจกันได้อีก เห้อรอตอนใหมค่ะ
ขอบคุณ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: yuuri ที่ 25-07-2015 15:34:32
สอง นายมโนไปเองหรือเปล่า ระแวงไปเองหรือเปล่า
เราว่าพี่ท็อปก็ดูจริงใจดีนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 25-07-2015 16:06:09
โอ้ยยย อยากอ่าต่อแล้ววววว!!!!
ดูตอนนี้แล้ววว อิพี่ท๊อปก็ดูเป็นห่วงสองนะ เอะหรือยังไงง
แต่เค้าก็แอบหวังว่า ที่พี่ท๊อปแสดงออกวันนี้มันมาจากใจล้วนๆๆนะเออ
ขอเหอะ อย่าให้เป็นแบบที่สองคิดเลยยย มัคงจะเจ็บบบมากกกก :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 25-07-2015 16:12:30
สงสารสองอ่ะะะ เครียดดดดดเกินไปแล้วววว
พี่ท๊อปอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้นะ แต่ที่มีรูปสองและให้คนตามสืบ
อาจจะแอบหลงรักสองมานานเหมือนยิมแล้วก็ได้นะะ 55555
ลุ้นๆๆๆ แจ๊คพรอตที่ว่านี่คืออัลไลล  รอ ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 25-07-2015 16:14:28
อ่านแล้ววรู้สึกเครียดไปสองเลยย คือแบบมันระแวงนู่นนี่นั่นไปหมด ไว้ใจใครไม่ได้เลยไง
เฮ้อออออ หวังว่าพี่ท๊อปจะมีใจให้สองบ้างงงงน๊าาาา
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: chaotic69 ที่ 25-07-2015 16:17:56
หน่วงงง เม้นอะไรไม่ฮกเหมือนกัน /โดนตบ >_____ <
เรายังยืนยันคำเดิมนะ เปลี่ยนเป็น #ทีมยิม ดีกว่านะสอง  :hao3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 25-07-2015 16:21:51
คนอื่นคิดไงไม่รู้ แต่นี่เชียร์ยิมตั้งแต่ครั้งแรกที่เค้าเจอกันละ
 :กอด1:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 25-07-2015 17:06:53
พี่ยิมนี่สายพระรองหรือพระเอกคะ? 55555555555555
พี่ท็อปทำตัวให้น่าสงสัยขึ้นเรื่อยๆ หลุดแท่นพระเอกเรื่อยๆแล้ว
มองเห็นทีมพี่ยิมเต็มไปหมดเลย(?)
ใจจริงๆยังอยากเชียร์พี่ท็อป แต่ก็ไม่ไว้ใจพี่ท็อปอยู่ดี
เชียร์พี่ท็อปมาตั้งแต่ต้น แต่ก็ยังไม่เคยไว้ใจพี่ท็อปจริงๆซักที 5555555
หวังว่าพี่ท็อปจะรักสองจริงๆนะไม่ใช่แค่แก้แค้น...
ความจริงปล่อยให้สองไม่รู้อะไรยังเจ็บน้อยกว่าเลย..
 :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 25-07-2015 18:08:34
      ตอนนี้เรื่องพี่ท็อปมันจะเป็นความจริง 100% รึป่าวเนี่ยสอง  ความจริงยังไม่ชัดเจนเลยนะ แต่อย่างไรบทนี้ไม่เห็นใจสองนะเพราะเป็นการลงโทษกับสิ่งที่ได้ทำลงไป มิ้นท์เขาต้องการให้สองแก้ไขตัวเองนะ 
      รอ รอ รออ่านตอนใหม่คับ อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง จะเป็นแบบที่สองคิดว่า รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก รึป่าว ๕๕๕
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: littlepink ที่ 25-07-2015 18:16:59
แวะมาบอกว่า #ทีมยิม ^^ ถ้าท็อปแก้แค้นสองด้วยวิธีนี้จริงๆ คงเจ็บปวดมาก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 25-07-2015 18:49:17
ถ้าหากว่าเรื่องเป็นจริงแบบที่สองคิดหรือระแวง  อาจจะเจ็บแต่เราว่าสองก็ทำใจแล้วก็ปลงในระดับหนึ่งเลยทีเดียว   อาจจะเจ็บแต่สองไม่ตายหรอก  สองแกร่งมากๆพอตัว อ่านบทบรรยายที่สองคิดแล้วรู้สึกถึงความแกร่งของสอง  ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บ  สองเองก็ยอมรับแล้วในจุดหนึ่งว่าที่เกิดขึ้นมาจากสิ่งที่ตัวเองทำไว้    แต่เรื่องก็อาจจะไม่ได้เป็นไปแบบที่สองคิดไว้ทั้งหมด

ท็อปนั้นก็คิดว่ามีใจให้สองอยู่ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว  ถ้าหากว่าเรื่องแตกขึ้นมาแล้วสองถอย คนที่ทุรนทุรายก็น่าจะเป็นท็อปเอง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 25-07-2015 18:49:57
เชี่ยยยยย สองจิตสองใจ
อยากได้ยิม
แต่ก็เสียดายพี่ท็อป โอ้ยยยยยยย
ไม่อยากให้ใครผิดหวังทั้งนั้นแหละ
นี่สินะ ความโลภของมนุษย์
ยิมจ๋า ถ้าไอ้สองมันไม่เอา ก็มาหาเรานะ
 :o8:
สับสนพี่ท็อปสุดๆ เหมือนอะไรก็เป็นไปได้
แต่เราจะเชื่อพี่นะ ว่าพี่ไม่ล้อเล่นกับใจคนหรอก
พี่คงไม่ใช่คนแบบนั้นใช่มั้ย พี่ท็อป
 :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 25-07-2015 19:11:27
อ่านแล้วหน่วงๆ ในใจดีเนอะ สองคงจิดตกแย่เลย อาร์ตอยู่ด้วยคงไม่คิดสั้นนะ :mew2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 25-07-2015 19:33:17
:เฮ้อ: ยังไงดีล่ะเนี้ย ขอเชื่อใจพี่ท็อป (พร้อมความหวาดระแวง ที่ยังคาใจอยู่) ต่อไป ได้แต่ลุ้นให้ให้ปมของพี่ท็อปกับมินต์ แล้วก็การที่พี่ท็อปเข้ามาในชีวิตของสองมันคลี่คลายมากกว่านี้ พี่ท็อปต้องมีใจให้สองสิ  การกระทำของพี่ท็อปหลายอย่างมันบอกอย่างนั้นนี้  :katai1:

แต่ก็ยังตัดยิมไม่ขาดเหมือนกัน เวลามีโมเมนต์ที่ยิมสองอยู่ด้วยกันมันดูไหลลื่น น่ารัก อ่านไปยิ้มไป  ยิมคงชอบสองจริงๆ การแสดงออกมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้สองก็ทำตัวสบายๆ กับยิมได้โดยไม่ต้องคิดมาก? ไม่เหมือนตอนอยู่กับพี่ท็อปที่ต้องคิดหนักตลอด

:m11: ลุ้นกันต่อไป

 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 25-07-2015 20:00:16
อยากให้สองเป็นคนจบ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 25-07-2015 20:28:27
ใจร้ายมากพี่ท๊อป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 25-07-2015 20:49:15
เรายังห้าสิบห้าสิบกับพี่ท็อปว่ะ

แบบว่าที่แสดงออกมาอาจจริงใจแบบว่าชอบสองจริง ๆ

แต่ช่วงแรก ๆ ที่เข้าหาอ่ะอาจจะแค่แก้แค้น แต่หลัง ๆ เนี่ยอาจจะรักไปแล้วจริง ๆ ก็ได้นะเราว่า

แบบว่าจากแค้นเปลี่ยนเป็นรักไรเงี่ย หรืออาจจะหักมุมหลอกให้ตายใจแล้วทิ้งไรเงี่ยไม่รู้สิต้องติดตามต่อไปแล้วกันนะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 25-07-2015 21:33:24
ท็อปอาจจะชอบสองจิงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้สองเจ็บด้วยเหมือนกัน

ยิมดีจิงหรือดีเก๊ แต่แอบเชียร์นะ หุหุ  เฮียแกนไม่ต้องสงสัยรู้ๆกันอยู่

สรุปสองก็ต้องเจ็บไม่ว่าเลือกเดินทางได

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 25-07-2015 21:51:41
ขอลุ้นตอนหน้า แอบหวังแจ๊คพอต ว่าพี่ท็อปก็รักจริง ลุ้นๆๆๆๆ
อยากให้สองถามพี่ท็อปตรงๆๆๆเลย จะได้รู้ไปเลย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 25-07-2015 22:29:14
สองรู้ว่ากำลังถูกเอาคืน  ยังจะรักท็อปอีก  น่าจะไปให้ห่างๆคนพวกนี้
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 26-07-2015 06:18:58
แกนนี่ไม่ค่อยได้ออกเลย ตัวร้ายมาแต่ชื่อ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 26-07-2015 12:51:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-07-2015 14:21:40
พูดไม่ถูกเลย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 26-07-2015 14:36:13
สองควรจะจบเรื่องด้วยตัวเอง จะได้ไม่ต้องเครียดอีก
คุยกันให้รู้เรื่องกันไปเลย ว่าจะเอายังไง ยิ่งปล่อยเอาไว้นานมันยิ่งเจ็บนะ
ที่สำคัญคนอ่านเครียดตามสองกันหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: nuttzier ที่ 26-07-2015 14:40:33
แย่มาก  ...  พี่ท๊อปจะเลวเกินไปแล้ว   ความรู้สึกคนนะเว๊ย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 26-07-2015 20:23:50
 :z3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Riodreamlove ที่ 27-07-2015 11:57:32
 :z3: งื้ออออ ถ้าเป็นอย่างที่สองคิด มันเจ็บปวดมากเลยนะ :m31:
แต่เราทีมยิมนะ- เราชอบยิมตั้งแต่ที่เจอกันแร้วอ่ะ เราเชียร์ยิมค่ะ
ตอนเเรกเราไว้ใจพี่ท็อปมากนะ แต่เริ่มระเเวงมาเรือยๆ ถึงพี่ท็อป
จะดูแลและห่วงสองดีก็เหอะ คือไม่รู้ว่าจริงใจอย่างที่แสดงออกมั้ย
หรือจิงโจ้ ฮรืออ อยากให้สองไปจบกับพี่ท็อปแร้วไปหายิม :z2: เรื่องโยค่อยเคลียทีหลัง 555+ :hao3:
#ทีมยิม #ทีมสอง #แม่ยกยิมสอง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 27-07-2015 12:43:52
โดยส่วนตัวเราชอบยิมมากกว่าท็อปอีก  #ทีมยิม
อ่านๆไปทำไมสองต้องเอาใจท็อปตลอดเลย ดัดหลังท็อปแล้วไปคบกับยิมเถ๊อะ  :fire:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-13 #25.07.58 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 27-07-2015 13:56:14
ไม่อยากให้สองเป็นพระยาเทครัวเลยได้ทั้งน้องได้ทั้งพี่(โย-ยิม) :ling3:
ตอนแรกพี่ท้อปอาจจะแก้แค้นให้มินต์แต่ตัวเองกลับมารักสองซะเองหรือเปล่า ไม่อยากเดา :ling2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 13 พังทลาย
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 27-07-2015 17:19:33
ตอนที่ 13 พังทลาย

ในเวลานี้ผมแค่นอนรอเวลาเท่านั้น รอให้พี่ท็อปมาหาผม มันผ่านไปช้าจริงๆสำหรับการรอคอยอะไรสักอย่าง ผมถอนหายใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาโทรหาพี่ตั้มในรอบหลายสัปดาห์ ตั้งแต่ทริปนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับพี่ตั้มอีก เพราะผมยังโกรธพี่ตั้มอยู่ แต่ในตอนนี้ผมต้องการพึ่งใครสักคน ผมอยากระบายเรื่องราวออกไปบ้างไม่อย่างนั้นผมคงอัดอั้นในใจอยู่แบบนี้ และก็ไม่รู้ว่าเฮียแกนรู้แล้วหรือยังว่าผมไปเจอกับมิ้นท์

[มีอะไรวะสอง]เสียงพี่ตั้มดูแปลกใจมากขณะรับสาย คงไม่คิดว่าผมจะติดต่อมาอีก

“ถามจริงเหอะ พี่อยู่ข้างใครกันแน่”ผมเปิดฉากถาม ผมเดาไม่ถูกระหว่างเฮียแกนหรือว่าอยู่ข้างผมกันแน่

[...กูไม่ได้อยู่ข้างใครทั้งนั้นแหละ กูเป็นคนกลางกูก็ลำบากใจนะเว้ย] พี่ตั้มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“ผมไว้ใจพี่ได้ไหม”ผมกุมขมับ หลับตาถามออกไป

[...ทริปวันนั้นกูขอโทษด้วย กูไม่รู้จริงๆว่าไอ้แกนมันจะมาด้วย]

“เรื่องนั้นช่างมันเหอะพี่”ผมรีบบอกออกไป ชื่อนี้แสลงหูผมมากขึ้นเรื่อยๆ

[มึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะ ]พี่ตั้มทำเสียงตกใจ

“ผมป่วยน่ะ”

[มีอะไรไม่สบายใจหรือไง....เล่าให้กูฟังได้นะ]

“ก็เรื่องพี่ท็อปนั่นแหละ พี่คิดว่าพี่ท็อปเป็นคนยังไง....”ผมถาม จิตใจหนักอึ้ง พี่ตั้มเงียบเหมือนจะรู้ว่าสาเหตุที่ผมถามแบบนี้คืออะไร พี่ตั้มก็เป็นคนเตือนผมเรื่องพี่ท็อปนี่นะ

[กูไม่ซ้ำเติมมึงหรอกนะ รีบถอนตัวถอนใจออกจากมันเถอะ...]

 “พี่ท็อปจะไม่จริงใจกับผมสักครั้งเลยหรือไง”ผมโอดครวญ พยายามเข้าข้างตัวเองให้ถึงที่สุด ..ความหวังเล็กๆที่ยังเหลืออยู่สำหรับพี่ท็อปที่ผมเผื่อใจเอาไว้

[กูไม่รู้ มีแต่มึงที่ใกล้มันมากที่สุด....แต่ถ้ากลัวเจ็บก็จบเรื่องซะ....ตอนนี้มึงมีปัญหากับไอ้แกนคนเดียวก็พอ ]

“ผม...ไม่รู้จะตัดใจได้ไหม”ผมบอกไปตามจริง ผมเสียดายเวลาและเรื่องดีๆกับพี่ท็อปที่ผมหาไม่ได้จากคนอื่น

[...กูอยากให้มึงกลับมายืนจุดเดิม มึงมีเรื่องกับไอ้แกน...แค่นั้นเอง เอาเรื่องนี้ก่อน]

“อืม งั้นแค่นี้นะพี่ ปวดหัวว่ะ”ผมบอก

[ดูแลตัวเองดีๆ รักตัวเองด้วยล่ะ]พี่ตั้มบอกอย่างห่วงใย ผมเงียบก่อนจะวางสายจากพี่ตั้ม

แล้วทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นผมฝ่ายเดียวที่ต้องเสียใจ  ผมนอนหลับตาลง ในขณะหนึ่ง เสียงเล็กๆในใจก็ดังขึ้นมาในห้วงความคิด 'จะไปแบกมันไว้ทำไมให้มันหนักล่ะ' จนกระทั่งถึงเวลาที่พี่ท็อปกลับมาหาผม และมาพร้อมกับโจ๊กสองถุงในมือ ก่อนจะวางกระเป๋าที่เก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือแล้วเดินมาหาผม

“เป็นไงบ้างสอง เบาแล้วหรือยัง”พี่ท็อปนั่งลงบนเตียงแล้วเอามือแตะที่หน้าผากวัดไข้

“ก็ดีขึ้นมาบ้างแล้วล่ะพี่”ผมยิ้ม อาการไอและปวดหัวลดลงไปบ้างแล้ว “ทำไมหน้าซีดๆ ล่ะ”พี่ท็อปถาม มองหน้าผมอย่างเป็นห่วง ผมอยากถามพี่ท็อปว่าต้องการอะไรจากผมกันแน่ ทำแบบนี้กับผมทำไม

“พี่ท็อปครับ”ผมเอ่ยเบาๆ

“ว่าไง”พี่ท็อปนิ่งมองหน้าผมเพื่อรอคำถาม ผมดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง

“รูปเพ้นเสร็จแล้วนะ พี่ยังอยากดูไหมครับ”ผมถาม พี่ท็อปยิ้ม “อยากสิวะ แล้วต้องเอาไปจัดแสดงไหม”

“ครับ ที่หอศิลป์ของมอ... แต่พี่จะได้เห็นเป็นคนแรก เพราะพี่งานผมถึงเสร็จออกมาได้"ผมพูดไปตามจริง เพราะแรงบันดาลใจได้มาจากพี่ท็อปล้วนๆ

“เสี่ยวว่ะ ป่วยแล้วยังจะหยอดอีก”พี่ท็อปหัวเราะแล้วตบขาผมเบาๆ ในใจผมเริ่มสงบลง ก่อนจะถามสงที่ค้างคาใจหลังจากที่ขบคิดเรื่องนี้มาหลายชั่วโมง

“ถ้าหากว่าผมจบเรื่องของเฮียแกนแล้ว พี่ยังจะ...”ผมค่อยๆพูดออกไปในที่สุด

“อะไร”พี่ท็อปเลิกคิ้วมองผมด้วยสายเรียบนิ่ง ผมเห็นว่าแววตาของเจ้าตัวนั้นสั่นไหวเล็กน้อย

“พี่ยังอยากจะคบผมอยู่หรือเปล่า”ผมพูดออกไปอย่างชัดเจน เมื่อจบคำถาม พี่ท็อปดูตกใจ ก่อนจะนิ่งงันไป เจ้าตัวสูดหายใจเข้าแล้วส่งยิ้มให้ผม

“ทำไมถึงถามแบบนี้”พี่ท็อปขยับเข้ามาใกล้ ไม่ยอมตอบคำถามผมมาดีๆ ผมมองพี่ท็อปไม่ละสายตา

“ไม่รู้สิ ผมแค่คิดมากไปหน่อย”

“มึงไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นแหละ ตอนนี้กูอยู่ข้างมึงอยู่”เจ้าตัวพูดอย่างอ่อนโยน ผมแค่เงียบ อยู่แค่ตอนนี้สินะ...

“....ผมหิวแล้ว่ะ”ผมเปลี่ยนเรื่องแทน พี่ท็อปมองหน้าผมแล้วเดินไปแกะโจ๊กใส่ถ้วย

ผมลุกจากเตียง เดินไปหยิบยาออกมา แล้วเดินมาตั้งโต๊ะอาหารตัวเล็ก พี่ท็อปถือยกถาดถ้วยโจ๊กมาสองใบกับจานของทอดสองสามอย่างมาด้วยก่อนจะวางลงกับโต๊ะ พี่ท็อปยิ้มแล้วเลื่อนถ้วยมาให้ตรงหน้าผมแล้วหยิบช้อนมาวางในถ้วยเสร็จสรรพ ถ้าทุกอย่างไม่ใช่การเสแสร้งก็ดีไป

“กินเยอะๆนะสอง ของโปรดทั้งนั้นเลย”พี่ท็อปบอก ก่อนจะตักเอ็นไก่ทอดให้ผม 

“ครับ ...แล้วพี่จะอิ่มเหรอ”ผมถามเพราะแค่โจ๊กกับกับแกล้มแค่นี้ไม่น่าจะอิ่ม ยิ่งไปเรียนกลับมาแบบนี้ต้องทานข้าวมากกว่า

“อิ่มอยู่แล้วล่ะ ตอนอยู่แล็ปพี่กินขนมมาจนอยู่ท้องแล้ว”อีกฝ่ายตอบแล้วก้มหน้าก้มตาตักโจ๊กเข้าปาก ผมลงมือกินบ้าง

“ผมคุยกับมิ้นท์แล้วนะ”ผมบอกหลังจากที่ทนอึดอัดต่อไปไม่ไหว พี่ท็อปมีท่าทีตกใจชัดเจน ก่อนจะวางช้อนลงอย่างแรง ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ผมคิดว่ามิ้นท์คงไม่ได้บอกเจ้าตัว ว่าผมเข้าไปคุยที่มหา'ลัยในวันนั้น

“หมายความว่าไง”พี่ท็อปถาม มีสีหน้าเป็นกังวล

“ก็แค่เข้าไปคุยเรื่องเก่าๆของผมน่ะ ...แต่ก็ไม่รู้ว่ามิ้นท์ยอมให้อภัยแก่ผมไหม แต่ได้คุยกันก็ดีแล้วล่ะ ผมเบาใจขึ้นเยอะ แต่พี่ก็น่าจะบอกผมหน่อยว่ายังติดต่อกับมิ้นท์อยู่ จะได้เคลียร์ๆกันไปนานแล้ว”ผมพูด อีกฝ่ายมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ

“สองติดต่อมิ้นท์ได้ยังไงกัน ไม่กลัวไอ้แกนมันเล่นงานหรือไง”เจ้าตัวเหมือนไม่พอใจผมขึ้นมา อ้างเฮียแกนอีกแล้วสังเกตหลายครั้งเวลาผมถามเรื่องที่ผมสงสัยมักจะไม่ได้คำตอบมาในทันที

“...ไม่รู้สิ ผมก็ไม่ได้คิดเรื่องนั้น แต่พี่ทำไมถึงไม่ยอมบอกผมล่ะว่าติดต่อมิ้นท์อยู่ตลอด พี่ก็เห็นว่าผมร้อนใจแค่ไหน แล้วยังจะมาโกหกผมเรื่องไม่ได้ติดต่อมิ้นท์แล้ว......ผมรู้สึกแย่นะพี่”ผมแทบตะโกนใส่พี่ท็อป แต่ควบคุมอารมณ์ไว้ได้แต่เสียงดังกว่าปกติ พี่ท็อปนิ่งไป

“มันยังไม่ถึงเวลาต่างหาก”

“เวลาอะไร พี่ควรบอกความจริงกับผมบ้าง ไหนจะเรื่องที่เฮียแกนท้าพี่ชกคราวก่อนนั้น เพราะเฮียรู้ว่าพี่ไปหามิ้นท์....มันหมายความว่ายังไงกับไอ้การที่พี่ปกปิดผมแบบนี้”ผมพูด พี่ท็อปถอนหายใจแรง

“เรื่องชกกับไอ้แกนมันเป็นเรื่องของพี่ กูไม่อยากให้มึงมาก้าวก่าย ที่กูไม่บอกก็เพราะกูไม่คิดว่ามึงจะอยากติดต่อกับมิ้นท์ ..กูเคยบอกแล้วไงว่าให้เวลาเป็นคนจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นเอง”ถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงเชื่อพี่ท็อป

“เวลา? ไม่ใช่มั้งครับ คนที่คุมเกมส์นี้ต่างหากที่เป็นฝ่ายจัดการ อาจจะเป็นมิ้นท์ ..เฮียแกน...หรือแม้กระทั่งพี่ท็อปเอง”

“ไอ้สอง! นี่มึงคิดว่ากูเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดหรือไง”

“ไม่รู้สิ ผมคิดว่ามีคนที่เกลียดผมอยู่ไม่กี่คนหรอก แล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่หนึ่งในสามคนนี้”

“ไม่ใช่นะสอง”

“งั้นมิ้นท์สินะ...รู้ไหมตอนได้คุยกับมิ้นท์ผมถามมิ้นท์ไปว่า ได้ใช้ให้พี่ท็อปมาหลอกผมหรือเปล่า.....จะไม่ให้ผมระแวงพี่ได้ยังไง ในเมื่อพี่ปกปิดบางอย่างกับผม”

พี่ท็อปดูตระหนกในสิ่งที่ผมพูดออกมา อีกฝ่ายเงียบ

“กู...”พี่ท็อปดูหมดคำพูด จะให้ผมตีความเอาเองสินะ

“พี่มีอะไรจะบอกผมอีกไหม ...ที่ผมถามไปตอนแรก หมดเรื่องไอ้แกนแล้วยังจะคบกันต่อไปไหมครับ...ผมอยากรู้จริงๆ”

“...อยากคบต่อสิ”

“งั้นก็อย่าโกหกผมสิครับ รู้ไหมว่าผมไม่อยากถูกหลอก ถ้าพี่จะทำแบบนั้น...ก็อย่ามาปั้นหน้ากับผมอีกเลยครับ พี่เคยพูดไม่ใช่หรอว่าไม่ชอบเล่นกับความรู้สึกของใคร...”

“ใช่ กูเคยพูด ถ้าเลือกได้กูจะไม่ทำแบบนั้น”แล้วตอนนี้ล่ะ พี่อยู่ในสถานการณ์แบบไหน เลือกได้หรือว่าไม่ได้

“ช่างเถอะ ผมแค่อยากรู้ความจริงจากปากของพี่บ้าง”ผมก้มหน้าตักโจ๊กเข้าปากต่อไป รู้สึกได้ว่าพี่ท็อปกำลังจ้องมองผมอยู่ ผมให้โอกาสเจ้าตัวแล้ว เพื่อความหวังในเสี้ยวหนึ่งของผม แต่ดูท่าแล้วมันคงไม่มีค่าอะไร ในเมื่อพี่ท็อปยังโกหกผมแทบทุกประโยค ผมไม่รู้ว่าต่อจากนี้ ผมกับพี่ท็อปจะไปได้ไกลอีกแค่ไหน

 ผมเฝ้าสังเกตุพฤติกรรมของพี่ท็อปไปเงียบๆ ระหว่างที่อีกฝ่ายอยู่เฝ้าไข้ผม ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ท็อปมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว มีความอัดอัดเข้ามาแทรก พูดกันน้อยลง ถ้าหากผมกับเฮียแกนสามารถจบเรื่องระหว่างกันได้แล้วก็คงไม่มีเหตุไม่ข้องแวะต่อกัน

ผมเชื่อว่าพี่ท็อปต้องตีตัวออกห่างผมแน่นอนหรือเลิกกับผมไปเลยก็ได้ มันคงไม่ผิดอะไรถ้าหากผมจะเป็นฝ่ายชิงจบเรื่องกับพี่ท็อปก่อน....ในเมื่อเจ้าตัวได้เอาคืนให้มิ้นท์แล้ว..มิ้นท์เองก็น่าจะรู้ได้ว่าผมได้รับบทเรียนไปแล้วในวันที่เจอกัน...แน่นอนว่าเวลาของพี่ท็อปก็หมดลงแล้วเช่นกัน

 เมื่อผมหายจากอาการป่วย ผมกลับเข้าไปตามงานในระหว่างที่ขาดเรียนไปสามวัน มีงานชิ้นเล็กๆสองสามงานยังดีที่มีไอ้ผิงกับไอ้โก๋คอยอยู่ช่วยอีกแรง มันก็บ่นไปตามนิสัยของมันแต่ก็ยังคอยชวนผมทุกอย่าง เทอมนี้ ถ้าไม่ได้เพื่อนคอยช่วย ผมคงล้มไม่เป็นท่า

ส่วนพี่ท็อป แน่นอนว่ายังทำดีกับผมเหมือนเดิม และไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ทะเลาะกันในเย็นวันนั้นอีกเลย แต่มีความคืบแคลงสงสัยในทุกการกระทำระหว่างกัน ผมยังคงทนรอเวลาอยู่ต่อไป ผมเชื่อว่าพี่ท็อปรอเวลาเช่นเดียวกัน 
ระหว่างที่ผมอยู่ในห้องปั้น สายเข้าจากมิ้นท์ทำให้ผมแปลกใจ

“ว่าไงมิ้นท์”ผมรับสาย อีกฝ่ายมีเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่านะ

[มิ้นท์ได้คิดทบทวนเรื่องของพี่สองแล้ว วันนี้พี่อยู่มอหรือเปล่า พอดีว่ามิ้นท์มาหาเพื่อนที่มอของพี่ เลยอยากคุยด้วยน่ะ] หัวใจผมพองโตขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนี้ ผมยิ้มออกมา หากเรื่องของมิ้นท์จบลงโดยตัวมิ้นท์เอง ไม่ใช่การตัดสินจากเฮียแกน

“ได้สิมิ้นท์ แล้วให้เราไปหาที่ไหนดี ...เฮียแกนอาจรู้เข้านะ”ผมบอก รีบเก็บของใส่กระเป๋าไอ้ผิงมองหน้าผมทันทีพร้อมตั้งคำถาม

[...พี่สองมาหามิ้นท์ที่ร้านกาแฟข้างคณะเกษตรแล้วกัน มิ้นท์จะรออยู่ที่โต๊ะในสุดนะ ...แล้วเจอกันค่ะ]มิ้นท์พูด ผมตกปากรับคำไปจากนั้นก็วางสาย

“จะไปไหนอีกวะมึง”

“ไปแปบเดียวน่า กูจะไปเคลียร์กับมิ้นท์”ผมบอก ไอ้ผิงทำหน้าเหลือเชื่อ “จริงดิ...มึงเจอมิ้นท์ได้ไง”

“เออ เดี๋ยวกูกลับมาเล่าให้ฟังทุกอย่างเลย”ผมยิ้มให้มัน ไอ้ผิงพยักหน้าตบไหล่ผม

“ดีแล้วว่ะ มันจะได้จบๆซะที”

 ผมตรงไปยังร้านกาแฟที่อยู่ถนนสายเดียวกับคณะเกษตร ผมเห็นมิ้นท์ที่นั่งอยู่โต๊ะริมสุด เพราะร้านเป็นกระจกใสแถบนึง ผมจอดรถแล้วเดินเข้าไปข้างในร้าน อีกฝ่ายเงยหน้าจากโทนศัพท์ขึ้นมามองเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะ ผมเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลง มิ้นท์ยิ้มให้ผมบางๆ

“ได้ข่าวว่าพี่ไม่สบาย ตอนนี้ดีขึ้นแล้วเหรอ”มิ้นท์ถาม ผมแค่ยิ้ม รู้เรื่องของผมได้ พี่ท็อปคงบอก ผมรู้สึกโง่ขึ้นมา พี่ท็อปไม่คิดจะบอกความจริงให้ผมฟังบ้าง

“หายแล้วล่ะ ไม่ได้เป็นหนักอะไรมากหรอก...แล้วมิ้นท์อยากพูดอะไรกับเรา”

“อย่างที่บอก มิ้นท์ไม่อยากแก้แค้นพี่อีก ...ในเมื่อพี่เองก็ถูกพี่แกนวุ่นวายอยู่ มิ้นท์ขอโทษด้วยนะ”มิ้นท์พูดเบาๆ ผมพยักหน้าเข้าใจ นึกแปลกใจว่ามาขอโทษผมทำไมกัน

“ขอโทษเราทำไม เราต่างหากที่ควรพูดคำนี้นะ”ผมบอก มิ้นท์มองหน้าผม

“ขอโทษที่ขอให้พี่ท็อปเข้ามาวุ่นวายกับพี่ไง” ผมนิ่งงัน ถึงจะเดาออก แต่ก็ทำให้ผมหน้าชา หน่วงในใจได้ไม่น้อย

“มิ้นท์ให้พี่ท็อปมาทำดีกับเราสินะ...อยากให้เราโดนทิ้งบ้างหรือไง”ผมพูดแล้วหัวเราะออกมาเบาๆอย่างไร้อารมณ์ขัน มิ้นท์ถอนหายใจ

“มันก็ไม่ใช่แบบนั้น ตอนแรกก็แค่ขอให้พี่ท็อปลองเข้าหาพี่สองดู อยากรู้ว่าพี่จะเล่นด้วยไหม...มิ้นท์ยอมรับนะว่าตัวเองก็ไม่ใช่คนดี มิ้นท์ผิดต่อพี่ท็อปด้วยเหมือนกัน พี่ท็อปก็ใช่ว่าอยากจะช่วยอย่างเต็มใจ”มิ้นท์บีบมือตัวเองไปมาก่อนจะมองหน้าผม

“แล้วตอนนี้ล่ะ ทำได้แล้วนี่ มิ้นท์ก็ยอมยกโทษให้เราเหรอ”ผมถาม ไม่อยากฟังคำแก้ตัวของมิ้นท์เท่าไหร่

“ใช่  มิ้นท์คิดว่าพี่คงคิดได้แล้ว มิ้นท์ยกโทษให้พี่ด้วยใจจริง”

“อืม”ผมพยักหน้า

“เอาเป็นว่า มิ้นท์ไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไปอีก”

“แล้วเรื่องพี่ท็อป...”

“...มิ้นท์เป็นฝ่านตื้อพี่ท็อปเองแหละ พี่สองอย่าคิดมากเลยนะ”อีกฝ่ายพึมพำ มองผมเหมือนจะรู้สึกผิด พอพูดแบบนี้เหมือนตบหัวแล้วลูบหลังกันเลย ผมทำได้แค่ยอมรับความจริง

“ช่างเถอะ เราไม่โกรธหรอก”

“งั้น...มิ้นท์ขอตัวก่อนนะ...”มิ้นท์บอกลา ก่อนจะเร่งรีบกลับออกไป ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ พอกันซะทีกับเรื่องของพี่ท็อป

 ผมกลับไปที่คณะอีกครั้ง เจอไอ้ผิง กับไอ้โก๋ ผมเดินไปหามันด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ผมทำใจเรื่องพี่ท็อปได้ในระดับนึง ผมเลยเล่าเรื่องของมิ้นท์ให้ฟังอย่างเดียว ส่วนเรื่องพี่ท็อป ผมไม่ได้บอก อย่างน้อยผมไม่อยากดูโง่เง่าน่าสมเพชเกินไปกว่านี้แล้ว
ผมกับไอ้ผิง ไอ้โก๋ เดินไปที่ใต้ถุนตึกรวม เพื่อไปหาซื้อของว่างกิน ระหว่างทางที่เดินกลับคนเยอะพอสมควรเพราะเป็นช่วงพักเที่ยงแล้ว แต่ทว่ากลุ่มผู้ชายตัวสูงกลุ่มเฮียแกนเดินตรงเข้ามาหาผม ไอ้ผิงสะกิดหลังผมรัวๆ ผมมองคนกลุ่มนั้นที่เดินใกล้เข้ามาไม่ได้ทันสังเกตเห็นว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าเป้สะพายหลังของเฮียแกน

".....ว่าไงเฮีย"ผมเอ่ยทักออกไปก่อน ผมเหลือบเห็นว่านอบข้างมีเสียงซุบซิบ และสายตาจ้องมอง พวกเฮียแกนเป็นที่รู้กันดีใยคณะเพราะเคยทำสโมฯตอนปีสาม แน่นอนว่ามีชื่อเสียงในด้านบวกมาเยอะ การที่พวกนี้มาทำท่าเหมือนจะเปิดศึกกับผม คงเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าสนใจ แน่นอนว่าเครดิตของผมติดลบโดยปกติอยู่แล้ว

“สำหรับมึง”เฮียแกนพูดนิ่งๆก่อนจะดึงของในเป้ออกมา ที่แท้ก็เป็นนวมสีแดง ผมสะดุดกึกตัวชา จากนั้นก็โยนนวมออกมาให้ผมเต็มแรง ผมรับไว้ได้แล้วจ้องมองของในมือ ไอ้ผิงกระตุกเสื้อผมเบาๆ

“สอบเสร็จ กูท้ามึงชกค่ายเฮียอ๋อง”เฮียแกนพูด เสียงรอบข้างซุบซิบ รู้ๆกันอยู่แล้วว่าการที่เฮียแกนออกปากท้าชกใคร ฝ่ายนั้นต้องมีเรื่องกับเฮียแกน และไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ยิ่งผมมันเป็นแค่ไอ้สองเด็กปีสองที่ไม่ได้มีผลงานกิตติคุณอะไรออกจากทำชื่อเสียให้คณะซะมากกว่า ก็ยิ่งเห็นสมควรว่าผมต้องเป็นฝ่ายผิดแน่ ซึ่งก็ทำนองนั้นแหละนะ

“แล้วเรื่องทุกอย่างมันจะจบใช่ไหมเฮีย”ผมถามกลับไป เฮียแกนยิ้มเยาะ

“เออ.... แต่กูบอกมึงไว้นะ ว่ากูจะน็อคมึงแน่นอน”พูดจบเฮียแกนพูดเสียงเหี้ยมก่อนจะเดินออกไป ผมยืนนิ่งไอ้ผิงเข้าจับแขนผมไว้

“มึงจะรับคำท้าไหม”ไอ้โก๋ทำหน้าตกใจซีดเผือก ไอ้ผิงก้มมองนวมในมือผมหวั่นๆ

“รับสิวะ มันจะได้จบๆ”ผมบอกนิ่ง ๆ แล้วเดินหนีสายตาและคำซุบซิบของคนพวกนี้ ไอ้ผิงพยักหน้าเข้าใจเดินมากับผม

“แต่มึงต้องเตรียมตัวฟิตด้วยนะ เฮียแกนไม่ธรรมดามึงก็รู้”ไอ้ผิงพูดเสียงเครียด ผมหัวเราะ ไม่จำเป็นขนาดนั้นหรอก เฮียแกนประกาศแล้วจะน็อคผมแบบนี้ สู้ไปก็เสียเปล่าอีกอย่างที่เฮียแกนบอกจะน็อคมันหมายความว่าผมต้องยอมรับความพ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่ม ไอ้ผิงหรือคนอื่นๆคงคิดว่าผมจะสู้ให้ถึงที่สุด แต่ผมไม่สู้เฮียแกนหรอก ผมผิดเรื่องน้องสาวเฮีย ผมจะยอมรับความพ่ายแพ้เพื่อชดใช้เรื่องมิ้นท์  และเรื่องของผมกับเฮียแกนจะจบลงไม่เกี่ยวข้องกันอีก

“เออ”ผมรับปากลอยๆ

เมื่อผมทำงานที่คณะจนเสร็จเป็นที่เรียบร้อย การสอบกลางภาคเรียน จะเริ่มในสัปดาห์หน้า สาขาผมไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือกันให้วุ่นวาย มีแค่วิชาของมอแค่สองตัวเท่านั้นที่ต้องอ่าน ส่วนของคณะเน้นปฏิบัติ บางวิชาก็ให้ทำงานชิ้นใหญ่แทนการสอบแทน อย่างวิชาปั้นกับเพ้นท์ ส่วนพี่ท็อปหายหน้าหายตาไปเพราะต้องติวหนักกับเพื่อนที่คณะ ผมก็ไม่ทุรนทุรายมากอย่างที่คิดไว้ ผมชักปลงๆมากกว่า แบกไว้มันก็หนัก ปล่อยวางบ้างก็ดี

เรื่องการฝึกชกมวยนั้นผมไม่ได้เข้าไปฝึกแค่วอร์มร่างกายไว้แค่นั้น ผมรอให้การสอบผ่านไปก่อน เรื่องเฮียแกนท้าชกกับผมกระจายไปเร็ว และเหมือนเคยพวกเพื่อนเฮียแกนตั้งพนันไว้แบบเงียบๆ ลงขันข้างเฮียแกนซะส่วนมาก จะมีก็แต่ไอ้ผิงกับไอ้โก๋ ที่ลงข้างผมไว้ อ้อ เว้นยิมคนนึงมันเสนอหน้าเข้าข้างผมด้วย

“มึงรู้ไหม ไอ้แว่นนั่นลงข้างมึงตั้งเยอะ  โคตรใจปล้ำ หักหน้าเฮียแกนดีๆนี่เอง”ไอ้ผิงหัวเราะ ผมนึกถึงยิม มันรู้ว่าผมจะชกกับเฮียแกน พยายามให้ผมไปฝึมมวยที่ยิม แต่ผมอ้างนู่นอ้างนี่ไม่ยอมไป เสียเวลามากกว่า

“เหรอวะ มันก็กล้านะเนี่ย”ผมหัวเราะหึๆ ไอ้ผิงหมุนEEในมือไปมา สีหน้ามีรอยยิ้มกวนๆ

“กูว่า มันทำคะแนนน่าดู สงสัยอยากขึ้นแท่น number one ฮ่าๆ"ไอ้ผิงยื่ยหน้ามามอง ก่อนจะตบไหล่ผม

“ตลกน่า มันก็เพื่อนๆกูนี่แหละ”ผมมองหน้าไอ้ผิงที่ทำหน้าไม่เชื่อ

“โธ่ ดูสิวะ มันทำตัวดีกว่าแฟนมึงอีก ใส่ใจดีจริงๆ”

“เออ  กูยอมรับนะว่ามันดีจริง แต่กูไม่ชอบมันไง”ผมตอบกลับแล้วหัวเราะ ไอ้ผิงเบ้หน้า ผมก็พูดไปอย่างนั้นไอ้ผิงเพื่อนผมแมนทั้งแท่ง

ตืด ตืด ตืด

เสียงสั่นเตือนข้อความเข้า ผมหยิบมาเปิดอ่าน

Ontop : เดี๋ยวแวะหา อยากทานอะไรไหม

2 : เอาผัดไทยมาก็ได้ครับ

Ontop : โอเค เผื่อเพื่อนมึงด้วยไหม

2 : ก็ดีครับ

ผมตอบแชทของพี่ท็อปไปแบบปกติ ในใจก็รู้กันอยู่ว่ามันไม่เหมือนเดิมแล้ว  รอไม่นานพี่ท็อปก็เดินเข้ามาพร้อมถุงผัดไทสองห่อกับน้ำผลไม้ปั่นของชอบผมด้วย ผมยิ้มแล้วโบกมือให้พี่ท็อปเดิินมาหาแล้วยื่นถุงผัดไทมาให้ผม ผมยื่นห่อผัดไทไปให้ไอ้ผิงที่มำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะรีบขอบคุณพี่ท็อปแล้วรู้หน้าที่จึงเดินหนีไปด้านนอกแทน พี่ท็อปลากเก้าอี้มานั่งข้างๆผม

“ไม่คิดว่าพี่จะมาหาผมนะเนี่ย”ผมพูด พี่ท็อปแค่ยิ้มมาให้

“...พี่ว่างพอดีน่ะ ทำไมไม่บอกพี่ล่ะว่าไอ้แกนท้าชก...”

“ไม่คิดว่าพี่จะสนใจหรอก”ผมหัวเราะ เจ้าตัวนิ่งไปก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“กูเป็นห่วงมึงนะ กูพูดจริง ไม่ว่ามึงจะระแวงหรือไม่เชื่อใจกูแล้วก็ตาม”อีกฝ่ายสบตากับผม

“ครับผมเชื่อ ว่าแต่พี่จะมาคุยเรื่องเฮียแกนหรือไง”

“กูแค่อยากเจอมึงเท่านั้นเอง เรื่องไอ้แกนก็ส่วนหนึ่ง”ผมมองหน้าเจ้าตัว ถ้าหากผมไม่รู้ความจริงในช่วงเวลานี้ล่ะก็ ผมคงมีความสุขกว่านี้

"ไม่ต้องห่วงหรอกครับ จบการชกเมื่อไหร่ก็เท่ากับว่าผมกับเฮียแกนหมดเรื่องกันเสียที ผมเหนื่อยกับเรื่องพวกนี้จริงๆ"ผมส่ายหน้า

“มึงต้องสู้มันนะ อย่างน้อย ก็ต่อยมันไปให้ได้เลือดบ้างไทำไมถึงเชียร์ให้ผมสู้กันนักนะ

“...อืม คราวนี้ไม่ใครก็ใครที่ต้องตายไปข้างหนึ่งเพราะคงไม่มีใครหน้าไหนมาห้ามระหว่างการชกได้”ผมพูด ถึงนึกตอนที่ผมไปห้ามเฮียแกนกับพี่ท็อปในคราวนั้น

“สู้สิ กูจะอยู่ข้างมึงเอง”ผมมองแล้วยิ้มให้พี่ท็อป ถ้าไม่ได้ออกมาจากใจ ก็คงพูดปลอบใจผม

“สอบเสร็จแล้วเราไปเที่ยวกันไหมพี่”ผมเอ่ยชวน มีสถานที่น่าสนใจที่ผมยังไม่เคยไปเลย อย่างน้อยจะจบกันทั้งทีอยากให้มีเรื่องดีๆ เจ้าตัวทำหน้าใคร่ครวญ

“คงต้องดูอีกที ไม่รู้ว่าแม่กูจะเรียกตัวไปตอนไหน เอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีนะแล้วค่อยคุยกัน”

“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ”ผมตอบ คิดคงไม่มีโอกาสไปเที่ยวกับพี่ท็อปแล้วล่ะ

……


หลังจากที่สอบมิดเทอมเสร็จ ก็ถึงกำหนดชก ผมมเตรียมตัวที่ค่ายมวยเฮียอ๋องตามนัด ยิมดันอยากเป็นพี่เลี้ยงผมขึ้นมา ส่วนพี่ท็อปบอกว่าติดงาน ผมไม่แปลกใจเลย แต่ผมไม่คิดจะสู้ตั้งแต่แรก เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ วอร์มร่างกายเตรียมพร้อม ส่วนมากเป็นเพื่อนผมมาดู แล้วก็เพื่อนของเฮียแกน

 “แฟนมึงไปไหนวะ...ไม่มาให้กำลังใจเลย”ไอ้โก๋บ่น ขณะที่พันผ้าที่มือผมอยู่ข้างซ้าย มียิมพันผ้าให้ผมข้างขวา ไอ้ไอ้ผิงที่กำลังนวดไหล่ใหล่ผม หันไปหายิม

“มีแต่พวกลูกไล่ ห้องตรงข้ามตามติดยิ่งกว่าแฟนอีก”มันได้ที หันไปล้อเลียนยิม แต่ยิมมันแค่เหลือบมองนิ่งๆ ผ่านแว่นตามเคย ไอ้ผิงทำหน้าไม่สบอารมณ์ที่มันยังนิ่งเป็นหิน

“งานเยอะน่ะ”ผมบอกปัดไป ก่อนจะกำหมัดเพื่อตรวจสอบความกระชับของผ้าพันมือ

“แบบนี้กำลังใจหดหายแน่เว้ย”ไอ้ผิงหันมาล้อผมต่อ ผมไหวไหล่แล้วชกแขนมันเบาๆ ก่อนจะยืดกล้ามเนื้อต่อ ผมไม่ได้ชกมวยมานานมาก  ผมมองไปที่ฝ่ายตรงข้ามที่กำลังวอร์มร่างกายอยู่เหมือนกัน  เมื่อได้เวลา ผมก็เดินขึ้นไปบนสังเวียน จากนั้นเฮียอ๋องให้สัญญาณเริ่มชกได้ ผมหลบหนีเฮียแกนซะส่วนใหญ่ อีกฝ่ายดาหน้าเข้ามาอย่างดุดัน ตั้งแต่เริ่ม ขณะเดียวกัน ผมหลบพลาดไปบ้าง โดนหมัดขวาของอีกฝ่ายหลายครั้ง รู้ซึ้งถึงความเจ็บที่ใบหน้า มันตึงและชาไปหมด ก่อนจะเป็นความเจ็บที่ทำให้ผมเคลื่อนไหวช้าลง

“ไอ้ท็อปไปไหนล่ะ”เฮียแกนยิ้ม ขณะที่ขยับจังหวะต้อนผมไปจนสุดมุมพอดี แล้วปล่อยหมัดลงมาที่ลำตัวของผมเต็มแรง แต่ผมเกร็งกล้ามเนื้อได้ทัน ก่อนจะขยับหนีออกมาได้ แต่เฮียแกนก็ตามมาอย่างไม่มีเหนื่อย จนผมหลังติดเชือกอีกครั้งจนได้

“บอกอะไรให้นะ.... ไอ้ท็อปมันก็แค่หมากตัวนึงของกู กูแค่ใช้มันให้เป็นประโยชน์ เป็นไงล่ะ จะโดนเขี่ยทิ้งแล้วสิ”เฮียแกนแสยะยิ้มให้ผม

“หมายความว่าไง"ผมถาม สวนหมัดชกกันหมัดซ้ายหนักของอีกฝ่ายไว้ได้

“กูกับมันไม่ญาติดีกันหรอก กูได้ยินมิ้นท์พูดกับไอ้ท็อปเรื่องของมึง... มันง่ายกว่าแค่รอเวลา”พูดจบก็สวนหมัดเข้าตรงหางคิ้วผมซะเจ็บแปลบ อาการชาแทรกเข้ามาก่อนที่จะรู้ว่ามีหยดเลือดไหลวตามรูปหน้า ผมได้ยินเสียงเพื่อนๆ เรียกชื่อผม
ผมปวดหนึบ แสดงว่าคนที่ดูเกมส์และคุมเรื่องราวทั้งหมดคือเฮียแกน แค่รอให้พี่ท็อปจัดการกับผมแล้วก็ค่อยออกแรงทีหลัง เป็นแผนที่ดี ถ้าหากผมไม่ทันตั้งตัวล่ะก็ ผมคงฟูมฟาย ไม่มีแรงมาชกกับเฮียแกนได้หรอก เยี่ยมจริงๆ นี่คือบทเรียนเจ็บๆแบบเฮียแกนสินะ แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าผมไม่ได้เดินตามแผนที่วางไว้  ดีแล้วที่ผมไม่โง่นานกว่านี้ ไม่อย่างนั้นผมคงน่าสมเพชและเจ็บมากกว่านี้
ผมแค่ทำหน้าเหมือนปวดใจหนักหนา ไม่ได้ตอบโต้อะไร ให้อีกฝ่ายคิดซะว่าผมจุกจนพูดไม่ออก

“ไปทำอีท่าไหนล่ะ ไอ้ยิมถึงไม่เอาเรื่องได้”ผมหงุดหงิดคำพูดของเฮีย ปล่อยหมัดใส่อีกฝ่าย เจ้าตัวถอยออกไปตั้งหลักเพราะรับหมัดผมเต็มแรง ยังไงแรงส่งมันหนักโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่เจ็บก็ให้มันรู้ไป

“อยากคิดอะไรตามใจเถอะ”ผมยิ้ม ให้เฮียแกนดิ้นอยู่ฝ่ายเดียวก็พอ

“กูจะน็อคมึง”เฮียแกนพูด ผมแค่ยิ้มบางๆ ทำใจรอไว้อยู่แล้ว เหมือนทุกอย่างช้าไป เฮียแกนขยับมาใกล้พร้อมกับหมัดซ้ายที่หนักหน่วงพอจะทำให้ผมสลบเหมือดได้ ในวินาทีนั้นผมลดการ์ดลง ไร้การป้องกันใดๆ อีกฝ่ายมีสิทธิ์เลือกที่จะมอบความเจ็บปวดให้ผมได้ ในหลายจุดบนใบหน้าของผม

จุดไหนเป็นจุดตาย จุดไหนที่จะเจ็บปวดที่สุดและทำให้ผมไปหยอดน้ำเกลือกินข้าวต้มในโรงพยาบาลได้
หมัดของอีกฝ่ายพุ่งมาที่บริเวณปลายคาง แรงส่งจากหัวไหล่มาที่หมัด เลือกได้ดีเพราะเป็นจุดสำคัญของเส้นประสาทเลย เสี้ยววินาที ผมรู้ตัวอีกทีก็ล้มลงไปกองกับเวทีแล้ว ทุกอย่างเหมือนภาพช้า ผมไม่เจ็บตอนล้มไปกองกับพื้น มีเพียงความปวดร้าวรุนแรงที่ใบหน้า สันกรามไล่ไปถึงท้ายทอย ทุกอย่างสว่างจ้าเบลอมัว

“เฮ้ย ไอ้สอง ได้ยินกูไหม”ยิมข้ามเชือกเข้ามาหาผมก่อนจะตบหน้าผมเรียกสติเบาๆ ไอ้ผิงกับไอ้โก๋กระโดดข้ามเชือกมาดูอาการด้วยความตกใจ ร้องเรียกชื่อผมก้องไปหมด สมองของผมรับรู้แต่เสียงรอบตัวเท่านั้น

จากนั้นสติผมดับวูบไปทันที
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 27-07-2015 17:24:26
...

....


  ผมลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่ใบหน้า โดยเฉพาะปลายคาง ร้าวไปจนถึงสันกราม จนผมต้องร้องโอดโอย ผมโดนบล็อกศีรษะไว้ และรู้สึกตึงๆที่หางคิ้วคงเย็บไปหลายเข็ม

“เป็นไงบ้างวะ กูนึกว่ามีงจะไม่ตื่นซะแล้ว”ไอ้ผิงเข้ามาใกล้ๆสีหน้าดูโทรมและห่วงใยชัดเจน ผมนิ่วหน้าเพราะความปวดตุบๆที่สันกรามมันคงบวมระบม ผมสงสัยว่ามันจะร้าวหรือไม่

“อันตรายมากนะ มึงไม่ควรลดการ์ดลงแบบนั้น มึงอยากตายหรอ”ยิมเดินมาหาผมที่ข้างเตียง ผมหันไปมองเจ้าตัว มันถอดแว่นออกแล้ว ผมส่งยิ้มไปให้เพื่อนๆที่เป็นห่วงเกินเหตุ

“แค่ครั้งเดียวเอง กูไม่ตายง่ายๆหรอก”ผมเคยได้ยินว่าถ้าหากโดนที่บริเวณนี้บ่อยๆ อาจทำให้เซลล์ประสาทเสียหายจนทำให้สมองตายได้...กรณีนี้ความเป็นไปได้สำหรับผมมีน้อยมาก เพราะผมไม่ใช่นักมวยนี่นะที่จะต้องเอาหน้าไปรับหมัด
ยิมยืนมองผมด้วยสายตานิ่งเฉย “ไม่คิดถึงพ่อมึงบ้างหรือไง ถ้าหากร้ายแรงเข้าคนที่ต้องดูแลมึงคือพ่อมึงนะ”ผมถึงกับถอนหายใจ เอาเรื่องพ่อผมมาอ้างก็เท่านั้น

“อืม บ่นเป็นพ่อกูไปได้”ผมหัวเราะเบาๆ

“นี่ รู้ไหม กูเสียค่าพนันเลย กูลงขันข้างมึงนะเว้ย”ไอ้ผิงพูดขำๆสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น ปกติมันก็ชอบพูดกวนประสาททำนองนี้อยู่แล้ว ผมก็ไม่เคยคิดจริงจัง ออกจะขำที่มันไม่ทำท่าซีเรียสเกินเหตุ ไอ้โก๋ยื่นหน้ามามองผมอย่างเป็นห่วง ยิมมองหน้ามันนิ่งๆ

“ชีวิตเพื่อนน่าจะสำคัญกว่าค่าพนันนะ เล่นเป็นเด็กไปได้”เจ้าตัวบ่น ไอ้ผิงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“อารมณ์ขันยามเพื่อนป่วยไง จะมาชี้ช้ำเป็นกระหล่ำปีเน่าไปทำไม”

“อย่าซีเรียสสิ เดี๋ยวกูใช้คืน –โอ้ย”ผมหัวเราะไม่ไหวต้องจับที่บล็อคกรามไว้เพราะเจ็บแปลบ ยิมยิ้ม

“พี่ท็อปมาเยี่ยมบ้างหรือเปล่า”ผมหันไปถามเพื่อนสองคน แม้ว่ารู้ดีว่าเจ้าตัวคงไม่ได้ติดต่อมา

“ไม่ได้มา”ไอ้โก๋ตอบ ผมพยักหน้ารับรู้ ทอดสายตามองเพดานนิ่งๆ ยิมถอนหายใจ

พวกนั้นออกไปด้านนอก กลับไปเอาเสื้อผ้าของผมที่หอพัก และแวะซื้อผลไม้กับนมมาไว้ให้ผม ระหว่างนั้น ผมนอนหลับไปบ้าง หลังจากที่หมอมาถามอาการและมาเปลี่ยนถุงน้ำเกลือให้ ประตูห้องถูกเปิดออก ขณะที่เงาร่างของคนที่ผมอยากเจอหน้า เดินเข้ามาด้วยความกังวลและดูอ่อนเพลีย

“พี่ท็อป”ผมหันมองคนที่ยืนข้างๆเตียง อีกฝ่ายมองผมอยู่นาน ก่อนเดินไปลากเก้าอี้มานั่งลง

“เป็นไงบ้าง กูเป็นห่วงแทบแแย่ ...ไม่คิดเลยนะว่าจะยอมให้ไอ้แกนสวนเต็มๆแบบนั้น มันอันตรายนะ”พี่ท็อปเอ่ยอย่างห่วงใย

“ครับ ผมรู้ แต่ถ้าผมไม่จบเรื่อง  มันก็คงยืดเยื้อกันอีกนาน ผมไม่อยากเสียเวลา”ผมแค่นยิ้มมองอีกฝ่ายที่ดูโทรมลงไปบ้าง ดูผอมลงกว่าเดิม มีเรื่องอะไรทำให้ไม่สบายใจกันนะ

“ก็ดีแล้ว จบเรื่องไอ้แกนได้...พี่คิดว่า—“พี่ท็อปพูดช้าๆ สายตาเหมือนไม่ได้โฟกัสที่ใบหน้าผม

“ถึงเวลาที่ต้องจบเรื่องของเราแล้วใช่ไหม”ผมพูดแทรกขึ้นมา จ้องหน้าอีกฝ่าย และเห็นว่าชั่ววูบหนึ่งเจ้าตัวดูตกใจก่อนจะกลบเกลื่อนสีหน้าปกติ

“แล้วมึงคิดว่าไงล่ะ”อีกฝ่ายถอนหายใจ เอ่ยอย่างหมางเมิน

“เราต้องเลิกกันด้วยหรือครับ ทำไมล่ะ”ผมถามเหมือนคนไม่รู้อะไร ตีหน้าเศร้าไปให้อีกฝ่าย ส่วนหนึ่งผมเองก็เจ็บ ทั้งแสดงและซ่อนความรู้สึกไปในคราวเดียว

“ไม่รู้สิ มึงคิดว่าเรื่องของเราเป็นไปได้หรือไง....มันแปลก ไม่ใช่เหรอ ที่เราสองคนเคยได้ผู้หญิงคนเดียวกันมาแล้ว”ผมนึกอยาหัวเราะกับถ้อยคำของอีกฝ่าย ถ้าไม่ติดว่าบล็อกศีรษะไว้อยู่ ผมคงหลุดขำ เลยได้แต่ยิ้มเศร้า

“แล้วทำไมเพิ่งมาคิดตอนนี้ล่ะ พี่นัดกับเฮียแกนไว้หรือไง”

“ไม่ใช่” พี่ท็อปปฏิเสธทันที ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้แล้วหรือยัง ว่าผมรู้ความจริงแล้ว แต่ถึงไม่พูดออกมา ทั้งผมกับพี่ท็อปก็เข้าใจสถานการณ์ดีว่า อะไรเป็นอะไร

“พี่หลอกผมเหรอ”ผมเอ่ยถาม มองอีกฝ่ายตรงๆ ผมถามด้วยความรู้สึกจริงๆ แววตาของอีกฝ่ายสั่นไหว ดูไม่มั่นใจ 

“กูเคยพูดว่าไม่ชอบคนแบบมึง เพราะมันทำให้กูนึกถึงไอ้บอม และกูก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะคบกัน”พี่ท็อปพูด ไม่รู้ว่าเป็นความคิดจริงๆขออีกฝ่ายไหม แต่มันเป็นคำตอบที่ไม่ได้เรื่อง ผมมองหน้าอีกฝ่าย กวาดสายตาจับสังเกตสีหน้า แววตาของเจ้าตัวไปด้วย

“แล้วมาคบผมทำไม”ผมถามโง่ๆออกไป แค่เดินตามเกมส์ไป แต่ในใจกลับเสียความรู้สึกไปไม่น้อยเหมือนกัน เมื่อต้องมานึกย้อนถึงว่าที่ผ่านมาพี่ท็อปไม่จริงใจ หลอกลวง ดูไม่ออกว่าเรื่องไหนเท็จหรือจริง

“แค่อยากรู้ว่ามึงเป็นคนยังไง เหมือนที่มินท์เคยบอกไว้หรือเปล่า”พี่ท็อปตอบ แต่ยังไม่ยอมบอกเหตุผลจริงๆที่เข้าหาผม ทำให้ผมเชื่อใจ

“แล้วเป็นยังไงล่ะครับ ดูโง่ๆกว่าที่คิดใช่ไหม”ผมพูดช้าๆ มองลึกลงไปในแววตาของอีกฝ่าย

“ไม่หรอก”พี่ท็อปส่ายหน้าพูดเสียงแผ่ว

“ผมคุยกับมิ้นท์มาแล้วนะ เธอยอมให้อภัยผมแล้ว”ผมบอก พี่ท็อปจ้องผมดูประหลาดใจและวิตกกังวลในคราวเดียวกัน

“งั้นเหรอ ก็ดีแล้วนี่”

“ถึงเวลาแล้วที่ผมควรจะหยุดเรื่องนี้ซะที”

“หมายความว่า—“พี่ท็อปกำลังเอ่ย แต่ผมตัดบทซะก่อน

“พี่จำที่ผมเคยพูดได้ไหม  คืนที่เรานอนกันแล้ว พี่เคยท้าผมไว้ และผมรับคำท้านั้น ในตอนนั้นผมเองก็อยากจะลองเสี่ยงกับพี่ดูสักตั้ง ดูเหมือนว่าพี่จะทำได้นะ”

“แล้วยังไง”พี่ท็อปยังคงดูสับสน

“แต่ไม่ใช่ซะหน่อย พี่ไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ เพราะผมแค่ยอมให้พี่ กับทุกเรื่อง เทียบกันแล้ว พี่ไม่ได้พยายามอะไรมากมายหรอก”ผมพูด เลิกจับจ้องอีกฝ่าย ผมเงียบไป ใช่สิ ถ้าหากเป็นเกมส์จริงๆล่ะก็ มันก็แค่การวางเดิมพัน มีความเสี่ยงถ้าใครพลาดก็ถือว่าแพ้ และเจ็บตัวไปเอง

พี่ท็อปเหมือนจะเดาเรื่องออก อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้

“ผมว่ามันถึงจุดอิ่มตัวของเราแล้วล่ะ ผมตื่นเต้นที่คบกับพี่ เหมือนว่า ผมเจอกับความท้าทายและต้องการจะพิชิตให้ได้ แต่พอทำได้ แน่นอนว่า ย่อมมีวันเบื่อ ไม่มีอะไรน่าสนใจอีก”ผมพูดออกไป พยายามไม่เผยความรู้สึกมาเกินไป เหมือนว่าอาการเจ็บจากแผลที่ปลายคางจะเริ่มออกฤทธิ์ ผมกระพริบตา มองอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งไม่ขยับ แววตาดูวูบไหวไปชั่วขณะหนึ่ง

เจ้าตัวเหมือนพูดไม่ออก ผมคิดว่าพี่ท็อปเองก็รู้ว่าผมรู้เรื่องทุกอย่าง ไม่ได้เป็นแค่คนโง่  ผมทิ้งช่วงรวบรวมคำพูด

“ผมประทับใจ เรื่องดอกกุหลาบ ผมชอบมาก ยังเก็บไว้อยู่เลย แต่ผมพอแค่นี้แหละ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ที่ทำให้ผมนะ”ผมพูดจากใจ นำหลอกลวงยังมีเรื่องดีๆอยู่เหมือนกัน ผมทำใจเเข็งอวดดีไปแบบนั้นเอง การเสแสร้งมันเจ็บ โดยเฉพาะกับคนที่เรารัก

“อืม พี่ก็คิดแบบนี้ กูกับมึงคงไปกันไม่รอดหรอก”พี่ท็อปไหวไหล่ พูดเหมือนไม่แยแส มองหน้าผมด้วยสายตาเดาไม่ออก 

“ครับ ...ขอให้พี่โชคดีนะ”ผมบอกเบาๆ แม้ว่าไม่อยากพูดคำนี้เลยสักนิด ในใจขัดแย้งกันอย่างประหลาด

“หายไวๆล่ะ”อีอกฝ่ายพูดสั้นๆ เสียงเบาลงกว่าเดิม ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่ประตูห้อง แต่ผมพูดทิ้งท้ายไว้ก่อน

“ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่นะ ไม่ว่าพี่จะรู้สึกยังไงก็ตาม ผมแค่ผิดหวังนิดหน่อยที่ทำลายกำแพงที่พี่สร้างไว้ลงไม่ได้”ผมบอก กำแพงโกหกของอีกฝ่าย ผมรู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อน 

“อืม ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเหมือนกัน”พี่ท็อปพูด ไม่ได้หันมามองทางผม แต่ก็เดินออกจากห้องไป เมื่อประตูห้องปิดลง ผมหลับตา ถอนหายใจอย่างช้าๆ สุดท้ายแล้วพี่ท็อปก็ไม่แม้แต่จะพูดความจริงกับผม มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ไม่ใช่เหรอ เรื่องของมิ้นท์ ผมเองก็สามารถทบทวนให้เข้าใจเหตุผลของพี่ท็อปได้ เพราะมิ้นท์ขอให้เจ้าตัวทำแบบนี้ไม่ใช่หรือไง

ผมนิ่งงัน จากที่รู้สึกผิดหวัง กลายเป็นรู้สึกเลวร้ายกว่ามาก การบาดเจ็บตามร่างกาย ดูจะเป็นเรื่องเล็กไป ถ้าเทียบกับการถูกทำลายความรู้สึกลง ผมคิดว่าตัวเองจะไม่ร้องไห้ ไม่ได้ฟูมฟาย แต่ผมก็เจ็บ บางทีก็อยากจะน้ำตาไหลอาบแก้ม เปล่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่อาย แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมแค่สูดน้ำมูก น้ำตาเอ่อคลอ แต่ปวดหนึบที่อกซ้าย
คงไปจริงๆแล้วสินะ จนกระทั่งตอนนี้ ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าพี่ท็อปรู้สึกยังไงกับผมกันแน่ ที่จริงผมไม่ใช่ฝ่ายชนะหรอก ผมเป็นผู้แพ้  แพ้ให้พี่ท็อป แพ้ให้กับใจของตัวเอง


...........


     ผมออกจากโรงพยาบาลได้ในที่สุด หลังจากที่ต้องนอนเป็นหมาป่วยอยู่ประมาณสัปดาห์นึง  ยิมกับ ไอ้โก๋ ไอ้ผิงกลายเป็นบุคคลที่ผมเห็นหน้าบ่อยที่สุดแล้ว ผมกลับมายังห้องพักของตัวเอง เหลือบไปมองห้องของพี่ท็อป อดใจไม่ให้เข้าไปเคาะประตูแล้วหมุนลูกบิดเข้าไป ยิมแตะหลังผมให้เดินต่อ ก่อนจะไขกุญแจห้องตัวเองแล้วเดินเข้าไปในห้อง
ผมวางกระเป๋ากับเก้าอี้แล้วเดินไปนอนบนเตียงแล้วเงี่ยหูฟังข้างห้องอย่างลืมตัว และยังคงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากในห้องนั้นอยู่ เสียงกุกกักๆดังอยูบางครั้งก็มีเสียงปาดเทปอยู่สองสามครั้งราวกับว่ากำลังเก็บของ ผมเดินออกไปดูที่ห้องของพี่ท็อป ผมลองใจกล้าเคาะประตูห้องของอีกฝ่ายเบาๆ รอไม่นานเจ้าตัวก็เดินมาเปิด อีกฝ่ายแปลกใจที่เห็นผม ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้า “มีอะไรหรือเปล่า”เจ้าตัวไม่มองหน้าผมสักนิด ผมส่ายหน้า

“...พี่จะไปไหนเหรอ”ผมถาม ทีแรกแค่อยากมาหาพี่ท็อปก็เท่านั้นแหละ อยากเห็นหน้าเจ้าตัวอีกสักครั้ง แต่เมื่อผมเห็นว่าภายในห้องที่ดูโล่งผิดหูผิดตา ผมเห็นว่าเตียงนอนนั้นไร้ผ้าปูแล้ว

“ย้ายหอ”อีกฝ่ายตอบ ผมใจหายวาบ มองคนตรงหน้าอย่างผิดหวัง

“ทำไมล่ะพี่ ถึงเราไม่ได้เป็นแฟนกัน เราเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้องกันได้นะ ผมไม่มารังควานพี่หรอก”ผมบอก  แค่ไม่อยากให้อีกฝ่ายย้ายหนีผมไปไหน

“กูไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงหรอกนะ ....ถ้าเหงาก็มีไอ้ยิมแล้วนี่ คงจะช่วยเติมเต็มเตียงนอนมึงได้”พี่ท็อปยิ้มแล้วปิดประตูใส่หน้าผมเต็มแรง ผมไหล่ตก เดินกลับเข้าห้องของตัวเอง ราวกับวิณญาณออกจากร่าง ผมส่ายหน้า  ใจร้ายนะพี่ท็อป อยากรู้ว่าคำพูดพวกนั้นฝืนใจบ้างไหม

หลังจากที่่ท็อปขนข้าวของย้ายออกไป ผมก็ขังตัวอยู่ในห้อง ผมขอเวลาให้ตัวเองถอยมาตั้งหลักสักระยะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

มีเสียงเคาะประตูจากนั้นประตุก็ถูกเปิดออก ปรากฏเป็นยิมเดินเข้ามาพร้อมข้าวกล่อง เจ้าตัวส่งสายตาเอือมระอามาให้ ตอนนี้อีกฝ่ายกลายเป็นเด็กส่งข้าวให้ผมไปแล้ว แน่นอนผมไม่ได้ขอให้มันทำ แต่ยิมมันดื้อ

“กินเข้าไปให้หมด แค่คนๆเดียวทำให้มึงมีสภาพแบบนี้น่ะเหรอ”ยิมวางกล่องข้าวที่โต๊ะปลายเตียง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ

“อืม ผมรู้ กำลังพยายามอยู่"ผมลุกจากเตียงแล้วนั่งมองกล่องข้าวอย่างไม่นึกอยากกิน

“พยายามอะไร ปากบอกว่าจะลืมไอ้ท็อป ในห้องแม่งมีแต่รูปมัน ตกลงไม่อยากลืมมันใช่ไหม”อีกฝ่ายยิมส่ายหน้า มองผมอย่างไม่สบอารมณ์ ผมไม่ตอบอะไร

“โง่”ยิมพูด ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาได้ “เออ คนอย่างผมต้องมาตายเพราะความรัก ต้องมาล้มเพราะโง่เง่าของตัวเอง”ผมยิ้มเยาะตัวเอง อีกฝ่ายจ้องผมอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ด่าตัวเองไปแล้วมันดีไหมล่ะ มึงจะทำให้คนอื่นห่วงมึงทำไม”ยิมเอ่ยอย่างห่วงใย ผมมอง ดีใจที่มันเป็นคนดีถึงขนาดนี้

“พี่เป็นคนดีนะ แต่ผมกับพี่คงไม่ใช่คู่กันหรอก เพราะถ้าใช่ พี่คงได้ผมไปตั้งแต่ตอนมัธยมแล้ว...มันจะยุ่งยากแค่ไหน ถ้าโยมันรู้ว่าพี่น่ะ...”ผมมองยิมอย่างจริงจัง อีกฝ่ายเม้มปาก

“กูรู้น่า ที่กูทำให้มึงก็เพราะว่าอยากทำ อย่างที่เคยบอกกูไม่ได้หวังผล...ของฟรีจากกูที่มึงได้รับคือความจริงใจของกู”อีกฝ่ายบอก ผมถึงยิ้มกับคำพูดของมัน 

“แต่มึงจะไม่ลองสักตั้งหน่อยเหรอ”ยิมเอ่ยขึ้นาอีกครั้ง ผมเงียบ ก่อนจะหันมองเจ้าตัว แววตาของอีกฝ่ายไม่สั่นไหว มันสะทอนภาพของผมอยู่

“แล้วถ้าหากว่าพี่ผิดหวังล่ะ"ผมเอ่ยเบาๆ ยังไม่อยากเปิดใจรับใครเข้ามาตอนนี้ แล้วยิ่งเป็นคนใกล้ตัวแบบนี้ ชีวิตผมไม่สงบสุขแน่ถ้าโยมันรู้ พี่น้องต้องทะเลาะกันอีก คิดแล้วก็ปวดหัว

“กูก็ทำใจไง ...กูไม่ขออะไรมากหรอก แค่ให้กูอยู่ข้างๆมึงเท่านั้นเอง”ยิมพูดหนักแน่นซะจนผมอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย

“อยากเป็นตัวสำรองเหรอไง”ผมพูด ตอนนี้ผมยังลืมพี่ท็อปไม่ได้

“หึ ก็ได้แค่ไหน กูเอาแค่นั้น กูไม่ใช่คนมักมาก”อีกฝ่ายพูดติดตลก ผมถอนหายใจ ดูเหมือนว่ายิมจะยังไม่พร้อมกับการปฏิเสธรักจากผมซะทีเดียว ผมยอมทานข้าวลงท้อง พลางนึกถึงวันพรุ่งนี้หรือในวันต่อๆไป ชีวิตของผมคงกลับเข้ามาสู่ความปกติและสงบสุขเหมือนเคย....หรือเปล่านะ

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 27-07-2015 17:43:54
เราคิดว่าสองจบเรื่องได้ดีมากๆเลย   เป็นคนอื่นอาจจะอาละวาดทุรนทุราย โลกแตกไปแล้ว   สองให้โอกาสท็อปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ท็อปก็ไม่คว้าโอกาสนั้นไว้  จากนี้ไปสองก็คงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ ดูปลงๆ  มียิมมีผิงอยู่ข้างๆ   ชีวิตก็น่าจะมีแต่ดีขึ้น  น่าจะปรับตัวได้  เหลือแต่ท็อป

อย่ารเรื่องโยนี่เราไม่โทษสองเลยนะ   ไม่มีสองโยอาจจะเละมากไปกว่านี้ก็ได้   อย่างน้อยที่สุดสองก็ไม่ได้คิดร้ายหรือไม่แคร์โย     

ตอนที่สองชกกับแกนนี่ขอบอกเลยนะว่าสองแมนมากๆ   ผิดก็รับ อยากเคลียร์ให้มันจบๆไป  ถึงจะฉลาดน้อยที่ไม่แคร์ว่าตัวเองอาจจะเจ็บหรือเป็นอันตราย

อยากอ่านพาร์ทท็อปมากๆเลยตอนนี้  อยากเห็นนางดิ้นทุรนทุรายค่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 27-07-2015 17:49:54
    o13.  สองลงสวยๆคอไม่หัก หักแค่อกช่างมันเถอะไม่ตาย
แก้แค้นพี่ท็อปสักดอกสองดอกเหอะ. หมั่นไส้พี่แก.
ตอนหน้ารอสมน้ำหน้าคน.  หึหึ

ขอบคุณคนเขียนจ้า.  :L1: 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 27-07-2015 18:20:12
รักยิม
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 27-07-2015 18:24:30
 :z13:ย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 27-07-2015 18:31:27
สองทำถูกแล้วล่ะ ยอมๆไอ้แกนมันไปจะได้จบๆซะ
งงตามสองไปด้วยเลย พี่ท็อปมันรักสองบ้างรึป่าว รอ รอ รออ่านตอนใหม่คับ มาเร็วๆนะคับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 27-07-2015 18:35:19
เราว่าพี่ท็อปจบแย่กว่าสอง
สองตั้งรับได้ดี แต่ตอนนี้ตั้งหลักให้ได้ล่ะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 27-07-2015 18:48:29
ในที่สุดดดเรื่องของเฮียแกนกับสองก็จบซะที โอ้ยยยแบบว่ามันลุ้นมากกก
แล้วคือแบบมันจบง่ายอ่ะ แต่จบแบบนี้ก็ดีอ่ะเนอออะ (คืออัลไลยังไง) 555


รอๆๆ พี่ท๊อปปปปปป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 27-07-2015 19:00:31
โอ๊ยอ่านมาถึงตอนนี้ก็ยังโกรธไอ้พี่ท็อปอยู่ดี

ไม่รู้ว่าใจจะรักสองบ้างเปล่า อาจจะรักแต่บอกไม่ได้เพราะติดว่ามินล์กับแกนหรือเปล่า


สองอาจจะแค่อยากแก้แค้นสองที่มาทับทางตัวเอง


หรือโว้ยไม่รุ รอนะคะตอนนี้ค้างคามากแบบว่าโอ๊ยอยากรู้มากเลย  :ling1:  :ling1:  :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: cross ที่ 27-07-2015 19:04:40
สองจบเรื่องได้ดี ทำใจยอมรับกับมัน เชื่อว่าหลังจากนี้ชีวิตสองจะดีขึ้นมีเพื่อนอย่างผิง ยิม คอยอยู่ข้างๆ ส่วนท็อปเราไม่เคยเห็นใจเลย เพราะทุกอย่างท็อปเริ่มมันด้วยเกมส์ ด้วยการแก้แค้น ในเมื่อจบกับสองแล้วก็ขอให้จบให้ขาด กลับไปหามิ้นท์ที่รักเถอะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 27-07-2015 19:22:10
โอ้ยยย อยากอ่านพาสพี่ท๊อปปแล้วววว
จะได้รู้ซะทีว่า อิพีท๊อปมีเหตุผลอัลไลถึงทำร้ายสองงงงแบบนี้  :z3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 27-07-2015 19:26:00
ใจจิงก็แอบเชียรยิมอยู่น๊าาา แตยังไงก็ยังอยากให้พี่ท๊อปเป็นพระเอกอยู่ดี (เอะยังไง!?)5555

ในที่สุดเรื่องยาววุ่นวายก็จบซะที รึเปล่าาาา ทีนี้ก็เหลือแต่เรื่องของสองกับท๊อปที่จะอัลไลยังไงกันต่อไป
ตอนหน้าจะได้รู้ความรู้สึกของท๊อปแล้ววว รออยู่น๊าาาาา  :hao3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 27-07-2015 19:39:44
หวังว่าตอนต่อไปจะเได้เห็นท็อปมันรับผลจากการกระทำของมันบ้างนะ
ต่อให้มันจะเป็นพระเอกหรือแค่ตัวประกอบก็ไม่อยากให้ปล่อยผ่าน
อยากเห็นมันเจ็บปวดทุรนทุรายจะเป็นจะตายบ้าง ขอเถอะ พลีสสสสสสสสสสสส!!!
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 27-07-2015 20:08:42
จบสักที โดยที่สองเป็นคนจบมันลงเองทุกอย่าง ดีแล้วแหละ เจ็บแต่จบ

ยิมแกเป็นพระเอกจิงๆ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นด้วย พระเอ๊กพระเอก แต่คงคู่สองไม่ได้มันต้องมีปัญหาอีกแน่ๆ

ทอปก็ปล่อยไป แล้วแต่ ไม่เคยมีความจริงใดๆออกจากปากเลย หึสมควรแล้ว

เฮียแกนกับมิ้นก็จบไป ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก ก็แค่คนรู้จัก

จบโดยสมบูรณ์แบบ(?) อิอิ  อยากจบแบบไม่มีใครแฮปปี้อ่ะ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 27-07-2015 20:22:16
สองสุดยอดมาก ยอมเจ็บแล้วให้มันจบไปกับเฮียแกน แต่เรื่องของท็อปเราว่าท็อปก็ดูเสียใจ ดูเหมือนจะจริงใจกับสองนะ แต่ก็ไม่พูดความจริง ทั้งๆ ที่สองยอมให้ทุกอย่างแล้วแท้ๆ อ่านถึงตอนนี้บอกเลยว่าเราเริ่มอยากเชียร์ยิมสองแทนท็อปสองแล้ว หึ!
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Ysolip ที่ 27-07-2015 20:23:59
เป็นคนชอบความหน่วงๆเศร้าๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันชอบอารมณ์หม่นๆสีเทา
ไม่หวานจ๋าชมพูไม่ดำมืดจนน้ำตาคลอ ชอบอารมณ์โทนเรื่องของเรื่องนี้
ตอนแรกคิดจากชื่อเรื่องว่าคงออกแนวฮาๆอะไรแบบนี้เพราะก็ชอบแนวนี้เหมือนกัน(สรุปชอบหลายแนว55)
พอกดเข้ามาอ่านแล้วไม่ใช่อย่างที่คิดเลยแต่ก็ยังอ่านเหตุผลเพราะก็ชอบ
ไม่อยากจำกัดความรู้สึกตัวเองว่าควรเข้าข้างโกรธใครหรือแม้แต่เชียร์ใคร
ก็เลยเลือกที่จะคงความรู้สึกตัวเองไว้ ไม่ได้สงสารสองเท่าไหร่แต่ก็ชอบมันนะ
ไม่ได้เกลียดพี่ท็อปคิดว่ามันต้องมีเหตุผลอยู่แล้วจะไม่เกลียดมันไปก่อน
ส่วนยิมสารภาพว่าก็แอบปลื้มมันชอบนะความเอาใจใส่ของมันอ่ะ
แต่ว่าคนเขียนคะแววมันมาพระรองหรือ?คือจะมีเลื่อนแท่นไหมไม่กล้าออกตัวเชียร์มันมากเท่าไหร่
สุดท้ายความดีจะแพ้หัวใจหรือคะ(ก็คงงั้น)พี่ท็อปจะเป็นพระเอกหรือ
ที่ยังไม่ยอมชอบใครออกนอกหน้าเพราะกลัวมันไม่ใช่นี่แหละค่ะเจ็บดีเลยต้องเผื่อใจเชียร์
สุดท้ายก่อนจบเม้นจริงๆเม้นนี้เพื่อคนนี้เลยนะ "ไอ้ผิง"
คือมันดูเป็นเพื่อนตัวเอกที่คนอ่านคนนี้รักเป็นเพื่อนที่เพื่อนจริงๆค่ะ
อ่านในแต่ละตอนสัมผัสได้ถึงมิตรภาพของผิงไม่ทิ้งเพื่อนเลยอยู่เคียงข้าง
จำได้ว่ามีโก๋ก็ไม่ได้ว่านะคะแต่โก๋บทน้อย5555เลยชอบผิงพอมาอ่านตอนล่าสุด
ชอบผิงเพราะความไม่ทิ้งเพื่อนจริงๆ
ไม่ว่าสองจะคู่ใครก็เชียร์นะคะ สองสู้นะเดี๋ยวแกก็ทำใจได้ เย่!
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 27-07-2015 21:50:33
พี่ท็อปจัไม่รู้สึกอะไรกับสองจริงนะเหรอ คนเคยค้าม้าเคยขี่นะพี่
ชอบท้อปนะอย่กรู้เหตุผลของนาง พี่ท้อปยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อแก้แค้นให้มิ้นเนี่ยนะ :z3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: nuttzier ที่ 27-07-2015 22:38:34
สรุป  ใคร เคะ  ใคร เมะ  ว่ะเนี๊ยะ  ...?????
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: bonusbobobo ที่ 27-07-2015 22:52:52
สองจบเรื่องได้ดี ตอนนี้อยากรู้ว่าท็อปรู้อะไรกับสองบ้างรึเปล่า

รอพาร์ทท็อป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 27-07-2015 23:09:15
ในที่สุดสองก็จบเรื่องทุกอย่าง ถึงจะเจ็บบ้างแต่ก็คลายกังวลไม่ต้องคอยมานั่งคิดว่าใครวางแผนอะไร
ส่วนพี่ท๊อป ถ้าจริงใจกับสองจริงก็ต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรี แล้วมาพูดความจริงกับสองน่าจะดีกว่า
ถ้าไม่มีใจให้กันจริง ก็คงจบกันแบบนี้ แบบที่ไม่จริงใจให้กัน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 27-07-2015 23:39:35
ในที่สุดสองก็จบเรื่องกับเฮียแกน แล้วก็เคลียร์กับมิ้นท์ได้สักที เหตุการณ์ครั้งนี้คงทำให้สองเรียนรู้อะไรได้หลายๆ อย่าง แอบเคืองเฮียแกนตรงที่รู้ทั้งรู้ว่าสองตั้งใจลดการ์ดยอม แต่ก็ปล่อยหมัดมาซะเต็มแรง แต่ก็ดีจะได้จบกันจริงๆ

 :serius2: หน่วงกับเรื่องของพี่ท็อปกับสองมาก รู้สึกผิดหวังกับพี่ท็อปที่ยังไม่เผยสิ่งที่ตัวเองรู้สึกออกไปจนให้หมด พี่ท็อปมีความเสมอต้นเสมอปลายอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่พูดหรือแสดงอะไรออกไปให้สุด เหมือนจะสัมผัสได้จากตอนที่ท็อปเคลียร์กับสองที่ รพ.ว่าท็อปน้อยใจสอง? รออ่านพาร์ทของท็อปตอนหน้าดีกว่า....

ยังไงสองก็ไม่ให้โอกาสยิมแน่ๆ แล้ว ดูแลกันไปแบบเพื่อนก็ดีเหมือนกันนะ อย่างผิงไง เป็นเพื่อนที่น่ารักดี แอบชอบโมเมนต์เล็กๆ ที่ยิมกับผิงเถียงกัน คู่เพื่อนก็น่าสนนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 28-07-2015 01:06:28
พี่ท๊อปคงชอบสองจริง ๆ สอนะ แต่อาจจะสัญญากับมิ๊นไว้ว่าจะไม่ชอบ รอต่อไป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 28-07-2015 02:06:51
ยิมแม่งดีว่ะ สองได้เป็นแฟนคงโชคดี
แต่เชื่อเหอะ ไอ้คนดีๆแบบนี้มันก็เป็นได้แค่พระรองล่ะว้าาา
ทั้งในความรู้สึกเรา และความเป็นจริง
สมอง มันอยากให้เชียร์ยิมนะ  แต่ทำไมใจเราถึงร้องหาพี่ท๊อปก็ไม่รู้
คงได้รับอิทธิพลมาจากสองชัวร์ป๊าป
ชิ ยังไงก็ตัดใจจากพี่ท็อปไม่ได้ล่ะน้าา
ไม่รู้จะว่าไง  อ่านไป ใจเจ็บจี๊ดตามไปด้วย  หน่วงว่ะ
พี่ท็อปแม่งใจร้ายจริง ใจร้ายกับสองไม่พอ ดูท่าว่าจะใจร้ายกับตัวเองด้วยนะ
พี่ท็อปก็มาง้อสองหน่อยดิ. ไม่สองก็เดินหน้าจีบใหม่? เค้าจะเรียกว่าหน้าด้านมั้ยวะ
โอ้ย สับสนโว้ยย
 :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Riodreamlove ที่ 28-07-2015 10:02:38
เฮ้อ!! ในที่สุดก็จบเรื่องซักที
สองเลือกจบได้สวยมาก ยอมเจ็บเพือจบ สองแกร่งมากนะที่แค่เซไม่ถึงกับล้มเรื่องพี่ท็อป ตั้งหลักใหม่เนอะ
   เรายอมรับเลยนะ ว่าเราเกลียดท็อปอ่ะ ถึงจะเป็นพระเอกหรือไม่ก็ตาม คือต่อให้ตอนนี้ความรู้สึกของท็อปจะรักสองจริงๆแล้วก็เหอะ แต่จุดเริ่มต้นมันมาจาก [[ความหลอกลวง]] ล้วนๆมันไม่สวยงาม ไม่จริงใจจากข้างในลึกๆอยู่แล้วปะ ถึงจะมารักจิงๆทีหลังก็เหอะ ในความคิดเราๆอยากให้สองเลิกขาดกับผู้ชายแบบนี้อ่ะ เราว่ามันไม่แมน อีกอย่างถ้าสองจะเริ่มต้นใหม่กับยิม ก็ไม่ได้เสียหายเลย ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นพระยาเทครัวหรืออะไร เพราะเรื่องโยสองก็ไม่ได้ผิด  แถมยิมยังมีความจริงใจมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะขุดลงไปในก้นบึ้งหัวใจลึกขนาดไหน สุดท้ายก็พบเเต่ความจริงใจอยู่ดี เพราะฉะนั้นเรายืนยันคำเดิมว่าเราเชียร์ยิมเป็นพระเอก
ถึงหลายๆคนจะบอกว่าบทยิม ยางง้ายๆก็เป็นได้แค่พระรอง และอิพี่ท็อปยังไงๆก็พระเอกแถมยังได้กำไรจากสองไปเยอะแล้วก็เถอะ บทคนดีที่นิยายส่วนใหญ่ให้เป็นได้แค่พระรอง เราแอบหวังว่าเรื่องนี้บทคนดีที่คอยอยู่เคียงข้างนายเอกตลอดเวลาจะได้เป็นพระเอกนะ55+ #ทีมยิม #ทีมสอง #แม่ยกยิมสอง
ปอลอ... คือถ้าเรื่องนี้อิพี่ท็อปเป็นพระเอกตัวจริง จะเป็นนิยายเรื่องแรกเลยที่เราเกลียดพระเอกเข้าใส้ เกลียดแบบเกลียดตัวร้ายเลยอ่ะ #ขอโทดแม่ยกพี่ท็อปมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-07-2015 21:43:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Snimsoi ที่ 29-07-2015 00:33:38
สองไม่เคยหลอกลวงให้ใครมารักนะ สองจริงใจกับทุกคนเสมอ นางไม่เคยตั้งใจให้ใครเจ็บ นางแค่ไร้หัวคิดและความรับผิดชอบไปหน่อย และก็ชอบหนีปัญหา แต่นางก็ปรับปรุงตัวแล้วนะ แต่พี่ท็อปนี่สิ อย่างนี้มันเหมือนหลอกฟันกันเลย อยากเห็นพี่ท็อปเจ็บปวดมากๆ แต่ยังเชียร์พี่ท็อปเป็นพระเอกนะ แต่ต้องได้บทเรียนบ้าง ให้บทเรียนสองไปแล้วตัวเองก็ควรได้บ้างนะจะได้รู้ว่าไม่ควรล้อเล่นกับความรู้สึกใครรวมทั้งตัวเองด้วย
สำหรับสองจบเรื่องแล้วเริ่มต้นใหม่นะ อย่างน้อยก็ได้ว่าก็รักใครเป็นเหมือนกัน :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 29-07-2015 03:25:13
สองเอ๊ย เอาใจช่วยน่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-14 #27.07.58 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 29-07-2015 04:24:09
เรื่องของมินท์นี่กลายเป็นทำเป็นว่า สองผิดเต็มๆแต่ตามความคิด
ก็ผิดทั้งคู่แหละแต่ส่วนใหญ่ชอบโทษฝ่ายที่ดูว่า น่าจะผิด
ถ้าพี่ท็อปเข้ามาหลอกจริง มันก็ควรจะจบๆไปซะ ยื้อไปไม่ได้อะไร
รักเขามากแค่ไหนเขาก็ไม่รู้หรอก ส่วนไอ้แกนนี่ชอบทำมาเป็นตัดสินชาวบ้านนะ คิดว่าแน่นักรึไง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' บทแทรก : ท็อป
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 29-07-2015 21:50:56
บทแทรก : ท็อป

ผมเคยถามตัวเองอยู่บ่อยครั้งว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมมักคิดอยู่ก่อนเสมอว่าเวลาลงมือทำสิ่งใดแล้วผลลัพธ์ของมันคุ้มค่ากับเวลาและแรงกำลังที่เสียไปหรือไม่ ถ้ามันไม่คุ้ม ผมก็เลือกที่จะไม่เสี่ยง จนกระทั่งมาในตอนนี้ สถานการณ์ที่ดูน่าสับสนของผมกับรุ่นน้องชื่อ'สอง'

หลังจากที่ผมตัดสินใจข้ามเส้นเข้ามาในชีวิตของผู้ชายประเภทนี้ที่ตัวเองไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย หนำซ้ำยังเป็นเพื่อนข้างห้องที่คุ้นเคยกันมาก่อน ทั้งผ่านคำบอกเล่าจากมิ้นท์ซึ่งก็ตรงกับบุคลิกของไอ้สองทุกอย่าง ถ้าจำเป็นล่ะก็...อยากหลีกเลี่ยงไอ้ประเภทรักสนุกไม่ผูกพัน เล่นๆกับคนอื่นไปทั่ว มันไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง อย่างกรณีไอ้บอม แรกๆมันก็ดีทุกอย่าง จนผ่านมา3เดือนมันก็เริ่มออกลายเลว 

แต่เพราะสัญญาที่ติดเอาไว้กับอดีตแฟนที่บอบช้ำรักจากไอ้สอง ทำให้ผมต้องมาอยู่ในวังวนนี้ด้วยอย่างเสียไม่ได้ โดยไม่รู้ตัวผมกลายเป็นที่พึ่งของมิ้นท์ไปซะแล้ว ไม่อยากอยู่แต่ก็ต้องอยู่เพราะคำสัญญาที่ให้ไว้กับทั้งแม่ของมิ้นท์และตัวมิ้นท์เอง 
ย้อนกลับไปในวันที่ผมเจอกับมิ้นท์เป็นครั้งแรก ตอนนั้นผมก็คบผู้หญิงอยู่บ้าง ไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นเกย์ ถ้าไม่ชอบผมจะไม่คบมาบังหน้าเด็ดขาด จนกระทั่งมาเจอกับมิ้นท์ที่งานกีฬาของเขต

เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมมองว่าน่ารัก และอยากทำความรู้จักด้วย ท่าทางใสซื่อทำให้ผมชอบใจเป็นพิเศษ เลยได้เบอร์ติดต่อกัน จังหวัดของเราอยู่ติดกัน ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็สามารถขับรถมาหากันได้ ดังนั้นระยะทางไม่ใช่ปัญหา ...มิ้นท์อยู่ม.4 ย่างๆ16ปี แต่เรื่องอายุก็ไม่ใช่อุปสรรคอะไร

ในวันนึงผมไปหามิ้นท์

'ทำไมมิ้นท์ถึงไม่คบกับพี่สักทีล่ะ สองเดือนแล้วนะ ...หรือว่ามิ้นท์ไม่ได้ชอบพี่?'ผมถามอย่างไม่เข้าใจ ในเมื่อผมก็มาหามิ้นท์ทุกเสาร์-อาทิตย์ โทรคุยกันแทบทุกวัน แต่มิ้นท์ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมคบกับผมเสียที ความอดทนผมมีจำกัดจริงๆ

'...ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ คือว่า...มิ้นท์...ยังตัดใจจากผู้ชายคนนึงไม่ได้น่ะค่ะ'อีกฝ่ายตอบกลับมาซื่อๆ ผมฟังแล้วหงุดหงิด โมโหทันที

'หมายความว่าไง แล้วทำไมไม่บอกพี่ตั้งแต่แรกว่าชอบคนอื่นอยู่ ทำแบบนี้ไม่เท่ากับว่าให้ความหวังพี่เหรอ'ผมพูดอย่างไม่พอใจ มีผู้หญิงแบบนี้ด้วยเหรอ

'มิ้นท์ก็ชอบพี่ท็อปนะ แต่ว่า...มิ้นท์ขอเคลียร์เรื่องนี้ก่อนได้ไหม แล้วสัญญาค่ะว่าจะคบกับพี่ท็อป'มิ้นท์ยิ้มบางๆให้ผม แววตาสั่นไหวเล็กน้อย ผมรู้ว่ามิ้นท์ไม่ได้โกหก เลยพยักหน้าตกปากรับคำว่าจะรอ

ตอนนั้นผมทุมเทกับมิ้นท์พอสมควร ผมก็ไม่ใช่คนที่สมหวังในความรักมากนัก ผมเสียใจ อกหักมาก็หลายครั้ง....แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย และสาเหตุที่เลิกราเหมือนๆกันคือ การนอกใจ ผมเลยขยาดพวกเจ้าชู้ ทิ้งระยะห่างไม่คบผู้ชายดูบ้าง เผื่อว่าจะมีโชคกับผู้หญิงและมิ้นท์คือคนแรกของผมจริงๆ

นับแต่นั้นมาผมคบกับมิ้นท์ในฐานะแฟนในอีกหนึ่งสัปดาห์ที่คุยกันคราวก่อน ช่วงเวลาที่คบกับมิ้นท์ไม่ยาวนานนักปีกว่า เคยมีอะไรกันบ้างตามปกติของเด็กวัยนี้

ส่วนไอ้แกน เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน มันไม่รู้ว่าผมชอบผู้ชาย อีกฝ่ายรู้แค่ว่าผมมีแฟนแต่อยู่คนละจังหวัด ไอ้แกนมันหัวเราะเยาะผมว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่จริงใจกับผมหรอกแค่หลอกเอาเงินมากกว่า

สิ่งที่ผิดสังเกตของมิ้นท์และผมก็เกิดขึ้น

ผมชอบผู้ชาย มีประสบการณ์มาไม่น้อย บางครั้งผมก็สับสนกับการที่มาคบกับมิ้นท์ แต่ผมไม่เคยนอกใจมิ้นท์แม้ว่าจะเผลอไปคุยด้วยบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นแลกเบอร์ ตอนนั้นผมคุยกับมิ้นท์น้อยลงเพราะมิ้นท์ไม่ว่าง ติดงานบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ผมก็เข้าใจว่าเธอเป็นเด็กเรียนแต่ช่วงที่ห่างๆกันทำให้ผมรู้สึกชอบมิ้นท์ลดน้อยลงเรื่อยๆ และไม่ได้โหยหาในตัวเธอนัก

จนกระทั่งเพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดียวกับมิ้นท์ส่งข่าวมาบอกว่า มิ้นท์กำลังคุยกับคนอื่นอยู่ ตอนแรกผมไม่เชื่อเพราะมิ้นท์ไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ผมกลับมาคิดทบทวนถึงผู้ชายที่มิ้นท์ยังตัดใจไม่ได้ ผมไม่เคยถามถึงถือว่าไม่ก้าวก่าย จนผมสืบจนรู้ว่ามันชื่อ สอง เด็กกว่าผมปีเดียว หลังๆมาปฏิเสธผมว่าไม่ว่าง ไม่อยู่บ้านบ้างล่ะ จริงๆแล้วอยู่กับไอ้สองต่างหาก ผมเหมือนโดนหยาม หลายคนอาจพูดว่าศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้ แต่สำหรับผม ...ผมถือว่ามันคือค่าของความเป็นมนุษย์

ผมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร แต่พยายามตีตัวออกห่างจากมิ้นท์ จนเจ้าตัวรู้ ตอนนั้นรู้ได้ทันทีว่าเธอไม่ได้หน้าซื่อตาใสแบบที่เคยมองอีกต่อไปแล้ว ผมเลยหาข้ออ้างว่ามิ้นท์เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม และนอกใจผม แน่นอนมิ้นท์ไม่ยอมรับ และไม่ยอมเลิกด้วย เพราะเท่าที่ผมสืบรู้มาว่าไอ้สองมันเป็นพวกเจ้าชู้ ม่อไปเรื่อย มิ้นท์คงไม่มั่นใจในตัวไอ้สองเท่าไหร่หากว่าเลิกกับผมแล้ว จะได้คบมันหรือเปล่า

ผมเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนในกลุ่มบอกพวกมันไปหมดว่าผมเจออะไรมาบ้าง ผมบอกแค่ชื่อมิ้นท์ เหมือนไอ้แกนมันชะงักนิ่งไป ท่าทางครุ่นคิดแต่ผมไม่ได้สนใจมากนัก

'เออ มึงบอกว่าน้องเค้าอายุเท่าไหร่นะ '

'อยู่ม.4 จะ16แล้วมั้ง'ผมตอบส่งๆ

'ห๊ะ เด็กว่ะ แล้วมึงได้น้องเค้ายังวะ'เพื่อนคนนึงถามอย่างนึกสนุก

'เออ แฟนกันนี่หว่า'ผมบอก ไอ้แกนเหลือบมองหน้าผมทันที

'ตกลงน้องเค้า16 หรือยัง ระวังพรากผู้เยาว์นะเว้ย'ไอ้แกนขึ้นเสียงใส่ ผมชะงักไป....ไม่ได้คิดถึงเริ่องนี้แม้แต่น้อยเลย

'เออว่ะ เวรแล้วไง เอ๊ะ แต่กูไม่ได้ปล้ำน้องเค้านะเว้ย เป็นแฟนกันนี่หว่า'ผมพูดตามที่คิด มาจับผมเข้าคุกไม่ได้หรอก สมยอมนี่

'เออก็นั่นแหละ พ่อแม่น้องเค้ารู้ไหมว่ามึงไปเอาลูกสาวเค้าแล้ว'ไอ้แกนถามต่อ เหมือนเป็นเดือดเป็นร้อน ผมถอนหายใจ

'ไม่รู้โว้ย เด็กเรียนจะตาย..มึงเลิกทำให้กูเครียดเถอะน่า'ผมรีบตัดบทมันไปในที่สุด โดยที่ไม่รู้เลยว่าไอ้แกนมันกำลังถามข้อมูลเรื่องน้องสาวของมัน

จนกระทั่งคืนนึง ไอ้แกนนัดผมมาเลี้ยงวันเกิดน้องสาว ผมแปลกใจมาก อีกฝ่ายไม่เคยบอกผมว่ามีน้อง พอผมไปถึงที่ร้านอาหาร ก็เจอกับไอ้แกน แล้วก็มิ้นท์ ผมตกใจ ไม่คิดว่านั่นคือน้องสาวมัน ผมแค่กลบเกลื่อนทำเป็นไม่รู้จัก เพราะผมเคยเอาเรื่องมิ้นท์ไปเล่าให้เพื่อนในกลุ่มฟัง มิ้นท์ก็รู้งานดีทำเป็นไม่รู้จักผม แล้วไอ้แกนก็เปิดฉาก

'เออท็อป มึงบอกว่าแฟนมึงชื่อมิ้นท์ แถมอยู่ม.4อีก เหมือนน้องกูเลยว่ะ อยู่ม.4เหมือนกัน อายุน่าจะไล่เลี่ยกัน อยู่โรงเรียนอะไรวะ กูอยากรู้'ไอ้แกนถาม สีหน้าดูสะกดอารมณ์

ผมไม่รู้ว่ามันรู้เรื่องหรือยัง ผมมองมิ้นท์ที่ก้มหน้านิ่งๆ ผมได้แต่ประมวลความคิดว่าจะทำยังไงดี

'เออ... ไอ้แกนคือกูไม่รู้ว่ามินท์เป็นน้องมึง....กูขอโทษนะ'ผมเลือกที่จะบอกความจริงออกไป ไอ้แกนกำหมัดแน่น ก่อนจะพุ่งเข้าชาร์ตตัวผมแล้วต่อยเต็มแรง ไอ้แกนมันเลือดขึ้นหน้่าทันที มันโกรธที่ผมไปเอาเรื่องน้องมันไปเล่าให้คนอื่นฟัง

'กูนึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นมึง คิดจะชิ่งทิ้งน้องกูหรอไง ฟันแล้วทิ้งเหรอมึง'ผมมึนงง ผมเนี่ยนะฟันแล้วทิ้ง แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร

'กูคบกับมิ้นท์นะเว้ย ที่กูตีตัวออกห่างก็เพราะ มิ้นท์นอกใจกูเอง มึงถามน้องมึงสิวะ'ผมบอกมัน แต่มันไม่ฟังผม

'ข้ออ้างไง มึงคงกลัวข้อหาพรากผู้เยาว์ล่ะสิ ถึงได้จะทิ้งน้องกู' ผมพูดอะไรมันก็ไม่รับฟัง ผมไม่รู้ว่ามิ้นท์เล่าเรื่องแบบไหนให้ไอ้แกนฟังกันแต่ที่แน่ๆ ผมกลายเป็นคนเลวในสายตาไอ้แกนไปแล้ว

ไอ้แกนมันตัดขาดความเป็นเพื่อนกับผมลง แบนผมออกจากกลุ่ม ผมเลือกไม่ได้เพราะมันไม่ยอมฟังความจริงจากปากผมเลย มันประกาศกร้าวว่าหากผมยังหน้าด้านมาให้มันเห็นหน้ามันจะแจ้งข้อหาพรากผู้เยาว์กับผม เพราะผมรู้ดีหากว่าฝ่ายแม่ของมิ้นท์เข้าเริ่องคงไม่จบง่ายๆแน่

ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ

ผมโทรไปหามิ้นท์

'ทำแบบนี้ทำไม'

'มิ้นท์ขอโทษที่บอกพี่แกนไปแบบนั้น แต่พี่แกนเอาจริงนะ จะแจ้งความจับพี่'มิ้นท์เสียงสั่นเหมือนคนร้องไห้

'แล้วแม่มิ้นท์รู้เรื่องหรือเปล่า'

'ไม่รู้เรื่องหรอก รู้แค่ว่ามิ้นท์เลิกกับพี่ท็อปแล้ว..'

'จะให้พี่เป็นคนเหี้ยๆในสายตาไอ้แกนจริงๆเหรอ'ผมถามอย่างโกรธเคือง

'มิ้นท์ไม่มีทางเลือกนะพี่ ถ้าพี่แกนรู้ความจริง แม่ก็ต้องรู้ด้วยว่ามิ้นท์น่ะ...'อีกฝ่ายฟูมฟาย แม่ของเธอค่อนข้างเข้มงวด หากรู้ว่าลูกสาวทำตัวไม่เหมือนกันที่วางกรอบไว้ คงไม่พอใจ

 'แล้วไง จะไปคบกับไอ้สองหรอ'ผมถามอย่างเจ็บใจ

'...ไม่รู้เหมือนกัน 'ผมแอบสะใจ คนอย่างไอ้สองไม่คบใครจริงจังหรอก ได้แค่กิ๊กๆกั๊กๆหลอกฟันเท่านั้นแหละ

'ตามใจ โชคดีแล้วกัน'ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมิ้นท์อีก ทำผมผิดหวังแล้วยังจะทำให้ผมเสียเพื่อนพ่วงกับการหวิดคุกอีก พอกันที อย่าให้ได้เจอกันอีกเลย

จากนั้นผมต้องแยกตัวไปอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหม่ กลายเป็นว่าผมกับไอ้แกนไม่ถูกกันไปโดยปริยาย ส่วนมากมันจะหาเรื่องผมก่อน หลังจบม.6 ผมได้ยินข่าวของมิ้นท์จากเพื่อนเก่าว่าโดนไอ้สองมันฟันแล้วทิ้ง ตอนนี้มันย้ายโรงเรียนหนีไปตั้งแต่กลางเทอมแล้ว

ผมฟังแล้วก็สะท้อนใจ นึกสงสารมิ้นท์   แต่บางครั้งโชคชะตามันก็ตลกร้าย ผมได้ที่เรียนแล้ว แต่ดันเจอไอ้แกนมารายงานตัวที่มหา'ลัยเดียวกันอีก มันยังคงโกรธผมไม่เปลี่ยนแปลง

มิ้นท์โทรมาหาผม แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ผมเลยไปหาที่บ้าน สภาพดูย่ำแย่ ร้องไห้อยู่ตลอด ไม่ยอมออกจากห้อง แม่ของเธอเลยขอร้องให้ผมอยู่ช่วยก่อน ตอนนั้นมิ้นท์โดนบีบจากสังคมในโรงเรียนพอสมควร ทำให้สาพจิตแย่ จนถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตาย ด้วยการกรีดข้อมือ โชคดีที่ผมเข้าไปช่วยได้ทัน ตั้งแต่นั้นมา อีกฝ่ายต้องพบจิตแพทย์เพื่อไม่ให้เครียด ต้องหาคนคอยคุยด้วย นอกจากแม่ และไอ้แกนแล้ว ก็มีผมคอยแวะมาหาบ้าง โดยที่ไม่เจอกับไอ้แกน หมาบ้าที่ไม่ฟังอะไรเลย คงรู้แล้วล่ะว่าผมไม่ได้หลอกฟันน้องสาวมัน

'ช่วยดูแลมิ้นท์มันหน่อยนะลูก ถือว่าช่วยๆน้องมันนะ แม่รู้ว่าเลิกกันไปแล้วแต่เป็นที่พึ่งให้มิ้นท์ได้ไหม'แม่ของมิ้นท์พูดกับผม ไอ้แกนคงรู้เรื่องเเล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเธอไม่ยอมเจอหน้ามันเลย

'แม่รู้เรื่องของเรากับแกนแล้วนะ'คำพูดของแม่มิ้นท์ทำให้ผมแปลกใจ

'....ครับ?'

'แม่ไม่ถือโทษโกรธท็อปหรอกนะ เพราะมีแต่เรานี่แหละที่อยู่ข้างๆมิ้นท์มัน '

'ผมไม่ได้เป็นแบบที่ไอ้แกนมันเข้าใจนะแม่'

'แม่เข้าใจจ๊ะ...มิ้นท์น่ะ.....'แม่ถอนหายใจแล้วไม่พูดอะไรต่อให้มากความ ท่านคงรู้เรื่องจากปากของมิ้นท์แล้วท่านจับมือผมราวกับฝากฝังลูกสาวไว้กับผม มีแต่ไอ้แกนที่มัวตาไม่รับรู้อะไร ผมก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน

มิ้นท์ยังคงดื้อดึงอยากเจอไอ้สองบอกให้ผมพามันมาหามิ้นท์เพราะอยากคุยด้วย

'ไม่เจอคนแบบนั้นก็ดีแล้วนี่ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย ไอ้แกนมันรู้เข้าเดี๋ยวก็ซวยกันหมด'แต่มิ้นท์ดื้อดึง ผมเลยพาไปมิ้นท์ไปดูแถวๆหอพักไอ้สอง ก็เจอกับกิ๊กของไอ้สองเข้าพอดี ท่าทางมีความสุขดี

'ทำไมสองถึงลืมเรื่องของมิ้นท์ได้ง่ายแบบนี้ล่ะพี่'อีกฝ่ายดูผิดหวังชัดเจน

'ปล่อยเขาไปเถอะ มิ้นท์รักตัวเองดีกว่านะ แล้วตั้งใจอ่านหนังสือจะได้สมัครเรียน'ผมบอก พอเรียนจบมอ.ปลาย มิ้นท์ยังไม่ได้เข้ามหา’ลัย เพราะเรื่องการรักษา

'พี่สองต้องขดใช้ให้มิ้นท์บ้างสิ มิ้นท์เสียหายจนอยู่ไม่ได้แบบนั้น'

ผมได้แต่ถอนใจ กลายเป็นว่ามิ้นท์ไปร่ำร้องเอากับไอ้แกน มันไม่ชอบไอ้สองเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยังมิ้นท์เป็นแบบนี้ก็ยิ่งอยากจะกระทืบมัน ผมรู้ว่ามันรักน้องมันมาก ถึงจะคนละแม่ก็เถอะ

'พี่แกนคงทำให้พี่สองเจ็บแค่กายเท่านั้นแหละ จะสำนึกหรือจดจำเรื่องของมิ้นท์แค่ไหนก็ไม่รู้'

'พี่ว่ามันก็สมควรแล้วล่ะ ปล่อยให้แกนมันจัดการเถอะ...'

'...ไม่รู้สิ...มิ้นท์ก็อยากให้่พี่สองเจ็บบ้าง รู้สึกเหมือนมิ้นท์บ้าง'ผมมองหน้ามินท์เหมือนเห็นลางร้าย

'.....มิ้นท์จะทำอะไร'ผมถามนิ่งๆ

'พี่ท็อปช่วยมิ้นท์หน่อยนะ'อีกฝ่ายเอ่ยกับผมอย่างร้อนใจ

'ช่วยอะไร เท่าที่พี่ทำให้มันก็มากพอแล้วนะ'ผมบอกนิ่งๆ

‘...สัญญากับแม่ไว้แล้วนี่ว่าจะอยู่ข้างๆและช่วยมิ้นท์'

‘มันก็ใช่ แต่มิ้นท์ไม่คิดว่าพี่ลำบากใจเหรอ’

‘พี่ไม่รักมิ้นท์แล้ว...ใช่สิ ลืมไปว่าพี่ชอบผู้ชาย'ผมชะงัก

‘.....รู้ได้ยังไง'

‘มิ้นท์รู้น่ะสิ..นานแล้วด้วย แต่มิ้นท์ก็เลือกไม่พูดออกมาตอนทึ่คบกัน.....'

‘....แล้วไง'ผมยังคงนิ่ง

‘ช่วยจัดการพี่สองให้หน่อย '

‘จัดการ?'

‘ก็....ทำให้พี่สองเสียใจบ้างสิ จะได้จำแล้วไม่ไปทำกับใครเขาอีก รู้ไหม มิ้นท์ได้ยินพี่แกนคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้ว่า ให้แจ้งความจับพี่สองด้วยน่ะ’ ผมแปลกใจ ไอ้แกนมันจะทำอะไรกันแน่

'ก็ดีแล้วนี่ มันจะได้บทเรียน อีกอย่างเราไม่ใช่คนที่ไปติดสินว่าใครได้'

‘หาทนายเก่งๆมาก็ไกบ่เกลี่ยกันได้แล้วมั้ง...ขนาดเจอเรื่องของมิ้นท์ไปยังไม่เข็ดอีกแล้วยังจะไปทำกับเด็กผู้ชายอีกด้วย’

ผมไม่ได้ตอบอะไร’พี่ช่วยมิ้นท์ได้ไหม ครั้งสุดท้ายแล้วออกจากโรงบาลเมื่อไหร่มิ้นท์จะไปสมัครเรียนแล้ว'

‘จะให้ช่วยอะไร’

'พี่แกนก็บอกว่าจะให้บทเรียนแก่พี่สองบ้าง ก็คงไม่พ้นเรื่องกำลัง...อยากให้ฝ่ายนั้นเจ็บที่ใจดูบ้างดูสิ จะทุรนทุรายไหม'มิ้นท์พูด ก่อนจะมองผมอย่างร้องขอ ผมวส่ายหน้า

'พี่ไม่ชอบเรื่องแบบนี้หรอก'เล่นกับความรู้สึกของคนอื่นน่ะ ผมไม่ชอบ

'...แค่ไม่นานหรอก พี่ไม่จำเป็นต้องไปรักไปหลอกก็ได้'อีกฝ่ายพูดอย่างดื้อดึง

'ถ้าไม่หลอกแล้วมันจะเจ็บได้ยังไงกัน'

'มิ้นท์หมายถึงว่า ให้พี่ท็อปไปสนิทกับพี่สอง ทำยังไงก็ได้ให้พี่สองพูดเรื่องของมิ้นท์ออกมา ดูว่าพี่สองจำเรื่องมิ้นท์หรือรู้สึกผิดเรื่องมิ้นท์บ้างหรือเปล่า'

'เล่นเป็นเด็กไปได้ คิดว่าพี่ว่างขนาดนั้นเลยหรือไง'

'...มิ้นท์ขอโทษเรื่องที่นอกใจพี่ท็อปจริงๆ มิ้นท์ก็ได้รับบทเรียนแล้วนี่ไง ...มิ้นท์ขอโทษ'เจ้าตัวเอ่ยถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมา ผมไม่อยากฟังนัก ก่อนจะบอกปัดอย่างอารมณ์เสีย

'....ช่างเถอะ '

'พี่โกรธไหมที่รู้ว่ามิ้นท์คุยกับพี่สอง'

'อือ โกรธสิ'

'พี่ไม่อยากรู้จักคนที่หยามพี่เหรอไง'ไอ้สองคนนั้นน่ะหรอ ผมไม่อยากยุ่งกับคนแบบนั้นหรอก ผมโกรธมัน แต่เรื่องนี้ไปว่ามันฝ่ายเดียวไม่ได้ ถ้ามิ้นท์ไม่ก่อเรื่อง คงไม่ลงเอยแบบนี้

'....พี่ไม่อยากยุ่งกับคนแบบนี้'

'งั้นก็ตามใจพี่ ความรู้สึกส่วนตัวของพี่มิ้นท์ไม่ยุ่งหรอก แต่เรื่องที่มิ้นท์ขอ ทำให้ได้ไหมคะ ครั้งสุดท้ายแล้ว จากนั้นมิ้นท์จะไม่บังคับหรือดึงรั้งพี่ไว้อีก'มิ้นท์พูด มองผมด้วยสายตาหนักแน่น ผมลังเล ไม่คิดว่าการทำแบบนั้นจะเกิดประโยชน์อะไร

‘แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาน่ะมิ้นท์ คนเรามันก็เจ็บด้วยกันทั้งนั้น'ผมบอกเสียงปราม

‘ได้สิ อย่างน้อยๆก็ทดแทนความรู้สึกที่เสียไปของมิ้นท์ไง มิ้นท์แค่อยากรู้ว่าพี่สองจะเจ็บจะรู้สึกผิดบ้างไหมก็เท่านั้นเอง'

'....'ผมไม่ตอบ ที่ผ่านมาผมเหนื่อยกับมิ้นท์มานานเหลือเกิน

'ได้ไหม....'เธอเอ่ยอีกครั้ง ผมมองสภาพของมิ้นท์ ไม่ต่างจากคนป่วยนัก ถ้าหากว่าผมยอมทำ ต่อไปนี้ผมจะไม่ต้องมาเจอหน้ามิ้นท์อีก คงจบเรื่องของเราตลอดไป เหลือไว้แค่คนรู้จัก


ผมยืนนิ่งอยู่หน้าห้องพักของตัวเอง หลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่หอแห่งนี้...เพราะ ไอ้สองก็อยู่หอเดียวกัน ผมแค่อยากเห็นหน้าคนอย่างไอ้สอง ผมไม่เข้าใจมิ้นท์ ว่าต้องการอะไรกันแน่ อยากให้ไอ้สองเจ็บหรือสำนึกได้กัน มันต่างกันยังไง ผมเลือกไม่ได้ ที่ต้องเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ ส่วนไอ้แกน ผมคิดว่ามันรู้ความจริงจากปากของมิ้นท์แล้วล่ะว่าผมไม่ได้เป็นพวกฟันแล้วทิ้ง แค่มันยังทำท่าโกรธผมไม่ลืมหูลืมตาแบบนั้น ผมก็จนปัญญาแล้ว

ผมขนของเข้าห้องใหม่ ไอ้สองเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน หรือไม่ก็มนุษสัมพันธ์ดีเกินเหตุ ทำท่าเข้ามาเมียงมองแถวหน้าห้องผมหลายครั้งแล้ว ขณะที่กำลังรื้อข้าวของออกจากกล่องพลาสติกไปจัดวาง ผมแอบเห็นเจ้าตัวเดินมามองที่บรืเวณหน้าประตูห้องที่เปิดแง้มไว้ ผมเลยพูด

'จะเข้ามาดูเลยก็ได้นะเว้ย ถ้าจะมองขนาดนี้'ไม่ผิดเลยมันเข้ามาข้างในห้องจริงๆด้วย ร่างสูงสมส่วนในชุดกางเกงขาก๊วยกับเสื้อยืดสีเทาเก่าๆ ไอ้สองทำท่ามองรอบห้องแล้วยิ้มกว้างมาให้ 

'หวัดดีครับ ผมชื่อสองนะ อยู่ปีสอง ศิลปกรรม แล้ว....นี่ชื่ออะไรครับ'ไอ้สองหันมาถามผมด้วยรอยยิ้ม มันมองผมอย่างสนใจดูจากแววตาประกายวาวของเจ้าตัว ผมแปลกใจไอ้สองอยู่คณะเดียวกับไอ้แกน

'กูชื่อท็อป อยู่ปีสามวิศวะ'ผมตอบแล้วยิ้มบางๆไปให้ ญาติดีด้วยหน่อยคงไม่เสียหาย

'อ้อ แล้วคิดยังไงมาอยู่หอนี่ล่ะครับ ว่ากันว่าหอนี้..ผีดุ'มันทำท่ากระซิบ ผมนึกขำ

'เหรอวะ กูไม่กลัวเว้ย'ผมบอก แล้วเอาของไปวางที่บนโต๊ะคอม ไอ้สองทำท่าสนอกสนใจกับข้าวของของผมเหลือเกินผิวปากไปด้วยขณะที่มองกรอบรูปเล็กๆมีรูปคู่ผมกับไอ้บอมที่ได้เป็นของขวัญมา

'..โห นี่แฟนพี่เหรอ'มันเดินไปหยิบมาดูพลิกไปพลิกมร

'มึงนี่...ขี้เสือกจริงๆ'ผมบ่น แต่มันแค่หัวเราะ ผมเดินคว้ากรอบรูปไปทิ้งขยะ

'อ้าว ทิ้งทำไมล่ะพี่'

'รกหูรกตาน่ะ'ผมบอกแล้วไหวไหล่ ไอ้สองทำหน้างง ก่อนจะพยักหน้า ช่วงนี้ผมกับไอ้บอมทะเลาะกันบ่อย ผมค่อยๆหมดความรู้สึกไปกับมันเรื่อยๆ เมื่อรู้ว่ามันนอกใจผมแถมยังเอาบัตรผมไปใช้ฟุ่มเฟื่อยอีก ผมเลือกที่ไม่ใส่ใจรอจนกว่ามันจะพอไปเอง แต่ถ้าไม่ ผมคงจัดการขั้นเด็ดขาดกับมัน

จากนั้นผมกับไอ้สองก็สนิทกันเรื่อยๆ ไม่เห็นมีท่าทีว่าจะจำเรื่องของมินท์ได้ ไม่แน่อาจจะไม่อยากพูดถึง บางวันผมก็เห็นมากับเด็กนักเรียนเอกชนคนนึงหน้าตาน่ารักๆขาวๆหน่อยท่าทางออกจะเกินชายเล็กน้อย 'โย' ได้ยินว่าชื่อนี้ คงจะเป็นเด็กๆในสังกัดมัน

ผมสืบเรื่องของอีกฝ่าย จากเด็กแถวบ้านที่เรียนโรงเรียนเดียวกันกับโย เจอประเด็นสำคัญซะแล้ว ไอ้โย เป็นน้องไอ้ยิม เพื่อนร่วมรุ่นของผมเอง ไม่สนิทใจเท่าไหร่ เพราะนิ่งๆเดาไม่ออกแถมยังสนิทกับไอ้แกน ไม่รู้ว่าไอ้แกนเล่าอะไรให้ไอ้ยิมฟังบ้างมันถึงมองผมแปลกๆ

ผมไม่ได้เข้าไปคุยกับมิ้นท์บ่อยนัก แต่มิ้นท์ไม่พอใจกับท่าทีของไอ้สอง คงต้องให้นานกว่านี้ล่ะมั้งกว่ามันจะเผยอะไรออกมา.....ถึงคราวที่ผมต้องทำอะไรสักอย่างให้รู้จักไอ้สองมากกว่านี้

เรื่องในคืนนั้น ผมวางแผนไว้แล้ว...แต่ไม่ใช่เพราะมิ้นท์หรือใคร เพราะตัวผมเองนี่แหละที่อยากลองเสี่ยง

จนกระทั่งไอ้แกนมันเห็นผมเข้าไปคุยกับมิ้นท์ที่โรงพยาบาล มันโมโหมากถึงขั้นท้าชกผม และต้องการจะน็อคผมอีก  บ้าจริงๆ แต่ผมก็ยอมตกลงไป ในเมื่อมันอยากชกนักก็เอาให้จบๆ ผมไม่อยากค้างคากับมันนาน เพื่อนแบบนี้ผมไม่อยากคบด้วยหรอก จนวันชกจริง ไอ้สองมันเข้ามาห้าม ทำผมคาดไม่ถึงอีกแล้ว ผมเจ็บตัวพอสมควร ใช้เวลาไม่นาน ผมก็สามารถพิชิตมันได้เป็นคนแรก
จะว่าไปแล้วไอ้สองมีหลายอย่างที่ผมคาดไม่ถึง จนผมเริ่มไขว้เขว เพราะถูกใจนิสัยที่คล้ายกัน ไอ้สองเข้ากับผมได้ง่าย แถมยังขี้เอาใจอีก ไม่เกี่ยงงอนสักนิด จากที่เห็นว่ามันเป็นผู้ชายแย่ๆ กลับกลายเป็นว่ามันก็เข้าท่า มีมุมน่ารักอยู่ ถ้าใครดีมามันก็ดีกลับ

เรื่องไอ้บอมทำผมหัวเสียมากมันใช้บัตรผมไปรูดที่สปาร์เกย์หรู แน่นอนว่าค่าตัวเด็กนวดพวกนั้นไม่ใข่น้อยๆไหนจะเงินที่ให้โดยเสน่ห์หาอีก ผมเลยต้องจัดการขั้นเด็ดขาด ผมไม่ได้รักมันแล้ว มันก็กลายเป็นคนเฮงซวยสำหรับผมเท่านั้น ไม่ปราณีด้วยหรอก
อย่างที่ผมเคยบอกใช่ว่าผมอยากจะเล่นกับความรู้สึกของใคร ถ้าผมเลือกได้นะ แต่กรณีของไอ้สองนั้น ผมเลือกไม่ได้ ผมก้าวข้ามเส้นมาแล้ว ไม่ควรคิดอะไรเกี่ยวกับไอ้สองเลย แค่เห็นมันเป็นไอ้สองเท่านั้น แต่ผมกลับไปใส่ใจมันมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ถลำลึกลงไปเรื่อยๆ

สุดท้ายผมเจออัลบั้มสมัยมัธยมของมัน ยิ่งระยะนี้ไอ้แกนกับไอ้ยิมเริ่มเข้ามาป่วนประสาทไอ้สองบ่อยๆจนมันเริ่มวิตกกังวล ผมมองเห็นจากแววตาคู่นั้นของมัน ผมถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วคือ...มันย้ายโรงเรียน และไอ้สองเองก็พูดถึงมิ้นท์ ผมรู้ว่ามันรู้สึกผิดขึ้นมาแล้ว อาจเป็นเพราะมีไอ้แกนไอ้ยิมคอยป่วนแบบนั้น ผมไม่อยากเล่นกับความรู้สึกของมันอีก ผมไปหามิ้นท์และบอกว่าไอ้สองสำนึกผิดแล้ว มิ้นท์อยากเจอกับไอ้สอง อยากเคลียร์เรื่องที่ผ่านมาให้จบๆไปซะ

ผมไม่อยากให้มิ้นท์ไปคุยกับไอ้สอง เพราะมิ้นท์อาจจะบอกความจริงเกี่ยวกับผม  ตอนนี้ผมยังอยากใช้เวลาอยู่กับมันอีกหน่อย เลยไม่ได้นัดแนะให้อีกฝ่าย ผมแค่ไม่อยากให้มันรู้...เพราะจุดเริ่มต้นมาจากความไม่จริงใจ ต่อให้แก้ตัวว่าตอนนี้ผมจริงใจต่อมัน ก็เหมือนการตบหัวแล้วลูบหลังผมเชื่อว่าไอ้สองมันจะต้องเสียความรู้สึกแน่นอน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 29-07-2015 21:53:03
ผมจึงสับสนว่าควรจะหยุดหรือควรเดินต่อ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วผมคงเป็นฝ่ายที่ถลำตัวลงไปซะยิ่งกว่ามันอีก

ไอ้แกนทำให้ไอ้สองยิ่งระแวงสงสัยผมเข้าไปอีก ทริปทะเลหมอก ผมรู้สึกดีกับมันมากขึ้น การจองห้องต่อนั้นผมเห็นว่ามันไม่สนุกเมื่อมีไอแกนอยู่ ...และผมอยากมีเวลาอยู่กับมันสองคน เหมือนไอ้สองมันรู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ถึงผมจะไม่อยากให้จบลงแบบนี้ก็ตาม

'....ถ้าหากว่าผมจบเรื่องของเฮียแกนแล้ว พี่ยังจะ.....'คำถามที่กระชากใจผมออกมาจากปากของไอ้สอง ผมไม่ประหลาดใจนัก ผมเห็นแววตาคืบแคลงหม่นเหม่อของมันตลอดเวลาของการป่วยและเวลาที่อยู่กับผม มันอาจไม่รู้ตัวที่เผยความรู้สึกผ่านสายตา 

'อะไร'ผมถามต่อ รู้สึกหวาดหวั่นในใจกับคำพูดต่อมา ไอ้สองทำหน้านิ่งๆเหมือนตัดสินใจมาดีแล้ว

 'พี่ยังอยากจะคบผมอยู่ไหม'ผมตกใจที่มันถามแบบนี้ออกมา วินาทีทีาได้ยินผมแค่นิ่งอึ้ง เพราะอะไรมันถึงถามแบบนี้...หรือว่ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว จะรู้เรื่องแค่ไหนกันและรู้ได้จากปากของใคร

'...มึงไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นแหละ ตอนนี้กูอยู่ข้างมึงอยู่ 'ผมบอกไปแบบนี้ ดูจากแววตาของไอ้สองแล้ว มันเสียใจก่อนจะปรับให้เป็นปกติพร้อมรอยยิ้ม


'พี่ยังอยากคบกับผมต่อไหม'

ผมยังอยากคบกับไอ้สองต่ออยู่แล้ว..ถ้าเป็นไปได้ แต่ผมว่ามันไม่แฟร์เท่าไหร่ หากผมจริงใจและแมนพอก็สมควรเริ่มใหม่กับมันอีกครั้ง ไม่ใช่อาศัยความชอบความรักของมันที่มีให้ผม จากวังวนแห่งความคลุมเครือแบบนี้

ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกมัน .. และความรู้สึกของผมก็ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่ผมก็ปล่อยให้มันคิดไปเองแบบนั้น ผมกลับมานั่งเสียใจหลังจากที่กลับจากโรงพยาบาลแล้ว ไอ้สองคงไม่เป็นอะไรมาก ผมเป็นห่วงมันมากจริงๆ
ถ้อยคำของมันยังก้องอยู่ในหัวของผม ที่มันพูดแบบนั้น...ทำเหมือนว่าไม่ใยดีเท่าไหร่หากว่าต้องเลิกกัน แค่สร้างกำแพงป้องกันให้ตัวเองหรอกหรือ

ผมไม่ได้ย้ายหอพัก แค่เก็บของออกไปนอนที่อื่นสักระยะนึงก่อน ผมรู้สึกแย่จริงๆ รู้อยู่เต็มอกว่าไอ้สองมันรักผมซึ่งมันมากกว่าที่ผมรู้สึกกับมัน ผมเองถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้มันเสียใจ หรือว่าร้องไห้ ผมไม่เคยเห็นมันร้องไห้ ผมไม่อยากเห็น มันทำได้ดี
ผมย้ายไปอยู่บ้านเช่าของไอ้อิฐ กับเพื่อนอีก1คนซึ่งเหลืออยู่ห้องนึงพอดีเพราะเพื่อนคนก่อนหน้าย้ายไปอยู่หอพักแทน มันไม่ได้ถามว่าทำไมถึงย้ายมาอยู่บ้านเช่า

คืนนั้นผมอยากเมา

ผมไปนั่งดื่มคนเดียวที่โต๊ะริมติดสระน้ำคลอเสียงเพลงเบาๆ ผมดื่มไปเรื่อยๆจนกว่าจะเมา

“ได้ข่าวว่ามึงทิ้งมันแล้วสินะ”เสียงไอ้แกนดังมาจากด้านหลัง ผมไม่สนใจมันแค่นั่งดื่มต่อไป อีกฝ่ายเดินมานั่งเก้าอี้ข้างๆผม

“กูถามจริงๆนะ มึงแค่หลอกหรือจริงจังกับมันกันแน่วะ แต่เอาเถอะ ในเมื่อกูจบเรื่องกับมันไปได้แล้วก็ถือว่าสิ้นสุดกัน.. บางทีมึงกับกูอาจจะ...”

"หึ มึงคิดว่ากูกับมึงจะกลับมากอดคอเป็นเพื่อนกันได้อีกเหรอวะ ดูสิ่งที่มึงทำกับกู มึงก็รู้ความจริงมันเป็นยังไง แต่มึงยังเกลียดขี้หน้ากูอยู่ ทำไมวะ บอกกูหน่อยสิ”ผมตะคอกใส่มัน จะให้ผมกลับไปเป็นเพื่อนกับมันหลังจากที่แค่ยืมมือผมไปจัดการกับไอ้สอง ความเป็นเพื่อนมันก็แค่ผลประโยชน์หรือไง  ผมรู้สึกแย่กับมันมาเยอะ

“....เออ มึงเป็นเกย์ไม่ใช่เหรอวะแต่มึงมาหลอกแดกน้องกู”ผมมองหน้ามัน อยากจะเข้าไปชกปากหมาๆของมันให้เลือดกบ

“ตามใจมึงเถอะ อยากคิดอะไรก็เรื่องของมึง แต่กูกับมึงก็เป็นได้แค่คนรู้จัก กูทำให้มิ้นท์มาเยอะแล้ว ถือว่าพอกันที”ผมบอก ถอนหายใจแรงๆ

“มึงรักไอ้สองจริงเหรอวะ ทั้งๆที่มันเป็นคนทำให้มิ้นท์ต้องเจอเรื่องแบบนี้”

“ถ้ามิ้นท์ไม่นอกใจกูก่อน เรื่องมันจะเป็นแบบนี้ไหมวะ แล้วกูจะเป็นแบบนี้ไหม กูถามจริงๆเหอะ รู้ว่ามึงรักน้องแต่บางครั้งกูหูตาสว่างบ้างเถอะว่ะ”

“....หาดีๆกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือไง หึ แล้วมึงคิดว่ามันจะกลับมารักมึงหรือไง”

“ไม่รู้ แค่รอเวลาก็เท่านั้น”ผมนิ่งมองน้ำแข็งในแก้วที่ละลายช้าๆ

"มันมีไอ้ยิมอยู่แล้ว คิดว่ามันจะเลือกใครคนที่ทิ้งมันหลอกมัน หรือคนที่คอยอยู่ข้างๆมัน”ไอ้แกนพูด ผมแค่ยิ้ม

"ถ้าเป็นแบบนั้น..ก็ต้องยอมรับความจริงล่ะมั้ง”ผมพูดไปอย่างนั้น แม้ในใจจะรู้สึกร้อนเป็นไฟ ที่ผมยอมถอยออกมาจากไอ้สองก็เพื่อให้โอกาสตัวผมเองและสำหรับมัน

สำหรับผมไม่ว่าจะยังไงจุดเริ่มต้นคือความไม่จริงใจ ถึงผมจะรู้ตัวว่าก้าวข้ามคำว่าชอบไอ้สองมาแล้วก็ตาม แต่ต้องหยุด เพื่อให้เวลาตัวเองถอยออกมา ให้มันลืมภาพลวงๆที่ผมเคยทำไว้กับมันแม้จะไม่ได้หลอกลวงไปเสียทุกเรื่อง  แต่ผมอยากเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง โดยปราศจากความลวง ส่วนไอ้สองหากมันทำใจลืมภาพแย่ๆของผมออกไปได้แล้ว และให้เวลากับตัวเองนานพอแล้ว...ผมก็พร้อมจะเสี่ยงกับมันอีกครั้ง

“ถือว่าเป็นบทเรียนของกูก็แล้วกันว่ะ แล้วมึงล่ะไอ้แกน มึงได้บทเรียนมาบ้างหรือยัง”ผมพูด มันเงียบไป ผมมองเสี้ยวหน้าที่นิ่งงันของมัน

“เออ กูเจอมาตั้งนานแล้ว บทเรียนเจ็บๆ แถมมีราคาแพงซะด้วย ทำยังไงก็คง...เรียกร้องกลับมาไม่ได้...”ไอ้แกนพูดกับตัวเอง
ผมมองมันนิ่งๆไม่รูึสึกอะไร อันที่จริงไม่อยากรับรู้มาให้ปวดหัวหรอก ผมลุกขึ้นยืน

“กูเลี้ยงมึงแล้วกัน กลับไปเหอะ”ไอ้แกนพูดแล้วหยิบแก้วมาชงให้ตัวเอง ผมมองมันนิ่งๆก่อนจะเดินออกจากร้านมาทันที


ชีวิตของผมกลับมาเหงียบเหงาเฉื่อยชา หลังจากที่ใกล้เรียนจบปีสาม ผมแค่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนและเริ่มคิดหัวข้อโปรเจ็ค ขณะที่พักเที่ยงผมมาขลุกอยู่กับพวกไอ้ธาม 

 “สรุปมึงกับไอ้สองเลิกกันแล้วเหรอวะ”ไอ้ธามถามทันทีที่ผมเดินมานั่งที่โต๊ะกลมใต้ถุนตึกภาค

“อือ”ผมตอบสั้นๆไม่อยากนึกถึงเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

“ทำไมวะ มันก็ดูรักมึงนะเว้ย”ไอ้ธามยังพูดต่อไป ผมแค่หยิบโทรศัพท์มากดเล่นอย่างเหม่อลอย

“หรือมึงแค่เล่นๆกันวะ”ไอ้อิฐทำหน้าไม่พอใจขึ้นมา ผมชะงักแล้วส่ายหน้า

“เปล่าหรอก...แค่ มีเรื่องที่เข้ากันไม่ได้”ผมตอบเบาๆ รู้สึกโหวงเหวงในใจ

“อะไรวะ นึกจะเลิกก็เลิก นึกจะชอบก็ชอบ กูล่ะงงกับมึง”ไอ้แบมโพล่งออกมาแล้วตบไหล่ผมไปด้วย ผมเงียบ

“เรื่องมันยังไงกันแน่วะไอ้ท็อป กูได้ยินมาว่าไอ้สองมันชกกับไอ้แกน น็อคเลยด้วย มึงได้ไปดูแลเยี่ยมมันบ้างไหมเนี่ย”ไอ้ธามมองหน้าผม

“อืม ไปมาแล้ว ...”

“ระวังนะเว้ย เสียของรักแล้วจะมาฟูมฟายไม่ได้นะ”ไอ้ธามพูดให้ผมได้ยิน ผมถอนหายใจแล้วผุดลุกเดินหนีพวกมันไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างทางเดินผมเจอเข้ากับไอ้ยิม ท่าทางมันดูดีขึ้นกว่าเดิม ...อืม มันไม่ได้สวมแว่นนั่นเอง ผมปั้นหน้านิ่ง ไอ้ยิมแค่มองหน้าผม ในใจผมคิดถึงไอ้สอง มันเป็นยังไงบ้าง


“ไอ้สองมัน—”ผมไม่ทันได้พูดจบ ไอ้ยิมมันพูดขึ้นมาก่อน

“สบายดีตามอัตภาพ ...เลิกกันแล้วจะถามถึงมันทำไมอีก”

ผมมองหน้ามัน รู้สึกจี๊ดขึ้นมา เป็นคนอื่นพูดผมคงไม่รู้สึกระคายอะไร แต่มันคือไอ้ยิม มันชอบไอ้สองนี่มันคงมีโอกาสทำแต้มกับไอ้สองล่ะสิ อยู่หอพักเดียวกันแบบนั้นก็คงจะสนิทกันมากขึ้น

ผมกลบเกลื่อนความว้าวุ่นในใจเอาไว้ “ก็แค่อยากรู้”

“อืม ไม่ต้องห่วงหรอกมันสบายดีอยู่แล้ว มึงก็รู้ว่ามันเข้มแข็ง”ไอ้ยิมพูดจากนั้นก็เดินผ่านผมไป ทิ้งให้ผมได้แต่คิดฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว ผมปวดหัวขึ้นมาตุบๆ ก่อนจะก้าวขาเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น
ไม่ แบบนี้มันแย่กว่าที่คิด ผมอยากเจอมันสักครั้งแล้วพูดความจริงกับมันบ้าง เผื่อว่า....มันอาจจะยังรอผมอยู่บ้าง  ผมแวะไปที่คณะศิลปกรรม ไปซื้อกาแฟที่ร้านพี่แยม ที่จริงตั้งใจมาหาไอ้สอง แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปที่ตึกคณะหรือแม้แต่โทรไปหา

“หายหน้าไปนานเลยนะท็อป เมื่อก่อนเห็นมาบ่อยๆ”พี่แยมชวนคุย ผมยิ้มให้ “ติดงานน่ะพี่ เลยไม่ได้แวะมา”ผมตอบแล้วหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปคาปูชิโน่เข้มๆที่ผมสั่งมาสองแก้ว แล้วส่งรูปไปที่ไลน์ไอ้สอง ยังดีที่มันไม่บล็อคผมไปซะก่อน

OnTop : ซื้อฝากมึง แก้วนึง...ว่างไหม มาเจอกันได้หรือเปล่า ถ้ายุ่งอยู่ก็ไม่เป็นไร

ผมรอให้มันเปิดอ่าน ผ่านไปสิบนาที ไอ้สองก็อ่านข้อความแล้ว ผมรอให้มันตอบกลับมา จนแล้วจนรอดผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีมัยนก็ยังไม่ตอบกลับมา ผมเลยถอดใจ ถือแก้วคาปูฯอีกแก้วเพื่อเอาไปทิ้ง ให้ผมกินสองแก้วคงไม่ไหว ผมเดินมาถึงที่รถมอเตอร์ไซค์ของผมที่จอดไว้หน้าร้าน

แชทไลน์เด้งมาที่หน้าจอ ไอ้สองตอบกลับมาจนได้ทำให้ผมยิ้ม

2 : จะรีบกลับไปไหนครับ รอนานแค่นี้เองพี่

ผมหันไปมองทางตึกคณะ เห็นไอ้สองกำลังเดินมาหาผม

 “...ไง”ผมทัก รู้สึกเกร็งๆไม่เหมือนเมื่อก่อน ไอ้สองดูผอมลงไปบ้างแต่ยังดูดีเหมือนเดิม มันใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ สงสัยแค่มาทำงานที่คณะ

“ไหนล่ะกาแฟผม ...โห ละลายจนจืดหมดแล้วแน่เลย”ไอ้สองคงแก้วคาปูฯที่วางอยู่ตระกร้าหน้ารถขึ้นมาดูดแล้วทำหน้าบิดเบี้ยว

“อืม ก็รอจนมันละลายหมดแล้ว”ผมบอก ไอ้สองมองหน้าผมแล้วถือแก้วกาแฟในมือไว้

“....มีเรื่องจะคุยกับผมหรือเปล่าพี่”อีกฝ่ายขยับมาใกล้ผม

“ก็....แค่อยากเจอหน้ามึงบ้าง”ผมตอบไปตรง ๆ มองหน้าอีกฝ่ายอย่างค้นหา เจ้าตัวไหวไหล่ก่อนจะหัวเราะเบาๆ

“พี่หนีผมไปเองนี่หว่า”

“ขอโทษนะ สำหรับทุกๆอย่าง มึงอาจไม่เชื่อกูอีกแล้วก็เถอะ แต่กูไม่อยากให้เรื่องมันจบ หรือเป็นแบบนี้”ผมพูดมองหน้าไอ้สองที่แค่รับฟังนิ่งๆแล้วพยักหน้าเบาๆ

“...ครับ ผมเชื่อพี่”

“กูพร้อมจะเล่าทุกอย่างให้มึงฟัง ถ้ามึงอยากรู้ มึงก็โทรหากูนะ ....โอเคไหมวะ”ผมบอก ถ้าหากมันไม่อยากรับฟังอะไรอีก ผมจะถือว่านั่นคือการตัดสินใจของมัน ว่ามันคงไม่คิดจะเริ่มต้นใหม่กับผมได้...

ไอ้สองมองหน้าผมเหมือนไม่เข้าใจ

“ครับพี่ ...แต่มันอาจจะนานก็ได้นะ”

“อืม กูจะรอก็แล้วกัน”ผมแค่ยิ้มบางๆ

“..แน่ใจนะว่ารอได้น่ะ อืม... ผมใจแข็งไม่เบาเลยนะ อีกอย่างจะให้ผมไปเสี่ยงกับพี่อีกเหรอครับ”ไอ้สองตอบกลับมา ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย ก็ไม่ถือว่าเป็นการปฏิเสธซะทีเดียว

“มึงอยากจะเสี่ยงหรือเปล่าล่ะ แต่ครั้งนี้ กูจริงใจนะ”ผมตอบ

“ไม่รู้สิ แต่ถ้ามันคุ้มที่จะเสี่ยง ผมก็ไม่เกี่ยงหรอก แต่ว่าผมเองก็ไม่แน่ใจว่าถ้าลงทุนไปแล้วมันจะคุ้มหรือเปล่าน่ะสิพี่ เฮ้อ ถ้างั้น ผมไปก่อนนะ ถ้าผมอยากรู้ ผมจะโทรไปหา”ไอ้สองพูดช้าๆ ส่งยิ้มให้ผม

“อือ ไว้เจอกัน”อีกเมื่อไหร่ ผมเองก็ไม่รู้ ผมมองไอ้สองเดินหายไปฝนห้องปั้น ผมได้แต่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากที่ผมเลิกเรียนแล้ว แม่ก็โทรมาหาผม บอกว่าให้ผมขึ้นไปดูงานที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งโรงงานผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ ที่เน้นเรื่องการดีไซด์ส่วนเครื่องยนต์ ทำให้ผมต้องไปทำงานในช่วงปิดภาคเรียน เพื่อปูทางในการฝึกงานในปี4  ผมคงได้แต่รอในระหว่างนั้นว่าผมยังจะมีความหวังอยู่หรือเปล่า

3 เดือน ที่จะไม่ได้เจอหน้าไอ้สอง  3เดือนของมันอาจจะเปิดรับคนอื่นเข้ามาแล้วก็ได้
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 29-07-2015 22:04:51
อืม. รอไปเหอะพี่. บางทีห่างๆกันก็คงจะดี
เฮียแกนมันก็ซื่อบื้อนะ. เรื่องของตัวเองก็ไม่ใช่ อย่างที่ท็อปว่า
เอาใจช่วยสองนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 29-07-2015 22:23:50
ดูเหมือนอะไรมันจะง่ายไปหมดเลยนะ ทั้งทอป  ทั้งไอ้เฮียแกน

แต่สองนี่สิมันจะง่ายไหมนะ

สองคงไม่เปิดใจลองคบกับยิมนะ คือสงสารยิมไง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 29-07-2015 22:32:24
ถอยกันคนละก้าว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 29-07-2015 22:45:40
คิดว่าสองคงรอพักใจสักพักอ่ะ คงไม่อยากสารต่อกับใครอะไรตอนนี้นะ

แบบหัวใจกำลังช้ำบางทีก็คงรอให้ดีขึ้นถึงจะรอคิดอีกทีว่าจะเดินทางไปทางไหนกับใครมั้งนะ?  :hao5:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 29-07-2015 22:55:17
หงุดหงิดมิ้นนนน คืออยากให้คนนั้นคนนี้ได้รับบทเรียน
ทำตัวเป็นศาลเหรอ? ไปตัดสินความผิดให้คนอื่น
ตอนแรกคือสงสารนะ พอมารู้ความจริงคือไม่โอเคแรงมากกกกกก
คือเที่ยวโทษคนนั้นคนนี้ไปทั่ว โยนความผิดให้คนอื่นบ้างล่ะ จะตัดสินโทษให้ชาวบ้านบ้างล่ะ
ทำเพื่ออะไร? หกดากหสาดกสหาดกส
พออ่านฝั่งพี่ท็อปแล้วค่อยเบาใจ(?)อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ได้คิดจะหลอกแล้วใช่มั้ยคะ T___T
ไม่เสียแรงที่เป็นทีมพี่ท็อปปปปปปปปปปปป :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 29-07-2015 23:03:35
เฮ้ยยยยย
อารมณ์เหมือนจะหน่วง แต่ก็ไม่หน่วง เอะยังไง
เหมือนมีความหวังอยู่ริบหรี่ ที่จะรีเทิร์น
แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีล่ะว้าา
สามเดือนผผ่านไป สองคบกับยิมแล้วป่ะเนี้ย
สงสารยิมนะ แต่ความรักมันไม่ได้เกิดจากความสงสารนี่หว่า
ทำใจนะ ยิม เอ้ย
สองไม่โทรมาหา ก็ไม่คิดจะโทรหาสองเลยรึไงพี่ท็อป โถ่ คิดอะไรของพี่เนี้ย
อยากรีเทิร์นแต่ไม่พยายาม อยากบอกความจริง แต่ก็ตั้งเงื่อนไข อะไรของพี่
สงสารสองแปลกๆ ที่ต้องคอยเสี่ยงทั้งที่ไม่รู้จุดหมาย
พี่ท็อป แม่งไม่เคยแสดงความจริงใจเลย  เก็บไว้อมแทนเหรียญเหรอพี่
ความจริงใจเก็บไว้ แม่งใครจะไปรู้  เปิดเผยหน่อยดิ โถ่
จะเอาไง ล่ะ สอง โคตรยอมพี่ท็อปอะ โทรๆไปเหอะสอง เห้ออ คงหวังให้พี่ท็อปโทรไม่ได้หรอกมั้ง
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 29-07-2015 23:40:33
รักกัน  เหรอท๊อป  ลองคิดให้ดี ๆ นะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 29-07-2015 23:47:23
อ่านแล้วเกลียดมิ้นเลยวะ รู้สึกว่านังนี่เห็นแก่ตัวสุดๆ :z6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: nuttzier ที่ 29-07-2015 23:52:42
นั่นเง่ะ  พี่ท๊อป  รักเค้าแล้วก็บอกมาเหอะ   โหววว..วว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 30-07-2015 00:09:37
ถึงคราวที่พี่ท็อปต้องเป็นฝ่ายกระวนกระวายใจแล้วสินะ แต่จะว่าไปการที่ท็อปคิดจะเริ่มความสัมพันธ์กับสองใหม่ แทนการสานสัมพันธ์เดิมที่เริ่มต้นด้วยกลลวงก็ดีนะ เรื่องคาใจต่างๆ จะได้เคลียร์กันซะให้จบๆ ไป ไม่คลุมเครือ
สองต้องเล่นตัวบ้างนะ ได้เวลาที่พี่ท็อปต้องตามง้อเมียแล้ว  :hao3:

อ่านเรื่องจากทางท็อปตอนนี้แล้ว ทำให้รู้สึกว่าสองพี่น้องแกนมิ้นท์ไม่น่าคบเลย ยิ่งเฮียแกนนี่เหมือนพวกเอาตัวเองเป็นใหญ่ คิดเองเออเอง สมควรหลีกให้ไกล  มิ้นท์เองก็มีส่วนในการก่อเหตุไม่น้อย แต่ด้วยความที่ดูเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ความผิดก็เลยถูกมองข้ามไป แต่มิ้นท์ก็คงได้รับบทเรียนแล้วแหละ :เฮ้อ: 

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 30-07-2015 00:34:16
สมชื่อเรื่องจริงๆคับ เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงก็ห้องพี่ท็อปน่ะสิ พาสองไปมีไรกันบนเตียงพี่ท็อปแล้วเรื่องมันก็เป็นแบบนี้เลย ย้ายมาอยู่ข้างห้องสองเพื่อมิ้นท์โดยเฉพาะเลยนะ
ท็อปกับสองจะสานกันต่อไปมั้ยล่ะ บางทีรู้ความจริงมันก็เสียความรู้สึก สองจะเสี่ยงต่อป่าวล่ะ ชอบเสี่ยงด้วยนี่ รอ รอ รออ่านตอนใหม่คับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 30-07-2015 03:56:52
ต้นเหตุเกิดจากชะนีตัวเดียว
ที่มาเรียกร้องจากคนอื่น แต่ไม่ได้ดูพฤติกรรมของตัวเอง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 30-07-2015 04:21:53
ฝากเพลงให้สอง :sad11:
http://youtu.be/SA-GgQg2XgY 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 30-07-2015 05:30:42
เรางงที่ทุกคนเหมือนจะทำตามที่มินท์ต้องการหมดเลยนะ   คือที่มินท์ต้องการมันไม่ใช่การสอนบทเรียนสองแต่เป็นการแก้แค้นที่สองฟันแล้วชิ่งหนี   ที่จริงท็อปไม่น่าที่จะต้องมาทำตามที่มินท์ต้องการในเมื่อที่มินท์ทำมันแย่เสียกว่าแย่ ไม่ใช่แค่นอกใจหรือคบซ้อนแค่นั้นแต่โบ้ยความผิดให้ท็อปเต็มตัว   แถมยังต้องมาประคบประหงมมินท์ที่พยายามฆ่าตัวตายเพราะคนที่นางคบซ้อนระหว่างที่เป็นแฟนท็อปฟันแล้วทิ้ง

ไม่ใช่ว่าสองจะไม่ผิด สองผิดเต็มๆที่หนีความรับผิดชอบ  แต่ความผิดของสองก็ไม่ได้ถึงขนาดที่ว่าสองไปล่อลวงเด็กสาว เพราะว่ามินท์ยิ่งกว่าสมยอม  สองสำนึกผิดมากว่าที่มินท์สำนึกผิดเสียอีก

ส่วนแกนก็นะ.....ไม่ฟังอะไรเลยตัดสินอะไรต่อมิอะไรเอง  น้องสาวตัวเองที่รักนักรักหนานั่นก็ไม่ได้เริ่ดอะไรอย่างที่แกนคิดเลย  อยากให้แกนได้รับรู้ความจริงจะได้กระอักว่าตัวเองโง่เง่าขนาดไหน มีแต่กล้ามเนื้อมากกว่าสมองจริงๆ

เหมือนที่บอกว่าท็อปเองโดนจูงจมูกทำสอง จึงสมน้ำหน้าที่ได้แต่มองแล้วก็ระแวงว่ายิมจะได้เข้ามาแทนที่ตัวเองข้างๆสองเมื่อไหร่   รอไปก่อนแล้วกันนะ  ท่าทางสองมันยังเจ็บอยู่ว่ะ

ยิมกับผิงนี่เป็นตัวละครที่เราชอบที่สุด ณ ตอนนี้  ผิงที่เป็นหลักให้เพื่อนตลอด  เพื่อนจะมีแฟน เลิกกับแฟน  ทะเลาะกับใครผิงอยู่ข้างเพื่อนตลอด   ส่วนยิมนี่ใจสู้มากๆ  ไม่ยอมถอย ต่อให้โดนบอกปัดเป็นร้อยรอบก็ยังไม่ถอย  การอยู่ทั้งๆที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายไม่รักแบบที่ตัวเองหวังไว้นี่โคตรเจ็บแต่ในขณะเดียวกันก้ยังมีสุขบนพื้นฐานของความเป็นจริงนะ  คือรับเท่าที่อีกฝ่ายให้ได้ แล้วก็ทำใจไว้แล้ว นายแน่มากยิม (ตราบใดที่ไม่ได้มาเพื่อหลอกสองนะ - ระแวงมากๆเพราะแผนบ้าบอคอแตกนี่แหละ)

สรุป โดนจูงจมูกโดยชะนีเห็นแก่ตัวเกือบหมด
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 30-07-2015 09:11:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 30-07-2015 10:04:33
ช่วง 3 เดือนที่จะจากกันน่าจะพิสูจน์ใจพี่ท๊อปได้น่ะว่ารัดหมดใจไหม เรายังเชียร์พี่ท๊อปอยู่น่ะ ให้ไวๆๆๆเลย
แอบอยากให้คนดีอย่างผิงยิมกินกัน ฮ่าๆๆๆๆ
เฮียแกน มิน เอาไปทิ้งไกลๆๆๆเลย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 30-07-2015 11:30:17
 น้องสองเข้มแข็มมากลูก

ทุกคนต่างก็มีปม แต่น้องชะนีมิ้นต์ นางร้ายที่สุด ทำตัวเอง แต่โทษคนอื่นฝ่ายเดียว

 หวังว่าจะเคลียร์ทุกเรื่องอย่างเข้าใจกันนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Ysolip ที่ 30-07-2015 11:47:45
ขอบคุณตอนนี้มากๆค่ะที่ทำให้รู้สึกอะไรกับพี่ท็อปขึ้นมาบ้าง
แรกเริ่มไม่ได้มาจากความเต็มใจเสียทีเดียวพี่ท็อปก็เจออะไรมาเยอะ
เหมือนผิดหวังซ้ำซากทั้งๆที่คิดจะเปิดใจกลับโดนอย่างเดิม
เรื่องไม่ต่างจากสองเท่าไหร่ความรุนแรงคงเท่าๆกัน
พี่ท็อปได้คะแนนในส่วนที่แกไม่ได้เต็มใจจะทำแต่จำใจทำ
เพราะว่าสัญญาของแม่มิ้นท์  แต่ก็โดนหักคะแนนไปในส่วนที่
พี่ท็อปไม่ได้รักสองมากอย่างที่คนอ่านคิด อืม
แต่ว่าดีใจจริงๆที่พี่ท็อปยังอยากจะลองเสี่ยงยังอยากคงความรู้สึก
กับสองไว้ขอบคุณจริงๆ เพราะในมุมมองของคนอ่านที่รับรู้
พี่ท็อปคงจะคิดไม่ผิดใช่ไหมคะที่เลือกจะกลับมาหวังว่าสอง
คงจะเลือกพี่ท็อป?หรือเปล่า ใจจะเชียร์พี่ท็อปแล้วนะ
แต่คงต้องรอดูตอนหน้าอีกทีความรู้สึกของสองจะเป็นยังไง
คงจะได้ตัดสินกันเสียที ตอนนี้มองว่ายิมยังไม่แฟร์เท่าไหร่
หรือไม่ก็อาจเป็นห่วงสองเลยเลือกพูดคำพูดเหล่านั้น
ถือว่าตอนนี้เป็นพาร์ทโกยคะแนนของพี่ท็อปเลยนะคะ ชอบนางเพิ่ม
สุดท้ายทุกคนก็มีบทเรียนกันหมดไม่เว้นแกน บางที
เรื่องของแกนอาจจะคล้ายๆกับมิ้นท์ก็ได้
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 30-07-2015 12:11:20
ตามอ่านทันตอนล่าแล้วววว

พี่ท๊อปสู้ๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 30-07-2015 12:21:32
อ่าน 2 ตอนรวดดด
ไม่รู้จะสงสารใครเลย
ทั้ง2คนก็เล่นกับความรู้สึกของคนอื่นมาเยอะ
มาเจอบทเรียนกันเองบ้าง
ถ้าคิดได้ กลับมาคบกันใหม่ได้ คงจะดีขึ้นนะ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: zhai ที่ 30-07-2015 20:06:03
คำอธิบายสั้นๆๆ คำเดียว
"เวรกรรม"
ความผิดพลาดวัยเด็กของสอง
สงสารมิ้นท์มากมายเหมือนกัน
มันวนกลับมาหาสอง
น่าน่ะ  เดี๋ยวกรรมหมด ความสุขก็มาเนอะ
 :mew2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 30-07-2015 22:47:56
 :katai1: เห็นชื่อเรื่องแล้วไม่คิดว่าจะดราม่าหน่วงจิตขนาดนี้นะเนี่ย สงสารสองมากอะคือถึงแม้สองจะทำตัวแย่ๆแต่มันก็เป็นการตกลงยินยอมกันทั้งคู่ป่าววะ มิ้นท์ไม่น่าทำงี้เลย ไหนจะดึงพี่ท็อปมาเอี่ยวอีกเลยทำให้อีรุงตุงนังไปกันใหญ่ ส่วนยิมนี่เป็นคนดีมากนะแต่ยังไงเราก็ยังเชียร์ท็อปสองอยู่ดี เพราะยิมเป็นพี่โยขืนมาคบกับสองคงกระอักกระอ่วนกันแปลกๆอะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 30-07-2015 23:35:07
ตอนแรกก็สงสารมินท์นะ
ตอนนี้มันไม่ใช่อ่ะแก
สองพี่น้องแบบนิสัยสมกันจริงๆ
ท็อปนี่ซวยจริงๆที่เจอพี่น้องนรกคู่นี้ :(((
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 31-07-2015 01:44:15
อย่ารีเทรินได้ไหมคะ 555555 ไม่ต้องมีพระเอกหรอกคะ /โดนถีบ
   :ling3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 01-08-2015 18:24:51
 :serius2:
อ่านพี่ท็อปแล้วดูจะลดความไม่ชอบได้บ้าง 5555
แต่เอาใจช่วยสองนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-15 {Top.} #29.07.58 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 01-08-2015 18:27:32
พี่ท็อปสู้ๆ นะถ้ารักสองจริงอ่ะ ก็พยายามเข้านะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 14 ออกค่ายพักใจ (1)
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 04-08-2015 18:10:26
ตอนที่ 14 ออกค่ายพักใจ (1)

หลังจากที่คุยกับพี่ท็อปเมื่อครู่ที่ผ่านมา ผมเดินกลับเข้ามายังห้องปั้นเพื่อทำงานต่อจากที่ค้างไว้ นึกถึงคำพูดของพี่ท็อปที่วนเวียนอยู่ในหัว...อีกฝ่ายจะรอผมได้จริงๆหรือไงกัน 

ความจริงงั้นเหรอ

ตัวผมยังอยากจะรู้อะไรอีกกัน ต่อให้ฟังจากปากพี่ท็อปเองมันก็คงไม่ช่วยให้ความรู้สึกของผมที่เสียไปดีขึ้นมาได้หรอก ไอ้ผิงละจากฐานปั้นขึ้นมามองผมก่อนจะเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนลายจุดสีสันสดใสขัดกับหน้าตาโฉดดุรับกันได้ดีกับสกินเฮ ไอ้ผิงมันส่งสายตาสงสัยสอดรู้ของมันมาให้ผม

“เฮ้ย ไอ้สอง ตกลงมึงเลิกกับพี่ท็อปแล้วจริงๆเหรอวะ"ไอ้ผิงถอนหายใจเซ็งๆแล้วลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจไปมา ขณะเดียวกันไอ้โก๋โผล่หน้ามาจากงานปั้นของมันที่สูงจนบดบังร่างกายของมันไว้ได้ ผมแปลกใจที่เห็นมันมาทำงานวันนี้ เพราะตอนเช้ามันหายหัวไปไหนกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งแทน ไอ้โก๋ทำหน้าเจื่อน

“เออ สอง กูขอโทษนะเว้ย ที่กูไม่ได้สนใจมึงเลย ช่วงก่อนหน้านั้น”ไอ้โก๋พูด ผมส่ายหน้าโบกมือให้มันอย่างไม่ถือสา

“ช่างเหอะน่า มึงเองก็เครียดเรื่องงาน กูไม่คิดมากหรอก เพื่อนก็คือเพื่อนอยู่วันยังค่ำ”ผมบอกมัน แต่ไม่ได้ตอบคำถามของไอ้ผิง

ผมไม่เคยเล่าเรื่องแผนการของเฮียแกนที่อยากให้ผมเจ็บ หรือเรื่องของพี่ท็อปที่หลอกลวงผม

“มึงจะบอกกูได้เมื่อไหร่วะ”ไอ้ผิงคว้าก้อนดินขว้างใส่ผมอย่างหมั่นไส้ก่อนจะเดินมาหาผมตรงหน้า ผมถอนหายใจขณะที่ลากเก้าอี้มานั่ง ในระหว่างที่ไอ้เพื่อนสองตัวก็รีบคว้าเก้าอี้มาสุมหัวกับผม

“....อือ ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันคลี่คลายหมดแล้ว กูเล่าให้พวกมึงฟังก็ได้”ขณะนั้นผมได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้มันฟัง โดยไม่ปิดบังสักเรื่องเดียว เรื่องมิ้นท์ เฮียแกน พี่ท็อป ไอ้โย ไอ้ยิม


“ทำไมเรื่องเยอะแบบนี้วะ กูล่ะนับถือมึงที่ยังมีชีวิตรอดมาจนป่านนี้”ไอ้โก๋พูดขำๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่วนไอ้ผิงมองหน้าผมนิ่งๆขมวดคิ้วเม้มปากแน่นเหมือนไม่พอใจ

“แล้วตกลงพี่ท็อปเค้าชอบมึงจริงๆใช่ไหม”ไอ้ผิงยิงคำถามใส่ ผมมองหน้าพวกมันสองคนแล้วครุ่นคิดจริงจัง ช่วงที่ผ่านมาผมรู้สึกแย่กับพี่ท็อป จนความรู้สึกเหล่านั้นในกลบบดบังทำให้ผมมองพี่ท็อปไม่ออก

“ก็อาจจะ”ผมไม่กล้าฟันธง ผมรู้สึก50-50มากกว่า ถึงวันนี้พี่ท็อปจะมาหาผมและพูดบางอย่างกับผมไปแล้วนั้น ผมก็รู้สึกแปลกๆ ไม่เชิงว่าดีใจ

“มันก็ต้องรู้สึกบ้างนั่นแหละวะ”ไอ้โก๋เป็นฝ่ายพูด

“แล้วมึงจะเอาไงกับไอ้ยิม มึงจะกั๊กๆไม่ได้นะเว้ย อย่าไปให้ความหวังเลย ถ้าไม่คิดจะรัก”ไอ้ผิงพูดถึงเรื่องไอ้ยิมขึ้นมา ไอ้โก๋พยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้ว่ามันจะห่างๆจากผมไปบ้างแต่มันก็รับรู้เรื่องของผมจากไอ้ผิงอีกทางหนึง ไอ้ผิงมันบอกผมว่าไอ้โก๋ก็มาถามไถ่เรื่องของผมบ้าง

“เออ กูบอกมันไปแล้วว่าไม่ได้ชอบมัน”ผมตอบแล้วไหวไหล่ นอกนั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าไอ้ยิมมันจะคิดยังไงหรือปฏิบัติตัวอย่างไงเพราะในเมื่อมันรับรู้ความรู้สึกของผมที่มีต่อมันว่าให้ได้แค่ไหน อย่างน้อยมันก็น่าจะรู้สถานการณ์ของตัวเองดี

“มึงต้องใช้มาตรการเด็ดขาด”ไอ้โก๋พูด

“มึงคิดว่ามันจะหยุดความรู้สึกไว้เท่าเดิมหรือไง ในเมื่อมึงยังอยู่ข้างๆมันแบบนี้ มันก็ต้องมีความหวังเพิ่มขึ้นบ้างแหละวะ ทางที่ดีนะ...มึงต้องยื่นคำขาดไปซะ”ไอ้โก๋พูดมีเหตุผล ถ้าผมยังคงทำดีกับคนที่ชอบ มันก็เหมือนทำร้ายใจไอ้ยิมมันทางอ้อม ความหวังมันก็ต้องงอกเงยเติบโตคงไม่มีใครห้ามความรู้สึกของตัวเองได้อีกอย่างไอ้ยิมชอบผมทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีความหวัง...มันก็คงเจ็บน่าดู

“เออ กูก็อยากทำแบบนั้น”ผมบอกคงต้องหาโอกาสเหมาะๆบอกกับมัน

“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจบอกกูได้นะเว้ย”ไอ้ผิงทำหน้าจริงจังแล้วตบแขนผม

“หึ แหม มึงเป็นกรูรูเรื่องความรักหรือไงวะ”ผมหัวเราะใส่ไอ้ผิง มันพยักหน้า

“แน่นอนอยู่แล้ว ไอ้ผิงไม่เคยแห้ว มึงก็รู้”

“แล้วไอ้ที่โสดมาจนทุกวันนี้ไม่เรียกว่าแห้วหรือไง”ไอ้โก๋สวนกลับ

“เฮ้ย กูเป็นคนปล่อยเค้าไปเอง อย่างกูเนี่ยนะ ไม่นิยมแห้วว่ะ จีบติดทุกคนเว้ยถ้าคิดจะเอาจริง”มันคุยโว ทั้งที่รู้ๆกันอยู่ว่าจีบใครแล้วได้แค่เพื่อนหรือไม่ก็พี่น้องบ้าง อาจเป็นเพราะมันแค่กั๊กๆความสัมพันธ์ไม่ยอมพัฒนาไปมากกว่านั้น เลยแห้วทุกที แต่ก็ยังจะหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเอง

“เออ แล้วนี่ปิดเทอมนี้กลับบ้านกันหมดเลยหรอวะ”ไอ้โก๋ถามผมกับไอ้ผิง

“อืม ไม่รู้สิ บางทีก็ไม่อยากกลับนะ อยู่บ้านไม่มีอะไรทำมาช่วยงานที่คณะดีกว่า”ไอ้ผิงทำหน้าคิด

“..ไปกับพวกพี่ดีนเปล่าวะ ไปออกค่ายเล็กๆซ่อมแซมห้องสมุดกับทาสีห้องเรียน”ไอ้โก๋ชวน ผมถึงกับหูผึ่ง ถ้าไปคณะเล็กๆจำนวนไม่มากทำงานกันจริงๆก็น่าสนใจดี ผมหันไปมองไอ้ผิง

“เอาไงมึง กูไปนะเว้ย"ผมบอก เพราะก็ว่างๆไม่ได้หางานพิเศษทำฆ่าเวลาช่วงปิดเทอม

“อืม น่าสนว่ะ ดูก่อนนะติดอะไรหรือเปล่า”ไอ้ผิงหยิบโทรศัพท์มากดเช็คไปพลาง

“แล้วมึงจะชวนไอ้ยิมไปไหมวะ”ไอ้ผิงเงยหน้ามาถามผม “คงไม่ว่ะ...ไม่รู้สิ คณะอื่นไปได้ด้วยเหรอ”ผมหันไปถามไอ้โก๋

“มันก็ได้แหละ ค่ายนี้ก็เพื่อนๆกันไม่ได้เป็นทางการอะไรแบบนั้นไม่ถึงห้าสิบคนหรอก ออกงบเองไง อาสาไปทำเอง”ไอ้โก๋อธิบาย

“...อืม”ตอนแรกผมนึกถึงพี่ท็อปขึ้นมา คิดว่าคงชอบอยากไปแน่นอน พี่ท็อปเองก็ชอบอะไรลุยๆเหมือนผม ..แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น
ผมกลับมาที่หอพัก ขณะที่ไขกุญแจห้องผมเหลือบมองไปยังห้องฝั่งตรงข้าม ยิมคงไม่เลิกเรียนเพราะห้องเงียบกริบก่อนจะมองไปทางห้องของพี่ท็อปแล้วหวั่นในใจ  แล้วเปิดประตูเข้ามาในห้อง ผมเปิดโทรทัศน์แก้เซ็งก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบพวงกุญแจไม้แกะสลักขึ้นมาถือ เสียดายที่ไม่ได้ให้พี่ท็อป ผมคิดเรื่องพี่ท็อปไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่โทรศัพท์จะดังขึ้น

'OnTop' ผมมองอย่างแปลกใจ มีเรื่องอะไรหรือเปล่านะ.. ผมชั่งใจอยู่นานจนหน้าจอดับไป จนกระทั่งผมรอให้พี่ท็อปโทรมาอีกครั้ง

ตืด ตืด ตืด

ผมกดรับ ในขณะที่ปลายสายเริ่มพูด

[ปิดเทอมนี้ กูคงไม่ได้เจอหน้ามึงอีกแน่ๆ จำได้ไหมที่กูเคยบอกว่าแม่พี่จะพาไปดูงาน ที่ชลบุรี ] ผมนิ่งงัน ใจหล่นวูบกับเรื่องที่ได้ยินอย่างไม่คาดคิด

“...จะไปวันไหนหรอพี่"ผมถามกลับเสียงแผ่ว

[อีกวันสองวันนี่แหละ]...เร็วจัง...ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาผมก็แทบไม่ได้เจอหน้าพี่ท็อปเลย วันนี้ที่พี่ท็อปมาหาผมเป็นครั้งแรกในรอบสองเดือนมันทำให้ผมได้รู้ว่ายังรักพี่ท็อปอยู่ และคิดถึงพี่ท็อป

“ทำไมเร็วจัง"

[...3 เดือนสำหรับโอกาสของกู...หรือ...ให้โอกาสตัวเอง..เปิดใจรับคนอื่น] ผมขมวดคิ้ว แล้วถอนใจ ทำแบบนี้พี่ท็อปไม่เหนื่อยบ้างหรือไง

“นานขนาดนั้น พี่คิดว่าผมจะรอพี่ได้หรือไง หาคนอื่นไม่ง่ายกว่าหรอครับ...แล้วถ้าผมยอมให้โอกาสคนอื่นพี่จะยอมตัดใจจากผมหรือไง"ผมถามกลับไป ปลายสายเงียบไป ทำให้ผมระเบิดอารมณ์ออกมา

“ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ด้วยวะ! มันจะตายหรือไงถ้าพี่มาตามง้อผม ในเมื่อพี่เป็นฝ่ายผิดทำไมต้องมาตั้งเงื่อนไขกับผมอีก!"

[กูแค่อยากให้เวลามึงไง มึงมองหน้ากู แล้วมึงนึกถึงอะไร ? เรื่องที่กูทำกับมึงไง กูไม่ต้องการแบบนั้นหรอก]พี่ท็อปตอบเสียงอึกอัก คงจะตกใจที่ผมพูดแบบนั้นออกไป

“แล้วพี่ีคิดว่าทำได้เหรอไง เวลาที่พี่ให้ผม มันช่วยความรู้สึกผมที่เสียไปมันกลับมาไม่ได้หรอก"

[กูจะสร้างมันขึ้นมาใหม่เอง ...กูขอโทษจริงๆ ] ผมนิ่ง ก่อนจะถามคำถามที่ค้างคาใจมานาน ความจริงผมอยากได้ยินคำพูดนี้โดยเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายมากกว่า

“พี่ชอบผมบ้างไหม”

[ชอบสิ กูชอบมึงมาก ....] น้ำเสียงที่ได้ยินชัดเจนและหนักแน่นพอให้ผมเชื่อในสิ่งที่พี่ท็อปพูด

“แล้วพี่ไม่คิดจะติดต่อผมเลยหรือไง”ผมถามต่อไปเรื่อย ๆคนปลายสายตอบกลับมาอย่างไม่มั่นใจนัก

[..กูแค่ไม่กล้า]

“ทีแบบนี้ล่ะทำป๊อด"ผมพูดเสียงขุ่น

[อืม คงจริงอย่างที่ว่า แค่มองหน้ามึงกูยังไม่ค่อยกล้า เหมือนกูไม่มีสิทธ์ยังไงยังงั้น] อีกฝ่ายพึมพำกลับมา

“อืม 3 เดือนของพี่ พี่จะไม่ยุ่งกับคนอื่นได้หรือไงครับ"ผมไม่แน่ใจ ความเหงาบางครั้งมันน่ากลัว ทำให้คนพลาดพลั้งมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เหมือนกับตัวผมสมัยก่อน ที่เคยอ้างว่าเหงา ถึงได้ให้คนอื่นเข้ามาเรื่อยๆ แต่มาตอนนี้ผมชักชาชินและไม่กล้าที่จะทำแบบนั้นอีก

[กูไม่คิดอยากมีใครอีกหรอก]

“แล้วคิดว่าผมยังจะ....ให้โอกาสพี่อีกครั้งหรอครับ"

[...กูไม่รู้] อีกฝ่าบกลายเป็นคนไม่หนักแน่นไปซะได้

“งั้นพี่ก็ไร้จุดหมายน่ะสิ”ผมหัวเราะออกมา ปลายเงียบไปนาน จนผมต้องพูดต่อ

“.....ส่วนเรื่องความจริงอะไรนั่นผมไม่อยากรู้หรอก”

[ทำไมวะ] พี่ท็อปดูตกใจ ผมถอนหายใจ

“มันไม่สำคัญแล้วล่ะพี่ ...อันที่จริงมันสายไปแล้ว มันเหมือนพี่กำลังแก้ตัว ผมให้พี่ได้พูดความจริงหลายครั้งแต่พี่ไม่ทำ"ผมยังโกรธไม่หายที่พี่ท็อปเลือกที่จะเงียบไม่ยอมบอกอะไรสักอย่าง

[กูรู้]

“ถ้าอย่างนั้น รอผมหนึ่งเดือนนะ ถ้าผมติดต่อพี่ไปแสดงว่าผมจะให้โอกาสพี่อีกครั้ง”ผมลังเลอยู่บ้าง แต่ก็ตั้งเงื่อนไขกับอีกฝ่ายไป ต้องรอดูอีกสามเดือน หากผมสามารถมองพี่ท็อปเหมือนเดิมได้ ก็คงดี

[มึงพูดจริงหรอวะ... เออ ได้สิวะ กูจะรอนะ ] น้ำเสียงของเจ้าตัวดูตื่นเต้นดีใจ ผมแค่ยิ้ม

“อืม แต่มันไม่ได้การันตีว่าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”ผมพูดต่อ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็พูดดักไปแบบนั้น ไม่อยากให้พี่ท็อปได้ใจไปกว่านี้แล้ว

[อือ ขอบคุณนะสอง]

“ครับ แค่นี้นะพี่ .."

ผมวางสายด้วยใจที่สับสน ผมก็เป็นซะแบบนี้ใจอ่อนให้พี่ท็อป ผมจะรอดูว่าพี่ท็อปจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า ผมใจลอยมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับไปแล้วอยู่อย่างนั้น เย็นวันนั้นผมแวะไปหายิมที่ห้อง เพื่อเอ่ยชวนเรื่องการออกค่าย

“ปิดเทอมว่างไหมครับ พอดีว่าจะชวนไปออกค่าย”ผมบอก อีกฝ่ายชวนผมเข้าไปในห้อง แต่ผมไม่อยากเข้าไปเพราะคงจะคุยไม่นาน เลยยืนอยู่ที่หน้าประตู อีกฝ่ายดูลังเลใจ

“กูไปได้เหรอ”

“ได้สิ เป็นค่ายของกลุ่มรุ่นพี่น่ะ ไม่ใช่ค่ายของคณะหรอก”ผมบอก ยิมพยักหน้า “ก็น่าสนใจนะ เป็นที่ไหนล่ะ”อีกฝ่ายถาม ผมบอกรายละเอียดมันไป เป็นค่ายซ่อมแซมอาคารเรียนของเด็กชาวเขา ท่าทางมันก็สนใจอยู่เหมือนกัน

“ผมมาคิดดูแล้วนะพี่ ผมว่า...”ผมพยายามหาคำพูดดีๆ บอกกับอีกฝ่ายให้ตัดใจจากผม ยิมถอนหายใจก่อนจะพูดแทรก

“ถ้ามีกำหนดการเรื่องค่ายยังไงก็บอกด้วยล่ะกัน”เจ้าตัวบอก ก่อนจะดึงบานประตูปิดเบาๆ ผมนิ่งงัน อีกฝ่ายคงรู้สึกได้ว่าผมจะพูดอะไร ผมเองก็ไม่อยากให้มันมาเสียใจแบบนี้

หลังจากที่เข้าไปฟังรายละเอียดค่ายๆกับพวกไอ้ผิงแล้วผมก็นำมาบอกไอ้ยิม ค่ายอาสานี้มีรุ่นพี่สาขาผมซะส่วนใหญ่ พี่ดีนเป็นสายรหัสเดียวของไอ้โก๋มัน แล้วก็รุ่นเดียวกับผมประมาณ 10 คน และคณะสถาปัตย์อีก 10 คน ระยะเวลาที่ไปค่ายประมาณ3วัน2คืน เน้นทำงานมากกว่าไปสันทนาการอีกอย่างไม่มีเด็กๆให้แจกขนมด้วยเพราะปิดเทอมกันหมดแล้ว

พี่ดีนบอกว่างานนี้ทุกคนต้องมีหน้าที่และงานต้องเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด จังหวัดที่ไปอยู่ทางภาคเหนือตอนล่างใช้เวลาไม่เกินสามชั่วโมง

จนกระทั่งเมื่อถึงวันออกค่าย ผมกับยิมมาที่คณะที่เป็นจุดนัดพบ เมื่อจอดรถไว้แล้วผมก็เห็นรถสองแถวคันใหญ่สำหรับออกค่ายจอดอยู่หน้าลานคณะ พวกพี่ดีนกำลังขนสัมภาระใหญ่ไปไว้บนหลังคาแล้วเอาผ้าใบคลุมอีกทีเผื่อฝนตก

ผมกับยิมเดินไปหาพวกไอ้ผิงที่นั่งอยู่ริมฟุตบาท แต่ที่คาดไม่ถึงคือ ไอ้เถา กับน้องมุ นั่งรวมอยู่ด้วย 

“อ้าว พี่ยิมมาด้วยหรอเนี่ย”ไอ้เถารีบเอ่ยทักทายก่อนจะส่งสายตาสงสัยมาที่ผม

“เออ ก็มากับพวกไอ้สองเนี่ยแหละ"ยิมตอบกลับไปนิ่งๆ ไอ้เถาทำหน้างงเข้ามากกว่าเดิมก่อนจะกลบเกลื่อน แล้วหันมาคุยกับผม

“เออสอง ได้ข่าวว่าโสดแล้วเหรอวะ พี่ท็อปบอกเลิกหรือไง"ไอ้เถาถามเสียงดัง ข้างๆกันนั้นมุน้องรหัสของมันก็หันมายิ้มให้ผม

"เออกูโสด แล้วไงวะ"ผมตอบอย่างหงุดหงิดไอ้เถาหัวเราะแล้วมองมุที่ยืนยิ้มให้ผมอยู่

"เอาแล้วไงมึง ได้เมียใหม่แน่"ไอ้ผิงเดินมากระซิบกระซาบเบาๆ ผมศอกใส่มันไป ยิมจ้องไอ้ผิงนิ่งๆคงจะได้ยินที่มันพูดล่ะมั้ง

"หวัดดีครับพี่สอง ไม่ได้เจอพี่นานแล้วนะครับ"มุเอ่ยทักทายกับผมแล้วเดินมายืนตรงหน้าผม

"อือ ช่วงนี้พี่ยุ่งๆน่ะ"ผมยิ้มตอบแบบไม่คิดอะไร ยิมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ให้ได้ยิน ผมได้แต่เก็บความไม่สบายใจเอาไว้คนเดียว
และแล้วก็ได้กฤษออกเดินทาง ทั้งคันรถก็ตีกลองสลับกับร้องเพลงสนุกๆแก้เบื่อกัน ผมนั่งข้างไอ้ผิงกับยิม ส่วนไอ้โก๋ไปนั่งอยู่ท้ายรถกับพวกพี่ๆส่วนไอ้เถานั่งถัดจากไอ้ผิงตามด้วยมุที่แอบชำเลืองมาทางผมบ่อยๆ

"เด็กนั่นท่าทางจะชอบมึง แบบนั้นสเป็คไม่ใช่หรือไง"ยิมยื่นหน้ามากระซิบเพราะพื้นท่ีบริเวณตรงกลางเป็นที่วางกลองกับพวกที่ชอบเต้นแร้งเต้นกากันยืนบ้างนั่งบ้าง

"ใครบอก สเป็คกูไม่ใช่แบบนั้นหรอก"ผมถอนหายใจ น้องมุคนนี้ต่อให้ผมไม่ได้ชอบพี่ท็อปอยู่ผมก็ไม่เล่นด้วยหรอก ให้คุยธรรมดาน่ะพอไหว

"ต้องแบบไอ้ท็อปหรือไง"ผมมองหน้ามันแล้วไม่ตอบ ผมเคยบอกไว้ก่อนหน้านั้นว่าหน้าตาเป็นเรื่องรองลงมา แต่ถ้าคุยกันรู้เรื่องเข้ากันได้สำหรับผมก็ชอบได้ กับพี่ท็อป เจอครั้งแรกไม่ได้สปาร์คกันเลยซะหน่อย

"มึงก็ชอบวนมาหาพี่ท็อปอยู่เรื่อย "ผมพึมพำ เจ้าตัวได้แต่ยุกยิกๆอยู่ข้างๆ

"สองๆ"ไอ้ผิงสะกิดแขนผม ผมหันไปมองมันก่อนจะเห็นว่าไอ้ผิงมันชี้มือไปทางไอ้เถาที่โบกมือให้ผมแล้วชี้มือไปที่น้องมุ ผมมองหน้าไอ้ผิงโดยอัตโนมัติ

"น้องเค้าอยากคุยกับมึง"

"คุยอะไรวะ"ผมทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่อยากหาภาระเพิ่ม

"เออน่า ไม่เสียหาย เผื่อถูกใจไง "ไอ้ผิงหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อสลับที่ ไอ้เถาสลับกับมุ กลายเป็นว่าตอนนี้มุมานั่งข้างผม ถัดไปก็ไอ้ผิง ไอ้เถา

"มีอะไรคุยกับพี่ครับ"ผมถามอย่างเป็นมิตร ก็ดีจะได้ไม่เหงาปาก คุยกับยิมแล้วชอบวกมาเรื่องพี่ท็อปตลอด

มุส่งรอยยิ้มมาให้ผม จะว่าไปน้องก็หน้าตาดีนะ ผิวขาว จมูกโด่ง พอยิ้มแล้วน่ารัก เรือนผมสีคาราเมลอ่อนนุ่มรับกับสีผิวได้ดี ผมมองอีกฝ่ายเพลินๆ จนน้องทำหน้ากระอักกระอ่วน

"พี่สองมองหน้าผมทำไมอ่ะ "มุถามเขินๆ

"เปล่าหรอก แค่มองเฉยๆน่า แล้วคิดยังไงมาออกค่ายเนี่ย"ผมชวนคุยไปเรื่อย

"อ๋อ พอดีปิดเทอมมันว่างๆ แล้วพี่เถาชวนด้วยเลยอยากมา น่าสนุกดี"

"อืมๆ งั้นก็ไม่รู้น่ะสิว่าพี่จะมา"ผมถามยิ้ม

คาดว่าต้องมีพ่อสื่อแม่สื่อแหงๆ

".....พี่เถาบอกว่าพี่สองก็ไปด้วย "มุยิ้มเหมือนอาย ผมพยักหน้า แล้วมองข้ามไหล่มุไปมองทิวทัศน์ข้างทาง

"มึงจะหาเรื่องใส่ตัวทำไม"ยิมยื่นหน้ามากระซิบกับผม

"กูโสดนะเว้ย กูแค่คุยกับน้องเค้าเอง ทำไม หึงเหรอ"ผมแกล้งยียวนอีกฝ่าย ยิมขมวดคิ้วแน่น สีหน้าไม่พอใจ

"รู้แบบนี้ไม่น่ามาด้วยเลย"จากนั้นยิมมันก็หงุดหงิดขยับออกห่างผมไปเอง ผมเม้มปากอย่างไม่เข้าใจ "อะไรๆ มึงนี่ "ผมถามเสียงขุ่น เริ่มไม่พอใจอีกฝ่ายขึ้นมา

“ช่างเถอะ”ยิมตัดบทจบการสนทนาด้วยการหันหน้าไปอีกทางแทน

"เป็นอะไรหรือเปล่าครับพี่"

"เปล่าหรอก แล้วนี่ทำงานหนักได้เหรอเนี่ย ดูคุณหนูจัง"ผมหัวเราะ ในขณะที่มุแค่ย่นหน้า "ได้อยู่แล้วครับ คงไม่ได้แบกหามขนาดนั้นซะหน่อย แล้วผมขอเบอร์พี่สองหน่อยได้ไหมครับ"อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเล มองผมด้วยแววตาสนใจ ผมยิ้มขำ

“ไอ้เถาไม่มีเบอร์พี่เหรอครับ”ผมถามแต่ก็ยอมหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วยื่นให้มุ “เอาเบอร์มุมาดีกว่า”ผมยิ้มแล้วมองมุที่รับโทรศัพท์ผมไปก่อนจะกดเบอร์ของตัวเองลงไป

“เรียบร้อยครับ”มุยิ้มตาหยีมาให้ ผมเมมชื่อไว้อย่างไม่คิดอะไรมาก เห็นทีต้องรีบตัดสัมพันธ์ “มีอะไรก็โทรหาพี่ได้นะน้องชาย”ผมหันไปบอกอีกฝ่าย ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ มุหุบยิ้มแทบจะทันทีที่ได้ยินคำว่าน้องชายจากผม

ผมไม่กล้าเสี่ยงกับใครทั้งนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเหมือนเป็นแผลที่ตกสะเก็ดอยู่ในใจ แค่คิดว่าผมแค่คุยๆกิ๊กๆกับมุผมก็กลัวขึ้นมา ...บทเรียนของมิ้นท์นี้เจ็บแสบจริงๆ...ผมล่ะเข็ดหลาบไปจนตาย

การนั่งรถสภาพแบบนี้กับระยะทางเกือบๆร้อยกิโลฯ เป็นการทรมาณผมได้ทางอ้อม ผมขยับตัวหลายครั้งเพราะปวดก้นมาก.อยากเหยียดขายาวๆให้หายปวดเมื่อยมากกว่านั่งอยู่ท่าเดิม นี่ถ้าไม่ได้ไอ้โก๋ตะโกนบอกคนในรถว่าจะจอดพักที่ปัมน้ำมันข้างหน้าที่จะถึงในอีกไม่ช้า ผมคงได้โวย

"เมื่อยมากเลยหรอ"ในที่สุดยิมก็ยอมแพ้ มันเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน ผมมองหน้าเจ้าตัว "อือ เมื่อยชิบ ง่วงด้วย"ผมบอก็ อยากนอนหลับสักงีบแต่รถก็วิ่งเร็วแถมยังโครงเครงเป็นบางครั้งอีกด้วย

"สำออยหรือเปล่ามึง ทนหน่อย จะถึงปั้มแล้ว"ยิมยิ้ม ก่อนจะยื่นมือมาบีบขาผมคลายเมื่อยให้ ถ้าไม่อายสายตาใครผมจะซบอีกฝ่ายซะเดี๋ยวนี้เลย อยากได้ไหล่พิงตอนนอน

ไม่นานนึกรถก็ชะลอเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันใหญ่ไปจอดตรงจุดพักรถเพื่อให้ทุกคนได้พักและตัดการธุระส่วนตัว ผมรีบลงไปบิดขี้เกียจ ยืดแข้งยืดขาก็เหมือนได้เจอแสงสว่าง ยิมเดินมาหาผม

"จะเข้าเซ่เว่นไหม"มันถามผม ผมเหลือบมองพวกไอ้ผิงที่เดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว

"ปะ"ผมสะกิดแขนเจ้าตัวแล้วเดินไปพร้อมๆกัน

“สอง...กูขออะไรมึงได้ไหมวะ”อยู่ๆไอ้ยิมก็พูดขึ้นมา ผมหันไปมองมัน แววตาของมันดูสับสนและสั่นไหวอยู่หลังกรอบแว่น ผมพยักหน้าก่อนจะหยุดอยู่ข้างๆเก้าอี้แถวเซเว่น

“มึงอย่าบอกให้กูตัดใจได้ไหมวะ”ผมตกใจมากที่มันพูดแบบนี้ ผมมองหน้ามันไม่ได้เลย

“แต่พี่ก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าถึงยังไงผมก็...”ผมพยายามอธิบาย แต่ยิมพูดตัดบทผมก่อน

“กูเข้าใจ ...แต่มึงไม่คิดจะเปิดใจให้กูบ้างเลยหรอวะ...มึงจะไม่ชอบกูก็ได้ แต่ให้กูได้ใกล้มึงมากกว่านี้ไม่ได้เหรอวะสอง”อีกฝ่ายมองผมอย่างคาดหวัง

“...ผมไม่อยากให้พี่เสียใจ"ผมบอกไป อีกฝ่ายหัวเราะออกมาอย่างไร้อารมณ์ "เออ กูมันก็ต้องเสียใจอยู่วันยังค่ำ กูรู้”

“ผมให้โอกาสพี่ท็อปไปแล้ว...”

“แล้วไง แบบนี้กูถึงไม่ได้โอกาสบ้างเหรอวะ บางทีก็ก็คิด ถ้าหากว่าคนที่ชอบมึงมันไม่ใช่กู มึงจะให้โอกาสไหม”ยิมเอ่ย ผมถอนหายใจ ไม่ชอบอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลย และผมไม่อยากทำร้ายใจของอีกฝ่ายเช่นกัน

“ไม่หรอกพี่ ตอนนี้ผมไม่อยากมีใครเพิ่ม”ผม

“ทำไมวะ”

“พี่อาจจะต้องเจ็บนะ ถ้าหากผมให้โอกาสพี่"

"...แค่สามวันนี้เอง แล้วกูจะยอมตัดใจเอง "ยิมพูดเสียงมั่นคงซะจนผมไม่อยากปฏิเสธมันอีก

"โอเค ก็ได้ ตามใจ แต่อย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งหาผมนะ"ผมแกล้งหยอกมัน ไม่อยากให้ระหว่างผมกับมันอึดอัด ไอ้ยิมพยักหน้ายิ้มๆ

ผมกับยิมเข้าไปซื้อขนมปังกับน้ำมาตุนไว้ ผมไม่ได้ให้ความหวังมัน ในเมื่อมันต้องการแบบนี้ ผมก็ไม่ขัด เพราะอีกฝ่ายบอกเองว่าจะตัดใจจากผมหลังจากจบค่ายนี้ จะว่าไปเวลามันก็สั้น แค่สามวันสองคืนเอง ผมคิดทบทวนเรื่องของยิม ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่มีครั้งไหนที่เจ้าตัวล่วงเกินหรือฉวยโอกาสจากผมเลย หรือเป็นเพราะผมไม่เปิดใจรับยิมเข้ามากันแน่

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-08-2015 18:24:30
 :mew6:   ยิ่งอ่านยิ่งสงสารยิมแหะ

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 04-08-2015 18:41:35
รักยิม
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 04-08-2015 18:48:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 04-08-2015 19:03:43
รอพี่ท็อปอีก1เดือนสินะ รอ รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 04-08-2015 19:37:07
ยิม
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 04-08-2015 20:30:17
สงสารยิมอ่าาา แต่ก็ยัง#ทีมท๊อปสองเหมือนเดิม
ส่วนยิมเด่วเค้าจะปลอบใจเองงง 555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 04-08-2015 21:46:48
สงสารยิมน้าาา
แต่คนไม่ใช่จะยื้อทำไมมยิ่งทำให้เจ็บตัว
แต่บางทีก้คงอยากจะลองดู เผื่อมันจะใช่
งงมะ 5555
แต่ยังไงก้ท๊อปสองนะ เอ๊ะ หรือสองท๊อปก้ดี

พี่ท๊อปปปมาง้อเรวววๆๆวววๆววววเลยยยย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 04-08-2015 22:17:38
หาคู่ให้ยิมสักคนเถอะ น่าสงสาร :o12:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 04-08-2015 22:31:13
โถว ยิมมมตัดใจเถอะ

เราจะรอพี่ท๊อป 55555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 04-08-2015 22:32:52
สงสารเฮียยิมนะ แต่เราทีมพี่ท็อป ///////////////////////
สองให้โอกาสพี่ท็อปแล้ว แต่มันคงไม่ง่ายหรอกเนอะ
พี่ท็อปทำผิดไว้เยอะอะ นี่สองก็ยอมสุดๆแล้ว 55555555555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 04-08-2015 23:41:49
รู้ว่าเจ็บ แต่ก็ยอมใช่ไหมยิม
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 04-08-2015 23:51:46
สงสารยิม
แต่ก็ตัดใจจากพี่ท็อปไม่ได้สินะ
อิพี่ท็อป โอ้ยย ง้อให้มากกว่านี้ดิพี่
ทำเป็นให้โอกงโอกาส เชอะ
เดี๋ยวก็ได้แดกแแห้วหรอก
ง้อ อะ ง้อ ง้อ อะ ทำไม่เป็นรึไง
 :z6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 05-08-2015 00:11:21
หาคนมาดามใจยิมด่วนนนน!
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 05-08-2015 05:47:43
สงสารยิม สนใจผิงไหมยังโสด
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 05-08-2015 05:58:40
ทำไมเราสงสารแม่งทุกคนวะตอนนี้

สงสารพี่ท๊อป ที่แม่งต้องขัดใจตัวเองแล้วทำสิ่งที่เรียกว่าการแก้แค้นกับสอง

สงสารสอง ที่ถูกหลอกและเชื่อใจพี่ท๊อปยอมเป็นคนโง่ให้เขาหลอก

สงสารยิม ก็รู้ว่าสองไม่สามารถรักได้แต่ก็ไม่ยอมตัดใจสักที ต้องเห็นสองบอกชอบท๊อปหรือไปคุยกับใครต่อใคร
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 05-08-2015 13:18:46
บ่องตรง เเฟนคลับยิมนะเนี่ย แต่สงสารยิมอ่ะ หาคู่ให้ด่วนเลย จัดท็อบให้สาสมสิ เฮียแกนด้วย จัดเต็มเลย แค้นนัก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 05-08-2015 14:55:30
สงสารยิมนะแต่สองก็ใจดีกับยิมเกินไปอ่ะ ถ้าจะตัดก็เอาใ้ขาดไปเลยดิในเมื่อเลือกพี่ท็อปแล้ว หรือว่าจะจับคู่น้องมุกับยิมดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 05-08-2015 22:31:00
งือออ ยิมยอมเจ็บดีกว่าจบสินะ ตอนนี้ไม่รู้จะสงสารใครดีเลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: nuttzier ที่ 06-08-2015 01:58:48
อ่านไป  อ่านมา  รู้สึกเครียตจุง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-16 #04.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 06-08-2015 11:13:58
ยิมตัดใจเหอะ!!

รอพี่ท๊อปอีกเดือน 555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 15 ออกค่ายพักใจ (2)
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 09-08-2015 20:13:15
ตอนที่ 15 ออกค่ายพักใจ (2)

กว่าจะเดินทางมาถึงโรงเรียนบ้านชาวเขา ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงจากตัวเมืองของจังหวัดนี้ มาสู่เส้นทางขึ้นเขาก็ไม่สะดวกนัก สองข้างทางเป็นป่าเขา ถนนดินแดงลูกรัง มีหลุมที่เกิดจากธรรมชาติสร้างไว้เกือบตลอดถึงเส้นทางเข้าบริเวณหน้าโรงเรียน  เมื่อรถเลี้ยวจอดเทียบหน้าลานเสาธง พวกผมก็รีบลงจากรถเพราะความเมื่อยขบบวกกับความอยากรู้อยากเห็นกับสถานที่แปลกใหม่ อาการเย็นชื้น เพราะอยู่ท่ามกลางป่าเขา แสงแดดอ่อนๆยามเที่ยงที่นี่ช่วยให้ผ่อนคลายได้เยอะ
ที่โรงเรียนแห่งนี้เปิดสอนในระดับประถมปีที่หนึ่งถึงประถมปี่ที่หก มีนักเรียนรวมกันแล้วไม่ถึงสองร้อยคนเลยด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวม้ง หรือเผ่าอื่นๆใกล้เคียงกัน ทางครูใหญ่ได้เตรียมที่พักผ่อนไว้คือ อาคารห้องเรียนใกล้กับห้องสมุดที่ทรุดโทรม แน่นอนว่ามีอาคารเรียนแค่สามอาคารเป็นไม้ทั้งหมดและสีซีดแล้วจนดูเก่า

ผมกับยิมช่วยกันขนสัมภาระ อุปกรณ์เครื่องมือที่ต้องใช้เข้าไปเก็บไว้ในอาคารเรียน เพราะคงเริ่มงานวันนี้ไม่ได้ ต้องจัดเตรียมอุปกรณ์แยกไปตามจุดที่ต้องซ่อมแซม และแบ่งคนไปตามจุด พวกตัวใหญ่ใช้กำลังได้ก็ไปทำในส่วนห้องสมุดเพราะต้องตอกตะปูลงเสา ส่วนพวกผมจะทำในส่วนทาสีห้องเรียนสองอาคาร ถ้าทำกันจริงๆหนึ่งวันเต็มๆก็น่าจะเสร็จ
ส่วนเรื่องอาหาร พี่ดีนได้ติดต่อกับทางครูใหญ่ไปทานที่วัดป่าที่อยู่ห่างประมาณสองสามกิโลฯ

 "เอาล่ะ เราแบ่งกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็พักผ่อน ไปจับจองที่นอนแบ่งเขตตัวเองกันได้ เออ เย็นนี้ครูใหญ่มีอาหารเลี้ยง เป็นข้าวผัดกระเพราะหนึ่งหม้อ ใครไม่อิ่มก็ไปหาแดกเอาตามป่าเขาข้างๆได้เลย"พี่ดีนพูดติดตลกเรียกเสียงฮาได้ ยิมส่ายหน้าก่อนจะหิ้วกระเป๋าเป้ไว้เตรียมไปที่อาคารเรียน

"ส่วนถ้าใครอยากมาแจมตั้งวงกันก็มาที่ลานได้นะเว้ย กินแค่พอกรึ่มๆไม่ถึงกับเมา โอเค แยกย้ายๆ"พี่ดีนตบมือแล้วโบกมือ ผมกับพวกไอ้ผิงเลือกนอนที่อาคารแรกห้องริมสุด

"เชี่ยเอ้ย น่ากลัว"ไอ้โก๋กรอกสายตาไปรอบๆห้อง ห้องเรียนโล่งโต๊ะถูกดันไปชิดพนังห้องจนหมด หน้าต่างเปิดกว้างทุกบาน เผยให้เห็นแนวป่าที่สั่นไหวเพราะแรงลม

"อย่าพูดสิวะ มึงนี่"ผมปรามมันดังๆ ยิมขำหึ มันคงไม่กลัวเรื่องผีๆสินะ ดี งั้นคงต้องนอนข้างๆมันแล้วกัน

"มึงนอนตรงไหน กูขอนอนริมสุด "ไอ้ผิงชิงพูดก่อน แล้วเดินตัดหน้าผมไปสองสามก้าว อ้าวเฮ้ย แย่งที่ผมซะแล้ว

"เฮ้ย ไม่ได้ๆ กูจะนอนตรงนั้น"ผมพูดเสียงดังก่อนจะรีบสไลด์ตัวเข้าไปนอนแผ่อย่างรวดเร็วที่ริมสุด ของห้องใกล้ประตู แต่ไอ้ผิงไม่ยอมเข้าดึงผมให้ลุกออกแรงๆ ทำท่างอแงเป็นเด็ก

"ไอ้สอง กูพูดก่อนนะเว้ย ลุกไปไอ้ห่านี่ กูกลัวผี ถ้านอนมุมอื่นกูนอนนอนไม่หลับ "ไอ้ผิงกระชากข้อเท้าผมก่อนจะลากตัวผมออกจากริมห้อง มันทำทำหน้างอ ผมเลยลุกให้มันนอนตรงริมห้องไปจะได้จบๆ

"เออๆแม่ง .."ผมตีก้นมันแก้หมั่นไส้ ไอ้โก๋แค่หัวเราะเป็นแบ็คกราวด์

"ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้"ยิมส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปที่บริเวณริมห้องติดกับกระดานดำ แล้ววางกระเป๋าตรงริมหน้าต่าง

"เฮ้ย ทำไมนอนไกลจัง"ผมถามมัน ก่อนจะหันมามองไอ้ผิง ไอ้โก๋ ที่นั่งลงประจำที่นอนของตัวเอง ถ้าผมนอนข้างไอ้โก๋ ผมจะต้องวังเวงด้านข้าง เพราะห้องโล่งและมีพื้นที่กว้าง บรื๋อ นอนหลับไม่ลงแหงๆ

"เงียบดี"ยิมตอบก่อนจะรูดซิปเปิดกระเป๋าเป้ของตนเองแล้วหยิบกระเป๋าเล็กๆออกมาวางข้างๆคาดว่าน่าจะเป็นพวกยาสีฟัน สบู่อะไรเทือกๆนั้น

ผมทำหน้าเจื่อนๆ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมมีปัญหาด้านการนอนในที่มืดห้องสี่เหลี่ยมแบบนี้ เฮ้อ  ตอนดึกจะนอนยังไงล่ะทีนี้ เปิดไฟไว้ไอ้พวกนี้จะนอนหลับกันหรือเปล่า แต่ก็ต้องหยุดความคิดเพราะที่นี่จะถูกตัดไฟตอนสามทุ่ม

"กูขอนอนด้วยดิ"ผมตัดสินใจถือกระเป๋าเดินไปหายิม

"หึ กลัวผีเหรอ"อีกฝ่ายหัวเราะเยาะ ผมเบ้ปาก

"เชี่ย พี่จะพูดทำไม กลางป่ากลางเขา"ผมดุอีกฝ่าย แล้ววางกระเป๋าลงก่อนจะรูดซิปเปิดเอาผ้าห่มผืนบางออกมาวางไว้..ตอนดึกอากาศต้องเย็นแน่เลย

"มึงต้องกลัวกูมากกว่านะ ไม่แน่ กูอาจจะน่ากลัวกว่าผีก็ได้"ยิมมองหน้าผม

"ฮ่าๆ พี่จะทำไมเหรอครับ จะเป็นผีอำหรือไง"ผมหัวเราะออกมา

"ล้วงเลยดีกว่า"เจ้าตัวทำหน้าตายกับน้ำเสียงนิ่งๆ ทำเอาผมขำไม่ออก ไม่รู้ว่าพูดเล่นหรือพูดจริง

"ตลกเหอะ ทำปากดี กล้าไหมล่ะ"ผมยิ้มให้ยิม ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะกล้าล้วงผมในเมื่อไอ้ผิง กับไอ้โก๋ก็นอนห้องเดียวกัน

"ระวังเหอะมึง"ยิมพูดเสียงแข็งๆก่อนจะเหลือบมองผมด้วยสายตาแปลกๆก่อนจะแล้วดึงเอาผ้าห่มออกมาปูนอน

"เฮ้ย สองคนนั้นน่ะ กูกับไอ้ผิงไปเดินดูรอบๆโรงเรียนซะหน่อย ไปด้วยกันไหมวะ"ไอ้โก๋บอกก่อนจะเดินไปที่ประตูห้อง ผมหันไปมองยิม อีกฝ่ายส่ายหน้า

"อืม ไปก่อนเลย เดี๋ยวตามไปเว้ย"ผมบอกมันสองคน

"ฮั่นแน่ สองคนนี้ แอบทำอะไรกันเปล่าวะ กิ้วๆ"ไอ้ผิงปากมากหัวเราะกับไอ้โก๋ลูกคู่มัน ผมโบกมือไล่มันสองคน

"เดี๋ยวเหอะๆ ไปเลยไอ้เวรนี่"ผมตะโกนไล่หลังมันสองคน ยิมเอนตัวนอนลง แววตาของมันดูซึมๆเซื่องๆ

"ไม่สบายเหรอ"ผมลองเอื้อมมือไปแตะหน้าผากมัน ตัวอุ่นๆอยู่นะ

"เปล่า กูแค่เพลียๆ อยากพักก่อน"ยิมตอบเสียงเบาๆแล้วถอดแว่นออกวางไว้ข้างกระเป๋าเป้ที่เป็นหมอนจำเป็น

"ตัวอุ่นๆ ถ้ารู้ตัวว่าไม่สบายก็แดกยาซะนะ จะได้ไม่เป็นหนัก มาตายกลางป่าเขาล่ะเฮี้ยนเลยนะ"ผมหัวเราะมองคนที่นอนมองผมตาใส อีกฝ่ายย่นคิ้วมุ่นดูน่ารักไปอีกแบบ

"ปากหมา"เจ้าตัวพูดสั้นๆ จ้องหน้าผม

"ล้อเล่นน่า มีผมอยู่ทั้งคน เดี๋ยวดูแลเอง"ผมยิ้มให้มัน แล้วคลี่ผ้าห่มของผมไปห่มให้มันเพราะเห็นเจ้าตัวลูบๆแขนตัวเอง ผ้าห่มของอีกฝ่ายเองก็เอาไปปูนอนรองตัวแล้ว

หากตัดปัญหาออกไปให้หมดผมคงกล้าที่จะเปิดใจชอบอีกฝ่าย แต่ความจริงแล้วผมแทบมองไม่เห็นทาง

"หึ ให้มันจริงเหอะ"ยิมยิ้มออกมาจนได้ มันดึงผ้าห่มมาจนถึงคอ

"เออ ผมอยู่เป็นเพื่อนพี่เอง"ผมบอก มองอีกฝ่ายหลับตาลง ผมหยิบมือถือมาเล่นเกมส์ ดีนะมีโปรเน็ตอยู่ไม่อย่างนั้นคงจบเห่เพราะที่นี่ไม่มีสัญญาณ 3g แค่สัญญาณโทรศัพท์ก็ขาดๆหายๆแล้ว จะดีเป็นบางเครือข่ายเท่านั้น

 ผมมองไปรอบๆห้องที่เงียบกริบ บรรยากาศวังเวง พวกที่เหลือคงนอนพักผ่อนกันหมด ไม่ได้ยินเสียงคุยจ๊อกแจ๊กนานหลายนาทีแล้ว ผมมองไอ้ยิมที่นอนหลับ บางครั้งก็หลอนไปเอง กลัวแม้กระทั่งกลางวันแสกๆ ผมเปิดเพลงเบาๆทำลายความเงียบลง เป็นครั้งแรกที่มองยิมนอนหลับ มันเป็นคนหล่อ ถอดแว่นก็ยังหล่ออยู่ดีถึงจะไม่ค่อยชินเท่าไหร่ก็เถอะ แค่มองหน้ามัน ผมก็หนักใจเหลือเกิน

ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าย่ำใกล้เข้ามายังห้องเรียนที่ผมสิงสถิตอยู่

"พี่สองครับ.."เสียงของมุนั่นเองที่เดินหยุดอยู่หน้าประตูห้องเรียน โผล่หน้ามามองผม

"ว่าไงเอ่ย เข้ามาสิ"ผมกวักมือเรียก อยู่หลายๆคนจะได้ไม่เหงาเกินไป มุยิ้มก่อนจะถอดรองเท้าแล้วเดินเข้ามานั่งข้างๆผม

"นึกว่าพี่สองจะไม่อยู่ซะแล้ว"มุพูดก่อนจะเหลือบมองยิมที่นอนหลับอยู่ "...แล้วนั่นใครเหรอครับ"

"อ๋อ รุ่นพี่ที่อยู่หอเดียวกับพี่น่ะ "ผมบอก มองหน้าอีกฝ่ายที่หลับตาพริ้ม มุย่นหน้า

"ตอนแรกนึกว่าเป็นแฟนพี่สองซะอีก เห็นจ้องผมตาแทบทะลุออกจากแว่นเลย"มุหัวเราะไปด้วย ผมแค่ไหวไหล่ 

"มันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แล้วมุไม่ไปเดินดูอะไรเหรอไง"ผมถาม ไอ้เถาไม่ลากน้องรหัสมันไปด้วยหรือไง

"อืม ไม่รู้จะดูอะไร เลยแวะมาดูห้องพี่สอง โชคดีว่าอยู่พอดี แค่อยากคุยกับพี่น่ะครับ"

"นี่ถ้าพี่ยิมมันตื่น ก็ว่าจะออกไปเดินเล่นแล้วเนี่ย "ผมทำเป็นหยิบสร้อยนาฬิกาที่ใส่อยู่ นี่ก็บ่ายสามโมงแล้ว อากาศกำลังดี แดดไม่ร้อนเลย มุทำหน้าเหี่ยวเฉาถอนหายใจ "..ไม่อยากคุยกับผมหรอครับ"

"เปล่านี่ "

"...เฮ้อ ห้องพี่เถาคนเยอะ ผมกะว่าอยากมานอนห้องนี้ นอนกันไม่กี่คนเอง ผมขอนอนข้างๆพี่สองได้ไหม ผมกลัวผี"ผมมองมุอย่างเอ็นดูเหมือนมองน้องชายที่น่ารัก ผมรู้ว่ามุมันคงชอบผม แต่ผมไม่อยากมีห่วงมารัดคออีก

"มานอนข้างพี่ก็ไม่ช่วยอะไรหรอก พี่ก็กลัวผีนะ"ตอนนี้ชักกลัวความมืดด้วย ผมยิ้มแล้วยีหัวอีกฝ่าย "..มุ พี่ว่าเราเป็นพี่เป็นน้องกันน่าจะดีกว่านะ "ผมบอกเบาๆ มุทำหน้าตกใจก่อนจะกลับกลายเป็นผิดหวังขึ้นมา

"...ทำไมล่ะครับ พี่ยังไม่ทันได้รู้จักผมหรือลองคุยกับผมเลยนะ...จะไม่เปิดโอกาสให้ผมเลยหรอครับ"มุมองหน้าผม แววตาเหมือนไม่พอใจ

"พี่...ไม่ใช่คนดีหรอกนะ อีกอย่างพี่คงไม่คิดจะชอบใครอีกแล้วล่ะ คงเข้าใจที่พี่พูดนะ "ผมพูดช้าๆไม่ได้ใช้น้ำเสียงแดกดันอะไร แค่พูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ

"...แย่จัง อุตส่าห์ชอบพี่มาตั้งนาน... ตอนนี้พี่ก็โสดแล้วไม่ใช่หรอไง"มุเม้มปาก ทำหน้าเจื่อนๆ

"...พี่ตอบมุไปแล้วนะ"ผมพูดเนือยๆแล้วถอนหายใจ

"...อืม ไม่คิดจะชอบใคร ..."มุพึมพำก้มหน้าลง ผมเห็นอย่างนั้นเลยตบไหล่มุเบาๆให้ร่าเริง

"อย่าซึมดิ น่า เป็นน้องพี่ก็ไม่เสียหาย ยังคุยกันได้"ผมยิ้มให้ มุเงยหน้ามองผมเหมือนกำลังคิดไตร่ตรอง

"....ก็แค่เสียดาย ทั้งๆที่มีโอกาสได้ใกล้พี่แบบนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน พี่เองก็ยังไม่คิดจะเปิดใจผมอีก"มุถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ไอ้เถามันไม่ได้เตือนหรือไงว่าพี่ไม่น่าคบนักหรอก "ผมพูดต่อ

"...พี่เถาบอกว่าพี่คงเป็นคนดีได้แล้ว"ผมหัวเราะแล้วนึกถึงหน้าไอ้เถา ไอ้เวรนี่คงตามติดชีวิตของผมเลยสินะ อยากจะต่อยปากมันสักทีสองที

"...อย่าไปเชื่อมันมากเลยน่า "ผมหัวเราะ

"งั้นพี่ให้ผมมานอนด้วยได้ไหมครับ"มุยังคงย้ำเรื่องนี้ ผมคงห้ามไม่ได้ถ้าคิดจะมานอนกับพวกผมจริงๆ แต่ก็ดี ที่ข้างๆผมจะได้ไม่วังเวง 

"ตามใจ ที่เยอะแยะ อย่ามาเบียดพี่แล้วกัน"ผมพูดดักไว้ มุยิ้มแปลกๆมาให้

"งั้นตอนเย็นๆเดี๋ยวผมย้ายมานอนด้วยนะครับ"มุยิ้มแล้วเหลือบมองหน้าผมอยู่หลายครั้ง ท่าทางแบบนี้ ผมนึกถึงขึ้นมาทันที แรกๆโยมันก็ ผม-ครับ ไปๆมาๆ เกย์แตกซะงั้น

"พี่ถามอะไรหน่อยดิ"ผมมองหน้ามุใกล้ๆ

"อะไรเหรอครับ"

"ไอ้เถามันเคยบอกพี่ว่ามุไม่ค่อยแมน ตกลงเพศไหนเนี่ย จะเป็นน้องชายหรือน้องสาววะ"ผมถามไปตรงๆ อีกฝ่ายหน้าแดงขึ้นมาแล้วหลบตาผม "จะบ้าเหรอพี่ ผมก็เป็นแบบนี้แหละ"

“เหรอ โอเคๆ เชื่อก็ได้”

“แหม คนเราก็ต้องรักษาภาพพจน์บ้างสิ จะให้ออกอาการก็โดนคนอื่นล้อพอดี”มุเหลือบมองผมอีกรอบก่อนจะตีแขนผมแก้
อาย ผมถอนหายใจแล้วขำหึๆ

“โอเคๆ จะแสดงออกยังไงก็ตามใจมุเถอะ”ผมบอกแล้วเหลือบไปมองยิมที่หลับสนิทเกินจริงไปหน่อย ผมว่าอีกฝ่ายแกล้งหลับอยู่แน่ๆ

“งั้นมุกลับไปหาพี่เถาก่อนนะ ไว้เจอกันครับ”มุส่งยิ้มให้ผมก่อนจะเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ผมรู้สึกเบาใจขึ้นมา หวังว่ามุมันจะตาสว่างเลิกชอบผมได้แล้ว

"สเป็คเลยไม่ใช่หรอไอ้สอง ยิ่งไม่ค่อยแมน มึงยิ่งชอบนี่"ยิมส่งเสียงพูดขึ้น ผมหันไปมองแล้วยิ้มให้คนที่นอนขมวดคิ้วจ้องหน้าผมอยู่

"อือ คงเหมือนน้องพี่มั้ง "ผมไหวไหล่

"เชี่ยสอง!"ยิมผุดลุกขึ้นมานั่งทันทีมันมีสีหน้าไม่พอใจ

"พี่พูดเองนี่ เหมารวมไอ้โยไปด้วยเลย "ผมขำ จะว่าไปแล้วก็คิดถึงไอ้โยขึ้นมาเลย มันเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ "เออ มันเป็นยังไงบ้างทำตัวดีขึ้นบ้างไหม"ผมถามต่อเมื่อมันแค่ถอนหายใจก่อนจะหยิบแว่นมาสวมตามเดิม

"อืม ก็ไม่ฟึดฟัดใส่ม๊ากับป๊าแล้ว และมันก็ตั้งใจเรียนขึ้นมาก แต่มันบ่นถึงมึง อยากเจอมึง"ยิมจับผ้าห่มของผมขึ้นมาพับ

"ดีแล้ว ที่มันตั้งใจเรียน"ผมพูดเบาๆแล้วยิ้ม

"...แต่มันก็ยังรักมึงเหมือนเดิม"อีกฝ่ายพูดช้าๆน้ำเสียงแข็งๆ  ผมชะงักก่อนจะหุบยิ้มลง ผมกับโย ตามจริงแล้วก็ยังคุยกับมันไม่รู้เรื่องเลย ผมควรจะเข้าไปอธิบายสถานการณ์ของมันกับผมให้มันเคลียร์กว่านี้ "...ถ้ายังไง ผมก็อยากเข้าไปเคลียร์กับมันอีกครั้ง พี่คงไม่ว่าอะไร"

"...อืม ไม่หรอก "

ผมเงียบ ยิมเลยวกกลับมาเรื่องน้องมุเพื่อไม่ให้เกิดความอึดอัด

“เออ ไอ้เด็กนั่นจะยอมเป็นแค่น้องมึงหรือไง ใจกว้างจริงนะ ให้มันมานอนด้วยระวังเหอะ มันอาจจะอยากทำอะไรมึงก็ได้”

"เหมือนพี่หรือเปล่า"ผมหัวเราะ

"ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก"ยิมถอนหายใจ แล้วหันไปมองทางประตูห้องแทน  "พี่นี่เป็นคนดีจริงๆ "

"ดีไปก็เท่านั้น กูน่าจะเลวบ้าง"คำพูดของไอ้ยิมทำให้ผมใจหล่นวูบ

"พี่กับผมอาจจะเกลียดกันก็ได้นะยิม เหมือนที่ผมเกลียดเฮียแกนไง หึ ผมเองก็เกือบจะไม่ชอบขี้หน้าพี่แล้วนะ แต่โชคดีที่พี่ดันเข้ามาพูดกับผมก่อน..."ผมนึกถึงเรื่องในคราวนั้น หากว่าอีกฝ่ายแจ้งความ ผมกับเจ้าตัวคงไม่แม้แต่จะมองหน้า แล้วมันเองจะไม่เสียใจหรือไง ที่ถูกผมเกลียดทั้งๆที่ไม่ผิดอะไร

"...นั่นสิวะ จริงอย่างที่มึงพูด เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว"

"ผมขอโทษครับ”ผมพูดออกมาจนได้ ยิมเหลียวมองหน้า "มึงไม่ได้ทำอะไรผิดนี่"ยิมหัวเราะ ผมดึงมือมันมาจับเป็นครั้งแรก

"ผมเชื่อนะ ว่าพี่ต้องเจอคนที่ดีพอ"ผมบอก

"อือ ก็อาจจะ"ยิมยิ้มเศร้า แล้วกระชับมือจับไว้แน่นๆ

"เฮ้อ เลิกเศร้าสิ ไปเดินเล่นกันเถอะ"ผมบอกแล้วปล่อยมือจากมันก่อนจะตบไหล่มันแล้วลุกขึ้นยืน ยิมลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบกระเป๋ากล้องออกมา

"ป่ะ แถวนี้มีวิวสวยๆหรือเปล่าก็ไม่รู้"ยิมบ่นพึมพำก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาผม

ผมกับยิมออกไปเดินสำรวจบริเวณด้านหลังอาคารธุรการที่มีชั้นเดียว ด้านหลังเป็นลานกว้างมีพุ่มหญ้าขึ้นเป็นจุดๆซึ่งบริเวณนี้เป็นเนินดินสูงลาดลงไปก็เจอกับแปลงผักกับบ่อเลี้ยงปลา

"ลงไปดูด้านล่างกัน"อีกฝ่ายชวน ผมเดินลงไปตามเนินดินที่ถูกถางทำเป็นขั้นบันไดห่างๆเพื่อสะดวกแก่การเดินลงไปด้านล่าง สภาพแปลงผักด้านล่างมีรอยน้ำใหม่ๆเหมือนเพิ่งถูกรด ยิมเดินไปดูบ่อปลาที่ขุดลอกเป็นบ่อประมาณสามเมตรได้ ถัดจากบ่อปลาเป็นแนวพงป่าเตี้ยเลยไปไม่ไกลนักมีแนวลำคลองใสสะอาดเส้นเล็กๆอยู่

"เหมือนมีคนมารดน้ำให้อาหารปลาก่อนหน้าเลยนี้ว่ะ"เจ้าตัวหันมาพูดกับผมซึ่งผมก็เห็นด้วยพลางมองไปรอบๆบริเวณที่เป็นพงป่า "ครูใหญ่หรือเปล่า"ผมบอก

"ครูใหญ่กลับไปตั้งนานมั้ง แล้วรอยน้ำนี่ยังไม่แห้งดีเลย"ยิมทำหน้าจริงจังจนผมอยากขำออกมา มันเดินเข้ามามองร่องผักสามสี่แปลงคนล่ะชนิดกัน

"คงมีคนมีคนมารดน้ำนั่นแหละ"ผมพึมพำอย่างไม่สนใจก่อนจะก้มไปดูแปลงหัวผักกาดขาวใกล้ๆ

"อะมะเต!(ทำอะไรน่ะ)"เสียงแหลมแหบๆของเด็กผู้ชายดังมาจากทางฝั่งซ้ายมือทำเอาผมกับยิมสะดุ้งตกใจด้วยกันทั้งคู่ ผมจ้องหน้าเด็กผู้ชายอายุประมาณ8-9ขวบ ท่าทางน่าจะเป็นเด็กนักเรียนที่นี่น่าจะเป็นชาวเขาแถวนี้ เด็กชายผิวขาวเหลืองในชุดสีขาวขุ่นเพราะเปื้อนดิน กับกางสีดำลักษณะเป็นกางเกงชาวเขาในพื้นที่ ข้างกายมีถังรดน้ำสังกะสีเก่าๆวางอยู่ ผมกับยิมมองหน้ากันงงๆเพราะไม่เข้าใจว่าพูดอะไร

"เอ่อ...นี่เจ้าหนู พี่มาดีนะ มากับรถคันใหญ่เมื่อตอนเที่ยงๆไง"ผมเดินเข้าไปใกล้เด็กคนนั้นอีกนิดนึง เพราะคงคิดว่าผมกับยิมมาร้ายล่ะมั้ง ฟังจากน้ำเสียงที่ดูโกรธเกรี้ยว อีกฝ่ายทำหน้าไม่เห็นด้วยมันกระตุกเสื้อผมแรงๆ เด็กคนนั้นคลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นออก ท่าทางดูผ่อนคลายขึ้น

" อะมะนะ..? (อะไรนะ) เอ่อ  พูดช้าๆหน่อย ฟัง ไม่ ทัน "เด็กคนนั้นพูดเสียงดังแล้วมองหน้าผมเขม็ง หน้าตาค่อนไปทางเชื้อจีนตอนใต้ตามปกติที่เห็นกันในชนเผ่าบริเวณนี้ ยิมมองเด็กคนนั้นอย่างสนใจ ผมยิ้มเป็นมิตรให้เด็กตรงหน้า

"นี่ชื่ออะไรล่ะเรา เป็นเวรมาดูแลแปลงผักหรอหื้ม "ผมเดินไปหาแล้วก้มมอง ผมพอจะรู้วิถีชีวิตของเด็กชาวเขาอยู่บ้างยิ่งโรงเรียนเล็ก การเข้าถึงของสาธารณูปโภค ไฟฟ้า หรือแม้แต่อาหารการกิน โรงเรียนนี้คงปลูกผักสวนครัวและเลี้ยงปลาเพื่อทำอาหารกันเองแน่ๆ และก็ต้องเป็นหน้าที่ของเด็กๆที่ต้องเข้ามาดูแลแปลงผักพวกนี้ เด็กตรงหน้าเงยหน้ามองผมเหมือนกำลังชั่งใจอะไรสักอย่าง ก่อนจะยกแขนขึ้นมากอดอก

"บอกชื่อตะเองมาก่อนเดะ"เสียงห้วนๆและไม่ค่อยชัดดังมาจากเด็กน้อยคนนี้ แต่แววตาดูซุกซนสนใจผมกับยิมเปิดเผย

"โอเค พี่ชื่อ สอง ส่วนไอ้แว่นนั่นชื่อ ยิม แล้วเราล่ะ"ผมยิ้มให้เด็ก หันไปกวักมือเรียกยิม ที่กำลังถือกล้องอยู่ มันยิ้มก่อนจะเดินเข้ามาหาเด็ก

"อ๋อ สอง กับ จิม ชื่อแปล๊กแปลก ฮ่ะๆ "ผมหัวเราะออกมาพร้อมๆเด็กคนนี้ ส่วนยิมทำหน้าบอกบุญไม่รับ

“ไม่ใช่ซะหน่อย ชื่อยิม ย.ยักษ์ ไม่ใช่ จิม”เจ้าของชื่อพูดเสียงแข็งๆ ทำตาดุใส่เด็ก แต่อีกฝ่ายไม่สนใจแต่หัวเราะคิกคัก

"คนอะไรชื่อจิม ฮ่าๆ"ยิมทำหน้าขัดใจ ผมส่ายหน้า "เอาน่าๆ อย่าถือสาเด็กสิวะ"ผมหัวเราะแล้วหันไปหาเด็กตรงหน้า

"ว่าไงล่ะ ชื่ออะไรล่ะเรา"

"เรียกเค้าว่ายะเปาก็ได้ "เด็กชายยะเปาพูด ผมพยักหน้าหันไปหายิมที่ก้มหน้ามองกล้องในมือตัวเองอยู่"ยะเปา น่ารักดีว่ะยิม ...เออแล้วมารดน้ำผักคนเดียวหรอครับ"ผมถามต่อ

"อือ เพื่อนไปทำงานสองคน ยะเปาเลยมาคนเดียวแต่แปลงผักเเค่เนี้ย สบ้าย"ยะเปาพูดแล้วยกถังรดน้ำขึ้นเพื่ออวดว่าแข็งแรง ผมหัวเราะ

"โห ไรว้า แค่นี้ทำเป็นโชว์ พี่นะเอามาสองถังเลยเอ้า รดน่ำสบายๆสี่แปลงรวด"ผมแกล้งคุยโว แบ่งกล้ามอวด ยะเปามองผมอย่างไม่เชื่อ "ไม่จริงหรอก ขี้โม้ เค้ารดน้ำจนครบทุกแปลงแล้วจะเอาที่ไหนมาโชว์"

"วันพรุ่งนี้ไง เอาเปล่าๆ มาดวลกัน ใครชนะเลี้ยงหนม"ผมเห็นว่ายะเปามันทำตาโต

"พรุ่งนี้ต้องทำงานเว้ย"ยิมพูดขัดจังหวะความสนุกของผม ยะเปามองหน้ายิมแล้วหัวเราะกั๊กๆต่อ

"ขำอะไรเด็กนี่"ไอ้ยิมบ่นอยู่ข้างๆผม

"อ้าวหนุ่มสองคนนี่ มาอยู่กับอาหมี่นี่เอง ดนัยเขาตามหาหนุ่มสองคน"เสียงครูใหญ่ดังมาจากเนินด้านบน ผมหันไปยกมือไหว้ก่อนจะขมวดคิ้วสงสัย

"อาหมี่หรือครับ"ผมทำหน้างงก่อนจะหันไปมองเด็กชายยะเปาที่ยืนเกาต้นคอส่งยิ้มฟันหลอมาให้ ครูใหญ่เดินมาหาผมกับยิมท่าทางทะมัดทะแมง

"ไอ้เจ้านั่นแหละอาหมี่ ชื่ออาหมี่ แต่ชอบให้คนนู้นคนนี้เรียกยะเปา "ครูใหญ่หัวเราะก่อนจะเดินไปหาเด็กยะเปาที่อายม้วนก้มหน้ากอดเอวครูใหญ่ไว้ ผมพยักหน้าเข้าใจท่าทางครูใหญ่จะสนิทกับเด็กยะเปาหรืออาหมี่เพราะครูใหญ่มองเด็กที่กอดเอวด้วยสายตาเอ็นดู

"อ้าว ทำไมล่ะครับ"ยิมเป็นฝ่ายถาม

"อาหมี่มันกำพร้าพ่อแม่ ยะเปาแปลว่าลูกชายน่ะ เจ้านี่เลยชอบเวลาให้คนอื่นๆเรียกว่ายะเปาๆ ไง ก็เหมือนพ่อๆแม่ๆเรียกลูกน่ะ"ผมยิ้มเอ็นดูเด็กที่กอดครูใหญ่แล้วเงยหน้ามองผมแล้วทำหน้าย่นๆ

"อ๋อ แบบนี้นี่เอง แต่เรียกยะเปาก็ไม่เสียหายใช่ไหมครับครูใหญ่ ยะเปาก็น่ารักดีครับ"ผมหัวเราะ

"ได้ ยะเปาคงชอบใจ"ครูใหญ่ยิ้ม

"แล้วพี่ดีน ตามหาพวกผมสองคนทำไมหรือครับ "

"อ้อ เห็นจะคุยเรื่องทาสีห้องเรียนน่ะหล้าเอ้ย"ครูใหญ่บอกก่อนจะปล่อยยะเปาที่ก้มหน้าแทบจะมุดดินได้

"ไง อยากให้เรียกชื่อไหน ยะเปา หรือ อาหมี่"

"ยะเปานั่นแหละ ชอบชื่อนี้นี่ งั้นเรียกพี่สองว่าหงะปาได้ไหมอะ"ผมหันไปมองครูใหญ่ งงกับศัพท์ใหม่ที่ยะเปาเรียกผม

"แปลว่าอะไรหรอครับ"ผมถาม

"เอาน่าเจ้าหนุ่ม ไม่ใช่คำเลวร้ายอะไรหรอก ฮ่ะๆ ถือว่าได้ลูกแง่เป็นเพื่อนเล่นก็แล้วกัน"ครูใหญ่ยิ้มขำก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินไปดูบ่อปลาแทน ผมกับยิมได้แต่มองหน้ากัน เฮ้อ

"หงะปาแปลว่าอะไรหรอยะเปา"ผมถามเสียงนุ่มหวังว่ายะเปาจะยอมบอก

"ม่ายบอก หงะปาคำนี้ดีนะ บอกให้ ..ขึ้นไปเล่นข้างบนเถอะ"ยะเปายิ้มร่าแล้วจับมือผมแกว่งไปมา ไม่วายจะแอบมองยิมแล้วหัวเราะคิกๆ เจ้าตัวเลิกคิ้วมองก่อนจะเดินขึ้นไปตามขั้นดิน ผมจูงมือเด็กยะเปาที่เข้ากับคนแปลกหน้าได้ดีจริงๆ

"หงะปา มาอยู่นานป่ะ"ยะเปาเงยหน้ามองผม

"ไม่นานหรอก วันสองวันก็กลับแล้วมาซ่อมห้องสมุดกับทาสีโรงเรียนให้เหมือนใหม่ โอเคเปล่า"

"อือ ดีเลย เค้าอยู่ช่วยได้เปล่า ถ้าเค้าช่วยครูใหญ่เก็บกระหล่ำเสร็จ"ยะเปาถามเสียงตื่นเต้น

"ได้เลย แล้วทาสีเป็นหรอเราอ่ะ"

"ทาสีไรอ่ะ"ยะเปามองหน้าผมงงๆ ผมยิ้ม เด็ออะไรซื่อจริงๆ

"ทาสีห้องเรียนไง ไม้มันซีดแล้วจะใด้ใหม่ๆ "ผมชี้ไปที่อาคารธุรการที่เป็นไม้ซีดๆ

"โห ไอ้เราก็นึกว่าไปตอกตะปู แบกไม้ เค้าทำได้นะ แต่ทาสีไม่ได้หรอก ทาได้แต่ในกระดาษ"

"อยากลองเปล่า ตัวแค่เนี้ย จะไปแบกนู่นแบกนี่ได้ไง "

"ได้เด้ เค้าเคยยกกระหล่ำทั้งถุงมาแล้ว ถุงบักเอ้บเลย"ยะเปาไม่พูดเปล่าทำท่าทางไปด้วย

"อ่ะๆเชื่อแล้วว่าแข็งแรง แล้วเราเรียนอยู่ป.อะไรแล้ว"ผมถาม ขณะที่เดินมาถึงบริเวณลานเสาธงแล้ว ยิมที่เดินนำหน้าสนใจแต่การถ่ายรูปของมันไป ยะเปามองหน้าผมทำตาปริบๆก่อนจะเสไปมองทางอื่นแล้วพูดอ้อมแอ้ม

"...เค้าอยู่ป.2"

"ป.2 งั้นก็7-8ขวบเองดิ"ผมถาม ยะเปาส่ายหน้า "มะเหะ!(ไม่ใช่)"

"เอ้า งั้นกี่ขวบแล้ว"ผมเดาจากน้ำเสียงของยะเปาแล้วคิดว่าตัวเองคงพูดอะไรผิด

"9 ขวบ......แต่เค้าเรียนไม่เก่งครูใหญ่ให้ซ้ำชั้นมา2ปีแล้ว"ยะเปาทำหน้าซึมๆ

"อ้าว แบบนี้ความรู้แน่นกว่าเพื่อนเลย"ผมทำเสียงรื่นเริง ดูเหมือนการซ้ำชั้นของยะเปาจะเป็นอีกหนึ่งปมด้อย นอกจากจะเป็นเด็กกำพร้าแล้ว

"จริงเหรอ"ยะเปาทำตาโต ยื่นหน้ามาใกล้ผม จนเห็นกระที่แก้มชัดเจน

"อืม เรียนหลายครั้งแล้วแสดงว่าต้องรู้มากกว่าเพื่อนๆ ยะเปาต้องตั้งใจเรียนขยันอ่านหนังสือดิ จะได้เลื่อนชั้นไง"ผมบอกกับยะเปาที่ตั้งใจฟัง

"อือ แต่เค้าโง่อ่ะ"ยะเปาเกาหัว "ไม่หรอก หัวเท่านี้ใส่ความรู้ได้อีกเยอะเว้ย"ผมกุมหัวเล็กๆของยะเปาแล้วเอนไปมา ยะเปาหัวเราะกอดแขนผมไปด้วย

ผมเดินตามหลังยิม ก่อนจะดูนาฬิกา นี่ก็สี่โมงแล้ว พอผมเดินไปถึงบริเวณหน้าอาคารเรียนมีระเบียงนั่งอยู่ พวกพี่ดีนก็นั่งรวมกลุ่มกัน ผมกับยิมรวมถึงยะเปารีบเดินไปที่หน้าอาคารเรียนทันที ไอ้ผิงก็โบกมือเรียกผม

"หายไปไหนมา นึกว่าแอบไปซั่มกันที่ไหน"ไอ้ผิงพูดพล่อยๆอีกแล้ว ผมไม่ทันจะสวนกลับ ไอ้ผิงก็จ้องมาที่ยะเปา "เอ้า นั่นเด็กที่ไหนอ่ะ"

"ก็เด็กนักเรียนที่นี่แหละ ชื่อยะเปา"ผมบอกมัน ก่อนจะพากันเดินขึ้นไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกพี่ดีน ประมาณ6-7คนได้ กลุ่มพี่ดีนมี4คน หัวหน้าแก๊งคือพี่ดีน เด็กกิจกรรมตัวยงของคณะ แต่เรื่องเรียนพี่ดีนไม่ค่อยเต็มที่เท่าไหร่ ทั้งๆที่มีฝีมือ เรียนเรื่อยๆแบบไม่แข็งขันกับใคร คนต่อมาคือพี่อาร์ม ตัวใหญ่อวบๆแต่ผิวเข้มไว้หนวด เป็นคนเงียบๆขรึมๆ อีกคนคือพี่ต๊ะ ตัวเล็กๆเตี้ยๆ มีดีที่ผิวขาวหน้าตาจัดว่าดูดี 3คนนี้อยู่จิตกรรม สาขาเดียวกับผม

คนสุดท้าย พี่กร สาขาประติมากรรม หนุ่มแว่นลุคเซอร์ จุดเด่นคือผมทรงเห็ดสีเขียว ยอมรับว่าพี่แกมั่นหน้ามาก 4คนนี้เป็นที่รู้จักของทุกคนในสาขาและคณะ แต่ไม่ค่อยถูกกับกลุ่มเฮียแกนเท่าไหร่ อย่างเมื่อตอนที่ลงเลือกตั้งสโมนิสิต กลุ่มพี่ดีนก็แพ้พวกเฮียแกนไปแบบฉิวเฉียด ถึงแม้ว่าอาจารย์จะบอกว่าให้ทำงานผสมคละกันได้(แบบดึงคนเก่งๆจากกลุ่มพี่ดีนไปทำงานด้วย) แต่กลุ่มพี่ดีนทิฐิสูงไม่มีใครยอมทำงานด้วย ก็เลยกลายเป็นว่าปีสามจะมีสองพวก

"เออ มึงมาก็ดีแล้วไอ้สอง พวกกูกะว่าจะคุยเรื่องสีว่ะ กูกลัวไม่พอ"พี่กรกวักมือให้ไปหา

"แล้วตอนที่เช็คของมันไม่พอกับตัวอาคารหรอพี่"ผมถาม 

ตอนที่ผมไปฟังรายละเอียดจากพี่ดีนก่อนหน้านั้น พี่กรเป็นคนเช็คจำนวนถังสีกับการคำนวณเรื่องตัวอาคารที่ต้องทาสีใหม่ ก็ได้ยินว่าติดต่อผ่านทางครูใหญ่ถ่ายรูปส่งมาให้ดูว่าต้องใช้จำนวนกี่ถัง

"มึงต้องเข้าใจนะเว้ยว่างบพวกกูไปขอตามหน่วยงานต่างๆมา ก็ได้มาคนละนิดคนละหน่อย ..กูก็ลืมคิดเรื่องสีที่ใช้มันคนละชนิดกันว่ะ กูเสือกซื้อสีทาบ้านมา แล้วมันคงไม่ทนต่อสภาพไม้แล้วก็สภาพแวดล้อมของที่นี่ กูก็เลยเปลี่ยนแผนใหม่ว่าจะใช้สีที่เรามีทำในส่วนห้องสมุดและสีสำหรับทาภายในเท่านั้น ส่วนตัวอาคารเรียนจะใช้สีของทางวัดเอา เป็นสีย้อมไม้ พอดีทางเจ้าอาวาสวัดป่าท่านได้ยินเรื่องที่เรามาซ่อมแซ่มโรงเรียนก็เลยออกค่าสีทาไม้ให้ครูใหญ่ "พี่กรเป็นฝ่ายอธิบายให้พวกผมฟัง พี่แกหยุดพูดแล้วกระแอมไอค่อกแคก

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 09-08-2015 20:23:10
"เฮ้อ โทษทีนะไอ้สอง สีมันอยู่ที่วัดอ่ะ ประมาณสองสามโลได้ ไม่ต้องห่วงนะ ค่อยไปกับครูใหญ่ ครูแกอาสาจะไปส่ง"พี่กรขยับแว่นออกมาเช็ดเหลือบตามองผมไปด้วย ไอ้ที่เรียกมาคุยคือ อยากให้ผมไปขนสีมาเองสิท่า แหม ร่ายยาวเชียว
 
"ได้อยู่แล้วพี่ ดีเลยครับ อยากเที่ยวแถวนี้พอดี "ผมหัวเราะแบบไม่ซีเรียส ไปกับคนในพื้นที่ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว ยะเปาทำหน้างงๆไม่เข้าใจเรื่องที่พวกผมพูดกัน

"เห็นไหมผมบอกแล้วไอ้สองมันชิวล์ไม่ซีหรอกพี่"ไอ้โก๋รีบพูด พี่ดีนยักคิ้วหลิ่วตาให้ผมแล้วปรบมือรัวๆ

"ดีมากไอ้น้อง กูก็กลัวมึงจะด่าหาว่ากูเป็นคนนำทัพแล้วเสือกไม่เตรียมพร้อมอะไร แถมยังใช้ให้ไปเอาสีเองอีก"พี่ดีนพูดขำๆก่อนจะส่งยิ้มให้ผม

"อะไรพี่ ผมไม่ใจร้อน ไร้เหตุผลขนาดนั้นหรอกพี่"ผมส่ายหน้า

"เอองั้นก็เข้าใจตรงกันแล้วเนอะ ส่วนที่จะไปเอาสีก็หลังมื้อเย็นก็ได้มั้ง หรือว่ายังไงก็ตามใจครูใหญ่"พี่ต๊ะพูด

"แล้วทำไมพี่ถึงซื้อสีมาผิด"ไอ้ผิงถามทำหน้าไม่เข้าใจ พวกพี่แกหัวเราะ "ก็ไอ้กรมันบื้อจะตาย กูถึงว่าทำไมไม่เคยได้เอวิชาเพ้นท์ "พี่ดีนขำ

"เออ กูลืมนึกไปนี่หว่า อีกอย่างกูน่ะ เด็กปั้นโว้ย"พี่กรแถไปเรื่อยๆ

"อายน้องมันไหมวะ"พี่อาร์มพูดนิ่งแล้วส่ายหน้า

"เออ ไอ้แว่นนั่นเด็กวิดวะเปล่าวะ คืนนี้เจอกันหน่อยไหม แก้วต่อแก้ว"พี่ดีนหันมาทางยิมที่ละสายตาออกจากกล้องมันยังคงนิ่งอยู่

" พี่แกอยากรู้ว่ามึงจะคอแข็งแค่ไหน"ไอ้ผิงพูดกับยิม "ไหนว่าแค่กรึ่มๆไง "ยิมถามนิ่งๆ คิ้วขมวด

"ก็ใครคออ่อนก็เมาไง คอแข็งอย่างพวกกู ไม่ล้มง่ายๆหรอกเว้ย"พี่กรข่ม

"..ไม่รู้สิ"

"เอาดิๆ กูอยากเห็นมึงเมา"ผมสนับสนุนเสียงนึกสนุก ไม่เคยเห็นมันเมาเลย อยากจะเห็นหนุ่มแว่นมันเมาดูบ้าง ยิมเหลือบมองผ่านแว่นด้วยสายตาเดาไม่ออก

"เฮ้ย มากับพวกกูทั้งที อย่าเบี้ยวเลย น่าๆ ป๊อดไรวะ ทำไมเด็กไอ้สองมันอ่อนแบบนี้"ผมสะดุ้งทันทีที่พี่ดีนพูด เด็กบ้าบออะไร

"เฮ้ย ไม่ใช่ครับ นี่รุ่นพี่เฉยๆ"ผมรีบบอก

"อ้าว เป็นงั้นไป"พี่ต๊ะเหลือบมองพี่ดีน

"ไอ้กูนึกว่ามันเป็น......เออช่างเถอะ งั้นมึงโสดสิวะ"พี่ดีนถามเสียงดัง

"ครับโสด....."ผมตอบเบาๆ พี่ดีนแค่ยิ้มก่อนจะหันไปทางไอ้ยิม"มึงว่าไง"

"เออก็ได้ กูไม่เมาอยู่แล้ว"ยิมยังสุขุมตามสไตล์มัน

"พวกมึงก็อย่าหนีนะเว้ย"พี่กรชี้มาทางผมไอ้ผิงไอ้โก๋  "ผมสบายๆครับ"แต่วันที่เมานั่นเพราะดีกรีมันแรงไปหน่อย

"ให้จริงเหอะมึง หึๆ แค่นี้แหละที่กูจะบอก "พี่ดีนสรุปก่อนจะหันไปสนใจครูใหญ่เดินมาหาพวกผมที่พร้อมใจกันทักทาย ยะเปาลุกวิ่งออกไปหาครูใหญ่ทันที

"ครูเอาตะเกียงน้ำมันมาเพิ่มให้อีกห้าหกอัน น่าจะพอนะ วางอยู่โรงอาหาร ..เอ้าแล้วจะเอายังไง จะไปตอนนี้เลยไหม เพราะถ้าค่ำๆทางมันมืด ไม่มีไฟข้างทางหรอกนะ"ครูใหญ่ถามความเห็น

"ไปเลยก็ได้นะ"ไอ้ผิงพูดกับผม


ดังนั้นผม ยิม ไอ้ผิง ยะเปา เดินไปยังรถอีแต๊ก (รถไถนาของคูโบต้า)ครูใหญ่เดินไปเสียบกุญแจก่อนจะเดินมาสตาร์ทเครื่องโดยหมุนสายพานแรงๆจนเครื่องติดเสียงดังตั๊กๆ ยะเปาเขย่าแขนผม "เค้าก็สตาร์ทเป็นนะ "ยะเปากระซิบอวดๆ

"โห โคตรลุยเลยว่ะ"ผมหันไปยิ้มให้ยิม อีกฝ่ายคงไม่เคยเห็นรถแบบนี้ จะให้ใช้รถเก๋งรถกระบะคงไม่เหมาะกับสภาพถนนแบบนี้

"ท่าจะสมบุกสมบันน่าดู"อีกฝ่ายพึมพำ  "เอาน่า ก้นกบไม่พังหรอก"ไอ้ผิงตบๆไหล่ยิมอย่างสนิทสนม

 "ผมขอไปด้วยนะครูใหญ่"ยะเปาวิ่งไปเกาะครูใหญ่

"อืม ยังไงก็ต้องให้มาด้วยอยู่แล้ว ได้เวลากลับบ้านแล้วยะเปา"


พวกผมก็พากันไปนั่งกระบะรถแบบเปิดประทุน โอเพ้นแอร์ดี บริเวณกระบะรถจะมีไม้กั้นสองข้างประมาณครึ่งเมตร ครูใหญ่นั่งบังคับรถอยู่ด้านหน้าใส่หมวกฟาง ระหว่างทางที่นั่งอยู่บนรถก็โครงเครงพอสมควร สองข้างทางเป็นป่า 

"มึงไปเจอลูกสมุนมึงจากที่ไหนวะ"ไอ้ผิงถามถึงยะเปา

"ตรงแปลงผักหลังอาคารธุรการไง กูไปเดินเล่นพอดี"

"มาขอจับแก้มหน่อย"ไอ้ผิงขยับตัวมานั่งข้างๆยะเปาที่มุ่ยหน้าคิ้วขมวด

"นาบ่อ  อายิแย้โกะ เดาะแผะเซเหว่(พี่เสียงดังไปแล้วอ่ะ  พูดเบาๆหน่อยสิ เดี๋ยวปั๊ดตีตายเลย)"ยะเปาพูดรัวเร็ว

ผมคิดว่าเด็กนี่แกล้งพูดภาษาเผ่าเพื่อความสนุกที่ได้เห็นพวกผมทำหน้าเอ๋อๆ ผมคาดว่าน่าจะเป็นภาษาลาหู่ ของมูเซอ เพราะพื้นที่แถวนี้ก็มีเผ่ามูเซอ ม้ง

"แปลว่าไรวะ"ไอ้ผิงเกาหัว ครูใหญ่ที่ฟังรู้เรื่องหัวเราะออกมาเสียงดังจากด้านหน้า

"กูใบ้ให้"ผมกระดิกนิ้วเรียกมัน ยิมหันมามองหน้าผมนิ่งๆ

"ฟังออกด้วยเหรอ"ไอ้ผิงมองผมเหมือนลังเล

"นิดหน่อย อะแฮ่มๆ ยะเปาบอกว่ามึงหน้าตาน่ากลัวแล้วยังเสียงดังอีก"ผมบอกเสียงขึงขัง ไอ้ผิงทำหน้าไม่เชื่อแล้วผลักหน้าผมเอนไปด้านหลัง  ยะเปาหันมายิ้มให้ผมอย่างชอบใจ

"ช่าย หน้าตาน่ากัว เหมือนซึซึแอ้เลย"ยะเปาพูดต่อ ยิมขมวดคิ้ว ไอ้ผิงมันทำหน้าเอ๋อได้ใจ

"อยากรู้ไหม พี่ มานี่ๆ"ยะเปากวักมือเรียกไอ้ผิงให้เข้าไปใกล้ๆ ไอ้ผิงก็ทำตามอย่างว่าง่ายมันก้มลงมาอยู่ในระดับเดียวกับยะเปา ท่าทางตั้งอกตั้งใจฟัง

"ซึซึแอ้ แปลว่า ผี ฮ่าๆ หน้าเหมือนผี"ยะเปาหัวเราะ ผมเห็นไอ้ผิงทำหน้าฉุน "เชี่ยเอ้ย"มันหันมาทางผม  "พูดโกหกไม่ดีนะ ยะเปา "

"อย่าให้รู้นะว่ามึงสั่งสอนเด็กมาว่ากู เชื้อร้ายจริงๆเลยมึง"ไอ้ผิงหันมาขึงตาใส่ผมก่อนจะส่ายหน้า ผมขำ ไอ้ผิงก็ไม่ได้หน้าตาแย่ขนาดนั้นหรอก ยะเปาอาจจะให้นิยามผู้ชายแบบไอ้ผิงว่าหน้าผีแทน ยิมหัวเราะหึเบาๆ

"เออ ไอ้แว่นมึงน่าตาดีนี่"ไอ้ผิงไปพาลใส่ยิมแทน

"นี่ชื่อจิมนะ "ยะเปาเอ่ยเสียงดัง ไอ้ผิงมองหน้ายิมแล้วหัวเราะกิ๊กกั๊ก "จิม ชื่อใหม่มึงนี่เหมาะดีว่ะ"

"มึงนี่ลามปาม กูพี่มึงนะ "ไอ้ยิมทำหน้าบูด

"จิมกะซึซึแอ้ "

"โอย พี่ชื่อผิงครับ ผิง"ไอ้ผิงลากเสียงยาว พูดช้าๆจ้องหน้ายะเปา "เหมือนขนมผิงหรอ "ยะเปาทำหน้างงๆ

"ใช่แล้วครับ ชื่อผิงอย่าไปเรียกอย่างอื่นนะ"ไอ้ผิงพูดเสียงเด็ดขาด

"ขะนุผิง"ยะเปาพูดชื่อมัน

"ขนมผิง"ไอ้ผิงย้ำอีกรอบ ผมอยากแกล้งมันเลยพูดตามยะเปา "ขะนุผิง"

"เฮ้ยยย เรียกดีๆดิ"ไอ้ผิงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ "ขะนุผิง ก็แปลว่าขนมผิงนั่นแหละหนุ่ม"ครูใหญ่พูดมาจากด้านหน้า

"ช่าย เหมือนกันนี่ผิดตรงไหน ก็บอกเองนี่นาว่าชื่อขนมผิง”ยะเปายังไม่เลิกแกล้งไอ้ผิง ยิมได้ทีเลยหัวเราะเยาะๆ

"จิมอยากมีชื่อใหม่อีกเหรอ เดี๋ยวตั้งให้ใหม่ เอาเปล่า"ยะเปารีบหันไปหาอีกฝ่ายทันที

"ไม่เอา"มันตอบสั้นๆ แต่แววตามันดูตื่นๆ

"ฮิๆ ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวก็มีเอง" ยะเปาปิดปากหัวเราะ

กว่าจะมาถึงวัดก็ใช้เวลาไม่นานนัก ครูใหญ่เข้าไปคุยกับเจ้าอาวาสอยู่นานสองนาน จนกระทั่งเจ้าอาวาสของวัดเดินมาพร้อมๆกับครูใหญ่

"นมัสการครับหลวงตา"

"เจริญพรโยม อาตมาได้ยินเรื่องจากครูใหญ่แล้วล่ะนะ อาตมาก็สนับสนุนเรื่องซ่อมแซ่มโรงเรียนของเด็กๆ นานๆทีจะมีคณะนิสิตมาออกค่ายอาสาที่นี่เพราะความไม่สะดวกในด้านสาธารนูปโภคต่างๆ อาตมาเห็นดีเห็นงามกับโยมทั้งหลายคิดดีทำดีเกิดกุศลกรรมดีแล้วล่ะโยม"จากนั้นท่านเจ้าอาวาสก็ให้พรพวกผม

"สาธุ..ๆ "

พวกผมพากันไปขนถังสี toa สีเขียวจำนวนทั้งสิ้น 10 ถัง แกลลอนล่ะ 5ลิตร คาดว่าน่าจะพอใช้สำหรับอาคารไม้ทั้ง3หลัง   จนเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ยะเปากลับหมู่บ้านไปก่อน ตอนแรกก็งอแงไม่ยอมกลับ แต่เพราะครูใหญ่ขู่ว่าพรุ่งนี้จะให้เก็บกระหล่ำกับชาวบ้านทั้งวันไม่ให้ไปไหน ก็เลยยอมกลับแต่สีหน้าดูงอนเต็มที่

"มึงใช้ยาอะไรวะ ไม่ถึงวันเด็กก็ติดล่ะ เอ....หรือว่ามึงมีฮอร์โมนเพศแม่อยู่ในสายเลือด "ไอ้ผิงหัวเราะคิกคักข้างๆผม

"เดี๋ยวตบปากปลิ้น"ผมยกมือขึ้นทำท่าจะตบปากมันจริงๆ 
เนื่องจากขากลับฟ้ามืดแล้ว ครูใหญ่จึงจุดตะเกียงสองดวง ไว้ให้พวกผม เพราะมีแค่ไฟหน้าของรถอีแต๊กมันสว่างมาถึงด้านหลังไม่มากนัก

"ครูครับ นอนกับพวกผมแล้วค่อยกลับตอนเช้าดีกว่าครับ มืดแล้วกลับคนเดียวมันอันตราย"ยิมเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกเป็นห่วง  ขณะที่ผ่านมาได้ครึ่งทางแล้ว ครูใหญ่ตอบกลับมาจากด้านคนขับอย่างไม่ถือสา

"ไม่เป็นไรหรอกครับ ครูเองก็ชินเสียแล้ว ที่ทางแถวนี้ไม่มีใครนอกจากชาวเขาแถวนี้"

"เกรงใจครูน่ะครับ มารับมาส่งพวกผมแบบนี้"

"ครูไม่ได้ลำบากใจ ครูเต็มใจช่วยถือว่าลูกๆหลานๆ " สรุปแล้วครูใหญ่ต้องขับรถอีแต๊กกลับหมู่บ้านไปอีกรอบ แม้ว่าผมจะรั้งให้นอนค้างที่นี่ก็ตาม แต่ก็ห้ามไม่ได้ครูใหญ่เองก็อยู่ในพื้นที่มานาน คงชินกับพื้นที่และคนแถวนี้ดี
 
ในขณะพวกพี่ดีนเริ่มตั้งวง โดยจุดกองไฟไว้ตรงกลางนั่งเป็นวงกลม ส่วนเหล้าเป็นเหล้าขาว กับเบียร์ แต่พี่ดีนก็ปรามๆกันไปว่าอย่าดื่มหนัก แค่ล้อมวงรอบกองไฟ คุยกันไปจิบไปก็ยังได้ ส่วนกับแกล้มมียำปลากระป๋อง กับหมูเค็มซึ่งไม่แม็ตกันเลย
พี่ดีนขอบายเพราะลุกไปอ้วกหลายครั้งแล้ว ผมกินแค่พอเป็นพิธีไม่อยากเมา พี่ดีนขยับมานั่งข้างๆผม

"เฮ้ยสอง ไปหาที่คุยกันไหม"พี่ดีนสะกิด ผมชั่งใจก่อนจะหันไปมองยิม ข้างๆมันมีไอ้ผิงเป็นหูเป็นตาให้อยู่แล้ว คงไม่มีอะไรน่าห่วง

"ไปสิพี่"ผมยิ้ม คงไม่มีอะไรเสียหาย ผมกับพี่ดีนลุกออกจากวง ยิมแค่มองแล้วหันไปจดจ่อแก้วเหล้าตามเดิม ผมกับพี่ดีนถือตะเกียง 2 ดวงออกมานั่งบริเวณหลังอาคารธุรการ คืนนี้จันทร์สว่างเลยทำให้ฟ้าเปิด

ผมกับพี่ดีนนั่งอยู่ตรงเนินดิน

"ถอยหายใจทิ้งหลายรอบจังวะ มีเรื่องไม่สบายใจล่ะสิ"พี่ดีนหันมาพูดกับผมขณะที่กำลังจุดบุหรี่ อีกฝ่ายยื่นซองบุหรี่มาให้แต่ผมไม่สูบ

"ก็มีบ้าง"

"อืมช่วงหลังๆมานี่มึงดูเครียดๆ ไม่ค่อยสนุกสนานเหมือนเคย บางครั้งก็ดูเหงาๆ"พี่ดีนขยับหันหน้ามาคุยกับผม

"ดูออกขนาดนั้นเลยหรอพี่"ผมยิ้มแล้วส่ายหน้า

"ตอนแรกดูไม่ออกหรอก แต่พอเห็นแววตามึงวันนี้แล้วเลยรู้ "พี่ดีนหันมายิ้ม

"...เมื่อก่อนผมปิดความรู้สึกเก่งนะพี่ แต่ตอนนี้กลายเป็นคนดูออกง่ายไปซะแล้ว"ผมพูดช้าๆในใจนึกถึงพี่ท็อป

"เพราะมีคนทำให้มึงเปิดความรู้สึกได้ง่ายๆหรือเปล่า มันก็เลยเลือกที่จะแสดงความรู้สึกออกมาได้ชัดเจน"พี่ดีนเหม่อมองไปตามพงป่าเหมือนคิดอะไรอยู่

"อือ คงงั้นมั้งครับ"

"ว้า แบบนี้ก็อดสนุกกันเลยสิวะ”พี่ดีนหัวเราะก่อนจะส่งสายตาแปลกๆมาให้ผม

"หึๆ ทำไมครับ อยากสอยผมเหรอ"ผมพูดเล่นไปเรื่อย ไม่ได้เก็บเอามาคิดเป็นจริงเป็นจังนัก พี่ดีนมองผมอยู่นาน

"อืม ก็เคยคิดนะ"

"เปลี่ยนใจหรือยังครับ"ผมถาม

"ไม่ว่ะ มึงน่าสนใจดี "เจ้าตัวยังคงมองผม และมีรอยยิ้มฉาบใบหน้า ผมถอนหายใจ คำพูดของอีกฝ่ายไม่ทำให้ผมตื่นเต้นอะไร แค่รู้สึกว่าไม่อยากมีเรื่องยุ่งยากตามมา “อย่าเลยพี่”ผมเอ่ยช้า ๆ

“ทำไมวะ ตัดใจจากคนก่อนไม่ได้เลยหรอ"อีกฝ่ายพูดขึ้นมา ผมมองคนข้างๆอย่างพิจารณา เหมือนว่าเจ้าตัวจำรู้เรื่องของผมอยู่เหมือนกัน ผมส่ายหน้า

"แค่ไม่อยากตัดใจมากกว่า"ผมพูดเบาๆ หากขาดพี่ท็อปไป ผมก็อยู่ได้ไม่ตาย แต่ในเมื่อยังมีหนทางให้รักกันได้จะทิ้งมันไปทำไม เรื่องเก่าๆ ผมไม่อยากเก็บเอามาคิดให้รกสมอง แน่นอนว่าผมเสียความรู้ไปไม่น้อย แต่ก็ยังอยากเริ่มต้นใหม่กับพี่ท็อปอีกครั้ง อยากรู้ว่ามันจะไปกันรอดไหม

"หึๆ อ่อนว่ะ "พี่ดีนส่ายศีรษะ ก่อนจะดับบุหรี่ลง "คงงั้น"ผมตอบแบบขอไปที

"เป็นคนมีแผลซะงั้น คนเรามันก็เท่านี้แหละ สุข ทุกข์ วนเวียนแบบนี้ แล้วแต่เราเลือกที่จะให้ตัวเองสุข หรือทุกข์ได้ มีแค่สองทางเท่านั้น ถ้าที่เป็นอยู่มันทุกข์ก็วางมันซะสิ”พี่ดีนบอกไป  เป็นคำพูดปลอบประโลมใจฟังแล้วมีกำลังใจขึ้นมาอีกเยอะ แม้ว่าในทางปฏิบัติอาจจะยาก แต่ถ้าหากลองเอากลับไปคิด มันก็จะมีคำตอบเอง ผมยิ้มออกมา

“ทุกข์น่ะดีแล้ว จะได้รู้ว่าตอนที่เจอความสุขอีกครั้ง จะได้รู้ว่ารสชาติของความทุกข์มันมากแค่ไหน แล้วเราจะมีความสุขมากเท่าไหร่ จะได้จำเอาไว้”ผมเอ่ยตามที่ใจคิด พี่ดีนย่นคิ้ว มองผมอย่างไม่เข้าใจนัก

“แปลกนะมึง”

“ผมเลือกแบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าทุกข์ซะทีเดียว"ผมหัวเราะแบบไร้อารมณ์

"อืม....เพราะไอ้แกนหรือเปล่าทำให้มึงหดหู่ได้ขนาดนี้"พี่ดีนพูดถึงชื่อที่ผมไม่อยากได้ยิน "ก็มีส่วนนะพี่"

"น่าหมั่นไส้จริงๆไอ้แกน กูล่ะเกลียดมัน"พี่ดินหยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วขว้างเข้าป่าไป

"ทุกข์นักก็วางสิพี่"ผมตอบกลับไปแล้วหัวเราะ ดาบนั้นคืนสนองแล้วกัน พี่ดีนมองหน้าผมเหมือนพูดไม่ออก คงจุกอก แทงใจดำล่ะสิ

"เฮ้อ กูชอบกอดความทุกข์เว้ย แสบๆคันๆ ไม่ใช่ว่าทุกข์ซะทีเดียวหรอก.."อีกฝ่ายตอบ ทำเอาผมหันมอง

"...ตกลงนี่พูดถึงเฮียแกนใช่ไหม"ผมเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย เจ้าตัวไหวไหล่ "เปล่า พูดลอยๆ"

"แล้วทำไมถึงเกลียดเฮียแกนขนาดนั้น"ผมถาม ถ้าไม่มีเรื่องส่วนตัวก็คงเรื่องที่แพ้เลือกตั้งสโมฯ

"...คนเราเกลียดกันมันต้องมีเหตุผลด้วยหรอวะ"คำพูดนี้ของพี่ดีนทำให้ผมนึกถึงพี่ท็อปอีกครั้ง เป็นคำตอบสำหรับคนที่ปิดบังความจริงอยู่ แต่สำหรับพี่ดีนผมกึ่งๆอยากรู้เหม่อนกันว่ามีเรื่องอะไรกับเฮียแกน จะว่าไปเฮียแกนมีศัตรูรอบทิศพอกัน

"อ้าว ถ้าไม่เหตุผลพี่ก็พาลว่ะ แพ้ชวนตีหรอพี่"ผมหัวเราะเยาะ อีกฝ่ายมองหน้าผมนิ่งๆ "ไอ้สอง แทงใจดำว่ะ"

"แล้วใช่แบบที่พูดจริงๆเหรอครับ"ผมถามต่อ

“เหตุผลก็เหมือนๆคนอื่น เพราะคนอื่นเกลียดมันกูก็เลยเกลียดมันไปด้วยล่ะมั้งนะ ..ความดีมันก็มี ก็เห็นๆกันอยู่ แต่สำหรับคนขี้แพ้อย่างกู ต่อให้ทำดีต่อหน้า ความเลวมันก็บังตากูอยู่ดี"พี่ดีนถอนหายใจ พูดจาแปลกๆแฝงความรู้สึกบางอย่างไว้ แต่ผมจับไม่ได้ว่ามันคือความรู้สึกแบบไหน

"ตกลงทะเลาะอะไรกัน"ผมถามไปตรงๆ ต่อมเสือกทำงานอีกแล้ว

"เรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้เพราะอารมณ์คน มันไม่มีอะไรมากหรอก"พี่ดีนดูปลงๆกับชีวิต แต่คงมีเรื่องกันจริงๆแน่

จากนั้นผมกับพี่ดีนต่างฝ่ายต่างเงียบ ผมทำทีหยิบโทรศัพท์ออกมาดู แถมสัญญาณไม่มี อยากโทรหาพี่ท็อปแต่ก็ทำไม่ได้

"ถ้ากูจีบมึง มึงโอเคไหม"คำพูดของพี่ดีนทำให้ผมตาสว่างหายมึนไปเลย ผมมองเจ้าตัวที่ยิ้มมาให้ผม พี่ดีนเป็นเกย์ด้วยเหรอ? เมื่อก่อนเห็นคบแต่ผู้หญิง

"บ้าเหรอพี่"ผมบอกปัด คิดว่าคงล้อเล่น

"พูดจริง แล้วกูก็เป็นคนหน้าด้าน ตื้อเก่งนะ"อีกฝ่ายยังคงยิ้มระรื่น ผมส่ายหน้าอย่างระอา กับพี่ดีนน่ะเหรอ ไม่มีทางหรอก

"อย่าล้อเล่นดิ"ผมบอก ลุกขึ้นยืน เดินหนีพี่ดีน แต่คำพูดไล่หลังของอีกฝ่ายดูเอาจริง

 "กูพูดจริงนะเว้ย แล้วก็ไม่ได้เมาด้วย มึงไม่มีสิทธิ์มาห้ามกู"ผมชะงักกึกแล้วหมุนตัวกลับไปหาพี่ดีน ผมไม่อยากให้พี่ดีนมายุ่งวุ่นวายกับผมเลย

"มึงต้องหัดลืมสิ่งที่ทำร้ายเกาะกินใจมึงมานานได้แล้ว อย่ายึดติดกับคำว่ารอและให้โอกาส มันอาจจะฉุดรั้งมึงจากสิ่งที่ดีกว่าก็ได้"...สิ่งที่ดีกว่าก็คงไม่ใช่พีดีนแน่ๆ

ผมไม่ตอบอะไรแค่เดินกลับมาที่วงเหล้าที่ล้มสลายตัวกันไปแล้ว ผมหยิบนาฬิกามาดู ห้าทุ่มครึ่ง จากนั้นก็เดินไปที่เรือนนอนของตัวเอง ผมเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์ส่องทาง เดินเข้าไปในห้อง เปิดกระเป๋าหยิบเสื้อกับกางเกงขาสั้นออกมากับกระเป๋าใส่ของอาบน้ำ ผมถือตะเกียงน้ำมันออกไปทางด้านหลังอาคารหนึ่งมีห้องน้ำอยู่สี่ห้อง ห้องอาบน้ำสองห้อง ยังดีที่ไฟห้องน้ำแยกกับตัวอาคาร ทำให้ไม่โดนตัดไม่อย่างนั้นผมจะไม่อาบน้ำเด็ดขาด

ผมเลือกห้องอาบน้ำริมสุด ก่อนจะล็อคกลอน  บรรยากาศอย่างกับห้องน้ำผีสิง ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยวช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ ผมปิดไฟห้องน้ำแล้วถือตะแกงเดินกลับไปห้องและถอนหายใจอย่างโล่งอก วางตะเกียงลงทางฝั่งของผม อย่างน้อยยังมีแสงให้ได้อุ่นใจบ้าง พวกไอ้ยิมไอ้ผิงไอ้โก๋นอนหลับสนิมกรนครอกๆไม่ทุกข์ไม่ร้อน กว่าจะนอนหลับผมจ้องตะเกียงจนง่วงนอนไปเอง

เริ่มต้นวันใหม่ของการเริ่มซ่อมแซมห้องเรียนอย่างจริงจัง ยิมตื่นด้วยสภาพแฮงค์ๆ มันหาแว่นไม่เจอ แท้จริงแล้วไอ้โก๋ดันไปนอนทับจนขาแว่นตาหัก อีกฝ่ายเลยต้องใส่คอนเทกเลนส์แทน

"เมื่อคืนมึงหายไปไหนมา"ยิมถามหน้ามุ่ย หลังจากที่ผมเปิดประตูหน้าต่างให้แสงแดดส่องเข้ามาได้

"ไปนั่งเล่นแถวนั้นแหละ"ผมบอกอีกฝ่าย ไอ้ผิงกับไอ้โก๋เดินเข้ามาในห้องหลังจากเพิ่งไปอาบน้ำเช้ามา

เมื่อครูใหญ่ขับรถอีแต๊กมาพร้อมอาหารเช้าคือข้าวต้มวัด มีผัดผักบุ้ง ปลาทอด แม่ครัวที่วัดตักมาเผื่อพวกผมเพราะที่วัดเองก็มีงานบุญของคนในหมู่บ้าน

"ขอบคุณมากๆครับครู พวกผมมาที่นี่ต้องลำบากครูหลายเรื่อง ทั้งๆที่มาช่วยแค่เล็กน้อยเอง"พี่ดีนยกมือไหว้ครูใหญ่อย่างนอบน้อม ในน้ำเสียงมีความเกรงใจอยู่มาก

"ไม่เป็นไรหรอก นี่ก็พวกชาวบ้านเขาทำมาให้กินกัน ถือว่าเป็นน้ำใจที่มาซ่อมแซมโรงเรียนให้ลูกให้หลานเขากัน"

"เอาไว้ เปิดเทอม ผมจะทำโครงการใหญ่ๆกว่านี้ครับ พวกอุปกรณ์การเรียนหรืออุปกรณ์กีฬา คราวหน้าจะนำมาให้เด็กๆแน่นอนครับครู"พี่ดีนบอก ครูใหญ่ยิ้มอย่างปลื้มใจ

"ขอบใจมากพวกหนุ่ม อ่ะ ทานอิ่มกันแล้วก็ล้างจานไปคว่ำในตะเข่งนั่นเลย"ครูใหญ่บอก ผมไม่เห็นยะเปาเลยเมื่อผมทานอิ่มแล้วเดินไปหาครูใหญ่

"ครูครับแล้วยะเปาไม่มาด้วยหรอครับ"ผมถาม ไหนว่าจะมาช่วยกันไง "อ๋อ รายนั้นเก็บผักอยู่ที่ไร่ลงเขาไปขายในตลาดนู่น บ่ายๆคงมาช่วยแหละพ่อหนุ่ม "

"งั้นเหรอครับ"ผมเดินกลับมาที่หน้าอาคารเรียน บางส่วนแยกไปทำห้องสมุด ไอ้โก๋แบ่งสีกีบแปรงออกคนละครึ่ง ให้กับอีกกลุ่มหนึ่ง จากนั้นก็แยกย้ายไปทาสีกันตามที่แบ่งโซนไว้ เนื้อไม้ยังสดไม่โดดปลวกแทะ คงเพราะสีก่อนหน้านั้นทางรองพื้นดี ป้องกันแมลง แต่ไม่ได้ป้องกันแสงแดดหรือน้ำฝน

จะว่าไปทางวัดก็ทุ่มเทมากสีนี่ไม่ใช่ถูกๆเลย นี่ก็คงหมดไปเกือบหมื่นเลยมั้ง แต่คาดว่าน่าจะเหลือ คงเอาไปคืนวัด พวกผมปรึกษากับพี่ดีนที่ผ่านมาดูความคืบหน้าของงาน และตกลงกันว่าหากเสร็จงานทุกอย่างตามกำหนดแล้ว จะบริจาคเงินให้โรงเรียนและทางวัดด้วย เพราะทั้งครูใหญ่และทางเจ้าอาวาสได้ช่วยเหลือไว้เยอะมาก

ผมกับไอ้โก๋แยกไปทาสีด้านหลัง ที่ต้องแยกกันแบบนี้ผมอยากให้ยิมห่างๆจากผมบ้าง อย่างน้อยอยู่กับไอ้ผิงคงได้สนุกปากกันทั้งวัน มันคงเถียงกันไม่จบไม่สิ้น ฟังแล้วเหนื่อยแทน ส่วนผมมาคู่กับไอ้โก๋เพราะมันอยากคุยเรื่องยิมด้วย

"ตกลงมึงคุยกับพี่เขายังวะเนี่ย"ไอ้โก๋เงยหน้าผม เพราะผมไต่บันไดไม้ทาสีด้านบนอยู่ ผมถอนหายใจ

"ยังเลยว่ะ ...คือพี่เขาก็คงรู้แหละว่ากูกำลังจะพูดอะไร เขาบอกว่าจะตัดใจจากกูเองหลังจบค่ายแล้ว"ผมบอก ไอ้โก๋พยักหน้า

"เขาคงชอบมึงมาก มองมึงด้วยสายตาใจดีๆผิดกับคนอื่นๆ”ไอ้โก๋บอก เป็นคนช่างสังเกตจริงๆ

"อืม พี่เขาเป็นคนดีนะ"ผมพูดเบาๆ

"ทำไงได้ ดีแค่ไหนถ้ามันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่"ไอ้โก๋ถอนหายใจยาวๆ แล้วยกถังสีไปทาอีกช่องหนึ่งเพราะมันทาห้องล็อคนี้เสร็จแล้ว

 พวกผมเร่งทำงานเพราะเสร็จจากตรงนี้ต้องไปช่วยซ่อมส่วนอื่นๆของโรงเรียนอีก อย่างห้องน้ำ ปรับสภาพใหม่ให้ดูสะอาดและน่าเข้ากว่านี้ โชคดีที่รุ่นพี่ผู้หญิงซื้อสติ๊กเกอร์การ์ตูนติดมาด้วย แบ่งใช้สำหรับแปะในห้องสมุดกับห้องน้ำ อันที่จริงจะวาดเองก็สีมีไม่ครบคงได้แค่สร้างสรรค์เป็นลวดลายแทน

ผ่านไปเกือบค่อนวัน ตอนนี้บ่ายสองโมงแล้วทาสีอาคารหนึ่งหลังยังไม่เสร็จถือว่าช้าพอสมควร จริงๆก็ไม่ใช่งานง่ายๆเลย
ผมลงมานั่งพักใต้ร่มไม้กับไอ้โก๋ ปวดเมื่อยแขนกับต้นคอไปหมด ไอ้โก๋มันใจดีเดินไปหยิบข้าวกลางวันมาให้ผม เป็นข้าวไข่เจียว เพราะพวกผู้หญิงทำอาหารง่ายๆจากเสบียงที่เตรียมมา

"สรุปกูต้องแดกแต่ไข่ใช่ไหม"ไอ้โก๋ทำหน้าไม่อร่อย เพราะพี่กรบอกว่าไม่อยากรบกวนทางวัดกับครูใหญ่เรื่องอาหารเกรงใจท่าน เลยจะทำกินกันเองเพราะเมนูไข่ทำง่ายและประหยัดสุดแล้ว "เอาน่า มีให้แดกก็ดีถมไป"

"เออ กูสงสัย พี่ดีนเค้าชอบมึงเหรอวะ"ผมมองหน้าไอ้โก๋

"มึงไปรู้อะไรมาอีกล่ะสิ"ซูฮกมันจริงๆ แม่งรู้ทุกเรื่อง คงชอบเผือกเหมือนกับผมล่ะสิ

"อือ เมื่อกี้ตอนที่กูไปเอาข้าวมาให้มึง กูได้ยินพี่กรล้อพี่ดีนอยู่ ตอนแรกคิดว่าขำๆ แต่พี่ดีนทำหน้าจริงจัง กูก็เลยสงสัยเมื่อคืนก็หายไปด้วยกัน"

"อย่าคิดอกุศลนะเว้ย ไม่มีอะไรในก่อไผ่ แค่ไปนั่งคุยเฉยๆ"

"เหรอวะ แล้วทำไมพี่ดีนไม่แก้ข่าวให้มึงคือเพื่อนพี่แกแซวว่ามึงหายไปกับพี่เขาสงสัยคงไปกินกันมาหรือเปล่า พี่ดีนก็แค่ยิ้มนะเว้ย ไม่พูดอะไร ปล่อยให้คนอื่นเค้าคิกลึกเข้าใจไปแบบนั้น"มันทำหน้าไม่พอใจ ผมกินข้าวไม่อร่อยขึ้นมา ทำไมผมทำอะไรจะต้องโดนปากหมาๆของคนอื่นเห่าใส่ด้วยวะ

ขณะนั้นยะเปาวิ่งปรี่เข้ามาหาผมกับไอ้โก๋ วันนี้แต่งตัวแบบชนเผ่ามูเซอ เสื้อแขนยาว ผ่าหน้า คลอกลม สวมกางเกงสีดำเป้าต่ำมีสนับแข้งสีขาวขลิบน้ำเงิน สะพายถุงยามสีแดงมาด้วย "หงะปาาาาา"ยะเปาร้องเรียก ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่าคำนี้แปลว่าอะไร ไอ้โก๋ทำหน้างงๆ "หงะปา?"
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 15 ออกค่ายพักใจ (2)
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 09-08-2015 20:27:38
"นี่ครายเอ่ย"ยะเปากระโดดมานั่งข้างๆผมแล้วมองไอ้โก๋ใกล้ๆไม่ละสายตา

"เป็นเพื่อนหงะปาไง ชื่อโก๋ครับ"ไอ้โก๋ยิ้มใจดี ท่าทางมันชอบเด็กนะ

"เพื่อนพี่เอง"ผมสำทับอีกรอบ ยะเปามองอย่างสนใจ ก่อนจะทำหน้าเหมือนครุ่นคิด "อ้อ พี่โก๋ จี๊ด จี๊ดย่า"ยะเปายิ้มแป้นแล้วล้วงหยิบเข้าไปในถุงย่ามแล้วยื่นกระปุกสตอร์เบอร์รี่กล่องใหญ่มาให้

"อ่ะให้ ยะเปาเก็บมาฝาก "ยะเปายื่นกล่องมาทางผมกับไอ้โก๋

"ตั้งเยอะแหนะ ขอบใจนะยะเปา เป็นเด็กดีจริงๆ"ผมยิ้มแล้วลูบหัวเด็กข้างๆที่ยิ้มสดใสมาให้ "แบ่งขนุผิงกะจิมก็ได้นะ โอ๊ะ มีนี่มาด้วย"ยะเปาหยิบถุงเล็กๆที่มีผงไอซิ่ง กับน้ำเชื่อมวางไว้บนกล่อง

"ยะเปาใจดีจัง แล้วนี่วันนี้มาช่วยพี่ๆเหรอครับ"ไอ้โก๋ถาม ยะเปาพยักหน้าหงึกๆ "ช่าย มาทาสี แต่ว่าเหม็นจัง"ยะเปาย่นหน้า ผมหัวเราะ ไอ้โก๋เลยหยิบหมวกคลุมหน้าไปให้ยะเปา

"ต้องปิดจมูกนะ"มันบอก ท่าทางเข้ากับเด็กได้ดี

"ขอบคุณครับ จี๊ด"ยะเปาพูด ไอ้โก๋ทำหน้างง หันมองผม "จี๊ด? แปลว่าอะไรเหรอยะเปา"
"จี๊ดแปลว่าเปรี้ยวจี้ดเลยไง พี่โก๋เท่ห์จัง หน้าเหมือนนักร้องที่บ้านของมิมิเลย"

"เอ่อ ยังไงหรอ"ไอ้โก๋ถามช้าๆทำหน้างงๆ "ก็มิมิอยู่เผ่าม้ง มีนักร้องด้วยนะ "ผมหัวเราะออกมา เห็นทีจะต้องไปเสิร์ชชื่อดูในอากู๋ซะแล้ว  มันมันต่อยแขนผมจนเจ็บ "พอเลยมึง"ไอ้โก๋หัวเราะเบาๆ อีกฝ่ายมันหน้าตามันค่อนไปทางตี๋ๆมีตาชั้นเดียว  ผิวไม่ขาวมากออกเหลืองนวลๆแต่ยอมรับว่ามันก็หน้าตาดี

"ทำไมเหรอ ขำอะไรกันเนี่ย "ยะเปาทำหน้างอนๆ ผมชักเห็นลางไม่ดี

"สงสัยเพราะเอาไปเปรียบเทียบกับคนม้งคนแม้ว เลยเห็นเป็นเรื่องตลก หงะปารู้ไหม เพื่อนๆพี่ๆของยะเปาในหมู่บ้านบางคนก็ไม่ยอมพูดภาษาเผ่า เอาแต่พูดภาษาไทยกันหมดเลย เพราะว่าอายเวลาไปไหนมาไหนแล้วพูดภาษาเผ่าหรือพูดไทยไม่ชัดก็จะโดนมองแปลกๆหรือหัวเราะกัน ..."ยะเปาทำหน้าเจื่อนลงอย่างชัดเจน  ผมกับไอ้โก๋ถึงกับขำไม่ออก อันที่จริงผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกเหยียดชาติพันธุ์ ที่จริงแล้วยะเปาไม่ได้ตั้งใจจะบอกว่าไอ้โก๋หน้าเหมือนชาวม้ง แต่แค่เห็นว่าโก๋มันหน้าตาดีเหมือนนักร้องคนนั้นล่ะมั้ง ซึ่งผมก็รู้ แต่ก็แค่ขำ แต่ก็นั่นแหละใจเขาใจเรา เรื่องเล็กๆสำหรับเราอาจเป็นเรื่องใหญ่สำหรับยะเปาก็ได้

"พี่ไม่ได้โกรธหรืออะไรนะยะเปา งั้นพี่ขอโทษแล้วกันนะที่เห็นเป็นเรื่องตลกซะได้ ..เอาเป็นว่า จะบอกว่าพี่จี๊ดใช่ป่ะ ฮ่าๆ"ไอ้โก๋ทำเสียงสดใสยิ้มแป้นให้ยะเปาที่เริ่มสีหน้าดีขึ้น "ช่าย"

..


ผมทาสีด้านหลังอาคารจนเสร็จก็เดินกลับไปหายิม ไอ้ผิง มันสองคนก็ทาสีเสร็จเรียบร้อย อาคารเรียนดูใหม่ขึ้นทันตา ยะเปายืนมองด้วยสายตาดีใจ กระโดดเรียน "เย้ ได้อาคารใหม่แล้ว น่าเรียนขึ้นเยอะเลย หงะปาน่าจะวาดรูปสวยๆแปะในห้อง เค้าจะได้ตั้งใจเรียน"ยะเปาหัวเราะ

"ถ้าสีเหลือจากห้องสมุดจะเอามาวาดให้นะ"ผมบอกแล้วยีหัวเด็กตัวน้อย

"อีกกลุ่มหนึ่งก็ทาสีอาคารเรียนเสร็จแล้วเช่นกันเหลืออีกหนึ่งอาคาร ช่วยกันทาสี พวกผมทาสีด้านหน้าแทน  หลังจากนั้นก็ไม่มีเวลามาคุยเล่นกันเท่าไหร่ พอทาสีอาคารจนครบทุกหลังก็ปามาจนหกโมงเย็น ฟ้าเริ่มมืดก็ทำงานอย่างอื่นไม่ได้เลย ส่วนห้องสมุดงานลุล่วงไปได้ครึ่งทาง มุงหลังคากับตีผนังเสร็จไปด้านนึงแล้ว พวกผมที่เหลือเลยเข้าไปช่วย


...

จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งวัน สองวันแล้วที่มาอยู่ที่นี่ วันพรุ่งนี้ก็ได้เวลาเดินทางกลับมหา'ลัยแล้ว ช่วงเวลาที่เรามีความสุขเวลามักเดินไวเสมอ เช้าวันนี้พวกผมก็เข้าไปช่วยตีผนังที่เหลือให้เสร็จเพราะยังไม่ได้ทาสีทาไม้อะไรสักอย่าง พวกผู้หญิงก็ให้ทำงานง่ายๆอย่างทาสีโต๊ะเก้าอี้ให้เหมือนใหม่ และทาสีห้องน้ำ

ส่วนยะเปาก็มาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างๆผมกับไอ้โก๋ "หงะปาจะกลับแล้วเหรอเนี่ย ทำไมกลับเร็วจัง เค้ายังไม่ได้พาตะเองไปเที่ยวในหมู่บ้านเลย"ยะเปาถามเสียงละห้อย ผมได้แต่ถอนหายใจ เพราะไม่มีเวลาออกไปเดินเล่นเลย ทำแต่ปลอบใจยะเปาไปพลางๆ "ไว้คราวหน้าพี่จะมาใหม่ แล้วจะมาหลายๆวันเลยนะ" แค่นี้ยะเปาก็ดีใจ

...

ระหว่างที่พักทานมื้อเที่ยง ครูใหญ่ก็มานั่งทานด้วย ส่วนยะเปาไปวิ่งเล่นอยู่ที่แปลงผักกับไอ้โก๋ที่กินข้าวไปก่อนผมแล้วและเมนูเบสิกคือไข่ต้ม ผักต้มกับน้ำพริก "ทำไมยะเปาถึงติดคนง่ายจังเลยล่ะครับ รู้จักผมได้ไม่นานเอง" ครูใหญ่หัวเราะมองผมอย่างเอ็นดู

"ครูเคยบอกใช่ไหมว่ายะเปากำพร้าทั้งพ่อและแม่ ตอนที่พ่อยะเปายังมีชีวิตอยู่อายุอานามก็ใกล้ๆกับหนุ่มนี่แหละ"ผมอายุ21 แต่เป็นปกติอยู่แล้วที่ชาวเขาจะแต่งงานเร็ว

 "ยะเปามันก็เลยสนิมกับทุกคนที่อายุเท่าๆนี้ ถ้าคนไหนถูกชะตาจะเรียกว่าหงะปา"ครูใหญ่ยิ้มจางๆ ก่อนจะพูดต่อ"หงะปาแปลว่าพ่อน่ะ" ผมแปลกใจมากทีเดียวที่ผมมีความหมายกับยะเปาขนาดนั้นเลยหรอ ผมพอจะเข้าใจความคิดความรู้สึกของเด็กชายอาหมี่หรือยะเปาขึ้นมาบ้างแล้ว

"อย่างนี้นี่เอง"

"อาหมี่น่ะ  เพื่อนเล่นก็ไม่ค่อยมีเลยทำให้อยู่คนเดียว จากที่เด็กวัยนี้ต้องเล่นอ่านหนังสืออยู่ที่กับบ้านแต่อาหมี่ต้องออกไปหางานทำรับจ้างขุดมัน เก็บผักและต้องไปขายที่ตลาดทุกๆเย็นเพื่อหาเลี้ยงปู่กับย่า"ผมฟังแล้วเห็นใจยะเปามากไปอีก

"เพราะแบบนี้ยะเปาถึงได้ซ้ำชั้นใช่ไหมครับ"

"ใช่ ครูอยากช่วยนะ แต่ยะเปาเองก็ไม่ตั้งใจเรียนพื้นฐานยังไม่ได้เลย จะให้เลื่อนชั้น ครูคิดว่าทำแบบนี้มันไม่ช่วยอะไร"

"ครับ ....ผมเข้าใจครับ...ผมสงสัยอย่างนึง คือครูใหญ่เองก็ช่วยเหลือและสนิทกับยะเปา ทำไมยะเปาไม่เรียกครูใหญ่ว่าหงะปาบ้างล่ะครับ"ผมถามเพราะอยากรู้จริงๆ ในเมื่อครูใหญ่เป็นคนที่ยะเปาใกล้ชิดที่สุด ทำไมถึงไม่เรียกว่าพ่อกันนะ

"อืม เมื่อก่อนเคยเรียกแบบนี้ แต่ครูเองก็ไม่ใช่คนที่จะอยู่ข้างๆอาหมี่ไปจนสิ้นชีวิต ไม่ใช่ว่าเพราะครูห้ามไม่ให้เรียกแต่ครูมีฐานะเป็นครูใหญ่ของทุกคน ชะตากรรมแบบอาหมี่ก็มีหลายคน ..อีกอย่างอาหมี่เห็นครูเป็นคนแก่ๆขี้บ่นเป็นคุณลุงของเขาแทนน่ะ "ครูใหญ่พูด

เรื่องของยะเปาผมคงช่วยอะไรมากไม่ได้แค่บอกให้ตั้งใจเรียน ช่วงบ่ายใช้เวลาหมดไปกับการสร้างห้องสมุด และโชคดีที่เสร็จจนได้ กินเวลามาจนสองทุ่มกว่าๆก่อนที่ไฟจะตัด .

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ผมต้องอยู่ที่นี่ ผมนั่งรับลมอยู่หน้าระเบียงอย่างเหงาๆ การมาที่นี่ทำให้ผมคิดอะไรได้อีกเยอะ คืนนี้พวกพี่ดีนกับไอ้ผิงไม่ได้กินเหล้าแค่ก่อกองไฟนั่งคุยกัน เฮฮา ร้องเพลงบ้างสลับกันไป

"เป็นอะไรวะ "ยิมเดินออกมานั่งข้างๆผม "แค่คิดว่าอยู่ที่นี่แปบเดียวเอง"ผมถอนหายใจทิ้ง

"อ่อนไหวนะมึง"ไอ้ยิมยิ้มบางๆแล้วมองหน้าผมไม่ละสายตา

"แค่อยากรู้จักยะเปามากกว่านี้น่ะ"

"ไม่ยักรู้เลยนะว่ามึงชอบเด็ก"

"เปล่าหรอกแต่เด็กอย่างยะเปาน่ารักจะตาย ใครบ้างไม่ชอบ เอ๊ะ หรือว่าพี่ไม่ชอบ"ผมขำ

"เปล่าซะหน่อย แต่แค่ทำตัวไม่ถูกกับเด็กๆ"อีกฝ่ายเบือนหน้าหนีออกจากผม จากนั้นก็หันมาพูดกับผมด้วยท่าทีจริงจัง

" กูรู้ตัวดีว่ายังไงก็ได้แค่เพื่อน แต่ตอนนี้กูขอกอดมึงได้ไหมวะ"ยิมมองหน้าผม เสี้ยวหน้าที่ถูกสาดส่องด้วยแสงตะเกียงกับกองไฟจางๆของมันดูเศร้าๆ

"อืม ได้สิ "ผมบอก ยิมค่อยๆโอบกอดผมไว้ มันกอดผมแน่นจนผมรู้สึกถึงไออุ่นจากตัวมัน เป็นอ้อมกอดที่สัมผัสได้แต่มิตรภาพดีๆของเพื่อน...เพียงเท่านั้นที่ผมสัมผัสได้

"ขอบใจมึงมากนะเว้ยที่ดีกับกู"ยิมพูดงึมงำกับไหล่ผม

"ผมก็เหมือนกันครับ"ผมลูบๆหลังมัน

"...ช่วงปิดเทอม กูจะให้เวลากับตัวเอง ลองอยู่คนเดียว และเลิกหวังในตัวมึง "อีกฝ่ายพูดชัดเจน ผมนิ่งแล้วผละออกจากอ้อมกอดของมัน

"...กูอาจจะหายไปสักพักจากสายตามึง"

"หมายความว่าไงครับ"ผมขมวดคิ้ว

"เปิดเทอมใหม่ กูจะออกไปอยู่ที่อื่นก่อน "ไอ้ยิมมองผมนิ่งๆ

"อ้าว ทำไมล่ะ"ผมถาม ยิมมองผมด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ "กูแค่อยากตัดใจจากมึงจริงๆ กูคงทำใจได้ง่ายกว่าถ้าเจอมึงน้อยลง "

"แล้วพี่จะกลับมาหอเดิมอีกไหม"ผมถาม ไม่อยากเป็นต้นเหตุที่อีกฝ่ายต้องย้ายออก

"แน่นอนอยู่แล้วสิวะ กูกลับมาแน่ และตอนนั้นกูจะมองมึงได้ในฐานะเพื่อน"ยิมยิ้มตบๆไหล่ผมไปด้วย

"...แต่"ผมไม่ทันจะแย้ง อีกฝ่ายก็พูดแทรก "...ถ้ากูยังเจอมึงอยู่กูตัดใจไม่ได้แน่ๆ"เจ้าตัวหนักแน่นซะจนผมต้องยอม  คงตัดสินใจมาดีแล้ว

"อืม ถ้าหากว่ามีเรื่องหนักใจอะไรก็โทรหาได้นะยิม "ผมบอกด้วยความหวังดี ผมยังเป็นห่วงมันนะ ยิมแค่ส่งยิ้มมาให้ แต่ผมรู้ว่ามันคงไม่โทรมาหรอก

ได้เวลาเดินทางกลับ พวกผมทั้งหลายก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับครู่ใหญ่ จากนั้นพี่ดีนก็มอบเงินบริจาคให้กับทางโรงเรียนซึ่งมีจำนวนมากพอสมควรและต่อจากนั้นก็เดินทางไปที่วัด เพื่อบริจาคเงินให้ เจ้าอาวาสได้ให้พรอยู่นานก่อนกลับก็ไปไหว้พระทำบุญให้จิตใจแจ่มใส ผมเจอยะเปาที่ปั่นจีกรยานมาหาผมพร้อมกับห่อข้าวของที่มัดด้วยเชือกสี่เหลี่ยมใบใหญ่

"หงะปาจะกลับแล้วหรอ คิดถึงแย่เลย"ยะเปาเข้ามากอดผมแน่น "พี่ก็เหมือนกัน ต่อไปก็ตั้งใจเรียนล่ะ จะได้เลื่อยชั้นซะที

"ผมบอก จากนั้นไอ้ยิมก็ถ่ายรูปให้ผม ผมขอที่อยู่ครูใหญ่ไว้เวลาจะส่งรูปกับหนังสือมาให้ยะเปาบ้าง

"คราวหน้ามาใหม่นะ"ยะเปาโบกมือบ๊ายบาย "เตคือโกมอดะอา พี่สอง พี่โก๋ บาย"(ลาก่อนนะ) ยะเปายืนมองจนรถเดินทางของผมออกจากวัด เฮ้อ ผมถือห่อกระดาษแข็งๆที่ยะเปาให้ผมมา ไว้ถึงห้องพักค่อยแกะดูแล้วกัน คงไม่พ้นของกินล่ะมั้ง


...


หลังจากนั้นชีวิตผมก็กลับสู่โหมดปกติ ผมเจอไอ้ยิมครั้งสุดท้ายคือมันเอารูปที่ถ่ายกับยะเปามาให้ผม มันไม่ได้พูดอะไรมากแค่บอกว่ากลับบ้าน นี่ถ้าไม่รู้จากปากไอ้โยผมคงไม่รู้ว่ามันจะไปฮ่องกง ส่วนของที่ยะเปาให้คือย่ามสีดำปักลายด้วยด้ายสีแดง เดี๋ยวนี้รูปแบบปรับให้ทันสมัยสวยงามขึ้น มีผลไม้มาสองสามชนิด อะโวคาโดกับสตอร์เบอรี่  เฮ้อ ยะเปาให้ผมมาเยอะจริงๆ ผมแบ่งไปให้ไอ้โก๋ ไอ้ผิง และยิมไปคนล่ะนิดล่ะหน่อย

     จนกระทั่งผ่านหนึ่งเดือน ตามกำหนดที่ได้ให้ไว้กับพี่ท็อป ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเดาใจผมออกหรือเปล่า ว่าผมใจอ่อนมากแค่ไหน แต่ผมยังไม่ได้โทรหาเจ้าตัวในทันที ผมรอจนกระทั่งผ่านมาหลายอาทิตย์ จากที่ว่า1เดือนแล้วโทรหากลายเป็น 1เดือนกับอีก 2 สัปดาห์ พี่ท็อปโทรมาหา แต่ผมไม่รับสาย แต่อีกฝ่ายก็ไม่หมดความพยายามส่งข้อความมาหาผม

OnTop : สองตัดสินใจแบบนี้จริงๆใช่ไหม
               หรือว่าให้โอกาสไอ้ยิมไปแล้วหรือไง มึงอยู่ไหน

บางครั้งผมกลับมาจากคณะ ก็เจอเจ้าของหอพักบอกว่าพี่ท็อปมาหาผม แต่ไม่เจอ

ผมโทรไปหาพี่ธาม ถามไถ่เรื่องของอีกฝ่าย

[ช่วงนี้มันพัก ประมาณหนึ่งสัปดาห์ เพราะฝึกงานมาตั้งหลายอาทิตย์แล้ว ตอนนี้กลับมาพักที่บ้านนั่นแหละ มันเองก็ป่วยๆด้วย]

"ป่วยหรอพี่ หนักไหม"ผมถามทันที

[ก็ไม่หนักหรอก แต่ไปหามันหน่อยก็ดี ....] พี่ธามยังคงแสดงความห่วงใยต่อเพื่อนตัวเอง

"ครับ อย่าบอกพี่ท็อปนะว่าผมจะไปหา"

[...เลิกกันแล้วจริงๆเหรอวะ]

"ครับ จนกระทั่งตอนนี้ผมกับพี่ท็อปเลิกกันไปนานแล้ว" จนถึงวันนี้ 4 เดือนเศษๆที่ผมกับพี่ท็อปเลิกกัน ไม่ได้เจอหน้ากัน ทำให้ผมได้รู้ว่าผมไม่ได้โหยหาเว้าวอนอะไรมากนักกับการที่ไม่มีพี่ท็อป แค่มีบางครั้งที่เหงา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมลืมหรือหมดรักอีกฝ่ายไปเสียแล้ว

ผมยังรักและคิดถึงพี่ท็อปอยู่เสมอ และพร้อมที่จะกลับไปเริ่มต้นใหม่กับเจ้าตัวได้อย่างไม่มีอะไรค้างคาใจ ผมเช็คกับพี่ธามอีกครั้งให้แน่ใจว่าพี่ท็อปกลับมาอยู่บ้านแล้วจริงๆ แต่แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นก็จะกลับชลบุรี ผมขี่รถไปหาเจ้าตัวในตัวเมือง
ผมดับรถก่อนถึงบ้าน เผื่อในกรณีที่พี่ท็อปจำเสียงรถผมได้

ผมเดินด้อมๆมองๆอยู่หน้าบ้านพี่ท็อป  ลืมไปเลยว่าบ้านนี้มีเจ้าสี่ขาอย่างไอ้ทู มันวิ่งกระดิกหาง มันเห่าสองสามครั้งด้วย ผมกลัวว่าพี่ท็อปจะออกมาดู "ชู่ว์ๆๆ อย่าดังสิวะ ไอ้นี่หนิ"ผมยื่นมือผ่านรั้วบ้านไปลูบหัวมัน และผมต้องสะดุ้งเมื่อเห็นแม่พี่ท็อปเดินออกมาจากตัวบ้าน ไม่คิดว่าจะมาเจอแม่แบบนี้

"อ้าว สองเองเหรอลูก"คุณแม่เดินเข้ามาหาผม ก่อนจะเปิดประตูให้ผมเข้ามา "สวัสดีครับแม่ "ผมพูดเบาๆแล้วยกมือไหว้

"สวัสดีดีจ๊ะ แล้วเป็นไงมาไงล่ะลูก มาๆเข้าบ้านก่อน ท็อปมันอยู่พอดี"แม่ยิ้มแล้วพาผมเข้าไปในตัวบ้าน ผมเกร็งๆกับท่านเพราะนานแล้วที่ไม่ได้เจอ

"คือว่า ผมไม่อยากให้พี่ท็อปรู้ว่าผมมาที่นี่น่ะครับ"ผมตัดสินใจบอกกับแม่พี่ท็อปไป

"มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าลูก เห็นท็อปดูเงียบๆไป พอถามถึงเรา ก็ไม่ยอมบอกอะไร เมื่อวานก็หงุดหงิดอยู่คนเดียว ไม่ยอมออกจากห้องอยู่นาน"แม่พี่ท็อปทำหน้ากังวลก่อนจะเข้ามาจับมือผม

"ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ"ผมถามอย่างนึกเป็นห่วง คงจะเสียใจคงนึกว่าผมให้โอกาสคนอื่นไปแล้ว

"ปวดท้องเพราะไม่ทานข้าวน่ะสิ แล้วก็ปวดหัวแต่ไม่ยอมทานยา เฮ้อ ท็อปมันดื้อยาน่ะ แม่เป็นห่วงมัน.....แม่เองก็รู้ว่าลูกน่าจะมีปัญหากัน แต่แม่เองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเพราะถือว่าเป็นการตัดสินใจของสอง..."

"...แล้ววันนี้พี่ท็อปทานอะไรหรือยังครับ"ผมถาม แต่มองเห็นถาดสำรับอาหารพร้อมยาก็พอจะเดาได้

"ยังเลยลูก ..."

"เดี๋ยวผมเอาขึ้นไปให้พี่ท็อปอีกรอบเองครับ"ผมยิ้มแล้วยกถาดอาหารหนักๆขึ้นถือ "ฝากด้วยนะลูก"ท่านบอกอย่างเป็นห่วง ผมแทบไม่เชื่อเลยว่าพี่ท็อปจะทรมานตัวเองแบบนี้ ปกติพี่ท็อปเป็นคนมีเหตุผล และเข้มแข็ง ถ้าป่วยก็ควรจะทานยา

ผมเดินถือถาดอาหานขึ้นไปเคาะประตูห้องพี่ท็อป

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ข้างในห้องยังเงียบกริบ ผมลองเคาะอีกครั้งและแรงกว่าเดิม

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"ท็อปยังไม่หิวครับแม่"พี่ท็อปตอบกลับมา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะแรงๆอีกครั้ง

“แม่! บอกแล้วไงว—"คราวนี้พี่ท็อปเดินมาเปิดประตู เมื่อเห็นว่าผมยืนอยู่ก็แทบหุบปากไม่ทัน อีกฝ่ายดูโทรมลงเยอะ แถมตัดผมทรงเดิมคืออันเดอร์คัต เจ้าตัวทำหน้าไม่ถูก

“ได้ข่าวว่าไม่ค่อยทานข้าวหรอครับ ทำไมดื้อล่ะพี่"ผมเปิดปากพูดแล้วไม่สนใจพี่ท็อปที่มองผมนิ่งเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน
ผมเดินแทรกเข้าไปในห้องแล้ววางถาดอาหารลงกับโต๊ะลิ้นชักข้างเตียง

“มึงมาได้ยังไง..."พี่ท็อปถามเสียงแหบแห้ง ผมเสียใจขึ้นมา ผมอาจจะใจร้ายไปหน่อยที่ไม่ได้ติดต่ออะไรกลับมาเลย

“กินข้าวก่อนแล้วค่อยคุย"ผมหันมาบอกกับพี่ท็อปที่ยืนจ้องผม

“...จะพูดอะไรก็พูดมาเลยดีกว่าวะสอง ..."พี่ท็อปทำหน้าเหมือนเห็นของแสลง ก่อนจะเดินมานั่งที่เตียงเหมือนไม่มีแรง

“ทานข้าวแล้วก็ทานยาซะ"ผมบอกเสียงห้วนแล้วเลื่อนเก้าอี้มาวางตรงหน้าพี่ท็อปพร้อมกับถาดอาหาร เจ้าตัวเม้มปากมองหน้าอยู่นาน ก่อนจะยอมทานข้าว แต่ก็เหมือนหนูเล็ม กินไปสามสี่ช้อนก็บอกว่าอิ่ม

“กินน้อยจัง ดูพี่สิ ผอมไปหมดแล้ว "ผมพูดแล้วจับข้อมือพี่ท็อปมาวัด เมื่อก่อนก็พอๆกับผม แต่ตอนนี้เล็กกว่าผมนิดหน่อย

"กินไม่ลงหรอก.."พี่ท็อปพูด ท่าทางเซื่องซึม เหมือนคนไม่มีจุดหมาย ผมมองอีกฝ่ายอย่างระอา ก่อนจะยกถาดอาหารออกไปวางบนโต๊ะหยิบซองยาออกมาแกะให้เจ้าตัวสองเม็ด กลับกลายเป็นว่าผมต้องมาป้อนยาให้อีกฝ่าย หลังจากที่ทานยาไป เจ้าตัวถึงเปิดปากพูดกับผม

"แล้วมึงมาที่นี่...เรื่องของเราหรือเปล่าหรือว่าแค่มาดูกูกินข้าว"

"ผมมาให้คำตอบพี่ คิดว่ามาด้วยตัวเองมันคงดีกว่า"ผมเอ่ย มองหน้าอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

"กูนึกว่ามึงจะทิ้งกูแล้วจริงๆ..."พี่ท็อปส่ายหน้า นัยน์ตาที่เคยวาววับอย่างเจ้าเล่ห์เหลือเพียงแค่ตาดำๆเหมือนลูกหมา

"ผมไม่อยากปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเปล่าๆ ในเมื่อมีโอกาสได้รักกันแล้ว ก็รักกันดีกว่า จะได้ไม่เสียดายทีหลัง ความสุขมันสั้นๆชีวิตเราก็สั้นๆ มาเจอกันแล้วทั้งทีก็รักกันให้มันคุ้มไปเลยไม่ดีหรอครับ"ผมยิ้มออกมาแล้วเข้าไปกอดพี่ท็อป กอดนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเดิม ผมเข้าใจเหตุผลของคนในอ้อมกอดนี้ ผมไม่อยากฟังความจริงอะไรอีก เพราะแค่ผมรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ตั้งใจหลอกผมซะทีเดียว

"กูขอโทษนะสอง สำหรับทุกอย่าง"พี่ท็อปกอดผม น้ำเสียงสั่นเครือและอู้อี้เหมือนคัดจมูก ผมยิ้ม

"อือ จากนี้ไปพี่กับผมจะไม่เริ่มต้นด้วยคำโกหกหรือไม่จริงใจต่อกัน แต่ว่าคราวนี้พี่ต้องตามจีบผมเองแล้วล่ะ ในเมื่อผมขาดทุนให้พี่ย่อยยับขนาดนั้นแล้ว คืนกำไรให้ผมหน่อย"ผมดึงตัวออกมา มองพี่ท็อปที่มีแววตาดูสดใสขึ้นมา เอาล่ะ พี่ท็อปจะต้องรักผมให้มากขึ้นกว่าเดิม

“กูจะทำทุกอย่างให้มึงกลับมาคบกับกูอีกครั้ง "พี่ท็อปเอ่ย ก่อนจะยิ้มกว้าง แล้วเอื้อมมาจับมือของผมไว้แน่น
“ทำให้ได้แล้วกัน ครั้งนี้มันไม่ง่ายๆเหมือนที่ผ่านมานะพี่ การจะเป็นแฟนผมน่ะ”ผมหัวเราะเบาๆ พี่ท็อปพยักหน้าก่อนจะอึกอักถามผม

“เออ แล้ว...มึงกับไอ้ยิม”

“ผมคิดกับพี่เขาแค่เพื่อน เป็นแบบอื่นไม่ได้แล้ว"ผมตอบไปตามจริง พี่ท็อปมีสีหน้าโล่งอก เจ้าตัวสบตาผม ก่อนจะทำหน้าเศร้า

"อืม ถ้าหากว่ามึงให้โอกาสมันจริงๆ กูคิดว่ากูสู้ไม่ได้แน่ๆ เพราะไอ้ยิมมันเป็นคนดีจริงๆ"พี่ท็อปพูด แล้วก้มหน้าลง ผมเลยตอบกลับไปอย่างไม่คิดมาก “สงสัยผมชอบคนเลว”

คำตอบของผมทำให้พี่ท็อปที่ส่ายหน้า “มึงนี่นะ... แล้วรู้ได้ยังไงว่ากูกลับมามาที่นี่”

"ถามพี่ธามเอา”ผมบอก

"แล้ว...จะอยู่อีกกี่วัน...”พี่ท็อปถามเบาๆ

“อืม อีกสองสามวันมั้งพี่ ไม่ได้คิดไว้ .."ผมตอบแล้วขยับไปนั่งบนเตียงกับพี่ท็อป เจ้าตัวพยักหน้า “อยู่ทั้งอาทิตย์ไม่ได้เหรอ เดี๋ยวกูกลับไปฝึกงานต่อ”อีกฝ่ายพึมพำ เหลือบมองผมอย่างคาดหวัง ผมคิดไม่นาน “ก็ได้ครับ อยู่ดูแลพี่ซะหน่อย”ผมบอกยิ้มๆ พี่ท็อปพยักหน้าเข้าใจ

“คืนนี้นอนด้วยกันได้ไหมวะ”

“ก็ตั้งใจจะนอนด้วยอยู่แล้วล่ะ"ผมยิ้ม แล้วกอดพี่ท็อปอีกรอบให้หายคิดถึง เหมือนว่าจะผอมลงจริงๆด้วย กอดแล้วรู้สึกว่าติดกระดูกไปด้วย

"แอบคิดอะไรหรือเปล่าวะ"พี่ท็อปถาม ก่อนจะมองผมด้วยสายตาระแวงระวัง

"เปล่าแค่นอนเฉยๆน่า"ผมหัวเราะออกมาทันที จากนั้นก็ยื่นจมูก ไปหอมต้นคอของเจ้าตัวไปพลาง จริงๆแค่แกล้งเล่นเท่านั้นแหละ ใครจะมีอารมณ์ทำคนป่วย

"ดีใจนะที่ให้โอกาสกันอีก"พี่ท็อปค่อยๆดันไหล่ผมออก

"แล้วพี่คิดว่าผมจะให้โอหาสพี่ไหม"ผมถามไปเรื่อยๆ

"ก็ต้องมีบ้างแหละ ที่คิดเข้าข้างตัวเอง แต่กูเริ่มไม่แน่ใจที่ครบ1เดือนแล้วมึงไม่ได้ติดต่อมาเลย จนผ่านมาหนึ่งอาทิตย์ กูผิดหวังมาก ที่มึงพูดเหมือนให้ความหวังกู แต่เอาเข้าจริงๆมึงกลับทิ้งกู....  มันยาก ที่จะมองเห็นคนอื่นมาแทนที่ของเรา ยิ่งถ้าเป็นไอ้ยิมกูก็ทำใจไม่ได้แน่ๆ กูอาจจะทำอะไรโง่ๆขึ้นมาก็ได้"พี่ท็อปกระพริบตาหลบสายตาของผม

 "นั่นสิ เสียดายที่ไม่ได้เห็นว่าพี่จะทำอะไรโง่ๆ"ผมหัวเราะเบาๆแล้วมองผิวเนื้อบริเวณต้นคอมายังลาดไหล่ที่ดูแห้งลงจนเห็นกระดูกไหปลาร้าชัด

"แค่นี้กูก็หมดท่าแล้วโว้ย"พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะขมวดคิ้วมองผมที่สนใจกับร่างกายที่ผอมลง

"ดี หมดท่าให้ผมเยอะเลยยิ่งดี"ผมยิ้มมุมปาก "จะเอาคืนแก้เผ็ดกูหรอไง.. แต่ไม่เป็นไร กูยอม"พี่ท็อปพูดสบตาผม หมายความตามที่พูดออกมาไม่ปิดบัง

"ผมไม่เล่นกับความรู้สึกของพี่หรอก "ผมยิ้ม ก่อนจะถามสิ่งที่สงสัย "ผมขอถามหน่อย พี่ผอมลงแบบนี้ แล้วซิกแพ็คพี่มันยังเหลืออยู่ไหมเนี่ย"ผมย่นหน้าแล้วเลิกชายเสื้อพี่ท็อปขึ้นดูแล้วลูบๆ กลายเป็นว่าหน้าท้องแข็งๆมันกลายเป็นนิ่มๆแทนแล้ว

"..ทำไมวะ เดี๋ยวก็เล่นฟิสเนตก็กลับมาเองแหละ"พี่ท็อปขมวดคิ้วแล้วดึงเสื้อลง

"คงอีกหลายเดือนเลย อกหักแล้วปล่อยตัวขนาดนี้เลยหรอ แบบนี้ก็......."ผมทำเสียงเจ้าเล่ห์ ความแข็งแรงคงโดนลดทอนลงไปบ้าง หึๆ เสร็จแน่ พี่ท็อปมองหน้าผมเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร

" กูเริ่มจะง่วงแล้วว่ะ ...มึงจะนอนด้วยก็ได้นะ"พี่ท็อปบอกแล้วขยับตัวเอนลงนอน ผมเอื้อมหยิบผ้าห่มผืนบางมาห่มให้พี่ท็อปก่อนจะล้มตัวนอนลงข้างๆ

"ขอกอดหน่อย"ผมบอกหันตะแคงตัวไปหาพี่ท็อปที่ยิ้มให้ผมแล้วยกแขนดึงตัวผมเข้าไปใกล้ๆแล้วกอด

"คิดถึงมึงมากเลยนะ.."พี่ท็อปพูดเบาๆ ผมยิ้ม "ตอนนี้ก็อยู่ใกล้ๆแล้วไงครับ "ผมเงยหน้ามองรูปหน้าเรียวก่อนจะยื่นไปจูบคางพี่ท็อป

"อือ ..."พี่ท็อปส่งเสียงตอบแล้วกอดผมแน่น

"กูรักมึงว่ะ ตอนที่ห่างกัน กูเคยคิดว่ากูอาจจะทำใจยอมรับความจริงได้ แต่พอกูไปหามึงที่คณะในวันนั้น กูกลับมาทบทวนตัวเองว่ากูไม่อยากเสียมึงไป ...และกูโง่แค่ไหนที่มีโอกาสได้อยู่กับมึง แต่ก็ทิ้งมันไป "

"มันผ่านมาแล้วพี่...พี่ไม่ต้องลืมก็ได้ว่าเคยทำอะไรไว้กับผมแค่เก็บเอาไว้ระลึกว่าถ้ามีโอกาสก็อย่าปล่อยมือจากมันอีก ...แต่ตอนนี้พี่จำเอาไว้นะว่าผมยกโทษให้พี่แล้ว ผมไม่ได้ลืมเรื่องพวกนั้นไปหรอก ไม่มีใครลืมอดีตได้ แต่เราเลือกที่จะนึกถึงแต่เรื่องดีๆได้...ตอนนี้ผมอยู่กับพี่ แค่นี้ก็พอแล้วครับ"ผมพูดช้าๆให้คำพูดของผมทุกคำซึมลึกลงกลางใจพี่ท็อป ผมนึกถึงคำพูดของพี่ดีน อย่าให้เรื่องบางเรื่องมาฉุดรั้งเราจากสิ่งที่ดีๆ เหมือนผมกับพี่ท็อป อย่าให้เรื่องแย่ๆที่ผ่านมาแล้ว มาทำให้ใจของเราเดินต่อไม่ได้

"ขอบคุณนะสอง"พี่ท็อปพูดเบาๆ ก่อนจะค่อยๆหลับตาเพราะฤทธิ์ยา
ผมหลับตาลง  อย่างที่พี่ท็อปบอกความรู้สึกที่มันเสียไปแล้วคงเอากลับคืนมาไม่ได้ แต่คงจะทำได้แค่สร้างมันขึ้นมาใหม่ด้วยความจริงจากใจอย่างนั้นแล้วคนที่รับความรู้สึกนั้นคงรับรู้ได้และปล่อยให้เรื่องเก่าๆให้เป็นแผลเป็นจางๆเอาไว้ก็พอ...
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ'
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 09-08-2015 20:29:07
--
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 09-08-2015 20:51:30
 :katai2-1:  ดีใจ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 09-08-2015 21:35:17
ยินดีกับสองและพี่ท๊อปด้วย


ในที่สุดเรื่องร้าย ๆ ก็ผ่านพ้นไปเสียที


ตอนนี้ทั้งคู่ก็ไม่ต้องหลอกกันอีกแล้วเปิดใจแล้วมีความสุขไปด้วยกัน


สงสารยิมอ่ะ จะมีใครมาดามใจเฮียยิมมั้ยน้าาาาาา


ขอส่งใครสักคนมาเป็นยาสมานใจให้เฮียยิมด้วยเน๊อะ อิอิ


แต่ไอ้พี่ดีนนี่ท่าทางจะมาทำให้พี่ท๊อปหึงเป็นการส่งท้ายแน่ ๆ


แบบว่ามายุ่งกะเมีย ผัวอย่างพี่ท๊อปเลยต้องตามไปกระทืบถึงที่ 555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 09-08-2015 21:51:39
ยาวสะใจมาก ชีวิตคนเรามันสั้นจริงๆๆนั้นแหละ
ใครหนอจะมาดามใจเฮียยิมของเรา :hao7:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 09-08-2015 22:00:29
เย้ ในที่สุดพี่ท็อปกับสองก็กลับมาคบกันแล้วก็จริงอย่างที่สองว่าแหละชีวิตมันสั้นเมื่อรักกันแล้วก็รักกันให้มากๆให้มันคุ้ม และพี่ยิมกำลังจะมีคู่แล้วอันนี้ดีใจยิ่งกว่าใช่ผิงหรือเปล่าเนี่ยแบบตอนไปค่ายที่กัดกันเราแอบจิ้นคู่นี้นะ ฮาาา ยะเปาน่ารักอะเราละอยากไปแบบนี้บ้างจังแต่ไม่มีโอกาสเลย รอตอนต่อไปว่าคู่พี่ยิมคือใคร ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 09-08-2015 22:35:55
ดีใจอ่ะ สองกับท๊อปดีกันแล้ว จีบสองไม่ง่ายน่ะ ฮ่าๆๆๆๆ อยากเห็นฉากหวานไวๆๆๆ ออนท๊อป อิอิ
รออ่านคู่ยิมจะได้แฟนแบบไหนน่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: bonusbobobo ที่ 09-08-2015 22:43:53
ตอนนี้ยาวสะจิตจริงๆ กลับมาดีกันแล้วพี่ท็อปต้องจีบสองให้ได้นะ555
อยากเห็นคู่ยิมล้าวว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 09-08-2015 23:05:50
คู่เฮียยิมจะเป็นคนใกล้ตัวสองป่าวหว่า  :hao6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 09-08-2015 23:20:17
ยิม ผิงดีไม๊น้าาา
 :mew4: :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:

คืนดีกันแล้วก้ดี สองงอย่ายอมพี่ท๊อปง่ายๆนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 09-08-2015 23:42:29
มองไปทางไหนก็เห็นแต่ฮาเร็มของสอง
ดีกันได้ก็โอเคแล้วค่ะ   สองควรถอนทุนคืนนะ จับกดเลย

ยิม-ผิง  ยิม-โก๋  ยิม-มุ?

ขอดีน - แกนค่ะ    แบบกดหนักๆได้ไหมคะ?
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 09-08-2015 23:58:58
//โบกธงหนักมาก พี่ท็อปปปปปปปปปปปปป
จีบสองให้ติดนะพี่ 65555555555555
หรือบางทีอาจจะต้องไปประกาศตัวเป็นเมียเหมือนคราวสอง -////-
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: บูมพอส ที่ 10-08-2015 00:16:39
ย้ายทีม รักยิม เชียร์ยิม ฮ่าาาาา :hao7: :hao7:

สงสารโย TT   :hao5: :hao5:

นี่พี่ท็อปเจ็บได้สักครึ่งของยิมยังวะถามจริง :sad4: :sad4:

สู้ๆค่ะคนเขียน ยาวสะใจมากกก  :katai4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 10-08-2015 00:33:04
ยาวได้ใจมากค่าาา
อยากให้เป็นแบบนี้ทุกตอนจัง 555555
เค้ากลับมาหากันแล้ววววง
ดีใจด้วยนะทั้งสองคนในที่สุด ก็ยอมเข้าใจกัน
 :mew6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 10-08-2015 00:45:00
ฟินนนนนนนน :o8:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 10-08-2015 01:51:25
ยาวได้ใจจริงๆ สงสารยิมสุดพลัง..
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 10-08-2015 15:25:09
อ่านยาวสะใจมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 10-08-2015 15:32:50
ยาวสะใจมากกก เคลียร์ซะที  :katai2-1:

พี่ท๊อปกลับมาคราวนี้จะออนท๊อปเหรอคะ 5555555555555555555

เดาว่าคู่ของยิม นี่ผิงหรือเปล่า อิอิ

ว่าไปก็อยากรู้เรื่อง พี่ดีน เฮียแกนนะคะเนี่ยยยยย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: zhai ที่ 10-08-2015 19:15:03
เซอร์ไพรส์อ่ะ
แต่ชีวิตจริง  คนเรารักแล้วตัดใจยากเนอะ
อย่างสองนี้ ต้องบอกว่ารักมั่นคงมว๊ากกกกก
สงสารคุณเพื่อนยิมจังเลย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: littlegirlfriend ที่ 10-08-2015 21:19:00

เพิ่งมาอ่าน. พี่ท็อปดูยังไงๆก็แมน แมนจนไม่คิดว่าจะมารับได้5555555

เราชอบยิม. #ทีมยิม 555 แต่ก็อยากให้คู่พี่ท็อปดีเเล้ว ในชีวิตก็มีคนแบบยิมอยู่เข้าใจดีว่ามันไม่ได้จริงๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 11-08-2015 03:19:40
ชื่อเรื่อง ตอนแรก ดูแนวเฮฮา แต่ดราม่าหนักมาก หนักใช้ได้เลย
เข้าใจท๊อปกับสอง แต้ไม่เข้าใจแกนและมินท์เลย โทษคนอื่นแต่ไม่โทษตัวเิง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ชมพูพาล ที่ 12-08-2015 23:38:47
สนุกค่ะ นั่งอ่านรวดเดียวเลย ดีใจมากที่มาอ่านตอนนี้ ไม่งั้นต้องค้างขาดใจตายแน่
ตอนนี้โล่งแล้วค่ะ นั่งอ่านติดต่อกันจนปวดตาเลย  :heaven
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 13-08-2015 04:49:10
อ่านยาวเลยค่ะ 17 ตอน ตาแฉะกันเลยทีเดียว

รอติดตามต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 14-08-2015 18:36:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 14-08-2015 22:29:31
อ๊ายยย ปลาบปลื้มใจมากกกก
ติดเรื่องนี้งอมแงม
อุตะ ชั้นรักท๊อปสองจัง
ขอให้มีความสุข อวยพรล่วงหน้าเลย
ฟ้าหลังฝน เอาให้มันสวีทวี๊ดวิ้วเลยนะ 555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Teaw_HC+MJ ที่ 16-08-2015 15:12:52
สองคนนี้เคลียร์กันสักที เฮ้อออ โล่ง
คนเขียนเปิดเทอมแล้วก็สู้ๆน้าาา
เรียนหนักกก แต่ห้ามทิ้งเรื่องนี้นะคะ
คนอ่านรออยู่  :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-17 #09.08.58 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 18-08-2015 21:43:40
 :katai2-1: ตอนไปค่ายนี่อ่านเพลินเลย ยะเปาน่ารักดี น่าสงสารน้องด้วย ช่วงระหว่างที่ทำกิจกรรมต่างๆ ก็จิ้น "จิมกับขะนุผิง" ตลอดอ่ะ ลุ้นให้คู่ยิมคือผิงนะ :hao7: 
ส่วนเบื้องหลังของเฮียแกนกับพี่ดีนก็น่าสนใจ...มันยังไงๆ กันอยู่  :hao3:
 :เฮ้อ: พี่ท็อปตรอมใจเรื่องสองจนพ่ายผอม แอบเสียดายซิกแพคพี่ท็อปไปกับสอง :hao5: ดีใจด้วยที่ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด ขอเชียร์พี่ท็อปให้เข้าฟิตเนสบ่อยๆ ซิกแพคจะได้กลับมาไว้ๆ เวลาออนท็อปจะได้เซ็กซี่ๆ ไงพี่  :hao7: แต่เวลาสองเป็นเมียพี่ท็อปก็น่ารักเหมือนกันนะ เพราะสองอ้อนน่าดูเลย

เปิดเทอมแล้ว ก็สู้ๆ นะจ๊ะ จะรอติดตามตอนต่อไป อย่าให้เก้อน้าาา  :L2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 1
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 02-09-2015 02:52:17
- ผิง -

ตอนที่ 1 ข้างห้องคนใหม่

หลังจากที่กลับมาจากค่ายบนดอย ผมก็กลับมาเปล่าเปลี่ยวนอนแฟบอยู่ที่หอพัก ชีวิตที่วนเวียนเป็นวัฏจักรไร้แก่นสารจึงบังเกิดขึ้น นอนกินบ้านกินเมืองแบบข้ามวัน หรือถ้าติสท์แตกขึ้นมาก็ไปนั่งสเก็ตช์รูปเล่นในมหา’ลัยบ้าง         วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมนอนหงอยเหมือนไก่ป่วยอยู่ในห้องมืดๆ ปิดม่าน ปิดไฟ แต่ผ่านไปประมาณสิบนาทีกว่าได้ ไอ้ห้องข้างๆ ได้ข่าวว่าเพิ่งย้ายมาใหม่ คงจะกำลังขนของเข้ามาในห้อง แต่ประเด็นคือ ผมต้องการความเงียบสงบ ผมผุดลุกจากเตียงนอนเมื่อทนไม่ไหวกับเสียงกุกๆ กักๆ น่ารำคาญจากห้องข้างเคียงทางฝั่งขวามือ
ทำอะไรของมันวะ ผมคิดอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินออกจากห้องแล้วเดินไปยังห้องข้างๆ ผมถอนหายใจเซ็งก่อนจะง้างแขนเคาะประตูรัวๆ อีกฝ่ายจะได้รู้ว่าผมอารมณ์ไม่ดีแค่ไหน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจกวนด้วยการเงียบกริบ แต่ผมยังได้ยินเสียงลากอะไรสักอย่างในห้องดังแว่วออกมา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะประตูห้องอีกครั้งอย่างหงุดหงิด ต้องเป็นผู้ชายแน่ๆ แม่งกวนตีนแบบนี้ รอไม่นานนัก ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ประตูห้องจากนั้นประตูห้องก็แง้มเปิดออกช้าๆ
“มีอะไร”เสียงคุ้นหูที่แค่พูดมาคำเดียวหลับตาฟังก็รู้ว่าเป็นใคร เมื่อประตูเปิดออกกว้างเผยให้เห็นผู้ชายร่างสูงสวมแว่นกรอบสีฟ้า ไอ้ยิมเจ้าเก่านั่นเอง มันใส่เสื้อแขนกุดสีขาวกับกางเกงบอล ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย ผมมันยาวมากขึ้นทำให้ดูเซอร์นิดๆ
“อ้าวเฮ้ย ไอ้ยิม นี่มึงย้ายมาหอนี้เหรอวะ” ผมแปลกใจและถามโง่ๆออกไป ก่อนจะชะเง้อหน้ามองผ่านไอ้ยิมเข้าไปในห้องโล่งสะอาดที่มีกล่องพลาสติกวางซ้อนกันสองใบกับกระเป๋าสีดำใบใหญ่
“เห็นๆ อยู่ แล้วมึงมีธุระอะไร น่ารำคาญ”ไอ้นี่มันพูดดีด้วยไม่ได้ ผมนิ่วหน้า ผมพูดดีๆ กับมันนะเฮ้ย แล้วดูมันพูด ปากมันอย่างกับโถส้วมไม่น่าฟังเอาเสียเลย แบบนี้แหละผมถึงไม่นึกอยากจะคิดเรียกมันว่าพี่
“เออ มึงนั่นแหละทำเสียงดัง กูรำคาญ หัดเกรงใจบ้างสิ ปิดเทอมแล้วไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนอยู่”ผมมองหน้ามันนิ่งๆ อย่างไม่สบอารมณ์แม้แต่นิดเดียว อยากจะเข้าไปกระชากแว่นโง่ๆ ของมันออกไปให้พ้น
“เหรอว แค่นี้ใช่ไหม”อีกฝ่ายพูดห้วนๆ ใบหน้านิ่งเฉยตามแบบฉบับพิมพ์เดียวของมัน มันตั้งท่าจะปิดประตูแต่ผมยื่นเท้าไปกันไว้ก่อน ยังดีที่มันมีสำนึกไม่โหดร้ายปิดประตูหนีบเท้าผม
“อะไรของมึงวะ มาทำมึนใส่กู”ผมพึมพำ ขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้ว่ามันตั้งใจจะกวนตีนหรือเปล่าแต่ผมไม่พอใจมันมากกว่าเดิม
“นึกว่าไม่มีคนอยู่”ไอ้ยิมพูดห้วนๆ สีหน้าไม่ทุกข์ร้อนอะไร ความสูงของมันกับผมห่างกันไม่มากถึงขั้นเงยหน้ามองกัน ไอ้ยิมสูงกว่าผมไม่กี่เซ็นเอง เสียดายผมน่าจะสูงให้ได้เท่าๆ มันจะได้ไม่เสียเปรียบแม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม
“อืม แล้วย้ายมาถาวรเลยเหรอวะ ท่าทางจะเฮิร์ทหนัก”ผมไม่สนใจแค่พูดจี้จุดตายของมันแล้วหัวเราะเยาะใส่เพื่อความสะใจ
“ยุ่งอะไรด้วย”ไอ้ยิมหน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิม มันยืนจ้องผมนิ่ง ตอนรกผมคิดว่ามันจะพุ่งมาต่อยหน้าผม แต่มันแค่ยืนเป็นหุ่นทะมึนตึงแผ่รังสีเหี้ยมๆ
“แค่พูดลอยๆ เฮ้อ มึงนี่ไม่เป็นมิตรเลย”ผมหงุดหงิด
ในเมื่อพยายามปฏิสัมพันธ์ที่ดีใส่แล้วยังจะมาเป็นศัตรูใส่ผมอีก ผมหมดปัญญาจะเสวนาด้วย ผมเดินกลับเข้าห้องของตัวเองเพื่อเป็นการระงับอารมณ์ที่เริ่มกลับมาคุกรุ่น
ผมนึกอยากจะโทรไปหาไอ้สองเรื่องไอ้ยิมย้ายหอ แต่แล้วเปลี่ยนใจเพราะไม่อยากให้ไอ้สองมันอึดอัดใจ มันเองลำบากใจไม่น้อยเหมือนกัน อีกอย่างได้ยินว่ามันจะกลับบ้านไปหาพ่อมันแล้ว ผมเลยหยิบโทรศัพท์มานอนเล่นเกมไปพลางๆ แก้เซ็ง ผมกับไอ้สองคล้ายกันอย่างหนึ่งคือเป็นคนขี้เบื่อ บางครั้งผมเซ็งตัวเองที่เบื่อหน่ายไปกับทุกอย่างจนไม่เป็นทำอะไร
นอนเล่นเกมไปได้สักพัก ก็มีคนมาเคาะประตูห้องผมเบาๆ นึกสงสัยแต่ในใจแอบคิดไปว่าต้องเป็นไอ้ยิมแน่ๆ เพราะคงไม่มีใครหน้าไหนที่ผมรู้จักในหอพักนี้ ผมถอนหายใจแล้วเดินไปเปิดประตู มันจะมากวนตีนอะไรอีก
"รหัสไวไฟอะไรวะ”เป็นไอ้ยิมจริงๆ ด้วย ทันทีที่เปิดประตูออกมันก็ถามขึ้นมาทันที ใบหน้านิ่งเฉยแววตาสีดำจ้องผ่านกรอบแว่นมีความกังวลเล็กๆ อยู่ สงสัยกลัวผมจะกวนประสาทมันกลับ
"แล้วพี่เขาไม่ได้บอกมึงเหรอไง”ผมถามอย่างแปลกใจ ปกติเจ้าของหอจะต้องบอกพาสเวิร์ดไวไฟกับคนที่เข้าพัก
"อืม ลืมถามด้วย" ไอ้ยิมตอบกลับมาสั้นๆ ผมจ้องหน้ามันอยู่พักหนึ่งก่อนจะบอกรหัสมันไป
"######"อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วจิ้มโทรศัพท์ไปมา ผมเห็นว่ามันเข้าไวไฟได้แล้วจึงปิดประตูใส่ แต่ทว่าไอ้ยิมมันรั้งประตูไว้เต็มแรง สร้างความประหลาดใจให้ผมอีกครั้ง ผมมองมันงงๆ "มีอะไร"
"ขอคุยอะไรด้วยหน่อย"ไอ้ยิมพูดช้าๆ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเหมือนมีเรื่องกังวลใจ มันมองผมก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง ผมย่นหน้าแล้วเดินตามไปพลางสงสัยว่ามันอยากจะคุยอะไรกับผมกันนะ
เมื่อเดินเข้ามาในห้องของไอ้ยิม ข้าวของเครื่องใช้ของมันไม่มีอะไรมากมายยกเว้นพวกหนังสือนี่มาเป็นกล่องเชียว แถมผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้มล้วน ดูแล้วท่าทางระเบียบจัดเพราะของถูกวางเป็นที่ทางอย่างเรียบร้อย
"อือ มีอะไรก็ว่ามา" ผมเริ่มก่อนจะเดินไปลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับเตียงที่มีไอ้ยิมนั่งอยู่ มันเงียบก่อนจะถอนหายใจถอนแว่นตาออกมาเช็ด
"...มึงรู้เรื่องไอ้สองกับไอ้ท็อปไหม" ในที่สุดมันก็กล้าพูดออกมาจนได้ ทันทีที่มันพูดจบผมมองหน้ามันนิ่งๆ อย่างใคร่ครวญ ไม่คิดว่ามันจะถามเรื่องนี้แต่ผมก็ไม่ได้ประหลาดใจ
"อืม รู้สิ ทำไมวะ” ผมรู้ดีว่ามันถามผมทำไม แต่ผมแค่อยากรู้ว่ามันจะตอบผมแบบไหน
"...มันสองคนจะกลับมาคบกันใช่ไหมวะ" ไอ้ยิมพูด มันเงยหน้ามองผมแววตาสีดำของมันดูวูบไหวอย่างหมดหวัง ผมถอนหายใจ
"ไม่รู้สิ แต่คงจะรีเทิร์นล่ะมั้ง... นี่มึงยังหวังอยู่อีกหรือไง" ผมส่ายหน้า ลึกๆ ก็เห็นใจมัน ชอบไอ้สองมาตั้งแต่มัธยมแต่ดันแห้วซะอย่างนั้น ถ้าเป็นผมจะไม่รอนานขนาดนี้หรอก คิดจะชอบจะรักมันก็ต้องกล้า ทำปอดแหกโดนคาบไปแดกหมด... ผมเองเจอมาเยอะไอ้กรณีแบบนี้
"กูกำลังทำใจอยู่นี่ไง” ไอ้ยิมกลับมาสวมแว่นตามเดิม มันถอนหายใจก่อนจะเอนตัวลงนอนกับเตียง
"อืม แล้วไงวะ ที่จะคุยกับกูคือถามพวกเรื่องนี้เนี่ยนะ" ผมกอดอกมองมันที่นอนนิ่ง สายตามองไปยังเพดานห้องอย่างเหม่อลอย
"เปล่าหรอก... คือ กูคงไม่ไปเจอมันสักพักแต่กูก็อดอยากรู้เรื่องของมันไม่ได้ มึงช่วย..."
"อยากให้กูคอยรายงานเรื่องของมันว่างั้นเหอะ แล้วทำแบบนี้มึงจะลืมมันได้จริงๆ เหรอ เฝ้าตามเรื่องของมันแบบนี้ ปล่อยวางเหอะ มึงเองนั่นแหละที่จะเหนื่อย" ผมบอก ไม่อยากเห็นใครมาอกหักเพราะไอ้สองโดยเฉพาะไอ้ยิม ยอมรับว่ามันเป็นคนดีคนหนึ่ง
"ทำเป็นพูดดี กูแค่อยากรู้ว่ามันจะมีความสุขไหมก็เท่านั้น ไม่ใช่ว่ากูจะไม่ลืมมัน" ไอ้ยิมตอบกลับมานิ่งๆ มันขยับลุกขึ้นมานั่งตามเดิม มันมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
"ตามใจ ที่พูดเพราะหวังดี ป่วยใจมากๆ แล้วมันจะป่วยกายเอา เฮ้อ เพื่อนกูมีอะไรดีวะนั่น" ผมส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ
"เออๆ อย่าพูดมาก แล้วนี่มึงเมื่อไหร่จะพูดดีๆ กับกูวะ" ไอ้ยิมย่นคิ้วมองหน้าผมเหมือนต้องการคำตอบ ผมเบ้ปากไหวไหล่ยึกยัก
"หึ มันไม่ชิน กูกระดากปากว่ะ" ผมพูดตามที่คิด คนไหนถ้าผมขึ้นมึง-กูด้วยแล้วก็ยากที่จะมาพูดเพราะใส่กัน ไอ้ยิมหัวเราะเบาๆ ผมมองมันอยากแปลกใจ ไอ้นี่หัวเราะเป็นนี่หว่าแล้วเสือกทำหน้าเหมือนโลกจะแตก
“แล้วนี่จะย้ายมาถาวรหรือชั่วคราว”
“ยังไม่รู้เลย ต้องดูสถานการณ์ก่อน”อีกฝ่ายตอบ ผมมอง ว่าแต่สถานการณ์อะไรยังไง
"...กูไปได้ยังวะ" ผมถามเพราะรู้สึกอึดอัดขึ้นมานิดหน่อย ไอ้ยิมมองหน้าผมเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่กล้า
"ยัง... อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย..." มันพูดเบาๆ ไม่ได้มองหน้าผมแต่สนใจโทรศัพท์ในมือที่ฟอร์มกดนั่นนี่ไปพลางๆ ผมนึกขำอยากแซวมันขึ้นมา
"วิ้ว เหงาเหรอ ไปเที่ยวกับกูไหม ดีกว่านั่งหม่นหมองเศร้าสร้อยนะเว้ย” ผมหัวเราะยื่นมือไปตบแขนมันไปการแกล้ง ไอ้ยิมทำหน้าบูด
"แดกเหล้าเหรอ ไม่เอา ไม่อยากเมา"
"ไหนว่าคอแข็งวะ เออตามใจแล้วกัน" ผมถอนหายใจก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องอย่างหาที่วางสายตาไม่ได้เพราะไอ้ยิมมันไม่ชวนคุย มานั่งซึมกะทือหมดท่าอยู่อย่างนั้น เห็นแล้วรำคาญลูกตา
"มึงไม่กลับบ้านเหรอไงวะ" ในที่สุดมันก็ถามผมด้วยคำถามแปลกๆ เหมือนพยายามหาเรื่องคุยเท่านั้น ผมหัวเราะในใจ
"ไม่อะ เบื่อแล้ว ...แล้วมึงล่ะ" ผมถามกลับไปตามมารยาท
"อือ คงอยู่ห้องอีกวันสองวันแล้วจะไปเยี่ยมญาติ" มันตอบสั้นๆ ตามเคย ทำเอาผมเงียบไปพักนึง
"อ๋อเหรอ แล้วนี่น้องมึงเลิกบ้าไอ้สองยังวะ" ผมวกกลับมาเรื่องไอ้สอง เรื่องไอ้โยจะว่าไปผมเคยเจอมันสองสามครั้ง หน้าตาคล้ายๆ ไอ้ยิมแต่แค่เตี้ยกว่า ขาวกว่า น่ารักกว่า แต่มาหลงไอ้สองซะได้
"ถามทำไม อย่าพูดถึงมันเลย" ไอ้ยิมอารมณ์เสียขึ้นมา ผมหัวเราะ
"พี่น้องแม่งรสนิยมเดียวกันเลย"
"ยังไม่หุบปากอีก" มันจ้องหน้าผมเป็นการขู่
"เออๆ" ผมเงียบขี้เกียจเถียงมัน พอมาคิดๆ ดูแล้ว ชีวิตผมวนเวียนอยู่รอบๆ เกย์หลายคน ไหนจะไอ้สอง เพื่อนในคณะอีกหลายคน รวมถึงไอ้ยิมด้วย ผมเองไม่ได้มีอคติกับคนพวกนี้หรอก
ผ่านไปหลายนาทีเหมือนหลายชั่วโมง ผมนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ ส่วนไอ้ยิมนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่เงียบๆ ผมถอนหายใจทิ้งแรงหลายครั้ง น่าเบื่อ ทำไมมันเป็นคนพูดน้อยแบบนี้นะ อยู่กับไอ้สองมันเงียบแบบนี้ไหมวะ คงไม่ ถ้าคนที่มันชอบมันคงหาเรื่องคุยจนได้นั่นแหละ แล้วทำไมผมต้องมานั่งทุกข์ทรมานอยู่กับมันด้วยเนี่ย
"เฮ้อ เบื่อออออออ" ผมลากเสียงยาวเพราะมันน่าเบื่อจริงๆ ผมบิดขี้เกียจ ไอ้ยิมเงยหน้ามามองก่อนจะทำหน้าลังเล มันหมุนโทรศัพท์ในมือไปมา
"...ไปหาอะไรกินไหมวะ แถวๆ นี้กูไม่ค่อยได้มา มีร้านอะไรอร่อยๆ ไหม" มันเอ่ยแข็งๆ น้ำเสียงประหม่าๆ ถือว่าเป็นการสานมิตรก็แล้วกัน มันอาจจะยังไม่ชินที่มาทำดีกับผมเหมือนที่ผมทำดีกับมัน
"ร้านข้าวน่ะเหรอ อร่อยทุกร้านนั่นแหละ" ผมบอกมันไป อาหารทุกร้านกินอร่อยหมดเว้นแต่คนเรื่องมากเท่านั้นที่เลือกแดก
"เออ แนะนำสักร้านสิวะ" ไอ้ยิมส่งสายตาตำหนิมาให้
"เอ้า จะชวนกูไปด้วยเหรอไง" ผมหัวเราะไปด้วย
"เออ" มันตอบกลับมาแบบนี้ทำเอาผมนิ่ง มันมาไม้ไหนกันแน่วะเนี่ย เดาไม่ถูก ผมชอบกลบเกลื่อนด้วยการหัวเราะไม่ก็ทำแซวไปแบบนั้น อันที่จริงไปไม่เป็นต่างหาก
"อุ้ย ใจดีเว่อร์ กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าวะเนี่ย" ผมพยักหน้าไปด้วยพลางหรี่ตามองหน้ามัน
"พูดมาก กูเห็นว่ามึงเป็นคนใช้ได้อยู่ จะแดกไหมของฟรีน่ะ" ไอ้ยิมบอกก่อนจะลุกออกจากเตียงไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุด
"เออ เรื่องแดกฟรีกูไม่พลาดอยู่แล้ว" ผมผุดลุกจากเก้าอี้ยืนมองมันเปลี่ยนเสื้อใหม่เป็นเสื้อบอลสีเดียวกันกับกางเกง ผมไปแค่ตัวเปล่าก็พอในเมื่อมันบอกจะเลี้ยงผมนี่

ระหว่างทางนั้นผมทำหน้าที่คนขี่ ส่วนมันซ้อนผมเพราะไม่รู้จักร้านอาหาร ซึ่งแปลกมาก ไอ้ยิมมันอาศัยอยู่แค่โซนเดียวหรือไงกัน ผมเลือกร้านอาหารตามสั่งราคาย่อมเยาแถมได้เยอะ คุ้มค่าที่สุดแล้ว ไอ้ยิมเดินตามผมมาด้วยท่าทีเงอะงะ ทำเหมือนไม่เคยมานั่งในร้านข้าวธรรมดาๆ แบบนั้นแหละ ผมส่ายหน้า ไอ้ยิมเป็นประเภทไม่ค่อยมั่นใจถ้าไปอยู่ในสถานที่แปลกใหม่และท่ามกลางสายตาคน ผมกับมันนั่งโต๊ะริมสุด
"ร้านนี้ได้เยอะ แต่ช้าหน่อยนะ" ผมบอกมันขณะที่นั่งลงที่โต๊ะ
"อืม" มันพยักหน้าแล้วนั่งลงตรงข้ามกับผม ขณะที่สั่งอาหารไปแล้วก็เกิดความเงียบที่ชวนอึดอัดระหว่างมันกับผม
"เออ กูว่าจะถาม ดาวคณะมึงอะที่ชื่อมิวนี่โสดไหมวะ" ผมหาเรื่องคุย จำได้ว่าเคยส่องดาวคณะมันคนล่าสุด ตัวเล็กๆ น่ารักดี เคยคิดจะจีบอยู่เหมือนกันแต่ไม่มั่นหน้า
"ทำไม จะจีบเหรอ" ไอ้ยิมเลิกคิ้วมองเหมือนจะหลุดขำ
"เออ กูเล็งมาตั้งนานแล้ว" ผมไหวไหล่ไม่สนใจ ก็ได้แต่มองเท่านั้นแหละ
"เขาไม่เอามึงหรอก ต้องหล่อๆ รวยๆ" ไอ้ยิมหัวเราะเยาะ
"กูหล่อนะ ฐานะก็มีอันจะกิน” อย่างน้อยๆ บ้านมีกิจการของตัวเองนะเว้ย
"ขับเบนซ์ด้วย ไม่ใช่เวสป้าเก่าๆ อย่างมึง" ไอ้ยิมได้ทีถือโอกาสทับถมผมอย่างสะใจ มันยิ้มเย้ยหยันในความจนของผม
"เดี๋ยวเหอะมาดูถูกเวสป้ากู หึ กูก็ถามไปแบบนั้นแหละ" ผมไหวไหล่ไม่สนใจ 
"เหอะ กระจอก" มันมองหน้าผมนิ่งๆ แล้วก้มมองโทรศัพท์ตามเดิม
"คงงั้น" ผมถอนหายใจหน่ายๆ
"ขอเบอร์มึงหน่อยดิ" ไอ้ยิมเงยหน้ามองผม มันยื่นโทรศัพท์มาให้จ่อตรงหน้า ผมอึ้งไปสักพัก
"คิดอะไรกับกูเปล่าว้า ฮ่าๆ" จากนั้นก็นึกได้ว่าอย่างมันคงเอาเบอร์ผมเมมไว้เฉยๆ ในฐานะเพื่อนล่ะมั้ง
"กลับไปส่องกระจกเหอะ แค่เอาไว้ติดต่อเผื่อมีอะไร"
"จะไปมีอะไรได้ล่ะวะ อะๆ เหงาๆ ก็โทรมานะ" ผมหัวเราะ ไอ้ยิมทำหน้าบอกบุญไม่รับ มันทำหน้าบึ้ง
"แค่เมมไว้เท่านั้นแหละ" ไอ้ยิมพึมพำ จากนั้นก็ไม่ได้พูดคุยกันต่อเพราะข้าวมาเสิร์ฟพอดี
หลังจากที่ทานข้าวกันจนอิ่ม ผมกับไอ้ยิมก็กลับมาที่หอพักตามเดิม ห้องใครห้องมัน ผมนอนคิดเรื่องไอ้ยิมกับไอ้สองอยู่นาน สำหรับผมไอ้สองมันคงกลับไปคบกับพี่ท็อปสุดที่รักของมันต่อแน่ๆ ฟันธง100% ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้โทรรายงานให้ผมฟังเพราะผมเองรู้จักคนอย่างไอ้สองดี ถ้ามันรักใครแล้วล่ะก็คงเปลี่ยนใจยาก ส่วนไอ้ยิมคงไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว ทางที่ดีมันควรหาเด็กคนใหม่มาดามใจคงจะง่ายกว่า... ล่ะมั้ง
ส่วนไอ้ยิมได้ยินว่ามันไปเยี่ยมญาติที่ฮ่องกงหลังจากที่พยายามสร้างความเป็นมิตรระหว่างผมกับมัน อีกฝ่ายมันเริ่มทำตัวเหมือนคนปกติมากขึ้น มนุษยสัมพันธ์ค่อยดีขึ้นมาหน่อย
“ไม่กลับบ้านใช่ไหมวะ ฝากเฝ้าห้องด้วยแล้วกัน” วันเดินทางมันมาเคาะประตูห้องผม เห็นกระเป๋าเดินทางของมันมีใบเดียว แต่งตัวเซอร์สบายๆ กางเกงยีนกับเสื้อยืดสีขาวมีแว่นดำเหน็บอยู่ (ซึ่งผมไม่เข้าใจว่ามันจะเอามาใส่หรือแค่ทำให้ดูเท่เพราะมันเป็นแว่นกันแดด) คนหน้าตาดีใส่อะไรก็ดูดีไปหมดจริงๆ
“อะไร จะมีใครมาปล้นห้องมึงหรือไง” ผมพูดขำๆ ใจจริงมันคงอยากมาบอกลามากกว่า แต่มันไม่กล้าพูดหรือเปล่านะ
“หึๆ ล้อเล่น” ไอ้ยิมโบกมือ
“เออ โชคดี เดินทางปลอดภัย ขอของฝากด้วยนะเว้ย ของกินยิ่งดี” ผมแกล้งบอกไปแบบนั้น ดูสิ ขากลับมันจะมีอะไรมาให้ผมหรือเปล่า แอบหวังของฟรี ไอ้ยิมส่ายหน้าก่อนจะโบกมือให้ผมอีกรอบแล้วเดินลงบันไดไป ผมถอนหายใจมองเจ้าตัวเดินหายไปจากสายตา 
ผมกลับมาใช้ชีวิตไปเหมือนไร้จุดหมาย สองเดือนเศษๆ ในระหว่างปิดเทอมไม่มีอะไรให้หวือหวาหรือทำให้ผมหายเบื่อได้ และในบางวันผมเข้าไปในเมืองเป็นครั้งคราวเพื่อไปดูแลร้านอาหารให้พ่อ ซึ่งผมประจำอยู่สาขาที่สองและมีขนาดเล็กกว่า บางครั้งผมก็รับออเดอร์ บ้างครั้งก็เป็นแคชเชียร์ ไปตามอารมณ์ของผม
"ผิง ไปรับออเดอร์โต๊ะสิบให้ทีได้ไหมพี่ขอเคลียร์บิลให้ลูกค้าก่อน" พี่ฝนลูกพี่ลูกน้องของผมซึ่งเป็นคนดูแลร้านสาขานี้มานานบอกกับผม ซึ่งพี่ฝนสนิทกับพ่อแม่ผมพอสมควร ท่านเลยสั่งให้พี่ฝนดูแลผม ทำอย่างกับว่าเป็นเด็กๆ ไปได้นะ
"โอเคครับ" ผมรับคำแล้วเดินไปที่โซนด้านนอก มีลูกค้านั่งอยู่ประมาณ 4-5 โต๊ะ ผมมองหาโต๊ะใหม่ที่อยู่ใต้ต้นไม้ริมสุด ปรากฏว่าเป็นครอบครัวของไอ้ยิมซึ่งมาพร้อมหน้าพร้อมตากันสี่คนพ่อแม่ ลูกชายทั้งสองคน ไอ้ยิมมองผมอย่างแปลกใจในขณะที่ไอ้โยโบกมือยิ้มแย้มให้ผมที่เดินเข้ามาใกล้พร้อมยื่นแฟ้มเมนูให้สองเล่ม
"อ้าวพี่ผิง หวัดดีครับ มาทำงานที่นี่เหรอ" ไอ้โยเอ่ยทักทายเสียงสดใส
ตอนนี้มันรอเปิดเทอมของม.6 มันเรียนเอกชนหรือเปล่านะ เพราะสีผมสีน้ำตาลเข้มตัดกับผิวขาวๆ ของมันได้ดี ไปอยู่ฮ่องกงมาทำให้มันดูผ่องๆ ขึ้น ผิดกับไอ้ยิม มันเหมือนเดิมแค่ดูผอมมากกว่าเดิม ที่สำคัญมันทำผมใหม่จากที่เป็นทรงปกติตอนนี้มันดูนุ่มนวลขึ้น ผมยาวระต้นคอ
"อ๋อ ไม่ใช่หรอก มาช่วยพ่อทำงานน่ะ นี่ร้านของพ่อพี่เอง" ผมยิ้มตอบ พ่อแม่ของสองพี่น้องมองผมอย่างเป็นมิตรทำให้ผมต้องยกมือไหว้ตามมารยาท
"อ๋อ ดีเลย กินฟรีได้เปล่า" ไอ้โยหัวเราะ
"โย ไปพูดแบบนั้นได้ไง" แม่ของมันตีแขนมันดังเพียะ ไอ้โยทำหน้างอ
“อะไรอะม้า โยแค่พูดเล่นๆ เอง พี่ผิงรู้อยู่แล้วน่า”
"มีเมนูแนะนำไหม" ไอ้ยิมพูดขึ้นมา สายตามันมองเมนูในมือแท้ๆ ซึ่งหน้าแรกมันก็มีเมนูแนะนำอยู่แล้ว ผมมองหน้ามัน มันคงตั้งใจจะกวนตีนผมสินะ
“มีสลัดปูนิ่ม สลัดกุ้งกรอบ ทอดมันปลากราย ปลาทับทิมราดซอสมะขาม ยำตะไคร้อ่อนกุ้งสด สนใจเมนูไหนครับ รับมิกเซอร์อะไรดี น้ำเปล่า เหล้า เบียร์ น้ำอัดลม ไอศกรีม” ผมยิ้มให้มัน ไอ้ยิมเงยหน้ามองผมก่อนจะหันไปมองหน้าพ่อแม่มันบ้าง ไอ้โยหัวเราะ
“พี่ผิงประชดอะ ไหนๆ ดูสิ อืม ป๊ากับม้าอยากกินอะไรอะ น่ากินทั้งนั้นเลย” ไอ้โยยื่นเมนูไปให้พ่อกับแม่ของมันที่ดูนิ่งๆ ยกเว้นคนแม่หน้าตาเป็นมิตรมากกว่าพ่อ
โต๊ะไอ้ยิมสั่งอาหารมาสามสี่อย่าง ไม่มีเมนูที่ผมแนะนำไปสักอย่าง ผมขี้เกียจเจอหน้าไอ้ยิมเลยให้พนักงานคนอื่นไปบริการแทน หลังจากที่ช่วยงานที่ร้านได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ผมก็เบื่อบวกกับขี้เกียจ เงินค่าจ้างก็ไม่ได้เลยกลับไปนอนเล่นที่หอพักจะดีกว่า เพราะอีกสองสัปดาห์มหาลัยจะเปิดแล้ว

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 1
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 02-09-2015 02:53:56


ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองเจอกับไอ้ยิมที่ยืนพิงผนังห้องใกล้กับประตูห้องของมันพร้อมก้มหน้ากดโทรศัพท์ในมือ ไอ้ยิมเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงผมเดินมาใกล้ๆ ผมเลยแกล้งทวงของฝากจากมันซะเลย

“กลับจากฮ่องกงแล้วไหนล่ะของฝากกูน่ะ”
"หน้าด้านขอนะมึง" มันแค่ยิ้มมาให้ ช่วงที่ผ่านมาผมพอจะรู้จักนิสัยของมันอยู่บ้าง มันเป็นประเภทปากร้ายแต่ใจดี
"เออดิ ของฟรีกูช้อบชอบ” ผมพูดขำๆ ซึ่งเป็นเรื่องจริง
“เข้ามาสิ” มันเปิดประตูห้องตัวเอง ผมเลยเดินตามมันเข้าไป ตกลงมันยืนรอผมเหรอ แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง มันอาจจะบังเอิญพอดิบพอดี

“อย่าบอกนะว่าซื้อมาให้ไอ้สองด้วย" ผมนึกขึ้นได้ปากไวพูดออกไปแบบนั้น ไอ้ยิมมันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันมาจ้องหน้าผม สายตามันแข็งๆ ผ่านแว่นอันโปรดของมัน
"ก็กะอยู่... แต่ไอ้โยมันซื้อไปแล้ว" มันทำหน้าตายไหวไหล่แล้วเดินไปหยุดที่เตียงเห็นมีถุงชอปปิ้งใบใหญ่ๆ วางอยู่หลายถุง
"หึๆ งั้นเหรอ น้องตัดหน้าไปซะแล้ว”
"พูดมาก จะเอาไหมของฝากน่ะ" ไอ้ยิมมันหันมาส่งสายตาพิฆาตให้ผมอีกรอบ
"อ้าว ซื้อมาจริงๆ เหรอ" ผมแปลกใจ แค่แซวมันขำๆ เท่านั้นเอง ไม่คิดว่าจะซื้อมาให้จริงๆ แอบเกรงใจขึ้นมานิดๆ "เกรงใจนะเนี่ย ไหนๆ ซื้ออะไรให้กู" ผมยิ้ม ไอ้ยิมทำหน้าบึ้งตึงก่อนจะยื่นถุงกระดาษท่าทางหนักมาให้ผม
"ไม่รู้ว่าจะถูกใจหรือเปล่า แต่น่าจะเหมาะกับมึง" มันบอก ผมเอื้อมมือไปหยิบถุงกระดาษมาดู ข้างในมีกล่องสีน้ำแบรนด์ shinhan art กล่องใหญ่กับหมึกจีนสำเร็จรูป แท่งหมึก พู่กันจีนขนนิ่มขนแข็ง และเห็นชุดแท่งสีจีนด้วย
"เฮ้ย ทำไมมึงซื้อมาเยอะจังวะ" ผมอุทานอย่างตกใจ คือของพวกนี้ได้ยินว่าราคาแพง
"เห็นจนๆ เลยซื้อให้" ไอ้ยิมกอดอกมองผม
"แหม ใจบุญว่างั้นเถอะ ยังไงก็ขอบใจมากนะเว้ย"
"อืม... มึงเองก็ไม่ใช่คนไม่ดี"
"เอ... ตัังใจจะซื้อให้กูหรือว่าจะให้ไอ้สองกัน" ผมถามเพราะยังแปลกใจไม่หาย ของราคาดีเกินไปสำหรับเพื่อนของคนที่มันชอบ มันลงทุนเกินไป เมื่อกี้มันบอกอยู่ว่าไอ้โยตัดหน้า นึกว่าพูดเล่นๆ ซะอีก
"...ก็ ตามนั้นนั่นแหละ เออถ้าไม่เอาก็วางไว้ที่เดิม" ไอ้ยิมทำท่าจะเดินเข้ามาดึงถุงของกลับไป แต่ผมเร็วกว่าเลยถอยหลังหนี
"เรื่องอะไร ของแพงนะเว้ย" ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้ ผมพอจะเดาได้อยู่แล้วว่ามันต้องซื้อมาฝากไอ้สอง แต่ดีแล้วที่ไอ้ยิมไม่ได้ให้ไอ้สองเพราะมันไม่ใช่คนที่ชอบสไตล์วาดแบบจีน ใช้พู่กัน หรือลายเส้น
"หึ แล้วไม่ไปทำงานหรือไง" มันทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย ผมเลยต้องตามน้ำไป
"ไม่ไป วันนี้ขี้เกียจ"
"อืม"
"เออ ยังไงก็ขอบใจนะเว้ย" ผมบอกมันแล้วยิ้มให้ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่ประตู
"เฮ้ย เดี๋ยวดิ ได้ของแล้วแม่งหนีกูเลย" ไอ้ยิมดันรั้งไว้ก่อน อะไรของมัน
"มีอะไร"
"ไปด้วยกันไหม"
"หา อะไรนะ" ผมทำหน้างงๆ เพราะไม่เข้าใจที่มันพูดเลย ไปไหนกับมัน ไอ้ยิมมันถอนหายใจทำหน้านิ่ง
"ไปขี่รถเล่นเป็นเพื่อนกูหน่อย ไม่มีเพื่อน" ผมมองหน้าไอ้ยิมทันที มันแอบคิดอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย เพราะมันเป็นเกย์... แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง
"ไปแถวไหน" ผมถามต่อเพราะยังติดค้างเรื่องของฝากที่ราคาแพง
"ในมอนั่นแหละ"
"ในมอมีอะไรวะ... เออๆ ตามใจ ถือว่าตอบแทนค่าสีก็แล้วกัน" ผมตอบ ไอ้ยิมยิ้ัมออกมาบางๆ ก่อนจะหยิบกุญแจรถมาถือแล้วโยนให้ผม
“อะไร จะให้กูขี่?” ผมทำหน้างงๆ ไอ้ยิมยักคิ้วให้เป็นคำตอบ ผมย่นหน้า “เออๆ เอาของไปเก็บก่อนนะ” ผมบอกแล้วเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองพลางคิดเรื่องของมันไปด้วย อยู่ดีๆ มาทำดีด้วยซะงั้น อยากเป็นมิตรกันว่างั้นเหอะ ผมรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี ปกติจะแขวะมันแซวมันตามความสุขส่วนตัว จะให้มาพูดจาดีๆ ด้วยแล้วมันขนลุกพิกล ผมหยิบเสื้อคลุมแขนยาวมาด้วยก่อนจะเดินออกจากห้อง ไอ้ยิมมันยืนรอทำหน้ายักษ์อยู่

“มึงจะไปทำอะไรที่มอวะ ถามจริง” ผมถามมัน ไอ้ยิมไม่ตอบ “เอ้า เงียบอีก จะรู้ด้วยไหมเนี่ย”
“กูอยากไปให้อาหารปลาในมอ ไม่เคยไปสักที” มันตอบเรื่อยๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ ผมมองหน้ามันเขม็ง
“อ๋อออออ งั้นเหรอวะ”
“เออ กูไม่มีเพื่อนไปด้วย ชวนมึงไปผิดตรงไหน” มันขมวดคิ้วมองผมนิ่งๆ ผมส่ายหน้า
“ก็เปล่า แค่ถามไง” ผมหัวเราะหึๆ ไม่ได้ต่อปากต่อคำสงสัยอะไรมันอีก เมื่อมาถึงรถมอเตอร์ไซค์ของมัน ก็เป็นผมที่ต้องขี่เหมือนเป็นเบ๊มันกลายๆ เลยว่ะ “นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่มึงชวนกูมาสินะ” ผมบ่นให้มันได้ยิน
ระหว่างทางมันจะขอให้แวะนู่นแวะนี่หลายครั้งจนผมรำคาญ จนกระทั่งผมสามารถพามันมาถึงหอกลางสระน้ำ บริเวณนี้จะมีพวกนักศึกษามาเดินเล่น ให้อาหารปลา แต่อยู่ในช่วงปิดเทอมเลยดูเงียบๆ ไอ้ยิมไปซื้อขนมปังมาสามห่อใหญ่ ปลาที่นี่ตัวใหญ่มากจนผมกลัวว่าถ้ามีใครตกลงไปจะโดนปลามันงับหัวขาดไหม

“อะ” ไอ้ยิมมันยื่นถุงขนมปังมาให้หนึ่งห่อ ผมรับมาก่อนจะฉีกโยนไปท่ามกลางฝูงปลาที่พยายามเข้ามาแย่งขนมปังส่งเสียงตูมตามน้ำกระจาย “ทำไมมึงถึงชอบอยู่คนเดียววะ” อยู่ๆ ไอ้ยิมก็ถามผม
“กูต่างหากต้องถามมึงมากกว่า” ผมขำ ไอ้ยิมถอนหายใจ ดูมันเป็นคนที่เบื่อหน่ายในชีวิตจริงๆ
“ไม่ได้อยากอยู่คนเดียวหรอก แต่บางทีมันก็สบายใจกว่าไง”
“เหรอ เห็นทางสว่างแล้วเหรอไง” ผมหัวเราะ
“เวลามึงมีเรื่องหนักใจ มึงมีวิธีจัดการยังไงวะ” ไอ้ยิมถามออกมา ผมหันไปมองมันก่อนจะคิดตามที่อีกฝ่ายถาม
“เรื่องหนักใจน่ะเหรอ... หึ รู้ไหมกูกับมึงต่างกันตรงไหน กูไม่ชอบเอาอะไรเก็บมาคิดให้วุ่นวาย กูอยากสนุกกับชีวิตให้มากๆ เวลามีปัญหากูก็เผชิญหน้ากับมันตรงๆ แบบให้มันจบๆ ไปเลย ไม่ได้ปล่อยให้มันค้างคาใจนานเกินไป แต่มึงน่ะ... เป็นคนคิดมากนะ ปล่อยวางบ้างก็ได้นะเว้ย มันทุกข์ที่ตัวมึงนั่นแหละ” ผมเทศนามันพอประมาณ ผมเป็นคนไม่คิดมากเป็นทุนเดิมเลยไม่มีปัญหาอะไรมาก่อกวนใจมากมายนัก
“มึงนี่จะละทางโลกแล้วหรือไงวะ” ไอ้ยิมหัวเราะเบาๆ
“ไม่หรอกเว้ย แต่ปัญหาก็อยู่ที่ใจมึงทั้งนั้นแหละ... หรือไม่จริง” ผมหันไปมองหน้าไอ้ยิมก่อนจะยิ้มให้แล้วตบบ่าสองสามที มันมองผมนิ่งๆ คิ้วขมวด คงกำลังประมวลผลอยู่ล่ะมั้ง
“อวดดีนะมึง” มันบ่นพึมพำแต่ก็เถียงไม่ออกนั่นแหละ
“ชีวิตให้มีสีสันดีกว่าว่ะ” ผมหัวเราะ
“มึงบ้าพอตัวเลยนะ”
“หึหึ ถือว่าเป็นคำชมล่ะกัน”
“ไอ้ผิง” ไอ้ยิมเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงซีเรียส
“มีอะไร”ผมหันมองเจ้าตัว ขว้างขนมปังลงน้ำต่อ 
“ไม่คิดจะสุภาพกับกูกว่านี้แล้วเหรอวะ”อีกฝ่ายหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าจริงจัง ผมส่ายหน้า เรื่องแค่นี้เอง ดูมันทำหน้าจริงจัง
“กูไม่รู้สึกอยากจะสุภาพกับมึงเลยว่ะ มึงเหมือนๆ เพื่อนกูคนนึงไง โอเคไหม”ผมบอก ตอนนี้ชินที่จะเรียกมันว่าไอ้นำหน้ามากกว่าการเรียกพี่ไปแล้ว ผมกระดากปากไปหน่อย
“เออ”
“ว่าง่ายเหมือนกันนะ”ผมหัวเราะ
“ตลกเหอะ แค่ไม่อยากขัด อารมณ์กูกำลังดีอยู่อย่าทำให้เสีย”
“อ๋อเหรอ แล้วนี่มึงเมื่อไหร่จะหาแฟนใหม่วะ อย่างมึงหาได้สบายๆ อยู่แล้วถ้าไม่เลือกน่ะ” ผมพูด ต้นทุนดีอยู่แล้วจะเลือกมากทำไม วัยนี้ต้องหาคู่ให้ชีวิตมีสีสันเป็นพอ เรียนจบทำงานแล้วค่อยคิดเรื่องคู่รัก คู่ชีวิต ถึงจะโอเค
“แฟนนะไม่ใช่จับฉลากจะได้จับอันไหนก็ได้อันนั้นแล้วต้องพอใจ” ไอ้ยิมส่ายหน้า
“เอ้า มึงจะคิดอะไรมากมาย รักมันทำให้เกิดทุกข์ก็เพลาๆ มันบ้าง ไม่ต้องรักหรอก แค่สนุกๆ ด้วยกันก็พอ” ผมตบบ่ามันอีกรอบ ไอ้ยิมปัดมือผมออก
“ชีวิตมึงนี่รักสนุกจังนะ” ไอ้ยิมแอบเหน็บผม
“รักสนุกแบบมีสติไง ไม่ใช่เรี่ยราดฟันไม่เลือกนี่ อย่าเข้าใจอะไรผิดๆ ดิ”
“เฮ้อ ไม่คุยกับมึงแล้ว” ไอ้ยิมหันไปสนใจกับการให้อาหารปลาต่อ
“ก็จริง...” ผมไหวไหล่คิดตามกับสิ่งที่พูดก่อนจะขว้างขนมปังก้อนสุดท้ายลงน้ำไป จากนั้นมันก็โดนปลารุมทึ้งจนจมหายไป


ผมกับไอ้ยิมเหมือนเหรียญคนละด้าน มันไม่เข้าใจที่ผมพูดหรือจะสื่อออกมา แต่ยังดีที่มันรับฟังและไม่ต่อต้านเหมือนทิฐิอคติที่มีต่อผมของมันเริ่มลดลง มันมองผมเป็นคนธรรมดาคนนึงได้ แต่มันก็มีหลายสิ่งที่ยังไม่สามารถวางทิ้งไว้ได้ อย่างที่ผมบอกมันไป คนที่หนักก็มีแต่มันนั่นแหละ ไอ้ผมจะช่วยก็ไม่ใช่หน้าที่จะไปก้าวก่ายทำไม ยกเว้นถ้าหากอีกฝ่ายยื่นมือมาขอความช่วยเหลือจากผมล่ะนะ ผมพร้อมจะช่วยมัน... แต่ช่วยอย่างไร ผมเองยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ ความคิดเรื่องของไอ้ยิมเหมือนจิ๊กซอว์กระดาษที่กระจัดกระจาย ยังหาตัวเชื่อมไม่ได้ มันเลยผิดและวนเวียนอยู่แบบนี้

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 02-09-2015 06:07:27
ชอบจัง ผิงยิม แมนๆคุยกันอีกคู่ ถึงตอนนี้จะเป็นเพื่อนแต่ก็โอเคนะ
เราว่ามิตรภาพมันยั่งยืนกว่า คงต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะสนิทใจกันจริงๆและยิมลืมสองในฐานะคนเคยชอบ
ผิงไม่ใช่รางวัลปลอบใจ ผิงน่ารัก.  :mew1:
รอสองท๊อปต่อไปค่ะ ขอบคุณ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 02-09-2015 06:19:05
ยิมผิง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 02-09-2015 08:22:52
สงสัยจะได้คู่ยิมผิงจริงๆ 5555+
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 02-09-2015 10:13:20
เชียรคู่นี้ ยิมผิง เอะ หรือว่าผิงยิมดี 55555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 02-09-2015 11:18:52
ผิงก็มีมุมดีอยู่นะ ผิงยิม :impress2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 02-09-2015 13:05:33
มีคนดามใจยิมแล้วอิอิ

ส่วนคู่หลักนี่ยังพอมีหวังมั้ยเนี่ย มะไรสองคนนี้จะลงเอยด้วยดีสักทีนะ

ตอนนี้สองคงไม่ค่อยเชื่อใจท็อปอีกแล้ว

เป็นเราก็คงคิดแบบสอง คนไม่อาจจะเชื่อได้สนิทใจหรอกกับคนที่เคยหลอกตัวเอง

เราคงไม่มีทางให้อภัยง่าย ๆ แน่ ๆ

เพราะลองได้หลอกไปแล้วครั้งหนึ่งจะต้องมีครั้งต่อ ๆ ไปอีกนั้นแหละ

เพราะงั้นทรมารท็อปให้มาก ๆ เลยนะสองหึหึ  :hao6:  :hao6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 02-09-2015 14:25:30
อร๊ายยยยยยย ยิมผิง ผิงยิม จริงๆใช่ม้ายยยยยยย  o13 o13 ปลื้มมากค่านี่กะไว้แล้วเชียวเห็นตอนไปค่ายคู่นี้เค้าปะทะกันบ่อยๆ หุหุ อยากอ่านคู่นี้อีกจังมาเรื่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 02-09-2015 18:18:50
ผิงยิมหรือยิมผิง(?)
เฮียยิมตัดใจจากสองมามองคนข้างห้องดีกว่านะ 555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 02-09-2015 18:30:31
ชอบนะคู่นี้
ดูมีสตอรี่ เรื่องราวระหว่างกันก่อนค่อยป่ะกันดี
แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องของสองไม่น่าสนใจนะ มันน่าสนใจคนละแบบ
เชียร์และรอติดตามคู่นี้ต่อไป
รอตอนสองท๊อป ท๊อปสองจ้าา
 :impress3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 02-09-2015 19:13:03
ยิมย้ายมาอยู่ข้างห้องผิงแบบนี้จะเกิดไรขึ้นอีกรึเปล่านะ 555

รอสองท๊อปป อยากเห็นพี่ท๊อปตามจีบสอง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 02-09-2015 19:14:02
เริ่มจะชอบยิมแล้วอ่ะดิ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 02-09-2015 21:15:54
ยิมคู่กับผิงด้วย อิอิ
ตอนนี้ผิงกำลังจะวิ่งไปหายิมอ่ะ
อยากให้ยิมชอบผิงก่อนจัง
รอสองออนท๊อปอย่างใจจ่อ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ##-18 { Phing side } #02.09.58 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 03-09-2015 04:19:29
ยิมผิง ยิมผิง ยิมผิง ยิมผิง
ยังไม่ผิงอีกคนที่เข้าใจเธอนะยิม
มองคนใกล้ตัวบ้าง..
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 15 เริ่มต้นใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 04-09-2015 04:59:28
ตอนที่ 15 เริ่มต้นใหม่ สถานะคนข้างห้อง

  เมื่อถึงวันเปิดเทอม เข้าปีการศึกษาใหม่ ผมในฐานะนิสิตปีที่สาม ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นนอกจากตารางเรียนที่แน่นขึ้น ผมกับไอ้ผิง ไอ้โก๋ลงเรียนเหมือนกัน  ส่วนเรื่องของพี่ท็อปนั้นตลอดช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผมไปหาพี่ท็อป ส่วนมากจะพูดคุยเรื่องของกันและกันมากกว่า ให้ผมเรียนรู้พี่ท็อป ให้พี่ท็อปเรียนรู้ผม อะไรที่แย่ๆไม่ดีก็ค่อยๆปรับเข้าหากัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องปรับไปหมดทุกอย่าง ผมชอบพี่ท็อปที่เป็น ‘พี่ท็อป’ อย่างมากก็แค่โทรคุยกันไปเรื่อยเปื่อย และผมก็ไม่ได้บอกพี่ท็อป

เรื่องพี่ดีน ในเมื่อตอนนี้ความสัมพันธ์อยู่ในช่วงดูใจ คงไม่ต้องบอกทุกเรื่อง ให้พี่ท็อปดิ้นรนดูบ้างก็น่าจะดี และผมเองก็คิดว่าพี่ดีนคงไม่มาวุ่นวายกับผมอีกหรอก เพราะพี่แกคงยุ่งกับการทำร่างศิลปะนิพนธ์อยู่
แน่นอนว่าระว่างผมกับพี่ท็อปไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายกันเลย ยกเว้นแค่จับมือเท่านั้น ที่เหลือก็ให้พี่ท็อปเดินหน้าเข้ามาหาผมเองก็แล้วกัน ถ้ารักจริงก็ต้องทุ่มเทหน่อยเป็นไง

ในเย็นวันนี้ สำหรับวันแรกของการเปิดภาคเรียนผมมีนัดที่บ้านไอ้เชี่ยวเพื่อนในเอก นัดกันมาก๊งเหล้าฉลองเปิดเทอม ผมก็ห่างจากแอลกอฮอล์มาหลายเดือน ขอประเดิมซะหน่อย

“ไงมึง หน้าชื่นตาบาน คืนดีกับผัวแล้วหรอ”ไอ้ผิงเอ่ยทักเสียงดังไปทั่วอาณาบริเวณ ผมทำหน้านิ่งๆรักษาฟอร์มไว้

“เมียต่างหาก ทำไมมึงถึงต้องยัดเยียดคำพวกนั้นให้กูอยู่เรื่อย”

“แล้วว่าไงตกลงคืนดีกันแล้ว”

“ก็...กลับมาคุยกัน แต่ยังไม่ใช่แฟนหรอก”ผมบอกเรื่อยๆไม่สนใจสายตาขี้สงสัยของมัน

“อืม ไม่ใช่แฟน แต่กอดจูบลูบคลำได้ตามปกติใช่ป่ะ”ไอ้ผิงยิ้มกวนๆมาให้ เหอะ ปากหมาจริงๆเพื่อนผม

“ไม่ใช่เว้ย กูใจง่ายขนาดนั้นเลย”

“เออ มึงไม่รู้ตัวอีกเหรอ”ไอ้ผิงหัวเราะ

“ถุ้ย เลิกเสือกเรื่องของกูเถอะ”ได้ทีด่ามันไป แต่คนอย่างมันไม่สะทกสะท้านอะไร

 “เออ กูเจอไอ้โยด้วยนะเว้ย มันยังติดต่อมึงอยู่หรือเปล่า”ไอ้ผิง เอ่ยชื่อนี้มาทำให้ผมนึกถึงตอนที่เจอมันมาโผล่ที่หน้าหอพักของผม พร้อมกับของฝากที่มันซื้อมาให้ผม พวกสีจีนพู่กันจีน ผมเรียนจิตกรรมก็จริงแต่สไตล์จีนไม่ใช่ผมเลย ผมไม่ชอบแต่ก็ต้องรับไว้เพราะมันดูตั้งใจจะให้ผมมาก ผมไม่รู้ว่ามันจะเลิกคิดฟุ้งซ่านเรื่องของผมได้หรือยัง

“อืม บางครั้งนานๆทีแหละว่ะ กูนัดเคลียร์กับมันให้จบเรื่องจบราววันนี้”

“ก็ดี จะได้สงบสุขกันเสียที”ไอ้ผิงตบไหล่ผมแรงๆ

“แล้วพวกมันหายไปไหนหมด”ผมเปลี่ยนเรื่องทำท่าทางชะเง้อแลหาพรรคพวก “ไปซื้อน้ำแข็ง นอกนั้นยังไม่มาเลยว่ะ”

เมื่อชาวแก๊งมากันครบจำนวน ก็เริ่มแข่งกันมอมเหล้าคนข้างๆ ไอ้ผิงมันพยายามยัดเยียดเหล้าขาวให้ผมกินให้ได้ แต่ผมเซย์โน ไม่งั้นคงกลับเองไม่ได้แน่ๆ

“กลัวอะไร ให้แฟนมารับสิ เคยมาแล้วไม่ใช่หรอไง”ไอ้โก๋หัวเราะ ผมส่ายหน้า

“เออ กูมีเรื่องจะเมาส์กับมึงไอ้สอง ตกลงมึงมีผัวมีเมียเป็นใครกันแน่วะ เยอะนะมึง”

“เยอะอะไรมึง กูโสดครับช่วงนี้ มึงไปเอาข่าวมาจากไหนไอ้เหยิน”มันชื่อเชี่ยวแต่จุดเด่นคือฟัน ไอ้เชี่ยวปรือตามองผมแล้วยิ้ม

“เยอะแยะ พวกปากหอยปากปู กูจะไล่ชื่อให้มึงฟังนะ ไอ้มุ ถาปัตย์ ไอ้ยิม ไอ้ท็อป วิดวะ พี่ดีนสาขาเรา เออ ใครอีก เฮียแกน”คนสุดท้ายผมได้ยินแล้วต้องร้องโห่ดังๆ

“ข่าวลือเชี่ยไรแม่งโคตรมั่ว เฮียแกนเนี่ยนะ เกลียดขี้หน้ากูตายห่า ไม่ใช่ล่ะมึง”ผมหัวเราะกับไอ้ผิง

“เออ เค้าว่ามาแบบนี้นี่หว่า ตกลงพี่ดีนนี่มึงไปซั่มกับเขาตอนค่ายหรือไง”

“ถุย ไม่ใช่เว้ย ไม่ได้สนิท”ผมปฏิเสธ ไอ้พวกนี้มันมีปากเป็นกระโถนหรือไง

“เหรอวะ พวกนั้นมันคุยๆกันเมื่อเช้า ข่าวไปอย่างไว มึงต้องเซฟตัวเองบ้างนะเพื่อน ไม่อยากให้มึงเสียๆหายๆ”ไอ้เชี่ยวพูดแล้วหัวเราะ

“ตลก พูดซะตุ๊ดเชียว ...ไม่ใช่แบบนั้นล่ะกัน มึงๆก็รู้จักนิสัยกู จะเอากับกูได้ต้องรู้จักกันนานหน่อย”ขนาดพี่ท็อปกว่าจะได้กัน ก็หลายเดือนนะ พี่ดีนนี่ไม่ได้คุ้นเคยกันเลยสักนิด ใครมันปากหมาวะ

“ระวังนะมึง จะกลายเป็นเด็กพี่ดีนไม่รู้ตัว”ไอ้โก๋พูด

“ตกลงพี่ดีน แมนไหมวะ”

“ก็แมนนะ เหมือนมึงไง ผู้ชาย ผู้หญิงก็ได้หมด”ห๊ะ เป็นไบเนี่ยนะ ผมไม่เคยได้ยิน

“จริงดิ น่ากลัวว่ะ”ผมพึมพำ พี่ดีนก็ไม่น่าปล่อยให้เพื่อนๆปีแกพูดพล่ามไร้สาระแบบนี้เลย ผมเสียชื่อหมด ปกติชื่อก็เสียอยู่แล้ว ผมส่ายหน้า   ถ้าใครสนิทๆกับผมอย่างไอ้โก๋ไอ้ผิง รู้ดีว่าผมไม่ใช่พวกวันเดียวแล้วซั่มเลย มันไม่ใช่แบบนั้น ผมก็เซฟตัวเอง รักสนุกแต่ไม่ได้ฉาบฉวย แล้วยิ่งตอนนี้ผมก็ไม่ได้ซุกเด็กเอาไว้แล้วด้วย

“หวังว่าเฮียแกนจะไม่เชื่อเรื่องลือๆนี่นะเว้ย”ไอ้ผิงยื่นหน้ามากระซิบ เฮียแกนคงไม่หูเบา.....แต่ก็ไม่แน่ขนาดเรื่องของมิ้นท์ยังฟังความข้างเดียวเลย

“คงไม่หรอก แกโตแล้วนะเว้ยเป็นคน ไม่ใช่ควาย”ผมหัวเราะหวาดๆ

 “ฝันเหอะ”ผมไม่สนใจพวกมันอีกต่อไป เพียงแค่นั่งฟังพวกมันพูดเล่าเรื่องคนนู้นคนนี้อย่างสนุกสนาน อีกอย่างไอ้โก๋มันส่งเหล้าให้ผมไม่ขาดปากเลย ผมเองยังต้องเซฟตัวเองไม่เผลอดื่มมากเกินไป ไม่อยากแฮงค์ตอนเช้า

“เอ้า หมดแก้วๆไอ้สอง”ไอ้เชี่ยวพยายามโน้มน้าวให้ผมกินให้ได้

“โอยมึง กูไม่ไหวแล้ว”ผมส่ายหน้าโบกมือแกล้งทำเป็นอ้อแอ้ไม่ไหว

“น่าๆ แก้วสุดท้ายแล้วเว้ย”ไอ้เชี่ยวมันส่งแก้วเหล้าสีใสมาให้ เห็นแล้วเตรียมล้างคอได้เลย ผมรับมาแล้วจำใจยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียว มีเสียงเชียร์ของพวกมันเป็นแบ็คกราวด์

“มึงเอาอะไรให้กูแดกเนี่ย”ผมแทบอ้วกเลย ถึงผมจะกินเหล้าดุๆได้แต่ถ้าเพียวๆแบบนี้ก็มีโอกาสตายได้เหมือนกัน

“หายากนะเว้ย ไอ้โก๋เอามาจากบ้านเพื่อมึงเลย”มันยื่นแก้วมาจ่อปากผม ผมเลยจำใจรับมากระดกลงคออย่างรวดเร็ว ทันที่ที่น้ำเหล้าน้ำเมาลงคอหอยไปแล้ว ผมเบ้หน้าหันข้างไปอ้วกออกมา แต่ไม่มีอะไรนอกจากน้ำย่อยและกลิ่นเหล้าและความแรงที่ตีขึ้นมาจนทำให้ผมมึนและอยากจะอ้วกออกมาอีกระลอก ไอ้ผิงยื่นแก้วน้ำเปล่ามาให้ผม

“ใจเย็นๆ”

“เชี่ย อะไรวะเนี่ย พอๆเลิกๆ ไม่เอาแล้วเว้ย ไม่งั้นกูตายแน่”ผมบอกพวกมัน พอมาคิดดูแล้วผมดื่มไปหลายแก้วพอสมควร เหมือนเหล้าจะออกฤทธิ์ช้าให้ผมชะล่าใจว่ามันนิ่มๆเมายาก แต่ที่ไหนได้พอออกฤทธิ์ขึ้นมาปุ๊บ ผมรู้สึกว่าโลกหมุนนิดหน่อย เพราะไอ้แก้วเมื่อกี้แท้ๆทำเอาตีกับของเดิม

ผมถูกพวกไอ้ผิงไอ้โก๋ลากไปนอนที่เสื่อใต้ถุนบ้านที่ประจำสำหรับพวกหมดสภาพ “จะอ้วกหรอมึง”ผมพยักหน้าบอก ไอ้ผิงทำหน้าเหนื่อยใจ

“เอออ พวกเวร ปวดหัวชิบ”ผมนิ่วหน้า พยายามลุกขึ้นมานั่งเพราะเหมือนของเก่ากำลังจะพุ่งออกมา ไอ้โก๋รีบหาถุงมาให้ผมแหวะ

“มึงนอนพักก่อน เดี๋ยวกูโทรตามผัวมึงให้”มันบอกผม ด้วยถ้อยคำที่น่าถีบมาก พี่ท็อปไม่ใช่ผัวกูเว้ย...ตอนนี้น่ะ

“ไม่มีเว้ย”ผมหัวเราะ ก่อนจะล้มตัวลง นอนหลับตาฟังแต่เสียงไอ้ผิงที่กำลังรอสายพี่ท็อป มันเริ่มเดินไปเดินมาเพราะพี่ท็อปคงไม่รับสายล่ะมั้ง จนผ่านไปหลายนาที

“พี่ท็อป พี่มารับไอ้สองหน่อย ...ใช่ครับ....นิดหน่อยเองพี่...ที่เดิมครับ จำได้ไหมพี่...โอเคครับ...”ไอ้ผิงพูดเอออออยู่อย่างนั้นไม่นานก็วางสาย มันเดินมาหาผม

“โทรหาพี่ท็อปหรอ”ผมถาม รู้สึกหัวหนักกว่าเดิมเลยนอนต่อไป

“เออ รอแปบนึง”มันบอกผมก่อนจะลุกเดินไปข้างนอกต่อ ปล่อยให้ผมนอนยุงรุมกินอยู่คนเดียว เลือดคนเมามันอร่อยหรือไงวะ ผมเผลอหลับรู้สึกว่าจะกรนไปด้วยหน่อยนึง จนมารู้สึกตัวเองอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเรียกและแรงเขย่าบริเวณหัวไหล่

 “ไอ้สอง สอง ลุกดิ”ผมพยายามลุกแต่ตายังปิด ต่อไปนี้ผมขอลาขาดกับเหล้าจริงๆจังสักที ทรมาณดีจริงๆ เกลียดตัวเองว่าเมาจริงๆ อนาถใจ

“หืออ พี่เองหรอ”ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมามองอีกฝ่ายเพราะง่วงบวกกับฤทธิ์เหล้าด้วย แววตาผมคงฉ่ำไปเลยเชียว

“เออ ลุก กลับห้องกัน เมาเป็นหมาเลยนะมึง”พี่ท็อปจริงด้วย ได้ยินเสียงผมก็จำได้ น้ำเสียงหงุดหงิดตามแบบฉบับที่ชอบใช้เวลาอารมณ์เสีย

“ก็ไอ้ผิงอ่ะ...มันมอมผม รู้ไหม”ผมบุ้ยใบ้ให้ตัวการที่ยืนมองด้วยสายตาเอือมๆอยู่ข้างๆ ผมลุกขึ้นยืนโดยมีพี่ท็อปพยุงไว้ “จะกลับไงวะเนี่ย”

“เดี๋ยวผมจะขี่ตามไป ให้ไอ้ผิงซ้อนหลังไปอีกที เผื่อมันจะร่วงรถขึ้นมา”เสียงไอ้โก๋เสนอความคิดออกมา

“เออๆ ก็ดี”พี่ท็อปเออออไปกับมัน


กว่าจะมาถึงหอพักได้ ก็ทุลักทุเลพอสมควร ระหว่างทางที่ซ้อนสาม ผมหลับตามาตลอดทาง ลมเย็นที่ปะทะหน้าไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้น ไอ้ผิงมันจับแขนผมไว้คงกลัวผมจะร่วงมั้ง เมื่อมาถึงหอพัก ไอ้ผิงกลับไปพร้อมไอ้โก๋ที่ขี่ตามหลังมา
พี่ท็อปลากผมเข้าห้องได้สำเร็จ ผมเพิ่งรู้ตัวเองว่าเมาจนเดินไม่ไหว ถ้าไม่ได้พี่ท็อปพยุงล่ะก็ ผมคงต้องคลานขึ้นเตียง พี่ท็อปพาผมนอนลงบนเตียงได้สำเร็จ ผมนอนหลับตารับรู้ว่าในห้องสว่างวาบ ได้ยินเสียงพี่ท็อปเดินไปมาพร้อมกับกะลามังใส่น้ำเพื่อมาเช็ดตัวผม

“มึงจำครั้งแรกของเราได้ไหมวะ”

“อืม ใครจะไปลืมลงล่ะพี่”ผมพยายามตอบกลับไป ตอนนี้มึนหัวไปหมด “ทำไมเหรอ”

“เปล่าหรอก แค่เห็นสภาพมึงแล้วนึกถึงตอนนั้นไง”

“อืม แบบนั้นไม่นับมาทำแต้มนะพี่ ถ้าอยากเป็นแฟนผมเร็วๆก็ต้องจริงใจหน่อย”ผมหัวเราะเบาๆแล้วขยับตัวหันหน้ามาหาพี่ท็อป แล้วจ้องอยู่นาน

“หึๆ กวนนะมึง ก็แค่คืนทุนให้มึงไง ไม่ดีเหรอ”พี่ท็อปหันมายิ้มให้ผม

“มันก็ดี...แต่อย่าลืมสิ พี่ยังไม่ใช่แฟนผมเลยนะ ผมเอาจริงนะเรื่องนี้ ถ้าพี่ไม่จริงจังเสียที บางทีผมอาจหาตัวเลือกใหม่ที่ดีกว่า”

“กูมั่นใจว่ามึงไม่ทำแบบนั้นหรอก”พี่ท็อปหัวเราะอย่างร้ายกาจมาให้

“มั่นหน้าจังโว้ย”ผมแอบหมั่นไส้ในความมั่นใจของพี่ท็อป

“ก็มึงรักกูไม่ใช่เหรอ”พี่ท็อปพูด...ผมเงียบ ใช่ นั่นล่ะคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงให้โอกาสพี่

“...ใช่...แล้วพี่คิดว่าผมจะโง่เหมือนเดิมเหรอไง”ผมตอบกลับไป พี่ท็อปดูจะอึดอัดใจขึ้นมาทันที คงจะคิดถึงเรื่องที่ทำกับผมไว้

“.....ไม่ใช่แบบนั้น....”

“งั้นพี่ก็รีบเดินแต้มได้แล้ว อย่าปล่อยเวลาไปเปล่าๆ พี่ก็รู้ เวลาทุกวินาทีมันมีค่าเสมอ”ผมมองหน้าพี่ท็อป อย่าให้อะไรสายเกินไป

“อือ รู้แล้ว”พี่ท็อปพูดเบาๆ ผมอยากจะกอดพี่ท็อปหรือทำมากกว่านั้น แต่นี่ก็เกินขอบเขตมามากไปแล้ว ผมต้องแสดงจุดยืนและความเด็ดขาดออกมาบ้าง ไม่อย่างนั้นพี่ท็อปจะได้ใจ คิดว่าผมใจอ่อนง่าย

“งั้นผมกลับห้องก่อนนะ”ผมบอก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง พี่ท็อปดูงงๆก่อนจะขยับตัวลุกตาม

“อ้าว ดึกขนาดนี้ นอนห้องกูเหอะ”

“คิดถึงเตียงที่ห้อง ปล่อยให้เหงามาหลายเดือนแล้ว”ผมหัวเราะแล้วลุกไปใส่เสื้อผ้าลวกๆ พี่ท็อปดูผิดหวังนิดๆ

“ตามใจ...ตอนเช้าให้ไปส่งไหม”พี่ท็อปถาม ผมยืนคิดอยู่หลายวินาที

“อืม...รอดูสถานการณ์ก่อน”ผมยิ้ม ก่อนจะเดินออกจากห้องพี่ท็อปมาเข้าห้องตัวเอง


      ผมล้มตัวนอนลงบนเตียงรู้สึกเพลียๆและง่วงขึ้นมาทันที ต่อไปคงไม่ไปค้างห้องพี่ท็อปอีกแล้วล่ะ เห็นทีจะต้องซื้อหมอนข้าง ตุ๊กตาตัวใหญ่ๆมานอนกอดสักสองสามตัวแล้วล่ะ เตียงจะได้ไม่โล่งเกินไป
บอกแล้วไง ครั้งนี้มันไม่ง่ายอีกต่อไปแล้ว อยู่ที่ว่าพี่ท็อปจะทุ่มเทแค่ไหนในเมื่อผมเองก็ให้โอกาสพี่ท็อปมากมายขนาดนี้แล้ว …

ตืด ตืด ตืด

ผมสะดุ้งตื่นเมื่อรับรู้ได้ว่าโทรศัพท์ที่วางใกล้หมอนข้างตัวสั่นอยู่นานแล้ว ผมเอื้อมไปหยิบมากดรับโดยไม่ได้ดูว่าใครโทรมา

“ไงครับ”ผมหาวนอนไปด้วย

[ยังไม่ตื่นอีกหรอเนี่ย ตื่นๆ รีบไปอาบน้ำกินข้าวได้แล้ว] เหมือนสมองประมวลผลไม่ทัน ผมนอนมึนอยู่สักพักเมื่อได้ยินเสียงพี่ท็อปดังมาจากปลายสายหืม พี่ท็อปโทรมาปลุกผมหรอ ผมมองนาฬิกาบนผนังห้อง หกโมงเช้าเป๊ะๆเลย

“พี่ท็อปครับ เช้าอยู่เลยเนี่ย”ผมงัวเงียพูดแต่ก็ลุกขึ้นมานั่ง

[เออ ล้างหน้าแปรงฟันซะ เดี๋ยวจะเอาโจ๊กไปให้]

“โจ๊ก...พี่ซื้อมาให้ผมหรอ”ผมเผลอยิ้มออกมาทันที ได้ยินพี่ท็อปหัวเราะออกมาเบาๆ

[อืม...ลองเอาใจคนดูหน่อย...ปกติก็ไม่เคยใจใครหรอกนะ...ยังไงก็ล้างหน้าล้างตาเตรียมถ้วยชามไว้รอด้วยนะ เนี่ย กำลังเดินกลับมาที่หอแล้ว] พี่ท็อปพูดเสียงเบาๆแปลกๆ

“โอเคๆ จะรอนะครับ”ผมหัวเราะปิดท้ายแล้วก่อนจะวางสาย ต่อจากนี้คงเห็นอะไรดีๆจากพี่ท็อปอีกมากแน่นอน ผมรีบลุกออกจากเตียงแล้วเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนให้พอเป็นพิธี ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูสองสามครั้งผมเดินไปเปิดประตูให้พี่ท็อปที่ยืนอยู่หน้าห้องในเสื้อแขนกุดกับกางเกงบอล ในมือมีถุงโจ๊กหมูสองถุงพร้อมกับน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ของโปรดผม

“ว้าว เซอร์ไพร์นะเนี่ย”ผมยิ้มกว้างเปิดประตูออกเพื่อให้พี่ท็อปเข้ามาได้ก่อนจะปิดประตูลง พี่ท็อปเดินไปที่โต๊ะตัวเล็กกลางห้อง

“ทำความสะอาดบ้างไหมเนี่ย”พี่ท็อปหยิบผ้าเช็ดตัวเก่าๆไม่ใช้แล้วมาเช็ดๆถูๆบริเวณพื้นห้องที่เจ้าตัวกำลังนั่งลงก่อนจะขยับไปเช็ดรอบๆโต๊ะตัวเล็กให้ผมด้วย

“กวาดเฉยๆยังไม่ได้ถูเลย ทำไงได้ขาดแม่บ้านก็แบบนี้”ผมพูดขำแล้วเดินไปหยิบถ้วยกับช้อนมาให้พี่ท็อป อีกฝ่ายแค่จ้องหน้าผมด้วยสายตาดุๆ

“หึ ได้ทีก็เกทับกันใหญ่ ใช่ซี่ กูมันเบ๊มึงดีๆนี่เอง”พี่ท็อปพูดนิ่งๆแต่ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก

“อือฮึ โอกาสไม่ได้มีบ่อยๆนี่นา แต่ก็ดีนะครับ มีคนเอาใจแต่เช้าเลย”ผมยิ้มแล้วมองพี่ท็อปนั่งแกะถุงโจ๊กทีละถุง ผมหยิบปาท่องโก๋มากินตัวนึง

“แล้วนี่เลิกเย็นไหม”

“ก็ปกติ ห้าโมงเย็น ต้องดูก่อนนะครับว่ามีงานเพิ่มหรือเปล่า ถ้ามีก็ดึกหน่อย...แล้วพี่ล่ะ ปีสุดท้ายแล้ว อีกแปบเดียวก็ทิ้งผมไปทำงานซะแหละ”

“มาทำดราม่าอีก มีเวลาอีกตั้งเทอมนึงไง แต่ช่วงนี้กูคงไม่ว่างบ่อยๆแล้วล่ะ ต้องทำวิจัยด้วย”

“แย่จัง”ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นๆ พี่ท็อปเงยหน้ามองผมแล้วส่งยิ้มให้ “แต่กูพยายามจะเคลียร์งานให้เสร็จเร็วๆ จะได้มาตามง้อมึงได้ เพื่อจะใจอ่อนยอมง่ายๆหน่อย”

“หึหึ ก็ต้องดูก่อนสิว่าจะผ่านโปรไหม”ผมยิ้ม

“โอเคครับ กูยอมแล้ว”พี่ท็อปทำหน้าเหมือนหมาหงอยก้มหน้าก้มตากินโจ๊กเงียบๆ เป็นภาพที่หาดูได้ยากจริงๆ ผมแอบยิ้ม แค่ทำตัวดีๆ เสมอต้นเสอมปลายผมก็ยอมแล้วล่ะนะ

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 15 เริ่มต้นใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 04-09-2015 05:03:16
ผมเดินผิวปากเข้าคณะอย่างสบายอารมณ์ หัวอกหัวใจสดชื่นเต็มที่เช้านี้พี่ท็อปมาส่ง ทำตัวน่ารักไปเรื่อยๆแบบนี้ผมคงใจอ่อนเร็วแน่ๆ ทำยังไงได้หัวใจมันก็แค่ก้อนเนื้อ

“อารมณ์ดีแต่เช้าเลยนะ”ผมหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงพี่ดีนทักมาจากด้านหลังพร้อมกับสัมผัสจากมืออุ่นๆบริเวณหัวไหล่ ผมหันไปตามต้นเสียงก่อนจะส่งยิ้มให้

“อ้าว หวัดดีพี่ ตกใจหมดเลยมาเงียบๆ”ผมทักทายตามประสา พี่ดีนในเสื้อนิสิตแขนแยวพับแค่ข้อศอกกับยีนส์ขาดๆวิ่นๆดูเซอร์ได้ใจ ในมือถือม้วนกระดาษไว้

“ขวัญอ่อนหรอวะ เออ แล้วใครมาส่ง อย่าบอกนะว่าแฟนน่ะ”พี่ดีนยื่นหน้ามาใกล้แล้วยิ้มหวานเหมือนจะแซว ผมหัวเราะส่ายหน้า

“โหพี่ ก็ยังไม่ใช่แฟนหรอก”

“อ๋อ มึงใช้คำว่ายัง หมายความว่าอีกไม่นานจะเป็นแฟนใช่ไหมวะ”พี่ดีนยิ้มกว้าง ผมไม่พูดอะไรแค่ทำเป็นหยิบนาฬิกามาดูเป็นนัยยะ

“นี่กูขัดเวลาเรียนมึงว่างั้นเหอะ”

“ฮ่าๆ เข้าเรียนก่อนนะพี่ ไว้คุยกันวันหลังครับ”ผมยิ้มให้ก่อนจะโบกมือลา ผมหมุนตัวเดินต่อ ก็เจอเฮียแกนกำลังเดินสวนมาทางผมพอดี พร้อมๆกับประโยคนึงของพี่ดีนที่ดังก้องไปทั่วใต้ตึกอาคาร

“เฮ้ยสอง ยังจำที่กูพูดที่ค่ายได้ไหมวะ กูเอาจริงนะเว้ย...ที่ว่าจะจีบมึงอ่ะ”ผมแทบหยุดเดิน เฮียแกนที่เดินผ่านผมไม่ได้สนใจหรือเหล่สายตามองมาทางผมเลยสักนิด มีแค่อาการเกร็งและเงียบกริบระหว่างผมกับเฮียเท่านั้น

“อำผมอีกแล้ว...”ผมทำเป็นพูดกลบเกลื่อนเดี๋ยวมีใครได้ยินแล้วเอาไปตีความผิดๆอีก ผมไม่ได้หันไปมองพี่ดีนอีกแค่เดินตรงไปยังห้องเพ้นท์เป็นพอ อะไรกันเนี่ย พี่ดีนแม่งเล่นอะไรก็ไม่รู้...หรือว่าไม่ได้เล่น ผมเดินคิดเรื่องพี่ดีนจนไม่ทันได้มองว่าเดินมาชนกับไอ้โก๋ที่คาบบุหรี่ไว้ในปาก มันย่นคิ้วมือมันถือถาดสีอันใหญ่เพื่อเตรียมมาล้างที่อ่างล้างมือข้างๆ

“เหม่ออะไรเนี่ย”

“มึงแม่งขวางกูเองนะเว้ย”ผมตบหัวมันไปทีหนึ่ง

“อะไร กูยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วเว้ย แหมๆ ฮอตอย่าบอกใคร ผู้ชายเข้ามาหาไม่ซ้ำหน้า”ไอ้โก๋หัวเราะมีความสุข ผมเดินกลับมาดักหน้ามันอีกรอบ

“ปากนะปาก มึงก็รู้ประตูมีหู หน้าต่างมีช่อง คนเสือกเต็มคณะไปหมด เดี๋ยวก็ปล่อยข่าวมั่วไปอีก กูล่ะเซ็งจะสร้างชื่อเสียให้กูไปถึงไหน”จากที่จะด่าไอ้โก๋กลายเป็นว่าผมกลับมาด่าไอ้พวกสอดรู้สอดเห็นปากเป็นโถส้วมพูดไม่คิด

“มึงนี่ปากมากแต่เช้า ...พอเลิกๆ ว่าแต่พี่ดีนมาคุยอะไรกับมึงวะ กูบอกแล้วไงอย่าไปอยู่ใกล้”ไอ้โก๋กระซิบกระซาบ

“กูก็ไม่อยากยุ่ง แต่กูแม่งเจอพี่เขาเองนะเว้ย สาขาเดียวกันถ้าไม่เจอกันนี่สิแปลก ขนาดเฮียแกนกูยังเจอเลยนะเว้ย”

“จริงดิ เฮียแกเงียบๆไปนะช่วงนี้ สงสัยจะปลงได้แล้วมั้ง”ไอ้โก๋พูดแล้วหัวเราะคิกคักเหมือนสนุก ผมมองมันเอือมๆแล้วตบๆไหล่มันทิ้งท้ายก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเพ้นท์ พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอเพื่อนๆในสาขาหน้าตาคุ้นเคย ผมทักทายพวกมัน

“ไงไอ้สอง เมื่อคืนกลับหอถูกเปล่าวะ”ไอ้เชี่ยวรีบทัก ผมหัวเราะไหวไหล่ “เออดิ ทำไมวะ”

“ตกลงห้องใคร ห้องแฟนมึงหรือห้องมึง”ไอ้พวกนี้ชักจะสนใจเรื่องส่วนตัวของผมมากไปแล้ว เวรจริงๆหาเรื่องล้อผมอีก ผมเดินไปไล่ตบกะโหลกเรียงตัว

“เลิกพูดๆ กูโสดครับ บอกกี่ครั้งแล้ว”ผมส่ายหน้าเหนื่อยๆแล้วเดินไปที่เฟรมภาพของตัวเอง ไอ้ผิงหายหัวไปไหน

“เฮ้ย ไอ้ผิงยังไม่มาหรอวะ”ผมถามอย่างแปลกใจ เพื่อนในห้องส่ายหน้า ปกติมันจะเป็นคนมาเช้ามาคนแรกของห้องเลยทีเดียว ผมหยิบโทรศัพท์โทรไปหามัน เสือกไม่รับอีก เป็นอะไรของมันนะ ระหว่างนั้นไอ้โก๋ก็เดินสูบบุหรี่เข้าร้องเพลงกวนประสาทแต่เช้า

“เฮ้ยไอ้ผิงล่ะ”

“ไม่รู้สิ ยังไม่มามั้ง ...เออ แม่งแปลกๆ สงสัยตื่นสายแน่เลย”ไอ้โก๋พูดทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะสลัดถาดสีจนน้ำกระเซ็นมาโดนผม มันยิ้มกวนตีนมาให้แล้วเดินไปที่บล็อกของตัวเอง

“มันไม่รับสายว่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เหรอวะ แปลกจริงๆนะ”ไอ้โก๋เดินมาหาผมก่อนจะหยิบโทรศัพท์โทรไปหาไอ้ผิงดูบ้าง ไอ้โก๋กัดปากส่ายหน้า “ไม่สบายหรือเปล่า แต่ร้อยวันพันปีมันไม่เคยป่วยเลยนะ”ไม่ทันที่ผมจะโทรหาอีกรอบ ไอ้ตัวปัญหาที่ผมกำลังพูดถึงอยู่ก็โผล่มาในสภาพป่วยๆโทรมๆ ไอ้ผิงใส่กางเกงวอร์มกับเสื้อสาขายับๆสะพายย่ามสีเสล่อๆอย่างลายสก็อตมาด้วย

“โทรมามีอะไรวะ กูขี่รถอยู่เลยรับไม่ได้”มันว่าก่อนจะหาวนอนไปด้วย ไอ้โก๋มองสภาพมันอย่างรังเกียจเปิดเผย

“อาบน้ำมาไหมเนี่ย”ไอ้โก๋ถามทันที ไอ้ผิงทำหน้าเหมือนคนง่วงนอน “อาบแล้วเว้ย แค่เสื้อยับ”มันไหวไหล่แล้วเดินที่บล็อกของตัวเอง

“เออ กูนึกว่าเป็นอะไร”ผมส่ายหน้า เลิกสนใจมันแล้วหันมาร่างงานต่อ เบื่อจริงๆง่ายที่เกี่ยวกับคอมโพสฯ ไอ้ผิงสไลด์เก้าอี้มาหาผม

“เฮ้ย สอง มึงคืนดีกับผัว เอ้ย พี่ท็อปแล้วหรอวะ”ไอ้ผิงถาม ผมมองหน้ามัน ก่อนจะสังเกตว่ามันไปทำอะไรมาถึงได้ดูโทรมไม่หล่อใสเหมือนแต่ก่อน

“อยากเสือกหรอ บอกให้ก็ได้ ยังเว้ย...รอดูท่าทีก่อน”

“หึ แล้วเมื่อคืน เป็นไง อยู่รอดปลอดภัยไหม”ไอ้ผิงทำท่าชะเง้อคอมองมาตามตัวผมเหมือนหาร่องรอย แต่จะเจอได้ยังไงกันล่ะ

“เออ กูว่าพี่ดีนชักยังไงๆแล้วว่ะ เค้าบอกว่าจะจีบกู แต่ไม่รู้พูดเล่นพูดจริง”ผมบอกมันแล้วถอนหายใจ ไอ้ผิงมองหน้าผมนิ่งๆ

“จะจีบไม่จีบไม่รู้เว้ย แต่ทำไมมึงไม่บอกพี่เค้าเลยล่ะว่า มีผัวแล้วห้ามจีบ กูว่าจบเรื่อง ง่ายๆไหม”

“เหอะ ไม่เป็นกู มึงไม่รู้หรอก”

“เออ ระวัง พี่ท็อปรู้ หึหึ โดนฆ่าหมกป่าแน่มึงเอ้ย กูไม่เคยเห็นพี่เค้าหึงหวงมึงเลยนะเว้ย คราวนี้คงได้ดูทีเด็ด...กูส่งข่าวไปบอกพี่เค้าดีไหมนะ”ไอ้ผิงยิ้มมีความสุขที่ได้กวนประสาทผม

“ว่างเนอะมึง ไปทำงานของมึงไป”ผมดันเก้าอี้มันออกไปห่างๆ ไอ้ผิงหัวเราะเสียงดังกวนผมเล่น


ชีวิตปีสาม เปิดเทอมมาก็มีแต่งาน ผมเลยต้องสปีดตัวเองให้กระตือรือร้นเพราะเทอมที่แล้วออกนอกลู่นอกทางไปบ้างทำให้ผลการเรียนออกมาอยู่ในเกณฑ์พอใช้ ผมไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่มันก็สมเหตุสมผลกันแล้วกับเกรดแบบนี้กับพฤติกรรมของผม ช่วงพักเที่ยง ผมไม่ได้ออกไปกินข้าวเพราะยังไม่หิว นั่งวาดงานไป ก็ได้กินเอสเปรสโซ่หอมกรุ่น ผมหันไปมองก็เห็นว่าพี่ท็อปมายืนอยู่ข้างหลังเงียบๆ ผมแอบตกใจ

“เฮ้ย มาเงียบๆผมตกใจหมด”

“เออ ดูหน้ามึงกูก็รู้ อ่ะ เอาไว้โดฟ แล้วนี่ก็มื้อเที่ยง หัดแดกข้าวให้เป็นเวลาบ้างสิ”พี่ท็อปยื่นกล่องข้าวมาให้ผมพร้อมกับ
เอสเปรสโซ่แก้วนั้น ผมยิ้มรับ “ขอบคุณครับ”

“พอดีว่างตอนบ่ายโมงน่ะ เลยแวะมาหามึง”พี่ท็อปลากเก้าอี้มานั่งข้างๆผม

“คิดถึงผมล่ะสิ”

“อืม คิดถึงดิ ไม่รู้ทำไม เมื่อเช้าก็เจอนะ...”พี่ท็อปหัวเราะเหมือนขำตัวเอง ผมแค่ยิ้มออกมา “เป็นสัญญาณว่า ทุกวินาทีผมมีค่ากับพี่เสมอ”

“เสี่ยวชิบ มึงนี่ทำตัวเป็นพระเอกลิเก”พี่ท็อปหัวเราะ

“ถ้าผมเป็นพระเอกลิเก พี่ก็ต้องเป็นนางเอก—โอ้ย”ไม่ทันพูดจบพี่ท็อปก็บิดท้องผมจนเจ็บแปล็บ ผมมุ่ยหน้า

“เดี๋ยวเถอะ”

“ชอบทำรุนแรง หึหึ ถึงว่า...”ผมหัวเราะเจ้าเล่ห์มองพี่ท็อป อีกฝ่ายทำหน้านิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร

“อะไร แล้วเย็นนี้เลิกตอนไหนก็โทรบอกนะ...จะได้มารับ หรือจะกลับกับเพื่อน”

“อืมมม พี่มารับสิ ถามได้”ผมยิ้ม พี่ท็อปทำหน้าพอใจก่อนจะหยิบสร้อยคอพร้อมกับจี้นาฬิกายื่นให้ผม

“...รับของจากกูได้ไหม กูเห็นนาฬิกาอันนี้แล้วนึกถึงมึงทุกครั้งเลย”ผมรับมือถือแล้วดูรายละเอียด มันต่างจากอันที่ผมมี อันนี้มันคลาสสิคกว่า ใหม่กว่า...และเป็นของที่พี่ท็อปให้

“เนื่องในโอกาสอะไรครับ”ผมถาม อยากรู้เหตุผลแท้จริงในการให้ เพื่อซื้อใจผมหรอ

“ก็แค่อยากให้ ...บางทีมันก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์หนึ่งที่แสดงว่าเวลาของมึงมีค่าสำหรับกูเสมอนั่นแหละ”

“โห เสี่ยวพอกันนั่นแหละ... ขอบคุณนะพี่ สวยดีนะ”ผมบอกแล้วยิ้ม ก่อนจะถอดสร้อยนาฬิกาอันเดิมออกแล้วใส่ของที่พี่ท็อปให้แทน

“จริงๆแล้วถ้ามึงสังเกต ตรงหน้าปัดนั่น ลองดูสิ...”พี่ท็อปชี้ให้ดู ผมก้มมองลงไปดูบ้าง ที่บริเวณตรงหน้าปัดนาฬิกาตรงจุดต้นเข็ม มีที่ว่างอยู่นั้นเป็นตัวอักษรสีขาวขุ่นโทนเดียวกับสีหน้าปัดทำให้ผมไม่ทันสังเกตในตอนแรก คือ S&T

“พี่สั่งทำหรอ”ผมถาม รู้สึกดีขึ้นมาที่พี่ท็อปใส่ใจต่อผม

“อืม อันที่จริงทำไว้นานแล้ว...แต่มันเกิดเรื่องก่อน...”พี่ท็อปถอนหายใจ “ตอนนี้ก็ได้ให้แล้วไงครับ”ผมยิ้มให้พี่ท็อป

  ในขณะนั้นประตูห้องเพ้นท์ก็เปิดออกพร้อมบุคคลที่ผมไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้ พี่ดีนเจ้าเก่า เดินเข้ามาพร้อมกับกระถางกระบอกเพชรจิ๋วโอพันเทียมาด้วย พี่ท็อปหันหน้าไปมองพี่ดีนเหมือนสงสัยว่ามันคือใคร เพราะสีหน้าชัดเจนมาก

“สองเว้ย กูเอาไอ้นี่มาให้มึง กูได้ยินไอ้โก๋บอกว่ามึงชอบ...อ่ะ...กูเพาะที่สตูของกูเลยนะเว้ย”พี่ดีนยิ้มระรื่นเดินเข้ามาหาผมแล้วยื่นกระถางต้นไม้เล็กๆให้ผม พี่ท็อปมองหน้าผมก่อนจะมองหน้าพี่ดีน

“ห๊ะ...ผมก็ชอบนั่นแหละ แต่ไม่ค่อยอยากเลี้ยงหรอกเดี๋ยวตายซะก่อน”ผมหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะจำใจรับมา

“พืชแบบนี้เหมาะกับมึงนะ มันอึดดี”พี่ดีนพูดก่อนจะเหลือบมองไปทางพี่ท็อปแล้วก็ทำท่าแปลกใจ

“อ้าว คนเมื่อเช้านี่ ใครหรอวะไอ้สอง เพื่อน?หรือคนรู้จัก”พี่ดีนเอ่ยอย่างยียวน ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ทำไมพี่ดีนพูดแบบนี้เนี่ย พี่ท็อปทำหน้าเหมือนโกรธแต่เก็บอาการ

“อ๋อ... นั่น--”

“กูชื่อดีน เราน่าจะปีเดียวกันนะ มึงชื่ออะไรวะ”พี่ดีนก็หน้าทนเกินไป ทักทายซะเหมือนรู้จักพี่ท็อป

“ชื่อท็อป อยู่ปีสามเหมือนกัน” พี่ท็อปตอบเซ็งๆท่าทางไม่อยากเสวนากับพี่ดีนนัก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ผมไม่ทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์แบบนี้เลย

“อ๋อ คุ้นๆชื่ออยู่...แฟนเก่ามึงใช่ไหม”พี่ดีนหันมาพูดกับผมและรู้สึกว่าจะเน้นคำว่าแฟนเก่าชัดเจนเกินกว่าจำเป็น พี่ท็อปแค่ถอนหายใจก่อนจะยิ้มให้ผม “กูกลับก่อนนะ ยังไงก็โทรมาบอกด้วยแล้วกัน”

“โอเคครับ แล้วเจอกันนะพี่”ผมบอก อยากจะเดินไปส่งพี่ท็อปแต่อีกฝ่ายดูไม่ต้องการให้ผมทำแบบนั้นเพราะหันหลังเดินไปไม่สนใจผมเลย

“ถ้ากูจีบก็คงไม่ว่าใช่ไหมไอ้ท็อป ไอ้สองมันโสดนี่หว่า”พี่ดีนพูดเสียงดังพอที่พี่ท็อปจะได้ยิน ผมเห็นว่าพี่ท็อปชะงักไปนิดหนึ่ง

“พอเหอะพี่ ผมไม่ขำแล้ว”ผมบอก อย่างตัดรำคาญ ก่อนจะเดินตามหลังพี่ท็อปไป พี่ดีนแค่ไหวไหล่ไม่สนใจ

“ก็แค่อยากลองดูหน่อย...”อีกฝ่ายพูดเบาๆ แต่ผมได้ยินเต็มสองรูหู อะไรของพี่แกกัน ผมเดินตามพี่ท็อปไปจนทัน ผมคว้าแขนอีกฝ่ายได้ รั้งอยู่คุยก่อน

“ทำไมกลับเร็วจังล่ะพี่”ผมถาม ทั้งๆที่รู้คำตอบ พี่ท็อปแค่ส่งสายตาไม่พอใจมาให้

“...ไม่อยากอยู่ ก็เลยกลับไง”เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“อ๋อ เรื่องพี่ดีนนั่น...”

“จะทำให้กูหึงเหรอไอ้สอง”

“เปล่านะ พี่ดีนเป็นตัวแปรที่ผมควบคุมไม่ได้ ไม่รู้ว่ามาเล่นหรือมาจริง”ผมบอกไปตามตรง พี่ท็อปแค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“มันโคตรกวนตีน หึ เจอครั้งหน้ากูไม่ปล่อยให้มันพล่ามหรอก”พี่ท็อปบอกอย่างฉุนเฉียวก่อนจะเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง แล้วสตาร์ทแรงๆดังสนั่นเหมือนประชดประชันแล้วซิ่งออกไป

ข้อดีอย่างหนึ่งก็คือ ให้พี่ท็อปดิ้นรนนิดๆหน่อยๆคงไม่เสียหาย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-09-2015 06:29:18
ชอบๆๆ.  :katai2-1:  ขอบคุณคนเขียนจ้ะ
ท็อปสอง. T&S. สู้ๆนะพี่
แอบระแวงพี่ดีนอ่า. หวังว่าจะไม่ใช่ใครส่งมานะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 04-09-2015 07:50:36
พี่ท็อปนี่โครตลงทุนเลยขอบอกแต่สองโดนจีบแบบนี้พี่ท็อปหึงหน่อยก็ได้

แสดงความเป็นเจ้าของอ่ะทำเป็นมั้ยวะ


สองมันจะได้รู้ว่าพี่มันรักถึงหึงไง


ส่วนพี่ดีนรุกหนักเลยนะนั้น จะจีบสองไม่ง่ายนะพี่ดีน 555


ส่วนเฮียแกนนี่ยังไงวะ ทำท่าทางเหมือนแอบชอบสองหรือว่ามันชอบดีนวะ?


คือพอดีนบอกจะจีบสองมันเกร็งตัวเพื่อ? ทั้งที่เดินผ่านสองมันยังเฉย ๆ หรือเฮียมันจะชอบพี่ดีน? หรือว่าพอดีบอกจะจีบสองเลยร้อนตัว?


โอ๊ยยังไงไม่รู้มาต่อด้วยเน้ออออออ   :hao5:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 04-09-2015 11:22:25
พี่ท็อปกลับมาแล้ว ว่าแต่คู่ที่สามนี้ใครอ่ะ หรือว่าพี่ดีนกับเฮียแกน :z1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 04-09-2015 13:38:39
ทำไมนี่รู้สึกว่าพี่ท๊อปน่ารักขึ้นเยอะเลย อิอิ

เรื่องราววุ่นวายยังต้องมีมาอีกแน่ๆ เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 04-09-2015 16:07:34
เป็นไปได้ว่า เฮียแกนอาจจะชอบนายดีนอยู่ แต่นายดีนกลับมาอยากจีบสอง ไรแบบนี้ป่ะ   โอ้ยวุ่นวาย วึ่นวือ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 04-09-2015 18:49:18
พี่ท็อปปปปปปปป โอยยย กลับมาคราวนี้สองเล่นตัวมาก 55555555555
พี่ท็อปยอมขนาดนี้แล้วนะเว้ยสองง #ปักป้ายไฟ
ใจอ่อนไวๆได้แล้ว ความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียก(?)แบบนี้พี่ดีนยิ่งแทรกง่ายนา  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 04-09-2015 18:57:14
เหมือนพี่ดีนจงใจมากวนพี่ท็อปเลยอ่ะที่มาจีบสอง เฮียแกนก็แปลกๆ แต่เชียร์คู่รองอย่างผิงยิมอยู่นะ โฮ๊ะๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 04-09-2015 19:19:24
สองฮอตจริงๆ อิพี่ดีนแลดูรับมือยาก
พี่ท๊อป สู้โว้ยนะ :3123:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 04-09-2015 20:48:05
พี่ท็อปกลับมาง้อเมียแล้ว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: nuttzier ที่ 05-09-2015 13:50:39
แล้ว แล้ว แล้ว แล๊ว....ววว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 05-09-2015 14:18:37
พี่ท๊อปออนท๊อปเองเลยเว้ยเฮ้ยยยยย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ สองได้กำไรนิดๆๆแระ แอบให้พี่ท๊อปรุกน่ะเออ อิอิ
น้องสองให้รุกจีบแล้วน่ะพี่ท๊อปจัดเต็มเลย เดี่ยวก็จะไม่ว่างแล้วนิ ลุ้นๆๆๆๆๆๆ
ชอบจังเลยแมนๆๆเตะบอลบนเตียง คิกๆๆๆ ผิงยิมผลัดกันน่าจะโออ่ะจิ
ผิงไปทำอะไรโทรมมาน่ะหรือว่าโดนยิมจิ้มทั้งคืน คิดๆๆๆๆ
อีกคู่ใช่เฮียแกนกับพี่ดีนอ่ะเปล่าคุ่นี้ ท่าใช่ออกแนวขาโหด ตบจูบได้มะ อิอิ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 07-09-2015 16:53:10
ใจนึงก็สงสารพี่ท็อปนะ อีกใจก็รำคาญสองทำไมไม่เคลียร์กับดีนให้จบๆไปนะเราว่าดีนกับแกนต้องมีเรื่องอะไรกันแน่ๆอะ คู่สามนี่ใช่แกนดีนรึเปล่าหว่า คู่ยิมผิงก็ยังรออยู่นะชอบคู่นี้เหมือนกันดูเรื่อยๆสบายๆน่ารักดีอะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 07-09-2015 19:10:02
น่ารักดี เดี๋ยวพี่ท๊อปทนไม่ไหวก็หึงเองแหละ
 o18
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 07-09-2015 19:51:42
ตามอ่านต่อ ..
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 07-09-2015 21:27:33
แกนจะคู่กับดีนหรือป่าว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 08-09-2015 00:36:06
อยากให้พี่ท็อปเป็นผัวนะ ไม่รู้สิ เราว่าสองนี่มันมีมุมน่ารักๆ บุคลิกบางอย่างไม่เหมาะจะเป็นผัวว่ะ เหมาะจะเป็นเมียมากว่าอ่ะ จริงๆนะ
ส่วนตัวแล้วเราไม่ค่อยชอบนิสัยสองเลยอ่ะ บอกไม่ถูกว่ะ แค่ไม่ค่อยเด็ดขาดมั้ง
คราวนี้แหละได้เห็นผัว(??)ออกโรงหึงเมีย(??) เต็มๆแล้วสินะ
ส่วนผิงกับยิมก็ดูต่อไป แล้วตัวแปรอย่างดีนจะมีคู่ไหมน๊า (ทั้งๆที่สองรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ควนเข้าไกล้แต่สองก็เลือกจะไม่ปฏิเสธ) เหอะๆๆ เชื่อเขาเลย งานนี้สองต้องเป็นฝ่ายรับ ต้องโดนพี่ท็อปจับกด
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 08-09-2015 19:39:00
ท๊อปสองมาแล้ววว อิพี่ดีนนี่กวนตีนอ่ะ!
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 08-09-2015 22:16:58
On Top สมชื่อจริงๆ
 :hao6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 09-09-2015 11:22:50
ไงล่ะ ออนท๊อป กลับมาล๊าววววว :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 09-09-2015 20:11:42
มานั่งรอนอนรอพี่ท๊อปกับสอง :mew6:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 10-09-2015 17:58:27
อีกคู่ก็   พี่ดีนกับเฮียแกนเลย  แมนๆเตะบอลแรงๆ  555555

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 11-09-2015 23:26:36
พี่ท็อปแซ่บบ ชอบให้พี่แกรับ ราชินีมากๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: DogmaticGoose ที่ 12-09-2015 09:34:51
เรื่องนี้อ่านแล้วหน่วงๆ ระแวงคนโน้นคนนี้ตลอดเวลาเลยค่ะ  :laugh:

เป็นกำลังใจให้ ขอให้กล้ามท้องพี่ท็อปกลับมาเร็วๆ จะได้พิชิตน้องสองได้ในเร็ววันนะคะ 55
คงไม่นานเกินรอ ขอแค่ทำตัวน่ารักแบบนี้ต่อไป น้องสองจะไปไหนรอด :katai2-1:

จะรอติดตามนะคะ แอบลุ้นคู่ยิมผิง แกนดีนด้วยค่ะ ว่าแต่จับสายเคะมุโยมาชนกันดีไหมนะ  :z1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 18-09-2015 23:20:26
จงมาๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 20-09-2015 22:07:17
พี่ท็อป on top ตอนสองเมาอีกล่ะ  :hao7: back to the beginning...หรอ  :hao6:

พี่ดีนนี่มายังไงล่ะเนี้ย ดูพี่แกมีความหลังกับเฮียแกนอยู่นะ จัดไปอีกคู่เลยดีกว่า  :hao3:

เชียร์ยิมผิง ผิงไปทำอะไรมาถึงโทรม เกี่ยวกับยิมด้วยหรือเปล่า  :m28:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 20-09-2015 22:21:11
รอตอนต่อไปอยู่น๊าา :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 21-09-2015 20:21:11
 :z2:คิดถึงสอง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Walitya ที่ 22-09-2015 14:18:39
 :z13:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: โซดาหวาน ที่ 22-09-2015 21:23:21
คิดถึงสอง คิดถึงพี่ท๊อป  :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -19 #04.09.58 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-09-2015 21:38:58
 :call:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 17 คำขอของคนข้างห้อง
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 23-09-2015 04:00:28
ตอนที่ 17 คำขอของคนข้างห้อง

ผมกลับมาที่ห้องเพ้นท์ หยิบกระถางแคคตัสไปวางที่ชั้นวางของด้านข้างห้อง พี่ท็อปคงโกรธผมถ้าผมเป็นพี่ท็อปแล้วเจอเหตุการณ์แบบนี้ ผมก็คงโกรธ เรื่องพี่ดีนผมไม่คิดว่าเจ้าตัวจะมาวุ่นวายขนาดนี้เพราะผมไม่คิดว่าพี่ดีนจะจริงจัง เหมือนแค่ทำเล่นๆ สนุกๆ ผมโทรศัพท์ไปหาไอ้ผิงให้รีบกินมื้อเที่ยงให้เสร็จเร็วๆ เพื่อหารือกับมันเรื่องนี้ซะหน่อย
เมื่อถึงเวลาเที่ยงครึ่ง ไอ้ผิงกับไอ้โก๋ก็กลับเข้ามาที่ห้องเพ้นท์ ผมเลยพามันออกไปนั่งที่หลังห้องเพ้นท์เพราะลับหูลับตาคนดี เวลาจะคุยเรื่องลับๆ ต้องหาที่ซ่องสุมหน่อย

“พี่ดีนเขาเอาจริงเหรอเนี่ย” ไอ้โก๋ทำหน้าฉงนก่อนจะเกาหัวทำหน้ามึนๆ ผมไหวไหล่

“กูควรจะจัดการปัญหายังไงดีวะ ถึงกูไม่ตอแยกับพี่ดีน กูเชื่อว่าพี่ดีนต้องหาทางมายุ่งกับกูอีก เหมือนตั้งใจมากวนประสาทกูเล่นๆ เลยว่ะ กูรู้สึกแบบนั้น” ผมบอกพวกมัน ไอ้ผิงมองหน้าไอ้โก๋เหมือนประมาณว่ากูว่าแล้ว

“มึงต้องชัดเจนไปเลยเว้ยว่ามีเจ้าของแล้ว...”

“พี่ดีนแกไม่สนใจหรอกถ้ากล้าออกตัวแรงขนาดนี้” ไอ้โก๋รีบแย้งทันที ผมถอนหายใจเซ็งๆ

“แล้วจะเอายังไง ปล่อยให้พี่ดีนมาป่วนไอ้สองเล่นแบบนี้น่ะเหรอ กูว่าพี่ดีนเป็นพวกชอบยุ่งกับของคนอื่นว่ะ รักสนุกชอบความตื่นเต้น”

“เห็นทีต้องเอาจริงหน่อยแล้วว่ะ ไม่งั้นไม่จบแน่เรื่องนี้” ผมบอกมันสองคน

“หึหึ ได้ฤกษ์ง้อผัวแล้วเว้ยเพื่อนกู” ไอ้ผิงยิ้มชอบใจ

“เงียบไปเหอะ” ผมลุกหนีมันสองคน พอหมดประโยชน์ก็เฉดหัวทิ้งซะเลย เหมือนผมหาที่ระบายความเหนื่อยหน่ายใจมากกว่าปรึกษาหาทางออก ตอนนี้ผมมีเรื่องที่ต้องจัดการสองเรื่อง โยกับพี่ดีน ส่วนยิมนั้นผมไม่ได้เจอหรือติดต่อมันอีกเลยหลังจากจบค่าย ผมนึกถึงมันบ้างตามประสาคนเคยอยู่หอพักเดียวกัน คงต้องใช้เวลาสักระยะนึง ส่วนโยตั้งแต่ที่มันซื้อของมาฝากผมเหมือนมันพยายามจะเข้าหาผมอีกครั้ง ผมกลับมาที่หน้ากระดานตัวเอง ก่อนจะส่งข้อความหาไอ้โย ผมไม่อยากค้างคาอะไรอีก

2 : เย็นนี้ออกมาเจอกูที่ร้านกาแฟเจ้าเก่านะ มีเรื่องจะคุย
Yo : เย้ ^^ โอเค แล้วเจอกันครับ

ผมมองข้อความที่ตอบกลับมาไม่นานหลังจากที่ผมส่งไปให้มันอย่างเหนื่อยใจ โยมันคิดอะไรอยู่ คิดว่าผมจะสานต่อกับมันอีกหรือยังไง บ้าไปแล้ว ผมอยากให้มันเข้าใจและยอมรับความจริงเรื่องของผมกับมันให้ได้เสียที มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว

ผมหยิบสร้อยออกมาสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง บางทีพี่ท็อปก็ชอบทำอะไรที่คาดไม่ถึงอยู่บ่อยๆ ไหนจะเรื่องคืนนั้น เรื่องนาฬิกา พี่ท็อปยอมให้ผมมากจริงๆ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ขอให้ทำแบบนั้น พอเห็นของที่พี่ท็อปให้ผมนึกถึงพวงกุญแจไม้แกะสลักหน้าหมานั่นคิดไปคิดมา พี่ท็อปเกิดวันไหนนะ? ผมจำไม่ได้ อันที่จริงไม่เคยถามเลยต่างหาก ผมเปิดเฟซบุ๊กไปดูวันเกิดพี่ท็อป

อืม อีกสองอาทิตย์จะถึงวันเกิดพี่ท็อปแล้ว ผมไม่อยากรอเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ พี่ท็อปเองก็พยายามเข้าหาผม แต่เหมือนยังไม่เต็มที่ ผมคำนวณเวลาแล้วเทอมหน้าพี่ท็อปต้องไปฝึกสหกิจแล้วด้วย เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ

หลังจากที่เลิกเรียนแล้วผมก็เตรียมตัวกลับ ในเมื่อตอนเช้าพี่ท็อปมาส่ง ผมเลยยืมรถไอ้โก๋มาก่อนเพราะพี่ท็อปคงงอนผมแน่นอน ไม่มารับอยู่แล้ว ผมสตาร์ทรถเสียงดังแล้วออกตัวทันที ผมรู้สึกได้ว่าโทรศัพท์สั่นหลายครั้ง คาดว่าโยน่าจะโทรมาตามผม เมื่อมาถึงร้านกาแฟ ผมเห็นโยเลือกนั่งโต๊ะริมสุดติดผนังด้านใน ใบหน้าบึ้งตึง แต่พอเห็นผมเท่านั้นมันก็ปรับสีหน้าโบกมือให้ผมหน้าระรื่นขึ้นมาทันที

“ทำไมนานจัง โยมารอตั้งนานแล้วเนี่ย”

“เออ กูเรียนนี่หว่า แล้วมึงเป็นยังไงบ้าง” ผมถามเพราะตอนนี้มันกลับมาทำผมสีดำตามปกติแล้ว

“ก็เรื่อยๆ” โยยิ้มก่อนจะตักฮันนี่โทสเข้าปาก ผมถอนหายใจเหนื่อยหน่าย

“ไอ้โย มึงรู้ใช่ไหมว่ากูนัดมาด้วยเรื่องอะไร” ผมไม่ได้แตะกาแฟที่มันสั่งไว้ให้ผม แค่กอดอกมองหน้ามันนิ่งๆ โยมันทำหน้าจ๋อยๆ ขึ้นมาแทน

“อือ ไม่คุยเล่นกับโยบ้างเลยนะ ไหนๆ ก็จะเขี่ยทิ้งแล้วไม่ใช่เหรอ” มันยังไม่วายประชดใส่ผมอีก ผมส่ายหน้าอยากตบกะโหลกมันมากกว่า

“ก็จะทิ้งแล้วทำไมต้องให้เหลือเยื่อใย” ผมแค่ยิ้ม โยถอนหายใจเสียงดังก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ

“โอเคๆ โยเข้าใจ...นึดนึง” มันมองหน้าผมแล้วหัวเราะชอบใจอยู่ฝ่ายเดียว ผมเลยปล่อยให้มันบ้าและหยุดไปเองนั่นแหละ

“พี่สองอะ ทำไมต้องนิ่งด้วยล่ะ...ไหนๆ ก็จะไม่ได้เจอหน้ากันแล้ว ทำดีกับโยบ้างสิ” โยทำหน้าซึมๆ ผมรู้ว่ามันแกล้งทำ...ล่ะมั้ง

“กูไม่อยากเสียเวลา มึงก็รู้ว่าต้นเหตุของเรื่องนี้มาจากอะไร ยังไงกูก็ขอโทษด้วยแล้วกัน เลิกทำตัวเหลวไหลกลับไปตั้งใจเรียนเหมือนเดิมเถอะ” ผมบอกมันด้วยใจจริง ผมหวังดีกับมัน อย่างน้อยๆ มันก็เหมือนน้องคนนึง ผมอยากให้มันเป็นเด็กผู้ชายมัธยมปลายธรรมดาๆ ไม่ก๋ากั่นแม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้แล้วก็เถอะ นอกจากมันจะแอ๊บ

“รู้น่า...อาเฮียบ่นให้ฟังอยู่ทุกวัน” มันพูดเบาๆ ทำหน้าบึ้งก่อนจะเหลือบมองหน้าผมเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่เปิดปากออกมาสักที

“มีอะไรว่ามา”

“คือ...เรื่องเฮีย...” ผมนิ่งฟัง อยากจะรู้ว่ามันจะพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับยิม บางครั้งผมก็คิดไปเองว่าโยอาจจะรู้เรื่องที่ยิมมันชอบผมก็ได้

"เฮียยังชอบพี่สองอยู่หรือเปล่า...”โยพูดออกมาจนได้ ผมแค่นิ่งไปก่อนจะถอนหายใจออกมา นึกแล้วเชียวว่ามันต้องรู้

“ไม่รู้เหมือนกัน...”

"ช่วงนี้เฮียดูเฮิร์ทๆ ยังไงไม่รู้ พี่สองปฏิเสธเฮียด้วยเหรอเนี่ย”โยพูดเบาๆ ผมส่ายหน้า“ไม่ใช่หรอก กูกับยิมเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”

“เหรอ โยแค่เห็นว่าอาเฮียดูนิ่งกว่าเดิมอีก ปกติก็น่ากลัวอยู่แล้ว มาเป็นแบบนี้ยิ่งไม่น่าเข้าใกล้ไปใหญ่”

“มึงก็อย่าไปกวนใจมัน”ผมบอก อีกฝ่ายพยักหน้า

“อือ รู้น่า โยไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

“เออ ยังไงดูแลมันด้วยแล้วกัน”ผมพูด เหลือบมองโยที่ดูเชื่อฟังผมไปทุกอย่าง 

“อือ พยายามจะไปหา อาเฮียย้ายหอแล้วนี่ พี่สองอยากรู้ป่ะ” ไอ้โยยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม

“ไม่เอา ไม่อยากรู้ มึงห้ามพูดนะ” ผมรีบพูดแทรกเพราะไม่อย่างนั้นมันคงพูดออกมาแน่ๆ การที่ผมไม่อยากรู้ไม่ใช่เพราะไม่สนใจใยดีเรื่องของยิม ถ้าหากผมรู้เข้ากลัวว่าตัวเองจะเดินหน้าเข้าไปหามันอีกครั้ง แม้ว่าจะหวังดีแต่ในเมื่อมันตั้งใจจะหลบหน้าไปทำใจสักระยะผมก็ไม่ควรไปก้าวก่าย

“ใจร้ายจริงๆ ...แต่ก็ดีแล้วล่ะ”โยพึมพำ

“มึงเองก็ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน...” ผมบอกทิ้งท้ายไว้แค่นี้ โยมันแค่ทำหน้าเหมือนหมาหงอยตาละห้อย แอบสงสารมันนิดนึงแต่ไม่อยากปล่อยไว้ให้ความหวังมันเดี๋ยวเจอเรื่องวุ่นอีก ผมแยกกับโยหลังจากที่คุยกันรู้เรื่องแล้ว ผมกลับมาที่หอพัก เหมือนพี่ท็อปยังไม่กลับมาเลย

ตืด ตืด ตืด

คิดถึงก็โทรมาพอดีเลย ผมกดรับ

“ว่าไงครับ หายงอนแล้วเหรอ” ผมหัวเราะเสียงใส เพราะอยู่ในช่วงตามง้อผมน่ะสิ จะมางอนซ้ำซ้อนคงไม่ทันกิน

[อะไรวะใครงอน ...แล้วนี่อยู่หอหรือไง]

“ครับ เพิ่งมาถึงเลย”

[นี่มึงยังกิ๊กอยู่กับเด็กเก่ามึงอยู่อีกเหรอวะหา] พี่ท็อปแกล้งทำเป็นโกรธ อีกฝายรู้ด้วยแฮะสงสัยมีสปายส่วนตัวแน่นอน ขนาดไอ้ผิงไอ้โก๋ยังไม่รู้เรื่องเลย ผมแอบยิ้ม แอบตามติดผมล่ะสิไม่ว่า

“โยน่ะเหรอ เปล่าหรอกครับ แค่ไปเคลียร์ครั้งสุดท้าย ตอนนี้ก็โสดๆ นะครับ” ผมพูดอารมณ์ดี ได้ยินพี่ท็อปทำเสียงจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด

[เออซี่...มึงนี่] แล้วเจ้าตัวก็เงียบไป

“ทำไมครับ หึงเหรอ”

[เออ มึงจะทำไม แม่งร่อนไปทั่ว เฟรนลี่เหรอมึง] อีกฝ่ายยังคงอารมณ์ไม่ดี แต่ทำให้ผมหลุดขำออกมา

“ฮ่าๆ ผมก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ โธ่ ยอมรับมาง่ายๆ ก็จบแล้ว ผมไม่เอามาล้อหรอกน่า”

[เออๆ แล้วกินอะไรยัง] พี่ท็อปถามห้วนๆ อีกฝ่ายจะพูดเพราะๆ ตอนมีโปรของแท้เชียว

“ยังเลย หิว” ผมบอกเป็นนัยยะชัดเจน

[อยากกินอะไรจะได้กลับไปทำให้...] ไม่คิดว่าจะได้ยินแบบนี้จากปากพี่ท็อปเลย ผมเลยยิ้มออก

“จริงดิ บริการดีเว่อร์ ขอเป็นต้มยำอะไรก็ได้เอาเมนูง่ายๆ ก็ได้พี่ ผมได้ทุกอย่างแหละ”

[ไข่เค็ม]

“อะไร ไข่เค็ม...” ผมเลิกคิ้วถาม ไม่ได้จะคิดอกุศลอะไร

[มึงนี่... เออๆ ทำอะไรก็กินใช่ไหม กูอยู่ตลาดเนี่ยจะกินอย่างอื่นไหม] พี่ท็อปถามต่อ ผมได้ยินเสียงคุยจ้อกแจ้กของคนรอบข้าง

“เออ... เอาขนมครกมาให้กล่องนึงแล้วกัน” ผมบอกไปตามที่คิดออก เจ้าตัวอือออแล้ววางสายไป ไม่เคยกินกับข้าวฝีมือพี่ท็อปเลย คงใช้ได้อยู่ล่ะมั้ง

ผมมองจอโทรศัพท์ ‘ไอ้ผิง’ มันโทรมามีเรื่องอะไรหรือเปล่า

“ฮัลโหลว่าไงมึง” ผมรับสาย

[เออ มึงๆ ตอนมึงเป็นอีสุกอีใสตอนตกสะเก็ดมึงใช้ยาอะไรทาวะ กูไม่รู้ว่ะ]ไอ้ผิงถาม ทำเอาผมมึนไปหลายวินาที มันเป็นอีสุกอีใสหรือไง แต่ไม่น่าจะใช่นะ

“เอ่อ...กูจำชื่อไม่ได้ว่ะ ระวังนะเว้ยอย่าไปเกามัน มึงเป็นเหรอวะ”

[ไม่ใช่กู คือ...เออๆ ช่างแม่งเถอะ ใช้ยาอะไร] ไอ้ผิงทำเสียงดังใส่อีก ผมทำหน้างงๆ แล้วพยายามนึกชื่อยา ตอนผมเป็นอีสุกอีใสมันก็นานมาแล้ว

“ใช้เจลอะไรสักอย่าง...อ๋อๆ สกาเจลไง ทาไปเลย ถ้ามีไข้ก็แดกพาราซะ ถ้าแพ้ซื้อยาแก้แพ้มาแดก โอเคนะมึง” ผมไม่ได้ถามว่าใครเป็น

[อ๋อ...แล้วซื้อที่ไหนวะ] น้ำเสียงมันมึนๆ อึนๆ

“ถามโง่ๆ อีก ร้านยาสิ เออแล้วใครเป็นล่ะ” ผมถามเพราะสงสัย ไอ้ผิงไม่ตอบแถมเปลี่ยนเรื่องอีก

[…เออกูเห็นพี่ท็อปที่ตลาดหลังมอด้วย]

“เออแล้วไง ไหว้ซะสิ”

[พรุ่งนี้เอารถมาคืนไอ้โก๋ด้วย] แล้วมันก็วางสายไป กวนตีนจริงๆ ผมไม่สนใจเรื่องของมันอีกต่อไป

ผมมองนาฬิกา อีกไม่นานพี่ท็อปคงกลับมาแล้ว เลยได้โอกาสเคลียร์ห้องซะหน่อย ส่วนมากมีแต่ขยะทั้งนั้น มาคิดดูแล้วห้องรกแบบนี้  อยู่ไปได้ยังไง ผมเปิดม่านที่หน้าต่าง เปิดประตูระเบียงไว้ รูปสเก็ตช์หน้าพี่ท็อปยังคงอยู่ที่เดิม จะว่าไปแล้ว

ผมก็ฝังใจกับพี่ท็อปพอสมควร ถึงจะเสียใจกับสิ่งที่พี่ท็อปทำแต่ผมไม่กล้าทำลายรูปพี่ท็อปทิ้งไปเปล่าๆ เสียดาย อุตส่าห์ตั้งใจวาด แต่ดีแล้วที่วันนั้นผมไม่ได้เอารูปพี่ท็อปไปทิ้ง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูถี่ๆ ดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดผลัวะเข้ามา พี่ท็อปเดินเข้ามาพร้อมถุงใส่ของเต็มสองมือ ผมเข้าไปช่วยถือ

“ทำไมซื้อมาเยอะจัง” ผมถาม ปกติไม่ได้ทำกับข้าวเอง

“เผื่อ หิวจะได้เอามาทำกินไง มึงจะซื้อกับข้าวถุงทุกมื้อเลยหรือไง”

“อืม งั้นพี่มาทำให้ผมกินทุกวันสิ” ผมพูดต่อ อีกฝ่ายมองหน้าผมนิ่งๆ ผมหลุดปากไปอีกแล้ว เหมือนทอดสะพานให้อย่างเต็มใจเลยด้วย ผมยิ้มแล้วดึงถุงในมือของเจ้าตัวมาวางที่โต๊ะตัวเล็กๆ

“แดกได้หรือเปล่าล่ะฝีมือกู วันนี้มึงต้องลอง” พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ หยิบชามใบใหญ่ออกมา

“ต่อให้ฝืนทนแค่ไหนผมก็จะกลืนเข้าไปให้ได้”

“ถ้าจะขนาดนั้นก็ไม่ต้องแดกหรอก” พี่ท็อปเหลือบตามองดุๆ ผมเลยเก็บของใส่ตู้เย็น นั่งมองเจ้าตัวกำลังหุงข้าว

“มึงจะไม่ช่วยกูเลยสินะ”เจ้าตัวพึมพำ

“ผมทำไม่เป็น รอกินอย่างเดียว” ผมหัวเราะแล้วลุกไปเปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลา พี่ท็อปมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะนั่งหั่นไก่เปิดกระทะไฟฟ้าต้มน้ำ

“เดี๋ยวนี้มึงเจอไอ้ยิมอยู่ไหม” พี่ท็อปถามเหมือนหาเรื่องคุยเสียมากกว่า ผมส่ายหน้า

“ไม่ได้เจอแล้ว มันย้ายไปอยู่หออื่นแล้ว”

“เหรอวะ ชั่วคราวหรือถาวร” พี่ท็อปถามอารมณ์ดีขึ้นมา ผมแอบเบ้ปาก

“ไม่รู้สิ ถ้าตัดใจได้คงไม่กลับมาหรอกมั้ง” ผมตอบไปตามที่คิด มันคงไม่กลับมาอยู่หอเดิมหรอก ย้ายไปย้ายมาทำไมกันให้วุ่นวาย

“แล้วไอ้โยล่ะ มึงไปเจอมันทำไม” พี่ท็อปถามอีก จะว่าไปตอนโทรมา ก็ถามไปแล้วนะเนี่ย ผมเลยแอบยิ้ม

“ไปคุยกับมันให้รู้เรื่องไงพี่ คราวนี้เอาจริงด้วย คงไม่ได้เจอมันอีกแล้วล่ะ”

“เหมือนมึงอาลัยอาวรณ์มันนิดๆ นะ” พี่ท็อปจ้องผมแบบจับผิด ผมเลยลองสำรวจอาการของตัวเอง ไม่ถึงขั้นอาลัยอาวรณ์แค่เป็นห่วงมันขึ้นมา อาจเป็นเพราะผมชอบทำนิสัยแย่ๆ ใส่มันมากเกินไปล่ะมั้ง ไม่ก็ผมอ่อนไหวมากไปหน่อย

“ผมไม่คิดอะไรกับมันซะหน่อย... พี่ก็รู้ว่าผมรักใคร” ผมหัวเราะเบาๆ ไม่ได้หันไปมองพี่ท็อป แต่รู้สึกได้ว่าเจ้าตัวกำลังจ้องผมเขม็ง

“อือ แล้วมึงรักใครล่ะ”อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยใบหน้าฉาบรอยยิ้ม

“ผมต้องบอกไหมครับ”ผมหันไปมองเจ้าตัวที่ไม่ละสายตาไปจากผม อีกฝ่ายแค่ทำหน้าพอใจแล้วก้มมองหม้อต้มยำสำเร็จรูปจากคนอร์ที่แค่ใส่ไก่ใส่เห็ดลงไปแค่นั้นเอง

“หึหึ เล่นตัวนะมึง” พี่ท็อปแค่ยิ้มกับตัวเอง

เมื่อข้าวสุกแล้วผมไม่อยากเอาเปรียบพี่ท็อปเลยไปช่วยทอดไข่ เมนูเดียวที่ผมทำอร่อยสุดแล้วล่ะ นอกนั้นก็ตามยถากรรม พี่ท็อปยังทำตัวดีน่ารักจัดแจงตั้งโต๊ะพร้อมกับจานข้าวไว้พร้อม 

“ถามจริงเถอะ ทำไมมึงถึงยอมให้ไอ้ดีนมาวุ่นวายขนาดนั้น ได้ข่าวว่ามันมายุ่งกับมึงตั้งแต่ตอนค่ายแล้ว... ไม่เห็นมึงบอกกูเลย” พี่ท็อปหยิบยกเรื่องพี่ดีนมาจนได้ อันที่จริงผมว่าจะคุยเรื่องนี้กับเจ้าตัวหลังกินข้าวอิ่ม

“ไม่อยากให้คิดมากไง ก็นึกว่าไม่มีอะไร” ผมตอบไปตามจริง 

“มันกวนตีนนะว่าไหม” พี่ท็อปเคาะนิ้วกับโต๊ะอาหารไปด้วยเหมือนกำลังขบคิดเรื่องนี้อย่างหนักเพราะคิ้วขมวด ผมถือจานไข่เจียวมาวางบนโต๊ะ

“ผมไม่คิดว่าพี่เขาจะจริงจังหรอก”

“มันแค่อยากสนุกกับมึงล่ะมั้ง...” พี่ท็อปมองหน้าผมไปด้วยแล้วยื่นช้อนให้ผม

“พี่คิดว่างั้นเหรอ” ผมไหวไหล่ไม่สนใจเท่าไหร่ อีกฝ่ายนั่งเขี่ยข้าวไปมา

 “พี่ดีนไม่ถูกกับเฮียแกนด้วยนะ” ผมบอก อีกฝ่ายทำเสียงฮึมฮัมไปด้วยแล้วเบ้ปาก

“ไอ้แกนอริเยอะเหมือนกันนะ ปากหมาแบบนั้นก็สมควรเหอะ”เจ้าตัวยิ้มเยาะสะใจอยู่คนเดียวแล้วก้มหน้าก้มตากินเงียบๆ ลองชิมต้มยำของพี่ท็อปดู ของสำเร็จรูปรสชาติมันก็โอเคอยู่แล้วไม่ต้องปรุงมากก็อร่อย

“มึงยังสูบบุหรี่อยู่หรือเปล่า” พี่ท็อปกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง ที่ไม่เจอซากบุหรี่เพราะผมเพิ่งเก็บห้องไปหมาดๆ

“ก็มีบ้าง นานๆ ที” ผมตอบ พี่ท็อปพยักหน้ารับรู้ “น่าจะเลิกนะสอง เสียบุคลิก ปอดพังไปแล้วมั้ง”อีฝ่ายบอกด้วยความหวังดี ผมพยักหน้าตาม

“พี่เลิกแล้วเหรอครับ” ผมแปลกใจ พี่ท็อปยิ้มแล้วพยักหน้า

“เออ ก็ช่วงที่เฮิร์ทๆ ไม่ได้แตะบุหรี่เลย ช่วงนั้นป่วยๆ ด้วยเลยถือโอกาสเลิกไปเลย”พี่ท็อปพูด ก่อนจะทำหน้าเศร้าเล่าความจริง เรียกคะแนนสงสารงั้นเหรอ ผมยิ้มกว้าง

“ดีนี่พี่”ผมพูด อย่างน้อยก็เลิกบุหรี่ได้ ถือว่าประสบความสำเร็จนะ ไม่ง่ายเลยที่จะเลิกสูบ แสดงว่าอีกฝ่ายคงเฮิร์ทจริง

“เมื่อไหร่มึงจะเลิกล่ะ”พี่ท็อปเลิกคิ้วสูง มองผมอย่างคาดหวัง

“ขอเวลาหน่อยไม่อยากเลิก”แม้ว่าช่วงนี้ผมลดลงไปเยอะ แค่สูบในช่วงที่หัวตื้อๆ ตามอารมณ์บ้างก็เท่านั้น อย่างผมให้เลิกบุหรี่คงยาก ผมรู้ตัวดีเลยถ้าเลิกก็คงกลับมาสูบต่อ ไม่รู้ว่ามะเร็งมีดีอะไร

“ตามใจ แค่ไม่อยากให้สูบบ่อยๆ ลดลงก็ดีแล้ว” พี่ท็อปยิ้ม

“แล้วได้เข้าฟิตเนสบ้างไหมเนี่ย” ผมนึกขึ้นได้ พี่ท็อปหัวเราะหึๆ ชอบใจ

“ไม่มีเวลาเลยว่ะ แต่ก็พยายามออกกำลังกายอยู่ ทำไมวะ ติดใจซิกซ์แพ็กกูขนาดนั้นเชียว”

“เปล่าหรอก แค่อยากให้ดูดีมากกว่านี้ไง ผู้ชายอะไรมีพุง น่าเกลียด” ผมย่นหน้านึกสภาพพี่ท็อปมีพุงย้อยแล้วทนดูไม่ได้

“เหรอ มึงมองย้อนดูพุงมึงไหมวะ” พี่ท็อปยอกย้อนได้เจ็บปวด

“อย่างผมอัพไม่ขึ้นแล้วล่ะพี่” ผมไม่ได้มีพุงน่าเกลียดอะไรอย่างนั้นหรอก พอมีกล้ามเนื้อนิดหน่อย อย่างน้อยๆ หน้าท้องแบนราบก็พอแล้ว

“พูดเหมือนคนแก่ๆไปได้”

“พี่ก็อย่าปล่อยตัวเองล่ะ” ผมย้ำอีกรอบแล้วหัวเราะ

มื้อเย็นวันนี้ถือว่าเป็นมื้อแรกที่ได้พูดคุยกันเองหลังจากที่ห่างมาหลายเดือน คิดไปคิดมาก็อยากนอนกอดพี่ท็อปให้ชื่นใจสักหน่อย แต่ดูเหมือนจะใจดีเกินไป พี่ท็อปอยู่ล้างจานให้ผมจนเสร็จครบทุบใบ

“กูไปแล้วนะ”

“อืม” ผมตอบเบาๆ สายตาจับจ้องอยู่หน้าจอโทรทัศน์

“เหงา มาหากูได้นะ เตียงเหลือที่เยอะ” พี่ท็อปทิ้งท้ายได้น่ารักในความรู้สึก เหมือนหย่อนเหยื่อลงในน้ำรอให้ผมงับ

“ครับ คิดถึงแล้วจะไปหา” ผมโบกมือให้แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง

ประตูห้องปิดลงเบาๆ ได้ยินเสียงพี่ท็อปเปิดเข้าห้องตัวเองกุกกัก ผมเอื้อมไปหยิบพวงกุญแจมามอง ผมกำลังทบทวนความรู้สึกของตัวเองว่าอยู่ในระดับขั้นไหนสำหรับความรู้สึกที่มีต่อพี่ท็อป แน่นอนว่าเลยขั้นชอบไปนานแล้ว...มันกำลังไต่ระดับไปหาขั้นรักหรือเปล่านะ แน่นอนว่าคำว่ารักครั้งนี้ ไม่ได้รวมกับความรู้สึกครั้งก่อนเพราะในตอนนั้นมันคลุมเครือบอกไม่ถูก ผมเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันกลับจากค่าย วันที่ให้โอกาสพี่ท็อปนั่นแหละ ไม่ว่าจะแบบไหนพี่ท็อปก็มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผมมากอยู่ดี แล้วแบบนี้ผมคงนอนคนเดียวต่อไปอีกไม่ได้แน่ๆ ผมอาจจะเหงาขึ้นมาดื้อๆ ทั้งๆ ที่มีคนที่สามารถเติมเต็มได้อยู่ใกล้แค่เอื้อมแท้ๆ มันสรุปได้ไม่ยากเลยว่าผมต้องการแค่พี่ท็อปคนเดียวเท่านั้น

ผมลุกออกไปนั่งเล่นที่นอกระเบียง รับลมยามเย็นผ่อนคลายหัวใจ ก่อนจะเหลือบมองที่ระเบียงห้องข้างๆ ไม่เห็นอะไรนอกจากกำแพงห้องที่กั้นเอาไว้

ผมนั่งใจลอยอยู่เพลินๆ ก็สะดุ้งเพราะเสียงพี่ท็อปดังมาจากระเบียงข้างๆ มาอารมณ์ไหนครับพี่ท็อป เหมือนพี่ท็อปพยายามชะเง้อหน้ามามองผมจากฝั่งนั้น

"จำได้ไหม มึงเคยบอกกูว่าเวลาคบใครแล้วมึงก็ให้เกียรติคนนั้นเสมอ”

“จำได้สิครับ ผมเป็นคนพูดเองจะลืมง่ายๆ ได้ยังไง”

“มึงเป็นคนแบบนั้นจริงๆ ด้วยแฮะ”

"ก็ถึงได้บอกไงครับว่าให้ลองคบก่อนแล้วถึงจะรู้...แล้วตอนนี้รู้หรือยังว่าผมรักใครแล้วจริงจังแค่ไหน” ผมพูดดังพอให้พี่ท็อปได้ยิน

“อืม ตอนนี้รู้ดีแล้วว่ะ”

“จำให้ขึ้นใจเลยนะครับ... พี่ก็เคยพูดนี่ว่าอยากได้คนจริงใจไม่อยากได้พวกรักสนุก...ผมเป็นคนดีได้นะถ้าพี่ต้องการตอนนี้ก็เป็นแล้ว พอหรือยังล่ะครับ” ผมพูดชัดๆ ผมจำได้ว่าประโยคพวกนี้ผมเคยพูดจากปากตัวเองและเคยได้ยินกับหูจากปากพี่ท็อป มาถึงตอนนี้ทุกอย่างมันกลับกัน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนไป แต่ที่สำคัญที่สุดคือใจคนที่เปลี่ยน เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว พี่ท็อปที่เหมือนก่อนยังหัวเราะผมตอนที่ผมบอกจะเป็นคนที่ดีกว่านี้ด้วยซ้ำ 

“กูเข้าใจแล้ว”

"ผมเคยบอกพี่ไปแล้วว่าถ้าหากผมต้องการที่จะหยุดอยู่ที่ใครสักคน ผมก็สามารถทำได้จริงๆ” ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มหม่นแสง

“กูก็ไม่ต่างไปจากมึงหรอก...จริงๆ นะ” พี่ท็อปพูดพอให้ผมได้ยิน

“พักผ่อนเถอะพี่...”ผมบอกทิ้งท้าย จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาในห้อง เข้าไปอาบน้ำไม่นานนัก ก่อนจะเดินไปนอนลงนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยหน่าย พอขาดคนอีกคนไป ก็เหมือนจะเหงาขึ้นมา 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ไม่ต้องเดาว่าเป็นใคร ผมลงจากเตียงเดินไปปลดล็อก

“มีอะไรครับ” ผมถามก่อนจะเปิดประตูออกกว้างให้พี่ท็อปเดินเข้ามาได้สะดวก เปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามาด้านในห้อง

“ขอนอนด้วยคนสิ...กูอยากนอนกับมึง”พี่ท็อปเอ่ยออกมา คงจะรวบรวมความกล้ามาเรียบร้อยแล้วถึงได้พูดแบบนี้  เจ้าตัวสวมชุดนอนสีขาวสะบาดตา ผมจุดพลุในใจ

“เตียงแคบนะ”ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะปิดประตูลงเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาในห้องแล้ว จากนั้นก็เดินไปหยิบหมอนในตู้เสื้อผ้ามาวางบนเตียงข้างกับหมอนของผม

“ปกติก็นอนไซส์นี้ไม่ใช่หรือไง” พี่ท็อปพูดยิ้มๆ แล้วกระโดดไปนอนบนเตียงซุกหน้าลงกับหมอนนิ่งๆ อย่างสบายอารมณ์ ผมมองตาม

“จะนอนแล้วหรือไง เพิ่งตะวันตกดินเอง”ผมเอ่ยถาม มองอากัปกิริยาของอีกฝ่ายแล้วยิ้ม

“อือ ขอชาร์จแบตก่อนดิ...” พี่ท็อปหันหน้ามาทางผม “ขอโทษนะ ที่มึงต้องเป็นฝ่ายเข้าหากูก่อนตลอดมา... บางครั้งกูปอดแหก ปากหนักเกินไป โคตรไม่แฟร์เลยว่าไหม แต่กูก็มักจะเรียกร้องจากมึงเสมอเลย”พี่ท็อปพูด แล้วหัวเราะเยาะให้ตัวเอง  แววตาหมองลง

“คิดมากทำไม สำคัญที่ว่าตอนนี้พี่ท็อปกำลังทำอะไรต่างหาก”ผมไหวไหล่ ไม่ถือสาอะไรกับเรื่องนี้นัก ก่อนจะเอนตัวลงนอน มองพี่ท็อปอย่างสังเกตสังกา

"เรามาคบกันไหม ...เป็นแฟนกับกูนะสอง” พี่ท็อปพูดทั้งๆ ที่นอนอยู่แบบนี้ ผมหัวเราะ ขอเป็นแฟนแบบนี้น่ะเหรอ

“ทำไมดูไร้เรี่ยวแรงจัง”

“ก็รอชาร์จแบตจากมึงไงวะ เก็ตไหมเนี่ย” พี่ท็อปย่นหน้าก่อนจะอ้าแขนรอ ผมกลอกตาไปมา ไม่โรแมนติกเอาซะเลย แต่แบบนี้ก็โอเคนะ สมเป็นพี่ท็อปดี

“อืม แบบนี้ผมปฏิเสธไม่ได้น่ะสิ รู้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ” ผมยิ้มก่อนจะขยับเข้าไปกอดพี่ท็อปให้สมใจ

“มึงไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” พี่ท็อปยิ้มกว้าง

“ถ้าปฏิเสธเดี๋ยวเฮิร์ทอีกรอบหรอก ไม่อยากให้ปล่อยตัวมากไงครับ เข้าใจนะ” ผมแค่รู้สึกหมั่นไส้นิดหน่อย มั่นใจเกินร้อยจริงๆ

“อือ ตอนนี้ก็ไม่โสดแล้วนะ ต่อไปอย่าไปใจดีกับไอ้นั่นอีกนะ มีแฟนแล้วบอกมันไปชัดๆ เลยนะ” พี่ท็อปกอดผมแน่นกว่าเดิม

“ครับ” ผมยิ้มรับคำอย่างเต็มใจ

แค่นี้แหละที่ผมต้องการ ส่วนไอ้คำบอกรักผมไม่ต้องการหรอก  รู้ๆ กันอยู่ว่ารู้สึกอย่างไงต่อกัน ผมไม่อยากไปยึดติดกับคำพูดมากนัก มันสำคัญอยู่แค่ว่าการกระทำที่มีต่อกัน ความสัมพันธ์ที่ไม่มีให้คนอื่นอีกแล้ว แค่เราสองคนนั่นแหละผมหวังว่าพี่ท็อปจะชาร์จแบตไปอีกนานเลยล่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 23-09-2015 05:42:39
กลับมาคบกันซะทีนะท็อปสอง พี่ท็อปทำหน้าที่แล้ว/ ทำกับข้าวให้กินไง o18 สองก็อย่าลืมทำหน้าที่ของตัวเองบ้างนะ ชวนพี่ท็อปออกกำลังกายบ้าง ซิกแพกส์จะได้มาไว้ๆ :hao6:
ยิมเป็นอีสุกอีใสใช่ไหม ผิงถึงต้องคอยดูแล ระวังจะติดนะผิง  :hao7:

ขออนุญาตแจ้งคำผิดนะจ๊ะ
อ้างถึง
“หึหึ ได้กฤษง้อผัวแล้วเว้ยเพื่อนกู”ไอ้ผิงยิ้มชอบใจ
- ได้ฤกษ์ง้อหรือเปล่าเอ่ย?

อ้างถึง
ผมมองนาฬิกา อีกม่านพี่ท็อปก็คงกลับมาแล้ว
- อีกไม่นานพี่ท็อป...?

ขอบคุณจ้าที่รีบพิมพ์มาให้อ่านกัน รอตอนต่อไปเน้อ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-09-2015 05:58:08
 :-[. ชาร์จแบตกันเต็มที่เลยนะ. พี่ท็อปน่ารักจัง
สงสัยยิมจะได้พยาบาลชื่อผิง  น่าเป็นห่วงจัง พยาบาลมือใหม่  ลุ้นต่ออีกคู่สองคู่ อิอิ
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 23-09-2015 07:29:59
ถึงความโรแมนส์ไม่ค่อยจะมี
แต่มันดูจริงใจดีจริงๆ
ในที่สุดก็เป็นแฟนกันอีกครั้งแล้วสินะ
เฮียแกนกับดีน มีซัมติง อัลไลกันหรือเปล่าาาาา
 :ruready
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: TR ที่ 23-09-2015 08:05:36
กลับมาคบกันแล้วววววว
อ่านแล้วอมยิ้มแก้มตุ่ย
ถึงจะดูไม่โรแมนติก แต่มันก็เหมาะเป็นทอปสองดี
ดูแล้วรู้สึกถึงความความจริงใจพี่ทอป ;)

ต่อไปสองก็ตอบคนอื่นไปได้เต็มปากแล้วนะว่ามีแฟนแล้ว

ส่วนคนที่เป็นอิสุกอิใสนี่ ยิมล่ะสิ หึหึ
คู่นี้เค้าไปถึงไหนกันแล้ววว

ส่วนเฮียแกนกับพี่ดีน มีซัมติงแน่ๆ! เดี๊ยนจับออร่าได้ 555
#แมนๆคุยกันครัช
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: ชมพูพาล ที่ 23-09-2015 11:12:07
กลับมาคบกันแล้ว น่ารักมาก พี่ท็อปแมนๆ เลย ชอบพี่ท็อป  :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: sodawan1 ที่ 23-09-2015 11:16:40
เค้าเป้นแฟนกันแล้วววว   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 23-09-2015 12:51:12
อ่านพาร์ทท๊อปแล้วอยากตบชะนีมินท์ค่ะ


นางเป็นตัวร้ายแบบอินี่เกิดมาแบบไหนว่ะ เรื่องที่เกิดเพราะตัวเองหลายใจเอง เลือกผิด แต่เอาความผิดไปโยนให้คนอื่น
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 23-09-2015 22:20:15
กลับมาเป็นแฟนกันแล้ว.  :mc4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 23-09-2015 22:36:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 23-09-2015 22:51:05
เค้าตกลงเป็นแฟนกันแล้ววว อิพี่ดีนถอยไป วู้วววว   :hao3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 23-09-2015 23:03:04
คบกันแล้ววววววววววว
เหมือนจะเคยพิมพ์ประโยคคล้ายๆแบบนี้มาก่อน 555555555
พี่ท็อปขอคบได้อ่อนแรงมาก 555555555
แอบสงสัยในความสัมพันธ์ของเฮียดีนกับเฮียแกนตามสอง(?)
ขนาดสองยังสงสัยเลย 55555555555555
แล้วที่ผิงโทรมาถาม...คือพี่ยิมเป็นอีสุกอีใสใช่มั้ย 55555555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: nuttzier ที่ 23-09-2015 23:23:23
หืมมม...มมม  ขี้อ่อยอ่ะ  ทั้งคู่เลย   ...

ร้ายกาจมาก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 23-09-2015 23:37:55
อ๊าย รอคอยพี่ท็อปมีซิกแพค

ก็ชอบเรื่องเสี่ยเหมือนกัน อยากให้คนแต่งมีแรงใจอัพทั้งสองเรื่องน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 24-09-2015 06:06:24
เย้ยยยยยยยยยยยยย


ในที่สุดท่านคนแต่งทีรักก็พากสองกับท๊อปกลับมาแล้ว


ฮืออออออออออ


คิดถึงมากเลยอ่ะ


เหมือน ๆ พี่ดีนกับเฮียแกนจะเคยคบกันเลยนนะ


หรือแบบว่าดีนเคยไปบอกแกนว่าชอบหว่า?


เอาเถอะแค่สองไม่ยุ่งด้วยก็พอแล้วมั้ง?
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 24-09-2015 22:25:28
พี่ท็อปพอกลับมาคราวนี้คือดีอะมีอะไร รู้สึกยังไงก็พูดตรงๆไม่คลุมเครือเหมือนตอนแรกๆ ส่วนที่ผิงโทรมาถามนี่คนเป็นคงเป็นพี่ยิมสินะๆ อยากอ่านคู่นี้แล้วอะ เฮียยิมหายไปนานคิดถึงๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 24-09-2015 23:41:44
เขาเป็นแฟนกันแล้วๆๆๆๆ  :-[  พี่ดีนไปหาคนอื่นเถอะนะ
ผิงดูแลใครอยู่อ่ะ  :z1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 26-09-2015 01:11:57
ชอบตอนพี่ท็อปขอสองเป็นแฟนจุง..
 :hao7:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 26-09-2015 09:30:36
ดีใจจังคบกันแล้ว เย้ๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 26-09-2015 13:50:01
พี่ท๊อปน่ารักจังงงงงงงงง

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ## -20 #23.09.58 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Wtftt ที่ 26-09-2015 21:31:26
เป็นแฟนกันล๊าวววววววววววว  :m2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # ตอนที่ 18 วันหยุดที่ไม่น่าจดจำ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 03-10-2015 05:45:41
ตอนที่ 18 วันหยุดที่ไม่น่าจดจำ

รุ่งเช้ามาถึง เป็นอีกวันที่พี่ท็อปยังคงมาอาศัยห้องของผม ระหว่างที่ตั้งโต๊ะทานมื้อเช้า พี่ท็อปเอ่ยเรียกชื่อผมอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ยักจะพูดอะไรต่อ พอผมถามก็เงียบ คราวนี้ผมเดินไปนั่งตรงหน้าพี่ท็อป

“กูเรียกไปแบบนั้นแหละ จะได้ชินปากไง” พี่ท็อปยิ้มก่อนจะนั่งเท้าคางมองผมอยู่ตามเดิม ผมถอนหายใจวันนี้พี่ท็อปมาแปลกจริงๆ

“อะไรของพี่” ผมบ่นงึมงำก่อนจะหยิบโทรศัพท์พี่ท็อปมาเช็คเล่นๆ เผื่อมีแอบซุกใครที่ไหนไว้

“เอ้า จะได้ชินปากว่านี่ชื่อแฟนกูไง” นิ้วที่กำลังจิ้มหน้าจอชะงักกึก ผมเงยหน้ามองพี่ท็อปไม่คิดว่าจะกล้าปล่อยมุกแบบนี้ พี่ท็อปแค่มองผมเงียบๆ

"หึๆ เข้าใจเล่นนะ” ผมยิ้มก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ตามเดิมก่อนจะนั่งจ้องพี่ท็อปกลับไปบ้าง เหมือนเล่นสงครามประสาทกัน ใครหลบตา หลุดยิ้มก่อนคนนั้นแพ้

“สอง”

“ว่าไงพี่” ผมยิ้มมองพี่ท็อปอย่างรอคำถาม พี่ท็อปแค่พูดด้วยท่าทีปกติเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ

“เป็นเมียกูนะ”

“อุบ ฮ่าๆ พี่พูดอะไรเนี่ย ล้อเล่นหรือไง” ผมหัวเราะ พูดออกมาได้ไม่อายเลยจริงๆ พี่ท็อปทำหน้านิ่งก่อนจะกระดิกนิ้วลงบนโต๊ะไปมาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

“ใครจะเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นวะ”

“อ้าว ไหนว่าไม่สนใจไงพี่ ผมจำได้นะพี่เคยพูดกับผมว่าไม่สนใจเรื่องแบบนี้” ผมยิ้มแล้วมองพี่ท็อปก่อนจะสำรวจปฏิกิริยา พี่ท็อปกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ดูไม่ออก

“ก็ใช่ไง กูเคยพูดแบบนั้น ตอนนี้เราเป็นแฟนกันจริงๆ แล้วไง” พี่ท็อปส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

“โธ่พี่ ตอนนี้เราไม่ควรมาถกกันเรื่องนี้เนี่ย รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น” ผมพูด

“ถ้ากูเฟิร์มเมื่อไหร่ มึงคิดว่าจะรอดเหรอวะ” พี่ท็อปทำหน้าเคร่ง มองผมเหมือนจะลวนลามทางสายตาผ่านร่มผ้าหนาๆ ได้

“ไม่รู้สิ ยังไม่ถึงก็อย่าเพิ่งฟันธงสิครับ” ผมแกล้งพูดไปแบบนั้น จริงๆ ไม่เห็นต้องมาซีเรียสเลยนะ เรื่องผัวๆ เมียๆ เนี่ย สุดท้ายก็วินๆ ทั้งสองฝ่าย พี่ท็อปเปิดประเด็นเรื่องนี้มาแสดงว่ากำลังคิดเรื่องนี้อยู่สินะ เห็นทีต้องระวังตัวซะหน่อยแล้ว

“โอเคๆ ถึงกูไม่ค่อยว่างก็เถอะ แต่อีกเดี๋ยวคงฟิต ถ้าร่างโปรเจ็คเสร็จคงหายใจได้ทั่วท้องหน่อย จะได้ให้เวลาเมียเต็มที่หน่อย เดี๋ยวมันน้อยใจไปซะก่อน”

“พี่นี่เหมือนเดิมเลยนะ ชอบโมเมจริงๆ ผมไม่เถียงพี่หรอก มีความสุขก็ทำไปเอาที่สบายใจละกันเฮีย” ผมไหวไหล่เขาว่ากันว่าถ้ามีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป ประโยคนี้มันเข้ากับผมจริงๆ อะไรๆ มันต้องมีครั้งที่สองสินะ

“อือ ดีมากไอ้น้อง...เออ พรุ่งนี้วันเสาร์ ไปเที่ยวกันไหมวะ”อีกฝ่ายเสนอขึ้นมา

“ที่ไหนล่ะพี่”

“ใกล้ๆ นี่แหละ ไปน้ำตกไหม”

“อือ ก็น่าสนนะพี่ ไปปิกนิกกางเต็นท์ก็ดีนะพี่ ตอนนี้ที่อุทยานอากาศน่าจะดี เย็นๆ นิดหน่อย” ผมบอก อุทยานเขตป่าสงวนเป็นป่าไม้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ แถมมีจุดชมวิวด้วย คงเป็นอีกทริปที่น่าสนุก

“เอาดิ ไปค้างสักคืนก็แล้วกัน”

“โอเค ไปกันชิลๆ คงไม่ต้องเตรียมอะไรมากหรอก แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดเอง” ผมคำนวณในใจ ไปพักคืนเดียว สองวันคงแค่สามสี่ชุดก็พอ ที่อุทยานมีอาหารขายให้นักท่องเที่ยวอยู่แล้วไม่ลำบากอะไร คงมีที่เงียบให้นั่งสวีทกันบ้างล่ะ เพราะไม่ใช่เทศกาลท่องเที่ยวคนคงไม่เยอะ นึกถึงลำธารใสๆ แล้วอยากกระโดดเล่นน้ำเลยแฮะ บรรยากาศชิลตอนกลางคืนกับกองไฟ เบียร์เย็นๆ แถมมากับแฟนอีก

“คิดอะไรลามกอีกล่ะสิมึง ในเต็นท์มึงจะไม่เว้นเลยเหรอ” พี่ท็อปเลิกคิ้วมองด้วยสีหน้าเอือมระอา ทำไมล่ะเซ็กซ์เสื่อมไปแล้วพร้อมๆ กับซิกซ์แพ็กสินะ

“ก็แค่คิดว่ามากับแฟนคงสนุกแน่นอน”

“เออดิ มาสองก็ต้องสนุกดิ มึงนี่ชอบทะลึ่งไม่เว้นช่วงบ้างเลย” พี่ท็อปส่ายหน้าก่อนจะบิดขี้เกียจสองสามที

“หรือว่าเราชวนคนอื่นไปดีไหมพี่”

“ใครล่ะ เพื่อนมึงเหรอ มันจะไปเป็นก.ข.ค.เราทำไม”

“เผื่ออยากเฮฮามากกว่าเดิมไงพี่ ไม่ต้องเอามันไปนั่นแหละดีแล้ว เดี๋ยวมันอิจฉาตาร้อนคนมีแฟนแย่เลย” ผมหัวเราะไปพลางเมื่อนึกถึงไอ้โก๋กับไอ้ผิง ป่านนี้แล้วไม่รู้จักจีบใครเป็นเรื่องเป็นราว เดี๋ยวขึ้นปีสี่แล้วจะหมดความสดใหม่นะเพื่อน

“ถึงมึงชวนพวกมัน ก็คงไปกันหรอก” พี่ท็อปว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วย อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน

“กลับห้องแล้วเหรอ” ผมถาม

“อือ เตรียมตัวไปพรุ่งนี้ไง กี่โมงดี เช้าๆ หน่อยก็ได้นะไม่อยากไปถึงสาย”เจ้าตัวบอก น้ำเสียงเป็นงานเป็นการ

“ตามนั้นเลยสักตีห้าก็ได้นะพี่ สองชั่วโมงก็ถึงเอาลูกรักผมไปเหรอ” หมายถึง เคเอสอาร์ที่จอดแช่ไว้หลายวันไม่ได้เอาออกมาใช้เลย

พี่ท็อปทำท่าคิด“ไปเองก็ดีจะได้ไม่ต้องคอยหารถตอนกลับ โอเคตามนั้นแล้วกัน ไปก่อนนะ” พี่ท็อปยิ้มให้ผมแล้วเดินออกจากห้องผมไปปิดประตูเบาๆ จากนั้นผมส่งข้อความหาไอ้โก๋กับไอ้ผิงว่าวันเสาร์อาทิตย์จะไม่อยู่เผื่อว่ามันจะชวนไปทำงานที่คณะ ไอ้โก๋แค่ส่งข้อความตอบกลับกวนๆ มาเพื่อแสดงตัวว่ารับรู้แล้ว ส่วนไอ้ผิงมันโทรมาหาผมแทน

“ว่าไง อยากไปด้วยเหรอมึง” ผมถามมันขำๆ ไอ้ผิงส่งเสียงหึหะออกมาแสดงความหมั่นไส้เต็มที่

[กูจะไปทำไมให้เสียสายตามองพวกมึงจิ๊จ๊ะกันวะ เออ ไปถึงนั่นเอาของฝากมาด้วยดิ ได้ข่าวว่ามี]

“นี่โทรมาเพื่อทวงของฝากเหรอวะเนี่ย เจริญจริงมึง”ผมส่ายหน้า 

[เออ แค่นี้ทำงก เอาสร้อยข้อมือให้กูหน่อย] ไอ้ผิงพูด

“โอเคๆ จัดให้ ไว้คิดเงินทีหลัง อยากได้แบบไหนวะ”เคยได้ยินมาว่าสร้อยข้อมือแฮนด์เมค

[อืม...เอาลายธรรมดา กูจะมาเขียนชื่อเองเว้ย]

“ฮั่นแน่ มึงมีแฟนแล้วเหรอ” ผมแปลกใจ ปกติผู้ชายโสดแบบมันไม่น่าจะอยากได้สร้อยข้อมืออะไรแบบนี้หรอก มันไม่ค่อยชอบใส่เครื่องประดับยกเว้นจิวที่หูมันเท่านั้นแหละ

[พ่องสิ ไม่ใช่ กูจะเอาไปเป็นของขวัญน้องสายกูเว้ย เอามาสี่อันนะ] มันโวยวายกลับมา ทำให้ผมสนุกขึ้นมา

“เออๆ แซวไม่ได้เลยนะ สี่อันเอาไปเผื่อใครอีกอันวะ สายมึงมีสามคนนี่หว่า” ผมแกล้งแซวมันต่อไป แอบหัวเราะในใจที่มันหงุดหงิด

[ไอ้นี่ ขี้เสือกนะมึง]

“ครับๆ ได้เลยเพื่อน ไปกินรังแตนมาจากไหนวะ กูคิดเพิ่มแน่ค่าขนส่ง” ผมหัวเราะปิดท้ายก่อนจะรีบชิ่งตัดสายมันก่อนที่จะได้ยินเสียงก่นด่าจากมันให้ระคายหู ผมเอากระเป๋าเป้ขนาดธรรมดาออกมาใส่เสื้อผ้ากับของจิปาถะไม่กี่อย่าง คงเอาสมุดภาพไปไม่ได้เกะกะ เดี๋ยวเผื่อเปียกขึ้นมาก็แย่เลยเอาล่ะ ถือว่าเป็นทริปแรกฉลองตำแหน่งแฟนของเราก็แล้วกัน

รุ่งขึ้นของอีกวัน ณ เวลา ตีห้าเป๊ะ พี่ท็อปมาเคาะประตูห้องผมแบบไม่พลาดสักนาทีเดียว ผมคว้าเป้ขึ้นสะพายหลังแล้วออกจากห้องไปหาพี่ท็อปที่กอดอกรอด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“ไปโลดเลยที่รัก” พี่ท็อปพูดแข็งๆ แล้วเข้ามากอดคอผมลงบันไดไปด้วย

“อารมณ์ดีเหรอพี่” ผมถาม ดูจากสรรพนามที่กล้าใช้เรียกนี่บ่งบอกอารมณ์พี่ท็อปได้ดี

“มากอยู่ ใครจะไม่อารมณ์ดีล่ะหืม” พี่ท็อปหันมาตอบทำหน้าตาสดใส

“ปกติไม่ใช่แบบนี้นี่”

“ก็นี่ไม่ปกติ นี่เป็นแฟนแล้วนี่ไอ้สอง ทำไมถามมากจังล่ะ” พี่ท็อปมองหน้าผมแล้วย่นคิ้วกวนๆ ผมแค่ตามพี่ท็อปไม่ทัน ทำตัวน่ารักอีกแล้ว“น้ำมันเต็มถังนะสอง ไม่ใช่ต้องจูงหาปั๊มนะ ไม่งั้นกูโกรธ” พี่ท็อปพูดแล้วเข้ามามองที่หน้าปัด

“เตรียมพร้อมอยู่แล้วน่าพี่” ผมบอกแล้วยื่นหมวกกันน็อกให้ก่อนจะสตาร์ทรถเตรียมมุ่งสู่อุทยานแห่งชาติป่าสงวน พี่ท็อปขึ้นซ้อนได้ผมก็ออกรถทันที

เนื่องจากผ่านถนนสายหลักของตัวเมืองมาแล้ว ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีก็เข้าสู่เขตนอกเมืองที่รถใหญ่ไม่ค่อยสัญจร มีป่าไม้สลับกับบ้านเรือนเป็นครั้งคราว พี่ท็อปเกาะเอวผมไว้เพราะผมเร่งความเร็วขึ้นอีก ดูเหมือนฝนจะตก ฟ้าครึ้มๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศมืดม่นไปอีกแม้จะมีแสงยามเช้าบ้างแล้วก็ตาม

“ฝนจะตกว่ะสอง” พี่ท็อปตะโกนมาจากด้านหลัง

“หาศาลาใกล้ๆ ก่อนดีกว่า” ผมบอก ท่าไม่ดีเลย ฝนจะตกเข้าจริงๆ ด้วย ศาลาริมทางก็ไม่มีเลย ถนนเส้นนี้ช่างเวิ้งว้างอะไรแบบนี้

ผ่านไปประมาณสิบห้านาทีได้ฝนเริ่มลงเม็ด โชคดีที่เจอศาลาเก่าๆ ข้างทางข้างหน้าพอดี ผมจอดรอให้ฝนหยุดตก อีกสิบนาทีจะหกโมงเช้าแล้ว คงไปถึงอุทยานประมาณเจ็ดโมงเศษๆ

“ซวยจริงๆ มาตกอะไรวันนี้ก็ไม่รู้” พี่ท็อปปัดๆ ฝุ่นก่อนจะนั่งลงที่ระเบียงไม้ ผมเดินไปนั่งข้างๆ

“หิวไหมพี่ ผมเอาแซนด์วิชติดมา” ผมบอกแล้วค้นกระเป๋าก่อนจะยื่นให้พี่ท็อปที่รับไปเงียบๆ

“มึงเมื่อยไหมวะ เปลี่ยนให้กูขี่แทนก็ได้นะ” พี่ท็อปพูดก่อนจะเหลียวมองหน้าผม

“ยังโอเคอยู่ ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ฝนตกก็ดีเหมือนกันนะพี่ ไปถึงคงได้กลิ่นดินระอุแน่เลย อากาศคงแจ่มใสขึ้น ฟ้าหลังฝนมันสวยนะพี่” ผมบอก พี่ท็อปยิ้มก่อนจะมองเม็ดฝนที่เทลงมาเหมือนอัดอั้น

“อือ จะว่าไปก็คิดถูกนะที่มาเที่ยวพักผ่อนแบบนี้ กูเองก็สบายใจขึ้น มีเวลาอยู่กับมึงด้วยไง บอกแล้วไงว่าจะชดเชยให้” พี่ท็อปหันมายิ้มกับผม ผมแอบเห็นว่าพี่ท็อปหูแดงขึ้นมา แสดงว่าอาย

“แค่นี้ก็ดีแล้ว จริงๆ นะ” ผมบอกแล้วเอนตัวพิงหลังพี่ท็อปมองฝนตกด้านนอกศาลา คนที่มาเห็นคงแปลกใจพิลึกเห็นผู้ชายสองคนนั่งพิงกัน หวั่นๆ ฟ้าผ่าเหมือนกันนะ แถวนี้เป็นเขตหมู่บ้านชนบทเลยได้ยินเสียงสัตว์ร้องวี้ดๆ รับฝนตก 

ผมกับพี่ท็อปติดฝนด้วยกันอยู่หลายนาที ประมาณยี่สิบนาทีได้กว่าฝนจะหยุดตก ท้องฟ้าเริ่มเปิด แดดอ่อนๆ ชวนให้สดชื่น ผมเกรงว่าจะนอนเต็นท์ไม่ได้เพราะกลัวว่าฝนจะเทลงมาอีก ต้องไปถามเจ้าหน้าที่ที่นั่น จากนั้นก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง พี่ท็อปฟังพยากรณ์อากาศบอกว่ามีฝนนิดหน่อย ได้แต่หวังว่าฝนจะไม่ใช่ตัวทำลายความโรแมนติกของทริปนี้ไปซะหมด เพราะไปพักโฮมสเตย์คืนเดียวไม่คุ้มเลย ถึงโฮมสเตย์จะสไตล์ธรรมชาติก็เถอะ

ในที่สุดก็มาถึงอุทยานแห่งชาติได้ซะที เลทไปประมาณครึ่งชั่วโมงจากที่วางแผนเอาไว้ เพราะผมบิดมาเต็มที่ด้วย พี่ท็อปเข้าไปถามที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อติดต่อเรื่องกางเต็นท์ เจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์แล้วว่าสามารถกางเต็นท์ได้ เพราะก่อนมาที่นี่ฝนไม่ได้ตกแค่ครึ้มๆ นิดหน่อยเท่านั้น ผมกับพี่ท็อปเดินไปดูบริเวณสำหรับตั้งแค้มป์ คนไม่เยอะตามคาด บริเวณนี้มีแค่สามสี่แค้มป์เอง ผมเลือกที่ห่างๆ จากผู้คนเพื่อความเป็นส่วนตัว

“มาซะไกลชาวบ้านเลยนะ คิดจะทำอะไร” พี่ท็อปพูดยิ้มๆ แต่ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากมาช่วยผมกางเต็นท์จนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็จัดการเอาเป้ไปไว้ในเต็นท์

“ไปเดินดูแถวน้ำตกป่ะ มีหลายจุดเลย น่าเล่นทั้งนั้น” พี่ท็อปชวนขณะที่กำลังถอดกางเกงยีนอยู่เพื่อเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้น ผมหยิบแผนที่มาดู อุทยานที่นี่มีแอ่งน้ำตกหลายที่ ยิ่งชั้นบนๆ เขาว่ายิ่งสวยและทิวทัศน์ร่มรื่นอุดมสมบูรณ์มาก

“ไปซื้อของไปปิกนิกก็ดีนะ เผื่อหิว” ผมหยิบกระเป๋าย่ามมาสะพายข้างก่อนจะเดินไปที่โซนขายอาหาร ร้านค้าเปิดน้อยกว่าปกติ ถึงจะเป็นช่วงวันหยุดก็ตาม อาหารสไตล์เดิมไก่ยาง ส้มตำ ยำรวมมิตร น้ำแข็งกระติกน้อยกับน้ำอัดลม ส่วนแอลกอฮอล์เอาเข้าไปในลานน้ำตกไม่ได้

ผมกับพี่ท็อปเลือกเดินขึ้นไปชั้นสูงๆ หน่อย แอ่งน้ำตกตรงที่ผมเลือกค่อนข้างผาดโผน ด้านบนมีคนกระโดดตู้มลงด้วยและมีลานหินเยอะให้ได้นั่งปิกนิก ผมเลือกที่ใต้ร่มไม้ ติดกับลำธารน้ำตกนิ่งๆ ห่างจากแหล่งน้ำตก

“น้ำตกชั้นนี้สวยสุด คนเยอะพอตัวเลยว่ะ” พี่ท็อปชะเง้อมองไปที่แหล่งน้ำตกซู่ใหญ่ตรงนั้นแล้วเบ้หน้า ก่อนจะหันมาโซ้ยส้มตำอย่างเดียว

“แต่ที่เงียบๆ ก็มีนะพี่” ผมบอกแล้วมองไปรอบๆ บางแอ่งเป็นน้ำนิ่งคนไม่ค่อยเล่น โขดหินเยอะลับตาคนได้

“หึหึ คิดจริงๆ เหรอไง”

“ล้อเล่นครับ ใครจะทำ ผมให้เกียรติแฟนนะ” ผมพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ที่สาธารณะแบบนี้ใครทำลงก็หน้ามืดไปหน่อย
พี่ท็อปพยักหน้า“พูดได้ดี”

ผมหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปวิวสองสามรูปเก็บไว้แล้วไปนั่งเอาขาจุ่มน้ำเย็นๆ เล่นทางด้านข้าง รอให้คนน้อยกว่านี้ค่อยไปกระโดดเล่น

“มึงเคยมาที่นี่เหรอวะ เห็นคุ้นทางจัง” พี่ท็อปถามผมจากเสื่อปิกนิก

“ไม่เคยมาที่น้ำตกหรอก แต่มาแถวสวนอุทยาน ทัศนศึกษาน่ะพี่” ผมบอกไป ไม่มีอะไรน่าสนใจให้จดจำเท่าไหร่

“เหรอวะ ไม่เห็นพูดถึงบ้าง แสดงว่ามีอะไรหรือเปล่าวะ”อีกฝ่ายเดินมานั่งข้างๆ ผมทันทีก่อนจะจับจ้องผมไม่คาดสายตา ผมหัวเราะ

“ไม่ใช่หรอกพี่ แค่ช่วงนั้นเบื่อๆ เซ็งๆ”

“อือฮึ แล้วไงวะ”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนั้นเพิ่งย้ายมาใหม่ๆ แล้วมาที่นี่เลยเซ็งๆ ไม่น่าจดจำเท่าไหร่ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอุทยานชื่ออะไร” ผมยิ้มบอก พี่ท็อปดูไม่เชื่อที่ผมพูด ช่วงนั้นตอนม.6 หลังจากย้ายโรงเรียนมาแล้ว ผมไม่ค่อยได้จริงจังกับใคร เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมทำตัวเสเพลไปหน่อย ที่อุทยานแห่งนี้ไม่ได้มีความหลังอะไรกับใคร แค่เป็นสถานที่ที่ทำให้ผมเซ็ง เบื่อหน่ายกับชีวิต ช่วงนั้นผมไม่ได้คุยกับใครจริงจัง

“ทำไมถึงเป็นคนขี้เบื่อวะ”เจ้าตัวถามแปลกๆ

“ไม่รู้สิพี่ บางทีมันไม่มีอะไรน่าสนใจ”

“คนไม่น่าสนใจ มากกว่ามั้ง” พี่ท็อปตบไหล่ผมสองสามทีแล้วเหมือนเป็นกูรูปรึกษาปัญหาชีวิต ผมคิดตามคำของพี่ท็อป

“ไม่รู้สิพี่ อาจจะใช่ เพราะโรงเรียนไม่ค่อยน่าสนใจ”

“ไม่มีเด็กหรือไง”

“ฮ่าๆ ตอนนั้นยังไม่มีไงครับ พอมาพูดเรื่องเก่าๆ แล้วรู้สึกแย่ๆ ยังไงไม่รู้ เพิ่งรู้ตัวว่าผมนี่ไม่เอาไหนเลย” ผมถอนหายใจมองน้ำกระเพื่อมไปตามแรงแกว่งขาของพี่ท็อป

“เอาไว้เตือนสติตัวเองไงวะ ไม่ใช่ให้เก็บเอามาทำให้ตัวเองแย่ลง แต่ระดับไอ้สองนี่น่าจะโปรนะ ปลงได้นี่” พี่ท็อปพูดแล้วยื่นหน้ามาเหมือนจะจูบ ผมสะดุ้งเพราะตกใจไม่คิดว่าพี่ท็อปจะกล้า แต่อีกฝ่ายแค่หัวเราะเพราะไม่ได้จะจูบแค่ยีหัวผมเล่นจนผมเผ้ายุ่งไปหมด “ถ้ากูกล้ากว่านี้ก็ไม่แน่” พี่ท็อปยิ้มกว้างแล้วสอดส่องเด็กๆ ที่กำลังเล่นน้ำอยู่ไม่ไกล ผมแอบใจกระตุกไปนิดหน่อย แสดงว่าเจ้าตัวนี่มีอิทธิพลต่อหัวใจผมจริงๆ

“ผมคิดถูกแล้วล่ะ” ผมพูดออกมาขณะที่มองพี่ท็อปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ซึ่งปกติอีกฝ่ายไม่ค่อยจะยิ้มกว้างๆ เท่าไหร่นัก เพราะเจ้าตัวเป็นคนที่ดูขรึมนิดๆ บางทีก็ออกกวนหน่อยๆ ไปตามอารมณ์

“อะไรเหรอ” พี่ท็อปหันมาหาผมแล้วทำหน้างงๆ ผมยื่นหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆ หู

“คิดถูกที่ให้โอกาสพี่ได้เป็นแฟนผมไง” ผมเลยใช้สายตาอันว่องไวก่อนจะเข้าไปหอมแก้มพี่ท็อปฟอดเล็กเพราะรีบไปหน่อย อีกฝ่ายเหลือบมองผมนิ่งๆ ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะเบาๆ เหมือนคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ผมไม่ได้มองพี่ท็อปเพราะเขิน ปกติถ้าให้หอมแก้มก็ไม่เห็นจะเขินเท่าวันนี้เลย อาจเป็นเพราะความรู้สึกที่แท้จริงของผมล่ะมั้ง

“หึหึ แบบนี้แสดงว่าหลงพี่แล้วสิ กล้าใช่เล่นนะเนี่ย ไหนๆ ดูสิ มีใครอยู่แถวนี้ไหมวะ” พี่ท็อปหันซ้ายหันขวาก่อนจะชี้มือไปที่เด็กชายประมาณห้าขวบที่นั่งเล่นอยู่กับแม่สองคน คนแม่หันหลังให้พวกผม แต่เด็กน้อยคนนั้นกำลังมองมาทางนี้อยู่

“โอ๊ะ นู่นเว้ยๆ มึงทำอนาจารต่อหน้าเด็กแล้ว” เจ้าตัวหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะโบกมือให้น้องคนนั้น ที่แค่ยิ้มแฮ่ๆ เล่นน้ำต่อไปกับคุณแม่

“ตลกเหอะ เด็กมันจะไปรู้เรื่องอะไรกัน” ผมรู้สึกหมั่นไส้พี่ท็อปขึ้นมาทุกที ก่อนจะคิดแผนการผลักอีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัวลงไปกองในน้ำทั้งตัว

“อะไรวะ ลอบกัดนี่หว่า ไอ้เวร” พี่ท็อปโวยวายเพราะเปียกทั้งตัว ก่อนจะลุกขึ้นยืนลูบหน้าลูบผมที่เปียกน้ำ ผมแค่ยืนมองอย่างสุขใจจากด้านบนแล้วเดินไปนั่งที่เสื่อ ขืนอยู่แถวนั้นมีหวังโดนลากลงน้ำไปด้วยแน่ๆ ที่สำคัญน้ำเย็นด้วยผมหยิบน้ำโค้กมาดื่มมองเจ้าตัวที่ขึ้นมาบนโขดหินเปียกซ่ก เสียดายหุ่นไม่ฟิตเพราะใส่เสื้อขาวเปียกน้ำไปก็ไม่เซ็กซี่เท่าไหร่“มึงนะมึง เปียกหมด เชี่ย” พี่ท็อปบ่นแต่ยิ้มแป้นกอดตัวเองเดินมานั่งตรงหน้าผม ก่อนจะทำปากยื่นบุ้ยใบ้ไปที่อกไก่ย่าง

“เป็นง่อยเหรอครับ”

“ป้อนหน่อยดิไม่ได้เหรอไงฮะ นี่แฟนนะ ไม่ใช่ใครที่ไหน” พี่ท็อปยิ้มไปด้วยก่อนจะชี้ไปที่ไก่ย่างต่อ พยายามทำตัวแอ๊บแบ๊วหรือไง ผมส่ายหน้าก่อนจะฉีกเนื้อไก่แล้วยื่นใส่ปากให้พี่ท็อปที่ทำหน้าพอใจ

“อะ...ไม่อายคนจริงๆ” ผมว่าแล้วหยิบขนมอย่างอื่นกินแทน พี่ท็อปสะบัดหัวใส่ผม น้ำกระเซ็นใส่จนต้องเอนหนี

“มึงนั่นแหละหน้าทนกว่ากูอีก”

“น้ำเย็นดีใช่ไหมพี่” ผมล้วงเข้าไปในย่ามสะพายเอาผ้าขนหนูผืนเล็กให้พี่ท็อป

“เย็นดีนะ เมื่อไหร่มึงจะโดดน้ำเนี่ย กูรอ...ล้วงอยู่” ฟังจบผมแทบสำลักส้มตำไม่คิดว่าพี่ท็อปจะมีความคิดแบบนี้ ตั้งแต่กลับมาคุยกันผมชักมองพี่ท็อปต่างจากเดิมจากที่เห็นว่าพี่ท็อปเป็นคนเจนจัดพอสมควร ไอ้เรื่องแบบนี้ผมน่าจะชินไปแล้วไม่ใช่หรือไง แต่มาตอนนี้มันต่างกันออกไป ผมแค่มองพี่ท็อปเป็นพี่ท็อปคนธรรมดา

“โห พี่นี่วางแผนมาแล้วใช่ไหม”

“หึหึ ยังไงก็โดนแน่มึง ไม่ได้จับนาน” พี่ท็อปยิ้มมุมปากทำท่ามองด้วยสายตาหื่นกามเล็กน้อย

“พอเลยพี่ ลามกไปเรื่อยเลย” ผมรีบหยุดพี่ท็อป ไม่รู้พูดเล่นพูดจริง

“มึงเริ่มก่อนนะ บิ้วด์กูซะ...” พี่ท็อปพึมพำให้ผมได้ยิน

หลังจากผมกับพี่ท็อปก็ชวนไปกระโดดน้ำ จากหน้าผาที่ไม่ชันมากนัก ผมปีนไปที่หน้าผาน้ำตก น้ำด้านล่างน่าจะลึกอยู่ โดดตู้มลงไปหัวคงไม่น็อกพื้น

“สูงว่ะ มึงกล้าเหรอ” พี่ท็อปยื่นหน้าลงไปมอง พวกวัยรุ่นด้านล่างส่งเสียงเชียร์ไปตามประสา

“ป๊อดนี่หว่า แฟนใครวะ” ผมแกล้งแหย่เล่น ไม่คิดว่าพี่ท็อปจะกลัว กะว่าจะให้โดดด้วยกันซะหน่อย

“มันดูหวาดเสียวนะเว้ย” พี่ท็อปถอยไปด้านหลังแต่ผมขยับไปด้านหน้ากระแสน้ำตกไหลลงด้านล่างดังซู่ห่าใหญ่ น้ำแรงและลึกด้วย

“ไปแล้วนะพี่ ตามมาทีหลังแล้วกันนะ” ผมบอกพร้อมถอดเสื้อออกแล้วโยนไปฝากพี่ท็อปก่อนจะทุ่มตัวกระโดดลงไปด้านล่าง วูบเดียวก็ลงสู่ผิวน้ำตูมใหญ่น้ำกระเซ็นเป็นวงกว้าง ผมโผล่มาเหนือผิวน้ำเย็นๆ ทำให้หัวโล่งได้ สดชื่นเย็นเฉียบ ผมเงยหน้ามองพี่ท็อปที่มองลงมาก่อนจะโยนเสื้อลงมาให้ผม ผมเลยโยนไปพาดโขดหินไว้ก่อน เจ้าตัวทำท่าจะกระโดดลงมา ผมเลยว่ายออกห่างรอดู ไม่ทันไรพี่ท็อปก็กระโดดลงมาก่อนจะโผล่มาทางผม

“แม่ง โคตรหวาดเสียว น้ำลึกว่ะ” พี่ท็อปหัวเราะ เข้ามากอดคอผมไปด้วย

“นึกว่าไม่โดดแล้วซะอีก”ผมพูด

“ใครว่าล่ะ ถ้าไม่โดดลงมาก็อดล้วงพอดี....” พี่ท็อปยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมขำพรืด ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะทำจริงๆ มารู้ตัวอีกที่พี่ท็อปก็มาตะปบที่กางเกงผมเป็นที่เรียบร้อย ผมมองไปที่วัยรุ่นบริเวณนี้ ไม่มีใครสนใจเพราะเล่นน้ำกันอย่างเดียว

“บ้าเหรอพี่” ผมบอก ใจหวิวๆ ไปด้วย พี่ท็อปยิ้มก่อนจะเข้ามากอดผมไว้หลวมๆ

“ล้อเล่น กูไม่หื่นขนาดนั้นหรอก” พี่ท็อปหัวเราะ ผมถอนหายใจเล่นอะไรก็ไม่รู้ใจหายใจคว่ำหมด หลังจากที่ได้แช่ตัวจนหนังย่นแล้วก็ขึ้นจากน้ำมาใส่เสื้อ

“โชว์เหรอ หุ่นก็งั้นๆ” พี่ท็อปตามมาจากด้านหลังพูดขึ้นแล้วเบ้ปาก

“ใครจะหุ่นแซบเท่าพี่ล่ะ” ผมส่ายหน้า

“แน่นอน คอยดูเถอะ... ไม่รอดแน่มึง” พี่ท็อปไม่วายแอบตีก้นผมเล่นๆ

“ตอนค่ำๆ ก่อกองไฟหน้าเต็นท์ดีไหม เจ้าหน้าที่บอกมีฟืนขาย” พี่ท็อปเอ่ยปากชวน ผมหวังไว้แบบนั้นอยู่แล้ว ได้ดริ้งซะที ไม่ได้ดื่มเบียร์มานานแล้ว

“โอเคเลยพี่ ว่าแต่เราจะทำอะไรต่อดีล่ะ ว่างๆ” ผมถาม หลังจากที่เก็บของเสร็จก็เดินลงไปตามขั้นบันไดไม้ลงไปด้านล่าง พี่ท็อปทำหน้าคิด

“อืม...ถ้าไม่อยากเดินดูอุทยานก็นอนเล่นในเต็นท์ก็ได้นะ จะได้พักเอาแรง”

“ต่อจากนี้เราต้องใช้แรงด้วยเหรอเนี่ย” ผมหัวเราะเบาๆ พี่ท็อปขำหึ

“มึงไม่ต้องใช้หรอก กูนี่ต่างหาก” พี่ท็อปสวนกลับ แบบนี้ยังคิดว่าผมเป็นเมียพี่อยู่สินะ พี่ท็อปชอบโมเมจริงๆ

“ฮ่าๆ เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยเลย”

ผมกับพี่ท็อปกลับมาที่เต็นท์ ล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนชุดที่ห้องน้ำเสร็จก็เข้ามานอนเล่นเปิดเพลงเบาๆ คลอไปด้วย ชวนเคลิ้มหลับจริงๆ

“ไม่กอดกูเหรอ” พี่ท็อปถามงึมงำ

“ไม่หนาวซะหน่อย” ผมบอกก่อนจะขยับตัวออกห่างแต่อีกฝ่ายใช้ขาทับไว้

“อยากได้ความอบอุ่นไง มึงนี่ไม่รู้เรื่องเอาซะเลย อุตส่าห์ให้กอด” พี่ท็อปลืมตามองผมดุๆ ผมเลยต้องขยับเข้าไปนอนในอ้อมแขนของอีกฝ่ายโดยปริยายให้อารมณ์เหมือนผัวกกเมียเลยแฮะ ไม่ชอบสถานะพวกนี้เท่าไหร่แต่สำหรับกอดน่ะคนละเรื่องเลย

“นอนตรงนี้สบายดีเหมือนกันเนอะ ได้กลิ่นธรรมชาติดี” ผมพึมพำบอก

“เหรอวะ ไม่เห็นได้กลิ่นเลย หอมแต่กลิ่นมึงเนี่ย” พี่ท็อปพูดทั้งๆ ที่หลับตา ผมยิ้มออกมา พักนี้แม่งเสี่ยวดีจริงๆ ขยันหยอดซะเหลือเกิน

“ฮ่าๆ พูดแบบนี้ก็เป็น” ผมหัวเราะเบาๆ

“อือ เสี่ยวเหมือนมึงไง เขินล่ะซี่ หึหึ ก็แบบนี้แหละเมียกู”เจ้าตัวยิ้มก่อนจะขยับมากอดแน่นจนรู้สึกอึดอัด

“โห ได้ทีพูดบ่อยซะเหลือเกิน วู้” ผมผลักอีกฝ่ายออกก่อนจะหันไปนอนตะแคงอีกข้าง ไม่อยากเห็นหน้า

“อยากให้กอดจากด้านหลังเหรอ” พี่ท็อปเข้ามากอดต่อ จริงๆ ผมอึดอัดมากกว่า แกล้งกันนี่หว่า โธ่ ผมจั๊กจี้ขึ้นมาทันทีก่อนจะหัวเราะ

“จั๊กจี้ อย่ามาใกล้ดิ” ผมปัดแขนพี่ท็อปที่เข้ามาโอบแถวเอว เหมือนยิ่งพูดยิ่งยุมากกว่า พี่ท็อปขยับมาใกล้ๆ ต่อแล้วกอดแน่น

“เฮ้ย ปล่อยเลย จะแทงผมเรอะ”อยู่ท่านี้ไม่ปล่อยภัยอะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งเป็นพี่ท็อปที่น่าจะหื่นกามพอสมควรแต่ไม่ค่อยแสดงออกบ่อยนัก

“อะไรมึง” พี่ท็อปว่าแล้วขยับออก ผมขยับตัวนอนหงาย “รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ อยากแอ้มผมล่ะซี่”

“กูไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น มีแต่มึงนี่แหละพูดอยู่ได้” พี่ท็อปเท้าแขนมองด้วยสายตากรุ้มกริ่มเหมือนรู้ดีไปหมด ผมล่ะซูฮกพี่ท็อปจริงๆ

“โอเคครับ จบประเด็นนี้ไม่ต้องมากอดแล้ว” ผมบอก มานัวเนียกอดไปกอดมาเดี๋ยวเป็นเรื่องขึ้นมาหรอก ยังกลางวันแสกๆ อยู่เลย

“สอง”

“ครับ” ผมเคลิ้มจะหลับอีกรอบนึง เสียงของอีกฝ่ายดันปลุกให้ตื่นอีกครั้ง แต่พี่ท็อปเหมือนยังอ้ำอึ้งอยู่

“ทำไมครับ จะบอกรักผมเหรอไง...” ผมยิ้ม ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองคนข้างกาย

“เปล่า”

“แล้วอ้ำอึ้งอะไร”ผมพึมพำถาม จ้องอีกฝ่ายเขม็ง

“กูแค่อยากจะบอกมึง กูรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว” พี่ท็อปพูดเบาๆ ผมมองพี่ท็อปตาปริบๆ ทำท่ามีลับลมคมใน พี่ท็อปขยับมาพูดใกล้ๆ จับใจความได้ว่า "ทำไมเดี๋ยวมึงน่ารักจังวะ”

"หา!” ผมชะงัก รู้สึกมวลในร่างกายหยุดกะทันหัน ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้กับตัวเอง พี่ท็อปแค่อมยิ้มแล้วหันไปนอนอย่างสบายใจที่พูดออกมาได้ ผมนิ่งก่อนจะรู้สึกเหมือนโดนหมัดฮุก ผมเนี่ยนะน่ารัก ต้องเกิดอะไรขึ้นกับสมองสั่งการของพี่ท็อปแน่ๆ ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงได้ทำผมไปไม่ถูกแบบนี้นะ ไอ้ผมก็นึกว่าจะบอกรักซะอีก

 เฮ้อ แย่ ผมคร่ำครวญในใจเป็นที่เรียบร้อยก็ทำใจนอนหลับตาลง ในหัวกลับครุ่นคิดอย่างหนักว่า ‘กูน่ารักตรงไหนวะ’
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ'
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 03-10-2015 05:46:15
---
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 2
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 03-10-2015 05:47:36
ตอนที่ 2 คิดมาก

ตืด ตืด ตืด

ถึงตาจะปิด แต่ประสาทการรับรู้ของผมกำลังทำงานอยู่ มีคนโทรมาหาผมอยู่หลายครั้ง ผมเป็นประเภทที่ไม่รับสายหากใครโทรมาป่วนการนอน ซึ่งวันนี้มันวันเสาร์นะครับพี่น้อง! คงไม่ใช่พวกผองเพื่อนก๊วนผมแน่นอนเพราะพวกมันย่อมรู้นิสัยผมดี...
แสดงว่าคนอื่น...
คนอื่นนี่คงไม่ใช่ไอ้ข้างห้องนั่นหรอกนะ แต่จะว่าไปมันจะโทรมาทำไมในเมื่ออยู่ห้องติดๆ กันแบบนี้ ผมเลยจำใจเอื้อมมือไปควานสะเปะสะปะหาโทรศัพท์ที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ส่วนไหนของเตียงนอน ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอ มีสามสายที่ไม่ได้รับ
‘ยิม’
เฮ้ย มันโทรมาทำไมกัน ผมรีบผุดลุกออกจากเตียงนอน หน้าตายังไม่ได้ล้างฟันยังไม่ได้แปรง ผมโทรออกกลับไปหามันก่อนจะเดินโซเซเมาขี้ตาออกจากห้องตัวเองไปหาคนที่อยู่ห้องข้างๆ ผมเคาะประตูห้องไอ้ยิมสองสามครั้งพร้อมๆ กับปลายสายกดรับพอดี
[...เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อก] ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงแหบๆ ของมัน นี่มันป่วยหรอกเหรอ ถึงว่าล่ะ... มีอะไรถึงไม่เดินมาหาเคาะห้องผม หมายความว่าป่วยหนักสินะ
“ป่วยเหรอ เสียงแปลกๆ” ผมถามก่อนจะวางสายแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องที่มืดสลัว หน้าต่างเปิดไว้พอให้แสงยามเช้าสาดส่องเข้ามาได้บ้าง ผมเห็นไอ้ยิมนอนอยู่บนเตียงนิ่งๆ
“เฮ้ย เป็นอะไรมากไหมวะ” ผมเปิดไฟแล้วเดินไปหาเจ้าของห้องที่เตียง แต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นคนที่นอนอยู่มีตุ่มใสๆ ขึ้นตามแขน กับใบหน้าประปราย คนที่นอนอยู่ดูแปลกตาไปเพราะไม่ได้สวมแว่น
“ฮ่าๆ อีสุกอีใสเหรอวะเนี่ย” ผมหัวเราะไปอัตโนมัติ อายุป่านนี้แล้วทำไมเพิ่งมาเป็น ไอ้ยิมทำหน้าบึ้งไม่พูดอะไร ผมเห็นว่ามันดูซีดเซียวเลยเข้าไปแตะหน้าผากมันดู “ตัวร้อน เป็นไข้ด้วย แล้วแดกยาหรือยัง” ผมถามก่อนจะกอดอกยืนมองมันอย่างมีความสุข ไอ้ยิมส่ายหน้าก่อนจะทำท่าเหมือนเจ็บปวดมากมาย
“มึงมียาติดห้องบ้างไหม เฮ้อ แล้วทำไมไม่บอกกูตั้งแต่แรกๆ วะ ปล่อยให้เป็นขนาดนี้ได้ยังไง” ผมบ่นไปพลางขณะที่เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของมัน เปิดลิ้นชักเผื่อว่าจะเจอยาแก้ไข้แก้แพ้สักแผงนึง
“กู... ไม่รู้นี่ว่าจะเป็นหนัก คือ... กูไม่คิดว่าเป็นอีสุกอีใส” ไอ้ยิมพูดเสียงแหบ
“ไม่มียาเลยเหรอวะเนี่ย งั้นรอก่อนนะเดี๋ยวไปเอายาที่ห้องกูก่อน” ผมบอกมันก่อนจะมองไปตามตัวมันอยู่หลายวินาที อ้อยอิ่งนานไม่ได้เพราะไอ้ยิมมันทำหน้าเหมือนหมาป่วย ผมเดินออกจากห้องแล้วเข้าไปหยิบยาแก้ไข้กับยาแก้แพ้ติดมาด้วย แต่แล้วต้องสะดุดอยู่กับที่พร้อมๆ กับคำถามที่ว่า ‘ทำไมต้องกระตือรือร้นขนาดนี้วะเนี่ย’ ผมล่ะอยากจะปากระปุกยาทิ้ง แต่ก็นะ... มันเป็นคนรู้จักจะปล่อยปะละเลยได้ยังไงกัน ผมเดินไปที่ห้องไอ้ยิมต่อ เข้ามาเจอมันลุกขึ้นนั่งท่าทางอิดโรย
“ได้กินข้าวบ้างยังวะเนี่ย” ผมถามเพราะท่าทางเหมือนคนไม่มีแรง อนาถจริงๆ โดนอีสุกอีใสเล่นงาน
“อือ ยังเลยว่ะ หิว กูกำลังจะโทรบอกมึงอยู่พอดีว่าให้ไปซื้อโจ๊กให้หน่อย แต่มึงเอาโทรศัพท์ไว้ที่ห้องกู” ไอ้ยิมบอก ในมือถือโทรศัพท์ไว้
“เออๆ ก็ได้วะ หายป่วยแล้วชดใช้ให้กูด้วยล่ะ” ผมถอนหายใจแล้ววางยาลงบนโต๊ะ
“ขอบใจนะเว้ย” ไอ้ยิมพึมพำบอกขณะที่ผมกำลังเดินออกจากห้อง ผมแค่พยักหน้าให้มันก่อนจะเดินออกไปซื้อโจ๊ก
เวรกรรมนี่มันขี้ข้าดีๆ นี่เอง ได้ทีล่ะใช้จริงแต่ผมก็ดันไปทำให้มันซะทุกเรื่อง ผมขบคิดเรื่องไอ้ยิมมาหลายวันก่อนหน้านั้น ผมหลับไม่ลง ตอนนี้ผมกำลังสับสนอะไรหรือเปล่านะ ผมเป็นผู้ชายแมนๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงจะผ่านการมีแฟนเป็นเรื่องเป็นราวแค่สามคนแต่ผมก็ชายแท้นะเว้ย ผมแค่เป็นห่วงมัน ผมยอมรับ อาจเป็นเพราะมันคือไอ้ยิมเลยทำให้ผมทำใจได้ยากที่จะบอกว่า กูเป็นห่วงมึงว่ะ แต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีความรู้สึกรูปแบบอื่น ผมมั่นใจว่าไม่ได้รู้สึกไปมากกว่านั้นเพราะผมเชื่อมั่นในตัวเองว่าผมคือไอ้ผิง ชายแท้แน่นอน... แต่บางครั้งผมมักหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกแคร์มันมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ อย่างไอ้โก๋เพราะผมสนิทกับมัน รู้สันดานของมันมาหมดเลยไม่ให้ความรู้สึกกระอักกระอวนใจเวลาเป็นห่วงนู่นนี่นั่น แต่ขอยืนยันว่าผมไม่ได้ชอบไอ้ยิมแน่นอน
พอซื้อโจ๊กมาให้มันต้องเทใส่ถ้วยประเคนให้ถึงเตียงนอน อะไรจะดีแบบนี้กัน ผมยกถ้วยไปให้มันเพราะมันคงไม่อยากลุก เท่าที่สังเกตมันมีตุ่มขึ้นที่แขนทั้งด้านหน้าด้านหลัง ขาก็ขึ้น ไม่รู้ว่าที่หลังขึ้นด้วยหรือเปล่า
“อะ ค่อยๆ กินนะ มึงน่าจะไปหาหมอจะได้หายไวขึ้น” ผมบอกมัน อย่างน้อยหมอน่าจะให้ยาดีๆ มาให้ เป็นแบบนี้ขาดเรียนหลายวันแน่นอน
“อืม กูไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้ แม่ง...ไม่สบายตัวเลยว่ะ” มันทำหน้ายุ่งก่อนจะค่อยตักโจ๊กใส่ปาก ผมเห็นตุ่มที่มือมันหลายเม็ดเลย
“กินโจ๊กเสร็จ ไปหาหมอเหอะจะได้เอาไปรับรองแพทย์ไปยื่นตอนขาดเรียนไง” ผมบอก ไอ้ยิมพยักหน้าเบาๆ
“เออ ไหนๆ ก็ช่วยแล้วมึงเตรียมชุดให้กูหน่อยดิ เอาเสื้อตัวใหญ่ๆ หน่อย คือ ที่หลังกูมันเริ่มขึ้นแล้วว่ะ” ไอ้ยิมพูดงึมงำผมเลยได้แต่พยักหน้าลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อแขนสั้นตัวใหญ่ๆ กับกางเกงสามส่วน แขวนไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า “มึงเคยเป็นแล้วเหรอวะ”
“เออ ตั้งแต่ป.5 แล้วเว้ย แต่กูต้องระวังเดี๋ยวจะติดจากมึงเอา” ผมบอก เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าอีสุกอีใสเป็นสองครั้งก็มี
“เหรอวะ ลำบากมึงเลย” ไอ้ยิมพูดมองผมนิ่งๆ
“เอาน่า รีบแดก จะได้ไปหาหมอ” ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะคอม กว่าอีกฝ่ายจะกินโจ๊กเสร็จ กว่าจะอาบน้ำซึ่งใช้เวลานานเป็นชั่วโมง มันบ่นอยู่ตลอดว่าแสบว่าคันอยากเกา ไม่สบายตัวจนผมชักรำคาญขึ้นมา แม่งพูดมากจริงๆ ทีเวลาปกตินี่เงียบเป็นเป่าสาก
ผมขี่รถพามันไปหาหมอที่คลินิกน่าจะเร็วกว่าโรงพยาบาล โชคดีที่คนไม่เยอะเท่าไหร่ รอไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึงคิวมัน จะบ้าตาย เพราะมันไม่กล้าเข้าไปคนเดียวเลยต้องให้ผมเข้าไปด้วย มันบอกว่าอาย เหอะ บ้าไปแล้ว ซึ่งมันได้ยามาหลายชนิด กว่าจะหายสนิทคงหลายอาทิตย์ ตอนนี้ต้องรอให้แผลแห้งตกสะเก็ดถึงจะไม่อยู่ในระยะติดต่อได้และการติดเชื้อของมันเอง ไอ้ยิมเพิ่งเป็นได้ 5 วันเอง อีกนานกว่าจะตุ่มจะแห้ง หมอให้ยาต้านไวรัส แก้อักเสบ แก้คัน 
หลังจากกลับมาถึงหอพักแล้วมันโอดครวญอยู่หลายนาที จากนั้นก็เงียบเพราะฤทธิ์ยา
“มึงกลับไปพักก่อนเถอะ รบกวนมึงมากจริงๆ” ไอ้ยิมพูดงึมงำๆ ตาใกล้จะปิด ผมพยักหน้า
“เออ ถ้ามีอะไรก็โทรมาแล้วกัน ไปแล้วนะ” ผมบอกมันก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง ล้มตัวลงนอนบนเตียง รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที นี่ขนาดแค่วันแรกนะ ผมยังต้องเป็นเบ๊จำเป็นของไอ้ยิมอีกเป็นอาทิตย์ เฮ้อ

ผมไปเรียนตามปกติ ตอนเย็นทำงานที่คณะแต่ก็แวะไปซื้อน้ำซื้อข้าวไปส่งให้มันที่ห้องเพราะตอนนี้อีสุกอีใสอยู่ในระยะขึ้นเต็มที่ น่าเห็นใจเพราะมันไม่ค่อยได้นอน ดันไปขึ้นที่หลังเยอะด้วย แต่ถ้าผ่านครบสิบวันไปคงเริ่มแห้งถ้ามันไม่ไปเกาก็ไม่เป็นแผลเป็น บางครั้งมันใช้ผมซักผ้าห่มผ้าปูที่นอนของมันเพราะต้องรักษาความสะอาดไว้เดี๋ยวติดเชื้อ น่าจะหาถุงพลาสติกมาปูนอนคงง่ายกว่า ผมเพลียจากงานที่คณะแล้วยังต้องมาดูแลมันอีก บอกคำเดียวว่าโคตรเหนื่อย!
“เป็นยังไงบ้าง”ผมถามขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้ ไอ้ยิมยื่นแขนให้ดู แผลเริ่มแห้งแล้ว
“ใกล้แล้ววะ กูจะได้กลับไปเรียนซะที”
“อือ หายเร็วๆ ยิ่งดี” ผมบอกแล้วหาวนอนไปด้วย
“ขอโทษนะเว้ยที่มึงต้องลำบากเพราะกู... แต่กูขอบใจมึงเหมือนกัน คือกูแทบไม่รู้เรื่อง ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” มันมองผมนิ่งๆ ผ่านแว่นตาอันเดิม
“อือ บอกป๊าม้ามึงหรือยังว่าอีสุกอีใสขึ้น” ผมหัวเราะเบาๆ มันทำหน้าบึ้ง
“ไม่บอกหรอก เดี๋ยวไอ้โยล้อตายห่า”มันส่ายหน้า
“ถ้ามึงโอเคขึ้นแล้วคงทำอะไรได้มากขึ้นแล้วใช่ไหม” ผมถาม มันคงเดินออกไปด้านนอกได้บ้างแล้ว ยกเว้นว่ามันจะไม่กล้าออกไป
“เออ... แต่ก็ยังไม่ไปไหนหรอก โดนฝุ่นขึ้นมาอาจติดเชื้อได้รอให้แห้งกว่านี้ก่อน... มึงมีวิธีแก้คันไหมวะ” ไอ้ยิมทำหน้าเหมือนขอความช่วยเหลือ
“ไม่รู้ดิ จำไม่ได้แล้ว”
“อยากให้มันแห้งเร็วๆ จะได้ไม่รบกวนเวลามึง” ไอ้ยิมยังคงรู้สึกผิดอยู่ไม่เสื่อมคลาย แต่ผมต้องไปตลาดไปซื้ออุปกรณ์เขียนภาพเลยแวะเข้าตลาดเย็นไปซื้อของสดมาตุนไว้ พอนึกถึงไอ้ยิมแล้วสงสารมันขึ้นมา ผมเลยกดโทรออกไปหาไอ้สองซะตอนนั้น ไม่รู้คิดอะไรอยู่ถึงโทรไปหามัน แต่ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยๆ ก็ได้คำตอบมาและเสียเวลา เสียเงินเพิ่มเพราะสการ์เจล
“ถ้ากูหายเมื่อไหร่กูชดใช้ให้มึงแน่” ไอ้ยิมพูดเสียงจริงจัง ผมมองมัน จะชดใช้อะไรให้ผมกันวะ ผมส่ายหน้า
“เออ เอาให้คุ้มหน่อยแล้วกัน” ผมบอกแล้วยิ้ม
“เดี๋ยวดิ”อีกฝ่ายเรียกเสียงดัง ผมทำหน้างงๆ
“มีอะไรวะ”
“เอ่อ... ช่วยทาเจลนี่ให้กูได้ไหมวะ ไม่ถึง” ไอ้ยิมทำท่าอึกอัก มันชี้ไปทางด้านหลัง ผมมองหลอดสการ์เจลกับหน้าไอ้ยิมแล้วก็ถอนหายใจ
“เออๆ วุ่นวายจริง” ผมบ่นก่อนจะเดินไปหามัน ไอ้ยิมพยายามถอดเสื้ออย่างยากลำบาก ผมยืนมองนิ่งๆ ไม่ได้ช่วยอะไร มันควรจะมีความพยายามบ้างสิวะแค่ถอดเสื้อเอง แต่จนแล้วจนรอดมันก็ต้องเรียกผมเสียงอ่อนแรง “มึงนี่เหมือนเด็กๆ เลย กูเป็นม้ามึงเหรอเนี่ย” ผมพูดติดตลกขณะที่เสื้อให้มันเบาๆ แผ่นหลังของไอ้ยิมมีร่องรอยตุ่มที่ตกสะเก็ดเริ่มแห้งแล้ว ผมหาถุงมือยางมาสวมเพราะกลัวติดจากนั้นก็แต้มเจลแล้วทาๆ ให้ทั่วหลังเบาๆ
“ทำไมมือมึงเบาๆ จังวะ น้ำหนักมือของมึงเบายิ่งกว่าพยาบาลตอนทำแผลอีก” ไอ้ยิมพูดขณะที่ผมกำลังทาเจลที่หลังของมัน ผมหัวเราะ
“คงเพราะกูจับพู่กันล่ะมั้ง ต้องรู้น้ำหนักมือของตัวเองสิวะ หนักไปคงไม่ได้หรอก” ผมบอกก่อนจะทาจนเสร็จ
“งั้นเหรอวะ มึงนี่สารพัดประโยชน์จริงๆ” ไอ้ยิมหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่ปรากฏให้เห็น
“มึงยิ้มเหรอเนี่ย ว้าว อย่างกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ นานๆ เห็นทีนึง” ผมแอบเหน็บมันไป ตั้งแต่มันเป็นอีสุกอีใสยิ้มยากกว่าเดิมอีก ไอ้ยิมทำหน้านิ่งตามเดิม
“เพื่อนเล่นเหรอ ไอ้นี่” ไอ้ยิมทำเสียงแข็งๆ
“มีตรงไหนที่ทาเองไม่ได้อีกไหมวะ จะได้ทาทีเดียวเลย” ผมถาม ไม่อยากเสียเวลามาก ไอ้ยิมอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่เป็นอะไรหรอก”
“อ้าว อย่าบอกนะเป็นในที่ลับ” ผมหัวเราะไปด้วย
“ไม่ใช่เว้ย มึงนี่....” ไอ้ยิมทำท่ายกแขนขึ้นจะประทุษร้ายผมหรือไงกัน นี่ผู้มีพระคุณของมึงเลยนะ
“อะๆ เอาดีๆ ดิ ขนาดนี้แล้วไม่ต้องเกรงใจหรอก” ไอ้ยิมมันลุกขึ้นยืนท่าทางเก้ๆ กังๆ
“ทาตรงขาให้กูหน่อยดิ” สุดท้ายมันก็ยอมพูดออกมา ผมส่ายหน้ากับความเขินอายของมัน ตัวสูงขนาดนี้ยังจะมาทำโก๊ะๆ เป๋อๆ อีก โชคดีที่มันใส่กางเกงขาสั้นเลยไม่ลำบากเท่าไหร่ แค่ทาเจลตรงเหนือข้อพับกับขาอ่อนนิดๆ หน่อยๆ ที่มันอายเพราะแบบนี้นี่เอง
“กูเป็นคนแรกเปล่าวะที่เห็นขาอ่อนมึง” ผมหัวเราะเบาๆ ไอ้ยิมยื่นมือมาตบหัวผมดังแปะ
“มึงนี่ใจดีด้วยหน่อยชักลามปาม” มันบ่นๆ งึมงำตามประสามันไป
“โอเค เสร็จแล้ว วู้ ปลดแอกกูซะที” ผมบิดตัวไปมาก่อนจะเก็บเจลใส่กล่องเอาถุงมือไปทิ้ง
“เออ กูคิดออกแล้ว เย็นนี้มึงว่างไหมวะ” ไอ้ยิมถามด้วยใบหน้านิ่ง ผมพยายามนึกกำหนดการชีวิต
“ก็พอมีเวลาสักสองสามชั่วโมงนะ ทำไมวะ”
“เดี๋ยวกูจะเลี้ยงมื้อเย็นมึงเอง โอเคไหม” ไอ้ยิมพูดแล้วเกาจมูกแก้เก้อ
“มึงจะมารับกูหรือกูต้องกลับมารับมึง”
“เออว่ะ... นั่นแหละ มารับกูจะเป็นอะไรวะ ของฟรีไม่ชอบหรือไง” มันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งใบหน้าไร้อารมณ์ ผมคิดอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนจะพยักหน้าตกลง ผมไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว ของฟรีแบบนี้ไม่ขัดหรอก ลาภปากไปอีกมื้อ
“กี่โมง”
“สักห้าโมงครึ่งก็ได้” ไอ้ยิมบอกก่อนจะโบกมือไล่ผม

ผมกลับมาที่คณะเจอแต่พวกหน้าเดิมๆ ที่อยู่ในห้องเพ้นท์ วันนี้ไอ้โก๋ไม่อยู่คงออกไปแรดไปเมาอีกตามเคย จริงๆ ไม่มีงานใหญ่อะไร แต่ว่าเป็นงานของคณะต้องช่วยทำลายผ้าบาติกอีก สายกิจกรรมแบบนี้ไม่ได้หยุดได้พักกับใครเขา ผมไปที่โต๊ะของพี่กร พี่แกก็สายกิจกรรม ผมหยิบจันติ้งปากกาเขียนเทียนจุ่มลงในเทียนเหลวที่อยู่ในหม้อต้มเขียนเทียนไปตามแบบบนผ้าบาติก ขณะที่กำลังเขียนไปตามเส้นเรื่อยๆ ผมนึกถึงคำพูดของไอ้ยิมที่ว่ามือผมเบา... ผมกลับยิ้มออกมาไม่รู้ตัว แต่พอรู้ตัวเท่านั้นแหละ
“เวรเอ้ย” ผมสบถจนพี่กรเงยหน้าจากงานตัวเองขึ้นมามองงงๆ เส้นเทียนเลอะแถมยังออกนอกลายอีก ผมต้องแก้ลายใหม่ต้องรอให้เทียนแห้งแล้วแกะลายที่ทำพลาดออก ทำให้งานเป็นด่างพร้อยไม่ประณีตเลย
“เหม่อบ่อยนะมึง เป็นอะไรวะยิ้มคนเดียว” พี่กรที่ปกติจะพูดน้อยถึงกับออกปากแบบนี้ผมคงอาการหนักจริงๆ
“นั่นสิพี่ เซ็งตัวเอง” ผมบ่น พี่กรแค่ยิ้ม
“เอาเวลาไปทำความเข้าใจกับตัวให้ได้ก่อนไหม มึงจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ นั่นแหละ หาคำตอบสิว่าเพราะอะไรถึงเหม่อ” พี่กรพูดก่อนจะก้มไปเขียนเทียนที่เฟรมผ้าของตัวเองต่อ ผมนิ่งไปมองเส้นเทียนเล็กๆ อย่างใคร่ครวญ
“บ้าแน่ๆ” ผมพึมพำก่อนจะถอดเสื้อกันเปื้อนออกแล้วเดินออกจากโต๊ะของพี่กร หยิบบุหรี่มาแก้เซ็งสักมวนที่หลังห้องเพ้นท์ ผมนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อน ช่วงนี้ผมสับสนในตัวเองอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่อยากคิดหาคำตอบเลย แต่จะทำยังไงให้ตัวเองไม่ฟุ้งซ่านอยู่แบบนี้ ผมไม่อยากปรึกษาใคร ไม่อยากให้ใครมาสงสัยว่าผมมีปัญหาอะไรกันแน่ แม้กระทั่งไอ้สอง มันน่าตลกจริงๆ ถ้าผมไปพูดกับมันเรื่องไอ้ยิม ไม่มีทางๆ บุหรี่หมดมวนไปจนได้แต่ผมยังโคตรเซ็งอยู่ นั่งง่อยกร่อยอยู่คนเดียว โทรศัพท์สั่นเตือนข้อความเข้า ผมกดอ่าน
Yim : ร้านสเต็กคาเฟ่ มึงรู้จักใช่ไหม มื้อเย็นวันนี้ไง เจอกัน มารับกูด้วยอย่าเลทล่ะ
ผมอ่านข้อความแล้วนึกตามชื่อร้านสเต็กร้านที่มันเลือก ผมไม่ค่อยได้ว่างไปนั่งกินสเต็กแบบนั้นแน่ๆ ร้านอย่างหรู คงจะแพงอย่างที่บอกนั่นแหละ ผมโยนบุหรี่สั้นๆ ไปที่ถังขยะ อารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย
เวรล่ะ ผมแม่งเพ้อจริงๆ

เมื่อถึงเวลานัดผมขี่รถไปตามนัดจากพิกัดร้านที่ไอ้ยิมเป็นคนเลือก ผมเองอยากจะลองของที่นี่ว่าคุ้มกับราคาที่จ่ายไปไหม ไอ้ยิมก็จ่ายไม่อั้น อาหารแต่ละอย่างร้อยอัพขึ้นไป ขนาดน้ำอัดลมยังราคาขึ้นเมื่อมาอยู่ในร้านหรู
“กินดิ เมนูนี้อร่อย”อีกฝ่ายชี้ สเต็กมัตสึซากะเป็นเมนูแนะนำของร้านนี้ ไอ้ยิมลงมือหั่นอย่างทุลักทุเล ที่มือมันมีแผลเพิ่งแห้ง มันคงตึงจับอะไรไม่สะดวก อีกฝ่ายเหลือบตามองผมผ่านกรอบแว่นสีฟ้าอันโปรดก่อนจะก้มหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อ แต่ท่าทางมันดูติดขัด
“เนื้อนุ่มดีนะ” ผมบอก ทำเป็นไม่สนใจมัน บางครั้งผมทำตัวไม่ถูกกับร้านหรู เหมือนมีสายตาคนอื่นๆ จ้องมาที่ผม ไอ้ยิมคิ้วขมวด “ทำไมมึงถึงเป็นแบบนี้นะ” ผมบอกก่อนจะดึงจานสเต็กของมันมาใกล้ๆ แล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ให้มันก่อนจะเลื่อนไปตรงหน้ามันตามเดิม ไอ้ยิมแค่เกาหัวแล้วกินเงียบๆ
“ทำไมมึงพากูมาที่แพงจังเลยวะ” ผมบอก อาหารอร่อยก็จริงแต่มันแพงผมว่ามันไม่คุ้ม มีร้านอร่อยๆ กับราคาที่คุ้มค่ากว่าที่นี่ตั้งหลายแห่ง
“ก็ไม่ค่อยรู้จักร้านหรอก นึกขึ้นได้ว่าเคยมาที่นี่เลยพามาไง... ไม่ชอบเหรอวะ”ไอ้ยิมมองหน้าผมนิ่งๆ ผมส่ายหน้า
“เปล่าหรอก ของฟรีชอบหมดแหละ” ผมยิ้มก่อนหยิบน้ำมาดื่ม
“ตอบดีๆ สิ ไม่ใช่ส่งๆ แบบนี้ ทำไมมึงต้องอ้างว่าของฟรีชอบหมดวะ”อีกฝ่ายหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องผมไม่ละสายตา ผมนั่งนิ่งๆ ตาม
“ก็... จะให้ตอบอะไรวะ อร่อยดีแต่กูไม่ชอบของหรูหรอกนะเว้ย กูเป็นคนประหลาด มักแปลกแยกในที่แบบนี้”ผมส่ายหน้า มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวที่ผมไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ทำไมต้องรู้สึกแปลกแยกจากที่นี่ มันไม่ใช่สไตล์ของผม 
“ทำไมวะ ...มึงนี่แปลกจริงๆ ด้วย” ไอ้ยิมจ้องผมเข้าไปอีกจนลูกกะตามันจะทะลุแว่นมาได้คงดี
“กูมีงานต้องทำ” ผมบอกมัน ไอ้ยิมมองนาฬิกาก่อนจะพยักหน้าให้เงียบๆ แล้วเก็บเงินค่าอาหาร ผมไม่อยากได้ยินเลยแต่เจ้าตัวไม่ได้บอกว่าเท่าไหร่แค่รับบิลมาดูแล้วจ่ายเงินเงียบๆ
“ช่วงนี้กูคงไม่ค่อยกลับมาหอแล้วนะเว้ย กูต้องนอนที่คณะมีงานอื่นด้วย” ผมบอกขณะที่เตรียมสตาร์ทรถ ไอ้ยิมขึ้นมาซ้อน
“เหรอวะ” มันตอบแค่นี้ ผมถอนหายใจ
“เออ มึงก็ใกล้จะหายแล้วนี่” ผมพูดไปเรื่อยๆ ขณะขี่รถกลับไปยังหอพัก ไม่นานนักก็มาถึงโรงจอดรถของหอพัก ไอ้ยิมคืนหมวกกันน็อกให้ผม
“ไอ้ผิง กูถามอะไรอย่างสิ” ไอ้ยิมพูดขึ้นก่อนที่ผมจะออกรถ ผมมองหน้ามันก่อนจะดับเครื่อง
“อะไรวะ”
“มึงอึดอัดเหรอวะที่อยู่กับกู” ผมไม่คิดว่ามันจะถามผมแบบนี้ ผมนิ่งไปก่อนจะส่ายหน้า
“ก็เปล่านี่ ทำไมคิดแบบนี้ล่ะ”
“มึงดูเงียบแปลกๆ เหมือนไม่ค่อยพอใจกู... เป็นอะไรวะ” เจ้าตัวทำหน้าเครียดซีเรียสๆ มันมองหน้าผมเพื่อต้องการคำตอบ
“กูคงอดนอนไปหน่อย งานที่คณะทำออกมาไม่ดีเลยเครียดๆ ล่ะมั้ง”ผมตอบกลับไป นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าผมเป็นแบบนั้น
“เหรอวะ...”
“อือ...”
“ปกติมึงจะชอบพูดเล่นๆ กับกูบ่อยๆ แต่วันนี้มึงดูนิ่งๆ กูเลย... รู้สึกแปลกๆ ล่ะมั้ง” ไอ้ยิมถอนหายใจ มันถอดแว่นออกก่อนจะลูบหน้าลูบตา
“เป็นอะไรวะ” ผมถาม ท่าทางมันดูไม่ดีเท่าไหร่ “เปล่า... แค่เหนื่อยๆ คงมีไข้มั้ง” มันบอกงึมงำ
“กลับเข้าไปได้แล้วเดี๋ยวไข้แดกอีกรอบ... อย่าลืมกินยากันไว้ด้วย กูไปล่ะ” ผมบอกปิดท้ายก่อนจะสตาร์ทรถ ไอ้ยิมแค่เดินกลับเข้าไปด้านในหอพักเงียบๆ ทำอย่างกับคนตายซาก
หลังจากนั้นไอ้ยิมก็กลับเข้าสู่โหมดปกติของมัน ผมวุ่นอยู่กับงานตามปกติเหมือนสถานการณ์ระหว่างผมกับไอ้ยิมไม่มีอะไร แค่ไปกินสเต็กด้วยกันแล้วแยกย้าย ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งอะไร แต่ว่าเวลาเจอหน้าอีกฝ่ายที่หอพักมันมีบางอย่างแปลกไป ผมว่ามันเองอาจรู้สึกเหมือนกัน ความอึดอัด ความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่เกิดขึ้น ผมเองไม่รู้ว่ามันมาจากไหนเพราะอะไร แต่เวลาเจอหน้ามันแล้วผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
วันนี้ผมไปเรียนที่อาคารเรียนรวมเพื่อเรียนวิชาทั่วไปสายวิทยาศาสตร์ มีผมกับไอ้โก๋ที่หลุดจากกลุ่มเพื่อนๆ มาเรียนเซคชั่นนี้แทน อุดมไปด้วยเด็กสายวิทย์กันทั้งนั้น แต่เพราะเป็นวิชาทั่วไปส่วนมากแค่เรียนตามสไลด์ จับกลุ่มทำงานแล้วมาพรีเซ้นส์หน้าห้อง น่าเบื่อและชวนง่วง หมดคาบผมกับไอ้โก๋เตรียมจะไปหาข้าวมื้อเที่ยงกินที่โรงอาหารรวม ออกจากห้องมาดันเจอไอ้ยิมนั่งกดโทรศัพท์อยู่ที่หน้าระเบียง ไอ้โก๋จำไอ้ยิมได้ มันโบกมือทักทายอีกฝ่ายที่เงยหน้ามาสบตาผมเข้าพอดี
“อ้าวพี่ยิม บังเอิญเจอพอดีเลย”ไอ้โก๋ทักทายตามปกติ ผมยิ้มให้มันแต่ว่ามันดันหันหน้าไปมองทางอื่นซะงั้น ผมงงนิดหน่อย มันไม่ได้ตอบคำถามไอ้โก๋
“หึหึ เมินกูเฉย”ไอ้โก๋พึมพำ ผมสองคนเลยเดินหนีมันไปด้านล่างแก้อาการเสียหน้าแต่หูดันได้ยินแว่วๆ มาจากด้านหลัง
“พี่ยิม รอนานไหม”เสียงของผู้ชายดังขึ้น ผมชะงักไปเล็กน้อย อยู่ๆ รู้สึกประหลาดขึ้นมา แฟนมันเหรอ...
“เอ้า ที่แท้ก็มารอเด็ก”ไอ้โก๋หันมาพูดกับผม เป็นเด็กปีหนึ่ง ผมเหลียวไปมองหน้าเด็กปีหนึ่งคนนั้นแวบเดียว ไอ้ยิมมันหันมามองทางผมเช่นกัน เด็กคนนั้นนั่งโต๊ะอยู่แถวเดียวกับผมสองคน ทำงานกลุ่มด้วยกัน ไม่เคยได้คุยกันด้วยซ้ำ ผมเดินต่อ
“สงสัยคงเลิกฟูมฟายเรื่องไอ้สองแล้วมั้ง มึงคิดว่าไง”ไอ้โก๋ถองเอวผมระหว่างที่เดินลงบันไดไปยังชั้นหนึ่งเพื่อไปโรงอาหาร
“คงงั้นมั้ง นึกว่ายังลืมไอ้สองไม่ได้ซะอีก”ผมถอนหายใจ ไอ้โก๋หัวเราะเบาๆ
“อาจจะหาคนดามใจหรือเปล่า”อีกฝ่ายพูดอยู่ข้างๆ แต่ในใจของผมรู้สึกแย่บอกไม่ถูก ในตอนแรกผมแอบคิดนะว่ามันจะมารอผมหรืออะไรยังนั้น แต่มันไร้สาระสุดๆ มันจะมาหาผมทำไมกัน
เมื่อลงมาถึงโรงอาหารคนเริ่มทยอยลงมาบ้างแล้ว ตอนนี้ห้าโมงครึ่งใกล้เที่ยงวัน ผมเดินไปซื้อราดหน้าหมี่กรอบเพราะไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ไอ้โก๋เลือกนั่งแถวโต๊ะทางฝั่งด้านในสุดเพราะติดกับทางออกด้านหลังพอดี ผมนั่งกินเงียบๆ ในหัวคิดเรื่องไอ้ยิมวนไปมาจนเห็นว่าข้างๆ มีคนเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะ
“พี่ผิง พี่โก๋ ขอผมนั่งด้วยคนนะ”เสียงนั้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ปรากฏว่าเป็นเด็กของไอ้ยิมนั่นเอง ชื่อนัท อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งทางด้านในที่ว่างข้างๆ ผม ไอ้โก๋บอกเชิญเสร็จสรรพ ไอ้ยิมเดินไปนั่งฝั่งเดียวกับแฟนมัน
“ตกลงพี่ลืมเพื่อนกูได้แล้วงั้นสิ”ไอ้โก๋เปิดก่อนเลยเพราะมันคงคาใจ เรื่องของคนอื่นโก๋มันหยุดเผือกไม่ได้จริงๆ ผมเองก็ฟังอยู่เงียบๆ
“ผ่านมาแล้วนี่ ไม่อยากจมปรัก”มันว่า น้องนัทมองไอ้โก๋ด้วยความอยากรู้
“ที่แท้มาจีบผมเพราะอกหักนี่เอง”เด็กนั่นพูดขำไม่ได้คิดอะไรมาก
“เปล่าซะหน่อย”ไอ้ยิมตอบเสียงอ่อนลง
ผมหันไปมองมันบ้าง ท่าทางมันดูแลน้องนัทดีเห็นมันไปซื้อข้าวให้ด้วย ผมยิ่งไม่อยากอาหารเข้าไปใหญ่ ระหว่างที่ทานอาหารผมก็อดไม่ได้ที่จะได้ยินสองคนนั้นคุยกัน เหมือนเป็นก้างขวางคอยังไงชอบกล ผมอยากถามมันเหมือนกันว่าลืมไอ้สองได้จริงๆ หรือแค่คบไปแก้เหงาเท่านั้น แต่ไม่อยากยุ่งวุ่นวาย ผมเลยลุกเอาถ้วยไปเก็บให้ไอ้โก๋ด้วย มันฝากซื้อกาแฟอีกต่างหาก ผมเดินเอาถ้วยไปเก็บที่ด้านในโรงอาหาร ก่อนจะเดินไปซื้อกาแฟมาสองแก้ว สายตามองไปที่โต๊ะ ไอ้ยิมมันเหลียวมองผมผ่านแว่นอันเดิม ผมเบนหน้าหนีรู้สึกรำคาญตาขึ้นมา หลังจากนั้นผมก็เดินกลับไปที่โต๊ะ ยื่นกาแฟให้ไอ้โก๋
“เออ มึงจะไปไหนต่อหรือเปล่า กูขอแวะไปหอสมุดก่อนนะ” ผมบอกไอ้โก๋ มันทำหน้างง
“ไปทำไมวะ”
“ไปหาข้อมูลงานไง มึงอยู่ที่นี่ไม่ก็กลับไปคณะก่อนก็ได้ กูไปก่อนนะ” ผมบอกมัน ไอ้โก๋ไม่ทันได้พูดอะไร ผมเดินหนีออกมาจากโต๊ะ ถอนหายใจรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่กับไอ้ยิม
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 2
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 03-10-2015 05:49:00
ผมเดินตรงไปยังหอสมุด ผมเองมีเหตุให้เข้าไปหาหนังสือมาอ้างอิงงานเหมือนกัน ถึงนานๆ จะเข้าไปก็เถอะ แต่พอเดินไปถึงหน้าหอสมุดแล้ ผมก็เดินวกกลับไปนั่งเล่นลานหน้าวิทยาลัยนานาชาติแทน สักพักไอ้โก๋ไลน์มาบอกว่ากลับไปคณะก่อน ผมเลยนั่งจ่อมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยคนเดียว
“ไหนว่าจะเข้าห้องสมุด”เสียงไอ้ยิมดังขึ้นจากข้างๆ ผมใจลอยจนไม่ได้สังเกตว่ามันเดินมาจนใกล้ ผมเหลียวไปมองหน้ามันนิ่งๆ สบตากับคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ก่อนจะถอนหายใจเซ็งๆ
“กูออกมานั่งเล่นเฉยๆ”ผมไม่อยากคุยกับมันเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไม
“กูเห็นว่ามึงนั่งตรงนี้ตั้งนาน”มันนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ผมตกใจที่มันรู้ หมายความว่ามันดูผมอยู่หรือไง
“เฮ้อ มึงมีอะไรหรือเปล่า”
“มึงไม่พอใจอะไรหรือเปล่า”อีกฝ่ายถาม สายตาภายใต้กรอบแว่นดูสงสัย ผมไหวไหล่
“ก็เปล่านี่หว่า”
“ปากแข็งจริงๆ ...ถ้างั้นก่อนหน้านั้นล่ะทำไมมึงถึงไม่คุยกับกู” มันถามต่อ ผมมองหน้าไอ้ยิมนิ่งๆ
“เอาจริงๆ แล้วมึงต่างหากที่ไม่คุยกับกู แถมตอนหน้าห้องเรียนมึงเมินกูไม่ใช่หรือไง”ผมพูด ไอ้ยิมเหมือนชะงักไปก่อนที่ความเงียบจะเข้ามาแทนที่ ผมกัดกระพุ้งแก้ม ไม่น่าพูดแบบนี้ออกไปเลย
“ช่างเถอะกูกลับก่อนดีกว่า” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืน แต่อีกฝ่ายกลับรั้งผมไว้
“คุยกันก่อนได้ไหมวะ”
“ว่ามาสิ” ผมพูดอย่างใจเย็น
“มึงโกรธที่กูมีแฟนเหรอ”อยู่ๆเจ้าตัวก็พูดขึ้นมา ผมตกใจ หน้าเปลี่ยนสี ผมอึกอัก
“อะไรนะ... เปล่านี่”
“เหรอ แต่นัทไม่ใช่แฟนกูนะเว้ย”ไอ้ยิมบอกพร้อมเหลือบมองผมด้วยท่าทีประหลาดๆ
“อือ มึงจะคบใครก็ช่างเหอะ ดูเหมือนว่ามึงจะตัดใจจากเพื่อนกูได้แล้ว”ผมพูด ในใจรู้สึกขัดแย้งยังไงชอบกล ผมไม่รู้สึกดีใจเท่าไหร่กับการที่มันสามารถเลิกชอบไอ้สองได้แล้ว ที่จริงผมควรจุดพุฉลองให้ซะมากกว่า
“ถ้ากูบอกว่าใช่ล่ะ”อีกฝ่ายจ้องผม
“ยินดีด้วย มึงจะได้เลิกเศร้าไง”ผมพูด ดีแล้วที่มันเลิกเศร้า
“...แน่ใจนะ”อีกฝ่ายถาม ผมเงียบ มันถามแบบนี้ทำไม ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างพิจารณาพยายามมองว่าแววตาของมันกำลังบอกอะไรผมได้บ้าง สายตาของมันดูลังเลอะไรสักอย่าง
“อือ ให้กูไปได้หรือยัง”
“กู...” ไอ้ยิมอ้าปากจะพูดแต่ผมโบกมือไปมา ตอนนี้ผมสนใจงานที่ต้องทำต่อที่คณะมากกว่ามาฟังมันอ้ำอึ้ง
“ไว้ค่อยคุยกันดีกว่า กูต้องไปทำงานต่อ” ผมบอกก่อนจะเดินกลับไปยังทิศทางเดิม คงต้องใช้บริการรถไฟฟ้าของมอบ้างซะแล้ว ผมเดินไปนั่งรอรถที่ป้ายรถไฟฟ้า มีเด็กปีหนึ่งรออยู่สองสามคน คาดว่าคงรออีกสิบนาทีกว่ารถคันใหม่จะมารับ เป็นบริการที่ช้ามากๆ
   Yim : เดี๋ยวไปส่ง รออยู่ตรงนั้นแหละ
ไอ้ยิมมันไลน์มาหา ผมหันไปมองรอบๆ ตัวไม่เห็นวี่แววของเจ้าตัว ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำไอ้ยิมมันขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดอยู่ที่หน้าป้าย ผมมองมันนิ่งๆ แต่ไม่อยากเสียเวลาตรงนี้นานเลยขึ้นไปซ้อนท้ายรถมันไป แทนที่มันจะพาผมไปที่คณะแต่เสือกขี่ผ่านไปจอดที่ร้านกาแฟที่เยื้องกับคณะเกษตรแทน
“กูต้องทำงานนะ”
“ถามไอ้โก๋แล้ว งานส่งตั้งสัปดาห์หน้า เดี๋ยวกูเลี้ยงเองน่า” มันบอกก่อนจะดึงผมให้เดินตามเข้าไปด้านในร้านกาแฟ ผมถอนหายใจ ยังไงซะไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องมาปั้นปึงใส่มันนี่นา เลยได้แต่เดินเข้าไปด้านในร้าน แอร์เย็นฉ่ำทำให้ผมคลายความหงุดหงิดลงได้มาก มันสั่งชาเย็นให้ผมเรียบร้อย
“มึงเป็นไงบ้าง”
“เรื่องอะไร” ผมงง อยู่ๆ ก็ถามออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ก็...ไม่รู้สิ ช่วงนี้มึงเจ็บป่วยตรงไหนไหม”อีกฝ่ายพูดช้า ๆ ก่อนจะมองผมไม่วางตา 
“มึงก็เห็นว่ากูสบายดี เจอหน้ากูที่หอก็บ่อย ยังจะถามอีก” ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะยกแก้วน้ำมาจิบแก้กระหาย ไอ้ยิมไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่นานเอสเปรสโซ่กับชาเย็นก็มาเสิร์ฟ อีกฝ่ายมันเลี้ยงผมจริงๆ นั่นแหละ จ่ายเงินให้ผมเสร็จสรรพ
“แล้วมึงล่ะ คงหายดีแล้วสิ”ผมถามถึงอีสุกอีใส อีกฝ่ายมีรอยแผลเป็นจากอีสุกอีใสจางๆ บนใบหน้า มันยิ้ม
“อือ หายแล้ว มีแผลเป็นนิดหน่อย”มันบอก ผมอือออรับคำก่อนจะเงียบ “งั้น...เย็นนี้มึงว่างหรือเปล่า”
“ต้องอยู่คณะ คงกลับดึก”ผมบอก
“เหรอ ว่าจะชวนไปกินข้าวด้วย” ไอ้ยิมบอก ผมมองหน้ามันอีกครั้ง “มึงก็อย่าหักโหมล่ะ” มันพูดต่อ ผมแค่เงียบยังมึนงงที่มันพูดจาเหมือนใส่ใจ
“อือ...” ผมส่งเสียงสั้นๆ ยกแก้วชาเย็นมาดื่ม หลังจากนั้นมันก็ไปส่งผมที่คณะ ไอ้ยิมมันทำตัวเหมือนปกติ ผมเดินไปนั่งที่ใต้โถงคณะด้วยความมึนงง ตกลงมันต้องการอะไร ผมกับไอ้ยิมไม่ได้โกรธอะไรกันหรือว่าผมรู้สึกไปเองคนเดียวนะ
กว่าจะกลับถึงหอพักก็ปาเข้าไปสามทุ่มแล้ว กลางดึกคืนนั้นอยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูห้องสองสามครั้ง ผมงัวเงียก่อนจะลุกออกจากเตียงมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าตีสาม
ใครวะ ไอ้ยิมเหรอ?
ผมเดินไปที่หน้าประตู แอบส่องตาแมวก็เห็นว่าเป็นไอ้ยิมจริงๆ ด้วย มันมาหาผมเวลานี้เนี่ยนะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ทำอย่างกับว่าห้องผมเป็นส้วมจะเข้ามาเวลาไหนก็ได้ ผมเปิดประตูออก
“มีอะไรวะ” ผมถาม ตอนนี้รู้สึกตื่นเต็มตาแล้วจ้องมองไอ้ยิมที่ตัวสูงกว่าในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น
“กูเข้าไปได้ไหม มีเรื่องจะคุย”อีกฝ่ายพูดนิ่งๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ 
“หา ตอนนี้เนี่ยนะ”ผมงง
“เออ” ไม่พูดพร่ำทำเพลงไอ้ยิมเดินแทรกตัวเข้ามาในห้องผมเป็นครั้งแรกแบบไร้มารยาทมากๆ ผมงงกับมัน
“อะไรวะ” ผมถาม ไอ้ยิมมองไปรอบๆ ห้องทำท่าทางแปลกกว่าปกติ มันดูสับสนเหมือนคนนอนไม่พอ
“กูตัดสินใจแล้วว่ะ” ไอ้ยิมทำเสียงจริงจังกว่าปกติ ผมจับสัญญาณอันตรายได้ว่าต้องเป็นเรื่องของผมกับมันหรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าใช่หรอก ผมกับมันไม่ได้ทำอะไรเกินเลยหรือมีสถานการณ์ที่ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไป ยกเว้นผมมองมันด้านดีขึ้น ลดทิฐิส่วนตัวลงก็แค่นั้น
“เรื่องอะไรวะ”ผมมองอีกฝ่ายงงๆ ไอ้ยิมสูดหายใจเข้าลึกๆเหมือนรวบรวมความกล้า
“เรื่องมึง”
“กู? หมายความว่ายังไง กูไม่เข้าใจ”ผมชะงัก ตัวชาไปทั้งร่าง 
“อย่ามาทำเซ่อ กูตัดใจจากไอ้สองได้แล้ว กูทำใจได้ทุกอย่างปกติ อาจเป็นเพราะช่วงนี้กูไม่ได้เจอหน้ามัน เลิกคิดเรื่องมันเหมือนที่มึงบอก...”ไอ้ยิมพูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิม 
“เออ ดีแล้วนี่” ผมพูดไม่ถูกในสถานการณ์แบบนี้รู้สึกกลัวกับคำพูดต่อไปของมันมาก ผมคงทำใจไม่ได้จริงๆ ไอ้ยิมเงียบไป ผมไม่ได้มองหน้ามัน
“อืม รู้ไหมว่ากูทำใจลำบาก”
“อะไร”ผมเอ่ยอย่างไม่เข้าใจนัก
“เรื่องมึงไง การยอมรับความจริง”อีกฝ่ายยังคงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมเงียบ เริ่มทำตัวไม่ถูก อีกฝ่ายเป็นแบบที่ผมคิดงั้นเหรอ
“...มึงจะพูดอะไร” ผมทำเสียงดังใส่มัน ผมตั้งตัวไม่ถูก ตอนนี้เวลาตีสามกับเรื่องที่ผมเคยคิดมาหลายรอบต่อวันกำลังเกิดขึ้นในวันที่ผมไม่ได้ตรียมตัว ‘เหลือเชื่อ’ ผมรู้สึกแบบนี้
“บางที... มันจะง่ายกว่าถ้า... เรายอมรับความจริง กูรู้ว่าสำหรับมึงมันยากแต่มึงคือไอ้ผิงนี่ มึงมีความคิด... ก็น่าจะเข้าใจ”ไอ้ยิมพูดเบาๆ 
ผมอยากหัวเราะ ถ้าผมยังยอมรับง่ายๆ คงประหลาดสุดๆ “ไม่ใช่เว้ย มึงกับกูก็แค่... มีความเห็นใจเท่านั้นเอง... จริงๆ นะ”
“...แต่กูรู้ใจตัวเองดีพอและกูอยากหลุดพ้นกับเรื่องนี้ ไม่ได้ขออะไรมากนะเว้ยแค่ยอมรับกับกูก่อนว่ามึงอยากจะเริ่มต้นหรืออะไรที่มากกว่าที่เป็นอยู่... กูคิดเรื่องนี้มานานและกูก็รวบรวมความกล้ามาได้แค่นี้” ไอ้ยิมพูด ใช่ มันกล้าพอที่จะพูดได้ยาวๆ แบบนี้ ผมคิดว่ามันต่อสู้กับตัวเองมาพอสมควร
“มึงคิดดีแล้วจริงๆ เหรอวะ” ผมถาม ผมไม่แน่ใจกับมันเลย มันกำลังอกหักอยากไขว่คว้ากับอะไรที่ใกล้ตัว ...อันที่จริงผมก็ไม่อยากผิดหวังหรอกแต่ตัวอย่างก็มีให้เห็นมากมาย ถ้าคนเรามันไม่มั่นคง
“เออ แต่มึง... กำลังงี่เง่า มึงคิดมาก อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ” อีกฝ่ายส่ายหน้า แม้มันจะไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่ารู้สึกหรือคิดอะไรกับผมมากกว่านั้น แต่ผมเห็นความจริงจากแววตาของมันได้
“...ให้เวลากูสิ” ผมพูด รู้สึกปวดหัวขึ้นมานิดหน่อย ไอ้ยิมยืนนิ่งแล้วพยักหน้าเบาๆ
“ก็ได้ ...แต่การเริ่มต้น กูไม่ได้หมายความว่าต้องคบกันอะไรแบบนั้น แค่... ให้โอกาสตัวเองก็เท่านั้น” ไอ้ยิมพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเงียบๆ ปล่อยให้ผมยืนเคว้งในห้อง มันควรให้เวลาผมมากกว่านี้หรือไม่ก็น่าจะปล่อยให้เรื่องของผมกับมันเป็นไปตามเวลาไปตามทาง แต่นี่มันเร่งเวลาเข้ามาและผมตั้งตัวไม่ทัน
ผมนอนไม่หลับอีกเลยจนต้องเตรียมข้าวของไปคณะ เวลานี้คงมีคนอยู่ที่สตูฯแน่นอน และนั่นคงเป็นเหตุผลที่มันส่งข้าวส่งน้ำมาให้ผม
ตอนนี้ผมแค่รู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก บางทีผมไม่ควรคิดมากแบบนี้ ผมควรเป็นไอ้ผิงที่ไม่คิดอะไรเลยคงจะดีที่สุดในสถานการณ์แบบนี้
“มึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะผิง” เสียงของไอ้โก๋เตือนให้ผมได้สติ ผมวางมือจากงานผ้าใบ เรื่องไอ้ยิม...
ไม่รู้ว่ามันกลายมาเป็นปัญหาใหญ่อันดับแรกของผมไปได้อย่างไง ผมถอนหายใจเซ็งแล้วล้างพู่กันในกระปุกน้ำ น้ำขุ่นๆ เหมือนอารมณ์ของผมตอนนี้
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ตอนนี้กูเป็นอะไรกันแน่” ผมพิงตัวกับพนักเก้าอี้แล้วหลับตาพัก ได้ยินเสียงไอ้โก๋ขยับตัวเข้ามานั่งข้างๆ
“มึงเล่าให้กูฟังได้นะเว้ย ไม่งั้นจะมีเพื่อนไว้ทำไม” ไอโก๋พูด ผมหัวเราะที่ได้ยินแบบนั้น
“มึงต้องตกใจแน่ๆ เลยว่ะ” ผมลืมตาแล้วหมุนเก้าอี้ไปทางไอ้โก๋ มันเป็นเพื่อนสนิทของผม
“กูเป็นเพื่อนมึง จำไว้แค่นี้” ไอ้โก๋จับไหล่ผมหนักแน่นเหมือนสายตาของมัน ผมพยักหน้าแล้วต้องทำใจ
“กูคิดว่ากู... กำลัง... เปลี่ยนไปว่ะ” ผมไม่รู้จะสรรหาคำพูดยังไงดี ไอ้โก๋ทำหน้าไม่เข้าใจ ก็แน่ล่ะจะให้บอกไปโต้งๆ มันคงมึน
“อะไรวะ กูไม่เข้าใจ มึงเล่าใหม่ให้เข้าใจกว่านี้ดิ” ไอ้โก๋พูดแล้วกอดอกมองผมเหมือนกำลังพิจารณา ทำอย่างกับว่ามันเป็นกูรูเรื่องความรัก
“กูไม่รู้จะอธิบายยังไงดี มึงรู้จักไอ้ยิมใช่ไหมวะ” ผมพยายามอธิบาย
ไอ้โก๋พยักหน้า “มันชอบไอ้สอง กูไม่ได้ความจำสั้นขนาดลืมมันหรอกนะ แล้วไงเกี่ยวอะไรกับมึงวะ”
“เออ เกี่ยวเต็มๆ ...เป็นเรื่องของกูกับมันน่ะ มึงเข้าใจใช่ไหม...” ผมบอก รู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก ไอ้โก๋มองหน้าผมอยู่นานเหมือนมันกำลังประมวลผล
“เกี่ยวกับมึง... อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องแบบนั้น... ทำนองนั้น?” ไอ้โก๋ทำหน้ากระอักกระอวนก่อนจะหันไปมองรอบๆ ห้องแล้วขยับมาใกล้ผม
“จริงดิ”
“เออ... แต่กูกำลังสับสน” ผมบอก รู้สึกปวดหัวตุบๆ ไอ้โก๋นิ่งเหมือนคิดอะไรสักอย่าง บรรยากาศในห้องเงียบกริบ ผมกับไอ้โก๋ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเหมือนปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ ในหัวผมได้ยินเสียงนาฬิกาเดินติ๊กตอกๆ เหมือนเป็นระเบิดเวลา
“ที่มึงทำตัวแปลกๆ เพราะไอ้ยิมสินะ” ในที่สุดไอ้โก๋ก็ยอมเปิดปากเสียที แต่ผมเริ่มรู้สึกไม่กล้าสบตาหรือมองหน้ามัน เหมือนสูญเสียความเป็นตัวเอง
“กูสับสน”ผมบอก 
“ก็เห็นอยู่ชัดๆ ...แต่มึงหนีมันไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็เท่านั้น ยังไงต้องเผชิญหน้ากับความจริงอยู่ดี กูแค่อยากเตือนสติมึงหน่อย ทำไมมึงไม่ทำเหมือนที่มึงเคยทำว่ะ แค่เผชิญหน้าไปตรงๆ เลยสิวะ เหมือนที่มึงเคยเป็น” ไอ้โก๋พูด
“มึงรู้ไหม การเผชิญหน้ากับเรื่องนี้นี่แหละ... เป็นสิ่งที่กูกลัวที่สุด” ผมพูดแล้วก้มมองมือตัวเอง มันกำลังสั่นเหมือนเวลาตื่นเต้นหรือเจอปัญหาที่แก้ไม่ตก
“ป๊อดด้วยเว้ยเพื่อนกู คนอย่างเชี่ยผิงนี่นะ ฮ่าๆ” ไอ้โก๋ส่ายหน้าแล้วหัวเราะไปด้วย แต่ผมไม่มีอารมณ์จะขำไปกับมัน
“มันไม่ง่ายนะเว้ย” ผมพูด เอาจริงๆ แล้วมันค่อนข้างน่ากลัว ผมเองไม่คิดว่าตัวเองกำลังลังเลหรือกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เหมือนมันดูง่ายดายในการชอบใครสักคนนึง หรือเป็นเพราะผมเองก็ไม่คิดกีดกันใครที่เข้ามาในชีวิต
“เออ แต่ที่มึงกำลังทำอยู่เนี่ยไม่ได้ช่วยอะไรเลย ตอนนี้มึงก็เป็นซะแบบนี้ คิดทบทวนดูดีๆ นะ คำตอบมันมีอยู่ในใจมึงนั่นแหละ ถ้ามีอะไรอยากจะพูดกับกูก็เอาไว้ตอนที่มึงคิดได้แล้วกัน กูไปทำงานก่อนล่ะ” ไอ้โก๋ทำหน้าจริงจังก่อนจะลุกไปที่เฟรมของมัน
ที่ผมคิดมากอยากเลี่ยงปัญหาเพราะมันต่างหากที่กำลังเดินหน้าเข้ามา ผมว่ามันคงตัดสินใจแล้วหรือไม่ก็อยากหาอะไรทำมากกว่า ไม่ใช่ว่าผมปอดแหก แต่เรื่องนี้มันอ่อนไหวเกินไปและมันเท่ากับว่าผมต้องยอมรับตัวเองว่ารู้สึกกับผู้ชาย ไอ้เรื่องสัปดนที่ผมเคยแซวๆ ใครไปมันเหมือนกำลังวนเข้ามาหาผม
ผมจะรับมันได้งั้นเหรอ?
แย่วะ ผมอยากคุยเรื่องนี้กับไอ้สอง แต่ก็นะ ผมไม่กล้า น่าอายจะตายไป ผมคิดมากเกินไปสินะ...
ผมซบหน้าลงกับฝ่ามือ ลองคิดในมุมกลับ ถ้าหากผมเป็นไอ้ผิงคนเดิมมีความกล้าและวิธีคิดของตัวเองเหมือนอย่างเคย ผมจะทำอย่างไง ในขณะนั้นเองผมก็หวนคิดเรื่องของไอ้ยิม ในตอนเย็นวันนั้นที่ผมไปให้อาหารปลากับมันและประโยคที่ผมเคยพูดกับมันก็สะท้อนก้องชัดเจนในหัว
“เรื่องหนักใจน่ะเหรอ... หึ รู้ไหมกูกับมึงต่างกันตรงไหน กูไม่ชอบเอาอะไรเก็บมาคิดให้วุ่นวาย กูอยากสนุกกับชีวิตให้มากๆ เวลามีปัญหากูก็เผชิญหน้ากับมันตรงๆ แบบให้มันจบๆ ไปเลย ไม่ได้ปล่อยให้มันค้างคาใจนานเกินไป แต่มึงน่ะ... เป็นคนคิดมากนะ ปล่อยวางบ้างก็ได้นะเว้ย มันทุกข์ที่ตัวมึงนั่นแหละ” 
ตอนนี้คนที่ทุกข์ใจก็คือผม
นั่นสินะ แบกเรื่องไว้มีแต่หนักใจ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสักนิด ไม่เจอกับตัวคงไม่รู้ว่ามันหนักหนาแค่ไหนหนักหนา... ผมควรวางมันลงใช่ไหม วางเรื่องงี่เง่า ความคิดเป็นตุเป็นตะนี่ออกไปให้หมดแล้วทำตัวเหมือนเดิม เหมือนที่ผมเคยบอกตัวเองว่าผมควรจะกลับไปเป็นไอ้ผิงคนเดิม... คนที่ยอมรับในตัวเอง ไม่หนีปัญหา
ถามว่าผมชอบไอ้ยิมไหม... ผมยังตอบไม่ได้ ผมไม่แน่ใจ แต่ถ้าถามว่าผมเป็นห่วงมัน แคร์มันไหม ผมตอบได้ว่าเป็นรู้สึกแบบนั้น มันเป็นแค่มิตรภาพระหว่างผู้ชายหรือเปล่า คำตอบคือไม่รู้ ความรู้สึกของผมที่มีต่อไอ้ยิมมันเป็นเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ๆ กระจัดกระจายเหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อผิด มันถูกเป็นบางส่วน แต่ที่เหลือต้องจัดเรียงใหม่เพื่อ... หาจิ๊กซอว์ที่ถูกต้อง
งั้นผมก็ควรที่จะค้นหาตัวเอง ค้นหาความรู้สึกของตัวเองซะก่อน แล้วจะทำอย่างไงดีล่ะ
“ปวดหัวโว้ย” ผมทำเสียงดังก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้ เดินไปเดินมา ไอ้โก๋ยื่นหน้ามามองผมอย่างตำหนิ
ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา ลังเลอยู่นานก่อนจะกดโทรออกไปหาไอ้ยิม รอสายอยู่นานไม่แน่ใจว่ามันตั้งใจให้ผมรอหรือว่ามันไม่ว่างรับสาย จนผมเกิดวางสายไปก่อนซะแล้วแต่มันดันกดรับได้ทัน ผมเงียบ กำลังนึกหาคำพูดอะไรสักอย่าง
[ว่าไง...อย่าเงียบสิวะ] ไอ้ยิมพูดก่อน น้ำเสียงปกติแบบที่ควรจะเป็น
“ว่างไหมวะ” ผมถาม
[….ว่าง มีอะไร] มันคิดก่อนจะตอบคำถามเพราะใช้เวลาหลายวินาที
“ไปให้อาหารปลาในมอไหมวะ...” ผมชวน
[...อือ....ให้ไปรับไหม]
“ไม่ต้องหรอก...”
[…งั้นเจอกันที่อ่างเก็บน้ำ]
“อือ ไว้คุยกัน” ผมวางสาย ผมแค่หาเรื่องคุยเท่านั้น ไม่ได้อยากไปให้อาหารปลา แต่ก็ดีจะได้ปลดปล่อยความคิดในหัวออกมาให้มันได้รับฟังบ้าง ผมคิดว่ามันน่าจะเข้าใจที่ผมชวนมันไปให้อาหารปลา... เหมือนคราวก่อน มีเรื่องทุกข์ใจหาคนคุยด้วย อาจได้มุมมองใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ ขึ้นมา
และก็... ได้มองไอ้ยิมในอีกมุมดูบ้างคงไม่เสียหาย มันเป็นการทดสอบความรู้สึกของผมเอง ก็แค่นั้น
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 03-10-2015 07:06:44
 :กอด1:  ขอบคุณที่มาต่อค่ะ. ชอบทั้งสองคู่เลยอ่า
ขำพี่ท็อปจะเอาสองทำเมียให้ได้เลย สองก็น่ารักจริงๆแหละ ยอมๆพี่เขาบ้างเนอะ
ยิมผิงออกแนวใกล้ชิดกันแล้วชอบโดยไม่รู้ตัว. ว้าวุ่นนิดๆ.  :o8: 
พี่ดีนแลดูรันทดจังเลยนะ เกลียดเฮียแกนมากๆ.
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 03-10-2015 07:47:47
พี่ท็อปกับสองระวังจะนอนไม่ได้นะ เพราะมดจะขึ้น  :z1:
ผิง ยิม ยิ่งใกล้กันยิ่งหวั่นไหวอ่ะเปล่า เบบี้
พี่ดีนจะไม่มีคู่จริงๆๆเหรอ :mew2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 03-10-2015 08:53:31
 :ling1: อยากอ่านผิง-ยิมต่ออออออออ
พึ่งรู้สึกดีกับดีนก็ตอนนี้
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 03-10-2015 13:39:45
โดนใจอย่างแรงอยากให้พี่ท็อปกับสองหวานๆๆๆๆ คืนนี้จัดไฟมพี่ท็อป อิอิ
ยิมผิง รอให้หัวใจรู้คำตอบ ลุ้นต่อๆๆๆ
พี่ดีนแบบว่าจะเดินทางคนเดียวหรอ มีคู่เตอะ แบบเป็นเพื่อนรักคู่กับพี่แกนได้มะ พี่กัสเนี่ยก็น่าจะสัคัญด้วยอ่ะจิ ลุ้นต่อยาวแน่ๆๆ
ที่แน่น ขอสองท็อปจัดเต็มก่อนน่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 03-10-2015 14:00:21
งั้นที่พี่ดีนมาทำเป็นจีบสองก็เพราะหมั่นไส้ไม่ชอบหน้าพี่ท็อปซินะงี้นี่เอง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 03-10-2015 20:33:40
สองท็อปหวานมากกกกกกก พี่ท็อปเสี่ยวจริงๆ

ลุ้นคู่ยิมผิง ง่าาาา

เรื่องพี่ดีนก็น่าสนนน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 03-10-2015 21:08:05
แบบอยากอ่านดีนแกนขึ้นมาทันที
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 04-10-2015 07:50:19
ตอนนี้คู่ท็อปสองน่ารักจริงๆ ชอบพี่ท็อปที่เป็นแบบนี้แหละ ทะลึ่งตึงตังนิดๆ  :hao7: สองเตรียมตัวได้เลย พี่ท็อปจะฟิตร่างกายแล้ว  :hao3:
ส่วนยิมกับผิง คาดว่ายิมนี่เริ่มมีใจให้ผิงแล้วล่ะ ส่วนผิงก็กำลังสับสนเลย...ต้องอาศัยเวลาหน่อยนะ คนมันไม่เคย...ชอบผู้ชาย  :laugh3:
อ่านเรื่องดีนแล้ว ยิ่งไม่ชอบแกนเข้าไปใหญ่  ตัวเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็ยังมาตัดสินเรื่องสองอีก  o12  แต่เรื่องระหว่าง 2 คนนี้ มันคงเป็นความรู้สึกค้างคากันอยู่ คือ ความรู้สึกเกลียดชังแกนของดีน กับความรู้สึกผิด? ของแกนเรื่องที่ดีนโดนรุม น่าสนในว่าคู่นี้จะเคลียร์กันยังไง
ชอบเวลาคนเขียนบรรยายเวลามีทริปเดินทางไปนอกสถานที่จังเลย อ่านเพลินมากๆ ทั้งตอนไปเขาค้อ ออกค่าย แล้วก็ล่าสุดที่มาเที่ยวน้ำตก  :L2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 05-10-2015 10:22:11
พี่ท็อปกับสองก็หวานกันเหลือเกิน 55555555555555555555
ส่วนยิมนี่เป็นอีสุกอีใสจริงๆด้วย 55555555555555
ยังดีที่ได้ผิงมาดูแล(?)บ้างนะ..

ส่วนพี่ดีน อู้ยยยย อ่านแล้วรักพี่ดีนแบบแปลกๆค่ะ 55555555
ถึงกับไปย้อนอ่านตอนพี่ดีนโผล่มาใหม่ๆเลย
พี่เปลี่ยนไปมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อันนี้คือมีคนจำพี่ได้มั้ย?
พี่ท็อปอะพี่ท็อป เห็นคราวก่อนทำเหมือนไม่รู้จักกัน อันนั้นแกล้งใช่มั้ย
ที่มาจีบสองคือหมั่นไส้พี่ท็อปส่วนตัวสินะ 5555555555555
กับเฮียแกนนี่ต้องเรียกอะไรดี อุตส่าห์หนีมาแล้วก็ยังอุตส่าห์มาเจอกันอีกจนได้
แถมไม่ได้เจอแค่เฮียแกน เจอพี่ท็อปด้วย5555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 05-10-2015 13:06:53
ตอนนี้นะไม่ห่วงเรื่องท็อปสองเท่าไหร่แล้วแหละ มาลุ้นกันจนตัวเกร็งกับคู่ยิมผิงนี่แหละเมื่อไหร่จะหายสับสนคะผิงส่วนพี่ยิมเลิกอึกอักเถอะค่าอยากจะพูดอะไรก็พูดไปเล้ยยยย ตอนท้ายที่เป็นเรื่องของดีนนี่เข้าใจหน่อยๆละว่าทำไมถึงเกลียดเฮียแกนนักคู่นี้จะลงเอยแบบไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Monet ที่ 05-10-2015 15:46:51
 :katai2-1:

นึกถึงคนข้าห้องที่มาอยู่ข้างเตียงตอนนี้เลย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 06-10-2015 00:06:14
อ่านรวดเดียวเล้ยย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -21 {ตอนแถมคู่อื่น} #3.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 08-10-2015 04:53:35

อ่านยาวๆ คู่ท็อปสองนี่เริ่มเสี่ยวล่ะ :hao7:

คู่ผิงกับยิมน่าลุ้น

รอตอนต่อไป  :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 18วันหยุดที่ไม่น่าจดจำ2
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 19-10-2015 03:32:08
{ต่อทริปเดิม}  ตอนที่ 18 วันหยุดที่ไม่น่าจดจำ 2


พี่ท็อปทำให้ผมนอนหลับไม่ลงจริงๆ ผมนอนคิดเรื่องพี่ท็อปวนไปวนมาอยู่นาน หันไปมองเจ้าตัวที่นอนหายใจสม่ำเสมอ คงหลับไปแล้ว ผมขยับตัวนอนหงาย รู้สึกเพลียแต่ข่มตาไม่หลับ อยู่เต็นท์อึดอัดแฮะ ผมตัดสินใจหยิบผ้าห่มผืนบางลุกออกไปนอนเล่นข้างๆ เต็นท์แทนนอนลงกับผืนหญ้าให้ความรู้สึกสบายจริงๆ หญ้าเย็นๆ กับอากาศชื้นนิดหน่อย มีเสียงนกร้องแว่วให้ได้ยินเป็นระลอกๆ ผมหยิบเอาโทรศัพท์มาใส่หูฟังกดเล่นเพลงสากลสบายๆ

ไม่รู้ว่าผมเคลิ้มหลับไปตอนไหน แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นว่าพี่ท็อปนั่งมองผมอยู่ข้างๆ คาดว่าคงนั่งมานานแล้วเหมือนกัน ผมค่อยๆ ลืมตามองหน้าพี่ท็อปอย่างมึนงง จากที่เบลอไม่ชัดเจนเริ่มค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ในมือมีดอกหญ้าที่หมุนเล่นไปมา

“หลับสบายไหม” พี่ท็อปถามแล้วยิ้มก่อนจะยื่นดอกหญ้ามาปัดป่ายบริเวณใบหน้าของผม

“อืม ตรงนี้อากาศดีนะพี่ มาข้างๆ ดิ” ผมบอกแล้วขยับตัว ตบไปที่พื้นหญ้าข้างๆ อีกฝ่ายมองอย่างชั่งใจก่อนจะขยับตัวมานอนลงข้างๆ ผม ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว บริเวณต้นไม้มีไฟสีส้มเปิดเป็นช่วงๆ เพื่อให้แสงสว่างในลานแค้มป์

“นึกว่าหายไปไหน ติสท์เกินนะมึง” พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ ผมหันไปมองหน้าเจ้าตัวชัดๆ

“ไม่หายไปไหนหรอกครับ เราน่าจะมีโอกาสไปเที่ยวด้วยกันเยอะๆ เลยเนอะ สบายดี”ผมพูดออกมาอย่างที่ใจคิด วันว่างๆ มีโอกาสไปเที่ยวด้วยกันคงสนุก

“ยังมีเวลาอีกเยอะน่า พูดเหมือนว่าจะตายจากกันไปก่อนงั้นแหละว่ะ ถึงกูจะเรียนจบ ทำงาน ก็ยังมีเวลาเสมอนั่นแหละ มึงกับกูมีเวลาเท่าๆ กัน และแน่นอนว่ากูมีเวลาให้มึงอยู่แล้ว”พี่ท็อปเอ่ย ผมแปลกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดทำนองนี้

“ไปหัดพูดแบบนี้มาตั้งเมื่อไหร่” ผมหัวเราะ แต่ที่พี่ท็อปพูดก็ถูก ทุกคนมีเวลาเท่ากันอยู่ที่ว่าจะใช้เวลาที่มีอยู่อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด

“กูคงติดความเน่าความเสี่ยวมาจากมึงแล้วแน่ๆ”

“ก็ดีแล้วนี่ แบบนี้แฟนรักแฟนหลงนะบอกให้ จะว่าไปแล้วผมชอบความรู้สึกในตอนนี้มาก บอกไม่ถูกแฮะ ทั้งสบายใจมีความสุข อยากอยู่นานๆ ไปเลยแบบไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะ” ผมพูดก่อนจะดึงมือพี่ท็อปมากุมไว้ โชคดีที่ไม่ค่อยมีคนเพ่นพ่านผ่านไปมาเท่าไหร่

“อยู่กับกูทั้งทียังจะต้องคิดอะไรเยอะ เรื่องบางเรื่องปลงๆ บ้างเหอะ ไม่เห็นต้องเอาเก็บมาคิดไปซะทุกอย่าง”

“เหรอ...พี่นั่นแหละที่ต้องปลงๆ ซะบ้าง” ผมหันไปมองหน้าคนข้างๆ ที่ย่นคิ้วคิดตามไปด้วยก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“เออว่ะ พูดอีกก็ถูกอีก แต่เรื่องที่กูปลงไม่ได้มันมีค่าความสำคัญอยู่พอตัวนะ ทิ้งมันไปไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะพลาดอะไรเด็ดๆ ไป” พี่ท็อปพูดเอื่อยๆ ดูเหม่อลอย เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ผมนอนคิดเงียบๆ พี่ท็อปมีเรื่องกังวลอยู่ในใจสินะ...จะใช่เรื่องเดียวกับผมไหมนะ

“ไว้วันหลัง พี่ไปบ้านผมไหม ไปไหว้พ่อผมหน่อย” ผมสะกิด พี่ท็อปทำหน้างงๆ

“หือ จริงดิ มึงโอเคกับพ่อมึงแล้วเหรอไงวะ” พี่ท็อปถามก่อนจะยื่นหน้ามามองใกล้ๆ

“ก็ไม่หรอก แต่อยากกลับไปบ้านบ้าง ไปให้เขาเจอหน้าหน่อยก็ดี เดี๋ยวลืมว่ามีลูกชาย ฮ่าๆ” ผมหัวเราะเบาๆ
จริงๆ ผมกับพ่อไม่ได้ทะเลาะอะไรกันใหญ่โต แค่ไม่ได้พูดคุยกันมานานมากเท่านั้นเอง เหมือนมีช่องว่างหลุมดำใหญ่ๆ กั้นอยู่ระหว่างผมกับพ่อที่ก้าวข้ามไปไม่ได้ ครั้งสุดท้ายที่โทรไปหาพ่อมันนานแค่ไหนกัน อาจจะหลายเดือนมาแล้ว หรือเป็นปี... ถ้าผมไม่โทรก็อย่าหวังว่าพ่อจะโทรมาหาเลย ไม่มีทาง ขนาดตอนที่ผมน็อกจากเฮียแกนยังไม่โทรมาถามไถ่อะไร คงไม่รู้ว่าผมเจ็บตัว...แต่มันก็ดีแล้ว พ่อจะได้ไม่มาปวดหัวเพราะเรื่องของผม

“มาทำดราม่าอีก พอๆ เลิกคิดอะไรที่มันบั่นทอนซะเถอะ จับปล้ำซะเลยดีไหมเนี่ย” พี่ท็อปลูบๆ หัวผมไปด้วย ทำแบบนี้ทีไรผมรู้สึกแปลกๆ ทุกที หวิวที่ใจ

“อื้อ ไปหาซื้ออะไรมากินดีกว่าพี่” ผมบอกแล้วลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะมองหาร้านค้าที่เห็นอยู่ไกลๆ

“อยากกินจิ้มจุ่มเลยว่ะ”

“มาอารมณ์ไหนเนี่ยพี่” ผมหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนดึงแขนพี่ท็อปให้ลุกตาม ผมเพิ่งมาตระหนักได้ว่าพี่ท็อปตัวหนักและแรงเยอะมาก ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าแรงเยอะแต่ครั้งนี้มันต่างออกไปแฮะ แรงเยอะสมชายจริงๆ เฮ้อ ทั้งๆ ที่ตัวก็เท่าๆ กัน ผมล่ะหนักใจถ้าพี่ท็อปเข้าฟิสเนตเมื่อไหร่ คงถึงเวลาที่ผมต้องถอยให้แล้วล่ะมั้ง

ผมกับพี่ท็อปเดินไปที่ร้านค้า ที่นี่บริการนักท่องเที่ยวดีนะ อย่างน้อยๆ ก็มีพวกของใช้พื้นฐานให้ถึงแม้จะราคาสูงกว่าปกติ ผมซื้อฝืนมาหนึ่งถุง กับเตา(อันนี้ยืมจากร้าน) แต่ไม่มีอะไรให้ปิ้งนอกจากปลาหมึกแห้งกับหมูสามชั้นซึ่งมันเยอะไปหน่อย แต่ดีกว่าไม่มีกับแกล้มอะไรเลย ที่ขาดไม่ได้คือเบียร์กับบุหรี่ พี่ท็อปไม่ค่อยได้สูบแล้ว ซึ่งดีแล้วที่พยายามจะเลิก สำหรับผมมันไม่ง่ายเลยนะ ปากบอกว่าไม่ติดแต่ก็ขาดไม่ได้หรอก

“เมื่อไหร่มึงคิดจะเลิกวะ ดูสามีเป็นตัวอย่างสิสอง” พี่ท็อปว่า ผมทำหน้าเอือม

“ขอเวลาหน่อยสิพี่ คำว่าเลิกเนี่ยจะให้พูดปุ๊บเลิกปั๊บได้ไง ใช่ไหม” ผมบอก แล้วหยิบสไปรท์ติดมาสองสามประป๋อง วันนี้อยากมิกซ์กับเบียร์ซะหน่อย

“แดกเป็นสาวเลยว่ะ” พี่ท็อปแอบเย้ยหยันได้เจ็บแสบ

“ดื่มเบาๆ ไงพี่” ผมเถียงสู้ แต่ก็เป็นที่นิยมของผู้หญิงมากกว่าเบียร์ผสมสไปรท์เนี่ย ไม่เมาหรอกออกจะหวานๆ ซ่าๆ ติดปลายลิ้น

ผมกับพี่ท็อปเดินกลับเต็นท์ข้าวของเต็มมือ มีวัยรุ่นสองสามคนตั้งเต็นท์อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ ไปหน่อย หันมามองผมกับพี่ท็อปตาเป็นมัน ไม่ใช่ว่าชอบหรือสนใจอะไรหรอก คงเห็นเบียร์กับของกินมากกว่า สามคนนั้นมีชายสองหญิงหนึ่ง นั่งดีดกีตาร์ดื่มเหล้ากันนั่นแหละ แต่คงใกล้หมดแล้ว

เมื่อมาถึงฐานทัพตัวเอง ผมก็จุดไฟก่อเตา พี่ท็อปจัดการเอาหมูเสียบไม้ ซึ่งรสชาติคงจืดๆ ในระหว่างนั้นผมถือโอกาสอัดมะเร็งอ่อนๆ เข้าปอดเสียหน่อย กว่าไฟจะติดก็เหม็นติดเสื้อผ้าไปหมด เหมือนมาออกค่ายลูกเสือสมัยม.ต้นเลย

“พวกนั้นมันมาจากไหนกันวะ” พี่ท็อปเดินมานั่งหน้าเตาข้างๆ ผมแล้วกระซิบ

“ไม่รู้สิพี่ น่าจะเด็กกว่าเรานะ อาจจะเด็กม.ปลายมั้งผมว่า” ผมตอบแล้วเหลือบมองสามคนนั้น แอบสังหรณ์ใจแปลกๆ ด้วย คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ

“มันมองมาทางเราบ่อยจังว่ะ”

“อยากมาแจมกับเราหรือเปล่า” ผมคิดในแง่ดีและเข้าใจว่าพวกนั้นคงอยากหาเพื่อนคุยสนุกๆ

“อือ เฮ้ย ไฟติดแล้ว เอาของไปปิ้งเลยให้ไว” พี่ท็อปชี้นิ้วสั่งผมเลยขัดไม่ได้ นั่งปิ้งปลาหมึกกับหมูไปพลาง พี่ท็อปดึงบุหรี่ในมือผมไปดับแล้วโยนทิ้งใส่ถังขยะไป

“อ้าว กำลังได้ที่เลย” ผมย่นหน้า

พี่ท็อปส่ายหน้า“ควันไฟว่าเหม็นแล้วนะ เจอบุหรี่มึงหนักไปใหญ่” พี่ท็อปเอาพัดมาปัดกลุ่มควันจางๆ ให้หายไปเร็วๆ

“เออ ว่าจะถามตั้งนานแล้ว งานเพ้นท์มึงตอนปีสองอันนั้นอยู่ไหนแล้ว” พี่ท็อปถามขณะที่เปิดเบียร์ผสมสไปรท์ให้ผมอยู่

“อ๋อ...เก็บไว้ที่คณะนั่นแหละ ไม่มีใครมาสนใจนี่ จะเอาไปโชว์ใคร” ผมหัวเราะเบาๆ นึกถึงภาพนั้นที่อุตส่าห์วาดให้พี่ท็อป ตอนนั้นเข้าขั้นโคม่า เป็นโรคคลั่งท็อปลิซึ่ม มองอะไรๆ ก็เห็นเป็นพี่ท็อป 

“กูขอได้ไหมวะ” พี่ท็อปมองหน้าผมนิ่งๆ

“ของ่ายๆ แบบนี้เลยเหรอพี่ รู้ไหมนั่นงานชิ้นโบแดงของผมเลยนะ ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนหน่อย ถ้าอยากได้” ผมพูดเรื่อยๆ อย่างอารมณ์ดี พี่ท็อปทำหน้าเหมือนกลืนของแสลง

“อะไรวะ มาทำงก มึงละเมิดภาพส่วนบุคคลนะเว้ย”

“ใช่ที่ไหน ไม่ใช่พี่ท็อปซะหน่อย พี่เห็นที่ผมวาดหรือยังครับ รู้ไหมมันสื่อถึงอะไร” ผมหัวเราะ ไอ้เรื่องจิตวิญญาณของคนที่วาดไปมันค่อนข้างสื่อไปทางเพศที่สามมากไปหน่อย...ออกจะหมายความไปในแง่ตัวตนของผู้ชายคนนึงที่ไม่ใช่ผู้ชาย ผู้หญิงในตัวผู้ชายน่ะ แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงผมหรอกนะ

"ก็เคยเห็นแล้วไหนว่าวาดให้กู”

“มันก็ไม่เชิงนะ ผมแค่นึกถึงพี่ตอนที่คิดงาน ...แต่งานมันค่อนข้างชัดเจน ถ้าพี่เอาไปมันออกจะไม่เหมาะกับพี่หรอก พี่ไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่” ผมบอก พี่ท็อปถอนหายใจพยักหน้า

“เอาหน้ากูไปนี่หว่า เดี๋ยวใครๆ ก็เข้าใจผิดหรอก”

“บ้าน่า ...สำหรับผมน่ะที่วาดรูปออกมาได้เพราะมีแรงบันดาลใจจากใครสักคน ผมคิดงานเองไม่ได้หรอก ต้องพึ่งคนอื่น ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย” ผมยิ้มบางๆ

“ก็ดีแล้วนี่ อย่างน้อยๆ ทำอะไรมีแรงบันดาลใจเป็นกำลังหนุนเสมอ แบบนั้นมันไปได้ไกลนะ”

“พูดได้ดี อะ ชนแก้วหน่อย” ผมยื่นแก้วพลาสติกไปหาพี่ท็อปที่ถือกระป๋องเบียร์ “หึหึ กูคงได้เมาก่อนมึง” พี่ท็อปพึมพำ

“บ้าน่า อย่างพี่เมาแค่เบียร์เนี่ยนะ” ผมขำ

“กูอ้วกแน่ บอกไว้ก่อนเลย อย่ามาลักหลับกูนะ” พี่ท็อปพูดติดตลกอีก

ระหว่างที่ดื่มเบียร์ไปคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ล่วงเลยเวลามาได้ชั่วโมงกว่า ไฟเริ่มมอดของแกล้มก็หมดแล้ว วัยรุ่นสามคนนั้นเดินมาหาผมสองคน

“ขอโทษนะครับ ขอผมร่วมวงได้ไหมครับ พอดีเหล้าหมดแล้ว” ผู้ชายคนผอมสูงหน้าตาใช้ได้ถือกีตาร์เป็นฝ่ายพูดท่าทางเป็นมิตร

“กับแกล้มพวกผมเหลือเต็มเลย...” อีกคนนึงพูดต่อแล้วชูถุงของกินให้ผมดู

“เอาไงดี” พี่ท็อปยื่นหน้ามากระซิบ ผมชั่งใจมองเด็กวัยรุ่นสามคนนั้นท่าทางไม่มีพิษมีภัยอะไรเลยพยักหน้าให้ จากนั้นแนะนำตัวกันไป ผู้หญิงที่ตามมาด้วยเป็นแฟนของคนที่ดีดกีตาร์ ตามคาดเป็นเด็กม.6 เพราะเพิ่งสอบเสร็จเลยมาเที่ยวพักผ่อนกันใกล้ๆ บ้าน

“พี่สองคนเป็นแฟนกันเหรอคะ” น้องผึ้งเป็นฝ่ายถาม เธอไม่ดื่มเหล้าเบียร์ ดื่มแค่เป๊ปซี่เท่านั้น ผมกับพี่ท็อปมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ

“ดูออกด้วยเหรอ” พี่ท็อปถาม

“โห เปิดเผยซะขนาดนั้น ใครๆ ก็ดูออกแหละพี่” ผึ้งยิ้มมาให้ ส่วนแฟนของเธอชื่อปิ๊ก อีกคนชื่อเคน ท่าทางจะเมาเพราะนั่งเงียบคอตกเชียว

“แอบมองเหรอเนี่ย” ผมพูดขำๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ ลาน เห็นครอบครัวหนึ่งนั่งปิกนิกกันอยู่ ทำให้บรรยากาศไม่วังเวงเท่าไหร่

พี่ท็อปดูร่าเริงดีตามปกติแต่ผมรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ อาจเพราะไม่ถูกจริตกับน้องผู้หญิงคนนี้เท่าไหร่ ในใจมันแปลกๆ รู้สึกไม่สนุกเท่าไหร่ ผมได้แต่ส่ายหน้า

“เมาเหรอพี่ พูดไม่รู้เรื่อง” ผมถามดึงแขนสองสามที พี่ท็อปแค่ส่ายหน้าให้ ผมมองไอ้ปิ๊กที่ดีดกีตาร์เบาๆ ไปพลาง ผมถอนหายใจ ผมอาจคิดมากเกินไปก็ได้มั้ง

“พี่กลับวันไหนเหรอครับ” ไอ้ปิ๊กถาม พี่ท็อปคงตอบอะไรไม่ได้แล้วเพราะเดินเซไปอ้วกข้างๆ ต้นไม้ใกล้ๆ ผมมองอย่างเป็นห่วง

“กลับพรุ่งนี้แล้ว พี่ว่าคืนนี้พอแค่นี้แหละ นี่ก็เมากันหมดแล้ว” ผมบอกเตรียมเก็บแก้วกับของกิน แค่มึนๆ นิดหน่อยไม่ถึงกับเมา เวลาผมดื่มเบียร์ไม่ถึงกับเมาปลิ้น ผมรู้สึกตัวอยู่ตลอดและยังทรงตัวได้เหมือนไม่เหมือนคนเมา อันนี้ไอ้โก๋กับไอ้ผิงบอกผม แต่ถ้าเหล้านี่คนละเรื่องเลย ผมเมาเละแน่ เบียร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีถ้าต้องการแค่ดื่มชิลๆ เรื่อยๆ

“เบียร์ยังเหลืออยู่เลย งั้นผมขอนะพี่” มันว่า ผมเลยพยักหน้าให้ ยังไงผมก็ไม่ดื่มต่ออยู่แล้ว ผมลุกไปดูพี่ท็อป แค่เบียร์เองทำไมเมาเร็วจัง

“ไหวไหมเนี่ยพี่” ผมเข้าไปลูบหลังให้ พี่ท็อปโบกมือให้ว่ายังไหวแต่ยังอ้วกอยู่

“โอย มึนหัวว่ะ” พี่ท็อปเบ้หน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน ผมต้องจับพยุงตัวไว้แล้วพากลับไปที่เสื่อ ไอ้ปิ๊กมันนั่งกระดกเบียร์อยู่คนเดียว เพื่อนมันนอนเกลือกกลิ้งอยู่ข้างๆ ส่วนแฟนมันกลับไปนอนที่เต็นท์แล้ว

“แค่นี้เดินเซเลยเหรอพี่” ไอ้นั่นมันหัวเราะ   

“เงียบไปเหอะ พูดมากนะมึง” พี่ท็อปงึมงำพูดแล้วนั่งลงที่เดิมทำท่าจะกินต่อ

“พอเหอะน่า ให้เด็กมันกินไปนั่นแหละ เหลืออยู่แค่กระป๋องเดียว” ผมบอกแล้วดึงเบียร์ออกจากมือพี่ท็อป ไอ้ปิ๊กหัวเราะท่าทางของพี่ท็อป ผมได้แต่แอบยิ้ม เมาแล้วทำท่าตลกจริงๆ ผมเก็บของใส่ถุงดำ

“อะพี่ แก้วสุดท้ายแล้วจะได้แยกย้าย” ไอ้ปิ๊กบอกแล้วยื่นเบียร์ผสมสไปรท์ให้ผม

“เออๆ แดกๆ แล้วไปนอนเหอะ ลากเพื่อนมึงไปด้วยนะเว้ย” ผมพยักพเยิดไปที่เพื่อนมันที่นอนอยู่นอกเสื่อ มันพยักหน้าหงึกๆ ผมดื่มไปอึกสองอึก ไม่ค่อยอยากดื่มต่อเท่าไหร่ ไฟในเตาดับไปแล้ว ผมเก็บขยะจนเหลือแต่เบียร์กับของที่ยังกินต่อได้ ไอ้ปิ๊กมันยังนั่งแดกต่อเรื่อยๆ ผมดื่มไปแค่ครึ่งแก้ว ระหว่างที่เดินไปเอาถุงดำไปทิ้งถังขยะที่อยู่ไม่ไกล ผมเบลอๆ นิดหน่อยเหมือนเวลามึนๆ จากเบียร์

“ฮูว แดกไปหน่อยเดียวเอง” ผมบ่นพึมพำแล้วเดินกลับมาที่เดิม ไอ้ปิ๊กมันเก็บกระป๋องเบียร์ที่เหลือใส่ถุงดำ คงดื่มหมดแล้ว ส่วนพี่ท็อปนอนสลบเหมือด

“เฮ้ยพี่ ป่ะ ไปนอนได้แล้ว” ผมเขย่าตัวพี่ท็อปเบาๆ แต่ไม่ตอบโต้อะไรเหมือนหลับไปแล้ว ผมพยายามดึงพี่ท็อปให้ลุกแต่ไม่ไหว

“เฮ้ยมึง มาช่วยหน่อยดิ หนักฉิบ” ผมเรียกไอ้ปิ๊ก มันรีบเข้ามาช่วยดึงพี่ท็อปที่สะลึมสะลือขึ้นมาครางอืออาแค่นั้น ผมกับไอ้ปิ๊กช่วยประคองพี่ท็อปไปที่เต็นท์ แต่เหมือนช่วงจังหวะที่ลุกขึ้นยืนทำเอาผมหน้ามืดเซถอยหลังเหมือนจะล้ม

“เฮ้ยๆ พี่ เดินดีๆ ดิ” ไอ้ปิ๊กบอกแล้วหัวเราะ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ เสียงหัวเราะมันขัดหูผมชอบกล ความรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาทันที อยู่ๆ ผมก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาซะอย่างนั้น รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเหมือนจะเป็นลม

“เชี่ย...อะไรวะ” ผมพึมพำ ก่อนจะทรุดตัวลงอย่างหมดแรง อยากจะอ้วกออกมา ภาพรอบตัวเหมือนเบลอๆ อย่างกับว่าโดนยางั้นแหละ

เหมือนผมได้สติกลับมาก่อนจะนึกทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ผมเมาง่ายเกินไป พี่ท็อปก็ด้วย ผมเงยหน้ามองไอ้ปิ๊กที่พยุงพี่ท็อปอยู่ มันแค่ยิ้มมาให้ก่อนจะลากพี่ท็อปเข้าไปข้างในเต็นท์ ผมได้ยินเสียงคนเดินรอบๆ ตัว

“เฮ้ย เร็วๆ ดิ ค้นดูตามกระเป๋าด้วย” เสียงผู้หญิงดังขึ้น ผมรู้แน่ชัดแล้วว่าคงโดนมอมยาแน่นอน เห็นไอ้ปิ๊กมันกำลังค้นของในเต็นท์ผมอยู่ พี่ท็อปไม่ได้สติ ผมพยายามประคองตัวขึ้นลุกแต่รู้สึกเหมือนมีคนล็อกตัวไว้ ที่แท้ก็ไอ้คนที่แกล้งทำเป็นเมานั่นเอง

“พวกมึงทำเชี่ยอะไรวะ” ผมพยายามจะตะโกนให้เต็นท์อื่นๆ ได้ยินแต่ไม่ไหว แค่พูดเบาๆ เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง มันพยายามล้วงกระเป๋ากางเกงหาเงิน ในตัวผมพกแค่ไม่กี่พัน ของมีค่าอยู่ในเต็นท์หมด

“ลากมันไปที่อื่นดิเดี๋ยวคนเห็น” เสียงผู้หญิงดังขึ้น ผมพยายามตั้งสติแต่เหมือนว่าฤทธิ์ยาเริ่มออกมากขึ้น ผมเดินเซไม่มีแรงเหลือให้ต่อต้าน มันลากผมไปตามทางก่อนจะหยุดอยู่ที่หลังแนวพุ่มไม้บริเวณป้ายไม้อันใหญ่ ไม่มีแสงไฟให้เห็นพอจะบดบังให้ลอดสายตาคนได้ ส่วนผู้หญิงมันพยายามถอดเสื้อผมออก

“จะ..ทำอะไร” ผมเค้นเสียงออกมา พยายามมองพวกมันสองคน ไอ้ผู้ชายมันดึงเงินออกจากกระเป๋ากางเกง มันพยายามดึงสร้อยนาฬิกาของผมอันที่พี่ท็อปให้มา“อย่านะเว้ย” ผมพยายามหนี แต่มันดึงออกไปได้ ทำเอาผมแสบคอเพราะแรงกระชาก

“สวยดีอะ เสียดาย แต่เอาไปขายน่าจะได้ราคาเนอะ” ผู้หญิงมันพูด

“มึงจะทำอะไรก็ทำ ไอ้ปิ๊กมันคงได้มาเยอะแน่ๆ” อีกคนพูดก่อนจะไปดูลาดเลาข้างๆ ผมพยายามบอกตัวเองว่าอย่าหลับๆ แต่เหมือนหนังตาเริ่มหนักเข้าไปทุกที อีผู้หญิงนี่มันจะทำอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าจะ....

“หน้าตาก็ดีแม่งไม่น่าเป็นเกย์เลยวะ เสียดาย แต่ไม่เป็นไร” มันหัวเราะกับเพื่อนมันเหมือนสนุกสนาน รู้แบบนี้ไม่ให้มันเข้ามาร่วมวงด้วยตั้งแต่ที่แรก พวกมันวางแผนมาดีมาก อาจจะไม่ใช่ครั้งแรก ผมพยายามปัดป้องแต่แขนมันหนัก เรี่ยวแรงไม่มีแล้ว รู้สึกแค่ว่ากางเกงของผมกำลังถูกถอดช้าๆ กับหน้าของผู้หญิงโฉดนี่ค่อยๆ เลือนหายไป
ไม่นะเว้ย...อย่าเพิ่งหลับสิวะ...

จริงๆ ผมเป็นห่วงพี่ท็อป เหมือนอาการหนักกว่าผมอีก อยู่กับไอ้เชี่ยปิ๊กนั่นจะทำอะไรพี่ท็อปหรือเปล่าเหมือนที่ผู้หญิงคนนี้กำลังทำกับผมอยู่ผมสู้ไม่ไหวกับฤทธิ์ยา สติดับมืดลง

ผมอยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน เรื่องโง่ๆ ที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทของตัวเองแท้ๆ ไม่น่าไว้ใจคนแปลกหน้า ผมไม่อยากตื่นมาพบกับความจริงว่าถูกหลอก มันโง่มากๆ

โง่ฉิบ....

เสียงรอบกายดังเหมือนคนคุยกันวุ่นวาย เสียงคนเดิน

“จะเป็นอะไรมากไหมครับเนี่ย” เสียงผู้ชายดูมีอายุน่าจะวัยกลางคน ฟังน้ำเสียงแล้วเจือความเป็นห่วงอยู่

“อีกไม่นานก็ฝืนแล้วครับ โดนยานอนหลับเข้าไป” เสียงผู้ชายทุ้มๆ กระฉับกระเฉงตอบกลับไป เสียงพลิกกระดาษไปมา

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคุณ อยู่ใกล้ๆ เราแท้ๆ ตอนแรกนึกว่ามาด้วยกันซะอีก” เสียงผู้หญิงสูงวัยพูดตามเบาๆ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...พี่ท็อปหายไปไหนผมพยายามลืมตา เห็นแสงสว่างจ้าจากตรงหน้าจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง ผมได้ยินเสียงรอบข้างพูดว่า“ตื่นแล้วๆ” กันให้วุ่น ผมปรับสายตาให้ชินกับแสงดังกล่าว ที่แท้ก็เป็นแสงแดดจากหน้าต่างกับแสงไฟบนเพดาน ผมมึนเบลออยู่นาทีหนึ่ง พยายามไล่เรียงเรื่องราวในเหตุการณ์ แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้นกัน ผมจำได้แค่ว่ามีวัยรุ่นมาขอนั่งดื่มด้วยและถูกมอม จำได้แค่นี้จริงๆ รายละเอียดหลังจากนั้นจำไม่ได้เลย

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ'
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 19-10-2015 03:33:51
“เป็นยังไงบ้างไอ้หนุ่ม ไม่ต้องตกใจๆ ตอนนี้ปลอดภัยแล้วนะเรา” ผมมองเห็นเป็นผู้ชายร่างท้วมกับเสื้อโปโลสีฟ้า ใบหน้าใจดีหัวล้านหน่อยๆ ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ข้างๆ มีผู้หญิงวัยใกล้เคียงกันส่งยิ้มปลอบมาผมมองไปรอบๆ ห้อง ตอนนี้นอนอยู่บนเตียงในห้องสี่เหลี่ยมเป็นห้องไม้สักสีน้ำตาล ลักษณะเหมือนของป้อมบริการนักท่องเที่ยวแสดงว่าที่นี่คือที่อุทยานสินะ ผมลุกขึ้นนั่ง

“แล้ว...ฟะ...พี่ผมล่ะครับ เขาเป็นยังไงบ้าง” ผมนึกถึงพี่ท็อป รู้สึกกลัวคำตอบที่จะได้ยิน ลุงผู้ชายพยักหน้ายิ้ม

“อ๋อ คนนั้นปลอดภัยดี ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจ ไปให้ปากคำอยู่ไม่ต้องห่วงนะพ่อหนุ่ม ไอ้โจรเด็กนั่นโดนจับได้คนนึง เดี๋ยวลุงเล่าให้ฟังนะ โชคดีที่ลุงปวดท้องเลยกะว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังสู้กันอยู่เลยลุกออกไปดู เห็นว่าเป็นเต็นท์ของพ่อหนุ่มสองคนนั่นเอง เหมือนมีคนทะเลาะกันด้านในเต็นท์เต็นท์พังเลยแน่ะ แฟนของพ่อหนุ่มน่ะเขาโดนมอมเหมือนกัน แต่รู้สึกตัวก่อนเลยต่อสู้กับไอ้เด็กนั่นอยู่ ลุงเลยไปช่วยจับแล้วก็เรียกพนักงานมาช่วยด้วย” ผมนั่งฟังแล้วขมวดคิ้ว พี่ท็อปได้สติขึ้นมางั้นเหรอ แต่ที่ผมเห็นคือพี่ท็อปไม่ค่อยมีสติ พี่ท็อปนี่เหลือเชื่อจริงๆ

“โชคดีใช่ไหมล่ะ พ่อหนุ่มคนนั้นบอกว่าเป็นเพราะอ้วกไปก่อนหน้านั้นเลยทำให้ฤทธิ์ยาน้อยลงน่ะ เขาวิ่งไปช่วยเราจากไอ้เด็กสองคนนั่น...เกือบไปแล้วเชียวนะ” ลุงลูบไหล่ผมอย่างปลอบโยน ผมยิ้มบางๆ พี่ท็อปนี่สุดยอดไปเลยนะ ตอนแรกนึกว่าจะแย่ซะแล้วเห็นหมดสภาพกว่าผมอีก ให้ตายเถอะ ไอ้เด็กเวร ถ้าเจอตัวนะจะขอชกปากสักสามสี่หมัดให้หน้าหงาย

“ขอบคุณมากนะครับ แล้วผมต้องไปให้ปากคำที่โรงพักตอนไหนครับ ตอนนี้ผมโอเคแล้วครับ” ผมบอก ระหว่างนั้นประตูห้องเปิดออก เป็นพนักงานของอุทยาน

“สวัสดีครับผมเป็นเจ้าหน้าที่ของอุทยาน ก่อนอื่นผมต้องขอประทานโทษจริงๆ ครับที่เกิดเหตุแบบนี้ขึ้น ทางเราจะประสานกับทางสน.ให้เร่งจับคนร้ายอีกสองรายที่หลบหนีไปได้ แต่คาดว่าไม่นานก็จับตัวได้ครับเพราะเป็นเด็กในพื้นที่ น่าจะเคยก่อคดีในลักษณะนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว” ไม่นานทางเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอุทยานก็เข้ามาพูดกับผมแล้วพร้อมจะจ่ายค่าทำขวัญให้เพราะเหตุเกิดในอุทยาน ทางอุทยานขอโทษที่ไม่ได้รักษาความปลอดภัยให้รัดกุมกว่านี้ แต่ผมไม่ได้ถือโทษอะไร ขอแค่ให้จับคนร้ายให้ได้ก็พอ

ตอนนี้ที่ตัวผมไม่มีเงิน ไม่มีโทรศัพท์เลย อยากโทรหาพี่ท็อปจังแฮะ ผมต้องไปให้ปากคำที่สน.อีกเลยขอยืมโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ที่พาผมไปสน. ผมโทรหาพี่ท็อป ดีนะที่จำเบอร์พี่ท็อปได้ขึ้นใจรอสายไม่กี่ตู๊ดพี่ท็อปก็รับสายทันที

[สอง โอเคแล้วนะ ปลอดภัยแล้วใช่ไหม]เสียงพี่ท็อปดูร้อนรนและเป็นห่วงผมมาก ผมยิ้มสบายใจ

“ครับ ผมไม่เป็นอะไรหรอก แล้วพี่ล่ะโอเคไหม เจ็บตรงไหนไหม” ผมถาม หวังว่าไม่เจ็บอะไรมาก พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ

[เออน่า กูซะอย่าง ไม่เจ็บหรอก นี่โชคดีนะที่กูมีสติขึ้นมา ไอ้เชี่ยนั่นมันก็มึนๆ อยู่เหมือนกันแรงเลยน้อยลง ไม่ต้องห่วงนะเว้ย เดี๋ยวก็จับไอ้สองตัวนั่นได้ มันเคยทำมาแล้วสองสามครั้ง มีประวัติอยู่ เดี๋ยวก็โดนจับ กูจะซัดสักทีสองทีทั้งผู้หญิงผู้ชายเลยแม่ง ริอาจมาทำแฟนกู] พี่ท็อปพูดติดตลกเหมือนไม่อยากให้ผมซีเรียสมากไปกว่านี้ ผมกัดปากหาคำพูดอื่น ตอนแรกมีคำถามมากมาย พอมาตอนที่ได้ยินเสียงพี่ท็อปแล้วผมคิดอะไรไม่ออก

“อือ ผมเชียร์เต็มที่ จะกระทืบซ้ำด้วยแหละ....ถ้าพี่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วมันทำอะไรพี่หรือเปล่า...” ผมถาม

[ไม่หรอก มันแค่จะเอาของมีค่าแต่เราไม่ได้เอาอะไรมามาก มีแค่เงินกับกุญแจรถมึง ถ้ากูไม่ซัดมันก่อนมันคงจะเอารถมึงไปด้วยแน่ๆ กูไม่เป็นอะไรจริงๆ ไอ้สอง เห็นแบบนี้กูแข็งแรงนะ ไม่อย่างนั้นกูคงไม่ฟื้นจากฤทธิ์ยามาง่ายๆ หรอก ตอนนี้กูให้ปากคำเสร็จแล้ว เหลือแต่มึง... ตอนนี้จำอะไรได้ไหม] ผมหลับตานึกแต่จำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม

“ไม่เลยพี่ จำไม่ได้จริงๆ มันเอาอะไรมอมเราวะพี่”

[ตำรวจกำลังเอาไปตรวจอยู่ กำลังรอผล คงไม่ใช่ยาที่หาได้ทั่วไปเห็นเขาว่ามาแบบนั้น]พี่ท็อปพูด ผมพยายามนึกไอ้เรื่องยามอมผมก็พอมีความรู้ ปกติถ้าจะมอมน่าจะเป็นพวกยานอนหลับ แต่ชนิดไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง ไอ้เด็กพวกนี้ดูท่าทางแล้วยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย ไปเอายามาจากไหน ร้านยาคงไม่ขายให้แน่ๆ นอกจากแพทย์ออกใบสั่งยาให้

“อีกเดี๋ยวผมจะถึงโรงพักแล้ว” ผมบอก พี่ท็อปส่งเสียงตอบรับ

[ถ้านึกไม่ออกก็ไม่ต้องเค้นออกมาหรอก อาจเป็นเพราะยาล่ะมั้ง]

“อื้อ งั้นแค่นี้นะครับ” ผมวางสายแล้วคืนโทรศัพท์ให้เจ้าหน้าที่ไป จากนั้นรถก็เลี้ยวเข้าไปยังสถานีตำรวจของเขตนี้ ชีวิตผมคงต้องมาเหยียบโรงพักจริงๆ ด้วยแฮะ

เมื่อมาถึงโรงพักก็เห็นพี่ท็อปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ติดกับริมห้อง ท่าทางเหมือนคนไม่ได้นอน อิดโรยนิดๆ ใบหน้ามีรอยฟกช้ำสองจุด นอกนั้นก็ปกติดี ผมยิ้มให้พี่ท็อปก่อนจะไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

“ทรัพย์สินมีค่ามีอะไรหายไปอีกไหมครับ”

“มีสร้อยคอ โทรศัพท์ เงินประมาณสองสามพันแล้วก็นาฬิกาครับ...” ผมตอบเพลียๆ ไม่ค่อยชอบบรรยากาศโรงพักเลย เด็กที่จับตัวได้อายุไม่ถึงสิบแปดเลยถูกคุมตัวไว้ พ่อแม่หรือผู้ปกครองก็ติดต่อไม่ได้ ผมไม่ได้เห็นสภาพมันเลย ตำรวจให้เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง แต่พอถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม ผมนึกไม่ออกจริงๆ

“ผมจำไม่ได้เลยครับ จำได้เท่าที่เล่าไป” ผมบอก

“โอเคครับ เรื่องต่อจากนี้ผู้เสียหายอีกคนได้เล่าให้ฟังแล้วครับ แต่ผมอยากให้แน่ใจจริงๆ เลยถามจากคุณอีกครั้ง ยังไงรอผลตรวจจากทางแล็บ สรุปแล้วเป็นยานอนหลับชนิดไหน ช่วยเซ็นชื่อตรงนี้ด้วยครับ” ผมเซ็นชื่อลงในใบบันทึกแจ้งความ ที่เหลือก็รอผลตรวจกับรอจับไอ้โจรสองตัวนั่นให้ได้ ผมเดินไปหาพี่ท็อป

“ไง หมดสภาพไปเลยนะ” พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า

“หึ เซ็ง หมดสนุกไปเลย ห่วยแตกจริงๆ” ผมบ่นก่อนจะสำรวจไปตามตัวพี่ท็อปว่ามีอะไรเสียหายอีกไหม

“มึงปลอดภัยก็ดีแล้ว มึงเกือบโดนผู้หญิงปล้ำซะแล้ว เสียชื่อจริงๆ”

“เหอะ อย่าพูดดิพี่ เรื่องนี้เหยียบไว้เลยนะ” ผมบอก รู้สึกอับอายขึ้นมาทันที เสียท่าจริงๆ พี่ท็อปยิ้มแล้วจับมือผมแป๊บเดียวก่อนจะปล่อย

“ขอบคุณพระเจ้าที่กูไปทัน บางทีถ้ากูไม่ได้สติขึ้นมา นอกจากกูจะเสียทรัพย์สินแล้วกูก็คงเสียมึงไปให้อีผู้หญิงนั่นกับไอ้เด็กเวรนั่นด้วย จริงๆ นะ มึงอาจเสียท่าให้สองคนนั้นก็ได้ เพราะมึงแม่งหมดสติไปแล้ว มันจะเป็นยังไงถ้ามึงอยู่สภาพนั้น รถมึงคงโดนขโมยไปด้วย กูกับมึงคงหมดท่าจริงๆ” พี่ท็อปถอนหายใจแล้วหลับตา

“ขอบคุณนะพี่ที่มาช่วยผมทัน ต้องขอบคุณที่พี่อ้วกออกมา” ผมพยักหน้าไปด้วยแล้วหัวเราะแห้งๆ

“อือ เห็นไหมสามีคนนี้เก่งแค่ไหน” พี่ท็อปพูด แต่ผมก็ขำออกนะ

“พอเลย เลิกพูดได้แล้วน่า เราต้องกลับวันนี้นะพี่” ผมบอก แต่ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยจริงๆ ไม่มีแรงขี่รถกลับแน่ๆ ลืมนึกถึงของฝากไอ้ผิงเลยด้วย

“จริงๆ ต้องขอบคุณคุณลุงด้วยนะที่มาช่วยกูทันพอดี ทำให้กูวิ่งไปช่วยมึงได้” พี่ท็อปพูดต่อ ผมไม่ได้ถามว่าผมโดนทำอะไรไปบ้าง อันที่จริงเนื้อตัวผมก็ไม่มีอะไรเสียหายหรือร่องรอยอะไร ผมไม่อยากรู้หรอก

“อือ ต้องไปขอบคุณอีกรอบ” ผมบอก“พี่ได้พักบ้างไหม นอนก่อนก็ได้นะ”

“ไม่ง่วงแล้ว ใครจะหลับลง” พี่ท็อปยิ้ม

จากนั้นผลตรวจยาก็ออกมาพบว่าเป็นยาโดมิคุม เป็นยานอนหลับ ซึ่งออกฤทธิ์เร็ว ภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 นาที ถ้าเป็นเม็ดก็กินแค่เม็ดจิ๋วๆ เม็ดเดียวเท่านั้น จึงง่ายที่จะผสมในเครื่องดื่มได้ คนที่กินเข้าไปจะหลับลึก ปลุกหรือเขย่าไม่ตื่น  และคุณสมบัติเด่นคือ ทำให้นอนหลับ และฤทธิ์ทำให้สูญเสียความทรงจำชั่วขณะ ทำให้ไม่สามารถจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างที่หลับได้ แต่ที่สำคัญกว่า คือการจะครอบครองยาชนิดนี้ต้องมีใบสั่งแพทย์ถึงจะซื้อได้

แค่นี้พวกมันก็โดนไปหลายกระทง ทางตำรวจจึงไปสอบปากคำกับเด็กคนนั้นว่ามียาได้อย่างไร เด็กนั่นบอกมาว่าขโมยมาจากป้าที่ป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับ แค่ข้อหามียาชนิดนี้ก็โดนหนัก ปรับหลายหมื่นหรือจำคุก แต่คงลดนั่นแหละเพราะเป็นเยาวชนคงถูกส่งตัวไปที่สถานพินิจฯ ต้องรอให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง

“เอาไงดีพี่ กว่าจะจับไอ้สองคนนั้นได้ต้องหลายวันแน่เลย”

“อืม งั้นเราก็ปล่อยให้ตำรวจจัดการไปก่อน ถ้าจับอีกสองคนได้ค่อยมาให้การเพิ่ม” พี่ท็อปบอก เราเลยต้องปล่อยให้ตำรวจจัดการไปก่อน ทิ้งข้อมูลติดต่อไว้ ถึงยังไงก็มาแจ้งความแล้ว แต่ผมอยากได้ของคืน ไม่แน่ใจว่าของจะยังอยู่ครบไหม หลังจากที่จัดการเรื่องเอกสารอะไรเรียบร้อยแล้ว ผมกลับมาที่อุทยานเก็บข้าวของแล้วไม่ลืมขอบคุณ คุณลุง คุณป้าที่ช่วยเราได้

“มึงขี่รถไหวไหม พักก่อนแล้วค่อยกลับดีไหม ไปคลินิกตรวจร่างกายเพิ่มก็ดีนะ” พี่ท็อปบอก มองผมอย่างเป็นห่วง ผมส่ายหน้า


“ไม่เป็นอะไรมากหรอกพี่ ผมไม่อยากอยู่นานเท่าไหร่” ผมบอก ทางอุทยานขอโทษขอโพย ผมกับพี่ท็อปไม่ได้โทษทางอุทยานเท่าไหร่ ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้น แต่ทางนั้นยืนยันว่าจะจ่ายค่าเสียหายให้เลยให้ข้อมูลติดต่อไว้ แล้วผมก็ได้ของฝากมาฟรี สร้อยข้อมือของไอ้ผิงที่สั่งผมไว้ อย่างน้อยก็ได้มาฟรีๆ

พี่ท็อปอาสาขี่ขากลับ ผมเป็นห่วงพี่ท็อปมากกว่า ท่าทางอิดโรยกว่าผมอีก

“ไม่ต้องหรอกพี่ เดี๋ยวหลับในขึ้นมาหรอก ผมไม่เป็นอะไร แข็งแรงฟิตปั๋งน่า” ผมบอก แต่โชคดีมากที่ทางอุทยานอาสาไปส่ง ส่วนรถให้คนขับตามไป ตอนแรกลังเลนิดหน่อยแต่แบบนี้มันปลอดภัยกว่า ในเมื่อเจ้าหน้าที่อาสาเองผมก็ไม่ปฏิเสธหรอก

บทเรียนจากทริปนี้คืออย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน เป็นบทเรียนที่คุ้มค่าทีเดียว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-10-2015 08:44:25
โอ๊ย คู่รักทางวิบาก ท็อป-สอง โอ๋เอ๋นะ มันผ่านไปแล้ว ดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก โดนยามอมสาวเท่านั้นเอง
ที่ผ่านมาถือว่าฟาดเคราะห์ หวังว่าจะราบรื่นเน้อหลังจากนี้ รอพี่ท็อปฟิตหุ่น อิอิ
ส่วนยิมผิงดูแลกันไปมา น่าอิจฉาเหมือนกันนะเพียงแต่ว่ายังขาดความชัดเจน เอ้า ยิม กล้าๆหน่อยจร้า

พี่ดีนแกดูหม่นหมองจังเนอะ   :mew1:
ขอบคุณคนเขียนจ้า
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 19-10-2015 08:48:14
ขนาดเป็นผู้ชายไปเที่ยวยังอันตรายเลยนะเนี่ย
ดีแล้วที่สองไม่เป็นอะไรมาก
สงสารพี่ดีนเหมือนกัน
อยากรู้ยิมผิง :z1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-10-2015 10:45:25
เฮ้ออออ โชคดีไปนะท็อป-สองที่ไม่เป็นอะไรมากแถมยังจับตัวคนร้ายและได้ของคืนอีกถือว่าฟาดเคราะห์แล้วกันนะหลังจากนี้จะได้มีความสุขกันมากๆ มาตอนนี้นี่แอบลุ้นคู่ผิงยิมมากอะตกลงสองคนนี้จะเอาไงกันแน่ เชียร์ให้ยิมจีบผิงจริงจังสักที ส่วนพี่ดีนคงหนีไม่พ้นเรื่องเฮียแกนแน่ๆอะจะคิดทำอะไรก็ตัดสินใจดีๆนะพี่ดีน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 19-10-2015 17:26:26
เอาตรงๆตอนนี้ แบบสนใจเรื่องของดีนมากเลย อยากรูที่สุดเพราะคู่อื่น มันก็นะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Primjai ที่ 19-10-2015 22:41:02
ชื่อเรื่องสะดุดตาสะดุดใจมาก  :hao7:
เข้ามาทันทีทันใด

สนุกมากอ่ะ อ่านกันตาแฉะเลยทีเดียว ถึงตอนที่ 5 อยู่ ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 19-10-2015 23:35:17
นั่นน ขนาดสองยังเริ่มจับได้เลยนะ
ไม่เนียนอะไม่เนียน แอบไปกุ๊กกิ๊กกันตอนไหน ยังไง หึหึ 555555555

แอบเห็นพี่ดีนโผล่มาแว้บๆ นี่เริ่มชอบเฮียแกขึ้นมา T__T
เป็นกำลังใจให้เฮียนะ :o8:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 19-10-2015 23:50:58
เซ้นท์สองแม่นเวอร์แต่นางดันไม่คิดไรนี่ดิ เกือบไปแล้วววววว

เราชอบที่สองคุยกับพี่ดีนนะ เหมือนจะเป็นแนวให้คิดตามไปในตัว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 20-10-2015 09:00:12
ใจหายแว่บ นึกว่าจะโดนหนักและ

ฟาดเคราะห์ไปนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 21-10-2015 23:15:24
 :เฮ้อ: นึกว่าสองจะเสร็จโจรสาวซะแล้ว ดีนะที่ พี่ท็อปอ๊วกแตกออกมาซะก่อน คุณลุงมาช่วยไว้ทัน
พี่ท็อปนี่ก็เล่นมุกสามีได้ทุกสถานการณ์เลยจริงๆ (ซึ่งเราชอบ  :hao7:) .....เร็วๆ นี้ สองไม่รอดแน่ๆ  :hao3:

สงสัยยิมจะโทรมาหาผิงเพื่อบอกว่า เอาข้าวเอาน้ำมาส่งให้แน่เลย แต่ผิงดันหลับซะนี่  เหมือนผิงจะเครียดมากๆ เลยนะ ยิมคงต้องชัดเจนกว่านี้

เรื่องพี่ดีนก็ยังน่าสงสัยอยู่ ไม่รู้ว่าพี่แกจะดึงสองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทำไม สนใจกันจริงๆ หรือให้เป็นแค่หมากตัวหนึ่ง  :hao4:



หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: kukkikkooka ที่ 27-10-2015 01:07:45
ยิมผิงเมื่อไหร่จะเปิดตัวววว คิคิ

สองนี่เจอแต่เรื่องเนอะ เอ้ออออ พี่ท็อปดูแลดีๆนะ

เฮียดีนนี่ต้องมีอะไรในใจแน่ๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 31-10-2015 14:31:48
ถือว่าฟาดเคราะห์ไปนะท็อปสอง หลังจากนี้หวังว่าจะมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึีนนะ รอให้พี่ท็อปกลับมาฟิตเหมือตเดิม สองจะได้มีผัวเป็นตัวเป็นตนซะที สองไม่เหมาะจะเป็นผัวหรอก เหมาะเป็นเมียมากกว่า
พี่ดีนแกคิดจะทำไรของแกนะ แต่ดูหม่นหมองจัง
รอเปิดตัวนะจ๊ะ ยิมผิง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 01-11-2015 19:29:58
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ สนุกแบบอารมณ์สีเทาดี
คู่เอกผ่านเรื่องร้ายมาแล้วกลับมาคืนดีกัน
พี่ท็อปน่ารัก สองก้อขี้อ้อนรักกันดี 555

คู่สองคงใกล้เปิดตัวแล้วมั้ง ผิงน่าจะคิดตกล่ะ
คู่สามเพื่อนแค้นขอให้แกนดีนได้กันที
สามสิบตอนสั้นไป ไหนๆมีสามคู่แล้ว
40ตอนอัพพลีส
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 09-11-2015 22:21:33
คิดถึงท็อปสอง ยิมผิงแล้วนะ รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Ladyliu_HJL ที่ 22-11-2015 19:34:11
โอยยยย
แต่เริ่มก่อเหตุก็แซ่บแล้ว
ขอไปแซ่าบต่อก่อนนะคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 24-11-2015 01:47:59
เพิ่งมาอ่าน สนุกดีนะคะ ขอตามก่อน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 10-12-2015 17:14:28
 :sad11:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 13-12-2015 22:24:32
เข้ามารออยู่นะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%} #19.10.58 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 21-12-2015 16:34:46
 :mew2: มาต่อเถอะค่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 19 พิรุธของผิงกับเรื่องพี่ดีน
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 23-12-2015 19:03:41
ตอนที่ 19 พิรุธของผิงกับเรื่องของพี่ดีน

หลังจากกลับมาจากทริปได้หนึ่งอาทิตย์ เรื่องคดีตำรวจจับเด็กอีกสองคนได้แล้ว ส่วนของกลางที่เอาไปยังอยู่ครบ ผมปล่อยให้ทนายจัดการแทนเพราะไม่อยากใจอ่อนกับบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กพวกนั้นเท่าไหร่ ผมไม่ได้เล่าให้คนอื่นฟังเพราะกลัวเสียชื่อ จะรู้ก็แค่เพื่อนสนิทอย่างไอ้ผิงไอ้โก๋แค่นั้น ดีนะที่มันรู้กาลเทศะไม่แซวหรือปากหมาใส่ตอนนี้ชีวิตกลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม พี่ท็อปวุ่นอยู่กับการทำวิจัยให้ทันกำหนดส่ง ประมาณเดือนครึ่งคงไม่เห็นหน้าเห็นตาพี่ท็อปสักระยะ ไหนจะต้องไปเก็บข้อมูลลงพื้นที่อีก ส่วนผมก็ทำงานชิ้นใหญ่อีกหนึ่งชิ้นเพื่อส่งมิดเทอม งานช้างอีกแล้ว

“อะ ของที่มึงสั่ง” ผมโยนถุงสร้อยข้อมือไปให้ไอ้ผิงที่นั่งเย็บกระเป๋าจากผ้าบาติก ไม่ต้องแปลกใจหากว่าผู้ชายเฉกเช่นพวกผมเย็บปักถักร้อยเป็น เพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของศิลปประยุกต์อีกแขนงหนึ่ง แต่ผมไม่นิยมเอามาใส่ในงานเท่าไหร่ แต่ไอ้ผิงมันครีเอทแบบไทยๆ มันเรียนวิชาเลือกลายไทย ทำให้งานของมันต้องมีลวดลายหยึกๆ หยักๆ แบบไทยอยู่เสมอ หลายใจจริงๆ ไม่เลือกไปสักทางหนึ่ง จะพู่กันจีนหรือจะลายไทยกันแน่ สงสัยที่ไอ้โก๋บอกว่ามันสับสนในชีวิตคงจะจริง

“โห กว่าจะได้ต้องให้ทวง” ไอ้ผิงเงยหน้าจากงาน ผมลากเก้าอี้มานั่งที่บล็อกของมัน บล็อกอย่างกับรังหนู

“ของฟรีแท้ๆ ยังจะมาเร่งอีก แล้วนี่มึงรับหลายงานจังวะ เพลาๆ บางเหอะ เดี๋ยวทำงานหลักไม่ทันนะมึง”

“แล้วไง มีมึงทั้งคนนะเว้ย ช่วยกูเหมือนที่กูช่วยมึงไง กูกำลังลำเลิกบุญคุณกับมึงอยู่นะ” ไอ้ผิงหัวเราะหึๆ ผมพยักหน้ามองมันอย่างใคร่ครวญ จนมันหยุดทำงานเงยหน้ามองผมตาปริบๆ แล้วจ้องกลับ

“มีอะไรวะ กูหล่อขนาดที่ว่ามองตาค้างเลยเรอะ” ไอ้ผิงหัวเราะ

“หึหึ มึงสับสนอะไรในชีวิตเหรอวะ ไอ้โก๋บอกกู กูก็ว่าพักนี้มึงทำตัวประหลาดขึ้นทุกที มีอะไรวะ บอกกูได้นะเว้ย กูกับมึงมีความลับต่อกันเหรอวะ กูบอกมึงทุกเรื่องนะเว้ย” ผมบอกมัน ที่จริงเป็นห่วงมัน มันหมกมุ่นอยู่กับงานมากเกินไป รับงานเยอะจนแทบไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหนกับเพื่อนฝูงไอ้ผิงถอนหายใจส่ายหน้า

“รอให้แน่ใจก่อนแล้วกัน มึงคงช็อกอะ” ไอ้ผิงทำตาอิดโรยเหมือนคนอดนอนมาให้

“เรื่องอะไรกันแน่วะ เรื่องงานเหรอ ให้กูช่วยสักงานเหอะ มึงมีร่างเดียวนะเว้ย ถ้าเกิดชนกันมึงจะทำยังไง เดี๋ยวงานเอกเดี๋ยวงานคณะ ไหนจะงานนอกอีก” ผมตบๆ ไหล่มันอย่างเป็นห่วง ไอ้ผิงถอนหายใจ

“อืม อาทิตย์นี้จะเคลียร์งานนอกเสร็จแล้ว กูอยากนอนว่ะ สองวันมานี้กูไม่ได้หลับเลยนะเว้ย ง่วงจะตายห่า กูต้องตายแน่ๆ เลยมึง” ไอ้ผิงโอดครวญแบบโอเว่อร์ ทุกทีก็เห็นมันบอกว่าจะตายๆ หลายครั้งเป็นประจำ แต่ครั้งนี้ดูจากสภาพก็ใกล้ละ ผมส่ายหน้า

“เอามานี่เดี๋ยวกูทำเอง บอกมาว่าให้ทำอะไรต่อ มึงไปนอนเอาเรี่ยวเอาแรงก่อนเหอะ ตาจะปิดอยู่แล้วเดี๋ยวเข็มแทงมือหรอก” ผมแย่งงานมาจากมัน คงเป็นงานนอกแน่ๆ มันก็ไม่ขัดสนเรื่องเงินเลยสักนิดจะรับงานนอกมาเพิ่มภาระให้ตัวเองทำไม ไอ้ผิงหาวนอนก่อนจะบอกรายละเอียดงานให้ผมแล้วเดินเป็นซอมบี้ไปนอนท้ายห้อง

ผมส่ายหน้าก่อนจะนั่งเย็บกระเป๋าให้มัน อย่างกับพวกป้าๆ ทำงานเลยแฮะ สินค้าโอท็อปอะไรเทือกๆ นั้น ผมโทรหาไอ้โก๋ต้องเกณฑ์มันมาอีกคน ไอ้นี่ก็หายหัวตลอดที่จริงผมสงสัยมันนิดหน่อยว่ามันปิดบังอะไรผมหรือเปล่า แต่ไม่อยากตามสืบเพราะมันคงอยากเก็บไว้เงียบๆ

ตืด ตืด ตืด

“ผิง มีคนโทรมาเว้ย” ผมตะโกนบอกมันแต่มันหลับเป็นตายเลย ผมหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ามันมาดูก็ต้องแปลกใจเพราะเป็นเบอร์ ไอ้ยิม สองคนนี้ไปสนิทกันตอนไหนนะ...ผมไม่อยากยุ่งอะไรมากเลยไม่ได้รับสาย มันอาจตกใจถ้าผมรับสายแทนไอ้ผิง แต่คิดไปคิดมามันอาจจะโทรมาเฉยๆ ก็ได้ ไอ้ยิมไม่ได้โทรมาอีกแต่ส่งข้อความมาแทน ต่อมเผือกเริ่มทำงานขึ้นมาทันที แต่จะเปิดดูก็ไม่ได้ไม่งั้นไอ้ผิงต้องรู้แน่ๆ ว่าผมเสือกเรื่องของมัน

ทำตัวมีความลับไปได้เพื่อนผม ผมเก็บโทรศัพท์มันใส่กระเป๋าตามเดิม แต่สายตาดันไปสะดุดกับชุดสีฝุ่นกับแท่งหมึกที่คุ้น
ตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ จริงๆ ก็ไม่แปลกเพราะไอ้ผิงมันถนัดพู่กันจีนอยู่แล้ว ผมหยิบสีขึ้นมาดูยี่ห้อ เหมือนของที่ไอ้โยให้ผมมาเลยแฮะ ของแท้ด้วยแฮะ

“ไอ้ผิง ไอ้ผิง ไอ้ยิม ไอ้ยิม” ผมพึมพำพลางคิดใคร่ครวญ เอาเป็นว่าผมจะไม่ยุ่งก็แล้วกัน แต่ไม่อยากคิดลึกแฮะเดี๋ยวเดาผิดแล้วจะเป็นราคีให้ไอ้ผิงมันไอ้โก๋กลับมาที่ห้องเพ้นท์พร้อมกับอุปกรณ์ทำงานของมัน มันบ่นไอ้ผิงไปตามเรื่องแต่ก็ช่วยทำงาน

“เฮ้อๆ เมื่อไหร่จะเรียนจบว้า เหนื่อยเว้ย อยากทำงานเร็วๆ ฮ่าๆ แต่กลัวตกงานว่ะ กูยังคิดว่ากูจบไปแล้วจะทำอะไรดี ทำงานที่ไหน” ไอ้โก๋พูดแล้วถอนหายใจ ถ้าไม่เทพจริงๆ หางานยากจริงๆ สายนี้ จริงๆ การเรียนจิตรกรรมมันเป็นเรื่องของใจรักมากกว่า ถึงเวลาแล้วค่อยคิดว่าจะทำอะไรต่อจากนี้

“กูจะไปซื้อกาแฟ มึงเอาอะไรไหมวะ” ผมถามมัน

“อืม ขออเมริกาโน่ให้กูสักแก้วแล้วกัน คงจะกระตุ้นได้บ้าง” ไอ้โก๋ขยี้ตาแล้วยื่นเงินมาให้ จากนั้นผมเดินไปที่ร้านพี่แยมเจ้าเดิมเจ้าประจำ คนแน่นร้านตามเคย ระหว่างที่จ่ายเงินรับกาแฟมาแล้ว ผมกำลังจะเดินกลับมีเสียงปริศนาร้องเรียก

 “พี่สองๆ หยุดก่อนๆ”เป็นรุ่นน้องในเอกที่เรียกผมไว้ก่อน

“มีอะไร”ผมถาม 

“เอ่อ พี่เป็นเพื่อนเฮียผิงใช่ป่ะ” มันถาม ไอ้ผิงเนี่ยป๊อปในหมู่รุ่นน้อง ใครๆ ก็เรียกมันเฮียๆ เพราะมันชอบเลี้ยงเหล้า แม้ว่าจะชอบของฟรีจากเพื่อนก็เถอะ แต่เรื่องเลี้ยงน้องๆ ในสายแล้วเนี่ยมันใจปล้ำพอดู ซึ่งต่างจากผม เผอิญน้องในสายมีหลายคนเลยหมดงบเยอะ จบปัญหาที่ท้องใครท้องมัน

“เออดิ ถามแปลก ก็เห็นอยู่ทุกวัน”

“งั้นฝากนี่ให้เฮียหน่อยดิ” มันยื่นถุงกล่องข้าวให้ผม มีขนมปังด้วย

“มาถึงขนาดนี้ทำไมไม่เอาไปให้มันเองเลยวะ...เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่าหลงเสน่ห์เพื่อนกู” ผมรับมาถือไว้ก่อนจะมองหน้าไอ้รุ่นน้องที่ส่ายหน้า

“ไม่ใช่ๆ มีคนฝากมาอีกทีนึงครับ”

“ใคร” ผมรีบถาม เด็กนั่นส่ายหน้า“ไม่รู้อะพี่ มีคนฝากมาให้ผมอีกที” อืม อะไรจะซับซ้อนแบบนี้กัน ผมพยักหน้าให้แล้วมันก็เดินขึ้นบันไดไป ผมมองถุงในมือ มีคนส่งข้าวส่งน้ำให้ไอ้ผิงด้วยแฮะ ใครเป็นท่อน้ำเลี้ยงมันวะ
แต่ในใจผมมีคำตอบอยู่แล้วนั่นแหละ แต่ไม่กล้าฟันธง เฮ้อ มาทำลับๆ ล่อๆ อีก ไม่ใจเลยว่ะ

ผมเดินกลับมาที่ห้องเพ้นท์แล้วเดินเอาอเมริกาโน่ไปให้ไอ้โก๋ ผมนี่เบ๊พวกมันดีๆ นี่เอง ไอ้โก๋เหลือบมองถุงในมือผม

“อะไรวะ เต็มไม้เต็มมือ ฮุ อิจฉาเว้ย กูไม่มีบ้างให้มันรู้ไป” มันบ่นงึมงำอยู่คนเดียว ผมหัวเราะเยาะมันก่อนจะเอาของที่พี่ท็อปให้วางที่โต๊ะของตัวเองแล้วเดินไปหาไอ้ผิงที่หลังห้อง มันหลับเป็นตายเชียว ผมปลุกมันสองสามครั้ง วันทั้งวันมันกินข้าวหรือยังก็ไม่รู้ ชีวิต...

“เฮ้ย ผิง มีคนเอาข้าวมาให้เว้ย เดี๋ยวนี้ฮอตเว้ยเพื่อนกู” ผมพูดปลุกสติมัน ไอ้ผิงลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วทำหน้าหมางง

“หือ มึงว่าไงนะ”

“ของมึง มีคนฝากมาให้” ผมวางถุงข้าวไปให้มัน ไอ้ผิงก้มมองทำหน้าประหลาดใจ

“ใครวะ” มันเลิกคิ้วถาม ผมส่ายหน้า

“ไม่รู้สิ บางทีอาจเป็นคนที่มึงรู้อยู่แล้วก็ได้” ผมพูดสังเกตท่าทางของมันไปด้วย ไอ้ผิงทำหน้าแปลกใจเหลือล้น ไอ้อาการแบบนี้มันหมายความว่าไง

"ไม่ได้บอกเหรอว่าใคร” มันยังถามผมอีกรอบ

“เออ...จากคนที่มึงรู้ว่าใคร คนที่เป็นห่วงมึงไงเลยส่งข้าวส่งขนมมาให้กลัวมึงอดตายไง ใครวะ มึงน่าจะมีชื่ออยู่ในใจนะเว้ย ใช่ไอ้...หรือเปล่าวะ” ผมลองแกล้งไอ้ผิงดู มันมองหน้าผมเหมือนผมไปจี้จุดมัน มันจ้องหน้าผม

“อะไร ไอ้อะไร” มันทำหน้ากวนตีนตามเดิม

“กลบเกลื่อนล่ะสิ มึงรู้ใช่ไหมว่าใคร” ผมหัวเราะ ได้ทีแซวมันบ้าง ผมโดนมาเยอะแล้ว ถึงคราวมันบ้าง ไอ้ผิงทำหน้าเหลอหลาไม่รู้เรื่อง

“ถ้ามึงรู้มึงพูดมาสิวะ”

“อยากให้กูพูดเหรอ”

“เอ้า แสดงว่าไม่รู้จริงนี่ว่า ไอ้เพื่อนช่างเสือก”

“ทีใครทีมัน มึงก็เสือกเรื่องกูนะได้ข่าว” ผมหัวเราะแล้วมองหน้ามันไปด้วย

“มึงอย่ามากวนกูได้ไหม ไปให้พ้นเลยไป” มันโบกมือไล่กลบเกลื่อน ไอ้ผิงนี่ดูออกง่ายกว่าที่คิด

“โอเคๆ เดี๋ยวเขินจนสำลักข้าวแล้วจะยุ่ง” ผมบอกแล้วลุกขึ้นยืน “เปิดตัวเมื่อไหร่บอกด้วยแล้วกัน จะฉลองให้” ผมยิ้มตบไหล่มันอย่างหวังดี มันทำหน้าบึ้ง

“เชี่ยสองมึงหุบปากไปเหอะเดี๋ยวกูขว้างด้วยรองเท้า” ไอ้ผิงบ่นหน้าบึ้งตึง ผมเดินผิวปากอารมณ์ดีหนีอารมณ์หงุดหงิดจากไอ้ผิงมานั่งที่ตัวเอง ส่งข้อความไปหาพี่ท็อปหน่อยดีกว่า


ไอ้โก๋สไลด์เก้าอี้มาหาผมที่โต๊ะ

“เออ เรื่องพี่ดีนเอาไงวะ มึงได้บอกเขาไปหรือยัง”

“ยัง ไม่เห็นแกมาหลายวันแล้วเหมือนกัน หายไปไหนวะ” ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ หลังจากกลับมาจากทริปผมเห็นพี่ดีนแค่ไม่กี่ครั้งเอง

“งานยุ่งหรือเปล่า ช่วงนี้ปีสี่ต้องทำศิลปนิพนธ์นี่ แต่ถ้าพี่แกไม่มายุ่งกับมึงก็ดีแล้ว” ไอ้โก๋พยักหน้าพูด ผมหมุนเก้าอี้ไปมา เรื่องพี่ดีนยังคงกวนใจผมอยู่ตลอด ถึงจะไม่ได้เจอก็เถอะ แต่กลัวว่าจะมาทิ้งระเบิดตูมใหญ่ใส่ผมน่ะสิ

“อือ เดี๋ยวนี้เฮียแกนเลิกชกมวยแล้วเหรอ” ผมหาเรื่องคุย

“เออ เห็นพี่จิวว่างั้นนะ ตั้งแต่ชกกับมึงไปเฮียแกก็ไม่กลับไปยิมอีกเลย คงเซ็งล่ะมั้ง” ไอ้โก๋ไหวไหล่
ระหว่างนั้นก็มีสายโทรเข้ามาขัดซะก่อน ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เป็นเบอร์แปลกโทรเข้ามา ผมมองอย่างชั่งใจจะรับหรือไม่รับ

“เบอร์ใครวะ พวกมึงคุ้นไหมวะ” ผมยื่นโทรศัพท์ให้มันดู ไอ้โก๋ ไอ้ผิงส่ายหน้า

“สวัสดีครับ ใครพูดอะ” ผมกดรับ สองคนมันเงียบก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้
[อ้าว มึงไม่มีเบอร์กูเหรอเนี่ย พี่ดีนเอง] ผมแปลกใจ แล้วเจ้าตัวเอาเบอร์ผมมาจากไหนกัน

“มีอะไรครับ”
[อยากเจอ ออกมาหาหน่อย]หืม สนิทกันขนาดนี้เชียว

“ทำไมล่ะพี่ มีอะไรหรือเปล่า”

[มีเรื่องคุย มาเจอหน่อยรออยู่บนดาดฟ้า] ผมเงียบก่อนจะกระซิบกับพวกมันสองคน มันส่ายหน้าดิก

[ไม่ทำอะไรหรอกน่า ฮ่าๆ มึงนี่คิดมากจัง] พี่ดีนหัวเราะมาให้ได้ยิน

“เฮ้อ โอเคๆ ไปก็ได้ ผมเองก็มีเรื่องจะคุยกับพี่เหมือนกัน” ผมบอก ปลายสายหัวเราะเบาๆ ก่อนจะวางสายไป อะไรของพี่ดีนวะ ผมเองก็จะเคลียร์ไปเลยแล้วกัน อยากถามว่าทำไมต้องมายุ่งกับผม รู้ทั้งรู้ว่าผมมีแฟนแล้ว

ผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสี่ เล่นเอาหอบกินเลย ก่อนจะขึ้นบันไดไปอีกไม่กี่ขั้นเพื่อไปยังดาดฟ้า ผมเห็นพี่ดีนยืนรออยู่ ข้างๆ กันมีกล่องสีน้ำตาลอ่อนๆ วางอยู่บนโต๊ะด้วย หากอากาศไม่ร้อนดาดฟ้าจึงเป็นสถานที่ยอดฮิตให้มาเซลฟี่กันเยอะ พี่ดีนยิ้มให้ผม ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงหวั่นไหวได้แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ไม่มีเลยสักนิด

“ไงพี่ นัดมาชั้นบนเชียว เหนื่อยนะเนี่ย” ผมหัวเราะแล้วเดินไปหาพี่ดีน

“สบายดีนะ ไม่ได้เจอหน้าหลายอาทิตย์เลย” พี่ดีนพูดยิ้มๆ ก่อนจะมองหน้าผมไปด้วย

“พี่มีอะไรก็พูดมาเลยครับ” ผมยิ้ม พี่ดีนมองไปด้านล่างเท้าแขนกับราวเหล็ก

“วันนั้นมึงโกรธกูเหรอ” พี่ดีนถาม คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอกัน

“อือ โกรธสิพี่ ผมไม่รู้ว่าพี่จะจริงจังหรือว่าเล่นๆ ถึงยังไงผมก็ไม่ชอบ พี่ก็รู้ดีอยู่แล้วแต่ไม่เข้าใจว่าพี่ต้องการอะไร” ผมพูดตรงๆ พี่ดีนหัวเราะเบาๆ

“ทำไมต้องคิดในแง่ร้ายขนาดนั้นด้วย กูอาจจะล้ำเส้นมึงไปตอนที่มึงอยู่กับแฟน แต่กูจะคุยกับมึงไม่ได้เลยเหรอไง”

“ถ้าพี่มีเจตนาดีผมไม่ว่าหรอก แต่บางครั้งดูเหมือนพี่แค่ต้องการป่วนใครสักคนหรืออะไรทำนองนี้ ผมเองก็ไม่รู้” ผมไหวไหล่แล้วมองไปรอบๆ ตัวเห็นทิวทัศน์ได้กว้าง

“ทำไมคิดแบบนั้นวะ กูอาจจะทำให้มึงคิดมากแต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายๆ หรอก โทษทีนะที่ทำให้คิดมาก กูเป็นแบบนี้แหละคิดน้อยเกินไป” พี่ดีนยิ้ม

“แล้วมีเรื่องอื่นอีกไหมครับที่อยากจะเคลียร์”ผมถาม อีกฝ่ายหันมองผมอย่างสงสัย

“กลับมาคบกับไอ้ท็อปแล้วเหรอ”ผมไหวไหล่ 

“ครับ...ผมมีแฟนแล้ว ถ้าพี่จะจีบก็หมดหวังตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้วล่ะ” ผมพูดตรงๆ แต่ผมไม่คิดว่าพี่ดีนจะเจ็บเพราะคำพูดของผมหรอกเพราะรู้ว่าพี่แกไม่จริงจัง

“คิดว่าแบบนั้นเหรอ”

“หมายความว่าไงพี่”

“ถ้าไม่จีบแสดงว่าคุยได้งั้นสิ” พี่ดีนมองหน้าผมนิ่งๆ ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าพี่ดีนทำแบบนี้ทำไม ปั่นหัวผมหรือปั่นหัวใครกันแน่

“ถ้าพี่มีเจตนาไม่ดีผมก็ไม่คุยกับพี่แน่ พี่อย่าเห็นว่ามันเป็นเรื่องสนุก ผมไม่ชอบ ถ้าจะมาเล่นกับความรู้สึกของใคร” ผมจ้องหน้าพี่ดีน ใบหน้านั้นแค่มีรอยยิ้ม ...แต่เป็นรอยยิ้มหลอกๆ แววตาที่มองมาผมเดาไม่ออก คล้ายๆ กับพี่ท็อปเมื่อก่อนที่ต้องการปั่นหัวผม

“ดูเหมือนว่ามึงจะมองกูในแง่ร้ายไปแล้ว”

“ก็พี่--”

“ไม่ต้องพูดหรอก เอาเป็นว่ากูไม่ได้หวังอะไรจากมึงหรอก มึงคิดมากเกินไปแล้วว่ะสอง” พี่ดีนมองหน้าผมเหมือนผิดหวัง ผมไม่เข้าใจพี่ดีนเลยสักนิด ตกลงจะมาดีหรือมาร้าย

“ไม่รู้สิ ผมแค่...ไม่ชอบคนที่ใส่หน้ากาก มันไม่จริงใจ”

“อือฮึ ...ดูเหมือนกูทำให้มึงคิดมากนะ ช่างเถอะ...” พี่ดีนนิ่วหน้าก้มมองเท้าตัวเอง

"ถ้าพี่ไม่ล้ำเส้นผม ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก” ผมบอก อย่างน้อยผมก็พูดในสิ่งที่อยากพูดไปแล้ว หวังว่าพี่ดีนจะเก็บเอาไปคิดแล้วเลิกเล่นเกมปั่นหัวคนอื่นเสียที

“โอเคๆ กูรู้น่า” พี่ดีนยิ้ม ผมมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจแรงๆ

“พี่เลือกได้ว่าอยากให้ผมปฏิบัติแบบไหนต่อพี่ มันขึ้นอยู่ที่ตัวพี่เองทั้งนั้นแหละ ถ้าพี่มาดีผมก็ดีตอบ แต่ถ้าพี่มาร้ายผมจะเกลียดพี่” ผมพูดนิ่งๆ ผมจะไม่ร้ายตอบหรอก ไม่อยากเข้าไปยุ่ง ปล่อยให้บ้าอยู่คนเดียว

“ฮ่าๆ เออน่า คิดแง่ร้ายจริงๆ มองโลกในแง่บวกบ้างสิ บางทีถ้าอคติมันบังตา อาจพลาดอะไรดีๆ ไปก็ได้ ถึงกูจะพูดแบบนี้ก็เถอะแต่มันทำยากนะว่าไหม” พี่ดีนยิ้มแล้วหันไปมองด้านล่างแทน

“งั้น... ผมไปนะ” ผมบอกแล้วเดินจากพี่ดีนมา

“สอง” พี่ดีนเรียกผมไว้ก่อนที่จะเดินลงบันได ไม่รู้ว่าพี่แกรอจังหวะอยู่หรือยังไง ผมหันไปมองคนเรียก

“ว่าไงครับ”

“มึงเป็นคนดีกว่าคิดนะ คนเราเปลี่ยนกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอวะ หรือมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้มึงต้องเปลี่ยนสินะ อาจจะรวมถึงใจมึงเองด้วย” พี่ดีนพูดก่อนจะเงียบไป ผมมองพี่ดีนอย่างใคร่ครวญ เป็นคนที่พูดจาแปลกๆ ตั้งแต่เจอกันที่ค่ายแล้วจริงๆ เหมือนจะพูดกับผมอยู่ แต่จริงๆ อาจหมายถึงสิ่งอื่น แต่ที่พี่ดีนพูดมาก็น่าสนใจดี เราตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครเพราะใจเราเองหรือว่าเป็นเพราะมีสิ่งกระตุ้นให้เปลี่ยน

"ผมว่ามันไม่ต่างอะไรกันหรอก เพราะยังไงก็มีเป้าหมายเหมือนๆ กันคืออยากเปลี่ยนเพื่อใครสักคน ใช่ไหมพี่...คนเราจะเปลี่ยนกันไม่ได้ง่ายๆ หรอก ยกเว้นแต่ถ้ามีเป้าหมายเป็นใครสักคนที่มีแรงกระตุ้นพอให้เราต้องเปลี่ยน...” ผมพูดแล้วถอนหายใจ“ก็คงประมาณนี้ล่ะมั้งพี่...” ผมยิ้มก่อนจะเดินลงบันได

สำหรับผมจริงๆ แล้วคนเราจะเปลี่ยนไปได้นั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ใจเราเอง มันต้องมีฉนวนอะไรสักอย่างก่อให้ใจเราเปลี่ยนไป เหตุการณ์บางอย่างงั้นหรือ... จริงๆ แล้ว ผมอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครสักคนต่างหาก เพราะผมมีคนที่ทำให้ตัวผมอยากจะเปลี่ยนแปลง

‘ใครสักคน’ ที่มีอิทธิพลต่อเราขนาดนั้น
แล้วสำหรับพี่ดีนล่ะ มีใครคนหนึ่งที่ทำให้พี่ดีนเปลี่ยนแปลงตัวเองงั้นหรือ...
หรือว่าแค่กำลังสับสนว่าจริงๆ แล้วตัวเองเปลี่ยนไปเพราะอะไร? บางทีมันก็เป็นคำตอบไม่ตายตัว ขึ้นอยู่ที่ใครจะตีความแบบไหน เพราะนิยามความรักของแต่ละคนมันคงไม่เหมือนกัน

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 3
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 23-12-2015 19:11:28
-ผิง-
ตอนที่ 3 ลองเปิดใจ
ผมนัดมันไปแล้วก็หมายความว่าผมพร้อมจะเผชิญกับความจริงแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ถ้าไม่เริ่มวันนี้จะไปเริ่มเอาตอนไหน เมื่อได้เวลานัดผมเก็บข้าวของแวะซื้อขนมปังให้ปลามาสองถุงใหญ่ คิดว่าน่าจะคุยกันยาว ในยามเย็นเป็นปกติธรรมดาที่จะมีนิสิตมาเดินเล่นที่อ่างเก็บน้ำไม่ก็วิ่งออกกำลังกายกันเป็นประจำ ผมหาที่จอดรถได้แล้วก็ลงเดินแทน
“เฮ้ย” ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ไอ้ยิมมันก็โผล่มาดักหน้าพร้อมกับส่งเสียงที่เหมือนจะมาหาเรื่องยังไงอย่างงั้น
“เชี่ย ตกใจหมด” ผมทำท่าจะต่อยมัน อีกฝ่ายแค่กระตุกยิ้มนิดๆ ให้ตาย ผมลืมเรื่องที่มันมาคุยกับมันไปแล้ว พอเจอหน้ามันทุกคำพูดเหมือนถูกกดปุ่ม play อีกครั้ง แต่ดูท่าทางเหมือนมันจะทำเป็นลืม
“ขวัญอ่อน... ไปหาที่นั่งคุยกัน” มันสะกิดแขนผมเบาๆ 
“ที่จริงไม่ได้อยากมานะเว้ย แค่อยากมาจบเรื่อง” ผมบอกมันเดี๋ยวมันจะหาว่าผมอยากมาให้อาหารปลายามเย็นกับมัน
“รู้” ไอ้ยิมตอบมาสั้นๆ ตามปกติ มันเดินนำหน้า เดินมาห่างจากลานจอดรถไม่ไกลมากนัก จากนั้นก็หาทำเลดีๆ แล้วกวักมือให้ผมตามไป
ช่วงห้านาทีแรกยังไม่มีใครเปิดปากพูด ผมแค่โยนขนมปังลงในน้ำมองดูปลาเข้ามารุมตอมขนมปังเสียงดังตูมตาม ไอ้ยิมนั่งเงียบๆ มองปลาในน้ำ ผมเป็นคนชวนมานี่นะ ก็ควรจะเป็นคนเกริ่นนำก่อน แต่ติดที่ว่าไม่รู้จะพูดอะไร
“ที่มึงพูดกับกูคืนนั้น... มึงอาจเสียเพื่อนไปเลยก็ได้นะ” ผมไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างผมกับมันอึดอัดมากไปกว่านี้เลยพูดถึงเรื่องคืนนั้นซะเลย ไอ้ยิมพยักหน้าเข้าใจแต่นิ่งเงียบไปอีกรอบ มันนั่งโยนลูกหินไปมาดังก๊อกแก๊ก
“...ก็แค่อาจ” มันหันมามองหน้าผมผ่านกรอบแว่นสีฟ้าคู่ใจ
“หึ...” ผมไม่ได้พูดอะไร
“แล้วคิดเรื่องนี้บ้างไหม” มันถามคาดคั้นคำตอบ
“ถามมาได้ กูหัวจะระเบิดแล้ว คือมึงกับกูก็เป็นเพื่อนกันปกติไม่ได้มีอะไรพิเศษ” ผมเลิกสนใจปลาในอ่างเก็บน้ำแล้วหันหน้าไปเผชิญหน้ากันตรงๆ ไอ้ยิมจะได้ไม่ต้องหลบหน้าหลบตาผมเวลาพูด
“มันก็ใช่... แต่แค่อยู่ๆ มันรู้สึกพิเศษขึ้นมา” มันหัวเราะเบาๆ อย่างไม่มีอารมณ์ร่วมด้วย
“มึงบ้าหรือเปล่าวะ” ผมหัวเราะตามเพราะเหตุผลของมันออกจะไร้ซึ่งเหตุผลจริงๆ
“กูคงบ้าจริงๆ นั่นแหละ” มันดันรับมุกอีก
“มึงรู้สึกยังไงกับกูกันแน่วะ” ผมถามตรงๆ อยากได้ความชัดเจนแม้ในใจจะกระดากแค่ไหนก็ตาม ไอ้ยิมมันเงียบก่อนจะลังเลอะไรสักอย่าง “...ไม่พูดกูก็ไม่รู้” ผมพูดต่อ ดูเหมือนผมต้องการคำตอบมากเหลือเกิน มาคาดคั้นแบบนี้
“ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าชอบหรือได้ไหมแต่มันรู้สึกดีตอนที่มึงอยู่กับกู กูแค่อยากเริ่มต้นใหม่ก็เท่านั้น” มันเม้มปากเหมือนไม่มั่นใจเท่าไหร่
“อืม กูเข้าใจ”
“แล้วมันจะเป็นไปได้ไหม” อีกฝ่ายมองผมด้วยสายตาเหมือนคาดหวังเล็กๆ ผมไม่อยากโกหกตัวเองหรอกนะว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับมัน
“ไม่รู้...”ผมตอบ 
“แค่ทำเหมือนเดิมก็ได้ เป็นเพื่อนกันไปก่อน” ไอ้ยิมพูดต่อเหมือนกลัวว่าผมจะไม่รับฟังมันอีก จะว่าไปมันเจียมตัวดีนะ มักน้อยจริงๆ แค่เพื่อน อะไรจะมาดพระรองปานนี้ ถึงว่าไม่ชนะใจไอ้สองเพราะขาดความเร้าใจไปหน่อย
“อือ แล้วถ้ามันได้แค่เพื่อนล่ะ มึงจะยอมรับความผิดหวังไหม” ผมเลยถามมันกลับ
“ถ้าเป็นแบบนั้นกูคงต้องยอมรับ” มันทำหน้าขรึมเพื่อปกปิดอาการช้ำใจแน่นอนถ้าให้ผมเดา เฮ้อ มันก็เป็นซะแบบนี้ ทำตัวเป็นคนดี นี่ผมไม่ได้ปฏิเสธมันซะหน่อยทำท่ายอมแพ้ซะแล้ว
“ไม่ใจเลยว่ะมึง” ผมส่ายหน้า
“อะไรนะ” มันทำท่ามึน
“กูแค่พูดเฉยๆ...”
“ก็มึงไม่ได้รู้สึกแบบนั้น” มันถอนหายใจ
“ตอนมึงป่วยกูเป็นห่วงมึง กูกังวลเรื่องของมึงมาตลอด อาจเป็นเพราะกูกลัวว่าสักวันกูจะเปลี่ยนไป... กูเป็นผู้ชายนะเว้ย ทำไมถึงมาเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่มึงไม่ได้มาทำอะไรพิเศษแปลกๆ ใส่กู” ผมขยายความให้มันได้เข้าใจความคิดผมบ้าง
“แล้วไง...”
“มันทำใจลำบากเหมือนกันนะ มึงกับกูออกจะกัดกันบ่อยๆ ด้วยซ้ำ” ผมหัวเราะไปด้วย พอนึกถึงช่วงก่อนๆ ผมกับมันไม่ค่อยมีช่วงเวลาที่พูดคุยกันดีๆ ตอนไปค่ายก็ทำตัวปกติ บางทีเป็นผมซะเองที่ชอบไปล้อเลียนมันอยู่เรื่อย แต่ก็นะ ไอ้ยิมมันน่าแกล้งดีนี่หว่า หนุ่มแว่น
“กูรู้ แต่มึงก็ปฏิเสธไม่ได้ไม่ใช่เหรอว่ามึงเองก็แคร์กู” มันหลุดยิ้มออกมาที่มุมปากเจือหัวเราะเบาๆ ดูเหมือนมันจะดึงความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง
“กล้าพูดนะมึง”ผมหัวเราะออกมา
“แล้วไม่ใช่หรือไง” ไอ้ยิมหุบยิ้มสบตากับผมตรงๆ ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้องเท่าไหร่ มันโหวงๆ แต่ถ้าผมหลบตาแสดงว่าผมโคตรอ่อน
“ตกลงมึงจะเอายังไงกับกูกันแน่เนี่ย ขอความชัดเจนหน่อยดิ” ผมเลยบ่ายเบี่ยงมาที่เรื่องนี้แทน ไอ้ยิมทำนิ่งมองมาที่ผมเหมือนกำลังพิจารณาอะไรสักอย่าง
“ไม่ขอเป็นแฟนหรอก แต่ขอให้เปิดใจให้ก็พอ แล้วทำตัวเหมือนเดิมแบบที่เคยเป็น” มันพูด
“มันจะโอเคเหรอวะ...” ผมไม่แน่ใจ ผมกับมันต่างกันมาก ทั้งเรื่องนิสัยและความชอบ ดูจะไม่ลงตัวกันเท่าไหร่
“จะไปรู้เหรอ” มันตอบมาสั้นๆ ได้ชวนให้ผมถีบขาคู่มาก แล้วมาทำเรียกร้องความสนใจ
“เอ้า มึงนี่ ขอหลักประกันอะไรบ้างสิวะ”
“อะไร ก็ไหนว่ารักสนุกไงวะ มึงพูดเองว่าไม่ต้องคิดอะไรมากแค่มีความสุขวันๆ” ไอ้ยิมนี่มันร้ายลึกนะ เลือกใช้คำพูดเก่าๆ ของผมมาต่อล้อต่อเถียง มันยิ้มแสดงความเจ้าเล่ห์ออกมาครู่นึงแล้วทำมาดนิ่งตามเดิม
“กูพูดแบบนั้นเหรอ ไม่ใช่เว้ย”
“ประมาณนั้น...” มันย้ำเสียงจริงจัง
“มึงลืมไอ้สองได้แล้วเหรอวะ” ผมมองตาไอ้ยิมผ่านกระจกแว่นถึงจะเดาใจไม่ออกก็เถอะ
“เออ ทำใจได้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะคิดเรื่องมึงทำไมให้เสียเวลา” ไม่วายมากัดผมอีก สงสัยเรื่องของผมคงทำให้มันเสียเวลาไปไม่ใช่น้อย
“อ๋อ หวั่นไหวล่ะซี่ ตอนกูดูแลมึงน่ะเหรอ” ผมได้โอกาสล้อมันซะหน่อย ไอ้ยิมแค่ไหวไหล่ไม่สนใจเพื่อกลบเกลื่อนข้อเท็จจริงนี้ มันขยับมาใกล้ๆ แล้วพูดเสียงดังชัดเจน
“มึงเป็นคนดี” ผมไม่คิดว่ามันจะพูดแบบนี้เลยรู้สึกแปลกๆ แฮะเวลามีคนชมว่าเป็นคนดี
“...กูรู้ตัวน่า กูเป็นคนแบบนั้นแหละ” ผมเลยยกยอตัวเองซะหน่อย มีคนการันตีมาแล้วนี่ ไอ้ยิมทำเสียงหึๆ
“แล้วเป็นยังไงบ้างเรื่องงาน ได้พักหรือยัง” มันถามผมเรื่องสารทุกข์สุกดิบ ผมไหวไหล่
“ก็ดี เงินไม่มีเหมือนเดิม ทำไม จะให้กูยืมเงินไหมล่ะ” ผมสะกิดแขนมัน มันเป็นพวกมีเงินนี่
“...พูดจริงเหรอ” มันดูแปลกใจก่อนจะถามด้วยท่าทีนิ่งๆ
“เออสิ ไม่มีเงินซื้อของแล้วด้วย” ผมแกล้งพูดไปแบบนั้นเอง แต่จริงๆ ก็กำลังกระเป๋าแฟบอยู่นั่นแหละ ถ้ามันให้ยืมผมก็เอา
หน้าด้านจริงๆ
“เดี๋ยวกูส่งข้าวส่งน้ำให้” มันว่าอย่างนั้น ผมหันไปมองหน้ามันคิดว่าพูดเล่นแต่เมื่อเห็นสายตาของมันแล้วผมก็เปลี่ยนความคิด
“จริงดิ”
“เออ กูเลี้ยงข้าวเอง” ไอ้ยิมยืนยันคำเดิม ผมเลยกลั้นขำ
“ที่จริงข้าวน่ะมีกิน แดกกับเพื่อนได้ แต่ต้องการเงินมากกว่า” ผมลอบมองสังเกตมันไปด้วย
“เอาจริงเหรอ” มันทำหน้าซีเรียสเลิกคิ้วขึ้นสูง แววตาผ่านกรอบแว่นนั่นดูไม่ประสีประสาจริงๆ เลย ถ้าผมหลอกเอาเงินมันคงไม่ยากแน่ๆ
“ล้อเล่นเว้ย ไม่อย่างนั้นกูจะมีพ่อแม่ไว้ทำไมกัน” ผมหัวเราะ ไอ้ยิมทำหน้าบึ้งขึ้นมาแทน
“นึกว่าพูดจริง” มันหัวเราะเบาๆ เหมือนเก้อเขินขึ้นมา
“กูควรบอกเรื่องนี้กับไอ้สองดีไหม” ผมเปลี่ยนเรื่อง นึกถึงเพื่อนสนิทอย่างไอ้สอง ไม่อยากให้มันรู้เป็นคนสุดท้ายเดี๋ยวมันงอน เพราะมันเองก็บอกผมได้ทุกเรื่อง
“แล้วแต่มึง ยังไงมันก็คงไม่แปลกใจเท่าไหร่” ไอ้ยิมพูดถูก มันคงจะจุดพุฉลองเสียมากกว่า
“คงงั้น” ผมถอนหายใจ คนอย่างไอ้สองมันต้องรู้อะไรบ้างนั่นแหละ จมูกมันดีจับกลิ่นเรื่องพวกนี้ได้เร็วจะตายไป ผมแค่ไม่อยากโดนมันล้อมากกว่า
“ที่กูตัดสินใจบอกกับมึงเพราะว่ากูไม่อยากให้เวลามันผ่านไปเปล่าๆ อีกไม่นานกูต้องไปฝึกงาน เรียนจบ หางานทำ คงไม่มีเวลาทำสิ่งที่อยากทำมาก” มันพูดเหมือนอายุมากกว่าผมสักสิบปี
“พูดเหมือนว่ามึงจะไปฝึกงานนอกโลก ยังไงก็มีเวลาเจอกันอยู่แล้ว”
“ก็ไม่แน่ ป๊ากูอยากให้ไปดูงานที่ฮ่องกงไม่ก็เกาลูน” มันพูดช้าๆ เหลือบมองหน้าผมไปด้วย
“จริงดิ...” ผมใจหาย ถ้ามันไปจริงๆ ผมคงเหงา อีกอย่างมันจะทิ้งกันไปง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน มาทำให้คิดมากแล้วจากไปอย่างนี้เนี่ยนะ
“แต่ยังไม่แน่ใจ กูอาจหาข้ออ้างดีๆ ปฏิเสธไป” ไอ้ยิมพูดเบาๆ เหมือนไม่มั่นใจว่าจะทำแบบนั้นได้ไหม ผมเบ้ปากและไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยหันมาฉีกขนมปังโยนให้ปลาไปเรื่อยๆ “แล้วมึงล่ะ วางแผนอนาคตไว้ยังไง” มันหันเข้าโหมดจริงจังอีกรอบ ทำตัวเป็นผู้ปกครองเลยแฮะ
“คงเรื่อยๆ หางานทำที่นี่แหละ ร้านพ่อกูอยู่ที่นี่ด้วย ไม่อยากอยู่ไกลบ้าน” ผมบอก ซึ่งจริงๆ แล้วผมยังไม่ได้คิดเรื่องอนาคตแบบจริงๆ จังๆ ถ้าหากว่าเรียนจบผมอาจไปหาแรงบันดาลใจที่ไหนสักแห่งแบ็กแพ็กไปเที่ยวเรื่อยๆ แต่ในเมื่อผมเองก็มีกิจการของพ่อที่ต้องสานต่อ คงจะทำตามใจตัวเองไม่ได้
“ก็ยังดี กูจะได้แวะไปหาที่ร้านไง”
“เฮอะ ทำให้ได้อย่างที่ปากพูดเหอะว่ะ” กลัวมันจะดีแต่ปากแล้วหายต๋อมไปเลย เพราะมันเป็นคนจริงจังกับเรื่องงานจะตาย
“ใครจะไปรู้” ไอ้ยิมหันมายิ้มให้ผม ปกติเป็นไอ้เสือยิ้มยากพอมาเห็นมันยิ้มแบบนี้แล้วไม่ชินสายตาจริงๆ เลย
สรุปก็ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ยิมจึงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เราไม่ได้ขีดเส้นกั้นว่าต้องหยุดอยู่ตรงไหน ผมยังเป็นผม ไอ้ผิงคนเดิมแค่เริ่มความสัมพันธ์ใหม่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องหวานแว่วแต๋วแตก ถึงแม้ว่าผมจะมองไอ้ยิมต่างจากที่เคยเป็น อย่างน้อยก็เห็นขอดีของมันเพิ่มขึ้นมาบ้าง

หลังจากที่ได้เปิดใจคุยกันที่อ่างเก็บน้ำ ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมากจากที่รู้สึกเหมือนแบกของหนักไว้บนบ่ากลายเป็นเบาหวิว ไอ้ยิมมันพูดเยอะขึ้นบ้าง ไม่ได้ปล่อยให้ผมพล่ามอยู่ฝ่ายเดียว
“ไปเที่ยวกันไหม” อยู่ดีๆ มันก็ถามผมขึ้นมา
“อะไรนะ” ผมแปลกใจมาก ปกติชวนผมไปแค่หน้าปากซอยเท่านั้นเอง
“ไปเที่ยวกันไง หน้าหนาวแล้วนี่” มันพูด ผมขอเวลาคิดเพราะมีงานต้องส่งอีก
“...ที่ไหน” ผมถามอย่างสนใจ
“ไม่อยากไปที่คนแออัด เชียงใหม่ตัดทิ้งไปได้เลย...ไปแม่สอดไหม”
“แม่สอด...อืม ไม่เคยไปเลยว่ะ จะพากูไปส่องสาวพม่าเหรอ” ผมพูดแซวมันเล่น แต่พอเจอหน้ามันแล้วต้องหุบยิ้ม
“ตอบดีๆ” มันว่า
“เออ ดูก่อนว่าติดงานไหม” ผมบอก
“ไปช่วงเสาร์-อาทิตย์เอง” ไอ้ยิมมันเป็นคนช่างตื้อ ถ้าไม่ได้คำตอบมันจะคาดคั้นอยู่แบบนี้ สรุปผมต้องหาเวลาให้มันสินะ ผมเปิดเช็คตารางงานเพราะผมรับงานคณะกับงานนอกด้วยมันเลยกองสุ่มกันเป็นดินพอกหางหมู
“อาทิตย์หน้าดีไหม กูว่างแค่นั้น” ผมบอกมันไป ไอ้ยิมทำเสียงฮึมฮัม
“ทำไมมึงงานเยอะจัง” มันถามอย่างสงสัย
“อ๋อ กูรับจ๊อบพิเศษด้วยน่ะ” ผมบอก ไอ้ยิมมองหน้าผมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจ่อหน้าผมซะระยะประชิดใกล้ลูกตาเชียว มันพยักพเยิดให้ผมดูที่หน้าจอ ผมเพ่งมองปฏิทินบนโทรศัพท์ที่มีดาวติดไว้ในวันที่ 1 มกราคมว่า My birthday
“...วันเกิดมึง โห ตั้งปีหน้าเนี่ยนะ” ผมหลุดขำ
“เออ จำไว้ให้ดี ถึงจะอีกนานก็เถอะเผื่อมึงจะได้เตรียมการแต่เนิ่นๆ ไง” มันทำหน้าบึ้งเวลาที่ผมหัวเราะมัน เพราะมันจริงจังมากกับเรื่องที่มันพูด
“กูต้องหาของขวัญให้มึงใช่ไหม หึๆ มึงนี่ตลกดีว่ะ” ผมหัวเราะ สงสัยกลัวผมลืมหรือไม่ก็ไม่รู้ว่าวันเกิดมันคือวันไหน
“เปล่า แค่อยากให้จำ” ไอ้ยิมขมวดคิ้วแน่นเก็บโทรศัพท์ก่อนจะเงียบกริบ
“เออๆ ไม่ลืมหรอกน่า ทำตัวเป็นเด็กน้อยไปได้นะมึง” ผมรีบพูด ข้อเสียของมันคือขี้น้อยใจไปหน่อยและยังคิดมากอีกด้วย พี่แว่นกู
“แล้วก็อย่าลืมเตรียมตัวไปแม่สอดกัน เดี๋ยวกูจ่ายทั้งทริปเอง” มันทำตัวเป็นป๋าใจป้ำ ผมยกนิ้วให้มัน
“โอเค”
ไปเที่ยวพักผ่อนช่วงหน้าหนาวแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ผ่อนคลายสมองรับลมหนาวหน่อย อย่างน้อยจะได้มีช่วงเวลาดีๆ กับเขาบ้าง... กับไอ้ยิม
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%ที่เหลือ} #23.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-12-2015 20:16:35
คิดถึงค่ะ.  :กอด1:   ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
ยิมกับผิงกำลังจะก้าวไปอีกขั้น ของพี่ดีนเองก็ยังต้องค้นหาต่อไป

สองกับท้อปขอหวานๆเลยค่ะชอบมาก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%ที่เหลือ} #23.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 23-12-2015 22:35:08
พี่ดีนนี่น่าสงสารเหมือนกันนะเนี่ย :hao5:
ผิงยิมค่อยๆๆรักกันเบาเบา
ท็อปสองหวานกันตลอด
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%ที่เหลือ} #23.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 23-12-2015 23:26:48
ยิมผิง จะเป็นไงต่อ รอลุ้น
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%ที่เหลือ} #23.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 24-12-2015 00:22:41
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%ที่เหลือ} #23.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 24-12-2015 07:44:57
โหยยย พี่ยิมนี่พอตัดใจได้ก็รุกผิงเลยเหรอ ฮ่าๆแต่ชอบนะเชียร์ #ยิมผิง มาสักพักล่ะ พี่ยิมรู้ใจตัวเองแล้วผิงก็รู้ใจตัวเองสักทีนะ ส่วนท็อปสองคู่นี้นอกจากความหวานแล้วยังหาข้อสรุปไม่ได้เลยนะว่าใครจะเป็นเมีย ฮาา
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -22 {50%ที่เหลือ} #23.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 24-12-2015 19:25:42
คิดถึงค่ะ สองคิดมากจริงๆ
แต่ก็นะประสบการณ์ทำให้ต้องระวังตัว

ยังรอติดตามต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 19 วันเกิดของพี่ท็อป
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 28-12-2015 17:54:25
ตอนที่ 19 วันเกิดของพี่ท็อป

หลังจากที่กลับมาจากดาดฟ้าผมก็คิดมากเรื่องพี่ดีนอีกครั้งดูเหมือนเจ้าตัวจะมีอะไรหลายอย่างที่คลุมเครือ ถ้อยคำของพี่แกทำให้ผมค้างคาใจ ผมกลับมาที่หอพักตามปกติ พี่ท็อปยังคงกลับห้องมืดค่ำ ผมเลยได้โอกาสมานอนเล่นที่ห้องของเจ้าตัวอยู่บ่อยๆ เพราะผมมีกุญแจ อีกฝ่ายให้ผมไว้เผื่ออยากมานอนเล่นห้อง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณกลายๆ ว่า อีกฝ่ายไม่อะไรปิดบัง

ผมเดินไปห้องพี่ท็อปไม่วายมองไปที่ห้องฝั่งตรงข้ามของผม ปรากฏว่าตอนนี้มีคนมาเช่าห้องใหม่แล้ว ผมเปิดประตูเข้าห้องพี่ท็อปแล้วเดินไปนอนเล่นบนเตียง คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมส่งไลน์ไปหาพี่ท็อปบอกว่ารออยู่ที่ห้องของเจ้าตัว
อีกไม่กี่สัปดาห์จะถึงวันเกิดพี่ท็อปแล้ว ผมไม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรส์เท่าไหร่ แต่ก็ขึ้นอยู่ที่คนทำ ถ้าเป็นคนที่ผมรัก ผมก็โอเค แต่ผมไม่คิดว่าเจ้าตัวจะชอบเรื่องเซอร์ไพรส์ แม้ว่าตัวเองจะชอบทำให้ผมแปลกใจอยู่เรื่อย

ผมคิดแผนการเซอร์ไพรส์วันเกิดพี่ท็อปน่าจะดีที่สุด จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดเรื่องคนอื่น พี่ท็อปให้สร้อยผมมา ผมน่าจะให้แหวนคู่กับพี่ท็อปบ้าง หลังจากที่นอนฟังเพลงเพลินๆ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีก็เจอกับเจ้าของห้อง

“ไง ขี้เซานะมึง”พี่ท็อปนั่งมองผมอยู่บนเก้าอี้ก่อนจะพยักพเยิดไปที่กลางห้อง มีของว่างวางอยู่บนโต๊ะพับ ผมมึนงง อยู่ไม่นาน สงสัยหลับลึกไปหน่อย “มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ไม่ได้ยินเสียงเลย”

“สักพักแล้ว กลับเข้ามาเห็นหมานอนอยู่บนเตียง กูเลยไม่อยากปลุก ขนาดทำเสียงดังแล้วมึงยังไม่สะทกสะท้าน”พี่ท็อปยิ้ม กอดอกมองสำรวจผมเหมือนผู้ปกครอง

“สงสัยเพลียมั้ง”ผมบอก ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

“แอบย่องเข้าห้องกูแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า” พี่ท็อปหรี่ตามองอย่างสงสัย อีกฝ่ายเดาใจผมออกด้วยแฮะ ผมไหวไหล่ทำเป็นไม่สะทกสะท้าน

“ผมบอกพี่ไปแล้วนะว่าจะแวะเข้ามาอะ แล้วก็พอดีว่าผมมีเรื่องอยากถามพี่ ถามได้ไหมล่ะ”ผมมองอีกฝ่ายอย่างตั้งคำถาม

“เรื่องของกูหรือเรื่องของใคร” พี่ท็อปยิ้มบางๆ

“ก็...ทั้งสองอย่าง เรื่องของพี่แล้วก็เรื่องของคนอื่น”ผมชะงัก เพราะอีกฝ่ายรู้ทัน

“อือฮึ ว่ามาสิ” พี่ท็อปถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตารอฟังคำถาม

“พี่รู้จักพี่ดีนมาก่อนใช่ไหม” พี่ท็อปดูแปลกใจกับคำถามของผม ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เรียกว่าเคยก็คงไม่ได้ เอาเป็นว่าแค่เคยเห็นเป็นบางครั้งในโรงเรียนเท่านั้น กูไม่เคยได้คุยอะไรหรอก แต่ถ้าเป็นไอ้แกนล่ะคนล่ะเรื่อง”

“หมายความว่าไงพี่”ผมงง

“ตอนนั้นอยู่คนละห้องกับไอ้แกนเลยไม่มีโอกาสไปเที่ยวเล่นกับกลุ่มไอ้แกนเพราะเวลาไม่ตรงกัน แต่ไอ้ดีนกับไอ้แกนมันไม่ถูกกัน หมายถึง...เมื่อก่อนไอ้ดีนมันก็ไม่ได้ติสท์อะไรแบบนี้หรอก” พี่ท็อปยิ้มเหมือนเศร้า มองผมเหมือนดูปฏิกิริยา

“พี่เล่าให้ผมฟังได้ไหม”

“ได้อยู่แล้ว...แต่เรื่องมันจบไม่สวยเท่าไหร่นะ...ไอ้แกนมันไร้เหตุผลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเป็นพวกใช้อารมณ์เข้าแลกอย่างเดียว โรงเรียนกูเป็นโรงเรียนรัฐ คุณภาพเด็กในโรงเรียนค่อนข้างไปทางเด็กหัวปานกลางไปจนกระทั่งพวกไม่เอาไหนซะส่วนใหญ่ กูกับไอ้ดีนเรียนสายวิทย์แต่คนละห้อง ส่วนไอ้แกนมันสายศิลป์สังคม มึงคงนึกภาพออกนะว่ามันจะเป็นยังไง คนที่อ่อนแอกว่าคือคนแพ้ ไอ้ดีนมันลูกคนรวย มีคนโอ๋เยอะ ประวัติดี หยิ่ง ไม่ผิดที่จะโดนเกลียดแต่ก็ไม่ใช่ความผิดของมันหรอก...”

ผมพอจะนึกภาพออก พวกเด็กเกเรกับเด็กเรียน แต่เรื่องของพี่ดีนทำเอาผมโคตรแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองของพี่แก จากเด็กเรียนกลายเป็นพวกสายอาร์ตไปซะงั้น เพียงเพราะเหตุการณ์ที่เริ่มต้นจากเฮียแกน...เป็นตัวร้ายมาตั้งแต่เด็กเลยแฮะ

“แล้วตอนนั้นพี่ยังคุยกับเฮียแกนอยู่ไหม”

“ก็คุย เรื่องนี้มันก่อนที่กูจะโดนมันเกลียด...กูรู้สึกผิดนะเรื่องไอ้ดีน หมายถึงสิ่งที่ไอ้แกนทำมันไม่ใช่เรื่องดี กูรู้เห็นแต่ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้เตือน กูก็เลวพอๆ กับมัน กูยอมรับ” พี่ท็อปหัวเราะเยาะ

“เพราะแบบนี้ใช่ไหม พี่ดีนถึงเกลียดเฮียแกนมาตลอด”

“อือ มันน่าตลกตรงที่ไอ้ดีนต้องมาเจอกับเชี่ยแกนอีกทั้งที่หนีมันมาแท้ๆ โคตรเศร้า”พี่ท็อปส่ายหน้าไปด้วยระหว่างที่พูด ผมย่นหน้า

“นั่นดิ”มันเหมือนตลกร้ายขำไม่ออกสำหรับพี่ดีน นี่สินะที่พี่ดีนจะสื่อกับผมจากที่พูดคุยกันบนดาดฟ้า ดูเหมือนพี่ดีนจะสับสนกับตัวเองไม่น้อย

“แต่ไอ้แกนมันเสียใจนะ”พี่ท็อปเอ่ย มองหน้าผมนิ่งๆ

“แต่คนที่จะตัดสินคือพี่ดีน”

“เออ กูเชื่อนะว่ามันกำลังชดใช้ในสิ่งที่มันทำลงไป ในฐานะเพื่อนเก่าอย่างกู รู้สึกสงสารไอ้แกนนิดหน่อย มันไม่มีใครรักมัน ยกเว้นตัวมันเอง”พี่ท็อปพูดถึงเฮียแกนได้โหดร้ายดี แต่ก็มีส่วนที่ผมเห็นด้วย หลังจากนั้นผมก็หมดความสนใจเรื่องของคนอื่น พี่ท็อปเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อ ผมเองไม่อยากเอามาเป็นประเด็น จะว่าไปผมก็ไปเสือกเรื่องพี่ดีนจริงๆ นี่แหละ

“เออ สอง วันเกิดกูหาเรื่องเซอร์ไพรส์ได้หรือยัง”คำถามของพี่ท็อปทำเอาผมแทบสำลักแก้วน้ำส้มในมือ ผมหันมองหน้าอีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนเตียงเปิดหนังสือ หลายเล่ม ผมทำหน้ามึน

“อะไรพี่ ไม่ได้คิดเลย”ผมรีบพูด

“จริงเหรอ” พี่ท็อปทำหน้าไม่เชื่อชัดเจน

“จริง ไม่ได้เจ้าแผนการเหมือนพี่นี่หว่า” ผมเก็บขวดน้ำส้มกลับตู้เย็นรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ทำไมถึงรู้ทันได้เนี่ย

“หึหึ กูรออยู่นะ วันเกิดปีนี้คงน่าจดจำที่สุดเลยมั้ง รองลงมาจากที่แม่จัดให้กู”

“เออผมว่ามันน่าแปลกเนอะ อย่างวันเกิดเนี่ย คนที่ทำให้เราเกิดคือพ่อแม่ทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับวันเกิดตัวเอง หาของขวัญให้ตัวเอง ให้ความสำคัญกับปาร์ตี้กับเพื่อน...ใช่ไหมพี่ ทำไมไม่ไปจัดให้พ่อแม่ล่ะ ขอบคุณที่ทำให้เราเกิดมา” ผมพูดหลังจากที่เคยสงสัยเรื่องนี้มาสักพักแต่ไม่ได้ถามเรื่องนี้กับใคร

“อือ เป็นอีกหนึ่งความเป็นจริงที่มึงเองก็ยังทำไม่ได้” พี่ท็อปหัวเราะ

“ก็อยากทำ วันเกิดพี่ เดี๋ยวผมจะเดินเรื่องเอง นัดแม่พี่มาด้วยแล้วขอบคุณท่าน” ผมเพิ่งคิดได้ จะว่าไปทำแบบนี้ก็แปลกดี เหมือนเป็นการขออนุญาตจากคุณแม่พี่ท็อป

“เอาจริงเหรอ”พี่ท็อปดูตกใจขึ้นมา ก่อนจะหน้าเปลี่ยนสี

“จริงสิ พี่นัดแม่ให้หน่อยนะ” ผมยิ้มกว้าง ตลกดีที่เห็นพี่ท็อปไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ความคิดนี้ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย

"จริงดิ?” พี่ท็อปทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“จริงแท้แน่นอน ผมมันคนจริงนะพี่” พี่ท็อปทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะหันไปสนใจหนังสือต่อ ไม่สนใจผมอีก

“ทำไม...ผิดหวังล่ะซี่ อยากได้แบบโรแมนติกเหรอ สองต่อสองอะไรแบบนี้”ผมพูดต่อ เพื่องเรียกร้องความสนใจ
พี่ท็อปหัวเราะกลบเกลื่อนแทน “หึหึ กูรู้นิสัยมึงน่า...มึงกำลังเซอร์ไพรส์อะไรสักอย่างนี่แหละ เพราะมึงรักกูไง”เจ้าตัวดูมีความสุขที่คิดแบบนี้ ผมไหวไหล่

“รู้ใจจัง แล้วพี่ไม่อยากได้อะไรจากผมจริงๆ เหรอ”ผมเดินเข้าไปถาม ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียง พี่ท็อปมอง แล้วส่ายหัว จากนั้นก็ขยับหนังสือออกไปให้พ้นทาง

“ไม่อยากได้อะไรหรอก ไม่รู้สิ มีอะไรที่กูยังไม่ได้จากมึงอีกเหรอ” พี่ท็อปยิ้ม แววตาเป็นกายสดใส ผมเลยหลุดยิ้มออกมา พูดได้ดี

“เล่นซะหมดมุกเลย” ผมดึงแขนอีกฝ่าย เพื่อให้เจ้าตัวลงมานอนข้างกาย

“ก็จริงนี่หว่า ไม่ได้พูดให้เว่อร์ แต่กูก็ผู้ชาย ไม่ได้อยากได้อะไรมากหรอก ของขวัญเหรอ...ไม่สำคัญ มึงน่าจะรู้ใจกูนะ หมายถึง เราเข้าใจกันมากกว่าที่เรารู้อีกนะ กูไม่ใช่คนเรื่องเยอะ อีกอย่างกูชอบเป็นฝ่ายให้มากกว่าฝ่ายรับ”พี่ท็อปพูด แล้วยิ้มกว้างเข้าไปอีก ฟังแล้วก็ตัวลอยแต่ไอ้คำหลังนี้เน้นเป็นพิเศษเชียว

“งั้นก็แย่สิ อุตส่าห์อยากให้ของซะหน่อย สำหรับคนมีเจ้าของ”ผมยิ้มกริ่ม พี่ท็อปเงยหน้ามองผม แววตาสนใจขึ้นมา   เจ้าตัวย่นคิ้วทำหน้าสนใจก่อนจะขยับเข้ามานอนบนหมอนใบเดียวกันกับผม ทำให้เราต้องนอนสนิทแนบชิดกันมากขึ้น

“อยากได้ไหมล่ะ” ผมถาม

“ถ้าพูดซะขนาดนี้กูไม่ปฏิเสธหรอก กูอยากได้” พี่ท็อปยิ้มแล้วขยับมากอดผมซะงั้น แต่ผมชอบนะ กอดกันแล้วมันอุ่นดี “งั้นก็รอแล้วกัน”

 “อือฮึ แต่ปีนี้มันพิเศษอยู่แล้ว”พี่ท็อปหัวเราะอารมณ์ดี

“พิเศษสิ เพราะผมนี่แหละ”ผมได้ไอเดียเรื่องแหวนขึ้นมาพอดี เยี่ยมจริงๆ ทำไมผมเพิ่งคิดได้กันนะ แหวนที่ไม่ต้องใช้เงินมากและมีวงเดียวในโลก แหวนไม้แกะสลักเอง

พี่ท็อปหันหน้ามามอง“ข้อนี้แหละสำคัญที่สุด”

“เหมือนกัน” ผมยิ้ม

พี่ท็อปเลิกสนใจงานแค่นอนกอดกับผมนิ่งๆ อยู่บนเตียง ไม่ต้องมีคำพูดมากมายเหมือนตามตำราที่ว่าการการสัมผัสสามารถเพิ่มความเชื่อใจและให้ความรู้สึกต่อกันมากกว่าคำพูดเสียอีกบางครั้งเราก็ควรให้ความสำคัญกับเรื่องที่มันสำคัญต่อกันจริงๆ เพียงเท่านั้น ผมว่าผมมีความสุขพอแล้ว ผมไม่ได้อยากได้รักกันหวานชื่นแต่ขอแค่มีกันและกัน เข้าใจกัน เราสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่องแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับคำว่าคนรัก ผมคิดแบบนี้จริงๆ

………….

ผมนัดแนะกับไอ้โก๋ ผู้ถนัดงานแฮนเมด อีกฝ่ายให้ผมไปหาที่หอพัก เพราะที่ห้องมีอุปกรณ์ครบ และสะดวกกว่า เลยขอให้มันมาช่วยทำแหวน เพราะผมไม่ชำนาญเรื่องนี้เท่าไหร่

“นึกยังไงอยากทำแหวนไม้วะ” ไอ้โก๋ถามขณะที่กำลังจัดเรียงอุปกรณ์ไฟฟ้า พวกสว่านสำหรับเจาะและเหลาไม้

“ไม่มีเงินซื้อของแพงไง” ผมหัวเราะ ไอ้โก๋ย่นหน้าแล้วยกกล่องลังที่มีเศษท่อนไม้เล็กๆ ที่มีทั้งเป็นท่อนสี่เหลี่ยม เป็นแท่งกลมๆ ไอ้โก๋บอกว่าเป็นไม้มะค่าสำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ซึ่งเป็นเศษไม้ที่เหลือจากงานของมันเอง ผมซื้อต่อในราคากันเอง ถึงจะสนิทกันแต่อุปกรณ์ของอีกฝ่ายก็มีราคาทั้งนั้น จะมาขอใช้ฟรีก็คงไม่ถูกต้อง ผมเกรงใจมันไม่น้อยเลยตกลงแบบพอใจกันทั้งสองฝาย

“ดีนะ กูไม่เอาไปทิ้งซะก่อน” มันบอกแล้วเดินมานั่งข้างๆ ผมหยิบแพตเทิร์นแหวนออกมาดูคร่าวๆ ระหว่างนั้นไอ้โก๋เตรียมใช้สว่านตัดไม้เป็นส่วนๆ ก่อนจะเลื่อนกล่องไม้ที่ถูกตัดเป็นชิ้นกลม ๆ ประมาณสิบชิ้นได้ 

“มึงรู้ไหมว่าพี่ดีนพี่ท็อป เฮียแกนเคยรู้จักกัน”ผมพูดเหมือนชวนคุยไปเรื่อยๆ ไอ้โก๋ชะงักมองหน้าผมตาปริบๆ มันหยุดมือด้วยความสนใจ

“จริงเหรอ ทำไมวะ”

“มึงเคยได้ยินเรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็กในรั้วโรงเรียนไหมวะ” ผมเกริ่นง่ายๆและไม่ลงลึก “เออ แต่ว่าใครเป็นปลาใหญ่ ปลาเล็ก” ไอ้โก๋ตามเรื่องได้ทันมันยิ้มมุมปากอย่างสนอกสนใจ

“ปลาใหญ่คิดว่าใครล่ะ เฮียแกนเจ้าเก่าไง”ผมบอก ไม่คิกว่าเฮียจะเป็นคนประเภทนั้น พวกรังแกคนอื่น 

“จริงดิ ไม่อยากจะเชื่อ พี่ดีนเนี่ยนะ ออกจะจ๊าบ” มันทำหน้าเหลือเชื่อ มันคงทำใจยากเพราะมันเองก็รู้จักไปไหนมาไหนกับกลุ่มพี่ดีนบ่อยๆ

“ใครจะไปอยากเป็นปลาเล็กไปตลอดกัน เพราะมีแรงผลักภายในที่ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงล่ะมั้งเลยเป็นอย่างที่เห็น ที่จริงกูออกจะชื่นชมพี่แกนะ” ผมพูดไปอย่างที่คิด ไอ้โก๋เงียบ คงคิดอะไรอยู่ในใจ

“แล้วถ้าเป็นมึง... มึงอยากเอาคืนไหมวะ”ผมถามไอ้โก๋ช้า ๆ

ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้กับใครก็ตาม วิธีแก้ปัญหาของแต่ละคนคงต่างกันออกไป แต่จะมีสักกี่คนที่สะสมความเกลียดชังเพื่อรอเวลาเอาคืน ผู้ใหญ่บางคนบอกว่าการแก้แค้นเป็นเรื่องของเด็กๆ แต่ผมว่าไม่ใช่ การแก้แค้นคือการปลดปล่อยตัวตนต่างหากเพราะคนเราต้องหาที่พึ่งหรือจุดรวมความเชื่อมั่นของตนเอง ยึดมั่นกับอะไรสักอย่างที่จับต้องไม่ได้เพื่อไม่ให้ศรัทธาหรือจิตวิญญาณแหลกสลาย

“ขึ้นอยู่กับบาดแผล ถ้ามันใหญ่และใช้ยาทายังไงก็ไม่หายสนิทสักที คงต้องหาวิธีบรรเทาบาดแผลในรูปแบบอื่น ไม่ทางกายก็จิตใจนี่แหละว่ะ” มันยิ้มเหมือนเศร้าไปกับสิ่งที่มันพูด คล้ายๆ กับสัจธรรม

“ก็คงจะจริง”ผมตอบอย่างใจลอย 

“เรื่องพี่ดีน...มึงไม่คิดบ้างเหรอว่าพี่เขาอาจชอบมึงจริงๆ ก็ได้”ไอ้โก๋เอ่ยขึ้นมา ผมส่ายหน้า คนอย่างพี่ดีนเนี่ยนะ

“ไม่มีทางหรอก”

“ไม่มีอะไรจีรังหรอกกับเรื่องของความรัก หัวใจคนน่ะ”มันยิ้ม ผมเหลือบมองมันยิ้มๆ อีกฝ่ายชอบพูดจาให้ผมได้ขบคิดอยู่เสมอ  “ไปสรรหาคำพูดมาจากไหน”

“เห็นแบบนี้กูนี่เป็นที่ปรึกษาหัวใจให้ใครมาหลายคนแล้วนะเว้ย”อีกฝ่ายคุยโว ก่อนจะหัวเราะสบายอารมณ์ 

“ตอนนี้มึงเป็นที่ปรึกษาให้กูก่อน”ผมหยิบชินไม้ที่ตัดเสร็จแล้วขึ้นมาโบกไปมา

แหวนไม้ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จถ้าหากทำแบบจริงจัง แต่ถ้าอยากให้ออกมาพิถีพิถัน มีดีเทลเยอะ ต้องใช้เวลาหลายวันหน่อย หลังจากที่นำแผ่นไม้ทรงกลมมาเจาะรูที่ตรงกลางตามแบบที่วาดไว้  เหลือแค่เหลาเกลี่ยเนื้อไม้ให้เรียบเนียนและตัดเท่าขนาดนิ้วที่วัดมา

“มึงไปร้านพี่ตั้มบ้างไหม” ผมชวนคุยเพื่อปูทางเข้าสู่เรื่องที่อยากรู้

“ไปครั้งสองครั้งเอง บรรยากาศดีนะ แต่ไปบ่อยๆ หมดเงินพอดี”มันบอก 

“เจอเฮียแกนบ้างไหม” ผมถาม สิ่งที่ผมสนใจจริงๆ คือเฮียต่างหากอยากรู้ความเคลื่อนไหว

“ที่ไหน ที่ร้านพี่ตั้มน่ะเหรอ”

“เออสิ ก็เพื่อนพี่ตั้มนี่ ปกติเห็นไปสุ่มหัวที่ร้านนี่หว่า”ผมหลบสายตาไอ้โก๋ที่จับจ้องมาทางผมเขม็ง มันคงเซ็งที่ผมชอบหาเรื่องใส่ตัว

“ไม่รู้สิ ตอนกูไปไม่เคยเจอสักที คงไม่มาแล้วล่ะมั้ง ช่วงหลังมานี่แกชอบเก็บตัว เจอแต่ที่คณะ”

“อยู่คณะบ่อยว่างั้น”

“อือ ก็เรื่องงานปีสี่ด้วยนั่นแหละ แต่เออว่ะ เจอหน้าแกบ่อยกว่าปกตินะ กูยังเสียวสันหลัววูบๆ อยู่เลย แกเงียบกริบเชียว รักสันโดษไม่ค่อยไปกับกลุ่มพี่จิวซี้แกแล้ว”หัวข้อนี้ทำเอาผมหูผึ่งเท่าใบลานขึ้นทันที

“ทะเลาะกันเหรอ” ผมถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ไม่รู้สิ แค่ไม่ไปไหนมาไหนด้วยกันเฉยๆ ล่ะมั้ง” ไอ้โก๋ว่า ผมนิ่งคิดตาม บางทีเฮียแกนอาจจะปลงตกเลือกจะอยู่คนเดียว หรือว่าโดนทิ้ง

“เออ จ่ายค่าน้ำยาขัดไม้ด้วยนะมึง”มันพูดขึ้นมาเหมือนนึกขึ้นได้

“น่าๆ เดี๋ยวจ่ายให้ กูไม่งกขนาดนั้นหรอก ยังไงก็ต้องลงทุนบ้างแหละวะ”ผมส่ายหน้า ยังไงต้องจ่ายเงินให้มันไปตามมารยาท ถึงจะเพื่อนกันก็เถอะ แต่เรื่องอุปกรณ์การทำงานมันต้องใช้อยู่ตลอด

“มึงไม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรส์ แต่ต้องมาเซอร์ไพรส์พี่ท็อปเนี่ยนะ”มันขำหึ

“อือ ไม่เรียกว่าเซอร์ไพรส์หรอก แค่อยากทำอะไรบ้างเท่านั้นเอง” ผมยิ้มกว้างให้ไอ้โก๋ส่ายหน้าทำท่าอ้วกมาให้ผมแทน 

“เออ แล้วพวกไอ้เชี่ยวยังไปก๊งเหล้าบ้านไอ้บีอยู่หรือเปล่าวะ” พูดถึงเดอะแก๊งผมเองก็หายเข้ากลีบเมฆ ถึงแม้ว่าผมจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว

“ไม่เห็นต้องถาม ก็เดือนละครั้ง มึงเองก็หายต๋อมเลย”

“เบื่อเหล้าแล้ว” ผมพูดไปแบบนั้น แต่มีบางครั้งที่น้ำลายไหลเมื่อนึกถึงน้ำแข็งเย็นๆ กับโซดา

“ดีแล้วล่ะ”

“มึงพูดเหมือนคนแก่เลยว่ะ เหมือนปลงๆ มึงจะบวชหรือไงเนี่ย”

“เปล่า ก็เบื่อๆ” มันถอนหายใจทำหน้าเหมือนโลกนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว

“หาอะไรทำซะสิ ไอ้อารมณ์เบื่อๆ เนี่ยระวังนะมึง ถ้าปล่อยให้มันครอบงำมากๆ มันอาจทำร้ายมึงได้” ผมพูดให้มันฟัง แต่ละคนมีวิธีแก้เบื่อต่างกัน สำหรับผมเมื่อก่อนนั้นวิธีที่ใช้ก็อย่างที่รู้ๆ เพราะไอ้คำว่ารักสนุกเนี่ยแหละมันย้อนกลับมาทำร้ายเราได้มากกว่าคิดไว้ซะอีก ไม่อยากเห็นเพื่อนรักอย่างมันโดนดูดเข้าไปอีกโลกนึง ไอ้โก๋ยิ่งทำอะไรไม่อยู่กับร่องกับรอย

“กูไม่เหมือนมึงน่า อย่างกูก็ไปออกค่ายแก้เซ็ง” มันหัวเราะ ผมมองมันอยู่สักนาทีก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย

ผมใช้เวลาช่วงบ่ายอยู่ที่ห้องไอ้โก๋ หลังจากที่เหลาไม้จนได้รูปแล้ว ที่เหลือก็แค่แกะสลักชื่อลงไปและทาน้ำยาขัดไม้เพื่อขับให้สีไม้เข้มขึ้นเพียงเท่านั้น แน่นอนว่ามันก็ไม่ง่าย ผมทำเสียไปหลายอัน

ตืด ตืด ตืด

“มีคนโทรมาเว้ย” ไอ้โก๋ร้องบอกมาจากระเบียงหลังห้อง กำลังตากผ้าอยู่ โทรศัพท์ของผมมันชาร์จแบตอยู่ตรงโต๊ะริมประตูห้อง ไอ้โก๋ดันเห็นพอดี มันเดินเอามาให้ผมทำหน้ายู่“เบอร์คุ้นๆ”

“แต๊งกิ้ว” ผมรับมา เบอร์ที่ปรากฏอยู่คุ้นตาเช่นกัน ผมไม่ได้เมมไว้ แต่มีไม่กี่คนหรอกที่ผมไม่ได้เมมชื่อไว้ในเครื่อง

“ว่าไงครับ” ผมกดรับ เบอร์คุ้นๆ นี่คือพี่ดีนเจ้าเก่า

 [ว่างไหม] เสียงจากปลายสายดังขึ้น ไม่มีความลังเลอยู่ในน้ำเสียงนั้น ผมขมวดคิ้ว มีเรื่องอะไรอีกล่ะสิ

“มีอะไรครับ” ผมถามสั้นๆ ไอ้โก๋ดูสนอกสนใจขึ้นมาเชียว มันเดินกลับเข้ามาด้านใน

[ก็...เรื่องของเราไง] พี่ดีนหัวเราะเหมือนหยอกล้อ ผมเผลอเบ้ปากไปอัตโนมัติ พี่ก็เข้าใจเล่นนะ

“งั้นผมวางแล้วนะ”

[ล้อเล่นน่า มีอะไรอยากถามหน่อย]

“ถามเลยสิครับ”ผมตอบ มาทำมีลับลมคมในอีกแน่ะ

[มาเจอกันหน่อย มีเรื่องอื่นจะคุยด้วยน่ะ กูไม่ทำอะไรหรอกน่าแค่อยากคุยด้วย]

“ทำไมต้องเป็นผมล่ะ”ผมถามออกมา อย่างไม่เข้าใจนัก ผมไม่เห็นว่าพี่ดีนจะมาสนใจผมจริงจังนัก แต่ก็คอยมากวนประสาทผมบ่อยๆ ไอ้โก๋เงยหน้ามามองอย่างสนใจ แววตาประกายใส ผมเอียงตัวหลีกหนีมัน

[ก็มึงเป็นคนเดียวที่เหมือนจะเข้าใจกู]

".....” ผมเงียบ

[สละเวลาแค่สิบนาทีเอง ว่างเมื่อไหร่ก็มาหากูที่ร้านคาเฟ่แมวแล้วกัน กูนั่งรออยู่ที่นี่แหละ] พี่ดีนพูดก่อนจะชิงวางสายไปก่อน ผมถอนหายใจไม่อยากโกหกตัวเองว่าไม่สนใจเรื่องพี่ดีน แต่ถ้าพี่ท็อปรู้อาจจะไม่ค่อยชอบใจที่ผมยังเข้าไปยุ่งอยู่แบบนี้ แทนที่จะถอยออกมาก่อน ผมมองหน้าไอ้โก๋

“ทำไมวะ” มันถามขึ้นมาทันที

“พี่ดีนให้กูไปหา มึงไปกับกูหน่อย” ผมเอ่ยชวน เอาไอ้โก๋ไปด้วยเผื่อมีเหตุอะไรขึ้นมา

“กูเนี่ยนะ จะไปทำไม” มันรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“เอ้า ไปเป็นเพื่อนกูหน่อย ไม่เป็นห่วงกูเหรอ กูไปเจอพี่ดีนคนเดียว”ผมพูด กอดอกมองเพื่อนอย่างกดดัน ผมไม่อยากคุยสองต่อสองกับพี่ดีน 

“แหม ดูแลตัวเองไม่ได้หรือไงวะมึงเนี่ย อีกอย่างนะถ้ากูไปด้วยพี่ดีนจะพูดในสิ่งที่แกอยากพูดได้ไงวะ”

“คงได้นั่นแหละ ถ้าเป็นเรื่องสำคัญมากคงนัดที่ส่วนตัวแต่นี่นัดร้านพี่มิว” ร้านพี่มิว เป็นรุ่นพี่ในคณะ เปิดร้านคาเฟ่แมวผมเคยแวะไปนั่งตอนติดฝนอยู่ครึ่งชั่วโมง ถ้าใจรักแมวคงพอทำใจได้

“โอเค ไปก็ได้”อีกฝ่ยยอมตกลง เมื่อเห็นว่าผมจริงจัง 

“อืม ดี อีกสักครึ่งชั่วโมงค่อยไปแล้วกัน ปล่อยให้รอไปก่อน”ผมบอก ไม่อยากออกไปเร็วนัก ปล่อยให้พี่ดีนรอไปก่อนเถอะ ไอ้โก๋มองผม แล้วส่ายหน้าเอือม “ตามใจ”

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ผมกับไอ้โก๋ก็ไปตามนัดของพี่ดีน เมื่อเดินเข้าร้าน Cat café ผมมองเห็นพี่ดีนได้ชัดเจนเพราะร้านไม่ได้กว้างมากนัก เป็นห้องสี่เหลี่ยม ไม่มีสิ่งของบดบัง ผมมองบรรดาแมวในร้านนิ่งๆ

“นึกว่าจะมาคนเดียวซะอีก”เมื่อเดินมาถึงโต๊ะริมสุด บนตักของพี่ดีนมีแมวขนปุกปุยนอนอยู่ด้วย เจ้าตัวกำลังเกาคางให้มัน

“ผมมากับเพื่อนเลยให้แวะมาด้วย”ผมบอกก่อนพยักหน้าให้ไอ้โก๋ มันเดินไปนั่งที่โซฟาอีกมุมหนึ่งของห้องแทนแล้วเล่นแมวไปพลาง

“อยากดื่มอะไรก่อนไหม เดี๋ยวสั่งให้”ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับพี่ดีนที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร ทำราวกับว่าชวนผมมานั่งดื่มชิลๆ ผมไหวไหล่

“ไม่ต้องหรอกพี่ มีอะไรจะพูดก็ว่ามาเลยจะได้ไม่เสียเวลา”ผมพูดเข้าเรื่องก่อนจะมองไปรอบร้านที่มีแค่เจ้าของร้านสองคนแล้วก็พวกผม

“มึงนี่ชอบแดกดันจริงๆ” พี่ดีนเริ่มพูดก่อนจะยกแอปเปิ้ลโซดาขึ้นดื่มสบายอารมณ์ “อันที่จริง กูชอบมึงนะ”

“หา”ผมร้องอย่างแปลกใจ ที่ผ่านมารู้สึกเหมือนโดนล้อเล่นเสียมากกว่า เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนสนุกที่ได้ป่วนผมอยู่แบบนี้ เจ้าตัวยิ้ม ก่อนจะอธิบายต่อ

“หมายถึงชอบในเชิงชื่นชม แบบว่าพิเศษกว่าคนอื่น ไม่รู้สิ บางครั้งมึงก็คล้ายๆ กับคนที่กูเคยรู้จัก”ผมไม่รู้ว่าพี่ดีนแกหมายถึงใคร แต่จะมาปฏิบัติแบบนี้กับผมไม่ได้ ผมถอนหายใจอย่างอดกลั้น

“ไม่มีใครคล้ายใครได้หรอก พี่แค่อยากหาใครมาแทนที่คนคนนั้นล่ะมั้ง แต่มันไม่ใช่กับผม ไม่ว่าในกรณีไหนก็ตาม” ผมพูดอธิบาย

“เสียดาย รู้จักมึงช้าไป เมื่อก่อนกูได้ยินชื่อเสียงมึงนะ แต่กูไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ถ้ามีโอกาสได้พูดคุยล่ะก็กูคงไม่ปล่อยเวลามานานขนาดนี้” พี่ดีนพูดเบาๆ สายตาหลุบต่ำเหมือนเหม่อลอย

“จริงเหรอ”ผมไม่เชื่ออย่างแรง

“จะเชื่อหน่อยไม่ได้เหรอเนี่ย แต่เอาเถอะ...กูมีสติน่าว่าอะไรเป็นอะไร”เจ้าตัวพึมพำ เหลือบมองผมอีกครั้ง ผมเม้มปาก 

“ทำไมพี่ต้องมาไขว่คว้าอะไรตอนนี้ ผมว่าพี่ควรปล่อยวาง ปล่อยให้เรื่องมันเดินไปตามทางของมัน”

“หมายความว่าไง” พี่ดีนมองหน้าผมนิ่งๆ น้ำเสียงดูไม่มั่นคง

“ผมรู้เรื่องของพี่มาบ้าง...พี่ไม่จำเป็นต้องเข้าหาคนแบบผมเพื่อมาเติมเต็มความรู้สึกของพี่หรอก” ผมพอจะเข้าใจอีกฝ่ายอยู่บ้าง เหมือนอยากได้ใครสักคนที่คล้ายกับคนก่อน

“มึงไม่เข้าใจ...เรื่องของกูมันซับซ้อนนิดหน่อยจนบางครั้งกูก็ไม่เข้าใจตัวเอง”พี่ดีนขมวดคิ้วเข้าหากัน แสดงสีหน้ายุ่งยากใจออกมา ผมมองอีกฝ่าย

“จริงๆ แล้วพี่ต้องการอะไรกันแน่ พี่เคยถามตัวเองจริงๆ สักครั้งหรือยังครับ”ผมเอ่ย ในฐานะที่เคยสับสนและไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเองมาก่อน

“ไม่รู้...” พี่ดีนไหวไหล่ทำหน้าไม่แยแส “ไอ้ท็อปเล่าให้มึงฟังเหรอไง” อยู่ๆพี่ดีนก็ทำหน้าแข็งกร้าวไม่พอใจออกมาแทน

“ใช่ครับ” ผมรับ

“แย่มากเลยนะ มันเป็นเรื่องน่าอาย ทุเรศด้วย”อีกเอ่ยในลำคอ 

“ผมถามเองแหละ” ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีจนเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาแทน ผมเหลือบมองไปที่ไอ้โก๋มันนั่งเล่นโทรศัพท์ส่งสายตามามองผม

“กูไม่ได้เกลียดอะไรไอ้ท็อปมันมากนักหรอกนะ ถึงกูจะไม่ชอบหน้ามันก็เถอะ ...แต่ก็มีบางครั้งที่กูอยากจะทำอะไรหลุดโลกไปเลย” พี่ดีนค่อยๆ พูดผมพยายามคิดเรื่องพี่ดีน พยายามคาดเดาอารมณ์และความต้องการของอีกฝ่าย

“ที่พี่ถามผมว่าอะไรทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงได้...ตอนนี้ผมกำลังคิดอยู่ว่าความเปลี่ยนแปลงของผมกับพี่มันต่างกัน ผมเปลี่ยนเพราะมีคนที่รัก แต่พี่เปลี่ยนเพราะมีคนที่เกลียด เพราะพี่เกลียดมากจนทนตัวเองแบบนั้นไม่ไหว”ผมพูด มันเลยกลายมาเป็นพี่ดีนที่ผมรู้จักในตอนนี้

“ก็คงงั้น...แต่กูพอใจกับสิ่งที่กูเป็นอยู่ตอนนี้นะ มันคือตัวตนของกู”พี่ดีนพูดเบาๆ ก่อนจะเงียบไป

“แล้วพี่มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าครับ” ผมถามต่อเพราะรู้สึกอึดอัดขึ้นมา พี่ดีนเหลือบตามองผมเหมือนคิดอะไรอยู่

"ที่จริงแล้ว—ช่างเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว” พี่ดีนส่งยิ้มมาให้ ผมมองพี่ดีนแล้วรู้สึกสงสารนิดหน่อย ท่าทางจะไม่มีคนคุยปรับทุกข์ด้วย

“งั้นผมกลับล่ะ ถ้าพี่อยากคุยกับผม หมายถึงถ้ามันแย่จริงๆ พี่ก็โทรหาผมแล้วกัน” ผมบอกก่อนจะลุกเดินออกจากโต๊ะ ผมแค่เห็นใจอีกฝ่ายที่ไม่มีทางออกเพราะภายนอกดูเป็นคนเข้มแข็ง แต่ในใจนี่สิอาจคนละเรื่องกันเลย ไอ้โก๋เดินตามมาติดๆ แล้วกระซิบ

“พี่แกดูเหงาๆ นะ”

“มึงไปปลอบพี่ดีนสิ เห็นว่ากูรูด้านนี้นี่” ผมแกล้งพูดออกมา ไอ้โก๋ทำตาเหลือกส่ายหน้า

“ไม่ใช่มึงก็ทำไม่ได้นะครับ แหม นี่ก็ใจอ่อนซะแล้ว” ไอ้โก๋ว่า นั่นสิ ผมใจอ่อนเหมือนอย่างที่พี่ท็อปบอก แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่ดีนเป็นทุกข์ ดูท่าทางแล้วจะมากกว่าที่เห็นด้วยซ้ำ

“ทำไงได้ พระเอกก็แบบนี้” ผมหัวเราะ ไอ้โก๋ทำหน้าเอือมก่อนจะทำหน้าที่เป็นวินมอเตอร์ไซค์ให้ ผมคาดการณ์ไว้ว่าแหวนคงใช้เวลาสองสามวันกว่าจะออกมาสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมยกกล่องอุปกรณ์เตรียมกลับหอพัก วันนี้ต้องขอบใจไอ้โก๋จริงๆ ไม่อย่างนั้นคงออกมาไม่เป็นรูปเป็นร่าง

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Deen diary
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 28-12-2015 17:57:52
--
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -23 + Deen diary #28.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 28-12-2015 18:15:40
เพิ่งเข้ามาอ่านชอบมากเลยง่า สนุกมาก :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -23 + Deen diary #28.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 28-12-2015 18:22:00
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ.   :katai2-1:  พี่ดีนแกหน่วงดีนะ. โถๆน้องสองคุยกับพี่แกดีๆบ้างก็ดีนะ
ท็อปสองลงตัวด้วยการวินวิน. เยี่ยมเลยอะ. ใครผัวใครเมียไม่ใช่สาระสำคัญ
ขอให้มีความสุขกับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงจ้า
สั้นยาวไม่สำคัญค่ะ. ขอแค่เขียนจบค่ะเท่านี้ก็ขอบคุณมากๆแล้ว
รอยิมผิงนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -23 + Deen diary #28.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 28-12-2015 19:27:39
ดีน ทิฐิสูงเหลือเกิน
แต่ใช้ชีวิตง่ายๆมันก็จบแล้ว
จะหนีไปไดเท่าไหร่ เอ้า มาดูกัน
แต่เราก็ไม่ค่อยชอบแกนเหมือนกัน เกลียดขี้หน้าคนแบบนี้ เฮ่ออ
ไม่รู้จะออกมาแนวไหน แต่ก็
รอตอนต่ิอไปค่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -23 + Deen diary #28.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 28-12-2015 19:37:54
พี่ท็อปกับสองนี่รู้สึกจะหวานเกินหน้าเกินตาเพื่อนๆและคนรอบข้างมาก 55555555
หันมามองผิงกับพี่ดีนคือเครียดทั้งคู่
 :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -23 + Deen diary #28.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 28-12-2015 19:38:38
เพิ่งเข้ามาดูเมื่อเช้าแต่เห็นว่ายังไม่อัพ พอตกเย็นเห็นอัพปุ๊บนี่กรี๊ดเลย โอยๆๆหวานกันจริงท็อปสองเนี่ย อิจฉาฝุดๆแต่ถ้าถามเราเราว่าสองเป็นเคะเหมาะสุดแล้วจริงๆ ฮาา ส่วนพี่ดีนกับเฮียแกนคู่นี้นี่เหมือนจะไม่ทีวันลงรอยกันนะแต่ถ้าลองดูดีๆเหมือนเฮียแกนแกมาง้อพี่ดีนเลยว่ะแถมมีแอบหึงเล็กๆด้วยรึเปล่า รอลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -23 + Deen diary #28.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: คนอ่าน ที่ 28-12-2015 19:40:54
เรื่องนี้สนุกมากกกกกกกกกก
ภาษาก็น่าอ่าน  แค่อ่านหน้าแรกก้ติดใจแล้วค่ะ
ชอบการเล่าเรื่องแบบรุก(ที่โดนรับไม่ทันตั้งตัว)
อ่านแล้วน่ารักน่าชังในความเย็นชาของเคะหน้าหล่ออย่างพี่ท็อป
และรุกที่ติดใจรสรัก   ภาษาน่าอ่าน สนุกดีน่ะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -23 + Deen diary #28.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 28-12-2015 19:49:34
ยังติดตามอยู่นะ รอมาอัพตลอด

ชอบสอง ชอบพี่ท็อป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -23 + Deen diary #28.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 28-12-2015 20:44:41
ท็อปสองหวานกันตลอด ไม่มีที่ว่างให้พี่ดีนหรอก
พี่ดีนน่าสงสารไม่มีใครจะทำร้ายเธอเท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
พี่ดีนสู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 4
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 29-12-2015 18:44:54
-ผิง-
ตอนที่ 4 ออกทริปครั้งแรก
 
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ผิง ไอ้ผิง...ตื่นยังวะ”
ตอนแรกนึกว่าตัวเองอยู่ในความฝันจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกพร้อมๆ กับเสียงเคาะประตู ผมสะดุ้งโหยงแต่ยังเมาขี้ตาอยู่ จากนั้นก็รีบผุดลุกออกจากเตียงอุ่นๆ ไปที่ประตู ผมเปิดประตูออก
“มึงเพิ่งตื่นเหรอเนี่ย”
“หืม...เฮ้ย เฮ้ยๆ กูเผลอหลับอะ แป๊บนึงนะเว้ย ขออาบน้ำก่อน” ผมนึกขึ้นได้ และเมื่อเห็นสีหน้าของไอ้ยิมทำให้ผมตาสว่างและต้องรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ ซวยล่ะ อุตส่าห์ตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้วแท้ๆ หรือว่าไม่ได้ยิน หรือว่าไม่ได้ตั้ง?
ไอ้ยิมเดินเข้ามาก่อนจะสแกนสายตาหาอะไรสักอย่างในห้อง
“มึงเก็บเสื้อผ้าหรือยัง”
“...ยัง ขอโทษๆ” ผมรีบบอกเพราะกลัวมันโกรธ แต่ผมเห็นว่ามันดูนิ่งๆ ผิดปกติ นี่ถ้ามันสามารถปล่อยแสงจากแว่นตาได้ป่านนี้ผมไหม้เป็นจุณแล้ว
“ไม่ต้องอาบไปเตรียมกระเป๋า” มันพูดจริงดิ ผมยืนนิ่งงงๆ
“เว่อร์แล้วมึง อาบไม่ถึงห้านาที จริงๆ เสื้อผ้าเอาไปแค่สามสี่ตัวพอ”
“ไม่ต้องอาบ ไว้ไปถึงที่พักค่อยอาบ ไปเก็บเสื้อผ้าเหอะมึง กูนึกแล้วว่ามึงต้องลืม” ไอ้ยิมกอดอกมองอย่างเผด็จการ มันเตรียมพร้อมหมดแล้ว กระเป๋าเป้ใบเดียวกับกระเป๋าสะพาย
“ไม่ได้ตั้งใจจะลืม คือกูคิดว่าไหวไงเลยปั่นงานทั้งวัน กะว่าจะแค่งีบๆ แล้วลุกมาเก็บกระเป๋า... แต่หลับยาวเลย” ผมอธิบาย พยายามทำท่าระรื่นเข้าไว้กลบเกลื่อน
“ยังจะมายิ้มอีก เรื่องแค่นี้ยังลืม” ไอ้ยิมทำหน้าบึ้งตึง มันเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าดึงกระเป๋าเป้ผมออกมาโยน
“เออๆ ต่อไปจะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว โอเคไหมวะ ทำมางอน” ผมรีบเก็บของจำเป็นและยัดเสื้อกับกางเกงมาสามสี่ตัว คิดว่าน่าจะพอใส่
“นึกว่ามึงจะเตรียมพร้อม ไม่ได้ไปนอนห้องพักนะ” มันเตือนสติผมเพราะวางแผนไว้ว่าจะนอนเต็นท์ อากาศหนาวๆ กางเต็นท์ ปิ้งย่างกินให้บรรยากาศการพักผ่อนปิกนิกดี
“เดี๋ยวขาดเหลืออะไรหาซื้อเอาก็ได้” ผมยิ้มให้มัน ใจดีสู้เสือ ไอ้ยิมส่ายหน้าเบาๆ มองผมแบบคาดโทษ
“เสร็จตามลงมาด้านล่างนะ” มันบอกแล้วเดินออกไปเลย ผมเองเดาไม่ถูกว่ามันโกรธมากน้อยแค่ไหน ปกติมันก็นิ่งๆ เงียบๆ อยู่แล้วนี่
ไอ้แว่นเอ้ย
ผมใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำเพื่อเก็บกระเป๋า ไม่อยากตรวจดูของอีกรอบเพราะจะทำให้เสียเวลาเอาได้ แต่เสือกลืมนู่นนี่นั่นตลอด ทำให้ต้องวกกลับมาหยิบใหม่ ผมวิ่งปรู๊ดลงบันไดออกมาที่บริเวณหน้าหอก็ต้องแปลกใจปนทึ่งเล็กน้อย
“รถมึงเหรอยิม” ผมมองตาปริบๆ เมื่อเห็นรถโฟล์คบีทเทิลสีเหลืองจอดอยู่ด้านหน้าติดเครื่องรอแล้วด้วย ไอ้ยิมเปิดกระจกลงแล้วยื่นหน้าออกมา เฮ้ย ไอ้นี่มันรวยจริงว่ะ
“ของป๊ากู เลิกจ้องได้แล้ว เข้ามา” ไอ้ยิมเอื้อมตัวมาเปิดประตูรถให้ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ ด้วยอารมณ์มึนงง มันไม่ได้บอกว่ามีรถแบบนี้ ผมนึกว่าเป็นพวกกระบะแบบใช้งานตะลุยเที่ยวมากกว่ารถแบบคลาสสิกสวยๆ แบบนี้ ผมมันหนูตกถังข้าวสารชัดๆ
“วู้ รถสวยว่ะ” ผมหันไปบอกมันเมื่อเข้ามาในรถ ไอ้ยิมแค่ยิ้มเหมือนขำผม
“หึหึ ทำตัวบ้านนอก” มันค่อยๆ ออกรถช้าๆ อันที่จริงบ้านมันก็มีเงินทำไมถึงไม่ขับรถแบบนี้ไปเรียน มัวแต่ใช้มอเตอร์ไซค์ปกติ แต่เหมือนจำได้ลางๆ ว่ามันไม่ค่อยพูดกับป๊าเท่าไหร่
“ขับรถไปเหอะ” ผมบอกมัน แต่ทริปนี้มันรับหนักเลยทั้งขับรถ ออกเงินให้อีก ไม่รู้ทำไมมันถึงอยากทำตัวป๋าขึ้นมาได้ ระหว่างทางมันเปิดเพลงเบาๆ ท่าทางอารมณ์ดีอยู่ตลอด แต่โชคร้ายอย่างเดียว ผมไม่สามารถเปลี่ยนไปขับแทนมันได้เพราะผมขับรถไม่แข็ง เสี่ยงตายมาก แต่มันก็แค่บอกให้ผมนั่งเงียบๆ ที่เหลือมันจัดการเอง

การมองทิวทัศน์ข้างทางเป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับชั่วโมงแรกๆ แต่พอนานเข้าผมชักตาลาย เกิดการเคลิ้มหลับขึ้นมาแทน ผมหลับไปนานจนกระทั่งมาตื่นที่ถนนสายตาก-แม่สอดแล้ว เพราะอากาศและทิวทัศน์เปลี่ยนไป มีแต่สีเขียวสดของธรรมชาติ วิวข้างทางสวยมากเพราะเป็นเส้นทางภูเขาล้วนๆ ส่วนไอ้ยิมยังคงทำหน้าที่โชเฟอร์ต่อไป
“ไหวไหมมึง ถ้าง่วงจอดพักที่จุดชมวิวได้นะ ไม่ต้องรีบ” ผมบอกมันเพราะเป็นห่วงด้วยแล้วก็สงสารนิดหน่อย ไอ้ยิมแค่พยักหน้า
“คิดว่ากูไม่เคยขับรถไกลๆ เลยหรือไง มึงนอนไปเถอะ” ฟังดูเหมือนประชดยังไงไม่รู้แฮะ ผมเลยมองวิวข้างทางไปเรื่อยๆ ถึงจะน่าเวียนหัวนิดๆ ก็เถอะ
ในที่สุดก็มาถึงจุดชมวิว มีรถตู้จอดสองคันกับรถเก๋งคันเดียว ผมลงจากรถแล้วบิดขี้เกียจ อากาศเย็นจนขนลุก ผมกับไอ้ยิมเดินไปที่ชมวิว ไอ้ยิมไปนั่งพักที่เก้าอี้ ผมมองลงไปที่หุบเขาด้านล่างไปพลาง ถ่ายรูปพอเป็นกระษัย
“ไปซื้อกาแฟให้หน่อยสิ” ไอ้ยิมเรียก ผมทำหน้าที่เบ๊อย่างเต็มใจ มันบอกขอเข้มๆ เลย มีร้านกาแฟเล็กๆ เปิดอยู่ ผมเลยซื้อมาให้ตัวเองด้วยเลย ไอ้ยิมได้กาแฟร้อนๆ ไปหนึ่งแก้วดูจะสดชื่นขึ้น มันเดินไปถ่ายรูปด้วยกล้องตัวโปรดของมัน
“ไม่ถ่ายรูปกูเหรอ” ผมถาม รอให้มันถ่ายอยู่เนี่ย ไอ้ยิมมองหน้าผมแล้วกดถ่ายแบบไม่ทันระวังตัว สรุปรูปออกมากากๆ ตามหนังหน้าผม
“ไม่ขึ้นกล้อง” มันขำอยู่คนเดียว
“เออ ไอ้หล่อ”

หลังจากที่เข้าสู่ตัวเมืองแม่สอดแล้ว ไอ้ยิมก็ขับตรงไปยังบ้านพักที่มันจองไว้จากที่ไอ้ยิมเคยอธิบายรายละเอียดทริปนี้ให้ฟัง เนื่องจากอากาศที่แม่สอดหนาวเย็นกำลังพอเหมาะเลยจองเต็นท์ไว้ มีก่อกองไฟทุกคืน ที่สำคัญบรรยากาศดีใกล้ชิดธรรมชาติ ลุงนันเจ้าของพื้นที่เป็นกันเองและบริการดีมากเหมือนคุยกับคนรู้จัก ไอ้ยิมหายเข้าไปในเต็นท์เป็นที่เรียบร้อย สงสัยมันคงเหนื่อย
“ตอนเช้าอยากได้กาแฟหรือน้ำเต้าหู้ดีล่ะพ่อหนุ่ม” ลุงนันถาม
“ขอเป็นกาแฟกับน้ำเต้าหู้แล้วกันครับ” ผมบอก คงต้องเลือกกาแฟให้มัน ผมฟังลุงชี้แจงเรื่องห้องน้ำกับอาหารแถมยังใจดีให้แผนที่แบบเข้าใจง่ายมาให้อีกด้วย สังเกตจากคนที่มาเช็คเอ้าท์กับลุง แขกจะกล่าวขอบคุณอย่างเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน บางครั้งก็ฟังภาษาเหนือจนเพลิน
ผมเดินไปรอบบริเวณแคมป์ มีเปลผ้าใบสีเขียวกางอยู่ใกล้ๆ และเก้าอี้ไม้ที่ดัดแปลงมาจากตอไม้ตั้งเป็นวงกลม คาดว่าคงก่อกองไฟที่บริเวณนี้แน่ๆ มีเตาปิ้งย่างวางเก็บอยู่เป็นระเบียบ โชคดีที่ไม่มีคนมานอนเต็นท์แบบผมกับไอ้ยิมเลยสบายไป เพราะพื้นที่นี้จะเป็นของผมกับไอ้ยิมเท่านั้น
ผมกลับเข้าไปในเต็นท์เห็นไอ้ยิมนอนหลับปุ๋ยท่าทางเหนื่อยเพลีย แว่นตากรอบฟ้าวางอยู่บนเป้ ผมนั่งมองอยู่สักพักก็หยิบกล้องถ่ายรูปของเจ้าตัวมาดูรูปเล่นเผื่อว่ามันแอบถ่ายผมบ้าง
“ไม่พักเอาแรงก่อนเหรอมึง” มันถามเสียงงัวเงียและไม่ได้ลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำ ตอนเย็นมีทัวร์พื้นที่ไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่อ่างเก็บน้ำหัวฝายอีก
“ไม่ง่วงว่ะ มึงนอนไปเถอะ กูจะไปเดินเล่นแถวนี้นะ” ผมบอกมันก่อนจะส่งยิ้มให้ ไอ้ยิมตอนไม่ใส่แว่นดูดีกว่าอีก มันพยักหน้าก่อนจะลืมตามองผมแล้วขยับมือทำนองว่าให้เข้าไปใกล้ๆ “มีอะไร” ผมขยับเข้าไปหา มันจะพูดอะไรกัน
“เปล่า” มันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังเข้าริมเต็นท์ไป ทำให้ผมนั่งงงกับพฤติกรรมแปลกๆ ของมัน
“บ้าว่ะ” ผมกระซิบบอกมันก่อนจะออกจากเต็นท์แวะไปคุยกับลุงนันดีกว่า ผมเดินไปที่ใต้ห้องพักมีเก้าอี้ไม้สักให้นั่งพัก เจอลุงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
“ว่าไงพ่อหนุ่ม”
“ลุงครับ ขอถามข้อมูลแถวนี้หน่อยครับ” ผมเดินไปหาลุงที่ยิ้มก่อนจะวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเรียกคนมาเสิร์ฟน้ำ
“เอ้า มีอะไรว่ามาเลย” ลุงนันยกน้ำมะตูมขึ้นดื่ม
“ผมเพิ่งมาครั้งแรก ตลาดริมเมยมีของเก่าๆ ขายไหม แบบพวกงานแกะไม้” เซิร์ชเนตดูก็ไม่ค่อยได้อะไร
“มีเยอะแยะ พวกงานจากพม่ามีเกลื่อนกลาด”
ลุงนันเองก็สนใจเรื่องงานไม้แกะสลักจากพม่า ลุงแกสะสมเครื่องเรือนเก่าๆ ที่หาไม่ได้ในสมัยนี้ไว้เต็ม แกหยิบสมุดภาพเครื่องเรือนของแกให้ผมดู บางชิ้นมีคนมาขอซื้อลุงก็ไม่ขายให้ ลุงนันบอกว่างานศิลป์พม่าสมัยนี้ยังละเอียดเท่าของดั้งเดิม น่าเสียดายที่ผมไม่อยู่นานเพราะลุงแกกะจะพาผมไปดูที่บ้านของแกเลย แต่อยู่อีกหมู่บ้าน คนแบบพวกผมดีอย่างนึงคือไปไหนมักเจอคนสไตล์เดียวกัน พวกรักศิลปะ ทำให้เจอเพื่อนใหม่ เรื่องราวใหม่ๆ ผมว่านี่แหละเสน่ห์ของการเดินทาง 
ผมออกไปเดินเล่นที่แนวป่าใกล้ๆ กับลานแคมป์ ป่าไม่ลึกมากแต่สูงชันเพราะเป็นเขาเตี้ยๆ ทำให้ต้องระวังเวลาเดิน คนรักสันโดษอย่างไอ้ยิมจะมาที่แบบนี้ก็ไม่แปลก ไอ้ยิมนอนพักไปหลายชั่วโมง จากที่คิดว่าจะสบายเพราะไม่มีคนมาพักเต็นท์ แต่มีคนเดินทางด้วยรถฮาร์ลีย์-เดวิดสันมาจอดสามคัน ลุงนันพาคนออกมาตั้งเต็นท์ใหญ่ให้ ผมเลยมีโอกาสทักทายพูดคุยกับผู้ชายสามคนที่เพิ่งตั้งเต็นท์ มาจากอำเภอเมืองตากนี่แหละ สองคนเป็นพี่น้องกัน คนพี่ชื่อ บี กับ คนน้องโอ อีกคนนึงเป็นเพื่อนชื่อ บอย สามคนนี้แค่แวะมาสูดอากาศเย็นๆ ที่สัมผัสไม่ได้จากอำเภอเมืองเพราะที่นั่นไม่ได้อยู่บนเขา แถมยังร้อนสุดๆ แต่ก็เป็นเมืองที่เงียบสงบยามค่ำคืนเช่นกัน
จากที่พักอยู่ไม่ไกลอ่างเก็บน้ำหัวฝายมากนัก เลยขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ของลุงมาคันนึง คราวนี้ผมคนขี่ไอ้ยิมซ้อนเพราะมันบอกไม่อยากเปลืองแรง
“ทำอย่างกับว่าจะเก็บแรงไว้ใช้ ฮั่นแน่ มึงคิดอะไรหรือเปล่า” ผมอดแซวมันไม่ได้จริงๆ ทำตัวน่าแกล้ง
“กูไม่ได้คิด มีแต่มึงนั่นแหละ” มันว่ามาจากด้านหลัง ผมแค่หัวเราะ
เมื่อมาถึงอ่างเก็บน้ำหัวฝายมีคนมารอดูพระอาทิตย์ตกบางตา ส่วนมากเป็นคนในพื้นที่ ดูเหมือนว่าที่นี่เป็นแหล่งพักผ่อนสำหรับครอบครัว เด็กวัยรุ่น อีกทั้งยังอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดวัน ผมจอดรถเลือกบริเวณที่คนไม่เยอะจะได้นั่งสบายๆกันได้ ฟ้าเริ่มเป็นสีแดงส้มๆ แสงสุดท้ายของวันกำลังจะมอดดับทีละน้อย ไอ้ยิมถ่ายรูปอีกตามเคย มันขยับมานั่งข้างผมมองไปที่แสงสะท้อนจากผิวน้ำ
“คิดยังไงถึงออกมาเที่ยว” ผมเลยได้โอกาสพูดคุยกับมัน
“แค่อยากออกมาข้างนอกกับมึงบ้างก็เท่านั้น... มึงก็รู้กูเป็นคนน่าเบื่อ อยู่ด้วยนานๆ--” มันเริ่มพล่ามถึงตัวเองในแง่ลบอีกแล้ว ผมเลยตีแขนมันไปแรงๆ
“เฮ้ย มึงนี่ชอบคิดเองเออเอง กูไม่ได้บอกเลยสักคำว่ามึงน่าเบื่อ อีกอย่างมาเที่ยวกับธรรมชาติกูชอบจะตายไป กูมันคนบ้านนอกเว้ย”
“ชอบก็ดี” เจ้าตัวหันมาพูด
“อือ ขอบใจนะเว้ย” ผมไม่ขอบใจสิแปลก มันลงทุนขนาดนี้ทั้งรถทั้งที่พัก ยิ่งตอนนี้ผมไม่ค่อยเกรงใจมันเหมือนเมื่อก่อนเสียด้วย รู้สึกว่าตัวเองเป็นกาฝากเลยว่ะ เกาะไปตลอดทริป แต่มันชวนและพูดออกมาเอง
“อืม” มันยิ้ม
“ชอบกูมากขนาดนั้นเลย” ผมอยากถามมันหลายครั้งเหมือนกันแต่ไม่ได้โอกาสดีเสียที
“อะไร” มันตีหน้ามึน
“ก็แบบ ออกเงินให้”ผมพูดเสียงเบา 
“เปล่า มึงต้องใช้คืน เป็นค่าตอบแทน” ไอ้ยิมส่ายหน้า มุมปากมันเหมือนจะกระตุกยิ้ม
“ค่าตอบแทน?” ผมพยายามไม่คิดในแง่ร้ายหรือคิดอะไรที่ไม่ควรคิด
“เออ เอาไว้รู้จักกันให้นานๆ กว่านี้กูค่อยทวงแล้วกัน” ไอ้ยิมมองหน้าผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เป็นครั้งแรก
“ยังไงก็ได้ กูใจๆ อยู่แล้ว ทวงได้แต่อย่า... แทงกันเป็นพอ” ผมพูดติดตลกหันไปหัวเราะกับมันอยู่คนเดียว ถึงจะหัวเราะแต่ผมก็ไม่ได้พูดเล่นนะ พูดจริง อยู่ที่ไอ้ยิมจะตีความยังไง
“รอดูเถอะ” มันตอบมาแค่นี้แต่ทำให้ผมหวั่นๆ เล็กน้อย
“ได้เลย”

เมื่อแสงสุดท้ายของเย็นวันนี้ดับไป แสงไฟจากร้านอาหารส่องสว่างขึ้นมาแทน ยิ่งฟ้ามืดบรรยากาศยิ่งดี ถ้าใครอยากมาจู๋จี๋ดู๋ดี๋กับแฟนคงไม่ยากเลย
“ผิง” อยู่ๆ มันก็เรียกเสียงจริงจัง
“อะไร... อย่าบอกนะว่าอินกับบรรยากาศแล้วจะบอกรักกู” ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าต้องดักทางมันอยู่เรื่อย
“ไม่ใช่เว้ย แค่อยากถามอะไรหน่อย” มันทำหน้าจริงจังมากกว่าเดิม
“อือ ว่ามาดิ” ผมพยักหน้ามองไอ้ยิมที่ดูหล่อมากขึ้นตอนที่แสงน้อยๆ เห็นแค่เสี้ยวหน้ามัน
“ตอนนี้ชอบกูหรือยัง” เหมือนมีใครมาระเบิดแก้วหูราวกับได้ยินเสียงปังขึ้นอยู่ใกล้ๆ ผมไม่คิดว่ามันจะถามอะไรแบบนี้
‘ชอบ’ ไอ้ยิมงั้นเหรอ ผมยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าชอบแบบไหนกันแน่ แบบเพื่อน ที่ไม่ต้องทำอะไรหวานๆ ใส่กัน ไม่ทำตัวเหมือนแฟน
“ไม่รู้สิ...”
“มึงตอบแบบนี้อยู่เรื่อย แค่อยากรู้ว่าเราคืบหน้าไปแค่ไหนแล้ว หรือเป็นแค่กูฝ่ายเดียว”
“ไม่หรอก... กูชอบอยู่กับมึงนะ อย่างตอนนี้ไง จะให้กูไปนั่งกินลมชมวิวแบบนี้กับผู้ชายคนอื่น กูก็คงทำไม่ได้หรอก... ไม่รู้แบบนี้แปลว่าชอบหรือเปล่า” ผมหัวเราะเก้อๆ เอาจริงๆ จะให้ผมไปไหนกับมันก็ได้
อีกฝ่ายฟังผมพูดจบก็ยิ้มออก “เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว” มันพูดด้วยแววตา ท่าทางพอใจ
จากนั้นเราแวะทานอาหารที่ฝาย ร้านอาหารริมอ่างเก็บน้ำหัวฝายนี้นอกจากบรรยากาศดีแล้วยังเหมาะที่จะชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย รสชาติอาหารก็อร่อยดี ราคาพอใช้ได้ไม่ได้สูงเกินไป ผมไม่อยากกินจนอิ่มเพราะจะไปต่อของปิ้งย่างที่แคมป์ อากาศหนาวๆ ก่อกองไฟดีดกีตาร์ไปด้วยนี่ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
“พรุ่งนี้ค่อยไปตลาดริมเมยแล้วก็แวะไปเมียวดี” มันบอกขณะขี่รถกลับที่พัก ผมเองก็เซิร์ชเนตเห็นศิลปะพม่าละเอียดประณีตมาก วัดสถาปัตยกรรมพม่าสวยไม่แพ้ของไทย
“คืนนี้อย่าเข้านอนเร็วนะ มาตั้งวงรอบกองไฟกัน”
“มีคนเยอะเหรอ”
“ลุงนันแล้วก็คนที่เข้าพักใหม่ มาตั้งเต็นท์เหมือนเราไง” ผมบอกแล้วแวะซื้อเบียร์มาสี่ขวด ไอ้ยิมคงดื่มได้แค่เบาๆ เพราะต้องขับรถด้วย แต่ถึงยังไงมันก็ไม่ดื่มเยอะเป็นนิสัยอยู่แล้ว
เมื่อมาถึงลานแคมป์ลุงนันก่อไฟเรียบร้อยแล้ว แกเห็นผมก็กวักมือเรียกอย่างเป็นกันเอง มีสามคนนั่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่ละคนถือเบียร์คนละขวด
“เจ้าผิง มาๆ หมึกย่างกำลังสุกเลย” ผมกับไอ้ยิมเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ไม้รอบกองไฟ หมึกย่างที่ว่าเป็นแบบแห้งแล้วเอาไปปิ้งให้พอสุกๆ
“เจ้าคนโตสีหน้าดีขึ้นนะเนี่ย” ลุงหันมาคุยกับไอ้ยิม “นี่ถ้าของไม่หมดก็ไม่ต้องนอนนะพวกหนุ่ม” แกหัวเราะไปด้วยดูท่าทางลุงนันน่าจะไปก่อนคนแรกนะ
“แล้วทำไมถึงเลือกมาที่นี่กันล่ะ” คนชื่อโอถามขึ้นมา ไอ้ยิมเป็นคนตอบ
“ผมเคยมาที่แม่สอดครั้งนึงแล้วเกิดติดใจ ที่นี่มีเสน่ห์ไปอีกแบบ” เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเคยมาแล้ว
“เออ ก็ว่าอยู่ เพราะปกติคนไปเที่ยวเหนือๆ เลย แม่สะเรียง แม่ฮ่องสอนนู่น” อีกคนนึงพูดต่อ
“แล้วเอ็งล่ะ ท่าทางกวนๆ คนละแนวกับยิมเลย เป็นเพื่อนหรือว่าพี่น้อง” มันถาม ลุงนันหัวเราะไปตามประสา
“ก็... เพื่อนกันนั่นแหละครับ คนละแนวแต่เข้ากันได้พี่” ผมตอบแทน ไอ้ยิมแค่ยิ้มอยู่เงียบๆ มันไม่ดื่มเลยต้องปิ้งๆ ย่างๆ ให้พวกเราแทน
“หึหึ ” เหมือนพวกพี่แกจะไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ไม่เห็นแปลก ผู้ชายไปเที่ยวด้วยกันสองคนใช่ว่าต้องเป็นแฟนกันนี่ครับ... จริงไหม ผมกับไอ้ยิมยังไม่ใช่แฟน แค่เพื่อนสนิทแบบพิเศษๆ
“เออ ถ้าไปตลาดริมเมยแวะไปดูของเก่าๆ ราคาไม่แพงด้วย น่าจะมีของที่เราชอบนะ” ลุงนันแนะนำให้ หลังจากนั้นลุงแกก็ขอตัวออกไปก่อนเพราะต้องทำงาน ส่วนพวกผมนั่งกินเบียร์กันให้หมดลังซึ่งเป็นของสามคนนั่นซื้อมา ผมเลยหุนไปด้วย
“แล้วจะกลับเมื่อไหร่กัน”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช็คเอ้าท์แล้วไปตลาดริมเมย แวะเมียวดีแล้วกลับไปแถวมูเซอต่อ” ไอ้ยิมตอบแทน
“มาแป๊บเดียวเอง”
“ผมแค่มาพักผ่อน วันจันทร์มีเรียนต่อ” ผมพูด พวกนั้นไม่ได้ถามอะไรอีก พอเบียร์หมดก็แยกย้ายกลับเต็นท์กันไป ไฟที่ก่อไว้เริ่มมอดดับ ผมกับไอ้ยิมเข้าไปอาบน้ำกันคนละห้อง อากาศหนาวจนผมไม่อยากอาบน้ำเลย แต่ตัวเหม็นควันไฟแล้วเลยต้องทำใจอาบน้ำเย็นเฉียบและรีบเข้าไปนอนในเต็นท์ ไอ้ยิมกำลังจัดที่นอน มันแบ่งผ้าห่มให้ผม
“มึงจะอุ่นไหมเนี่ย ห่มด้วยกันนี่แหละ” ผมบอกแล้วซ้อนผ้าห่มให้หนาขึ้น แค่นอนใกล้ๆ กันหน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอก มันทำท่าอย่างกับว่าถ้าใกล้ชิดผมมากไปจะทำให้ผมท้องซะงั้น ไอ้ยิมมันคือไอ้ยิมจริงๆ
“ตามใจ” มันกำลังถอดแว่นออกไปวางบนกระเป๋าเป้ด้านบนหัวนอน ผมขยับตัวไปนอนข้างๆ มันแล้วล้มตัวนอน
“ไม่คิดว่าจะหนาวขนาดนี้” ผมบอกหลังจากที่นอนใกล้กับไอ้ยิม
“อือ แต่แบบนี้ก็อุ่นดี” มันเสือกยิ้มซะงั้น
“วางแผนมาหรือเปล่าว่าจะได้นอนใกล้ๆ กู” ผมถามอย่างที่สงสัยจริงๆ บางทีผมประเมินมันต่ำไป ผู้ชายอย่างมันคงไม่ใช่สุภาพบุรุษให้เกียรติผู้ชายด้วยกันหรอก
“ตลกน่า มึงไม่น่ากอดขนาดนั้นหรอก” ไอ้ยิมทำเสียงหึย่นหน้าตามไปด้วยราวกับว่าการพูดถึงผมมันน่ายี้อะไรปานนั้น
“กูบอกแค่นอน ไม่ได้ว่ากอด คิดไปไกลกว่ากูอีก” ผมจ้องหน้ามัน
“มึงนี่...” มันจิ๊ปากทำคิ้วขมวดแล้วหลับตานอนเงียบๆ
“จะนอนแล้วเหรอ” ผมหันไปถามเพราะยังไม่อยากนอน ไม่ง่วงด้วยทั้งๆ ที่ซดเบียร์ไปหลายขวดแท้ๆ ไอ้ยิมเอียงหน้ามาหาแล้วลืมตามองเหมือนโดนขัดใจ
“อืม มึงเงียบๆ เถอะ” มันพึมพำ สงสัยผมคงกวนเวลานอนมัน คงกำลังจะเคลิ้มหลับ
“ขอกอดหน่อย” ผมแกล้งถามแล้วสะกิดมือมันใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ไอ้ยิมมองผมนิ่งๆ เหมือนกำลังพิจารณาข้อเท็จจริงนี้เป็นโจทย์แคลคูลัส
“อืม มากอดกูสิ” มันยิ้มท้าทาย ผมนิ่งไป ถ้าจะให้กอดมันคงยากเพราะผมจะต้องยื่นแขนไปโอบตัวมันอีก ทำใจได้ยาก
“ฝันเหอะ พูดเล่นน่า” ผมหัวเราะ ไอ้ยิมขยับตัวนอนหันหน้าเข้าหาผม มันทำหน้าเหมือนไร้อารมณ์
“ก็คิดอยู่”
“แต่เขาว่ากันว่ากอดกันจะทำให้อุ่น” ผมพูดออกมาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการที่ผมไม่เคยกอดผู้ชายมาก่อน ยกเว้นแบบเพื่อน และจะให้นอนกอดก็คงจะรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ใช่ว่ารังเกียจ
“อยากกอดกูเหรอไง” ไอ้ยิมก็กล้าพูดนะ ผมส่ายหน้า
“เปล่าอะ แต่แค่คิดว่ากอดผู้ชายแล้วจะรู้สึกยังไง” ผมพูดเฉยๆ แต่ไม่คิดว่าไอ้ยิมมันจะกล้าเข้ามากอดผมด้วยซ้ำ มันกอดผมจริงๆ ไม่ใช่แค่กอดเฉยๆ มันยังยื่นแขนมากอดเอวผมอีกและผมก็เป็นคนบ้าจี้มากๆ อะไรมาโดนเอวล่ะก็ขำก๊ากดิ้นเหมือนโดนน้ำร้อนลวก
“เฮ้ยๆ ไอ้ยิม กูจั๊กจี้ฮ่าๆ เอาแขนออกไปดิ” แต่มันกลับกอดผมแน่นขึ้นอีก ผมเริ่มดิ้นเพราะรู้สึกเสียวๆ บริเวณเอวแบบคนบ้าจี้ ไอ้ยิมมันพาดแขนมาที่เอวผมแบบนั้นมันไม่ชิน
“มึงอย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวเต็นท์อื่นหาว่าเราทำอะไรกัน มึงก็รู้ว่าพวกนั้นคิดว่าเราเป็นอะไรกัน” ไอ้ยิมกระซิบกระซาบ ผมมองหน้ามันแบบเคียดแค้น มึงนะมึง
“เออ แต่มึงปล่อยดิ กูจั๊กจี้จริงๆ” ผมบอกเสียงจริงจัง
ไอ้ยิมมองหน้าผมก่อนจะดึงแขนออกจากเอวแต่มันเลื่อนแขนมาพาดไหล่ผมแทน ผมเห็นอะไรบางอย่างในแววตามันที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มันคือความสนุกสนาน ความมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน เพราะมันเป็นคนนิ่งๆ แทบไม่แสดงความรู้สึกจริงๆ จากข้างในออกมาผ่านแววตาเลย น้อยมาก
“ฮึ แล้วอุ่นไหมล่ะ” ไอ้ยิมถามเบาๆ เหมือนกลั้นรอยยิ้ม
“ก็อุ่นอยู่แล้ว” เนื้อตัวคนเรามันมีไอร้อนนี่หว่า มันก็อุ่นๆ ดี 
“ไม่แกล้งมึงแล้ว” ไอ้ยิมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ทำให้ผมหายใจหายคอแบบคล่องขึ้น แต่ก็ขำตัวเองจริงๆ
“กูบ้าจี้ อย่ามาโดนกูอีกนะ ไม่งั้นถีบ” ผมสำทับมันอีก
“ถ้าไม่กอดก็ไม่โดน” ไอ้ยิมมองผมนิ่งๆ เหมือนอยู่ในบรรยากาศแปลกๆ ที่ทำให้ผมประดักประเดิดไม่คุ้นชิน มันจะรู้สึกก็ต่อเมื่อไอ้ยิมมองมาที่ตาผมแบบจริงจังหรือพูดอะไรสักอย่างจนผมไปไม่เป็นอะไรทำนองนี้ เอาง่ายๆ เหมือนผมจนมุม
“เออ หลับแล้วนะ” ผมบอกมันห้วนๆ
“หึหึ ฝันดี” มันหัวเราะเบาๆ แล้วพลิกตัวนอนไปอีกข้างแทน ผมล่ะกลายเป็นตัวตลกของมันซะได้
ตอนนี้ผมนอนไม่หลับ ข่มตานอนไม่ลง ดูเหมือนที่นี่จะเริ่มต้นด้วยครั้งแรกของผม การออกทริปกับมัน นั่งมองพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน และนอนกอดผู้ชายด้วยกัน... ชีวิตคนเรามันก็ต้องทำอะไรเป็นครั้งแรกอยู่แล้ว 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -ตอนแถมสั้น-Phing #29.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 29-12-2015 20:55:52
 :katai2-1:  ยิมผิงน่ารักดี
แมนๆคบกันเนอะ. ฟินเรื่อยๆ

ขอบคุณค่ะที่มาต่อ.  :3123:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -ตอนแถมสั้น-Phing #29.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 29-12-2015 22:57:15
รอทริปที่แม่สอดจะหวานเหมือนคู่ท็อปสองไหม
ยิมดูท่าจะโรแมนติกน่าดู :o8:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -ตอนแถมสั้น-Phing #29.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 29-12-2015 23:30:00
ยอมเถอะผิง พี่ยิมดีมากจริงๆ ป๋ามาก 5555555555555
คาดว่าจะเกาะพี่ยิมกินได้ตลอดชีวิต....
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -ตอนแถมสั้น-Phing #29.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: ChaniiNoiy ที่ 29-12-2015 23:48:51
แยกดีน ออกมาทำเรื่องใหม่ได้ไม๊อ่าาา รู้สึกว่าปมเยอะดีชอบๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -ตอนแถมสั้น-Phing #29.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 30-12-2015 02:26:49
พี่ยิมอยู่กับผิงแล้วโคตรน่ารักเลยว่ะเหมือนเด็กน้อยจริงๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # -ตอนแถมสั้น-Phing #29.12.58 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 30-12-2015 07:36:33
มารอดูฉากสวีท8องยิมกับผิง ส่วนพี่ดีนก็ขอให้หลุดพ้น
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Deen Diary บทที่ 1 อดีตที่ไม่น่าจดจำ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 30-12-2015 17:52:33
Deen Diary
บทที่ 1 อดีตที่ไม่น่าจดจำ

ผมเคยคิดว่าโลกของเราคงไม่มีเรื่องบังเอิญถึงสองครั้งได้แน่ๆ แต่เชื่อเถอะพระเจ้าไม่เข้าข้างผมเลย หากว่าความบังเอิญทั้งหมดที่ผมได้ผมเจอน่ะมันมากกว่าสองครั้งสามครั้งหรือสี่ครั้งกันนะ แล้วแบบนี้มันควรจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ เรื่องราวของ

ผมมันเริ่มที่ตรงไหนกัน ตอนวัยซนกลัดมันอย่างสมัยม.ปลายก็น่าจะเข้าท่าดี

ย้อนกลับไปในวันที่ทุกอย่างได้เริ่มต้นขึ้น…..สมัยเรียนม.ปลาย

“เฮ้ย มึงน่ะ เฮ้ย ไม่ได้ยินที่กูเรียกหรือไงวะ” เสียงโมโหตวาดมาจากทางด้านหลังที่ผมก็รู้อยู่เต็มประดาว่ามันตั้งใจเรียกผม แต่ผมมีชื่อนี่หว่า ไม่ใช่ชื่อมึงเสียหน่อย ผมแค่เดินต่อไปอย่างไม่ใส่ใจคนทรามๆ ประเภทนั้น
แต่เรื่องมันไม่จบหากว่าเราไปยุ่งกับพวกอันธพาลน่ะ ใครจะรู้ว่าผมนี่เด็กเนิร์ดตัวท็อปของห้องเชียวล่ะ ตั้งแต่เส้นผมจรดปรายรองเท้าไม่มีส่วนไหน จุดไหน ที่ผิดระเบียบ ที่สำคัญผมคือรองประธานนักเรียนของโรงเรียนเลยนะ พอจะมีบารมีกับเขาบ้าง ข้อดีคุณครูโอ๋กันทั้งนั้นนั่นล่ะ
แต่ มันก็มีข้อเสียนะอย่างที่ผมกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่แสนเกลียดอยู่ในตอนนี้
“มึงหูหนวกหรือไงวะ” ผมหยุดเดิน รับรู้และได้ยินว่ามันกำลังเดินตุบๆ เหมือนหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจ จากนั้นแรงกระชากที่หัวไหล่ก็ทำให้ผมเซและหันไปประจันหน้ากับมันจนได้ เป็นไปตามคาดเลยแฮะ
“มีอะไรเหรอครับ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ ไอ้อันธพาล ไม่สิ ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกแต่เป็นหัวโจกในเรื่องเฮี้ยวๆ แต่เรื่องการเรียนก็อยู่ในระดับที่ใช้ได้ เรียนอยู่คนละห้องกับผมแต่ปีเดียวกัน
“กูเรียกมึงนี่ไม่ได้ยินหรือไง หรือมึงแกล้งไม่ได้ยิน คิดว่าใหญ่มาจากไหนวะไอ้เด็กเส้น” ผมแค่ทำหน้าเฉยๆ ตามปกติ ผมมองหน้าคนที่ตัวเท่าๆ กันความสูงเท่ากันหน้าตาก็ดูดีอยู่นะ ได้ยินว่าคนนี้ฮอตในหมู่ผู้หญิง หน้าตาเหมือนมีเชื้อฝรั่งซึ่งมันเด่นอยู่แล้วในโรงเรียนประจำจังหวัดและยิ่งเป็นโรงเรียนรัฐ
“ไม่รู้จริงๆ นี่ แล้วมีอะไรเหรอครับ” ผมถามต่อ
“ตามมานี่หน่อยดิ พวกกูมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย” มันพูดนิ่งๆ ท่าทางกวนๆ ผมเหล่มองไปทางด้านหลังมีกลุ่มผู้ชายวัยเดียวกันสามสี่คนมองมาทางผมอยู่ คงเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน
“ที่ไหนล่ะคุยตรงนี้ไม่ได้หรือไง” ผมไม่เข้าใจ ก็พอจะรู้อยู่ว่าพวกนี้มันเกเร แต่ด้วยความที่ไม่ได้มีเรื่องขัดใจกับพวกนั้นคงไม่น่าจะมีปัญหา และเพราะผมเป็นลูกรักของเหล่าคุณครูด้วยแล้ว คงไม่มีปัญหา...
แต่นั่นล่ะคือปัญหาต่างหาก
“เฮ้ย ไอ้แกน ได้ยังวะ” เสียงจากคนด้านหลังตะโกนมาถาม ‘แกน’ งั้นเหรอชื่อแปลกจริงๆ เหมือนผมเลย
“ว่าไง แค่ไปคุยแป๊บเดียวเอง” แกนพูดเลิกคิ้วมองผมเหมือนกำลังเซ็งๆ ผมเลยตอบตกลงเดินตามหลังมันไป
กลุ่มนี้ผมเห็นผ่านตามาหลายครั้ง เหมือนจะมาไม่ครบขาดไปคนนึง พวกนั้นเดินนำผมไป แกนเดินรั้งท้ายตามหลังผมมา ผมรู้สึกทะแม่งๆ เมื่อพวกนี้พาผมมาหลังห้องน้ำเก่าหลังตึกห้องสมุดเก่า
“จะไปไหนน่ะ มีอะไรคุยตรงนี้แหละ” ผมบอกเพราะแถวนั้นมีแต่พวกเกเรนิสัยทรามๆ มามั่วสุม
“เออ” คำพูดสั้นๆ จากไอ้แกน
ผมถูกผลักจากด้านหลังจากมันจนกระเด็นไปข้างหน้าใส่พวกข้างหน้าสี่คน เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เหมือนพวกมันนัดแนะกันมาแล้ว คนนึงรวบแขนผมทั้งสองข้างไพล่หลังแล้วลากไปที่มุมอับมิดชิดไม่ให้ใครเห็น ส่วนพวกที่มาสุ่มหัวสูบบุหรี่ก่อนหน้านี้ถูกไล่ออกไปจนหมด
“เฮ้ย นี่มันเรื่องอะไรวะ ปล่อยนะเว้ย ไม่งั้น....” ผมเงียบไป มีสิ่งเดียวที่ผมทำได้ฟ้องครูงั้นเหรอ
“ฟ้องครูเหรอวะ ฮ่าๆ ลูกแหง่นี่หว่า เอาเลย สิ้นเรื่องแล้ววิ่งแจ้นคลานไปฟ้องคุณครูเลย” ไอ้แกนเป็นคนพูด ผมเงียบพยายามดิ้นให้หลุดจากการรัดกุม แรงของผมมันสู้อีกสามคนไม่ได้
“ต้องการอะไรวะ”
“ไม่รู้ดิ แค่ไม่ชอบหน้ามึงต้องมีเหตุผลอื่นด้วยไหมวะ” มันหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องสนุกสนาน ผมไม่ชอบใจที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“ค้นตัวมันดิ มีตังค์เยอะเปล่าวะ” อีกคนนึงที่ว่างอยู่เข้ามาค้นตามกระเป๋ากางเกงนักเรียนของผม มันหยิบกระเป๋าเงินของผมออกมาเปิดดูจากนั้นก็หัวเราะ
“เฮ้ยแกน มีรูปกับมาม้าด้วยว่ะ โคตรลูกแหง่เลย” ผมไม่เห็นว่ามันจะตลกตรงไหน มันหยิบเอาเงินของผมไปจนหมด ผมตกใจเพราะแม่จะให้เงินไว้ใช้ทั้งสัปดาห์ถ้าหมดก็ขอเพิ่มไม่ได้
“เอาคืนมานะเว้ย! ไอ้พวกขโมย เอาคืนมาดิ” ผมดิ้นอย่างแรงแต่ก็ไม่เป็นผล ผมทำได้แค่ตะโกนห้ามแค่นั้น ผมสู้พวกนี้ไม่ได้หรอก ไอ้แกนแค่มองผมเยาะๆ ก่อนจะโยนกระเป๋าเงินใส่หน้าผม มันไม่ยอมคืนเงินให้ผมด้วย
“ถ้าอยากได้คืนก็มาเอาที่กูให้ดิ” ไอ้แกนพูดก่อนจะโบกเงินไปมาแล้วเดินไปนั่งบนโต๊ะไม้เก่าๆ ที่กองไว้ริมตึก พวกนั้นปล่อยแขนผมแล้วไปยืนขวางทางไว้ ผมชะงักไป หมายความว่าผมต้องสู้กับพวกนี้งั้นเหรอ ไม่มีทางหรอกผมสู้ไม่ได้
“ทำไมไม่กล้า? ป๊อดนี่หว่า” หนึ่งในนั้นพูดผมจนปัญญา แต่ในใจก็อยากได้เงินคืน นั่นมันเงินของผม
“ทำไมต้องขโมยด้วย ถ้าอยากได้ก็เอาไปครึ่งนึงสิ” ผมบอกไปแบบนี้แต่เหมือนทำให้พวกนั้นหัวเราะกันใหญ่
“ทำไมต้องแบ่งในเมื่อตอนนี้มันอยู่ที่กูก็ต้องเป็นของกูดิ” ไอ้แกนเป็นคนพูดมาจากด้านหลัง ผมนิ่งกำหมัดแน่น ผมโกรธและเกลียดมันขึ้นมาทันที จากนั้นก็พุ่งตัวฝ่าเข้าไปหามันแต่หนึ่งต่อสามมันสู้ไม่ได้อยู่แล้ว
ผมสะบักสะบอม ไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมจะเจอเรื่องแบบนี้ ผมไม่เคยโดนต่อยแบบเต็มแรงขนาดนี้
สุดท้ายผมก็แพ้พวกมันจนได้
“คราวนี้ก็จำใส่หัวไว้ด้วยว่าอย่างหยิ่งแล้วก็ทะนงตัวให้มาก มึงมันขี้แพ้ ถ้าไม่อยากเจอแบบนี้อีกก็ไม่ต้องไปยุ่งกับหนิงอีก” ผมมองมัน หนิงคือเพื่อนร่วมห้องของผม แต่ผมไม่รู้มาก่อนว่าหนิงจะชอบกับไอ้แกนหรือเพราะไอ้แกนมันชอบหนิงกันนะ พวกมันเดินกลับออกไป
“.......” ผมรู้สึกแย่ที่สุดในชีวิตนี้ขึ้นมาทันที
และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแย่มากกว่าเดิมนั่นคือ ในเวลานี้ผมคิดถึงแม่ มันทำให้ผมเป็นไอ้ขี้แพ้ของจริง
ผมเก็บกระเป๋าเงินมาดู ไม่มีเงินให้ผมสักบาท ผมควรฟ้องครูไหม ในใจผมบอกว่าไม่ ถ้าผมบอกผมต้องโดนพวกมันต่อยอีกแน่ๆ แต่ผมเป็นรองประธานนักเรียนเชียวนะ แต่ก็นั่นแหละ
เพราะแบบนี้ผมถึงได้เจอเรื่องแบบนี้
เพราะผมเรียนเก่งคุณครูโอ๋และเป็นรองประธานนักเรียน
พวกเด็กเกเรคงจะไม่ชอบผมกันเยอะ มีเพียงแค่ใครจะเริ่มก่อนเท่านั้น เพราะไอ้แกนเป็นคนประเดิมซ้อมผมได้พวกอื่นๆ ก็คงไม่รอหรือเกรงกลัวคุณครูอีก มันคงต้องเป็นแบบนี้จริงๆ นั่นแหละ
วันนั้นผมไม่ได้กลับเข้าไปเรียนแค่ไปหลบในห้องน้ำรอเวลาเลิกเรียนแล้วค่อยกลับบ้าน เพราะผมไม่กล้าออกไปในสภาพแบบนี้ คนคงหัวเราะเยาะผมโดยเฉพาะพวกผู้หญิง
มันเป็นความทรงจำแย่ๆ ที่ผมไม่เคยลืมและมันไม่ได้จบลงเพียงแค่นี้

หลังจากที่ไอ้แกนกับพวกพ้องเอาเงินผมไปในวันนั้นเรื่องไม่ได้ไปถึงหูคุณครูเหมือนมันจะได้ใจ ผมจำหน้าจำชื่อมันได้ไม่ลืม ไอ้แกน ไอ้นุ ไอ้โจ้ ไอ้ภัคร และอีกคนนึงที่ไม่ได้มาร่วมออกโรงด้วย ไอ้ท็อป เพราะมันเรียนกันคนละห้องและคนละสายกัน สายวิทย์คณิตเวลาไม่ตรงกันที่จะมาร่วมแจมด้วย แต่ในบางครั้งที่ผมเจอมันระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนหรือซื้ออาหาร ไอ้ท็อปมักจะมองผมแปลกๆ อาจจะเยาะเย้ยสมน้ำหน้าดูถูกไปในคราวเดียว โดยรวมแล้วผมไม่ชอบมันทั้งหมดนั่นแหละ
พวกเด็กเกเรกลุ่มอื่นๆ เริ่มมาระรานกับผม ส่วนมากจะมาเอาเงินผมไปเล็กๆ น้อยๆ ช่วงนั้นผมไม่อยากมีปัญหาเลยปล่อยเลยตามเลยจนมันสะสมและเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อผมเลื่อนชั้นมาจนม.5 ผมออกจากสภานักเรียนโดยอ้างว่าเรียนหนักแต่มันก็หนักจริงๆ แต่ความเลวร้ายของผมยังไม่จบลง ผมยังคงโดนรังควานต่อไปจนผมทนไม่ไหวต่อยหน้าพวกมันไปบ้าง แต่เหตุการณ์มันยิ่งวุ่นวายเมื่อพวกมันมาดักรอผมที่นอกโรงเรียน ไม่มีกฎ ไม่มีระเบียบ อีกต่อไป
ผมแค่วิ่งหนี
“เฮ้ยตามมันไปดิ” เสียงมันดังลั่นมาจากด้านหลังผมวิ่งหนีพวกมันแบบไม่คิดชีวิต เลี้ยวไปตามซอยอาคารพาณิชย์เพราะมีที่ซุกซ่อนได้ง่าย
แต่เหมือนเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองได้เช่นกัน
ใครจะไปรู้ว่าพวกไอ้แกนดันโผล่มาจากด้านหน้าดักรอผมไว้ ปิดทางหนีของผมทั้งสองด้าน
“ไม่ได้เจอกันนานเลย ไปทำอะไรให้พวกมันโมโหเข้าล่ะ” ไอ้แกนพูดแล้วยิ้ม ผมอยากจะขอร้องมันแต่ก็ทำไม่ลง จนพวกที่ไล่หลังผมตามมาจนทัน
“เฮ้ย มันอยู่นี่”
เหตุการณ์ชุลมุนเมื่อพวกมันเข้ามาล็อกตัวผมไว้ได้ก่อนจะลากไปที่มุมตึกพาณิชย์เก่าร้างที่ไม่มีคนเช่าแล้ว ผมคิดแค่ว่ามันจะมาเอาเงินจากผมหรือแค่ซ้อมผมเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับผมได้
“เฮ้ย จะทำอะไรวะ” ผมตกใจเมื่อมันเอาเงินไปจนหมดแต่ยังไม่ปล่อยผมไป แต่ลากผมเข้าไปในตึกร้างแทน ผมคิดอะไรไม่ออก ผมไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ เรื่องเซ็กซ์หรือเรื่องเกย์ เพราะพวกไอ้แกนทำให้ผมมาเจอเรื่องน่าอายแบบนี้
“จับมันไว้ดิ”
ผมคิดว่าคงไม่รอด ในขณะที่มันกำลังจะถอดกางเกงผมได้สำเร็จพวกไอ้แกนเข้ามาช่วยได้ทัน ผมรู้สึกดีใจอย่างน้อยก็ไม่โดนทำอะไรน่าเกลียดๆ แต่ในใจรู้สึกเกลียดไอ้แกนเข้าไปอีก ผมรีบหนีออกจากตึก
“เฮ้ย มึง” ผมไม่ได้ยินว่าไอ้แกนมันจะพูดอะไรแต่เหมือนมันจะตกใจ คงไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมกลับมาบ้านรู้สึกขุ่นแค้นอย่างบอกไม่ถูก
ผมเก็บกดมันมานานเกือบปี ในใจคิดแค่อย่างเดียวคือเพราะมัน เพราะไอ้แกนใช่หรือเปล่า ที่เรื่องมันแย่ลงเพราะมันคนเดียว ความอดทนของผมหมดลงในวันนั้น ผมบอกแม่ว่าจะย้ายโรงเรียน แม่ไม่ได้ถามอะไรเพราะไม่ได้สนใจใยดีอะไรนอกจากตัวเองและสังคมของแม่ที่หมดเงินไปกับหน้าตาของตัวเองและการเที่ยวไปกับเพื่อน เมื่อก่อนผมไม่ได้คิดว่าสิ่งที่แม่ทำเป็นเรื่องไร้สาระหรือนึกโกรธว่าทำไมไม่ใส่ใจผมเหมือนคนเป็นแม่ควรจะทำ ในตอนนี้ผมโกรธทุกอย่างในโลกนี้
วันที่ผมมาลาออกผมก็เจอกับไอ้แกนตรงทางเดินเพราะสวนกัน
“กูไม่คิดว่าไอ้นันท์มันจะทำแบบนั้นจริงๆ นะเว้ยไม่อย่างนั้น—” ไอ้แกนพยายามอธิบายแต่ผมไม่ได้สนใจจะฟัง ผมเดินหนีมันมาเพราะผมตัดสินมันไปนานแล้วว่ามันคือคนผิดและมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไปด้วย
ผมย้ายโรงเรียนไปเข้าเอกชนอีกจังหวัดหนึ่งแทน ผมอยากหลุดจากที่เดิมๆ และผมเริ่มแปลกไป ความคิดประพฤติเหมือนเหรียญสองด้าน ที่ผ่านมาคงเป็นด้านที่ดีงามแต่พอเหรียญพลิกทุกอย่างที่เคยเป็นมันถูกปิดบังกดทับไป เหลือให้เห็นอีกด้านนึงแทน ด้านมืดของผมเอง
ผมเริ่มกลับบ้านไม่ตรงเวลา ปกติเรียนพิเศษสองทุ่มก็ตรงกลับบ้านทันที แต่มันไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไป
ผมเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ไปในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ผมเดินไปตามย่านผับดังของตัวเมือง แน่นอนเราจะเจอพวกด้านมืดกันในสถานที่แบบนี้ ผมเดินเข้าไปในซอยผับบาร์จนเกือบสุดซอยเจอกับกลุ่มผู้ชายวัยรุ่น การแต่งตัวที่แหวกแนวแฟชั่นเหมือนพวกญี่ปุ่น พวกพังค์ พวกร็อก นั่งสูบบุหรี่เปิดเพลงร็อกหนักๆ บิ้วด์ตัวเอง ผมจ้องมองคนพวกนั้นเหมือนถูกดูดลงไปในโลกของพวกเขา
รู้ตัวอีกทีผมกำลังจ้องมองผู้ชายผิวขาว ตัดสกินเฮด มีรอยสักเต็มแขน กำลังนั่งฉีดสเปรย์ที่กำแพง ลวดลายตามกำแพงดูแปลกตาและเข้าใจยาก มันเป็นรูปของชายหญิงที่แยกกันไม่ออกกำลังสมสู่กันเพราะดูยุ่งเหยิงเกินไปที่จะเรียกว่ากอดจูบ ที่นั่นผมได้รู้จักคำว่า ศิลป์ เป็นครั้งแรก ผมพยายามจะเข้าใจ มันคงกินเวลานานจนเจ้าตัวรู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่
“สนใจเหรอวะ” เจ้าของผลงานพูดกับผม น้ำเสียงเข้มทุ้มแต่ดูไม่คุกคาม กลุ่มคนพวกนั้นปิดเพลงแล้วหันมาสนใจผมแทน
ผมอึกอักทำตัวไม่ถูก รู้สึกกลัวขึ้นมา
“เอ่อ”
“เฮ้ย แค่ถามเฉยๆ ไม่ได้จะทำอะไรนะเนี่ย โห เด็กนักเรียนนี่หว่า มาแถวนี้ดูไม่ดีเลย” พี่คนนั้นหัวเราะใจดีขัดกับภาพลักษณ์
“.......” ผมไม่ตอบแค่มองไปรอบๆ อย่างแปลกตา กลุ่มคนพวกนั้นประมาณห้าถึงหกคนกวักมือเรียกผม
“ถึงพวกกูจะดูสกปรกแต่ไม่ทำร้ายเด็กๆ อย่างมึงหรอกน่า สนใจที่ไอ้กัสทำเหรอวะ” พี่อีกคนบุ้ยใบ้ไปที่ผู้ชายหน้าดุที่รู้ชื่อเมื่อครู่ พี่กัส
“มันคืออะไรเหรอครับ” ผมถามออกไปก่อนจะเดินเข้าไปหาพวกพี่กลุ่มนั้น พี่กัสแค่หัวเราะแล้วแกว่งกระป๋องสเปรย์ ผมย่นจมูกเพราะกลิ่นสเปรย์ พวกนี้ไม่เหม็นกันเลยหรือไง ผมสงสัยแต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็มีคำตอบ
“เขาเรียกว่ากราฟิตี้อาร์ต”
“สวยดีนะครับ”
“ดูออกเหรอวะ” พี่กัสมองผม
“ไม่ออกหรอกครับแค่รู้ว่ามันสวย” ผมตอบไปตามที่คิด บางครั้งศิลปะไม่ต้องใช้ตามองเพื่อบอกว่านั่นสวย นั่นไม่สวย นั่นเละ แต่มันต้องใช้สุนทรีย์ศาสตร์ในการมองศิลปะสักชิ้นหนึ่ง
“ว้าวๆ ตอบได้ดีไอ้น้อง สนใจร่วมก๊วนไหมพี่จะได้สอนให้ไง เอาเปล่าวะ” พี่กัสยักคิ้วให้แล้วยิ้มเป็นมิตรมาให้ผม
“สอนผมแน่นะพี่” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ
“เออน่า พวกพี่ไม่ใช่พวกมิจฉาชีพหรอก แล้วมึงเองก็ไม่มีอะไรให้กูเอาไป ได้เงินคงไม่เยอะหรอก มึงจะมีอะไรให้กูได้อีกวะ” พี่กัสหัวเราะแล้วโยนกระป๋องสเปรย์ให้ผมบ้าง ผมรับมาเขย่าๆ รับรู้ถึงมวลน้ำหนักที่อยู่ในกระป๋อง
“ชื่ออะไรวะ กูชื่อตอง” พี่อีกคนถาม
“ผมชื่อดีนครับ” ผมตอบ
“พี่ชื่อกัส แต่แปลกว่ะ คนอะไรชื่อดีน ฮ่าๆ”
บางทีนี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตผม
ผมคนที่เคยคิดว่าพฤติกรรมห่ามๆ พวกนี้เป็นสิ่งไม่ดีและดูรุนแรงในสายตาผม แต่แล้วผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักครั้งว่าทำไมผมถึงก้าวเข้ามาในโลกที่ผมเคยไม่ยอมรับและกลายเป็นว่าผมมองเรื่องความรุนแรงกระทบกระทั่งกันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยไปได้ เพราะผมมีบาดแผลในใจ ความขาดวิ่นเป็นรูเหวอะน่าเกลียดอยู่ในใจลึกๆ ที่ผมซ่อนไว้เพราะความรู้สึกอับอายที่ผมสู้พวกมันไม่ได้ นั่นล่ะเหตุผลที่แท้จริงมัน ไม่ใช่ความถูกต้องหรือยุติธรรมอะไรเลยทั้งนั้น ผมไม่ควรยอมแพ้หรือล้มลงให้คนแบบพวกนั้น

หลังจากที่ผมเจอกับกลุ่มพี่กัสผมเหมือนเข้ามาในอีกโลกนึงที่ผมไม่เคยเห็นไม่เคยรับรู้มาก่อน มีทั้งดีและเลวไปพร้อมๆ กัน พี่กัสบอกผมเสมอว่าเราเลือกที่จะปฏิเสธกับสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นมาให้เราได้แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นพี่กัสเองหรือคนเป็นแม่ก็ตาม เพราะเราเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายเลือกเองและตัวเราเองนั่นแหละที่จะต้องรับผิดชอบต่อผลของการเลือกของตัวเราเองให้ได้
ผมเปลี่ยนความคิดเรื่องการเรียนต่อสายวิทย์ ผมเคยตั้งใจอยากเรียนวิศวะคอมหรือสายวิทยาศาสตร์ แต่ผมกลับเจอสิ่งที่น่าสนใจกว่าและทำให้ผมค้นพบตัวตนของผมเจอได้ นั่นก็คือศิลปะ ผมชอบกลิ่นเก่าๆ ของแปรงสี กลิ่นเฟรมไม้ในโกดังของพี่กัสจนผมมองข้ามความรู้สึกเหล่านี้ไป เพราะคิดว่ามันอาจเป็นมิตรภาพของพี่กับน้อง ผมไม่เคยคิดว่ามันอาจเป็นความชอบที่มากกว่ามิตรภาพของผู้ชาย เพราะผมคิดมาตลอดว่าพี่กัสเป็นต้นแบบของผม เรียกว่าความประทับใจแรกได้ไหมนะ
ผู้ชายคนเดียวที่ผมเห็นว่าเท่ห์ เป็นผู้ชายที่มีรอยสักแล้วไม่น่ากลัวเลยสักนิด ทุกวันนี้ผมก็ยังเห็นเป็นแบบนั้นเหมือนเดิม พี่กัสชวนผมมาสักที่ร้านของพี่ตองเสียค่าสักถูกกว่าราคาตลาดและผมมีแบบอยู่ในใจแล้ว ผมเลือกสักที่ท้ายทอยต่ำลงมาพอให้เสื้อปิดได้ ผมสัหตัวอักษรสามตัวลงไปเหมือนแทนสิ่งที่ติดค้างในใจ
“ชื่ออะไรวะ” พี่กัสหยิบแบบร่างของผมขึ้นมาอ่านผมแค่ยิ้ม
“ไม่มีความหมายหรอกพี่ สักไปเถอะ” ผมตอบนิ่งๆ

หลังจากที่ผมสอบเข้ามหาลัยได้สำเร็จ พี่กัสก็หายไปจากชีวิตผม ผมไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากพี่กัสอีกเลย พี่ตองเพื่อนสนิทพี่กัสเองก็ไม่รู้
“เอาน่า มันไม่ได้ตายจากไปไหนหรอก ไอ้เชี่ยนั่นมันอินดี้จะตาย เดี๋ยวหายบ้ามันก็กลับมาเองแหละวะ มึงเองก็ตั้งใจเหอะ สมใจปรารถนาแล้วนี่” พี่ตองยิ้มให้ผมแต่ผมแค่รู้สึกแปลกๆ พี่กัสคงมีเรื่องที่ต้องทำแต่ไม่น่าจะหายไปโดยไม่บอกลาผมแบบนี้
เฮ้อ ผมแค่รู้สึกแย่เหมือนคนอกหักกลายๆ รู้สึกว่าท้ายที่สุดแล้วจะมีสักกี่คนที่อยู่ข้างๆ ผมไปจนวันสุดท้ายได้บ้าง พอคิดแบบนี้วนเวียนไปมาดูเหมือนว่าโลกใบนี้ชักไม่น่าอยู่และหม่นหมองซะเหลือเกิน

นั่นล่ะเรื่องเก่าๆ ของผม
อย่างที่บอก เรื่องบังเอิญ ผมไม่อยากเจอมากกว่าสองครั้งในชีวิตหรอก ถ้าเรื่อบังเอิญนั้น เป็นสิ่งที่ผมอยากพบเจอ ผมจะรู้สึกดีกว่านี้ และไม่ใช่กับคนที่ผมเกลียดหน้า
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Deen diary บทที่ 2 คนที่หายไปกลับมา
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 30-12-2015 17:57:13
Deen diary
บทที่ 2 คนที่หายไปกลับมา

ระยะหลังมานี้ผมไม่เป็นตัวเอง ทำอะไรออกมาได้ไม่ดีตามที่หวังไว้ ซึ่งมันทำให้ผมอารมณ์เสียอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ต้องอยู่ติดคณะบ่อยๆ เพราะงานของปีสี่คือศิลปนิพนธ์ อาจารย์มักมาตรวจความคืบหน้าอาทิตย์ล่ะครั้ง ทำให้ต้องกินนอนอยู่คณะจนกลายเป็นกิจวัตร คณะกลายเป็นหอพักหลังที่สองของทุกคนไป
ผมเจอหน้าไอ้แกนบ่อยขึ้นเพราะต้องอยู่ทำงานที่คณะ ซึ่งปกติผมกับมันมักหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าผม ว่ามันเป็นเรื่องตลกร้ายที่สุดที่เคยพบเจอ ผมหนีมันแทบตายแต่สุดท้ายต้องมาเจอหน้ามันอยู่สามสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกันอีก
แบบนี้มันยิ่งเกลียดยิ่งเจอชัดๆ
ผมอยากฝังเรื่องไอ้แกนด้วยเช่นกันแต่ก็ทำไม่ได้ ผมละทิ้งอคติ ความเกลียดชัง ความขัดแย้งเกี่ยวกับมันไม่ได้จริงๆ ในบางเวลาผมก็เกลียดตัวเองที่ต้องกลายเป็นคนประเภทนี้ไปได้
“เป็นอะไรวะ ทำหน้าเป็นตูดหมา” ไอ้ติเอ่ยถามก่อนจะลุกเดินจากเฟรมงานของตัวเองมาหาผม มันเป็นเพื่อนที่ดี มักสังเกตผมมากกว่าคนอื่นๆ มันเลยเข้าใจผมมากกว่าใครๆ
“แค่เซ็งๆ ว่ะ” ผมบอก
“เซ็งบ่อยนะมึง แล้วได้ข่าวว่ามึงกำลังตามหาใครอยู่วะ” มันถามอย่างสงสัย
“คนรู้จักน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ผมส่ายหน้า ไอ้ติพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจและไม่ก้าวก่ายในเรื่องนี้
“ไอ้แกนมาว่ะ” เสียงไอ้กรดังมาจากหน้าห้อง ผมเหลือบมองไปทางประตูอย่างไม่สบอารมณ์
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้แกนก็เหมือนๆ เดิม คือไม่คุยกันถ้าไม่จำเป็น ซึ่งก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่ต้องไปคุย ผมกับมันบาดหมางกันมาตั้งแต่มัธยมแต่ไม่มีใครรู้ คนอื่นๆ แค่คิดว่าผมไม่ชอบหน้ามันเพราะความคิดไม่ตรงกัน การชิงตำแหน่งประธานสโมฯ ผมไม่เคยเล่าว่าชีวิตวัยมัธยมบัดซบแค่ไหน ผมอยากให้คนอื่นจดจำผมได้แบบที่ต้องการ
“มีอะไรวะ” ไอ้กรเป็นฝ่ายพูดกับไอ้แกน มันก็เหมือนเดิม ขรึมๆ พูดน้อย สีหน้าบึ้งตึง
“กูมีเรื่องคุยกับไอ้ดีน” กลุ่มผมไม่ถูกชะตากับไอ้แกน อาจจะด้วยพวกมากลากไปหรือเคยกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย
“อย่างมึงเนี่ยนะ” ไอ้กรทำเสียงไม่เชื่อ มันหันมาหัวเราะกับคนอื่นๆ
“เออ” ไอ้แกนตอบสั้นๆ
“มีอะไร” ผมถามมันห้วนๆ แบบที่เคยใช้ ไอ้แกนมองมาที่ผมด้วยสายตานิ่งๆ ที่ผมไม่ชอบ มันนิ่งไปสักพักก่อนจะเปิดปากพูด
“ไม่ใช่ที่นี่ ข้างนอก”
“เอาไงดีมึง” ไอ้ติพูดกับผม ไอ้กรมองมาทางผมเหมือนต้องการคำตอบ
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูจัดการเอง” ผมพูดเบาๆ ก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้องสตู ไอ้แกนถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินนำหน้าไป ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันมาคุยกับผม อันที่จริงมันมาอธิบายเรื่องเก่าๆ สมัยมัธยมแต่มันไม่ได้ผลเพราะผมเบื่อที่จะฟังคนอย่างมันพล่าม
ไอ้แกนเดินมาคุยบนดาดฟ้าที่เงียบกริบ มีแต่กองไม้ที่ไม่ได้ใช้งาน ผมรอให้มันเริ่มต้นพูด
“กูไม่เข้าใจเลยว่ะ กูมาขอโทษมึงแต่มึงกลับทำตัวเหมือนเด็กๆ โตแล้วกูไม่อยากเสียเวลาพูด” มันเปิดฉาก ผมไม่สนใจจะฟังเท่าไหร่เพราะเนื้อหามันคงเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้มันมาทำแบบนี้เสมอๆ
‘การขอโทษ’ ผลลัพธ์สุดท้ายไม่จำเป็นต้องได้รับ ‘การไถ่โทษ’ หรอก
และคนอย่างผมไม่พูดแบบส่งเดชขอไปทีแน่ๆ
“คำขอโทษที่มึงพูดออกมาไม่ใช่เพราะว่ากูอยากฟังมึงเลยต้องทำแบบนั้น แต่มันต้องมาจากสำนึกของมึงเอง” และผมไม่ได้รู้สึกว่ามันสำนึกอะไร ก็แค่ไม่อยากค้างคาซะมากกว่า
“แล้วที่กูทำอยู่ล่ะ” มันไม่พอใจก่อนจะสะกดอารมณ์เดือดของตัวเองด้วยการเตะกระป๋องโค้กที่เรี่ยราดบริเวณนั้นกระเด็นไปไกล ผมกับมันไม่เคยมองหน้ากันตรงๆ สักครั้งเดียว ต่างฝ่ายต่างหลีกเลี่ยง มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด
“มึงแค่อยากปัดสวะให้พ้นตัว เหมือนมึงแบกของหนักแล้วอยากโยนทิ้งไปไกลๆ” ผมพูด ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร
“แล้วไงวะ” มันขมวดคิ้วถามเสียงขุ่นไม่พอใจ
“กูไม่ต้องการ” ผมบอกอย่างชัดเจนอีกครั้งแล้วมองไปทางไอ้แกน มันแค่มองหน้าผมไม่กี่วินาทีแล้วก็เบือนหนีไปอีกทางแทน
“ทำไมวะ มึงก็รู้ว่ากู เพื่อนกู ก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องคราวนั้น อีกอย่างนะ กูช่วยมึงทันจากไอ้พวกนั้นแล้ว มึงทำท่าเหมือนกับว่าเป็นเรื่องใหญ่นักหนา กูรู้ว่ากูก็ผิด” คราวนี้มันพูดต่างจากครั้งที่แล้ว ผมนิ่งเงียบไป
“กูจะบอกอะไรให้นะ กูกับมึงไม่เหมือนกัน ปัญหาของกูไม่เท่าปัญหาของมึง โอเคไหมวะ” ผมพูดให้มันเข้าใจ บางครั้งคนเราก็ต่างกันมากหมาย ถึงการเลี้ยงดูมาแต่ละครอบครัว พื้นฐานจิตใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน เรื่องใหญ่ของบางคนอาจกลายเป็นเรื่องเล็กของอีกคนก็ได้
“...” มันเงียบไป คำพูดของผมคงแทงใจมันน่าดู
“กูกับมึงญาติดีกันไม่ได้หรอก มีหลายๆ เรื่องที่มันยังขัดแย้งกันอยู่” พูดง่ายๆ ผมให้อภัยมันไม่ได้ต่างหากถึงผ่านมานานแล้วก็ตาม
“กูไม่ได้ต้องการเป็นเพื่อนหรือเป็นมิตรต่อกัน แค่มึงยอมลดทิฐิของมึงลงบ้าง มึงอยากให้มันค้างคาใจไปตลอดเลยหรือไง” ไม่หรอก ถ้าหากว่าผมกับมันไม่มาเจอกันเข้า มันก็ไม่มีวันคิดได้หรอก
“ทำไมวะ เดี๋ยวนี้มึงนอนไม่หลับมีชนักติดหลังหรือไง แต่คงจะใช่ มึงมันก็สร้างเรื่องไว้ไม่น้อยเลย เหนื่อยหน่อยนะกับความผิดของตัวเอง รู้ไหมมันทำให้กูคิดถึงอะไร กูนึกถึงตอนที่มึงมีเรื่องกับไอ้ท็อป อันที่จริงมันไม่ได้ทำผิดอะไรกับน้องสาวมึงมากมาย มันพยายามขอโทษมึงไม่ใช่เหรอ แต่มึงมันบ้าไม่ต้องการคำขอโทษ แล้วไง มึงก็ไม่เหลือเพื่อนดีๆ” ผมยอมรับว่าไอ้ท็อปมีข้อดีบ้างแต่ผมก็ไม่ชอบมันอยู่ดี แน่นอนว่าอคติล้วนๆ
ไอ้แกนชะงักไปเหมือนผมจี้ถูกจุด ทุกวันนี้มันก็ไม่กลับมาคุยกันอีก
“แทงใจดำล่ะสิ มึงคงเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้สินะ”
“มึงพูดถูกแล้วยังไงล่ะ มึงต้องการให้กูรู้สึกจนตรอกเหมือนมึงหรือไงกัน” ไอ้แกนหันมาถามตรงๆ ผมไหวไหล่มองไปข้างหน้า
‘ใช่’ ผมเองก็อยากให้มันรู้สึกแบบนั้นดูสักครั้ง จะได้รู้ว่าหมาจนตรอกน่ะมันเป็นยังไง
“มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่อยู่เงียบๆ อย่ามาล้ำเส้นกูอีกถ้าอยากให้เรื่องจบดีๆ” ผมพูดตัดบทมันแล้วเดินกลับไปทางเดิม
“มึงหนีไปให้ตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน” มันอุตส่าห์ตะโกนไล่หลังให้ผมได้ยิน

ผมไม่ได้กลับไปที่สตู สมาธิหลุด เข้าไปข้างในก็ทำงานไม่ได้อยู่ดี
แม่งเอ้ย ผมแค่อยากได้ใครสักคนที่เข้าใจผมในทุกๆ เรื่อง ปวดหัวระบมเลย ผมเข้าไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น บางเวลาผมก็นึกถึงไอ้สอง แค่นึกถึงเฉยๆ วิธีที่มันพูดสามารถทำให้คนสบายใจและรู้สึกดีขึ้นได้ เพราะมันพร้อมที่จะเข้าใจด้วยล่ะมั้ง ผมต้องการคนแบบนี้คนแบบไอ้สอง ไม่ใช่หรอก คนแบบพี่กัสหรือเปล่านะ
ชื่อนี้หายไปจากชีวิตผมสามสี่ปีแล้วหรืออาจจะมากกว่านั้น ผมไม่เคยได้ข่าวหรือการติดต่อจากอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย พี่กัส ผู้ชายที่เป็นต้นแบบให้แก่ผมและเป็นคนมีคำพูดดีๆ ให้ผมอยู่เสมอ บางครั้งคอยชี้แนะให้ผมเคยคิด หากว่าคืนนั้นผมไม่เจอกับกลุ่มพี่กัสเข้าผมอาจกลายเป็นคนที่แหลกเหลวกว่านี้ ผมอาจใช้ชีวิตอยู่ในเส้นทางอันตราย
ผมตามหาพี่กัสมาสองปีแต่ก็ไม่เจออะไร เคยเข้าไปที่สถานีตำรวจตรวจรายชื่อคนหายก็ไม่พบ จริงๆ แล้วผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่กัสเลย ชื่อจริง ที่อยู่ ผมไม่เคยรู้ พวกพี่กัสรวมกลุ่มกันอยู่ที่รถบ้านของพี่ตองเพื่อนสนิทของพี่กัส ผมเคยไปถามจากพี่ตองแต่พี่แกไม่รู้เหมือนกันและผมก็ไม่อยากคิดว่าพี่ตองจะปิดบังอะไรผม
หรือผมควรจะฝังเรื่องของพี่กัสให้จมไปกับอดีตเก่าๆ ของตัวเองไปเสียเลย
มนุษย์เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยส่วนตัวได้ง่ายๆ ผมเองไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ยกเว้นวิธีการคิด คำพูด และการวางตัว แต่นิสัยการกิน เรื่องที่เกลียดกลัว มันยังเหมือนเดิม ผมแค่สร้างตัวตนขึ้นมาใหม่เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของตัวเองก็เท่านั้น ผมไม่เคยตั้งคำถามว่าการทำเช่นนี้ขี้ขลาดหรือไม่?

หลังจบค่ายผมพยายามเข้าหาไอ้สองแบบชัดเจน ถ้าเป็นไอ้สองคนก่อนล่ะก็... ไม่ยาก
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่คนเดิมแล้ว ผมเข้าหามันไม่ได้ มันมีเกราะกำบังที่ดี 'ไอ้ท็อป' ทำไมผมต้องเจอน้ำหน้าแต่พวกเดิมๆ ผมโมโหตัวเองมาก ไม่คิดว่ามันจะกลับมาคบกันอีกครั้ง ไอ้ติบอกว่าผมพยายามมากเกินไป ผมควรหยุดมากกว่า ผมก็เห็นด้วยจะได้ไม่ทุเรศไปมากกว่านี้
ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสพูดคุยกับไอ้สองผมต้องกลับเอามาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ และผมก็ได้คำตอบ
ผมกำลังหนีต่างหาก ลึกๆ แล้วผมกลัวนิดหน่อย กลัวว่าจะสูญเสียความเป็นตัวเองอีกครั้งหนึ่งและก็ไม่รู้ว่าจะสามารถสร้างตัวตนขึ้นมาอีกได้หรือไม่ และคนที่จะทำลายตัวตนของผมก็คงไม่ใช่ใคร
ไอ้แกนนั่นแหละ
ผมเกลียดคำว่าบังเอิญที่สุด จะเป็นใครหน้าไหนก็ได้ที่ผมต้องเจอบ่อยๆ แต่ต้องไม่ใช่มัน ผมมาเจอมันอีกครั้งที่ลานจอดรถ มันกำลังปั่นฟิกเกียร์มาจอดและผมกำลังกลับบ้าน ดันต้องมาเจอกันอีก มันมายืนจ้องหน้าผม
“อะไรวะ” ผมอดโมโหไม่ได้
“คิดจะจีบไอ้สองจริงๆ เหรอวะ”
“มึงจะมาสนใจทำไมวะ เรื่องของกูแท้ๆ” ผมหัวเราะเบาๆ เตรียมสตาร์ทรถ
“มันคบกับไอ้ท็อปอยู่มึงก็รู้ จะทำไปเพื่ออะไร อยากเอาคืนไอ้ท็อปหรือไงวะ”
“กูไม่ใช่คนแบบมึงนะไอ้แกน อย่าคิดอะไรตื้นๆ แบบนั้น” ผมบอกมัน
ผมไม่บ้าขนาดนั้นหรอก หรือต่อให้ผมคิดจะจีบไอ้สองจริงๆ ผมก็แพ้ตั้งแต่เริ่มแล้ว มีแต่จะทำให้ไอ้สองเกลียดขี้หน้าผมมากกว่าเดิมน่ะสิ ผมเร่งเครื่องขี่รถออกไปก่อนที่มันจะอ้าปากพูดอีกครั้ง และผมก็เป็นฝ่ายหนีมันก่อนทุกครั้งอย่างที่เคยทำเพราะมันง่ายกว่าที่จะทนฟังมันพูด ผมไม่อยากคิดว่าในอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไง ไม่อยากคิดเรื่องของตัวเองหรือของใคร
บางทีผมควรจะหยุดทุกๆ เรื่องให้หมด เรียนให้จบ ไม่ต้องยุ่งกับใครอีก จากนั้นก็ไปอยู่ที่เงียบๆ ให้เวลาตัวเองสักระยะแล้วค่อยตั้งต้นใหม่แบบนี้จะดีไหมนะ แต่ผมก็ไม่มั่นใจในตัวเองเลย
หรือผมควรจะหาใครสักคนมารับฟังเรื่องของผม คนที่ผมนึกออกก็มีแค่ ไอ้สอง คนเดียวเท่านั้น
ทางเลือกนี้มันง่ายกว่าทุกหนทาง ผมมีทางเลือกเป็นของตัวเองผม ไม่เคยปัดมันทิ้ง หากว่ามันไม่ได้ผลผมคงต้องใช้ทางเลือกที่รองจากนี้ไปเรื่อยๆ ผมคิดทบทวนเรื่องราวของตนเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมกลายเป็นเด็กมีปัญหาหรือเปล่า ตั้งแต่เข้าเรียนมหาลัยผมไม่ได้กลับบ้านบ่อยนัก ล่าสุดคงเมื่อต้นปีที่แล้ว ดูเหมือนแม่ยังคงโกรธผมอยู่ที่ทำตัวเหลวไหล
ผมกลับมาพักผ่อนที่หอพักรู้สึกเหนื่อยล้า
ตืด ตืด ตืด
ผมหยิบโทรศัพท์มาดู พี่ตองโทรมา ผมรีบกดรับเพราะคิดว่าคงมีข่าวของพี่กัสแน่ๆ
“ว่าไงพี่”ผมรับสายด้วยความหวัง พยายามไม่แสดงออกในน้ำเสียงมากนัก
[เออ เจอไอ้กัสแล้วนะ] พี่ตองตอบกลับมาราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ผมนิ่งอึ้ง ทีแรกก็ดีใจ แต่ต่อมา ผมรู้สึกแปลกๆกับข่าวดีนี้ หลังจากที่เงียบไป ผมก็รีบเอ่ยขึ้น
“จริงเหรอพี่ แล้วอยู่ที่ไหนล่ะ”
[ใจเย็นๆ เดี๋ยวกูส่งเบอร์ไปให้จะได้คุยกับมันก่อนที่จะนัดเจอกัน] พี่ตองบอก
หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาทีพี่ตองก็ส่งเบอร์ติดต่อของพี่กัสมาให้ทางไลน์ ผมรู้สึกตื่นเต้นปะปนเหลือเชื่อ อยู่ๆ ก็โผล่หัวออกมาง่ายๆ ซะอย่างนั้น ผมลังเลที่จะโทรหาพี่กัส แต่ในเมื่อพี่เขากลับมาแล้วก็เป็นเรื่องดี ผมกดโทรออกเสียงรอสายยังคงเป็นเพลงเดิมเหมือนกับเบอร์เก่าคือ Stand by me เพลงโปรดพี่กัส
[ฮัลโหล] ปลายสายตอบกลับมา น้ำเสียงทุ้มที่ผมไม่ได้ยินมาหลายปี ทำเอาผมใจเต้นไปชั่วขณะ
“นี่ผมเองนะ ดีนไง” ผมบอก คนปลายสายเงียบไป ก่อนจะร้องดีใจทันทีที่รู้ว่าเป็นผม
[เฮ้ยไอ้ดีน นึกยังไงโทรมาหากูได้เนี่ย] พี่กัสหัวเราะ คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ผมขมวดคิ้ว
“อ้าว ก็เพิ่งได้เบอร์พี่มาเอง อีกอย่างนะ พี่หายไปตั้งหลายปีไม่ติดต่อมาบ้าง จะไปไหนไม่บอกสักคำ” ผมน้อยใจพี่แกที่ไปไหนไม่บอกกล่าวกัน
[เฮ้ยๆ ใจเย็นดิ รัวใส่เชียว โอเคๆ ขอโทษนะ พอดีว่าไปออกเดินทางมาน่ะ เสียดายน่าจะชวนมึงไปด้วย] ปลายสายพูดเสียงอ่อนลงมา ผมผ่อนคลายลง
“แล้วไม่ชวนล่ะ นึกว่าจะไม่กลับมาซะแล้ว”
[กลับสิ บ้านเกิดอยู่นี่จะให้ไปไหนกัน แล้วมึงเป็นยังไงบ้าง ปีสุดท้ายแล้วนี่หว่า]
“ครับ เหลือฝึกงานเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็ยื่นจบแล้ว แล้วพี่อยู่ที่ไหนไปหาได้เปล่า”
[เออ ได้สิวะ เจอกันทั้งทีไปร้านเหล้าไหมดีน แถวๆ มอก็ได้นะพี่มีธุระแถวนี้พอดี]
“ก็ได้พี่ แล้วผมจะจำพี่ได้ไหมเนี่ย ลืมหน้าตาไปแล้วว่ะ”
[ถุย สมองเสื่อมเหรอมึง เดี๋ยวกูใส่เสื้อสีแสดไปก็ได้ รับรองเห็นปุ๊บจำพี่ได้แน่ๆ]
“โอเคๆ งั้นเจอกันนะพี่”
ผมยิ้มอย่างยินดี ในที่สุดก็จะได้เจอพี่กัสเสียที ทำให้ผมเสียเวลาตามหามาสองสามปีแท้ๆ ที่ไหนได้ไปเที่ยวมาหรือไงกัน แถมเจ้าตัวลืมผมไปแล้วต่างหาก แม้จะรู้สึกแปลก ที่อีกฝ่ายโผล่มาง่ายๆ แบบนี้ หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรเข้าหรอกนะ
เมื่อถึงเวลานัด พี่กัสแกเลือกร้านเพลินซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งๆ ร้านเหล้าแถมเพิ่งปรับปรุงไปเมื่อไม่กี่เดือนนี่เอง คนแน่นทุกวัน แต่ตอนนี้เพิ่งหกโมงครึ่งคนจึงยังไม่เยอะเท่าไหร่ พี่กัสส่งข้อความมาว่านั่งอยู่โซนด้านนอกริมกาบขวา ผมเดินหาโต๊ะก็เจอกับผู้ชายผมยาวประบ่าฟูๆ นิดหน่อยแต่ไม่ดูกระเซิง ใส่เสื้อสีแสดแสบตาจริงๆ ด้วยผมโบกมือให้เจ้าตัวเห็นแล้วเดินตรงไปหา แม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้าหลายปีแต่พี่กัสก็ยังคงเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะทำผมทรงใหม่ก็ตาม แต่ลักษณะรูปร่างนั้นยังเหมือนเดิม
“โตขึ้นเยอะเลยว่ะ” พี่กัสยิ้มเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะก่อนจะนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม บนโต๊ะมีอาหารสองสามอย่างแล้ว นิสัยพี่กัสคล้ายๆ กับผมเพราะกินง่ายๆ ไม่ได้ชอบเมนูอะไรเป็นพิเศษ
“ผ่านมากี่ปีแล้วครับ” ผมยิ้มก่อนจะมองสำรวจอีกฝ่ายอีกครั้ง รอยสักยังคงอยู่ มีเพิ่มเติมลงมาตามแขนข้างขวาเท่านั้น
“ห้าปีแล้ว กูจำได้น่า ตอนนั้นยังไม่หล่อเท่านี้เลยนะเว้ย” พี่กัสมองผมแล้วหัวเราะไปด้วย
“พี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะเนี่ย แล้วสบายดีไหม” ผมถามขณะที่พี่กัสรินเบียร์ให้ผมแก้วใหญ่
“สบายดีเรื่อยๆ เปื่อยๆ ตามอารมณ์” พี่กัสไหวไหล่นั่งจิบเบียร์สบายๆ เหมือนคนกันเอง ผิดกับผมที่ออกจะเกร็งๆ เหมือนคนไม่คุ้นเคย
“ติสท์ไม่เลิกนะพี่ แล้วหายไปไหนมา” ผมถามเข้าเรื่องอยากรู้ว่าสองสามปีพี่เขาหายไปทำอะไร ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าพี่แกหนีคดีอะไรหรือเปล่า แต่คงไม่ใช่แน่ๆ
“ก็ไปเมืองนอกมา” พี่กัสยื่นหน้ามาใกล้เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้แทน
“เล่นมุกหรือพูดจริง” ผมถามตรงๆ เพราะท่าทางอีกฝ่ายดูเหมือนจะเมานิดๆ
“จริงสิ ใกล้ๆ นี่เอง ฟิลิปปินส์ นี่เพิ่งกลับมาได้ไม่ถึงปี ตะลอนๆ ไปทั่วจนวกกลับมาบ้าน”
“อืม ฟังดูน่าสนุก” ผมยิ้ม ตะลอนไปเรื่อยๆ จนติดเป็นนิสัย
“ไม่หรอก มีอุปสรรคนิดหน่อยงานเลยกร่อย แล้วมึงล่ะสบายดีไหมวะ” พี่กัสมองหน้าผมก่อนจะกอดอกมอง
“ก็โอเค” ผมตอบก่อนจะยกแก้วเบียร์มาดื่มบ้าง ปล่อยให้พี่กัสดื่มอยู่ฝ่ายเดียวมานาน
“จริงเหรอวะ ดูจากสีหน้าและแววตาแล้วคงมีเรื่องแน่ๆ” พี่กัสชี้นิ้วมาทางผมอย่างคาดคะเนไว้แล้วหรือไม่ก็ฟังมาจากคนอื่น
“เปล่า สบายดี” ผมยิ้มให้ จะบอกยังไงดีล่ะ ผมเองก็กำลังกังวลเรื่องพี่ด้วยส่วนหนึ่ง ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่ดีใจเท่าไหร่กับการกลับมาของอีกฝ่าย เหมือนกับพี่กัสเองก็ไม่ได้ดีใจที่เจอผม ที่แสดงออกมามันดูฝืนๆ ชอบกล
“ริอาจโกหกอาจารย์ได้ยังไงกัน กูสอนมึงมากับตัวนะเว้ย” พี่กัสจ้องไม่เลิกรา
“ก็เรื่องเรียนนั่นแหละ” ผมส่ายหน้าเอาเรื่องเรียนมาอ้างคงง่ายสุด
“ซีเรียสเรื่องเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไหนว่าเอาแค่พอผ่านไงวะ” พี่กัสหัวเราะเบาๆ ส่งยิ้มเหมือนรู้ทัน
“รู้ได้ไงเนี่ย”
“ไอ้ตองบอก” พี่กัสตอบ
“พี่ตองติดต่อพี่ตลอดเลยเหรอ” ผมแปลกใจ
“ไม่ใช่หรอก มันเพิ่งฟ้องกูเมื่อวานนี้เอง เล่าเรื่องมึงให้ฟังจนหูแฉะ” ผมพยักหน้าเข้าใจแต่ไม่ปักใจเชื่อ พี่ตองโกหกว่าไม่ได้ติดต่อพี่กัสเลย แต่ตอนนี้ผมมั่นใจว่าพี่ตองรู้มาตลอดและพี่กัสเองก็รู้เรื่องของผมดีไม่น้อย
“พี่ตองนะพี่ตอง เล่าเรื่องอะไรให้ฟังล่ะนั่น” ผมหัวเราะไปตามเรื่องก่อนจะเหลือบมองอีกฝ่ายในระหว่างนั้นไปด้วย พี่กัสแค่ขมวดคิ้วทำหน้าขรึมขึ้นมา
“แล้วมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เล่าให้กูฟังได้นะ ถึงกูจะหายหัวไปนานแต่ก็ยังเป็นห่วงมึงเหมือนเดิม” ผมเองก็เชื่ออย่างนั้น
“พี่ตองไม่ได้เล่าให้ฟังหรือไง” ผมย้อนถามบ้าง
“เรื่องอะไร? มันก็พล่ามทุกเรื่อง”
“ก็เรื่องไอ้แกนไง” ผมโมโหน้ำเสียงเลยกระแทกกระทั้นไปตามอารมณ์
“อ๋อ เรื่องนี้น่ะเหรอที่มึงกังวลน่ะ ทำไมวะ ต่างคนต่างอยู่ก็โอเคแล้วนี่” พี่กัสถอนหายใจหมุนแก้วเบียร์ในมืออย่างใจลอยจนไม่ได้สังเกตว่าผมมองอยู่นาน
“มันมาขอโทษผม แต่ผมไม่คิดว่ามันอยากขอโทษผมจริงๆ หรอก” ผมนึกถึงมันแล้วก็อารมณ์เสียผมเลยไม่ชอบที่จะเห็นหน้ามันเท่าไหร่
“ทำไมถึงทิฐิสูงแบบนี้วะ มาขอโทษก็ดีแล้วนี่” พี่กัสดึงความสนใจมาที่ผมเหมือนเดิม
“ไม่รู้สิ ใจผมยังไม่ยอมยกโทษให้” ให้ตายยังไงก็คงไม่คลายความเกลียดลงได้ ถึงผมจะพยายามมองถึงเรื่องดีๆ ของมันแล้วก็ตาม แต่เรื่องเก่าๆ มันก็ตามมาให้นึกถึง
“อย่ายึดติดกับเรื่องเก่าๆ เลยว่ะดีน มันจะทำให้มึงไม่หลุดพ้นเสียที มึงจมดิ่งมามากเพราะไอ้คนที่ชื่อแกน” พี่กัสพูดสีหน้าดูเป็นห่วง
“......” ผมไม่ตอบอะไร มีหลายๆ เรื่องที่ผมเคยทำไม่ดี สาเหตุมาจากมันเป็นส่วนใหญ่ทั้งนั้น จะมาโทษว่าผมอ่อนแอฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก
“มึงเลือกที่จะลืมมันได้นะดีน แต่มึงกลับเลือกจะฝังมันลงที่ใจมึงซะอย่างนั้น กูเพิ่งรู้ไม่กี่ปีว่าที่มึงสักตัวอักษรนั้นคือชื่อมัน” พี่กัสทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจผม
“ใช่ ผมก็เกือบลืมไปแล้วว่าเคยสักชื่อมันไว้ ตอนนั้นสัญญาว่าจนตายก็ไม่ลืมในเวลานั้น ผมยังหน้ามืดตามัวโกรธเกลียดมันมากจริงๆ" ผมแค่เป็นเด็กโง่ บ้านแตกอีกต่างหาก แม่ไม่พูดจากับผมเลยนับจากนั้น
“สมใจแล้วนี่ จนตายก็ไม่ลืมเพราะต้องเจอกันอยู่นี่ไง”
“นั่นสิ” ผมตลกในโชคชะตาหรือว่าเรื่องบังเอิญกันแน่ แต่แค่ความบังเอิญมันจะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้เลยหรือ ถ้าเป็นโชคชะตาผมก็เกลียดมากๆ เหมือนเป็นโชคร้ายของผม
จากที่ควรจะสนุกกลายเป็นต้องมาเจ็บใจตัวเองเพราะเรื่องนี้ ผมกับพี่กัสไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ปล่อยให้จมกับความคิดของตัวเอง
“พอๆ มาฉลองให้กูดีกว่า” พี่กัสตบมือสองสามครั้งก่อนจะสั่งเบียร์มาอีกเหยือก
“โอเค” ผมยิ้ม “พี่กลับมาอยู่กับพี่ตองเหรอ” ผมเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง พี่กัสพยักหน้า
“อือ ขอค้างบ้านมันสองสามคืนก่อน”
หลังจากที่ทานอิ่ม ดื่มเบียร์หมดไปสองเหยือก มื้อนี้พี่กัสเลี้ยง จากนั้นผมกับพี่กัสเลยออกไปขี่รถเล่นในตัวเมืองแถวตลาดรถไฟก่อนจะแวะไปซอยที่พี่กัสเคยคุมเมื่อสองสามปีก่อน ซึ่งเดี๋ยวนี้ทางอำเภอเปลี่ยนให้เป็นถนนสร้างสรรค์มีพวกลานเต้น cover dance ต่างๆ วงดนตรี แล้วก็พวกกราฟิตี้ตามกำแพงยังคงมีลวดลายใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
“คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ เลยว่ะ” พี่กัสมองไปตามกำแพงที่มีเรื่องราวทั้งเก่าและใหม่ปรากฏอยู่
“แต่รูปเก่าๆ ยังอยู่นะ” ผมบอก
“ดีนะเจ้าหน้าที่ยังมองว่ามันเป็นศิลปะ” พี่กัสหัวเราะแล้วคว้ากระป๋องสีที่ตกตามพื้นมาถือแล้วเขย่าๆ เสียงลูกกลิ้งดังชัดเจน น้ำยาคงหมดไปแล้ว
“กลับมาบ้านพี่ทำงานอะไร” ผมถามขณะที่มองรูปบนกำแพง
“กูกะว่าจะเปิดร้านแกลเลอรีผสมกับทำชอปกีตาร์ด้วยหุ้นกับเพื่อน” พี่กัสหันมาตอบก่อนจะขว้างกระป๋องสเปรย์ลงถังขยะอย่างแม่นยำ
“เจ๋งว่ะ เปิดร้านวันไหนบอกด้วยนะเดี๋ยวผมไปประเดิม” ผมบอกอย่างสนใจ
“อีกไม่นานหรอก ตอนนี้เหลือตกแต่ง ไปทำด้วยกันไหม อยากได้หลายๆ ไอเดีย” พี่กัสชวน หันมองผมยิ้มๆ
“น่าสนดีแต่ต้องบอกก่อนนะว่าวันไหน ผมมีงานใหญ่ด้วย”
“โอเค ใช้แรงงานมึงไม่กี่วันหรอก เออ มึงมีแฟนหรือยังวะ” พี่กัสเดินไปนั่งที่บันไดหน้าอาคารพาณิชย์เก่าๆ ที่มีประตูอลูมิเนียมเลื่อนปิดและมันถูกพ่นกราฟิตี้สีสดใสไว้ ผมเดินไปนั่งข้างๆ มองคนเดินไปมา
“ก็เรื่อยๆ” ผมตอบอย่างไม่สนใจนัก เรื่องของความรัก ดูเหมือนผมจะเป็นคนอับโชค
“เรื่อยๆ นี่คือไม่เป็นตัวเป็นตนสินะ สาวแท้หรือชายเทียม” พี่กัสตบไหล่ผม
“โหพี่ ผมมันใจกว้าง ชอบคนไหนก็คนนั้นแหละ” ผมตอบแบบนี้เสมอถ้ามีคนถามอะไรทำนองนี้ ตอบแบบกำปั้นทุบดิน
“แสดงว่าไหลไปเรื่อยน่ะสิมึง ระวังหลุดมือไปแล้วจับกลับมาไม่ได้นะเว้ย” พี่กัสพูด
“ยังไม่เจอคนที่ใช่ก็หาไปเรื่อยๆ ไง” ผมบอกไปตามตรง เวลาเจอคนที่ใช่ อีกฝ่ายก็ไม่ใช่ของเราไปแล้ว แบบนั้นผมก็แห้วเหมือนเดิม
“เจ้าชู้ดีๆ นี่เอง” พี่กัสส่ายหน้า
“แล้วพี่ล่ะ หายไปนานได้เมียมาเป็นตัวเป็นตนแล้วมั้ง” ผมแซว พี่กัสทำหน้าเหมือนเจอของแสลง
“กูเนี่ยนะ เลี้ยงใครไม่รอดซะมากกว่า เลี้ยงตัวเองง่ายกว่าเยอะ”
“ว่าจะถามตั้งนานแล้ว ทำไมพี่ถึงหายไปไม่บอกกันเลย” ผมอยากรู้ว่าทำไม คำถามแบบนี้มันสำคัญสำหรับผมเพราะพี่กัสเหมือนคนสำคัญอันดับต้นๆ ของผมในเวลานั้่น
“มันกะทันหัน อีกอย่างมึงเองก็กำลังไปรายงานตัวที่มอนี่หว่า กำลังไปได้สวยไม่เห็นต้องมาสนใจเรื่องกูเลย กูหมายถึงกูมันเป็นพวกอยู่ไปทั่วงานไม่มีให้ทำก็เลยอยากออกไปที่ไหนสักที่ กูชอบเป็นแบบนี้แหละ ไม่ค่อยได้บอกลาใครเพราะกูไม่ชอบ แล้วที่สำคัญกูไม่ได้ไปแล้วไปลับสุดท้ายกูก็กลับมาไง” พี่กัสหันมายิ้มให้
“งั้นเหรอ” ผมเงียบ
“เป็นอะไรไป มึงดูซึมๆ” พี่กัสถาม
บางครั้งผมถามตัวเองว่าพี่กัสไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่ ที่ผ่านมาผมถามตัวเองหลายครั้งว่าผมคิดกับพี่กัสแบบไหน พี่ชายหรือเป็นแค่เพื่อน หรือมากกว่านั้น และผมก็ได้คำตอบตอนที่พี่กัสหายหัวไป ผมแค่รู้สึกเคว้งไปอีกรอบและอยากให้พี่แกกลับมา
“ง่วงแล้วมั้ง จะอยู่ต่อไหมพี่” ผมถามเพราะพี่กัสไม่ยอมรับรู้เสียทีทั้งๆ ที่ก็น่าจะรู้ดี
“มาไม่ถึงชั่วโมงเลย เปลืองน้ำมันรถ กูยังไม่อยากกลับ” พี่กัสนิ่วหน้า
“งั้นก็เดินเล่นแถวนี้ก่อน” ผมบอกอารมณ์ไม่ดีอีกรอบ
“พรุ่งนี้มีเรียนไหม” อีกฝ่ายถาม
“ไม่มี แต่ต้องเข้าไปทำงานที่คณะ” ผมบอก
“อืม ดีเลย งั้นอยู่ค้างกับกูก่อนไหม” พี่กัสชวน หันมามองผมอยู่นาน
“พี่ยังอยู่แถวนี้เหรอ” ผมแปลกใจ
“พูดผิด บ้านไอ้ตอง” พี่กัสยิ้ม บ้านพี่ตองคือรถบ้านเก่าๆ ที่โชคดีที่ได้การตกแต่งดีๆ จากพี่กัสให้พอดูเป็นบ้านได้
“ไม่เอาล่ะ กลับหอน่าจะดีกว่า” ผมไม่อยากค้างบ้านพี่ตองเพราะอึดอัดกับสี่เหลี่ยมแคบๆ นึกถึงความแออัดของข้าวของเครื่องใช้แล้วผมมึนหัว
“อะไรกัน กูอุตส่าห์ชวน มีเรื่องจะคุยด้วย” พี่กัสทำเสียงขุ่น มองผมราวกับกำลังกดดันทางอ้อม ผมนิ่งคิด
“ตอนนี้ก็ว่างๆ อยู่คุยตอนนี้ได้นะพี่” ผมบอกอย่างนึกรำคาญและหวังว่าเจ้าตัวคงไม่ทันสังเกต
“จะได้นอนคุยกันไง” พี่กัสพูดเบาๆ ทำหน้าเหมือนมีเลศนัย ผมชะงักไป ก่อนจะเหลียวมองอีกฝ่าย พยายามเก็บอาการตกใจไว้
“อย่าคิดลึกสิ เหมือนเมื่อก่อนไง นอนคุยกันเพลินดี” พี่กัสยิ้ม ผมไม่แน่ใจกับรอยยิ้มนั่นเลย ผมตามอารมณ์อีกฝ่ายไม่ทัน
“ตามใจ” ผมพยักหน้า และตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen diary 3 #30.12.58 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 30-12-2015 18:41:01
 :katai2-1:   ขอบคุณมากค่ะ
คนเขียนสู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen diary 3 #30.12.58 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 30-12-2015 18:41:26
แกนดีน คู่นี้จะลงเอยกันยังไงนะ แถมเรื่องพี่กัสอีก  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen diary 3 #30.12.58 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 30-12-2015 18:59:07
ตอนนี้ลุ้นกับเรื่องพี่ดีนเฮียแกนมากจริงๆไม่รู้ว่าบทสรุปมันจะจบที่ตรงไหน แต่ถึงขั้นเล่นยานี่ก็ไม่น่าปลื้มเท่าไหร่นะพี่ดีน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen diary 3 #30.12.58 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: kjkjji ที่ 30-12-2015 20:01:05
หวายยยยย จะบอกว่าเคยอ่านเรื่องนี้ตอนช่วงแรกๆแล้วก็ไม่ได้อ่านอีกเลย เพราะเนือเรื่องมันเริ่มเครียด แบบกลัวใจในทุกทาง แต่วันนี้ได้ลองกดเข้ามาอ่านดูใหม่ คืออยากกรีดร้องง มันดีมากอ่ะ เราชอบฝ่ายรับของคุณมากเลย ทั้งพี่ท็อป? ผิง ดีน (?) แบบแต่ละคนแมนมาก คือที่พูดนี่ก็ไม่รู้เป็นรับรึเปล่านะ แค่บรรยากาศมันให้ เลยคิดว่าน่าจะ.. 555555 คือเอาเข้าจริงน้องสองแม่งมุ้งมิ้ง คิดเยอะ นิสัยผู้หญิงกว่าพี่ท็อปอีกอ่ะ เผลอๆจะพรุนกว่าด้วย แต่ชอบตอนพี่ท็อปรับ มันกร๊าวยังไงบอกไม่ถูก เดี๋ยวไว้มีเวลามากกว่านี้จะกลับไปอ่านช่วงที่เว้นไปนะคะ ไม่ค่อยถูกกับเรื่องที่คิดเยอะๆเลย ฮือ นี่ลองอ่านย้อนตอนหลังสุดมาได้สาม สี่ตอน 555 ขนาดที่ว่า อ่านแล้วแบบ พี่ดีนนี่ใครวะ!?เลยนะ แต่คือตอนนี้ชอบพี่แกอ่ะ เชียร์ๆ ขอให้ได้ขอให้โดน คือไม่นึกว่าเฮียแกนจะมีคู่ด้วยซ้ำตอนแรก(รึเปล่า หรือไม่มี? หรือมันเป็นเรื่องของมิตรภาพเฉยๆ?) เราชอบเคมีคู่่นี้ ยิมผิงก็ชอบถึงตอนอ่านตอนนู้นจะนึกว่ายิมโผล่มาเป็นตัวประกอบก็เถอะ 555555 คู่หลักเค้าดูไม่มีที่ให้ใครมาแทรกเลยอ่ะค่ะ จริงๆปัญหาของทุกคู่คือคิดเยอะไปนะ แต่ก็ดูมีมิติดี สู้ๆนะคะคนแต่ง รออ่านต่อน๊า
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen diary 3 #30.12.58 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: คุณลิ้นจี่ ที่ 30-12-2015 22:11:43
คู่ดีนนี่จะลงเอยกันยังไง เเต่ก็เชียร์คู่นี้นะ
ส่วนยิมผิงน่ารักดี รออออ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen diary 3 #30.12.58 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 30-12-2015 23:13:55
เมื่อกี้ไอ้ตองหรอ”พี่ตองเดินนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาก่อนจะมองไปที่ประตูที่ปิดสนิท “ใช่พี่ กวนประสาท”

ตรงนี้น่าจะเป็นพี่กัสเดินนุ่งผ้าเช็คตัวออกมาเปล่าอ่ะเพราะพี่กัสพูด


เชียร์แกนมากกว่าพี่กัสอีก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 4
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 01-01-2016 15:10:53
  -ผิง-
ตอนที่ 4 ออกทริปครั้งแรก (ต่อ)

  รุ่งเช้าของอีกวันหนาวจนผมไม่อยากลุกออกจากใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ไอ้ยิมมันทรหดมากลุกไปอาบน้ำได้ยังไง มันเปิดเต็นท์ออกแล้วปลุกผมแรงๆ ด้วยการเอาน้ำเย็นมาหยดใส่หน้าผม แน่นอนว่ามันได้ผลดีทีเดียว
"หนาวนะเว้ย...ของีบอีกสักแป๊บนะ" ผมล้มตัวลงไปนอนต่อเพราะอากาศหนาวจนทำให้ผมขี้เกียจคูณสอง ไอ้ยิมมันดึงผ้าห่มออกจากตัวผมแล้วยื่นมือเย็นๆ ทั้งสองขางออกมาจับหน้าผมไว้
“ให้ไว มัวยืดยาดกูทิ้งไว้นี่แหละ” มันทำหน้าดุก่อนจะเก็บของใส่กระเป๋าเป้เสียงดังกุกกักให้ผมได้รำคาญ 
"โอเคๆ" ผมจำใจลุกขึ้นมานั่งเหม่อลอยสักสองสามนาทีตามความชินก่อนจะเก็บของใช้ใส่กระเป๋า แต่ก็คุ้มค่าที่ตื่นตอนเช้า เพราะเจอกับแสงยามเช้า ไอหมอกสวยกับกาแฟร้อนพร้อมปาท่องโก๋เพิ่งทอดใหม่ๆ
เมื่อเช็คเอ้าท์เป็นที่เรียบร้อย ไอ้ยิมพาผมไปทานมื้อเช้าในร้านอาหารที่อ่างเก็บน้ำเพราะจะได้เห็นวิวสวยๆ ของแสงอาทิตย์ยามเช้า แม้จะไม่ได้ดูตอนตะวันขึ้นก็เถอะ ก่อนจะออกจากตัวเมืองแม่สอดต้องแวะซื้อน้ำพริกกุ้งของขึ้นชื่ออีกอย่างนึงก่อน ไปริมเมยก็เกือบสายๆ หน่อย ส่วนใหญ่ของขึ้นชื่อเป็นเอกลักษณ์ของตลาดริมเมยน่าจะเป็นพวกงานไม้ งานแกะสลักแล้วก็พวกเครื่องประดับอัญมณี 
ผมแวะไปที่ร้านเสื้อผ้าชาวเขา หรือเสื้อแม้วที่คนที่นี่เรียกกัน
“ยิม อะ ของขวัญจากกู” ผมสะกิดมันแล้วยื่นหมวกแบบชาวเขาให้ อีกฝ่ายทำหน้านิ่งไม่ตอบสนองอะไร ผมหัวเราะ “ก็สวยดีออก มาทำเมินเดี๋ยวกูจะซื้อใส่ให้มึงดูเอง” ผมบอกมันที่เดินหนีไปร้านอื่นแล้ว แต่ซื้อหมวกมาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร ผมซื้อกระเป๋าสะพายสีสันพอประมาณ แบบสีน้ำตาลอ่อนปักลายแบบชาวเขา ผมเดินตามหลังไอ้ยิมไป มันเดินไปดูพวกของฝากจุกจิกที่ไม่ใช่แนวผมเลย แต่งานไม้ของที่นี่สวยจริงๆ พวกลายตามกระจก
ไอ้ยิมหยุดบริเวณร้านอัญมณีที่ส่วนใหญ่มาจากฝั่งพม่า มีทั้งนิล หยก มรกต ทับทิม เพชร ระรานตาไปหมด
“จะซื้อเหรอวะ” ผมถามมัน
“ป๊ากับม้าฝากซื้อ” มันบอกก่อนจะหยิบหยกสีเขียวสวยขึ้นมาดู ผมไม่ชินกับเครื่องประดับอะไรแบบนี้เลยปล่อยให้มันเลือกไปก่อน ในที่สุดสิ่งที่ผมอยากได้ก็อยู่ที่ร้านนี้ ร้านขายของโบราณ พวกนาฬิกาแบบแขวน แบบลูกตุ้ม แบบตั้งโต๊ะก็มีหมด สีไม้เก่าๆ คลาสสิกดี ผมเลยต้องกระเป๋าแฟบไปอีกเพราะของพวกนี้ ซื้อไปฝากไอ้สองกับไอ้โก๋อีก 
ของขึ้นชื่อของชาวพม่าก็คือทะนะคา มีทั้งแบบผงแบบเป็นตัดเป็นท่อนๆ เป็นเครื่องประทินโฉมของสาวพม่า สังเกตสาวพม่าผิวหน้าจะเนียนไม่มีสิวเลยจริงๆ ผมว่าเราติดภาพลักษณ์คนพม่าว่าต้องสกปรกตัวดำแต่มันไม่ใช่ เพราะพม่ามีหลายเชื้อชาติมาก พม่าสายรามัญก็จะขาวๆ ผมว่าจะซื้อไปทาหน้าตอนนอนน่าจะช่วยบำรุงหนังหน้าผมได้บ้าง
ไอ้ยิมหายไปนานมากเกือบครึ่งชั่วโมง ทิ้งให้ผมเดินคนเดียวอีก ผมเลยเดินซอกแซกไปเรื่อยๆ ของกินไม่ค่อยได้ซื้อ ยกเว้นปลาหัวยุ่ง กลิ่นแรงมากแต่เวลาเอามาทอดแล้วมันจะอร่อยมาก ของหายากของเมืองแม่สอดเช่นกัน กำลังเลือกของเพลินๆ มีมือดีมาดึงไหล่ผมเบาๆ ไม่ต้องเดาว่าใคร พี่แว่นของเรานี่เอง มันกลับมาพร้อมถุงของซะเต็มมือ ไม่รู้ว่าแวะซื้ออะไรมาบ้าง
“นึกว่าหายไปไหน” มันขมวดคิ้วมองหน้าผมก่อนจะหยิบปลาขึ้นมาดมแล้วก็ย่นจมูก แล้ววางกลับลงที่เดิม
“มึงนั่นแหละ ทิ้งกู...” ขี้เกียจเถียงกันเลยถือโอกาสลากมันไปที่ร้านที่ขายพวกงานไม้แกะสลักรูปปั้น ผมสนใจหุ่นเชิดพม่า คล้ายๆ กับหุ่นเชิดของรามเกียรติ์ แต่อันนี้จะเป็นแบบพม่าเลย หาดูยากนะผมว่า
“แล้วไง จะเอาไปแต่งห้องเหรอ” มันถามซื่อๆ
“เก็บไว้ดู แต่กูเงินไม่พอ ออกให้ก่อนดิแล้วเดี๋ยวจะใช้คืน” ผมกระซิบกับมัน นี่แหละคือเหตุผลที่ผมลากตัวมันมา ไอ้ยิมหัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องคืนก็ได้ แต่---”
“ไม่ต้องมีแต่ มึงเมมโมรี่ไว้ในสมองเลยแล้วกูจะใช้คืนแน่นอน” ผมขัดคอก่อนที่มันจะตั้งเงื่อนไขแปลกๆ มาใช้กับผมเพื่อหาเศษหาเลย ไอ้ยิมมันร้ายลึกนะ เห็นแว่นๆ แบบนี้
สุดท้ายมันก็เป็นป๋าใจปล้ำจ่ายเงินให้ผมเป็นที่เรียบร้อย แต่มันดูจะไม่เข้าใจที่ผมอยากได้หุ่นเชิดนี่ไปทำไมกัน
“ก็สมเป็นมึงดีนะ บ้าๆ บอๆ” ดูมันว่าร้ายใส่ผม แบบนี้มันน่าจะหักอกมันซะให้เข็ดหลาบ หลอกเอาเงินอะไรแบบนี้ แต่ไอ้ยิมมันก็ไม่โง่ให้หลอกง่ายๆ อีก ไม่รับรักมันคงทำง่ายกว่า...ล่ะมั้ง

ก่อนจะข้ามไปเมียวดีต้องแวะกินกระเพาะปลาคนละถ้วย จากนั้นแวะที่สำนักงานออกหนังสือผ่านแดนชั่วคราว บัตรผ่านแดนใช้ได้แค่ครั้งเดียว (ไป-กลับ) มีรถให้เหมาเป็นรถตู้ รถสองแถว มีไกด์นำเที่ยวราคาพันกว่าบาท แต่ผมกับไอ้ยิมอยากไปเองมากกว่าเลยขึ้นรถสองแถวไปแล้วค่อยลงเดิน แต่ต้องกลับมาก่อน 5 โมงเย็นและห้ามถ่ายรูปสถานที่ราชการของพม่าด้วย มองไปที่แม่น้ำเมยก็ไม่เยอะเท่าไหร่ มีพม่าแอบว่ายน้ำข้ามมาฝั่งไทยยังได้เลย ลงจากสะพานต้องเสียค่าธรรมเนียมตรงด่านเมียวดี สวยกว่าฝั่งไทยอีกแน่ะ สภาพบ้านเมืองตึกฝั่งเมียวดีแออัดและการจราจรก็คึกคักดี
จากด่านตรวจ ทริปแรกในเมียวดีคือ วัดเจดีย์ทอง เป็นวัดศิลปะมอญพม่า สีสันจะทองอร่าม เจดีย์เยอะดี จากนั้นไหว้พระสักหน่อย ไอ้ยิมก็เงียบๆ ของมันไป ไม่รู้มันอธิษฐานขอพรอะไรตั้งนานสองนาน ผมหยิบกล้องของไอ้ยิมมาเปิดดู มีรูปเยอะมากแต่ไม่ยักมีผมสักกะรูปเดียว
“อะไร มองหน้า” มันยิ้มเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“หุย ถ่ายแต่สาวพม่าไม่เห็นมีกูสักรูป” ผมคืนกล้องให้มันแต่ไม่ได้ซีเรียสอะไร ผมไม่ชอบถ่ายรูป อีกอย่างตลกหน้าตัวเองเวลายิ้ม
“ไม่เห็นต้องถ่าย มีให้เห็นอยู่ทุกวัน” มันพูดหน้านิ่ง แหม มั่นใจด้วย
“พูดมาได้ไม่อายปาก” ผมหัวเราะก๊ากก่อนจะเดินไปดูรอบๆ วิหาร

พระนอนของวัดนี้ใบหน้าจะสวยมาก ไม่เหมือนของไทย จากที่สังเกตพวกศิลปะทางพม่าจะเน้นสีทองและการแกะลายรายละเอียดยิบย่อยตรงเสาวิหาร ทัวร์วัดต่อไปคือวัดจระเข้ คราวนี้นั่งสามล้อไป เสีย 20 บาท บอกว่าวัดอยู่ไกลประมาณสองกิโล ไอ้ยิมก็เอ๋อๆ เพราะคนขับเดินตามอยู่นั่น พอมาถึงจริงๆ เดินมายังได้ไม่ถึงหนึ่งกิโลด้วยซ้ำ ข้ามถนนแล้วก็เดินเข้าซอยฝั่งตรงข้ามก็ถึงวัดแล้ว จุดเด่นของวัดคือรูปปั้นจระเข้ขนาดใหญ่อยู่ภายในวัด และวิวหลังวัดยังมองไปเห็นวัดเจดีย์ทองอยู่บนเนินเขา สถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากจะเป็นวัดทั้งนั้นและทุกๆ วัดของเมียวดีจะมีเจดีย์เหมือนๆ กันหมดจนผมรู้สึกเอียนๆ กับวัดซะแล้ว
“แวะไปดูอย่างอื่นบ้างดีไหม เมืองนี้มีอะไรให้ดูอีก” ผมถามไอ้ยิมหลังจากที่เดินออกจากวัดจระเข้ มันก็คงเบื่อๆ
“ลองเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้มั้ง เห็นว่ามีตลาดบุเรงนองด้วย เหมือนที่ริมเมยเลยแต่น่าจะมีของอร่อยๆ ให้กิน” ไอ้ยิมหันมาพูด ผมมองไปรอบๆ บ้านเมืองที่คึกคักจนออกจะวุ่นวายเพราะรถราวิ่งกันให้ควั่ก อย่างที่รู้เรื่องการจราจรของพม่า ผมหยิบแว่นกันแดดออกมาสวมเพราะแดดร้อนพอๆ กับไทย
“กูพาคนตาบอดมาด้วยเหรอไง” มันไม่วายมาแขวะผม
“จะชมว่าหล่อก็พูดมาเถอะ” ผมยิ้มเท่ห์ให้มัน...
จากนั้นเราแวะไปที่ตลาดบุเรงนอง ก็จะคล้ายๆ กับที่ตลาดริมเมย มีพวกอาหารเป็นส่วนใหญ่ ผมกับไอ้ยิมจึงตัดสินใจกลับฝั่งไทย ไปพักผ่อนเพื่อไปทัวร์ทริปต่อไป

จากที่ว่าจะอยู่เที่ยวในตัวเมืองแม่สอดแต่แล้วก็เปลี่ยนแผนกะทันหัน ในเมื่อไปดูวัดพม่ามาจนเต็มอิ่มแล้วเลยขับรถออกจากแม่สอดลงมาพักแถวที่มูเซอโฮมสเตย์แล้วค่อยไปต่อที่เขื่อนภูมิพล มาถึงที่พักเกือบห้าโมงเย็น พอถึงห้องก็โดดขึ้นเตียงใครเตียงมันเพราะล้าจากการเดินที่เมียวดี บรรยากาศที่โฮมสเตย์ดีมาก ยิ่งหนาวๆ ยิ่งดูสวยกลืนไปกับธรรมชาติ ห้องพักมีไม่เยอะมากนัก มีลานให้เดินเล่นกว้างขวางเป็นเนินสูงต่ำเพราะเป็นเขตภูเขา มองจากหน้าประตูห้องยังเห็นทิวเขาชัดเลยล่ะ เจ้าของที่พักบอกว่ามีสวนสตรอเบอรี่เล็กๆ ด้วย สามารถลงไปดูได้
ไอ้ยิมถอดแว่นก่อนจะเตรียมตัวอาบน้ำ ผมแค่นอนมองมันหยิบจับนู่นนั่นอยู่เงียบๆ
“มองอะไร”
“มองมึงไง ทำไมหวงเหรอ ไม่ได้โป๊ซะหน่อย” ผมหัวเราะแล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียง ไอ้ยิมไม่ได้พูดอะไรแค่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
“เออ มึงสั่งข้าวเลยก็ได้นะถ้าหิว” อีกฝ่ายตะโกนมาจากห้องน้ำ เสียงน้ำกระทบพื้นแว่วให้ได้ยินออกมา ผมว่างๆ เลยโทรสั่งของว่างมาสองสามอย่างเพราะของที่ซื้อมาจากตลาดก็เหลือเฟือ ส่วนมากเป็นผลไม้มากกว่า
ไอ้ยิมอาบน้ำนานมาก ผมเลยถอดเสื้อผ้ารอ อย่าคิดลึกล่ะ พันผ้าเช็ดตัวใส่บอกเซอร์ไว้ด้านในอีกชั้นหนึงเผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผมเคาะประตูห้องน้ำรัวๆ
“อาบนานจังวะยิม หนาวโว้ย” ผมบอกขนลุกซู่ซ่าเชียว ตอนนี้กำลังอารมณ์ดีๆ อยู่เดี๋ยวอารมณ์บูดขึ้นมาจะขี้เกียจอาบน้ำเอา มันจะทำให้ผมโคตรซกมก
“แป๊บนึงดิ” มันส่งเสียงเหมือนโดนขัดใจ ห้องน้ำเงียบไปสงสัยกำลังแต่งตัว ผมรอมันอยู่หน้าประตูพลางเคาะเป็นจังหวะ และแล้วมันก็เสด็จออกมาจนได้ แต่มันเปลือยท่อนบนออกมาเลยแฮะ นึกว่าจะแต่งตัวด้านใน
“อ่าว นึกว่าแต่งตัวในห้องน้ำซะอีก” ผมมองงงๆ เหลือบมองหุ่นมันด้วย ไม่ได้พิศวาสแต่แค่เห็นว่าหุ่นมันก็พอใช้ได้
“ลืมหยิบกางเกงเข้าไป”
“จริงดิ กางลิงล่ะสิท่าถึงไม่กล้าให้กูหยิบให้ ใช่ไหมๆ” ผมได้โอกาสล้อมันให้สนุกปาก
“ไปอาบน้ำเหอะมึง” มันโยนผ้าเช็ดตัวพับอยู่บนเก้าอี้มาให้ผม
“เอ้า ก็แค่ถามอะ ตอบเด้ สงสัยจะตัวเล็กแหง”
“ไอ้เชี่ยนี่...” มันตรงดิ่งมาหาผมทำท่าเหมือนจะเตะ ผมหัวเราะปิดท้ายก่อนจะรีบปิดประตูห้องน้ำอย่างทันท่วงที ตลกดีเห็นมันหงุดหงิด
น้ำเย็นจี๋แต่มันก็สดชื่นกว่าใช้น้ำอุ่นอาบ เลยจัดน้ำเย็นๆ ซะตาสว่างหายเพลียกันเลย ผมได้ยินเสียงเคาะห้อง สงสัยอาหารจะมาแล้ว แค่ข้าวต้มปลามาคนละถ้วย หลังจากที่เสียงพูดคุยเงียบไปพร้อมๆ กับเสียงปิดประตู
“ไอ้ยิมมม” ผมนึกสนุกอยากแกล้งไอ้ยิมนิดๆ หน่อยๆ ก่อนนอน
“อะไรอีก” มันตอบมาห้วนๆ
“หยิบกางเกงในให้กูหน่อยดิ ในกระเป๋าอะ” ผมตะโกนบอก คิดว่ามันไม่มาวุ่นวายกับข้าวของส่วนตัวของผมหรอกโดยเฉพาะกางเกงใน
“...อย่ามาตลก กูเห็นมึงถือเข้าไปแล้ว” เสียงไอ้ยิมดังอยู่ใกล้ๆ แสดงว่ามันเดินมาอยู่ที่ห้องน้ำแล้ว
“เหรอ แสดงว่าแอบมอง” มันทุบประตูห้องน้ำสองสามครั้งก่อนจะเงียบเสียงไป ผมรีบใส่เสื้อผ้าก่อนจะออกมาจากห้องน้ำเห็นไอ้ยิมนั่งกินข้าวต้มอยู่เงียบๆ
“ไม่รอกูเลย” ผมเดินไปทาแป้งแล้วเอาผ้าเช็ดตัวไปพาดกับราวแขวนก่อนจะมานั่งที่เก้าอี้ว่างอีกตัว 
“มึงช้าเอง” มันย่นคิ้วมองก่อนจะดันถ้วยข้าวต้มมาให้ผม ข้าวต้มร้อนๆ ตอนนี้มันก็ดีอยู่หรอก เติมพลังได้ดี
“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งกินเงียบๆ
“เป็นอะไร” ไอ้ยิมเหลือบมองมาทางผมแล้วรินน้ำใส่แก้วให้ตัวเองด้วยกับให้ผมอีกแก้วนึง
“เปล่า” ผมไหวไหล่ตักข้าวต้มเข้าปาก
“...ถ้ายังไม่ง่วงออกไปเดินเล่นไหม” มันชวนเหมือนหาเรื่องคุยมากกว่า ผมมองนาฬิกา ตอนนี้สองทุ่มครึ่งแล้ว อากาศคงไม่เอื้อเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้องแม้ว่าจะเมื่อยแขนและขานิดๆ ก็เถอะ
“หนาวๆ แบบนี้เหรอ” ผมถาม
“ก็มึงดูเบื่อ” ไอ้ยิมมอง
“เปล่าหรอก แค่หมดเรื่องแกล้งมึงน่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ อันที่จริงผมอยากหาเรื่องแกล้งไอ้ยิมดูบ้าง อยากรู้ปฏิกิริยาตอบกลับของมันว่าจะแสดงออกมาอารมณ์ไหน
“ทำตัวเป็นเด็กนะมึง” มันบ่นเบาๆ แต่เหมือนจะยิ้มมากกว่า คนที่ทำตัวเป็นเด็กคือมันต่างหาก
ระหว่างนั้นต่างคนต่างกินข้าวต้มไปเงียบๆ ไอ้ยิมมันคงคิดว่าผมเบื่อมันแน่ๆ แต่ผมก็เบื่อจริงๆ นั่นแหละ เบื่อที่ไม่มีอะไรทำมากกว่า
“ฟ้ามืดๆ แบบนี้จะเห็นดาวไหมวะ” ผมพูดลอยๆ ที่นี่ไม่ได้มีตึกระฟ้า เป็นเมืองที่เงียบสงบ ท้องฟ้าคงโปร่งไม่มีอะไรมาบดบังทิวทัศน์
“เห็นสิ ฟ้าคงเปิดมากกว่า”
“มึงดูดาวเป็นไหมวะ” ผมถาม อยากลองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ทำด้วยกันกับไอ้ยิมดูบ้างเพื่อความสัมพันธ์ดีๆ
“ฮึ ไม่เป็น มึงดูเป็นเหรอ” ไอ้ยิมดูแปลกใจ
“แน่นอน”
“อย่าบอกนะว่าดาวลูกไก่” มันพูดอย่างไม่มั่นใจ
“อย่าดูถูกน่า มึงบอกถูกหรือเปล่าล่ะว่ามันอยู่ตรงไหน” ผมท้า เดาได้เลยว่ามันไม่รู้หรอก
“...จำไม่ได้แล้ว” มันตอบอ้อมๆ แล้วหันไปสนใจถ้วยข้าวต้มแทน
“ดีเลย เดี๋ยวกูจะชี้ให้มึงดูเอง” ผมบอกก่อนจะลุกไปเปิดประตูห้อง อากาศด้านนอกหนาวได้ที่ ผมมองไปที่ท้องฟ้ากว้างเห็นดาวชัดเจน
“เออ เห็นดาวแจ่มเลย” ผมเดินเข้ามาในห้อง รีบสวมเสื้อแขนยาวกับผ้าห่มผืนบางมาถือไว้
“จะออกไปดูเหรอวะ”
“เออดิ ไปเดินเล่นด้วยไง อิ่มยัง จะได้ไปดูตรงลานหน้าห้องพัก” ผมบอก ยืนรอไอ้ยิมที่เดินไปหยิบเสื้อแขนยาวตัวหนาๆ มาสวม
“มึงมันบ้าๆ บอๆ จริงด้วย” ไอ้ยิมส่ายหน้าแล้วเดินตามผมออกมา อากาศเย็นมาก ออกจะชื้นๆ นิดหน่อย ผืนหญ้าใต้รองเท้าดูชุ่มช่ำอาจเป็นเพราะน้ำค้างเกาะ ผมลากไอ้ยิมมาที่ใจกลางของลานหญ้า เหมือนว่าห้องอื่นๆ อุดอู้อยู่ด้านในเพียงอย่างเดียว ถึงจะหนาวแต่บรรยากาศดีจะตายไป ผมเดินมานั่งที่ขอนไม้เปียกแฉะ ไอ้ยิมกอดอกเพราะหนาวเย็นก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ ผม
“ไหนล่ะ ลองชี้ให้ดูหน่อย”
“แป๊บนะ กูไม่รู้เหนือใต้ ที่จริงมันมีแอฟดูดาวด้วยนะเว้ย แค่ส่องๆ ไปที่ท้องฟ้ามันก็บอกเลยว่าเจอดาวอะไร”
“มีด้วยเหรอ”
“มีดิ แต่กูลบไปแล้ว ตอนนั้นไม่มีคนดูด้วย ใครจะไปนึกล่ ว่าตอนนี้จะมีคนดูด้วย” ขอหยอดมันหน่อยเดี๋ยวจะหาว่าผมไม่ตอบสนองต่อมัน ไอ้ยิมขำหึๆ
“แหวะ”
“ดีใจล่ะสิ ...กูว่ามันต้องนอนว่ะ” ผมบอกเพราะแหงนคอมองแบบนี้ก็เมื่อยพอดี ไอ้ยิมทำหน้าแปลกๆ
“ตรงนี้เนี่ยนะ มึงบ้ารึเปล่า” ไอ้ยิมทำหน้ามึนๆ ขัดกับบุคลิก
“นี่ไง กูเอาผ้าห่มมาด้วยพอดี ถ้าหนาวมึงเอาไปห่มเลย” ผมบอกแล้วเดินไปตรงกลางหาจุดยอดฟ้าซึ่งดาวต่างๆ จะเคลื่อนที่จากทิศตะวันออกข้ามศีรษะไปทิศตะวันตก ณ จุดนี้ ดาวเหนือจะอยู่ที่ขอบฟ้าทิศเหนือ พอผมเลือกมุมดีๆ ได้ก่อนจะนั่งลงกับพื้นหญ้า “ไอ้ยิม” ผมกวักมือเรียก
กลุ่มดาวที่ดูง่ายๆ เห็นจะมีดาวนายพราน ดาวหมีใหญ่หรือคนไทยเรียกดาวจระเข้ แค่มองหาดาวเหนือที่เส้นขอบฟ้าก็น่าจะบอกทิศผมได้นะ อีกฝ่ายเดินมานั่งข้างๆ ผม ก่อนจะแบ่งกันห่มผ้าแก้หนาว
“มึงต้องการแว่นขยายไหม” ผมแซวมันเล่น ไอ้ยิมขยับแว่นแล้วหัวตีหัวผมเบาๆ ซะงั้น
“ที่กูไม่ชอบดูดาวก็แบบนี้” เจ้าตัวส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะดึงแว่นออกมาเช็ดๆ แล้วใส่กลับตามเดิม
“ข้ออ้างหรือเปล่า ดูไม่เป็นก็บอกมาเหอะ จะบอกอะไรให้แค่ดูดาวไถเป็น ก็เจอดาวอื่นๆ ได้ง่ายๆ ” ผมบอกมัน
“อ๋อ ที่มันมีสามดวงเรียงกันใช่ป่ะ กูคุ้นๆ อยู่” ไอ้ยิมชี้มือไปยังดาวบนท้องฟ้าสามจุดเรียงกัน แนวเดียวกับระยะสายตาของผม
“เออ นั่นแหละ ” ผมพูดก่อนจะมองท้องฟ้าสีครามเข้มเจือแสงสว่างจากแสงจันทร์ ผมชี้ให้อีกฝ่ายดูดาวสามดวงเรียงเป็นเส้นตรง “จากตรงนี้มันจะกลายเป็นดาวเต่า” ถัดจากดาวสามดวงแล้วจะมีดาวสี่ดวงสว่างๆ เรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อแทนขาเต่าสี่ข้าง “เห็นไหมยิม...เนี่ย” ผมชี้
ไอ้ยิมมองตามแล้วพยักหน้า “เห็นละ เนี่ยนะดาวเต่า... ไม่เห็นเหมือน” มันเอียงคอไปมาเพื่อหามุมที่ดูเป็นเต่าที่สุดล่ะมั้ง ผมหัวเราะ
“ต่อมาก็เป็นดาวนายพราน กูเจอตลอดเลยนะเว้ย สังเกตง่ายๆ เข็มขัดนายพรานคือไอ้ดาวไถเนี่ยล่ะ ...แล้วมันจะมีกระปู๋ห้อยลงมาดวงหนึ่ง” ผมคิดแบบนี้มันเลยเจอง่ายไง ไอ้ยิมหันมามองหน้าผม
“ทะลึ่งนะมึง”
“เอ้า ก็จริงนี่หว่า มันมีดาวดวงหนึ่งห้อยลงมาใต้เข็มขัด...มึงเจอหรือยัง” ผมมองอีกฝ่าย ก่อนจะมองท้องฟ้าต่อ จากดาวเต่ากลายเป็นดาวนายพรานเมื่อมีดาวหนึ่งดวงเหนือสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็คือหัวนายพราน และมีหัวไหล่ ถ้ามองดาวนายพรานจะไม่มีดาวเต่าหรือดาวไถเพราะมองเป็นลักษณะกลุ่มดาวใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจน
“เออว่ะ คล้ายๆ อยู่” ไอ้ยิมหัวเราะชอบใจ ผมมองไปทั่วท้องฟ้า เห็นดาวชัดมาก บางทีก็ดูผิดดูถูก แต่ดาวลูกไก่หาง่ายสุดแล้ว แค่หากลุ่มดาวที่มันกระจุกตัวกันเจ็ดดวง พอมองจากท้องฟ้าของจริงมันอยู่ห่างจากดาวนายพรานมาก 
“อยากดูอีกไหม”
“มึงก็ดูเป็นนี่” มันตอบไม่ตรงคำถามนะเนี่ย
“มั่วๆ ไป แต่ไม่รู้หรอกว่าชื่อดาวอะไรในกลุ่มดาวเนี่ย...มึงเงยหน้าขึ้นดิ นั่นไงดาวสิงโต” ผมชี้มือไปด้านบนท้องฟ้าเพราะถ้าแหงนหน้ามองขึ้นไปตรงจุดเหนือศีรษะ จะมองเห็นกลุ่มดาวสิงโตพอดี ลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์คือดาวที่เรียงตัวกันโค้งเป็นรูปเคียวซึ่งคือส่วนหัวของสิงโต หรือที่เราเคยได้ยินเกี่ยวกับฝนดาวตกลีโอนิกส์ที่มีทุกปี (ซึ่งปีที่แล้วผมอุตส่าห์ถ่างตาเอาเวลานอนตอนตีหนึ่งเพื่อมาดูฝนดาวตกบ้าบอนี่แต่ไม่เห็นสักกะดวงเดียว อาจเพราะฟ้าไม่เปิดด้วย ซึ่งคืนวันนั้นตกมาดวงเดียวและผมก็ไม่ทันเห็น เฮ้อ)
“ไม่เห็น ดูยังไงวะ” ไอ้ยิมทำหน้างง ผมหยิบโทรศัพท์มาส่องไฟใส่หน้ามัน มันทำย่นหน้าเพราะแสงสว่าง
“นั่นไง รูปเคียวดาวสี่ดวง โค้งๆ ไง” ผมชี้มือเป็นรูปเหนือศีรษะ ไอ้ยิมมันหาเรื่องตีสนิทชิดแก้มผมหรือเปล่าวะเนี่ย เพราะมันขยับมาใกล้เกินไป
“อ๋อ นั่นน่ะเหรอ กูตาไม่ดีนี่หว่า จะเห็นทุกครั้งที่มึงบอกเลยหรือไง” มันเลิกมองด้านบนก่อนจะขยับคอไปมาเพราะเมื่อย ผมมองหน้ามันแบบจับผิด
“เรื้อนนะมึง”
“อะไรมึง แหม ยังไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย” ในที่สุดมันก็เผยเจตนาแอบแฝงของมันออกมา ผมดึงผ้าห่มออกจากตัวมัน
“มึงนี่มันเป็นไอ้แว่นหื่นๆ”
“อย่าเอากูไปเปรียบเปรยแบบนั้นนะ ไม่ใช่เว้ย” มันทำหน้าจริงจังด้วย ผมไหวไหล่ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพราะนั่งนานไป นอกจากจะหนาวแล้วยังเปื้อนดินอีกต่างหากเพราะหญ้ามันเปียกชื้นไปหมด ไอ้ยิมทำสำออยไม่ยอมลุกอีก มันยื่นมือมาให้ผม
“โตเป็นควายแท้ๆ อะๆ ตามใจ” ผมดึงมือให้มันลุกขึ้นยืน ตัวก็หนักอีกแน่ะ ไอ้ยิมเผลอยิ้มออกมา
“ไปนอนได้แล้วพรุ่งนี้เดินทางแต่เช้าจะได้เห็นวิวสวยๆ ที่เขื่อนไง แดดจะได้ไม่แรงด้วย” มันบอกแล้วเดินกลับห้องพักมาข้างๆ ผม
“คนละอำเภอกันเลยนะ เปลืองน้ำมันฉิบ กูเกรงใจเดี๋ยวออกค่าน้ำมันครึ่งนึงก็ได้” ผมบอก รู้สึกเกรงใจมันนิดหน่อยจริงๆ
“ตามใจ งั้นมึงมีหนี้เพิ่มขึ้นอีกน่ะสิ อย่าลืมนับรวมกับของเก่าด้วยล่ะ” มันสะกิดแขนผมราวกับว่าผมจะลืมหนี้มัน
“เออน่า ถ้ามีก็ใช้คืนเองแหละ”
“มึงใช้คำว่า ‘ถ้า’ เหรอ” มันยิ้ม
“เออนั่นแหละ” ผมรีบตัดบทแล้วตรงเข้าไปในห้องเปลี่ยนกางเกงเป็นขายาวซะหน่อยจะได้อุ่นๆ ไอ้ยิมเดินไปนอนอีกเตียงฝั่งติดกับหน้าต่าง ผมเข้าไปล้างหน้าล้างตาแล้วทาครีมทะนะคาที่ซื้อมาเพื่อทดลองคุณภาพซะหน่อย ผมทาครีมให้ทั่วใบหน้าจนเนียน เอาผงแป้งมาโปะๆ สองแก้มซะหน่อยก่อนจะเดินกลับมาที่เตียง ไอ้ยิมกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่
“จะปิดไฟดวงใหญ่ไหม” ผมถาม เดินไปที่สวิตซ์ไฟ ไอ้ยิมเงยหน้ามองผมก่อนจะทำหน้าแปลกๆ
“มึงทาอะไร” มันถามก่อนทำจมูกฟุดฟิด
“ทะนะคาไง หอมดีนะ” ผมบอกมันแล้วปิดไฟเหลือแค่ไฟเหนือเตียงเท่านั้น ไอ้ยิมมองผมตาเขม็ง
“เพี้ยน”
“ใช้แล้วหน้าเนียนนะเว้ย แล้วอย่ามาชมกูทีหลังนะ” ผมหัวเราะก่อนจะนอนลงบนเตียง ไอ้ยิมทำหน้าเหมือนจะขำ มันวางโทรศัพท์ลงก่อนจะหันหน้ามาทางผม
“อยากให้กูชมเหรอ”
“ไม่หรอก ทำไมกูต้องทำแบบนั้น ไม่แน่คนอื่นอาจจะชมก็ได้” ผมพูดเสียงสูง อันที่จริงผมเอามาทาเพราะเห็นว่ามันช่วยลดสิวลดหน้ามัน ผมไม่ได้ดูแลหนังหน้ามานานแล้ว อย่างมากก็แค่ใช้โฟมล้างหน้าเท่านั้น ผมเองไม่ใช่พวกสำอาง
“หึ ใครจะชมมึง” ไอ้ยิมทำหน้าขำ
“ไม่รู้ อาจจะมีก็ได้” ผมหัวเราะตาม ก็คงไม่มีใครมาชมผมหรอกเอาเข้าจริงๆ
คงจะมีแต่..... ไอ้ยิมล่ะมั้ง แหวะ~~
“มึงตลกว่ะ” มันยิ้มมองผมด้วยสายตามีชีวิตชีวา ผมยิ้มให้มันก่อนจะพลิกตัวนอนหงาย ในขณะนั้นผมกับมันไม่ได้พูดอะไรกันอีก
“กู๊ดไนท์ ไอ้ยิม” ผมหันไปพูดกับมัน
“อือ กู๊ดไนท์” ไอ้ยิมถอดแว่นตาออกวางที่โต๊ะเตี้ยๆ ที่อยู่ตรงกลาง แล้วนอนหลับเงียบๆ
ผมนอนฟังเสียงธรรมชาติยามดึกพร้อมๆ กับเสียงหายใจของไอ้ยิมไปด้วย ในแต่ละวันของผมกับไอ้ยิมดูจะผ่านไปนานในความรู้สึก ผมชอบช่วงเวลาที่สนุกสนาน มีชีวิตชีวาแบบนี้ ผมรู้ว่าไอ้ยิมเองก็พยายามปรับตัวเพื่อให้เข้ากับผมมากขึ้น ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย ผมชอบมันที่เป็นไอ้ยิมคนเดิมนี่แหละ คนที่เงียบๆ ขรึมๆ บางอารมณ์ออกจะกวนนิดๆ ผมว่ามันก็มีเสน่ห์ดี
รอให้ได้โอกาสดีๆ แล้วผมจะบอกมันเองว่ามันควรอยู่ที่จุดไหน มันจะได้ไม่ต้องพยายามมากเกินไป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing (3) part 1 #01.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 01-01-2016 15:32:01
 :katai2-1:   เข้าใกล้หนทางสีม่วงเข้าไปอีกนิดแล้วล่ะผิง. มีกอดเนียนๆ
พอหลับแล้วใครจะกอดใครก็ไม่รู้
สุขสันต์วันปีใหม่นะคะคนเขียน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing (3) part 1 #01.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 01-01-2016 22:33:31
คู่ยิมผิงนี่ทำเอาเราอยากไปแม่สอดเลย เคยคิดว่าอยากไปสักครั้ง แต่เจอคู่นี้ต้องเปลี่ยนเป็นต้องไปสักครั้งแล้ววว อิอิ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing (3) part 1 #01.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 01-01-2016 23:34:33
ให้เวลาน้องผิงเขาหน่อยพี่ยิม :z1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing (3) part 1 #01.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 02-01-2016 08:01:33
ก็หวานละมุนละไมสไตล์ผู้ชายแมนๆล่ะนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing (3) part 1 #01.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: Sirada_T ที่ 03-01-2016 01:09:42
โอ๊ย ชอบอ่ะ คนเราต้องมีอะไรเป็นครั้งแรกเสมอ แฟนผู้ชายก็เช่นกันนะผิง 5555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing (3) part 2 #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 05-01-2016 01:59:43
-ผิง-
ตอนที่ 4 ออกทริปครั้งแรก (ต่อ)

ตั้งแต่มาเที่ยวกับมันผมได้แต่คิดวนเวียนอยู่หลายครั้งว่าควรตอบแทนมันยังไงดี ผมไม่รู้ว่ามันชอบอะไรไม่ชอบอะไร อยากตอบแทนน้ำใจมันบ้าง หรือว่าควรจะขอบคุณธรรมดาๆ แต่เรื่องระหว่างผมกับมันไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ ‘ธรรมดา’ นี่หว่า อาจจะเป็นอะไรที่พิเศษๆ ในแบบของผมก็แล้วกัน
ค่ำคืนนี้ทำเอาผมข่มตานอนไม่หลับ ...เป็นคืนที่สองซะแล้วสิ ขืนเป็นแบบนี้ผมคงหมดสนุกสำหรับทริปในวันพรุ่งนี้แน่ๆ แต่จะให้ทำยังไงก็คนมันนอนไม่หลับ ผมหลับตาลงแต่ในหัวยังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องของไอ้ยิมไปจนกว่าร่างกายมันจะเหนื่อยล้าและหลับไปเอง....

ผมถูกปลุก เรียกว่าทั้งเขย่าทั้งผลักซะมากกว่า เมื่อมองนาฬิกาก็พบว่าเพิ่งหกโมงกว่าๆ เป็นเช้าอันหนาวเหน็บจริงๆ ไม่รู้มันจะรีบไปไหน ผมล้างหน้าแปรงฟันไม่อาบน้ำตามเคย... ก็ไม่ได้สกปรกอะไร ไอ้ยิมมองผมด้วยสายตาเหมือนจะรังเกียจแต่คงไม่ใช่ ก็มันชอบผมนี่ ใช่ไหมล่ะ แค่นี้มันคงไม่รังเกียจรังงอนอะไร
“บอกแล้วว่าเสื้อผ้าใส่พอ” ผมบอกมันขณะที่เก็บของใส่กระเป๋า ไอ้ยิมส่ายหน้า
“เอาที่มึงสบายใจเถอะ ดีนะที่ยังล้างหน้าแปรงฟัน” มันแอบเหน็บ
“มึงก็เว่อร์ไป” ผมขำมัน
จากนั้นก็ไปเช็คเอ้าท์ทานข้าวต้มร้อนๆ ก่อนออกเดินทาง ไอ้ยิมซัดกาแฟร้อนไปหนึ่งแก้วครึ่ง (ของผมอีกครึ่งนึง) ผมนั่งนับเงินในกระเป๋าระหว่างอยู่ในรถ หมดไปหลายพันเหมือนกัน นี่ถ้าไม่ได้ไอ้ยิมช่วยอีกคงอดไปอีกทั้งเดือน ไอ้ยิมเหลือบมองก่อนจะยิ้มแล้วตีหน้านิ่งตามเดิม
“เหลือเท่าไหร่ล่ะ พกมาเป็นล้านหรือไงนับแล้วนับอีก” มันไม่วายว่าผมอีก ผมหันไปมองมันอย่างหมั่นไส้ ถ้าทำได้คงตบหัวมันแรงๆ สักสองสามที แต่มันขับรถอยู่เดี๋ยวดับอนาถ
“ไอ้เวรนี่ เดี๋ยวเหอะ” ผมหันไปมองวิวข้างทางแทน
“โกรธด้วยเหรอนั่น” มันยังหัวเราะอยู่
“เดี๋ยวกูเมินแล้วจะเสียใจ”
“นอกจากกูแล้ว มีใครอีกที่จะจีบมึง”
“โอ้ย มีแหละน่า มึงว่ากูหน้าเหียกขนาดไม่มีใครเอาเลยหรือไง” ผมย่นหน้าตาม
“แล้วทำไมถึงโสด” ไอ้ยิมได้ทีก็ย้อนผมกลับมา เล่นเอาไปไม่เป็น
“เพราะกูคัดแล้วคัดอีกไง”
“หึหึ คัดมึงออกน่ะสิ”
“ทำไมมึงชอบกัดกูจัง เป็นหมาเหรอหา”
“ตลก กูเนี่ยนะหมา ยังไม่ได้กัดจริงๆ จังๆ เลย” อุ้ย กล้าเล่นมุกด้วยแน่ะ นับถือมันเลย ทำใจดีด้วยหน่อยแม่งไม่ปล่อยเลย
“วู้ พี่แว่นกูได้ใจจริงๆ”
“หิวว่ะ” มันบ่นก่อนจะหันมามองผมอีก ผมเหลือบไปมองเบาะหลังขนมมีเยอะแยะ ไหนพวกจะผลไม้อีก ผมมองหน้าไอ้ยิมสลับกับผลไม้ไปพลางก่อนจะเอื้อมไปหยิบสตรอเบอรี่ออกมาหนึ่งถุง 
“อยากให้ป้อนว่างั้น” ผมยิ้ม
“มือกูว่างไหมล่ะ” มันไม่ได้หันมามองผม นอกจากมองตรงไปที่เส้นทางข้างหน้าอย่างจดจ่อ
“ไม่คิดว่ากูจะเขินบ้างเหรอวะนั่น” ผมบ่น
“ไม่... มึงก็ไม่น่าเขินนะ” มันตอบแบบไม่ต้องคิด โถ เห็นผมหน้าหนาขนาดนั้นเชียว ผมเลือกลูกใกล้เน่าไปให้ก่อนจะยื่นไปจ่อที่ริมฝีปากมัน แน่นอนว่ามันไม่ได้มองหรอก ไอ้ยิมงับสตรอเบอรี่เข้าปาก ไม่นานมันคงออกรสชาติแต่ไอ้ยิมไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าอะไร แค่เงียบและหยุดเคี้ยว รู้แค่ว่ามันเส้นเลือดโผล่เพราะอารมณ์พุ่งปี๊ดเพราะผมแน่ๆ ระหว่างนั้นเป็นทางตรงอย่างเดียว มันหันหน้ามา แค่นี้ผมรู้ว่ามันจะทำอะไร
“เฮ้ย อย่าถุยใส่กูนะ ไอ้ยิม” ผมเอามือบัง ป้องกันการโจมตีของมัน
“ตลกนะมึง” มันคายออกมาแล้วลดกระจกก่อนจะโยนทิ้งออกนอกรถไป มันหันมาส่งสายตามืดหม่นมาให้ผม
“อร่อยไหม รสชาติเป็นไง” ผมหัวเราะมัน
“ลองแดกเองดิ” ไอ้ยิมหันมามองตาขวางผ่านแว่นทำให้ดูมีพลังน่ากลัวมากกว่าปกติ สี่ตาเลยนี่
“เจ้ากัน ทีมึงว่ากู” ผมเลยปลอบใจมัน ยื่นลูกดีๆ ไปให้ มันทำหน้าเหมือนงอนแต่ก็ยอมอ้าปากจนได้
“...หึ หิวน้ำ ...คราวนี้ดีๆ นะเว้ย” มันทำคิ้วขมวดใส่ เอียงหน้ามามองผมหลายวินาที ผมเอื้อมไปหยิบขวดน้ำเปล่ามาแล้วเปิดฝาแล้วใส่หลอดลงไปก่อนจะยื่นไปใกล้ๆ ปากมัน
“ขอบใจ” ไอ้ยิมพูดเบาๆ เห็นหูมันแดงๆ ด้วย คงเป็นอาการเขินของมันสินะ น่ารักจริงๆ
“กินอะไรอีกไหม องุ่นป่ะ จะได้ตาสว่าง” ผมถามก่อนจะยื่นองุ่นไปให้ คาดว่าน่าจะเปรี้ยว
“แค่นี้ก็ตาแจ้งแล้ว” มันส่ายหน้า ผมเลยนั่งกินเองคนเดียว แต่องุ่นนี่เปรี้ยวไปหน่อยแถมฝืดเฝื่อนแปลกๆ ผมลองคิดเรื่องไอ้ยิมตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เป็นไอ้ยิมนี่ก็เหนื่อยเหมือนกันแฮะ ไหนจะต้องมาทำดีกับผมสารพัดอย่าง มันก็อึดใช่เล่น หากเป็นผมไม่มานั่งตามใครแบบนี้หรอก
“ยิม มีอะไรจะถาม” ผมหันไปพูดกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีจริงจังมากขึ้น ไอ้ยิมชะลอความเร็วก่อนจะหันมามองผม
“หือ ว่ามา” 
“อยากเป็นแฟนกูป่ะ” ผมลองสังเกตดูปฏิกิริยาของมันไปด้วย ไอ้ยิมเม้มปากขมวดคิ้ว มันเหมือนจะเร่งความเร็วขึ้นมานิดหน่อย
“มึงอย่ามาล้อเล่นดิ” มันส่ายหน้าช้าๆ
“เฮ้ย ถามจริงๆ ” ผมพูด
“...ก็...อยากมั้ง” มันหัวเราะเบาๆ เหมือนกลบเกลื่อนความรู้สึกไม่มั่นใจ
“แหม มีมั้งด้วย”
“ถามทำไม จะเป็นแฟนกันเดี๋ยวนี้เลยว่างั้นสิ” มันพูดจาแดกดัน ทำเสียงเหมือนประชด
“บ้าละ แค่อยากให้แน่ใจ” ผมบอก ถ้าหากต้องคบกันจริงๆ ก็อยากให้แน่ใจว่าจะไม่โดนทิ้ง ผมกังวลเรื่องระยะห่าง เวลาที่มีให้กันน้อยจะทำให้ความรู้สึกลดลง หรือไม่มันอาจไม่ชอบผมเท่าตอนนี้แล้วก็ได้ ถึงยังไงก็เถอะมันน่าจะมีทางเลือกของมันในอนาคต
“เรื่อง?” มันย่นคิ้ว
“เอ้า ขืนกูชอบมึงขึ้นมาจริงๆ แล้วมึงดันชิ่งทิ้งกูไปก่อน แบบนี้กูก็ขาดทุนอะดิ”
“กูดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ” ไอ้ยิมทำเสียงซีเรียสมากกว่าเดิม
“ไม่รู้”
“ถามจริง?” มันมองหน้าผม แค่แวบเดียวแต่เห็นสายตาแล้วดูเหมือนกำลังอารมณ์เสีย เพราะผมตอบไม่ตรงคำถาม ไอ้ยิมเป็นคนจริงใจ มันเป็นคนดี ผมก็ไม่คิดว่ามันจะทำตัวประเภทแค่รักสนุกอย่างเดียว ถึงจะมีบางมุมที่มันดูร้ายนิดหน่อยก็ตาม
“ไม่หรอก” ผมตอบเสียงชัดเจน
“ก็รู้นี่ แล้วยังจะถามอีก อ่อยเหรอ” ไอ้ยิมฟังผมจบก็หลุดยิ้มออกมา ก่อนจะมองผมด้วยสายตามีเลศนัยวิบวับ ที่น้อยครั้งจะเห็น
“ฮ่าๆ ตลกละ ไม่ใช่ แค่เช็คเรทติ้งนิดนึง” ผมทำเสียงดัง ไอ้ยิมทำหน้าผ่อนคลายขึ้น “หึๆ มึงนี่เพ้อจริงๆ ”
“แต่คบกับมึงน่าจะดีนะ กูคงสบายแน่” ไอ้ยิมรวยพอสมควร อยู่กับมันผมคงไม่อดตาย
“มึงนี่นะ...”
“ล้อเล่นน่า ไม่คบใครที่เงินหรอก ต่อให้เป็นผู้ชายก็เถอะ สงสารพ่อแม่กู” ผมพูดไปเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องน่าช็อคถ้าหากคนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องรับรู้เรื่องอะไรทำนองนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมคิดถึงประเด็นเรื่องปฏิกิริยาตอบกลับของครอบครัวเรื่องรสนิยมทางเพศ ถ้าผมก้าวข้ามเส้นของคำว่า Normal มาสู่ Bisexuals
“ทำไมวะ”
“มีลูกผู้ชายแท้ๆ แต่ดันไปเกาะผู้ชายด้วยกัน ดูพิลึกไงไม่รู้”
“พูดไปเรื่อย” ไอ้ยิมหัวเราะ
“ก็จริง...เออ พูดถึงเรื่องนี้แล้วป๊ากับม้ามึงไม่ว่าอะไรหรือไงที่มึงชอบผู้ชาย” ประเด็นนี้ผมยังไม่เคยถามมันสักครั้ง เลยถือโอกาสถามมันออกไปเลย
“...ก็ ไม่รู้สิ คงรับได้แหละ ผ่านมานานแล้วนี่” มันพูด
“อืม...” คงจริง ถ้าโกรธกันอยู่ไอ้ยิมจะได้รถมาใช้อย่างไรกัน คงจะคุยกันตามประสาพ่อแม่ลูกกันเรียบร้อยแล้วล่ะมั้ง
“ทำไม กลัวป๊ากับม้ากูไม่รับมึงเหรอ” มันหัวเราะเบาๆ ไปด้วย ผมล่ะยอมมันเลย ช่างกล้าพูด คิดได้ยังไงนะไอ้ยิม
“มึงนี่เพ้อกว่ากูอีก”
“แล้วที่บ้านมึงล่ะ เป็นไงบ้าง” มันยิงคำถามใส่ผมบ้าง นานๆ จะมีคำถามกับผม
“อืม ก็ปกติ พ่อกูใจดีจะตาย” ผมบอก ทั้งพ่อทั้งแม่เลย ขนาดผมไม่ค่อยจะเอาไหนเท่าไหร่พวกท่านยังคงไม่ดุไม่ด่าทอ ยังคงให้ผมทำอะไรตามใจตัวเองเสมอ
“ไม่ใช่ หมายถึงถ้าหากว่ามึง...จะคบกับผู้ชาย” มันอึกอักถามผม นี่สินะที่อยากจะรู้ สงสัยกลัวพ่อแม่ผมไม่ให้ผ่านหรือไงกัน
“อ๋อ...ไม่รู้สิ คงไม่ห้ามหรอกมั้ง พ่อแม่กูอินเทรนนะเว้ย” พ่อผมมีศิลปะอินเนอร์สายติสท์ๆ อยู่บ้าง คิดว่าคงจะเข้าใจโลกสมัยใหม่ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพศสภาพ ตีกรอบไว้แค่ชาย-หญิง
“ให้จริงเหอะ”
“แหม คิดไกลถึงอนาคตเลยเหรอ” ผมอดแซวไม่ได้
“อือ ก็คิดเพราะจริงจัง” มันหันมองหน้าผมแวบนึงก่อนจะหันกลับไปที่เดิม อีกแล้วไอ้ความรู้สึกได้ยินเสียงดังปังในหูเนี่ย เพราะมันมีจังหวะในการพูดหรือว่ามันจะรู้จุดอ่อนผมกันวะ
“...คิดแบบนั้นก็ดี” ผมพูดก่อนจะเอื้อมไปเปิดเพลงฟังแก้อาการเก้อเขินขึ้นมาของตัวเอง เห็นไอ้ยิมกระตุกเหมือนจะยิ้ม
ก่อนถึงตัวเขื่อนจะพบกับป้ายชื่อเขื่อนภูมิพลอันใหญ่ซึ่งแสดงว่าอีกไม่นานนานก็จะถึงแล้ว
“อือ มึงเมื่อยไหม” ผมถามเพราะ ไอ้ยิมก็ขับรถมาหลายชั่วโมง ต้องมีเมื่อยล้าบ้าง ขนาดผมนั่งอย่างเดียวยังเหน็บกินเลย
“นิดหน่อย”
“น่าสงสาร ...เดี๋ยวมีรางวัล” ผมพูดแบบไม่คิดซึ่งน่าจะเป็นภัยต่อตัวเอง
ไอ้ยิมหัวเราะคำพูดผม “อย่าดีแต่ปากน่า”
“เอ้า จริงๆ ไม่เชื่ออีก” ทีพูดจริงๆ ล่ะไม่เชื่อ เพราะผมเองก็พูดออกไปแล้วมันเอาคืนกลับมาไม่ได้เลยต้องปล่อยเลยตามเลย ปากไวกว่าสมองก็แบบนี้
“ทำไม จะเอาตัวเข้าแลก” แหม ดูความคิดของมัน
“โห คิดลึกทะลึ่งนะมึง ไม่ใช่แบบนั้น...รอดูแล้วกัน” ผมแอบหัวเราะมัน แต่ก็นั่นแหละ จะให้รางวัลอะไรผมยังไม่ได้คิด พูดไปแล้วด้วย เสียฟอร์มแย่เลย
“หึ แล้วแต่” ไอ้ยิมแค่ยิ้ม
ไม่นานนักก็มาถึงเขื่อนภูมิพลจนได้ เวลาประมาณแปดโมงเช้ากว่าๆ แดดยังไม่ออกและโชคดีที่นักท่องเที่ยวไม่เยอะเท่าไหร่ บรรยากาศภายในเขื่อนดีมาก อากาศไม่ร้อน สบายๆ ที่นี่มีให้ล่องแพด้วย น่าสนใจดี เสียดายถ้ามาหลายๆ วันมากินลมชมวิวได้เลย 
กำแพงคอนกรีตโค้งขนาดใหญ่กับทิวเขาหลายลูกซ้อนกันกับไอหมอก เป็นอะไรที่ลงตัวดี พอมองไปทางฝั่งขวาของตัวเขื่อนก็เจอกับป้ายชื่อเขื่อนอันใหญ่ ผมเดินเล่นไปตามสะพานที่ทอดยาว เมื่อมองลงไปในเขื่อนแล้วใจหวิว ไม่กลัวความสูงแต่ไม่ค่อยโอเคกับระยะแบบนี้เท่าไหร่ ไอ้ยิมยืนพิงสันคอนกรีตอยู่ข้างๆ
“วิวสวยดีนะ” ไอ้ยิมพูดกับผมก่อนจะมองไปที่แม่น้ำปิงที่รายล้อมไปด้วยป่าไม้สองริมฝั่ง ลมพัดเอื่อยๆ ตลอด
“อือ นั่นสิ ถ่ายรูปให้กูบ้างดิ” ผมบอกมันเพราะมันไม่ค่อยถ่ายรูปผมเลย เป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้
“โอเคๆ ทำหน้าหล่อๆ นะเว้ย” มันขยับเลนส์ก่อนจะยกกล้องขึ้นเตรียมถ่าย ผมมองซ้ายมองขวา ปลอดคนดี
“ง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย” ผมยืนนิ่งๆ ให้มันถ่าย ประมาณว่ายังไงก็ออกมาหล่ออยู่แล้ว
“ถ่ายบัตรประชาชนเหรอมึง” มันหัวเราะหึๆ เมื่อดูรูปในกล้อง ผมเดินเข้าไปหาเพื่อดูรูปแต่มันไม่ยอมให้ผมดูด้วย
“เอ้า กูหล่อทุกมุมเว้ย” เราคิดว่าเราหล่อ เราก็จะหล่อ ประมาณว่า You can if you think you can
“หึหึ มึงมันบ้า” ไอ้ยิมขำแล้วเก็บกล้องไปตามเดิม 
“แต่ความบ้าของกูเนี่ยเป็นเสน่ห์นะเว้ย” ผมขยับไปพูดมันใกล้ๆ ไอ้ยิมมองหน้าผม
“ไอ้นี่นิ” มันเถียงไม่ได้ เห็นว่าหูมันแดงด้วย เขินล่ะสิท่า
“ก็จริง ทำมาเขินเป็นเด็กๆ” ผมพูดก่อนจะชวนมันเดินไปเรื่อยๆ ด้วยกัน
พอมาเดินอยู่ข้างๆ กันแล้วมันรู้สึกแปลกๆ เกร็งๆ ยังไงชอบกล ตอนนี้ผมยังไม่สนิทใจกับไอ้ยิมแบบเต็มร้อย มีหลายอย่างที่ผมยังไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำกับมัน คงต้องให้เวลาตัวเองสักระยะ
“ว่างๆ พากูไปที่ร้านอาหารของพ่อแม่มึงบ้างสิ” ไอ้ยิมหันมาถาม


“ทำไมวะ อยากไปเจอพ่อแม่ว่างั้นเหอะ” ผมทำเสียงล้อเลียน “หรืออยากกินของฟรี”
“ไม่เห็นแปลก... อีกอย่างนะ อย่าลืมว่ามึงติดหนี้กูอยู่” ไอ้ยิมชี้นิ้วใส่หน้าผมเพื่อย้ำเตือน ผมย่นหน้า แต่ก็จริง ถ้ามาจริงๆ ไม่ห้ามหรอก ผมติดมันไว้เยอะ
“โอเค ตามใจ แต่บอกล่วงหน้านะจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ” ผมหัวเราะก่อนจะเหลือบมองสังเกตปฏิกิริยาของมัน น่าแปลกแฮะ ปกติมันไม่ค่อยจะแอคทีฟเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ หรือว่ามันคิดจะทำอะไรกันแน่นะ
“ดี... เตรียมตัวรอไว้ได้เลย” ไอ้ยิมยิ้ม จากนั้นก็ทำเป็นสนอกสนใจก้มมองน้ำในเขื่อน สังหรณ์ใจแปลกๆ นะ จะว่าไปแล้วมันเคยพูดจาแปลกๆ เรื่องหนี้ที่ผมติดมัน
ไอ้ยิมนี่ก็ใช่ย่อยนะ มันร้ายลึก ผมมั่นใจว่ามันต้องมีแผนการ คอนเฟิร์ม
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # อัพ Phing (3) part 2 #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 05-01-2016 02:51:14
คู่เรื่อยๆๆแต่น่ารักดี :-[
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # อัพ Phing (3) part 2 #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 05-01-2016 05:41:58
โอ๋ๆผิง. หัวใจทำงานหนักเนอะ. ไม่ยอมกอดแล้วจะหลับได้ไง
เราว่าคู่นี้เรื่อยๆที่สุดแล้วล่ะ. ค่อยๆปรับเข้าหากัน
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # อัพ Phing (3) part 2 #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 05-01-2016 17:27:15
อยากอ่านคู่พี่ดีนที่สุดเพราะมีจุดค้างคาเยอะะะะะะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 20 ของขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 05-01-2016 19:00:27
ผ่านไปสองสัปดาห์จนกระทั่งมาถึงวันที่ผมรอคอย วันเกิดพี่ท็อป เจ้าตัวแค่ส่งสายตาเหมือนรู้ทันมาให้ผมบ่อยๆ แต่แบบนี้มันน่าสนุกกว่าเพราะถึงยังไงพี่ท็อปก็ได้แต่คาดเดาว่าผมจะมีอะไรมาให้ ผมไปรอรับพี่ท็อปที่คณะ เคเอสอาร์คันเดิมกับบรรยากาศเหมือนวันแรกที่ผมมาส่งพี่ท็อปเพียงแต่เป็นยามเย็นก็เท่านั้น หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงได้ กลุ่มพี่ท็อปก็เดินออกมาจากตึก ผมโบกมือไปให้พี่ท็อป
“รอนานไหม พอดีคุยกับอาจารย์นานไปหน่อย” พี่ท็อปเดินเข้ามาถามหลังจากที่แยกกับเพื่อน
“แค่เหน็บกินน่ะพี่” ผมตอบไปตามจริง พี่ท็อปไหวไหล่ไม่แคร์ก่อนจะยื่นหน้ามาถาม
พูดจบพี่ท็อปดูแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ค้านอะไร ผมพาพี่ท็อปเข้าไปด้านใน ปกติคนไม่ค่อยเข้ามาในหอศิลป์กันยกเว้นพวกอาจารย์กับเด็กสายอาร์ตเท่านั้นเอง ผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ชั้นที่วางผลงานของสาขาจิตรกรรม
“กูเคยมาดูครั้งเดียวตอนที่เปิดงานภาพครั้งแรก เสียดายก็แต่เจ้าของภาพไม่อยู่” พี่ท็อปหันมามอง ผมยิ้มก่อนจะเดินไปหยุดที่ภาพของผม
“เทอมหน้าก็เอาลงแล้ว” ผมพูดเรื่อยๆ กอดอกมองผลงานของตัวเอง ถ้าวันนั้นผมมางานเปิดแสดงภาพด้วยคงได้เจอพี่ท็อป รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้เห็นสภาพเจ้าตัวตอนอกหัก
“แล้วหลังจากนั้นภาพจะไปอยู่ที่ไหน”
“เก็บไว้ที่คณะ แต่ถ้ามีคนติดต่อซื้อก็ขาย อาจารย์เป็นคนเดินเรื่องให้น่ะพี่”
“ก็ดีนี่...แล้วไหนล่ะของขวัญ”อีกฝ่ายมองมาที่ผม คงจะแปลกใจที่ผมไม่ได้ถืออะไรมาด้วย ผมเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“หลับตาหน่อย”ผมบอกด้วยรอยยิ้ม พี่ท็อปทำหน้าย่นแต่ก็ยอมหลับตา ผมหยิบแหวนออกมาแล้วกำไว้ในมือทั้งสองข้าง
“ลืมตาได้...”ผมพูดช้าๆ มองพี่ท็อปค่อยๆลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็สีหน้าเปลี่ยน เป็นมึนงง เมื่อมองมาที่มือของผมแต่ก็ยังยิ้มออก
“อะไรน่ะ”เจ้าตัวยิ้มนิดๆ มองมือทั้งสองข้าง “เลือกสิ ขวาหรือซ้าย”ผมถาม เห็นพี่ท็อปยิ่งยิ้มแก้มปริ แล้วดอกไม้ในใจก็เบ่งบานขึ้นมา
“มันไม่เหมือนกันหรือไง”เจ้าตัวถาม เลื่อนสายตามาที่ผม “ต้องเลือกก่อนถึงจะรู้” ผมหัวเราะเบาๆ
“ซ้ายแล้วกัน...” พี่ท็อปเลือก ผมยื่นมือซ้ายไปให้ เจ้าตัวจับมือผมแบออกก็เจอกับแหวนเรียบๆ สีน้ำตาลเข้มสลักชื่อว่า Song
“ชอบไหม ผมทำเองเลยนะ ได้ไอ้โก๋ช่วยอีกแรง”ผมบอก ให้เครดิตเพื่อนสักนิดนึง พี่ท็อปหยิบแหวนขึ้นมาดู ก่อนจะจ้องมองรอบตัวแหวน หมุนไปมา สีหน้าอิ่มเอม แววตาสุขใจ
“สวยดีนี่”พี่ท็อปจับแหวนขึ้นมาดม ผมแอบขำ
 “อีกวงหนึ่งเป็นชื่อกูเหรอ”อีกฝ่ายหันมาสนใจแหวนอีกวงที่อยู่ในมือผม
“ใช่แล้ว” ผมยิ้มแล้วสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง พี่ท็อปยิ้มก่อนจะสวมแหวนที่นิ้วนางด้วยเช่นกัน
“เซอร์ไพรส์ดีนะ ไม่คิดว่าเป็นแหวนแบบนี้ นึกว่าจะเป็นสร้อยเหมือนที่กูให้มึงซะอีก”เจ้าตัวยังคงหมุนแหวนที่นิ้วเล่นไปมา
“พี่ไม่ชอบใส่สร้อยนี่ อีกอย่างแหวนมันก็มีความหมายดี แล้วก็สุขสันต์วันเกิดนะพี่”ผมพูด จับจ้องอีกฝ่ายอย่างจริงใจแต่รู้สึกกระดากอายขึ้นมานิดหน่อย
“ขอบคุณนะ”พี่ท็อปพูดด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็หันไปมองรอบๆ บริเวณ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ ผมจนระยะประชิด เมื่อทางสะดวกก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมหนึ่งที
“แล้วจะไปหาแม่กันเลยไหม”ผมถามแก้อาการเก้อเขิน เจ้าตัวยืนกอดอกทำท่าเหมือนเหนือกว่า ก่อนจะยกนาฬิกามาดู
“อีกสักครึ่งชั่วโมงค่อยไป ตอนนี้ให้เวลากูหน่อย"พี่ท็อปบอกก่อนจะเดินกอดคอผมไปด้วยแล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ในโซนนั่งเล่น
"ถามเฉยๆ นะ อยากรู้ว่าพี่มีแฟนมากี่คนแล้ว"สำหรับพี่ท็อปคำถามนี้คงไม่เซนซิทีฟหรอกนะ เจ้าตัวมองหน้าผมก่อนจะทำท่าคิด
“อืม เรียกว่าแฟนจริงๆ ก็สี่คน...”พี่ท็อปยิ้มให้ผม
“นึกว่าเยอะกว่านี้”พี่ท็อปหน้าตาดี คารมก็ดี น่าจะมีคนติดเยอะ
“คงเพราะกูเลือกมากมั้ง จะให้เรียกแฟนมันต้องใช้เวลา... แต่มึงนี่คงเป็นแฟนที่ดีที่สุดของกูเลยมั้ง ไม่ค่อยเจอคนแบบมึง”
“นี่แค่ยอ หรือว่าพูดจริง”ผมหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ เป็นคนแรกเลยล่ะที่บอกว่าผมเป็นแฟนที่ดี
“พูดจริงสิ...แล้วกูก็ไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอกนะ อีกอย่างนะ ขืนใครมายุ่งวุ่นวายกับมึงกูจะต่อยให้ฟันร่วงเลย”อีกฝ่ายพูดเสียงดุ
“ดุซะจริง”ผมขำ “เออ โดยเฉพาะไอ้ดีน...สมควรโดนสุดล่ะ เพราะมันกล้ามายุ่งกับมึง ที่สำคัญมันท้าทายกูด้วยนะนั่น”พี่ท็อปพูดแบบไม่จริงจังเท่าไหร่
“โอย ไม่สเปกผมหรอก”ผมพูดไปตามตรง
“กูไม่กังวลเรื่องนั้นหรอก”พี่ท็อปยิ้มก่อนจะชูแหวนบนนิ้วให้ดู
“กูกับมึงนี่คู่สร้างคู่สมนะเว้ย”อีกฝ่ายเอ่ย จะหาคนอย่างพี่ท็อปคงไม่มีอีกแล้ว ถึงไม่มีใครมาแทนใครได้หรือว่าคล้ายใครได้ ยกเว้นใจเรานี่แหละที่รวนเรไม่มั่นคงพอ ในเมื่อเป็นวันเกิดพี่ท็อปทั้งทีคงต้องไปค้างบ้านแม่ในเมือง เพราะตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะไปขอบคุณแม่พี่ท็อป เจ้าตัวเองก็เตรียมของขวัญมาให้แม่ด้วยแต่ไม่ยอมบอกผมว่าเป็นอะไร แต่เรื่องระหว่างผมกับพี่ท็อปยังเคลียร์กันไม่ลงเรื่องผัวๆ เมียๆ ซะที เราตกลงกันว่าไอ้เรื่องแบบนี้ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ใครดีใครได้ก็แล้วกัน ไอ้ผมมันไม่ซีเรียสหรอกจะออกหัวหรือก้อย ไม่เสียหาย ก็ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

                   ก่อนจะไปบ้านแม่ในเมือง พี่ท็อปต้องแวะไปเอาของขวัญที่เจ้าตัวทำเองซึ่งผมก็อยากจะเห็นว่ามันคืออะไร แต่กล่องเบาๆ ไม่หนักเท่าไหร่คงจะเป็นนาฬิกาไม่ก็กรอบรูปแน่ๆ เมื่อมาถึงบ้านแม่พี่ท็อปออกมาต้อนรับอย่างใจดีเหมือนเดิม ในบ้านถูกตกแต่งด้วยไฟหลอดเล็กๆ ราวกับว่าเป็นวันคริสต์มาส
“แม่เตรียมอาหารไว้เยอะเลย ของชอบของเราสองคนทั้งนั้น” แม่เดินมาหาผมแล้วพาไปที่ห้องรับแขก บนโต๊ะมีอาหารคาวหวานวางอยู่เยอะจนเลือกกินไม่ถูก ที่สำคัญมีคัพเค้กวางอยู่ตรงกลางโต๊ะเด่นเชียว พี่ท็อปทำหน้าย่น
“โห แม่ทำของเยอะไปไหมเนี่ย กินกันสามคนเอง” พี่ท็อปมุ่ยหน้าก่อนจะเดินไปกอดแม่ตัวเองอย่างรักใคร่ ผมมองยิ้มๆ
“ไหน มีของจะให้แม่ด้วยเหรอเนี่ย"แม่มองมาที่กล่องของขวัญที่ผมถืออยู่
“พี่ท็อปทำเองด้วยนะครับ”ผมยื่นกล่องไปให้แม่ พี่ท็อปดูตื่นๆ ผิดปกติ
“จริงเหรอเนี่ย ลูกชายแม่กินอะไรผิดสำแดงมาแน่ๆ เลย”แม่พูดมองลูกชายอย่างแปลกใจ สีหน้าดูมีความสุข
“ผมทำเองเลยนะ เปิดๆ ดูเลย”พี่ท็อปบอก ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
ผมเองก็อยากรู้ว่าในกล่องนั้นคืออะไร แม่ยิ้มเหมือนขำก่อนจะลงมือแกะของขวัญ จนกระทั่งเหลือแต่กล่อง แม่เปิดมันออกมามันคือนาฬิกาสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำจากไม้ ด้านในมีรูปที่ตัดมาจากภาพแปะอยู่สามคนกับอีกหนึ่งตัว มีแม่ พี่ท็อป ผมแล้วก็ไอ้ทู ลักษณะงานเหมือนพวก D.I.Y ตัดแปะแบบน่ารักๆ ขัดกับบุคลิกเจ้าตัวมาก
“น่ารักเชียว ทำเองจริงเหรอเนี่ย”แม่ยิ้มกว้างท่าทางมีความสุข เจ้าตัวเดินมาหาผมก่อนจะดึงมือให้ไปหาแม่ด้วย
“ใช่... ไอเดียสอง บอกว่าควรมาขอบคุณแม่ในวันเกิด...ขอบคุณที่ทำให้ผมเกิดมามีแฟนน่ารักๆ อย่างไอ้สองมัน รักแม่นะ จุ๊บ”พี่ท็อปหอมแก้มแม่ แต่คำพูดยังดูน่าหมั่นไส้จริงๆ ยอมเป็นคนน่ารักก็แล้วกัน
แม่ดึงผมไปกอดด้วย
"จ๊ะ แค่มาหาแม่ก็ดีใจแล้ว วันเกิดท็อป แม่ขอให้ท็อปกับสองอยู่ด้วยกันนานๆ คนรักกันต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่ต่อกัน เราจะได้เข้าใจกันมากขึ้น เรื่องไม่ดีๆ ก็ตัดทิ้งมันไปบ้าง ไม่ต้องเอามาคิดให้มันบ่อนทำลายความสัมพันธ์ดีๆ ของเราสองคน”แม่อวยพร
“ขอบคุณครับแม่”ผมยิ้มกว้าง
“ครับ ขอบคุณที่สุดคือรับไอ้สองเป็นสะใภ้บ้านเรา”พี่ท็อปหัวเราะ อีกฝ่ายพูดมาได้ไม่อายปากเลยจริงๆ
“อะไรอะพี่”ผมนิ่วหน้าทันที
“พอๆ สองคนนี้ แม่ทำของอร่อยไว้เยอะ”แม่ตีมือพี่ท็อปก่อนจะชวนให้นั่งลง
“แม่ก็ไม่รู้อะไรซะแล้ว ก่อนออกกำลังใครเข้าให้กินเยอะๆ จุกพอดี”พี่ท็อปเหลือบมองหน้าผมเป็นนัยๆ “ฮ่าๆ ตลกตายล่ะ”ผมไม่ขำเท่าไหร่แต่เจ้าตัวไม่สลดอะไร ทำหน้าระรื่นเกินกว่าเหตุ 
หลังปาร์ตี้จบร้องแฮปปี้เบิร์ทเดย์ให้พี่ท็อปแล้วก็ถึงคราวที่ต้องแยกย้าย แม่เข้าไปพักผ่อนในห้องของตัวเองส่วนพี่ท็อปพาผมเข้าห้องตามสเต็ป เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องก็เจอกับไฟดวงเล็กสลับสีประดับประดาอยู่รอบห้องไม่เว้นแม้แต่หัวเตียง

“ฝีมือแม่ รู้ใจลูกชายจริงๆ” พี่ท็อปยิ้มกริ่ม ไม่ต้องสืบเลยว่าคิดจะทำอะไร เจ้าตัวเดินกอดคอผมไปที่เตียงแล้วหัวเราะชอบใจ
“มีความสุขเกินหน้าเกินตาจริงนะ” ผมแอบหัวเราะกับท่าทีของอีกฝ่าย พี่ท็อปนอนแผ่ลงบนเตียง ผมเลยได้โอกาสมองรอบๆ ห้องแบบเต็มตา แม่พี่ท็อปก็เข้าใจคิดนะ รู้สึกเหมือนอยู่ในวันคริสต์มาสทั้งๆ ที่เหลืออีกตั้งสองวัน ฉลองก่อนซะงั้น
“น่าจะมีหิมะนะ จะได้ครบเซต” พี่ท็อปพูดขำๆ ระหว่างนั้นก็ดึงประทัดของเล่นดังปังเบาๆ มีสายรุ้งกระจายออกมาปลิวว่อน
“แม่พี่น่ารักจริงๆ” ผมปัดเส้นใยพวกนั้นให้ห่างๆ ตัว ไหนดูสิแม่พี่ท็อปเตรียมอะไรไว้ให้อีก ผมเดินไปที่ระเบียงด้านนอก มีถังเบียร์แช่เย็นไว้ด้วย โห เตรียมทุกอย่างจริงๆ ในเวลานี้หัวผมมันเริ่มคิดไปต่างๆ นานาคืนนี้คงไม่เหลือรอดแน่นอน ผมหันไปมองพี่ท็อปที่เหลือแต่ท่อนล่าง โชว์ท่อนบนที่คล้ำแดดเล็กน้อยชวนให้มอง
“อือฮึ เตรียมตัวเป็นแกะน้อยๆของกูได้หรือยังล่ะ”พี่ท็อปตบมือลงบนเตียงข้างๆแล้วยิ้มพราว แหม แกะน้อย พูดซะน่ารักเชียว ผมยิ้มขำอารมณ์ดี
 “แน่นอน”วันเกิดทั้งที ก็ต้องยอมเขาล่ะ ผมถอดเสื้อผ้าออกบ้าง เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องถอดออกอยู่ดี ไม่อยากเสียเวลา จนเปลือยไปทั้งร่าง จากนั้นผมก็กระโดดขึ้นเตียงไปนอนข้างๆอีกฝ่ายที่ดูใจเย็นไม่เร่งรีบ
“ว่าง่ายจังวะ”พี่ท็อปเอ่ยเบาๆ มองผมตาไม่กระพริบ เหมือนจ้องเหยื่อ ทำให้ผมร้อนๆหนาวๆได้เหมือนกัน ทีนี้ผมค่อยรู้สึกเหมือนเป็นแกะน้อยขึ้นมาบ้าง
“อ้าว แล้วไม่ดีหรือไงครับ”ผมย่นคิ้ว เริ่มปฏิบัติการสัมผัสเนื้อต้องตัวเสียหน่อยพอกระชุ่มกระชวย จุดไฟให้โหมกระพือ หุ่นพี่ท็อปก็เข้าร่องเข้ารอยมากกว่าเดิม แต่ไม่ถึงกับแน่นปึกมีซิกแพ็คเหมือนแต่ก่อน
“ดีสิ”พี่ท็อปเปลี่ยนโหมดเป็นยิ้มละมุนขึ้นมา ก่อนจะขยับมาคร่อมตัวผมไว้ แล้วโน้มหน้าลงมาจูบลงบริเวณลำคอ ริมฝีปากปากเย็นๆทำเอาซู่ซ่าขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นหน้ามาจูบผมเบาๆ นิ่มนวลชวนเคลิ้ม หูผมได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บเหมือนห่อลูกอม
พี่ท็อปถอนจูบแล้วโชว์ลูกอมในมือให้ผมเห็น ผมมองอย่างแปลกใจ
 “แม่อยากเราหวานว่ะ เอาซะหน่อย”พี่ท็อปหัวเราะพอใจ แล้วแกะห่อลูกอมสีส้มใสๆออก จากนั้นก็กัดไว้ไม่ได้อม ผมพอจะรู้ว่าจะเจ้าตัวกำลังจะเล่นอะไร
“อ้า”พี่ท็อปบอก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“อ้าอะไร”ผมแกล้งถาม มองใบหน้าของคนด้านบนอย่างรักใคร่
“อ้าปากสิ แต่เดี๋ยวได้อ้าขาแน่มึง”พี่ท็อปยิ้มชอบใจก่อนจะยื่นลูกอมมาใส่ปากผมที่เตรียมรับ ตอนแรกนึกว่าจะหวานแต่ที่ไหนได้
 “เผ็ดไหมวะ”พี่ท็อปหัวเราะระรื่น ผมเบ้หน้าแต่ก็เคี้ยวๆจนหมด เผ็ดๆเย็นๆเหมือนผสมเมนทอล เห็นพี่ท็อปยิ้มระรื่นแล้วหมั่นไส้ คงเป็นแผนมากกว่า แม่พี่ท็อปคงไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก ผมดึงพี่ท็อปมาจูบจะได้รู้รสความเผ็ดซ่านจากผม เจ้าตัวไม่วายมากัดปากผมอีก เอาซะเลือดซิบ ซาดิสแน่ๆพี่ท็อป
“อร่อยดีไหมพี่”ผมยิ้ม เอานิ้วแตะปากล่างมาดูเลือด รสเลือดยังแปร่งพร่าอยู่ในปาก “แหวะ อย่างอื่นน่าจะอร่อยกว่านะ”พี่ท็อปหัวเราะเจ้าเล่ห์แล้วถอดกางเกงออกจนหมด
 “ตื่นเต้นดีนะ ว่าไหม”ผมพูด เพราะใจเต้นตุบตับ มองอีกฝ่ายถอกปราการชิ้นสุดออก
“เพราะมึงเป็นแกะไง เลยตื่นๆแบบนี้แหละ”พี่ท็อปมอง แววตาสีดำมีผมสะท้อนอยู่
“พี่โคตรปากดีอ่ะ”รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา เลยคว้าตัวพี่ท็อปกดลงเตียงแทนจากนั้นก็คร่อมซะจะได้เผด็จศึก
“ว่ากูซาดิส แต่มึงรุนแรงกว่านะ”พี่ท็อปแค่หัวเราะเบาๆ
ในสถานการณ์แบบนี้ต้องปล่อยให้รอดไปก่อน ไว้ให้ถึงคราววันเกิดผมค่อยเอาให้คุ้มในเมื่อเปลือยกันทั้งคู่ เนื้อแนบเนื้อแบบนี้ ไม่นานนักไฟก็ลุกโชนจุดติดกันทั้งสองฝ่าย ผมยอมให้พี่ท็อปทำแต้มไปก่อนแล้วกัน
“คราวนี้อ้าขาของจริงนะสอง หึหึ นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นนะ” พี่ท็อปยิ้ม ไม่บอกก็รู้ว่าแค่เริ่มต้นน่ะ ผมมองพี่ท็อปเตรียมตัวบุก ใส่สิ่งป้องกันอย่างชำนาญ
“โอเค...” ผมยอมแบบสุดตัวและหัวใจ
เมื่อทางสะดวกพี่ท็อปก็ดันเข้ามาช้าๆ ก่อนจะโน้มตัวลงทาบสัมผัสแนบชิด ร่างกายผมตอบรับกับสิ่งแปลกใหม่ที่เข้ามาอย่างไม่ยากเย็นนัก ให้ความรู้สึกเหมือนมีความร้อนแผ่วๆ เต้นตุบๆ อยู่ภายใน รัดตึงและแนบแน่นพี่ท็อปขยับโน้มหน้าลงมาจนสัมผัสริมฝีปากอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็เร่งจังหวะอย่างลุ่มลึก พร้อมๆ กับแรงโถมที่ขยับลงมาอย่างต่อเนื่อง ผมหลับตาพยายามผ่อนคลายและเผลอไผลไปกับแรงสัมผัสเหล่านี้ที่พี่ท็อปหยิบยื่นให้

ผมสะดุ้งเกร็งเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวลึกมากขึ้นและดูเหมือนจะโถมแรงขึ้นไปตามกามอารมณ์ของแต่ละคน จนผมเองก็รับไม่ไหวต้องต้องปลดปล่อยมันออกมาให้หมดในขณะที่พี่ท็อปดูจะอึดอัดไปหมด เพราะร่างกายส่วนล่างของผมยิ่งไปเร่งให้เจ้าตัวต้องเร่งเครื่องเพื่อปลดปล่อยความกำหนัดนั้นเช่นกัน

“อ่า...” ผมครางออกมาเมื่อพี่ท็อปกอดรัดผมแน่นขึ้นและส่งแรงเฮือกสุดท้ายเข้ามาจนเจ้าตัวก็กัดปากครางเบาๆ ออกมาอย่างพอใจก่อนจะทิ้งน้ำหนักตัวลงกอดผมแน่นขึ้น
"เจ็บอะ” ผมบอกตีก้นอีกฝ่ายแรงๆ ให้ลุกออกจากตัวผมได้แล้ว พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดึงตัวออกแล้วจัดการกับถุงยางหมดสภาพนั่นลงถังขยะ พี่ท็อปโยนผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาให้ผมเช็ดคราบอารมณ์ของผมบนเตียงออก ต้องหาผ้าปูที่นอนลายใหม่อีกแล้ว
ผมลุกออกจากเตียงไปหยิบบ็อกเซอร์มาใส่ลวกๆ แล้วออกไปนอกระเบียงทั้งสภาพแบบนั้น ก่อนจะเปิดไฮเนเก้นยกมาดื่มให้กระชุ่มกระชวยผมเดินถือขวดเบียร์เข้ามาในห้องยื่นขวดเบียร์ให้พี่ท็อปก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวล้างเนื้อล้างตัวแล้วเดินไปหน้ากระจกเพื่อตรวจดูความเสียหายที่ได้จากพี่ท็อปเสียหน่อย มีรอยแดงช้ำๆ ปรากฏแถวบริเวณหน้าอกสองสามรอย ไม่นานพี่ท็อปก็ตามเข้ามาในห้องน้ำด้วย ในใจผมคิดว่าต้องมีอันตรายแน่ๆ
“อาบน้ำให้หน่อย” พี่ท็อปยืนใต้ฝักบัวก่อนจะบีบครีมอาบน้ำใส่ร่างกายตัวเองจนเกิดฟองราวกับเป็นพรีเซ็นเตอร์
“ช่วงโปรครับทำให้ทุกอย่าง” ผมหัวเราะก่อนจะลงมือลูบไล้ฟองครีมอาบน้ำให้ทั่วร่างกายพี่ท็อป อีกฝ่ายก็ใจดีอาบน้ำให้ผมไปด้วย ซึ่งมือไม้ก็ไม่ได้อยู่สุขหรอก ผมคิดว่าคงหมดสภาพที่ห้องน้ำนี่แหละ
“จะว่าไปมึงนี่ก็ยังขาวเหมือนเดิม” พี่ท็อปบิดนมผมไปเบาๆ ผมตีมืออีกฝ่ายแล้วย่นหน้า ก่อนจะจับสิ่งหรรษาเบื้องล่างที่กำลังตื่นตัวได้ที่ ออกแรงขยับเล็กน้อยเพื่อให้ตื่นเต็มที่
“โอเคๆ ไม่พูดก็ไม่พูด ทำเลยง่ายกว่า” พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะจูบผมหนักหน่วง บดเบียดริมฝีปากกันและกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนกว่าใครคนนึงจะยอมแพ้ไปซะก่อน "ไม่โกรธนะถ้ากูต่อ” พี่ท็อปจับผมหันหลังเข้ากำแพง ไหนๆ ก็ไม่รอคำตอบก็จัดการซะเลยสิ
ผมกางขาออกเล็กน้อยเปิดทางให้พี่ท็อปได้เข้าถึงได้ถนัดถนี่ตามใจชอบ ครั้งนี้ให้ผ่านแบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น ให้พี่ท็อปคุมเกมละกัน ในเมื่อผมก็ล้าๆ มาจากยกแรกจะให้ดุเด็ดเผ็ดมันกันต่อคงไม่ไหวพี่ท็อปจับเอวผมไว้พร้อมกระชับทุกสัดส่วน ออกแรงโถมเข้าออกอย่างเพลินใจ บางจังหวะเจ้าตัวก็ช่วยให้ผมได้มีอารมณ์พลุ่งพล่านมากขึ้นเมื่อเคล้าคลึงส่วนหน้าของผมไปด้วยกว่าจะปลดแอกให้ตัวเองได้ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร ถึงพี่ท็อปจะแข็งแรงอึดทนนานแค่ไหนก็มีเหนื่อยบ้างล่ะนะ แค่นี้ผมก็ขาลากล่ะ
เมื่อเสร็จกิจกามชำระล้างร่างกายให้หอมกรุ่น ผมทาแป้งเด็กยี่ห้อเดิมกลิ่นเดิม กลิ่นที่พี่ท็อปชอบ หวังว่าจะไม่กระตุ้นต่อมอะไรเจ้าตัวอีกหรอกนะพี่ท็อปถึงเตียงได้ก็ล้มตัวนอนแผ่หมดแรง คนแก่ก็แบบนี้ นอนกันแบบไม่มีผ้าปูมีแค่ผ้าห่มผืนบางๆ ปูรองไว้ วันเกิดนี่มันคุ้มจริงๆ รอให้ถึงวันเกิดผมเถอะ ซึ่งสำหรับพี่ท็อปคงไม่ใช่แค่วันเกิดวันเดียวแน่ๆ แต่ผมเนี่ยสิ คงไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ง่ายๆ
“ทำตัวน่ารักว่าง่ายจังนะ กูชอบ” พี่ท็อปขยับตัวมาใกล้ นอนมองหน้าผม
“เฮ้อ ก็ไม่รู้จะปฏิเสธลีลาอยู่ทำไม ยังไงก็ไม่เสียหายนี่นา” ผมพูด
“นั่นสิ...” พี่ท็อปพูด เอื้อมมือมาจับหน้าท้องของผมเล่นไปมา ทำเอาเสียวๆ เหมือนกัน
“อะไรพี่ ยังไม่พออีกเหรอ”
“แค่จับดูเฉยๆ มึงน่าจะเพิ่มกล้ามเนื้ออีกหน่อย เดี๋ยวกลายเป็นพุงแล้วจะหนาว...มึงจะดูเซ็กซี่มากขึ้นถ้ามีซิกซ์แพ็กนิดๆ” พี่ท็อปมองหน้าผมตาใส
“ไว้ว่างๆ ค่อยเข้าฟิตเนสแล้วกัน” ผมบอก จริงๆ ก็อยากจะอัพมวลกล้ามเนื้อในร่างกายเพิ่ม ลดไขมันในร่างกายลงบ้าง แบบเล่นเวทอะไรทำนองนั้นผมปล่อยให้พี่ท็อปจับนู่นลูบนี่ไปพลางๆ จนเคลิ้มๆ ตาจะปิดให้ได้ แต่ก่อนจะเผลอหลับพี่ท็อปไม่วายทิ้งท้ายไว้ให้ผมได้ชื่นใจ
“เอาจริงๆ ไม่ต้องรอให้ถึงวันเกิดกูแล้วค่อยจัดเต็มแบบนี้ก็ได้นะสอง ทำให้มันเป็นปกตินั่นแหละ กูไม่ต้องการของขวัญวันเกิดอย่างอื่นหรอก” ผมควรจะซึ้งดีไหมเนี่ย
“เฮ้อ จะนอนแล้ว ง่วง กู๊ดไนท์” ผมไม่ได้ตอบอะไร ตอนนี้ก็ทำหน้าที่เมียอยู่ไม่ใช่เหรอ ผมหลับตานอนกอดพี่ท็อป
“Love u” เจ้าตัวยังทำให้ผมลืมตาขึ้นมาอีกจนได้
“love u too” และยิ้มให้กันก่อนนอน

........

รุ่งเช้าวันใหม่คุณแม่มาปลุกให้ไปใส่บาตรที่หน้าบ้านด้วยกัน พี่ท็อปไม่ยอมลุก จนแล้วจนรอดผมก็ต้องไปแทน กระทั่งตักบาตรหน้าบ้านเสร็จเรียบร้อย ผมช่วยแม่เก็บของเข้าบ้าน ท่านเองก็ถือโอกาสพูดคุยแบบจริงจัง
“ท็อปมันขี้เซา” แม่พูดยิ้มๆ ระหว่างที่ล้างจานอยู่ในครัว ผมช่วยเช็ดจานให้แห้งอยู่ถัดไปจากแม่พี่ท็อป
“ใช่เลยครับ” ผมหัวเราะแห้งๆ และตอบไปอย่างเสียไม่ได้
“เดี๋ยวแม่ต้องลงใต้ไปทำงานตามเดิม ยังไงฝากดูแลท็อปมันด้วยนะจ๊ะ อยู่ด้วยกันแล้วก็ดูแลห่วงใยใส่ใจกันให้มากๆ”
“ครับ”
“สองไม่ต้องกังวลเรื่องฝึกงานของท็อปมันหรอก ไปอยู่กับแม่จะดีกว่าถ้าไปฝึกที่อื่น สองเข้าใจแม่นะ” แม่พูดแล้วจับมือผม
“ครับ ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เรื่องจำเป็นนี่ครับ อยู่กับแม่ก็ดีแล้วจะได้ช่วยดูไม่ให้พี่ท็อปออกนอกลู่นอกทาง” ผมพูดจบแม่ก็หัวเราะ
“ท็อปมันรักเรานะ ก็อย่างที่สองรู้ท็อปมันเกลียดเรื่องการนอกใจ ไม่มีทางที่ท็อปจะทำในสิ่งที่ตัวเองเกลียดหรอก” แม่ยิ้มอบอุ่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมไม่ได้กังวลเรื่องนี้ อยู่ห่างกันกลัวแพ้ระยะทาง
“ครับ ผมแค่คิดนิดนึง”ผมตอบไปตามตรง แม่เอื้อมมาจับแขน
“คิดได้จ้ะ แต่อย่าทำให้ตัวเราฟุ้งซ่าน”แม่บอกอย่างอบอุ่น ทำเอาผมคลายใจ
“แล้วจะอยู่บ้านหรือออกไปไหนกันต่อจ๊ะเนี่ย”
“อืม ต้องถามเจ้าตัวแล้ว” ผมหัวเราะแห้งๆ เพราะที่มาบ้านนี่ก็ไม่ได้นัดแนะว่าจะไปไหนต่อหรือเปล่า
กว่าพี่ท็อปจะตื่นก็เกือบครึ่งวันแล้ว หักโหมเกินไปก็แบบนี้แหละ ผมเดินไปหาพี่ท็อปบนห้อง เดินไปเปิดม่านให้แสงแดดส่องถึง เจ้าตัวนอนหลับสบาย ผมดึงผ้าห่มออกจากตัวอีกฝ่าย
“ไงพี่ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเลยหรือไง” ผมเข้ามานั่งข้างๆ พี่ท็อปทำหน้าเพลียก่อนจะลุกขึ้นนั่งสภาพดูไม่ได้แต่ก็ยังน่ามองสำหรับผม
“จุ๊ ปากดี”พี่ท็อปมอง ก่อนจะบิดขี้เกียจไปมา แล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว “ไปไหนต่อไหมครับ”
“อืม ไปปิกนิกที่เดอะปาร์คกัน เอาไอ้ทูไปด้วย”
“โอเค วันนี้ตามใจแบบสุดๆ”ผมบอก 
“เด็กดี” พี่ท็อปหัวเราะหึๆ ยื่นมือมายีหัวผม
“ไปอาบน้ำได้แล้ว ผมไปรอด้านล่างนะ” ผมบอกแล้วลงไปรอด้านล่าง
ไอ้ทูเป็นหมาหน้ามึนๆ และนิสัยมันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ มันขี้เล่นแต่ก็ดูโง่ๆ” มานี่มา” ผมปรบมือเรียกมัน ไอ้ทูนอนเหลือบตาไปมาก่อนจะไม่กระดิกไปไหน ผมเดินไปหยิบสายจูงของมันมาถือไว้แล้วเข้าไปหา
“เฮ้อ รู้เรื่องอะไรไหมวะมึงเนี่ย” ผมลากคอมันออกมาแล้วคล้องสายจูงกับปลอกคอ อย่าให้พี่ท็อปมาเห็นผมฉุดกระชากลากดึงหมาสุดรักของเขาล่ะ ผมนี่แหละจะกลายเป็นหมาหัวเน่า
“โฮ่งๆ” อยู่ๆ มันก็เห่าก่อนจะออกวิ่งไปหาเจ้าของ พี่ท็อปเดินลงมาที่สวนเอาขนมปังมาด้วยเพื่อหลอกล่อไอ้หมานั่นให้ไปหา
“มึงแกล้งมันเหรอ” พี่ท็อปทำหน้าดุๆ เชิงหยอกล้อกับผม
“เออ หมั่นไส้ มันทำตากวนๆ ยังไงชอบกล” แบบตามันกลับกลอกไปมา
“มึงนี่ชอบทะเลาะกับหมาอยู่เรื่อย”
“งั้นก็ไปปิกนิกกับหมาเถอะ ผมอยู่นี่แหละ ขี้เกียจ” ผมนั่งลงเขี่ยหญ้าที่พื้นเล่น
“แน่นอนไปกับหมา หมาชื่อสอง”
“เออซี่ ที่รักให้เขาเป็นหมาได้ไง”ผมบ่นอุบ พี่ท็อปมองหน้าผมก่อนจะแสยะยิ้มเหมือนตัวร้าย
“ก็มีเจ้าของ ว่านอนสอนง่าย ขี้อ้อน แถมยังแสนรู้อีก พันธุ์ไหนกันนะ”อีกฝ่ายหัวเราะพอใจที่ต้อนผมให้จนมุมจนได้
“ฟังดูดี ไปกันได้หรือยัง”ผมเร่ง เดินไปหาแล้วหยิบตะกร้าอาหารขึ้นมาถือ หนักใช้ได้เหมือนกัน ส่วนพี่ท็อปจูงไอ้ทูไปด้วย คราวนี้เดินไปแบบช้าๆ เพราะอากาศแจ่มใสไม่ร้อนมาก พอเลยเขตบ้านออกมาแล้ว
“รู้แล้วล่ะสิ กูไปฝึกสหกิจกับแม่”ระหว่างที่เดินในซอยบ้านช้าๆ พี่ท็อปก็เริ่มพูด
“อือ ก็ดีแล้วนี่มีที่ฝึกงาน”ผมบอกอย่างไม่คิดอะไรนัก เจ้าตัวเหลียวมอง
“ที่จริงก็อยากฝึกใกล้มอแต่มันหายาก ...ไม่อยากไปอยู่ไกลหูไกลตามึงหรอกนะ เห็นแบบนี้กูก็ห่วงมึงนะ กลัวคนอื่นมาวุ่นวาย”เจ้าตัวพูด หันมามองผมอย่างจริงจัง

“ใครจะมาวุ่นวายกัน มีเจ้าของแล้วแบบนี้”ผมบอก ยกมือออกมาโชว์แหวน
“ไม่คิดมากใช่ไหม”อีกฝ่ายถามอย่างใส่ใจ
“ไม่หรอก เรื่องงานนี่ ถ้าพี่ไม่ว่างมาหาผมเดี๋ยวผมแวะไปหาพี่เองก็ได้ ชลบุรีแค่นี้เอง สบาย” ผมหัวเราะไปด้วย ถ้าคิดถึงมากๆ ไปหาถึงที่ก็จบเรื่อง
“ฝึกจบกูสามารถหางานทำในเมืองได้ ร่นระยะทางมาหน่อย”
“ใจจริงก็ไม่อย่างอยู่ห่างกันหรอก แต่ถ้าเรื่องทำงานพี่ทำกับแม่พี่ก็ได้นะ มันน่าจะโอเคกว่า ในเมื่อฝึกงานไปแล้วก็ทำงานที่นั่นเลย”
“มันไม่ง่ายหรอก ถึงจะมีเส้นสายแต่ต้องสอบ ต้องสัมภาษณ์งานอีก กูไม่อยากอยู่กับแม่ไปตลอดหรอก ชีวิตกูทั้งชีวิตต้องแบ่งให้แต่ละคนเท่าๆ กัน” อุตส่าห์หาคำพูดให้ผมยิ้มได้อีกนะ
“พูดได้ดีแฮะ”
“แน่นอน ไม่งั้นมึงจะทั้งรักทั้งหลงเหรอไง” พี่ท็อปเอื้อมแขนมากอดผมไว้ไม่อายฟ้าดิน
“ไว้ค่อยคิดก็แล้วกัน สนใจเวลานี้ดีกว่า”
เดินคุยกันจนเพลินก่อนจะเดินเข้าไปในเดอะปาร์ค สวนสาธารณะอันร่มรื่นและเงียบสงบของเหล่าผู้มีอันจะกินผมเลือกที่มีสวนกว้างๆ เพื่อให้ไอ้ทูวิ่งเล่นได้ พี่ท็อปปล่อยให้มันเล่นอยู่กับลูกบอล ผมปูผ้ารองพื้นแล้วจัดของออกมาวาง อีกฝ่ายเดินไปเปิดสายยางทำให้สปริงเกอร์หมุนให้ความชุ่มชื่นและเย็นสบาย 
“บางทีกูก็คิดถึงอนาคตที่มีมึงอยู่ด้วย มันออกมาไม่เลวนะ”พี่ท็อปเอ่ยช้า ๆ สายตาจับจ้องไปที่ไอ้ทู มันกำลังวิ่งเล่นไล่งับหางตัวเอง เจ้าตัวหมุนแหวนที่นิ้วเล่นไปมา
“อนาคตแบบไหน”ผมฟังแล้วยิ้มออก หันไปถาม 
“ไม่บอก รอให้ถึงเวลาแล้วกูจะบอกเอง” พี่ท็อปยิ้ม ผมเห็นประกายจากแววตาของอีกฝ่ายเมื่อสักครู่คงเป็นอะไรดีๆ ที่จะเซอร์ไพรส์ผมหรือไง ผมไหวไหล่ เรื่องอนาคตผมไม่ค่อยเร่งรีบ ไม่ใช่ว่าไม่กระตือรือร้น แต่ผมเป็นพวกแค่มองที่ปัจจุบันมากกว่า
“รอฟังเลยครับ” ผมยิ้มรับ
“มันเป็นอนาคตที่ดีนะ แต่ตอนนี้แค่เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอ”พี่ท็อปพูด เหลียวมองผมอยู่นาน ก่อนจะเสมองไปทางอื่นแทน ผมกระตุกยิ้ม

“ผมโคตรชอบพี่เลยว่ะ”ผมมองคนข้างกาย อดไม่ได้ที่จะพูดความในใจออกไปไม่อย่างนั้นคงอกแตกตายแหง ยิ่งมาทำตัวน่ารักแบบนี้มันอดไม่ได้จริงๆ ถึงแม้ว่าใจของผมมันจะแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก มากกว่าความชอบไปแล้วก็เถอะ
“เออ รู้น่า แต่กูไม่พูดตอนนี้หรอกนะ เมื่อคืนก็พูดไปแล้ว...กูว่ากูแสดงออกชัดเจนนะ”พี่ท็อปยิ้ม ยื่นมือมาจับมือผมไว้ ผมยิ้มกว้าง รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังบอกรักตอบกลับมาด้วยเช่นกัน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --#24!! (19:04) #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 05-01-2016 19:41:28
 :mew1:   สุดยอดคุณแม่ น่ารักมากๆทั้งครอบครัวเลย รวมเจ้าทูหมาหนัามึนด้วยนะ
เดี๋ยวนี้บอกรักเต็มปากแล้ว ฟินจริงๆค่ะ
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ แอบกลัวจะหายนาน   รอผิงและพี่ดีนอยู่นะคะ สู้ๆจ้า.  :3123: 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --#24!! (19:04) #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 05-01-2016 21:02:40
พี่ท็อปน้องสองน่ารักมากเลย เป็นวันเกิดที่คุ้มมากเลยของพี่ท็อปแก คุณแม่ก็ช่างรู้ใจลูกจัง แต่ท็อปต้องไปฝึกงานไกล สองจะเหงาแย่อ่ะดิ เอาทูไปเลี้ยงเลยไหมสอง พี่ท็อปวางแผนอนาคตเลี้ยงสองแล้ว ฟินๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --#25!! (19:04) #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 05-01-2016 21:32:55
 :-[แม่น่ารักมากอ่ะ เข้าใจลูกชาย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --#25!! (19:04) #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 05-01-2016 21:39:30
สนุกคะ เอาใจช่วยนักเขียนนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --#25!! (19:04) #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 06-01-2016 20:40:37
ให้สองเป็นเมียแบบนี้แหละถูกแล้ว ไม่รู้สิ บุคลิกสองอ่ะต้องเป็นผู้ตาม(ล่ะมั้ง)ไม่เหมาะเป็นสามีหรอก
#ท็อปสอง น่ารักว่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --#25!! (19:04) #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 06-01-2016 22:36:39
แม่พี่ท็อปน่ารักมาก
สองน่ารักสุดๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --#25!! (19:04) #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: Snimsoi ที่ 07-01-2016 01:51:07
สองโคตรรักพี่ท็อปเลยอะ อิจฉาท็อปจริงๆมีแฟนแบบสอง วันไหนท็อปว่างๆก็ให้สองขึ้นบ้างนะ :hao3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --#25!! (19:04) #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 10-01-2016 03:49:37
สองมันเหมาะจะเป็นเมียจริงๆนั่นแหละ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --#25!! (19:04) #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 10-01-2016 16:45:40
น่ารัก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --#25!! (19:04) #05.01.59 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 10-01-2016 16:54:18
สองดูจะพลิกยากแล้วล่ะแบบนี้
เสร็จพี่ท็อปถาวรแล้วมั้งนั่น 555555555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Deen diary บทที่ 2 คนที่หายไปกลับมา
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 12-01-2016 21:28:26
Deen diary
บทที่ 2 คนที่หายไปกลับมา (ต่อ)


เมื่อนั่งเอื่อยเฉื่อยทำใจสบายๆ จนเต็มอิ่มแล้วก็ขี่รถไปบ้านพี่ตองที่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึงหนึ่งกิโล รถบ้านของพี่ตองได้มาจากน้าชายที่ตายไปแล้ว ส่วนที่ดินผืนนี้เป็นของแม่พี่ตองถึงจะต่อเติมขยายพื้นที่โดยไปซื้อตู้คอนเทรนเนอร์มาเติมแต่ผมก็ไม่ชอบมันอยู่ดี เหมือนหายใจไม่ออก ถ้าพี่กัสไม่มีเรื่องจะคุยด้วยผมไม่ค้างที่นี่แน่ๆ
“ไง มาแล้วเว้ย” พี่ตองเปิดประตูต้อนรับ อากาศด้านในไม่ร้อนอย่างที่คิดแต่ข้าวของเรียงรายไม่เป็นระเบียบ ผมยิ้มทักทายพี่ตอง
“เออ จะนอนแล้วนะ อย่าเปิดเพลงหนวกหูล่ะ” พี่กัสบอก ผมเดินตามพี่กัสไป ห้องของพี่กัสที่ถูกแต่งเติมเข้ามาเหมือนเดินเข้าไปในกล่อง พี่กัสเข้าไปอาบน้ำผมเลยได้โอกาสสำรวจห้องนี้ แต่ไม่มีอะไรมากเพราะพี่กัสมีแค่กระเป๋าเสื้อผ้า
กึก กึก
พี่ตองเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา ก่อนจะเข้ามาคุยกับผม
“ไง ห้องสวยใช่ไหมวะ” พี่ตองยิ้ม
“พอได้ แต่อึดอัดไปหน่อย” ผมบอกไปตามตรง
“หึหึ มึงมันไม่ใช่สไตล์นี้ว่ะ นี่อุตส่าห์ซื้อผ้าปูกับผ้าม่านใหม่เลยนะเว้ย” พี่ตองบอก ผมไม่ได้ตอบอะไร อีกฝ่ายมองผม เหลือบมองไปทางห้องน้ำจากนั้นพูดกับผมด้วยท่าทีจริงจัง
“กูจะบอกอะไรให้นะไอ้น้อง ไอ้กัสมันไม่ใช่แบบที่มึงเห็นหรอก” ผมหันไปจ้องพี่ตอง เมื่อเจ้าตัวพูดแบบนั้น ทำไมต้องมาทำลับลมคมในใส่กันด้วย
“แบบไหนล่ะ” ผมถาม
“มันแสดงแบบไหนให้มึงเห็นล่ะ” พี่ตองยังเล่นลิ้นอยู่อีกผมถอนหายใจ
“ก็เหมือนที่พี่เห็น แต่ตอนนี้พูดจาดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ” ผมบอก
“เออว่ะ เมื่อก่อนเถื่อนไปหน่อย ฮ่าๆ” พี่ตองหัวเราะก่อนจะเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ผมคิดมากอีก ชักไม่ชอบใจพี่ตองเข้าไปทุกที
“เมื่อกี้ไอ้ตองเหรอ” พี่กัสเดินออกมาจากห้องน้ำ พันผ้าเช็ดตัวรอบเอว หันมองไปทิศทางประตูห้องที่ปิดสนิท
“ใช่พี่ กวนประสาท” ผมตอบอย่างหงุดหงิด
“อย่าไปสนใจมัน” พี่กัสเดินมาที่กระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองแล้วหยิบเสื้อกับกางเกงออกมา เมื่อเห็นว่าผมยังอยู่กับที่เลยหัวเราะ
“ไม่อาบน้ำเหรอวะ ใส่เสื้อไอ้ตองก็ได้” อีกฝ่ายหันมาถาม
“ไม่ล่ะ ผมอาบก่อนออกมาหาพี่แล้ว” ผมบอกแล้วนิ่งไป หวังว่าพี่กัสจะไม่ตีความผิดๆ นะ จากนั้นผมเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำซึ่งไม่กว้างมากนัก มีแค่ชักโครกพร้อมม่านปิดกั้นไว้ มีฝักบัวริมผนังอ่างล้างหน้าเล็กๆ ผมหยิบโฟมล้างหน้ามาใช้ ไม่งั้นคงนอนไม่หลับแน่ๆ
“มาเงียบๆ ทำไมเนี่ย” ระหว่างที่ผมล้างหน้าจนสะอาด ตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นมา ก็เจอเข้ากับพี่กัส ผมมองอีกฝ่ายที่สะท้อนผ่านกระจกพอดี ผมตกใจนิดหน่อย ก่อนจะหันไปหาอีกฝ่ายที่ยืนอยู่หน้าประตู
“กูถามอะไรหน่อยดิ” พี่กัสเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง ไม่ละสายตาไปจากผม
“ว่ามาสิพี่” ผมตอบ ในใจหวั่นกลัวอยู่บ้าง
“ไอ้ตองบอกว่ามึงชอบกู” พี่กัสพูดเรียบๆ มองหน้าผมไปด้วย ผมใจหายวูบ แต่ทำท่าไม่สะทกสะท้านอะไร ผมไหวไหล่
“แล้วไงครับ ก็เคยชอบอยู่” ผมตอบไปตรงๆ
“แล้วตอนนี้ล่ะ” พี่ตองถาม
“ไม่รู้สิพี่ บอกไม่ถูก” ผมไหวไหล่ แต่รู้สึกว่าผมแคร์พี่กัสมากพอที่จะตามต้อยๆ อยู่แบบนี้ อันที่จริงผมควรกลับหอพักไปทำงานให้เสร็จน่าจะเข้าท่ากว่าด้วยซ้ำ
“มึงดูแปลกๆ นะดีน” พี่กัสพูด
“แปลกยังไง” ผมพูด มองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่รู้สิ กูอึดอัดนิดหน่อย” พี่กัสหัวเราะออกมา
“ผมก็เป็นแบบนี้แหละพี่แค่ไม่สังเกต” ผมตอบห้วน ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะเพิ่งรู้จริงๆ ว่าผมคิดยังไง
“พูดเหมือนงอน หึๆ คิดมากว่ะ” พี่กัสส่ายหน้า
“พี่อย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก เพราะมันน่ารำคาญมากกว่าที่ต้องมาทำเหมือนเป็นคนโง่ๆ ไร้เดียงสาแบบนี้
“แล้วมึงหวังอะไรจากกู” พี่กัสพูด มองผมด้วยสายตานิ่งเฉย ทำให้ผมไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก
“เปล่า” ผมตอบ
“จะให้กูเชื่อเหรอ”อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูง ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่นึกกลัว
“ผมแค่อยากให้พี่รู้ก็แค่...” ผมพูดไม่จบ แค่มองพี่กัสเหมือนคนแปลกหน้า ตอนนี้ผมไม่เข้าใจพี่กัสมากกว่า
“มึงไม่ใช่คนแบบนั้นนี่ที่จะยอมหยุดเพราะแค่ให้กูรู้เท่านั้น” พี่กัสพูด ผมเหมือนถูกมัดมือชก จะบอกว่าไม่จริงก็คงโกหกตัวเอง แล้วพี่กัสคาดหวังคำตอบแบบไหนกันแน่
“ไหนว่าอย่าให้ผมคิดลึก แล้วพี่มาพูดแบบนี้กับผมน่ะเหรอ” ผมชักไม่พอใจ มาทำให้ผมดูเหมือนง่ายๆ แบบนี้หรือไง
“....กูแค่อยากรู้ก็เท่านั้น” พี่กัสไหวไหล่
“รู้อะไร” ผมถามห้วนๆ แต่พี่กัสไม่พูด
ผมไม่ชอบตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ดูท่าทางพี่กัสจะไม่ปล่อยให้ผมออกจากห้องน้ำไปได้ง่ายๆ แน่ ผมเลยรอดูท่าไปน่าจะง่ายกว่า แต่ไม่คิดว่าพี่กัสจะทำแบบนี้ อีกฝ่ายแค่โน้มตัวมาใกล้แล้วจูบผมเหมือนพยายามปลุกเร้าเต็มที่ แต่ผมไม่รู้สึกด้วยเพราะผมไม่ต้องการอะไรแบบนี้
“รู้สึกยังไง” พี่กัสถามเมื่อขยับตัวออกห่างเปิดช่องให้ผมออกจากห้องน้ำได้
“ไม่โอเค” ผมเดินหนี “งั้นผมกลับดีกว่า”
“กูคิดอยู่แล้วว่ามึงไม่ง่าย และก็ไม่คิดว่ามึงอยากให้เรื่องจบลงแบบนั้นด้วย... ไม่อยู่คุยจริงๆ เหรอ คราวนี้ไม่ทำอะไรแปลกๆ หรอก” พี่กัสพูดแล้วยิ้มแต่ผมลังเลอยู่สักพัก เกือบๆ จะไม่ไว้ใจอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก
“เฮ้อ คราวหน้าผมต่อยนะ” ปกติผมไม่ยอมให้ใครมารุกใส่ง่ายๆ แบบนี้
“เออ ดึกแล้วมานี่มา” พี่กัสกระโดดไปที่เตียงแล้วตบลงที่ว่างข้างๆ ผมแค่เดินไปที่เตียงแล้วนอนลงข้างๆ อีกฝ่ายที่แค่นอนมองเพดานเงียบๆ ภายในห้องเหลือเพียงแสงไฟจากโคมไฟสีอ่อนนวลตา
“ไม่คิดว่ามึงจะชอบแนวนี้”อีกฝ่ายพูดอย่างไม่เชื่อนัก ผมขำออกมา
“คิดแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ” ผมว่าพี่กัสน่าจะมองออก ถึงผมจะคบผู้หญิงบ้างแต่ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยจีบผู้ชาย
“ก็คิดว่าแค่อยากรู้อยากลอง” ผมตัดสินใจว่าควรจะพูดออกมา
“บางทีผมอาจไม่มีโอกาสได้พูดอีก พี่เป็นคนสำคัญต่อผม ผมว่าพี่น่าจะรู้ ถ้าผมไม่เจอพี่ผมคงเละเทะกว่านี้” เส้นทางที่เหลวแหลกอาจจะเป็นนักเลงอยู่ข้างถนน
“อืม ไม่ใช่ว่ากูไม่รู้นะ แต่มึงเป็นเด็กที่สูญเสียการควบคุม อ่อนแอ ใจเหลาะแหละ ไม่ยากหรอกที่จะยึดเกาะใครสักคนได้ง่ายๆ” พี่กัสเริ่มพูดขึ้นมาบ้าง
“แต่ผม....”
“มันไม่ใช่ความรักหรอกดีน จริงๆ นะ มึงน่าจะรู้ตัว” พี่กัสพูดตัดบท ทำให้ผมนิ่งไป ผมคิดว่าพี่กัสสำคัญต่อผมในเชิงจิตใจ
“อืม ขอบคุณที่ย้ำ” ผมหัวเราะเยาะ แค่ผิดหวังไม่ถึงกับเสียใจ
“มึงจะเสียใจต่างหากถ้าเกิดตัดสินใจพลาดเกี่ยวกับกู” พี่กัสพูดแปลกๆ ผมหันไปมองเจ้าตัวที่ยังคงไม่ละสายตาจากฝ้าเพดาน
“ทำไมล่ะ”ผมถาม ในใจรู้สึกรวดร้าวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ 
“กูไม่ใช่คนดี มึงก็รู้” พี่กัสหันมาสนใจผมแทนผมพยักหน้า
“อือ”
“หึๆ มึงเลือกได้นี่ กูไม่ใช่ทางเลือกของมึง ไว้กูพร้อมเมื่อไหร่กูจะเล่าเรื่องของกูฟังให้หมดทุกอย่าง” พี่กัสหันมองผมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“จริงนะ” ผมตอบ แสดงว่าที่เล่าให้ผมฟังไม่ถึงเศษเสี้ยวความจริงเลยหรือไง
“อืม เล่าทุกอย่าง” อีกฝ่ายยืนยัน ผมถอนหายใจ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังเห็นผมอยู่ในสายตา
“อย่าให้รอเก้อล่ะ” ผมทำเสียงจริงจัง
“มึงนี่ขี้ประชด” อีกฝ่ายแค่หัวเราะ
“แล้วครั้งนี้จะย้ายไปไหนอีกไหม” ผมถาม รู้สึกกลัวขึ้นมา หากว่าเจ้าตัวจะหนีหายไปอีกครั้ง
“ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรก็ไม่ย้าย” พี่กัสตอบเสียงสดชื่นขึ้นกว่าเดิม
“ดี จะได้แวะไปเยี่ยมบ้าง” ผมบอก พี่กัสยังไม่ได้บอกเลยว่าบ้านอยู่แถวไหน
“ดีน” พี่กัสเรียกนิ่งๆ ดูท่าจะซีเรียส
“ว่าไงครับ”
“กูชอบมึงนะ แต่มันไม่มากพอที่กูต้องทิ้งทุกอย่าง” ผมฟังแล้วรู้สึกโหวงแปลกๆ มันหมายความว่ายังไงกันล่ะ ชอบงั้นเหรอ...
“พี่พูดแบบนี้หมายความว่าไงกันแน่วะ” บางครั้งผมก็เกลียดที่ต้องกลับมาตีความคำพูดของคนอื่น
พี่กัสยิ้ม “แค่อยากให้รู้ กลัวมึงคิดมาก”
“แล้วที่พูดมานี่มันดีขึ้นไหม” ผมพูดเรียบๆ บอกไม่ถูกว่าควรดีใจไหม
“โทษทีๆ มึงก็รู้ว่ากูมันคนตรง”พี่กัสบอก ผมส่ายหน้า ตรงแบบนี้ก็ไม่ดีนะ ควรอธิบายให้เข้าใจด้วยสิ
 "กู๊ดไนท์" พี่กัสบอกก่อนจะนอนพลิกไปอีกด้านแทน
ในคืนนั้นผมนอนกระสับกระส่ายเพราะอึดอัดกับห้องนอนและคิดวนเวียนเรื่องพี่กัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า


บทที่ 3 ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ
ผมกลับมาที่หอพัก ใช้เวลาไปตั้งยี่สิบนาทีจากตัวเมือง รถติดแต่เช้าทำให้ผมสาย เมื่อเดินมาถึงชั้นของผมกลับกลายเป็นว่าต้องเจอเรื่องน่าหงุดหงิดก่อนเข้าคณะ ไอ้แกนมันยืนพิงประตูห้องผม ไม่รู้ว่าอยู่นานหรือยัง
“มึงมาทำไมอีก” ผมถามห้วนๆ ไอ้แกนขยับตัวบังประตูไว้คงกะไม่ให้ผมเข้าห้อง
“มีเรื่องจะถาม” มันเองก็ดูหงุดหงิดพอๆ กัน
“ว่ามา” ผมแปลกใจมันจะมาไม้ไหนกันแน่
“ฝีมือมึงเหรอ เรื่องอาจารย์” ไอ้แกนขึ้นเสียงใส่อย่างไม่พอใจ ไอ้เรื่องนี้เองน่ะเหรอ ผมได้ยินมาว่ามันโดนอาจารย์เรียกไปคุยเรื่องที่ไปพนันขันต่อกับการชกมวยกับรุ่นน้อง ทั้งเรื่องไอ้สอง ไอ้ท็อป ไม่รู้ว่าใครเอาไปฟ้องอาจารย์ จนเกิดเรื่องเข้า
“หมายถึงเรื่องอะไรล่ะ กูแค่พูดความจริง อาจารย์ถามกูก็ต้องตอบ” ผมบอก เพราะอารจารย์เรียกผมไปสอบถาม ผมตอบไปเท่าที่รู้ เป็นข้อเท็จจริง
“มึงวางแผนเอาไว้แล้วนั่นแหละว่ะ กูอาจมีปัญหาได้นะเว้ย นี่ไม่ใช้เรื่องสำคัญแบบนี้มาเอาคืนกูนะ” มันเดินเข้ามาผลักผมเหมือนจะมีเรื่อง
“กูเปล่า อาจารย์แกสงสัยมานานแล้ว ถึงไม่ได้ฟังจากกูอาจารย์ก็รู้จากคนอื่นอยู่ดี ไม่แน่อาจช่วยใส่สีตีไข่ให้พร้อมด้วยมั้ง” ผมบอกไปตามความจริงเพราะอาจารย์ก็ตามเรื่องนี้อยู่
“ถ้ามึงทำพัง กูไม่อยู่เฉยแน่” ไอ้แกนชี้หน้าผม
“กูไม่คิดเหมือนกันว่าเรื่องมันจะเลยเถิด จะโทษกูไม่ได้” ผมไม่ใส่ใจเพราะไม่ใช่ความผิดของผม
“มึงมันบ้า” ไอ้แกนตะคอกใส่
“ไม่เท่ามึงหรอก” ผมตอกกลับก่อนจะผลักมันออกไปให้พ้นทางแล้วรีบไขกุญแจห้อง
“กูขอโทษ” ไอ้แกนพูด ผมถอนหายใจแรงๆ แล้วหมุนลูกบิดเข้าไปในห้อง “กูจะพูดจนกว่ามึงจะยอมรับ ดูสิว่ามึงจะทนทิฐิสูงไปได้นานแค่ไหน” มันเข้ามาคว้าบานประตูไว้ได้ ดีแค่ไหนที่ผมไม่ได้ปิดเต็มแรง
“ก็ได้ กูรับคำขอโทษของมึง” ผมบอกมันจะได้ไปเสียที
“มึงน่าจะยอมฟังคนอื่นบ้าง” มันพูดนิ่งๆ
“กูฟังมามากพอแล้ว”
“มึงเป็นเอามากขนาดนี้เพราะเรื่องสมัยมัธยมน่ะเหรอ มันทำร้ายมึงขนาดนี้เลยหรือไง” มันยังจะเอาเรื่องเก่ามาพูดอีก
“มึงก็รู้นี่” ผมตอบแบบรำคาญ
“ตอนนั้นกูยังเด็ก” มันพยายามหาข้อแก้ตัว
“เด็กเหี้ยๆ” ผมพูดต่อให้ประโยคสมบูรณ์
“ก็ใช่”
“ตอนโตนิสัยไม่เปลี่ยนเท่าไหร่” ผมพูดเยาะๆ
“กูขอโทษ” มันมองหน้าผม ทำไมมันต้องมาพูดซ้ำซากอีก
“ถือว่าหมดเรื่อง มึงเลิกมาให้กูเห็นหน้าได้แล้ว อยู่ในที่ที่ควรอยู่เหมือนเมื่อก่อนไง ส่วนเรื่องที่กูจะรับคำขอโทษหรือไม่ยังไงกูจะเก็บไว้เอง” ผมบอกกับ มันไอ้แกนเงียบก่อนจะยอมรับ
“โอเค”
“เออ” ผมปิดประตูทันที หมดเรื่องก็ดี ผมเดินเข้าห้องน้ำส่องกระจก รู้สึกว่าโทรมไปหน่อย คราวนี้ก็หมดเรื่องให้ต้องคิดไปอีกเรื่อง
ตอนนี้ผมขอทุ่มให้กับงาน ผมยกเลิกนัดกับคนอื่นๆ ให้หมดเหลือแต่พี่กัสและงานที่คณะเท่านั้นที่ผมควรค่าแก่การเสียเวลา ไอ้แกนก็ทำได้อย่างที่มันพูด พวกผมกลับเข้าสู่โหมดปกติอีกครั้งตามที่ควรจะเป็น ไม่วุ่นวายต่อกัน
“งานบายเนียร์ปีนี้น้องๆ จัดธีมอะไรให้พวกเราวะ” เพื่อนในสาขาคนนึงถามขึ้นมาคนอื่นๆ เลยถามกันให้วุ่น
“ย้อนยุคๆ” ใครสักคนตอบ
“อืม กูใส่ชุดแหยมเลยดีไหมวะ” ไอ้กรหันมาพูดกับไอ้ติ
“เออ ได้อยู่ตัวดำๆ” มันหัวเราะ
“ตลกล่ะ”
“มึงนั่นแหละ ขอหล่อๆ สิวะ มาแนวตลกอีก ปีสุดท้ายทั้งที”
“เออว่ะ” มันหัวเราะกันครื้นเครงแต่ผมไม่อยู่ในอารมณ์นั้น
“เป็นอะไรอีกวะเพื่อน ทำหน้าเหมือนโลกจะแตก”ไอ้ติอีกตามเคย
“เปล่า แค่คิดอะไรเพลินๆ เว้ย”ผมตอบกลบเกลื่อนกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เอาแบบนี้ไหม วันนี้กูแดกเหล้าที่หอไอ้นะ มาแจมด้วยกันสิวะจะได้เลิกฟุ้งซ่านซะที”ผมชั่งใจเล็กน้อยแต่มันก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรผมเลยตกปากรับคำไป
กว่าจะออกจากคณะฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว พวกนั้นเลยแบ่งกันไปซื้อของในวงเหล้า ส่วนใหญ่จะคุยเรื่องสาวๆ ซะมากกว่า ผมไม่มีอารมณ์มาฟังเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ในหัวคิดวนเวียนเรื่องพี่กัสที่พูดแบบนั้นต้องหมายถึงอะไร 'ไม่มากพอที่จะละทิ้งทุกอย่าง' ทุกอย่างนี่หมายถึงอะไร พี่กัสก็ไม่มีอะไรนอกจากตัวเอง หรือว่าเรื่องครอบครัวกัน
“เป็นอะไรวะดีน” ไอ้ติเดินมานั่งข้างๆ พร้อมแก้วเหล้าในมือสีเข้มเสียด้วย
“กะจะเมาเลยเหรอวะ” ผมถามมันก่อนจะดึงบุหรี่มาสูบสักมวน
“เออ แดกเหล้าต้องแดกให้เมา” มันหัวเราะ
“จะค้างกับพวกนี้เหรอ”ผมถาม พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“อือ มึงชอบเก็บเรื่องไว้คนเดียว พวกกูดูออกนะเว้ยว่ามึงเครียด มึงมีความลับกูก็ไม่ติดใจอะไรหรอกแต่ถ้ามันทำให้มึงเป็นบ้าแบบนี้ระบายออกมาได้นะ”อีกฝ่ายเหลือบมองผมอย่างเป็นห่วง ผมดีใจนะที่มันสังเกตเห็น แต่ผมไม่อยากปรึกษาใคร โดยเฉพาะเรื่องเก่าๆ
"ขอบใจนะที่ห่วงกู แต่มันก็ดีขึ้นเอง”
"เหมือนกูไม่ค่อยรู้จักมึงเลยว่ะ" ไอ้ติพูด ผมหัวเราะในใจ เออ มึงไม่รู้จักกูจริงๆ หรอกเพื่อน
"กูก็เป็นกูนี่แหละ" ผมพึมพำแล้วถอนหายใจ
"กูสงสัยนะ สรุปมึงเป็นไบหรือว่าเกย์กันแน่" ผมว่ามันคงเมาถึงได้ถามแบบนี้ออกมา
"สำคัญด้วยเหรอวะ" ผมลุกเดินหนีมันมาที่วงเหล้าแทนทำผมอารมณ์เสียกว่าเดิมอีก
"เฮ้ย โซดาหมด กูบอกให้ซื้อมาเยอะๆ” พวกมันบ่นกันให้วุ่นวาย
"เดี๋ยวกูออกไปซื้อเอง ว่าจะไปซื้อบุหรี่” ผมเลยอาสาออกไปซื้อเพราะไม่อยากอยู่ในวงเหล้าเท่าไหร่
"เออ ซื้อบุหรี่ให้กูซองหนึ่ง"ไอ้กรยกมือบอก

ผมแวะเซเว่น ไม่วายหยิบลิปตันมาแพ็กหนึ่งเพราะนึกอยากลองของเก่าเลยต้องขี่รถไปทางสายหลังแวะมาซื้อยาร้านลุงทัศ ซึ่งมียาทุกประเภท ส่วนมากเด็กช่างกล ปวส. ปวช. จะมาอุดหนุนร้านลุงแกเยอะ ผมไม่อยากคิดถึงโทษของมันนัก แค่ไม่กี่ครั้งก็ไม่เป็นอะไรหรอก ผมรู้ลิมิตของตัวเอง
“ทรามาดอล” ผมพูดเบาๆ ลุงแกมองหน้าผมก่อนจะถอนหายใจ
“อย่าบอกว่ามาจากลุงล่ะ เดี๋ยวนี้กำลังกวาดล้างอยู่ ลุงต้องขายให้หมดสต็อก เอากี่แผง ถ้าสิบเอ็ดแผงไปเลยห้าลิตรเดี๋ยวลุงลดให้” ผมส่ายหน้า เยอะแบบนั้นได้ตายพอดี
“แผงเดียวพอครับ ไม่ได้ติด” ผมบอก ไม่อยากเสวนากับลุงนัก
“เหอะ ลุงไม่ใช่เด็กนะเว้ย อย่าโผล่มาร้านลุงอีกก็แล้วกัน" ลุงแกหัวเราะ ผมจ่ายเงินแล้วรีบบึ่งรถกลับ แต่เหมือนไปเหยียบโดนกับอะไรสักอย่างเข้าเพราะรถส่ายไปมาจนผมต้องจอดลงมาดู ซวยแล้วไง ยางรั่ว
ผมมองเส้นทางที่เงียบกริบและมืด ทางสายหลังไม่ค่อยมีไฟข้างทาง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มาซ่อมแซมสักที แต่ผมกังวลอย่างอื่นมากกว่า แถวนี้เคยมีโจรปล้นชิงทรัพย์ด้วย ผมล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาแต่ดันแบตหมดซะงั้น ผมก้มดูที่ล้อรถกลับมีหมุดเรือใบติดอยู่สองสามอัน ซวยฉิบ
ผมต้องไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่แล้วแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซด์ทางด้านหน้ากำลังใกล้เข้ามา ถ้าให้เดาไม่ได้มาดีชัวร์
“รถเป็นอะไรเหรอครับ” เสียงวัยรุ่นคนนึงถามซึ่งซ้อนกันมาสองคน
“รถยางรั่วแต่เดี๋ยวเพื่อนก็มารับแล้ว อยู่แถวนี้เอง ไม่ไกล” ผมตอบอย่างระวังและคิดว่าพวกมันคงต้องมาจี้แน่ สองคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ อีกคนอ้อมไปด้านหลัง
"ถ้าไม่อยากไส้ไหลเอากระเป๋าเงินมา” ไม่พูดเปล่ามันจ่อมีดปลายแหลมใกล้กับเอวผมทำนองขู่ ผมยืนนิ่งจากที่สังเกตมันมีมีดพกแค่คนเดียวแถมยังตัวผอมแห้งเหมือนพวกติดยา
"เฮ้ย มึงดูนี่... มีของดีด้วยเว้ย” มันหยิบถุงของที่ผมซื้อไปถือไว้ ผมมองหน้าอีกคนที่ยืนถือมีดจ่อ ผมจำใจต้องล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงแต่สุดท้ายแล้วก็เลือกที่จะซัดหมัดใส่หน้ามันไปแรงๆ ก่อนเอี้ยวตัวหลบวิถีมีดของมัน แต่เหมือนโดนเฉียดๆ บริเวณชายโครงเสียวแปลบขึ้นมาทันที พวกมันมันร้องโวยวาย
ผมผลักมันไปให้ไกลๆ อีกคนจะเข้ามาต่อย แต่ผมคว้าก้อนหินแถวนั้นขว้างใส่ลำตัวมันแทน เหมือนมีเสียงสวรรค์ช่วยชีวิต แสงไฟกะพริบสลับซ้ายขวาจากรถตรวจการของมหาลัยที่พวกชมรมอาสากู้ภัยของมอใช้ทำงาน กับรถมอเตอร์ไซด์อีกสองสามคันขี่ตามหลังมา พวกโจรตั้งท่าจะหนี
“ทางนี้ๆ”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวมันหนี” เสียงตะโกนโหวกเหวกดังไปทั่ว พวกนั้นขี่รถไปดักหน้าก่อนจะลงมาจับตัวไอ้สองคนนั้นไว้แล้วจะวอเรียกตำรวจ
“อ้าว นี่เพื่อนเก่าเรานี่หว่า” เเสงไฟจากไฟฉายส่องมาที่ผมจนแสบตา ผมเอามือบัง ส่วนคนพูดคือ ไอ้จิว ซี้ของไอ้แกน ผมอารมณ์เสียหนักกว่าเดิมก่อนเห็นไอ้แกนเดินมาที่รถมอเตอร์ไซด์ของผมแล้วก้มหยิบถุงของที่ผมซื้อจากพื้นมาถือ
“ของมึงเหรอ” มันถามแล้วหยิบแผงยากับลิปตันออกมาดู พวกมันมองหน้ากัน
“ดูเหมือนกูเจอแจ็กพอต คราวนี้กูคงได้เหรียญดีเด่น” หนึ่งในนั้นพูดกัน
“อะไรของพวกมึงวะ” ผมสบถอย่างหัวเสีย รู้สึกถึงลางร้าย พวกอาสาสมัครเข้าไปจับตัวโจรสองคนนั้นกดไว้ติดกับพื้นจนดิ้นไม่หลุด
“ไอ้ดีน คิดว่ากูไม่รู้เหรอว่าคืออะไร" ไอ้จิวขึ้นเสียงใส่
“ก็แค่ของมึนเมา" ผมตอบแบบส่งๆ และพวกมันคงไม่เชื่อ
“หึ น้องๆ ยาเสพติดดีๆ นี่เอง” ใครคนหนึ่งพูดทำเอาผมหน้าซีดไปเลย ผมไม่คิดว่าไอ้พวกนี้จะมาเจอผมในสภาพแบบนี้หรอก
“เฮ้ยมันเลือดออก” อีกคนส่องไฟมาที่ลำตัวผมซึ่งผมเองไม่ทันได้สังเกต ผมจับที่ชายโครงมีเลือดออกพอสมควร รู้สึกปวดแผลขึ้นมาทีละนิด ผมเม้มปาก
“พามันไปโรงพยาบาล” ใครคนหนึ่งพูด ไม่นาน ผมก็ได้ยินเสียงหวอตำรวจมาไกลๆ
ไอ้แกนเดินมาหาผม “เอาไงดีวะ”
“เออ มึงทำให้ไอ้แกนจบช้ากว่าพวกกู” ไอ้จิวเดินมาหาผมเหมือนจะหาเรื่องแต่เพื่อนมันจับไว้
“หมายความว่าไงวะ” ผมไม่เข้าใจที่มันพูดก่อนจะหันไปมองไอ้แกนที่ทำหน้าเหมือนโกรธแค้นผมมาสิบชาติ
“จารย์ลพติดไอมันเป็นข้ออ้างเรื่องชกต่อย มันเลยจบปีหน้า รับคนละรอบกับพวกกูไง ดูท่าแล้วถ้าส่งของนี่ให้ตำรวจมึงจะซวยยิ่งกว่าจบช้าอีก” ไอ้จิวยิ้มเหมือนสะใจ
อาจารย์ไม่น่าให้มันจบช้า ใครจะไปคิดว่ามันจะออกมาแบบนี้ ทำเอาผมพูดไม่ออก
“อย่านะเว้ย” ผมต้องปรามมันไว้แต่เพราะแรงตะโกนทำให้เลือดออกมาเรื่อยๆ ผมเพิ่งรู้สึกถึงความเจ็บที่บาดแผล
“เฮ้ย ไม่ต้องหรอก แค่ให้มันบอกชื่อร้านขายยาก็พอ คงจับพวกอื่นได้ อีกอย่างมันคงไม่ติดหรอกมั้ง” ไอ้แกนเข้ามาห้ามทัพก่อนจะหันมาพูดด้วย
“ไม่ได้ติด”ผมพูดกับอีกคนหนึ่งแทน
“มึงจะเอางั้นเหรอแกน” ไอ้จิวทำหน้าไม่พอใจ ไอ้แกนแค่เก็บถุงยาโยนลงใต้เบาะรถของมัน จากระยะไม่กี่เมตรผมเห็นรถตำรวจขับตรงมาทางพวกผม
“พามันไปโรงบาลก่อนค่อยคุย” คนที่เป็นแกนนำอาสาพูดกับไอ้แกน
ผมต้องซ้อนไอ้แกนเข้าไปที่โรงพยาบาลของมหาลัย โชคดีที่เอาบัตรนิสิตติดมาด้วยทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแบบเต็มราคา ที่สำคัญแผลไม่ลึกมากแต่ต้องเย็บสามสี่เข็ม ต้องมาเช็ดแผลตามเวลานัด สภาพแบบนี้ทำให้ผมจะมีปัญหาเรื่องงานที่คณะเอาได้ พอออกมาจากแผนกฉุกเฉินก็เจอกับไอ้แกนและผมก็หมดคำพูด มันไม่น่ามาเจอผมในสถานการณ์แบบนี้
“เดี๋ยวมึงต้องไปให้ปากคำ” มันไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องยานั่นอีกเลย แค่พาผมไปสถานีตำรวจที่ป้อมบริเวณหน้ามหาลัย “ส่วนเรื่องทรามาดอลพวกนั้นไม่ลงบันทึกไว้แต่จะเเจ้งเบาะแสเรื่องร้านขายยา” มันพูดกับผมก่อนที่จะเข้าสน.
“แล้วกูจะโดนด้วยไหม เจ้าของร้านเห็นหน้ากู” ผมจำเป็นต้องคุยกับมัน กังวลเรื่องตำรวจจะสืบเจอได้ง่ายๆ แบบนั้นยิ่งแย่กว่าอีก
“คงไม่ เพราะไม่ใช่แค่มึงหรอกที่ไปซื้อ เด็กมอเราก็มี” อีกฝ่ายตอบกลับมาเรียบๆ ผมแปลกใจ ทำไมมันถึงมาทำชมรมอาสานี่ได้ มันว่างขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ้แกนมองหน้าผมนิ่งๆ “กูจบช้ากว่าพวกมึง”
“แล้วกูผิดเหรอ” ผมพูด ถึงจะโกรธเกลียดมันแต่ไม่ได้อยากให้มันจบช้ารับปริญญาพร้อมรุ่นน้องหรอก
“ก็ไม่ได้บอกแบบนั้น” มันแค่มองหน้าเงียบๆ

จากนั้นก็ไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ไอ้โจรนั่นถูกจับแต่ปากมันพล่ามเรื่องยาอีก โชคดีที่ตำรวจที่รับแจ้งรู้จักกับพวกไอ้แกนผมเลยไม่ถูกสอบไปมากกว่านี้ ส่วนรถผมเอาไปซ่อมที่ร้านทำให้ผมต้องกลับกับมันแทนแม้จะไม่เต็มใจก็เถอะ
“ไม่คิดว่ามึงจะเล่นของพวกนี้” ไอ้แกนรีบพูดหลังจากที่ลงสน.มาที่ลานจอดรถด้านหน้า
“กูยังไม่ได้ใช้” ผมพูดสั้นๆ ไม่อยากให้มันพล่ามเรื่องนี้อีก
“ก็นั่นแหละวะ แค่มึงมีมันก็เท่ากับมึงเล่น แสดงว่าเคยใช้เหรอ"ผมไม่ตอบอะไร
“ถึงกูจะเหี้ยแค่ไหนแต่ไม่เคยยุ่งกับยา คิดดูเอาว่าใครเหี้ยกว่ากัน” มันตอบด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะเดินมาดักหน้าผม
“มึงจะเอาอะไรว่ามา” ผมพูดอย่างหมดความอดทน
“ก็เปล่า แค่รู้สึกสมเพชมึง”
“มึงมีสิทธิพูดแบบนี้กับกูเหรอวะ” ผมผลักมันไปให้พ้นๆ ทางอย่างโมโห
“ทำไม กูช่วยชีวิตมึงไว้ก็แล้วกัน ถ้าไม่ได้พวกกูป่านนี้มึงนอนในคุกในตารางไปแล้ว ไม่รู้หรือไงว่าตำรวจอยากกวาดล้างวัยรุ่นขี้ยาพวกนี้แค่ไหน" มันตะโกนใส่เสียงดัง
"มึงจะไปส่งกูไหม ถ้าไม่ก็หุบปากเรื่องนี้" ผมเดินหนีออกจากมันแล้วเดินไปเรื่อยๆ แถวนี้น่าจะเหลือวินมอเตอร์ไซด์บ้าง
“เฮ้ยมึง อย่ามาทำหยิ่ง แถวนี้ไม่มีวินแล้ว มากับกู” มันขี่รถตามมาใกล้ๆ ผมไม่พูดอะไรแค่เดินไปซ้อนรถมัน ตอนนี้ผมมึนไปหมด เรื่องมันเกิดขึ้นเร็วมาก กลับกลายเป็นว่าผมติดหนี้บุญคุณมันครั้งใหญ่ ถ้าหากเรื่องหลุดไปถึงคณบดีผมตายแน่ๆ
ไม่กี่นาทีมันก็พาผมมาถึงหอพัก
“มึงติดค้างกู” ผมชะงักกับคำพูดของมัน ไอ้แกนโยนถุงของมาให้ผม “เลือกเอานะอยากช็อกเพราะยาหรือเปล่า”
“กูไม่โง่” ผมส่ายหน้า ใครจะบ้าทำตัวเองช็อก
“โง่สิวะ ร่างกายมึงรับยาพวกนี้ไม่ไหวหรอก มึงนอนดึกมาหลายวัน กูช่วยชีวิตมึงจากตำรวจ โจร แล้วก็ยา” ไอ้แกนเริ่มเสียงดัง มันทำท่าเหมือนจะลำเลิกบุญคุณ
“ทำไมกูต้องชดใช้ให้มึงว่างั้นเหอะ”
“เปล่า... กูกับมึงก็ติดค้างเท่าๆ กันไม่ใช่เหรอวะ มึงกับกูเป็นเพื่อนกันได้”
“เพื่อน! มึงกล้าพูดนะ หึ ทำไมไอ้ท็อปไม่กลับมาคบมึงล่ะทั้งๆ ที่ก็เคลียร์กันแล้ว” ผมยกตัวอย่าง เพื่อนไม่ได้จะเป็นกันง่ายดายโดยเฉพาะผมกับมันไม่มีทางเด็ดขาด
"ก็นั่นมันไอ้ท็อป แต่กูพูดกับมึงนะ อย่างน้อยๆ ญาติดีกันได้เก็บเอาไปคิดด้วยแล้วกัน" ไอ้แกนพูดก่อนจะบึ่งรถกลับไปตามทาง ผมเดินกลับห้องก่อนจะโยนของลงบนเตียง ชาร์จแบตโทรศัพท์มีเบอร์พวกเพื่อนผมโทรตามเป็นสิบๆ สาย
ผมโทรหาไอ้ติ
[เชี่ย หายไปไหนมาวะ]
"กูเจอเรื่อง แม่งเกือบถูกแทงตายห่าแล้ว" ผมเล่าเรื่องให้มันฟังยกเว้นเรื่องยานั่น
[โชคดีไป แต่เป็นไอ้แกนแบบนี้มันไม่มาตามทวงบุญคุณกับมึงเลยเหรอวะ]
"ไม่รู้ดิ ฝากบอกพวกไอ้กรมันด้วยนะเว้ยที่ทำให้เป็นห่วง"
[เออๆ มึงปลอดภัยก็ดีแล้ว]
ผมวางสายก่อนจะเดินมานอนที่เตียง อาการเจ็บแผลเริ่มแผงฤทธิ์ทีละน้อย ผมหยิบยาขึ้นมาพิจารณา อย่างน้อยก็เมาได้สักชั่วโมงสองชั่วโมง แต่นึกถึงความเสี่ยงแล้วผมต้องโยนมันทิ้งลงถังขยะ
พรุ่งนี้เช้า...
ผมไม่อยากเข้าคณะเลยจริงๆ เพราะรู้ดีว่าพวกไอ้จิวต้องมาดักรอแน่ๆ มันรักเพื่อนมันกันแทบตาย ทุกคนเห็นดีเห็นงามไปทุกๆ เรื่องกับไอ้แกน มันคงไม่ปล่อยผมเรื่องที่ทำให้เพื่อนมันจบช้าทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่ความผิดผมเลย ถึงมันจะเริ่มต้นมาจากผมก็เถอะ แต่อาจารย์รู้เรื่องมาจากเด็กปีหนึ่งแท้ๆ
ส่วนไอ้แกน ผมต้องเป็นเพื่อนหรือว่าญาติดีกับอีกฝ่ายจริงๆ เหรอ ผมหลับตาแน่น พยายามข่มใจไว้
"ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ" ผมสบถคำหยาบออกมา แต่ก็ไม่มั่นใจว่าไอ้จิวจะเก็บเรื่องไว้เงียบๆ ได้จริงไหม ผมนึกภาพไม่ออกจริงๆ
ท้องไส้ของผมไม่ได้ปั่นป่วนมากนักเมื่อคิดเรื่องไอ้แกน มันเป็นเพียงแค่ความวิตกเรื่องความเป็นไปได้ หากว่าต้องเป็นมิตรกับมันเพราะลึกๆ แล้วใจผมรู้ดีว่าความโกรธแค้นในตัวไอ้แกนมันลดน้อยลงตั้งแต่วันที่มันมาขอโทษผมที่หน้าประตู
นั่นแหละที่อันตราย
อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิด ยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --Deen diary #12.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-01-2016 21:31:00
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Deen diary บทที่ 4 หัวใจที่ไม่แข็ง
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 12-01-2016 21:31:55
Deen diary
บทที่ 4 หัวใจที่ไม่แข็งแกร่ง

เช้าวันต่อมา ผมเข้าคณะตามปกติ แต่ทว่าไร้วี่แววของไอ้จิวกับพวก ซึ่งทำให้ผมแปลกใจและหวั่นใจไปพร้อมๆ กัน อาการปวดของบาดแผลทุเลาลงแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินนานๆได้ ผมเลยไม่อยากจะขยับตัวไปไหนมากนัก ผมเดินมาจนถึงหน้าบันไดเพื่อขึ้นไปยังสตูก็เจอกับไอ้แกน ทำให้ผมหยุดชะงักก่อนจะถอนหายใจ ผมเบื่อหน้ามันมากกว่าที่จะหงุดหงิดเหมือนปกติ
“มาปิดบัญชีกันดีกว่า รู้ไหมว่าเพื่อนๆ กูไม่ชอบมึงแค่ไหน” มันพูด ท่าทางเหมือนเอืมระอา ผมเห็นว่ามันยังสะพานกระเป๋าเป้อยู่ แสดงให้เห็นว่ามันตั้งใจจะมาดักรอผม
“เออ กูรู้”ผมตอบ เห็นๆอยู่เพื่อนๆของมันไม่ชอบผมจริงๆ โดยเฉพาะ ไอ้จิว
“แต่เรื่องนี้กูมีเอี่ยวเลยขอจัดการเองน่าจะง่ายกว่า” ไอ้แกนพูด ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน ไม่ละสายตาไปจากผม ทำเอาผมเองที่อดจะเบือนหน้าหนีไม่ได้
“ว่ามาสิ”ผมบอกเบาๆ ก่อนจะกอดอกรอคำถามของอีกฝ่าย
“ได้กลับเอาไปคิดทบทวนหรือยัง” ไอ้แกนย้อนถาม จนผมชะงักไปเอง เมื่อคืนผมไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ไม่มีคำตอบอะไรทั้งสิ้น ผมได้แต่เงียบ
“ว่าไง...” อีกฝ่ายเอ่ยถาม แล้วขยับตัวเข้ามาหา
“กูมีทางเลือกเหรอ” ผมถอนหายใจก่อนจะเดินถอยห่างเว้นระยะออกจากไอ้แกน
“หึ ก็ดี เพราะต่อจากนี้ไปมึงอาจต้องเจอพวกกูบ่อยๆ” อีกฝ่ายเอยยิ้มร้ายๆ เหมือนเคย ผมมองนาฬิกาข้อมือเพราะไม่อยากเข้าเรียนสาย ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“กูไม่สนใจหรอก ตราบใดถ้าไม่มาก้าวก่ายพวกกู”
“อีกไม่กี่เดือนก็จะจบกันแล้ว ต่างคนต้องแยกย้ายกันไป กูอยากให้มันจบสวยๆ ไม่ค้างคา” เจ้าตัวพูดแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ทำให้ผมต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา
“เออ...”ผมส่งเสียงตอบไปเบาๆ อีกฝ่ายเหลือบมองผมอยู่นาน มันเม้มปาก
“แล้วมึงโอเคไหม” ไอ้แกนเหมือนคิดอะไรก่อนจะเอ่ยถ้อยคำออกมา มันขมวดคิ้วเข้าหากัน
“อะไรนะ” ผมไม่เข้าใจที่มันถาม หมายถึงแผลหรือว่าอย่างอื่น
“ช่วงนี้มึงดูเครียดๆ แล้วแผลมึงเป็นยังไงบ้าง” อีกฝ่ายถอนหายใจ ยังคงไม่ละสายตาไปจากผมเสียที แววตาที่มองมามีความห่วงใยอยู่ ผมคิดว่าตาฝาดไปเอง แต่ก้เห็นความชัดเจนนั้นจนอึดอัด
“ทำไมเหรอ เกิดสนใจกูขึ้นมางั้นสิถึงได้อยากรู้” ผมพูด ไม่ตอบคำถามอีกฝ่าย
หลายที่ผ่านมา ผมไม่เคยสนใจรสนิยมของอีกฝ่ายเลยสักนิด ไอ้แกนปกติก็คบผู้หญิง แต่ช่วงหลังดูมันจะเงียบไป มีแต่ปัญหาเข้ามามากกว่าเรื่องสาวๆ ซึ่งผมไม่เคยฉุกคิดหรือเอะใจว่ามันสนใจผู้ชายหรือเปล่า แต่เท่าที่ผมสังเกตมันเป็นผู้ชายแท้ๆมากกว่า
"กูแค่ได้ยินพวกเพื่อนๆ มึงพูดกัน หึ มึงนี่ไม่ยอมให้เพื่อนรู้จักมึงจริงๆ บ้างหรือไง"ไอ้แกนพูด ผมเหมือนโดนแทงใจทำเลยกลบเกลื่อนสีหน้าและคำตอบ
"อย่ามารู้ดี" ผมผลักมันไปให้พ้นทางเพราะเสียเวลาอยู่ตรงนี้นานเกินไป
"กูว่ารู้จักมึงพอสมควรเลยนะ" ไอ้แกนพูดนิ่งๆ โทนน้ำเสียงที่ใช้ดูหนักแน่นซึ่งทำให้ผมไม่ชอบ
"ไอ้แกน อย่ามาเข้าใกล้กูให้มาก” ผมเตือนมัน ถึงจะไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของมันเลยก็เถอะ ผมแค่ไม่ไว้ใจมันเท่านั้นเอง
"แล้วเจอกัน" ไอ้แกนบอกห้วนๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป ระหว่างนั้นไอ้อาร์มเพื่อนในกลุ่มผมก็เดินมาหาพร้อมกับมองไอ้แกนที่เดินหายไปจากขั้นบันไดด้วยสายตางุนงง
"ทำไมมันมาอยู่กับมึงได้วะ" มันทำหน้าสงสัย ผมแค่ไหวไหล่ไม่สนใจ
"แค่เดินสวนกัน" ผมบอกปัด
"เออ อาจารย์มีเรื่องจะคุยด้วยเว้ย ทั้งสาขาเลย" ไอ้อาร์มบอก อาจารย์ที่ว่าคือที่ปรึกษาชั้นปีของพวกผมเอง
"เรื่องอะไรวะ" ผมแปลกใจ ปกติไม่เห็นอาจารย์เรียกประชุมชั้นปีเลยสักครั้ง สงสัยคงจะมีเรื่องอะไรอีกล่ะสิงานนี้
ผมเดินไปยังชั้นสามของตึกเรียนเข้าไปที่ห้องสโลป ส่วนมากเพื่อนร่วมสาขามากันเกือบครบ พวกไอ้แกนนั่งอยู่ทางด้านหลัง ผมเหมือนตกเป็นเป้าสายตา และไม่ชอบกับความรู้สึกแบบนี้เท่าไหร่ พยายามทำตัวให้ปกติ แผลแค่นี้เอง ผมอดกลั้น เดินไปนั่งโซนด้านหน้ากับไอ้กร ปกติจะอยู่แถวกลางๆ แต่ไม่อยากไปใกล้พวกไอ้แกน
“มีเรื่องอะไรกันแน่” ผมนั่งลงที่เก้าอี้ช้าๆ พยายามไม่ขยับตัวมากเพราะบาดแผลยังสด จากนั้นก็หันกระซิบกับไอ้กรที่ดูสงบเสงี่ยมแปลกพิกล คงไม่ใช่เรื่องของผมหรอกนะ ความรู้สึกไม่สบายใจกัดกินมากขึ้นทุกขณะ
“กูก็ไม่รู้อะไรมากหรอก คงจะเป็นเรื่องของพวกเรากับไอ้แกนล่ะมั้ง” ไอ้กรส่ายหน้าทำเสียงขึ้นจมูกเหมือนค่อนแคะหยามเหยียดเจ้าของชื่อไปในตัว
ไม่นานนักอาจารย์พิบูลที่ปรึกษาประจำรุ่นก็เดินเข้ามาในห้องด้วยมาดนิ่ง พวกที่เหลือยกมือไหว้ทักทายเป็นการใหญ่ แกเฮี้ยบมากจนทุกคนเกร็งเวลาพูดคุยด้วยเสมอ
“ไงปีสี่ จะจบแล้วก็คงไม่ได้เจอกันอีก ที่นัดมาคุยกันตอนนี้เพราะคงไม่มีโอกาสได้เรียกคุยกันบ่อยๆ หรอก ใช้เวลาไม่นาน กำหนดบายเนียร์ของรุ่นพวกคุณเกือบสิ้นเดือนเลยใช่ไหม”
“ครับอาจารย์” ไอ้ต๊ะตอบกลับ
“ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะว่าพวกคุณมีปัญหากัน” อาจารย์เว้นจังหวะทำให้เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นมาให้ได้ยิน ไอ้กรเอียงตัวมากระซิบข้างๆ “เห็นไหมกูว่าแล้ว”
“พวกรุ่นน้องมันรู้ว่าพวกคุณทะเลาะกันเอง ด่ากันเอง ตีกันเอง ทั้งๆ ที่เจอหน้ากันอยู่ทุกวัน ปีนี้พวกน้องๆ มันเลยอยากจะจัดงานกระชับมิตรขึ้นในงานบายเนียร์พวกคุณ จะโอเคไม่โอเคผมไม่รู้ แต่นี่คือสิ่งที่รุ่นน้องคุณจะทำในวันนั้น ผมแค่อยากให้พวกคุณ ไอ้ดีน ไอ้แกน กรุณาสงบศึกสงบใจกันสักครั้ง” เหมือนเป็นประกาศิตใครก็ขัดไม่ได้ แต่ถ้อยคำที่พูดออกมาทำเอาผมนิ่งอึ้งไปได้นาน ผมมองหน้าอาจารย์อย่างไม่เห็นด้วย เรื่องที่พวกผมไม่ถูกกันไม่ควรเอาไปเป็นประเด็นสาธารณะในงานบายเนียร์ปีของเพื่อนร่วมรุ่น คนอื่นๆ คงไม่ได้อยากได้อะไรแบบนี้กันหรอก ทำไมอาจารย์ถึงต้องมายุ่งวุ่นวาย ไอ้แกน.... งั้นเหรอ
“ไอ้แกนแหง” ไอ้ติยื่นหน้ามาพูดจากด้านหลัง ผมถอนหายใจเซ็งๆ
“ว่ายังไงดีน คุณเป็นตัวหลักของรุ่นมาตลอด ไอ้แกนก็ด้วย เพื่อนๆ คุณคงอยากจะเห็นภาพแบบนั้นในวันเลี้ยงอำลา ถึงแม้ว่าไอ้แกนมันจะจบช้ากว่าคุณ” อาจารย์พิบูลมองหน้าผมไปด้วยจนผมเสียวสันหลังวาบ
แบบนี้นี่เอง เรื่องที่ไอ้แกนจบช้าคงไปถึงหูอาจารย์เข้าและคงคิดว่าสาเหตุมันมาจากผม ดูเหมือนคนในห้องจะคาดคั้นเอาคำตอบจากผมให้ได้ ผมทำใจลำบากที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ อันที่จริงผมไม่เคยอยากให้มันต้องมาจบช้ากว่าพวกรุ่นเดียวกันหรอก
ทำไมผมต้องมารับความรู้สึกผิดเหล่านี้ด้วย
“ตามใจแล้วกันครับ ผมไม่ได้ขัดอะไรหรอกครับ อาจารย์” ผมพูดให้พวกมันได้ยินจะได้จบๆ ไอ้พวกปีสามมันคิดจะทำอะไรในงานกันแน่ ผมล่ะไม่ชอบเลยจริงๆ
“เออ ดีแล้ว จะได้ไม่เปลืองน้ำลาย ต้องขอบใจไอ้ระบบโซตัสของพวกคุณนะ ดูรักกันเหนียวแน่นซะจริง แล้วก็เรื่องสุดท้าย ผมเป็นคนกว้างขวางรู้จักคนเยอะ มีข่าวลือถึงหูผมบ่อยๆ หวังว่าผมจะไม่ได้ยินข่าวลือเสียๆ หายๆ มาจากลูกศิษย์ผมนะ อย่าให้เป็นแบบนั้น คนที่จะเสียก็คือตัวคุณนั่นแหละ” อาจารย์พูดชัดถ้อยชัดคำ กดให้ผมนิ่งงัน รู้สึกมึนงง อาจารย์พูดเหมือนรู้แถมสายตาที่มองผมอีก ผมไม่รู้ว่าอาจารย์สนิทกับพวกไอ้แกนแค่ไหน
“อะไรวะนั่น โดนเทศน์ไปยกนึง” ไอ้กรส่ายหน้าหัวเราะ อาจารย์เดินออกจากห้องไปภายในห้องกลับมาเสียงดังตามปกติ ส่วนมากก็พูดคุยกันเรื่องของผมกับไอ้แกนเนี่ยแหละ
“เฮ้ยดีน บายเนียร์ปีเราอย่าให้เกิดเรื่องเลยนะเว้ย”
“จะเกิดเรื่องอะไรล่ะ”
“ก็หาเรื่องพวกไอ้แกนไง จริงเหรอวะที่มึงเอาเรื่องมันไปบอกอาจารย์จนมันต้องจบช้ากว่าพวกเรา” นี่ก็เป็นหนึ่งในลูกหม้อไอ้แกน ผมถอนหายใจ
“มึงจะเสือกอะไรนักหนา กูไม่ได้ทำให้มันจบช้าซะหน่อย” ต้องโทษไอ้เด็กปีหนึ่งที่คาบข่าวไปบอกคนแรกสิวะ ผมหงุดหงิด พวกไอ้แกนยังคงไม่ไปไหน ไอ้จิวทำตัวเหมือนเป็นมาเฟียคุมห้องนี้ มันเดินลงมาตามบันไดห้องสโลป
“กูจะคอยดูมึงอยู่” มันเดินมาหยุดตรงหน้าผมพร้อมกับจ้องตาผมเขม็ง ทำให้ผมรู้ว่ามันเกลียดมากแค่ไหน
“หมายความว่าไงวะ” ไอ้กรโพล่งออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ผมห้ามมันก่อนจะระเบิดลง
“อย่าไปยุ่งกับพวกมัน เสียเวลา” ผมบอกแล้วลุกออกจากห้องไปน่าจะดีที่สุด
ผมเพิ่งนึกถึงคำพูดของไอ้แกน นี่น่ะเหรอที่ว่าต้องเจอหน้ามันบ่อยๆ เพราะไอ้งานบายเนียร์งั้นสินะ ผมเจ็บใจตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ มันมีแบ็กอัพดีนี่ อาจารย์พิบูลดูจะเอียงไปทางไอ้แกนแบบนั้นคงต้องรู้อะไรจากปากพล่อยๆ ของไอ้จิวแน่ๆ
“ที่มันพูดหมายความว่าไงวะ” ไอ้ติเดินมาพูดข้างๆ สีหน้าไม่พอใจชัดเจน ผมถอนหายใจ
บางครั้งการมีเพื่อนถามเซ้าซี้ก็ทำให้รำคาญขึ้นมาได้เหมือนกัน

พวกผมตรงไปที่ห้องจิตรกรรมของปีสี่เพื่อทำงานต่อให้เสร็จทันกำหนดส่ง ระหว่างนั้นข้อความจากพี่กัสดังขึ้น
Gus: เย็นนี้ว่างไหม พอดีผ่านไปแถวมอเลยกะว่าจะแวะไปหาที่คณะ สะดวกเปล่าวะ ป.ล. ไม่อยากโทรมาเพราะกลัวมึงเรียนอยู่ ตอบกลับด้วย
ผมโทรกลับไปหาพี่กัสเลยน่าจะง่ายกว่าเพราะไม่ได้มีเรียน
“ฮัลโหลพี่ ผมว่างทั้งวันนั่นแหละ แค่มาทำงานที่คณะเอง” ผมบอกหลังจากที่เจ้าตัวกดรับสาย
[อ๋อ งั้นเดี๋ยวไปหานะ ถ้ากูถึงคณะมึงแล้วเดี๋ยวโทรหา]
“ได้พี่” ผมตอบ
[โอเค เอาอะไรเปล่าวะจะได้ซื้อไปให้] พี่กัสถาม
“ไม่ล่ะพี่ แล้วเจอกันครับ” ผมวางสายจากพี่กัสแล้วเริ่มทำงานต่อ
ปีนี้ผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมคณะเลย แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเพราะเกรดไม่ขยับมาตั้งแต่ปีสามแล้ว ผมชอบทำกิจกรรม ให้เวลากับกิจกรรมมากกว่าการเรียนผลเลยออกมาเป็นแบบนี้ เกรดไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยู่ในเกณฑ์พอใช้ซึ่งต่างจากไอ้แกนที่พฤติกรรมแย่แต่การเรียนดี ปีที่แล้วมันได้นักเรียนดีเด่นด้วย ดูเหมือนโชคเข้าข้างมันนะ เรียนก็ดี เป็นประธานสโมฯ อีก ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าไม่ได้อิจฉามัน... มันก็มีบ้าง
“เออ ไอ้ติ มึงรู้ไหมวะว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องบายเนียร์” ผมถามขณะที่กำลังจัดเตรียมของอยู่ที่เฟรมของตัวเอง ไอ้ติหันหน้ามามอง
“ไม่รู้ดิ พวกไอ้แนนหรือเปล่า ไม่ก็น้องเทคมึงอะ”
“ทำกูซวยไปอีก” ผมส่ายหน้า ไอ้อาร์มเดินมาหาผมก่อนจะทำหน้าเหมือนข้องใจ
“เออ ทำไมอาจารย์เขาพูดแปลกๆ วะ แถมยังมองมาที่มึงบ่อยๆ ด้วย มึงไปทำอะไรมาหรือเปล่าวะเนี่ย” มันถามแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน พวกนั้นหันหน้ามามองผมอย่างสนใจ
“จะไปรู้เหรอ กูก็อยู่ของกูดีๆ” ผมไหวไหล่ไม่สนใจก่อนจะไล่พวกมันไปให้พ้นๆ

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ พี่กัสก็โทรมาหาบอกว่ารออยู่หน้าคณะแล้ว ผมลงไปหาพี่กัสที่ยืนพิงรถวีออสสีแดงอยู่ เจ้าตัวเห็นผมก็เดินเข้ามาหา ใส่ชุดทะมัดทะแมงเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมเสื้อยีนแขนยาวทับกางเกงยีนสีดำ ดูเผินๆ กลมกลืนกับพวกนักศึกษาได้เหมือนกัน
“กินอะไรยัง” พี่กัสถาม
“เช้าอยู่เลย ยังไม่หิว แล้วนี่รีบไปไหนต่อหรือเปล่า” ผมถามเพราะพี่กัสมารถยนต์น่าจะมาทำธุระสำคัญจริงๆ เพราะปกติพี่แกชอบใช้รถมอเตอร์ไซด์
“ไม่หรอก” พี่กัสไหวไหล่
“ขึ้นไปข้างบนไหมพี่” ผมชวน
“ก็ดี เอาขนมไปกินด้วย” พี่กัสเปิดประตูรถหยิบถุงขนม พวกบราวนี่กับขนมปังออกมา
“กินเป็นเด็กๆ เลย” ผมหัวเราะแล้วถือถุงขนมจากพี่กัส
ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดว่าไปแล้วก็ได้กลิ่นหอมๆ ฟุ้งๆ มาจากพี่กัส ไม่ใช่น้ำหอมแต่เป็นแป้ง
“พี่ใช้แป้งเด็กด้วยเหรอเนี่ย กลิ่นหอมเชียว” ผมแซวพี่กัสหันมายิ้ม
“จริงดิ กลิ่นติดมาเลยเหรอเนี่ย” พี่กัสย่นหน้าแล้วดมแขนเสื้อตัวเองไปด้วย จะว่าไปแล้วไอ้สองมันก็ใช้แป้งเด็กด้วยเหมือนกัน เคยได้กลิ่นจางๆ มาจากมัน
“หอมดี” ผมยิ้มบอก พี่กัสทำหน้าแปลกใจ
“นึกว่าจะไม่ชอบ”
“กลิ่นเบาๆ ก็พอได้แหละครับ”
ผมพาพี่กัสไปที่ห้องจิตรกรรมเผื่อว่าสนใจจะแสดงฝีมือบ้าง พี่กัสเดินมองไปรอบๆ ห้องอย่างสนใจ เมื่อหยุดที่เฟรมของผม
“กำลังทำงานอยู่เลยสิเนี่ย ไม่ได้มากวนนะ”
“เปล่าหรอก ดีเสียอีกจะได้มีคนช่วยทำเพิ่ม” ผมหัวเราะ ถ้าพี่กัสจะช่วยจริงๆ ก็ดีสิจะได้เร่งงานให้เสร็จเร็วขึ้น ไอ้ติเงยหน้ามามองด้วยสายตาสงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไรให้วุ่นวาย
“งานจบเหรอ”
“ใช่พี่ เป็นศิลปนิพนธ์น่ะ” สุดสัปดาห์นี้อาจารย์นัดคุยงานอีก พอสิ้นเทอมมีนิทรรศการจัดแสดงศิลปนิพนธ์ด้วย ถือว่าเป็นงานช้างเลยล่ะ
“อืม ก็มีไอเดียนี่หว่า” พี่กัสยิ้มก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ ผมเดินไปหยิบเก้าอี้อีกตัวที่มุมห้อง ไม่ลืมที่จะชวนไอ้พวกเพื่อนๆ มากินขนมเพราะพี่กัสซื้อมาเยอะอย่างกับเหมามา
“นั่นใครวะ” ไอ้กรบุ้ยปากไปยังพี่กัสที่กำลังด้อมๆ มองๆ กับงานของผมอยู่
“พี่กูเองแหละ นานๆ จะแวะมาหา” ผมบอกแล้วยัดห่อขนมใส่มือมันไป ไอ้กรจ้องหน้าผมด้วยสายตาประหลาด
“เหรอ พี่มึงนี่ใจดีจริงๆ” มันว่าแล้วเดินไปล้างพู่กันในแก้วทรงสูง
“แล้วไม่ดีหรือไง”
“อืมก็ดี ของฟรี แต่จะว่าไปพี่มึงดูเจ๋งดีนะ น่าจะพามาตั้งนานแล้ว” ไอ้กรย่นหน้าแล้วเหลือบมองพี่กัสไปเรื่อยๆ
“อือ” ผมพยักหน้าเบาๆ
“จะบอกอะไรให้นะเว้ย ในฐานะที่กูเป็นเพื่อนมึง ขอร้องเหอะ ถ้ามึงคิดจะเอาผู้ชายจริงๆ เนี่ยช่วยหาไอ้ที่ซอฟต์ๆ หน่อย อย่าเอาพวกแมนๆ สิวะ กูรับไม่ไหวว่ะ” มันกระซิบกระซาบทำหน้าหน่ายๆ
“มึงนี่ ใครว่า กูจะคบผู้ชาย” ผมขำหึ แกล้งอีอกฝ่ายไป มันทำหน้ามึนงง
“อ๋อเหรอ แล้วที่ไปวนเวียนๆ กับไอ้สองนี่จุดมุ่งหมายมึงคือ...”
“ก็เล่นๆ ไปแบบนั้นเอง จะซีเรียสไปทำไม เชื่อไอ้ต๊ะมากไปแล้วมึง” ผมตบหัวมันเบาๆ ก่อนจะหยิบแก้วน้ำพลาสติกมาสองใบสำหรับล้างพู่กัน ผมเดินกลับไปที่เฟรม พี่กัสหันมายิ้ม
“ไม่น่าเชื่อนะ อีกไม่นานมึงก็จะจบแล้ว”
“เวลามันเดินเร็วจะตาย” ผมหัวเราะก่อนจะผสมสีใหม่ในถาด
“ถ้ากูมาเรียนที่นี่ป่านนี้คงจบ อะไรๆ ก็คงต่างออกไป” พี่กัสมองที่เฟรมภาพอย่างใจลอย
“เอาน่า ตอนนี้พี่ก็มีงานทำ เปิดร้านของตัวเองได้ก็ถือว่าดีแล้ว” มีธุรกิจของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะเรื่องลงทุน เรื่องตลาด ดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับผม แล้วยิ่งเรียนสายนี้หางานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าหากไม่มีฝีมือจริงๆ คงเป็นได้แค่พวกต๊อกต๋อย

เกือบทั้งภาคเช้าที่พี่กัสอยู่ช่วยลงสีให้ผมที่คณะ ท่าทางเอาจริงเอาจังมาก ฝีมือยังคงเส้นคงวาแสดงว่าไม่ปล่อยให้แปรงสีและพู่กันห่างมือ พอเข้าช่วงบ่ายผมต้องฝากรถไว้ที่คณะเพราะพี่กัสพาผมเข้าไปในตัวเมืองเพื่อจะได้แวะไปดูร้านของพี่กัสไปด้วยเลย
หลังจากที่อิ่มหนำจากข้าวมื้อเที่ยงเจ้าตัวขับรถพาผมไปดูร้านแกลเลอรีกับชอปกีตาร์ที่หุ้นกับเพื่อนด้วย บรรยากาศภายในร้านออกแนวเรียบหรู จัดพื้นที่เป็นระเบียบเป็นโซน ใช้สีโทนสว่างแต่ร้านทำจากไม้พอแสงตกกระทบสีเลยนวลๆ ทึมๆ เล็กน้อยแต่ก็สวยดีไม่อึดอัด ชอปกีตาร์จะอยู่ทางด้านซ้าย ทางขวามือและชั้นบนจะเป็นแกลเลอรีของพี่กัส ผลงานไม่ได้มีแค่ภาพจิตรกรรมแต่จะมีงานศิลปะประยุกต์จำพวกของตกแต่งภายในบ้าน โคมไฟแบบแขวนและตั้งโต๊ะ มีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่
“แต่งสวยแล้วนี่”
“เหลือชั้นบนยังไม่ได้ทาสีกับจัดของเลย” พี่กัสยิ้ม
จนเข้ามาที่เคาน์เตอร์ริมสุดเจอกับผู้ชายรุ่นๆ เดียวกับพี่กัส ตัดสกินเฮด สักเต็มแขนเชียว ชื่อว่าอาร์ต กำลังเคลียร์บัญชี
“นี่ดีนน้องกู” พี่กัสแนะนำผมให้รู้จักกับหุ้นส่วนของพี่แก เจ้าของชื่อหันหน้ามองผมนานหลายวินาทีก่อนจะพยักหน้าเป็นการทักทาย
“อ๋อ คนนี้น่ะเหรอที่มึงพูดถึงบ่อยๆ” พี่อาร์ตหัวเราะแล้วมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
“พูดถึงผมด้วยเหรอเนี่ย นินทาเรอะ” ผมหันมาพูดกับพี่กัสที่ส่ายหน้า
“นิดหน่อยๆ ไม่พูดถึงสิแปลก” เจ้าตัวพูดแล้วหัวเราะก่อนพี่กัสจะดึงให้ตามไปที่หลังร้านที่มีทางเดินแคบๆ ก่อนจะเจอห้องแยกอีกสองห้องทางขวากับซ้าย เมื่อเปิดประตูบานซ้ายเข้าไปแล้วปรากฏว่าเป็นห้องมืดสำหรับล้างภาพ
“โห สุดยอดเลยพี่” ผมยิ้มก่อนจะอุทานเบาๆ พี่กัสเปิดไฟแสงอินฟราเรดในห้องดูอึดอัดเพราะไม่มีแสงสว่างเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มืดจนมองไม่เห็นอะไร ผมยิ้มกว้างเมื่อเห็นรูปที่แปะอยู่ตามฝาผนังห้องและที่ห้อยอยู่เรียงกัน ส่วนมากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้วก็ธรรมชาติ ส่วนใหญ่เป็นภาพจากฟิลิปปินส์
“ว่างๆ แวะมาลองทำได้นะ เดี๋ยวกูสอน” พี่กัสบอกก่อนจะแตะไปที่เครื่องล้างฟิล์มอัตโนมัติ ไม่ได้ใช้แบบเก่าที่ใช้อ่างล้างเยอะแยะ พี่กัสว่ามันเกะกะ ผมเหลือบไปเห็นภาพที่ล้างเสร็จแล้ววางเรียงอยู่อีกมุมนึง เหมือนเพิ่งจะล้างเมื่อไม่นาน ส่วนใหญ่เป็นรูปเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มีรอยยิ้มสดใส บางรูปถ่ายกับพี่กัส ไม่ทันได้เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยพี่กัสก็พาผมออกไปด้านนอกเพราะกลัวผมจะอึดอัด
“แล้วพี่นอนที่ไหนเนี่ย”
“ห้องตรงข้ามนี่ไง เล็กไปหน่อยแต่ก็โอเค” พี่กัสยิ้มก่อนจะเปิดประตูอีกฝั่งเข้าไป ผมมองอย่างแปลกตา ถึงจะเล็กกะทัดรัดไปหน่อยแต่ก็เป็นห้องที่สวยทีเดียว เพราะใช้สีโทนอ่อนทำให้ห้องดูสว่างและกว้างขึ้น ใช้พื้นที่เป็นสัดส่วนได้คุ้มค่าจริงๆ เนื่องจากห้องไม่ได้มีพื้นที่กว้างมากจึงเป็นเตียงสองชั้นติดผนังห้อง มีหน้าต่างบานใหญ่อยู่บานเดียวเปิดไว้ มีต้นแคคตัสสามกระถางวางไว้ด้านนอกหน้าต่าง
“มึงก็ชอบแคคตัสใช่ไหมวะ” พี่กัสเดินไปที่หน้าต่างแล้วหยิบกระถางแคคตัสมาสองอัน เป็นทรงกลม ด้านในมีแคคตัสรูปทรงคล้ายมิกกี้เม้าส์ดูเติบโตจนขึ้นซ้อนกันได้ขึ้นมา
“ก็ชอบนะพี่ เลี้ยงง่ายสุด” ผมหัวเราะที่กระถางทาสีแดงกับสีเขียวมีชื่อพี่กัสกับชื่อผมติดไว้ด้วย ผมรับมาดูอย่างแปลกใจ “ทำไมมีชื่อผม” ผมถามงงๆ แต่ก็ยิ้มออกมา
“กะว่าจะให้ตอนมึงสอบติดไง แต่ชวดซะก่อน เลยติดแหง็กอยู่นี่” พี่กัสหัวเราะเบาๆ อีกฝ่ายดูเขินอาย ผมก้มมองกระถางในมือด้วยใจหวั่นไหว
“หลายปีแล้วสิเนี่ย” ผมส่งคืนให้เจ้าตัว พี่กัสหยิบไปวางไว้ที่เดิม
“อืม ว่าแต่ห้องมันแคบไปหน่อยแต่ก็ยังพอหายใจสะดวก” พี่กัสบอก แล้วเดินไปเปิดพัดลมติดผนังฝั่งตรงข้ามกับเตียง
“หายใจสบายน่าพี่” ผมบอกแล้วนั่งลงที่เตียงชั้นล่าง คงเป็นที่นอนของพี่กัสแน่ๆ เพราะริมผนังมีรูปลายสักสองสามลายแปะไว้อยู่
“จะสักเพิ่มเหรอเนี่ย” ผมถามเจ้าตัว จากทั้งตัวก็คงเต็มไปหมดแล้วมั้ง
“ก็ว่าอยู่แต่ไม่แน่ใจหรอก ยังหาที่เหมาะๆ ไม่ได้เลย” พี่กัสพูด เดินมาหาผม
“แล้วมีอะไรให้ผมช่วยไหม” ผมถาม
“ไม่หรอก แค่อยากพามาเซอร์เวย์ก่อน นอนเล่นฆ่าเวลาไปก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวกูไปดูหน้าร้านแป๊บนึง” พี่กัสตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ผมถอนหายใจก่อนจะสอดส่องไปทั่วทุกมุมห้อง ผมยังสะดุดตากับรูปถ่ายในห้องมืดของพี่กัส แต่ภายในห้องนี้มีแต่ของใช้ส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งกลับกันในห้องมืดที่มีรูปเด็กตัวเล็กๆ เต็มไปหมด คงคิดว่าผมไม่ทันได้มองล่ะมั้ง และผมเองก็ไม่อยากคิดอะไรทำนองนั้น มันดูงี่เง่า
พอมองไปรอบๆ ห้องนี้แล้วบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นนักสะสมตัวยง มีตู้กระจกเล็กๆ เก็บแผ่นเพลงไวนิลทั้งเก่าและใหม่ปะปนกันไป แถมยังมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วย สุดยอดผมเลย ลองหยิบมาฟังเล่นๆ เพลงยุค Baroque-Chamber Music เลยถือโอกาสเปิดฟังสักหน่อย เสียงแจ่มมาก ฟังเพลินเลยกลับกลายเป็นว่าผมเผลอหลับจนไม่รับรู้ว่าเสียงเพลงหยุดไปแล้ว

ผมได้ยินเสียงพัดลม เสียงฝีเท้า เสียงปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียง ผมค่อยๆ ให้ประสาทการรับรู้ตื่นตัวได้เต็มที่ก่อนจะลืมตาขึ้น ผมหันไปด้านข้างก็เจอแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักของพี่กัสซึ่งนั่งอยู่กับพื้นห้อง
“มานานยังเนี่ย” ผมถามไปแบบนั้น เตียงชั้นแรกไม่ได้ยกสูงจากพื้นมากนัก พี่กัสนั่งอยู่ข้างๆ มองผมอยู่นิ่งๆ
“ก็สักพัก เห็นหลับเพลินๆ เลยไม่อยากปลุก”
“เหรอ” ผมยันตัวลุกจากเตียงมานั่งพิงหมอน พี่กัสแค่นั่งนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยพูด
“อืม ว่าจะถามอะไรมึงหน่อย”
“มีอะไรเหรอพี่”
“ที่ไปหามึงที่คณะกูเจอไอ้แกนด้วยนะ” พี่กัสยังคงไม่ละสายตาไปจากผม
“หือ เจอตรงไหนกัน” ผมถามอย่างสงสัย อยู่ๆ ทำไมมาพูดถึงไอ้แกนได้นะ
“แถวๆ นั้นแหละ แต่มันก็ดูไม่ได้เกลียดมึงเท่าไหร่นะ ออกจะปกติดี” พี่กัสไหวไหล่กอดอกมองผม สายตาพิจารณาผมอยู่นานสองนาน
“งั้นเหรอ.... แล้วนี่ปิดร้านแล้วเหรอเนี่ย” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยแทน อีกฝ่ายค่อยๆยิ้ม
“อือ ไอ้อาร์ตกำลังปิดอยู่”
“แล้วไม่ไปช่วยเขาล่ะ พี่อู้เหรอ” ผมแกล้งแซวเล่น พี่กัสหัวเราะ “อยากมาหามึงไง ไม่ได้เจอบ่อยๆ นี่หว่า” พูดซะผมหุบยิ้มสะดุดกึก
“ทำเหมือนจะหายไปไหนอีกซะงั้น” ผมยิ้มบางๆ เหลือบมองเจ้าตัวไปด้วย ได้เห็นเจ้าตัวใกล้ๆแบบนี้แล้วก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปอีก ผมคงเศร้าถ้าหากว่าจะไม่ได้เจอพี่กัสอีกแล้ว
“คนเราแน่นอนซะเมื่อไหร่” เจ้าตัวพูดเรียบๆ ผมเม้มปาก มองอีกฝ่ายแล้วลังเล ผมอยากถามอะไรบางอย่างกับเจ้าตัว
“ผมสงสัยอย่างนึงนะพี่” ผมพูดออกมาก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ว่ามาดิ” พี่กัสขมวดคิ้ว
“รูปเด็กในห้องนั้นเป็นใครกัน ที่ถ่ายกับพี่น่ะ” ผมเห็นว่ามีเยอะ แสดงว่าต้องสำคัญกับพี่กัสมาก ไม่อย่างนั้นจะเก็บไว้ทำไมกัน เหมือนละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวแต่ถ้าไม่ถามก็คงไม่รู้เองแน่ๆ 
“ว่าจะบอกอยู่แล้ว” พี่กัสพูดแต่เสียงเคาะประตูแรงๆ ดังขัดจังหวะซะอย่างนั้น
ก๊อก ก๊อก
ผมขัดใจนิดหน่อย พี่กัสตะโกนถามว่าใคร
“กูเอง เปิดให้หน่อย” พี่อาร์ตส่งเสียงกลับมา
“เออๆ” พี่กัสลุกเดินไปเปิดประตูให้
เมื่อประตูเปิดออกกว้างเจอกับพี่อาร์ตแล้วก็ผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารักคนนึงยืนอยู่ด้วย
“นึกแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่” ผู้หญิงคนนั้นพูดทำหน้าเหมือนเดาถูกก่อนจะเลื่อนสายตามามองผมสักพักจากนั้นก็เดินออกไป ผมงงหนัก พี่กัสเข้าไปคุยอะไรกับพี่อาร์ตด้านนอกก็ไม่รู้เดาว่าสถานการณ์ไม่ดีเลย
“มีอะไรเหรอพี่” ผมรู้สึกว่าบรรยากาศดูอึมครึมแปลกๆ คงต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน พี่กัสเดินกลับเข้ามาในห้องส่งยิ้มให้ผมก่อนจะมานั่งข้างๆ
“เปล่าหรอกมึง จะค้างไหม”
“ไม่ล่ะพี่ กลับไปนอนหอดีกว่าไม่อยากรบกวนน่ะ” ผมบอกก่อนจะลุกออกจากเตียง พี่กัสพยักหน้าแล้วลุกเดินไปที่ลิ้นชักแล้วถืออัลบั้มรูปออกมาให้ผม
“ยังเก็บไว้อยู่เหรอเนี่ย” ผมยิ้มเมื่อเห็นว่ารูปด้านในเป็นรูปผมสมัย 3-4 ปีที่แล้ว สภาพหน้าตารูปร่างแตกต่างจากตอนนี้มาก เปลี่ยนเป็นคนละคน สภาพปัจจุบันดูดีกว่าเยอะ
“อือ ก็เผื่อว่าเจอจะได้เอาคืนไง มึงเก็บไว้เถอะ”
“ขอบใจพี่” ผมยิ้มบอก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --Deen diary(4) #12.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 12-01-2016 21:59:45
เด็กคนนนั้นลูกของพี่กัสเหรอ :ling3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --Deen diary(4) #12.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 12-01-2016 22:49:24
เชียร์แกนดีน อยากให้มีหลายๆตอน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --Deen diary(4) #12.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 13-01-2016 00:26:29
เราชอบบรรยากาศระหว่างกัสกะดีนมากเลย มันแบบไม่ต้องรู้ว่าเรารู้สึกยังไง เป็นอะไร ขอแค่เข้าใจและรู้สึกดี ๆ ให้กันก็พอ
ไม่ว่ากัสจะไปทำอะไรมาดีนก็ยังคงเคารพกัสเหมือนเดิม ไม่ว่าดีนจะคิดยังไงหรืออยู่กับใคร กัสก็ยังไม่ลืมดีน มันดูอิ่มในตัวมาก
ส่วนเรื่องแกนกะดีน เพื่อนดีนน่ารำคาญไปหน่อย แต่เราก็พอเข้าใจ คงเพราะเล่าในมุมดีนเราเลยรำคาญเพื่อนดีนน้อยกว่าทั้งที่ทั้งสองฝ่ายก็พอกัน
ไม่ว่าบทสรุปของเรื่องราวของดีนจะเป็นยังไง ขอเพียงแค่ดีนมีความสุข ขก็พอ :กอด1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --Deen diary(4) #12.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 13-01-2016 19:48:42
หวังว่าเรื่องของแกนกับดีนจะจบแบบแฮปปี้นะ  :hao5: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --Deen diary(4) #12.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 13-01-2016 19:54:06
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
เรื่องดีน แค่อยากให้เป็นผู้เป็นคนอะ. อย่าหาเรื่องอย่ายุ่งกับยาส่วนจะเป็นเพื่อนกับแกนไหมมันต้องใช้เวลาน่ะ
เรื่องพี่กัสนี่เป็นพี่น้องกันก็พอแล้วนะกำลังสวย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # --อัพ --Deen diary(4) #12.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 13-01-2016 20:51:12
เอาจริงๆตอนนี้อึดอัดกัยพาร์ทดีนมากอะ คืออะไรก็ไม่เคลียร์สักอย่างปมโน้นนี่เยอะแยะ ชอบมีอะไรมาขัดอยู่เรื่อย #ต่อมเผือกล้วนๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 5
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 14-01-2016 13:59:16
 -ผิง-   
ตอนที่ 5 เดทแรกแบบไม่ตั้งใจ

   หลังจากที่ไปสานความสัมพันธ์กับไอ้ยิมจากทริปแม่สอดในวันนั้นทำให้ผมมองมันดูดีขึ้นมาในสายตาแบบก้าวกระโดด ไม่น่าเชื่อแฮะว่าไอ้ยิมจะสามารถทำให้ผมมองมันในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่เป็นแค่ไอ้ยิม หนุ่มแว่นผู้อกเดาะมาจากเพื่อนรักของผม ผมกับไอ้ยิมไม่ได้พัฒนาแบบก้าวกระโดด มีลิมิตขอบเขตเหมือนรู้ว่าตัวผมยังไม่พร้อมจะเปิดรับเรื่องแบบนั้นเร็วเกินไป ส่วนค่าน้ำมันผมจ่ายมันไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ค่าตุ๊กตาพม่าเท่านั้นที่ยังติดค้างมันไว้ แต่ไอ้ยิมยังคงไม่เผยไต๋ว่าจะให้ชดใช้อะไรมัน ซึ่งก็ดีเดี๋ยวก็ลืมเพราะไอ้ยิมยุ่งๆ กับงานวิจัยที่ต้องเคี่ยวเข็ญให้ผ่านอาจารย์ที่ปรึกษาให้ได้ ปกติทำตัวเครียดอยู่แล้ว มาโหมดนี้หนักเข้าไปใหญ่ อยากให้มันรีแลกซ์กว่านี้
วันนี้ผมเข้ามาหามันที่ห้อง แน่นอนว่ามันต้องก้มหน้าก้มตาอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊ก ตอนมันจริงจังอยู่กับงานผมล่ะไม่อยากไปคุยด้วย
“ว่างไหมวะ” ผมถามไอ้ยิมที่กำลังนั่งจดจ่ออยู่หน้าโน้ตบุ๊ก แว่นตากรอบสีฟ้าอันโปรดเหมือนเดิม มันเหลือบมามองผม
“ทำไม” มันพูดสั้นๆ ตามปกติ
“แวะไปร้านพ่อกูไหม แก้เซ็ง” ผมลองหยั่งเชิงดู ไอ้ยิมแค่ขมวดคิ้วก่อนจะเงยหน้ามองผมแวบเดียว
“เลี้ยงนะ” มันพูดทันที สีหน้าฉาบรอยยิ้ม
“อืม เลี้ยงแน่นอน จะได้ไปเจอพ่อกูไง อยากเจอไหม” ผมหาทางคุยกับมันต่อไป
“เคยเจอแล้วตอนที่ไปกินข้าวคราวก่อนไง” มันหมายถึงที่มากับครอบครัวมัน โห นั่นก็นานแล้ว ไอ้ยิมหันไปสนใจหน้าจอโน้ตบุ๊กต่อ ทำเป็นไม่สนใจผมอีกแน่ะ หมั่นไส้จริงๆ ต้องเปลี่ยนหัวข้อใหม่ซะแล้ว
“งั้น...ไปเดทกันไหม” ผมกลั้นใจพูดออกไป อยากดูปฏิกิริยาของไอ้ยิมดูให้เป็นบุญตา มันชะงักนิ่งคิ้วขมวดเหมือนกำลังคิดทบทวนสิ่งที่ผมพูด จากนั้นก็เงยหน้ามามองผม
“จริงเหรอ” มันพับหน้าจอโน้ตบุ๊กลง สีหน้าดูมีประกายแห่งความรู้สึกดีใจออกมาให้ผมเห็นเต็มสองลูกตา
“เออสิ พูดจริงนะ อยากไปไหมล่ะ จะได้ให้พี่ฝนจัดโซนสวีทกันเลยเอ้า” ผมหัวเราะ ไอ้ยิมยิ้มออกมาจนได้แต่มันส่ายหน้าก่อนจะกอดอกมองผมด้วยสายตาใคร่ครวญ
“น่าสนนะ...จัดโซนแบบคู่รัก เอาสิ...โทรไปจองเลย” ไอ้ยิมรีบบอกก่อนจะลุกเดินมานั่งข้างๆ ผมเพื่อกดดันอย่างหนักหน่วง ผมนิ่งไป ในหัวพยายามหาทางออกแต่ไม่เจอ สรุปว่าผมต้องไปเดทกับมันจริงๆ และเป็นที่ร้านของพ่อด้วย... อุ่ย งามไส้ไหมล่ะ เดทแรกที่ร้านของพ่อก็กลายเป็นชายหนุ่มซะแล้ว พ่อจะตกใจไหมเนี่ย
“เออๆ กูพูดจริงทำจริงนะเว้ย” ผมบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาพี่ฝน พนักงานคนสนิทในร้าน รอสายไม่นานนัก
[ไงจ๊ะ สุดหล่อ]
“พี่ฝน ที่ร้านคนเยอะไหมอะ อยากให้จัดโต๊ะให้หน่อย”
[ไม่เยอะค่ะ จะนัดทานข้าวกับใครเอ่ย รุ่นน้อง เพื่อน หรือแฟน ถ้าเป็นอย่างหลังเนี่ยพี่จะจัดให้เต็มที่เลย]
“อย่างหลังแหละพี่ ...เอาแบบหวานๆ เลยนะ พี่ฝนห้ามบอกพ่อนะ เคป่ะ”
[อ้าว ทำไมล่ะคะ พ่อน้องคงอยากรู้จะแย่]
“น่านะสุดสวย ความลับไง เดี๋ยวผมจะแวะเข้าไปตอนเย็นๆ นะ”
[ได้ค่ะ หายห่วงได้เลย] ผมวางสายจากพี่ฝน ไอ้ยิมแอบฟังอยู่ข้างๆ มันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับตัวเอง ท่าทางจะมีความสุขดีจริงๆ
“เตรียมตัวไว้ได้เลย ขอแบบหล่อๆ สมาร์ทๆ” ผมบอกมัน
“....ทำไม....จะให้เปิดตัวกับพ่อมึงเลยเหรอ” มันย้อนกลับมาได้อย่างน่าถีบ
“เดี๋ยวพ่อกูช็อก มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละ แค่แดกข้าวกับกูพอ เข้าใจ?” ผมมองหน้านิ่งๆ ของมันอย่างไม่ยอมแพ้
“...ก็...ตามนั้นก็ได้” ไอ้ยิมพูดเสียงเรียบแต่แววตาของมันดูแพรวพราวแปลกๆ เหมือนกำลังสนุกอยู่ มันต้องมีแผนร้ายแน่ๆ
“เออ งั้นไปที่ร้านตอนหกโมงครึ่งนะ บรรยากาศจะได้โรแมนซ์ๆ ไง” ผมบอกมัน
“อือ มึงนี่ลงทุนจริงๆ เลยนะ เรียกร้องความสนใจได้ดีนี่” มันพูดนิ่งๆ ได้น่าหมั่นไส้เป็นอย่างมาก จนผมคันปากยิบๆ
“ไม่ได้เรียกร้องความสนใจเว้ย แค่อยากให้มึงไม่เครียดไง ดูสิเนี่ย คิ้วผูกโบแล้ว” ผมพูดก่อนจะจิ้มนิ้วไปที่หว่างคิ้วบนหน้าผากของมัน ไอ้ยิมยิ้ม
“ก็อยากให้มันเสร็จๆ ที่เหลือจะได้ใช้เวลาให้คุ้มไง” มันพูดเบาๆ มองหน้าผมไปด้วย ทำเอารูสึกกระอักกระอวนแปลกๆ ผมหลบตามันพยายามหาเรื่องพูดคุยใหม่น่าจะดีกว่า
“ดีแล้วนี่”
“อยากไปเที่ยวกับกูอีกไหม” ไอ้ยิมเอ่ยถามก่อนจะหยิบอัลบั้มรูปที่ลิ้นชักข้างเตียงยื่นมาให้ผม
“อยากดิ สนุกดีนี่” ผมบอกก่อนจะรับมาเปิดดูรูปในอัลบั้ม ส่วนมากเป็นรูปทิวทัศน์กับสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ดูแล้วไม่น่าจะใช่เมืองไทย ผมมองหน้าไอ้ยิมงงๆ
    “เกาลูนกับฮ่องกง...” มันพูดก่อนจะเกาจมูกเหมือนแก้อาการเขิน
“สวยเนอะ....ทำไม จะชวนกูไปเหรอ” ผมแกล้งพูดไปแบบนั้น แต่ในใจคิดจริงจัง ไม่อย่างนั้นมันจะเอามาให้ผมดูทำไม
“อือ ถ้าชวนไปจะไปด้วยกันไหม” ไอ้ยิมพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ผมยิ้มก่อนจะมองสำรวจคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ดูท่าทางมันจะเอาจริงด้วย ผมไม่เคยไปต่างประเทศ แต่นี่โคตรโชคดี เหมือนหนูตกถังข่าวสารจริงๆ เลยไอ้ผิง
“...เกรงใจว่ะ แต่ก็อยากไป” ผมหัวเราะ
“อยากเที่ยวด้วยกันไง เพราะกูต้องไปฝึกงานที่เกาลูนจริงๆ นะ” ที่ไอ้ยิมพูดทำเอาผมซึมไป นั่นสิ ถึงว่ามันถึงอยากชวนผมไป คงเหงาถ้ามันไปจริงๆ ตั้งสี่เดือนโน่น ทำไมป๊ามันไม่ให้ฝึกที่ไทยกันนะ
“เหรอ....ไปไกลเลยนะนั่น”
“อืม แต่มึงก็เฟซไทม์ไม่ก็ไลน์มาได้ อย่างน้อยก็ได้คุยกันอยู่” ไอ้ยิมบอกก่อนจะเก็บอัลบั้มรูปไปไว้ที่เดิม
“โอเค...ยังไงต้องกลับมาอยู่แล้ว ...ถ้ากูไปเที่ยวกับมึงกูต้องบอกพ่อแม่ มึงก็ต้องบอกป๊ากับม้ามึงอีก...ไม่รู้ว่าพวกผู้ใหญ่จะโอเคไหม” ผมนึกสภาพความเป็นจริง พ่อแม่ผมไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่ฝ่ายไอ้ยิมเนี่ยสิ
“เชื่อกูสิ ป๊ากับม้ากูเข้าใจอยู่แล้ว เขารู้ว่ากูเป็นยังไงแต่แค่ไม่พูดออกมา กูโตแล้ว ที่ผ่านมากูพิสูจน์ให้ป๊าเห็นว่ากูเป็นผู้ใหญ่มีความคิด” มันพูดอย่างมั่นใจจนผมคล้อยตามได้
“งั้น... มึงต้องดูแลเทคแคร์กูทุกอย่างนะเว้ย ไม่เคยขึ้นเครื่องบินด้วย” ผมหัวเราะเบาๆ ไอ้ยิมแค่ยิ้ม
“เป็นอันว่าตกลงนะ”
“เออ ตกลง”
“ดีใจว่ะ...ดูเหมือนวันนี้เป็นวันดีของกูเลย เซอร์ไพรส์จริงๆ” ไอ้ยิมหัวเราะเบาๆ มันหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด พี่แว่นของผมตอนเขินก็ดู อบอุ่นดี จะว่าไปผมชักชอบมันขึ้นมาจริงๆ แล้วนะเนี่ย
“งั้นกูกลับห้องแล้วนะ ต้องไปขุดหาเสื้อดีๆ สักชุดแล้ว” ผมหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นยืน ไอ้ยิมแค่ยิ้มบางๆ มาให้ ในเมื่อจะไปดินเนอร์ทั้งทีของแต่งตัวแบบเป็นผู้เป็นคนซะหน่อย
ผมเปิดตู้เสื้อผ้าควานหาเสื้อเชิ้ตดีๆ สักตัวกับกางเกงยีน จริงๆ ไม่ได้คิดว่าจะมาลงเอยอีหรอบนี้ คือดินเนอร์มื้อเย็นอะไรนั่น เพราะปากพาซวยนั่นแหละ ได้เรื่องเลยไหมล่ะ แต่เห็นๆ อยู่ว่าไอ้ยิมมันชอบความปากไวของผมนะ ได้กำไรเยอะด้วยสิ ผมกังวลนิดหน่อย ไอ้ยิมมันลงทุนกับผมมากจริงๆ ไม่รู้ว่าพ่อแม่จะว่ายังไงบ้าง 

เมื่อได้เวลาไปทานมื้อเย็น ตอนนี้หกโมงครึ่งไปถึงร้านคงหนึ่งทุ่มพอดี ไอ้ยิมมาเคาะประตูห้องผมรัวๆ ท่าทางกวนประสาทน่าดู ผมฉีดน้ำหอมไปสองสามครั้ง ปกติไม่เคยใส่ด้วยซ้ำ แต่วันนี้ไม่ใช่วันธรรมดา ผมสะพายเป้ก่อนจะเปิดประตูออกไปหาไอ้ยิม
พอเจอมันเท่านั้นแหละ ผมอึ้งมึนเบลอไปนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่ามันจะแต่งหล่อ ที่จริงมันหน้าตาดีอยู่แล้ว แต่งตัวดีๆ ทำให้รูปลักษณ์ดีขึ้น มันใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวที่คอปกกับแขนเสื้อเป็นลายสก็อตสีน้ำตาล ไม่เคยเห็นมันแต่งตัวแบบนี้สักที มันเปลี่ยนแว่นด้วย ปกติสีฟ้า ตอนนี้เป็นสีดำสุภาพ โดยรวมไอ้ยิมหล่อมาก
“ทำไม อึ้งความหล่อของกูล่ะสิ” มันพูดเสียงเรียบๆ ใบหน้านิ่งๆ ตามเดิม ผมย่นหน้าก่อนจะล็อกประตู
“แต่งหล่อๆ ก็เป็นนี่หว่า” ผมบอกก่อนจะเดินไปหาไอ้ยิมที่มองผมตาไม่กะพริบ
“ใส่น้ำหอมเหรอ” มันเข้ามาดมๆ แถวใกล้ลำคอผม แน่ะ ไอ้นี่ ผมเอนตัวหนีมัน
“เออ หอมป่ะ”
“อืม ปกติไม่เคยใช้” ไอ้ยิมพูดยิ้มๆ ผมพยักหน้า
“เออ รีบๆ ไปดีกว่าเดี๋ยวพี่ฝนรอนาน” ผมบอกก่อนจะดึงแขนมันให้เดินลงบันไดเร็วๆ มัวแต่มาจ้องอยู่ได้ คนมันทำตัวไม่ถูก
การเดินทางเข้าไปในเมืองไปยังร้านอาหารของพ่อผม ไอ้ยิมเป็นคนขับรถตามเคย ระหว่างทางไม่ได้พูดอะไรกันมาก เหมือนมีเรื่องให้คิดอยู่ในหัวกัน เมื่อขับรถมาถึงร้านอาหารใช้เวลาไปเกือบยี่สิบนาที จากที่เห็นดูเหมือนมีลูกค้าพอสมควร บรรยากาศยามพลบค่ำท่ามกลางแสงไฟสีนวลสบายตา ผมกับไอ้ยิมลงจากรถ เดินเข้าไปในร้าน ผมมองหาพี่ฝนที่กำลังทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์ประจำร้าน ส่วนพ่อคงอยู่ในครัว
“โต๊ะพร้อมแล้วนะ... พ่อน้องสงสัยว่าใครจะมา” พี่ฝนยิ้มก่อนจะมองไปที่ไอ้ยิมงงๆ ผมเลยแนะนำไป
“นี่ชื่อยิม คนที่ผมพามาไง” ผมหัวเราะ ไอ้ยิมยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับ” พี่ฝนพยักหน้ามองหน้าผมอย่างมีคำถามก่อนจะนำทางไปยังโซนที่ผมจองไว้ อยู่ทางด้านในริมสุดติดกับกระจกใส ดูเป็นส่วนตัวกว่าด้านนอก โต๊ะถูกจัดสวยงามมีแจกันทรงสูงพร้อมดอกกุหลาบสามสี่ดอก ดูไม่เทอะทะ จานถูกวางไว้เป็นระเบียบตามตำแหน่งเป๊ะๆ
“อีกห้านาทีอาหารก็มาเสิร์ฟแล้ว... น้องผิงก็ไม่บอกพี่ก่อนว่าจะพาผู้ชายมา พี่ตกใจหมด” พี่ฝนเข้ามาพูดกับผมเบาๆ ก่อนจะหัวเราะ
“เซอร์ไพรส์ไง ขอบใจมากนะพี่” ผมบอกก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ ไอ้ยิมทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ ร้านที่ตกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศพลบค่ำ
“ทำไมเตรียมหรูจัง”
“นี่ใครครับ ลูกเจ้าของร้านนะ ก็ต้องหรูหน่อย” ผมบอก ในใจยังแปลกใจในความเป็นระเบียบของโต๊ะ การวางจาน ช้อน แก้วน้ำ ถึงผมจะเป็นคนบอกพี่ฝนว่าขอแบบโรแมนซ์ก็เถอะ ไม่น่าจะรวมพวกออเดอร์แพงๆ
ผ่านไป 5 นาที พนักงานก็มาเสิร์ฟอาหารจริงๆ ด้วย ผมเองไม่ได้บอกว่าจะทานอะไรบ้าง แต่ที่ดูๆ แล้วเป็นพวกสเต็ก ไม่รู้ว่าเป็นสเต็กอะไร เครื่องดื่มเป็นไวน์ ไอ้ยิมมองหน้าผม
“ท่าจะแพง” ไอ้ยิมยื่นหน้ามาพูด ผมแค่ไหวไหล่เอาส้อมจิ้มๆ เนื้อสเต็ก
“อือ กินเลย” ผมบอกมัน ระหว่างนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังมาใกล้ๆ ผมหันไปมองทันที “อ้าว พ่อ” ผมตกใจเมื่อเห็นพ่อในชุดกุ๊กประจำครัว ออกมายืนข้างๆ โต๊ะผม ข้างๆ กันนั้นเป็นแม่ผมเอง ท่าทางแปลกใจที่เห็นไอ้ยิมอยู่ด้วย
“ทำหน้าตกใจอีก เป็นไง สเต็กพ่อทำเองเลย นี่เป็นลูกหรอกนะไม่งั้นไม่เปิดไวน์ให้หรอก” พ่อบอกก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วเดินมาหาผม ตบไหล่เบาๆ สองสามที ตามองไปที่ไอ้ยิม “นั่นใคร”
“สวัสดีครับ....คือผิงชวนผมมาทานมื้อเย็น—” ไอ้ยิมพูดยังไม่ทันจบพ่อก็รีบพูดแทรกก่อน
“อ๋อ ที่ไอ้ฝนบอกใช่ไหม... พ่อนึกว่าจะพาสาวมาซะอีก ไหงเป็นผู้ชายซะได้” พ่อหันไปหัวเราะกับแม่ที่แค่ยิ้มบางๆ
“... นี่รุ่นพี่เราเหรอ ไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้าง” แม่มองไปที่ไอ้ยิมอย่างสนใจ
“...ก็กะจะเล่าให้ฟังตั้งนานแล้วแต่ไม่ถึงเวลาซะที...คือแบบนี้นะครับ พ่อแม่ ไอ้นี่มันเป็นรุ่นพี่ผมชื่อยิม...กะจะพามาแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักไง” ผมพยายามหลีกสัญญาณอันตราย ไอ้ยิมเงียบกริบ
“แบบนี้ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจนานแน่ๆ เลยแม่ หาเก้าอี้มานั่งคุยกันน่าจะดีกว่านะ ว่าไงไอ้หนุ่ม” พ่อหันไปพูดกับไอ้ยิม
“...ครับ ผมจะอธิบายให้ฟังเองครับ” ไอ้ยิมตอบพ่อผมไปนิ่งๆ แต่ดูอ่อนน้อม ไม่ได้แข็งกระด้างอะไร พ่อดึงเก้าอี้มาเพิ่มก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผม ส่วนแม่นั่งลงอีกด้านหนึ่งแทน
“นี่ใช่แบบที่แม่คิดหรือเปล่าเนี่ย มีลางสังหรณ์แปลกๆ” แม่กระดิกนิ้วชี้มาทางผมกับไอ้ยิมไปมาก่อนจะเท้าคางมองผมอย่างครุ่นคิด พ่อถอนหายใจหยิบแก้วไวน์ของผมที่ยังไม่ได้แตะมายกดื่มทีเดียวหมด
“...นี่เล่นไม่บอกไม่กล่าวกันเลย พ่อตกใจนะเนี่ย เราก็ชอบผู้หญิงนี่...หรือไม่ใช่?”
“เปล่าหรอกพ่อ คือ...จะว่ายังไงดีล่ะ คงเพราะสนิทกัน อยู่ใกล้กันมั้ง” ผมตอบมึนๆ กลับไปก่อนจะมองไอ้ยิมไปด้วย “พ่อไม่โกรธใช่ไหม รับได้นะ”
“โห ให้เวลาแม่แกด้วย พ่อคิ้วกระตุกตั้งแต่เห็นมากับไอ้หนุ่มนี่แล้ว”
“นั่นสิ ตกลงนี่คบกันอยู่เหรอ...” แม่กอดอกถาม น้ำเสียงนิ่งๆ
“...ยังครับ...แต่เราชอบกันน่ะแม่” ผมเป็นคนพูดเองน่าจะง่ายกว่า
“งั้นก็ห่างๆ กันไปได้น่ะสิ”
“ไม่หรอกครับ... เพราะผมจริงจัง มีหลายเรื่องที่ผมวางแผนจะทำร่วมกับไอ้— กับผิง ...อีกอย่างผมเป็นผู้ใหญ่พอสมควร ดูแลตัวเองได้ แล้วก็มั่นใจว่าจะดูแลผิงมันได้ดี” ทำไมมันพูดเหมือนจะมาขอผมอะไรแบบนี้ ผมเตะขามันใต้โต๊ะ พูดอะไรน้ำเน่า
พ่อกับแม่เงียบไปก่อนจะมองหน้ากันเหมือนตกลงปรึกษากันทางสายตา
“อืม...พ่อไม่ใช่คนใจร้าย ไม่เคยบังคับเรามาแต่ไหนแต่ไร... แต่มั่นใจแน่แล้วใช่ไหมว่าจะไม่เสียใจทีหลัง โลกไม่ได้หมุนตามเราไปทุกเรื่องนะหนุ่มๆ”พ่อเอ่ยน้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา ผมหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะตั้งสติ
“ครับพ่อ จริงๆ ไอ้ยิมมันเป็นคนดีนะพ่อ ออกจะสุภาพ” ผมพูด
“พ่อไม่ห้ามเพราะเราตัดสินใจกันไปแล้ว... อืม...แต่ก็ผิดหวังนิดหน่อย เพราะคาดหวังว่าเราจะแต่งงงแต่งงานมีลูกมีหลาน” พ่อมองผมก่อนจะส่ายหน้า
“พูดแบบนี้เสียใจเลย” ผมทำหน้าจ๋อย
“เฮ้อ แม่ก็ไม่ชอบบังคับใจใครหรอก ยิ่งเป็นลูกด้วยแล้ว ทำใจยาก... ถ้าดูแลกันได้อย่างที่พูดก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น... บางทีแม่ต้องคิดใหม่แล้วล่ะ” แม่บอก มองไปทางไอ้ยิม
“ส่วนเรื่องรายละเอียดพ่อไม่อยากฟัง ไม่ใช่ว่าโกรธอะไรนะ แต่มันเป็นเรื่องของพวกแกเอง ไม่อยากยุ่ง... มันขนลุก” พ่อส่ายหน้าก่อนจะยึดขวดไวน์ไว้
“อืม มีอะไรอยากจะพูดไหมจ๊ะ” แม่พูดกับไอ้ยิม
“...ขอบคุณที่คุณลุงคุณป้าเข้าใจครับ แต่ผมมีอีกเรื่องที่อยากขอร้องน่ะครับ” ไอ้ยิมเอ่ยอย่างสุภาพก่อนจะมองไปที่พ่อกับแม่ผม ผมเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ไปฮ่องกง ทำไมถึงเร่งรีบจัง เดี๋ยวก็ช็อกสองเด้ง
“ว่ามาสิ” พ่อพยักหน้า
“คือผมมีแพลนว่าจะไปฝึกงานแถวเกาลูน เลยอยากจะชวนผิงไปเที่ยวฮ่องกงก่อนไปฝึกงานน่ะครับ... ถ้าหากคุณลุงคุณป้าอนุญาต” ไอ้ยิมมันพูดจนได้
“โห ฮ่องกงเลยเหรอ” แม่อุทาน
“อืม เราออกเงินให้ไอ้ผิงมันหรือไง” พ่อถามได้ตรงจุด นี่ผมยังไม่ได้ถามมันตรงๆ เลยนะว่าเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดปาไปเท่าไหร่ ไอ้ยิมแค่หัวเราะ เหมือนผมเป็นตัวดูดเงินจากไอ้ยิมเลยแฮะ ถึงจะชอบของฟรีแต่แบบนี้ก็เกรงใจ
“...โธ่พ่อ ผมออกค่ากินเองไง” ผมรีบพูด
“แล้วอยากไปไหมล่ะ” แม่ถามผม
“อยากสิ” ผมตอบทันที ส่วนพ่อเงียบไปสีหน้าครุ่นคิดเรื่องดังกล่าวอยู่นานก่อนจะถอนหายใจ
“อืม ก็ตามใจ โตๆ กันแล้ว....” พ่อพูดช้าๆ ก่อนจะยิ้มให้
“ดีเลย ไปฮ่องกงแวะซื้อกระเป๋าให้แม่ด้วยสิ” แม่โน้มตัวมากระซิบกับผมก่อนจะยิ้มให้ไอ้ยิม
“เอ๊ะ งั้นสีฝุ่นจากจีนก็เป็นเราเหรอที่ซื้อให้ไอ้ผิงมัน” พ่อหันไปถามไอ้ยิม สิ่งคล้ายกันระหว่างผมกับพ่อคือการชอบงานศิลปะ พ่อเองก็มีงานอดิเรกเป็นพวกงานศิลป์เหมือนกัน
“...ก็...ใช่ครับ” ไอ้ยิมรับไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่เพราะตั้งใจซื้อให้ไอ้สองมันมากกว่า แต่โชคดีดันตกเป็นของผม
“ใช้ดีใช่ไหมพ่อ....กูให้พ่อยืมใช้ด้วย” ผมหันไปพูดกับไอ้ยิม มันแค่ยิ้มบางๆ
“ถ้ามีความสุขกันก็ไม่ห้ามหรอกนะ... พ่อต้องเข้าไปที่ครัวแล้ว” พ่อลุกขึ้นยืนก่อนจะหยิบขวดไวน์ไปด้วย “ไวน์นี่ไม่ต้องแล้วนะ เสียของ” พ่อยิ้มใจดีก่อนจะเดินหายเข้าไปที่หลังร้าน 
“งั้นแม่ไปทำงานดีกว่า ถ้ามีเรื่องอะไรบอกได้นะเรา” แม่ยิ้มจับไหล่ผมเบาๆ แล้วลุกจากเก้าอี้ ไม่วายหันมามองไอ้ยิมก่อนจะเดินไปทางหน้าเคาน์เตอร์ของร้านบริเวณด้านนอก ผมถอนหายใจเห็นไอ้ยิมมันนิ่งๆ ไปเลยแปลกใจ
“เป็นอะไร” ผมเตะขามันใต้โต๊ะเบาๆ
“แม่มึงดูไม่ค่อยมั่นใจเรื่องของกูกับมึงเท่าไหร่เลย” ไอ้ยิมเอ่ยเสียงจริงจัง มันไม่ยอมแตะอาหาร คงจะเย็นไปหมดแล้วแน่ๆ ผมไหวไหล่
“แล้วไง แต่ที่แน่ๆ พ่อกูไม่ได้ว่าอะไร... นี่ อย่าซีเรียสสิ เอ็นจอยหน่อย ยังไงซะยังมีเวลาอีกมากให้พ่อกับแม่เห็นว่าเราสามารถ... ดูแลกันได้ล่ะมั้ง ถ้ามึงอยากจะอยู่นานๆ น่ะ” ผมพูดไม่ได้สบตาไอ้ยิม แค่หยิบมีดมาหั่นเนื้อสเต็กไปพลางๆ
“อือ ก็อยากอยู่ด้วยนานๆ อยู่แล้ว...” ไอ้ยิมพูดงึมงำๆ ก่อนจะลงมือกินอาหารบ้าง เครื่องดื่มเปลี่ยนเป็นน้ำเป๊ปซี่
“ไปเป็นเพื่อนกูทำพาสปอร์ตหน่อยสิ กูไม่เคยไปเลยอะ” ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ ไอ้ยิมพยักหน้า
“อืม ว่างวันไหนล่ะ”
“ไว้ดูอีกที ไม่ก็ถ้าใกล้ๆ จะไปที่นู่นแล้วค่อยไปทำก็ได้นี่” ผมบอกเพราะก็ไม่ได้ใช้เวลาทำนานมากมาย
“ตรุษจีนนี้ไปบ้านกูไหม” ไอ้ยิมเอ่ยปากชวน ผมแทบสำลัก
“หือ... เอาจริงดิ...ไปบ้านป๊าม้ามึงเนี่ยนะ” ผมกลัวคนที่บ้านมันนิดหน่อย ดูซีเรียสยังไงไม่รุ้โดยเฉพาะป๊ามัน เคยเจอครั้งเดียว เป็นคนดุๆ จริงจัง
“อืม..” ไอ้ยิมพยักหน้า ท่าทางเอาจริงอย่างที่พูด “มันจะดีเหรอ...คงมีแต่พวกญาติๆ มึง” ผมกลัวว่ามันจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่
“...ก็ไปตอนวันตรุษก็ได้...ถึงยังไงกูก็บอกป๊ากับม้าเรื่องของมึงแล้ว”
“บอกแล้วเหรอ” มีเรื่องให้ผมได้ตกใจอีกแล้ว มันก็ไม่บอกไม่กล่าวกันเลยนะ
“อืม บอกแค่เป็นคนสนิท...ก็น่าจะรู้นั่นแหละ ม้าก็ยังชวนมาเลย จะได้อยู่กินอาหารกับที่บ้านกู...แต่ถ้ามึงไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ ไม่บังคับหรอก” ไอ้ยิมพูดนิ่งๆ ผมเดาไม่ออกว่ามันประชดหรือเปล่า แต่ถ้าให้ไปกินอาหารล่ะก็ ...มันก็โอเคอยู่ ถึงจะต้องไปเจอหน้าอาเจ๊ อาแปะ อากง เหล่าญาติๆ ของไอ้ยิมก็เถอะ แต่ก็ดีนะ...อย่างน้อยก็ได้ไปเจอป๊ากับม้าไอ้ยิมบ้าง
“ไปน่า... ไม่งั้นอาจมีคนงอนละมั้ง” ผมหัวเราะ ถ้าผมไม่ไปแน่นอนว่ามันต้องโกรธผม ทำตัวเป็นเด็กเลย
“...จริงนะ... จะได้บอกที่บ้านถูก” ไอ้ยิมถึงกับยิ้มออก
“แล้วมึงไม่กลับไปอยู่ที่บ้านเหรอ” ผมถามเพราะปกติ จะต้องมีวันจ่ายวันไหว้อะไรอีก ผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากด้วย
“อ๋อ ค่อยไปวันไหว้ทีเดียวเลย ... เดี๋ยวกูไปส่งมึงแล้วก็คงต้องกลับบ้าน”
“งั้นเหรอ” ได้อยู่ด้วยกันแค่แป๊บเดียวเอง เหมือนเวลามันเดินเร็วยังไงก็ไม่รู้นะ ผมเองก็บอกไม่ถูกนัก อาจเป็นเพราะผมใช้เวลาอยู่กับไอ้ยิมมากขึ้น มันก็เลย...เริ่มเกิดความเคยชิน แล้วไหนมันจะต้องไปฝึกงานไกลๆ อีก ไม่รู้ว่าคณะมันอนุมัติได้ยังไง เฮ้อ
“เป็นอะไร...” ไอ้ยิมมองผมอย่างสังเกต ผมแค่ยิ้มให้มัน
“เฮ้อ เวลามันผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ อีกแป๊บๆ ก็จะหมดเทอมแล้ว” ผมถอนหายใจดัง
“อืม ...ทำไงได้ เวลามันก็เดินไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว ...ทำไม คิดเรื่องของกูอยู่เหรอ” มันดันรู้ดีอีก สงสัยผมแสดงออกผ่านสีหน้าแววตามากไป
“ก็มีบ้างแหละ เพิ่งเห็นกันหลัดๆ ก็ไปซะแล้ว” ผมหัวเราะ
“ตลกอีกแล้วนะมึง” มันส่ายหน้ายิ้ม
“เมื่อไหร่จะยอมคบกันจริงๆ จังๆ ซะที” ไอ้ยิมถามขึ้นมาทำเอาผมเหวอ
 “...อะไร จะเป็นแฟนกู อีกเดี๋ยวมึงก็ไปอยู่ไกลหูไกลตาแล้ว บ้าเหรอ” ผมเบ้หน้า แบบนั้นไม่เอาหรอก ผมกลัวว่าจะรู้สึกกับไอ้ยิมมากเกินไป ถ้าหากว่าต้องอยู่ห่างๆ กัน กลัวใจตัวเองเนี่ยแหละ ที่มันทนไม่ได้ คิดเองเออเองแล้วมันก็เสี่ยวจริงๆ
“งั้นรอก็ได้ แค่สี่เดือนเอง” ไอ้ยิมพูดเหมือนเป็นแค่สี่วัน
“เหรอออ พ่อคนใจแข็ง”
“หมายความว่ามึงกลัวคิดถึงกูล่ะสิท่า” ไอ้ยิมหัวเราะ แววตาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรมึง วู้ แดกๆ ไปเลย ไม่หมดล่ะเสียของ” ผมโวยวายกลบเกลื่อนความจริงในใจ ดันมาจี้ถูกจุดอีก ผมก้มหน้ากินต่อให้หมด ฝีมือพ่อแท้ๆ อุตส่าห์ทำให้สุดฝีมือเพราะนึกว่ามาแฟนมาเดท หลังจากนั้นของคาวหมดไปออเดอร์มาเสิร์ฟต่อเป็นสลัดผลไม้
“พ่อมึงใจดีนะ” ไอ้ยิมบอกก่อนจะจิ้มแก้วมังกรเข้าปาก
“บอกแล้วไง” ผมยิ้ม
“กูจริงจังกับมึงนะ ทุกๆ เรื่องนั่นแหละ แค่อยากให้มึงรู้จะได้ไม่ต้องคิดมาก” ผมนิ่งไป ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเปิดเผยความรู้สึกขนาดนี้
“อือ กูรู้แล้วน่า” ผมยิ้ม
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing (4) จบทริป #14.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 14-01-2016 15:57:50
 :katai2-1:  แมนๆ เรียลๆ ฟินค่ะ
ยิมผิงน่ารักดีค่ะ
คนเขียนน่ารัก  :L2: 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 22 กลับบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 20-01-2016 19:03:37

ตอนที่ 22 กลับบ้าน

หลังจากที่ใช้เวลาในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์กับพี่ท็อปจนคุ้มแล้ว ผมก็ต้องกลับมาไฟท์กับงานอีก พี่ท็อปเข้าโหมดซีเรียส ขอปลีกตัวไปอยู่บ้านพักของพี่ธามเพราะเจ้าตัวให้เหตุผลว่าอยู่กับผมไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ก็นะ...เลยไม่ได้ห้ามอะไร ผมเองกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง เลยได้โอกาสจัดห้องใหม่ ผมเลยออกไปตระเวนซื้อของตกแต่งห้องที่ร้านใกล้ๆมหา’ลัย มีร้านอุปกรณ์ของใช้ภายในบ้านพวกนี้อยู่ไม่ไกล ส่วนมากจะเป็นเครื่องมือในครัวเรือน ผมซื้อผ้าม่านผืนเล็กสีสันสดใสมาสี่ผืน
ผมทำความสะอาด ย้ายโต๊ะคอมกับลิ้นชักไปไว้ข้างตู้เสื้อผ้าแทน เริ่มติดผ้าม่านผืนใหม่ที่หน้าต่างให้พี่ท็อป ถึงแม้ห้องจะไม่กว้างมากแต่ถ้าเลือกสี และการจัดวางของใช้ให้เหมาะสม ห้องจะดูกว้างขึ้นมาเอง พอเสร็จจากห้องพี่ท็อปก็ไปจัดการให้กับห้องของตัวเอง ขณะที่กำลังเปลี่ยนผ้าม่านอยู่นั้น โทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงก็สั่น

ตืด ตืด ตืด

หืม... ไอ้โก๋ โทรมาหา มีธุระอะไรหรือเปล่านะ

“ว่าไง” ผมกดรับสายทันที

[มึงรู้เรื่องงานกีฬาแล้วยังวะ] ไอ้โก๋พูดถึงงานกีฬาเชื่อมสัมพันธ์สี่คณะ สี่คณะที่ว่า มีวิศวกรรม สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม เกษตรศาสตร์ เพราะสี่คณะนี้อยู่โซนเดียวกันหมด และมันก็มีข่าวลือกันบ่อยๆ ว่าสี่คณะไม่ถูกกัน ไหนจะบอกว่าวิศวะไม่ถูกกับเกษตร ถาปัตย์ไม่ถูกกับศิลปกรรม มันเลยกลายมาเป็นงานกีฬาเชื่อมสัมพันธ์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นข้อดีหรือว่าข้อเสียเพราะต่างฝ่ายก็จะเอาชนะกันมากขึ้น ดุเดือดกันไป ส่วนด้านสแตนด์เชียร์คณะผมไม่เคยจริงจัง ปล่อยให้สามคณะแข่งกันไป

“รู้แล้ว ทำไมเหรอวะ”ผมถาม

[อาจารย์จะเอารายชื่อนักกีฬาไง ...เลยให้ปีเรารวบรวมรายชื่อส่ง งานนี้สนุกแน่ว่ะ] ไอ้โก๋พูดอย่างตื่นเต้น อยากส่องสาวคณะอื่นด้วยมากกว่าล่ะมั้งเพื่อน
 “เอาชื่อกูไปด้วยนะ ลงบาสกับวอลเลย์บอล” ผมบอกมัน
[เออ อีกเรื่อง เฮียแกนก็ลงเล่นนะ ลงบาสฯ]ไอ้โก๋บอก ผมถอนหายใจ ต่างคนต่างอยู่กันอยู่แล้ว ถ้าจะลงเล่นจริงๆ ก็ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม
“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
[เออ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน] แล้วมันก็วางสายไป
ผมกลับไปติดม่านตามเดิม ในหัวคิดเรื่องพี่ท็อป แต่ดันวกไปหายิมเฉยเลย ถ้างานกีฬาล่ะก็แบบนี้คงเจออีกฝ่ายแน่ๆ มันต้องลงบาสชัวร์ๆ กี่เดือนแล้วนะไม่ได้คุยกับมัน อีกอย่าง เจ้าตัวก็หายไปเลย ไม่ได้โทรมาส่งข่าวบ้าง ตอนนี้มันคงทำใจได้แล้วแน่ๆ ผมกดหาเบอร์ยิม ปรากฏว่ามันคงเปลี่ยนเบอร์แล้ว ช่างเถอะค่อยไปถามไอ้ผิงเอาทีหลัง
จากนั้นก็ว่างๆ เลยหันมาคิดไอเดียงานใหม่ดูไปเรื่อยเปื่อย พอมีเวลามาคิดเรื่องของผมกับพี่ท็อปอย่างใคร่ครวญแล้ว อีกฝ่ายก็ให้ผมมาเยอะเหมือนกัน และเปลี่ยนไปทิศทางที่ดีขึ้นมาก ความรักนี่มันเปลี่ยนคนได้จริงๆ ผมย้อนกลับไปคิดถึงคำพูดที่เคยบอกกับพี่ดีน ยอมรับว่าผมเป็นห่วงเจ้าตัว อยากให้พี่เขาได้เจอกับความรักที่มากพอที่จะทำให้เจ้าตัวเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลงแบบที่เป็นอยู่
พี่ท็อปกลับมาพร้อมกับของกินและของใช้พะรุงพะรัง ผมลุกไปช่วยอีกฝ่ายเก็บของใส่ตู้เย็น พี่ท็อปมองไปรอบบริเวณห้องอย่างชอบใจ
“ห้องสวยขึ้นเยอะเลย”
“เนอะ” ผมยิ้มก่อนจะนั่งลงบนเตียง มองพี่ท็อปเปลี่ยนกางเกง ท่าทางดูมีความสุขแบบเกินหน้าเกินตาสงสัยมีเรื่องดีๆ แน่
“ไปฟิตเนสกัน...” อยู่ๆ พี่ท็อปก็ชวน ทำเอาผมหุบยิ้ม
“โห ไหนว่าอาทิตย์หน้าไง”
“เอ้า ก็ต้องฟิตก่อนแข่งกีฬาไง ออกกำลังเป็นเรื่องดีนะจะได้มีออกซิเจนไปเลี้ยงสมองเยอะๆ ไง อย่าปล่อยให้มะเร็งครอบงำมึง”
“วันนี้เลยเหรอ ไม่เอาอะ”ผมส่ายหน้าขอผ่าน อนนี้ทั้งขี้เกียจ ทั้งเบื่อฟิตเนสเพราะคนเยอะ ดูวุ่นวาย พี่ท็อปส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ ผม
“ไอ้ตัวมีขนเอ้ย ยังไงมึงก็หนีไม่พ้น มีเวลาเหลือเฟือเพราะโปรเจกต์กูผ่านแล้ว” พอพี่ท็อปพูดจบประโยคผมก็ลิงโลด แบบนี้คงมีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะขึ้น
“จริงดิ งั้นก็มีเวลาให้ผมแล้วสิ”
“อือฮึ” เจ้าตัวพยักหน้ายิ้มแก้มแทบปริ
“แจ่มว่ะ”
“ไปเที่ยวกันป่ะ” พี่ท็อปโน้มหน้ามาถามใกล้ๆ เหมือนจะสะกดจิตผม
“ที่ไหนอะ ไม่อยากไปไกลๆ เลย” ผมนึกถึงเรื่องคราวก่อนแล้วทำเอาหมดสนุก
“อืม...ไปบ้านมึงก็ได้ อยากไปไหว้พ่อตา” พี่ท็อปยิ้ม
“ตลกละ แต่ถ้าอยากไปจริงๆ เดี๋ยวผมนำเที่ยวเอง” ผมบอก แม้ว่าที่บ้านผมจะไม่ได้มีที่เที่ยวมากมายอะไร
“ดี พ่อมึงใจดีไหมวะ” พี่ท็อปถาม
“ก็......ใจดีมั้ง” ผมนึกถึงพ่อตัวเอง
“อืมเหรอ ไม่เคยเห็นพูดถึงเลย” จำได้ว่าพี่ท็อปเคยถามเรื่องที่บ้านผมแค่ครั้งเดียว และผมก็ไม่ค่อยพูดถึงมากนัก
“ไม่รู้จะพูดถึงไปทำไม”
“ทะเลาะกับพ่อเหรอ” เจ้าตัวกอดอกมองผมเหมือนกำลังวิเคราะห์
“ก็ไม่เชิงนะพี่” ผมพูด เหมือนแค่ว่าไม่ได้คุยกันมากกว่า ความสัมพันธ์ก็ปกติแต่ไม่สนิทเหมือนเมื่อก่อนสมัยมัธยมเท่าไหร่ คราวก่อนที่ผมกลับบ้านไปช่วงปิดเทอมปีที่ผ่านมา แค่ไม่กี่วันหลังจากไปหาพี่ท็อปมาคราวนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก อันที่จริงผมอยู่ไม่ติดบ้านมากกว่า
“อืม ก็คุยกันสิ ไม่อยากนั้นจะเสียใจภายหลังนะ” พี่ท็อปพูดเสียงน่าฟังก่อนจะเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ เหมือนให้กำลังใจ
“ครับ กะว่าจะคุยดีๆ ด้วย” ผมบอก บางครั้งก็รู้สึกผิดที่ทำตัวไม่ดีใส่พ่อ
“อืม กูไปคงไม่โดนเตะนะ” เจ้าตัวหัวเราะเสียงใส สีหน้าเหมือนหยอกล้อ
“ไม่หรอกน่า” ผมพูดอย่างไม่แน่ใจนัก พ่อผมเป็นคนตรงๆ หน้าดุ ไว้หนวด ภายนอกเป็นคนขรึมๆ ให้อารมณ์เหมือนพวกกำนันสมัยก่อน แต่จริงๆ แล้วผมรู้ดีว่าพ่อใจดีแค่ไหน อย่างน้อยๆ ก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับผมสักครั้ง ทั้งๆ ที่ผมทำตัวไม่เอาไหน
“แต่ผมไม่อยากเจอพวกเพื่อนเก่าๆ พี่นึกภาพออกนะ.....” คงนึกภาพวัยรุ่นต่างจังหวัดออก เฮี้ยวๆ และเพื่อนผมส่วนมากเรียนช่างไฟฟ้า ช่างกลบ้าง และอีกเรื่องที่กังวลมากกว่าก็คือ....เด็กเก่า
"เพื่อนแน่นะ” พี่ท็อปก็ตาแหลมจริงๆ เลย เจ้าตัวใช้ศอกดันมาที่เอวผมหลายครั้ง ผมแค่หัวเราะกลบเกลื่อน
“แน่สิครับ” จริงๆ แล้วผมเคยคบเด็กแถวบ้านด้วย แค่ระยะเวลาไม่กี่เดือนเพื่อแก้เซ็งระหว่างปิดเทอมรอเข้ามหาลัย ผมยังจำชื่อเด็กคนนั้นได้ดี โจ้ อยู่หมู่บ้านถัดไปแต่ผมลืมเลือนหน้าตาไปแล้วเพราะโจ้ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แค่ขาวสูงเท่านั้นเอง ตอนนั้นมันอยู่ม.ห้า แต่ปัจจุบันคงเข้าเรียนมหาลัยแล้วล่ะ ไม่เจอง่ายๆ หรอก แต่ถ้าเจอกันนี่ก็อีกเรื่องนึง ซึ่งผมไม่อยากคิดให้เสียความสนุกสานในชีวิต วัยเด็กวัยรุ่นใครๆ ก็พลาดกันได้...
“มึงว่างวันไหนบ้างจะได้ฟิกวันถูก” พี่ท็อปเอนตัวไปพิงหมอนก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเช็คตารางเวลาของตัวเอง คิ้วขมวดเข้าหากัน ผมชอบมองคิ้วพี่ท็อป มันสวยดี ไม่หนาและบางเกินไป จนเจ้าตัวรู้ว่ามีคนจับจ้องเลยยักคิ้วให้ผม
"อืม...อาทิตย์นี้เป็นไงพี่ ผมเองก็ว่างๆ อยู่” ผมนึกตารางงานของตัวเอง วันจันทร์มีเรียนแค่คาบเดียวอาจารย์คงไม่เข้ามาสอน แค่สั่งงานไว้ล่ะมั้ง น่าจะขาดได้
“ก็ดีนะ คราวนี้แหละกูจะได้รู้จักมึงมากขึ้น” พี่ท็อปยิ้มร้ายกาจก่อนจะหยิบรีโมตมาเปิดโทรทัศน์ดูรายการร้องเพลงไปพลาง
“แล้วจะไปยังไงดีพี่ จะขับรถไปหรือว่าขึ้นรถทัวร์เอา”
“นานๆ ทีจะได้ไปขนส่ง ขึ้นรถทัวร์ไปก็ได้ ไม่ถึงสามชั่วโมงไม่ใช่เหรอ” พี่ท็อปมองผม
“โอเคพี่ งั้นผมต้องโทรไปบอกพ่อก่อน จะได้เตรียมห้องไว้” ผมพูดไปเรื่อยๆ พี่ท็อปพยักหน้าโบกมือให้ผมลุกออกไปคุยที่ระเบียง เห็นพี่ท็อปหัวเราะหึๆ มองผมอยู่ตลอด แต่ว่ารอสายอยู่นาน จนผมต้องโทรไปใหม่อีกครั้ง
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
สงสัยจะทำงานหรือไม่ก็ไม่อยากรับสายผมล่ะมั้ง ผมตั้งใจจะวางสายแต่พ่อกดรับได้ทันก่อนพอดี วินาทีนั้นเหมือนหัวสมองผมว่างเปล่า จากที่คิดถ้อยคำไว้ซะดิบดีกลับลืมไปเสียหมด
“ฮัลโหลพ่อ นี่สองเองนะ” ผมบอกไป ที่ปลายสายแค่เงียบไปก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ เหมือนอารมณ์ขุ่นมัว
[เออ ชื่อก็โชว์มาอยู่ ...มีอะไรถึงได้โทรมา]
"ก็โทรมาคุยเฉยๆ แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง” ผมถามกลับไปห้วนๆ 
[เอ็งสนใจข้าด้วยเหรอ นึกว่าลืมไปแล้วว่ามีพ่ออยู่ ข้าก็เกือบๆ ลืมว่ามีลูกกับเขาด้วย] พ่อประชดประชัดกลับมา ทำเอาผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“ทำไมพูดแบบนั้น ก็ไม่ค่อยว่าง....แล้วอาทิตย์นี้ผมจะกลับบ้านนะ” ผมบอก กลั้นหายใจฟังคำตอบ
[...มีอะไรอีกล่ะสิหือ]
“เปล่าหรอก ไม่ได้กลับไปหาหลายเดือนแล้วไง พารุ่นพี่มาด้วย”
[อืม...รุ่นพี่นี่คือรุ่นพี่จริงๆ ใช่ไหม] พ่อย้อนถามกลับเสียงดังจนต้องเอาโทรศัพท์ออกห่าง ถึงผมจะคบหากับผู้ชายก็ใช่ว่าพ่อจะเห็นดีเห็นงาม แม้จะไม่เคยด่าทอต่อว่าแสดงอาการต่อต้านมากมายแต่เหมือนแค่ปล่อยๆ ผมไป ชีวิตเป็นของผม อะไรทำนองนั้น พ่อเงียบไปนานหลายนาที ผมเลยกังวลใจขึ้นมา หันไปมองพี่ท็อปที่นอนจ้องผ่านหน้าต่างบานเกล็ด
“พ่อ” ผมเรียก
[นึกว่าเลิกคบผู้ชายไปแล้วนะ... ข้าตกใจนะเนี่ย]
“พ่อก็รู้นี่ว่าผมเป็นยังไง...” ผมบอกไปช้าๆ
[ตามใจๆ แล้วจะมายังไงกัน]พ่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“น่าจะขึ้นรถทัวร์ พ่อมารับที่ขนส่งได้ไหมอะ”
[ได้สิ] พ่อพูด
 [ถ้ามาถึงขนส่งแล้วโทรมาแล้วกันจะได้ไปรับ...กลับมาบ้านนี่คงไม่มาสร้างเรื่องอะไรนะ]พ่อหัวเราะหึๆ
"ผมจะไปทำอะไรได้... ยังไงก็ขอบคุณมากนะพ่อ” ผมพูด
 [เออๆ มีอะไรก็โทรมา]
“ครับ...ไว้โทรหานะ” แต่พ่อชิงวางสายไปก่อน ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง พี่ท็อปที่นั่งอยู่บนเตียงเหลือบมองผมขณะที่เดินเข้ามาหา สงสัยจะได้ยินที่ผมคุยกับพ่อล่ะมั้ง
“ทำไมพูดไม่เพราะเลย” พี่ท็อปเบาเสียงโทรทัศน์ ผมแค่ส่ายหน้า
“ก็คุยแบบนี้แหละ เรียบร้อยแล้วพี่”
“อืม อยากเห็นหน้าพ่อมึงแล้วสิเนี่ย” พี่ท็อปพูดเจือเสียงหัวเราะ
“พ่อผมไม่ดุหรอก” จริงๆ นะ ยกเว้นตอนโมโหเท่านั้นแหละ
“รอไปถึงก่อนดีกว่า คงได้รู้กัน” พี่ท็อปยิ้ม
.....
ผมกับพี่ท็อปไม่ได้เอาอะไรไปมากนอกจากเสื้อผ้าเพราะไปไม่กี่วัน เหมือนแค่ไปพักผ่อนในวันหยุด เมื่อได้กำหนดออกเดินทางผมเลือกใช้ลูกรัก เคเอสอาร์ขาประจำไปฝากไว้ที่ขนส่งแล้วรอขึ้นรถทัวร์ พี่ท็อปดูจะไม่ชินสักเท่าไหร่ หลังจากซื้อตั๋วมาแล้วก็ต้องนั่งรอไปอีกเนื่องจากรถทัวร์มาช้าไปสิบนาทีแล้ว ผมเริ่มอารมณ์เสียเพราะขี้เกียจรอนาน แต่พี่ท็อปดูจะมากกว่าผม
“รู้แบบนี้ยืมรถแม่มาซะก็ดี สะดวกกว่าอีก” พี่ท็อปบ่นอุบ
ระหว่างนั้นรถทัวร์เที่ยวของผมก็มาพอดิบพอดี พี่ท็อปเลยดูกระปี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีก่อนจะเดินไปขึ้นรถทัวร์ ผมเลือกนั่งริมหน้าต่างเพราะเคยชินไปแล้ว พี่ท็อปขยับมาใกล้ผมมากขึ้นทั้งๆ ที่นั่งคนละเบาะ ผมมองพี่ท็อปงงๆ
“แอร์หนาว” เจ้าตัวแค่ยิ้มแล้วก่อนจะดึงแขนผมไปกอดไว้แล้วเอนตัวมาใกล้ ที่กล้าเปิดเผยขนาดนี้เพราะเก้าอี้ข้างๆ กับด้านหน้าว่าง 
“เอาเสื้อแขนยาวไหมพี่ น่าจะอุ่นกว่า” ผมหัวเราะ พี่ท็อปย่นจมูกก่อนจะเหลือบมองไปรอบๆ รถทัวร์ 
“ตื่นเต้นเหมือนกันเนอะ ไม่เคยไปไหว้พ่อตา”
“เดี๋ยวก็ชิน” ผมบอกอย่างหมดมุก ปล่อยให้พี่ท็อปเอ็นจอยกับเรื่องนี้ไป ผมยอมแพ้แล้ว
“ยอมรับตั้งแต่แรกก็จบเรื่อง” พี่ท็อปกระซิบกระซาบ
“ถ้าง่วงก็พิงผมได้นะ” ผมหันไปพูด จังหวะนั้นใบหน้าของเราใกล้กันพอดีเกือบๆ จะหอม แต่เก็บอาการหน่อยมันดูไม่งามเลย
“อือ” พี่ท็อปพยักหน้าก่อนจะเอื้อมไปหยิบเอาของในกระเป๋า เป็น iPod เพื่อเอามาฟังเพลง เจ้าตัวยื่นหูฟังอีกข้างมาใส่หูผม จากนั้นก็นอนหลับตาไปเรื่อยๆ ไม่ก็มองวิวข้างทางไปเพลินๆ ซึ่งผมชอบมองจนชิน ทั้งๆ ที่เส้นทางก็เหมือนๆ เดิม แต่ในระหว่างนั้นมันทำให้ผมคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เหมือนกัน เหมือนได้ทบทวนตัวเองจากหลายๆ ปีที่ผ่านมา   
“คิดอะไรอยู่” พี่ท็อปเอ่ยถามเบาๆ เพราะทั้งคันรถเงียบกันหมด ผมแค่ยิ้ม
“คิดอะไรเพลินๆ น่ะพี่” ผมตอบ พี่ท็อปมองหน้าผมก่อนจะย่นคิ้วสงสัย
“อืม นึกว่าคิดถึงกูซะอีก”
“อยู่ข้างๆ ยังต้องคิดอะไรอีก”
“หึๆ หวังว่าไปถึงบ้านมึงแล้วคงไม่มีเรื่องอะไรให้คิดอีกนะ” พี่ท็อปมองหน้าผมเหมือนรู้ทันความคิดผม ที่ผมแอบกังวลนิดหน่อยคือเรื่องเด็กเก่าผมเนี่ยแหละ ผมไม่อยากเจอเรื่องวุ่นวาย แต่เหมือนมีลางร้ายแฮะ
“จะมีอะไรได้ล่ะครับ” ผมหัวเราะเบาๆ จากนั้นพี่ท็อปก็นอนหลับพิงไหล่ผมไปตลอดทาง เล่นเอาเหน็บกินเลย แต่ก็ทนได้ หลังจากที่รถทัวร์เลี้ยวเข้าสู่ขนส่งประจำจังหวัด ผมจึงโทรหาพ่อให้มารับ รออยู่ประมาณสิบนาที รถกระบะสีเทาก็ขับมาจอดเทียบ ผมทักทายพ่อ
“สวัสดีครับ” พี่ท็อปยกมือไหว้ ท่าทางดูจะเกรงๆ พ่อผมระหว่างที่เข้าไปนั่งด้านในรถ ผมนั่งเบาะด้านหน้าข้างๆ พ่อ ส่วนพี่ท็อปนั่งเบาะหลัง พ่อเหลือบมองพี่ท็อปนิ่งๆ
“สอง เอ็งไม่เห็นบอก ว่ารุ่นพี่คนนี้ชื่อแซ่อะไร”พ่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเข้างวด ผมหันมอง ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง 
“ผมชื่อท็อปครับ เป็นรุ่นพี่ของสองหนึ่งปีครับ”พี่ท็อปเอ่ยขึ้นด้วยความสุภาพ แต่พ่อแค่เหลือบมองก่อนจะถอนหายใจแรงๆ
“อืม จะให้เชื่อว่าเป็นรุ่นพี่จริงๆ สินะ”
“พ่อ แฟนผมเอง เรียนวิศวะด้วยนะเผื่อพ่ออยากใช้งาน”ผมพูดติดตลก แต่กลายเป็นว่าสร้างความเงียบขึ้นมาแทน พ่อถอนหายใจขับรถไปเงียบๆ เปิดเพลงลูกทุ่งเพื่อชีวิตตามประสาคนแก่
“แล้วต้องไปฝึกงงฝึกงานอะไรกับเขาไหม” พ่อพูดกับพี่ท็อป ทำเอาเจ้าตัวทำหน้าแปลกๆ เพราะไม่คิดว่าพ่อจะถาม
“ครับ เทอมหน้าก็ไปฝึกแล้ว”
“อืม จะจบแล้วสิ...ไอ้สองมันทำตัวดีขึ้นบ้างไหม” อยู่ๆ พ่อก็ถามขึ้นมา ผมเหลือบไปมองพี่ท็อปก่อนจะยิ้มให้ อย่างน้อยพ่อก็ไม่ได้เมินใส่ ถือว่าเป็นลางดี
“ครับ ไม่ค่อยเที่ยว เรื่องเหล้าเรื่องบุหรี่ก็ลดๆ ลงแล้ว” พี่ท็อปยิ้ม
“เหรอ” พ่อหันมองหน้าผมด้วยสายตาไม่เชื่อ
“แล้วคิดจะคบมันไปตลอดเลยเหรอ ไม่แต่งงานมีลูกมีเต้าหรือยังไง” พ่อยิงคำถามเบสิกใส่ พ่อน่าจะพัฒนามุกในการกดดันพี่ท็อปหน่อยนะ เพราะมุกนี้ล้าสมัยไปแล้ว พ่อแม่คนเมืองหัวสมัยใหม่ไม่ได้บังคับจิตใจลูกตัวเอง
“ก็คงเป็นแบบนั้นครับ ผมเองคงแต่งงานไม่ได้เพราะผมเป็นแบบนี้ แต่ครอบครัวผมก็เข้าใจ ไม่ได้กีดกันถ้าจะคบผู้ชายด้วยกัน”
“อืมๆ พ่อแม่สมัยนี้ก็แปลกๆ กันทั้งนั้น” พ่อส่ายหน้า
“แล้วพ่อล่ะ” ผมหันไปถามพ่อบ้าง
“อยากรู้จริงๆ เหรอ” พ่อไม่ได้มองหน้าผมระหว่างที่พูด
ตลอดเส้นทางที่ขับไปยังหมู่บ้านก็ไม่มีการพูดคุยกันอีก ผมเองขี้เกียจเปิดหัวข้อสนทนาแล้วด้วย ภายในรถจึงมีแค่เสียงเพลงเท่านั้นละแวกบ้านผมไม่ได้ห่างไกลความเจริญ เป็นเมืองใหญ่แต่เงียบสงบดี แต่ด้วยความที่บ้านผมห่างจากตัวเมือง ตำบลที่ผมอยู่มีหลายหมู่บ้าน ตั้งแต่หนึ่งถึงสิบเลย บรรยากาศหมู่บ้านออกจะชนบท เวลาใครกลับมาจากต่างจังหวัดก็รู้กันหมด ใครทำเรื่องไม่ดีไว้ก็เป็นขี้ปากคนยันลูกบวช ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น... เรื่องมิ้นท์นั่นไง
ผมแค่ย้ายโรงเรียนแต่ไม่ได้ย้ายบ้านหนี ผมถึงไม่อยากกลับบ้านบ่อยนัก เพราะไม่ค่อยชินกับเสียงซุบซิบนินทาของมนุษย์ป้ามนุษย์ลุงเท่าไหร่ ยิ่งผมกลับมาพร้อมผู้ชายหล่อๆ แบบพี่ท็อป คงจะเอาไปคุยกันบ้างตามประสาคนนิยมเผือกเรื่องชาวบ้าน เหมือนผมเลย
“กลับมาบ้านทีไรก็คุยฟุ้งกันไปทั้งตำบล” พ่อบ่นระหว่างที่เลี้ยวรถเข้าภายในซอยเข้าบ้านแคบๆ
“ทำไงได้... โทษใครดี”
“เอ็งไง ทำตัวเองแท้ๆ เฮ้อ” พ่อส่ายหน้าก่อนจะขับเข้าไปจอดที่ลานหน้าบ้านของเรา ก่อนจะลงจากรถพ่อหันไปพูดกับพี่ท็อป“คงรู้นะว่ามันทำตัวห่วยแค่ไหน ไม่มีใครเหนื่อยเท่าพ่อมันอีกแล้ว” พ่อพูดซะทำเอาผมจิตใจห่อเหี่ยว
จากนั้นก็ขนกระเป๋าเข้าไปไว้ในบ้าน ส่วนมากบ้านเรือนของที่นี่จะเรียงติดกันและเป็นบ้านไม้ยกสูง บางหลังผสมปูน บ้านของผมชั้นล่างเป็นปูนชั้นบนเป็นไม้ เมื่อเข้ามาภายในบ้านพ่อก็เดินหายไปชั้นบน
“เป็นไง บ้านสวยไหมล่ะ” ผมหัวเราะ พี่ท็อปแค่มองไปรอบบ้านอย่างแปลกตา
“ดูอบอุ่นดีนะ” พี่ท็อปวางกระเป๋าที่เก้าอี้ไม้ตัวยาว ก่อนจะนั่งลง
“ถ้าไม่อยากอยู่แต่ในบ้าน ตอนเย็นไปปั่นจักรยานไม่ก็ไปตกปลาที่หนองได้นะพี่” ผมแนะนำในฐานะเจ้าบ้านเพราะกลัวเจ้าตัวเบื่อเอาเสียก่อน
“มีที่ตกปลาด้วยเหรอ” พี่ท็อปถามด้วยน้ำเสียงสนใจ
“เป็นหนองเก็บน้ำธรรมดานี่แหละ มีปลาอยู่นะแต่จะติดเบ็ดหรือเปล่าอีกเรื่อง” ผมบอก ถ้าอดทนหน่อยคงได้ปลาสักสองสามตัว
“อือ ว่าแต่พ่อมึงโอเคกับเรื่องของเราไหมวะ” พี่ท็อปพูดกับผมด้วยสีหน้าหมองหม่น คิ้วขมวดเข้าหากันเหมือนวิตกกังวล
“ก็โอเคแหละ ทำฟอร์มไปแบบนั้น” ผมพูดเบาลงเมื่อพ่อเดินลงมาจากชั้นสอง ถึงจะไม่ค่อยได้คุยกับพ่อแต่ผมรู้นิสัยของพ่อดี พ่อเองไม่ได้โกรธอะไรผมมากมายแต่แค่ไม่อยากให้ผมได้ใจซะมากกว่าเลยทำตัวขรึมๆ เข้าไว้ เรื่องพี่ท็อปพ่อก็ไม่ได้ชอบใจที่ผมเลือกคบกับผู้ชาย แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำเป็นไม่สนใจ
“จัดห้องไว้ให้แล้ว คงนอนด้วยกันล่ะสิ” พ่อมองหน้าผมก่อนจะเหลือบไปมองพี่ท็อป “แล้วนี่กินอะไรมากันหรือยัง หิวไหม จะได้ทำของว่างให้กินไปก่อน” พ่อไม่สนใจฟังคำตอบก่อนจะหันพูดกับพี่ท็อป
“ยังไม่หิวเลยครับ” เจ้าตัวตอบ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ...ยังไงก็ลูกๆ หลานๆ งั้นเอาน้ำมะตูมไปกินก่อน” พ่อบอกเสียงเข้มแต่ไม่ได้มีความดุดันอยู่ในน้ำเสียงและสีหน้า พี่ท็อปหันมายิ้มกับผมก่อนจะลุกเดินตามพ่อเข้าไปในครัว ผมเลยปล่อยให้สองคนนั้นได้คุยกันบ้างก่อนจะหิ้วกระเป๋าไปเก็บยังชั้นบน ในห้องนอนของผมไม่ได้กว้างมากนัก ห้องไม่มีอะไรมากนอกจากกระดาษปรู๊ฟม้วนใหญ่ที่เก่าซีดและแผ่นกระดานไม้สามแผ่นวางพิงกับฝาผนังไว้ 
ผมได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังลั่น เสียงเหมือนผ่านการแต่งมาแล้ว ผมยื่นหน้าไปมองที่หน้าต่างเห็นรถโนว่าแดชจอดอยู่ ใครมากัน ดูจากรถแล้วน่าจะเป็นเพื่อนเก่าผมแน่ๆ แต่ทำไมรู้ข่าวผมไวจัง
“ไอ้สองเพื่อนเอ็งมาหา” เสียงพ่อตะโกนมาจากด้านล่าง ผมรีบเดินลงไปหาทันที คงต้องเพื่อนสมัยเรียนมัธยมโรงเรียนเก่าแน่ๆ เมื่อเดินลงมายังด้านล่าง พี่ท็อปนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ กำลังกินขนมหวานอยู่กับพ่อที่มองผมอย่างไม่สบอารมณ์
“ใครอะพ่อ”ผมถาม 
“ไอ้เต็งเพื่อนเก่าเอ็งไง”พ่อบอก แล้วทำหน้ามุ่ย ผมจึงเดินออกไปหามันข้างนอก เจออีกฝ่ายยืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้รถของมัน ผ่านไปสามปีกว่าๆ มั้งที่ผมไม่ได้เห็นหน้าค่าตามัน ไอ้เพื่อนคนนี้นิสัยห่ามๆ เป็นเพื่อนที่ดีแต่นิสัยน่ะเหรอ...ไม่อยากพูดถึง
“กลับมาบ้านไม่ส่งข่าวบอกกันบ้าง” มันเอ่ยก่อนที่จะดับบุหรี่แล้วเดินเข้ามาหาผมใกล้ๆ
“มาแป๊บเดียวก็กลับแล้วไง...แล้วนี่มึงรู้ข่าวไวจัง”
“อ๋อ เมื่อกี้กูอยู่ที่ตลาดพอดี เห็นรถพ่อมึงขับผ่านไงเลยเห็นมึงแวบๆ กะมาทักทายซะหน่อย หายไปนานเลยนึกว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก” มันพูดก่อนจะชะเง้อเข้าไปมองด้านในบ้านอย่างสอดรู้
“บ้าเหรอ บ้านเกิดทั้งทียังไงก็ต้องกลับมาอยู่แล้ว”
“อืม คราวก่อนที่มึงมากูก็ไม่อยู่ด้วย ...แล้วนั่นใครวะ”ไอ้เต็งมันจ้องไปที่พี่ท็อปจากทางหน้าต่างที่เปิดไว้
"แฟนกูเอง” ผมตอบไปตรงๆ ยังไงมันก็รู้อยู่แล้วว่าผมเป็นแบบไหน“เออ ทำไมวะ”
“ก็เปล่า” มันหัวเราะแล้วหยิบบุหรี่มาจุด ก่อนจะยื่นให้ผม
“ไม่ว่ะ กูลดแล้ว”ผมบอก ไม่ได้แตะบุหรี่มาหลายวัน พยายามจะลดเรื่อยๆ 
“เออ คนดีจริงๆ” มันสูบบุหรี่ แล้วพ่นควันออกมาเรื่อยๆ “หมู่บ้านข้างๆ มีงานประจำปี ไปด้วยกันไหมวะ”
“ก็น่าสนใจดี”ผมพึมพำ 
“อย่าบอกนะต้องขออนุญาตแฟน ขออนุญาตพ่อมึงอีกน่ะ”ไอ้เต็งเลิกคิ้วแปลกใจ ก่อนจะมองเข้าไปในบ้าน
“อือ นานๆ มาทีไม่อยากให้มีเรื่อง”ผมบอกไปตามตรง มาบ้านครั้งนี้เหมือนมาพักผ่อน มาหาพ่อมากกว่าจะมาเที่ยว 
“จะมีอะไรได้...เออ มึงยังจำไอ้โจ้ได้หรือเปล่า”อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมา แล้วพูดชื่อที่ผมไม่อยากได้ยินนัก ผมสะดุ้ง คิดไว้แล้วว่าคงได้เจอหรือไม่ก็ได้ยินชื่อของมัน
“ทำไมวะ”ผมถามเหมือนไม่ใส่ใจนัก มันมองผม
“มันก็ไปนะเว้ย มันอยากเจอมึงอีกสักครั้ง” ไอ้เต็งส่ายหน้าก่อนจะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
“เหรอวะ...” ผมตอบเบาๆ มันจะมาอยากเจอผมทำไมอีก
“งั้นกูไปดีกว่า เดี๋ยวพ่อมึงมาไล่กู” ไอ้เต็งหัวเราะก่อนจะสตาร์ทรถเสียงดังกระหึ่ม มันยิ้มกวนๆ ขัดตาขัดใจผมมากก่อนจะขับออกจากบ้านไป ผมย่นจมูกเพราะกลิ่นน้ำมันจางๆ ก่อนเดินกลับเข้ามาข้างในนั่งลงที่ม้านั่ง พี่ท็อปมองหน้าผม
“แล้วมันพูดถึงอะไรเหรอ งานประจำปี”
“เออไอ้สอง พาไอ้ท็อปมันไปเปิดหูเปิดตาหน่อยสิ นานๆ จะเจองานแบบนี้ใช่ไหมเรา” พ่อหันไปถามพี่ท็อป
“ครับ อยากไปเปิดหูเปิดตาดูบ้าง”เจ้าตัวรีบตอบทันที ก่อนจะยิ้มออกมา
“กลัวจะตีกันอะดิ” ผมหลีกเลี่ยง จริงๆ ไม่ชอบไปเบียดเสียด งานประจำปีของหมู่บ้านมักจะมีเรื่องกันอยู่บ่อยๆ ตีกันเกือบทุกปี
“เอ็งอย่ามาลีลา เดี๋ยวข้าไปด้วยจะขับรถไปส่งให้” พ่อบอก
“ตามใจครับ”ผมจำต้องบอกอย่างเสียไม่ได้ พี่ท็อปแค่ยิ้ม
“ในงานคงเจออะไรที่น่าสนใจเนอะ”
“จะมีอะไรได้” ผมไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจแต่ข้างในนี่สิมันปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก จริงๆ ถ้าไปเจอไอ้โจ้คงไม่มีอะไรนอกจากทักทายกันล่ะมั้ง อีกอย่างจะให้บอกพี่ท็อปเรื่องนี้ออกจะเชื่องไปหน่อย ไม่เห็นจำเป็นต้องบอกพี่ท็อปทุกเรื่อง ก็แค่คนเคยรู้จักเพราะไม่ถึงขั้นกิ๊กซะหน่อยที่ผมห่วงที่สุดคือถ้าไปงานกลัวว่าจะเจอทั้งโจทก์เก่าทั้งไอ้โจ้ด้วยน่ะสิ แบบนั้นแจ็กพอตพอดีไอ้เรื่องทะเลาะวิวาทผมไม่อยากข้องเกี่ยว ยิ่งมาเจอเพื่อนเก่าอย่างไอ้เต็ง อริมันคงไม่ใช่น้อยๆ คงเป็นงานที่สนุกดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP .26 #20.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-01-2016 19:11:04
พี่ดีนเมาก็นอนซะอย่าหาเรื่องเลย. สองมันเจอมาเยอะแล้ว
หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรนะ
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ.
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP .26 #20.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 20-01-2016 20:28:59
พี่ดีนรักตัวเองหน่อยสิพี่ สองจะมีปัญหากับพี่ท็อปไหมเนี่ย :z3:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP .26 #20.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 20-01-2016 20:42:40
สงสารพี่ดีน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP .26 #20.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 20-01-2016 20:55:14
ดีนมีหลายอารมณ์มาก สับสนไปไหนคะ คบๆ ไปทั้ง กัส และ แกน นั้นแร่ะ 3P ไปเลยคะ 5555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP .26 #20.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 20-01-2016 22:18:54
เหยยยยย หวังว่าพี่ท็อปคงไม่เข้าใจผิดอีกนะ พี่ดีนก็อย่าหาเรื่องอีกเลย พอเหอะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP .26 #20.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 21-01-2016 01:43:17
เห็นใจดีนนิดๆ แต่ทำตัวเองทั้งนั้นเลย
หวังว่าพี่ท็อปจะไม่โกรธสองนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP .26 #20.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 21-01-2016 03:03:12
ปล่อยไว้ห้องตัวเองดีแล้ว
พาชายอื่นมานอนห้องแฟน
ระวังจะมีมาม่าชามโต
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP .26 #20.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 21-01-2016 07:37:58
สองจะมีปัญหากับพี่ท็อปไหมนะ??
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP .26 #20.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: ChaniiNoiy ที่ 23-01-2016 00:57:02
 :hao7: ท็อปมาแน่นอน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP .26 #20.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 28-01-2016 23:51:30
พี่ดีนอกหักจากใครน้อ พี่กัสหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 22 กลับบ้าน ต่อ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 30-01-2016 13:24:08
ตอนที่ 22 กลับบ้าน ต่อ

ระหว่างที่รอเวลาพลบค่ำเพื่อเตรียมตัวไปงานประจำปีของหมู่บ้าน พี่ท็อปดูอารมณ์ดีกว่าเมื่อเช้ามาก ผมมือเป็นระวิงเพราะอยู่ๆ เพื่อนเก่าสมัยม.ห้าก็โทรมาหาผมโดยไม่ได้นัดหมาย ผมล่ะแปลกใจว่าพวกมันเอาเบอร์ผมมาจากไหนหนึ่งในเพื่อนสนิทและนิสัยโอเคที่สุดแล้ว นั่นก็คือ ไอ้คิว มันเรียนมหาลัยที่ต่างจังหวัด ชีวิตดูมีอนาคตเพราะมันตั้งใจเรียนและขยันที่สุดในก๊วนผมแล้วเลยไม่แปลกใจถ้ามันจะได้ดิบได้ดี
“ฮัลโหล” ผมกดรับสาย
[นึกว่าจะโทรผิดเบอร์แล้วนะเนี่ย] เสียงนุ่มๆ ของเพื่อนเก่าดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ
“เออ เอาเบอร์กูมาจากไหนวะเนี่ย” ผมถามกลับไปอย่างสงสัย
[ไม่ยากหรอก แล้วกลับมาครั้งนี้อยู่นานไหม] มันเปิดหัวข้อสนทนาก่อน
“ไม่นานหรอก แค่มาหาพ่อเฉยๆ”
[ว่าจะชวนไปเที่ยวไง นานๆ จะเจอกันสักที แล้วเป็นยังไงบ้าง]
“เรื่อยๆ แหละ แล้วจะไปเที่ยวที่ไหนล่ะ” ผมถาม ระหว่างนั้นพี่ท็อปหันมามองผมทันที คงจะได้ยินเรื่องเที่ยวๆ นั่นแหละ
[หมู่บ้านข้างๆ มึงมีงานไม่ใช่เหรอ กูว่าจะแวะไปเดินเที่ยวหน่อย มึงไปหรือเปล่า]
“คงไปแหละ ว่าจะแวะไปซื้อกินแล้วก็กลับ”
[พูดจริง...มีคอนเสิร์ตด้วยนะเว้ย ไม่อยากจอยหน่อยเหรอ] ไอ้คิวหัวเราะ
“ไม่ว่ะ พ่อกูไปด้วย” ผมลดเสียงลงก่อนจะเหลือบไปมองพี่ท็อปที่หันไปสนใจหน้าจอทีวีแทน
[อะไรว้า ลูกแหง่ว่ะ] มันคงแกล้งแซวผมเล่นเพราะมันเองก็ไม่แตะแอลกอฮอล์เลย ถึงมันจะคบกับพวกคนไม่เอาถ่านแบบพวกผมก็เถอะ
“กลับมาบ้านทั้งทีจะไปเละเทะได้ไงวะ” ผมบอก
[อือๆ ไว้เจอกันหน้างาน] ไอ้คิวบอกก่อนที่จะวางสายไป ผมเดินกลับมานั่งข้างๆ พี่ท็อปที่ม้านั่ง อีกฝ่ายกำลังสนใจกับหน้าจอทีวี
“ใครวะ” พี่ท็อปถามโดยไม่ละสายตามามองผม
“อ๋อ ไอ้คิวเพื่อนเก่า นานๆ จะติดต่อมาที” ผมบอกสบายๆ
“เหรอ ดูเหมือนว่างานประจำอะไรนั่น เพื่อนๆ มึงนี่พรีเซ็นกันจังนะ มีอะไรดีๆ หรือเปล่าวะ” พี่ท็อปหันมาจ้องหน้าผม สายตาประดุจเครื่องสแกนที่ทะลุทะลวงจนผมเกือบหลบสายตาไปทางอื่น ทำตัวมีพิรุธอีกผม
“เปล่าซะหน่อย แค่กลัวคนตีกัน” ผมบอก
“แล้วนี่จะไปพร้อมพ่อจริงๆ น่ะเหรอ นึกว่าพูดเล่น”
“อื้อ พ่อคงไปส่งแล้วเดินหาอะไรกินแล้วก็กลับล่ะมั้ง” ผมบอก “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ก็...ไม่รู้ดิ รู้สึกแปลกๆ กูคงไม่ชินกับพ่อมึงมั้ง” พี่ท็อปไหวไหล่พลางมองไปรอบๆ บ้านอย่างระมัดระวัง ผมพอเข้าใจพี่ท็อป คงจะเกร็งๆ กับพ่อ อีกทั้งไม่ชินกับบรรยากาศที่บ้านผมที่เงียบสงบคงจะอึดอัด
“เดี๋ยวก็ชินพี่ เชื่อสิ” ผมยิ้มแล้วเอื้อมมือไปบีบไหล่พี่ท็อปให้คลายกังวล
“อือ คงงั้น” พี่ท็อปหันมายิ้ม
“พ่อไปไหนก็ไม่รู้ พี่อยากขึ้นไปข้างบนป่ะ” ผมชะเง้อมองออกไปที่หน้าต่างเผื่อจะเห็นพ่อ แต่อันที่จริงพ่อออกไปดูไร่ฆ่าเวลาแทน
"มึงคิดจะทำอะไร ทะลึ่งนะมึง” พี่ท็อปมองหน้าผมก่อนจะปัดมือที่เกาะแกะหัวไหล่ตัวเองออก ผมแค่ยิ้ม
“จะทำอะไรได้ กลางวันแสกๆ” ผมว่า
“เดี๋ยวเหอะ ไม่เจียมตัวอีก”เจ้าตัวส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้มของผู้ชนะ ผมเบ้ปากก่อนจะเอนพิงกับพนักเก้าอี้แข็งๆ
“โอเคๆ ไม่ได้จะทำอะไรซะหน่อย แค่อยากให้พี่หายเหนื่อยไง เนี่ยที่บ้านผมมีนวดบำบัดด้วยนะ” ผมเสนอ
“นวดมึงใช่ไหม”
“นวดพี่สิครับแหม”
“อ๋อ ถ้ากูยอมนวดมึงจะ...” พี่ท็อปพูดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์พร้อมรอยยิ้มของคนหื่นกระหาย ให้ผมเดาผมคงต้องเจ็บตัวแหงๆ
“โห อันนี้สาระเลย นวดบำบัดจริงๆ” ผมบอก ผมเคยเห็นคนเฒ่าคนแก่เขานวดให้พ่อผม ใช้พวกเครื่องสมุนไพรจริงๆ คนแก่ว่าหอมแต่ผมว่าเหม็นกลิ่นแรงอย่าบอกใครเชียว พี่ท็อปพยักหน้า
“ใครจะนวดให้ล่ะ”
“ป้าๆ ยายๆ ท้ายบ้านนู่น” ผมบอก พี่ท็อปย่นหน้าก่อนจะขยับเข้ามาหาผมซะใกล้จนรู้สึกร้อนประหลาดๆ
“เหรอ กูไม่สนใจหรอก มาบ้านมึงทั้งทีมึงน่าจะใจปล้ำเอาใจแขกหน่อยดิ” พี่ท็อปเอ่ยทำหน้าเหมือนงอน ผมแอบหัวเราะในใจ วิธีป้อที่ชวนขนลุกมาก ไม่ทันไรแขนพี่ท็อปก็ยื่นมาโอบไหล่เรียบร้อยแล้ว เผลอเป็นไม่ได้
“โธ่พี่ พูดซะผมกลัว” ผมหัวเราะไปด้วย เจ้าตัวแค่ไหวไหล่
“เอ้า กูคิดนะว่าชวนกูมาบ้านมันต้องได้อะไรบ้างแหละ”
“งั้นเย็นนี้พี่ต้องเป็นเบ๊ผมนะ” ผมสั่ง เย็นนี้ไปงานประจำปีคนคงเยอะ เหมือนได้ย้อนวัยเด็กอีกรอบ คงมีแต่ร้านของเล่นพวก ปาโป่ง ยิงปืนทั้งหลายแหล่ ปกติเวลาไปซื้อของผมนี่เบ๊พี่ท็อปดีๆ นี่เอง ไหงเป็นแบบนั้นก็ไม่รู้
“หืม...ทำไมวะ” พี่ท็อปทำหน้างง
“น่า ตามใจแฟนบ้างได้ป่ะ” ผมโวย ไอ้คิวต้องมาเดินกับผมแน่ๆ ถ้าจะแนะนำแฟนกับเพื่อนทั้งทีผมต้องไม่ใช่ฝ่ายเสียเปรียบ
“อะๆ ได้ๆ แหมมีโวย” พี่ท็อปยกมือเหมือนจะตีผม ปกติผมไม่ใช่ประเภทไม่พอใจแล้วงอแง ผมว่ามันน่ารำคาญไปนิด
หลังจากนั้นพ่อก็กลับมาจากไร่พร้อมกับผักบุ้งแตงไทยหลายกิโล ผมกับพี่ท็อปเลยต้องมาช่วยพ่อล้างผักกับแตงไทย เห็นว่าลองทำขนมแตงไทยให้พวกผมลองชิมดู ผมอดคิดไม่ได้ว่าเพราะพ่ออยู่คนเดียวเลยต้องเรียนรู้การทำอาหารทำขนมเอง ผมก็อดหดหู่ไม่ได้
“เป็นอะไร”
“เฮ้อ เห็นพ่ออยู่คนเดียวแล้วเป็นห่วงน่ะ”ผมพูดเบาๆ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาใครจะช่วยได้ พี่ท็อปยิ้ม
“ถ้ามึงเป็นห่วง เรียนจบแล้วก็กลับมาอยู่กับพ่อสิ”เจ้าตัวบอก ผมขมวดคิ้ว “ที่นี่หางานยากจะตาย”ผมพูดแล้วถอนหายใจทิ้ง ไม่ใช่เมืองที่มีการท่องเที่ยวเจริญนัก
“สายงานแบบมึงพลิกแพลงได้ไม่ใช่เหรอ ลองคิดดีๆ สิ กูว่ามันก็พอมีงานนะ” พี่ท็อปบอก
“อือ เดี๋ยวค่อยคิดละกัน”
“เอ้า เสร็จแล้วก็ยกไปเก็บไว้ก่อนสิ เอ็งอยู่กับข้านี่แหละ”พ่อพูดกับพี่ท็อปผมเลยได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ ระหว่างที่ยกถาดแตงไทยสามสี่ลูกไปเก็บในครัว อยากรู้จริงๆ ว่าพ่อคุยอะไรกับพี่ท็อป แต่ดูท่าทางจริงจังเลยต้องยับยั้งใจตัวเองขึ้นไปบนห้องเตรียมอาบน้ำน่าจะดีที่สุด ผมเตรียมชุดให้พี่ท็อปก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ แต่กว่าจะได้อาบจริงๆ ก็ผ่านไปเกือบสิบนาทีเพราะมัวแต่เหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้นมาเบาๆ ตามมาด้วยเสียงของพี่ท็อป
“เปิดประตูให้หน่อย” ผมสตันไปหลายวินาทีก่อนจะเปิดประตูไว้เป็นช่องเล็กๆ แล้วยื่นหน้าออกไปแทน
“มีอะไรพี่”เจ้าตัวยืนถือผ้าเช็ดตัวพร้อมกับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว
“เอ้า จะอาบด้วยไง หลีกๆ”อีกฝ่ายบอกท่าทางอารมณ์ดี รีบเดินเข้ามาในห้องน้ำทันที คงกลัวว่าผมจะปิดประตูซะก่อน ผมเลยทำอะไรไม่ได้ พี่ท็อปฮัมเพลงคลอไปด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“พ่อคุยอะไรด้วยเหรอ” ผมถามทันที
“อืม...ไม่บอก ความลับ”เจ้าตัวยิ้มก่อนจะเดินมาดันผมออกห่างจากฝักบัวอาบน้ำ
“พ่อคงคุยเรื่องของเราแน่ๆ” ผมพูดก่อนจะล้างหน้าแทน เหลือบมองอีกฝ่ายที่ทำเป็นอาบน้ำสบายใจเกินกว่าเหตุ
“อือ ถึงเวลาก็รู้เองแหละ ...แล้วมึงยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ เข้ามาตั้งนาน” พี่ท็อปมองผมก่อนจะฉีดน้ำใส่
“คิดอะไรเพลินๆ” ผมบอกแล้วเดินเข้าไปยืนใต้ผักบัวด้วย สถานการณ์ล่อแหลมแต่ผมไม่ยักจะรู้สึกอะไรเท่าไหร่ พอคิดแบบนี้ได้ก็อดเหลือบไปมองเจ้าตัวไม่ได้
“มองกูอีก” พี่ท็อปไม่วายจะลูบฟองสบู่ที่หน้าท้องของตัวเองเล่น
“หวงเหรอ” ผมถามยียวน
“เปล่า เมียมอง ใครจะไม่ชอบ”คำตอยของอีกฝ่ายทำเอาผมใจห่อเหี่ยว ผมส่ายหน้า
“โธ่” ผมหมดอารมณ์อีโรติกกับพี่ท็อปชั่วขณะ เลยรีบอาบน้ำให้เสร็จก่อนพี่ท็อปเพราะมัวแต่ล้อผมเล่นอยู่ได้
เมื่อถึงเวลาแล้วพ่อขับรถไปส่งผมที่งานประจำหมู่บ้าน ซึ่งสถานที่จัดงานมีระยะทางห่างจากหมู่บ้านผมพอสมควร แต่ก็มีเสียงดนตรีแว่วมาให้ได้ยินแต่ไกล ทุกปีจะจัดที่บริเวณโรงเรียนประจำหมู่บ้านเพราะมีสนามกีฬากว้าง รวมไปถึงพื้นที่บริเวณฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนมีพื้นที่อยู่ติดกับริมแม่น้ำเลยมีเนื้อที่ให้จัดคอนเสิร์ตเล็กๆ ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงสตริง เพลงเพื่อชีวิตบริเวณนั้นเลยมีพวกวัยรุ่นเยอะ ตอนนี้แค่หนึ่งทุ่มกว่าๆ คนก็ทยอยมากันเยอะแล้ว พ่อหาที่จอดรถได้แล้วเลยแยกกับผมไปอีกทางเพราะนัดเพื่อนไว้แถวลานเบียร์ 
“เหมือนๆ งานวัดเลยนะ” พี่ท็อปพูดก่อนจะมองไปรอบๆ งาน
“อือ ก็คล้ายๆ นั่นแหละพี่”
ตืด ตืด ตืด
 ไม่นานนักก็มีสายเข้า คาดว่าเป็นเพื่อนผม พี่ท็อปหันมองอย่างสนใจ
“เพื่อนโทรมาพี่.../เออ ว่าไง”ผมหันมารับสาย
[เดี๋ยวกูไปหานะเว้ย กูเห็นมึงแล้ว]
“เออได้ๆ” จากนั้นมันก็วางสายไป“เดี๋ยวเพื่อนผมจะมาด้วยนะพี่” ผมบอก พี่ท็อปแค่พยักหน้า
“เพื่อนคนนี้โอเคนะ”
“ไอ้นี่มันเด็กเรียนพี่” ผมบอก ไม่นานนักก็เห็นผู้ชายรูปร่างหน้าตาคุ้นๆ เดินมาทางผม มันโบกมือเป็นสัญญาณ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนของไอ้คิวคือมันใส่แว่นสายตา มันเดินมากอดผมเฉยเลย ท่าทางคงดีใจที่เจอเพื่อนเก่า
“มึงสูงขึ้นหรือเปล่าเนี่ย...” มันยิ้มกว้างก่อนจะหันไปมองพี่ท็อปที่ยืนนิ่งๆ
“เออนี่ พี่ท็อปแฟนกูเอง” ผมบอกไปตามตรงไม่อยากปิดบังว่าเป็นแค่พี่ อีกอย่างพี่ท็อปคงไม่ชอบใจหรอกถ้าต้องมาเป็นแค่พี่ผมน่ะ ไอ้คิวตาโตก่อนจะจ้องพี่ท็อปอีกรอบ มันยิ้มแหยๆ ก่อนจะยกมือไหว้ซะงั้น
“หวัดดีครับพี่”
“อือ... ไม่ต้องไหว้ก็ได้มั้ง” พี่ท็อปบอกก่อนจะโบกมือปัดๆ มัน
“ไม่เป็นไรพี่ แล้วนี่คบกันนานแล้วเหรอครับเนี่ย ไม่งั้นคงไม่พามาบ้าน” ไอ้คิวยิ้มมองผมกับพี่ท็อป
“ไม่นานหรอก ปีกว่าๆ มั้ง”อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะไหวไหล่ ใบหน้ามีรอยยิ้ม 
หลังจากที่คุยกับไอ้คิวถามสารทุกข์สุกดิบเป็นที่เรียบร้อยก็เลยพากันเดินดูของในงานไปเรื่อยๆ
“มา จับมือผมไว้เดี๋ยวหลง” ผมกระซิบไปบอก พี่ท็อปหันหน้ามามองผมด้วยสายตาแปลกๆ
“เว่อร์น่า คนเยอะด้วย” เจ้าตัวบุ้ยใบ้ไปที่ไอ้คิวที่เดินอยู่ข้างๆ ผม แต่มันไม่ได้สนใจอะไรผมกับพี่ท็อปสายตามันมองแต่ผู้หญิงที่เดินสวนไปมา
“ก็นั่นแหละ คนเยอะ ใครจะมามองเราล่ะพี่” ผมบอกก่อนจะดึงมือพี่ท็อปมาจับไว้แล้วเดินไปตามทางแคบๆ ที่มีแต่คนเบียดเสียด ข้างทางมีพวกของกินของเล่น ปาโป่ง ยิงปืน แต่ที่พีคสุดคือไอ้คณะแสดงตัวประหลาดที่เอาไว้หลอกเด็ก เมื่อก่อนผมเชื่อนะว่ามันมีของประหลาดๆ แบบนั้นจริงๆ “กูสงสัยว่าน้องเขาจะเมื่อยเปล่าวะ” ไอ้คิวหัวเราะคิกคักมองไปที่หัวเด็กที่โชว์อยู่ ผมกับพี่ท็อปส่ายหน้า
“มึงไม่ไปเช็คความแม่นบ้างเหรอวะ เดี๋ยวกูออกเอง” ไอ้คิวสะกิดผมเมื่อเดินมาหยุดหน้าซุ้มยิงปืน พี่ท็อปพยักหน้า ไอ้คิวเปิดกระเป๋าจ่ายค่าเล่นไปให้ผมเรียบร้อยท่าทางมันเหมือนพ่อเวลาพาลูกน้อยเล่นของเล่น
“มึงคิดว่ากูจะแม่นเหรอไง” ผมส่ายหน้า ต้องยิงโดนสามนัดถึงจะได้เลือกตุ๊กตาในร้าน
“เอาน่า” ไอ้คิวว่าก่อนจะกอดอกมองผมส่องตุ๊กตาตรงหน้า สรุปคือยิงโดนแค่ตัวเดียวเท่านั้น แต่ไอ้คิวมันเป็นคนออกเงินนี่เสียไปเกือบห้าร้อยแน่ะเพราะความดื้อดึงของมันเอง พี่ท็อปเลยต้องออกโรงเอง สุดท้ายพี่ท็อปก็แม่นสุด
“แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าช้างเท้าหน้า” ไอ้คิวว่าส่งสายตาตำหนิผ่านแว่นกลมๆ ของมัน ผมเบ้ปากไม่เห็นเกี่ยว ส่วนใหญ่ก็เป็นตุ๊กตาเด็กๆ ตุ๊กตาหมีอะไรแบบนั้น ไอ้ผมไม่ใช่คนชอบของแบบนี้เลยไม่ได้อยากได้อะไร ไอ้คิวมันก็ไม่อยากได้เพราะต้องถือเอง มันเลยให้พี่ท็อปแทน เป็นตุ๊กตาควายตัวกลมๆ สีน้ำตาลดำหน้าตากวนๆ ทำเอาผมนึกถึงการ์ตูนเด็กเรื่องหนึ่ง ‘โอ๊ยสงสัยจัง’ ที่มันชอบพูด“โง่ โง่ โง่” ดูแล้วขำดี
เดินดูของไปสักพักก็เดินมาถึงโซนสวนสนุกเล็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือบ้านผีสิง พี่ท็อปชะเง้อมองอย่างสนใจ
“บ้านผีสิง...” พี่ท็อปหันมาพูดกับผม แต่มันกิ๊กก๊อกมาก ผมเคยเข้าไปเล่นกับเพื่อนสมัยม.ปลายแล้วมีแค่ผีไม่กี่ตัว หนำซ้ำยังดูหลอกตาอีกต่างหาก ไอ้คิวถึงกับส่ายหน้า
“เอาจริงดิ มีแต่เด็กนะนั่น” ผมบอกก่อนจะมองไปที่กลุ่มเด็กวัยสิบเอ็ดขวบที่มากับพ่อแม่ที่กำลังต่อคิวซื้อตั๋ว
“เห็นว่ามันง่อยเลยอยากลองไปดูบ้าง” พี่ท็อปพูด
“ก็ได้ พี่คงไม่กลัวของเด็กๆ นะ” ผมหัวเราะก่อนจะเดินไปซื้อตั๋วเลยปล่อยให้พี่ท็อปอยู่กับไอ้คิวแทน เมื่อได้ตั๋วมาเรียบร้อย พี่ท็อปกับไอ้คิวเดินมาใกล้ผม
“มึงว่าผู้ชายคนนั้นเขาตามเรามาหรือเปล่าวะ” ผมได้ยินดังนั้นเลยผงะหันไปมองตามทิศทางที่อีกฝ่ายบุ้ยใบ้ เป็นวัยรุ่นตัวสูงๆ หน้าตี๋ๆ ปกติทั่วไปไม่มีรังสีของจิ๊กโก๋กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ต้นปาล์ม ผมหันไปสบตากับพี่ท็อป
“ใช่เหรอพี่ อาจจะมาทางเดียวกับเราพอดีล่ะมั้ง” ผมบอก คงบังเอิญมากกว่าเพราะผมก็เคยเห็นไอ้เด็กคนนี้แถวๆ ตรงซุ้มแสดงเด็กประหลาดนั่นพอดี 
“กูเห็นตั้งแต่ซุ้มยิงปืนแล้วนะเว้ย” ไอ้คิวกอดอกพลางมองไปที่ไอ้เด็กวัยรุ่นคนนั้น
“คงไม่หรอกมั้ง” ผมส่ายหน้าไม่อยากคิดมาก อีกอย่างมางานสนุกๆ ไม่อยากเจอเรื่องให้ปวดหัวด้วย
“เหรอวะ...ช่างเหอะๆ” พี่ท็อปบอก
“มึงเข้าเหอะเดี๋ยวกูรออยู่ตรงนี้ดีกว่า ขี้เกียจเข้าไปเล่น” ไอ้คิวบอก ผมเลยปล่อยมันไว้กับตุ๊กตาควายด้านหน้าคนเดียว พี่ท็อปไม่ค่อยสบายใจ ผมว่ามันเลยอยู่จับตาดูไอ้เด็กคนนั้นไว้มากกว่า
ผมกับพี่ท็อปเดินเข้าไปในบ้านผีสิง พอเข้าไปด้านในบรรยากาศวังเวงแบบปลอมๆ มีซาวด์โหยหวนดังมาให้ได้ยิน พี่ท็อปตัวติดผมตั้งแต่ทางเข้า อย่าบอกนะว่าพี่ท็อปกลัวน่ะ ผมมองพี่ท็อปที่อยู่ข้างๆ
“น่ากลัวเนอะ” พี่ท็อปยิ้มให้ ผมว่าเจ้าตัวน่ากลัวกว่าผีล่ะตอนนี้
เดินไปสักพักก็มีเสียงตึงพร้อมกับหัวกระสือห้อยลงมา จะแกล้งตกใจเป็นเพื่อนเด็กๆ ก็จะดูตลกเกินไปหน่อย ระหว่างทางพี่ท็อปกอดคอผมไว้ ด้วยความสูงที่ไม่ห่างกันมากเลยทำให้พี่ท็อปสามารถหันหน้ามาหอมแก้มผมได้สบายๆ ไม่เกรงใจผีปลอมเลย
“แน่ะ ว่าล่ะ ต้องมาอีหรอบนี้” ผมยิ้ม
“นิดๆ หน่อยๆ เอง” พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะเอี่ยวคอไปด้านหลัง “เห็นไหมมันตามเรามาจริงๆ ด้วยนะสอง” พี่ท็อปยื่นหน้ามากระซิบกระซาบ ผมเลยหันไปมองตามบ้างก็เจอไอ้เด็กวัยรุ่นคนเดิมเดินตามมาห่างๆ ท่าทางตื่นๆ เวลาผมมองมัน
“เออ มันตามเรามาจริงๆ ด้วย” ผมหันไปพูดกับพี่ท็อป
“เห็นไหมเซ้นส์กูแรงจะตาย” พี่ท็อปพาผมเดินวกกลับไปทางออก มันก็เดินตามมาอีก จะสะกดรอยก็น่าจะเนียนๆ หน่อยหรือว่าอยากให้รู้กัน ผมเลยสงสัยว่าใครส่งมันมา ท่าทางมันดูไม่เหมือนนักเลงเท่าไหร่ ผมกับพี่ท็อปแอบอยู่ข้างทางรอให้มันโผล่ออกมาจะได้ถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ไม่นานนักมันก็โผล่มาพอดี มันทำหน้าตกใจเมื่อเห็นผม ท่าทางดูลุกลี้ลุกลน
“เฮ้ย ตามกูมาทำไมวะ” ผมเดินมาดักหน้ามัน ในเมื่อแน่ใจแล้วว่ามันจงใจตามผมกับพี่ท็อปมาแสดงว่าต้องมีจุดประสงค์ คงมีใครสั่งให้มันตามผมแน่นอน
"เปล่าซะหน่อย” มันตอบเบาๆ และไม่สบตากับผม ทำท่าจะเดินหนีแต่พี่ท็อปเดินไปดักมันอีกทางหนึ่ง มันถอนหายใจทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ 
“อย่าให้กูโมโหน่า บอกมา ตามมาทำไมวะ รู้จักกูเหรอ” ผมเดินไปเกาะไหล่มัน
"เอ่อ พี่โจ้ให้มาตาม” พอได้ยินคำตอบแล้วใจผมก็หล่นวูบไปเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร สายตาหันไปสบกับพี่ท็อปพอดี เจ้าตัวตีหน้านิ่งคิ้วขมวดแน่น
"ทำไมวะ” ผมถามต่อ มันส่ายหน้าดิก
"ไม่ได้บอกเหมือนกันแค่ให้มาเฝ้าเฉยๆ” มันบอกก่อนจะหันไปมองพี่ท็อปเหมือนระแวงว่าจะกระทืบมันจากด้านหลัง
“มึงมีเบอร์มันใช่ไหมวะ โทรไปหามันดิแล้วก็ถามซะว่าต้องการอะไร” พี่ท็อปออกโรงเอง เดินเข้ามาหามันด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ได้ๆ” ไอ้เด็กนี่มันพยักหน้ารัวๆ ด้วยท่าทางตกอกตกใจก่อนจะโทรไปหาไอ้โจ้ มันทำตาลอกแลก ระหว่างนั้นไอ้คิววิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาพวกผม มันมองไอ้เด็กนั่นด้วยสายตางงๆ
“กูว่าละ” มันกอดอกขยับแว่นไปพลางก่อนจะมองสำรวจไอ้เด็กนั่นไปด้วย มันมองหน้าผมก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่รับอะพี่”
“โทรไปอีก ไม่ก็บอกมาว่ามันอยู่ไหน” พี่ท็อปพูดเสียงต่ำ สีทำหน้าจริงจัง
“ไม่รู้เหมือนกันครับพี่...” มันทำหน้าจ๋อยก่อนจะกดโทรศัพท์ อาศัยจังหวะเผลอวิ่งหนีพวกผมไป ผมไม่คิดจะตามอะไรมันหรอก ไร้ประโยชน์อยู่แล้ว
“ไอ้โจ้มันคงอยากรื้อฟื้นความหลัง” ไอ้คิวว่าผมเลยเตะขามันไปทีนึงแทน มันก้มหน้างุดหลบสายตาพี่ท็อป
“กูล่ะอยากเห็นหน้ามันจริงๆ” พี่ท็อปกระแทกเสียงก่อนจะคว้าตุ๊กตาจากไอ้คิวไปถือเองแล้วเดินนำหน้าออกไปไม่บอกไม่กล่าว
“สงสัยจะหึง... ไอ้โจ้มันคงอยากเจอมึงจริงๆ นั่นแหละ” ไอ้คิวกระซิบบอกก่อนจะออกเดินไปกับผม ปล่อยให้พี่ท็อปฟาดงวงฟาดงาไปคนเดียวก่อน
“อือ มันจะมาอยากเจออะไรกูอีก” ผมส่ายหน้าเซ็ง ไอ้คิวหัวเราะหึๆ
“อยากเสียตัวให้มึงไง มึงอย่ามาอินโนเซนส์หน่อยเลย”
“เออน่า กูรู้ แต่ไม่อยากคิดไง”
“ทางที่ดีไม่ต้องไปเจอมันหรอก เผื่อพวกไอ้เต็งอยู่ด้วยเดี๋ยวความจัญไรจะเกิดเปล่าๆ” ไอ้คิวว่า ผมก็คิดแบบนั้น ไอ้พวกนี้ขึ้นชื่อเรื่องเหี้ยๆ อยู่ ประสบการณ์ที่ผ่านมาย้ำเตือนว่าไม่ควรประมาทอะไรทั้งสิ้น ถึงจะกลับมาที่บ้านตัวเองก็เถอะ
“อืม...”
สุดท้ายพี่ท็อปมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องน้ำ หันมาขอเศษเหรียญจากผม
“รอแป๊บนะ มึงจะเข้าไปไหม” พี่ท็อปถาม ยังคงทำหน้านิ่ง
“ผมไม่ปวดอะ” ผมบอกระหว่างที่รอพี่ท็อปจัดการธุระไอ้คิวก็สะกิดแขนผมแรงๆ
“อะไร” ผมมองมัน ไอ้คิวหันหน้าไปหากลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากผมนัก
“ไอ้โจ้ไง...” ผมแปลกใจก่อนจะมองไปที่กลุ่มวัยรุ่นพวกนั้น เอาตรงๆ ผมจำหน้ามันไม่ได้ แต่หนึ่งในจำนวนนั้นมีคนที่สะดุดตาผมอยู่ ก็คงเป็นไอ้โจ้ ตัวสูง ผิวขาวเหลือง หน้าตาแปลกไปจากเดิม
“ได้ข่าวว่ามันไปทำดั้งมาด้วยนะเว้ย” ไอ้คิวกระซิบ ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ไม่อยากมองมันมากเดี๋ยวหาว่าผมเล่นหูเล่นตาใส่ ผมกอดอกกระดิกนิ้วรอพี่ท็อปออกมา ภาวนาอย่าให้มันเดินมาหาผม แต่หางตาลิบๆ บ่งบอกว่ามันกำลังเดินมาหาผม ไอ้คิวกระแทกไหล่ผมเบาๆ
“ไม่คิดจะทักเลยเหรอ” นั่นไง ผมหันไปมองทางต้นเสียง ไอ้โจ้มาคนเดียวมันยืนมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
“กูจำมึงไม่ได้ไง” ผมบอก ไอ้คิวส่งยิ้มให้มัน
“จริงเหรอ แล้วแฟนมึงไปไหนวะ” มันทำเป็นมองหาพี่ท็อป ยืนอยู่หน้าห้องน้ำแท้ๆ มึงจะมองหาอะไรอีก 
“เข้าห้องน้ำ ...แล้วมึงให้เด็กมาตามกูทำไมวะ” ผมถามมันตรงๆ ไอ้โจ้ไหวไหล่แล้วยิ้ม
“แค่อยากรู้ว่ามึงไปไหน ทำอะไรบ้าง ทำไม โกรธเหรอ” มันพูดแล้วถอนหายใจ
“มีอะไรรึเปล่า” ผมถามมัน
“อยากคุยด้วยหน่อย...” ไอ้โจ้พูด มันมองไอ้คิวนิ่งๆ ระหว่างนั้นพี่ท็อปออกมาพอดี เจ้าตัวชะงักไปนิดหน่อยเมื่อเห็นคนแปลกหน้าจากนั้นก็ทำหน้าเหมือนจะรู้ว่ามันคือใคร พี่ท็อปเดินมาหาผมโดยไม่สนใจไอ้โจ้
“ไปหรือยัง” พี่ท็อปพูดกับผม
“อืม...กูไปล่ะนะ” ผมหันไปพูดกับไอ้โจ้ รู้สึกเหมือนน้ำลายเหนียวขึ้นมาซะอย่างนั้น 
“อ้าว อยู่คุยก่อนดิไม่เจอตั้งนาน ขอเวลาคุยด้วยหน่อยได้ไหม” คราวนี้มันกล้าหันไปพูดกับพี่ท็อปแทน ผมล่ะหวั่นว่าพี่ท็อปจะตบมันไหมเพราะดูเจ้าตัวนิ่งจนน่ากลัว
“อยากคุยก็คุย” พี่ท็อปถอนหายใจเซ็งๆ ก่อนจะหันมากระซิบกับผม“นั่นน่ะเหรอเมียเก่า” ก่อนจะหยิกแขนผมแรงๆ พร้อมกับดันหลังผมไปหาไอ้โจ้ด้วย
โห ประชดแรงเชียว
“มีอะไรอะ มึงก็เห็นกูมากับแฟน”
“เออ เห็น แต่ไม่ยักรู้ว่ามึงสนใจเรื่องนี้ด้วย ทีเมื่อก่อนกูมีแฟนอยู่แล้วมึงยังมายุ่งกับกูเลย” ไอ้โจ้พูดอย่างดึงดันมันทำหน้าเหมือนผมเป็นแฟนมันยังไงยังงั้น ผมถอนหายใจ
“นั่นมันเมื่อก่อนไง ตอนนี้กูโตแล้วอะไรๆ ก็ต้องเปลี่ยน” ผมบอกมันให้เข้าใจทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาอธิบายเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ถึงจะยอมรับว่ามันหน้าตาดี มีน้ำมีนวลขึ้นมากแต่ผมก็ไม่ได้สนใจมันมากไปกว่านั้นแล้ว
“ไม่ใช่ว่าเพราะเกรงใจแฟนมึงหรอกนะ ถ้าแฟนมึงไม่อยู่มึงจะมากับกูไหมล่ะ” มันพูดก่อนจะเหลือบมองพี่ท็อปที่อยู่ทางด้านหลังด้วยสายตาเชือดเฉือน ท่าทางมันดูมั่นใจว่าผมต้องมากับมันแน่ๆ และประเด็นไม่ได้อยู่ที่พี่ท็อปจะมาด้วยไหม
“ต่อให้กูมีแฟนมาด้วยหรือไม่มียังไงกูก็ไม่ไปกับมึงอยู่ดี มึงเข้าใจนะ”
“ก็กูไม่ได้เจอมึงตั้งหลายปีอะ ...ถ้างั้นกูขอเบอร์มึงหน่อยดิ” มันไม่สนใจที่ผมพูดเลยหรือไงกัน มันยื่นโทรศัพท์มาให้ผม ตอนแรกผมจะเดินหนีมันไปแล้วแต่พี่ท็อปเดินเข้ามาหาผมก่อนจะพูดกับไอ้โจ้ด้วยสีหน้ากวนๆ
“ไม่ให้มีอะไรไหมวะ” ไม่ใช่แค่นั้นพี่ท็อปปัดโทรศัพท์ไอ้โจ้หล่นลงพื้น ดีนะที่ไม่กระจาย มันทำหน้าไม่พอใจก่อนจะก้มลงไปเก็บโทรศัพท์
“มึง...” ไม่ทันที่มันจะพูดได้จบ พี่ท็อปตัดบทมันซะก่อน
“ทำไมวะ มีปัญหาอะไร แล้วก็เลิกเซ้าซี้แฟนกูซะทีเห็นแล้วรำคาญตา”พี่ท็อปพูดเยาะเย้ย ก่อนจะดึงตัวผมให้ออกห่างจากไอ้โจ้
“นี่มึงกล้ากร่างขนาดนี้เลยเหรอ ท่าทางคงอยากมีเรื่องสินะ”ดูเหมือนไอ้โจ้ดูจะแค้นใจมาก ขณะเดียวกันไอ้คิววิ่งมาหาผมท่าทีตื่นตระหนก มันคงกลัวว่าจะมีเรื่องกัน ระหว่างนั้นเองพวกเด็กๆ ของไอ้โจ้ก็วิ่งเข้ามาหาพวกผมเตรียมที่จะรุม ผมไม่คิดว่ามันจะมีพวกเยอะ
“เฮ้ย อย่ามีเรื่องเลยน่าไอ้โจ้” ไอ้คิวทำหน้าตาตื่น มันกวาดสายตามองพวกเด็กๆของไอ้โจ้อย่างระแวงก่อนจะหยิบโทรศัพท์กดหาอะไรสักอย่าง
“ใครล่ะที่ปากดีก่อน”คู่กรณีว่า สายตามันจับจ้องไปที่พี่ท็อปเขม็งแบบเอาเป็นเอาตาย“กูไม่อยากจะมีเรื่องกับมึงหรอกนะสอง แต่ดูแฟนมึงดิ ปากดีเอง”
“เอาสิวะ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกมึงจะดีแต่ปากหรือเปล่า” พี่ท็อปดูท่าทางจะเอาจริง ถ้าห้ามคงเอาไม่อยู่ ผมเองก็ไม่อยากมีเรื่องในเวลาแบบนี้หรอก อีกอย่างพวกมันมีเยอะกว่า จะมีอาวุธอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้
“พอเหอะน่าไอ้โจ้... มึงก็รู้ถ้ากูเอาจริงขึ้นมากูไม่ไว้หน้าใครเหมือนกัน” ผมพูด เอาเข้าจริง ผมไม่นักเลงพอที่จะมีเรื่องกับพวกมันหรอก แต่ถ้าหลังจากนั้นค่อยว่ากัน
“ดูแฟนมึงสิ ปากแบบนี้เป็นมึงจะปล่อยไว้หรือเปล่าล่ะ”ไอ้โจ้โวยวาย มันหันไปมองเด็กๆ มันคล้ายจะออกคำสั่ง งานนี้มันต้องมีเจ็บตัวจริงๆ สินะ ผมกับพี่ท็อปคอยดูท่าทีของพวกมันอย่างระมัดระวัง
“พี่โจ้ พี่โจ้” ไม่ทันไรเสียงวิ่งพร้อมกับร่างหนาๆ ของวัยรุ่นชายอายุไล่ๆ กับพวกนี้วิ่งเข้ามาหาไอ้โจ้ หอบแฮก “อะไร” ไอ้โจ้ไม่สบอารมณ์ที่มีคนขัดจังหวะ
“เอ่อ พี่นาคให้มาตามพี่ด่วนเลย”เด็กคนนั้นตอบ ผมไม่รู้ว่าคนชื่อนาคเป็นใครแต่มันทำให้ไอ้โจ้หน้าเสียไปเลย แถมพวกมันก็ยอมถอยไปง่ายๆ ไม่พูดอะไรสักคำ ไอ้โจ้จ้องหน้าพี่ท็อปก่อนจะจากไปเงียบๆ
“เฮ้อ เกือบมีเรื่องเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เรื่องไม่เป็นเรื่องเหรอ” พี่ท็อปหันมามองหน้าผมแบบเอาเรื่อง ทำเอาผมตั้งตัวไม่ทัน ไอ้คิวยิ้มก่อนจะแทรกขึ้นมา
“สงสัยไอ้เต็งมันช่วยแหงๆ เพราะกูส่งข้อความไปหามันเมื่อครู่ก่อนนี่เอง” ไอ้คิวบอก สีหน้ามันดีขึ้นกว่าเดิมมาก คงกลัวว่าจะมีเรื่องกันจริงๆ
“จะไปต่อที่ไหนดีพี่”ผมถามพี่ท็อป เพื่อเป็นหัวข้อสนทนา อีกฝ่ายเหลียวมองผมด้วยสายตาดุดัน
“ยังจะมาหน้าระรื่นอีก”ผมไหวไหล่ ขณะนั้นไอ้คิวเลยค่อยๆพูดขึ้นมา “เออ งั้นก็ขอแยกไปหาเพื่อนตอนนี้เลยนะ”
“อ้าว ...งั้นโอเค โชคดี ขอให้สนุกนะมึง”ผมพูด เอื้อมไปตบไหล่มันเป็นการส่งท้าย “ไว้เจอกันคราวหน้านะ”ไอ้คิวส่งยิ้มให้พี่ท็อปก่อนจะเดินหายเข้าไปในงาน ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
“กูได้ยินมาว่าตอนนั้นมึงเป็นคนจีบมันก่อนเหรอ” พี่ท็อปวกมาเรื่องไอ้โจ้ต่อ ผมจับแขนอีกฝ่ายให้เดินออกจากบริเวณหน้าห้องน้ำ เพื่อเดินเข้าไปในโซนงานต่อ 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Deen diary บทที่ 5 ปล่อยวาง
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 30-01-2016 13:32:13
Deen diary
บทที่ 5 ปล่อยวาง

  เมื่อออกมาที่หน้าร้านพี่อาร์ตกับผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้วแต่ผมไม่ได้ถามอะไรให้วุ่นวาย คงเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่กัสล่ะมั้ง ไม่อยากก้าวก่ายมาก นี่อาจเป็นเหตุผลที่พี่กัสหายตัวไปเงียบๆ ไม่ติดต่อมา ระหว่างทางที่พี่กัสขับรถไปส่งผมที่หอพักเจ้าตัวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก จนกระทั่งมาถึงที่หน้าหอพัก
“ยื่นจบเมื่อไหร่บอกกูด้วยนะ เดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงเต็มที่เลย” พี่กัสพูดเหมือนชวนคุยทำลายความเงียบ
“ได้พี่ อีกไม่กี่เดือนหรอก” ผมบอก
“แล้วถ้าอยากมาหาก็แวะมาได้นะเว้ย” พี่กัสบอกทิ้งท้าย
“ครับพี่” ผมส่งยิ้มให้พี่กัสมองรถที่ขับออกไปตามทางแล้วก็ถอนใจ
เมื่อเข้ามาในห้องพักของตัวเองแล้วก็รู้สึกล้าอย่างประหลาดเลยเดินออกไปสูบบุหรี่นอกระเบียงให้สมองโล่ง อยากปลดปล่อยความอึดอัด ความกังวล ออกจากหัวไปให้หมด ใจจริงอยากไปนั่งรถเล่นตอนกลางคืนคงสดชื่นสมองโล่งน่าดู แต่ไปคนเดียวก็ไม่น่าสนุก
ตืด ตืด ตืด
เป็นเบอร์แปลก ผมลังเลว่ากดรับสายดีหรือไม่ ถ้าไม่ได้เมมชื่อไว้คงเป็นคนไม่รู้จัก เพราะเพื่อนในสาขาก็เมมไว้หมด น้อยคนที่สนิทๆ จะใช้เบอร์อื่นโทรมาเพราะรู้จักนิสัยผมดี แต่คราวนี้มีลางสังหรณ์ชอบกลเลยจำใจกดรับสาย
“ฮัลโหล”
[…] ปลายสายเงียบได้ยินแต่เสียงหายใจแผ่วๆ พวกโรคจิตหรือเปล่าวะเนี่ย
“ไม่พูดจะวางแล้วนะ” ผมบอกเสียงดัง
[กูเอง] ปลายสายเอ่ยขึ้นมา ผมชะงักค้าง คิ้วขมวดทันที น้ำเสียงทุ้มฟังแล้วไม่ต้องเค้นสมองคิด ผมแปลกใจว่ามันมีเบอร์ของผม
“มึงโทรมาทำไม” ผมถาม โจทก์เก่าคนเดียวของผมเนี่ยแหละ
[ก็แค่โทรมา] อีกฝ่ายตอบอย่างยียวน
“งั้นกูวาง” ผมถอนหายใจก่อนจะตอบกลับไปห้วนๆ
[เดี๋ยว...] ผมเงียบรอให้มันพูดเอง
[กูไม่ได้บอกอาจารย์นะ อาจารย์แกรู้เรื่องเอง] ที่แท้ก็เรื่องนี้ อันที่จริงผมไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจด้วยซ้ำ
“อ๋อเหรอ”
[ถามจริงๆ เถอะ มึงไม่เหนื่อยบ้างเหรอวะที่ต้องตั้งแง่กับกูแบบนี้]
“...” ผมหมดคำพูดกับมันแล้ว อยากพูดอะไรก็เชิญ
[กูแค่อยากคุยดีๆ กับมึง] แต่ที่ไอ้แกนพูดมาคราวนี้ทำเอาผมฉุนกึก บางครั้งผมก็สงสัยว่าทำไมต้องเป็นตอนนี้ ในช่วงเวลานี้ เหมือนรอเวลา
“ทำไมวะ กูไม่เข้าใจ”
[กูไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้หรอก กูรู้สึกผิดเรื่องมึงมานาน แต่มึงไม่ให้โอกาสกูได้ขอโทษมึงไม่ใช่เหรอ]
“มึงจะให้กูเปลี่ยนปุบปับไม่ได้หรอก”
[ปีหน้ามึงก็จะจบแล้วแต่กูยังอยู่] มันพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน ขณะเดียวกันผมก็คิดอะไรไม่ออก
“...”
[กูมีเวลาอีกเยอะ แต่อยู่ที่มึง]
“มึงต้องการอะไร” ถามแบบนี้จะง่ายกว่าที่จะได้คำตอบ
[ถ้ามึงอยากเริ่มต้นเป็นเพื่อนใครสักคนจริงๆ] ผมไม่คิดว่าจะได้ยินมันพูดแบบนี้อีก เหลือเชื่อนิดหน่อยที่มันโทรมาเพราะเรื่องนี้น่ะเหรอ
“มึงน่ะเหรอ” ผมหัวเราะแบบไร้อารมณ์ขัน
[ใช่ กูพูดตรงๆ กูเบื่อที่ต้องทะเลาะกับมึงแล้ว กูไม่อยากให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้ มึงก็รู้ดี]
“ขอเวลากูก่อน กูมีเรื่องต้องคิดเยอะแยะ”
[มันต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเชียว ถ้ามึงคิดจริงๆ จังๆ น่ะนะพรุ่งนี้กูอาจจะได้คำตอบ] มันวางสายไปก่อนที่ผมจะสาปส่งมันได้ทัน ไอ้แกนเป็นบ้าอะไรของมัน ผมไม่คิดว่ามันจะพูดอะไรแบบนี้
ผมกลับเข้ามาในห้องรู้สึกเคว้งแปลกๆ กับคำพูดของไอ้แกน ในเวลานี้ตัวผมเองก็ไม่แน่ใจว่ายังคงเกลียดมันอยู่หรือเปล่าแต่มันน้อยลงกว่าเดิมมาก มากจนผมอดคิดไม่ได้ว่า
‘จะเป็นเพื่อนกับมันได้ไหมนะ?’
ผมไม่แน่ใจกับอะไรทั้งนั้น ทั้งเรื่องพี่กัส เรื่องไอ้แกน ถ้าคิดแบบไร้ซึ่งอคติผมเองก็มีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว

หลังจากวันที่ไอ้แกนโทรมาในคืนนั้นผมต้องยอมรับว่าความโกรธอคติของผมมันลดลง ในเมื่อมันกล้าหน้าหนาขนาดนี้แล้วผมก็จะมีคำตอบให้มัน ผมกลับมาทำงานที่คณะตามปกติหรือไม่ก็นั่งเล่นเอื่อยเฉื่อยเพราะทั้งเทอมมีลงทะเบียนเรียนแค่ตัวเดียว เวลาว่างเลยเยอะ บางครั้งพวกไอ้ต๊ะก็ชวนผมไปทำกิจกรรมข้างนอกบ้าง อย่างเช่น ค่ายสอนน้องร่วมกับสถาปัตย์ แต่ไม่ได้ลงไปช่วยแบบจริงจัง ผมชอบไปนั่งเพ้นท์รูปที่ดาดฟ้าเพราะว่าเงียบสงบดี ส่วนใหญ่คนที่ขึ้นมาบนนี้ก็มาหาความสงบ บางคนมาถ่ายรูป นั่งเล่น วาดรูป ระหว่างนั้นเองผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่ตรงมาทางผมแต่ไม่ได้หันไปดู เดาได้จากจังหวะการเดินถ้าเป็นเพื่อนๆ ผมคงเดินเร็วกว่านี้เพื่อเข้ามาหาผม
“เป็นไงบ้าง” ไอ้แกนเอ่ยขึ้น มีเสียงกรอบแกรบของถุงของที่มันถือมาด้วยดึงความสนใจผมได้ดี ผมหันไปมองมัน มันยืนอยู่เยื้องไปจากที่ผมนั่งอยู่ไม่ไกล ในมือมันถือถุงขนาดเท่ากระดาษเอสี่ที่ผมไม่รู้ว่าคืออะไร
“ก็เรื่อยๆ”
“บางครั้งกูก็เข้าไม่ถึงมึง ไม่รู้ว่ามึงจะเกลียดขี้หน้ากูหรือจะอยากเป็นมิตรกัน” ไอ้แกนเดินมาหาผม
“เพราะกูไม่อยากให้มึงมารู้จักกูไง มึงจะมาเอาคำตอบเหรอ” ผมถามน้ำเสียงเป็นมิตรขึ้นกว่าแต่ก่อน
“อือ ก็มีส่วน” มันไม่รอให้ผมอนุญาต นั่งลงบนพื้นถัดไปจากผม ทิ้งระยะห่างไว้พอประมาณ ผมเก็บพู่กันใส่กล่องเพราะคงไม่มีอารมณ์วาดต่อ
“ถ้ามึงจบแล้วจะไปทำอะไร” ผมถามมันทั้งที่ไม่ได้อยากรู้
“มันตั้งปีหน้านู่นกว่ากูจะยื่นจบได้ กูคงออกไปหาประสบการณ์ก่อนแล้วค่อยทำงาน” มันพูด
“ก็ดี” ผมกำลังจะยื่นจบสิ้นเทอมนี้แล้วไปฝึกงาน ผมยังคิดไม่ออกว่าอยากทำงานที่ไหนหรือว่าควรเรียนต่อ
“มึงโอเคแล้วหรือยัง” อยู่ๆ มันก็ถามออกมา ผมหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ โอเคไม่โอเคอะไร มันมองหน้าผมอย่างไม่ลดละ
“หมายถึงอะไร”
“ก็...ทุกเรื่อง” ไม่รู้ว่ามันจะมาใส่ใจอะไรผมมากมายนัก ผมถอนหายใจ
“มึงจะอยากรู้ไปทำไม”
“กูไม่อยากให้มึงเดินทางผิด มึงใกล้จะจบแล้ว ที่กูถามเพราะว่ากูเป็นห่วง” คำพูดของมันทำให้ผมหัวเราะออกมาแต่มันไม่มีอะไรขำ
“มึงเนี่ยนะ พูดออกมามึงคิดดีแล้วใช่ไหม กูรู้สึกแหยงๆ”
“กูห่วงแบบเพื่อน” มันพูดน้ำเสียงจริงจัง ผมเงียบไป
“กูรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่” ผมบอกก่อนจะเก็บกระดานสเก็ตช์ใส่กระเป๋าใบใหญ่ให้เรียบร้อย
“อืม แบบนั้นก็ดี” อีกฝ่ายตอบ หันมองผมไม่ละสายตา
“มีเรื่องอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า กูจะลงไปด้านล่างแล้ว” ผมมองไปที่ไอ้แกนที่นั่งคิดอะไรสักอย่างท่าทางเคร่งเครียด
“กูอยากให้มึงลดทิฐิลงให้มากๆ มองที่ความเป็นจริง”
“เออ กูก็ลดแล้วนี่ไง” ผมบอก การที่ผมอยู่คุยกับอีกฝ่ายนานขนาดนี้ ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดี
“กูจะจับตาดูมึง” ไอ้แกนลุกขึ้นยืนแล้วจ้องหน้าผม มันทำท่าอย่างกับเป็นผู้ปกครองผมอะไรแบบนั้น
“ด้วยเรื่องอะไร”
“มึงมีความผิดติดตัวอยู่นะ คิดให้ดีสิ” ผมรู้ว่ามันพูดจริง ใครๆ ก็พูดว่ามันเป็นคนจริงใจกับเพื่อนฝูง ผมสะพายกระเป๋าแล้วเดินลงไปด้านล่างโดยไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง แค่นี้ก็มากพอแล้วที่ผมสามารถชนะความรู้สึกของตัวเองได้
ตืด ตืด ตืด
‘พี่ตอง’ ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าใครโทรเข้ามา
“ว่าไงพี่”
[เออ มึงว่างหรือเปล่าวะ] อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ว่างพี่ มีอะไรหรือเปล่า” ผมตอบ พลางนึกสงสัยว่าที่อีกฝ่ายโทรมาเกี่ยวข้องอะไรกับพี่กัสหรือเปล่า และก็คิดไม่ผิดจริงๆด้วย
[มึงไปร้านไอ้กัสมาเหรอวะ]
“ครับ หลายวันแล้ว ทำไมครับ” ผมพูด ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดี
[…อ่อ เปล่า กูแค่นึกว่ามึงจะรู้]
“รู้อะไร” ผมถามกลับอย่างรวดเร็ว
[เรื่องไอ้กัสไง ที่จริงก็ไม่อยากปิดบังมึงนะแต่กูกลัวว่าจะมีปัญหาขึ้นอีก] เสียงพี่ตองดูจริงจังมากจนผมอดกังวลไปด้วยไม่ได้
“มีเรื่องอะไรกันแน่พี่”
[มึงมาหากูที่บ้านดีกว่า โอเคไหม]
“ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมไปหา” ผมบอกจากนั้นสายก็ตัดไป ผมรู้สึกไม่ค่อยดีมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับพี่กัสเต็มๆ ผมหวนนึกไปถึงวันที่ผมไปร้านของพี่แก ผมพยายามไม่ปะติดปะต่อเรื่องเองเพราะกลัวใจของตัวเองมากกว่า ผมไม่ชอบที่รู้สึกแบบนี้เลย

ผมขี่รถไปหาพี่ตองในเมือง คิดไม่ตกเรื่องพี่กัส ดีเหมือนกันจะได้รู้เรื่องกันไปเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อมาถึงบ้านพี่ตองผมเคาะประตูสองสามครั้งเจ้าของบ้านก็เปิดประตูให้ผมเข้าไป
“มาเร็วดี ตามมา” พี่ตองบอกก่อนจะเดินนำไปที่ห้องเดิมที่ผมเคยมาค้างที่นี่ แสดงว่าข้าวของของพี่กัสยังอยู่ที่นี่งั้นเหรอ
“พี่กัสยังอยู่บ้านพี่เหรอ นึกว่านอนที่ร้าน” ผมถามงงๆ พี่ตองแค่ไหวไหล่ก่อนจะหยิบอัลบั้มรูปออกมาจากลิ้นชักตู้
“ตอนแรกแค่มานอนสองสามวัน แต่คราวนี้มีเรื่องนิดหน่อยมันเลยต้องมานอนบ้านกูไง” พี่ตองบอกก่อนจะลากเก้าอี้มาให้ผมนั่ง “ที่จริงไอ้กัสมันไม่อยากให้มึงมาสนใจเรื่องนี้หรอก คงกลัวมึงเสียใจล่ะมั้ง” พี่ตองยื่นอัลบั้มรูปมาให้ผมดู
ในนั้นมีรูปพี่กัสสมัยเรียนม.ปลาย เปิดไปเรื่อยๆ ก็เจอรูปถ่ายเด็กทารกผู้หญิงวัยเรียงตามอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนจนกระทั่งสี่ขวบ ผมเดาได้แล้วว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นใคร ยิ่งรูปสุดท้ายทั้งจมูกและดวงตาเหมือนกับพี่กัสเลย
“ลูกพี่กัสเหรอ” ผมถามเบาๆ เหมือนคนคอแห้ง พี่ตองพยักหน้า
“อือ มันมีลูกตอนยังเด็กๆ ตามประสาวัยรุ่น พวกเรามันโง่เง่า มึงน่าจะรู้จักกลุ่มพวกกู ตอนที่เจอมึงแรกๆ กูไม่คิดนะว่าจะสนิทกันมาขนาดนี้ ก็เห็นมึงกับไอ้กัสเข้ากันได้ดี” พี่ตองพูดเรื่อยๆ
“แล้วยังไงต่อ พี่กัสมีลูกแล้ว?” ผมถามต่อ
“ช่วงที่มึงกำลังสอบเข้ามหาลัยไง ไอ้กัสมันหายหัวไปเพราะว่าฝ่ายหญิงอยากให้รับผิดชอบ อันที่จริงมันจ่ายแค่ค่าเลี้ยงดูอย่างเดียวแต่พ่อแม่เขาคงไม่พอใจที่มันเองก็ไม่ทำงานทำการเป็นหลักเป็นแหล่งเลยจะให้มันแต่งกับผู้หญิงคนนั้น มันก็เลยกะว่าจะหนี”
ผมฟังแล้วไม่นึกว่าพี่กัสจะทำแบบนั้นได้ แต่นิสัยของพี่กัสไม่ชอบการผูกมัด ชอบความอิสระอะไรทำนองนั้น
“มันทำผิดนะอันนี้กูก็รู้ ที่จริงมันไม่อยากให้มึงรู้เพราะกลัวมึงเสียกำลังใจ มันคงรู้ล่ะมั้งว่ามึงคิดอะไรอยู่ ไอ้กัสคงบอกมึงไปแล้วว่ามันก็ชอบๆ มึงบ้าง ตอนมันย้ายหนีไปมันไม่ได้บอกกูนะ กูมารู้ทีหลัง” พี่ตองเล่าเรื่องราวที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน พี่กัสแค่อยากหนีไปตั้งหลักเพราะไม่อยากแต่งงาน ส่วนเรื่องลูกพี่กัสพลาดไปทำผู้หญิงท้องตอนอายุยี่สิบปลายๆ แต่แยกกันอยู่ ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนักเพราะพี่ตองไม่ได้เล่า
พี่กัสก็ทำตัวอย่างที่เห็น ไม่ได้ทำงานจริงๆ จังๆ แต่ส่งเงินไปเป็นค่าเลี้ยงดูลูกและแม่เด็ก ส่วนเรื่องเดินทางไปฟิลิปปินส์นั่นหลังเคลียร์กันได้ คงแต่งงานกันไปแล้วเพราะไม่ได้ไปคนเดียวคงไปเป็นครอบครัว
“ไม่เห็นพี่กัสต้องปิดเลยนี่” รู้สึกแย่นิดหน่อยที่พี่กัสไม่ยอมบอกอะไร ถ้าหากว่าคืนนั้นเรื่องระหว่างผมกับพี่กัสเกิดไม่ได้จบลงแบบนั้นมันคงกลายเป็นเรื่องแย่ๆ
“มันคงไม่อยากให้มึงรู้” พี่ตองตอบสั้น ๆ ผมไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดนัก
“ทำไมล่ะก็ในเมื่อ...” ถึงพี่กัสไม่มีลูก ไม่แต่งงานไปซะก่อน ผมก็ไม่คิดว่าพี่กัสจะมาชอบผมแบบจริงๆ จังๆ แน่นอน ถึงพี่กัสจะทำตัวดีกับผมแต่ก็มีบางมุมที่ทำตัวแย่ๆ
“ที่จริงมันมีหอพักอยู่ใกล้มอมึงด้วยแต่ไม่ได้พักเอง ให้เมียกับลูกมัน” พี่ตองพูดขึ้นมา ถึงว่าพี่กัสมาธุระแถวมหา’ลัยผมได้เพราะแบบนี้นี่เอง
“แล้วทำไมพี่ต้องบอกผมด้วยล่ะ อันที่จริงผมกับพี่กัสไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว” ผมบอกไปตามตรง
“เผื่อเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาไง ตอนนี้ไอ้กัสมันกำลังมีปัญหากับเมียมันอยู่ มันไม่ค่อยกลับไปเยี่ยมลูกมันเพราะเรื่องงานนี่แหละ นึกออกไหม” พี่กัสมักหมกมุ่นกับสิ่งที่ทำเสมอ
“อีกเรื่องนึงกูกลัวว่าเมียมันจะเข้าใจมึงผิดๆ เพราะเขาก็รู้ว่าไอ้กัสมันชอบมึง”
“ก็แค่ชอบ” ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าไอ้คำว่าชอบของพี่กัสมันมากขนาดไหน ชอบแบบไหน เพราะพี่กัสไม่เคยมีท่าทีในเชิงนั้นกับผมด้วยซ้ำ ถ้าไม่นับเรื่องในวันนั้น และผมก็ไม่ชอบที่พี่กัสทำตัวแบบนั้นด้วย
“กูคิดว่าบอกให้มึงเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นจะดีกว่า ที่จริงไอ้กัสมันใส่ใจมึงมากกว่าที่มึงคิดนะ ตอนมันหายหัวไปมันก็ฝากให้กูดูๆ มึงไว้และคอยรายงานมันตลอด”
“เหรอ... คิดว่าผมจะดีใจหรือไง”
“หึ ถ้าอยากรู้จากปากมันก็ไปหามันเองแล้วถามมันไปตรงๆ จะได้จบๆ” พี่ตองเก็บอัลบั้มรูปไว้ที่เดิม ผมแค่นิ่ง ผมกลัวคำตอบจากปากพี่กัสมากกว่า
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน” ผมบอกก่อนจะลุกเดินออกจากห้องแคบๆ
“ตามใจ ถ้ามึงอยากรู้อะไรก็ไปที่หอพักนี่” พี่ตองเขียนชื่อหอพักมาให้ผม “มึงน่าจะรู้จักอยู่แล้ว” ผมรับมาอ่าน เป็นหอพักเงียบๆ อยู่คนละฝั่งกับหอพักของผมเลย
“รู้จักสิพี่ ผมกลับล่ะนะ” ผมบอกก่อนจะเดินกลับไปที่รถ ในหัวผมตีกันไปหมด พี่กัสไม่เหนื่อยบ้างเหรอไงที่ต้องเทียวไปเทียวมาอยู่แบบนี้ หอพักนี่คุ้นๆ ว่าไอ้สองก็อยู่ ทำเอาผมไม่อยากย่างกายไปที่นั่นเลย เผื่อไปเจอทั้งไอ้ท็อปไอ้สองพี่กัสอีกผมจะทำหน้ายังไง

ผมขี่รถกลับมาแถวมหาลัยอีกครั้งเลยแวะซื้อของทำงานเพิ่มเพราะไม่อย่างเสียเที่ยวเปลืองน้ำมันไปกลับตัวเมืองเปล่าๆ ผมชั่งใจว่าจะไปที่หอพักนั่นดีไหม แล้วผมจะไปเพื่ออะไร... ไปเพื่อให้เห็นกับตาแล้วผมจะได้อะไร จะรู้สึกอะไรไหม ผมอยากรู้ว่าตัวเองจะเป็นยังไงที่เฝ้าบอกว่าไม่ได้ชอบพี่กัสมากมายขนาดนั้น
ผมขี่รถไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ถึงไม่ค่อยได้แวะมาแถวนี้บ่อยๆ เพราะอยู่เกือบๆ ท้ายซอยเลย ผมแวะมาจอดรถที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าหอพักไม่กล้าไปใกล้ แต่ไม่เห็นรถของพี่กัสเลย ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาพี่กัส แค่อยากคุยด้วยก็เท่านั้น
[ว่าไงดีน]
“พี่ว่างคุยไหมครับ”
[กูไม่ค่อยสะดวกว่ะ ขับรถอยู่] ปลายสายตอบกลับมา
“โอเค ไว้พี่โทรกลับมานะ” ผมบอก
[ได้ๆ] จากนั้นก็วางสายไป ผมแค่อยากรู้ว่าไม่เห็นต้องปิดเรื่องนี้เลย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ผ่านไปสิบนาทีกว่ารถเก๋งคุ้นตาก็ขับเลี้ยวเข้ามายังทางเข้าหอพัก แน่นอนว่าเป็นรถของพี่กัส รถคันดังกล่าวชะลอจอด เจ้าตัวคงเห็นผมกระจกรถเลื่อนลง พี่กัสไม่ได้มาคนเดียวแน่นอนว่ามาพร้อมกับเมียและลูกของพี่แก
“มาทำอะไรที่นี่”
“มาหาพี่นั่นแหละ” ผมบอก พี่กัสหันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ
“มีอะไรหรือเปล่าคือ...”
“เปล่าหรอก ตอนแรกกะว่าจะมาคุยอะไรด้วยซะหน่อยแต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วพี่ งั้นผมไปก่อนนะ” ผมรีบพูดเพราะทำให้พี่กัสเสียเวลามากกว่า ผมเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซด์ของตัวเองก่อนจะสตาร์ทแล้วขี่ออกไปให้พ้นสายตาของพี่กัส
ที่จริงก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยเพราะผมรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับอะไร และที่สำคัญคือผมกับพี่กัสไม่ได้เป็นอะไรกัน ด้วยแต่ลึกๆ ก็ต้องยอมรับว่าเสียใจ อาจเป็นเพราะผมคาดหวังในตัวพี่กัสมาตลอด ตั้งแต่สนิทกันมากขึ้นแล้วพี่กัสหายไปผมก็เคว้ง พยายามตามหา แต่เมื่อมาเจอกันอีกผมดีใจนะแล้วมันก็เป็นแบบนี้วนลูปไป ผมไม่แน่ใจว่าพี่กัสจะย้ายไปไหนอีกไหม แต่คงไม่หรอกเพราะเปิดร้านได้ไม่นานเอง แต่ถึงเรื่องมันจะเป็นแบบนั้นผมก็ยังคงเศร้าอยู่ลึกๆ โหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก ผมแค่อยากหาความสุขในชีวิตจริงๆ

มีสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึก ‘สุข’ ได้จริงๆ ก็คงเป็นแอลกอฮอล์ ผมเสพติดการดื่มเพื่อให้เมา พอเมา ผมรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่าง ความคิดที่น่าปวดหัวมันทำให้ผมเสพติดที่จะดื่มจนเมา เพื่อที่ตัวเองจะได้มีความสุขจอมปลอม อาจจะรวมไปถึงของมึนเมาแบบอื่น ถึงมันจะเป็นสิ่งไม่ดีก็ตาม ผมรู้ดีแก่ใจ แต่ก็ยังต้องพึ่งพามันแค่เล็กน้อย
เมื่อมีโอกาสไปสังสรรค์ผมก็เต็มที่ทุกครั้ง จะว่าไปแล้วชีวิตผมเปรียบเหมือนกราฟที่ผกผันอยู่ตลอด มันเคยดีมากๆ อยู่ช่วงหนึ่ง แต่มันกลับดิ่งลงมา และดูเหมือนว่ากราฟความสุขของผมจะไม่สามารถกลับไปพุ่งสูงเหมือนเดิมได้อีก

หลังจากที่แยกกับพี่กัส ผมเหมือนเบลอหนัก รู้สึกแย่ขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงยังรู้สึกห่วงหาอีกฝ่ายขนาดนี้ ผมไม่ได้รักพี่กัสมากขนาดนั้น แต่ลึกลงไปในใจกลับสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวพี่กัสไป เพราะอีกฝ่ายหายหน้าไป ผมบอกไม่ถูกหรอกว่าเสียใจเรื่องที่พี่กัสมีครอบครัวไปแล้วหรือเปล่า ผมไม่ได้หวังจะได้ครอบครองพี่กัสในเชิงนั้น การเป็นคนรัก ...เหมือนผมแค่ไม่อยากให้พี่กัสเปลี่ยนไปมากกว่า อย่างน้อยก็ควรเล่าให้ผมฟังบ้าง ให้ผมรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของอีกฝ่าย พอมาคิดดูอีกที ผมกลับคิดมากเกินไป...
หลังจากที่ไปดื่มเหล้าที่ร้านไอ้ตั้มคนเดียว ผมแค่อยากเมา เมาให้ลืมเรื่องทุกอย่างไปซะ ผมกลับมาที่หอพักในสภาพดูไม่ได้ เหม็นกลิ่นเหล้าไปหมด เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง ผมก็เจอไอ้แกนอีกแล้ว มันยืนรอยู่ อีกฝ่ายมองผมด้วยสายตาไม่พอใจ
“มีอะไร” ผมหมดอารมณ์ทะเลาะ ในตอนนี้ผมอยากอาบน้ำแล้วรีบเข้านอนซะ แต่ไอ้แกนไม่ขยับไปไหน
“ทำไมมึงยังทำตัวแบบนี้อีก” อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง น้ำเสียงไม่แดกดันอย่างที่คิดไว้ ผมนิ่ง
“ตอนนี้กูไม่มีอารมณ์มาทะเลาะกับมึง รีบๆ กลับไปเถอะ” ผมบอกมันห้วนๆ ก่อนจะไขกุญแจห้อง ไอ้แกนส่ายหน้า
“กูไม่ได้มาทะเลาะ ...” ไอ้แกนพูดน้ำเสียงอ่อนลงมา ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องมาพยายามกับผมมากขนาดนี้กัน
“อยากทำอะไรก็ทำ กูเหนื่อย” ผมพูด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป แน่นอนว่ามันต้องตามเข้ามา แต่ผมไม่สนใจอีกฝ่าย จากนั้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาเพื่อเตรียมอาบน้ำ
“เดี๋ยว—” มันเดินมาดักหน้าห้องน้ำ
“ไอ้แกน การที่กูไม่ไล่มึงไป ไม่ได้หมายความว่ามึงต้องมาวุ่นวายกับกู มึงเป็นอะไรขึ้นมาวะ ทำตัวบ้าๆ บอๆ”
“กูแค่สงสารมึงก็เท่านั้น กูไม่อยากให้มึงทำอะไรผิดๆ เหมือนกู หรือคนอื่นๆ กูไม่อยากเดาใจมึงหรอกนะ แต่มึงเป็นเพื่อนกับกูได้ แค่มึงระบายเรื่องหนักใจให้กูฟังก็เท่านั้น มึงจะเก็บไว้ทำไม” ไอ้แกนพูดด้วยน้ำเสียงปกติไม่ได้ใช้อารมณ์รุนแรง ผมนิ่งพยายามไม่ใส่ใจคำพูดของมัน
“ทำไม มึงจะมาสนใจอะไรกูหนักหนา ไม่ลำบากใจหรือตะขิดตะขวงใจบ้างเลยเหรอ” ผมอยากรู้ความคิดของมันจริงๆ ว่ามันรู้สึกนึกคิดอะไร
“มันอาจใช้เวลานานที่มึงจะไว้ใจกูได้ แต่ที่กูกำลังทำมันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ กูไม่อยากทะเลาะ กูอยากคืนดีกับมึง”
“หึ กูกับมึงเคยดีกันด้วยเหรอ อย่าใช้คำพูดแบบนี้นะกูไม่ชอบ” มันรู้สึกแปลกๆ
“โอเค แต่กูพูดจริงๆ มึงก็น่าจะรู้นิสัยของกูนะ” มันพูดอย่างสำคัญตัวเอง
“...”
“กูต้องจบช้าเพราะมึง เรื่องจะเป็นไงมาไงก็ตามแต่กูจะถือว่าเป็นความผิดมึง เพราะฉะนั้นกูมีเวลาเหลือเฟือเรื่องของมึงแล้วมึงก็ควรจะคิดเรื่องนี้ดีๆ มึงเป็นคนมีความคิด มันอาจต้องใช้เวลา”
“แค่นี้ใช่ไหม กูจะได้อาบน้ำ กูเสียเวลามานานแล้ว” ผมไม่ได้สนใจคำพูดของมันแต่กลับจำได้ขึ้นใจ ผมเดินเข้าห้องน้ำโดยไม่สนใจมันอีก ตามใจ อยากจะทำอะไรก็ทำ ผมจะไม่พยายามอะไรอีกแล้วเพราะมันเหนื่อย ผมแค่อยากพักทำใจให้สงบจะได้กลับมาเป็นผมคนเดิม
เมื่อผมออกมาจากห้องน้ำยังคงเจอไอ้แกนเดินไปมาอยู่ในห้อง ผมเลือกที่จะไม่สนใจมันแทนการโมโหมัน ผมเดินไปที่เตียงกะว่าจะนอนหลับเอาแรงเพราะไม่ไหว
“จะนอนเหรอ” มันถาม
“อือ มึงกลับไปได้แล้ว” ผมบอกห้วนๆ เพิ่งเห็นว่ามันถืออัลบั้มรูปของผมไว้ในมือ อัลบั้มที่พี่กัสให้ผม
“เนี่ยนะเหรอ คนที่ทำให้มึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้” ไอ้แกนไม่พูดเปล่า พลิกรูปไปมาอย่างสนใจ ผมเดินไปแย่งมาจากมือของมัน
“อย่ามาค้นของๆ กู” ผมบอกน้ำเสียงเด็ดขาด อีกฝ่ายไหวไหล่ทำเป็นไม่สะทกสะท้านอะไร
“กูเห็นมันวางอยู่ ไม่ได้ค้น”
“มึงกลับไปเหอะ กูอยากนอน” ผมบอกมันเป็นครั้งสุดท้ายเพราะกำลังจะหมดความอดทน
“ก็นอนไปสิ”
“กลับไปก่อน ให้กูคิดว่าจะเอายังไงกับมึง ถ้ามึงอยากรู้เรื่องของกูก็กลับไปได้แล้ว” ผมบอกมัน ไอ้แกนยืนนิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจ
“ตามใจ อยากทำอะไรก็ทำ มึงมีเบอร์กูแล้วโทรมาละกัน” อีกฝ่ายบอกนิ่งๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนล้า ผมหลับตาด้วยความเพลีย
ถึงเวลาที่ต้องทิ้งเรื่องเก่าๆ ให้มันจมลงพร้อมๆ กับความรู้สึกบ้าบอของผมเสียที
และให้ผมได้เริ่มต้นใหม่

หลังจากที่ไอ้แกนกลับออกไปผมถึงได้อยู่ในห้องอย่างสบายใจมากขึ้น ผมนอนคิดถึงคำพูดของไอ้แกนวนไปวนมา ถ้าให้เป็นเพื่อนคงจะอีกนานกว่าผมจะสนิทใจด้วย ถ้าแค่พูดคุยกันธรรมดาก็พอรับได้ แต่ไม่ต้องมาก้าวก่ายแบบที่มันทำอยู่ ผมคงสบายใจมากกว่านี้
ตืด ตืด  ตืด
ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูปรากฏว่าเป็นพี่กัสก็อดถอนหายใจยาวๆ ไม่ได้ ยังไงก็ต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่องไปเลย ผมเองก็ไม่อยากค้างคานัก
“ครับพี่” ผมกดรับสาย
[พี่ว่าเราต้องมาคุยกันหน่อย] พี่กัสพูดขึ้นมา 
“ตามใจพี่เลย” ผมตอบ ไม่คิดจะหลบเลี่ยงอยู่แล้ว
[เดี๋ยวแวะไปหานะ] อีกฝ่ายตอบกลับมา
“ได้สิครับ” ผมตอบตกลง ไม่อยากปล่อยผ่านไปนานเพราะมันเป็นผมเองนี่แหละที่จะแย่ หลังจากนั้นผมเลยมีแรงลุกจากเตียง แล้วมาเก็บกวาดห้องให้สะอาด ผมเดินผ่านกระจกหน้าตู้เสื้อผ้าก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสภาพตัวเอง
ทำไมต้องทำตัวเองให้แย่ขนาดนี้ด้วย...
ผมยกมือลูบหน้าลูบตาสัมผัสถึงความหยาบกร้านและสันกรามนิดหน่อย บ่งบอกว่าผมไม่ได้ดูแลตัวเองมานานเท่าไหร่แล้ว ผมกำลังทำร้ายตัวเองอยู่ชัดๆ ปล่อยตัวมาขนาดนี้ได้ยังไง นึกถึงคำพูดของไอ้สอง มันเป็นคนที่พูดชี้ทางผมได้ดี พอมานึกทบทวนตัวเองแล้ว คงมีแต่ผมที่เป็นฝ่ายอ่อนแอ เหมือนคนหลงทาง
พี่กัส ไอ้แกน ล้วนต่างมีทางของตัวเอง ในเวลานี้ผมเกลียดกระจกเงาที่สุด มันชอบสะท้อนในสิ่งที่ไม่อยากเห็น “ตัวตน” จริงๆ ของผมล่ะมั้ง อ่อนแอ ขี้แพ้ และเป็นคนโง่
ที่สำคัญ เวลามองกระจกทีไร ผมก็อดที่จะมองร่องรอยแห่งความโง่เง่าของตัวเอง ที่ครั้งนึงเคยสักชื่อของมันเอาไว้ เป็นเรื่องโง่ๆ ในวัยเด็ก ผมเอี้ยวตัวให้เห็นตัวอักษร GAN ตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่กันนะถึงได้สักชื่อของมันลงบนตัว แล้วเมื่อคืน อีกฝ่ายจะเห็นรอยสักของผมไหม หวังว่ามันจะไม่คิดไปไกล
ผมอาบน้ำโกนหนวดให้เกลี้ยงเกลาก่อนจะใช้โฟมล้างหน้าอีกรอบ ผมเคลียร์ห้องให้สะอาด ในใจอดคิดถึงพี่กัสไม่ได้ ตั้งแต่วันที่เจอพี่กัสก็เฝ้าถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วผมรู้สึกยังไงกับอีกฝ่ายกันแน่ แต่รู้สึก ‘รัก’ คงไม่มีทางเป็นไปได้

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP.27 +Deen diary #30.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 30-01-2016 14:00:12
 :mew5:   โธ่พี่กัสจะปิดทำไมว้า. จริงอย่างแกนว่าถ้าเป็นเพื่อนกันได้มันก็ดีจะได้เปิดอกคุยไปเลย
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP.27 +Deen diary #30.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 30-01-2016 14:29:48
นั่นไง ใช่จริงๆด้วย 5555555555
พี่หัสก็ไม่ควรจะปล่อยให้พี่ดีนค้างๆคาๆแบบนั้นนา...
แล้วแกนนี่คิดแค่เพื่อนเฉยๆ? แน่นะ 555555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP.27 +Deen diary #30.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 30-01-2016 18:18:58
ความจริงเราก็เข้าใจพี่กัสนะ อาจจะไม่อยากให้ดีนรู้สึกดีกับตัวเองน้อยลงเลยเลี่ยงที่จะไม่บอก
ความสัมพันธ์ของสองคนนี้เราพอเข้าใจ ความรักความชอบบางทีมันก็ไม่ใช่การครอบครอง มันอาจไม่ได้รู้สึกมากขนาดนั้น
ส่วนดีนกับแกนจริง ๆ ก็คงไม่ไปถึงไหนหรอก ถ้าเราเป็นดีนมันก็ยากจะก่อความรู้สึกใหม่กับคนที่เรารู้สึกเกลียดไปแล้ว สองคนนี้คงต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปแบบสโลว์ไลฟ์จริง ๆ เลย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP.27 +Deen diary #30.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 30-01-2016 19:16:07
เริ่มต้นใหม่ให้ได้นะพี่ดีน
ชีวิตแค่โดนทำร้าย :o12:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP.27 +Deen diary #30.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 30-01-2016 20:02:07
มันเป็นเรื่องของความคาดหวังกับการเสียความรู้สึก  เรื่องของกัสต่อให้ไม่ใช่เป็นไปในด้านชอบพาทางเพศแต่ดีนชอบกัสในระดับหนึ่ง ชื่นชม  พอกัสหายไปโดยที่ไม่มีการร่ำลามันทำให้บางส่วนในใจความรู้สึกของดีนหายไป  เหมือนไม่สำคัญแต่ก็ไม่ได้ไร้ความหมาย  ความรู้สึกนี้ติดอยู่กับดีนไม่ได้หายไปไหน เป็นส่วนที่ดีนไม่ชอบเพราะสลัดทิ้งไม่ได้  ดีนถึงต้องหันไปหาอบายมุขทั้งหลายเพื่อให้ตัวเองลืมหรือสามารถสลัดทิ้งไปได้ชั่วคราว 

ภาวะนี้ถ้าหากว่าไม่สามารถรักษาหรือขจัดไปได้ก็จะติดตามและสามารถขยายเป็นสิ่งอื่น   ในภาษาอังกฤษเรียกว่า melancholy 

กัสกับดีนต้องคุยกัน  ต้องเคลียร์เพราะไม่งั้นก็ไม่จบ จะเป็นภาวะติดพันไปแบบนี้  ทั้งสองคนสมควรจัดการให้มันจบ สร้าง closure  ให้กับตัวเอง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # UP.27 +Deen diary #30.01.59 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 06-02-2016 13:55:33
ตอนนี้ลุ้นยิมผิงที่สุดอะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 4
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 07-02-2016 00:14:23
 -ผิง-
ตอนที่ 5 เดทแรกแบบไม่ได้ตั้งใจ(ต่อ)

 หลังจากนั้นไอ้ยิมขับรถมาส่งผมที่หอพัก อย่างน้อยวันนี้ก็ได้ขยับความสัมพันธ์มาใกล้กันมากยิ่งขึ้น แม้ว่าผมยังมีความรู้สึกแปลกๆไม่ชินอยู่ก็ตาม จนกระทั่งไอ้ยิมขับรถมาถึงหน้าหอพัก
“กลับบ้านดีๆ นะ” ผมบอกมันก่อนจะลงจากรถ ไอ้ยิมยิ้ม “ฝันดีนะเว้ย” มันบอก ผมยิ้ม แต่ก่อนจะเดินเข้าตึก ผมยื่นหน้าเข้าไปในรถ
“เดี๋ยวสิ ไอ้ยิม”
“อะไร”
“เออ ยังไงก็ขอบใจนะเว้ย ตอนแรกไม่คิดว่าจะเจอพ่อกับแม่พร้อมกันเลย” ผมบอกรู้สึกขัดๆ เขินๆ อยู่บ้าง ไอ้ยิมพยักหน้า
“อืม ไม่เป็นไรหรอก สนุกดี อย่างน้อยก็มีเรื่องดีๆ เพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง”
“ฝันดีเว้ย” ผมบอกก่อนจะโบกมือบายบายให้มัน ก่อนจะกลับไปนอนที่ห้องแล้ว ปล่อยความคิดไปเรื่อยๆ
ผมกลับเข้ามาในห้องก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์เตรียมเข้านอน แต่กิจวัตรที่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เริ่มคุยๆ กับไอ้ยิม คือการคุยโทรศัพท์ ปกติผมไม่ชอบคุยนานๆ เพราะถ้าผมหมดมุกมันจะเดดแอร์ทันที ไอ้ยิมโทรมาแสดงว่าถึงบ้านมันเรียบร้อยแล้ว ผมคุยกับมันไม่นาน แค่สิบห้านาทีเพราะไม่ได้มีเรื่องให้คุยมาก ไอ้ยิมก็เงียบๆ หมดมุกง่ายอยู่แล้วตามนิสัยมัน
“วัฎจักรชีวิตกูรวนเพราะมึงเลยนะ เวลานี้กูควรอยู่คณะ”ผมนอนคุยอยู่บนเตียง ปกติไม่เคยคุยโทรศัพท์นานๆแบบนี้เลย 
[เปลี่ยนก็ดีแล้วจะหักโหมไปทำไม ชอบทำอะไรเกินตัวทั้งที่ไม่ใช่งานที่อาจารย์สั่งซะหน่อย] อีกฝ่ายพูดเสียงปราม ผมหัวเราะ
“โอเคๆ รู้แล้ว กลายเป็นว่าต้องมาคุยกับมึงนี่ไง” 
[หึๆ ไม่ชอบหรือไง] มันถามเสียงเรียบๆ
“อะไรมึง เตรียมนอนได้แล้ว ตื่นเช้าไม่ใช่เหรอ” ผมไม่ตอบอะไร เปลี่ยนเรื่องคุยแทน คนปลายสายเงียบไปก่อนจะเอ่ยขึ้น
[อืม งั้นกู๊ดไนท์นะ]
“อืม แล้วจะฝันถึง”ผมยิ้มเมื่อได้ยินมันพูด เลยแกล้งตอบไปเพื่อแกล้งอีกฝ่าย
[ฝันแบบไหน] ดูมันชอบลามมาเรื่องลามกจริงๆ
“เรื่องของกูเว้ย แค่นี้ บาย” ก่อนจะวางสายได้ยินเสียงมันหัวเราะแว่วๆ มาด้วย
หลังจากที่วางสายจากไอ้ยิมไป ผมปิดไฟเตรียมนอนหลับฝันดี พลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านอาหาร เรื่องพ่อแม่ของผมไม่น่ากังวล เพราะท่านเป็นคนมีเหตุผลอยู่แล้ว ถึงไอ้ยิมจะแสดงออกว่าจริงจังกับผม แต่มันจะมีตัวแปรอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวพันไหม 
เช้าวันต่อมา ดูเหมือนหอพักเงียบกันหมด คงไปเที่ยวงานตรุษจีนกันนั่นแหละ ป่านนี้ไอ้ยิมได้อังเปาเข้ากระเป๋าเยอะแยะแล้วมั้ง วันนี้ผมเข้าคณะตามปกติ ต้องส่งสเก็ตช์อาจารย์ตามกำหนด เดินมาเจอพวกไอ้เชี่ยวที่นั่งรอเรียนอยู่ในห้อง ไร้แววไอ้สองตามเคย สายประจำ
“คืนนี้ใครจะไปงานตรุษจีนบ้างวะ ไปส่องอาหมวยในงานกัน” ไอ้เชี่ยวพูดปลุกระดม ไม่ได้ดูหนังหน้าตัวเองเลยเพื่อน ผมส่ายหน้า
“ไม่ไปเหรอวะ” ไอ้โก๋เดินเข้ามานั่งข้างๆ
“ไม่เว้ย จะไปทำไมคนเยอะแยะ”
“อ๋อ อย่าบอกนะว่ามีนัดไปไหน” ไอ้โก๋ยื่นหน้ามาถาม
“เปล่าหรอก แค่ไม่อยากไปว่ะ กะว่าจะอยู่นั่งเล่นที่คณะหน่อย”
“ตามใจ แล้วนี่มึงยังรับงานนอกอีกหรือเปล่า” ไอ้โก๋ถาม มันมองผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย ครั้งล่าสุดสภาพผมมันไม่ไหวจริงๆ
“ไม่รับแล้ว ตอนนี้เหลือแค่งานตัวเองนี่แหละ เลยว่างๆ” อีกสามนาทีจะเข้าคลาสเรียนไอ้สองมันโผล่หัวมาพอดี ระหว่างที่นั่งลงที่เก้าอี้เลคเชอร์ มันหันมายิ้มสะเหล่อๆ ให้ผม
“ตรุษจีนปีนี้คงจะมีอะไรดีสิน้า” มันยื่นหน้ามาล้อเลียน
“อังเปาไงวะ” ผมบอก ไอ้สองหัวเราะกวนประสาท
“เออ ไอ้ยิมเปลี่ยนเบอร์แล้วเหรอ กูว่าจะโทรหามันหน่อย” ไอ้สองพูด ผมเหลือบมองหน้ามันพลางคิดว่ามันจะเอาเบอร์ไอ้ยิมไปทำไม
“เอ้า เงียบอีก ห่วงเหรอไง กูแค่อยากโทรหาเพื่อนมันผิดด้วยหรือไงเนี่ย” มันหัวเราะได้น่าถีบมาก
“เปล่าซะหน่อย มันเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว...อะ...” ผมบอกก่อนจะยื่นโทรศัพท์ที่โชว์เบอร์ไอ้ยิมบนหน้าจอ ไอ้สองรับไปด้วยรอยยิ้มกวนส้น
“อือ มันหายหน้าหายตาไปเลย ช่วงนี้ตรุษจีนนี่หว่า คิดถึงไอ้โยเหมือนกันนะเนี่ย”
“ยังอาลัยอาวรณ์มันอีกเหรอ” ผมมองมันเอือมๆ จริงๆ เรื่องไอ้โยกับไอ้สองก็จบกันไปนานแล้ว
“เปล่า กูแค่เห็นมันเป็นน้อง”
“มึงนับญาติกับบรรดากิ๊กมึงหมดเลยหรือไง” ผมส่ายหน้า บางทีผมก็หมั่นไส้ในความมั่นหน้าของมัน แต่คนมันหน้าตาดีก็ต้องยอม
“ปิดเทอมนี้ไปเที่ยวไหนหรือเปล่า หรือกลับบ้าน” ไอ้สองถาม
“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้คิด”
“อืม ...ปีนี้เรื่องเยอะว่ะ ไหนจะกิจกรรมคณะ กิจกรรมของมหาลัยอีก” ไอ้สองบ่นงึมงำไปตามเรื่อง ยิ่งใกล้หมดเทอมแรกไม่เข้าใจว่าทำไมกิจกรรมเริ่มทยอยเข้ามา บายเนียร์ก็อีกเรื่อง งานกีฬาด้วย ถึงจะดูน่าสนุกแต่ทำเอาคณะวุ่นวายไปได้เหมือนกันเพราะต้องซ้อมเชียร์ แต่พวกผมปีสามคงไม่สนใจเรื่องเชียร์นอกจากซ้อมกีฬา แต่คณะผมไม่ได้เอาจริงว่าต้องชนะเท่านั้น แค่เล่นสนุกกัน เมื่อเริ่มคลาสเรียน มีพรีเซ้นส์งานหน้าชั้นตามปกติ โดนวิจารณ์งานกันไปตามระเบียบ โดนด่าจนชินไปหมดแล้ว
“อย่ามัวแต่สนใจงานอื่นมากนะ เดี๋ยวคณะเราจะมีงานสตรีทอาร์ตเทอมหน้า พวกที่เหลืออย่างพวกคุณเนี่ยคงต้องออกร้านกัน เพราะปีสี่ไปฝึกงานกันหมดแล้ว ยังไงช่วยกันทำ จะน้อยหน้าพวกสถาปัตย์ไม่ได้นะ ไม่ได้แข่งกับพวกเขาแต่เราต้องทำงานออกมาให้ดี เงินมันเข้ากระเป๋าพวกคุณกันอยู่แล้ว ใครมีไอเดียเตรียมทำแพลนงานไว้เลยนะแล้วเอามาเสนอพวกผม” อาจารย์พูดถึงเรื่องออกร้านอีกแล้ว ทำเอาพวกผมโอดครวญไปตามๆ กัน งานเพิ่มขึ้นอีกแล้วสิ หลังจากนั้นอาจารย์ก็ปล่อยและไม่ได้สั่งงานเพิ่ม
“เออ ต้องมีประชุมกับสาขาอื่นด้วยนะ มากันเยอะๆ หน่อย เดี๋ยวโดนบ่นกันอีก” ไอ้เชี่ยวปรบมือกระตุ้นเพื่อนๆ
“อีกแหละ งานบ้าบอ” ไอ้โก๋มุ่ยหน้า ผมแค่ไหวไหล่สตรีทอาร์ตมันก็ดี เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้เสนอไอเดีย มีรายได้เข้ากระเป๋า เห็นทีผมต้องจับมือกับไอ้สองออกร้านกับเขาบ้าง
“เออ มึงสนใจเปล่าวะ” ผมหันไปถามมัน
“เอาดิ งานถนัดเลย ใช่ไหมไอ้โก๋” ไอ้สองหาพวก
“ถ้าจะทำแพลนก็นัดได้” มีเวลาเหลือเฟือ รู้สึกว่างๆ อย่างบอกไม่ถูก พวกผมย้ายตัวเองไปสุมหัวอยู่ที่หลังห้องเพ้นท์ตามเคย เรื่องบุหรี่ก็ลดลงไปตามๆ กัน ตอนนี้กลายเป็นว่าแค่มานั่งคุยกันธรรมดา ไอ้โก๋มันเตรียมพร้อมหาที่ฝึกงานไว้ช่วงซัมเมอร์ ส่วนผมยังไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง
ตืด ตืด ตืด
‘ยิม’
ผมกดรับสาย
“เป็นไงบ้าง ตื่นแต่เช้าเลยสิ”
[อือ ง่วงๆ อยู่เลยเนี่ย แล้วอยู่คณะเหรอ]
“เออ มีเรียน ไหนบอกสิได้อังเปาเยอะเปล่า” ผมถาม ได้ยินเสียงคนคุยกันเล็ดลอดเข้ามาในโทรศัพท์เหมือนเสียงเด็กเล่นกัน
[อือ เยอะดี ป๊ากูใจปล้ำนะเว้ย] ไอ้ยิมหัวเราะ
“แล้วยุ่งๆ อยู่หรือเปล่า เสียงดังจัง”
[อ๋อ พวกเด็กๆ นั่นแหละ...] ไอ้ยิมมันเข้ากับเด็กๆ ไม่ค่อยได้เสียด้วย ในโทรศัพท์ได้ยินเรียก อาเฮียๆ ๆ กันวุ่นวายทั้งผู้หญิงผู้ชายตีกันให้วุ่น
“มีหลานด้วยเหรอ”
[เปล่าๆ หลานอากู๋ ...ไม่ค่อยถูกชะตา เนี่ยกูเสียแต๊ะเอียไปหลายซองแล้ว] ไอ้ยิมบ่นงึมงำ ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กๆ ซนเป็นธรรมดา   
“เอ่อ...” ไม่ทันจะอ้าปากพูด ผมพอจะนึกสภาพออก ครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนเครือญาติเยอะ ยิ่งตรุษจีนก็เหมือนรวมญาติ
(อาเฮียคุยกับใครอะ ขอคุยมั่งสิ) เสียงแทรกจากอีกฝั่งดังมาเป็นระยะ
[... ไปเล่นกับไอ้โยก่อน—มึงดูสิ กูทำอะไรไม่ได้เลย ชอบมาเล่นด้วย ไม่ดูหน้ากูบ้าง] มันบ่น ผมล่ะสงสารหลานเหลนมันจริงๆ
“งั้นกูวางก่อนดีกว่า ไปเล่นกับเด็กๆ เหอะมึง”
[ที่โทรหาเพราะไม่อยากอยู่กับเด็กๆ นี่แหละ คุยกับมึงดีกว่า จะได้มีอะไรทำ] มันใช้ผมเป็นโล่กำบังเด็กซะงั้น
“อืม ไอ้โยมันเป็นยังไงบ้าง” ผมถามถึงน้องชายมันบ้าง ไอ้ยิมไม่ค่อยพูดถึง ไม่รู้ว่าทำตัวเข้าล่องเข้าลอยแล้วหรือยัง
[อือ ปกติดี เลิกบ้าไอ้สองซะที] ไอ้ยิมหัวเราะน้องมัน
“ก็ดีแล้ว ...”
[มันมาโน่นแล้ว ไม่ทันขาดคำ— มึงเอาเด็กๆ ไปเล่นไกลๆ เลย กูคุยโทรศัพท์อยู่]
(มาเล่นกับโยมา อาเฮียคุยโทรศัพท์กับแฟนอยู่อย่าไปกวนดิ) เสียงไอ้โยแป๋นเข้ามาในสาย ผมเบ้ปาก แหม ใช้คำว่าแฟน ไอ้ยิมบอกคนที่บ้านเกี่ยวกับผมว่าอะไรบ้างนะ
[เลิกเรียนกี่โมง]
“...หา อ๋อ บ่ายๆ อะ”
[เดี๋ยวตอนเย็นไปหานะ]
“ไม่อยู่ไหว้แล้วเหรอ”
[ไหว้เสร็จตอนบ่ายๆ นี่ล่ะ กลับอีกทีตอนไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ยก็ได้ มึงจะได้ไปพร้อมกูเลยไง] ไอ้ยิมทำเสียงเอาแต่ใจ
“โห ...โอเคๆ ตามใจ งอแงเป็นเด็กไปได้”
[เนี่ย กูสปอยล์มึงกับม้าไว้แล้วนะ เผื่อจะได้อังเปาบ้าง]
“จริงดิ กูเนี่ยนะ มึงก็เว่อร์ ...” ผมได้ยินเสียงผู้หญิงวัยกลางคนเรียกชื่อมันหลายครั้ง “งั้นกูวางแล้วนะ”
[อือ ไว้แวะไปหา]
ไอ้ยิมวางสายไป ผมเดินกลับเข้าไปในห้องเพ้นท์ตามเดิม เอาจริงๆ ตั้งแต่รู้จักไอ้ยิมมามันเป็นตัวแปรสำคัญในชีวิตผมไปแล้ว อะไรหลายๆ อย่างในตัวผมดูจะเปลี่ยนไป อาจจะทำตัวเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เมื่อก่อนผมเองไม่ได้ใส่ใจภาพลักษณ์ของตัวเองสักเท่าไหร่ แต่พอมีไอ้ยิมก็ต้องหันมาดูแลตัวเองบ้าง จะขอบตาดำเหมือนเมื่อก่อนก็ทำใจได้ยากไปซะแล้ว

   เมื่อผมมาถึงบ้านของไอ้ยิม ที่จริงแล้วมันอยู่ใกล้ๆ ละแวกบ้านผมเลยแค่คนละทิศกันเท่านั้นเอง เวลานี้ผมอยู่ในวงล้อมของญาติๆ ไอ้ยิม ส่วนมากเป็นเด็ก หลาน เหลน มันทั้งนั้น หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มกันไปหมด ส่วนไอ้ยิมอยู่ในครัวเพื่อเตรียมของไหว้อะไรสักอย่าง
“หลีกๆ อย่าไปกวนพี่เขาสิ” ไอ้โยเดินมาโบกมือไล่เด็กๆ ให้ออกไปเล่นกันด้านนอก มันเป็นผู้ช่วยชีวิตผมให้มีอากาศหายใจมากขึ้น มันยิ้มแป้นก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ ผม
“สบายดีนะ” ผมทักทาย ไอ้โยเหลียวหน้าไปมองในครัวก่อนจะขยับมากระซิบกระซาบ
“แน่นอน...จะบอกอะไรให้นะพี่ รู้ป่ะว่าป๊าโยดุ๊ดุ”
“อือ มึงจะไซโคกูเหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผลักหัวมันออกไปให้ห่างๆ ตัว ไอ้นี่ชอบมาเกาะแกะเป็นตุ๊กแกไปได้
“ไม่หรอกน่า ...แต่ก็แปลกเนอะ ไม่คิดว่าจะเป็นพี่นะเนี่ย ออกจะแมน” ไอ้โยหัวเราะคิกคักน่ารำคาญมาให้ ผมกลอกตา
“ทำไม จะล้อกูว่างั้น” กับคนอื่นๆ ผมไม่สะทกสะท้านใดๆ กับคำล้อเลียนเด็ดขาด
“ล้อแล้วจะเขินไหมล่ะ คงไม่... แต่ม้าอยากเจอพี่นะ เพราะเฮียเคยพูดถึงพี่หลายครั้ง” ไอ้โยทำท่ากระซิบพลางเหลือบมองไปทางครัว
“พูดว่าไงบ้าง” ผมถามกลับเพราะอยากจะรู้ผลตอบรับเหมือนกัน
“อืม...ก็บอกว่าพี่เป็นคนนิสัยดี น่ารัก” ไอ้โยพูดยิ้มๆ ดูเชื่อถือไม่ได้
“มึงแต่งเองล่ะสิ” ผมส่ายหน้า ไอ้ยิมไม่มีทางพูดแบบนี้แน่ๆ
“ฮ่าๆ ไม่เล่นด้วยเลย แต่ม้าอยากเจอจริงๆ นั่นแหละ ถึงจะต้องผิดหวังก็เถอะ” ไอ้โยตบไหล่ผมเบาๆ เหมือนเข้าใจโลกเต็มประดา
“ผิดหวัง?” ผมขมวดคิ้ว
“อือ เพราะพี่ดูไม่น่ารักเลยไง” ไอ้โยหัวเราะ
“ตลกนะมึง” ผมส่ายหน้ากับท่าทางของมัน
“พูดไม่เพราะอีก”ไอ้โยทำหน้าง้ำงอ ก่อนจะมองผมเหมือนเป็นเรื่องสนุก 
“มาบ้านแฟนทั้งทีทำตัวน่ารักๆ หน่อยสิ ไม่งั้นโยไม่ช่วยพูดให้นะ บอกแล้วไงว่าป๊าดุ” ไอ้โยพูดยิ้มๆ ก่อนจะเบือนหน้าไปทางห้องครัว
“ยังจะพูดอีก”ผมผลักมันออกไปห่างๆตัว 
“แน่ะๆ มาว่าโย เฮียมาเปิดตัวก่อนแบบนี้ก็แย่เลยดิ โยต้องมารับภาระอีกแล้วเหรอ” มันทำหน้าเศร้าสลด
“ทำไมวะ”ผมถาม โยไหวไหล่ ขยับมาเล่าใกล้ๆ
“ก็เฮียเป็นคนโตนี่ ดันมีแฟนเป็นผู้ชายไปแล้ว แบบนี้ตระกูลเราขาดคนสืบสกุลน่ะสิ... จะให้โยแอ๊บแมนก็ไม่ไหว ม้ารู้ๆ อยู่”
“....แล้ว...จะทำยังไงล่ะ” ผมกังวลใจขึ้นมา
“ไม่ทำยังไง ถึงป๊าจะโกรธแต่ก็ยังดีที่อากู๋มีหลานให้...” ไอ้โยพูดหน้าตาเฉยเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ น่ะเหรอ”ผมรู้สึกกังวลใจขึ้นมา เอาจริงๆก็เรื่องใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย ไม่รู้ว่าครอบครัวของไอ้ยิมเคร่งแค่ไหน 
“อือ เฮียคุยๆ กับป๊าไปแล้ว ...แต่ที่จริงตามหลักแล้วเฮียต้องแต่งงานนะ” ไอ้โยพูดต่อไปเรื่อยๆ ผมถอนหายใจ “มึงทำกูเครียดนะเนี่ย”
“ก็จริงนี่... แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ป๊าคงเข้าใจ” มันพูดแบบเอาแต่ใจ
“แล้วมึงล่ะ ป๊าเขารู้ไหม”
“ก็รู้แหละแต่ไม่เคยพูดตรงๆ คงจะแสลงใจ มีลูกชายสองคนดันเป็นเกย์หมด...” มันทำหน้ายู่
“...สรุปครอบครัวมึงตกลงว่ายังไงกันแน่”
“ก็คงออกมาดี ไม่งั้นพี่จะมาอยู่ที่นี่ได้ไงกัน ใช่ไหมล่ะ” ไอ้โยยิ้มให้ผม
“คงงั้น” ผมแค่ถอนหายใจแก้เซ็ง
“อยากกินอะไรเปล่า ตามมาในครัวสิ” ไอ้โยถามเสียงใส มันดึงแขนผมให้ลุกจากเก้าอี้
“ไม่เอาอะ” ผมส่ายหน้าเพราะไม่อยากเข้าไปวุ่นวายในครัว คงต้องเจอกับคนในครอบครัวไอ้ยิมด้วย ผมกลัวทำตัวไม่ถูก
“กลัวอะไร มานี่มา ไปกับโยซะอย่าง” มันดึงแขนผมให้ลุกขึ้น ผมจำใจเดินตามมันไปในครัว แต่ไม่เจอไอ้ยิม มีแต่ป๊ากับอาอี้ของไอ้โยสองคน ผมยกมือไหว้อีกรอบ รู้สึกเกร็ง
“ไหว้อะไรหลายรอบนะเรา” อาอี้ หรือ น้าสุ ส่งยิ้มให้ผมอย่างใจดี ส่วนป๊าแค่มองหน้าผมนิ่งๆ ลักษณะท่าทางเหมือนไอ้ยิมเลยแต่ใส่แว่นทรงกลม สีผมแซมเทาประปราย ลงพุง ท่าทางเหมือนคุณพ่อเฮี้ยบๆ ทั่วไป
“ขอชาให้พี่ผิงหน่อยครับ” ไอ้โยพูดก่อนจะเดินไปหยิบแก้วลายสวยงามออกมาสองใบ อาอี้ยิ้มก่อนจะหยิบกาน้ำชาที่ต้มไว้มาใส่ถาดไม้สี่เหลี่ยมให้ไอ้โย
“เอาของว่างไปกินด้วยสิ” ป๊าเอ่ยก่อนจะเลื่อนจานขนมใส่ไส้มาทางผม
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มก่อนจะยกถาดขึ้นมาถือ ไอ้โยยิ้มร่าเดินนำผมออกมาด้านนอก ในครัวกำลังเตรียมของไหว้เป็นครั้งสุดท้ายซึ่งผมไม่ได้เข้าไปวุ่นวายด้วย กลัวจะเกะกะขวางทางซะมากกว่า เลยปล่อยให้ผู้ใหญ่จัดการไป ผมได้แต่เฝ้าพวกเด็กๆ เท่านั้น

หลังจากที่ผ่านเวลาเที่ยงคืนเริ่มเข้าสู่วันใหม่ ครอบครัวไอ้ยิมก็ไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ยไปเรียบร้อย ป๊ากับม้ายังใจดีให้อั่งเปาผมมาอย่างละซอง ผมยังไม่ได้เปิดดูว่าจำนวนเงินเท่าไหร่ แน่นอนว่าม้าไอ้ยิมใจดีมาก มองผมเหมือนลูกเหมือนหลาน ผิดกับป๊า ถึงจะให้อังเปาแต่เหมือนให้ตามมารยาทมากกว่า ไม่ได้พูดคุยกับผมมากเท่าม้ากับอาอี้ สองท่านนี้นิสัยเหมือนกันจริงๆ
“ท่าทางจะได้จากม๊าเยอะน่าดู” ไอ้ยิมเอ่ยปากแซวด้วยรอยยิ้ม
“เกรงใจว่ะ ทำตัวไม่ถูกเลย” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนไป คืนนี้ผมเลยต้องค้างคืนกับไอ้ยิม พรุ่งนี้เป็นวันตรุษคงจะไปเที่ยวกัน
“เลิกเกรงใจได้แล้ว ยังไงก็ครอบครัวเดียวกัน”
“ว่าอะไรนะ” ผมทำเป็นย้อนถามซ้ำหลังจากได้ยินไอ้ยิมพูดจาน่าแหวะใส่
“หา เปล่า” มันตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเดินไปหยิบหมอนมาเพิ่ม สรุปผมต้องนอนเตียงเดียวกับมัน ผมเองไม่ดัดจริตลงไปนอนที่พื้นหรอก เรื่องอะไร ปวดหลังกันพอดี ห้องนอนของไอ้ยิมสะอาดเรียบร้อยเหมือนที่หอพักของมัน คงเพราะไม่ค่อยได้กลับมานอนที่บ้าน ห้องเลยดูว่างและโล่งสะอาดตา
“เคยพาใครมานอนบ้านบ้างไหม” ผมถามไปเพื่อหาเรื่องคุยเท่านั้น ก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียง
“หือ เตียงนี้น่ะเหรอ มึงไง คนแรก” ไอ้ยิมบอกก่อนจะตบเตียงเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
“จริงดิ” ผมไม่อยากเชื่อเท่าไหร่
“ก็จริง จะพามาบ้านได้แสดงว่ากูต้องจริงจังมาก” มันเหลือบมองมาที่ผม ชงเองเขินเองอีก
“กูโชคดีจริงๆ” ผมยิ้มก่อนจะล้มตัวลงนอนสบายๆ เหมือนเป็นเตียงของตัวเอง พลางกวาดสายตามองไปที่เพดานอย่างใจลอย
“ใช่ โคตรโชคดีแล้ว” มันบอกแล้วหันมามองหน้าผมไปด้วย
“แล้วอาอี้มึงจะกลับไปเกาลูนอีกใช่ป่ะ” ผมชวนคุยไปเรื่อย ๆ
“อือ กลับดิ ทำไม”อีกฝ่ายตอบ
“เปล่า แค่คิดว่าในบรรดาญาติมึงเนี่ย น้าสุใจดีสุดแล้ว”
“อือ เหมือนม้ากูไง ใจดีจะตาย”
“เออ...”
“ตอนเราไปเที่ยวที่นู่นก็แวะไปหาก็ได้”
“ครอบครัวมึงดีนะที่ไม่ได้ห้ามอะไรมึง” ผมพูดเบาๆ นึกดูแล้วป๊ามันคงเข้มงวดแต่คงเพราะรักลูกถึงได้ไม่ได้ต่อว่าหรือพยายามหักดิบไอ้ยิม ยอมให้มันคบกับผู้ชายด้วยกัน ในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงปวดใจ นึกถึงหน้าพ่อแม่ของตัวเองแล้วก็รู้สึกหน้าชาไปเหมือนกัน
“...อืม เพราะกูไม่ยอมแพ้ด้วยน่ะ หมายถึงกูเป็นแบบที่กูเป็นนั่นคือสิ่งที่ต้องยอมรับ กูเองไม่อยากไปทำร้ายใครด้วยการทำเป็นแต่งงานมีลูก แบบนี้มันน่าเศร้า อยู่กับการหลอกลวง” ไอ้ยิมอธิบาย มันพูดดีนะผมเห็นด้วย การหลอกลวงมันไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดี
“อืม ดีแล้ว ตอนแรกก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกัน” ผมบอกเสียงเครียด ผมไม่ได้เตรียมตัวมารับมือกับการต่อต้านจากป๊าไอ้ยิม
“ถึงป๊าจะเข้มงวดแค่ไหนแต่ท่านก็มีเหตุผล กูอธิบายด้วยเหตุผลเสมอ ไม่ใช่ใช้อารมณ์ ถึงจะต้องทะเลาะกันบ้างแต่นั่นมันทั้งชีวิตของเรา จะให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก ใครจะหาว่ากูเห็นแก่ตัวก็ตาม...”
“เห็นแก่ตัว?” ผมพอจะเข้าใจบริบทของพี่ใหญ่ในครอบครัวจีน
“อือ กูเป็นพี่ใหญ่แต่ไม่รับผิดชอบครอบครัวไง... มึงก็รู้ว่าไอ้โยมันเป็นยังไง แต่กูจำเป็นต้องเสียสละด้วยเรื่องแบบนี้เหรอ... ไม่ใช่ว่ากูไม่เสียใจหรอก แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ... แค่ป๊ากับม้าไม่กีดกันกูก็พอใจแล้ว คำพูดใครกูไม่สนใจหรอก มึงด้วย อย่าไปฟังคำพูดของคนอื่นมากเกินไป” ไอ้ยิมมองผมสายตาอ่อนโยนลง มันยิ้มให้ผม
“อือ รู้น่า...” ผมบอกเบาๆ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก ครอบครัวกูแก้ไขเรื่องนี้ได้” ไอ้ยิมสำทับอีกรอบ
“อืม ดีแล้ว”ผมพึมพำ ในใจผ่อนคลายไปบ้างเมื่อได้ยินคำหนักแน่นของอีกฝ่าย
“พรุ่งนี้อยากไปไหนหรือเปล่า” มันถาม ผมเองไม่อยากออกไปไหนหรอก เลยคิดคำตอบอยู่นาน
“ไม่อะ” ผมตอบ
“งั้นจะกลับคณะเหรอ” มันถามเสียงห่อเหี่ยว ผมเหลือบมองมันก่อนจะหัวเราะ“เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนมึงที่บ้านนี่แหละน่า” ผมบอก
“ไม่มีงานที่คณะแล้วใช่ไหม” อีกฝ่ายถามเป็นงานเป็นการ ผมส่งเสียงตอบกลับไปสั้นๆ
หลังจากนั้น ผมกับไอ้ยิมก็เข้านอน แต่หลับไม่ลง ผมรู้ว่าไอ้ยิมเองยังคงไม่หลับเพราะมีเรื่องที่ต้องคิด ผมถอนหายใจในความมืดก่อนจะพลิกตัวหันไปหาไอ้ยิมที่นอนลืมตาอยู่
“มีอะไร” มันงึมงำกลับมาให้
“นอนไม่หลับ” ผมตอบเสียงเนือยๆ ลืมตาท่ามกลางความมืด
“อืม เหมือนกัน ไม่ง่วงแล้วว่ะ” ไอ้ยิมขยับตัวอยู่ข้างๆ
“เดือนหน้ามึงคงยุ่งๆ แล้วสิ” ผมชวนคุยไปเรื่อย สายตาจับจ้องไปที่ความมืดเบื้องหน้า
“เหมือนเดิม... ก็คงไม่ยุ่งไปกว่านี้แล้ว” มันบอก
“เวลานี่ผ่านไปเร็วจริงๆ เลยเนอะ เฮ้อ” ผมรำพึง แค่เวลาไม่กี่เดือนชีวิตของผมก็มีอะไรเปลี่ยนไปไม่น้อย
“ถอนหายใจหลายรอบแล้วนะ” ผมเงียบ อีกฝ่ายก็เงียบไปอีก แม้ว่าความสัมพันธ์ไม่ได้หวือหวาอะไรมากแต่ผมปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ดีที่สุดแล้ว ไอ้ยิมขยับตัวหันหน้ามาทางผม
“จะว่าไปแล้วหนี้ที่มึงติดกูนี่ชักจะเพิ่มพูนขึ้นไปทุกที เมื่อไหร่จะใช้หมดวะนั่น” ไอ้ยิมหัวเราะหึๆ มาให้ ผมแอบเบ้ปาก อยู่ๆ ก็ยกประเด็นนี้มาพูด สงสัยมันคิดอะไรหรือเปล่านะ
“ทำไมวะ จะคิดดอกเพิ่มเหรอ” ผมหัวเราะ
“อืม จะได้คุ้มกันไง...” มันตอบเสียงเรียบ
“กูพูดคำไหนคำนั้นน่า รอหน่อยไม่ได้เหรอไง” ผมพูดงึมงำ
ที่จริงผมคิดถึงอนาคต ถ้าเกิดว่าไอ้ยิมมันกล้าขอผมเป็นแฟนขึ้นมาจะทำยังไง ตัวผมเองจะมีปฏิกิริยาแบบไหนกัน ทริปหน้าที่ไปฮ่องกงด้วยกัน ผมยังสงสัยว่าไอ้ยิมคิดจะทำอะไรหรือเปล่า แต่ในใจผมก็ยังคงหวั่นอยู่ ที่รู้สึกตอนนี้มันใช่แล้วจริงๆ งั้นเหรอ หรือแค่เผลอไผลไปตามเรื่อง
“รอได้น่า มาถึงขั้นนี้แล้ว” ไอ้ยิมตอบเบาๆ ผมมองในความมืดเห็นประกายแววตาที่กะพริบอยู่กับเงาร่างของไอ้ยิมที่อยู่ใกล้ๆ
“คิดมากน่า ยังไงซะก็คงหนีไม่พ้น” ผมบอก ต้องรีบตัดสินใจก่อนที่อารมณ์โรแมนซ์ของผมจะหมดวายวอดไปซะก่อน
“ราตรีสวัสดิ์” ไอ้ยิมเอ่ย
“อือ หลับฝันดี”
หลังจากนั้นผมก็อยู่ที่บ้านไอ้ยิมตลอดทั้งวัน ส่วนมากจะอยู่เล่นกับไอ้โยบ้าง หลานมันบ้าง ส่วนป๊ากับม้าของมันผมไม่ค่อยได้คุยสักเท่าไหร่ ไอ้ยิมมาขลุกอยู่กับผมซะส่วนใหญ่ ตอนแยกกันยังดีที่ป๊ากับม้าออกมาส่ง อย่างน้อยก็ยังได้รับคำอวยพรบ้าง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing dinner(1) #07.02.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 07-02-2016 02:29:59
ไปฮ่องกงก็ขอหวานๆหน่อยนะค้านี่ลุ้นจนเกร็งทุกตอนเลยเนี่ย ฮา
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing dinner(1) #07.02.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 07-02-2016 07:29:18
มีเขินอะจ้า. ผิงรู้ตัวแล้วใช่ไหมว่าพาว่าที่ลูกเขยมาไหว้พ่อตาแม่ยายเนี่ย 
ขอบคุณค่ะ  :katai2-1:   
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing dinner(1) #07.02.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 07-02-2016 08:22:05
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing dinner(1) #07.02.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 07-02-2016 11:06:45
ผิงเขินอ่ะ อิอิ ทำไรไม่ถูกเลย
ผิงยิมน่ารัก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing dinner(1) #07.02.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 07-02-2016 11:37:00
โอย อ่านมาเกือบจบแล้ว ยังไม่เห็นความดีของคนชื่อแกนเลย ขนาดเรื่องจบช้ากว่าคนอื่น. ยังจะโทษชาวบ้านแบบกูจะโทษมึงอ่ะ มึงผิดไม่ผิดไม่รู้แต่กูจะโทษมึง ว่างั้น ไม่ใช่นิสัยละที่เสียแต่มันเป็นสันดานเลยก็ว่าได้ เศร้าแป้บ T_T
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing dinner(1) #07.02.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 07-02-2016 13:49:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing dinner(1) #07.02.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: ChaniiNoiy ที่ 08-02-2016 15:47:47
 :L2:

เขินอ่ะ รู้สึกว่าคู่นี้ให้อารมณ์หมือนเพื่อนนะ คือคุนกันเรื่อย ไม่ได้หวานเวอร์ๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing dinner(1) #07.02.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Dak ที่ 10-02-2016 00:06:36
อ่านมาถึงจุดนี้แบบ เขิลทุกตอน แหมมมม ไม่ได้พักให้หายใจหายคอกันเลย ชอบอะ คือเนื้อเรื่องรื่นมากไหลต่อๆอ่านสนุก มุขตลก อิอิ ลุ้นตอนดีนแกนอยู่  :hao3: คือบับเคมีกลิ้นมันแรงยังไงไม่รู้ คู่นี้จะเป็นแบบคู่รักรุนแรงปะน้อ :haun4: ชอบเฮียแกนตรงความโหดเถื่อนนี่แหละอย่างอื่นเอาไปเผาเอ้ยเดี๋ยวชอบความขี้ตื้อด้วย น่ารัก555555555 ชอบ ปล.fcดีนแกน 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing dinner(1) #07.02.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 10-02-2016 10:20:01
คบกันเลยคนกันเลน!
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing dinner(1) #07.02.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: ป๋า ที่ 16-02-2016 03:54:17
จากตอนแรกภาพสองที่แมนๆนี่ เคะขึ้นเรื่อยๆเลย
ชอบพี่ท็อปนะ ใจอ่ะ แบบ..รุกนะ แต่ถ้าจะให้รับก็โอ 555+  :hao6:

ยิมผิงก็น่ารักดี มุ้งมิ้งมากๆ  :o8:

แต่อยากรู้เรื่องพี่ดีนสุดละ  :katai1:
คือพี่ดีนชอบใครกันแน่? ดูเหมือนว่าชอบพี่กั
แต่ก็มีแกนติดอยู่ในใจตลอดเวลา ถึงขนาดสักชื่อไว้บนตัวเลยนะ
แกนเองก็ดูค้างคาใจกับดีนเหลือเกิน
ส่วนพี่กัสนี่ถ้าไม่พลาดไปไข่ทิ้งไว้คงจีบดีนใช่ไม๊?
ดูว่าชอบดีนนี่นา
โอย อยากรู้ความจริง!!!!!!  :serius2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing dinner(1) #07.02.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 16-02-2016 13:49:52
อยากเชียร์แกนให้ดีน
ชอบพลอตนี้ ศัตรูที่รัก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Deen diary บทที่ 5 ปล่อยวาง
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 10-03-2016 09:50:09
Deen diary
บทที่ 5 ปล่อยวาง (ต่อ)

ผ่านไปสิบนาที เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา แน่นอนว่าคงเป็นพี่กัส ผมเดินไปเปิดประตูอย่างเชื่องช้า อีกใจหนึ่งก็แอบหวั่นเหมือนว่าต้องเผชิญหน้ากับความจริงอะไรแบบนั้น พอเปิดประตูเจอพี่กัสส่งยิ้มมาให้ในมือถือถุงขนมขบเคี้ยวกับกับแกล้มพร้อมเบียร์ ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมานั่งเปิดใจจิบเบียร์กับพี่กัส
“เข้ามาสิพี่” ผมบอกก่อนจะเปิดประตูออกกว้างเพื่อให้อีกฝ่ายเข้ามาได้สะดวก พี่กัสส่งยิ้มมาให้แล้วเดินเข้ามาในห้องผม
“กินอะไรหรือยัง” พี่กัสเริ่มบทสนทนาด้วยท่าทีปกติ ผมลังเลก่อนจะตอบออกไป
“กินแล้วครับ” ผมโกหกไป อีกฝ่ายเดินเข้ามานั่งลงกับพื้นห้อง ตั้งโต๊ะอาหาร ผมเลยต้องเดินไปหยิบถ้วยจานมาใส่กับแกล้ม มีปลาหมึกย่าง ต้มยำเผ็ดๆ พี่กัสยื่นเบียร์ให้ผมหนึ่งกระป๋องเลยต้องรับมาดื่มอย่างเสียไม่ได้ ตอนนี้ผมแทบไม่อยู่ในอารมณ์จะมาจิบเบียร์หรอก
“พี่บอกว่ามีเรื่องจะคุย” ผมพูดเข้าเรื่องไม่อยากอ้อมค้อมมากมาย พี่กัสถอนหายใจ
“อือ มึงคงรู้แหละว่าจะมาคุยเรื่องอะไร อันที่จริงมันไม่มีอะไรให้ต้องอธิบาย ไม่ใช่ว่ากูไม่รู้ว่ามึงรู้สึกยังไง” พี่กัสพูดจริงจังมองหน้าผมเหมือนสื่อความหมาย
“แล้วผมรู้สึกยังไงล่ะพี่” ผมถามกลับ พี่กัสแค่นเสียงหึมองหน้าผมนิ่งๆ อยู่นานแต่ผมไม่ได้หลบตา
“แล้วมึงรักกูหรือไง” พี่กัสย้อนถามกลับมา ผมสะอึกไป ไม่หรอกไม่ได้รักแค่ผูกพันมั้ง มันเหมือนความสัมพันธ์นี้ไม่สามารถมากหรือน้อยไปกว่านี้ได้อีก ผมเงียบ
“พี่ก็รู้ว่าไม่ใช่แบบนั้น”
“อือ แล้วทำไมวะ ทำไมต้องทำท่าเหมือนคนอกหักด้วย หือ” พี่กัสตบไหล่ผมด้วยท่าทียิ้มแย้มแต่ผมยิ้มไม่ออก เจ้าตัวหุบยิ้มก่อนจะหมุนแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายไปมา คิ้วขมวดมุ่น
“กูแต่งงานมีลูกแล้ว จะว่าไปมันก็เร็วไปว่ะ มึงคงไม่ทันได้ตั้งตัว กูเองก็ไม่ต่างหรอก แต่ทำยังไงได้กูเป็นผู้ชายอย่างน้อยๆ ควรทำหน้าที่พ่อ” พี่กัสพูดนิ่งๆ สีหน้าไม่ยินดียินร้าย
“ดีแล้วที่พี่ทำแบบนี้ พี่ไม่ใช่คนไม่ดี” ผมบอกก่อนจะยิ้มเยาะตัวเอง ผมเข้าใจว่าไม่อยากเสียพี่กัสไปไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม ที่มั่นของผมไง สำหรับพี่กัสแล้วก็เหมือนเสากลางกระแสน้ำให้ผมได้ยึดเกาะ
“กูขอบคุณสำหรับความหวังดีความรู้สึกดีๆ ของมึง กูรู้มันไม่ใช่ความรักอะไรทั้งนั้นหรอก ขอโทษที่กูหายไปไม่บอกอะไร มึงคงเสียศูนย์” พี่กัสพูดก่อนจะส่งยิ้มบางๆ มาให้ผมซึ่งแค่พยักหน้าให้ ระหว่างผมกับพี่กัสคงกลับมาสนิทใจแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้วจริงๆ
“แล้วสถานการณ์ของพี่ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” ผมถามเพราะอยากรู้ พี่กัสถอนหายใจไหวไหล่ไปด้วย
“ปกติบางคนเราอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้หมายความว่าต้องรักกันมากมาย มึงไม่ต้องคิดมาก กูไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะมึงเป็นต้นเหตุหรอก”
“ก็ดีแล้ว” ผมตอบ
หลังจากที่ได้คุยกันจริงๆ จังๆ ผมก็เบาใจไปเปราะเดียว สำหรับผมเหมือนคนยังจบไม่ลงเท่าไหร่ แต่พี่กัสดูเข้าใจผมมากกว่าตัวผมเองซะอีก บรรยากาศระหว่างผมกับพี่กัสก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อเบียร์หมดกระป๋องเจ้าตัวไปเข้าห้องน้ำเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะดังเบาๆ ผมเดินไปดู
ตืด ตืด ตืด
เบอร์แปลกโทรมาหลายครั้ง ผมเดาว่าต้องเป็นไอ้แกนแน่ๆ มันจะโทรมาทำไมกันอีก ผมถอนหายใจ ถ้าไม่รับมันคงโทรมาหลายรอบแน่ น่ารำคาญอีก
“มีอะไร” ผมกดรับเซ็งๆ
[ทำอะไรอยู่] มันถามกลับมา ผมเงียบไป
“โทรมาทำไม” ตอนนี้เดาใจมันไม่ถูกจริงๆ
[แค่อยากโทรมาเผื่อมึงยังทำสังกะตายอยู่] มันว่าก่อนจะหัวเราะหึๆ ให้ระคายหู
“ไม่เกี่ยวกับมึงหรอก แล้วก็ไม่ต้องโทรมาอีกนะ” ผมพูดเบื่อๆ พลางเหลือบมองนาฬิกา สามทุ่มกว่าๆ แล้ว
[อือ กูแค่โทรมาเช็คเฉยๆ แค่นี้แหละ] จากนั้นมันก็วางสายไปทำเอาผมยืนงงไปชั่วขณะ อะไรของมันกัน ระหว่างนั้นพี่กัสเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
“มีอะไรเหรอ”
“เปล่าหรอกพี่ แล้วจะกลับเลยหรือเปล่า” ผมถาม
“อือ ไม่อะ กะว่าจะค้างที่นี่”
“เหรอ” ผมรู้สึกแปลกๆ
“ทำไม แค่ค้างเองน่า” พี่กัสไหวไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ คงเพราะผมไม่ได้ชอบพี่กัสแบบนั้น เจ้าตัวเดินไปนั่งบนเตียง
"จะฝึกงานที่ไหน คิดไว้หรือยัง" พี่กัสถามขณะที่ผมกำลังเตรียมตัวอาบน้ำ
“น่าจะที่คณะ อาจารย์ชวนให้ฝึกด้วย” ผมตอบ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
ระหว่างอาบน้ำสมองก็คิดกลับไปกลับมาเรื่องพี่กัส ในขณะที่ผมยังอยู่ในห้องน้ำ ผมได้ยินเสียงของพี่กัสดังเข้ามา
“ยังจำเรื่องที่กูเคยบอกมึงได้หรือเปล่า”
"เรื่องอะไรเหรอ" ผมถามออกไป ก่อนจะรีบแต่งตัวให้เสร็จเรื่องที่เคยพูด ก็มีตั้งมากมาย เจ้าตัวหมายถึงเรื่องไหนกันล่ะ
“วันที่กูพาไปร้านไอ้ตองไง ตอนที่มึงอยากสักน่ะ” พี่กัสพูดเอื่อยๆ เพื่อกระตุ้นความจำในวันนั้น ผมเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ พอมองที่เตียงนอน เห็นพี่กัสกำลังนอนเปิดอัลบั้มรูปผมดูอยู่ ผมมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นก่อนจะนึกทวนความทรงจำเก่าๆขึ้นมา
"จำได้สิ" ผมตอบ จำได้ขึ้นใจว่า ‘เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราเลือกเอง’
แล้วที่พี่กัสเอ่ยถึงแบบนี้ หมายความว่ายังไง แค่นึกถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรจะบอกกับผม
"ตอนนั้นมึงยังเด็ก ยังไม่มีความคิดลึกซึ้งอะไรมาก กูแค่คิดขึ้นมาเฉยๆ ว่ามึงพร้อมรับผิดชอบต่อการเลือกนั้นหรือยัง” พี่กัสพูดก่อนจะปิดอัลบั้มรูปเบาๆ ผมยืนนิ่งยังคงงงกับคำพูดของอีกฝ่าย เจ้าตัวยิ้มก่อนจะตบที่ว่างบนเตียงแล้วเรียกผม
"พี่หมายถึงอะไร" ผมถามช้าๆ
"ลองคิดดูนะ มึงมีทางเลือกเสมอแหละ เลือกจะทิ้งมันไว้แบบนั้นหรือลบมันออกไปแบบไหนง่ายกว่ากันล่ะ ไม่ว่าจะเรื่องของกูหรือคนในนั้นของมึง" พี่กัสพูดเสียงอบอุ่นก่อนจะบุ้ยใบ้มาที่บริเวณคอผม รอยสักผมน่ะ
"ทำไมพี่เหมือนรู้ทุกอย่าง" ผมพูดเบาๆ ไม่ได้โกรธอะไร เหมือนพูดกับตัวเองซะมากกว่า พี่กัสหัวเราะ
"กูเป็นพี่มึงนะไอ้ดีน มึงตามกูต้อยๆ ทำไมจะไม่รู้ว่ามึงคิดยังไงบ้าง เลิกคิดมากเหอะนอนกันดีกว่า" พี่กัสตบหมอนก่อนจะเอนตัวลงนอนไม่ได้สนใจผมอีกต่อไป ผมมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ปล่อยสมองไม่ให้คิดอะไร
“ขอโทษนะ” เสียงพี่กัสดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“เรื่องอะไรครับ” ผมถาม เจ้าตัวหันหน้ามามองผม
“ก็ที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้มึงแย่ลงไง” ผมถอนหายใจ พี่กัสจะมารู้เรื่องอะไรกัน อีกอย่างในเมื่อเคลียร์ไปได้เเล้วผมเองก็ไม่อยากพูดถึงอีก ได้แต่ส่ายหน้า
“ไม่เกี่ยวกันหรอกพี่” ผมบอกก่อนจะเดินไปปิดไฟเหลือแค่แสงจากโคมไฟข้างๆ เตียง
“เรายังคงเหมือนเดิมนะเว้ย มีอะไรก็ปรึกษากันได้” พี่กัสย้ำอีกรอบ
“ครับ” ผมรับปาก
คงต้องรอวันที่ผมพร้อมจะไปหาพี่กัสโดยที่ไม่คิดอะไรเลยจริงๆ ซึ่งคงอีกนาน
แต่ผมยังคงนอนลืมตาในความมืดไม่สามารถหลับลงได้จริงๆ คนข้างกายผมหายใจสม่ำเสมอ คงหลับไปแล้วล่ะมั้ง พี่กัสจิตใจทำด้วยอะไรกันเนี่ย ผมพลิกตัวกลับมาอีกด้านหยิบโทรศัพท์มาเล่นเช็คเฟซเช็คไลน์ที่ว่างเปล่า
‘เหงาแฮะ’
อยู่ๆ คำนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว ชีวิตที่ผ่านมาของผมแทบไม่มีอะไรแตกต่าง ในเวลาแบบนี้ผมคิดถึงคนแค่สองคน
หนึ่งคือไอ้สอง ส่วนอีกคน...
ผมลุกออกจากเตียงนอนอย่างเงียบเชียบ เปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ที่ยังเหลือครึ่งกระป๋องมาดื่ม ออกไปนั่งนอกระเบียงให้จิตใจแจ่มใส
‘ถ้าหากว่าย้อนเวลากลับไปได้นะ’
ในหัวผมคิดแต่แบบนี้ คำว่า ‘ถ้า’ รู้สึกเจ็บปวดอย่างประหลาด ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ เวลานี้คือความจริง ผมนั่งอ่านข้อความที่ทิ้งในกลุ่มเรื่องงานกีฬากับเรื่องสตรีทอาร์ต พวกเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันกับผมบ่นกันระนาวที่ไม่มีใครช่วยงาน ชื่อของผมอยู่อันดับต้นๆ แต่ผมปีสี่แล้วนี่ ไม่อยากมาวุ่นวายเรื่องในคณะแล้ว มักมีบางกลุ่มที่เลือดกิจกรรมมันข้นกว่าการเรียน
ลมเย็นเอื่อยๆ ปะทะกับใบหน้าพอให้ผ่อนคลาย ผมเงยหน้ามองฟ้าหม่นๆ สีน้ำเงินคล้ำ มีประกายดาวไม่มากนัก คืนนี้ไม่มีดาวเลย
ผมเปิดไลน์ที่มีข้อความทิ้งไว้เยอะแยะก่อนจะกดไปที่ชื่อของไอ้แกน บางทีมันควรจะถึงเวลาแล้ว
Deen:พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่ามาเจอกันหน่อย–
ผมทิ้งข้อความไว้ไม่คิดว่ามันจะตอบกลับมาเร็วนัก ไลน์เด้งกลับมา
Gan:ว่าง ที่ไหนดี
Deen:ไม่รู้
ผมยังไม่ได้คิดว่าจะเป็นที่ไหน อาจจะที่คณะตามปกติ
Gan : เดี๋ยวกูนัดเอง
Deen : เออ
Gan : นึกว่านอนแล้วซะอีก
อีกฝ่ายยังไม่จบมีตอบกลับมา ผมถอนหายใจออกมา ขี้เกียจพิมพ์ตอบโต้มัน เลยปล่อยไว้แบบนั้น
Gan : ฝันดี
ผมจ้องข้อความที่ปรากฏอยู่นาน ในใจรู้สึกประหลาดเหมือนดอกไม้ไฟที่เพิ่งจุด มันไม่ใช่ความยินดีอะไรแบบนั้นแต่เหมือนอะไรบางอย่างที่เริ่มฟุ้งกระจายต่างหาก
บางทีผมควรจัดการกับตัวเองอย่างจริงจังสักที
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # ** 28 part 1 UP ** # 10.03.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 10-03-2016 11:11:48
ใช่ๆ น่าสนุกดีจริงๆ 55555 งานนี้พี่ท็อปคงได้เห็นวิถีชีวิตในอดีตของน้องสองเต็มตาแน่ๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # ** 28 part 1 UP ** # 10.03.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 10-03-2016 11:12:47
ขอบคุณมากค่ะที่มาต่อ
ชอบมากเลย กำลังจะสนุกหรือว่าจะวุ่นวายกันหนอ
ทุกคนย่อมมีอดีตเนอะ   :mew1: 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # ** 28 part 1 UP ** # 10.03.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Dak ที่ 10-03-2016 19:54:01
คงเป็นงานที่สนุกจริงๆ ประโยคนี้มันส่อแววสนุกจริงๆ5555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 6
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 11-03-2016 06:43:26
-ผิง-
ตอนที่ 6 พักเบรกไปสักพัก

   ในช่วงว่างจากงานคณะหรือไม่มีเรียน ผมไปจัดการเรื่องพาสปอร์ตเรียบร้อยแล้ว ใจจริงผมชักไม่อยากไปแล้วล่ะสิ ก็ตื่นเต้นอยู่หรอก แต่ในเมื่อสัญญากับไอ้ยิมแล้วผมไม่อยากบ่ายเบี่ยง ผมหาข้อมูลที่ท่องเที่ยวในฮ่องกงมาบ้าง ผมสนใจพิพิธภัณฑ์ศิลปะของฮ่องกง ดูเหมือนว่าไปครั้งนี้คุ้มน่าดูเพราะบริเวณใกล้เคียงก็มีพิพิธภัณฑ์อย่างอื่นอยู่หลายแห่ง ส่วนไอ้ยิมมันไปฮ่องกงครั้งนี้เหมือนไปเซอร์เวย์ มันคอนเฟิร์มกับผมแล้วว่าไปฝึกงานที่เกาลูนจริงๆ ผมออกจะอึ้งอยู่บ้าง แต่ก็เข้าใจไอ้ยิมมันจริงจังเรื่องเรียนและงานของมันมาก ที่บ้านป๊ากับม้ามันสนับสนุนเต็มที่ อีกอย่างไปอยู่เกาลูนมีน้าสุคอยดูแลด้วย สองสามวันก่อนมันเก็บของในห้องเรียบร้อยแล้ว ประมาณว่าเตรียมย้ายได้เลย แต่ก็จะมีของจำเป็นอยู่เพราะมันต้องกลับมาพรีเซ้นส์โปรเจกต์ที่มหาลัยก่อนที่จะรอรับปริญญา

     กว่าจะเดินทางมายังฝั่งเกาะเกาลูน เริ่มต้นออกเดินทางที่ไทยตอนเช้าตรู่ถึงเกาลูนประมาณเก้าโมงเช้ากว่าๆ อันที่จริงต้องเป็นสิบโมงครึ่งถ้ายึดตามเวลาของฮ่องกง อากาศเย็นกว่าบ้านเรา ไอ้ยิมจองโรงแรมไว้แถวๆ ถนนนาธาน ผมกับไอ้ยิมเลยนอนพักสักหนึ่งชั่วโมงคลายความอ่อนเพลีย   


เมื่อตื่นขึ้นมาเห็นไอ้ยิมนอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ผม มันสวมแว่นตาทรงใหม่ แต่กรอบสีฟ้าเช่นเดิม ไอ้ยิมมองหน้าผม
“หายเหนื่อยหรือยัง ไปเดินเล่นกันไหม เผื่อเจอของถูกใจ” ไอ้ยิมเอ่ยชวน ผมเห็นด้วย เขตนี้แหล่งชอปปิ้งเยอะ
“หิวอะ แวะกินเกี๊ยวกุ้งท่าจะดี” ผมพูด หยิบกระเป๋าสะพายติดตัวมา
“อือ เดี๋ยวพาไปกินร้านอร่อยๆ” ไอ้ยิมทำหน้าที่ไกด์ที่ดี
เราฝากท้องมื้อแรกกับร้านเก่าแก่ประจำย่านนี้ที่อยู่ในตลาด ไอ้ยิมมันพามาที่นี่เพราะมันอ่านจากไกด์บุ๊ก ในละแวกเดียวกันนั้นเต็มไปด้วยร้านอาหาร ได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ที่พูดคุยเสียงดังเป็นภาษาจีนหมดเลย เล่นเอาผมเอ๋อ สั่งโจ๊กหมูกับปลาเสิร์ฟคู่กับปาท่องโก๋ อันที่จริงอาหารของที่นี่ผมพอกินได้นะ มันๆ เลี่ยนๆ ไปหน่อย พอรู้ราคาเล่นทำผมอึ้งไปเหมือนกัน แพงฉิบ แต่ก็คุ้มกันนั่นแหละ
สิ่งที่น่าเสียดายคือผมตั้งใจว่าจะไปดูงานแสดงภาพพู่กันจีนแต่พิพิธภัณฑ์กำลังปิดปรับปรุง ไอ้ยิมกับผมเลยนั่ง MTR ไปลงที่ฝั่งฮ่องกง เพื่อไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่หาด repulse bay ต่อรถเมล์ไป มีไอ้ยิมไปด้วยก็เหมือนถือไกด์บุ๊ก ผ่านไปสามสิบนาทีก็เริ่มเห็นหาดและเห็นตึกสูงที่มีรูตรงกลาง ผมกับไอ้ยิมลงที่นี่ ไอ้ยิมสาธยายเรื่องการเปิดฮวงจุ้ย บริเวณชายหาดค่อนข้างสงบและไม่ค่อยเหมือนบ้านเราเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่ามาพักผ่อน
“นั่งเล่นสักหน่อยค่อยไปไหว้พระ” ไอ้ยิมบอกก่อนจะชวนให้ผมนั่งแถวริมหาดทราย เลือกทำเลที่คนไม่พลุกพล่านมากนัก ที่ผมชอบมากที่สุดก็อากาศของฮ่องกงที่ไม่ร้อนไม่หนาว คงเพราะฝนกำลังจะตกหรือเปล่าไม่แน่ใจเพราะมันดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน ผมมองคนที่มานอนเล่นอยู่ริมหาดอย่างใจลอย
“มึงมาที่นี่บ่อยไหม”
“ก็ไม่บ่อยนะ เพราะทัวร์มาลงเยอะ กูชอบเที่ยวฝั่งเกาลูนมากกว่า” มันบอก ผมพยักหน้าเข้าใจ ฮ่องกงก็แหล่งชอปปิ้งพอๆ กับฝั่งเกาลูนนั่นแหละ นั่งเล่นกันสักพักไอ้ยิมก็ไม่ได้หาโอกาสทำโรแมนติกใส่ผม ก่อนจะพากันไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม คนเยอะพอสมควรเพราะเจอทัวร์คนไทย ส่วนใหญ่คนไทยน่าจะมาที่นี่กันเยอะ ป้ายบูชาเจ้าแม่กวนอิมยังมีภาษาไทยเลย ผมเลยไปต่อคิวขอพรให้มีโชคลาภเรื่องเงินทอง ไอ้ยิมมันขำนิดหน่อย
ผมไม่ได้สนใจเรื่องความเชื่อสักเท่าไหร่อาจเพราะไม่ใช่คนเชื้อสายจีนที่เหมือนจะเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยอะไรทำนองนี้ แต่ไอ้ยิมมันคะยั้นคะยอให้ผมเดินข้ามสะพานต่ออายุ มีรูปปั้นสัญลักษณ์มงคลของจีนหลายอย่าง จนมาถึงรูปปั้นสิงห์สองตัว ไอ้ยิมมันอธิษฐานด้วยล่ะ ผมเห็นมันเป็นคู่ๆ ก็พอจะเดาได้ เห็นมันขอพรผมเลยทำตาม
“อธิษฐานอะไรเหรอ” ผมกระซิบถาม ไอ้ยิมแค่ยิ้มไม่ตอบ “โอเค กูก็ไม่ได้โง่นะ” ผมพึมพำ
ในใจมีหลายเรื่องผุดขึ้นมา เรื่องของผมกับไอ้ยิม ผมเองเหมือนมีความลังเลขึ้นมานิดหน่อย ไอ้ความรู้สึกที่ว่ามันสั่นคลอนความเชื่อของผมพอสมควร ผมกับไอ้ยิมจะเป็นคู่แฟน เป็นคู่รักกันได้ไหมนะ... ผมพร้อมจะเปิดใจให้มันได้แค่ไหน... ในเวลานี้ผมสามารถมองไอ้ยิมเป็นอะไรกันแน่ในความรู้สึกของผม ผมไม่อยากคิดมากเลย
ขอพรให้ผมกับไอ้ยิมอยู่ด้วยกันไปนานๆ ก็แล้วกัน
“เสร็จละ” ผมยิ้มบอก ไอ้ยิมดึงแขนผมให้เดินไปดูอาคารเก๋งจีน มีคนต่อแถวไหว้กันแต่ผมไม่ได้ขึ้นไป แค่ถ่ายรูปเก็บไว้ก็พอ
เนื่องจากทั้งผมและไอ้ยิมไม่อยากไปดิสนีย์แลนด์เลยไปที่โอเชี่ยนปาร์คเป็นสวนสนุกและแหล่งอนุรักษ์เพาะพันธุ์สัตว์น้ำหลายชนิด ผมอยากไปดูแมวน้ำมาก มันน่ารักดีนะ ไอ้ยิมเองก็ยังไม่เคยมาที่นี่เหมือนกัน มันคงไม่ชอบพวกเครื่องเล่นแหงๆ ไอ้ยิมมันชอบแพนด้าด้วยล่ะ แต่ไม่ได้เข้าไปเพราะมันเคยมาเห็นแล้ว ที่นี่แบ่งออกเป็นโซนวอเตอร์ฟร้อนท์ มันเลยชวนผมไปด้านบนเขาที่เป็นโซน The summit มีเครื่องเล่น ซึ่งต้องนั่งกระเช้าขึ้นไป แต่ถ้ากลัวความสูงก็นั่งรถไฟฟ้าไปได้
“ไม่กลัวความสูงนะ” มันถามผมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น รู้สึกดีแฮะเวลามีคนเป็นห่วง แต่มันถามไม่ดูหน้าตาผมเลย สภาพอย่างผมไม่กลัวความสูงอยู่แล้ว
“จิ๊บๆ น่า” ผมหัวเราะดึงแขนไอ้ยิมให้เดินไปด้วยกัน มันทำหน้าเหวอเล็กน้อย ผมชอบไปเกาะแกะไอ้ยิมเพื่อความสนุกส่วนตัวเพราะมันชอบทำตัวไม่ถูกอยู่เรื่อย ทางขึ้นกระเช้าตกแต่งสไตล์ฮ่องกงเก่าแก่แบบสมัยก่อน เหมาะแก่การถ่ายรูปมากๆ เนื่องจากทานอาหารกันมาแล้วเลยไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ไอ้ยิมพกแซนด์วิชติดมาด้วยเลยมีของกินรองท้องก่อนจะเข้าไปชมไฮไลท์หลักของโอเชี่ยนปาร์คที่โอเชี่ยนเธียเตอร์ นั่นก็คือโชว์แมวน้ำและปลาโลมา
คนแน่นขนัด ผมเหลือบไปมองหน้าไอ้ยิมระหว่างที่โชว์กำลังแสดงเห็นมันยิ้มด้วย ท่าทางดูผ่อนคลาย ผมเหลียวไปมองคนรอบข้างที่ไม่สนใจอะไรนอกจากโชว์ ผมหันกลับมาหาไอ้ยิมมองมือมันที่วางอยู่บนขาอย่างลังเล อยากจะจับมือมันเหมือนกันนะ แต่ก็นะ... จังหวะนั้นเจ้าโลมาที่กำลังแสดงก็กระโดดขึ้นมาพร้อมกันสามตัวอย่างสวยงาม ไอ้ยิมตบมือเปาะแปะประทับใจ จากนั้นไปต่อที่โซนขั้วโลกเหนือ มีเพนกวินหลายสิบตัวกับแมวน้ำตัวอ้วนนอนโชว์อยู่ เรานั่งรถไฟกลับไปยังอีกฝั่งของโอเชี่ยนปาร์ค ส่วนมากก็เดินชมนกชมไม้ดูสัตว์ฆ่าเวลาแต่คุ้มอยู่แหละ แวะไปดูบรรยากาศเมืองเก่ากับซอย Old Hong Kong ก่อนจะไปต่อคิวเข้าไปดูอควาเรียมสัตว์น้ำ กลับออกจากโอเชี่ยนปาร์คก็ปาเข้าไปหกโมงเย็นกว่าๆ
เมื่อมาฮ่องกงทั้งทีเลยไปเดินเที่ยวชอปปิ้งกระเป๋าให้แม่ซะหน่อย มีแหล่งน้ำหอมราคาน่าลองพอสมควรที่ไอ้ยิมมันชอบมากกว่า ผมเลยแวะไปดูรองเท้าผ้าใบฆ่าเวลา ผมไม่ได้สอยมาแต่อย่างใด
“มึงเป็นไกด์ มีร้านไหนอร่อยๆ มั่ง”
“อยากได้แบบไหนล่ะ”
“มาฮ่องกงจะมากินอาหารฝรั่งก็กระไรอยู่ เอาอาหารจีนสิ” ผมบอก ลองเปิดดูในไกด์บุ๊กส่วนมากแนะนำร้านดังๆ ทั้งนั้น ราคาทะลุปอดทะลุพุงพอสมควร แต่ไอ้ยิมมันรู้จักคนในพื้นที่ น้าสุแกแนะนำร้านอร่อยให้หลายร้านแถวเซนทรัล เป็นร้านอาหารธรรมดาเลยสั่งผัดหมี่ ติ่มซำ ผัดผัก ก่อนที่จะไม่พลาดแวะทานขนมหวานร้านดังที่คนแน่นตามปกติ หลังจากนั้นก็ไป Hollywood road นี่คือสิ่งที่ผมตามหาสตรีทอาร์ตของที่นี่สวยๆ ทั้งนั้น ผมเดินดูของซะลืมคนที่อยู่ข้างกายเลย มันไม่ได้พูดอะไรมากแค่เออออตามผมเท่านั้น ผมแอบคิดว่ามันคงเบื่อหรือเปล่านะ ผมกับมันดูเหมือนจะคนละสไตล์กันเลยด้วยซ้ำ อยู่ๆ ก็นึกถึงหน้าป๊าไอ้ยิมขึ้นมา เมื่อเทียบกับครอบครัวผมแล้วยิ่งคนละอารมณ์กันเลยล่ะ
ผมกับไอ้ยิมเดินเตร่ตามถนนแวะตามซอกซอยที่มีแหล่งของแห้งขาย ระหว่างทางเดินไอ้ยิมหันมาหาผมบ่อยๆ อาจกลัวผมหลงทางหรือไม่ก็มีอะไรจะคุยด้วย
“มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามแอบสะกิดมือมัน ไอ้ยิมคว้าข้อมือของผมไว้ก่อนจะดึงผมให้ขยับมาเดินใกล้ๆ กัน มันยังไม่เคยจับมือของผมแบบจริงๆ เสียที มันไม่กล้าหรือมันรออะไรอยู่ หรือต้องให้ผมเริ่ม นั่นสิ ผมมันไม่ค่อยเขินอายเท่าไหร่ล่ะมั้ง ผมมองมือของอีกฝ่ายที่กำรอบข้อมืออยู่
“คิดอะไรอยู่” มันขมวดคิ้วถาม จะว่าไปผมไม่รู้ว่าไอ้ยิมจะรู้สึกเหมือนผมไหม เหมือนกับว่าผมกับไอ้ยิมต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ที่นี่ หลังจากที่ได้เพิ่มความหวานที่ร้านอาหารของพ่อไปคราวนั้น เรียกว่าเดทได้ไหมนะ เหมือนกับว่าทุกอย่างมันเจือจางลงอย่างรวดเร็ว เหมือนผมกำลังอินกับอะไรสักอย่างได้ชั่วขณะเดียว ไม่ก็คงเพราะผมกังวลคิดเรื่องป๊าไอ้ยิมขึ้นมา
“อือ คิดเรื่องของมึงไง” ผมบอก ไอ้ยิมเปลี่ยนสีหน้าเป็นแปลกใจ แต่ก่อนที่มันจะเอ่ยปากพูดอะไร ไอ้ยิมพาผมมาที่ร้านน้ำชา สภาพร้านไม่ได้ตกแต่งสวยงามเหมือนเป็นร้านแบบดั้งเดิม คนเยอะพอสมควร ไอ้ยิมสั่งชากับขนมปังปิ้งให้ผม อร่อยแบบฮ่องกงนั่นแหละ ชารสชืดไปนิดนึง
ผมเหลือบมองหน้ามันเงียบๆ ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังก้มหน้าก้มตาเคี้ยวขนมปังปิ้ง
“มึงดูไม่เป็นตัวเองเลย” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมา ผมตกใจแทบสำลักชาเพราะมัวแต่ใจลอยมองผู้คนในร้านไปเรื่อย ทุกคนพูดคุยกัน มีความสุขกับครอบครัว คู่ของตัวเอง ผมคิดอยู่ในใจ ผมออกจะตกใจกับคำพูดของมันด้วยแหละ ผมหันกลับมาสนใจไอ้ยิม
“กูทำตัวไม่ถูกน่ะ” ผมบอกมัน ยิ้มแหยสำรวจใบหน้าของเจ้าตัวไปด้วย ไม่อายที่จะต้องสบตาของอีกฝ่าย แต่ไอ้ยิมกลับเป็นฝ่ายหลบตาผมแทน
“คิดมากเรื่องกูเหรอ” มันถามเบาๆ ผมเลยยื่นหน้าไปมองมันให้ชัดๆ บางทีก็อยากดึงแว่นของมันออกเพื่อที่มันจะได้มองหน้าผมตรงๆ ซะที
“เออ มีบ้าง จะไม่ให้คิดมากได้ไงวะ มึงมาฝึกงานที่นี่ ไม่รู้สิ กูแค่เหมือนโดนหลอกยังไงชอบกล” ผมหัวเราะระหว่างที่พูด เป็นเรื่องบ้าๆ ทำนองว่ามาทำให้ความหวังแล้วก็จากเราไป ผมมีประสบการณ์ด้านแห้วเยอะ เยอะจนชินซะแล้วถ้าจะถูกเขี่ยทิ้งอีก มันทำหน้าประหลาดใจ
“มึงเคยพูดไม่ใช่เหรอว่ากูไม่ใช่คนแบบนั้น” ไอ้ยิมพูดเหมือนกำลังตัดพ้อผม
บางครั้ง ‘เรา’ ก็ไม่เป็นตัวเราหรอก
“อืมก็ใช่ มึงไม่ใช่คนแบบนั้น” อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก อีกสิบปีผมกับมันจะยังอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดน่ะเหรอ
ผมว่าไม่... ผมไม่เชื่อเด็ดขาดเลย
ถ้ามองจากนิสัยของผมกับมัน มันเป็นคนจริงจัง บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจมันหรอก ยิ่งตอนมันทำงานเครียดๆ บางทีผมอึดอัด ถ้าหากผมไม่พูด มันก็จะไม่พูด แต่ยังดีที่ความสัมพันธ์ของผมกับมันไม่ได้พัฒนาไปถึงขั้นแฟน มันแค่อยู่ในระยะดูๆ ไปก่อน ถ้าใช่ก็คบ ถ้าไม่ใช่ก็.... แยกย้ายกันไป เป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกัน คิดแบบนี้แล้วผมก็เจ็บจี๊ดๆ นะ บางทีอาจจะดีกับมันก็ได้ ผมคิดในใจก่อนจะเตือนตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่าน
“งั้นเหรอ กูมาฝึกงานไม่ได้สนใจเรื่องอื่นหรอก” มันว่า ผมก็คิดแบบนั้น
“กูไม่ได้คิดเรื่องนั้นหรอก กูคิดถึงความสัมพันธ์ของมึงกับกูต่างหากว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน” ผมพูดให้มันเข้าใจ ผมไม่คิดว่าคนอย่างไอ้ยิมจะไปมองคนอื่นขณะที่กำลังคุยกับผมอยู่หรอก ไอ้ยิมถอดแว่นออก ได้ยินเสียงมันถอนหายใจ ผมทำให้มันรู้สึกไม่ดีเข้าซะแล้ว
“ทำไมวะ”
“ยิม มึงกับกูคบกันได้นะเว้ย หมายถึงกูพอใจกับสถานะแบบนี้ ไม่รู้สิ ถ้าต้องเปลี่ยนเป็นแบบอื่น กูจะยังโอเคอยู่ไหม หรือว่ามันอาจจะมีอะไรเปลี่ยนไปก็ได้” การเลื่อนขั้นมาเป็นแฟนอาจมีปัญหาจุกจิกยิบย่อยตามมา แต่การตัดสินใจแบบนี้ถือว่าผมผิดคำพูดที่ให้ไว้ อันที่จริงตอนที่ไปเที่ยวแม่สอดด้วยกันผมก็สัญญาว่าจะตอบแทนมัน แน่นอนเรื่องเงินที่ติดมันไว้ ผมต้องใช้คืน แต่ไอ้คำที่บอกว่าจะชดใช้ให้... ผมยังคิดไม่ตกว่าจะทำอะไร
เหมือนคำพูดของผมจะทำให้ไอ้ยิมไม่เจริญอาหาร มันดื่มน้ำเปล่าไปหลายอึกก่อนจะมองหน้าผม
“มึงคิดมากตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เพราะความไม่คิดมากของผมอาจทำให้มันเสียเวลาหรือเปล่านะ แน่นอนล่ะ ผมมีความสุขที่อยู่กับไอ้ยิม แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกในทำนองมากไปกว่าเพื่อน อาจจะพิเศษกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แบบแฟน บางครั้งความจริงเป็นสิ่งโหดร้ายและน่ากลัว
“กูไม่คิดมากไม่ได้หรอกยิม” ผมพูด จะมาสนุกๆ เรื่อยๆ แบบนี้ไม่ดีต่อความรู้สึกของใครทั้งนั้น
“อยากไปไหนต่อดีล่ะ นึกว่ามึงจะปล่อยให้กูเที่ยวแบบสบายใจซะอีก” มันบ่นก่อนจะหยิบแว่นมาสวมตามเดิม ผมเม้มปาก
อืม ก็ถูกของมัน เสียอรรถรสไปเลย
ตอนนี้ก็มืดแล้ว ไอ้ยิมมันพาผมไปเตร่ที่ย่านลานไควฟงแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนขึ้นชื่อของฮ่องกง ผมกับยิมเลือกร้านที่เป็นบาร์ อยากนั่งดื่มมากกว่า ร้านที่เล็งๆ ไว้อยู่บนตึกชั้นสองแต่ยังไม่เปิด ไอ้ยิมเลยทำเป็นเสี่ยเลี้ยง มันแวะเข้าเซเว่นซื้อเบียร์มาสามสี่กระป๋องซึ่งราคาถูกกว่าในร้านเยอะ มานั่งดื่มแถวซอกบันไดที่ปลอดคนหน่อย
“เอาป่ะ” มันสะกิดไหล่ผมก่อนจะยื่นซองบุหรี่มาให้ ผมมองหน้ามัน ปกติไม่ค่อยเห็นมันสูบเท่าไหร่ ไหนๆ ก็ดื่มเบียร์ทั้งที ผมเลยหยิบมาหนึ่งมวน ไอ้ยิมจุดไฟให้ผมเงียบๆ ผมแอบมองมัน มันน้อยใจผมหรือเปล่านะ
“ไม่ค่อยเห็นมึงสูบเลยนี่” ผมถามก่อนจะเปิดเบียร์แล้วยกดื่มดับความว้าวุ่นในใจ ไอ้ยิมไหวไหล่ สังเกตดูถึงจะสูบบุหรี่แต่มันไม่ค่อยอัดควันเข้าไปเยอะ เหมือนแค่สูบนิดๆ หน่อย ระหว่างที่ดื่ม
“นานๆ ทีนี่หว่า มึงเบื่อหรือยัง”
“เปล่านะ สนุกดี” ผมบอก สายตาจับจ้องนักเที่ยวกลางคืนท่าทางสนุกสนานเดินผ่านไปมาตามถนน ไอ้ยิมพยักหน้า
“เฮ้อ กูคงคิดมากไม่ก็มึงคิดน้อยไป” มันพึมพำ
“...กูไม่ได้จะเลิกคบมึงนะยิม” ผมมองหน้าคนข้างๆ ที่สายตาหลุบต่ำมองกระป๋องเบียร์ในมือที่กำลังบีบกระป๋องเบาๆ
“พรุ่งนี้คงเที่ยวอยู่แถวจิมซาจุ่ยนั่นแหละ ตอนสายๆ ไปวัด มึงชอบกินเดี๋ยวกูพาไปชิมของอร่อยๆ” มันบอก ผมผงกหัวตาม มันกำลังกลบเกลื่อนสินะ นิสัยแย่จริงๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing part 1 # 11.03.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: sindy ที่ 11-03-2016 14:50:06
 :กอด1:
คู่นี้มาแบบเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing part 1 # 11.03.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 11-03-2016 19:17:54
 :katai2-1:    ยินดีกับทั้งคู่นะ ถึงจะไม่มีอุปสรรคขวากหนามมากมายแต่เราเชื่อนะว่าทั้งสองคนชอบกันด้วยความจริงใจ
แกะซองเลยอาผิง อิอิ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing part 1 # 11.03.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 11-03-2016 20:36:27
ผิงยิมน่ารัก สบายๆๆๆดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing part 1 # 11.03.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 11-03-2016 20:57:52
นึกว่าตาฝาดดดดดดดดด คิดถึงคู่นี้  :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing part 1 # 11.03.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 12-03-2016 22:31:53
ฝั่งสองกับพี่ท็อปนี่ท่าทางจะวุ่นวายน่าดู 555555555
กิ๊กเก่านี่เจอแน่ๆ เจอแน่นอน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing part 1 # 11.03.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 13-03-2016 12:47:20
เพิ่งมาตามอ่าน ชอบขนุผิงกับพี่ท็อปมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing part 1 # 11.03.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: poisongodx ที่ 15-03-2016 21:05:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Phing part 1 # 11.03.59 P.22
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 07-05-2016 17:14:24
ลืมไปเลยว่าตามเรื่องนี้อยู่ เมื่อไหร่จะมาจ๊ะคิดถึงนักเขียนและหนุ่มๆแล้ว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 22 กลับบ้าน 2
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 03-06-2016 20:17:55
ตอนที่ 22 กลับบ้าน 2


“อ๋อ ช่วงนั้นผมเบื่อๆ เซ็งๆ ...”ผมบอกอย่างไม่คิดอะไร เอาจริงไอ้โจ้มันก็หน้าตาดีแบบที่ผมชอบเลย แต่มันก็ผ่านมานานแล้ว ปัจจุบันนี้ผมก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน พี่ท็อปหันมองเอ่ยเสียงเรียบๆ
“อือ สเปกมึงว่างั้นเหอะ”
“เมื่อก่อนไง ตอนนี้ผมไม่ได้คิดอะไรกับมันซะหน่อย”ผมบอกไปตามตรง ค่อยๆเดินหลบคนที่สวนไปมา สองข้างทางมีร้านอาหารทั้งของคาว ของหวานละลานตา ทำให้ในบางครั้งก็ต้องเจอกับฝูงคนเบียดเสียดไปบ้าง 
“หึ มึงนี่ใช่ย่อยนะ ตอนนั้นมันมีผัวอยู่แล้วมึงยังไปยุ่งกับมันอีก ได้ข่าวว่าเป็นเพื่อนๆ มึงเองไม่ใช่เหรอ”พี่ท็อปเอ่ยขึ้นมา ผมแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องเก่าๆ ผมหัวเราะ
“ก็เพื่อนไม่สนิทเท่าไหร่ แต่เรื่องมันตั้งนานแล้ว...ไอ้คิวบอกพี่เหรอ”ผมถาม เจ้าตัวส่งเสียงตอบกลับมา “อือ กูถามมัน”
“หึงด้วยเหรอ”ผมถามเล่น ๆ 
“เออดิ ดูสิเนี่ย ยังมาเจอมันอีก แล้วมันยังทำท่าจะกินมึงซะขนาดนั้น”พี่ท็อปแดกดัน เปลี่ยนมาจับข้อมือผมไว้แทน อย่างน้อยก็ไม่ทำประเจิดประเจ้อเท่าไหร่ ผมยื่นหน้าไปใกล้กับไหล่ของเจ้าตัว
“โธ่ ผมรักแฟนจะตาย ไม่รู้เหรอ”
“ให้มันจริงกูหิวแล้วไปหาอะไรกินเหอะ”พี่ท็อปยิ้มมุมปาก ก่อนจะเหลียวมองไปตามร้านค้าข้างๆ
“ไปหาก๋วยเตี๋ยวผัดกินดีไหมพี่ ผมเคยกินเจ้าประจำอร่อยสุดแล้ว”ผมบอก ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ยังมาขายอยู่อีกไหมเพราะผมเคยกินก็สี่ปีก่อน แต่ปกติเจ๊แกจะมาขายที่งานประจำปีของหมู่บ้านตลอด เดินหาอยู่นาน ร้านก๋วยเตี๋ยวผัดตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณที่ตักสลาก ผมเลยสั่งมาอย่างละสองห่อ จากนั้นก็เดินไปเจอร้านสักพอดีเลยแวะเข้าไปดูลายซะหน่อย
“อยากสักเหรอ”พี่ท็อปถาม 
“อือ ให้ผมสักป่ะ”ผมถาม แต่คงไม่เลือกสักที่นี่ คงไปหาร้านดีๆ สักมากกว่า
“เอาจริง?”พี่ท็อปเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ ผมเลยหัวเราะก่อนจะมองเข้าไปข้างในม่านที่มีคนกำลังเก็บอุปกรณ์สักอยู่ หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเพื่อนเก่า พอเงยหน้าสบตากับผมเท่านั้นแหละ ไอ้เต็งนั่นเอง ผมเจอกับมันอีกแล้ว
“เข้ามาดิไอ้สอง”มันเรียก ผมเลยบอกให้พี่ท็อปรอด้านนอกน่าจะดีกว่า ผมเดินเข้าไปด้านใน
“นี่ร้านมึงเหรอ”ผมถามอย่างแปลกใจ
“เปล่า ร้านลูกพี่กูเอง กูมาช่วยบ้างนิดๆ หน่อยๆ ที่จริงมีร้านในเมืองนู่นแต่เห็นว่ามีงานพี่แกเลยมาตั้งร้านดู”มันเล่า
“อือ ...กูว่าจะพูดเรื่องไอ้โจ้”ผมเริ่มเรื่อง อีกฝ่ายมองผมอย่างไม่แปลกใจนัก
“กูกะแล้ว แต่ไม่ต้องขอบจงขอบใจกูหรอกนะ ต้องขอบใจไอ้คิวที่ส่งข้อความมาหากู โชคดีที่พี่นาคอยู่ที่ร้านพอดี”
“อือแล้ว...” ผมว่าพอจะเดาเรื่องออกแล้ว “พี่นาคผัวมันไง หึ ไอ้โจ้มันชอบลองดี...มันก็กล้าไปคุยกับมึงนะ”
“ถึงว่ามันยอมถอยง่ายๆ”ผมพยักหน้า ที่แท้ก็กลัวผัวนี่เอง แต่ดูท่าพี่นาคอะไรนี่คงจะโหดพอตัว มาแค่ชื่อไอ้โจ้มันยังกลัว
“แล้วมึงจะกลับไปเรียนวันไหน เห็นว่ามาไม่กี่วัน” ไอ้เต็งถาม
“วันจันทร์ไง ...ยังไงก็ต้องขอบใจมึง”ผมยิ้มให้อีกฝ่าย อย่างน้อยก็เคยเป็นเพื่อนกัน ผมก็ไม่อยากมาตีหน้ารังเกียจอีกฝ่าย 
“อือ แต่มึงก็เปลี่ยนไปเยอะ” มันหัวเราะก่อนจะเหลือบไปมองพี่ท็อปที่อยู่ด้านนอกกำลังดูแบบลายสักไปพลางๆ
“จะให้กูเลวไปตลอดก็ไม่ไหว มึงก็รู้แค่เรื่องมิ้นท์กูแย่แทบตาย”ผมพูด พอพูดเรื่องเก่าทีไหร่ผมก็พลอยจะสลดใจทุกที ไอ้เต็งถอนหายใจเฮือกใหญ่ 
“เออ โคตรซวย มึงไปเหอะแฟนมึงมองกูตาเขียวปั๊ด”มันบอก ก่อนจะโบกมือไล่ผมไป  “งั้นกูไปแล้วนะ โอกาสหน้าเจอกันนะ”
“เออ แล้วนั่นเมียหรือผัว”อยู่มันก็เอ่ยถามขึ้นมา ด้วยสีหน้าอยากรู้ ผมคิดว่าแกล้งยียวนกวนประสาทมากกว่า เลยยิ้ม
“ให้มึงเดาเหอะ” ผมบอก ก่อนจะเดินออกมาโดยที่ไม่รอฟังคำตอบของมัน ผมเดินออกมาจากร้านสัก พี่ท็อปยืนมองผมอยู่ อีกฝ่ายหันมามอง“นานว่ะ”
“ป่ะ กลับกัน” ผมบอกก่อนจะแวะซื้อปลาหมึกย่างกับน้ำมะพร้าวเจาะสองลูก ระหว่างเดินกลับเจอกับพ่อพอดีเลยชวนผมกับพี่ท็อปไปจับสลากแลกของ ซึ่งพ่ออยากได้รางวัลใหญ่อย่างพวกตู้เย็น รถมอเตอร์ไซค์ เครื่องซักผ้า แต่พอไปตักสลากแลกของมาก็ได้แต่พวกจาน ตะกร้า แก้วพลาสติกกลับมาเท่านั้น
“ได้แต่ของแบบนี้ทุกปีไป” พ่อบ่น สุดท้ายกว่าจะเดินกลับถึงรถก็ต้องหิ้วของอีรุงตุงนังไปหมด พ่อไม่ได้เมามากเท่าไหร่ แค่ไปจิบเบียร์คุยกับเพื่อน เลยขับรถได้ปกติ ผมนั่งอยู่เบาะหลังกับพี่ท็อป สายตาพ่อมองมาที่ตุ๊กตาควายตัวนั้นบนตักของเจ้าตัวอยู่นาน
“นั่นไปเล่นมาได้หรือไง ยังกับเด็กแปดขวบ”พ่อบ่นงึมงำไปทั่วรถ น้ำเสียงไม่ได้เข้มงวดอะไร
“น่ารักไหมพ่อ”ผมหัวเราะใส่ พ่อแค่เหลือบตามามองหน้าผมผ่านกระจกด้านบนแทน ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ผมหันไปคุยกับพี่ท็อปต่อ ยื่นมือไปจับตุ๊กตาเล่น เนื้อผ้านิ่มมือดี
“น่าจะหาคู่ให้มันนะพี่ จะได้เหมือนเราไง”
“หึ ไม่เอาอะ ไม่อยากเป็นควาย”พี่ท็อปส่ายหน้าทันที 
“งั้นนกเอี้ยงเป็นไง”ผมพูดต่อขำๆ
“ยังเล่นไม่เลิกอีก”พี่ท็อปปราม ทำเอาผมหัวเราะออกมาได้ “ล้อเล่นน่า”ตลอดทางผมสังเกตได้ว่าพ่อเหลือบมองมาที่ผมกับพี่ท็อปอยู่ตลอดเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ
กว่าจะกลับถึงบ้านได้พ่อก็เหนื่อยล้าจนขี้เกียจทำขนมแตงไทยเลยขอไปทำตอนเช้า ผมไม่ได้ว่าอะไรเพราะอิ่มจากของในงานมาเหมือนกัน เมื่อขึ้นมาด้านบนพี่ท็อปก็เอนตัวลงนอนบนเตียงแรงๆ
“ปวดขาเลยว่ะ” พี่ท็อปยกขามาทุบๆ ผมเดินมานอนข้างเจ้าตัว เริ่มรู้สึกเพลีย พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน ผมหาวนอน ยื่นมือไปบีบขาให้อีกฝ่าย
“เดินแป๊บเดียวเองนะ” ผมว่า พี่ท็อปขยับมามองผมแทน
“อยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกันนะ เงียบดี”เจ้าตัวพูด ผมพยักหน้า 
“ผมก็ชอบบรรยากาศแบบนี้เหมือนกัน สโลว์ไลฟ์สุดๆ”บรรยากาศของที่นี่ไม่วุ่นวาย อากาศปลอดโปร่ง เหมาะแก่การมาพักสมองเงียบๆคนเดียว
“ไว้เรามาอยู่ด้วยกันดีไหม” พี่ท็อปคงพูดจริงเพราะสายตาที่มองผมไม่ได้ล้อเล่น
“ถ้าพี่อยู่ได้ ผมก็โอเคนั่นแหละ”ผมตอบ อีกฝ่ายยิ้มกว้าง ก่อนจะเหยียดขาแก้อาการเมื่อย ผมขยับหมอนเอามารองแผ่นหลังไว้ แล้วเอนพิง
“อือ...พรุ่งนี้พ่อชวนกูไปดูไร่ด้วยนะ”พี่ท็อปบอก ผมแปลกใจขึ้นมา “จริงเหรอ ให้ไปช่วยงานเหรอครับ”
“คงงั้นมั้ง เห็นว่าจะไปดูเครื่องปั่นน้ำนี่แหละ”เจ้าตัวบอก 
“พ่อท่าจะเอาจริงนะเนี่ย” ผมหัวเราะ รู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แค่นี้ก็ไม่มีเรื่องให้กังวลอะไรแล้วในเมื่อพ่อก็ยอมรับพี่ท็อปได้แล้วในระดับหนึ่ง
“ไม่รู้สิ...แต่พ่อเองก็ยังมองมาที่เราด้วยสายตาแปลกๆ อยู่นะ”อีกฝ่ายเอ่ยด้วยความกังวลชัดเจน ผมเงียบ ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีช่องว่างระหว่างกันอยู่
“คงอีกนานกว่าจะรับเราได้จริงๆ น่ะพี่ ผมก็ให้เวลาพ่อนะ เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยคบใครแบบเปิดเผยให้พ่อรู้ขนาดนี้” แบบมาเจอตัวเห็นหน้าจริงจังเป็นครั้งแรก พ่อคงต้องทำใจอยู่ พี่ท็อปพยักหน้า
 “แล้วเมื่อเย็นล่ะ คุยไปแค่ไหนแล้ว” ผมถาม พี่ท็อปแค่ยิ้ม
“ยังไม่ได้ครึ่งที่กูอยากจะคุยด้วยจริงๆ เลยแต่ก็โอเค”
“หึ มาทำให้อยากรู้อีกแล้ว” ผมส่ายหน้าแต่ไม่ได้คาดคั้นอะไรจากพี่ท็อป มันคงเป็นเรื่องดี อาจจะเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เลยหรือเปล่า แม้ผมจะคิดไปไกลถึงอนาคตเลยก็เถอะ ผมกับพี่ท็อปเข้าไปล้างตัวล้างหน้าก่อนเข้านอน พ่อมาเคาะประตูบอกว่าอย่านอนดึกเพราะต้องไปไร่ตอนเช้าอีก แอบส่งสายตาแปลกๆ มาให้ผมอีก
“มาหาข้าที่ห้องหน่อย” พ่อบอก ผมพยักหน้า พี่ท็อปยักคิ้วให้ผมส่งท้าย ผมเดินไปที่ห้องของพ่อที่อยู่ถัดไปอีกสองห้อง อีกห้องข้างๆ เป็นห้องเก็บของพวกหมอน ที่นอนรวมไปถึงเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้ว ผมเดินเข้าไปในห้องพ่อก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่ง พ่อทำเป็นจัดที่นอนกับหมอนให้เข้าที่เข้าทาง   
“มีอะไรอะพ่อ” ผมเอ่ยขึ้นมาก่อน
“เอ็งมีความสุขไหม”พ่อเอ่ยถาม ผมขมวดคิ้วมองก่อนจะพยักหน้าตอบ “หือ...มีสิพ่อทำไมอะ”ผมถามเสียงแผ่วก่อนจะมองหน้าพ่อที่ดูเหมือนจะตัดสินใจอะไรสักอย่าง
“อันที่จริงข้าไม่อยากให้เอ็งเป็นขี้ปากชาวบ้านเขา แค่นี้ก็มีแต่เรื่องเสียๆ หายๆ เยอะแยะ...แต่เห็นว่าไอ้ท็อปมันดูแลเอ็งได้ ข้าก็ไม่อยากบังคับอะไรเอ็งอีก”พ่อพูดเบาๆ ผมฟังแล้วใจหายไปด้วย
“ไม่เอาน่าพ่อ อย่าดึงให้เศร้าสิครับ พ่อน่าจะด่าผมบ้าง ถ้าพ่อไม่โอเค ไม่เห็นต้องเก็บไว้เลย”ผมตอบอย่างไม่สบายใจ เพราะแบบนั้นพ่อจะรู้สึกไม่ดีกับพี่ท็อปไปเปล่าๆ รวมถึงจะผิดหวังในตัวผมขึ้นไปอีก
“เปล่าๆ ข้ามีเหตุผลพอน่า...เอ็งก็โตแล้ว”พ่อมองผม แล้วเอื้อมมาจับไหล่ผมแน่น ๆ 
“มีใครพูดอะไรให้พ่อไม่สบายใจหรือเปล่า” ผมถาม เพราะพ่อดูแปลกๆ ไป สงสัยไปเจอใครเขาพูดเกี่ยวกับผมล่ะมั้ง
“มันก็มีบ้างแหละ...มีหลายเรื่องที่ไม่รู้เกี่ยวกับเอ็งอีกเยอะแยะ นี่ก็เพิ่งรู้เรื่องไอ้โจ้อะไรนั่น พอดีเจอไอ้จันพี่มันเข้า มันเลยมาบ่นๆ ให้ข้าฟัง”พ่อพูด ผมเลยเงียบ เรื่องนี้มันพอสร้างความเสียหายให้กับพ่อได้อีก ถึงเรื่องมันจะนานแล้วก็ตาม
“ขอโทษนะพ่อ”ผมตอบอย่างรู้สึกผิด พาลนึกไปถึงเรื่องของเฮียแกน ดีแค่ไหนที่พ่อไม่รู้เรื่องนี้ ผมตัดสินใจจะไม่บอกพ่อ ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ของเราคงแย่ยิ่งกว่าเดิม ในเมื่อผมได้เรียนรู้มากขึ้น ผมก็จะไม่กลับไปทำตัวเสียหายแบบนั้นอีก มันไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ที่ตัวผม มันส่งถึงพ่อด้วย เมื่อก่อนผมไม่ได้คิดมากเท่านี้ คนถึงบอกว่าว่าเวลาลูกทำผิด พ่อแม่ก็โดนลากมาด่าด้วย เหมือนที่ได้ยินกันบ่อยๆว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน เป็นคำตราหน้าที่เลวร้ายมาก
“อือ เอ็งก็พูดอยู่บ่อยๆ”พ่อพูดเสียงเรียบเฉย ทำเอาผมหน้าเสีย
“พ่อครับ ผมเสียใจนะเนี่ย ผมพูดจริงๆนะ รวมถึงเรื่องมิ้นท์ด้วย พ่อไม่ต้องห่วงนะ ผมเคลียร์ไปแล้ว...” ผมบอก อย่างนอยก็เล่าเรื่องของมิ้นท์ให้ฟังเพียงอย่างเดียว
“ข้าทำใจได้แล้ว...เอาเหอะ แค่ตอนนี้เอ็งใช้ชีวิตให้ดีก็พอ ส่วนเรื่องไอ้ท็อป...ข้าไม่ห้ามหรอกนะ มันก็โตๆกันแล้ว”พ่อบอกก่อนจะมองหน้าผมนิ่งๆ ผมพยักหน้า ในใจรู้ว่าพ่ออยากจะพูดอะไร แต่อีกฝ่ายเป็นคนแข็งกระด้างคงไม่สันทัดเรื่องแสดงความรู้สึกมาก อีกอย่างยิ่งพ่อกับลูกชายอย่างผมด้วย
“ครับ...พ่อไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตอนนี้ผมลดๆ พวกเหล้าพวกบุหรี่บ้างแล้ว”ผมบอกให้พ่อคลายความกังวลไปบ้าง
“อือ ดีแล้ว อะ มึงไปได้แล้วกูจะนอน ปิดไฟให้กูด้วยล่ะ” พ่อบอกก่อนจะโบกมือไล่ผม
“ฝันดีนะพ่อ” ผมบอกก่อนจะลุกไปเก็บเก้าอี้ไว้ที่เดิมแล้วปิดไฟก่อนจะออกจากห้อง ในใจผมรู้สึกแปลกไปหลายๆ อย่าง แต่ยังไงซะเราก็ต้องผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปให้ได้ ผมเดินกลับมาที่ห้องเห็นพี่ท็อปนอนอยู่ เปิดโคมไฟไว้ก่อนแล้ว
“งั้นผมปิดไฟนะ” ผมบอกก่อนจะเดินมาปิดไฟ
ผมกับพี่ท็อปไม่ได้พูดอะไรเพราะเหมือนจะมีเรื่องในใจกันอยู่แล้ว อีกอย่างทุกคนมีพื้นที่ของตัวเองไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวกันไปตลอด ผมคิดว่าพี่ท็อปรู้ว่าพ่ออยากพูดอะไรกับผม และมันไม่ใช่อุปสรรคระหว่างเรา

เช้าวันรุ่งขึ้นผมกับพี่ท็อปลุกมาอาบน้ำทำธุระส่วนตัวกันเร็วกว่าปกติก่อนจะลงไปด้านล่าง เห็นว่าพ่อกำลังทำขนมแตงไทยอยู่แต่ใกล้จะเสร็จแล้วแค่นึ่งให้สุกเท่านั้น ผมเองยังไม่เคยกินขนมแตงไทยเคยได้ยินแต่ชื่อเพราะสมัยนี้ไม่ค่อยทำกันแล้ว
“ไม่ต้องเครียดไปหรอก แค่พาไปดูไร่เปิดหูเปิดตาหน่อยเท่านั้นเอง ข้าจะใช้งานแค่ไอ้สองมันเท่านั้นแหละ” พ่อว่า
“แล้วไร่เรานี่ได้เลี้ยงสัตว์บ้างยังอะ” ผมถาม จะว่าไปผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับไร่สักอย่าง ขาดเหลืออะไรผมก็ไม่เคยรู้ พี่ท็อปมองหน้าผมอย่างตำหนิ
“ว่าจะเลี้ยงปลากับเป็ด แต่ต้องดูอีกทีเพราะต้องหาคนดูแลอีก” พ่อบอก
หลังจากทานข้าวมื้อเช้าจนอิ่ม ขนมแตงไทยก็สุก เลยช่วยพ่อนำขนมออกมาใส่ใบตอง กลิ่นหอม มีสีเหลืองนวล คล้ายกับขนมกล้วย
“ข้าก็ลองทำดู รสชาติเป็นยังไงบ้าง” พ่อถาม
“มันหวานๆ หอมๆ ดีนะพ่อ”
“ข้าถามไอ้ท็อปมัน”พ่อหันมาแว้ดใส่ ทำเอาผมเบ้ปากมองพี่ท็อปกำลังหัวเราะ “อร่อยดีครับ เพิ่งเคยกินเหมือนกัน”เจ้าตัวบอก
“อือๆ จำสูตรไว้สิ จะได้เอาไปทำกิน...ทำเป็นไหม”พ่อถามพี่ท็อป 
“ผมเข้าครัวไม่ค่อยเป็นน่ะครับ แต่ก็พยายามอยู่”พี่ท็อปตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ พลางเหลือบมองมาที่ผมบ้าง
 “ผมทำเป็นนะพ่อ ก่อนกลับพ่อจดสูตรไว้ดิ”ผมบอกแล้วยิ้ม พ่อหัวเราะหึๆก่อนจะส่ายหน้าแล้วบ่นงึมงำ เมื่อเข้าช่วงสายมากแล้ว พ่อก็เก็บของไปไร่พร้อมๆกัน ผมกับพี่ท็อปเลยหาหมวกติดไปคนละใบ
พ่อผมมีไร่เล็กๆ ชื่อว่าอรุณตามชื่อจริงของปู่ ปกติไร่จะทำมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่เพิ่งมาตั้งชื่อเมื่อห้าหกปีนี่เอง เป็นไร่ไม่ใหญ่มาก เลยมีคนงานประมาณ 10 กว่าคนเท่านั้น ส่วนใหญ่จะดูแลเรื่องวัชพืช เรื่องการเก็บผลผลิต ไร่แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ พวกพืชสวนครัวกับพวกผลไม้ ส่วนมากเป็นพืชดูแลง่าย โตเร็ว และขายได้ตลอดฤดูกาล เช่นกล้วย แตงไทย ฝรั่ง ส้มบางสายพันธุ์
 “ไอ้สอง มึงขับรถไปดูน้ำในแปลงผักชีให้หน่อย กุญแจเสียบอยู่ที่รถนะ” พ่อชี้ไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ รุ่นเดอะมาก ผมเดินไปที่รถเห็นว่าพ่อกับพี่ท็อปเดินไปทางด้านของเครื่องปั่นน้ำ ผมสตาร์ทรถสองสามรอบถึงจะติด เสียงเหมือนรถอีแก่ที่ดังแต๊กๆ ไปตลอดทางขรุขระ ผมมาถึงแปลงผักชี ยังเป็นต้นอ่อนเล็กๆ อยู่เลย มีสปริงเกอร์ติดอยู่เป็นช่วงๆ เป็นแนวยาว ผมเดินไปเปิดสวิตช์ไฟ สปริงเกอร์หมุนช้าๆ พ่นน้ำออกมาเบาๆ ไม่แรงมากนักไม่อย่างนั้นผักคงช้ำ ผมเดินไปตามคันดินสูงที่แบ่งโซนเป็นผักบุ้ง มีผ้าสแลนสีดำกางไว้เป็นทางยาวเพราะยังเป็นต้นเล็กๆ อยู่ จากนั้นก็เดินไปนั่งพักใต้ร่มไม้ใกล้ๆ กัน คิดไปคิดมาถ้าผมหางานทำไม่ได้จริงๆ คงกลับมาช่วยงานพ่อที่ไร่ ส่วนเรื่องศิลปะก็เป็นงานอดิเรกไว้ทำขายก็พอ เพราะอยู่แบบนี้มันสบายดี ไม่ต้องไปเป็นลูกน้องใคร แถมยังไม่ต้องมีชีวิตแบบเร่งรีบเช้าชามเย็นชามอะไรแบบนั้น
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 22 /2 (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 03-06-2016 20:19:51
ตืด ตืด ตืด
ผมสะดุ้งเพราะกำลังคิดอะไรเพลินๆ พี่ดีนโทรมา มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ผมกดรับ
“หวัดดีครับ”
[ได้ข่าวว่ากลับบ้านเหรอ] พี่ดีนเอ่ยถามทันที ผมฟังจากน้ำเสียงแล้วดูเหมือนเครียดเพราะเสียงต่ำๆ
“ครับ เดี๋ยวก็กลับไปมอแล้วพี่... แล้วมีอะไรหรือเปล่าเนี่ย” ผมถามอย่างเป็นห่วง 
[ห่วงกูด้วยเหรอ] พี่ดีนหัวเราะเบาๆ
“ก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา เพราะพี่ทำตัวให้น่าเป็นห่วงจริงๆนี่”ผมบอก เพราะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเจ้าตัวมาบ้างเรื่องของมึนเมาที่แกใช้ ไม่คิดว่าพี่แกจะเครียดถึงขนาดต้องใช้ของพวกนั้น มันน่าเป็นห่วงจริงๆนั่นแหละ
[อืม แค่อยากโทรมาคุยด้วย...] พี่ดีนพูดเบาๆ ตอนนี้ผมยังคงไม่เข้าใจอีกฝ่ายอยู่ดี ตกลงพี่เขาคิดจริงจังกับผมหรือเปล่า
“ว่ามาสิ อยากคุยอะไรล่ะครับ” ผมยอมพูดดีๆ ด้วยเพราะท่าทางไม่ได้มาคุกคามอะไร
[...ไม่รู้สิก็แค่อยากคุยกับมึงบ้าง]
“....” ผมเลยเงียบเพราะไม่รู้ว่าเจ้าตัวต้องการอะไรจากผมกันแน่ แต่สำหรับพี่ดีนคงอยากหาเพื่อนคุยหรือคนรับฟังหรือเปล่า อาการน่าเป็นห่วงจริงๆ ซะด้วย เมื่อผมเงียบ อีกฝ่ายก็เงียบเหมือนกัน เป็นแบบนี้ราวสิบนาที ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจงใจหรือไม่ แต่ได้ยินเสียงหายใจจากคู่สนทนาอยู่
“มีอะไรไม่สบายใจล่ะสิ” ผมคงเดาไม่ผิดแน่ๆ
[อืม ก็เหมือนเดิม] พี่ดีนถอนหายใจเสียงดัง 
“ผมว่าพี่น่าจะหาสาเหตุที่ทำให้พี่เป็นทุกข์ได้แล้วนะ มันผ่านมานานแล้วที่เป็นแบบนี้”ผมทนไม่ไหวต้องบอกออกไป บางครั้งก็ไม่อยากให้พี่เขาต้องวนเวียนกับความรู้สึกที่หาทางออกไม่เจอ มันจะทำให้จิตตกได้ง่ายๆ หากไปพึ่งของมึนเมาแบบนั้นอีก ถลำลึกไปมากๆ แล้วจะกู่ไม่กลับ
[มึงนี่บวชได้เลยนะ] พี่ดีนพูดทีเล่นทีจริงเจือเสียงหัวเราะ ผมไม่ขำ
“ผมพูดจริงๆ นะ พี่จะได้เผชิญหน้ากับปัญหาได้เสียทีไง มันจะทำให้พี่รู้สึกแย่ได้น้อยลง จากนั้นพี่ก็จะเข้าใจอะไรๆ ได้ดีขึ้น” ผมบอก เหมือนก่อนหน้านั้นที่ผมกล้าเผชิญกับเรื่องพี่ท็อป ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตแบบไม่ได้คาดหวังอะไรมาก
[มึงควรบวชแล้วจริงๆ ด้วยว่ะ] อีกฝ่ายหัวเราะเสียงแข็งๆ ผมคิดว่าเจ้าตัวคงรู้นั่นแหละว่าปัญหามันคืออะไร
“ผมไม่รู้ว่าปัญหาของพี่มันใหญ่แค่ไหน แต่พี่ต้องยอมรับมัน แล้วแก้มันซะ ก็เท่านั้น พี่ก็จะมีความสุขแล้ว...” เอาจริงแล้วความสุขมันอยู่ไม่ไกลจากตัวเราหรอก และผมไม่ได้เก่งมาจากไหน แต่เวลาแบบนี้ควรแนะนำให้พี่ดีนได้คิดจริงๆ จังๆ เสียที จะได้มีความสุข ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจอะไรอีกฝ่าย แต่ไม่อยากเห็นพี่แกทุกข์ใจแบบนี้หรอก จะว่าไปแล้วเจ้าตัวก็สามารถเข้ามาในชีวิตผมได้สำเร็จ สามารถทำให้ผมเป็นห่วงได้ขนาดนี้ถือว่าได้ใจผมไปแล้วนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ในเชิงรักใคร่
[เฮ้อ.....] อีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไร ผมก็จนปัญญา
“แล้วทำอะไรอยู่ล่ะครับ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยบ้าง
[นั่งๆ นอนๆ รอส่งศิลปนิพนธ์] คงมีเวลาเยอะแยะที่จะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแน่นอน
“ฟุ้งซ่านล่ะสิ”
[ถูกของมึง] พี่ดีนหัวเราะ
“อยากพูดอะไรอีกหรือเปล่า” ผมถามเผื่อว่าเจ้าตัวอยากจะระบายอะไรออกมาบ้าง แต่ผิดคาดดันวกกลับมาเรื่องบายเนียร์ที่เคยขอผมคราวก่อน
 [ไม่มีอะไรหรอก แค่หาเพื่อนคุย งั้นแค่นี้นะ] พี่ดีนถอนหายใจอีกครั้ง อาจจะน้อยใจล่ะมั้ง
“แล้วเจอกันครับ” ผมบอก แต่อีกฝ่ายวางสายไปก่อนแล้ว เฮ้อ เป็นเด็กมีปัญหาจริงๆ ผมถอนหายใจพยายามไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งด้วยมากนัก  ผ่านไปสักพัก ผมต้องปิดสปริงเกอร์ เดี๋ยวน้ำท่วมผักชีเน่ากันพอดี จากนั้นก็เห็นว่าพี่ท็อปกำลังเดินมาทางนี้ อย่าบอกนะว่าเดินมาเอง 
“เพิ่งคุยกับพ่อเสร็จ” พี่ท็อปบอก นานเหมือนกันแฮะ คุยอะไรกันนักหนานะ ทำท่ามีความลับแบบเปิดเผยคงอยากให้ผมคลั่งตายเพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่ผมปลงแล้ว
“แล้วไปไหนต่อดี”
“พ่อบอกอยากทำอะไรก็ทำ เลยแวะมาหามึง”
“เดี๋ยวก็กลับแล้วให้น้ำผักเสร็จพอดี” ผมบอกพลางคิดว่ารถอีแต๊กคันนี้จะบรรทุกผมกับพี่ท็อปไหวไหมเพราะอาการมันหนักมาก ไม่รู้พ่อขุดมันมาจากขุมไหน แค่เบาะรองนั่งยังลอกออกมาเป็นแผ่น
“แอบคุยกับใครอีก เห็นนะเว้ย” พี่ท็อปว่า
“อ๋อ พี่ดีน” ผมบอกไปตามตรง จำได้ว่าพี่ท็อปไม่ค่อยชอบให้ผมยุ่งกับพี่ดีน แต่ในกรณีนี้ก็ไม่เชิงว่ายุ่งนะ
“แปลกนะ ทำไมมันชอบยุ่งกับมึงจัง” เจ้าตัวแค่มองหน้าผมแต่ไม่สนใจอะไรมากนักก่อนจะเดินไปดูแปลงผัก แล้วกวักมือเรียกให้ไปหา
“มีอะไรเหรอพี่” ผมเดินเข้าไปหา พี่ท็อปกอดอกหายใจเข้าเหมือนกำลังเรียกความมั่นใจ
“จำเรื่องที่กูเคยพูดกับมึงได้ไหม” จะว่าไปพี่ท็อปพูดกับผมหลายเรื่องนะ แต่ดูจากสีหน้าที่จริงจังขนาดนี้คงมีเรื่องเดียว
“ใช่เรื่องที่วางแผนอนาคตพี่บอกใช่ไหม” ผมพูด เรื่องนั้นผมยังตงิดในใจอยู่ แต่ไม่ได้อยากรู้มากมายอะไรขนาดนั้น พี่ท็อปความลับเยอะเหมือนเดิมเลยนะเนี่ย
“นั่นแหละ กูพูดกับพ่อมึงไปแล้วนะ...แล้วท่านก็อนุญาตแล้ว” พี่ท็อปยิ้ม ผมดีใจไปด้วยแต่มันไม่สุดเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะผมตื่นเต้นที่จะรู้
“อย่าบอกนะว่าจะขอแต่งงาน” ผมหัวเราะคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องนี้เพราะพี่ท็อปไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ มันไกลตัวเกินไป เรายังเด็กมาก พี่ท็อปแค่ส่ายหน้าเดินเข้ามาหาใกล้ๆ
“มึงคงไม่อยากเป็นเจ้าสาวหรอก”เจ้าตัวหัวเราะเสียงดัง ผมคิดเหมือนพี่ท็อป พ่อคงไม่อยากเห็นภาพนั้นแน่ๆ
“ตลกน่าพี่ ฮ่าๆ”
“กลับกันยังจะได้ไปดูส่วนอื่นด้วย” พี่ท็อปชวนเพราะยังดูไร่ไม่หมดเลย
“พี่จะขี่หรือซ้อนดีล่ะ” ผมถาม พี่ท็อปมองรถด้วยสายตาไม่แน่ใจก่อนจะมองหน้าผม
“กูขี่เอง มึงมาซ้อน” พี่ท็อปพูดอย่างนึกสนุกก่อนจะเดินไปที่รถคันเก่า กุญแจเสียบคาอยู่จึงแค่สตาร์ทแต่เหมือนเครื่องจะเก่าไปหน่อยมันดับไปก่อน พี่ท็อปนิ่วหน้าก่อนจะสตาร์ทอีกรอบก็ติดๆ ดับๆ หลายครั้ง
“รถมึงนี่รุ่นไหนวะ” พี่ท็อปบ่น ผมแค่มองอย่างสนุกสนาน
พี่ท็อปโมโหสตาร์ทเครื่องเต็มแรงเสียงดังลั่น ผมรีบขึ้นไปซ้อนก่อนที่มันจะดับ พี่ท็อปใส่เกียร์ออกรถไปช้าๆ ขี่ไปทางตรงกันข้ามกับทางเดิม สงสัยจะไปดูแหล่งน้ำท้ายไร่ล่ะมั้ง แถวนั้นน้ำใสมาก แต่สิ่งที่ต้องระวังนอกจากรถแล้วคือสภาพพื้นดินที่ไม่เท่ากัน พื้นไม่ได้เรียบ ส่วนมากจะมีพวกกรวดก้อนใหญ่กับเนินดินสูงต่ำไม่เท่ากันบ้าง เล่นเวฟกันสนุกสนาน
“จับดีๆ นะเว้ย” พี่ท็อปบอกเมื่อขี่มาถึงเนินดินสูงที่ทำไว้กั้นแปลงผัก อันที่จริงแปลงนี้ว่างมีแต่น้ำกับโคลนเอาไว้เวลาสูบน้ำจากห้วยที่อยู่ท้ายไร่ อยู่ๆ เครื่องก็ดับซะงั้น
“เชี่ยยย” พี่ท็อปสบถเหมือนจะควบคุมรถไม่ได้ คล้ายจะยางรั่วด้วย ไอ้ผมคนซ้อนไหวตัวได้ทันเลยกระโดดออกจากรถก่อนที่มันจะไถลลงไปในแปลงผักที่เต็มไปด้วยน้ำกับโคลนเต็มๆ
โครม!!
“ไอ้สอง ไอ้เวร” พี่ท็อปโวยวายหลังจากที่ไปแอ้งแม้งอยู่ในน้ำคนเดียว ผมยืนกลั้นขำอยู่บนคันดิน ดูสิเหมือนลูกหมาตกน้ำเลย พี่ท็อปดูท่าทางไม่ได้บาดเจ็บอะไรเพราะแหกปากด่าผมซะลั่นขนาดนั้น ส่วนรถอีแต๊กก็นอนจอดอยู่ข้างๆ เลอะโคลนไปหมด
“พี่ลุกไหวไหมเนี่ย มาๆ จับมือผมดิ” ผมบอกก่อนจะยื่นมือไปให้ พี่ท็อปยันตัวเองลุกจากน้ำ เสื้อผ้าเปียกเปื้อนไปหมดเพราะล้มไปทั้งตัวแบบนั้น พี่ท็อปมองตาขวางใส่พร้อมกับปัดมือผมทิ้ง
“ปล่อยกูเปื้อนคนเดียวอีก” เจ้าตัวส่ายหน้าก่อนจะลูบผมตัวเองไปด้วย ผมเข้าไปดูอีกฝ่ายเผื่อจะมีบาดแผล
“เป็นอะไรไหมพี่” ผมมองหน้าพี่ท็อปที่จ้องผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“เออ ไม่เจ็บหรอก แค่นี้เอง” พี่ท็อปทำหน้างอนๆ
“โอ๋ๆ เดี๋ยวไปล้างตัวที่ห้วยท้ายไร่ก็ได้ เดินไปอีกไม่ไกลเอง” ผมบอกก่อนจะดึงแขนพี่ท็อปให้เดินตามผมมา
“มึงวางแผนไว้หรือเปล่า จะแกล้งกูเหรอ” พี่ท็อปบ่นอยู่ข้างๆ ผมส่ายหน้า อะไรมันจะประจวบเหมาะขนาดนี้
“เปล่าครับ ผมคิดไม่ถึงว่ารถอีแก่นั่นจะบ้าๆ บอๆ ขนาดนี้” ผมหัวเราะเบาๆ พลางปัดเศษดินตามแขนพี่ท็อปออกให้ เจ้าตัวถอนหายใจเดินสะเปะสะปะอย่างอารมณ์เสีย ถ้าพ่อเห็นสภาพคงขำตายเลย
“แล้วได้ไปดูเครื่องปั่นน้ำไหมพี่” เปลี่ยนเรื่องคุยน่าจะดีกว่า พี่ท็อปเหลือบมองผม
“อือ ก็คุยๆ ว่าจะเปลี่ยนระบบใหม่ กูเลยแนะนำอะไรไปบางส่วน เพราะกูไม่ได้รู้เยอะแยะอะไรขนาดจะวางแปลนได้” พี่ท็อปบอก
ไม่นานก็เดินมาถึงท้ายไร่ สองข้างทางเป็นป่าไม่ทึบมีเส้นทางที่ทำไว้เป็นเนินต่ำลงไปด้านล่าง เดินไปไม่นานก็เห็นแอ่งน้ำขนาดเล็กเป็นสาย น้ำใสสะอาด มีโขดหินประปราย
“จะเจอคนงานไหมเนี่ย” พี่ท็อปชะเง้อมองไปรอบๆ บริเวณอย่างระแวงก่อนจะถอดเสื้อกับกางเกงออก ผมมองไปรอบๆ ตัว คงไม่มีใครอยู่แถวนี้ อีกฝ่ายเดินลงไปในน้ำที่ลึกประมาณช่วงเอว ถ้าเดินไปกลางลำห้วยคงลึกถึงอกแน่ๆ กระแสน้ำไม่แรงมาก อีกอย่างเจ้าตัวว่ายน้ำเป็นเลยไม่ต้องห่วง ผมนั่งรออยู่ที่ตลิ่งมองพี่ท็อปเล่นน้ำไปพลางๆ
“น้ำเย็นดีว่ะ มึงอยากเล่นไหม”อีกฝ่ายเดินมาใกล้ๆ ก่อนจะวักน้ำใส่ ผมเอี้ยวตัวหลบไม่คิดอยากจะเปียกตอนนี้ เสื้อผ้าก็ไม่มีเปลี่ยนด้วย
“ไม่เอาพี่”ผมบอกแล้วมองไปรอบบริเวณลำห้วยที่เงียบสงัด สมัยก่อนผมเคยคิดว่ามีนางเงือกในลำน้ำนี้เลยไม่กล้าลงไปเล่น คิดแบบเด็กแท้ๆ
“จะให้กูเปียกคนเดียวเหรอ...มานี่มา”พี่ท็อปยืนเท้าเอวมอง โชว์หุ่นขาวๆ กับขอบกางเกงในสีดำ ดีนะที่ใส่สีดำ ถ้าสีขาวคงเห็นอะไรต่อมิอะไรไปหมด “จ้องกูอีก”อีกฝ่ายหัวเราะ ก่อนจะกวักมือเรียก ไหนๆ แล้วเอาซะหน่อย
“โอเคๆ รอก่อนนะ” ผมถอดเสื้อออก โชคดีที่ใส่บ็อกเซอร์มาด้วย จะได้มีกางเกงเปลี่ยน ผมรีบลงน้ำเพราะเหลือแค่กางเกงในตัวเดียว ถ้าใครมาเห็นคงตากุ้งยิงแน่ๆ
“เสียวฟ้าผ่าเนอะ”ผมพูด พลางเงยหน้ามองฟ้าที่ไร้เมฆหมอก แสงแดดไม่เจดจ้าทำลายผิวนัก
“ไม่ได้ทำอะไรเสียหายซะหน่อย”พี่ท็อปเหลือบมองไปรอบๆ ตัวอย่างกกังวล “คงไม่มีงูนะไอ้สอง” อีกฝ่ายพูดเบาๆ ทำหน้าตื่นมองไปที่พงไม้รกๆ ที่ริมตลิ่งสองด้าน ผมส่ายหน้า คงไม่ซวยขนาดเจองูน้ำหรอก
“ไม่เจอง่ายๆ หรอกพี่ มีแต่งูของเรานี่แหละ”ผมหัวเราะออกมา 
“หึๆ งูหรือหนอนมึงพูดดีๆ” พี่ท็อปทำหน้าย่นก่อนจะสอดส่องมองมาใต้น้ำแถวช่วงล่างของผม เล่นน้ำกันได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงเหมือนคนพูดคุยกันจากด้านบน ผมกับพี่ท็อปเลยรีบขึ้นจากน้ำใส่เสื้อผ้าเพราะให้ใครมาเห็นแบบนี้คงไม่ดีแน่ ถึงจะเป็นคนงานของพ่อก็เถอะ
“ไอ้สอง มึงไม่ได้ใส่กางเกงในเหรอ” พี่ท็อปมองมาที่กางเกงบ็อกเซอร์ของผมก่อนจะเลื่อนสายตามองไปที่กางเกงในที่พาดไว้กับกิ่งไม้
“อือ มันเปียกอะ เดี๋ยวใส่กางเกงทับอีกที” ผมบอกก่อนจะหยิบกางเกงมาใส่ลวกๆ ระหว่างนั้นคนงานสองสามคนก็เดินลงมาเจอพวกผมพอดี ผมรู้จักแค่คนเดียวคือลุงสม
“อ้าว ไอ้สอง มาทำอะไรอยู่นี่ล่ะ” ลุงทักในมือหิ้วกล่องเครื่องมือมาด้วย
“พอดีรถล้มเลยเปื้อนทั้งคู่ มาล้างตัวครับ” ผมบอก พี่ท็อปยกมือไหว้อย่างมีมารยาท
“เห็นพ่อถามหาเอ็งสองคนอยู่น่ะ” ลุงสมบอกพลางมองผมกับพี่ท็อปสลับกัน
“อ๋อครับ เดี๋ยวผมขึ้นแล้ว” ผมยิ้มบอกก่อนจะหยิบกางเกงในมากำในมือ คนงานสามคนไม่ได้สนใจอะไรพวกผมก่อนจะเดินไปวางเครื่องลงกับพื้น
“เขาจะคิดอะไรเปล่าวะ” พี่ท็อปพูดกับผมเสียงกังวล
“ไม่หรอกมั้ง ผู้ชายเล่นน้ำด้วยกันแปลกตรงไหน” ถึงจะเล่นกันแค่สองคนก็เถอะ
“ตรงที่กูกับมึงเป็นเกย์ไง” พี่ท็อปพูดซะผมสะดุ้งเชียว ลุงแกคงไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอกมั้ง แม้ว่าสายตาที่มองมาที่เราสองคนแปลกๆ อยู่เหมือนกัน ถ้าหากว่าไม่ได้คิดไปเอง
“เฮ้อ ดูสภาพกูดิ” พี่ท็อปบ่นพร้อมยกข้อศอกขึ้นมาดู เห็นมีแผลถลอกอยู่ด้วย
“แสบไหมเนี่ย” ผมก็เพิ่งเห็น เจ้าตัวพยักหน้า
“กูนึกว่าแสบๆ อะไร” ระหว่างทางที่เดินกลับไปหาพ่อที่รถ ลมก็พัดมาพอให้เย็นสดชื่น เรื่องขี้ปากชาวบ้านผมไม่ได้ซีเรียสหรอก แต่พ่อต่างหากที่ต้องมารับมือ เมื่อเดินมาถึงบริเวณหน้าไร่มีรถกระบะสีบลอนด์จอดอยู่ พ่อเดินอ้อมมาจากด้านข้างก่อนจะมองมาที่เราสองคน
“เอ้า ทำไมสภาพเอ็งสองคนเป็นแบบนั้น เล่นน้ำกันมาเหรอ”
“รถพ่อนั่นแหละ ดันดับเลยล้มเปื้อนไปหมด ไปล้างเนื้อล้างตัวกันมา” ผมบอก พ่อมองพี่ท็อป
“รีบกลับจะได้ไปใส่ยา หึๆ มาก็ได้แผลเลย” พ่อยิ้มก่อนจะเหลือบมองกางเกงในในมือผมแล้วคิ้วขมวด
“แน่ะๆ อย่าคิดลึก กางเกงมันเปียกไงเลยถอดออก” ผมบอก พ่อไม่ได้ว่าอะไรก่อนจะเดินไปสตาร์ทรถ ผมกับพี่ท็อปมองหน้ากัน หวังว่าพ่อคงไม่คิดอะไรจริงๆ
ช่วงที่ผมกลับมาบ้านสามวันได้ใช้เวลาให้คุ้มค่า เหมือนได้กลับมาพักผ่อนจริงๆ ผมนึกเสียดายที่ทุกครั้งเวลาชีวิตมีปัญหาผมกลับไม่เลือกที่จะกลับมาหาพ่อ ทั้งๆ ที่บ้านเป็นสถานที่พักพิงสุดท้ายของชีวิตเราทุกคน ผมได้คุยกับพ่อมากขึ้น รู้สึกเหมือนสนิทกันมากกว่าเดิม
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ผมนอนที่บ้าน พรุ่งนี้ได้เวลากลับแล้ว พ่อเรียกผมมาคุยด้วยที่ห้องพระเล็กๆ ผมได้กราบพระเป็นครั้งแรก
“ก็ว่าจะเอาให้ตั้งนานแล้ว” พ่อพูดก่อนจะเอื้อมไปหยิบกล่องกลมๆ บนหิ้งพระแล้วยื่นมาให้ผม เป็นกล่องพระพร้อมสร้อย
“ของรักพ่อเลยนี่ เอาให้ผมทำไมกัน” ผมบอก สร้อยเส้นนี้ได้มาจากปู่ซึ่งพ่อห่วงมากเก็บไว้กับตัวตลอด
“เออน่า ข้าให้ก็คือให้ เก็บไว้ดีๆ ล่ะ อย่าให้หาย” พ่อบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะทำเป็นจัดแจกันดอกไม้ให้เข้าที่ ผมมองพ่อด้วยความสงสัย
“ขอบคุณมากพ่อ” ผมยกมือไหว้ พ่อพยักหน้าหงึกๆ
“เอ็งก็โตๆ แล้ว ทำอะไรระวังๆ กันหน่อยนะ ดูแลกันดีๆ” พ่อว่า ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะออกจากห้องพ่อก็เรียกพี่ท็อปให้เข้ามาที่ห้องพระด้วย สงสัยจะฝากฝังผมล่ะมั้ง

เมื่อเข้าวันใหม่ ผมกับพี่ท็อปตื่นแต่เช้าไปทำบุญตักบาตรกับพ่อที่วัดก่อนจะกลับมาจัดกระเป๋า พ่อยังใจดีแพ็กเบียร์พม่าใส่กระเป๋าให้ผมสามสี่ขวดอีกด้วย กว่าจะออกจากบ้านไปขนส่งก็ปาไปเที่ยงกว่าๆ แล้ว ผมไม่ได้ล่ำลาอะไรพ่อมากมายแค่ขอดูแลตัวเองบ้าง เมื่อขึ้นรถทัวร์เป็นที่เรียบร้อย
ผมกับพี่ท็อปไม่ได้พูดอะไรกันมากเหมือนต่างคนต่างมีเรื่องให้คิด
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #28 part 2 # 03.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 03-06-2016 20:36:22
ดีใจสุดๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #28 part 2 # 03.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 04-06-2016 03:33:28
คิดถึงพี่ท็อปจังค่ะ
ลืมเนื้อเรื่องตอนก่อนไปแล้ว T_T
ต้องอ่านใหม่อีกรอบเลย ฮือ 5555555555555555
 :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #28 part 2 # 03.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: ChaniiNoiy ที่ 04-06-2016 22:04:11
^__________^ ดีใจคนเขียนมาต่อแล่ววว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #28 part 2 # 03.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: Dak ที่ 05-06-2016 13:01:43
คิดถึงจังเลยยยยย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 23 เติมรักทีละน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 27-06-2016 00:12:35
ตอนที่ 23 เติมรักทีละน้อย


หลังจากที่กลับมาจากบ้านของผมแล้ว พี่ท็อปเตรียมตัวไปฝึกสหกิจและรอหนังสือตอบกลับจากสถานทำงาน และเทศกาลกีฬาสี่คณะก็มาถึง บรรยากาศในมหา’ลัยคึกคักเหมือนช่วงรับเฟรชชี่ ทั้งสี่คณะเตรียมซ้อมสันทะนาการ ซ้อมเชียร์กันเต็มที่ ส่วนพวกผมผู้ชายใช้แรงงานนอกจากจะทำฉากแล้วยังต้องลงเป็นตัวแทนของคณะไปแข่งกีฬา
กลุ่มพวกผม ไอ้เชี่ยวก็ซ้อมกันพอเป็นพิธี เย็นนี้เลยอยู่ซ้อมบาสฯกับน้องๆปีหนึ่งปีสองที่คณะ อาศัยลานหน้าตึกเป็นสนามบาสฯชั่วคราว   เสียงฝีเท้ากระทบพื้นกับเสียงลูกบาสดังตึงตังเป็นสีสันให้แก่คณะ เวลานี้คณะยังคงคึกคัก ส่วนมากจะมาทำงานกันใต้ตึกกันมากกว่า
ระหว่างที่กำลังเลี้ยงลูกบาสฯไปหน้าแป้นปลอมๆ ลูกบาสฯในมือก็ถูกฉกไปอย่างน่าใจหาย เมื่อมองกลับไปพบว่าเป็นพี่ดีน
“ช้าว่ะ”พี่ดีนฉีกยิ้มก่อนจะเลี้ยงลูกบาสฯกลับไปอีกฝั่งหนึ่งแทนก่อนจะชู๊ตลงแป้นได้อย่างแม่นยำ เจ้าตัวเดินกลับมาหา ก่อนจะลากตัวผมออกจากวง
“มีอะไรเปล่าพี่”ผมถามงงๆ ยอมเดินตามพี่ดีนไป
“อือ มีอะไรจะคุยด้วยหน่อย”พี่ดีนยิ้มก่อนจะพาผมไปที่หลังห้องเพ้นท์ตามเคย เจ้าตัวนั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อน
“ว่ามาสิพี่”ผมเร่ง ลึกๆแล้วอยากรู้ พี่ดีนหัวเราะเบาๆก่อนจะล้วง
“กูฝึกงานที่คณะ คงได้เจอกันบ่อยๆ ดีใจป่ะ”เจ้าตัวยิ้มกวนๆ ทำเอาผมแปลกใจ ฝึกงานที่คณะเนี่ยนะ
“จริงดิ”
 “อือ พอดีอาจารย์แนะนำมา กูก็เบื่อๆไม่อยากเรื่องมากเลยตอบตกลง”
 “ก็ดีนี่ ไม่ต้องไปไหนไกล ...เรื่องที่จะคุยแค่นี้เหรอ...”ผมถาม แอบเซ็งเล็กๆ นึกว่าจะเป็นเรื่องปัญหาในชีวิตแกซะอีก พี่ดีนยิ้มแปลกๆ
 “ไหนอ่ะของฝาก กลับไปบ้านทั้งที”พี่ดีนยื่นมือมาหาผม เหมือนหลบเลี่ยงคำถาม
 “ไม่มีหรอกพี่”ผมหัวเราะ ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวแทน พี่ดีนถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กูฝึกงานที่ตึกกลางนู่น คงไม่ค่อยได้เจอแล้ว เผื่อมึงคิดถึงกู”
“หึ พูดไปเรื่อย”ผมหัวเราะเบาๆ รู้สึกสบายใจกว่าเมื่อก่อนเวลาคุยกับพี่ดีน เพราะเดี๋ยวนี้พี่แกแสดงเจตนาดีมากกว่าร้ายน่าระแวง
“เออ แล้วมึงไปร้านพี่ตั้มวันไหนวะ”
“อาทิตย์หน้าหลังบายเนียร์แหละพี่... มาด้วยกันไหม”ผมชวนไม่อยากให้พี่แกฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว พี่ดีนหันหน้ามามองผมอยู่นานสองนานจนผมคิ้วขมวด
“อือ ไปสิ แต่มึงต้องรับผิดชอบกูนะ เพราะกูจะเมาแน่ๆ”เจ้าตัวพูดด้วยยิ้ม
“ได้สิ ไว้ใกล้ๆวันแล้วผมจะโทรไปหาอีกทีแล้วกันนะ”ผมบอก
“เออ งานกีฬามึงลงอะไรบ้างนะ กูยังไม่ได้ดูรายชื่อเลย เจอคณะอะไรคณะแรกวะ”พี่ดีนเปลี่ยนเรื่องคุยต่อ เท่าที่จำได้ดูเหมือนรายการแรกที่ต้องแข่งคือบาสฯ เจอกับวิศวะฯมั้งนะ ถ้าจำไม่ผิด
“วิศวะมั้งพี่ ไม่แน่ใจ พี่ลงบาสฯด้วยป่ะ”
“อือ ลงสำรองไว้ เผื่อพวกมึงหมดแรงไง”

 “ฮ่ะๆ ก็ว่าอยู่นะพี่ พวกผมก็ไม่ได้เล่นกันบ่อยด้วย คงไปเล่นเอามันส์แหละพี่”ซึ่งก็เป็นแบบนี้ทุกปี และโดนแซวทุกปีด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคู่อริอย่างสถาปัตย์ฯก็สนุกกันใหญ่ ไอ้ตรงนี้แหละที่มันเป็นสีสันของงาน ทำให้งานสนุกมากขึ้นและเป็นที่สนใจด้วย และทั้งสี่คณะก็ไม่ได้จะแข่งเอาเป็นเอาตาย ขึ้นชื่อว่ากีฬาสัมพันธ์ก็ต้องสมัครสมานท์สามัคคีกันอยู่แล้ว เป็น Group of death พวกเพื่อนๆผมมันแซวกันเอง

หลังจากคุยกับพี่ดีนได้สักพักเจ้าตัวก็เดินหายไปที่ตึกสถาปัตย์ฯฝั่งตรงข้าม ผมกลับไปเล่นบาสฯตามเดิม ก่อนจะไปสบทบกับพวกไอ้เชี่ยวที่กำลังแบ่งงานเรื่อง Street art ธีมหลักของงานปีนี้ ก็ดึงเอางานของศิลปินในแต่ละยุคมาประยุกต์ ส่วนมากจะกระจายงานไปตามชั้นปี ที่ต้องทำคือเพ้นท์รูปแบ็คกราวด์คล้ายๆ กราฟิตี้ตามผนัง แต่ก็จะมีพวกคัทเอ้าท์ใหญ่ๆเอาไว้โปรโมทงาน


   ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเด็กๆคณะผมก็ซ้อมกีฬา ซ้อมสันทนาการกันอย่างคึกคัก ไม่ได้โดนกดดันจากพวกรุ่นพี่ อย่างที่บอกคณะเราแค่รวมสนุกกันเท่านั้น วันนี้เป็นวันที่ทีมบาสนัดมาซ้อมกันครั้งสุดท้าย เพราะอีกสองวันก็จะลงแข่ง แมทแรกต้องเจอกับคณะวิศวะฯ พวกผมกับรุ่นพี่ก็เลยคึกกันใหญ่
พรรคพวกของผม ไอ้ผิง ไอ้โก๋  มาถึงที่ลานคณะก่อนใคร มี6 ชื่อเฮียหมูกำลังชู๊ตลูกบาสฯเล่น พวกผมเอ่ยทักทายอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง เฮียหมูพี่ปี 6 คนนี้ก็สายกิจกรรมของเอกผม เพราะจะเจอหน้าแกประจำเวลามีกิจกรรม หรือพิธีการของเอก ถือเป็นรุ่นใหญ่ที่แท้จริง เหนือเฮียแกนก็มีเฮียหมู
ไม่นานคนอื่นๆก็ทยอยกันมา แต่ผมปลกใจเมื่อเห็นเฮียก็มา ที่น่าแปลกกว่าคือพี่ดีนกับพี่ติก็มา แต่ไม่ได้คุยอะไรกันมาก
“ทีมเวิร์คเราจะเป็นยังไงวะ น่าสนุก”ไอ้โก๋กระซิบกับผมอย่างสนใจ ผมก็คิดแบบนั้นนะ ถ้าให้สองคนนั้นลงด้วยกันจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้พวกเขาดีกันหรือยัง พี่ดีนส่งยิ้มก่อจะเดินมาหาผมท่าทางร่าเริง
“น่าสนุกนะว่าไหม”พี่ดีนยกแขนมากอดคอผมอย่างสนิทสนม ผมคิดว่าเจ้าตัวคงคิดตกแล้วล่ะ
“อือฮึ สงสัยจะมีตัวถ่วง”ผมแกล้งแซว พี่ดีนคิ้วขมวดก่อนจะส่งเสียงครางต่ำๆไม่เห็นด้วย
“ก็แค่เล่นกีฬา ไม่เห็นต้องคิดมาก”อีกฝ่ายไหวไหล่ เห็นเฮียแกนคุยกับเฮียหมู ไม่นานก็เรียกซ้อมหลังจากประกาศว่าใครจะเป็นตัวจริงและยืนตำแหน่งอะไร เฮียแกนเป็นเซ็นเตอร์ ส่วนผมเป็น SG ไอ้โก๋ SF รุ่นน้องปีหนึ่ง PG ปีสองเอกปั้นPF ส่วนพี่ดีนกับไอ้ผิงขอเป็นตัวสำรอง
  ระหว่างที่ซ้อมก็ไม่ได้มีเหตุการณ์น่ากลัวๆเกิดขึ้น ทางเฮียหมูเลยแบ่งทีมมาซ้อมกันเล่นๆ ทีมละ5คน พี่ดีนขอย้ายมาเล่นทีมผม แลกกับกับรุ่นน้องตำแหน่ง PG เฮียแกนมองอย่างกับเพชฌฆาตเพราะอยู่คนละทีมกับพี่ดีน การซ้อมไม่ได้มีการกระทบกระทั่งอะไรกัน มันคงน่าตลกถ้าจะมาหัวร้อนเพราะเหตุผลแค่ว่าไม่ชอบขี้หน้ากัน
หลังจากลองทีมกันไปแล้วผลออกมาคือทีมผมแพ้ แค่มีเฮียแกน เฮ้ยหมู ไหนไอ้โก๋อีก พวกนี้มันออกกำลังกายกันตลอด เจอแบบนี้ก็หอบแดกเลยสิ ผมเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะกลมก่อนจะดื่มน้ำด้วยความกระหาย พี่ดีนเดินมาหาท่าทางทะเล้นเหมือนจะมาล้อเลียนผม
 “อ่อนชิบ”พี่แกเหน็บแนม ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผมเหลือบไปมองหน้าอีกฝ่าย เพราะเจ้าตัวมาทำเป็นปาท่องโก๋กับผม ตามติดอย่างกับเป็นเจ้าของซะงั้น 
 พี่ดีนส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะยกขวดน้ำมาดื่มบ้าง “คืนนี้แดกเหล้ากัน”พี่แกชวน
“หือ ใครไปบ้าง”ผมลองถามไปแบบนั้น พี่ดีนไหวไหล่ “ก็พวกเราไง ยังไงมึงก็จะไปสุ่มหัวกันที่ร้านไอ้ตั้มอยู่แล้วนี่หว่า เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง อีกหน่อยก็ไม่ได้เจอแล้ว ต้องเลี้ยงส่งหน่อยสิวะ”พี่ดีนอธิบาย ผมมองอีกฝ่ายแล้วดูไม่มีท่าทางอันตรายอะไร เลยหันไปขอความเห็นจากไอ้ผิงบ้าง มันพยักหน้ามาให้
“ก็อย่างที่พี่แกบอกนั่นแหละ”ไอ้ผิงพูด
“ไปก็ไป”ผมบอก ต้องรายงานพี่ท็อปให้รู้ก่อน ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งไลน์ไปบอกพี่ท็อปว่าวันนี้ขอไปแจมกับเพื่อนร่วมสาขา แน่นอนว่ามีพี่ดีนติดสอยห้อยตามไปด้วย พี่ท็อปรับรู้ ไม่ได้ว่าอะไร แต่แค่บอกว่า
Ontop : ห้ามเมานะมึง เดี๋ยวกูไปรับ เลิกเมื่อไหร่ก็โทรหานะ’\
“ต้องรายงาน”พี่ดีนหัวเราะ ผมจิ๊ปากด้วยความเซ็ง
หลังจากที่ซ้อมกันพอหอมปากหอมคอกินเวลาไปสามชั่วโมง ตอนนี้ก็ดึกแล้ว สามทุ่มนิดๆ ทุกคนแยกย้ายกันกลับเหลือแต่พวกผมที่นัดกันจะไปดริ๊งต่อ “จะมากันกี่ทุ่ม”นี่ก็ดึกแล้วด้วย เดี๋ยวไม่มีโต๊ะ ไม่รู้ว่าพวกไอ้บีไอ้เชี่ยวจองโต๊ะทันหรือเปล่าเพราะช่วงนี้มันเป็นช่วงเลี้ยงพี่เลี้ยงน้องด้วย
“ใครอาบน้ำอาบท่าเสร็จก่อนก็ไปเลย ตัวใครตัวมัน”ไอ้โก๋บอก
“แล้วมึงไปกับใครหรือไอ้ท็อปไปส่ง”พี่ดีนถาม ขณะที่เดินมายังลานจอดรถ
“ไปกับไอ้โก๋ มึงมารับกูได้ไหมวะ”ผมถาม เพราะพี่ท็อปไม่ได้อยู่ห้องด้วย ไปหมกตัวอยู่ที่บ้านพี่อิฐเพื่อทำงาน ไอ้โก๋รีบตอบตกลง ถึงพี่ดีนจะเลิกคิดจีบผมแล้วก็เหอะ แต่ปลอดภัยไว้ดีกว่า พี่ดีนขำเบาๆ
“ยังคิดมากเรื่องกูอีกเหรอ ...ไว้เจอกันที่ร้านแล้วกัน”พี่ดีนโบกมือลาก่อนจะเดินไปที่รถแจ๊สสีส้มที่เจ้าตัวขับมา ไอ้โก๋เกาจมูกมองตาม
“พี่แกมาดีนะ สงสัยเลิกบ้าได้แล้วมั้ง”มันว่า ผมก็เห็นด้วย กลับมาทำตัวปกติได้ก็ดีต่อตัวพี่เขาเองนั่นแหละ ผมกลับหอพัก รีบอาบน้ำแต่งตัวมารอไอ้โก๋ที่ด้านหน้าหอพัก  พี่ท็อปโทรมาพอดี
“ครับพี่”ผมรับสาย
[จะไปหรือยัง]
“ออกมา รอไอ้โก๋น่ะพี่”ผมบอก เจ้าตัวส่งเสียงตอบ
[อย่าเมาล่ะ ผสมโซดาพอ ไม่ต้องไปพิเรณท์เหมือนเพื่อนมึง] พี่ท็อปพูดเสียงดุนิดๆ ผมหัวเราะออกมา
“ครับ ไม่เมาหรอก รุ่นพี่ผมหลายคนก็ไปนะ เหมือนช่วงนี้มีโปรไง พี่ปีสี่เลี้ยง”ผมบอก
[อืม ถ้ายังไง คืนนี้จะกลับไปนอนด้วยนะเว้ย] พี่ท็อปบอก นอนนี่ในความหายไหนวะ ผมแอบคิด
“ดีเลย จะได้ไม่เหงา”
[หึหึ ตลอดนะมึง เออ แค่นี้แหละ] หลังจากที่วางสายจากพี่ท็อปได้ไม่นาน ไอ้โก๋ก็ขี่รถมารับผมพอดี นี่ก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว โชคดีที่เป็นร้านคนรู้จักจะเกินเวลาก็ยังได้
“นึกครึ้มอะไรวะ มาแดกเหล้ากับพวกพี่ตั้มจนได้”
“พี่นพก็มาเรี่ยราดตามแถวนั้นเหมือนกันนี่ ก็กะว่าจะไปหาซะหน่อย”ผมบอกมัน ไอ้โก๋หัวเราะ อันที่จริงเพราะพี่ดีนนั่นแหละ ก็ถือว่าดื่มอวยพรให้พี่แกเท่านั้นเอง
“เออ ทำไมไม่ชวนเฮียแกนมาเลยล่ะวะ จะได้ครบ”ไอ้โก๋พูดมาจากด้านหน้า ผมส่ายหน้า งานกร่อยน่าดูล่ะพี่น้อง ระหว่างทางผมกับไอ้โก๋ก็เงียบไปจนถึงร้านพี่ตั้ม เห็นโซนด้านนอกคนเยอะพอตัว ผมไม่ชอบอัดอยู่ด้านในเลยจริงๆ
ผมเห็นพี่ดีนกับไอ้ผิงยืนรอผมอยู่ที่ทางเข้า
“ช้าว่ะ พวกไอ้เชี่ยวแม่งจัดไปก่อนล่ะ”พี่ดีนบ่น พวกผมเลยเดินเข้าไปด้านใน เสียงวงดนตรีสดร้องเพลงดังประจำร้าน ผมเดินไปนั่งข้างๆไอ้ผิง พี่ดีนขยับมานั่งใกล้กับผม
“มึงกินอะไร”อกีฝ่ายถาม ระหว่างที่เด็กเสิร์ฟมาเคลียร์โต๊ะให้
“เบียร์ก็พอ”ผมบอก เซฟตัวเองที่สุดแล้ว พี่ดีนเลยสั่งเบียร์ให้ผม บริการดีไปอีก ไอ้ผิงกับไอ้โก๋สั่งเหล้า โซดามาเต็มที่กะว่าจะเมาให้เต็มที่ พี่ตั้มกับพวกพี่สายรหัสของผมเดินมาหาที่โต๊ะ เอ่ยทักทายกันอย่างสนิทสนม พี่นพ พี่รหัสของผมก็เข้ามาทักตามกันปกติ แน่นอนว่าไม่มาทักอย่างเดียว ยื่นแก้วใบเล็กพร้อมน้ำใสๆที่ไม่ใสอย่างที่เห็น ผมก็ขัดไม่ได้ด้วยเลยจำใจยกหมดแก้ว เผาคอสุดๆ จากนั้นก็กลับกันไปที่โต๊ะตัวเอง
“เออ จะอยู่จนร้านปิดก็ได้นะ”พี่ตั้มบอกพวกผม ก่อนจะหันมาพูดกับพี่ดีน “เออ ดีน กูขอคุยอะไรด้วยหน่อย”ผมเหลือบมองสีหน้าของพี่ดีนที่ดูแปลกใจมากแต่ก็ไม่ได้ขัด ลุกเดินตามพี่ตั้มไปที่หลังร้าน ผมเลิกสนใจอีกฝ่ายก่อนจะหยิบแก้วเบียร์มาดื่มช้าๆ ไอ้โก๋ขยับตัวมาหาเพื่อคุย
“เออ มึงได้ยินเรื่องพี่ยิมหรือเปล่าวะ”มันกระซิบกระซาบเพราะไอ้ผิงนั่งอยู่ถัดไปจากมัน แต่ไอ้โก๋ใช้วิชามารหลอกล่อไอ้ไอ้ผิงดื่มไปหลายแก้วแล้วถึงมานั่งนินทาเพื่อนได้ ผมเองก็ไม่ได้ไปก้าวก่ายอะไรมันสองคนนะ ไอ้ผิงไม่ค่อยอยากพุดถึงยิมเท่าไหร่ ผมเองก็พอจะรู้มาบ้าง มันคงไม่อยากมาปรึกษาเรื่องยิมกับผม เพราะยิมมันเคยชอบผม มันแปลกเกินไปนะ
“อืม ทำไมเหรอ”ผมถามกลับ รู้สึกสนใจขึ้นมานิดหน่อย
“ได้ข่าวว่ามันจะไปเที่ยวด้วยกัน เกาลูน ฮ่องกงมั้ง”ไอ้โก๋พูดอย่างรู้ดี ยิมนี่ทำแปลกใจจริงๆมันดูจริงจังกับไอ้ผิงมากๆ ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าไอ้ผิงรู้สึกเท่าที่ยิมรู้สึกไหม แต่พอมองหน้าไอ้ผิงแล้วก็มีคำตอบ มันคงกั๊กความรู้สึกแบบที่มันชอบทำ ผมเห็นแบบนี้ประจำเวลาไอ้ผิงมันคิดจะคบกับใครสักคน ชอบถอยออกมาในเวลาที่ควรไปต่อ
“จริงดิ ก็ดีนี่”ผมพูด เหลือบมองไอ้ผิงที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม ข้างๆมันมีไอ้เชี่ยวมาคุยด้วย
“กูไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา อยู่ๆก็มาพูดกับกูว่ารู้สึกปอดแหกขึ้นมา มึงเข้าใจมันไหมวะ”ไอ้โก๋ถามผม ทำอย่างกับว่าผมเป็นหูดของไอ้ผิง ที่ต้องรู้ไปซะทุกอย่าง
“จะไปรู้มันเหรอ มึงก็น่าจะเคยเห็นไอ้ลักษณะนี้ของมันเวลาคุยกับใครนี่หว่า สุดท้ายเป็นยังไง แม่งก็เป็นเพื่อนกันไป โคตรตลก”ผมส่ายหน้า ไม่อยากวิจารณ์มันหรอก แต่บางครั้งผมก็ออกจะไม่ชอบที่มันไม่เต็มร้อยแบบกั๊กความสัมพันธ์อะไรแบบนั้น ผมกับมันเลยต่างกันตรงนี้ ถ้าผมชอบจนมั่นใจว่าไม่เปลี่ยนใจแล้วล่ะก็ ผมก็พุ่งเข้าใส่เลยล่ะ ชอบก็คือชอบ ไม่อยากเสียเวลา ไอ้โก๋พยักหน้าเห็นด้วย
“อือ เห็นมันมาบ่นๆว่ารู้สึกไม่อยากไปฮ่องกงขึ้นมาไง กูเลยแปลกใจมันก็เห็นก่อนหน้านั้นสนิทกันดีนี่หว่า”
คงเป็นช่วงโปรโมชั่นสินะ แบบว่ากำลังอินเลิฟ เหมือนว่าไอ้ผิงอินกับอะไรใหม่ๆมันก็จะอินยาว ใช้เวลาสักพักก็กลับมาเป็นปกติ แต่ครั้งนี้มันเป็นเรื่องความรู้สึกของคนจะไปยึกยักเดี๋ยวถอยเดี๋ยวนำหน้าไม่ได้หรอก เดี๋ยวยิมก็เศร้าตายเลย แต่ก็เข้าใจไอ้ผิงเพื่อนผมล่ะ มันเป็นผู้ชายไลฟ์สไตล์แตกต่างกันสุดๆ มันชอบทำอะไรที่คาดไม่ถึง และเป็นคนมีแบบแผน ตั้งแต่เข้าเรียนมา มันก็จะฝึกฝีมือตลอดส่งงานเข้าประกวดเก็บประสบการณ์ไว้เยอะๆ ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่เรื่องความรักก็นั่นแหละ อย่างที่เห็น
“ไม่เห็นมันมาเล่าอะไรให้กูฟังบ้างเลย นี่กูยังไม่เคยได้ยินจากปากมันเลยว่ากำลังคุยกับยิมน่ะ”ผมยกแก้วเบียร์มาดื่มจนเหลือครึ่งแก้ว
“กูว่ามึงเข้าใจมันนะ”ไอ้โก๋พูด มองผมยิ้มๆ นั่นสิ เข้าใจมันและพร้อมจะเข้าข้างมันด้วย
“ฮื่อ มันคิดได้เดี๋ยวก็วิ่งมาหากูเองนั่นแหละ”ผมบอกอย่างไม่สนใจอะไรมาก เชื่อเถอะ ถ้าทนไม่ไหวจริงๆมันต้องมาหาผมแน่ๆ เพราะยิ่งถ้าช่วงยิมไปฝึกงานแล้วใครจะไปคุยกับมันนอกจากผม
ไอ้โก๋เลิกพูดเรื่องไอ้ผิงก่อนจะชงเหล้าให้ผม เมื่อเห็นว่าเบียร์ผมจะหมดแก้วแล้ว มันหันไปคุยกับไอ้ผิงต่อตามปกติ มันมองหน้าผมแวบนึงแล้วหันไปสนใจแก้วเหล้ามันต่อ เพื่อนเวร
พี่ดีนกลับมาที่โต๊ะ ท่าทางอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ ผมเลยไม่แซวปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งดื่มเหล้าย้อมใจไปคนเดียวเงียบๆ
“กูควรจะทำยังไงดีวะ”เจ้าตัวพึมพำ ไม่รู้ว่าพูดกับผมหรือตัวเองกันแน่
“เมาแล้วเหรอพี่”ผมถาม
“เปล่าหรอก แค่นี้เอง”เจ้าตัวโบกมือ
คืนนั้นแก๊งผมก็เมาเละไปตามๆกัน ยิ่งพี่ดีนนี่ต้องแบกไปนอนที่หลังร้านพี่ตั้ม ดีนะที่พี่แกจะดูแลให้ ผมเลยเบาใจเพราะไม่ต้องกังวลเรื่องเพื่อนๆ ที่กลับได้ก็มีไอ้โก๋ ส่วนไอ้ผิงก็ต้องซ้อนท้ายไอ้โก๋กลับตามเคย ผมรอพี่ท็อปมารับที่หน้าร้าน ดึกมากแล้ว เที่ยงคืนครึ่งเห็นจะได้ คนก็เริ่มซาๆกัน ร้านใกล้เคียงก็เริ่มเก็บโต๊ะกัน รอไม่นานพี่ท็อปก็มารับผม เจ้าตัวยิ้ม
“ไม่เมาจริงๆด้วย”อีกฝ่ายพูด แล้วยื่นหมวกกันน็อคให้ผม
“สัญญาแล้วนี่ครับ”ผมบอกขึ้นไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์


ผมกับพี่ท็อปก็เลยแวะไปหาอะไรทานก่อนนอนเลยแวะร้านข้าวไข่เจียว สั่งต้มยำมาหนึ่งถ้วยแก้กระหาย นานๆทีจะมีเวลาออกมานั่งกินข้าวมื้อดึกแบบนี้ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเราสองคนก็กลับมาที่หอพักของผม พี่ท็อปบอกว่าจะมานอนกับผม เจ้าตัวแค่ล้างหน้าก่อนนอนเท่านั้น เพราะก่อนออกมารับผมก็อาบน้ำไปแล้ว ผมใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าปกติเพราะมีกลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่ติดมาเลยสระผมไปด้วยเลย เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นพี่ท็อปนั่งอยู่บนเตียง


“ยังไม่ง่วงเหรอครับ”ผมถาม ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เจ้าตัวส่ายหน้า ผมหยิบกางเกงบ็อกเซอร์มาสวม ใส่เสื้อแขนกุดสีเทา ก่อนจะเอาผ้าขนหนูไปตาก
“มา กูเช็ดผมให้”พี่ท็อปเรียก ผมมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะเดินไปหา อีกฝ่ายถือผ้าขนหนูผืนเล็ก เปลือกตาเริ่มล้าๆเลยเดินไปนั่งบนพื้นเอนหลังพิงขาพี่ท็อป เจ้าตัวนั่งอยู่บนเตียงค่อยๆเช็ดผมให้
“ง่วงแล้วเหรอ”พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ
“อือ ง่วงแฮะ”ผมบอก ปล่อยให้พี่ท็อปวุ่นวายเช็ดผมต่อไป เจ้าตัวโอบรอบลำคอของผมก่อนจะดึงไปใกล้ๆจนหลังติดกับเตียง พี่ท็อปโน้มหน้าลงมามองด้วยรอยยิ้มเอ็นดูเหมือนมองเด็ก
“มีอะไรหรอครับ”ผมถาม
“เปล่าหรอก แค่คิดว่ากูไม่ค่อยดูแลมึงเลย”พี่ท็อปพูด ทำให้ผมยิ้มออกมา ก่อนจะลืมตาพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ไม่ห่างนัก
“คิดมากทำไม มีเวลาให้ดูแลอีกตั้งเยอะ”ผมบอก เอื้อมมือไปจับหน้าพี่ท็อปเบาๆ
“อืม กูแค่ฟุ้งซ่านน่ะ”เจ้าตัวดึงให้ผมลุกมานั่งบนเตียงแทนก่อนจะโยนผ้าเช็ดตัวลงตะกร้าหน้าห้องน้ำอย่างแม่นยำ ผมคลานไปนอนฝั่งติดผนังห้อง พี่ท็อปลุกไปปิดไฟ ไม่ลืมเปิดโคมไฟไว้แทน จากนั้นเจ้าตัวก็เข้ามานอนข้างผม
ร่างกายเริ่มเข้าสู่โหมดชัทดาวน์ ผมเริ่มผล็อยหลับ อีกฝ่ายแค่ขยับมานอนใกล้ๆผมก่อนจะหลับไปแค่นั้น

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 27-06-2016 00:15:16
พอเช้าวันรุ่งขึ้น พี่ท็อปปลุกผมด้วยกลิ่นหอมของต้มเลือดกับข้าวเปล่า เจ้าตัวว่าอยากดูแลเพราะต่อไปจะไม่ค่อยว่างมาเอาใจแบบนี้แล้ว ผมไม่ได้ว่าอะไร แต่เดาได้จากเมื่อคืนที่เซอร์วิสผมดีกว่าปกติ ผมกับพี่ท็อปนั่งกินมื้อเช้าด้วยกันก่อนที่ผมจะไปส่งพี่ท็อปที่คณะ ไม่ได้แวะไปทักทายพวกพี่ธาม แต่ต้องกลับไปที่คณะเพื่อเข้าไปเล็คเชอร์วิชาเอก
จนกระทั่งถึงวันแข่งกีฬา 4 สัมพันธ์ คณะศิลปกรรมฯกับคณะวิศวะกรรมฯ แค่กองเชียร์ก็เหมือนจะแตกต่างกัน แต่บรรยากาศออกมาสนุกสนานคึกคัก แค่สันทนาการของพวกผมออกมาก็ได้รับความสนใจจากเด็กๆคณะอื่นได้อยู่
เกมส์การแข่งขันออกมาสูสี เพราะมีเฮียแกน ไอ้โก๋ กับเฮียหมูอยู่ในทีม พวกนี้วิ่งเร็วและแข็งแรง พี่ดีนไม่ได้ช่วยอะไรทีมมากมาย ตอนถูกเปลี่ยนตัวเข้ามาก็ดูเหมือนไม่มีสมาธิเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไม จนจบควอเตอร์ที่สามต้องเปลี่ยนออก จนจบเกมส์การแข่งขัน ถึงคณะผมจะแพ้แต่โดยรวมแล้วเกมส์เชียร์กันสนุกสนาน ไม่ได้จริงจังมากนัก
ผมเหนื่อย เดินไปนั่งพักเหงื่อเต็มตัว ผลของการไม่ออกกำลังกายก็แบบนี้แหละ ผมรับน้ำมาจากไอ้ผิงก่อนจะดื่ม มันได้ลงเล่นควอเตอร์สุดท้ายพอดี มันมองหน้าผมเหมือนอยากจะพูดอะไรด้วย
“มีอะไร”ผมถาม
“อยากปรึกษาอะไรด้วยหน่อย”ไอ้ผิงพูด
“อืม ได้สิ นัดมาสิว่าวันไหน”ผมบอกมัน ไอ้ผิงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะมานั่งข้างๆผม มันถอนหายใจเซ็งๆ
“เออ ช่วงเปิดเทอมสอง เดี๋ยวนัดอีกที”
“อีกตั้งหลายสัปดาห์แหนะ ทำไมวะ”
“ก็อยากคิดอะไรก่อนน่ะ”มันไหวไหล่ ผมไม่ได้คาดคั้นอะไร
“จะไปเที่ยวกับมันก่อนหรือไง”ผมอดไม่ได้ที่จะพูด ไอ้ผิงหันมามองผม
“รู้อีกแหนะ ก็ทำนองนั้นแหละ”ไอ้ผิงยกน้ำมาดื่ม ดูท่ามันมีเรื่องให้คิดเยอะแยะ
ผมกับพรรคพวกกลับไปพักที่คณะ รู้สึกเมื่อปวดขาขึ้นมานิดหน่อย เลยไปนั่งกินเค้กที่ร้านพี่แยมข้างคณะแทน ได้ของหวานๆก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คไลน์กลุ่ม กับเฟซบุ๊คอย่างคนไม่มีอะไรทำ
ตั้งแต่วันนั้นพี่ดีนไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมอีก ที่ผมเห็นคือความหงุดหงิดของเจ้าตัวมากกว่า ผมเลิกสนใจเรื่องของคนอื่น เห็นว่าใกล้ๆกับมหา’ลัยมีร้านเหล้าสไตล์ผับเปิดใหม่ เหมือนมีโปรโมชั่น เห็นเพื่อนคนนึงมันแชร์เข้ามาในกลุ่มของรุ่น ก็น่าไปลองเหมือนกัน
มีสายเข้าจากพี่ท็อป ผมดูเวลาตอนนี้บ่ายสองโมง อีกฝ่ายคงทำงานเสร็จแล้วล่ะมั้ง ไม่ได้มาดูผมเล่นบาสฯด้วย
[ว่างหรือยัง เดี๋ยวซักบ่ายสามกูไปรับที่คณะนะ]
“งั้นเหรอ โอเคแล้วจะรอครับ”ผมตอบกลับ
[วันนี้ไม่ได้ไปดูเลย คงไม่งอนนะ]
“ไม่หรอก ไร้สาระน่า”ผมบอก
[อือ แล้วเจอบ่ายสามนะ ห้ามเลทนะ] พี่ท็อปกำชับ ผมรับปาก เพราะว่างอยู่แล้ว วางสายจากพี่ท็อป ผมก็เดินเอื่อยเฉื่อยกลับเข้าห้องเพ้นท์ต่อ เจอไอ้โก๋นอนหลับอยู่ด้านหลังบอร์ด ส่วนไอ้ผิงหายแซดไปเลย
...
เวลาบ่ายสามเป๊ะผมออกไปรอพี่ท็อปที่หน้าคณะ อีกฝ่ายขับรถรถเก๋งสีขาวมาจอดที่เบื้องหน้า เจ้าตัวลดกระจกลง ก่อนจะยักคิ้วทำเป็นเท่ห์มาให้
“ไง เดี๋ยวพาไปเปลี่ยนบรรยากาศ”พี่ท็อปหัวเราะเสียงใส ก่อนจะปลดล็อกประตูให้ผมจากด้านใน ผมเลยต้องเดินเข้าไปนั่งอย่างประหลาดใจสุดๆ รถของใครกันนะ ผมปิดประตูรถ มองคนขับด้วยสายตามีคำถาม
“หืม รถคันนี้ของเพื่อนกู ยืมมาใช้ก่อน”พี่ท็อปบอกก่อนจะขับรถออกไปอย่างนิ่มนวล ผมเหลียวมองอีกฝ่ายพลางคิดว่าจะพาผมไปไหน
“จะพาผมไปไหนเหรอครับ”ผมถาม
“อืม ก็กะจะพาเด็กไปนวดซะหน่อย เพิ่งเล่นกีฬามาไม่ใช่เหรอ คลายกล้ามเนื้อหน่อย”พี่ท็อปบอก หันหน้ามาส่งรอยยิ้มมุมปากมาให้ ผมไหวไหล่มองอีกฝ่ายอยู่นานก่อนจะหันไปสนใจที่นอกรถแทน
“ใจดีจริงๆช่วงนี้”ผมยิ้ม ให้ผมเดาพี่ท็อปคงอารมณ์ดีมากกว่า เลยพาผมไปเที่ยว แถมยืมรถหรูจากเพื่อนมา กำลังสงสัยว่าพาผมไปที่ไหนกันแน่ อีกฝ่ายไม่ได้ขับเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เจ้าตัวอารมณ์ดีฮัมเพลงไปด้วย นิ้วมือเคาะกับพวกมาลัยรถ ผมเห็นแหวนไม้ที่ผมให้ยังอยู่ดีอยู่บนนิ้วของเจ้าตัว ออกจะซีดลงไปบ้าง ตั้งใจว่าจะเอาไปขัดสีเพิ่ม ผมเปลี่ยนไปมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายแทน
“อารมณ์ดีนะครับ”ผมยิ้ม พี่ท็อปเหลียวหน้ามามอง เมื่อติดสัญญาณไฟ เจ้าตัวเอื้อมมาจับศีรษะผมเหมือนจะลูบ ผมขมวดคิ้วมองด้วยความงุนงง ทำอีกฝ่ายมาทำอ่อนโยนแปลกๆ
   “ทำไม แปลกใจล่ะสิ...ก็อยากเอาใจแฟนไง ช่วงนี้น้องก็เหนื่อยๆใช่ไหมล่ะ พี่ก็ล้าๆเหมือนกัน เพื่อนมันเลยแนะนำโฮมสปาให้น่ะ แบบว่านวดคลายเมื่อย”พี่ท็อปยอมเปิดปากบอก นวดน่ะเหรอ พี่ท็อปดูจะชอบการนวดนะ ผมไม่ได้คิดลึกอะไร เมื่อไฟเขียว พี่ท็อปก็ขับไปไม่ถึง2กิโลฯ ก็ถึงโฮมสปาบรรยากาศผ่อนคลายสไตล์คลาสสิก ไทยโอเรียนทอล พี่ท็อปจองห้องนวดอโรม่าแบบส่วนตัว มีสองเตียง พนักงานก็สุภาพดี
   “มึงคงไม่ตื่นกับการนวดหรอกนะ”เจ้าตัวเข้ามากระซิบกับผม ‘ตื่น’ของพี่ท็อปหมายความว่ายังไง ผมยิ้มขำ
“ไม่หรอกน่า ไม่ใช่มือพี่ก็ไม่—”ไม่ทันได้พูดจบพี่ท็อปก็ยื่นมือมาบิดหูผม ผมเอี้ยวตัวหลบก่อนจะไปเอาของไปเก็บในล็อกเกอร์ เปลี่ยนเป็นชุดคลุม ก่อนจะนวดต้องไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน ผมกับพี่ท็อปเลยต้องแยกห้องกันอาบ ด้านในห้องน้ำมีอ่างสี่เหลี่ยมลวดลายเหมือนหินเล็กๆ บรรยากาศโทนสว่างชวนให้ผ่อนคลาย ผมลงไปแช่ตัวในย้ำที่กลีบดอกไม้โรยอยู่เต็ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ชนิดหนึ่งไม่แน่ใจว่า ใช่ยูคาลิปตัสหรือเปล่า ผมอาบน้ำให้สะอาดแล้วออกมาที่ห้องนวด
   พี่ท็อปเดินออกมาสมทบกับผมหลังจากนั้นไม่นาน “เห็นว่ามึงก็คงปวดเนื้อปวดตัว เลยพามาไง”พี่ท็อปยิ้ม บุ้ยใบ้ให้ผมไปนอนที่เตียงริมผนัง จากนั้นก็มีพนักงานหญิงมานวดให้ แอบมองพี่ท็อปที่ล้มตัวลงไปนอนคว่ำเรียบร้อย ท่าทางดูผ่อนคลาย อาจเพราะโทนแสงไฟ เสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆช่วยให้ประสาทการรับรู้ผ่อนคลายลง ผมก็ทำเป็นหน้าหนาลืมอายพนักงานสองสาวไป
“ไม่ต้องอายค่ะ เดี๋ยวก็ชิน”เธอพูดเหมือนจะดูออกว่าผมอาย ผมเลยนอนลงกับเตียงปล่อยให้พนักงานนวดลงน้ำมัน กลิ่นลาเวนเดอร์อ่อนๆถูกหยดตามแผ่นหลัง ยังดีที่พนักงานชวนคุย ส่วนมากจะพูดถึงประโยชน์ของอโรม่ากลิ่นลาเวนเดอร์ให้ฟัง ผมก็เคลิ้มๆไปด้วย การนวดมันก็ดีนะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด สงบและเริ่มง่วงขึ้นมานิดหน่อย ผมเหลือบไปมองอีกเตียงข้างๆ พี่ท็อปหลับไปแล้ว ท่าทางดูสบายดี จากนั้นก็เปลี่ยนมานวดด้านหน้า น้ำหนักมือของคนนวดก็กำลังดี ตอนแรกก็ไม่ชินเท่าไหร่หรอก นึกภาพตามให้มานวดๆที่ตัว แต่ก็ยังดีที่ผมไม่ได้มีจิตนาการล้ำลึกพวกนั้น
ผ่านไปเกือบๆ 40 นาที ผมกับพี่ท็อปก็ออกมาแช่ตัวต่อไม่นานนักเหมือนได้เกิดใหม่เลยแฮะ สบายตัวขึ้นเยอะ สมองปรอดโปร่ง พี่ท็อปชวนผมไปนั่งเล่นพักผ่อนที่อีกโซนหนึ่ง มีโซนนั่งเล่น บรรยากาศร่มรื่น มีเก้าอี้ไม้ตัวยาวกับผืนหญ้าที่พอเท้าสัมผัสไปแล้วก็เย็นสบาย มีน้ำชามาเสิร์ฟบริการที่โต๊ะ
“เป็นยังไงบ้าง”พี่ท็อปเอ่ยถาม ผมยิ้มบางๆ “สบายกว่าเดิมตั้งเยอะ ลดอาการปวดเมื่อยได้ดีจริงๆเลย”ผมบอก ก่อนจะยกชาคาโมมายมาจิบ
“อืม ลองศึกษาแล้วมาดให้พี่ดีไหม”เจ้าตัวเริ่มหาทางกล่อมผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมมองแววตาประกายสีดำคู่นั้นอย่างรู้ทัน อโรม่ามีหลายกลิ่น แน่นอนว่ามีกลิ่นที่กระตุ้นอารมณ์อยู่
“หึหึ พี่อาจหลังเดาะได้นะ”ผมหัวเราะ
“ไม่ลองไม่รู้น่า”พี่ท็อปจ้องตาผมเหมือนจะสะกดจิต ผมเองก็คิดว่ามันน่าสนใจดีนั่นแหละ ก็จะศึกษาไว้ใช้ เผื่อวันไหนที่อยากงัดไม้เด็ดมาใช้ก็จัดการนวดให้ซะเลย กำไรเน้นๆ ผมกับพี่ท็อปนั่งเล่นพักผ่อนจนเต็มที่ ล่วงเลยเวลามาจนถึงเวลา 18:00 น. ส่วนมากใช้เวลาไปกับการนอนซะมากกว่า พี่ท็อปไปเช็คบิล ออกเงินกันคนละครึ่ง ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะใจป๋าจะจ่ายเอง
“มีงานต้องทำที่คณะหรือเปล่า”พี่ท็อปเอ่ยถามขณะขับรถกลับเข้าไปทางคลองชลฯหลังมหา’ลัย
“ก็มีไปเคลียร์งานนิดหน่อย แล้วพี่ล่ะ”
“เหมือนกัน ต้องแวะไปหาไอ้ธามที่หอสมุด มันจองห้องติวเอาไว้”พี่ท็อปบอก ผมพยักหน้ารับรู้ รถเก๋งสีขาวขับเข้ามาจอดที่หน้าคณะ ก่อนจะลงจากรถ ผมเอื้อมไปจับมือข้างซ้ายพี่ท็อปมาดู ตั้งใจว่าจะพูดตั้งนานแล้ว ผมมองแหวนไม้ที่เกลี้ยงเกลาอยู่บนนิ้วนางของอีกฝ่าย
“มันเริ่มซีดล่ะ ผมว่าจะเอาไปขัดอีกรอบ ว่าจะสลักชื่อผมลงไปด้วยดีกว่า”ผมบอก เพราะแหวนที่เราใส่คนละวงมีแค่ชื่อของอีกฝ่ายเท่านั้น พี่ท็อปหันมามองผมด้วยสายตาปลื้มปริ่ม ท่าทางพอใจ
“ได้เลย กูใส่ซะจนชินไปแล้ว”พี่ท็อปพูด ก่อนจะกระชับมือให้แน่น ผมยิ้มกว้างอย่างอดไม่ได้ เจ้าตัวถอดแหวนออกก่อนจะยื่นให้ผม
“จะได้เป็นชื่อคู่ไง”ผมบอกอย่างอารมณ์ดี พี่ท็อปยื่นมือมาผลักผมเบาๆ
“ไหนว่ามีงานไง ลงไปสิ”เห็นว่าพี่ท็อปกลั้นรอยยิ้ม ลักษณะนี้ท่าทางจะเขินนะ
“ครับๆ ไปก็ได้”ผมหัวเราะในลำคออย่างสุขใจ ก่อนจะลงจากรถแล้วปิดประตูเบาๆ ค่อยๆมองรถคันหรูเคลื่อนออกไปช้าๆ ผมโบกมือทิ้งท้าย ก่อนจะแวะไปสั่งอเมริกาโน่สามแก้ว เอาไปไอ้ผิงกับไอ้โก๋ ผมกลับมาทำงานที่ห้องเพ้นท์ต่อ เจอพวกเพื่อนหน้าเดิมตามปกติ
“เอามาฝาก”ผมวางแก้วอเมริกาโน่บนโต๊ะไอ้ผิงกับไอ้โก๋ มันยิ้มกว้างเพราะของฟรี ผมนั่งลงที่โต๊ะตัวเอง ไอ้ผิงสไลด์เก้าอี้มาหา
“สวีทจังนะ”มันแอบแซะ ขณะที่ผมหยิบถาดสีกับพู่กันออกมาล้าง ก่อนจะมองหน้าไอ้ผิงยิ้มๆ
“มึงก็เอาอย่างกูบ้างสิ ต้นรักจะได้งอกงาม”ผมหัวเราะ มันทำหน้าง้ำงอ ไม่ได้พูดอะไร
“มึงกับพี่ท็อปสนิทกันจะตาย จะทำอะไรก็คงไม่อายกันหรอกมั้ง”มันพึมพำ ผมส่ายหน้า ก่อนจะเริ่มทำงานวิชาจิตรกรรมสร้างสรรค์ ส่วนใหญ่ผมใช้สีน้ำมัน ไม่ได้อุปกรณ์พวกเกรียง พวกพ่นสีอะไรเทือกนั้นไม่ใช่งานถนัด
“เฮ้อ ตามใจมึง มึงไม่เคยบอกอะไรกูอยู่แล้วนี่”ผมแอบเหน็บมันไปดอกนึง ไอ้ผิงทำตาโต
“ไม่ใช่น่า มึงก็รู้ดี”มันว่า ก่อนจะยื่นมือมาตบไหล่ผมราวกับว่ากลัวผมคิดมาก ผมหัวเราะนิดหน่อย แค่แอบแซวมันไปแค่นั้น ไม่คิดว่ามันจะมาจริงจังว่าผมจะน้อยใจมันหรอก ผมก็แค่ตามเผือกทีหลังสนุกกว่าอีก ไอ้ผิงไม่มาวุ่นวายกับผมอีก คงกลัวผมล้วงความลับมันน่ะสิ ในห้องเพ้นท์มีเสียงพูดคุยกันปกติ ส่วนมากแค่แก้เหงาเพราะต่างคนต่างทำงานปากมันก็เหงาเป็นปกติ ผมลงสีจนเสร็จเรียบร้อย รอส่งงานพรุ่งนี้เช้า เหลือแค่วิชา คอมฯออกแบบ ยังไม่ได้แม้แต่ร่างภาพเลย   
   ผมยืมอุปกรณ์แกะสลักไม้ของไอ้โก๋ เพื่อเอามาแกะชื่อผมกับพี่ท็อปลงแหวนสองวงนั้น ใช้เวลาไม่นานมากนัก จากนั้นก็เอาไปขัดสีให้เข้มกว่าเนื้อไม้สีเดิม จะได้ไม่ซีดเร็ว
“เห็นมึงทำแหวน กูเลยเอากล่องมาให้”ไอ้เชี่ยวเดินถือกล่องไม้มะค่ามาให้ผม มาแปลกแฮะ ผมเอ่ยปากขอบใจมัน “งานเสร็จแล้วเหรอวะ”ผมถามมัน
“อือ นี่กูเพิ่งเริ่มทำงาน”มันบอก ผมหยิบกล่องแหวนมาดู เปิดกล่องออก ผมแปลกใจที่เห็นด้านในฝามีผ้ากำมะหยี่สีขาวปักชื่อผมกับพี่ท็อป ผมเงยหน้ามองไอ้เชี่ยว มึนนึกใจดีอะไรขึ้นมานะ
“มาแปลกนะมึง”ผมพูด
“หุ้ ทำมางง กูก็แค่เอาของเหลือมาให้ไง ก็เห็นว่ายังรักกันดี ก็เลยทำให้ เออ อีกอย่างที่หลังมอมีร้านเหล้ามาเปิดใหม่ ว่างๆพวกเราลองไปนั่งดีไหมวะ”ไอ้เชี่ยวพูดชวน นี่หรือเปล่าค่าตอบแทน ผมยิ้มไม่ปฏิเสธ
“อืม เอาสิ จะไปวันไหนก็นัดกันมานะ เออยังไงก็ขอบใจนะเว้ย เหมาเจาะพอดี”ผมบอกไอ้เชี่ยว มันไหวไหล่ ก่อนจะเดินไปล้างพู่กันที่อ้างล้างมือต่อ ดีเลยกะว่าจะเอาไปคืนพี่ท็อปได้กล่องแถมมาด้วย
ผมเอาแหวนของพี่ท็อปเก็บไว้ในกล่อง เสียดายที่เก็บได้แค่วงเดียว ผมเก็บของใส่กระเป๋า มองดูนาฬิกาที่สร้อยคู่ใจ หนึ่งทุ่มครึ่งแล้ว ผมเดินไปหาไอ้โก๋กับไอ้ผิงว่ามันเสร็จงานกันหรือยัง
“จะกลับพร้อมกูหรือเปล่า”ผมถามมันสองคนที่กำลังล้างแปรงพู่กัน ผมสำรวจว่าพวกมันก็เสร็จงานกันแล้ว
“เออ แวะกินอะไรก่อนกลับไหมวะ”ไอ้โก๋ถาม นานๆทีจะออกไปด้วยกันสามคนแบบนี้ ผมมองไอ้ผิงมันพยักหน้าตกลง พวกผมล่ำลาพรรคพวกที่ห้อง ก่อนจะนัดกันไปเจอที่ร้านน้ำเต้าหู้ จริงๆก็มีของหวานประเภทเติมนมทุกอย่าง ขนมปังปิ้ง ขนมปังสังขยา ยามเย็น รถในมอและด้านนอกเยอะกว่าปกติ สร้างความหงุดหงิดในการใช้ท้องถนนขึ้นมานิดหน่อย เมื่อมาถึงร้านประจำประตู 6 เห็นว่ายังมีโต๊ะว่าง พวกผมก็สั่งของกินคนละอย่างสองอย่าง
ผมเลือกโต๊ะด้านในสุด
“เฮ้อ กว่าจะได้ออกมานั่งชิลล์ๆแบบนี้เล่นเอาคอแทบเคล็ด”ไอ้โก๋เอียงคอไปมาอย่างปวดเมื่อย ผมมองมันยิ้มๆ
“ว่างๆก็ไปนวดสิ ได้ผลนะเว้ย ดูกูสบาย”ผมบอก มันสองคนมองผมตาไม่กระพริบ
“ใครนวด?”
“หมายถึงนวดจริงๆโว้ย ไปเข้าร้านอะไรทำนองนั้น ไม่แพงหรอก เผื่อพวกมึงจะได้ผ่อนคลายไง”ผมบอก อุตส่าห์แนะนำมันไป ยังจะมาวกเข้าเรื่องทะลึ่งอีก มันสองคนหัวเราะอย่างรู้กัน
“ก็แหม อยู่ๆมึงกูพูดขึ้นมา กูก็นึกว่าพี่ท็อปนวดให้”ไอ้โก๋พูดเหมือนรู้ดี ผมไหวไหล่ ไม่อยากเถียง รอไม่นานนักของที่สั่งก็ถูกเสิร์ฟจนครบ
“แดกให้หมดนะเว้ย”ไอ้ผิงบอก ก่อนจะจิ้มขนมปังกับสังขยา ไหนจะขนมปังปิ้งของไอ้โก๋อีก ดีนะที่ผมไม่ได้สั่ง มีแค่โกโก้นมสดร้อนๆเท่านั้น
“เมื่อคืนก่อนมึงทิ้งพี่ดีนไว้ที่ร้านเหรอวะ”อยู่ๆไอ้ผิงก็เอ่ยขึ้นมา
“อือ แกเมาหัวทิ่ม เลยฝากพี่ตั้มดูแล”ผมบอก วันนี้ตอนแข่งบาสฯก็ไม่เห็นแกมาพูดอะไรกับผม จะโกรธก็คงไม่ใช่
“งานบายเนียร์ปีสี่ สงสัยจะได้เห็นภาพเด็ด”ไอ้โก๋บอก ผมมองอย่างอยากรู้ พี่ดีนกับเฮียแกนน่ะเหรอ ได้ยินมาเหมือนกันว่าอาจารย์อยากให้จับมือสามัคคีกันได้แล้ว
“หึหึ งานจะสงบแน่เหรอวะ”ไอ้ผิงย่นหน้า
“ก็ไม่แน่หรอกมั้ง ใครจะตีกันในงาน”ผมพูด ที่แน่ๆไม่ใช่พี่ดีนกับเฮียแกนอยู่แล้ว จะเป็นเพื่อนๆพี่แกมากกว่าที่ดูจะแรงกันทั้งสองฝ่าย
“มึงจะไม่ไปจริงๆเหรอ”ไอ้โก๋ถามผม
“ไม่ว่ะ ไม่อยากไปวุ่นวาย”ผมบอก บายเนียร์ก็คงไม่มีอะไรมากหรอก
“อืม เทอมหน้ามึงจะลงวิชาอะไรกันบ้างวะ”ไอ้โก๋เปิดประเด็นเรื่องเรียน เทอมหน้ามีวิชาเลือกให้ลงหลายตัว ไหนจะเลือกเสรีอีก พวกผมนั่งคุยกันเรื่องเรียนกันอยู่สักพักก่อนจะพากันกลับหอพักใครหอพักมัน เมื่อกลับมาที่ห้องพัก ผมเห็นว่าพี่ท็อปน่าจะมาอยู่ที่ห้องผม ผมหมุนลูกบิดปรากฏว่าไม่ได้ล็อกไว้ เป็นพี่ท็อปจริงๆนั่นแหละ ผมเปิดประตูเข้าไป เห็นพี่ท็อปกำลังจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ให้ผมอยู่
“กลับมาแล้วเหรอ”
“อ้าว นึกว่าจะอยู่ติวกับพี่ธามดึกซะอีก”ผมพูด ก่อนจะเดินไปวางกระเป๋าที่โต๊ะเขียนหนังสือ พี่ท็อปส่ายหน้า
“ก็พอรู้เรื่องแล้วล่ะ เลยไม่อยากนั่งแช่อยู่ในนั้นเลยกลับมาหาแฟนดีกว่า”พี่ท็อปหันมายักคิ้วให้ผมก่อนจะเดินไปนอนเล่นที่เตียง ผมเลยไปจัดการธุระส่วนตัวอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น พออกจากห้องน้ำก็เห็นว่าพี่ท็อปยังคงนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง ผมเลยเดินไปตากผ้าเช็ดตัวที่เก้าอี้ก่อนจะแอบหยิบกล่องแหวนไม้มะค่าออกมากำไว้ในมือ เพิ่งถอดเมื่อตอนเย็น ตกดึกก็ได้คืนแล้ว
ผมแอบย่องไปหาพี่ท็อปก่อนจะกระโดดลงเตียงไปหาพี่ท็อปเจ้าตัวขมวดคิ้วจ้องผมเหมือนจะด่า ผมเลยยื่นหน้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายซะเลย
“หอมจัง”ผมบอกก่อนจะเข้าไปนัวเนียกับอีกฝ่าย พี่ท็อปหัวเราะเบาๆเพราะจั๊กกะจี้ที่ผมเอาปากไปโดนลำคอของเจ้าตัว
“อะไรเนี่ย หืม มาอ้อนเอาอะไร”พี่ท็อปวางโทรศัพท์ลงก่อนจะหรี่ตามองผมอย่างใคร่ครวญ ผมส่ายหน้าเผยยิ้มอย่างสุขใจ
“ลืมอะไรหรือเปล่าครับ”ผมพูด ก่อนจะเอื้อมไปจับมือซ้ายของพี่ท็อป เจ้าตัวทำหน้างุนงงก่อนจะเปลี่ยนเป็นรู้ทัน ผมยื่นกล่องแหวนไปให้
“สวมให้หน่อยสิ อยากได้ฟิวส์เมียขอแต่งงาน”พี่ท็อปพูดซะผมไปไม่เป็นเลย ผมดึงมืออีกฝ่ายมากัดนิ้วเบาๆ
“โธ่ พี่พูดซะหมดอารมณ์เลย”ผมส่ายหน้าก่อนจะเปิดกล่องแหวนออก พี่ท็อปยิ้มกวางก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดแน่นๆ “มึงก็แบบนี้ มาทำให้กูไม่อยากไปไหนไกลหูไกลตา”เจ้าตัวพูด ก่อนจะหยิบกล่องไปสำรวจอย่างสนใจ พี่ท็อปหยิบแหวนออกจากกล่อง ก่อนจะส่งตัวอักษรที่ผมสลักเพิ่งลงไป Song love Top พอเห็นว่าสลักว่าอะไรเจ้าตัวก็มองหน้าผมเหมือนปลื้มปริ่มมาก
“สวยไหมล่ะ”
“อืม รักเลยว่ะ”พี่ท็อปยื่นหน้ามาจูบเบาๆไม่ได้ดูดดื่ม
“มาเดี๋ยวผมสวมให้”ผมบอกก่อนจะจับมือซ้ายของพี่ท็อปขึ้นมา หยิบแหวนในมืออีกฝ่ายมาสวมลงนิ้วนางของเจ้าตัวที่เข้าไปแบบพอดีนิ้ว
“จองไว้แล้ว”ผมพูด แล้วจุ๊บลงที่หลังมืออีกฝ่าย พี่ท็อปหัวเราะชอบใจ
“เข้าใจพูดนะ เดี๋ยวก็ไม่ได้นอนหรอก”พี่ท็อปยิ้มปริ่ม ก่อนจะดันให้ผมลงไปนอนกับเตียง “ขอบใจนะเว้ย ที่ใส่ใจกัน”พี่ท็อปบอก ผมยิ้ม “เรื่องแค่นี้เองน่าพี่”
“พอๆ นอนดีกว่า ไม่งั้นไม่ได้นอนจริงๆนะไอ้สอง”เจ้าตัวลุกไปปิดไฟให้ผมโดยที่ไม่ต้องบอก ผมนอนมองอีกฝ่ายเดินกลับมาที่เตียงในความมืด เงาร่างของพี่ท็อปเดินมาที่เตียงก่อนจะล้มตัวนอนลงข้างๆอย่างเคยชิน
“กู๊ดไนท์ที่รัก”พี่ท็อปพูดกระซิบ ผมหลุดขำ “ครับ ฝันดีเหมือนกัน”ผมบอกกลับ ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกับคนข้างกาย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #29 part 1 # 27.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 27-06-2016 09:04:52
 :กอด1:   คิดถึงมากเลยค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #29 part 1 # 27.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: lllittled ที่ 27-06-2016 12:31:40
 :hao7: ยิมมีความลึกลับรู้สึกชอบคาแร็คเตอร์ยิมนะ
เป็นคนตรงๆด้วยอ่ะ เอาไปแต่งเป็นพระเอกเรื่องหน้าไปเดี๋ยวตามอ่าน55555
ทีแรกคิดว่าจะออกมาพลิกแบบโยเป็นพระเอกตอนท้ายไรงี้ไง
สารภาพว่าห่วงภูมิหลังท็อปมากกลัวมาร้าย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #29 part 1 # 27.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: lllittled ที่ 27-06-2016 13:16:40
 :katai5:
มีความรู้สึกตั้งแต่ตอนยิมโผล่มาแรกๆแล้วนะว่าทำไมยิมดูแมนกว่าสอง5555
รู้สึกงี้จริงๆ ยิมสองไรงี้ ออร่ายิมมั้งดูเมะอ่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #29 part 1 # 27.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 27-06-2016 13:39:25
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #29 part 1 # 27.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: lllittled ที่ 27-06-2016 18:11:37
ยิมผิงจ่ะ

แต่ใจจริงไม่อยากให้ยิมมีคู่เลย

ดูคนดีเกินไปดีแบบอยากเก็บไว้ประดับนิยายอ่ะ #ประสาทมาก

แต่ในเรื่องนี่ชอบยิมสุดแล้วไม่อยากให้มีคู่ด้วยตัดใจจากสองได้แต่ไม่ต้องมีคู่ก็น่าจะดีนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #29 part 1 # 27.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: lllittled ที่ 27-06-2016 20:23:47
 :ling3:
อยากได้ท็อปสองอ่ะ ไม่ปลื้มสองท็อปเท่าไหร่
ดูท็อปให้ออร่าความเป็นรุกสูงกว่า
ขนาดตอนออนท็อปสองท็อปยังดูเป็นฝ่ายเสียบมากกว่าถูกเสียบเลย
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #29 part 1 # 27.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: lllittled ที่ 28-06-2016 02:16:41
 :a5:
มันยังจะมีพายุลูกสุดท้ายอีกเหรอเนี่ย
แลดูชีวิตมีแต่มรสุม :katai1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #29 part 1 # 27.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 05-07-2016 22:35:55
ดูท่าทางเรื่องที่พี่ท็อปคุยกับพ่อสองจะลับสุดยอดน่าดู ไม่มีบอกใบ้ให้เดากันสักนิดเลย

สองนี่เสน่ห์แรงพอควรเลยนะ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีคนเค้ามาให้ปวดหัวได้ตลอด ไม่แน่ใจว่าอ่านข้ามไปหรือเปล่า แต่ตั้งแต่ต้นเรื่องยังไม่เคยเจอบทบรรยายที่บอกลักษณะของสองเลยว่ารูปลักษณ์เป็นยังไง มีแต่พี่ท็อปนี่แหละที่คิดว่ามี Sex Appeal สูงมากๆ แน่นอน  :z1:

รอติดตามต่อไปนะจ๊ะ  :L2:

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # #29 part 1 # 27.06.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 11-07-2016 01:54:30
เกือบลืมเรื่องนี้แล้ว พี่ท็อปไปฝึกงานหวังว่าคงไม่มีเรื่องอะไรมาอีกนะ พี่ดีนก็เหนื่อยใจแทนเคลียร์ๆกันได้แล้วพี่ คิดถึงคู่ ยิมผิง อะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Deen Diary บทที่ 6 เปิดใจ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 18-08-2016 01:13:21
Deen Diary
บทที่ 6 เปิดใจ

“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอวะ” พี่กัสถามขณะเก็บกระเป๋าขึ้นมาสะพาย สายตาจับจ้องมาที่ผมอย่างเป็นห่วง หลังจากที่ผ่านค่ำคืนของการนอนไม่หลับมาอย่างยากลำบาก ในใจผมล่ะนึกอยากซัดยานอนหลับไปให้รู้แล้วรู้รอด ผมยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย
“นิดหน่อยพี่ แล้วกลับไปดูร้านเหรอพี่” ผมถามเพราะไม่เห็นพี่แกพูดถึงเรื่องร้านเลย พี่กัสถอนหายใจมองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่ซีเรียส
“เปล่าหรอก อะไรๆ ยังไม่เข้าที่เข้าทาง นี่ก็ให้เพื่อนมันดูไปก่อน”
“คงไม่ย้ายไปไหนแล้วนะพี่” ผมพูดขำๆ หวั่นใจเหมือนกันว่าพี่กัสอาจจะต้องย้ายที่ทำมาหากินไปกับครอบครัวของเขา ด้วยคำพูดของผมทำให้พี่กัสหลุดยิ้ม
“หู้ยยย คิดมากทำไมยังไม่ถึงเวลาหรอก จะให้กูย้ายไปไหนอีกมาอยู่ได้ไม่ถึงเดือนเลย” พี่กัสหัวเราะก่อนจะโบกมือลา ผมแค่เดินไปส่งหน้าประตูห้อง
“มีอะไรก็โทรหาผมได้นะ” ผมบอกอีกฝ่าย
“มึงสิต้องโทร งั้นกูไปล่ะ มีอะไรก็โทรหานะเว้ย” พี่กัสส่งยิ้มให้ผมก่อนจะยื่นมือมาตบไหล่ผมอย่างให้กำลังใจ ภายในใจอบอุ่นขึ้นมา ก่อนจะยกโบกมือลาให้พี่กัส คิดว่าหลังจากนี้คงไม่ได้เจอกันง่ายๆ อีกแล้ว
หลังจากพี่กัสกลับไป ผมก็ได้รับข้อความจากไอ้แกน อีกฝ่ายนัดเจอที่ลานหลังคณะวิทย์ ผมแปลกใจที่มันเลือกสถานที่นั้น เพราะมันเหมือนสวนสาธารณะ อีกอย่างมันค่อนข้างเงียบสงบด้วย ผมไม่ได้ขัดอะไรแค่ตอบตกลง
ผมยืนมองตัวเองในกระจกอยู่เนิ่นนาน มาตอนนี้จะหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว ผมคว้ากระเป๋าสะพายติดมาด้วยพร้อมกับขนงานไปทำต่อถ้าเกิดว่าจบเรื่องกับไอ้แกนเรียบร้อยแล้ว

ผมจอดรถไว้ที่ริมถนนก่อนจะเดินไปตามทางเส้นเล็กๆ ที่ลัดเลาะไปยังเนินหญ้าเขียวขจีสูงต่ำสลับกันไป ความสงบและธรรมชาติทำให้ข้างในผมสงบอย่างบอกไม่ถูก ที่โต๊ะกลมใต้ต้นสนสูงใหญ่มีไอ้แกนนั่งรออยู่ก่อนแล้วมันเงยหน้ามองผมก่อนจะโบกมือเรียกเหมือนคนสนิทกัน ผมถอนหายใจมองซ้ายขวามีเด็กปีหนึ่งสองสามคนนั่งห่างออกไปสามโต๊ะ ซึ่งไม่ได้สนใจอะไร
“มึงสบายดีนะ” มันทักผมด้วยประโยคนี้ ผมส่ายหน้า
“มึงเห็นกูป่วยหรือไง” ผมตอบก่อนจะเลือกนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ไอ้แกนมองหน้าผมนิ่งๆ ดูเหมือนว่ามันจะไปตัดผมมาอีกแล้วเพราะดูสั้นลงจากคราวก่อน
“อือ มึงดูหน้าซีดๆ” ไอ้แกนพูด ผมส่ายหน้าอีกรอบ ก็แค่พักผ่อนน้อย
“เข้าเรื่องเลยน่าจะดีกว่า กูไม่อยากเสียเวลา”
“เข้าเรื่อง? จริงๆ แล้วมึงกับกูไม่ได้มีเรื่องข้องใจอะไรมาก มันก็แค่อดีต มันอยู่ที่มึงทั้งนั้น” ไอ้แกนพูดมันวางมือบนโต๊ะสองมือประสานกันท่าทางหนักแน่น ผมเบนสายตาไปรอบๆ ตัว
มันก็จริง ผมเองเหนื่อยมานานและเบื่อกับเรื่องที่ผ่านมา
“กูขอโทษ” ไอ้แกนพูดคำนี้เบาๆ แต่น้ำเสียงจริงใจ มันคงเห็นผมไม่พูดอะไรออกมาสักที
 “กูไม่ใช่คนดีกูรู้ตัว ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่คนดีอะไร แต่กูอยากจะทิ้งเรื่องเก่าๆ ลง เรื่องไม่ดีๆ กับมึง” อีกฝ่ายพูดออกมาอีกครั้ง ผมหลับตาลง ยอมรับว่าไม่ได้โกรธเกลียดมันเท่าเมื่อก่อน
“มึงต้องการอะไรจากกูล่ะ” ผมถามมองหน้ามันชัดๆ ไอ้แกนนิ่งไป
“เลิกแล้วต่อกัน”
“อืม มึงกับกูจะเป็นเพื่อนกันได้เหรอวะ” ผมพูด นึกภาพไม่ออกสักนิด กับการต้องเป็นเพื่อนกับไอ้แกน อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ
“มึงคงจะอึดอัด แต่มันต้องใช้เวลาบ้าง” มันบอก
“กู...ยกโทษให้มึงได้” ผมเอ่ยออกไปช้าๆ แต่ก็ไม่ทั้งหมดอยู่ดี ไม่รู้สิ ถึงผมอยากจะให้อภัยมันมากแค่ไหนแต่มันมีบางอย่างติดอยู่ในใจตลอด เรื่องของผมกับมันอาจไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนัก แต่ผมได้รับผลกระทบนั้นรุนแรงเหลือเกิน หรือเพราะบางที ใจผมคงจะดีขึ้นถ้าหากได้กล่าวโทษใครสักคน
“กูเข้าใจ มันไม่ง่ายหรอก ตอนนั้นเรายังเด็กกันแต่ต่อจากนี้มึงกับกูคงหนีกันไม่พ้นจริงๆ ได้ยินว่ามึงฝึกงานที่คณะ” มันวกเข้าหาเรื่องใหม่ ผมแปลกใจที่มันรู้เรื่องนี้เพราะผมบอกไม่กี่คนเอง ไม่ก็อาจารย์ท็อปไปคุยให้มันฟัง
“อืม กูขี้เกียจไปไกล” ผมตอบ
“ก็ดี” มันพึมพำเบาๆ
“แล้วมึงต้องเรียน—” พอพูดถึงเรื่องที่มันต้องจบช้าแล้วก็ใจหาย ไม่มีใครอยากจบทีหลังเพื่อนปีเดียวกันหรอก ถึงจะไม่ใช่ความผิดของผมซะทีเดียวก็เถอะ แต่ลึกๆ แล้วผมเสียใจกับมันนะ
“อืม แต่กูไม่เสียใจหรอกนะ อย่างน้อยกูก็มีเวลามากขึ้น อย่างน้อยกูก็ขายงานให้ฝรั่งได้ กูว่าจะลงเรียนตัวอื่นเพิ่มในเมื่อมีเวลาเรียนเพิ่ม กูจะเรียนต่อ หึ คิดในแง่ดีไงวะ” อีกฝ่ายตอบในแง่บวก ผมเงียบไป
“มึงเลิกชกมวยแล้วเหรอ” ผมถาม เปลี่ยนเรื่องคุยแทน ก่อนจะเหลือบมองหน้ามันถึงได้รู้ว่ามันจ้องมาที่ผมอยู่แล้ว ไอ้แกนเดาะลิ้นเล่น
“เออ ไม่มีเหตุผลอะไรที่กูจะต้องเอาหน้าไปรับหมัดคนอื่นแล้ว พักรักษาตัวนาน แถมไม่คุ้มค่าตอบแทนด้วย” ไอ้แกนแค่นเสียงท่าทางมันไม่พอใจ “แล้วมึงคิดจะจีบไอ้สองจริงๆ หรือแค่เล่นๆ” อยู่ๆ มันก็มาถามเรื่องนี้ ผมหงุดหงิดนิดหน่อย
“กูกับไอ้สองก็พี่น้อง” ผมตอบไปตามจริง ถึงบางครั้งจะแอบคิดเกินเลยไปบ้างก็เถอะ
“หึ เห็นมึงยังไปยุ่งกับมันอยู่” ไอ้แกนยังคงเซ้าซี้เรื่องนี้
“อืม แค่คุยไม่ได้หมายความว่าไปยุ่ง ว่าแต่มึงเหอะ มายุ่งกับกูทำซากอะไร” ผมหันไปต่อล้อต่อเถียงอย่างไม่ยอมลดละ อีกฝ่ายส่ายหน้า
“แค่อยากจะเตือน มึงก็ไม่ใช่ว่าจะดีเด่อะไร อยากเป็นขี้ปากชาวบ้านหรือไง”
“กูก็ไม่มีเรื่องดีอยู่แล้ว คนมันจะพูดก็พูดอยู่ดี มึงจบเรื่องแล้วใช่ไหมกูจะไปทำงาน” ผมเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย เหลียวมองไปรอบตัวอย่างหาที่วางสายไม่ได้
“อือ” มันตอบมาห้วนๆ จากนั้น ผมลุกขึ้นยืน เมื่อหมดเรื่องคุย ไอ้แกนมองตาม
“วันไหนอยากเมาก็นัดกู”
“มึงพูดจริงๆ เหรอ” ผมหัวเราะ กับคำชวนของมัน ถึงจะพยายามทำดีด้วยแต่ไอ้การชวนไปเมาเนี่ยต้องเพื่อนสนิท จะให้ไปดื่มเหล้าปรับทุกข์กับมันล่ะก็... ขอบายดีกว่า
“จริงสิวะ กูพูดจริงทำจริงอยู่แล้ว” ไอ้แกนขมวดคิ้วจ้องหน้าผมเหมือนยืนยันว่าที่พูดมาทั้งหมดนั่นคือความจริง
“กูไปล่ะ” ผมรีบตัดบทก่อนจะเดินไปที่รถเพราะเกลียดสายตาของมัน
พอได้คุยกับมันในช่วงเวลาสั้นๆ แม้ว่าจะมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถก้าวผ่านไปได้แต่ก็ทำให้ผมเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง อย่างน้อยๆ ศัตรูก็ลดไปหนึ่งและได้มิตรมาเพิ่มแทน

นับตั้งแต่วันที่ผมคุยกับไอ้แกนก็ล่วงเลยมาสัปดาห์หนึ่งแล้ว จะว่าไปผมไม่เห็นมันที่คณะเท่าไหร่ คงเพราะมันว่างมากอาจจะไปขลุกอยู่ที่ชมรมอาสาฯ ของมันล่ะมั้ง ผมมาที่คณะตามปกติได้ยินเสียงเอะอะปึงปังมาจากลานคณะ เห็นว่าพวกเด็กปีหนึ่งปีสองปีสามประปรายคละกันไปกำลังเล่นบาสกันหน้าดำคล้ำเครียด หนึ่งในนั้นมีไอ้สองด้วย ผมแปลกใจที่เห็นมันเพราะช่วงนี้มันหายหัวไปเลยทั้งเรื่องงานเรื่องแฟนมัน
พอมาสำรวจใจตัวเองแล้ว สำหรับผมไอ้สองก็แค่น้องที่ผมแคร์มากคนหนึ่ง ถึงบางครั้งใจจะเอนเอียงไปบ้างแต่ให้ตายยังไงไอ้สองมันก็คงไม่คิดอะไรเกินเลยกับผมหรอก ผมลากมันมาคุยด้วยสักหน่อย ไอ้สองทำหน้าสงสัยแต่ก็ยอมตามผมออกมา แซวมันนิดหน่อยให้กระชุ่มกระชวย
ผมเดินกลับไปยังตึกภาคชั้นสี่ ผมเจอเพื่อนร่วมชั้นปี บางคนทักทายกันตามปกติ ที่สตูส่วนมากก็มีแต่พวกปีสี่สาขาเดียวกันหลักๆ จะเป็นพวกเพื่อนๆ ผมมากกว่า พวกไอ้แกนไปอยู่ห้องอีกฝั่งตรงข้ามแทนเพราะห้องบรรจุคนไม่พอ ส่วนเพื่อนกลุ่มเดียวกับผมนั้นหลายคนหายหน้าหายตาทั้งไอ้กร ไอ้ต๊ะ
อันที่จริงพวกนั้นก็ไม่ใช่เพื่อนสนิทสักเท่าไหร่เพราะผมไม่เคยบอกเล่าความในใจกับพวกมันเลย และพวกมันก็คงจะรู้สึกถึงเลิกตามเซ้าซี้ผมไปนานแล้ว จะมีก็แค่ไอ้ติล่ะมั้งที่ยังคงคุยกับผมได้มากที่สุด
“เฮ้ย ไม่เห็นหน้ามึงหลายวันเลย” ไอ้ติทักขณะที่ผมเดินกลับมาที่กระดานเขียนรูปของตัวเอง ผมยิ้มทักทายมัน
“กูไปคุยกับอาจารย์น็อตมาว่ะ” ผมตอบ มันพยักหน้าก่อนจะเดินมาหาผม
“พักนี้มึงดูแปลกๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่าวะ” มันถามอย่างห่วงใยตามประสาเพื่อน ผมแค่ไหวไหล่ตบบ่ามันสองสามที
“เปล่าหรอก แค่เซ็งๆ น่ะ” ผมบอกมัน ไอ้ติมองหน้าผมอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ ที่ผมยังไม่บอกอะไรมัน
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แล้วเรื่องไอ้แกนล่ะว่าไง” อยู่ดีๆ มันก็ถามถึงไอ้แกนขึ้นมา ผมไม่เข้าใจนิดหน่อย หลังจากที่อาจารย์มาบ่นในคลาสคราวนั้นดูเหมือนในสายตาหลายๆ คนคงคิดว่าผมกับไอ้แกนคงอยู่ร่วมกันไม่ได้จริงๆ
“ไม่ยังไงหรอก ต่างคนต่างอยู่” ผมบอกไปตามจริง
“ดีแล้ว จะจบทั้งทีไม่อยากติดค้างอะไร” ไอ้ติบ่นงึมงำอยู่ข้างๆ ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่ามันจะต้องอยู่ที่คณะอีกหนึ่งปี ก็ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไหร่
เสียงสั่นเตือนจากโทรศัพท์ในกระเป๋า ผมหยิบออกมาดูก็เห็นว่า ‘พี่กัส’ ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่แต่อยากจะรู้ว่าพี่แกจะโทรมาด้วยเรื่องอะไรหรือเปล่า
“ครับพี่” ผมกดรับปลายสายเงียบไปก่อนจะเปิดปากพูด
[เออดีน ว่างคุยไหมวะ]
“ว่างครับ มีอะไรหรือเปล่าครับพี่” นั่นไง เริ่มต้นด้วยประโยคนี้ทำเอาผมขมวดคิ้วตาม คงจะมีเรื่องจริงๆ ล่ะมั้ง
[อืม พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า] พี่กัสถาม
“น่าจะว่างนะพี่ ทำไมเหรอครับ” ผมตอบ
[พอดีว่ากูเพิ่งคุยกับแม่กูว่าจะย้ายไปฟิลิปปินส์เร็วๆ นี้น่ะ กูก็เลยต้องย้ายอีกรอบ] ผมเงียบ รู้สึกตกใจที่พี่กัสจะย้ายกลับไปเร็วแบบนี้ ยังมาอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ เจ้าตัวก็เป็นคนบอกเองแท้ๆ
“ทำไมถึงกลับไปเร็วจัง” ผมถามมึนๆ ใจจริงผมอยากถามว่า ‘มีเรื่องอะไรหรือเปล่า’ แต่ดูจะก้าวก่ายเกินไปเพราะถ้าอีกฝ่ายอยากบอกคงบอกผมแล้ว ไม่ต้องให้ตั้งคำถาม ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าเพราะล่าสุดที่เจอกันยังบอกว่าจะยังไม่ย้ายไปไหน
[ที่บ้านกูอยากให้ไปช่วยทำงานด้วยน่ะ มันน่าจะลงตัวมากกว่า] พี่กัสบอก ผมฟังแล้วตงิดๆ ในใจ
“เหรอ... แล้วแกลเลอรีของพี่ล่ะ” ไหนว่าเพิ่งหุ้นกับเพื่อนท่าทางจริงจังขนาดนั้น น่าเสียดายที่ร้านยังไม่เข้าที่เข้าทางก็จะย้ายไปอีกแล้ว
[คงให้ไอ้ตองช่วยดูไปก่อน กูวางแผนไว้กับไอ้ตองแล้ว ว่าไง... มึงจะมาได้ไหม จะได้ออกไปเลี้ยงส่งกูด้วยเลย] พี่กัสถามน้ำเสียงดูปกติเหมือนคุยเรื่องธรรมดาราวกับคุยเรื่องชีวิตประจำวัน แต่ผมยังคงงงๆ ใจหายไปบ้าง
“เอ่อ” ผมติดอ่างไปชั่วขณะคิดหาข้ออ้างอะไรไม่ออกจริงๆ ทั้งๆ ที่ผมน่าจะตอบตกลงไปเลยก็ดี
[ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะเว้ย] พี่กัสรีบพูดต่อ ผมลังเล
“งั้นเดี๋ยวผมโทรไปบอกอีกทีนะพี่ รอดูคิวก่อน” ผมหัวเราะไปเก้อๆ
[อืม ได้ๆ ถ้างั้นโทรมาบอกก่อนล่ะ กูจะได้รู้] พี่กัสพูดหลังจากนั้นก็วางสายไป ผมถอนหายใจ ดูเหมือนพี่กัสจะไม่รู้สึกอะไรเลย
ผมไม่อยากถามให้มากความในเมื่อเจ้าตัวตัดสินใจดีแล้ว แต่ผมไม่อยากไปดื่มกับพี่กัสเท่าไหร่ กังวลว่าผมจะต้องพูดอะไรกับอีกฝ่ายเรื่องย้ายไปอยู่ฟิลิปปินส์ชั่วคราวหรือว่าถาวร แต่ดูจากคำบอกเล่าเมื่อครู่ผมเดาได้รางๆ ว่าคงจะไปอยู่ยาวแน่ บางทีผมควรจะไปส่งพี่กัสที่สนามบินก็พอหรือเปล่า
วันพรุ่งนี้งั้นเหรอ อย่างน้อยผมก็มีคำตอบให้ตัวเองแล้ว
“เป็นอะไร” ไอ้ติถาม มันแตะแขนผมเบาๆ เป็นการเรียกสติ ผมเงียบ ไอ้ติถอนหายใจจ้องหน้าผม มันเป็นเพื่อนที่อดทนกับผมมาตลอด มันไม่เคยทู่ซี้ถามผมในเรื่องที่มันอยากรู้
“มึงว่ากูเหมือนคนอกหักไหมวะ” ผมยังคงคาใจกับความรู้สึกนี้อยู่ ไอ้ติพ่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจเพื่อนร่วมสตู
“มึงถามจริงๆ เหรอวะ” มันยิ้มก่อนจะต้องคลายลงเมื่อเห็นสายตาของผม มันพินิจพิจารณาผมอยู่นานสองนาน “ไม่น่าถามกูนะ ถึงกูจะเป็นเพื่อนมึงแต่กูแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมึงเท่าไหร่ ช่วงนี้มึงไปไหนกับใครคบกับใครกูไม่รู้ แต่ให้เดาๆ นะ มึงก็คล้ายๆ อยู่” ไอ้ติพูด ผมนิ่งประมวลสิ่งที่มันพูด
“งั้นเหรอ”
“เออ มึงมีวิธีแสดงออกให้ต่างจากนี้ไหม กูเห็นมึงชอบทำตัวบ้าบอๆ แบบนี้มาสักระยะแล้ว มึงคงมีปัญหาอะไรสักอย่างล่ะมั้ง” ไอ้ติส่ายหน้ามันกลอกตาไปมาท่าทางลังเลเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา
“มึงจะพูดอะไรก็ว่ามา”
“กูพูดได้ใช่ไหม เออ...บางทีปัญหาของมึงคือมึงไม่เปิดใจให้ใครเลยล่ะมั้ง แม้กระทั่งเพื่อน ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็น กูเลยไม่รู้ว่าพักนี้มึงเป็นอะไร แค่เซ็งๆ เหมือนที่มึงชอบบอกหรือว่าอกหัก?”
“คงจะจริง” ผมถอนหายใจ
“กูรู้ว่ามึงมีความลับ มึงควรจะมีที่ปรึกษาปัญหาหัวใจไว้สักคนนะไม่งั้นจะบ้าเอา ไม่ขอให้เป็นกูหรอกไม่งั้นมึงคงบอกมาตั้งนานแล้ว” มันยิ้มแต่ดูไม่โกรธเท่าไหร่
“อือ บางทีกูก็อยากจะเล่านะแต่มันก็อธิบายยาก” ไอ้ติไม่ได้พูดอะไรแต่พยักหน้า “มึงอยากรู้ไหมวะเผื่อจะคลี่คลายให้กูได้” ผมลองถามออกไป มีเพื่อนสนิทจริงๆ สักคนก็คงดี มันมองหน้าผมตาแป๋วเหมือนแปลกใจ
“เป็นความลับไหม”
“อือ” ผมส่งเสียงบอกมันเบาๆ ก่อนจะชวนมันไปคุยที่ดาดฟ้าน่าจะสะดวกกว่า

ผมกับไอ้ติขึ้นมาที่ดาดฟ้ามีเด็กๆ อยู่กลุ่มนึงกำลังฝึกถ่ายรูป ผมเลี่ยงไปที่เงียบๆ แทน มีเก้าอี้ยาวกับที่บังแดดไว้พร้อม เป็นฝีมือของพวกสถาปัตย์ที่เอางานตัวเองมาทิ้งไว้ที่นี่ให้มีประโยชน์ใช้สอย ไอ้ตินั่งลงท่าทางอยากรู้เต็มที ผมแอบขำนิดหน่อย มันถือเป็นคนแรกที่ได้คุยเรื่องพี่กัสกับผม หลายปีที่ผ่านมานอกจากพี่กัสแล้วก็ไม่มีใครเลยที่ผมคุยเปิดเผยได้ กลับกันในตอนนี้กลายเป็นว่าผมคุยเปิดเผยกับพี่กัสไม่ได้อีกแล้วเพราะอีกฝ่ายปิดประตูใส่ผมไปซะแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่าปรึกษาได้ก็เถอะ
“กูจะเริ่มแล้วนะ กูรู้จักพี่คนนึงหลังจากที่กูทะเลาะกับแม่ อย่างที่รู้กูกับที่บ้านไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ ตอนนั้นกูยังเด็กแค่ม.สี่เองมั้ง พี่แกทำให้กูรู้จักโลกมากขึ้นเข้าใจคนมากขึ้นแล้วก็ทำให้กูหันมาสนใจศิลปะจนแอดติดที่นี่ได้ กูไม่รู้ว่ากูรู้สึกชอบอีกฝ่ายมากแค่ไหนแต่ก็บอกตัวเองมาตลอดว่ากูรู้สึกแค่ชื่นชอบ มันไม่ใช่แบบรักใคร่ แต่พอกูได้รู้ความจริงเรื่องพี่กัส...” ผมเล่าให้มันฟังเรื่องของพี่กัสยกเว้นเรื่องไอ้แกน บอกเล่าถึงความรู้สึกลึกๆ ที่แท้จริงแล้วว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่กัส
“บางทีมึงคงชอบพี่เขานะแต่มึงตีกรอบไว้แค่ชื่นชอบ เพราะมึงเห็นว่าพี่กัสอะไรนั่นเป็นเสาหลักของมึง เป็นพี่ที่มึงชื่นชม เป็นคนที่มึงคิดว่าเจ๋ง แต่มันถล่มลงมาเมื่อเขาหายไปและกลับมาพร้อมกับเมียและลูก มันก็ยิ่งล่มความรู้สึกของมึงไม่ใช่เหรอวะ กูว่ามันก็ชัดแล้วนะอยู่ที่ว่ามึงจะยอมรับไหม แน่นอนว่ามึงไม่อยากจะยอมรับหรอกว่ามึงรู้สึกอยากรักพี่เขาน่ะ แต่โลกนี้มึงสามารถหาเสาหลักดีๆ ได้อีกหลายคนนะเว้ย อย่ายึดติดกับคนคนนึง มึงน่าจะปล่อยวางได้แล้วนะ มึงจะได้มีชีวิตของตัวเอง ความรู้สึกของตัวเองที่เอาไว้ไปชอบคนอื่นได้จริงๆ”
ผมอยากจะหัวเราะกับไอ้ติ เอาความรู้สึกไว้ชอบคนอื่นจริงๆ น่ะเหรอ
ผมทบทวนความรู้สึกตัวเอง พี่กัสกำลังจะจากไปอีกครั้งผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย ยังดีที่ครั้งนี้บอกให้ผมรู้ก่อน
แค่วันเดียว...พรุ่งนี้เลี้ยงอำลาแล้วก็ไปเลยงั้นเหรอ เป็นพี่กัสก็คิดอะไรง่ายๆ ดีเหมือนกันนะ
“แล้วไงต่อ เมื่อกี้นี้พี่กัสโทรมาหรือไง มีอะไรหรือเปล่า”
“จะย้ายไปฟิลิปปินส์แล้ว จะไปอยู่วันสองวันนี้ก็พึ่งมาบอกกู” ผมพูดอย่างอารมณ์เสีย
“มึงเสียใจ?”
“อือ” ผมยอมรับว่าเสียใจที่พี่กัสจะย้ายไปอีกและพี่กัสไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้
“มึงชอบพี่เขาใช่ไหม” ไอ้ติพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะเข้าใจ ผมเงียบไป
“ชอบล่ะมั้งแต่กูไม่อยากยอมรับ กูรู้ว่ากูมีพื้นที่แค่ไหน กูอยากให้พี่กัสเป็นพี่ชายที่เจ๋งสำหรับกู” ผมพูด อย่างที่บอกไป ผมไม่ต้องการครอบครอง
“มึงควรปล่อยวางจากพี่เขาได้แล้วนะ พี่กัสนั่นก็มีครอบครัวแล้วมีชีวิตของตัวเอง ใครๆ ก็อยู่เพื่อตัวเองทั้งนั้น” ไอ้ติถอนหายใจดังเฮ้อ ดีนะที่มันไม่รู้เรื่องไอ้แกนไม่งั้นพล่ามใส่ผมชุดใหญ่
“อืม กูรู้แล้ว” ผมพึมพำ แค่จะไปส่งพี่กัสที่สนามบินก็พอ
“มึงลองคิดทบทวนเอาแล้วกัน” ไอ้ติยิ้มให้ก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจตบไหล่ผมเหมือนจะปลอบใจแล้วเดินหายไปที่บันไดทางเข้าไปเงียบๆ
ผมเอนหลังลงไปนอนใช้แขนเป็นหมอนชั่วคราวหลับตาลงแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ในสมองผมยังติดภาพพี่กัสอยู่ ผมนึกสบถในใจ ‘ช่างพี่เขาเหอะ’ ในเมื่อพี่กัสยังคงเป็นพี่กัสทำไมผมต้องมาซังกะตายแบบนี้ก็ไม่รู้... แย่ฉิบ
ผมได้ยินเสียงกรอบแกรบเหมือนมีคนเดินเข้ามาใกล้คิ้วขมวดโดยกะทันหัน ผมพอจะรู้ว่ามันคือใคร ไอ้ติก็กลับลงไปแล้วมันคงไม่มาวอแวผมอีกแน่ๆ ช้อยส์ก็มีอยู่คนเดียวที่จะมาวุ่นวายกับผมได้ ผมแกล้งหลับอยากรู้ว่ามันจะทำยังไงต่อ ความเงียบสงบนั่นทำให้ผมหวั่นๆ เพราะผมเดาไม่ถูกว่าความเคลื่อนไหวสงบนั่นกำลังทำอะไร แต่รู้สึกเหมือนมีเงาทาบลงมาบริเวณหน้าของผม เสียงบดของรองเท้าผ้าใบลงกับพื้น ผมลืมตาใจหายวูบเหมือนเดินลงบันไดผิดขั้นรู้สึกโหวเหวงที่ท้องกะทันหัน
ไอ้แกนมันจ้องมาที่ผมด้วยสีหน้าประหลาดใจเหมือนไม่คิดว่าผมจะลืมตา ผมนอนมองมันที่ยืนเท้าแขนก้มหน้ามองมาที่ผมในระยะที่ไม่ห่างจากกันมากนัก ผมนิ่วหน้าไอ้แกนแค่กระตุกยิ้มแปลกๆ
“กูนึกว่าเพื่อนกูซะอีก” ผมพูดไปแบบนั้นทำลายความเงียบน่าอึดอัด
“อืม มึงง่วง?”
“เปล่า”
“อ้อเหรอ งั้นอยู่เป็นเพื่อนกูสิ” ฟังจากที่มันพูดเหมือนจะเป็นประโยคคำสั่งมากกว่าขอร้อง ผมลุกขึ้นมานั่งระหว่างที่มันเดินอ้อมมาหาผม
“ทำไมวะ” ผมกำลังหาทางปลีกตัวหนี ไอ้แกนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม
“ก็ไม่ทำไม แค่อยากมีเพื่อนคุยบ้าง” ไอ้แกนหันมามองผมด้วยสายตาเหมือนขอร้อง ผมคิดว่าตาฟาดไป ผมละสายตาจากมันไปมองท้องฟ้าแทนรู้สึกอึกอัดเต็มทน ความรู้สึกแบบนี้เมื่อไหร่จะหายไปก็ไม่รู้ ผมเชื่อว่ามันคงคิดแบบเดียวกัน
“หึๆ มึงคงเพื่อนไม่คบสินะ” ผมหัวเราะเยาะ
“แล้วมึงล่ะ เพื่อนเยอะหรือไง” มันสวนกลับมาทำเอาผมหุบยิ้มถลึงตาใส่มันอย่างไม่พอใจ
มันแทงใจผมอยู่หลายส่วน....
“เหอะ กูแค่ปลีกตัวออกมาก็เท่านั้น” ผมพิงกับพนักเก้าอี้เพราะปวดหลัง ถอนหายใจทิ้งอีกเฮือกนึง ไอ้แกนเหล่มามองผมอยู่นานสีหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง “มีอะไร” ผมถามมัน สบตาอีกฝ่ายตรงๆ ไอ้แกนมันขยับมาใกล้ๆ อย่างผิดวิสัย ปกติมันจะทิ้งระยะห่างระหว่างกันไว้ ตอนนี้มันทำตัวแปลก
“ทำไมมึงถึงสักชื่อกูไว้” ไอ้แกนมองนิ่งๆ ทำเอาผมนิ่งงันไป แสดงว่าวันนั้นมันเห็นจริงๆ ด้วย ผมนึกคำอธิบาย
“ก็แค่สักไปแบบนั้น” ผมตอบไปอย่างระมัดระวังไม่ให้คำพูดมาทำร้ายตัวเองได้ภายหลัง
ไอ้แกนยังคงจ้องผมไม่ละสายตาไปไหนจนผมอึดอัดมากกว่าเดิม มันขมวดคิ้ว
“ต้องสักไว้ด้วยเหรอวะ ไม่อยากลืมกูหรือไง”
“แค่ชื่อไม่ได้หมายถึงตัวมึงหรอก ตอนนั้นกูยังเด็กไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง” ผมบอกไปตามที่คิด ก็แค่สักไว้กันลืม
“มึงไม่มีทางลืมกูหรือชื่อกูได้อยู่แล้ว มึงเจ้าคิดเจ้าแค้นหรือแค่...” มันหยุดพูดก่อนจะใช้สายตาประเมินพินิจพิจารณาอะไรสักอย่าง เป็นสายตาที่ไม่เคยใช้กับผมมาก่อน ผมแปลกใจ
“อะไร ว่ามาสิ” ผมถามต่อ
“เปล่า” มันบ่ายเบี่ยงก่อนจะเสมองไปที่ทิวทัศน์ตรงหน้าแทน ท้องฟ้าปลอดโปร่งเมฆบางตาดวงอาทิตย์ยามบ่ายส่องแสงจ้า ผมหงุดหงิดในใจที่มันทำเป็นปิดบัง
“ช่างเถอะ” ผมตัดบทไม่อยากรู้เท่าไหร่ มันคงยั่วโมโหผมก็เท่านั้นแหละ
“ตอนเย็นว่างไหม” มันจะถามทำไมกัน
“ไม่ว่าง” ผมตอบแบบไม่ต้องคิด ไอ้แกนทำหน้าไม่พอใจกับคำตอบ
“คิดก่อนสิวะ” ไอ้แกนหันมามองผม
“มีอะไรล่ะ”
“แค่อยากชวนเฉยๆ” ผมต้องหูฝาดไปแน่ๆ เมื่อเช้ามันก็พูดแบบนี้ หวังว่าจะไม่บ้าจี้ชวนผมไปเลี้ยงเหล้าอะไรแบบนั้นหรอกนะ
“มึงอยากสงบศึกกับกูจริงๆ หรือเปล่าวะ ถามหน่อย” มันพูดห้วนๆ เหมือนหงุดหงิด รับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องเขม็ง ผมไหวไหล่
“จะให้กูยิ้มแย้มกอดคอดีใจที่เป็นเพื่อนกับมึงหรือไง มันง่ายไปไหม” มันควรจะให้เวลาผมอีกสักระยะ ไอ้แกนทำเสียงหงุดหงิดฮึดฮัดอยู่ข้างๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก “มึงมีอะไรหรือเปล่า” เป็นผมซะอีกที่ต้องคาดคั้นเอาคำตอบจากมัน
“ช่างเถอะ” มันตอบอย่างรำคาญ เอ้าไอ้เวรนี่
“มึงควรตอบดีๆ ไม่ต้องมาเล่นลิ้น” ผมสกัดกั้นอารมณ์อย่างอดทน
“มึงคงปฏิเสธอยู่ดี” มันตอบอย่างหงุดหงิด ผมงงกับมัน เมื่อเช้ามันยังพูดกับผมด้วยท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัย จะว่าไปมันก็อดทนกับผมมาตลอดนั่นแหละ
“แล้วอะไรล่ะ มึงก็พูดมาสิวะ” ผมชักอารมณ์เสียบ้าง
“ไปห้องกูไหม”
“หา” ผมอึ้งไปเล็กน้อย ตอนแรกคิดว่ามันจะชวนผมไปกินเหล้าซะอีก
“จะไปไหม”
“แล้วทำไมกูต้องไปห้องมึง” ผมอดคิดไม่ได้จริงๆ มันคิดอะไรแปลกๆ อยู่หรือเปล่า
“แค่อยากให้มึงรู้จักกูบ้าง มีแต่มึงไม่ใช่เหรอที่ไม่เคยเปลี่ยนแต่กูเปลี่ยนให้มึงไม่รู้ตั้งเท่าไหร่” ผมไม่ชอบที่มันมาพูดจาอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะประโยคหลังมันทำให้ผมร้อนๆ หนาวๆ “เลิกทิฐิกับกูสักทีไม่ได้เหรอวะ” สิ้นคำของมันน้ำเสียงที่มันใช้สะกิดใจผม
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่เร็วๆ นี้”
“กูยอมลงให้มึงมากแล้วนะ คนแบบกู...” มันเน้นคำ สายตามันก้าวร้าวชัดเจน
อืม...นั่นน่ะสิ คนอย่างไอ้แกนมันรักศักดิ์ศรีของมันจะตายไป มันยอมอ่อนข้อให้ผมมานานแล้วแต่นั่นเพราะมันเป็นฝ่ายผิดไง ก็สมเหตุสมผลดี
“อือ ทำไมกูจะไม่รู้คนแบบมึงน่ะ”
“กูอยากให้มึงรู้จักกูจริงๆ สักครั้ง ตอนนั้นกูแกล้งมึงหนักจริงๆ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ กูโตแล้ว” มันก็แปลกนะ มันบอกว่าโตแล้วแต่ดูจากที่มันทำกับไอ้สองหรือไอ้ท็อปเหมือนคนไม่รู้จักโตสักเท่าไหร่ ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้ คิดไปคิดมาผมก็ชะงักก่อนจะย้อนดูตัวเอง ที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้ผมรู้จักโตหรือแค่นิสัยเด็กๆ กันนะ
ผมกับมันเงียบไปพักใหญ่
“ตอนนี้มึงเลิกกินอะไรพิสดารนั่นหรือยัง” สุดท้ายมันก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน ไอ้เรื่องเหล้ายาของมึนเมาประเภทนั้นผมไม่ได้ไปยุ่งอีก พักหลังมาร่างกายโทรมๆ ไป ผมถอนหายใจเบาๆ
“อืม”
“ที่กูพูดถึงเพราะกูเป็นห่วง” ไอ้แกนพูดห้วนๆ แต่ไม่ได้ฟังดูก้าวร้าวอะไร สิ้นคำพูดเหมือนมีลมหอบใหญ่พัดผ่าน ผมเงียบมันก็เงียบ
อีกฝ่ายทำให้ผมพูดไม่ออก หูผมไม่ได้ฝาดและตาผมไม่ได้บอด มองออกว่ามันพูดจริงผมเลยรู้สึกกระดากกับมันมากจริงๆ
“ว่าตามตรงช่วงหลังมานี้กูก็อยู่เงียบๆ ไม่ได้มีพวกพ้องเหมือนแต่ก่อน” มันเล่าไปเรื่อยๆ
“อืม”
เป็นไอ้แกนที่เป็นฝ่ายเงียบไปไม่ตอบโต้อะไร ผมมองไปที่มัน อีกฝ่ายแค่จ้องไปที่ความว่างเปล่าตรงหน้าผม ไม่รู้ว่าพักหลังมานี้มันเจออะไรมาบ้าง
“ก็ได้... ถ้ากูตอบตกลงแล้วมันจะจบเรื่อง” ผมพยายามไม่คิดอะไรมากกับเรื่องที่มันพยายามเข้าหาผมอยู่เรื่อย ไอ้การเข้าหาแบบนี้ทำให้ผมไม่ไว้ใจมันเท่าไหร่ ไม่อยากคิดในทางแง่ลบและผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีท่าทีพิศวาสเพศเดียวกัน แน่นอนว่ามาจากความรู้สึกผิดล่ะมั้ง มันไม่ตอบอะไรแค่นั่งนิ่งๆ “ทำไมต้องให้กูไปห้องมึงด้วย มีอะไรดีหรือไงวะ” ผมลองหยั่งเชิงมันดู ความรู้สึกขยาดมันลดน้อยลงไปบ้าง
“ไม่รู้สิ ถ้าถึงห้อง ก็รู้เอง” ไอ้แกนพูด ใบหน้าหยาบกระด้างเหมือนจะอ่อนลงไปบ้าง ถ้าผมมองไม่ผิดเพิ่งได้สังเกตว่ามันดูซูบไป ผมไม่เคยมองมันนานๆ อย่างชัดเจนแบบนี้ ปกติผมจะมองเห็นแค่ความผิดของมันก็เท่านั้น ไม่ได้มองด้านอื่น สนใจเรื่องอื่น
“มึงป่วยเหรอ ถึงดูผอมๆ” ผมลองถามดูถือเป็นเรื่องใหม่ ที่ผ่านมาผมไม่ใส่ใจมันนัก ไอ้แกนเลิกคิ้วประกายความแปลกใจพาดผ่านแววตาของมันอย่างไม่ปิดบัง ดูมันจะนิ่งไปก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่หรอก แค่ไปช่วยงานชมรมฯเยอะไปหน่อย กูสบายดี” ไอ้แกนพูด ระหว่างนั้นมันมองหน้าผมไปด้วย ทำตัวเป็นผู้พูดที่ดีต้องมองตาผู้ฟังอะไรแบบนั้น ผมเบนหน้าไปอีกทางแทน
“อ๋อเหรอ” ใช่สิ มันว่างนี่ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลาเพราะเสียเวลากับไอ้แกนมาหลายนาทีแล้ว “กูไปล่ะ” ผมตัดบทมันก่อนจะลุกขึ้นยืน ไอ้แกนลุกยืนตาม ผมหันไปมองมันอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“มึงต้องมาเพราะกูจะคืนของให้มึง” ไอ้แกนรีบเดินเข้ามา ระหว่างนั้นผมเดินไปจนถึงหน้าบันไดแล้ว
ของอะไร? ผมพยายามนึกถึงว่าเมื่อก่อนมันได้ขโมยเอาอะไรจากผมไปบ้าง
“ของ?” ผมทวนคำงงๆ ไอ้แกนพยักหน้า
“เออ กูถึงอยากให้มึงมาไง”
“อืม ก็ได้” ผมตอบไปเพราะเดี๋ยวมันก็หาเรื่องมากรอกหูผมอีก
ผมรีบเดินลงบันไดกลับไปที่สตูเพราะไม่อยากอยู่กับมันนานๆ ใจผมรู้ดีว่าตอบตกลงมันไปง่ายๆ แต่ก็นะ จะให้เออออไปกับมันรวดเร็วเกินไปก็ดูแปลกๆ แน่นอนว่าผมกับมันคงเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะผมกำลังจะญาติดีกับมันไงล่ะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary สั้นมาก # 18.08.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 18-08-2016 04:46:39
อยากอ่านความรู้สึกแกนบ้าง ที่ก่อนหน้านี้แกนเคยพูดถึงคน ๆ นึงแล้วบอกว่าคงสายไปแล้วนี่คือ ดีน รึเปล่า  :hao5:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary สั้นมาก # 18.08.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-08-2016 06:02:54
ซับซ้อนจริง จิตใจคน
ดีน เลือกทางที่ทำให้ตัวเองมีความสุข สักทีเถอะ
ที่ผ่านมา มีแต่ความทุกข์ ความสับสน
ตัดใจจากความทุกข์  หม่น เศร้า
เอาใจช่วยดีน อยากเห็นดีนมีความสุข
ยิ้มแย้มเหมือนคนที่มีความสุขจริงๆ เสียที :mew1: :mew1: :mew1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary สั้นมาก # 18.08.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 19-08-2016 11:48:36
คู่นี้จะยังพอมีหวังสินะคะ  :hao5:
หรือจะจบแบบเฟรนด์โซน 555555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary สั้นมาก # 18.08.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-08-2016 11:55:01
ถึงดีนกับแกนจะไม่ใช่คนดีอะไรมากมายแต่เราก็อยากให้มีคว่มสุขนะ
ชีวิตเรามันสั้น อย่ามัวจมดับอดีตที่แก้ไขไม่ได้เลย
สองคนนี้อาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้ ขี้เกียจหวังสูง
ขอแค่เขียนจบก็พอละ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary สั้นมาก # 18.08.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: ChaniiNoiy ที่ 27-08-2016 15:34:38
แกนดีน คู่นี้จะเป็นยังไงนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary สั้นมาก # 18.08.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 22-09-2016 22:40:47
ถึงจะหายไปนานก็ยังตามอยู่นะ ขอพาร์ทแกนบ้างงง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary สั้นมาก # 18.08.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: ChaniiNoiy ที่ 13-10-2016 14:49:07
ดราม่าเอย จงซับซ้อนยิ่งขึ้น ไรท์คะมาได้แย้ววววว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Deen Diary บทที่ 7 แท้จริงแล้ว...
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 16-11-2016 02:28:16
Deen Diary
บทที่ 7 แท้จริงแล้ว เราอาจไม่ได้เกลียดกัน

ผมตัดสินใจส่งข้อความไปหาพี่กัสเรื่องงานเลี้ยงส่ง
Deen : พี่กัสผมคงไปงานเลี้ยงพี่ไม่ได้ ผมมีนัดสำคัญพอดี งั้นไว้เจอกันที่สนามบินเลยดีกว่า บอกผมด้วยนะครับว่าจะไปไฟล์ทไหน
ผมกดส่งหลังจากที่ชั่งใจอยู่หลายนาที ผมกลั้นใจเก็บโทรศัพท์และจะไม่เปิดอ่านข้อความตอบกลับของพี่กัส และหวังว่าเจ้าตัวจะไม่โทรกลับมาแทน แต่ผ่านไปห้านาทีก็ไร้วี่แววข้อความของพี่กัส คงรับรู้แล้วล่ะ
หลังทำงานเสร็จผมลงไปที่ลานจอดรถเห็นไอ้แกนนั่งรออยู่ที่ฟิกเกียร์คันโปรดของมัน ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยากจะรู้จริงๆ ว่ามันมีอะไรจะคุยกับผมหรือห้องของมันมีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ เมื่อไอ้แกนเห็นผมมันก็เตรียมตัวจะกลับ
“ตามกูมาก็แล้วกัน หรือว่ามึงรู้จักหอกูอยู่แล้ว” ไอ้แกนพูดท่าทางปกติแต่ผมตงิดในใจ
ใช่... ผมรู้ว่าหอพักมันอยู่ที่ไหน ใครๆ ในสาขาก็รู้กันทั้งนั้น
“เออ” ผมบอกห้วนๆ แล้วเดินไปที่รถมอเตอร์ไซด์ของตัวเองก่อนจะสตาร์ทเครื่อง ไอ้แกนมันปั่นฟิกเกียร์นำออกไปก่อน ผมรอให้มันปั่นจนออกจากคณะค่อยขี่ตามมันไป
ใช้เวลาไม่นานนักไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำก็ถึงหอพักไอ้แกน เพราะมันพักอยู่ข้างมอที่เองมันเลยปั่นจักรยานมาได้ ผมจอดรถเห็นไอ้แกนยืนอยู่ที่หน้าประตูรอ ผมท้องไส้ผมปั่นป่วนขึ้นมาอยากจะกลับซะตอนนี้ แต่เมื่อมาแล้วก็ไม่อยากปอดแหก ผมเดินไปหาไอ้แกนมันส่งยิ้มให้ผมทำให้ผมงงเล็กน้อย มันบ้าหรือเปล่า ผมแค่ทำหน้าตึงใส่มัน ไอ้แกนใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไปห้องของมันที่อยู่ชั้นแรกริมสุด สภาพหอพักก็กว้างขวางดี มันไขกุญแจอยู่นานไม่รู้มันตั้งใจกวนตีนหรือเปล่า
“เข้าไปได้ห้องรกนิดหน่อย” มันบอกดันประตูออกกว้าง ผมมองมันอย่างไม่ไว้ใจแต่ก็จำใจเดินเข้าไปในห้อง ไอ้แกนตามเข้ามาเปิดไฟ เอาจริงๆ ห้องของมันก็ไม่ได้รกหรอกออกจะสะอาดเป็นสัดส่วนกว่าห้องของผมด้วยซ้ำ ไอ้แกนเดินเอากระเป๋าไปเก็บที่โต๊ะ ผมมองทุกอากัปกิริยาของไอ้แกน
“มีอะไรว่ามาเลย” ผมรีบพูดไม่อย่างนั้นมันจะลีลาไม่เปิดปากซะที
“นั่งก่อนน่า” มันบอกเสียงเหมือนขัดใจ
ผมถอนหายใจเดินไปนั่งเก้าอี้ริมหน้าต่าง ไอ้แกนเดินไปที่ตู้เสื้อผ้ามันเปิดลิ้นชักล่างสุดค้นหาอะไรสักอย่างดังขลุกขลัก ผมเลยได้โอกาสสำรวจห้องของมัน เตียงนอนเป็นระเบียบแม้กระทั่งหมอนยังวางไว้เป็นแนวเดียวกัน มุมห้องมีตู้หนังสือระดับศีรษะส่วนมากเป็นสมุดภาพหนังสือสเก็ตช์ซะส่วนใหญ่ ห้องมันสะอาดไม่เหมือนคนที่เรียนศิลปะที่ปกติต้องรกบ้าง อย่างน้อยต้องมีกระดานเกะกะ กระดาษพรูฟสักม้วนมุมห้อง ยกเว้นเฟรมผ้าแคนวาสวางสอดอยู่ใต้โต๊ะคอม
ผมละสายตาออกจากข้าวของของไอ้แกนก็พบว่ามันกำลังจ้องผมอยู่ เขม็งซะขนาดนั้น ในมือมันถือกล่องขนาดครึ่งเอสี่ ผมยิ่งสงสัยว่าในนั้นมีอะไร ผมไม่เคยทำอะไรตกหล่นไว้หรือเคยให้อะไรมันสักอย่างแน่นอน
“อะไร” ผมถาม ไอ้แกนเดินมาหาพร้อมยกเก้าอี้มาด้วย ทำเอาผมขมวดคิ้วอย่างกังวล ตอนนี้ผมไม่ไว้ใจมันเลย
“เลิกระแวงกูเหอะ รำคาญลูกตา” มันพูดแดกดันก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับผม ทิ้งระยะห่างไว้ไม่มากนัก ถ้าเขยิบมาใกล้อีกนิดก็คงเข่าชิดกันไปแล้ว
“นั่นอะไร” ผมถามคำถามเดิม ไอ้แกนเหลือบมองหน้าผมก่อนจะยื่นมาให้
“เปิดดูเอง” สิ้นคำของมันผมมองของในมือมันก่อนจะเอื้อมไปรับมา ผมแปลกใจที่มันไร้น้ำหนักอย่างเหลือเชื่อ เพราะผมคิดว่ามันต้องมีสิ่งของอยู่ข้างในแน่ๆ แต่มันไม่หนักแม้แต่น้อย ถ้าอย่างนั้นเป็นสิ่งของที่เบาเช่นกระดาษงั้นเหรอ
ผมเหลือบมองไปที่ไอ้แกนท่าทางมันดูตื่นเต้นเพราะสายตามันหลุกหลิกคอยระวัง เมื่อมือของผมแตะไปที่ฝาเปิด ผมเปิดออกก่อนจะมองสิ่งที่อยู่ข้างใน
ผมอึ้งไปหลายนาที ไม่คิดว่ามันจะให้ผมดูสิ่งนี้
‘เงิน’ นั่นเอง จำนวนสามร้อยห้าสิบบาทเป็นแบงค์เก่าๆ บ่งบอกว่าผ่านมาหลายปี
ที่แท้ก็เป็นเงินที่มันเอาจากผมไปเมื่อสมัยมัธยม เงินค่าขนมของผมตอนนั้นในเวลานี้มันก็แค่เงินสามร้อยกว่าบาท ไม่มากมายอะไร แต่เทียบกับเมื่อก่อนที่ผมได้รับเป็นรายสัปดาห์ถือว่าเก็บไว้กินได้หลายมื้อ
ผมสงสัยว่ามันให้ผมเพื่ออะไร? อยากให้ผมรู้สึกอะไร
ยอมรับว่าวินาทีแรกผมเจ็บใจนิดหน่อยเพราะเรื่องตอนนั้นมันผุดขึ้นมา ผมไม่ได้มองหน้าไอ้แกน ผมไม่อยากเห็นว่ามันทำหน้าตายังไงหรือรู้สึกยังไง ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะเหมือนคอมันเหือดแห้งไปหมด
มันเก็บไว้ทำไม? มันไม่ได้เอาไปใช้งั้นเหรอ
“มึงต้องการอะไร” ผมปิดกล่องแล้วยื่นคืนให้มัน ไอ้แกนไม่ได้รับกลับไปทำให้ผมมองหน้ามัน ไอ้แกนแค่มองผมนิ่งๆ ผมเดาไม่ออกว่ามันคิดอะไรอยู่มันแค่นั่งนิ่งๆ
“ไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่เอาคืนให้มึงก็เท่านั้น”
“แล้วไง”
“ถือว่าเป็นความจริงใจจากกูก็แล้วกัน กูรู้สึกไม่ดีเรื่องมึง” มันพูดช้าๆ ผมถือกล่องไว้ในมือบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ผมสูดหายใจลึกๆ อันที่จริงไม่เห็นว่ามันต้องทำแบบนี้เพราะผมยอมคุยกับมันก็ถือว่าผมลดทิฐิลงแล้วไม่ใช่เหรอ
“อือ กูไม่ได้โง่นี่” ผมบอกห้วนๆ ไม่ได้มองหน้ามัน แต่เห็นจากหางตาว่ามันกำลังจ้องผมอยู่ มันทำให้ผมอึดอัดแทบตาย อยากจะออกไปจากตรงนี้... ที่ของมัน
“มึงจะยอมให้กูบ้างไม่ได้เหรอ” อยู่ๆ มันก็พูดจาน่าสงสารขึ้นมาเหมือนเรียกร้องความสนใจ แน่นอนมันทำได้เพราะผมสนใจมัน ไม่รู้ว่ามันแกล้งทำตัวน่าสงสารให้ผมเห็นใจหรือเปล่า แต่ผมไม่อยากคิดว่ามันกำลังทำตัวน่าสงสารเพราะมันน่าสงสัยว่าเพื่ออะไรกัน
“ได้เท่านี้ก็ดีเท่าไหร่” ผมแค่นหัวเราะแบบไร้อารมณ์ขัน เพราะผมไม่ได้เกลียดมันแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นตอนไหน
“ก็ถือว่ากูพยายามดีใช่ไหม”
“...” ผมไม่ตอบ
ไอ้แกนถอนหายใจก่อนจะผายมือไปรอบๆ “ที่จริงแล้วกูก็แค่หาเรื่องคุยกับมึงมากกว่า”
“อะไรนะ” ผมถามซ้ำ ไอ้แกนเม้มปากมันยิ้มเยาะตัวเอง
“ถ้ากูไม่บอกว่ามีของให้ มึงคงไม่มีวันมาใช่ไหมวะ” มันถามเหมือนต้องการคำตอบ
“ใช่ กูไม่มาหรอก” ผมตอบไปตามตรง
“เพราะแบบนี้ไงกูถึงหาข้ออ้างให้มึงแล้วก็ตัวกูด้วย” ประโยคสุดท้ายผมคงได้ยินผิดไป ผมนิ่งค้างก่อนจะมองหน้ามันแบบเต็มๆ ตาอีกครั้ง นี่คือคำพูดจากปากไอ้แกนเหรอวะนั่น ผมตกใจมากกว่า คำถามเต็มไปหมด
“อะไรของมึง” ผมไม่เข้าใจที่มันจะพูด บรรยากาศในห้องเหมือนออกซิเจนหมดเพราะมันหายใจลำบาก มันคือความอึดอัดความเคลือบแคลงใจต่อกันและความประหวั่นแบบแปลกๆ ผมรู้สึกอย่างนั้น
“ที่ผ่านมากูเสียเพื่อนไปหลายคน กูแค่ไม่อยากเสียไปอีกก็เท่านั้นล่ะวะ” มันพูดเหมือนยอมรับชะตาตัวเอง มันเพื่อนน้อยลงหลังจากไปท้าต่อยตีบนสังเวียนมวย ชื่อเสียงด้านลบก็มากขึ้น ผมไม่คิดว่ามันจะแคร์หรอกเว้นแต่ถ้ามันไม่หนักหนาจริงๆ
หรือว่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่คนอ่อนแอเท่านั้น ไม่ใช่เฮียแกนที่ใครๆ ก็เรียกหา
ผมเงียบกำลังเรียบเรียงเรื่องราวในหัวอย่างสับสน สุดท้ายผมก็ไม่เข้าใจไอ้แกนเลยจริงๆ นี่ไม่ใช่ไอ้แกนที่ผมรู้จักหรือจริงๆ แล้วผมไม่เคยรู้จักมันจริงๆ
“แล้วจะให้กูทำยังไง กูไม่รู้จริงๆ” ผมบอกมันผม ‘ควร’ วางตัวกับมันยังไง ผมยังนึกภาพไม่ออกระหว่างมันกับผม ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบคู่อริ เพื่อนก็ไม่ใช่ หรือศัตรูก็ไม่เชิง แล้วผมต้องอยู่ตรงไหนระหว่างเส้นกั้นความสัมพันธ์พวกนี้กัน?
ผมเงียบ ไอ้แกนเงียบ
ให้ตาย ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นแน่
“กูขอโทษ” อยู่ๆ ผมก็อยากพูดคำนี้ ในเวลานี้ผมกลับไม่ได้รู้สึกไม่ชอบมัน ทั้งๆ ที่ลดลงจาก ‘เกลียด’ คงเป็น ‘ไม่ชอบ’ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมแค่รู้สึกปกติธรรมดาก็เท่านั้น
ไอ้แกนเงียบไป มันกอดอกหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง ผมมองมัน
“อะไร”
“ตลกนะว่าไหม ดูมึงกับกูสิ” ไอ้แกนส่ายหน้า
“งั้นกูกลับล่ะ” ผมควรกลับดีกว่า อยู่นานกว่านี้ผมคงคอนโทรลตัวเองไม่ได้ ผมต้องสติแตกแน่ๆ ผมลุกขึ้นยืนแต่คำถามของไอ้แกนทำให้ผมสะดุด
“มึงสักชื่อกูไว้ทำไม” ไอ้แกนถามอีกรอบแต่ผมไม่มีคำตอบให้มัน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary (ต่อ) อัพเดท 16.11.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 16-11-2016 02:37:13
โปรดติดตามตอนต่อไป  :กอด1:

ตอนหน้าจะมาด้วยพาร์ทของแกนสักหน่อย จะได้รู้ว่าเจ้าตัวรู้สึกนึกคิดอะไรบ้าง พาร์ทของแกน เราค่อยข้างคิดหนักอยู่
เพราะ ด้วยคาแรกเตอร์ของแกนเอง ที่ดูไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่ ฮ่าๆ เวลาใช้บทบรรยายไม่รู้ว่าจะใช้ซอฟท์ๆหรือดิบๆไปเลย
ก็กลัวว่าจะดูหยาบไป เพราะ เราตั้งใจจะรีไรท์บทพูด บทบรรยายในเรื่องใหม่ให้มันดูหยาบน้อยลง เวลาอ่านจะๆได้ไม่กระดากๆชอบกล

เรากลับไปอ่านทวนเเล้วตกใจตัวเองเหมือนกันนะคะนั่น  :a5: ช่วงนี้ขอเคลียร์เรื่องของดีนไปก่อน แล้วจะต่อด้วยคู่หลัก
จะมีผิงมาแซมบ้างเล็กน้อย เพราะตั้งใจจะเก็บไว้ใส่ตอนพิเศษอีก เดี๋ยวหมดมุกค่ะ 5555

ยังไงก็ฝากติดตาม ดีนไดอารี่กันต่อ อย่าเพิ่งหายหน้าหายตากันไปซะก่อนนะคะทุกคน
จะแค่เฟรนด์โซน หรืออะไรพิเศษ ก็รอติดตามกันนะจ๊ะ  :เฮ้อ:

ขอบคุณสำหรับการติดตามจ้า แม้คนเขียนจะหายไปหลายเดือน  :hao5:


เรื่อง สายลับจับเสี่ย กำลังปั่นอยู่เช่นกันจ่ะ รอติดตามกัน สามารถไปกด ไลค์แฟนเพจกันได้นะจ๊ะ ตามรูปด้านล่างเลยจ้า
V
V
 :bye2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary (ต่อ) อัพเดท 16.11.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-11-2016 05:46:11
ลึกๆ ดีน คงคิดกับพี่กัส แบบเป็นไอดอล เป็นพี่ชาย
กัส ต้องมีปัญหา ที่ทำให้กลับไปฟิลิปปินส์แน่ๆ
กัส ทำตัวปกติ แต่ดูไม่ปกติ ดูสบายๆ
แต่คำพูด ก็ขัดกับที่พูดคราวก่อน
แกน นี่คิดกับดีนยังไง เหมือนชอบๆ ดีน นะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary (ต่อ) อัพเดท 16.11.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-11-2016 11:27:42
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary (ต่อ) อัพเดท 16.11.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 16-11-2016 14:50:18
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ แกนก้อแอบน่ารักดีนะ บางมุม ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary (ต่อ) อัพเดท 16.11.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: aommyga40 ที่ 16-11-2016 20:58:09
เย้ๆ ดีใจที่มาต่อ สู้ๆๆๆค่ะ รอออออ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary (ต่อ) อัพเดท 16.11.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: ChaniiNoiy ที่ 05-12-2016 16:54:55
จะได้รู้ความรู้สึกแกนบ้างแล้ว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary (ต่อ) อัพเดท 16.11.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 06-12-2016 02:01:40
 มุมแกนก้อดี คิดอะไรในใจ 555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary (ต่อ) อัพเดท 16.11.59 P.23
เริ่มหัวข้อโดย: Dak ที่ 15-01-2017 21:24:19
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอะเนาะ อิอิ ลุ้นอะ อยากรู้ว่าที่ห้องแกนมีไรรรรรรร
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Deen Diary /บทแทรก : แกน
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 16-01-2017 22:47:17
Deen Diary

บทแทรก : แกน

ผมกับไอ้ดีนเหมือนน้ำกับน้ำมัน มันไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ มันปฏิเสธกันและกัน พอมาคิดทบทวนดูแล้วในตอนมัธยมผมกับมันก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ พูดให้ถูกคือผมในตอนนั้นไม่อยากอยู่ร่วมกับมันมากกว่าโดยไร้ซึ่งเหตุผลในการกระทำแบบนั้น แต่ครั้งหนึ่งในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อใครๆ ก็ทำผิดกันได้นี่หว่า
พอเข้าสู่รั้วมหาลัยเหมือนฟ้าเล่นตลก ผมกับไอ้ดีนต้องมาเจอหน้ากันอีกแต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผมเองก็เปลี่ยน ไอ้ดีนก็เปลี่ยน ผมยังจำแววตาตกใจเมื่อครั้งแรกที่มันเห็นผมอยู่ในสายตาได้ ผมก็ไม่ต่างกัน ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เจอหน้ามันเร็วแบบนี้ ตั้งแต่มันลาออกไปผมคิดไม่ตกเรื่องของมัน เป็นความรู้สึกที่ค้างคาเหมือนเป็นการติดค้างต่อมัน
หรือจะเรียกว่าผมกำลังรู้สึกผิดมากกว่า
ผมกับไอ้ดีนไม่ลงรอยกันตั้งแต่แรก สาขาศิลปศาสตร์แบ่งพวกออกเป็นสามก๊วนใหญ่ แน่นอนว่าก๊วนของผมกับมันไม่ถูกกันและมีพวกเป็นกลางอยู่ประปราย คนอื่นๆ เข้าใจกันไปเองว่าผมกับไอ้ดีนไม่ถูกกันเพราะเรื่องการชิงประธานรุ่นและกลายเป็นผมที่ได้รับเลือก นั่นทำให้ไอ้ดีนแทบไม่มองหน้าผม ผมกับมันต่างกันแต่กลับเป็นเด็กกิจกรรมทั้งคู่ เป็นแกนนำกลุ่มต่างๆ ทั้งของสาขาและคณะ
แต่บางครั้งบางอย่างกลับสวนทางกัน คนสองคนเหมือนผลักออกจากกัน แต่ทว่าก็คล้ายดึงดูดเข้าหากันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผมตามเรื่องของไอ้ดีนอยู่นานว่าหลังจากที่มันย้ายออกมันไปทำอะไรอยู่ที่ไหนมา เรื่องของไอ้ดีนติดอยู่ในใจผมตลอดเวลา มันต่างจากเรื่องไอ้ท็อปเพราะมันเคยเป็นเพื่อนผม แต่เรื่องของไอ้ดีนมันตรงกันข้าม กลับกันด้วยซ้ำ
แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน…
ผมเดาใจมันไม่ออกไม่รู้ว่าภายในใจมันคิดอะไรอยู่ ต้องการอะไรบ้าง และนั่นแหละที่ผมอยากจะรู้ถึงได้ตอแยมันอยู่แบบนั้น ตลกนะว่าไหม กลายเป็นผมคนอย่างไอ้แกนที่ใครๆ ก็ชื่นชมนับหน้าถือตากลับต้องมาคอยตื๊อไอ้ดีนอยู่แบบนั้น
พักหลังๆ ผมกลับสนใจ ‘ตัวตนของมัน’ มากกว่าเรื่องราวของอีกฝ่าย มันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คนที่ผมเข้าไม่ถึงและ ‘อะไร’ ทำให้มันเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น

“มึงไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอวะ จะนั่งซังกะตายจนเป็นง่อยไปเลยหรือไงวะ” ไอ้พตเดินมาหาผมที่กำลังขัดนวมคู่โปรดอย่างอารมณ์เสีย อีกฝ่ายจ้องผมเหมือนโกรธมาสิบชาติได้ ผมขำหึ
“อือ กูเบื่อ” ผมกระแทกเสียงก่อนจะโยนนวมไปข้างๆ อย่างไม่ใส่ใจ
ตอนนี้มันไม่มีความหมายอะไรแล้ว การที่ผมมาชกมวยก็เพราะอยากหาอะไรทำแก้เซ็ง แม้ว่าตอนนี้ผมกำลังเซ็งอย่างสุดขีดแต่การชกมวยมันทำให้ผมสงบลงไม่ได้ ที่ผมเซ็งคือหลังจากวันที่ไอ้ดีนมาที่ห้องผมมันก็หายหัวหายหน้าไปจากคณะ เข้าใจว่ามันกำลังปั่นงานแต่ไม่ค่อยได้เจอที่สตู พอนึกถึงเรื่องวันก่อนผมแปลกใจที่มันขอโทษผมแบบนั้น คงจะเรื่องที่มีส่วนให้ผมจบช้า ผมไม่ถือว่าเป็นความผิดมันหรอก แต่ผมเหมือนบางอย่างมันยังไม่ลงรอย ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร หลังจากที่มันกลับออกไปผมเหมือนคนเมายา ทุกอย่างดูเบลอๆ
มันไม่ได้ตอบคำถามของผมและผมก็ไม่รู้ว่าทำไมมันต้องสักชื่อผมไว้กันแน่
ในเมื่อมันไม่อยากบอกผมก็ไม่คาดคั้น ผมอยากรู้เรื่องราวของมันมากกว่านี้จากปากของมันเองด้วย และคิดว่าต้องมีสักวันที่มันจะเล่าให้ผมฟัง ก็อย่างที่ไอ้ดีนพูดมันกับผมถือว่าดีขึ้นมามากแล้ว ไอ้พตถอนหายใจก่อนจะเอาส้นเท้ามาเตะเข้าที่เอวผมสองสามทีให้ความรู้สึกจั๊กจี้ชอบกล
“หาอะไรทำสิวะ กูบอกให้มึงไปลงชกกับเด็กๆ มันสักยกหนึ่งก็ได้” มันว่าก่อนจะส่ายหน้าระอา
“ไม่เว้ย กูเลิกแล้ว” ผมพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนเก็บนวม
“แล้วเอายังไง หนี้ที่มึงติดเฮียไว้น่ะ” ไอ้พตเตือนความจำผม
“เออน่า กูไม่ได้ขัดสนขนาดนั้น” การที่ผมมาขึ้นสังเวียนมันก็แค่กีฬา แต่หลังๆ ผมใช้มันสำหรับสั่งสอนคน พอมาย้อนคิดดูแล้วมันโคตรงี่เง่า
“ตามใจมึง” ไอ้พตมองผมอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินไปวอร์มร่างกายตัวเองต่อ
ผมเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อเก็บนวมเข้าที่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คข่าวไอ้ดีน เพราะผมมีน้องสองสามคนอยู่แถวนั้นมันคอยเป็นหูเป็นตาให้ ผมกังวลเรื่องไอ้ดีน เป็นห่วงมัน
ในตอนนี้ผมไม่คิดจะทบทวนว่ากำลัง ‘คิด’ อะไรกันแน่
สายข่าว : เพิ่งออกมากินข้าว
ผมอ่านข้อความจบก็เหลือบไปมองเวลา นี่มันบ่ายสามโมงแล้วมันเพิ่งโผล่หัวออกจากห้องพัก ทำตัวเป็นพวกซอมบี้ไปได้ ผมรู้ว่ามันคงยังสับสนเพราะที่ผ่านมามันสะสมความเกลียดที่มีต่อผมไว้เยอะ พอทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นมันคงต้องการเวลาหรืออะไรก็ช่าง แต่ผมเป็นคนใจร้อนไม่ชอบรออะไรนานนักหรอกผมถึงได้ตามตื๊อมันไม่เลิกจนสุดท้ายมันยังยอมให้ผมจนได้
เอาวะ ในเมื่อมันก็รำคาญผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แค่ไปเพิ่มให้มันรำคาญมากขึ้นไปอีกคงไม่เสียหายอะไร
ในตอนนี้ผมรู้ว่าต้องการอะไรผิดกับมันที่ยังเคว้งคว้างไม่อยู่กับร่องกับรอย เห็นทีต้องไปกระตุ้นมันดูซะหน่อย ผมเก็บของก่อนจะออกจากค่ายมวย จุดหมายก็คือหอพักไอ้ดีน

ผมหยุดที่อยู่หน้าห้องของมัน ได้ยินเสียงแอร์ภายในห้องดังแผ่วๆ ในมือของผมมีผลไม้หลายอย่าง ซื้อมาแบบไร้เหตุผล ผมเองก็ไม่ได้หิวแค่ซื้อมาแก้เก้อ
ก๊อก ก๊อก
ผมเคาะเบาๆ สองครั้ง รออยู่ไม่นานเสียงปลดโซ่ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก ไม่คิดว่ามันจะล็อกสองชั้นอะไรแบบนั้น ไอ้ดีนเปิดประตูออกมาสีหน้ามันดูแปลกใจชัดเจนที่เห็นผม
“มึง” อีกฝ่ายดูมึนงง คำพูดที่หลุดจากปากมันมีแค่นี้ ผมไม่สนใจมัน
“ขอเข้าไปหน่อยดิ”
“มาทำไม” ไอ้ดีนขวางไว้ก่อน ผมทำเสียงไม่พอใจอย่างลืมตัวก่อนจะผลักมันออกไปให้พ้นๆ ทาง มันสู้แรงผมไม่ได้หรอก ไอ้ดีนยื้ออยู่ไม่นานนักก็ปล่อยให้ผมเข้าไปในห้องจนได้ ได้ยินเสียงมันสบถ
“แค่มาเยี่ยม” ผมบอกขณะที่เดินเข้ามาอยู่กลางห้อง สภาพในห้องมันทำให้ผมนิ่งอึ้งไปบ้าง ข้าวของกระจัดกระจายเหมือนไม่ได้ทำความสะอาดมานาน จำได้ว่าครั้งสุดท้ายไม่ได้รกขนาดนี้ แบบนี้มันเหมือนคนกินๆ นอนๆ แล้วทิ้งขยะเอาไว้ในทุกพื้นที่ที่ว่างอยู่ ไอ้ดีนยืนมองผมหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ถ้าจะมาก็ต้องบอกก่อนสิวะ”
“มึงพึ่งแดกข้าวเช้าเวลานี้เหรอ” ผมไม่สนใจประโยคก่อนหน้านี้ของมัน ไอ้ดีนจ้องหน้าผมไม่ละสายตา มันคงคิดว่าผมรู้ได้ยังไง
“เรื่องของกูเหอะ” อีกฝ่ายทำเป็นไม่แยแส ผมถอนหายใจ รู้สึกว่าไอ้ดีนช่างดื้อดึงเหลือเกิน
“นึกว่ามึงจะลดอคติลงบ้าง” ผมพูด
“เปล่า แต่กูคิดแบบนี้จริงๆ” ไอ้ดีนพูดห้วนจ้องตาผมไม่หลบไปไหน
“กูเป็นห่วง” ผมพูดเสียงดังให้มันได้ยินชัดๆ สายตามองสำรวจทุกอิริยาบถของอีกฝ่ายที่ดูไม่อยากเชื่อในสิ่งที่หลุดจากปากผมไป มันนิ่งก่อนจะทำตัวไม่ถูกเพราะสังเกตจากแขนทั้งสองข้างของมันเปลี่ยนไปไว้ด้านหลัง
“หึ”
“กูซื้อผลไม้มาตั้งหลายอย่างกินซะสิ” ผมบอกก่อนจะยื่นถุงผลไม้สองสามถุงไปให้มันเอาไปจัดการใส่จานเอง ก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียงของมันก่อนได้รับอนุญาตเพราะเมื่อย มันไม่ได้ว่าอะไรคงคิดว่าห้องนี้คงไม่มีที่นั่งที่ดีไปกว่าเตียงนอนของตัวเอง ไอ้ดีนแค่เอาไปแช่ตู้เย็น
“อิ่มแล้วไว้กินทีหลัง” มันงึมงำบอก
จำได้ว่าที่ผมถามว่าทำไมถึงสักชื่อของผมไว้ มันไม่ได้ให้คำตอบ เป็นใครก็อยากจะรู้เหตุผลสำหรับการสักชื่อของเราไว้นี่หว่า ที่สำคัญผมแกล้งมันมาก่อน จะจำผมไว้จนวันตายด้วยการสักก็ถือว่าใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ
“มีอะไรอีก” ไอ้ดีนหันมาถามผม มันยังคงยืนอยู่บริเวณตู้เย็น ผมไหวไหล่มาถึงทั้งทีจะให้มาแล้วกลับเสียเวลา ผมไม่รู้จะไปไหน
“ไม่มี แต่ยังไม่อยากกลับ” ผมพูดไปตามตรง สิ่งที่คนอื่นๆ ชอบในตัวผมคือความตรงแต่ก็เป็นข้อด้อยเพราะสาวๆ ไม่ชอบผมซะเท่าไหร่ การพูดตรงๆ แบบนี้คงคิดว่ามันกระด้างเกินไปล่ะมั้ง ผมเอนหลังไปพิงหมอนของไอ้ดีน สายจับจ้องไปที่โต๊ะลิ้นชักข้างๆ เตียงแบบเรื่อยเปื่อย
ไอ้ดีนยังไม่ขยับไปไหนมันคงอึดอัดทำตัวไม่ถูก
 “บอกเหตุผลไม่ได้เหรอที่สักชื่อกูไว้” ผมแค่อยากรู้ บางทีผมอาจจะกลับไปนอนเล่นที่หอตามเดิมก็ได้
“ไม่มีอะไรมาหรอกก็แค่สักๆ ไปเท่านั้น” มันตอบห้วนๆ ปฏิกิริยาแย่กว่าวันที่มันมาที่ห้องพักของผมเสียอีก
ผมมองมันอย่างสนใจ เท่าที่รู้เรื่องราวของมันหลังจากลาออกไปรู้สึกว่าจะไปอยู่กับเด็กอาชีวะหรือไม่ก็พวกสายอาชีพแถวๆ ในเมือง ฟังจากที่เด็กๆ มันเล่าดูเหมือนจะมีวีรกรรมพอสมควร หรือเป็นสาเหตุให้มันกลายเป็นคนแบบนี้ด้วย แข็งกระด้างก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ตอนอยู่ที่คณะมันก็มีคาแรกเตอร์อีกแบบ หรือจะเป็นเพราะปมจากผมกันแน่
“ให้กูสักชื่อมึงไว้บ้างสิ” ผมลองหยั่งเชิงมันดู แน่นอนว่ามันตกใจมองหน้าผมเขม็ง
“มึงจะบ้าเหรอ” มันถอยห่างออกจากผมมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
“เออ แล้วมึงบ้าหรือไงวะที่สักชื่อกูน่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ ใช่ไหม มีใครที่ไหนทำแบบมันบ้าง
“ก็คงงั้น” มันยังคงบ่ายเบี่ยงเดินออกไปมองหน้าต่างบานเกล็ดตรงระเบียง
“อือ เพราะกูหรือเปล่าที่ทำให้มึง...”
“เรื่องผ่านมาแล้วมึงจะไปสนใจทำไม อยากให้กูลืมหรือว่าจำเรื่องแย่ๆ ของมึงกัน” มันตัดบทผมไม่ให้ได้พูดอะไรต่อ ผมคงไปจี้จุดตายมันเข้าจริงๆ
“มึงก็ไม่มีทางลืมอยู่แล้วนี่” ไอ้ดีนดูจนปัญญากับการพูดกับผม มันเงียบ
“มึงต้องการอะไรกันแน่” อีกฝ่ายดูสับสนมาก มากกว่าทุกครั้ง ไม่รู้ว่าอะไรทำให้มันเป็นแบบนี้
“ไม่รู้ บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้จะมาก่อกวน กูแสดงความจริงใจตั้งแต่แรกแล้วนี่” ผมเองก็เหนื่อยที่จะยืนกรานในคำพูดแบบนี้ แบบที่ผมทำมาตลอดหลายเดือน
“ทำไมต้องทำแบบนี้” คราวนี้ไอ้ดีนมันเดินเข้ามาหาผมก่อนจะหยุดลงที่บริเวณปลายเตียง ผมมองไปทางมัน บางทีมันช่างอ่อนแอจริงๆ คงอย่างนั้นเพราะมันอ่อนแอไงมันเลยเป็นแบบนี้และสับสนมากจริงๆ จนผมกลัวว่ามันจะบ้าตายซะก่อน ทำไมมันไม่ระบายออกมาบ้างนะ
“ก็แค่อยากให้เราสนิทกัน”
“แล้วไง” มันเหมือนไม่ยินดียินร้ายอะไร ผมยิ่งเป็นห่วง
“ไม่รู้ จะยังไงก็ได้ แบบนี้มันก็ดีไม่ใช่เหรอวะ” ผมพูดก่อนจะขยับตัวลุกจากเตียง มันหันมาสนใจความเคลื่อนไหวของผม
“ไม่รู้”
“มึงเคยสำรวจใจตัวเองบ้างไหมว่าต้องการอะไรไม่ใช่อยู่ไปวันๆ ใครจะคิดยังไงก็ไม่สนใจปล่อยให้ผ่านไปแบบนั้น” ผมพูดอยากให้มันลองคิดในมุมนี้บ้าง
“มึงพูดถึงอะไร”
“กูพูดเรื่องพี่กัสของมึง เห็นว่าไปส่งพี่แกที่สนามบิน” ผมเห็นว่าบุคคลนี้มีอิทธิพลต่อมันมาก มากกว่าผมเสียอีก แต่ผมไม่เข้าใจพฤติกรรมของไอ้ดีนเท่าไหร่ ผมเองพอจะรู้เรื่องราวของพี่กัสของมันมาบ้าง
“มึงมายุ่งอะไรกับกูวะ” มันโกรธผมจริงๆ เหมือนผมไปแตะถูกแผลเก่าของมัน แววตามันแข็งกร้าวจ้องผมเหมือนอยากจะเข้ามาต่อย
“...”
“ออกไป” มันพูดเสียงดังแต่ผมยืนนิ่ง
“ไม่เว้ย จนกว่าจะรู้เรื่อง” ผมเสียงแข็ง ไอ้ดีนเหมือนหงุดหงิดจนทำอะไรไม่ถูก หวังว่ามันจะไม่โมโหจนออกจากห้องไป
“เลิกปั่นหัวกูเหอะ” สงสัยมันอารมณ์ไม่ดีล่ะมั้ง คราวก่อนยังจากกันด้วยดีอยู่เลย
“มึงก็เลิกผลักไสกูเสียที” ผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดแบบนั้นออกไป
“อะไรนะ”
“มึงเคยเสียดายอะไรบ้างไหม ถ้าผ่านวันนั้นมาแล้วมานั่งคิดเสียดายทีหลังมันไม่คุ้มกันเลย” ผมพูดช้าๆ ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดี มันโคตรแย่ที่ทำอะไรไม่ได้ทั้งๆ ที่มีหนทางที่ดีกว่านี้
“ไม่หรอก ไม่มี” มันบอกส่ายหัวไปมาแทบไม่ได้คิดด้วยซ้ำ “มึงรู้เรื่องของกูได้ยังไง” มันหันมาโจมตีผม
“ไม่ยากหรอกถ้าจะตามสืบเรื่องใครจริงๆ มึงเป็นสายลับหรือไงถึงจะตามเรื่องเก่าๆ ไม่ได้”
“แล้วยังไงอีก รู้แล้วต้องการอะไร” ผมเงียบ ผมแค่อยากรู้ไม่ได้ต้องการอะไรอีก ไอ้ดีนมันเดินเข้ามาหาผมในระยะประชิด มันกำลังเสียการควบคุม
“กูเป็นห่วงเท่านั้นจริงๆ มึงกำลังจะเรียนจบไม่อยากให้มึงต้องพลาดพลั้ง เกรดมึงก็กลางๆ เกือบๆ จะโดนไทร์... ไปรีเกรดเหอะ”
“ว่าไงนะ” ไอ้ดีนทำหน้าเหมือนเพิ่งเคยได้ยินสิ่งที่ตลกที่สุด
“ไปรีเกรดซะช่วงซัมเมอร์ กูรู้ว่ามึงเก่งแต่เกรดมึงแย่ที่ไหนๆ เขาก็ต้องดูว่าเกรดระดับนี้ควรจะรับเข้าทำงานไหม” ผมบอกมันเหมือนเป็นผู้ปกครองมันซะเอง ไอ้ดีนส่ายหน้าท่าทางมันคงอึ้งที่ได้ยินแบบนี้
“มึงพูดจริงเหรอ” มันหัวเราะแห้งๆ ไม่มีอารมณ์ขันสักนิด ผมเป็นห่วงมันจะให้ผมทำยังไงดีนะ ผมรู้ว่าผมกำลังก้าวก่ายไอ้ดีนมากเกินจำเป็น แต่ผมก็ปล่อยวางเรื่องของมันไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่ใช่ผมที่คอยรังควานมันจะมีใครที่มาสนใจมันบ้าง ไอ้ติเพื่อนมันน่ะเหรอ ไอ้ดีนแทบไม่เปิดใจให้เพื่อนมันเท่าไหร่
“ใช่ ฝึกงานจบก็สมัครเรียนซะ”
“....”
“ดีน” ผมเรียกชื่อของมัน รู้สึกไม่ชินปากนัก
“ทำไม” คราวนี้อีกฝ่ายหันมามองหน้าผม
“พอเถอะ กูรู้มึงเหนื่อย” ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม ในเวลานี้ไม่ควรสาดน้ำมันใส่กองไฟอารมณ์ของไอ้ดีน เป็นแบบนั้นเหมือนกองไฟที่กำลังสุมเตรียมมอดไหม้ขึ้นมาอีกระลอกได้ ผมเป็นห่วงจิตใจของมัน
มันอ่อนแอจริงๆ ทำไมมันถึงอ่อนแอแบบนี้นะ
ไอ้ดีนมองหน้าผมอยู่นาน แววตาทั้งสองข้างดูตื่นตระหนกไปวูบเดียว มันหลับตาถอนหายใจไหล่ทั้งสองข้างของมันดูแบกรับอะไรหนักหนาไว้เกินไปและท้ายที่สุดไอ้ดีนก็หมดแรง มันเหมือนโครงกระดูกที่ไม่มีจิตวิญญาณ
“ทำไมวะ ทำไมมึงต้องมาทำดีกับกู” มันพึมพำน้ำเสียงแหบแห้งยืนนิ่งกำมือแน่น
“กูว่ากูพูดไปหมดแล้วนะ ไม่มีอะไรอย่างอื่นแอบแฝง” ผมบอก ผมอดทนกับมันมาตลอด
“แล้วทำไมมึงถึงไม่พอซะทีล่ะ” มันพูดเหมือนเหนื่อยล้า ไม่มีความแดกดัน ไม่มีความฉุนเฉียว
“กูว่ามึงต่างหากที่ต้องหยุดตั้งคำถามได้แล้ว ไอ้ดีน มึงดูตัวเองบ้าง” ผมลากคอมันเข้าไปในห้องน้ำ ไอ้ดีนโวยวายลั่นเหมือนว่าผมไปทำให้มันเจ็บปวดมากมายเพราะผมไปจับเนื้อต้องตัวมันน่ะสิ
“ไอ้แกนปล่อยกู ปล่อย” มันดิ้นแต่ผมจับมันยืนให้หันหน้าไปทางกระจกมันจะได้เห็นตัวเองซะบ้างว่ามีสภาพเป็นยังไง
“มึงแหกตาดูซะ” ผมบอกมัน ไอ้ดีนแค่จ้องสะท้อนแววตาโกรธเคืองมาให้ผมก่อนจะเบนสายตามามองกระจกที่สะท้อนเข้าหาแววตาของมันเอง ไอ้ดีนนิ่ง ผมมองมันแอบเห็นรอยสักที่โผล่ออกมาจากคอเสื้อ ชื่อของผม GAN อักษรแบบโกธิคดูมีพลังบางอย่าง มันคงโกรธแค้นผมจริงๆ
“กูแค่อยากให้กูจำ จำไม่ลืมว่าไอ้คนชื่อนี้ทำให้กูต้องมาลงเอยแบบไหน” มันพูดเพราะเห็นว่าผมจ้องรอยสักของมัน ผมมองตามันผ่านกระจกเงา “มันก็มีสองด้านนะ เหมือนเหรียญด้านนึงก็เกลียดมึง อีกด้านก็ขอบคุณมึง ไม่งั้นกูก็ไม่มีวันนี้ได้หรอก กูอาจจะตายไปแล้วก็ได้ แต่การที่สักชื่อมึงไว้มันก็แค่สักเหมือนเป็นสัญลักษณ์ล่ะมั้ง หึ... คงจะอย่างนั้น” แบบนี้เรียกว่าเครื่องยึดเหนียวได้ไหมนะ เอาความเกลียดเป็นที่ยึดเหนียว แต่ตอนนี้มันลดความเกลียดลงแล้วเท่าที่ผมสัมผัสได้ แล้วตอนนี้อะไรล่ะที่ยึดเหนี่ยวของมัน
“มึงก็ไม่ได้มีความหมายมากมายไปกว่านี้หรอก” ไอ้ดีนพูด ก่อนจะผลักผมออก
“เลิกทำร้ายตัวเองสิ”
 “ดีน” ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง ยังคงไม่ชินปาก ผมคิดว่าคนฟังก็รู้สึกแบบเดียวกัน
“ไม่ต้องพูด” อีกฝ่ายเอ่ย มองผมด้วยแววตานิ่งเฉย
“รู้เหรอว่ากูจะพูดอะไร”
“พล่ามเรื่องเก่าๆ ไงวะ” ไอ้ดีนพูดอย่างหงุดหงิด คิ้วขมวดเข้าหากกัน
“ไม่ใช่” ผมตอบ อีกฝ่ายหันมามองหน้าผมด้วยความแปลกใจ
“อะไร...”มันถามเบาๆ
“เมื่อไหร่จะเข้มแข็งซะที” ผมบอกมันชัดๆ อย่างหนักแน่น ให้มันฟังแล้วเก็บเอาไปคิด ไอ้ดีนเหมือนอึ้งไป เพราะมันนิ่งงัน ผมเห็นว่าอีกฝ่ายหลบหน้าผม คงเพราะขอบตามันแดงก่ำ ผมไม่คิดว่ามันจะร้องไห้ แต่พอทบทวนดูแล้วมันคงอัดอั้นไว้นาน “มึงร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“ทำไมต้องมาสนใจอะไรแบบนี้ด้วยวะ” มันพูดห้วนๆ บังคับให้ตัวมันเองไม่สั่น มันนั่งลงกับพื้นเห็นกระดูกที่โผล่ตรงไหล่ มันผอมลงมาก
“เลิกตั้งคำถามแล้วเปิดใจเถอะ กูขอร้องว่ะ” ผมพูดเสียงดังให้มันได้ยินเต็มๆ หูอีกสักครั้ง มันเงียบผมเม้มปากก่อนจะตัดสินใจนั่งลงตรงหน้ามัน “กูอยู่เป็นเพื่อนมึงได้... ไม่ต้องไล่กู”
“มึงไม่ไปอยู่แล้ว” ไอ้ดีนพูดก่อนจะเงยหน้ามองผม ขอบตามันแดงท่าทางดูอดหลับอดนอนมาด้วย มันนิ่งนั่งกอดเข่าเหมือนคนไม่มีแรงก่อนจะซบหน้าลงกับแขนตัวเอง “กูมันอ่อนแอ ความจริงของกูที่ไม่เปลี่ยนไปเลย ทำไมวะ ทำไมกูถึงเป็นแบบนี้” มันพึมพำ ผมลังเลก่อนจะเอื้อมมือไปแตะแขนมันเงียบๆ มันไม่ตอบสนองอะไร ไม่ได้ผลักออก ไอ้ดีนแค่เงียบ มันคงน้ำตาไหลเงียบๆ
“มึงร้องไห้ออกมาดังๆ ได้นะ” เราทุกคนต่างมีแผล ผมเป็นคนเลวคนนึง ผมอาจไร้เหตุผลและผมมีบาดแผลน้อยกว่ามัน ไอ้ดีนมันไม่เคยเข้มแข็งขึ้นเลย
“มึงออกไปก่อนกูขอร้อง” มันพูดโดยไม่มองหน้าผม ผมเลยลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำปล่อยมันไว้คนเดียวแบบนั้นน่าจะดีกว่า ผมกดดันมันมากเกินไปสินะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary (ต่อ)#GAN01 16.01.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 16-01-2017 23:34:42
รุกหนัก ๆ หน่อยสิแกน จะได้ลงเอยกันเร็ว ๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary (ต่อ)#GAN01 16.01.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-01-2017 23:40:54
รุกหนักๆไว้ก่อน  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary (ต่อ)#GAN01 16.01.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 17-01-2017 13:05:51
อันนี้สนใจดีนในทางไหนคะ ชอบเขาแล้วรึเปล่าน้าาา
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # ตอนที่ 24 วันที่อารมณ์ดี
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 24-01-2017 22:36:45
ตอนที่ 24 วันที่อารมณ์ดี

ผมสัญญากับไอ้ผิงไว้ว่าจะไปกินเหล้ากันคืนนี้  ผมกลับมาที่หอพัก เปิดห้องมาไม่เจอใคร นอกจากห้องทึมๆกลิ่นอับๆ  ผมเดินไปเปิดไฟด้านนอกระเบียง ไอ้ผิงไลน์มาบอกว่าเปลี่ยนร้านเพราะมีร้านมาเปิดใหม่เลยอยากไปลองสักหน่อย และมันไม่ได้ชวนไอ้ยิมมาด้วย มันเลยว่างมารับผมที่หอพักแทน จากนั้นผมก็โทรหาพี่ท็อปเพื่อรายงานว่าต้องกลับห้องช้า

[ครับที่รัก] ผมถึงเบ้ปาก คราวนี้มาแปลกแฮะ ปกติก็รับสายแบบธรรมดา อารมณ์ดีอะไรกันนะ

“พี่ท็อปคืนนี้ผมมีมีตติ้งกับไอ้ผิงนะอาจกลับดึก”ผมพูด ได้ยินเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับใครสักคนแว่วๆ แต่ฟังไม่ชัดเท่าไหร่ แต่เสียงคุ้นแฮะ

[แล้วใครจะมาส่ง อย่าบอกนะว่าจะขี่รถไปเอง] พี่ท็อปทำเสียงเข้ม ผมเลยอดยิ้มตามไม่ได้

“กะว่าจะให้ไอ้ผิงมารับนั่นแหละ ขากลับคงมีเพื่อนมาส่ง ไม่ก็ ถ้าเมาจริงๆก็คงค้างบ้านเพื่อนไปเลย”ผมบอก ปรายสายทำเสียงพอใจ

[เสาร์อาทิตย์นี้ว่างหรือเปล่า]อีกฝ่ายถาม ได้ยินคำถามนี้แล้วผมก็อดดีใจไม่ได้ เด็กน้อยจริงๆ

“ว่างสิพี่ ทำไมครับ”ผมว่าแล้วเชียวมันต้องมีอะไร ถ้าไม่อยากชดเชยให้ผม ก็คงมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น

[ว่าจะชวนไปเดท อยากไปเปล่าวะ] สิ้นเสียงพี่ท็อป ผมนิ่งค้างไป เดทเนี่ยนะ? ผมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะชวนผมเดทจริงๆหรอกนะ

“เดทเนี่ยนะ เอาจริงดิ”ผมอดหัวเราะไม่ได้ สไตล์ของผมกับพี่ท็อปมันไม่หวานแบบคู่รัก อีกอย่างเราก็ไม่ค่อยมีกิจกรรมหวานๆแบบคนเป็นแฟน แต่ถ้าจะให้เดทกันจริงๆ ก็คงมีเขินอายกันบ้างล่ะ

[เออดิ เติมความหวานไง ก็อยากทำอะไรๆกับแฟนบ้าง] พี่ท็อปหัวเราะน้ำเสียงกรุ้มกริ่มเหมือนเอาไว้ใช้ป้อสาว ‘ไอ้อะไรๆ’นี่หมายถึงประเภทไหน

“ผมไปกับพี่อยู่แล้วล่ะครับ ว่าแต่จะไปไหนอ่ะ”ผมลองตามน้ำไป ดูสิว่าจะไปเดทที่ไหน

[บ้านกู] ผมสตั้นยิ่งกว่าเดิมอีก บ้านพี่ท็อปเนี่ยนะ ผมก็เห็นมาทุกซอกทุกมุมแล้ว ไม่คิดว่าการเดทที่บ้านอีกฝ่ายจะทำให้มันเติมความหวานของเราได้ ผมก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าให้เดทจริงๆก็คง....

“โถ่ ไอ้เราก็นึกว่าจะพาไปสวีทที่ไหนซะอีก”ผมนิ่วหน้า บ้านพี่ท็อปก็ไม่ได้แย่มีมุมสบายๆเยอะ แต่ถ้ามันจะเป็นเดทจริงๆก็ควรจะเป็นร้านอาหารหรู ไปเที่ยว ไม่รู้สิ ผมเองก็ไม่เคย ‘เดท’กับใครเขาซะที แล้วไอ้ที่ว่าเดทน่ะ มันเป็นแบบไหน ดูหนัง กินข้าว แบบที่วัยรุ่นชอบทำกันน่ะเหรอ

[อะๆ อย่าเพิ่งนอยด์ ระดับพี่ท็อปเนี่ย จะแค่พาไปบ้านหรอ เดี๋ยวพี่จัดการเอง โอเคนะ เดี๋ยววันเสาร์ไปรับนะ] พี่ท็อปพูดเหมือนมีแผนไว้แล้ว เฮ้อ พี่ท็อปนี่เจ้าแผนการจริงๆ

“โอเคครับ ตามใจพี่”

[พูดเหมือนน้อยใจ มีอะไรข้องใจว่ามา] พี่ท็อปถามเสียงแปลกใจ และผมก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเก็บเอาไปจริงจัง

“เปล่าซะหน่อย”ผมพูด

[ฮั่นแน่ อย่าบอกนะว่านอยด์กูที่ไม่ค่อยโทรหาอ่ะ] ผมเบ้ปากทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

“ไม่ใช่ไร้สาระน่า”เออว่ะ ก็มีนิดๆนะ แต่ทำไมผมต้องโกหกด้วยเนี่ย สงสัยไม่อยากทำตัวงี่เง่าให้พี่ท็อปเห็น แต่แบบนี้มันงี่เง่ากว่าเยอะ รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังจะทำอีกนะคนเรา

[เหงาล่ะสิ หืม กูถึงได้ชวนไปเดทกันไง]พี่ท็อปพูดเสียงอ่อนลง

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย”ผมยิ้มออกมาได้เมื่อได้ยินเจ้าตัวพูดแบบนั้น

[ถ้าเหงา ก็แวะไปหาไอ้ทูที่บ้านก็ได้นะ เผื่อจะหายคิดถึงกู] ไอ้ลาบาดอร์หน้ามึนๆนั่นน่ะเหรอ

“กลายเป็นคนเลี้ยงหมาไปอีกแหนะ”ผมหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้คิดจริงจังอะไร จะว่าไปตั้งแต่ไปบ้านพี่ท็อปครั้งล่าสุดก็ไม่ได้ไปเยี่ยมไอ้ทูมันเลย มันคงคิดถึงผมจะแย่  ปกติแม่พี่ท็อปจะพามันไปไหนมาไหนด้วย แต่พักหลังแม่ไม่ได้อยู่บ้านบ่อยเลยให้แม่บ้านมาคอยให้น้ำให้อาหารมันแทน น่าสงสารนะ พี่ท็อปก็ไม่สนใจใยดีมันเท่าไหร่

เฮ้อ ไอ้ทูนี่มันผมชัดๆเลยว่ะ

[มันจะได้มีเพื่อนไง แม่ก็ชอบปล่อยให้มันอยู่คนเดียว]

“แล้วนี่ทำอะไรอยู่”ผมถามต่อ หลังจากที่บ่ายเบี่ยงประเด็นนี้มานาน อันที่จริงอยากจะถามว่าทำอะไร อยู่ที่ไหนกับใคร ก็คงจะทำให้คนฟังรำคาญเปล่าๆ เหมือนผมเวลาได้ยินคำถามนี้แล้วมันก็เซ็งขึ้นมาทันที

[อยู่กับไอ้ธามไง ช่วยมันแก้โปรเจ็คนิดหน่อย] พี่ท็อปคิดก่อนพูด จะไม่สงสัยก็แล้วกัน

“อ๋อ...พี่แอบกิ๊กกับพี่ธามใช่ป่ะ”ผมแซว ก็ไม่ได้เข้าไปเช็คเฟสพี่ธามพี่ท็อปหรอก เลยไม่ได้รู้เรื่องว่าพี่ธามแกทำอะไรอยู่ ผมไม่ใช่พวกติดโซเชียลซะด้วย เอาจริงๆสาขาผมก็เล่นเฟสบุ๊คแต่ไม่ค่อยเข้าไปออนไลน์หรอกยกเว้นพวกสาวๆ

[หึหึ คิดได้นะมึง สองถ้าฟุ้งซ่านนักก็ไปหาที่บ้านกูก็ได้ ไว้เราคุยกันวันเสาร์ดีกว่า] พี่ท็อปบอก

“โอเคครับ บาย คิดถึงนะจุ๊บๆ”ผมพูดก่อนจะวางสาย

[เออ คิดถึงเว้ย] เจ้าตัวทิ้งท้ายไว้อย่างน่ารัก

พี่ท็อปคงไม่ถนัดหวานสินะ ถึงว่าอยากจะเติมความหวานนักล่ะ แต่จริงเหรอนั่น? อีกฝ่ายดูจะชอบเซอร์ไพซ์ผมซะจริงๆ

...........................................................................

เวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆไอ้ผิงก็มารับผมที่หอ พวกมันพาผมไปลองร้านใหม่ พอมาถึงที่โต๊ะเจอแค่ไอ้โก๋กับไอ้เชี่ยว “อ้าว แล้วคนอื่นอ่ะยังไม่มาหรอวะ”ไอ้ผิงถาม ก่อนจะหันมองไปรอบแล้วนั่งเก้าอี้หันหลังให้เวทีนักดนตรี ผมนั่งลงข้างๆมัน

“เออ มันว่าจะมาช้าหน่อย มึงแดกก่อนเลยก็ได้”มันบอก ก่อนจะเริ่มจัดการผสมเหล้า นักร้องประจำร้านก็คุ้นหน้าคุ้นตา ก็พวกนักศึกษาในมหาลัยที่มารับจ็อบบ้าง ผสมกับพวกร้องอาชีพ

“เออ งานสตรีทอาร์ตตกลงพวกมึงทำด้วยกันใช่ไหมวะ”ไอ้เชี่ยวถามพวกผมสามคน ไอ้โก๋เป็นคนตอบ “เออดิ ของเหลือตั้งแต่ปีที่แล้วเอามาใช้ได้อยู่ มึงจะเอารายชื่อหรอ”มันตักน้ำแข็งใส่แก้วให้พวกผม ทำหน้าที่บริกรที่ดีของกลุ่ม

“อือ ต้องเอาไปให้อาจารย์ พรุ่งนี้มึงเอามาให้กูก็ได้”มันว่า ไอ้ผิงสะกิดแขนผมหลายครั้งเป็นลางว่าคงมีเรื่องอะไรแน่นอน

“ไรวะ”ผมหันไปมองไอ้ผิงอย่างรำคาญใจ ไอ้ผิงทำตาดุใส่ก่อนจะเอนมากระซิบกระซาบ

“มึงดูนู่นๆ”ไอผงชี้ไปที่โต๊ะหน้าสุดติดกับเวทีนักร้อง ผมเห็นแก๊งพี่ธามกำลังเดินมานั่งเก้าอี้ ผมเหล่มองจนครบไม่มีพี่ท็อปอยู่

“พวกพี่ธาม”ไอ้ผิงพูด

“เออ กูเห็นละ ทำไมวะ”

“ทำไมพี่ท็อปไม่มาวะ”ไอ้ผิงหันมาพูดกับผม ซึ่งผมเองกสงสัยนิดหน่อย ไหนว่าพี่ธามแก้โปรเจ็คก็ดูลั้ลลาดีนี่หว่า ผมละสายตาจากกลุ่มพี่ธาม ไอ้โก๋ยื่นแก้วเหล้ามาให้ผมแบบได้จังหวะ

“พี่ท็อปแก๊งเดียวกันไม่ใช่เหรอวะ ถ้าไม่ติดอะไรก็น่าจะมานี่หว่า”ไอ้โก๋พูดทำหน้าตาอวดฉลาด มันจะย่อยประเด็นนี้อีกนะไอ้เวร ผมยักไหล่ไม่สนใจ บางทีพี่ท็อปชอบทำตัวให้ผมคิดมากแต่พี่ท็อปไม่ใช่คนเกเร ข้อนั้นไว้ใจได้อยู่แล้ว แต่ไม่เห็นต้องโกหกกันเลย หรือจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผมหรือเปล่าเลยต้องปิดไว้ก่อน

“หน้านิ่วคิ้วขมวดล่ะมึง พี่ท็อปไม่ไดป่วยใช่ไหม”ไอ้ผิงถาม ผมส่ายหน้า เพิ่งคุยกันมาหยกๆ

“ไม่หรอก คงมีธุระนั่นแหละ พวกมึงอย่ามาทำท่าเหมือนระเบิดจะลงได้ไหมวะ เดี๋ยวแดกเหล้าไม่อร่อยอีก”ผมพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกแก้วมาจิบๆ ไม่นานนักพวกเพื่อนร่วมรุ่นสองสามคนก็มาสมทบทำให้บรรยากาศโต๊ะสนุกขึ้น พอแอลกอฮอล์เข้าปากแล้วพวกมันเส้นตื้นกันง่าย

โต๊ะข้างๆดันเป็นพี่ปีสี่ กลุ่มเดียวกับเฮียแกนอีก ผมจำได้แค่พี่จิวแค่นั้น นอกนั้นก็นานๆจะได้คุยกัน แน่นอนว่าสมัยที่ยังญาติดีกับเฮียแกนน่ะ ไม่เห็นหัวเฮียแกนเช่นเคย ก็หลังจากเรื่องของผมเฮียแกนก็เงียบไปเลย เหมือนเฟดตัวเองออกจากกลุ่มพี่จิวไป ท่าทางพี่จิวแกดูเซ็งๆ โต๊ะพวกพี่แกมีประมาณห้าหกคน ไม่ได้ชายตามาทางพวกผม โต๊ะผมก็เลยลดความครื้นเครงลง พวกมันมองหน้าผมเป็นระยะๆ เหมือนกลัวมีปัญหา มันน่าเศร้านะ รุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทๆกันต้องมามองหน้ากันไม่ติดเพราะแค่ ‘คนๆเดียว’ ต้นเหตุเพราะผม ต้นเหตุเพราะเฮียแกน

แต่บางครั้งสายตาของเรามันก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าของคนอื่นๆแบบไม่ได้ตั้งใจมอง แต่เผอิญมองนานไปหน่อย พี่จิวเลยรู้สึกตัว วินาทีนั้นผมกำลังคิดว่าจะเบนสายตามาที่แก้วเหล้าหรือว่าควรทักทายเป็นมารยาท แต่อีกฝ่ายประสาทสัมผัสไวกว่า

“มีอะไรวะ ไอ้สอง”พี่จิวเอ่ย จำได้ว่าพี่แกก็เป็นคนใช้ได้ ถึงเฮียแกนจะเกลียดผม แต่พี่จิวแกก็ไม่ค่อยมาวุ่นวายหาเรื่องแขวะผมหรอก แต่ครั้งนี้ต่างกันตรงที่ อยู่ในร้านเหล้า สิ่งเร้ามันเยอะจะตายไป ไหนจะปัจจัยส่วนตัวของพี่แกอีก ฟังจากน้ำเสียงแล้วผมเลยต้องปั้นหน้าปกติ

“เปล่าครับ แค่จะทักทายเฉยๆครับ”ผมพูดแบบเป็นมิตรเข้าไว้ ก่อนจะหันกลับมาที่โต๊ะ ในใจร่ำร้องเสียงดังว่าเวรล่ะ ไอ้โก๋เหยียบเท้าผมแบบเต็มแรง บรรยากาศเหมือนมาคุแปลกๆทั้งๆที่รอบตัวออกจะสนุก เสียงเพลงออกจะมันส์

“มึงไปจ้องพี่เขาทำไมวะ”ไอ้เชี่ยวกระซิบจากทางซ้าย ส่วนไอ้ผิงอยู่ทางขวาที่ทำท่ากระวนกระวายเกินกว่าเหตุ มันย่นหน้ามองผม

“เอ้า กูไม่ได้ตั้งใจจะมองนะเว้ย ก็แค่สแกนหาคนเฉยๆ”ผมพูดกับมัน

“พักนี้พี่จิวแม่งเหมือนคนขาดของอ่ะ หงุดหงิดง่าย พร้อมชนคนที่ขวางหูขวางตา”ไอ้เชี่ยวบอกเบาๆ มันนั่งจิบเหล้าหลังงุ้มขณะพูด ผมกรอกตาเซ็งๆ หวั่นๆว่าคืนนี้อาจได้กลับบ้านเร็วทั้งที่ยังไม่ทันเมา

“อือ กูรู้สึกว่าพวกพี่เขากำลังเล็งพวกเราอยู่ มึงว่ามะ”ไอ้ผิงพูดเบาๆก่อนจะเอื้อมไปตักยำใส่ปาก คนอื่นๆเกาหัว ไอ้โก๋หน้าหดเหลือสองนิ้ว

“กูควรจะเกร็งมากกว่าพวกมึงนะ เพราะกูต้องสบตากับพี่เขานะเว้ย เรากลับดีไหมวะ ไม่อยากมีเรื่องเดี๋ยวเรื่องถึงหูอาจารย์อีก”แน่นอนล่ะ ทะเลาะกันทีไรตำรวจโทรบอกอาจารย์ทุกที แล้วเวรกรรมมันมาตกอยู่ที่พวกเรา อาจโดนตั้งคณะกรรมการสอบประพฤติอีก เรื่องใหญ่เลยนะนั่น  อีกอย่างผมก็โดนเล็งๆมาแล้วหลังจากเรื่องเฮียแกนนั่นแหละ

“อือ อีกสักแก้วค่อยกลับ”คนอื่นเห็นด้วย  “ซอรี่นะเพื่อน”ผมบอก

“หึหึ มึงจ่ายเลยนะ”ไอ้เชี่ยวว่า อ้าวโบ้ยมาอีก ผมไม่ทันอ้าปากตอบโต้ ไอ้โก๋เตะขาผมเต็มแรง ทำให้ผมรู้ว่า เงาหัวผมอาจไม่มี

“อ้าว พี่ หวัดดีครับ”ไอ้ผิงยกมือทักทาย เมื่อพี่จิวเดินมายืนค้ำหัวผมกับมัน มันใช่เวลาไหมนั่น

“กูมีเรื่องจะคุยกับมึงหน่อย”พี่จิวพูดกับผมด้วยน้ำเสียงปกติ ผมเหลือบมองไปที่ไอ้โก๋โดย อัตโนมัติ เวลาแบบนี้ไอ้โก๋ช่วยได้มากกว่าไอ้ผิงแน่นอน มันส่งซิกว่าไม่เด็ดขาด

“มีอะไรหรือเปล่าพี่”ผมถามงงๆ สายตาจับจ้องไปที่โต๊ะข้างๆ เพื่อนพี่จิวอยู่ไม่ครบคนแฮะ ผมประมวลผลว่าทำอะไรผิดหรือเปล่า แต่คนมันจะหาเรื่องมันไม่สนใจหรอกว่าผมไปทำอะไรให้ อาจจะแค่เหม็นขี้หน้าผมก็เป็นได้

“ก็แค่จะคุย ใช้เวลาไม่นานหรอก อ่ะ ถ้าเพื่อนมึงไม่กลับมาภายในห้านาที ก็ตามมาได้”พี่จิวพูดกับเพื่อนๆของผม อ้าว แบบนี้หมายความว่าไงวะนั่น

“โอเค คุยก็คุย”ผมถอนหายใจ ไม่อยากลีลามากเดี๋ยวจะหามาผมปอดอีก “ถ้าเกินห้านาทีกูตามไปนะเว้ย”ไอ้โก๋พูดกับผมแต่ดังลั่นโต๊ะเชียว

“แหม ทำอย่างกับว่ากูจะแดกหัวมึงงั้นแหละ”พี่จิวหัวเราะก่อนจะเดินนำออกไปทางหน้าร้าน แถวที่จอดรถก็ไม่ห่างจากบริเวณร้านมาก แต่คนบางตากว่าเพราะมีบางส่วนจอดตรงหน้าร้านด้วย ก็คล้ายว่าเป็นมุมอับ

“พี่มีอะไรจะคุยกับผม”ผมพูด ขณะที่ยืนประจันหน้ากับพี่จิวที่ดูเครียดๆ ผมไม่สนใจปัญหาของพี่เขา แต่ตอนนี้ผมกำลังเตรียมพร้อมเผื่ออยู่ๆปล่อยหมัดมาใส่ผมอะไรแบบนั้น กล้องวงจรก็ไม่มีอีก ใครภาษีดีกว่าก็คงรอดตัว ถ้าหากว่าเรื่องถึงตำรวจ

“ก็แค่สงสัยอะไรนิดหน่อย เรื่องไอ้แกน”พี่จิวเปิดฉาก

“ทำไมล่ะพี่”ผมทำเป็นงง

“ไม่รู้สิ หลังจากจบเรื่องของมึง มันหายหัวไปเลย กูเลยข้องใจไง”แล้วมาถามเอากับผมเนี่ยนะ ผมคงให้คำตอบได้หรอก ผมส่ายหน้า

“ไม่รู้สิพี่ พี่ไม่ได้คุยกับเฮียแล้วเหรอ”ผมถาม เหมือนไปเตะจุดไต้ตำตอ อีกฝ่ายทำหน้าตึง บ่งบอกว่าไม่พอใจ ผมพ่นลมหายใจแรงๆ มันดูไร้สาระถ้าหากว่าพี่จิวอยากจะมาถามผมเรื่องเฮียแกนในขณะที่เจอในร้านเหล้าน่ะ

“เออ กลายเป็นว่ามึงกลายเป็นเหยื่อซะงั้นในสายตาของคนอื่นน่ะ”พี่จิววกมาเรื่องเก่า ผมย่นจมูก พี่แกคงโดนหางเลขไปด้วย ก็ลิ่วล้อเฮียแกนนี่หว่า ทำใจหน่อย ผมไม่ได้ตอบอะไร ไม่รู้ว่ามันผ่านมาห้านาทีหรือยัง รู้แต่มีกลุ่มคนกำลังเดินมาทางผม ผมใจแกว่งเพราะจากที่เห็นเยอะพอสมควร พี่จิวหันไปมอง พอพวกนั้นเข้าใกล้มาในระยะที่มองเห็นได้ว่าเป็นใคร ผมถึงหายใจสะดวกหน่อย

ลืมไปเลย ว่าพวกพี่ธามก็อยู่ด้วย

“อะไรวะ”พี่จิวหันไปถามเพื่อนพี่เขา ที่มาพร้อมๆกับกลุ่มพี่ธามบวกด้วยเพื่อนๆผมรวมกันแล้วพวกเยอะกว่าพี่จิวนะ

“ไม่รู้ อยู่ดีๆพวกแม่งนี่ก็มาโวยวายกับพวกกู”คนตัวสูงพูดหน้าตาไม่สบอารมณ์ พี่ธามเดินมาหาผมท่าทางเหมือนจะหลุดยิ้ม

“มาอยู่นี่เอง กูเห็นมึงตอนที่ลุกออกจากโต๊ะ ก็เลยเดินไปถามไอ้ผิง โชคดีเนอะ”พี่ธามพูดด้วยรอยยิ้ม ผมมองหน้าขาวๆของพี่แกแล้วรู้สึกขอบคุณ

“อะไรจะบังเอิญปานนั้นนะพี่”ผมพูด รู้สึกทะแม่งในใจชอบกล แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

“ตกลงคุยกันเสร็จหรือยังครับเนี่ย”พี่อิฐเป็นคนถาม ตัวใหญ่หน้าเหียก เอ้ย หน้าโหดพอข่มขวัญได้

“ไว้คุยที่คณะแล้วกัน”พี่จิวทิ้งท้ายไว้ สายตายังจ้องมาที่ผมไม่เลิกก่อนจะเดินกลับไปในร้านกับพวก ไม่รู้ว่าจะกลับเลยหรือว่าอยู่ต่อ

“กูเช็คบิลล่ะ”ไอ้เชี่ยวรีบพูด อยู่ต่อก็ไม่สนุกล่ะ

“โทษทีๆ ทำให้เสียเวลาเลยวันนี้”ผมบอก ก่อนจะเดินไปตบไหล่มันอย่างเห็นใจ ไอ้โก๋นิ่วหน้า

“ตลกล่ะ มึงนั่นแหละที่ต้องจ่ายโว้ย”มันว่า

“เออ ฮ่าๆวันหลังจะเลี้ยงคืนนะ พวกมึงจะกลับกันเลยหรอ”ผมถามพวกมัน ไอ้เชี่ยวส่ายหน้า “จะไปต่อห้องไอ้โก๋อ่ะ มึงไปไหมวะ”มันถาม ผมหันไปหาพวกพี่ธาม มองหน้าไอ้ผิง ก่อนจะคิดใคร่ครวญ

“ไม่ต้องคิด กลับกับพวกกูดีกว่า”พี่ธามรีบบอก ไอ้ผิงพยักหน้า

“เออก็ดี กูจะได้ไปกับพวกไอ้โก๋เลย ขอบคุณมากนะพี่”มันหันมาหาพี่อิฐก่อนจะยิ้มแห้งๆให้

“งั้นเหรอ โชคดีๆ ไว้เจอกันนะเว้ย”ผมบอกพวกมันก่อนจะเดินไปส่งมันที่รถ ให้เงินไปสองร้อยเผื่อเอาไปซื้อโซดา พวกพี่ธามเดินตามหลังมาหาผม

“เกือบไปนะมึง ดีนะที่กูอยู่”พี่อิฐพูดก่อนจะเดินมากอดคอผม ส่งยิ้มละไมมาให้ พวกพี่แกทำท่าแปลกๆกันนะย้ำอยู่ได้ จะว่าไปแล้วก็บังเอิญนะ ที่พวกพี่ธามมาก๊งเหล้ากันที่นี่ เอ หรือว่า ตัวการก็คือ...

“ไม่ต้องคิดเลย พอดีไอ้ท็อปพูดถึงมึงไงว่าจะไปแดกเหล้ากับเพื่อน คือพวกกูก็กะว่าจะมาฉลองหลังส่งโปรเจ็คกันไง ก็ถือโอกาสมาลองร้านใหม่ดู”พี่ธามยังคงอารมณ์ดีอยู่เหมือนเดิม เจ้าตัวยืนมองผมเหมือนเห็นเป็นเด็กหลงทาง 

“ยังไม่ทันได้ลองเลย”พี่แบมหัวเราะร่วนเสียงดังกับพี่อิฐ

“ผ่านแล้วเหรอพี่”ผมพูดแทรก พี่ธามพยักหน้าหงึกๆ “ทำไมเหรอ ไอ้ท็อปมันโป้ปดอะไรไว้ล่ะ”เจ้าตัวหัวเราะ ผมมองหน้าอีกฝ่าย พวกนี้ต้องกุมความลับอะไรไว้แน่ๆ แต่ทำให้ผมเหมือนยกภูเขาออกจากอก พวกพี่ธามรู้ก็คงไม่ใช่เรื่องร้ายอะไรหรอก

“คิดจะทำอะไรกันน่ะ”ผมพูดงงๆ กวาดสายตาไล่ไปทีละคน

“เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าคิดเยอะ มึงว่างล่ะ ไปบ้านกูป่ะ”

“พี่ท็อปอยู่ไหมล่ะ ถ้าอยู่ก็จะไป”ผมถามอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น

“ทำไมวะ ไม่มีไอ้ท็อปกลัวพวกกูจะรุมโทรมหรอ”พี่อิฐเปิดประเด็น ทำเอาผมเสียววาบเลย อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้ ผมย่นหน้า

“ตลกตายล่ะพี่”ผมส่ายหน้าไม่ได้จริงจังกับคำหยอกล้อของพวกพี่ๆ

“ไปเหอะน่า ไปกินเหล้ากันดีกว่า”ไหนๆก็เข้าร้านไม่ได้แล้ว ก็กลับไปกับพวกพี่ธามเลยก็แล้วกัน อย่างน้อยถ้าเมาก็นอนที่บ้านพวกพี่เขานั่นแหละ
.
.
บ้านเช่าของพวกพี่ธามอยู่ซอยเล็กๆใกล้กับตลาด เป็นย่านที่ชุกชุมส่วนมากจะมีหอพักอยู่ติดกันเรียงราย รถก็ติดบ่อยๆเพราะทางแคบไม่เหมาะแก่การขับขี่รถสวนกัน โดยเฉพาะรถใหญ่อย่างรถกระบะ

 “พี่ท็อปไม่ได้อยู่กับพวกพี่หรอ” ผมถาทอย่างสงสัย พวกพี่ๆมองหน้ากันอย่างมีลับลมคมใน พี่อิฐนิ่วหน้ามองผมด้วยความแปลกใจ

“มันไม่ได้บอกมึงหรอ”

“เฮ้ยอย่าไปอำมันดิ ไอ้ท็อปมีธุระเว้ย อย่าไปซีเรียสน่าสันไม่ได้แอบมีกิ๊กก็แล้วกัน” พี่ธามหัวเราะขยิบตาให้ผมอย่างขี้เล่นตามนิสัย ผมไหวไหล่ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรมากนัก พวกพี่ธามดื่มกันหนัก ซื้อรีฯมาหลายขวด ขยั้นขยอให้ผมกระดกเพรียวๆไปสองแก้ว แต่ดีนะที่พี่แบมหุ่นหมีห้ามปรามไว้เพราะเห็นว่าผมเป็นเด็กพี่ท็อปฝากฝังไว้ต้องดูแลดีหน่อย เลยให้จิบเบียร์ตบท้าย หนักกว่าเดิมอีก ผมไม่ถูกกับการกินเบียร์ตีกับเหบ้าไง พวกพี่แกจงใจจะมอมผมให้เมาไปเลย ร้ายกันจริงๆ

“มึงมีความลับอะไรเปล่าวะสองกูจะรีดออกมาให้หมด” พี่อิฐขำ ผมส่ายหน้า ผมไม่เคยเมาจนไม่มีสติรับรู้อะไร ส่วนมากแค่ควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ผมยังรู้สึกเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ง่ายๆก็กินให้รู้สึกเมาก็พอ กินแบบรู้ลิมิตตัวเอง เพราะไม่ได้อยากเมาแอ๋เป็นน้องๆหมานี่หว่า
“ไม่มีหรอกพี่ รีดไปก็เท่านั้นอ่ะ” ผมบอก
“หึหึ รักจริงหวังแต่งว่างั้น”พวกนันแซว ผมแค่ยิ้มรับ อันนั้นไกลตัวไป
“ครับผม”
“พาไปเปิดตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ใช่ย่อยนี่หว่า” พี่ธามพูดก่อนจะชนแก้วกับผมเหมือนจะแสดงความยินดี ผมแค่หัวเราะ“นี่ใครครับดูด้วย”

ไม่นานพี่อิฐก็ขอถอนตัว ไม่ไหวก็แพ้ไป 'แพ้คัดออก' เกมส์ของพี่แก ใครไม่ไหวก็ถอยไป ร่วงไปทีละคน นานๆเข้าผมเริ่มรับไม่ไหว เพราะรู้สึกว่าต้มยำที่ตักเข้าปากเหมือนจะขย้อนออกมา ผมกล้ำกลืนกุ้งลงไปแม้อยากจะคายมันออกมา แต่ขายหน้าเปล่าๆ 

“ดูสิมึงกะพวกกูใครจะแน่”พี่ธามว่าหน้าเริ่มแดงมากขึ้น พูดเสียงดังกว่าเดิม ผมหัวเราะ “รู้ๆอยู่”ผมว่าพี่แกก็เริ่มเป๋แล้วล่ะแต่ฟอร์มไปแบบนั้น พี่แบมแยกเขี้ยวยิงฟัน

“มึงนั่นแหละกูเห็นนะว่ามึงจะอ้วก”พี่แกชี้นิ้วใส่ผม

“ยังน่า”ผมปากแข็ง แต่มือไม้อ่อนแล้วสิ พี่ธามกับพี่แบมก็ไม่ยอมหยุด ไม่มีใครยอมใคร ไอ้ผมนี่ใกล้ตายแล้ว เลยขอเวลานอกไปเข้าห้องน้ำ จัดการตัวเองเรียบร้อย ก็อ้วกออกมารอบหนึง โชคดีที่ยังยืนได้เดินตรงทาง แต่เข้าห้องน้ำนานไปหน่อยพี่อิฐเลยมาตาม

“ไหวนะเว้ย ตายในห้องน้ำหรือยังวะ” ผมล้างหน้าล้างตาใหม่แต่ตายังไม่สว่าง เวียนหัวหนักกว่าเดิมอีก ผมออกมาก็เห็นว่าวงแตกไปแล้ว พี่แบมกำลังเก็บของแบบลวก ๆ ส่วนพี่ธามล้มไปแล้ว นอนเมาไม่รู้เรื่องเลย

“มันเป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวเช้ามาแม่งก็โอดโอยตามเคย มึงไปนอนห้องไอ้ท็อปก็ได้ ห้องเก่ามันตอนเลิกกะมึงครั้งก่อนไง” พี่อิฐบอก ทำเอาผมนึกถึงเรื่องเก่าๆเลย ผมเดินเซขึ้นบันไดไปชั้นสอง พี่อิฐเดินตามหลังมาเหมือนจะเป็นห่วง ท่าทางพี่แกคงเป็นพวกคอยเก็บกวาดเพื่อนตัวเองแน่ๆ ระหว่างเดิน ผมจับราวบันไดไว้

“ห้องริมสุด มึงไปได้นะเว้ย ร่วงบันไดกูไม่รับผิดชอบนะ”พี่แกหัวเราะดันหลังผมให้เดินต่อ พอมาถึงห้องพี่ท็อปผมล้มลงนอนบนเตียง กลิ่นของพี่ท็อปชัดๆ ผมนอนหลับไปอย่างอ่อนล้าบวกกับเมาด้วยเมื่อหัวถึงหมอนก็เคลิ้มหลับไปโดยไม่รู้ตัว

.
.
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองไม่ได้นอนคนเดียว บนเตียงมีพี่ท็อปมานอนเบียดด้วยอีกคน ผมยังเมาขี้ตาอยู่ อีกฝ่ายเหมือนจะตื่นอยู่ก่อนแล้ว เจ้าตัวนอนมองผมด้วยสีหน้ามีรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ๆ

“มอนิ่ง”พี่ท็อปพูดก่อนจะยื่นจมูกมาดมดอมแถวเสื้อผ้าของผมหลายรอบ “เมื่อคืนไม่ได้อาบน้ำเหรอ อี๋”พี่ท็อปย่นจมูก แต่มือเอื้อมมาเสยผมหน้าม้าผมออก

“อือ”ผมงัวเงียบอกก่อนจะมองพี่ท็อปแบบเต็มๆตา เหมือนว่าอีกฝ่ายจะตัดผมมาใหม่ด้วย ดูเฟรชขึ้น

“เมาเละเลยสิ พวกมันมอมมึงแหงเลย”พี่ท็อปหัวเราะ ก่อนจะตีก้นผมแรงๆ ผมนิ่วหน้าก่อนจะบิดขี้เกียจ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่ท็อปผมคงโวยวายใส่แล้วแน่ๆ

“ยังง่วงอยู่เลยเนี่ย”ผมพูด ก่อนจะลูบหน้าลูบตาตัวเอง เหลือบไปมองนาฬิกาที่โทรศัพท์ นี่มันสิบโมงแล้วนี่หว่า

“สายแล้ว ให้เวลาหนึ่งนาทีลุกขึ้นเลย ไม่งั้นนะ...”พี่ท็อปตีขาผมอีกรอบ ผมหลุดยิ้มก่อนจะขยับตัวมานอนหงายแทน ขี้เกียจลุกแฮะ รู้สึกเหมือนยังแฮงค์ๆอยู่เลย พี่ท็อปยื่นหน้ามามองก่อนจะลุกขึ้นมานั่งคร่อมผมอย่างรวดเร็ว คงไม่คิดจะทำอะไรจริงๆหรอกนะ

“แหนะๆ หนักนะเนี่ย ลุก!”ผมบอกก่อนจะหยิกขาอีกฝ่าย จะว่าไปแบบนี้ก็ดีนะ มุมดีออก ผมเลยได้ทีเอื้อมไปโอบเอวพี่ท็อปแทน เจ้าตัวทำตาวาวแต่ไม่ขัด

“ชื่อท็อปก็ต้อง--”

“มึงจะกล่อมกูหรอห๊ะ ไม่มีทางซะล่ะ”

“ไม่ปลอบใจนุ้งน้องเลยหรอ เมื่อคืนเกือบโดนตบแล้วนะ”ผมทำหน้าเง้างอให้อีกฝ่ายเห็นใจ คาดว่าพี่ท็อปน่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว

“นุ้งน้องอะไร มึงคือเมียนะ อยากให้ปลอบหรอ ได้”พี่ท็อปยิ้มเจ้าเล่ห์ พร้อมกับดึงบ็อกเซอร์ของผมลงทีละน้อย

“โหย ไรวะ”ผมเซ็งนิดหน่อย จริงๆแล้วผมกับพี่ท็อปก็ไม่ได้ตกลงว่าใครต้องเป็นอะไร เราไม่ได้เป็นคู่ชายหญิง หน้าที่ต้องชัดเจนอะไรแบบนั้น มันอยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนมากกว่า แต่กับพี่ท็อปนี้ผมแต้มทิ้งห่างมานานแล้วต่างหาก

“อย่างอแง ทำตัวเป็นเด็กอดได้ของเล่น”พี่ท็อปย่นคิ้วเข้าหากันท่าทางน่ารัก ผมเลยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปจิ้มที่หว่างคิ้วอีกฝ่ายเล่น

“ก็พี่ไม่ใช่ของเล่นนี่”ผมส่ายหน้า

“แล้วกูเป็นอะไร”พี่ท็อปยิ้ม คงคาดหวังในคำตอบ

“เป็น...ไม่รู้แล้วแต่สิ”ผมบอกก่อนจะหัวเราะ ไม่อยากยัดเยียดให้ “อะๆ โปรโมชั่นวันนี้วันเดียว ให้ไวให้เวลาสิบนาที”พี่ท็อปพูดก่อนจะโน้มลงมาจุ๊บที่หน้าผากผมทีหนึง

ผมขำก๊าก “พอไม่พอ พี่ถามตัวเองดูสิ”ผมพูด ก่อนจะดึงอีกฝ่ายมาจูบให้หนำใจหายคิดถึง พี่ท็อปก็ยอมโอนอ่อนให้ผมไม่ได้ตั้งตัวเป็นฝ่ายนำ ไม่ได้เร่งเร้า เพียงแค่ปล่อยให้ผมเป็นผู้นำทางเท่านั้น

ผมค่อยๆบรรจงจูบย้ำอย่างเขื่องช้า พี่ท็อปครางอืม ร่างกายรู้จักทำหน้าที่คุ้นเคยกันอย่างดี แม้จะห่างหายไปนานก็ตาม พี่ท็อปอยู่'บน'ตัวผม ดูเหมือนว่าจะเป็นงานถนัดที่สุดของเจ้าตัวแล้วล่ะ ...

“กูคิดถึงมึงนะ”

“นึกว่าจะบอกรักผมซะอีก”ผมหัวเราะเบาๆ

“พูดบ่อยๆเดี๋ยวมันจะหมดความหมายไปซะก่อนไม่อยากใช้พร่ำเพื่อ แต่มึงก็รู้นี่ว่ากูรักหรือไม่รักมึง หือ”พี่ท็อปยื่นหน้ามาใกล้ๆก่อนจะจ้องมาที่ดวงตาของผม

“อือ รักดิ มากกว่าเดิมด้วย”ได้ทีผมเลยหยอดไปนิดหน่อย พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะจูบผมเบาๆ “ที่ชวนเดทเพราะอยากเดท เข้าใจเปล่า”พี่ท็อปพูด มองหน้าผมตาปริบๆ

“อือ เข้าใจแล้ว”ผมพยักหน้า จะยังไงก็ช่าง มีเวลาอยู่ด้วยกันมันก็ดีหมดนั่นล่ะ อันที่จริงผมนอยด์แปบเดียวก็หายแล้ว ก็แค่เพราะช่วงนี้ว่างจัดเลยฟุ้งซ่านคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ส่วนมากก็คิดเรื่องพี่ท็อปนี่แหละ

“ทำตัวให้ว่างนะ มาติดนัดทีหลังกูโกรธแน่”พี่ท็อปทำตาดุ

“ครับๆจะเคลียร์คิวอย่างดีเลย”ผมบอก จริงๆก็ว่างมันทุกเสาร์-อาทิตย์นั่นล่ะนะ

“เด็กดี เชื่องจริง”เจ้าตัวทำเสียงนุ่ม ไม่วายมาลูบหัวผมอีก เอาเข้าไป
ผมย่นหน้า
“ทำหน้าย่นเหมือนไอ้ทูอีก”พูดถึงไอ้ทูก็คิดถึงมัน ตาละห้อยๆของมัน ช่างเหมือนผมจริงๆ “แหนะ หมาก็หมาล่ะครับ”ผมขำพรืดก่อนจะกอดอีกฝ่ายแน่นๆแล้วปล่อย
“หึหึ มึงนี่นะ ...เดี๋ยวกูก็ฝึกงานตามแถวนี้ซะเลย”พี่ท็อปผลักผมเบาๆก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งแทน 
“ป่ะ อาบน้ำดีกว่า”ผมพูดก่อนจะดึงให้อีกฝ่ายลุกออกจากเตียง ถ้าช้ากว่านี้ผมอาจจะลงไปนอนอีกรอบเพราะยังอยากนอนยาวๆต่อ

“เพราะมึงกูต้องมาอาบน้ำอีกรอบ”พี่ท็อปส่ายหน้าก่อนจะขำตัวเอง แล้วเหลือบมองมาทางผม “มึงคงรู้งานนะ สำหรับเดทของเราที่จะถึงเนี่ย”เจ้าตัวมา

เอ้า เค้าว่าได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง แต่ลงเอยอีหรอบนี้ มันก็คุ้มได้คุมเสียนะ วินๆแฮปปี้กันทั้งสองฝ่าย




------TBC
ช่วงนี้ไม่เน้นฉาก 18+ นะ 555 คนเขียนตันซะละ ยังไงก็รอไว้ตอนพิเศษล่ะกันเนอะ
ตอนหน้ายังคงเป็นท็อปสองนะคะ จะอัพถึงตอนเดท และฝึกงานของท็อป แล้วจะต่อด้วย
เรื่องของผิงต่อ ค้างไว้ที่เกาลูนนานเหลือเกิน

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
อาจไม่ได้มาอัพบ่อยๆแถมยังสั้นอีก แต่ก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้า

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 29 part 2 # 24.01.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-01-2017 23:03:14
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 29 part 2 # 24.01.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 25-01-2017 00:27:25
คิดถึงคู่นี้หหหห นานๆทีจะได้สองท็อปบ้าง
ดีใจกับสองนะ 5555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 29 part 2 # 24.01.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 25-01-2017 09:37:57
 :L1:  17+ ก็ได้นะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 29 part 2 # 24.01.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 25-01-2017 14:31:44
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 29 part 2 # 24.01.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: ชมพูพาล ที่ 25-01-2017 15:20:59
คิดถึงคู่นี้ค่า คิดถึงพี่ท็อป
แต่งวดหน้า จัดไป ท็อปสองนะ 5555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 29 part 2 # 24.01.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 26-01-2017 15:32:03
คู่นี้มาแล้ว ฟิน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 29 part 2 # 24.01.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 27-01-2017 12:02:00
ชอบมากกก :hao7:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 29 part 2 # 24.01.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: Dak ที่ 04-02-2017 01:34:23
แกนดีนก็ได้อยู่นาาาาาาาาาาาาาาาาาาา เราเชียร์ อิอิ เคมีเข้ากั๊น เข้ากัน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 29 part 2 # 24.01.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 25-02-2017 17:09:54
เห็นตอนใหม่อัพแล้วแทบไม่เชื่อสายตา ฮ่าๆๆๆ ขอบคุณที่ยังไม่เทเรื่องนี้นะคะ รอตอนต่อไป ดีงามทุกคู่เลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 25 Make love
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 27-02-2017 20:21:27
ตอนที่ 25  Make Love 
ในเช้าของวันเสาร์ ผมกับพี่ท็อปกลับไปบ้านตั้งแต่เช้า เมื่อมาถึงหน้าบ้านเจอไอ้ทูวิ่งมาอย่างรวดเร็ว หางของมันกระดิกจนแทบหลุด ส่วนแม่ไม่อยู่ออกไปสัมมนาตามเคยเลยทิ้งไอ้ทูไว้ให้ลูกชายเลี้ยงดูปูเสื่อ
“นั่งเล่นอยู่ด้านนอกก็ได้นะ เอาของไปเก็บแป๊ปนึง” พี่ท็อปบอก ผมชะเง้อคอมองตามหลังอีกฝ่ายไป ผมเลยเดินไปเล่นกับเจ้าลาบราดอร์ตัวใหญ่ที่เดินวนเวียนอยู่ไม่ไกล ผมนั่งลงที่ศาลาในสวน ไม่นานพี่ท็อปก็ออกมาพร้อมกับตะกร้าใส่แชมพูอาบน้ำสำหรับสุนัข แป้งฝุ่นป้องกันเห็บ ผ้าเช็ดตัว
“มานี่มา ไอ้ทู” ผมเรียกมันให้มาหา ยังดีที่เชื่อฟัง เจ้าลาบราดอร์เดินมาหาผม พี่ท็อปวางของลงกับพื้น ผมคว้าปลอกคอไอ้ทูก่อนจะดึงมันมาใกล้ๆ ผมเหลือบไปมองพี่ท็อปที่กำลังเปิดน้ำจากสายยาง เพราะพี่ท็อปเป็นจอมวางแผนและเจ้าเล่ห์มาแต่ไหนแต่ไร คงไม่คิดจะชวนผมเดท เริ่มต้นด้วยการอาบน้ำหมา ผมเล่นหูไอ้ทูไปมา พี่ท็อปดึงตัวมันไปใกล้เพื่อให้ถนัดต่อการฉีดน้ำใส่มัน ดูท่าไอ้ทูมันจะชินกับการอาบน้ำแบบนี้ เห็นมันยืนนิ่งทำตาพริ้ม ผมหยิบแชมพูเทลงบนตัวมัน ลาบราดอร์อาบน้ำไม่ยากเพราะขนไม่ได้ยาว ถ้าดูแลมันดีๆ ขนก็สวยงามเชียว เพราะมัวแต่สนใจไอ้ทู พี่ท็อปเลื่อนสายฉีดมาใส่ผมโดยไม่ทันได้หลบหลีก ผลก็คือเปียกน่ะสิ ตั้งแต่คอยันกางเกงเลย นี่คือแผนการใช่ไหมวะเนี่ย ผมหันไปจ้องอีกฝ่าย
“เฮ้ย เปียกเลยเนี่ย” ผมบ่นอุบก่อนจะสะบัดมือที่เปื้อนฟองแชมพูไปใส่พี่ท็อปบ้าง อะ ผมไม่เปียกคนเดียวแน่ พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ
“เอ้า ก็จะได้เปียกเป็นเพื่อนไอ้ทูไง พี่ก็กะจะอาบให้เราพร้อมไอ้ทูมันเลย” พี่ท็อปยิ้มกว้างก่อนจะฉีดน้ำลงบนตัวไอ้ทูต่อเพื่อล้างฟองแชมพู ผมคิดแล้วเชียว ชวนมาอาบน้ำหมาเพื่อจะให้ผมเปียก แล้วหลังจากนั้นล่ะพี่ท็อปคิดจะทำอะไร ผมเหลียวหน้าเหลียวหลังมองไปข้างๆ บ้านที่เงียบกริบ
“เอาๆ คอจะหักแล้วมั้ง ข้างบ้านไม่อยู่กันหรอกออกไปข้างนอก” พี่ท็อปพูดทันที ผมไม่เชื่อ วันนี้วันเสาร์ใครจะไปไหนกันอีกนอกจากอยู่บ้าน รถก็ยังอยู่ครบ ผมย่นหน้าให้อีกฝ่าย
“แผนล้ำลึกนะ”
“คนเราเวลาเปียกน้ำมันจะเซ็กซี่กันทุกคนแหละ ขึ้นอยู่ว่าจะมองแบบนั้นหรือเปล่า” พี่ท็อปว่า มืออีกข้างไล่แชมพูออกจากแนวหางของไอ้ทูจนหมด
“โธ่ ช่างโรแมนติกจริงๆ ทำอย่างกับอยู่กลางน้ำกลางทะเล” ผมส่ายหน้า พี่ท็อปย่นคิ้วเปลี่ยนมาฉีดน้ำใส่ผมแทน “พอได้แล้ว ไม่ใช่สงกรานต์ซะหน่อย” ผมว่าแล้วแย่งสายฉีดน้ำมาจากมือพี่ท็อป เจ้าตัวยอมปล่อยง่ายๆ ไอ้ทูวิ่งหางลู่จากไป มันไปสะบัดขนที่กลางสวน ถ้ามันพูดได้มันคงด่าผมกับพี่ท็อปไปแล้ว มันคงรำคาญ
“ฉีดมาเลย พี่พร้อมเปียก” เจ้าตัวพูดแบบนี้ ผมล่ะหมดอารมณ์แกล้ง
“บ้าเปล่าวะ” ผมบ่น วันสองวันมานี้พี่ท็อปเหิมเกริมกวนประสาทผมบ่อยกว่าปกติ ผมเลยฉีดน้ำแรงๆ ใส่อีกฝ่ายจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว “เอาแชมพูด้วยเลยไหมพี่” ผมบอกก่อนจะยื่นแชมพูของไอ้ทูให้อีกฝ่าย พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะรับแชมพูไปจริงๆ
“หอมดีออก มึงนี่ตาถั่วจริงๆ” พี่ท็อปเอาขวดแชมพูมาดม อยู่ๆ เจ้าตัวก็ถอดเสื้อออกด้วยท่าทางสบายอารมณ์เหมือนอยู่ข้างในบ้านที่ปิดมิดชิด แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวจากนั้นก็ถอดกางเกงออก ผมมองตาปริบๆ พี่ท็อปไปกินอะไรมาวะเนี่ย ทำไมดูคึกคักชอบกล
“อาบน้ำกัน” อีกฝ่ายหันมาพูดกับผมด้วยท่าทีปกติ น้ำเสียงสบายๆ เหมือนชวนไปกินข้าว
หา! ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินพี่ท็อปพูดแบบนี้ออกมา
“อะไรนะ” ผมถามซ้ำ เพราะนี่ก็อยู่ในสวน พี่ท็อปมองผมราวกับตัวประหลาด
“อาบน้ำไง กลัวอะไรนี่บ้านเรานะ ไม่มีใครเขาว่าหรอก อนาจารในบ้านไม่ผิดหรอกน่า” พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะเดินมาหาผมแล้วยื่นผ้าเช็ดตัวให้
“พี่พูดจริงเหรอ?” ผมตกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย พี่ท็อปหันมาสบตาผมก่อนจะพยักหน้า ไม่รู้สึกสะทกสะท้านก่อนจะหยิบสายยางขึ้นมาฉีดน้ำใส่ต้นไม้ริมรั้ว ผิวปากไปด้วยอารมณ์สุนทรีย์ ผมเหลียวไปมองบ้านข้างๆ ถึงจะมีรั้วสูงพอสมควรแต่ถ้ามองลงมาจากชั้นบนก็คงเห็น บ้านนั้นไม่มีคนอยู่จริงๆ เหรอนั่น ผมอดคิดไม่ได้
“พี่แม่งบ้าจริงๆ” ผมหัวเราะก่อนจะถอดเสื้อออกบ้าง จริงๆ ถ้าไม่อยากเปียกก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อในบ้านคงจบเรื่อง ไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดจะทำอะไรเพราะตั้งแต่มาผมยังไม่ได้ย่างกายเข้าไปด้านในบ้านเลย สงสัยแอบไปเตรียมอะไรไว้หรือเปล่า
“อือ นี่น้องพึ่งรู้เหรอ” ไอ้คำว่าน้องของพี่ท็อปนี่จั๊กจี้หัวใจผมจัง พี่ท็อปหันมามองผมด้วยรอยยิ้ม ผมถอนหายใจ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วยางอายไม่เคยมีอยู่แล้ว ผมถอดกางเกงออกบ้างแต่ไม่ลืมที่จะพันผ้าเช็ดตัวให้แน่นหนาเผื่อพี่ท็อปมือไวกระตุกผ้าออกแล้วเรื่องจะยาว
“ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้นี่” ผมส่ายหน้า
“ไม่ได้จะทำอะไรกันซะหน่อย มึงคิดลึกอีกล่ะสิ นี่กลางวันแสกๆ นะเว้ย” พี่ท็อปโยนสายฉีดลงพื้นก่อนจะเดินมาหาผม
“แล้วไงต่อ จะอาบน้ำหรือยังไง” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าอีกฝ่ายกำลังตรงดิ่งเข้ามาหาในระยะประชิด
“นั่นดิ ทำอะไรต่อดี” พี่ท็อปยืนอยู่ด้านหน้ามองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ราวกับว่าเจออาหารอันโอชะ
“อย่าทะลึ่ง” ผมพูดปรามก่อนจะหยิกเอวอีกฝ่ายแรงๆ รู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร
“อย่ามารู้ทัน” พี่ท็อปขยับเข้ามาหาเหมือนกับว่าไล่ต้อน ไม่เคยเห็นพี่ท็อปในโหมดหื่นๆ แบบนี้เลย น่ากลัวฉิบเป๋งเลย ผมถอยหนีอีกฝ่าย คงสู้ไม่ไหวถ้าตัวต่อตัว
“อะๆ ระวังผ้าหลุด” อีกฝ่ายบอก สายตาจับจ้องมองมาที่บริเวณหว่างขาของผม ทำให้ผมหยุดอยู่กับที่ก่อนจะพันผ้าให้แน่นๆ ผมมองหาตัวช่วย จะว่าไปไอ้ลาบราดอร์ไปเดินเล่นที่ไหน
“ไอ้ทูหายหัวไปไหนวะ มาดูเจ้านายมันหน่อย” ผมทำเป็นตะโกนลั่น “มึงพูดให้ใครฟังเนี่ย”พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะเดินมาหาและคว้าข้อมือผมไว้แน่น 
“จะไปไหนพี่”ผมถาม เดินตามไปอย่างว่าง่าย
“มาเหอะน่า”พี่ท็อปจูงมือผมไป ผมยังงงว่าเจ้าตัวจะทำอะไร ที่แน่ๆ มีแววว่าจะได้กระทำบางอย่างแน่นอน

พี่ท็อปพาผมเข้าไปในบ้าน ภายในโถงห้องนั่งเล่นถูกจัดตกแต่งใหม่จนจำเค้าเดิมแทบไม่ได้ ผมอยากจะร้องอ๊ากกับความคิดสร้างสรรค์ของพี่ท็อปจริงๆ
“เป็นไงๆ” พี่ท็อปหันมาถามหาฟีดแบ็ก ผมส่ายหน้ายิ้ม
“โห นี่พี่ลงทุนขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” ผมมองไป
พื้นที่ที่เคยมีโซฟาชุดประจำอยู่แต่บัดนี้มันหายไป โคมไฟระย้าถูกผ้าโปร่งลวดลายยิปซีแขวนไว้เป็นกระโจมสีสันฉูดฉาด เตียงนอนคาดว่าน่าจะเป็นโซฟาพับได้ ลายผ้าปูที่นอนเข้ากับผ้ากระโจมที่ห้อยลงมาปิดบริเวณด้านข้าง ซ้ายขวาเหลือเพียงทางเข้าปลายเตียง บริเวณกระโจมยังมีโคมไฟห้อยไว้กับตั้งอยู่บริเวณพื้น บรรยากาศในบ้านมืดลงเพราะพี่ท็อปปิดประตูเลื่อนผ้าม่านยิปซี ผมรู้สึกราวกับกำลังตกอยู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่ใช่บ้านของพี่ท็อป…
สวยแต่ก็ ‘พิสดาร’
ผมมองหน้าพี่ท็อป “สุดยอดเลยพี่ อึ้งว่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ ไม่รู้ว่าไปเอาไอเดียแบบนี้มาจากไหน แต่ทำเอาผมขนลุกซู่เชียว พี่ท็อปเดินถือขวดไวน์พร้อมแก้วมา
“เอามาจากหนัง The dreamers กูชอบเลยอยากลองทำบ้างไง” พี่ท็อปไขข้อสงสัยให้ผม เจ้าตัวเปิดไวน์ก่อนจะเทใส่แก้วยื่นส่งมาให้ผมต่อ
“ยังเช้าอยู่เลย” ผมบอกแต่ก็ยกไวน์ขึ้นมาจิบไปหลายอึก พี่ท็อปไหวไหล่
“ตอนนี้ไม่ต้องสนใจเวลาหรอก อยากให้สนใจแค่ ‘เรา’ มากกว่านะ” พี่ท็อปจับมือผมพาไปที่เตียงยิปซีนั่น ปฏิกิริยาของผมเริ่มกลับมาตอบสนองอีกฝ่ายหลังจากที่เข้าใจการกระทำของเจ้าตัว พี่ท็อปขยับหมอนใบใหญ่มาให้ผมสำหรับพิงเอนหลังได้ ถึงจะรู้สึกประหลาดชอบกล ที่ผู้ชายสองคนนอนจิบไวน์ในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวก็เถอะ แต่ผมไม่ได้ขัด ถ้าจะบ้าให้สุดก็เอาให้เต็มที่
“แปลกใจล่ะสิ หึหึ” พี่ท็อปมองมาที่ผมด้วยสายตานิ่งสงบเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ ผมยิ้มรับฟังอีกฝ่าย
“อือ อธิบายมาสิ” ผมบอก สังเกตว่าพี่ท็อปเองเหมือนมีเรื่องที่ต้องการบอกจะผมอยู่แล้ว 
“มีหลายเรื่อง... ที่กูอยากบอกมึง” พี่ท็อปเอ่ยก่อนจะวางแก้วไวน์ไว้ข้างๆ ผมลอบมองเจ้าตัวไม่วางตา พี่ท็อปยิ้มเหมือนเขินอายที่นานๆ ครั้งจะได้เห็น ผมยิ้ม “แต่กูไม่ใช่คนปากหวาน ถึงกูจะชอบเซอร์ไพรส์หรือเรื่องโรแมนติกก็เถอะ แต่พอให้พูดกูก็ปอดอะ”
ผมรอฟังพี่ท็อปพูดให้จบ เจ้าตัวขยับตัวเข้ามาใกล้จนร่างกายของเราสามารถรับรู้ถึงความอุ่นผ่าวๆ ที่คุ้นเคย 
“บางครั้งเซ็กซ์ก็สามารถเป็นตัวแทนความรู้สึกได้นะ หมายถึง make love น่ะ มันต่างจากการ having sex หรืออะไรก็เหอะ มึงเข้าใจไหม” พี่ท็อปมองหน้าผม แน่นอนว่าเข้าใจถ่องแท้ถึงแก่น ดูจากสายตาของเจ้าตัวแล้วพร้อมจะกลืนกินผมไปได้ทั้งตัวจริงๆ
“ไม่เห็นต้องทำอะไรแบบนี้เลย ผมตกใจนะเนี่ย” ผมบอกก่อนหัวเราะเก้อๆ
“ก็ต้องบิ้วอารมณ์หน่อยสิวะ” พี่ท็อปหัวเราะเสียงนุ่มมองผมด้วยสายตาทะนุถนอมเกินเหตุ
จริงๆ ผมเคยได้ยินพวกสาวๆ ในเอกผมพูดถึงเรื่องแบบนี้เหมือนกันนะ Just Having Sex จะทำกับใครก็ได้แต่การ Making Love มันต้องกับคนที่เรารัก รู้สึกดีด้วย
“กูอยากทำแบบนั้น ที่ผ่านมามันอาจจะแค่ทำเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นแฟนหรือเพราะอารมณ์พาไป” พี่ท็อปพูดพึมพำเหมือนจะเขินอายที่พูดออกมาตรงๆ กับผม ผมมองหน้าอีกฝ่ายแล้วคำนี้ปรากฏขึ้นมาในหัว 'พิเรนทร์' แต่ผมเข้าใจสิ่งที่พี่ท็อปพูด
“อือ เข้าใจครับ”
ส่วนใหญ่คนเราอยู่ด้วยกันมีเซ็กซ์กันเป็นปกติ มันเหมือนเป็นกิจกรรม มีอารมณ์จึงมีเซ็กซ์ แต่ make love ไม่ใช่แค่รู้สึกแบบนั้นอย่างเดียว มันค่อนข้างจะดูลุ่มลึกกว่านั้น แต่พี่ท็อปเนี่ยชักจะคิดอะไรลึกล้ำไปทุกที ขนาดผมยังไม่ติสท์อยากทำอะไรแบบนี้ เพราะผมคงมองว่ามันเป็นแค่เซ็กซ์ล่ะมั้ง คงทำนองเดียวกับคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันไปนานๆ มันจืดชืดก็คงอยากสร้างฟีลลิ่งแบบวาบหวิว make love อะไรอย่างนั้นให้ชีวิตคู่มีสีสัน
“แต่ไม่เห็นต้องมาบิ้วกันแบบนี้เลยนี่” ผมพูด
“หึหึ ธรรมดาๆ ใช่พี่เหรอ” พูดอีกก็ถูกอีกนั่นแหละ พี่ท็อปซะอย่างธรรมดาที่ไหน ผมยิ้มกับพี่ท็อป ต่างฝ่ายต่างเงียบ ช่วงเวลาแห่งความเขินอาย กล้าๆ กลัวๆ ใครจะเริ่มก่อนดีล่ะ เราเงียบไม่ได้พูดอะไรประมาณหลายนาที ไม่รู้ว่าพี่ท็อปตั้งใจจะแกล้งผมหรือเปล่า ผมหันไปมองพี่ท็อปอย่างท้าทาย
“แล้วไง....” ผมแกล้งเหย้าอีกฝ่าย
“ก็ไม่แล้วไง... แค่อยากจะมีช่วงเวลาพิเศษๆ บ้าง น้องน่ะพิเศษอยู่แล้ว พี่ก็คิดอะไรเกี่ยวกับเราตลอดล่ะ”
“ลึกซึ้งนะเนี่ย”
“กูโตแล้วนี่ มันหลายเรื่องที่เรายังต้องเจอเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ในโลกการทำงาน”พี่ท็อปเอ่ย ใบหน้าเคร่งขรึม ผมพยักหน้าตาม
“ครับ รู้แล้วล่ะครับ”
“อืม พี่รักสองนะ”
“หือ ว่าไงนะ” ผมทำเป็นไม่ได้ยิน การจะบอกรักแฟนนี่ต้องรอจังหวะไหมนะ ผมรู้สึกร้อนที่ใบหน้าตามกลไกของร่างกาย เป็นการบอกรักที่ทำให้ผมสะท้านได้อย่างแปลกประหลาด
“อย่าสิวะ กูอุตส่าห์พูดออกมาจากใจ” พี่ท็อปหน้างอ ผมหัวเราะ
“อือ รู้แล้วครับ” ผมบอกก่อนจะเข้าไปกอดอีกฝ่ายอยู่นาน พี่ท็อปซุกหน้าลงที่หัวไหล่ผมไม่วายกัดผมเบาๆ ให้จั๊กจี๋เล่น
“มึงไม่ต้องพูดหรอกเพราะกูได้ยินจากมึงบ่อย บางทีกูแอบคิดว่ามึงจะน้อยใจอะไรพี่บ้างไหม”
“ไม่หรอก ผมรู้นิสัยพี่น่า” ผมบอก
เราสองคนผละออกจากกัน ผมมองเข้าไปในดวงตาสีดำของอีกฝ่าย ค้นหาความรู้สึกที่กำลังสั่นไหวอยู่ตรงหน้า มันเป็นความอ่อนไหวของพี่ท็อป อ่อนไหวกับอะไรบางอย่าง ปกติพี่ท็อปไม่ใช่คนคิดมากขี้นอยด์เท่าไหร่ หรือผมไม่ได้สังเกต
“ผมรู้สึกว่ารักพี่ไปแล้วตั้งแต่เมื่อปีก่อนนู่น มาตอนนี้ดูเหมือนจะรักมากกว่าเดิมนะ ไม่รู้สิพูดไม่ถูก แต่พี่ก็รู้ใช่ไหมล่ะ ผมไม่อยากพูดบ่อยๆ เพราะมันจะติดปาก”
“พี่รู้” พี่ท็อปกระซิบเบาๆ จังหวะนั้นผมขนลุกวูบรู้สึกวูบวาบไปด้วย
ผมมองพี่ท็อปอย่างชัดเจน อีกฝ่ายไม่ได้หลบตาผมไปที่อื่น สิ่งที่พี่ท็อปทำกับผมคือการสัมผัสอุ่นๆ จากฝ่ามือของเจ้าตัว แต่บางครั้งก็ทำให้ผมร้อนขึ้นมาได้ ทุกอย่างไม่รีบร้อนอะไร ผมรับรู้ทุกการกระทำ
คำพูด 'เรา' ผมรู้สึกดีกับคำนี้เสมอเวลาพี่ท็อปเอ่ยมันออกมา
มือพี่ท็อปสอดเข้าใต้แผ่นหลังกายโน้มลงมาทาบทับ พี่ท็อปยิ้ม “อืม มุมนี้หล่อนะ” ผมเห็นแค่ใบหน้าที่ชัดเจนแจ่มอยู่ในความจำ สายตา ลิ้น ริมฝีปากอุ่นนิ่มกำลังครอบครองร่างกายและจิตใจของผมไปโดยปริยาย ริมฝีปากอุ่นนุ่มของพี่ท็อปพรมจูบไปทั่วใบหน้า ไม่ใช่ด้วยความหื่นกระหาย จูบที่ขมับแผ่วเบาราวกับบอกให้ผ่อนคลาย จากนั้นก็พลัดเปลี่ยนเป็นจูบที่ดูดดื่มร้อนแรง เรียวลิ้นร้อนตวัดกันและกัน
เวลานี้ผมแค่ผ่อนคลายไปตามสัมผัสของพี่ท็อป อีกฝ่ายไม่ได้นำผมเพียงอย่างเดียวแต่ก็เป็นผู้ตามที่ดีในห้วงเวลาที่ผมคุมจังหวะอีกฝ่าย ผมกับพี่ท็อปไม่ได้พูดอะไรมาก เหมือนว่าเราสื่อสารผ่านสายตา ภาษากาย ในเมื่อเราสองคนเต็มใจเปิดรับกายและใจของกันและกัน จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องห้ำหั่นว่าใครจะเป็นฝ่ายนำหรือตาม เพราะเราแค่ Making love เราไม่ได้ใช้ความ ‘อยาก’ มานำพาอารมณ์ให้ดำเนินต่อ ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็จะกลายเป็นแค่เซ็กซ์เหมือนๆ ทุกวันเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างตอบรับซึ่งกันและกัน
หากเปรียบเราสองคนในเวลานี้ เสมือนพี่ท็อปกำลังร่างงานศิลปะชิ้นงาม วาดผมให้เป็นไปตามทิศทางของพู่กัน ผลงานที่ออกมาขึ้นอยู่กับว่าผู้รังสรรค์งานมีเทคนิคกับประสบการณ์มากแค่ไหน
นั่นแหละ ผมคือศิลปะชิ้นเอกของพี่ท็อป ที่มีเพียงชิ้นเดียวที่อีกฝ่ายจะบรรเลงได้อย่างตามใจชอบ
พี่ท็อปโน้มตัวลงมากอดผมไปด้วยระหว่างที่ส่งแรงปรารถนามาให้ผมอย่างต่อเนื่อง ประสาทสัมผัสของผมเปิดรับทุกสิ่งทุกอย่างจากพี่ท็อป ทำให้การรับสัมผัสของผมอ่อนไหวกว่าปกติ ผมคราง พี่ท็อปก้มหน้ามองยิ้มๆ เหมือนจะแซวทางสายตา เจ้าตัวโน้มตัวลงมาจนแนบชิด ผมกอดอีกฝ่ายไว้แน่นๆ
พี่ท็อปเลื่อนหน้ามาจูบอย่างเนิบนาบ ผมสัมผัสได้ทุกอย่างที่อีกฝ่ายส่งมาให้ สองมือสัมผัสลูบไล้กล้ามเนื้อของพี่ท็อป ปกติผมไม่ค่อยได้สัมผัสต้นคอพี่ท็อปสักเท่าไหร่เวลาที่จูบกันหรือแม้กระทั่งตอนมีเซ็กซ์ มันก็วูบวาบดีจริงๆ เหมือนมีสัมผัสพิเศษ เพิ่งรู้ว่าลำคอของพี่ท็อปนี่ก็เซ็กซี่ดีนะเนี่ย ผมยิ้มนิดๆ
“เมาเนื้อหรือเปล่าหือ” พี่ท็อปกระซิบก่อนจะจูบผมต่อ พี่ท็อปกับผมแทบไม่ได้ผละออกจากกัน ออกจะแนบแน่นสนิทชิดเชื้อ ผมมองหน้าพี่ท็อป กอดเกี่ยวความสุขจากกันและกัน ยิ่งใกล้ฝั่งฝันจูบนี้ยิ่งหนักหน่วง

จะว่าไป make love ต่างจาก just have sex อย่างสิ้นเชิง แน่นอนใครๆ คงพูดว่ามันก็เอากันนี่หว่า นี่คือการร่วมรักล่ะมั้ง ทั้งสัมผัส ความเคลื่อนไหว มันแตกต่างกันอยู่ ผมว่ามันต่างกันแต่ค่อนข้างเปลืองพลังงาน และ 'รส' ของการที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างมันก็ต่างพึงพอใจคนละรูปแบบกับการอยู่เบื้องบน ยังไงซะที่ปลายทางเราต่างก็เป็นผัวเมียกันนั่นแหละน่า.... แฮปปี้ดีจะตาย

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 1 # 27.02.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 27-02-2017 20:38:40
มาแล้วว รักท็อปสอง  :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 1 # 27.02.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 27-02-2017 21:51:00
พี่ท็อปขี้อ้อนจังน่ะ อิอิ ชอบคำนิยายตอนท้ายของสองจัง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 1 # 27.02.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-02-2017 04:33:53
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 1 # 27.02.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-02-2017 06:11:14
ความรักมันไม่สมบูรณ์แบบหรอก เพราะมนุษย์เราไม่สมบูรณ์พร้อมมีข้อดีข้อเสียกันทุกคน
อยู่ที่ว่า คนสองคนจะยอมรับข้อเสียของอีกฝ่ายได้มากแค่ไหนมากกว่า

ชอบบบบ คำคม ความคิดสอง  :katai2-1:
สองรู้ตัวนะ ว่าแพ้ทางพี่ท็อป
ทอป สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ว่าแต่พี่ท็อป จะทำอะไรเซอร์ไพรซ์สองนะ
แกน ดีน ใกล้จะเข้าใจกันแล้วหรือเปล่า
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 1 # 27.02.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-02-2017 07:31:25
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 1 # 27.02.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 28-02-2017 14:56:14
ขอบคุณที่กลับมาอัพบ่อยๆแล้วนะคะ รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 1 # 27.02.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-02-2017 15:40:13
รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 1 # 27.02.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 01-03-2017 13:07:37
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 1 # 27.02.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 01-03-2017 14:12:43
 :L1:  ชอบสองตรงนี้อะ เจอคนที่รักแล้วยิมได้หมด สุดยอด
พี่ท็อปห้ามนอกใจนะ
เพิ่งเห็นว่ารีไรท์ตอนแรกอยู่ รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' ตอนที่ 26 วันสบาย ๆ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 18-04-2017 20:52:35
ตอนที่ 26 วันสบาย ๆ   

เหลืออีกไม่ถึงสัปดาห์ที่พี่ท็อปจะต้องไปฝึกสหกิจที่ชลบุรี แถวอมตะนคร อีกอย่างเจ้าตัวก็เก็บของในห้องเตรียมย้ายออกเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งผมไม่ได้เข้าไปช่วยอะไรมากเพราะมาทำกิจกรรมที่คณะช่วยพวกไอ้เชี่ยวทำสโมฯ กิจกรรมของเทอมสองก็เป็นพวกสตรีทอาร์ต โอเพ้นเฮ้าส์ ผมกับพรรคพวกมานั่งเล่นมี่ห้องเพ้นท์ตามปกติ
   
ผมกลับมาที่หอพักเจอกับพวกพี่ธามที่กำลังมาช่วยพี่ท็อปเก็บของ มีเสียงตึงตังและเสียงหงุดหงิดจากพี่ท็อปให้ได้ยิน
“พวกมึงไม่ต้องทำเหมือนว่าจะมาช่วยกูย้ายบ้านได้ไหมวะ ห้องกูมีอยู่แค่นี้โว้ย” ผมเลยเดินไปชะโงกหน้าเข้าไปในประตูที่เปิดกว้างไว้ พวกเพื่อนๆ พี่ท็อปหันมามองผมแล้วส่งเสียงดังขึ้นมาอีกระดับนึง
“อ้าว น้องสองมาแล้วเหรอ มาช่วยแฟนเก็บของส่วนตัวหน่อยก็ดี” พี่อิฐเอ่ยพร้อมหัวเราะร่วม สงสัยว่าพี่แกคงแกล้งพี่ท็อปอีกแน่ๆ คนอะไรอยากโดนพี่ท็อปเตะ
“เกะกะนะเพื่อนเวร” พี่ท็อปส่ายหน้าก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ผม พี่ธามกำลังเก็บหนังสือลงกล่องที่ใกล้จะหมดแล้ว ผมเดินเบียดแทรกพวกพี่ทั้งสามสหาย กลายเป็นว่าห้องดูแคบลงไปถนัดตา ผมเดินไปหาพี่ท็อปที่กำลังจัดการกับเสื้อผ้าในตู้ 
“เสื้อผมพี่แยกไว้เลยก็ได้” ผมบอกก่อนจะหยิบเสื้อสีดำสกรีนหน้าเสือออกมาถือ พี่ท็อปส่งยิ้มให้
“กูใส่เสื้อมึงได้น่า เก็บลงถุงให้หมดนั่นแหละ” เจ้าตัวคว้าเสื้อในมือผมไปพับสองสามทบก่อนจะยกมาดม ผมอดยิ้มกับท่าทีของอีกฝ่ายไม่ได้ โธ่พี่
“ฮะๆ พี่นี่ตลกจัง” ผมยิ้มกว้างก่อนจะช่วยพี่ท็อปพับเสื้อที่ถูกกองไว้ในตู้ ไม้แขวนเสื้อถูกเอาออกหมดแล้ว
“น่า กลิ่นมึงหอมจะตาย” เจ้าตัวยังไม่วายพูดแซวต่อ
“อะไรวะ เพื่อนยืนหัวดำหัวโด่ยังจะกล้าจีบกันเป็นสาวๆ ไปได้” ปากแบบนี้ไม่พ้นพี่อิฐตามเคย ผมเห็นพี่แบมแค่ส่ายหน้าไม่รู้ว่าระอาเพื่อนตัวเองหรือระอาผมกับพี่ท็อป
“ปล่อยๆ มันไปเถอะช่วงนี้ หวานส่งท้ายกันหน่อย” พี่ธามพูด
“แล้วคืนนี้พี่นอนที่ไหน” ผมถามเพราะถ้าเก็บห้องเสร็จก็ต้องคืนกุญแจ ห้องพี่ท็อปไม่ได้มีของเยอะเพราะก่อนหน้านั้นเจ้าตัวทยอยเก็บลงกล่องเรื่อยๆ ตอนนี้เหลือแค่เก็บพวกจานของเครื่องใช้ที่ครัว
“อยากนอนกับมึงเหมือนกัน แต่กูต้องกลับไปหาแม่ว่ะ มีเรื่องจะคุย หรือมึงจะไปนอนที่บ้านกูเลยดีไหม” พี่ท็อปพูดเองเออเอง
“ผมต้องอยู่คิดงานด้วยเนี่ยสิ ยังคิดไม่ออกเลย” ไม่มีอารมณ์ทำงานด้วยนั่นแหละ พี่ท็อปดูจ๋อยลงทันตาเห็น นี่ถ้าหากมีหูใหญ่ๆ นะ คงลู่ลงแนบหัวแน่ๆ
“ไปด้วยกันไม่ได้เหรอ” แน่ะ มีอ้อนกันด้วย พี่ท็อปพูดแล้วมองหน้าผม แววตาดูอ่อนล้าเหมือนต้องการพลังงาน พอเห็นพี่ท็อปในมุมนี้แล้วอดหวั่นไหวไปกับอีกฝ่ายไม่ได้
“โอเคครับ เอางานไปทำด้วยก็ได้” ผมบอก
“ดีมาก น่ารักจัง” พี่ท็อปยิ้มกว้างทันทีก่อนจะยื่นมือมาขยี้ลงที่ศีรษะของผมเหมือนกับเด็กๆ
“ไม่เอาน่า ไม่ใช่เด็กๆ ซะหน่อย” ผมไม่ค่อยชอบถูกปฏิบัติเหมือนกับพวกเด็กๆ คือถ้าผมเป็นฝ่ายทำก็ว่าไปอย่าง แบบนี้เหมือนผมเป็นลูกหมาตัวจ้อยเลยสิเนี่ย พี่ท็อปกระตุกยิ้ม
“จะให้จูบไหม แต่ก็เกรงใจพวกหมา” พี่ท็อปหัวเราะร้ายกาจว่าร้ายให้เพื่อนตัวเอง ผมเหลือบไปมองพวกเพื่อนๆ พี่ท็อปที่แอบมองอยู่
“หึหึ พี่ไปเก็บพวกจานดีกว่าเดี๋ยวเสื้อผ้าพวกนี้ผมเก็บให้เอง” ผมบอก เพราะกองเสื้อผ้าเริ่มลดลงแล้ว อยากเก็บกวาดห้องให้เสร็จเร็วๆ พี่ท็อปเดินไปที่ครัวอย่างว่าง่าย
การเคลียร์ห้องครั้งใหญ่ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง ในห้องถูกเก็บกวาดจนสะอาดไม่เหลือแม้แต่ไรฝุ่น พวกของจุกจิกบางอย่างผมก็เก็บเอาไปใช้เองที่ห้อง พวกพี่ธามขนกล่องใส่ของลงไปวางที่หน้าหอพัก ส่วนพี่ท็อปหายไปคุยที่ออฟฟิศเจ้าของหอพัก ผมหยิบสมุดสเก็ตช์ใส่กระเป๋าลงไปรอพี่ท็อปที่ชั้นล่าง พี่อิฐยืนพิงรถกระบะในมือคีบบุหรี่ที่ใกล้จะหมดมวน คนอื่นกำลังยกกล่องใส่กระบะหลัง ดูเหมือนว่าพี่ท็อปจะยังคุยธุระกับเจ้าของหอพักไม่เสร็จ พี่อิฐกวักมือเรียกผมให้เข้าไปหา
“เป็นยังไงบ้างล่ะมึง” พี่แกถาม ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจว่าจะถามถึงเรื่องไหน เรื่องเรียน เรื่องพี่ท็อป ผมไม่รู้จะตอบอะไรออกไป
“ก็ดีพี่” ผมตอบ พี่อิฐมองหน้าผมแล้วยิ้ม
“กูอาจจะปากหมาไปหน่อย มึงคงไม่เคืองกันนะ”
“ไม่นี่ครับ”
“กูไปฝึกในอมตะนครเหมือนไอ้ท็อปมันแต่คนละโรงงาน มึงกังวลอะไรหรือเปล่าวะ” พี่อิฐยักคิ้วเหมือนจะล้อผม ที่จริงผมไม่ได้กังวลเรื่องพี่ท็อปมากขนาดนั้น มันเป็นเรื่องขี้หมูขี้หมามาก
“ก็มีฟุ้งซ่านนิดๆ หน่อยๆ แหละพี่ แต่ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก”
“อือ ไอ้ท็อปมันเป็นคนไม่วอกแวกหรอก มึงน่าจะรู้ดี”
“ครับ” ผมรับคำสั้นๆ เหมือนพี่อิฐแกจะเทศนาผมมากกว่า
“อีกอย่างมันเป็นพวกคิดมากกว่าหนึ่งก้าว หมายถึง มึงคงเป็นพวกใช้วันนี้ให้คุ้มไม่ต้องไปคิดมากเรื่องอนาคต แต่ไอ้ท็อปมันเป็นพวกซับซ้อนจุกจิกกับเรื่องอนาคตอะไรแบบนี้ มันจอมวางแผนนี่นะ”
“ใช่พี่”
“อืม มึงไม่ต้องฟุ้งซ่านวอกแวกให้มาก กูเป็นห่วงเพื่อนกูไม่แพ้กันหรอก”
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะพี่”
“เออน่า พูดให้ฟัง มันจริงจังกับมึงมากนะเว้ย มากกว่าที่มึงรู้แน่ๆ” พี่อิฐยิ้มก่อนจะหัวเราะอารมณ์ดี เจ้าตัวดับบุหรี่เดินเอาไปทิ้งลงถัง พี่ท็อปเดินออกมาจากออฟฟิศแล้วตรงมาหาผม
“จะไปกันเลยไหม” พี่ธามเอ่ยขึ้นทำท่าจะเข้าไปในรถ พี่ท็อปหันมามองผม
“เอาอะไรมาครบแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยครับ” ผมบอกตบกระเป๋าสะพายเบาๆ เจ้าตัวยิ้มก่อนจะส่งเสียงบอกเพื่อนให้ออกรถไปได้ พี่อิฐอาสาไปส่งของให้พี่ท็อปที่บ้าน ส่วนผมก็เอาเคเอสอาร์ขี่ไปกับพี่ท็อปแทน
“อิฐมันคุยอะไรกับมึง”อีกฝ่ายถามมาจากด้านหลัง
“อ๋อ พี่แกบอกว่าพี่รักผมมาก” ผมบอกแล้วหัวเราะอย่างสุขใจจนกระทั่งมีมือมาหยิกลงที่เอวอย่างแรง พี่ท็อปเคาะหมวกกันน็อกผมแรงๆ อีกสองสามครั้ง
“จริงไหมล่ะ”
“เออ รักน้องสองม้ากมาก” พี่ท็อปหัวเราะมาจากด้านหลังแถมยังใจกล้าเอื้อมแขนมารัดเอวผมระหว่างทางที่อยู่บนถนน นึกถึงคำพูดของพี่อิฐ พี่ท็อปเป็นคนเปิดเผยอย่างที่บอกนั่นแหละ
พอถึงบ้านพี่ท็อปแล้วผมเห็นแม่ของเจ้าตัวออกมาต้อนรับเพื่อนๆ ด้วยขนมจีนน้ำยาพร้อมเครื่องเคียงที่สวน ผมขี่รถเข้าไปจอดด้านในโรงรถข้างๆ กับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันเดิมของพี่ท็อป ไอ้ทูวิ่งตรงหรี่มาหาพี่ท็อป เจ้าตัวก้าวลงจากเบาะหลังก่อนจะเข้าไปฟัดกับหมาสีน้ำตาลอ่อนที่ส่งเสียงร้องแหลมอย่างคิดถึง
“หวัดดีครับแม่” ผมสวัสดีอีกฝ่าย แม่กำลังตักขนมจีนแบ่งใส่จานให้พวกพี่ธาม บนโต๊ะมีหม้อน้ำยาสองหม้อ แกงเขียวหวานกับน้ำยาป่า มีจานผักเครื่องเคียงพร้อม ทั้งผักกาดดอง มะระ ถั่วพู ถั่วฝักยาว ผมถอดหมวกกันน็อกแล้วเดินไปหาแม่ที่สวน ส่วนพี่ท็อปยังคงถูกไอ้ทูล้อมหน้าล้อมหลัง
“แม่ทำน้ำยาป่าของชอบเราด้วย” แม่บอก ผมเดินไปตามกลิ่นหอมที่โชยเข้าจมูก น้ำลายสอเลยล่ะ พวกพี่ธาม พี่อิฐ และพี่แบมกำลังนั่งกินกันที่โต๊ะไม่ไกลกัน
“แม่ทำเยอะไปหรือเปล่าครับเนี่ย” ผมชวนคุย เพราะลำพังพวกผมคงกินกันไม่หมดแน่ๆ มีหวังได้แบ่งกันกลับไปคนละถุงสองถุง
แม่ยิ้ม “ไม่หมดก็เอาไปแจกข้างบ้านนี่แหละลูก สองกินเยอะๆ นะ” แม่ยื่นจานให้ผม พี่ท็อปเดินเข้ามาหาคว้าจานขนมจีนในมือผมไปแทนก่อนจะยกมาดม
“จานนี้ท่าจะอร่อยกว่าจานอื่นแหงๆ” พี่ท็อปพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะหยิบช้อนมาตักกินทั้งอย่างนั้น แม่มองพี่ท็อปด้วยสายตาระอา ผมก้มมองที่ขาเพราะไอ้ทูมันเดินมายืนเบียดพร้อมกับส่ายหางไปมา 
“ไปนั่งที่โต๊ะดีๆ สิ” ผมบอกก่อนจะหยิบจานแล้วตักขนมจีนมาสองหยิบพร้อมกับผักเครื่องเคียงอีกหนึ่งจาน 
“เอาผักมาให้พี่บ้างสิ บริการสามีหน่อย” พี่ท็อปยื่นหน้ามากระซิบบอกทำเอาขนลุก ทั้งประโยคที่มาจากเจ้าตัวแล้วก็ไอ้ท่าทีกระซิบกระซาบนี่แหละ ผมมองอีกฝ่ายเอือมๆ ทำอะไรประเจิดประเจ้อจริงๆ แต่เจอสายตาวิบวับของพี่ท็อปแล้วก็แยงลูกตา เลยเอื้อมไปหยิบจานใส่ผักมาให้อีกฝ่าย
พี่ท็อปเดินไปนั่งที่โต๊ะรวมกับเพื่อนๆ ผมเลยต้องถือจานตามไปต้อยๆ ไม่ใช่เด็กเสิร์ฟซะหน่อย ผมแอบเหน็บในใจ ได้ยินเสียงแม่หัวเราะมาจากด้านหลัง
“บริการดีจริงๆ ขอน้ำหน่อยได้ไหมจ๊ะ” พี่ธามทำเป็นพูดเพราะเพื่อใช้ประโยชน์จากผม ผมเหลือบมองพี่ท็อปที่อมยิ้มอยู่คนเดียว
“เดี๋ยวเอามาให้ครับ ทุกคนเลย” ผมบอกก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะ หยิบแก้วพลาสติกมาเท่าจำนวนคนกับน้ำเย็นหนึ่งขวด
“แม่ไม่มาทานด้วยกันเหรอครับ”
“แม่อิ่มแล้วจ้ะ พวกเรากินกันเถอะ เดี๋ยวแม่เข้าไปข้างในก่อนดีกว่า” แม่บอกยิ้มๆ ก่อนจะเรียกไอ้ทูให้เข้าไปในบ้านด้วยเพราะมันคอยจะกวนพวกผม
ผมเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วรินน้ำแจกจ่ายทุกคนจนครบ ผมนั่งลงข้างๆ พี่ท็อป รู้สึกเหมือนโดนพวกแกนินทายังไงชอบกลเพราะสีหน้าหลุกหลิกคอยมองสบตากัน ผมจ้องหน้าพี่ท็อปเขม็ง ขี้นินทาจริงๆ
“อิ่มกันแล้วเหรอ” ผมถามไปแบบนั้นเพราะซัดกันไวปานลิง
“ยังหรอก รอขนมหวานก่อน” พี่แบมบอกพลางส่งยิ้มให้ผม
“เออสอง เมื่อไหร่มึงจะกลับไปบ้านเกิดมึงวะ”
“ทำไมเหรอ”
“กูอยากไปเที่ยวแถวบ้านมึงบ้าง ช่วงไหนมีงานประจำปีบ้าง อยากเปลี่ยนบรรยากาศว่ะ” พี่อิฐพูด ผมนิ่งคิดก่อนจะหันไปมองพี่ท็อป เจ้าตัวกำลังเขี่ยเส้นขนมจีนในจานอย่างสนอกสนใจ
“ไม่แน่ใจพี่ ต้องลองถามพ่อก่อน เอางานใหญ่ๆ เลยไหมพี่จะได้สนุก” ผมบอกไปไม่จริงจังนักเพราะรู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ๆ พี่อิฐจะมาสนใจอะไรงานแถวบ้านผม พี่ธามหันมาพูดกับผมต่อ
“งานลอยกระทงได้ไหมวะ จังหวัดมึงขึ้นชื่อเลยนี่หว่า”
“ตามใจพี่สิ จะไปเที่ยวกับใครล่ะ”
“พวกกูเนี่ยแหละ อยากแวะไปบ้านมึงด้วย เบื่อๆ พอดี ช่วงนั้นคงส่งโปรเจกต์กันเสร็จหมดแล้ว เผื่อไปฉลองให้ที่รักมึงไง ไม่สนใจบ้างเหรอ” พี่แบมเอ่ยขึ้นบ้าง หลังจากที่นั่งย่อยได้สักพักผมหันไปมองคนข้างๆ ที่เงยหน้ามายิ้มให้ผมพอดี
“สนใจป่ะ” เจ้าตัวถาม ผมมองแววตาสีดำที่สั่นไหวอย่างมีชีวิตชีวา ผมจ้องสำรวจอยู่อึดใจหนึ่ง
“ก็ไม่มีปัญหาหรอก ถ้าจะไปจริงๆ บอกผมอีกครั้งกันลืมจะได้บอกพ่อให้เตรียมต้อนรับ” ผมบอก
“โอเคไอ้น้อง ว่าง่ายแบบนี้ดีเลย” พี่อิฐยกนิ้วโป้งให้
“ทำไมถึงอยากมาเที่ยวบ้านผมล่ะพี่” ผมหันไปถามพี่ท็อป เจ้าตัวไหวไหล่เอนตัวมาใกล้ผม
“แค่อยากเที่ยวกับมึงบ้าง” พี่ท็อปบอกเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน ผมพยักหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สงสัยต้องโทรไปถามพ่อว่าแอบเตี๊ยมอะไรกับพี่ท็อปกันแน่ เข้ากันได้ดีกว่าที่คิดไว้ซะอีกนะเนี่ย
ไม่ถึงสิบนาทีแม่พี่ท็อปก็เรียกพวกผมให้ไปทานของหวานอย่างน้ำแข็งใสด้านในบ้าน หลังจากนั้นพวกพี่ธามก็ขอตัวกลับ ผมกับพี่ท็อปช่วยกันเก็บโต๊ะและจานเข้าที่ แล้วทำความสะอาด พี่ท็อปชวนผมไปนั่งเล่นที่ศาลาในสวนหน้าบ้าน ถัดจากศาลาไปแค่ไม่ถึงเมตรมีบ่อปลาคราฟทรงสี่เหลี่ยมผุดขึ้นมาใหม่ คราวก่อนที่มายังไม่มี สงสัยแม่จะขุดสร้างเพิ่ม ในสวนเลยร่มรื่นเพราะการตกแต่งรอบบริเวณบ่อปลา ขนาดไม่ใหญ่มาก จำนวนปลาสวยงามมีแค่ 6 - 7 ตัวเท่านั้น ยังเล็กๆ อยู่ด้วยซ้ำ
จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะคิดงานต่อกลับกลายเป็นว่าเป็นหมอนรองศีรษะให้พี่ท็อปนอนเล่นอย่างสบายอารมณ์ ผมก้มมองคนที่นอนอยู่บนหน้าขา เจ้าตัวหลับตาพริ้ม ผมเอื้อมมือไล้ไปตามแนวคิ้วที่เรียงตัวสวยอย่างเบามือ 
“ฮืม” เจ้าตัวส่งเสียงออกมาเบาๆ ก่อนจะลืมตา ผมยิ้ม พี่ท็อปไม่ได้พูดอะไรแค่จับมือซ้ายของผมไปลูบไล้แหวนที่นิ้วนาง
“อยากได้อะไรไหมสอง” อยู่ๆ เจ้าตัวก็เอ่ยถาม ผมขมวดคิ้วแปลกใจ ปกติผมกับพี่ท็อปไม่ค่อยซื้อของให้กันมาก ตั้งแต่นาฬิกาสร้อยของพี่ท็อปครั้งก่อนนู่น
“ไม่นี่ครับ ผมได้จากพี่มาจนหมดแล้ว” ผมพูดน้ำเสียงเจือหัวเราะ
พี่ท็อปยิ้มมุมปากก่อนจะปล่อยมือผมพร้อมกับขยับตัวเปลี่ยนท่านอน จากที่นอนหงายเจ้าตัวพลิกกลับมานอนคว่ำ ใบหน้าแนบลงกับหน้าขาผมแทน ทำเอาผมเสียววาบ ผมเหลียวไปมองรอบกาย ถ้าทำอะไรประเจิดประเจ้อ แม่คงออกมาตำหนิ
“เสียวนะพี่” ผมหัวเราะก่อนจะยื่นมือไปตีที่ไหล่เจ้าตัวเบาๆ พี่ท็อปเงยหน้ามองผม วางแก้มแนบลงกับขาผมต่อ มือที่ว่างอยู่ยกขึ้นมาลูบหน้าขาอีกข้างไปมา
“ใครว่าล่ะ มีอะไรหลายอย่างที่กูยังไม่ได้จากมึงนะสอง” เจ้าตัวเอ่ยพึมพำลงกับต้นขาของผม
“อะไรเหรอพี่” ผมถาม ไม่อยากนั่งอยู่ในท่านี้นานๆ เพราะมันล่อแหลมจริงๆ
“ก้มลงมาสิ” พี่ท็อปเงยหน้ามองขยิบตาให้ผมโน้มหน้าลงไปหา ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้มลงไปใกล้ๆ
“ว่า?”
“ก็ Texture แบบพิเศษ สัมผัสใหม่ยังไม่เคยลองเลยว่ะ” สรุปไม่พ้นเรื่องอย่างว่าจนได้ ผมนึกคิดไปตามที่เจ้าตัวบอก ไอ้ texture แบบพิเศษคงจะเป็นอะไรที่พิสดารแหงๆ พี่ท็อปชอบมีรสนิยมแปลกๆ อยู่เรื่อย
“ทะลึ่งตลอดนะพี่”
“เรื่องธรรมชาติ อยากรู้อยากลองในกิจกรรมพื้นฐานของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องน่าอาย” พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ ก่อนจะฝังเขี้ยวลงกับต้นขาของผมจากนั้นก็ผุดลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าผม แววตาดูแช่มชื่นที่ป่วนประสาทผมได้
“อยากได้อะไรล่ะครับ”
“พี่บอกเราไปแล้วไงล่ะ” พี่ท็อปหัวเราะแล้วทำท่าเหมือนจะเข้ามากอด แต่มีก้างขวางคออย่างไอ้ทูที่วิ่งมาหาพอดิบพอดี 
“พูดเล่นไปเรื่อย” ไอ้ทูออกมาเล่นที่สวนแสดงว่าแม่กำลังออกมาด้วย ผมมองไปรอบๆ กาย พี่ท็อปคว้าตัวไอ้ทูมาอุ้มไว้บนตัก ไอ้ทูมันลิ้นห้อยปล่อยให้เจ้านายเกาหูเกาพุง ผมเห็นแม่กำลังเดินเข้ามาในสวนพร้อมกับถาดชาร้อนหนึ่งกา
“แม่จะให้ท็อปตัดหญ้าตัดต้นไม้ไหมครับ” พี่ท็อปเอ่ยถามผู้เป็นแม่ แค่ตัดแต่งกิ่งไม้ที่โตบดบังรูปทรงเดิมไม่ใช่งานหนักถึงขนาดต้องใช้เครื่องตัดหญ้าแค่กรรไกรตัดหญ้าก็พอ
“ถ้าขยันทำให้แม่ก็ได้นะ ถ้าไม่อยากเปลืองแรงเดี๋ยวแม่ให้คนงานมาทำให้” แม่เดินเข้ามานั่งบนศาลายกพื้น ผมรับถาดน้ำชามาวางบนโต๊ะกลมตัวเตี้ย
“ท็อปว่างๆ เดี๋ยวค่อยๆ ทำก็ได้” พี่ท็อปปล่อยไอ้ทูลงพื้นก่อนจะขยับมานั่งข้างๆ ผมรินชาคาโมมายด์ให้ตัวเองและอีกสองคนด้วย
“ไม่ใช่ไปใช้สองนะ ไหนว่าจะเอางานมาทำไงจ๊ะ ไอ้ท็อปมันคอยกวนล่ะสิท่า ให้มันตัดต้นไม้ไปคนเดียวนั่นแหละ สองนั่งทำงานสบายๆ ตรงนี้ดีกว่านะ” แม่หันมาพูดกับผม ทำเอาพี่ท็อปตาโตแต่ไม่ได้ตอบโต้
หลังจากนั้นพี่ท็อปก็เดินหายไปทางหลังบ้าน คงไปเตรียมอุปกรณ์มาตัดต้นไม้ ผมเอาสมุดสเก็ตช์มาคิดงานเล่นๆ เปิดไอแพดหาไอเดียไปเรื่อยๆ
“ได้ยินท็อปมันอยากไปบ้านเราเหรอ”
“ครับ พี่ท็อปบอกว่าอยากไปเที่ยวที่บ้านผมกับพวกพี่อิฐ”
“นั่นสิเนอะ ที่นู่นอากาศน่าจะดีนะ แม่อยากลองไปเที่ยวพักผ่อนดูสักครั้ง” ผมฟังคำพูดของแม่แล้วตกใจ ผมมองหน้าอีกฝ่าย เห็นแม่หัวเราะกับท่าทางของผม
“ไม่ต้องซีเรียส แม่แค่อยากลองไปดูที่ทางบ้าง อีกอย่างแม่แค่อยากไปดูลาดเลาที่บ้านเราซะหน่อย” แม่พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายเจือหัวเราะให้ได้ยินตอนประโยคสุดท้าย
“ถ้าแม่อยากไปผมไม่ขัดหรอกครับ แต่ที่บ้านผมมันก็บ้านนอกๆ ไม่มีอะไรให้เที่ยวมากครับ แหะๆ” ผมหัวเราะเสียงแห้ง เนื่องจากบ้านเกิดผมไม่ได้อยู่ทางเหนือซะทีเดียว อากาศไม่ได้เย็นสบายอะไรนัก ออกจะร้อนตับแลบซะมากกว่า
“แม่ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอกจ้ะ แค่คนที่อยู่กับท็อปเป็นคนที่ดี เป็นคนที่มันรักก็ดีแล้ว แม่แก่แล้วอยากจะไปพักผ่อนเงียบๆ ก็น่าสนใจดี” แม่ตอบเสียงนุ่มก่อนจะยกมือไปลูบไหล่ของผมอย่างห่วงใย
“ถ้ายังไงไปพร้อมๆ กับพวกผมก็ได้นะครับ ช่วงงานลอยกระทงก็ดีเพราะเป็นเทศกาลใหญ่ของจังหวัด” ผมบอก แม่พยักหน้า
“ไม่ได้ลอยกระทงกันมากี่ปีแล้วก็จำไม่ได้ เฮ้อ น่าสนุกๆ ยังไงแม่ขอดูงานช่วงนั้นก่อนแล้วจะบอกสองอีกทีดีกว่า” แม่พูด
นั่นสินะ ผมเองไม่ได้กลับบ้านไปลอยกระทงมาหลายปีแล้ว ที่บ้านผมมักทำกระทงใบตองไปลอยกันที่ท่าน้ำของหมู่บ้าน คนจึงไม่หนาแน่นเท่าในตัวเมือง เป็นบรรยากาศเย็นเล็กน้อย ดวงจันทร์เต็มดวง ไฟสีส้มจากเทียนหรือไม่ก็ตะเกียงที่จุดไว้รอบๆ บ้าน แทบทุกบ้านต้องจุดเทียน มันมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
แม่กลับเข้าไปด้านในบ้านเพื่อให้ผมมีสมาธิทำงานต่อ ผมนั่งขีดๆ เขียนๆ อย่างใจลอย สายตาเหลือบไปที่บริเวณริมกำแพงบ้าน พี่ท็อปสวมเสื้อคลุมแขนยาวกำลังยืนเท้าเอวถือกรรไกรตัดกิ่งไม้สีแดงอยู่เบื้องหน้ารั้วต้นชาฮกเกี้ยนที่ตั้งสูงเป็นแท่งเหลี่ยมระดับหัวไหล่ แค่ตัดเล็มให้อยู่ทรงเดิม ท่าทางอารมณ์ดี
“ให้ช่วยไหมพี่” ผมร้องถามไปเป็นมารยาท เพราะกำลังนั่งสบายอยู่ในร่ม พี่ท็อปเหลียวมามองผมก่อนจะไหวไหล่
“สบาย แค่นี้ไม่ต้องถึงมือเมียหรอก นั่งเฉยๆ ไปเหอะ ทำตามที่แม่ผัวบอกนะน้อง” พี่ท็อปตอบกลับมาผมเลยเลิกสนใจอีกฝ่าย รู้สึกหัวร้อนขึ้นมานิดหน่อย ได้ทีก็ไม่เกรงอกเกรงใจ พี่ท็อปหัวเราะมาให้ได้ยินแว่วๆ

จนแล้วจนรอดผมก็คิดงานสำหรับสื่อผสมออกจนได้ พอดีว่าไปสะดุดตากับหินกรวดที่พื้นทางเดินในสวน เลยลองจับมามิกซ์เป็นพื้นขวดแก้วสีเขียว สีมรกต เป็นงานดีไซน์ติดผนัง ผมยังจำงานของรุ่นพี่ที่ทำงานศิลปะสื่อผสมแบบไทย ไอเดียมาจากปะการัง เป็นงานแขวนผนังเหมือนกัน แถมยังเอาไปขายได้ด้วย ผมเก็บแบบร่างใส่สมุดแล้วลุกเดินไปหาพี่ท็อปแก้อาการเมื่อยขบ
“เสร็จแล้วเหรอ”
“เรียบร้อย” ผมตอบก่อนจะเดินไปหยิบกรรไกรตัดหญ้าอันใหญ่ พี่ท็อปมองผมนิ่งก่อนจะหยิบหมวกปีกกว้างในถังอุปกรณ์มาให้ผม
“เดี๋ยวดำ” เจ้าตัวว่า
“คงไม่มากไปกว่านี้หรอกพี่” ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจ ผมไม่ค่อยกลัวแดดเท่าไหร่นักแต่ก็หยิบหมวกมาสวมก่อนจะนั่งลงตัดหญ้าไปชิลๆ ไม่เร่งร้อน
“เออ กูมีขนมให้มึงด้วยนะ กินข้าวอาบน้ำเสร็จเดี๋ยวกูเอาให้” เจ้าตัวบอก ผมไม่ได้หันไปมองแค่ขยับตัวตัดหญ้าไปเรื่อยๆ เสียงดังฉับๆ
“อ๋อ อะไรล่ะพี่”
“รางวัลจากกูไง แค่ของหวาน” พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ ผมเหลียวไปมองอีกฝ่ายที่ตอนนี้เดินไปตัดกิ่งไม้ที่บริเวณรอบๆ บ่อปลาแล้ว คงเป็นอะไรแปลกๆ ที่พี่ท็อปสรรหามาล่ะมั้ง คงไม่เกี่ยวอะไรกับพวก texture พิเศษที่เจ้าตัวอยากจะลองหรอกนะ ไม่งั้นมีโวย พิสดารเข้าไปทุกที
กว่าจะตัดหญ้าในสวนจนเสร็จเล่นเอาปวดหลังขึ้นมา ถึงพี่ท็อปจะเปลี่ยนมาตัดส่วนที่เหลือก็ตาม หลังจากที่อาบน้ำนอนแช่ในอ่างอยู่นาน แม่เลยเอาแผ่นแปะแก้ปวดมาให้ผมใช้
“เหนื่อยไหม” พี่ท็อปถามระหว่างที่กำลังแปะแผ่นบรรเทาปวดให้ที่ไหล่กับหลัง
“ไม่หรอก แค่ปวดเมื่อยมากกว่า” ผมบอกไปตามจริง แปะเสร็จผมสวมเสื้อแขนสั้นสีขาวตัวบาง พี่ท็อปย่นหน้าก่อนจะบีบไหล่ทั้งสองข้างให้ผม
“อุตส่าห์ชวนมาพักแท้ๆ ยังหางานให้อีก” เจ้าตัวบอกเสียงอ่อย ผมยิ้ม
“แค่นี้เอง เป็นผู้ชายไม่เท่าไหร่หรอก” ผมบอกก่อนจะเดินไปนั่งโซฟาหน้าทีวีจอแบนที่กำลังแสดงภาพรายการตลกอยู่ พี่ท็อปเดินตามมานั่งข้างๆ ก่อนจะเอนตัวมาซบที่ไหล่
“ไหนรางวัล” ผมทวงแบมือไปทางอีกฝ่าย
“หึหึ นึกว่าลืมแล้วซะอีก กำลังจะบิ้วมึงเลยนะ” พี่ท็อปบอกก่อนจะล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงหยิบห่อกลมๆ สีแดงส้มออกมาแล้วยื่นให้ผม
“อะไร” ผมรับมาถือไว้
“ของหวานไง” พี่ท็อปเอนตัวออกจากไหล่ของผมแล้วขยับหันหน้ามาทางผม
“จะเล่นอะไรล่ะสิ” ผมพึมพำก่อนจะแกะเปลือกห่อออกมา ด้านในปรากฏเป็นช็อกโกแลต ดูจากทรงแล้วคงสอดไส้เหล้ากับเชอรี่เพราะจมูกได้กลิ่นแอลกอฮอล์ชัดเจน กระตุ้นให้หายจากอาการเซื่องซึม
“พอดีว่าน้ากูเอามาฝากจากเยอรมันน่ะเลยอยากกินพร้อมๆ มึงมากกว่า” เจ้าตัวบอก ผมมองหน้าอีกฝ่ายทันทีก่อนจะมองช็อกโกแลตสอดไส้เชอรี่กับเหล้าในมือ
“คงไม่เมาง่ายๆ นะ กูมีเป็นกล่องเลย” เจ้าตัวบอกก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าสีดำที่วางหลบมุมอยู่ด้านหลังโซฟาตัวสั้นทางฝั่งขวาของพี่ท็อป มีความเตรียมการด้วยแฮะ ผมมองอีกฝ่ายที่เอากระเป๋าออกมาก่อนจะเปิดซิปหยิบกล่องขนมสีแดง ท่าทางเป็นเค้กมากกว่า เป็น Tipsy cake เค้กผลไม้ราดวิสกี้ Jack deniel’s ซะด้วย
“สงสัยคงได้เมาแน่” ผมพูดขำเมื่อได้กลิ่นเหล้าแล้วคงรสแรงพอสมควร
“พูดเป็นเล่น ถ้าแค่นี้เมาก็อ่อนสุดๆ” พี่ท็อปพูด
“แหม ไม่ใช่ของหวานแล้วล่ะพี่ถ้าจะของแรงมากกว่า” ผมหัวเราะ พี่ท็อปขยับมานั่งใกล้ๆ ผมมากกว่าเดิม ช็อกโกแลตในมือของผมพี่ท็อปหยิบไปก่อนจะคาบไว้
“ลองแบบนี้หน่อย”
“หึหึ เจ้าเล่ห์ตลอด” ผมส่ายหน้าแต่ก็ไม่ปฏิเสธเลยยื่นหน้าไปหาพี่ท็อป สายตาอีกฝ่ายจ้องมาที่ผมไม่กะพริบ ผมขยับไปใกล้จนได้กลิ่นช็อกโกแลตและกลิ่นเหล้าก่อนจะกัดไปที่ก้อนช็อกโกแลต เชอรี่ที่สอดไส้ด้านในดูดเอาเหล้าไปเก็บไว้อย่างชุ่มฉ่ำ ผมตั้งตัวไม่ทันเพราะมันจะหกเลอะเทอะมากกว่า แต่พี่ท็อปไม่ยอมให้ผมผละออกไปง่ายๆ จึงรั้งต้นคอของผมไว้ไม่ต่างจากจูบเท่าไหร่ แต่ผมไม่ได้เปิดปากให้อีกฝ่าย เลยกลายเป็นว่าปากอีกฝ่ายกระแทกเข้ามาโดนฟันของผมไปเต็มๆ
“โอ๊ะ...หลบไวเชียว” พี่ท็อปหัวเราะทางจมูกก่อนจะยื่นไปหยิบทิชชู่มาเช็ดปาก ผมแสบท้องวาบเมื่อกลืนช็อกโกแลตลงคอไป อร่อยแต่แรงพอดู ผมเช็ดปาก
“ลองเค้กสักชิ้นนะ” พี่ท็อปหยิบช้อนพลาสติกในถุงก่อนจะยื่นมาให้ผม เป้าหมายของอีกฝ่ายคือมอมเมาผมสินะ
“พี่คิดอะไรอยู่แน่ๆ” พี่ท็อปเลื่อนกล่องเค้กก้อนกลมๆ คล้ายโดนัทมากกว่า สีน้ำตาลไหม้ฉ่ำไปด้วยวิสกี้
“เปล่านะ แค่อยากลองเทสต์ดูเฉยๆ ว่ามึงชอบไหม... ชอบป่ะ” พี่ท็อปถามระหว่างที่ผมตักเค้กเข้าปาก รสแรงทีเดียว ผมก็ไม่ค่อยถูกโรคกับเหล้านอกเท่าไหร่ ดื่มง่ายแต่เมาไม่รู้ตัวนี่สิ
“อือ ก็อร่อยดีนะ แต่เอามาให้กินก่อนนอนนี่หนักไปหน่อย” ผมพูดแล้วพี่ท็อปหัวเราะ
“เออว่ะ” เจ้าตัวยิ้มก่อนตักเค้กเข้าปากบ้าง ที่จริงผมก็รู้สึกล้านิดหน่อย พอได้ของหวานผสมเหล้าพวกนี้แล้วทำให้นุ่มคอไปอีกรสชาตินึง แต่ก็ถือว่าแรงไปสำหรับวันนี้
“พอดีกว่า ถ้าหมดนี่มึงคงได้หลับแน่ๆ” พี่ท็อปปิดกล่องหลังจากที่คอยจับสังเกตผมอยู่หลายนาที ผมพยักหน้าให้อีกฝ่าย ตอนนี้สามทุ่มครึ่งแล้ว ผมเข้าห้องน้ำไปแปรงฟัน ล้างหน้าให้สดชื่น รู้สึกมึนหัวขึ้นมาเล็กน้อย พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าพี่ท็อปกำลังจัดหมอนบนเตียงอยู่
“มา เดี๋ยวกูกล่อมเอง” พี่ท็อปบอก ผมเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่เตียงแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย
“กู๊ดไนท์นะพี่ ดูท่าของหวานพี่เล่นงานผมนะ” ผมขำเบาๆ ไม่ได้เมามากนักแต่แค่ดักทางอีกฝ่ายไว้ก่อนเผื่อคิดตุกติกอยากทำอะไรขึ้นมาอีก ตอนนี้ผมเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวอยู่
“อืม นอนซะเดี๋ยวกูนวดหลังให้” พี่ท็อปบอกก่อนจะจับตัวผมให้หันไปนอนคว่ำ ผมแนบหน้าลงกับหมอนนุ่ม ปล่อยให้พี่ท็อปบีบนวดคลายอาการปวด แม้ว่าจะแปะแผ่นบรรเทาปวดไปแล้วก็ตาม “เด็กน้อยจริงๆ ไว้คราวหน้าพี่จะเทสต์ใหม่นะ” อีกฝ่ายเอ่ยเบาๆ ให้ผมได้ยิน
ค่ำคืนนั้นผมหลับไปทั้งอย่างนั้น พี่ท็อปไม่ได้ทำอะไรนอกจากนวดให้ผม จะว่าไปการที่ผมอยู่บ้านกับพี่ท็อปก็เหมือนการมาเปลี่ยนที่นอนเท่านั้นเอง หลังจากวันนั้นพี่ท็อปก็เตรียมจัดกระเป๋า เตรียมเอกสารไว้สำหรับการฝึกสหกิจในเทอมหน้า
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 2 # 18.04.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-04-2017 21:09:20
 :mew1: :mew1: :pig4: :pig4: :pig4: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 2 # 18.04.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: DraCo_SLa13 ที่ 18-04-2017 21:34:35
ขอโทษนะคะ หาตอนแรกๆอ่านได้ที่ไหนคะ หรือต้องรอรีไรท์เสร็จอย่างเดียว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 2 # 18.04.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-04-2017 21:48:05
พี่ท๊อป สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
just having sex not making love
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 2 # 18.04.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 18-04-2017 22:06:01
ต้องหวานกันขนาดนี้้เลยไหมคะ  :hao5:
เขินตาย ฮือ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 2 # 18.04.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 18-04-2017 22:07:55
กลับมาพร้อมความหวานของคู่หลัก แต่พี่ท็อปนี่รสนิยมน่าสนใจดีนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 2 # 18.04.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 18-04-2017 22:25:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 2 # 18.04.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 18-04-2017 23:54:15
เราชอบความสัมพันธ์ของคู่นี้มาก เป็นความสัมพันธ์ในอุดมคติของเราเลย ทั้งความเข้าใจกันและกัน และการไม่ยึดติดกับตำแหน่งบนเตียง เป็นคู่ที่รักกันด้วยใจ ไม่ใช่แค่ใครเป็นผัวเป็นเมีย แต่ตอนนี้เราอยากรู้ความเป็นไปของอีกคู่แล้ว 555555555555555
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 2 # 18.04.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 19-04-2017 19:19:55
ท็อปสองเป็นคู่ที่น่ารักมากเลยอ่ะเข้าใจกัน ไม่ยึดติดดูแลกัน ดีงามอ่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 2 # 18.04.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 20-04-2017 23:45:06
ขอโทษนะคะ หาตอนแรกๆอ่านได้ที่ไหนคะ หรือต้องรอรีไรท์เสร็จอย่างเดียว

คนเขียนลงตอนแรก ๆ ในธันวลัยไว้ค่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # 30 part 2 # 18.04.60 P.24
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 10-05-2017 20:06:17
รักท็อปสอง ขอบคุณที่มาต่อนะคะ รักนิยายเรื่องนี้มาก :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' บทที่ 8 การเริ่มใหม่ กับที่คนที่เคย.
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 10-05-2017 22:01:03
Deen Diary
บทที่ 8 การเริ่มใหม่ กับที่คนที่เคยเกลียด

ผมมองสภาพของตัวเอง มันน่าสมเพชที่ต้องให้มันมาเห็นผมแบบนี้ ผมเหนื่อย.....

ถูกอย่างที่ไอ้แกนว่าทุกอย่าง มันถึงเวลาแล้วจริงๆ พี่กัสก็เริ่มต้นใหม่แล้ว ผมต้องเริ่มต้นใหม่ให้ได้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องอ่อนแอขนาดนี้ เรื่องมันไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรแต่ทำไมมันกระทบต่อใจมากนักนะ ความรู้สึกคนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และไม่ควรมองข้าม
ผมได้ยินเสียงจากด้านนอกไอ้แกนยังไม่ไปไหน มันคงเก็บกวาดห้อง ผมหลับตาลงมองข้ามความเป็นไอ้แกนออกไป หากมองว่ามันแค่คนคนนึงแล้วมันทำขนาดนี้ก็สมควรได้รับการให้อภัยใช่ไหม ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะล้างหน้า พอน้ำเย็นปะทะกับใบหน้าทำให้ผมได้สติขึ้น ผมไม่อยากร้องไห้ไม่มีอะไรต้องร้องไห้
มันก็เจ็บอยู่หรอก แต่ผมจะเลิกทำร้ายตัวเองเสียที
เหตุผลที่ผมสักชื่อมันไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งขนาดนั้น แค่อยากจำไม่ลืม ผมคิดว่ามันสำเร็จนะ นอกจากจะไม่ลืมแล้วมันยังไม่ไปไหนอีกด้วย ไล่ให้ตายก็ไม่ไป ทำไมมันหน้าด้านขนาดนี้
ไม่เหี้ยจริงก็ทำไม่ได้.... หึ

ผมอาบน้ำ จำไม่ได้อาบน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ผมโกนหนวดออกก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอว ไอ้แกนมันยังไม่ไปอีก ผมถอนหายใจก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ ผมเห็นว่าห้องกลับมาสะอาดเหมือนเดิม ไอ้แกนมันเป็นคนทำ ผมไม่เข้าใจมันเลย
“มึงซักผ้าบ้างหรือเปล่า” ไอ้แกนว่าก่อนจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อค้นหาเสื้อผ้าให้ผม
“อย่ายุ่งน่า ถอยไป” ผมบอกมันห้วนๆ ไอ้แกนยอมถอย มันนั่งลงบนเตียงสายตาจับจ้องความเคลื่อนไหวของผมระหว่างที่ค้นหาเสื้อยืดคอกลมสักตัวและเจออยู่ท้ายตู้ มันยับยู่ยี่ ผมหยิบเสื้อออกมาใส่แล้วเหลือบมองไปทางไอ้แกนเห็นว่ามันละสายตามองไปทางอื่นแทน ผมเลยได้โอกาสใส่กางเกงในกับบ็อกเซอร์เพราะไม่เหลือกางเกงแล้ว ผมไม่ได้ซักผ้ามาหนึ่งอาทิตย์
“ออกไปด้านนอกกันไหม” ไอ้แกนชวน ผมเงียบกำลังคิด
“ไปไหน”
“ไปนั่งเล่นที่ไหนก็ได้ที่มึงสบายใจ” ผมเกือบหลุดตอบไปว่า ‘ที่ๆ ไม่มีมึง’ นั่นเป็นคำพูดที่ไม่คิดเลย อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประโยคของมัน ‘มึงเคยเสียดายอะไรบ้างไหม ถ้าผ่านวันนั้นมาเเล้วมานั่งคิดเสียดายทีหลังมันไม่คุ้มกันเลย กูรับรู้เข้าใจความรู้สึกนั้นได้ดี’ มันหมายถึงอะไรหรือหมายถึงใครหรือเปล่า แต่ผมไม่ลืมประโยคนี้ของมันแน่ๆ ลืมไม่ลง
“แล้วแต่” ผมได้ยินมันถอนหายใจเฮือกใหญ่ เวลาแบบนี้ไปนั่งเล่นแถวอ่างเก็บน้ำของมหาลัยก็น่าจะโอเค แต่ผมไปกับมันแล้วจะยังไงต่อ นั่งเงียบๆ ถอนหายใจไปมางั้นเหรอ... น่าขำ
“ไปอ่างเก็บน้ำ” ไอ้แกนขานรับ มันหันมายิ้มให้ผมนิดนึง ตาฝาดไปสินะ.....
ผมมองอีกฝ่ายที่กำลังเดินออกไปรอข้างนอก ผมหยิบกางเกงยีนมาสวมก่อนจะคว้ากระเป๋ามาสะพาย
ถ้าตัดทุกอย่างออกไปได้ก็คงดี.....

แม้จะเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดแต่ผมกับไอ้แกนก็มาถึงที่บริเวณอ่างเก็บน้ำของมหาลัยจนได้ ไอ้แกนแวะซื้อขนมปังมาสี่ห่อใหญ่จนผมอดคิดไม่ได้ว่ายิ่งซื้อเยอะก็ยิ่งอยู่ที่อ่างเก็บน้ำนานกว่าเดิม คิดไปคิดมาผมก็เลิกอคติกับมันไปซะก็สิ้นเรื่อง ไอ้แกนพาผมมาที่หอใน อ่างเก็บน้ำอยู่ติดกับบริเวณโรงอาหารของหอใน เด็กปีหนึ่งเดินกันให้ควั่ก
“จะกินอะไรหน่อยไหม” ไอ้แกนหันมาถามเมื่อยืนอยู่ข้างๆ ในโรงอาหาร ผมเห็นว่าคนเยอะเลยปฏิเสธก่อนที่จะเดินไปตามทางเพื่อไปอ่างเก็บน้ำแทน อากาศไม่ร้อนเพราะอยู่ในช่วงเย็นมีลมบางๆ พัดมาปะทะใบหน้าเป็นระยะ ผมไม่ได้สนใจอีกฝ่ายมากนักแค่เดินไปเรื่อยๆ “ใจลอยไปถึงไหนกัน มานี่” ไอ้แกนพูดขึ้นมาก่อนจะคว้าแขนผมให้เดินตามมันไป มีบันไดลาดลงไปตามแนวตลิ่งของอ่างเก็บน้ำ ไอ้แกนนั่งลงที่บันไดขั้นสุดท้าย มันยื่นถุงขนมปังมาให้ผมเงียบๆ
จ่อม
ผมขว้างขนมปังลงไปในน้ำ ไม่นานนักปลาสีดำเล็กใหญ่ก็พากันมารุมกินขนมปัง เสียงน้ำกระเซ็นแว่วมาให้ได้ยิน ผมโยนขนมปังไปไกลๆ เหลือบเห็นไอ้แกนไม่ได้ให้อาหารปลามันแค่มองลงไปในน้ำ
“เป็นอะไร” ผมถามมัน เดี๋ยวจะหาว่าผมใจจืดใจดำ มันหันหน้ามามอง
“แค่คิดอะไรนิดหน่อย” มันบอกก่อนจะโยนขนมปังทั้งแถบลงไปในน้ำ ผมมองมันอย่างไม่เข้าใจเลยสักนิด ปลาเข้ามารุมกินขนมปังเสียงดัง เป็นภาพที่น่ากลัว “มึงโอเคแล้วสินะ” ไอ้แกนถาม ผมเงียบกำลังหาคำพูดดีๆ
“อืม ก็ปกติดี” ผมบอก ให้ตายสิวะอึดอัดจริงๆ ผมต้องคิดหาหัวข้อสนทนาต่อไปให้ได้ “กูเองก็คิดมาหลายครั้งแล้วเหมือนกันนะ เฮ้อ... กูเหนื่อยที่จะต้องมาสนใจเรื่องของมึง กูจะปล่อยๆ ให้มันผ่านไป”
“กูไม่ดีเองนั่นแหละ” ไอ้แกนรีบขัด
“ช่างเหอะ มันผ่านมานานแล้วจริงๆ” ผมบอก
“ตกลงมึง...”
“กูจะไม่ถือโทษโกรธอะไรมึงแล้วว่ะ” ผมบอกก่อนจะหันหน้าไปมองอีกฝ่าย ไอ้แกนนิ่งไป มันดูตกใจก่อนจะมีประกายแห่งความยินดีขึ้นมาให้เห็นบ้าง ผมเบนสายตากลับไปที่ผิวน้ำ ขนมปังจมหายไปหมดแล้วปลาพวกนั้นก็หายไปแล้วด้วย
“เรื่องที่มึงจบช้ากูขอโทษก็แล้วกัน” ผมพูดไปเรื่อยๆ เรื่องนี้มาคิดดูอีกทีผมก็มีส่วนที่ผิดอยู่บ้าง ส่วนเรื่องที่ไอ้แกนเคยพูดเรื่องรีเกรดผมเองก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน แต่เทอมหน้าผมต้องไปฝึกงานแล้วจะรีเกรดคงต้องลงช่วงซัมเมอร์
“ดีน” ไอ้แกนเรียกชื่อผมทำเอารู้สึกประหลาดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พอหันไปมองข้างๆ ไอ้แกนมันจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว
“มีอะไร”
“...” มันเงียบผมเลยไม่ได้ถามอะไรอีก ความเงียบที่เกิดขึ้นมันทำให้เกิดช่องว่างของความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจล่ะมั้ง หรือกระดากอายงั้นเหรอ ผมเองก็บอกไม่ถูก
“ขอบคุณนะเว้ย” ไอ้แกนพูด ผมเผลอกำมือแน่น มันขอบคุณผมงั้นเหรอ ทำไมกันล่ะ ผมหันไปหามันมันยิ้มเหมือนขบขันที่ผมดูไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
“ทำไม ขอบคุณเรื่องอะไรกัน”
“ที่มึงยกโทษให้กูไง กูรู้สึกมีค่าขึ้นมาบ้าง” ผมนิ่งอึ้งไปไม่คิดว่าคนอย่างมันจะคิดแบบนี้
“…มึงก็พูดเกินไป” ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะหยิบขนมปังออกมาโยนลงน้ำอีก.... ผมอึดอัด
“อีกอย่างนะ กูเข้าไปคุยกับอาจารย์มาแล้ว กูติดไอรอแก้ช่วงซัมเมอร์คิดว่าคงยื่นจบทัน” ไอ้แกนหันมาอธิบาย หมายความว่าผมกับมันจบพร้อมกันได้สินะ ถือเป็นข่าวดี
“จริงเหรอ ดีใจด้วย” ผมบอกไอ้แกนเม้มปาก
“มีอาจารย์หลายคนไม่อยากให้กูจบช้าไปโดยใช่เหตุหรอก” เพื่อนมันจะได้เลิกสาปแช่งผมซะที

หลังจากที่คุยกันวันนั้นผมกับไอ้แกนก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย แค่ต่างคนต่างอยู่เจอหน้าก็แค่ทักทายสร้างความประหลาดใจให้กับเพื่อนๆ ผม ไหนจะรุ่นน้องที่สนิทกันอีก ผมไม่ได้มีเวลาไปสนใจมากนัก
วันเวลาผ่านไปรวดเร็ว สำหรับปีสี่เข้าสู่ช่วงฝึกสหกิจแล้ว
ผมได้ทำงานกับอาจารย์ท็อปที่ตึกคณะ ส่วนใหญ่งานที่ได้รับมอบหมายคือผู้ช่วย หรือ TA และสิ่งที่ต้องปรับตัวให้ชินคือโปรแกรม Excel ที่ผมไม่คิดว่าจะต้องได้ใช้เท่าไหร่ ทุกๆ เดือนต้องเข้าร่วมประชุมเรื่องการจัดนิทรรศการแสดงภาพศิลป์ร่วมกับสำนักงานอื่นๆ ข้อเสียของการฝึกสหกิจกับคณะก็คือเจอไอ้แกนเนี่ยแหละ ผมไม่เข้าใจว่ามันจะมาวุ่นวายกับผมทำไม ได้ยินมาว่ามันฝึกสหกิจที่หอศิลป์ในเมืองไม่ใช่ของหน่วยงานรัฐด้วย ไม่คิดว่ามันจะว่างขนาดที่มาหาผมได้
“มาได้ยังไง” ผมถามหลังจากที่เพิ่งส่งแปลนไปให้อาจารย์ท็อปตรวจได้เวลาพักเที่ยงพอดี ผมเดินออกมาจากห้องทำงานก็เจอไอ้แกนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟารับรองแขกที่หน้าห้องติดกับทางเดิน
“วันนี้มาประสานงานกับหอศิลป์ของมหาลัยน่ะ มึงก็น่าจะรู้นี่ว่าเดี๋ยวที่ปาร์คกลางเมืองจะมีจัดนิทรรศการศิลปะกลางแจ้ง ตอนนี้พักเที่ยงเลยแวะมาดู” ไอ้แกนพูดแบบหน้าตาเฉย
“อืม แล้วมีอะไร”
“ไปกินข้าวกัน” มันชวนผมกินข้าวเที่ยงเนี่ยนะ
“เดี๋ยวกูกินที่คณะเนี่ยแหละ ไม่อยากออกไปข้างนอก”
“ก็ไม่ได้ออกไปข้างนอก กูแวะมากินข้าวที่คณะเหมือนกัน แต่บังเอิญเจอมึงไง” ไอ้แกนลุกขึ้นยืน มันพับหนังสือพิมพ์เก็บเข้าที่ก่อนจะเดินมาหาผม
ให้ตายเหอะ ไม่คิดว่ามันจะมาอีหรอบนี้
“ตามใจ” ผมไม่อยากรู้หรอกว่ามันจะมาแดกข้าวที่คณะทำไมกัน ไม่สมเหตุสมผลเลย แต่ผมไม่ควรหาคำตอบหรอก

ที่โรงอาหารของคณะคนไม่เยอะอยู่แล้วเพราะมีร้านอาหารไม่กี่ร้าน ส่วนใหญ่คนไปกินข้างนอกไม่ก็ที่โรงอาหารรวม ผมเลยซื้อข้าวกะเพราไข่ดาวเมนูสิ้นคิดจำเจแต่ก็อร่อยที่สุดนั่นแหละ ผมเลือกนั่งโต๊ะด้านในสุดไอ้แกนเดินตามมาทีหลัง มันวางน้ำเปล่าให้ผม
“ไม่เคยได้กินข้าวด้วยกันเลยนะว่าไหม” มันพูดขณะที่เริ่มกินข้าวมันไก่ของตัวเอง
นั่นสินะ... ไม่ถูกกันจะมีโอกาสมานั่งซดก๋วยเตี๋ยวกินข้าวด้วยกันได้ยังไง
“อือ แล้วยังไง” ผมถาม
“ก็ไม่ทำไม” ไอ้แกนบอกท่าทางกวนตีน ผมถอนหายใจก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่สนใจมันอีก
“ตกลงจะรีเกรดไหมวะ”
“อืม”
“งั้นเหรอ ดีๆ กูก็ลงซัมเมอร์” มันพูดคนเดียว
“มึงต้องการอะไรวะ” ผมถามมัน
“เปล่า แต่กูก็นึกเป็นห่วงมึง” มือที่กำลังจับช้อนชะงัก ผมเงยหน้ามองอีกฝ่าย.....  มึงเนี่ยนะ?
“ไอ้แกน มึงจะทำอะไรก็ได้แต่อย่ามาก้าวก่ายกูก็แล้วกัน” ผมเตือน มันแค่ไหวไหล่
“ก็ไม่ได้จะทำอะไรซะหน่อย คิดมากอีกแล้ว”
เป็นมื้อกลางวันที่แปลกประหลาด หลังจากที่กินอิ่มไอ้แกนก็เดินหายไปที่ห้องเพ้นท์ ผมไม่ได้สนใจเลยกลับไปที่ห้องทำงาน จากนั้นเป็นต้นมาไอ้แกนก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆไป มันไม่ได้มาวุ่นวายกับผมอีก คงเพราะไม่ได้มีเรื่องให้มาที่มหาลัยบ่อยๆ

จบปีการศึกษา ผมเสร็จสิ้นการฝึกสหกิจ ภารกิจสุดท้ายคือมางานแสดงศิลปนิพนธ์ที่คณะและหอศิลป์ของมหาลัย ซึ่งจะถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายของการเจอหน้ากันของปีสี่ หลังจากนี้ทุกคนต้องไปหางานทำรอรับปริญญา ส่วนผมยังมีเวรกรรมอีกสามเดือน ผมลงซัมเมอร์เพื่อรีเกรดวิชาภาพพิมพ์ที่เกรดต่ำกว่า C เพราะมีแค่สามเดือนเลยต้องเรียนสัปดาห์ละสามวัน หกชั่วโมงต่อวัน มีอาจารย์สองท่านหมุนเวียนมาสอนผม มีเพื่อนร่วมเรียนเป็นรุ่นน้องสี่คน
ผมไม่ค่อยได้เจอหน้าไอ้แกนเท่าไหร่เพราะเวลาเรียนไม่ตรงกัน อีกอย่างมันเองก็มีงานจะมาทำตัวว่างไม่ได้ ในบางครั้งผมหวนนึกถึงพี่กัสบ้าง เจ้าตัวไม่ได้เล่นโซเชี่ยลผมมีแค่อีเมลเท่านั้นเลยส่งเมลไปถามไถ่ความเป็นอยู่ นานๆ จะตอบกลับมาที ราวกับว่าผมกับพี่กัสห่างไกลกันเหลือเกิน ผมมีโอกาสแวะไปหาพี่ตองบ้างแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แค่หาเพื่อนคุยเวลาว่าง ผมถือโอกาสหางานที่น่าสนใจดู ถ้าจบแล้วจะได้ไม่เคว้งคว้าง

ผ่านไปสามเดือน ช่วงซัมเมอร์จบลงในที่สุด ทำเอาผมแทบอยากโห่ร้องดีใจ ผมยื่นขอทรานสคริปเพื่อเอาไว้สมัครงาน ช่วงนี้ผมเลยมีโอกาสได้พักผ่อนมากขึ้น ผมเจอไอ้แกนอีกครั้งที่หอศิลป์ของมหาลัย ผมนึกแปลกใจว่าอะไรดลใจให้มันมาที่มอเพราะได้ยินว่าหลังจบซัมเมอร์ปุ๊บมันก็หายเข้ากลีบเมฆเพื่อหางานทำไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมอีก ซึ่งถือเป็นเรื่องดีนั่นแหละ
พอมาเจอมันที่นี่ผมคิดว่ามันจะบังเอิญไปไหมแต่ก็ไม่ได้คิดว่าการที่มาเจอไอ้แกนเพราะมันตามผมหรืออะไรซะหน่อย ผมมันยาวขึ้นกว่าเดิม ผมหยักศกถูกรวบไว้ด้านหลัง มันสวมกางเกงยีนสีซีดกับเสื้อแขนยาวสีน้ำตาล มันโบกมือให้ผมก่อนจะเดินมาหาด้วยสีหน้าที่ดูสดชื่น ผมเหลือบไปมองรอบๆ กายไม่มีใครสนใจ
“บังเอิญจังนะ” มันพึมพำ
“อืม มาดูงานของใครเหรอ” ผมถาม
“หึหึ แค่แวะมาดูไม่ได้เจาะจงหรอก” มันตอบก่อนจะเหลือบมองผมอย่างจงใจ “ว่างคุยไหม”
“อือ” ผมตอบสั้นๆ ไอ้แกนเลยชวนผมไปนั่งคุยที่เก้าอี้รูปทรงประหลาดๆ เหมือนเป็นรังนก มีโต๊ะกลมที่มีลักษณะเหมือนตอไม้ใหญ่มีลายเส้นเล็กขดเป็นวงกลม
“ช่วงนี้ทำอะไรอยู่เหรอวะ” ไอ้แกนถามผมไหวไหล่
“ก็กำลังหางานทำอยู่” ผมบอก
“คงได้งานแล้วสิ”
“เปล่าหรอกรอเรียกตัวไปน่ะ ไม่รู้จะได้หรือเปล่า” ผมยังรอการตอบกลับจากแผนกช่างศิลป์ของบริษัท InDecor เกี่ยวกับออกแบบภายใน Interior Decoration มีรุ่นพี่เคยไปฝึกงานด้วยหลายรุ่นผลตอบรับค่อนข้างดีทำให้มีโอกาสถูกเรียกตัวไปทำงานได้มาก แต่ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ยังทำงานต่อ
“งั้นเหรอวะ” มันพึมพำ ผมนั่งมองนิ้วมือตัวเองอย่างสนอกสนใจ มีอะไรอีกหรือเปล่าวะ ผมพยายามหาหัวข้อสนทนา
“มึงล่ะเป็นยังไงบ้าง หายหน้าหายตา” ผมถาม ไอ้แกนมองผมนิ่งๆ อะไรบางอย่างในแววตาคู่นั้นของมันที่จ้องมองมาที่ผมนั้นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
“ก็ไม่ได้ไปไหนนี่หว่า”
“เหรอ”
“อือ กูได้งานในเมืองน่ะ พอดีมีคนรู้จักแนะนำให้เขาก็เลยรับ มึงล่ะอยู่แถวไหน”
“บริษัท InDecor ในเมือง ถ้าไม่ได้ที่นี่ก็คงหาต่อไม่อยากไปต่างจังหวัดเท่าไหร่” ผมบอก
“อืม งั้นก็ต้องหาที่พักแล้วสิ มีที่พักหรือยังล่ะ” ไอ้แกนถามอย่างกระตือรือร้น ผมมองมันงงๆ อะไรของมัน
“ยัง” ผมตอบและไม่คิดว่าคำตอบของผมจะนำมาซึ่งความวุ่นวายอีกด้วย

หลังจากนั้นไม่กี่วัน บริษัทก็เรียกตัวผมให้ไปทดลองงานสามเดือน ถ้าผ่านก็ทำสัญญาจ้างต่อ รายได้ไม่ถือว่าน่าเกลียด อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้ทำงานวันเสาร์ ระยะนี้ผมจึงวุ่นอยู่กับการเก็บของในห้องพักเพราะกะว่าจะย้ายออก
วันนี้ไอ้แกนมาหาผมถึงหอพัก
“มีอะไร”
“มึงได้หอพักหรือยัง” มันเบียดตัวเองเข้ามาในห้องของผมจน ได้สายตากวาดมองของที่วางอยู่ตามพื้นมันย่นหน้า
“ยังเดี๋ยวกูจะ—”
“ไปเช่าอพาร์ทเม้นท์ของเพื่อนกูก็ได้นะ ถูกด้วยแถมยังอยู่ใกล้ที่ทำงานมึงด้วย ในซอยใกล้ถนนสายหลักทางไปที่ทำงานมึงอะ สนใจไหม” ไอ้แกนพูดให้ผมฟัง มันมาเสนอของให้เพื่อนมันสินะ ผมกำลังหาหอพักอยู่แต่ยังไม่เจอที่ถูกใจเพราะนอกจากเรื่องราคาที่เหมาะสมกับกำลังทรัพย์ไหนจะระยะทางของหอพักกับที่ทำงานอีก
“อือ เดี๋ยวกูดูอีกที” ผมตอบ
“เฮ้ย มึงไม่ไว้ใจกูเหรอ มึงลองดูก่อน” ไอ้แกนทำหน้ายักษ์ก่อนจะยื่นมือถือมาให้ ผมมองดูเป็นรูปสภาพอพาร์ทเม้นท์ ผมเห็นว่ามันสวยดี ห้องกว้างแถมยังใกล้ที่ทำงาน แต่ทำไมมันต้องมาทำเหมือนสนิทชิดเชื้อด้วย ผมยังลำบากใจนิดหน่อย
“อืม ก็น่าสนใจดี” ผมบอกไปแบบนั้น
“ตามใจ เรื่องของมึงนี่หว่า กูแค่แนะนำให้เท่านั้น” ไอ้แกนพูด ผมมองหน้านิ่งเฉยของมัน ท่าทางเหมือนไม่สบอารมณ์แต่ข่มเอาไว้ ผมไหวไหล่แต่ก็เก็บเอาไว้พิจารณา
“ทำไมมึงต้องมาวุ่นวายด้วย” ผมถามไปตรงๆ ตั้งแต่ผมเก็บห้องมันก็ชอบมาเสนอหน้าใกล้ๆ ถึงจะญาติดีกันแล้วแต่ไอ้การที่มันจะกลายมาเป็นเพื่อนแบบนี้ออกจะประดักประเดิด
“ก็แค่เห็นว่ามึงยังไม่มีหอพักเท่านั้นเอง” มันตอบเรียบๆ ผมพยักหน้าไม่ได้สนใจอะไรมันอีก ไอ้แกนเลยกลับออกไป ไม่รู้ว่ามันโกรธอะไรผมหรือเปล่าผมเลยไปปรึกษาไอ้ติ ซึ่งมันแนะนำให้ผมเช่าอพาร์ทเม้นท์นี้ทันทีเพราะราคาถูกดี อาจจะถูกเกินไปด้วยซ้ำ
ผมเลยโทรหาไอ้แกน
[มีอะไร] มันถามกลับมาแบบนี้
“ทำไมราคามันถูกจังวะ”
[ก็เพื่อนกูเป็นเจ้าของ ตอนนี้มันไปเรียนต่อเลยปล่อยเช่า] มันบอก ผมประมวลเหตุและผลอยู่นาน
[ทำไมวะ กลัวอะไร]
“เปล่า ถ้าอย่างนั้นขอเบอร์ติดต่อเพื่อนมึงหน่อย กูจะคุยรายละเอียด”
[ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวกูคุยให้ รอเซ็นสัญญาก็พอ] ไอ้แกนพูดห้วนๆ ไม่ทันไรมันก็ชิงตัดสายไปก่อน ผมจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด อะไรวะนั่น พฤติกรรมของมันทำให้ผมสงสัย แต่ก็นั่นแหละคงจะเป็นของเพื่อนมันจริงๆ

ผ่านไปสองวันไอ้แกนก็มาหาผมพร้อมกับสัญญาเช่า ผมอ่านรายละเอียดแล้วไม่มีอะไรผิดปกติผมเลยฝากค่ามัดจำให้ไอ้แกนไป
“มันไม่มีบัญชีเหรอ กูโอนไปก็จบ”
“มันเป็นเพื่อนกูนี่ ไม่ต่างกันหรอกน่า” ไอ้แกนพูดเหมือนรำคาญ ผมจ้องหน้ามันอย่างอดทน “ย้ายไปวันไหนบอกด้วยแล้วกันกูมีรถไม่ต้องไปจ้างรถมาขนหรอก” ไอ้แกนมันเป็นญาติกับเผด็จการเหรอวะ มันไม่ฟังผมเท่าไหร่ ท่าทางมันคงลืมนึกไปสินะว่าผมไม่ใช่เพื่อนมันซะหน่อย แต่พูดไปก็เท่านั้นมันไม่ฟังหรอก

ทุกๆ อย่างดูลงตัวไปหมดจนผมอดคิดไม่ได้ว่ากำลังโดนหลอกอะไรหรือเปล่า
นับเป็นวันที่สองที่ผมย้ายมาอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ใหม่ ในขณะที่ผมกำลังไขกุญแจห้องอยู่นั้นก็รู้สึกว่าทางด้านหลังมีเงาดำอยู่เหมือนมีใครเดินมาอยู่ด้านหลัง ผมเหลียวไปมองก่อนจะสะดุ้งเพราะระยะห่างระหว่างผมกับอีกฝ่ายไม่ไกลกันนัก
“ไงวะ ตกใจอย่างกับเห็นผี” มันหัวเราะเยาะ จะใครได้ล่ะ ไอ้แกนไง
ผมมองมันด้วยความแปลกใจ ไอ้แกนในชุดทำงานแบบทางการ นั่นก็คือเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสีดำ มันตัดผมใหม่ด้วย ผมสั้นดูสุภาพ ในตอนนั้นผมย้อนไปถึงวันที่เจอกับมันที่หอศิลป์ ผมบอกเรื่องบริษัทไปหวังเหลือเกินว่าจะไม่ใช่บริษัทเดียวกัน
“มึงมาได้ยังไง” ผมไม่อยากมองหน้ามันนัก ระหว่างผมกับมันยังคงมีช่องว่างอยู่ถึงแม้ว่ามันจะพยายามเข้ามาตีสนิทก็เถอะ ไอ้แกนเดินไปยังห้องพักข้างๆ ที่ติดกันทางซ้ายมือ ผมอึ้งหนักไปกว่าเดิม
“กูมาทำงานเหมือนมึงไง แต่ไม่ต้องตกใจไปไม่ใช่ที่เดียวกับมึงหรอก บอกแล้วนี่ว่าได้งานจากคนรู้จักน่ะ” มันพูดเหมือนจะขบขัน ผมย่นหน้ารู้สึกเหมือนโดนหักหลัง
“ทำไมมึงไม่บอกว่าพักอยู่ที่นี่ล่ะ”
“ถ้าบอกมึงก็ไม่อยู่น่ะสิ ใช่ไหม” ไอ้แกนมองหน้าผม
ใช่ ผมไม่อยู่หรอกมันอึดอัดเกินไป
ไอ้แกนแค่หมุนลูกบิดเปิดประตูออก มันกำลังจะเข้าไปข้างในห้อง ผมอับจนถ้อยคำอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ต้องห่วงกูไม่ได้จะมาฆ่ามึงซะหน่อย ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะ อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนข้างห้อง” ไอ้แกนส่งยิ้มเห็นฟันมาให้ท่าทางเหมือนปีศาจซะมากกว่า มันปิดประตูทิ้งท้าย ผมได้แต่ยืนนิ่ง
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ’
ผมเปิดประตูเข้าไปข้างในห้อง มิน่าล่ะ... ถูกมันมาเซ้าซี้เรื่องเช่าอพาร์ทเม้นท์ห้องนี้เพราะแบบนี้น่ะเหรอไอ้แกน... สุดท้ายมันก็ยังคงเป็นที่ไม่น่าไว้ใจอยู่ดี รู้แบบนี้ไม่น่าหลงกลไอ้แกนมันเลย ทำแบบนี้มันต้องการอะไรกันแน่ะวะ? ผมหาคำตอบดีไหม แต่ลึกๆ แล้วผมไม่อยากได้คำตอบ กลัวว่าคำตอบนั้นจะร้ายแรงเกินไป

ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาก่อนที่จะรู้ตัวว่าผมกำลังคิดวนเวียนเรื่องของไอ้แกนมาตลอด ตั้งแต่คำพูดของมันคราวนั้น ทำไมกันนะ? ท่าทีของไอ้แกนที่มีต่อผมมันคืออะไร ผมเข้าใจว่าที่มันมาวุ่นวายกับผมมากขนาดนี้เพราะอยากจะเป็นเพื่อนกับผม เป็นมิตรกันมากขึ้น แต่นานๆ ไปมันกลับไม่ใช่ ผมไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
กาลเวลาผ่านไปเร็วจนผมลืมไปเลยว่าพี่กัสไปฟิลิปปินส์เกือบจะครบเจ็ดเดือนแล้ว ไม่มีข่าวคราวมาให้ผมได้รู้... โดยตรงน่ะนะ ผมต้องไปถามเอากับพี่ตอง ก็แน่นอนล่ะสบายดีและไอ้แกนมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้วจริงๆ ผมมีพื้นที่ส่วนตัวของผมแต่ไอ้แกนมันพยายามจะเข้ามาก้าวก่าย นั่นมันออกจะเกินไปหน่อย
ผมกับมันมีสัมพันธมิตรที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ในทำนองเดินกอดคอกันแน่ๆ แค่พูดคุยกันซะส่วนใหญ่ ไอ้แกนมันย้ายมาอยู่หอพักเดียวกับผม ผมยังจำคำพูดของมันได้ ‘จับตาดูไม่ให้คาดสายตา’ ของไอ้แกน ผมไม่สนใจมันถ้ามันว่างขนาดที่ว่าจะคอยมาสอดส่องผมแบบนั้น
หลังเลิกงานผมแวะเข้าห้างกะว่าไปเดินตากแอร์แวะซื้อของลดราคาติดไม้ติดมือมาบ้าง ผมเดินไปที่โซนเสื้อผ้าที่ติดป้ายลดราคาอยู่ เดินดูเสื้อเชิ้ตผู้ชายแขนสั้นและแขนยาว ผมเลือกเสื้อเชิ้ตสีพื้นออกจะสีธรรมชาติกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทาออกน้ำเงินที่น่าจะเป็นผ้าชิโน่ กับเชิ้ตทรงวินเทจสีฟ้ายีนมีกระเป๋าเสื้อ มีช่องสำหรับใส่ปากกา เหมาะใส่ไปทำงาน ระหว่างนั้นใบหน้าของไอ้แกนก็วาบขึ้นมาในหัว อยู่ๆ ก็คิดว่าเชิ้ตสีนี้เหมาะกับมัน
ผมปล่อยมือจากเชิ้ตพวกนี้ กำลังจะเดินกลับแต่ก็หยุดเดินนึกถึงคำแนะนำของไอ้แกนที่มันบอกให้ผมไปรีเกรด ผมเลยตัดสินใจซื้อเสื้อเชิ้ตให้มันสักสองตัว ผมไม่เคยขอบคุณมันสักครั้งกับเรื่องที่มันทำให้ผม ตอนนี้ไอ้แกนเหลือแค่รอรับปริญญา
ครืด ครืด
‘แกน’
ผมถอนหายใจก่อนจะกดรับสายมัน
“ฮัลโหล” ผมรับสายเสียงทื่อๆ
[เย็นนี้มึงออกไปไหนหรือเปล่า] มันถามทันที ผมนิ่งเงียบไปครู่นึงก่อนจะตอบไปตามจริง ผมไม่มีแผนออกไปไหนอยู่แล้ว ซึ่งมันรู้นั่นแหละ
“เปล่า มีอะไร”
[จะชวนออกไปข้างนอก] ไอ้แกนพูดเหมือนว่าผมกับมันเป็นสนิทกันมานาน น้ำเสียงสบายไม่มีความกดดันหรืออึดอัดเหมือนเมื่อก่อน ผมเงียบใช้เวลาคิดอยู่หลายนาที
[เฮ้ยว่าไง] ไอ้แกนทักเมื่อผมเงียบไปนาน
“จะไปไหนล่ะ” ผมถามเพื่อถ่วงเวลา พยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองเหมือนทุกครั้ง
[เปิดหูเปิดตาไง] มันยังไม่ยอมบอก ผมถอนหายใจ คราวก่อนมันชวนผมไปเที่ยวงานวัดแถวบ้านมัน มันบ้าแน่ๆ
“ไปก็ไป” ได้ยินเสียงมันหายใจแรงๆ
[เออ งั้นไว้เจอกันนะ] มันบอกผมเลยวางสาย กำลังใคร่ครวญว่าไอ้แกนมันคิดจะทำอะไรกันแน่ มันมีเป้าหมายอะไรหรือเปล่า ผมหยิบเสื้อเชิ้ตสองตัวที่เล็งไว้ไปจ่ายเงิน เสียไปเกือบสามพัน

ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ไม่ควรไปนึกเสียดาย กว่าผมจะกลับเข้าอพาร์ทเม้นท์ก็เป็นเวลาหกโมงครึ่ง ผมเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดเพื่อจะได้สดชื่น
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังเบาๆ ขณะที่ผมกำลังใส่เสื้อผ้า มีอยู่คนเดียวที่จะมาหาผม
“แป๊ปนึง” ผมร้องบอกคนด้านนอก จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา
ไอ้แกนสวมเชิ้ตสีน้ำเงินแขนสั้นลายจุดกับกางเกงผ้าชิโน่สีน้ำตาลอ่อนเข้ากัน มันดูดีในแบบของมัน แน่ล่ะว่ามันค่อนข้างโดดเด่นเพราะเลือดฝรั่งที่ได้มาจากปู่ของมัน ตอนนี้มันกลับมาไว้ผมยาวตามเดิม ผมหยักศกเป็นลอนเล็กๆ ไม่หนากระจายล้อมใบหน้าคมคายของมัน ผมเลิกสนใจหน้าตาของอีกฝ่ายกำลังสงสัยว่ามันแต่งตัวเพื่อออกไปข้างนอกหรือเพิ่งกลับจากที่อื่นมา
“กูเพิ่งกลับมาถึงก่อนหน้ามึงไม่นานเอง” มันบอกราวกับว่าอ่านสายตาของผมได้ ผมยักไหล่อย่างไม่ถือสาอะไรก่อนจะเดินไปหวีผมหน้ากระจกที่ตู้เสื้อผ้า กว่าจะรู้ตัวว่าผมกำลังพิถีพิถันในการแต่งตัวเพราะมันชวนผมไปข้างนอก ผมชะงักก่อนจะเหลือบมองอีกฝ่าย จากหางตาเห็นว่าไอ้แกนกำลังจ้องมองผมอยู่เช่นกัน
ผมขนลุกซู่ มันมองทำไม ผมเลิกสนใจผมเผ้าของตนเอง
“บอกได้หรือยังว่าจะไปไหน” ผมถามมันแล้วหยิบกระเป๋าเป้ออกมาสะพาย ไอ้แกนไหวไหล่ดันกระพุ้งแก้มเหมือนมันกำลังคิดหาคำตอบ อย่าบอกนะแค่หาเรื่องชวนผมไปเตร็ดเตร่
“ไปตลาด” มันบอก
“แล้วจะไปหรือยัง” ผมไม่อยากอยู่กับมันในห้องแบบนี้เพราะอึดอัดเล็กน้อย ไอ้แกนพยักหน้าก่อนจะลุกเดินมาหา ไอ้แกนมองหน้าผมก่อนจะเดินออกจากห้อง ผมมองมันงงๆ ไม่เข้าใจพฤติกรรมของมัน สายตาของผมไปสะดุดกับถุงพลาสติกที่มีตรายี่ห้อเสื้อเด่นหรา ผมคิดว่าไอ้แกนคงเห็นเพราะมันวางอยู่บนหมอน ปกติผมไม่ชอบใส่เชิ้ตแต่มัน ชอบและก็เป็นยี่ห้อเดียวกันซะด้วย หวังว่ามันคงไม่รู้ดีขนาดที่ว่าผมซื้อมาให้มัน

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Gan 2 # 10.05.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-05-2017 22:18:14
แกน รู้จักดีน เข้าใจดีน มากกว่าดีน รู้จักตัวเองซะอีก
ถ้าแกนทำให้ดีนดีขึ้น เปลี่ยนแปลงตัวเองได้
เท่ากันแกนได้ชดเชยดีน ที่ในอดีต แกนเคยทำร้ายดีนมาก่อน
ท่าทางดีนอ่อนลง น่าจะดีกับตัวดีนเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Gan 2 # 10.05.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 10-05-2017 22:25:52
ขอบคุณนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Gan 2 # 10.05.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-05-2017 23:52:41
 :mew2: :mew2: :กอด1: :กอด1: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Gan 2 # 10.05.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 13-05-2017 19:21:38
แต่เฮียแกนก็ต้องเข้าใจนะ พี่ดีนเป็นแบบนี้ก็เพราะเฮีย  :serius2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Gan 2 # 10.05.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 13-05-2017 22:47:54
โอ๋โอ๋โอ๋ ดีนเข้มแข็งนะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Gan 2 # 10.05.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 14-05-2017 09:57:51
พอคู่นี้ทีไรเราอ่านไปลุ้นไปทุกที คืออยากให้เขาปรับความเข้าใจกันให้มันดีขึ้นๆกว่านี้อะ ก็เห็นใจดีนนะแต่ถ้าดีนยังยึดติดแบบนี้ดีนก็จะยังเป็นอยู่แบบนี้แหละ เหมือนที่เขาว่าอ่อนแอก็แพ้ไปอะ ดีนควรเข้มแข็งได้แล้ว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 6
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 16-08-2017 02:24:55
-ผิง-
ตอนที่ 6 พักเบรกสักพัก (ต่อ)

  ผมกับไอ้ยิมนั่งดื่มเบียร์คนละสองกระป๋องจนหมด ยิ่งดึกก็ยิ่งคึกคัก เวลาประมาณสี่ทุ่มเศษๆ ไอ้ยิมชวนผมไปร้านที่เล็งไว้ มันบอกเคยมาเมื่อคราวก่อน ร้านตรงจิตมันก็เกิดอาการติดใจ ไอ้ยิมพาผมไปนั่งดื่มที่หน้าบาร์ ผมให้ไอ้ยิมจัดการเรื่องเครื่องดื่ม บาร์เทนเดอร์มีสามคน ผมขอความแรงพอประมาณไม่อยากเมาในต่างแดนเท่าไหร่ ถึงจะมีไอ้ยิมเป็นไกด์ก็เถอะ
“อันนี้เบาๆ” มันยื่นแก้วค็อกเทลหน้าตาดูไม่น่ากลัว แต่จะประมาทไม่ได้ ผมยกมาจิบๆ ก็ไม่แรงจริงๆ นั่นแหละ บาร์ที่นี่เปิดเพลงประมาณฮิปฮอป จังหวะพอโยกได้อยู่ สาวๆ พลิ้วเชียว ส่วนมากมีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า
“ระวังเมานะ เดี๋ยวกูพากลับไม่ได้” ผมบอกก่อนจะหัวเราะเพราะมันดื่มประมาณวิสกี้เพียวๆ ใส่น้ำแข็งสามก้อนอะไรแบบนี้ ไอ้ยิมหันมายิ้ม
“กูคอแข็งจะตาย น่าจะจำได้นี่” มันบอก ผมนึกถึงคราวที่ไปออกค่ายด้วยกันเมื่อปีก่อน ผมยิ้มเพราะผมเป็นฝ่ายเมาปลิ้นก่อนมันอีกต่างหาก
“เออว่ะ ลืม คอทอแดงแต่ก็ระวังร่วงไม่รู้ตัว” ผมบอกก่อนจะมองไปรอบกายไปเรื่อยหาที่วางสายตา ไอ้ยิมขยับแว่น มันเม้มปาก แกว่งน้ำแข็งที่ละลายทีละน้อยเบาๆ ในแก้ว
“ถ้าเกิดกูลุ่มลามกับมึงจะโดนต่อยไหมวะ” มันพูด ผมขำ ให้มันกล้าก่อนเถอะ
“อือ อาจโดนต่อยนะเว้ย” ผมบอก ไอ้ยิมมองหน้าผม
“เฮ้อ กลัวโดนต่อย” มันพูดงึมงำก่อนจะยกแก้วเหล้ามาดื่ม ผมมองมันอย่างประหลาดใจ
หลังจากที่นั่งดื่มพอเป็นกระษัย กะจะมานั่งชิลๆ ก็ปาไปเที่ยงคืน ออกไปเต้นยึกยักเพลงเดียว ไอ้ยิมไม่ได้ออกสเตปตามเคย มันคอแข็งอย่างที่พูด เมื่อเคลียร์บิลเสร็จผมกับไอ้ยิมก็ออกมาสูบบุหรี่ด้านนอกก่อนจะเรียกแท็กซี่ไปนั่งรถไฟฟ้ากลับฝั่งเกาลูน ไปลงที่สถานีเกาลูนใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีเศษๆ ก่อนจะนั่งแท็กซี่กลับโรงแรมเพราะขี้เกียจต่อรถหลายรอบ
สุดท้ายผมกับไอ้ยิมก็มาถึงโรงแรมจนได้ ผมอาบน้ำสระผมก่อนจะออกมาจากห้องน้ำเจอไอ้ยิมที่ถอดแว่นรออาบน้ำ
“เมาเปล่าวะ” ผมเดินไปแตะไหล่มันเพราะมันดูเงียบๆ อีกฝ่ายส่ายหน้า
“หึ ไม่เมา แค่...” มันเหลือบมองหน้าผมเหมือนกำลังลังเล ผมเลิกคิ้วมองเหมือนมันมีอะไรในใจ “มากอดหน่อย” มันบอก ผมแอบยิ้มในใจ มารยาทดีงามจริงๆ ผมไหวไหล่แบบไม่คิดอะไร
“เอาสิ” ผมบอก ไอ้ยิมถึงได้เข้ามากอดผมเหมือนเด็กๆ เห็นมันเป็นแบบนี้แล้วอดใจสั่นไม่ได้ มาเที่ยวครั้งนี้เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างของผมกับมัน แทนที่จะดีขึ้น... กลับตรงกันข้าม
“เฮ้อ เนื้อตัวแข็งไปหมดไม่นุ่มนิ่มเลย” ไอ้ยิมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผลักผมออกแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ แอบเห็นว่ามันยิ้มด้วย ผมรอเช็ดผมให้แห้งก่อนค่อยเข้านอน รู้สึกว่าวันนี้ใช้พลังงานไปเยอะ ปวดขานิดหน่อยด้วย จำได้ว่าไอ้ยิมมันซื้อแผ่นแปะบรรเทาปวดมาด้วย วางแผนดีจริงๆ ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังขาบ่อยๆ มันมีอาการปวดเมื่อยขึ้นมาบ้าง ผมแกะแผ่นมาแปะที่น่องกับที่บริเวณฝ่าเท้าแล้วเตรียมเอามาวางไว้ให้ไอ้ยิมบนเตียง ผมกลับไปนอนเตียงฝั่งติดกับหน้าต่าง เช็คไลน์กับเฟซบุ๊กมีเพื่อนๆ ส่งข้อความมาหา ส่วนมากจะมาป่วนผมมากกว่า ไอ้ยิมผู้อาบน้ำนานเป็นปกติ ผมเผลอหลับก่อนมันจะออกจากห้องน้ำเสียอีก

ผมตื่นมาอีกทีตอนสายๆ บิดขี้เกียจไปมาบนเตียง หันไปดูทางเตียงไอ้ยิมเห็นว่ามันนอนอ่านหนังสืออยู่ ท่าทางเหมือนอาบน้ำแล้วด้วย
“ตื่นเช้าจัง มอร์นิ่ง” ผมทักทายก่อนจะหาวนอน ผมแกะแผ่นแปะบรรเทาปวดออก รู้สึกสบายเหมือนเดิมแล้ว ไอ้ยิมเหลือบมองผมผ่านแว่น
“ไม่เช้านะเว้ย นี่สิบโมงแล้ว ป่ะ หิว” มันบอกก่อนจะบุ้ยใบ้ให้ผมไปอาบน้ำ
“มึงน่าจะออกไปหาอะไรกินก่อน ไม่ก็ปลุกกู” ผมบอกมัน ไอ้ยิมส่ายหน้า
“น่า รีบอาบน้ำเถอะ” มันพูดก่อนจะลุกไปแต่งตัว
ด้วยความที่ผมอาบน้ำไม่นานนัก จึงใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย วันนี้แต่งตัวสบายๆ แค่เสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงสามส่วนสีครีม ไอ้ยิมก็ปกติของมันเสื้อเชิ้ตกางเกงยีน วันนี้มันคงชอปกระจายแน่ๆ
ไอ้ยินวางแพลนไว้ว่าวันนี้จะพาไปเที่ยวย่านจิมซาจุ่ย ถนนสายชอปปิ้งอย่างแท้จริง นอกจากจะเจอฝูงชนอันคับคั่งแล้ว การมองคนในพื้นที่ที่เร่งรีบทำกิจวัตรประจำวันก็เป็นอีกอย่างที่ผมชอบ มันพาผมไปทานก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นถ้วยใหญ่กับห่านย่างครึ่งตัว ที่ขาดไม่ได้เลยคือของหวานของคนฮ่องกง ผมว่ามันมันๆ เลี่ยนๆ ก็พอกินได้แต่ไม่ถึงกับชอบเท่าไหร่ แล้วจบลงที่น้ำมะม่วงปั่น ก่อนจะแวะไปเดินชอปปิ้งบนถนนนาธาน ราคาระดับกลาง จากนั้นไอ้ยิมพาผมไปย่านมงก๊ก แวะไปดูตลาดดอกไม้ที่ Flower market มีดอกแปลกๆ หลายอย่างที่ผมไม่รู้จัก มีแบบให้จัดช่อเองด้วย แต่ราคาแพงกระเป๋าฉีก ดอกคาร์เนชั่นสีผสมสวยดี ชมพูเหลืองๆ ดอกดูหุบๆ เลยซื้อช่อเล็กเห็นว่าดอกสดดี กระเป๋าสั่นเชียว
“ซื้อมาทำไม” มันว่าก่อนจะส่ายหน้า
“รู้ป่ะ คาร์เนชั่นหมายถึงอะไร” ผมแกล้งทำเป็นยื่นไปให้มัน
“น้ำเน่า” มันบ่น
“กูอยากซื้อให้บ้าง ถึงมันจะเหี่ยวแต่อยากให้ไง สวยดีนะ” ผมบอกมันก่อนจะยื่นช่อดอกคาร์เนชั่นสองสามดอกไปให้มัน ไอ้ยิมแค่ยิ้ม
“เฮ้อ เหมือนเล่นขายของ” มันหัวเราะก่อนจะเก็บช่อดอกไม้ใส่กระเป๋าอย่างดีเชียว ผมยิ้ม
ตลาดดอกไม้ที่นี่เช้าๆ ร้านคงเยอะกว่านี้ จากนั้นไอ้ยิมก็พาทัวร์วัดต่อ ที่แน่ๆ ต้องไปสวนหนานเหลียน ปอดของเมืองฮ่องกงอีกแห่ง ด้านในเงียบ สดชื่นดี คนไม่เยอะมากด้วย เหมือนหลุดมาคนละด้านกับฮ่องกงที่วุ่นวายเลย ผมชอบการผสมผสานระหว่างจีนและญี่ปุ่น ระหว่างนั้นก็มีโอกาสคุยกับไอ้ยิมหลายเรื่อง ก่อนจะเข้าไปชมสำหนักชีหลิน สถาปัตยกรรมแบบราชวงศ์ถัง หลังเที่ยงวันเมื่อทานมื้อเที่ยงกันจนอิ่ม ไอ้ยิมแวะไปตลาดหยก ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแต่หยก พวกสร้อยอะไรทำนองนี้
“กูซื้อนิลให้มึง” มันบอก
“ไม่เป็นไรน่า” ผมเกรงใจ ไม่อยากให้มันมาสิ้นเปลืองกับผม แต่ไอ้ยิมมันดื้อ
“มันถูกโฉลกกับราศีมึง ถึงได้ซื้อให้ไง” ไอ้ยิมย้ำอีกรอบผมเลยไม่ขัดใจมัน เป็นนิลก้อนกลมเกลี้ยง มันบอกให้เก็บไว้ดีๆ ทำนองว่าเป็นของประจำราศีอะไรแบบนี้ ผมซื้อหยกสีแดงกลมแบนๆ มาพร้อมกับสร้อยข้อมือกับหยกสีเขียวอ่อนเห็นว่าสวยดี แล้วก็พวกพู่หยกลวดลายต่างๆ ละลานตามาก ถ้าคนชอบสะสมคงวนเวียนอยู่ในตลาดนี่อยู่นาน ผมเดินเลือกหยกสีขาวดูเหมาะกับไอ้ยิมดี เป็นสร้อยข้อมือหยกรูปเหรียญเล็กๆ ร้อยด้วยเชือกสีดำ ดูไม่เป็นงิ้วมากนัก
ช่วงบ่ายผมกับไอ้ยิมกลับมาเดินชอปใน Harbors City คงเดินอยู่ตามย่านนี้ ส่วนมากไม่ได้หิ้วแบรนด์เนมอะไรเยอะ ไอ้ยิมมันโดนฝากหิ้วพวกรองเท้าซะเยอะ ส่วนผมมีแต่กระเป๋าของแม่เท่านั้นเอง ก่อนกลับแวะไปซื้อภาพสีน้ำมันในซอยเล็กของย่านจิมซาจุ่ยที่พ่ออยากได้ ภาพเลียนแบบศิลปินดังพวกแวนโก๊ะ อะไรทำนองนั้น วาดได้เหมือนมากๆ
จากนั้นเราแวะไปกินบะหมี่เกี๊ยวกุ้งแถวนั้น เกี๊ยวกุ้งเนื้อแน่นหาไม่ได้ในเมืองไทย ไอ้ยิมชอบเมนูนี้น่าดู มีน้ำชากับปาท่องโก๋ตามเคย นอกจากโจ๊กแล้วมีเมนูเบสิกพวกนี้ที่ผมสามารถกินได้แบบอร่อยเหาะ นอกนั้นมันออกจะต้องหาอะไรมาล้างปากหลังกินของเลี่ยนๆ ทุกที
ตกเย็นก็กลับไปนอนพักที่ห้องต่อ วันนี้เดินชอปมาทั้งวันเลย ไอ้ยิมเก็บดอกไม้ของผมไว้ซะด้วย อย่างที่เห็นไอ้ยิมเป็นคนละเอียดยิบต่างจากผมที่ไม่ค่อยจะสนใจดีเทลพวกนี้เท่าไหร่ จะให้ทำเพื่อเอาใจก็ได้อยู่หรอกแต่ไม่ใช่นิสัย ตกดึกพวกเรามานั่งชิลที่ย่าน Knutsford Terrace อยู่บริเวณถนน Kimberley เพราะไม่ไกลจากโรงแรมที่พักเท่าไหร่ บรรยากาศที่ถูกแต่งเติมไปด้วยแสงไฟหลากสี เป็นทิวทัศน์ที่ดูสับสนวุ่นวายแต่แฝงไปด้วยสีสันยามค่ำคืน 
“พรุ่งนี้มึงก็กลับแล้ว” ไอ้ยิมเอ่ยขึ้นมาก่อนทำให้ผมละสายตาจากท้องถนนด้านนอกกลับมายังที่ต้นเสียง ผมยิ้มนิดนึง ไอ้ยิมกอดอกมองผม ในมือมันมีแก้วไวน์ที่ยังไม่ได้แตะ ผมมองนิ้วที่เคาะกับโคนแก้วของอีกฝ่าย มันกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ?
“อือ เร็วเนอะ เหมือนเพิ่งมาเมื่อวาน” ผมพูดก่อนจะหันมาสนใจพิซซ่าตรงหน้า ในตอนนี้ผมไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่นัก ใจจริงอยากจะซดเหล้าเข้มๆ ซะมากกว่า แต่เดี๋ยวจะคุยกันไม่รู้เรื่อง
“มีหลายเรื่องที่เราต้องคุยกันไม่ใช่เหรอ” ยิมพูด คงไม่อยากให้ค้างคาอะไรอีก เพราะถ้าผมกลับไปเรียนต่อคงไม่มีโอกาสมาปรับความเข้าใจกันอีกแน่ๆ ผมสบตาสีดำสนิทคู่นั้นของอีกฝ่าย มันไม่สั่นไหวแต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก... ความไม่มั่นคง
“เออ ก็ว่างั้นแหละ ตกลงจะฝึกงานที่นี่จริงๆ สินะ” ผมพูด บางทีป๊ามันอาจจะให้มันมาทำงานที่นี่ก็ได้ ธุรกิจครอบครัวน่ะนะ ไอ้ผมก็เข้าใจพวกผู้ใหญ่นั่นแหละ 
“อืม แค่ไม่กี่เดือนเอง... กูก็คงเหมือนๆ เดิม” ยิมมองหน้าผมก่อนจะเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมนึกถึงช่วงเวลาที่ไปเที่ยวกับมันสองคน สนุก ผ่อนคลาย อาจจะได้เห็นมุมมองนิสัยของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น ผมก็หวั่นไหวขึ้นมาบ้าง
“มึง... เฮ้อ อย่าทำหน้าซีเรียสสิ กูแค่จะบอกว่าบางอย่างไม่ต้องรีบร้อนหรอก ชีวิตมันยังอีกยาวไกลไม่ใช่เหรอ” ผมพูดเมื่อเห็นว่ามันยังคงเงียบ 
“อือฮึ... แล้ว?” มันไหวไหล่ก่อนจะจับจ้องอยู่ที่แก้วไวน์ 
“จำที่กูเคยบอกมึงได้ไหม...” 
“เรื่องอะไรล่ะ...” 
“ตอนที่ไปให้อาหารปลาเมื่อปีก่อนนู่นน่ะ...” ผมบอก ไอ้ยิมขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ไม่นานนักอีกฝ่ายก็พยักหน้าว่าจำได้
“อืม มึงกำลังจะบอกอะไรกูหรือเปล่า” มันพึมพำก่อนจะยกแก้วไวน์จรดริมฝีปาก ผมเม้มปากรู้สึกปอดขึ้นมาทันที ก่อนจะหลุบตาลงมองจานพิซซ่าแทน
“กูแค่อยากจะบอกว่า กูใช้ชีวิตอย่างเต็มที่มาตลอด กูสนุกไปกับทุกเรื่อง เรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องความรักบ้าง ถ้ากูรู้สึกว่าชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก” อยู่กับไอ้ยิมผมเองได้เจอสิ่งใหม่ๆ เข้ามา มุมมองชีวิตของไอ้ยิมที่ผมไม่เคยรู้ ตัวตนของมันที่ผมไม่เคยได้เห็น รอยยิ้มของมัน คำว่ารักอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต ไม่ใช่ว่ามันไม่มีความหมาย แต่ความรักมันให้ผลผลิตออกมา ทุกข์กับสุขเหมือนเหรียญสองด้าน ในตอนนี้เหมือนกับการครุ่นคิดอะไรนานๆ แล้วยังไม่ได้คำตอบ 
“ทำไมอยู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้” ไอ้ยิมพูด สายตาที่มองมาทางผมไม่ได้โกรธเคืองแต่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“กูไม่ได้เปลี่ยนใจซะหน่อย กูก็เหมือนเดิม ยังคงเต็มที่กับมึงได้ เที่ยวด้วยกัน ไปกินข้าวด้วยกัน” 
“มันต่างจากเพื่อนยังไงเหรอ” ไอ้ยิมถาม ผมนิ่งไป “จำตอนที่มึงไปค้างที่บ้านกูได้หรือเปล่า”
“อืม” 
“กูคิดว่ามึงเปิดใจแล้วซะอีก” 
“ไม่ใช่ว่ากูไม่เปิดใจ กูเปิดใจให้มึงนะยิม กูยังจำทุกเรื่องได้ดี ทุกเรื่องมีความหมายสำหรับกูนะ... กูรู้ว่ามึงเองก็พยายามกับที่บ้านเรื่องป๊ามึงน่ะ—”
“รู้ขนาดนี้แล้วทำไมมึงยังทำลายความรู้สึกของกูอีกล่ะผิง” ไอ้ยิมพูดนิ่งๆ ผมมองหน้ามันอย่างตกใจ ไม่คิดว่ามันจะตอกกลับแบบนี้ สถานการณ์ไม่ดีเอาซะเลย
“...เปล่าซะหน่อย” ผมตอบ ไม่อยากให้เรื่องมันลงเอยด้วยความเศร้าหรือจบกันไปแบบไม่ดี ผมอยากพูดให้ยิมมันเข้าใจ
“ที่มึงดีกับกู อย่าบอกนะว่าสงสาร” 
“ไม่ใช่นะ! มึงคิดมากอีกแล้ว” 
“อ้อ แล้วมึงมาเที่ยวกับกูเพื่อมาพูดแบบนี้น่ะเหรอ ทำไปทำไมวะ” ไอ้ยิมเหมือนหงุดหงิดมากกว่าเดิม ผมมองไปด้านนอกร้าน แสงสีสวยงามที่ด้านนอกไม่ได้ช่วยอะไรมาก
“มึงอย่าพูดแบบนี้ดีกว่า ไม่อยากทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้หรอก กูแค่อยากให้มึงเข้าใจ...” ผมถอนหายใจหมดคำพูด ผมไม่รู้ว่าจะสื่อสารออกมายังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ
“มึงอยากให้กูเป็นอะไรสำหรับมึงกันแน่ ตอนนี้กูสับสน” ยิมบอก ผมมองหน้ามันช้าๆ
“กูขอเวลาสักหน่อย กูอยากได้พื้นที่ของตัวเอง อาจจะยังไม่ใช่แฟน แต่—มึงก็ยังเป็นคนพิเศษสำหรับกูนะเว้ย” ผมพูดแทบไม่หายใจ ผมกลัวมันรู้สึกไม่ดีเอามากๆ ไอ้ยิมมองหน้าผมอยู่นาน ไม่ได้พูดอะไรออกมา จนผมชักเป็นห่วง
“...กูเข้าใจล่ะ...” ในที่สดมันก็พูดออกมาจนได้ มันถอนหายใจ
“หืม? เข้าใจว่า...” 
“มึงแค่กลัวการผูกมัด... จากกูก็เท่านั้น” ไอ้ยิมยิ้มออกมานิดๆ ผมเงียบไป 
คำพูดของยิมเหมือนกระแทกตรงกลางใจผม ใช่... มันพูดถูก ไอ้ความรู้สึกเหมือนมีมือคอยมาบีบคั้นอยู่ตลอด ผมไม่ได้รังเกียจที่มีไอ้ยิมเข้ามาในชีวิต ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากมันด้วยซ้ำ
“มึงจะโกรธหรือเกลียดกูก็ได้นะ” ผมบอก
“กูควรจะทำแบบนั้นเหรอ... มันไม่ได้อะไรหรอก กูเข้าใจนะ แต่... กูเหมือนโดนทิ้งกลางทะเลทำนองนั้น” มันบอก ผมเงียบ พูดได้เจ็บปวดดี 
“ขอ—” “อย่าได้พูดออกมาเชียว กูล่ะเกลียดคำนี้จริงๆ มึงก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่” ไอ้ยิมส่ายหน้า ผมรู้ว่ามันกำลังเสียใจ
“นี่ไม่ใช่การบอกเลิกนะเว้ย คือ กูเหมือนเดิมนั่นแหละ” 
“อือ แต่ไม่มากไปกว่านี้ใช่ไหมล่ะ” มันพูด ผมกำลังจะอ้าปากตอบ
“อิ่มหรือยัง ไปเดินเล่นกันเหอะ” ผมพยักหน้าก่อนจะลุกตามอีกฝ่ายไปติดๆ หลังจากที่เช็คบิลเรียบร้อยผมกับไอ้ยิมก็เดินเรื่อยเปื่อยระหว่างทางกลับโรงแรม ถนนที่นี่ไม่เคยหลับใหลไร้ผู้คน
“กูไม่ได้เศร้าอะไรขนาดนั้นหรอก... ดีแล้วที่มึงบอกเราจะได้รู้ลิมิต” มันว่าก่อนจะเหลือบมามองผม
“กูไม่สบายใจ กูเป็นห่วงมึงนะ” พูดจบได้ยินมันหัวเราะ 
“ดูแลตัวเองได้น่า อีกหน่อยกูต้องมาทำงานที่นี่ ยังไงซะอนาคตกูก็คงอยู่คนเดียว” มันพูดจาเหน็บแนมผมไปตลอดทาง 
“เฮ้อ ถ้ามึงอยากด่ากูกูจะไม่ตอบโต้อะไรนะ” ผมบอกคว้ามือมันไว้ จะว่าไปตั้งแต่รู้จักมันมา เว้นจากก่อนเมื่อคืนแล้วไอ้ยิมไม่เคยจับมือผมสักครั้ง หมายถึงจับมือแบบคนรักอะไรเทือกๆ นั้น ทำเหมือนว่าผมเป็นสาวแรกรุ่นที่ต้องรักษาเวอร์จิ้นเอาไว้ตอนแต่งงานอะไรแบบนั้น อีกฝ่ายอาจจะไม่กล้าหรือกลัวอะไรสักอย่าง 
ไอ้ยิมหยุดเดิน มันนิ่ง ก่อนจะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ “มีอะไร...” ผมถาม สายตามันจับจ้องมาที่มือของเราที่กุมกันอยู่ ออกจะจั๊กจี้อยู่ แต่อย่างน้อยก็ทำให้มันอุ่นใจบ้างว่าผมไม่ได้ใจด้านชา ไอ้ยิมชูมือข้างที่จับกันไว้ขึ้นมา
“แล้วมึงหวังให้กูไม่โกรธมึงเนี่ยนะ... มึงจะทำยังไงกับการใช้หนี้คืนให้กู” อยู่ๆ มันก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา เกือบลืมไปแล้วด้วยสิ ผมร้องอ๋อ ใช่น่ะสิ หนี้เงินน่ะใช้มันไปแล้ว ก็เหลือแต่หนี้ที่ผมปากดีไปท้ามันเอาไว้ตอนที่ไปเที่ยวด้วยกัน ไอ้ยิมมองหน้าผมนิ่งๆ ทำเอาผมออกอาการอึกอักอ้ำอึ้ง
“เอ่อ...” ผมก็ยังคิดไม่ออก
“ฮึ...” มันไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนจะปล่อยมือออกแล้วเปลี่ยนมากอดคอผมแทน ทำเอาผมงุนงงไปพักนึง อยู่ๆ ก็มีความกล้าขึ้นมาซะอย่างนั้น
“อืม ถ้าอย่างนั้นกูทำอะไรก็ได้งั้นสิ เพราะไหนๆ ก็เป็นได้แค่คนพิเศษอะนะ” ไอ้ยิมพูด ผมไม่เข้าใจอยู่นานก่อนจะเดินมาหยุดที่หน้าโรงแรมจนได้ 
“มึงจะทำอะไรก็ได้ แต่ถ้ามึงเจ็บตัวขึ้นมาจริงๆ อย่ามาว่ากูก็แล้วกัน” ผมจ้องหน้ามันหลายวินาทีก่อนจะเดินเข้าโรงแรมอย่างอารมณ์เสียนิดหน่อย ไอ้ยิมมันตั้งใจจะกวนประสาทผมล่ะสิ ระหว่างนั้นไอ้ยิมตามหลังมาเงียบๆ กว่าจะได้นอนปาไปตีสองกว่าๆ แล้ว 
“ในเมื่อมึงยังไม่ตัดสินใจเรื่องของกู... ถ้าอย่างนั้นกูขออะไรสักอย่างสิ” ไอ้ยิมพูดหลังจากที่มันอาบน้ำเสร็จ เตรียมตัวจะเข้านอน
“อืม ว่ามาสิ” ผมมองมันที่นั่งอยู่บนเตียงอีกฝั่งหนึ่ง
“ยังไงซะพรุ่งนี้มึงก็ต้องกลับแล้ว คืนนี้กูขอนอนด้วยได้ไหมวะ” มันบอก พอมันพูดจบทิ้งไว้แต่ความเงียบ หลังจากนั้นผมก็อดจะกลัวขึ้นมานิดๆ เผื่อมันบ้าเลือดทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็แย่เลย... แต่มันไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก
“ตามใจ ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษอยู่ได้ตั้งนาน” ผมว่าก่อนจะเขยิบที่บนเตียงให้มันมานอนข้างๆ นี่เป็นครั้งที่สองที่เรานอนเตียงเดียวกัน ครั้งแรกที่บ้านของมัน ไอ้ยิมเดินมาหาผมก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม
เป็นค่ำคืนที่แปลกประหลาดมากๆ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เศร้าอะไรมากนัก หรือมันแค่ทำตัวปกติเหมือนเดิมเพื่อให้ผมไม่คิดมาก มีใครจะปกติถ้าหากว่าโดนปฏิเสธลดความสัมพันธ์ แต่เรื่องของผมกับยิมมันต่างจากคู่อื่นๆ เนื่องจากเราไม่ได้คบกัน คงเข้าข่ายแค่ช่วงระยะดูใจอะไรทำนองนั้น แต่มันไม่ได้พัฒนาไปมากนัก
“กูรู้สึกโหวงเหวงแปลกๆ นะ มึงเป็นหรือเปล่า” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความมืดสลัว ผมลืมตาหันไปมองอีกฝ่าย แสงสลัวจากค่ำคืนที่ไม่หลับใหลพอจะทำให้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลืมตาอยู่เช่นกัน พอมันพูดแบบนี้แล้วอดรู้สึกตามไปด้วยไม่ได้
“ใช่... รู้สึกเหมือนกัน” บางทีไอ้ยิมอาจจะอยู่กับความเหงาตัวคนเดียวมานาน เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยเผชิญมากนักเพราะผมไม่เคยสัมผัสกับคำว่ารักหรืออะไรแบบนั้น ตัวผมสนใจแค่การทำงาน อยู่กับงานศิลปะมันก็ลืมเรื่องอื่นๆ ไปแทน
การรู้สึกในสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนมันน่ากลัวนะผมว่า เพราะถ้าเมื่อไหร่มันหายไปมันคงทรมานยิ่งกว่าเก่ากว่าตอนที่ไม่เคยมีความรู้สึกพวกนั้นอีก ไอ้ยิมเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ
ผมได้ยินมันหายใจสม่ำเสมออยู่ข้างๆ 
“แล้วมึงจะเสียใจที่ทิ้งกูไอ้ผิง” มันหันมาพูดกับผม สีหน้าของมันออกจะติดตลกมากกว่าจะหมายความแบบนั้นจริงๆ ผมยิ้มออก
“ฮึ อือ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมบอกไปแบบนั้นเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าจะมาเสียใจทีหลังหรือเปล่า ผมเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเองในครั้งนี้ ผมกับมันก็ใช่ว่าจะตัดความสัมพันธ์ไปเลยซะเมื่อไหร่ ความสัมพันธ์ดีๆ ใช่ว่าจะมีแต่รูปแบบของแฟนหรือคนรักกันนี่ ผมไม่เข้าใจทำไมจะต้องไปกะเกณฑ์กับสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมรักไอ้ยิมขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ ต่อให้ผมต้องไปตื้อมันสามชาติเศษผมก็ยอม
“มึงมันบ้าจริงๆ กูเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่เอง ก็คิดอยู่ว่ามึงมันแปลกคน” มันบอก เพิ่งรู้นะว่ามันคิดแบบนี้ ผมพลิกตัวไปหาไอ้ยิม ไอ้ความรู้สึกไม่ชินเวลานอนเตียงเดียวกันกับมันหายไปแล้ว คงเป็นเพราะมันคือไอ้ยิมนั่นแหละ ทำให้ผมสบายใจได้ 
“มึงเป็นคนดีจริงๆ” ผมพูดอย่างที่รู้สึก เป็นคนดีมักได้บทพระรองอยู่เรื่อย
“อืม ขอบใจนะเว้ยที่มาเที่ยวกับกู ที่จริงกูคิดว่าจะเซอร์ไพรส์มึง แต่กลายเป็นว่ามึงเป็นฝ่ายเซอร์ไพรส์กูซะอย่างนั้น เลยลืมๆ ไปว่าจะทำอะไร” ผมเงียบ ไอ้ยิมนะไอ้ยิม
“กูต่างหากที่ควรขอบคุณมึงมากๆ ถ้ามึงเหงามึงโทรหากูได้นะเว้ย” ผมบอกก่อนจะเอื้อมมือไปแตะไหล่มัน
“งั้น...” ไอ้ยิมมันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ผมมองหน้ามันเงียบๆ
“อะไร...” 
“ขอกอดหน่อยดิ” มันว่า
“มึงนี่ต้องขออนุญาตตลอดศกเลยนะ” ไม่ทันชาวบ้านชาวช่องแน่ๆ ผมยิ้มให้ ไม่รู้ว่าควรจะรอให้มันมากอดผมหรือผมควรกระโจนไปกอดมันดี แบบไหนดีล่ะ
“กูก็เป็นแบบนี้” มันว่าแต่มันไม่ขยับมาหาผม อ้าว ไอ้นี่ ผมต้องเริ่มก่อนงั้นสิ
ผมกลั้นหายใจขยับตัวไปหามันแทน เอ้า ไหนๆ จะกอดกันครั้งสุดท้ายก็ควรจะทำซึ้งหน่อย ผมกอดมันแน่นๆ ไม่รู้ว่ามันต่างจากกอดไอ้สอง ไอ้โก๋ หรือกอดพ่อยังไงเหมือนกัน แต่แน่นอนล่ะมันมีความแตกต่างอยู่เล็กๆ ‘ความรู้สึก’ บางอย่างที่มันปะทุอยู่ข้างใน 
“กูรอมึงได้นะผิง” 
“อือ...กูรู้แหละ” ผมบอกเบาๆ 
“มึงเองก็...”
“อืม อย่างกูใครก็รักไม่ลงหรอก” ผมพูดติดตลก ไอ้ยิมเลยตีหลังผมดังเพียะ หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างหลับ
ช่วงสายเราเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมเตรียมตัวกลับไทย มารอบนี้เหมือนไม่จุใจ อาจเพราะมีเรื่องหม่นหมองเลยทำให้ไม่ค่อยสนุกนัก มาตอนนี้ผมยังเดาใจไอ้ยิมไม่ถูก มันไม่แสดงออกมาว่าเสียใจหรือเปล่า ผมเลยอึดอัดนิดหน่อย
เฮ้อ ขอโทษนะไอ้ยิม
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 7
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 16-08-2017 02:29:23
-ผิง-
ตอนที่ 7 ยังเหมือนเดิม

หลังจากกลับมาจากฮ่องกง พวกปีสี่เข้าสู่โหมดฝึกงานอย่างเต็มตัว แน่นอนว่ารวมถึงหนุ่มแว่นอย่างไอ้ยิม มันบินไปที่เกาลูนเรียบร้อย เรื่องของผมกับมันเหมือนจะยังคลุมเครืออยู่บ้างแต่ก็ถือว่าต่างคนต่างเข้าใจกัน โชคดีที่ยิมมันเป็นคนมีเหตุผล แต่พอมองดูอย่างละเอียดแล้วผมกับมันค่อนข้างต่างกัน พูดถึงปีสี่ต้องเรื่องงานบายเนียร์ที่ผ่านมา ดูเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดีเพราะพวกพี่ดีนกับเฮียแกนก็จับมือกันได้สำเร็จ ทำเอาลุ้นเกร็งกันทั้งงาน ผมแค่คอยสอดส่องไปตามเรื่องตามราว ถึงจะชอบเสือกเรื่องชาวบ้านแต่เรื่องเฮียแกนขอบายดีกว่าเพราะฤทธิ์พี่แกยังทำผมผวาได้จากตอนมีเรื่องกับไอ้สอง   
ผมเตรียมของสำหรับคลาสแรกของเทอมที่สอง ผมหยิบกระเป๋าเพจมาเคลียร์ของด้านในออก ระหว่างนั้นภาพในสมองก็ปรากฏเรื่องของไอ้ยิมเรื่อยๆ สุดท้ายบั้นปลายชีวิตก็ต้องลงหลุมลงโลงตัวคนเดียวนั่นแหละ ผมถอนใจ แต่ช่างเถอะ... ไอ้ผิงไม่ซีเรียสหรอก นี่ไม่ใช่คำพูดแค่เอาไว้ปลอบใจตัวเองหรอกนะ ผมหมายความแบบนั้นจริงๆ
เสียงไลน์ดังขึ้น ผมหยิบมาดู

2: กินอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวซื้อเผื่อ

 ไอ้สองไลน์มานั่นเอง เดี๋ยวนี้ทำตัวมีน้ำจิตน้ำใจมากกว่าเดิม ผมเลยฝากมันซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งเจ้าประจำหน้าประตูสี่ ผมเดินไปที่ลิ้นชักบริเวณตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักแรกเอื้อมมือไปหยิบกล่องไม้เนื้อสีไข่อ่อนผิวเรียบออกมาดู ทำให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฮ่องกง นิลดำที่ไอ้ยิมมันซื้อให้ผมเป็นของขวัญเพราะมันถูกโฉลกกับราศีของผม สีดำแวววาวสะท้อนมาให้เห็น บางทีก็คิดว่ามันทุ่มเทให้ผมมากเกินไปหรือเปล่า ลึกๆ แล้วผมก็กลัว... กลัวว่ามันอาจต้องเสียใจเพราะผมน่ะสิ
ผมมาถึงคณะแต่เช้า แวะไปนั่งเล่นฆ่าเวลาที่โรงอาหาร เห็นไอ้สองกับพรรคพวกนั่งกันอยู่สองสามโต๊ะ ไอ้สองโบกมือให้
“เย็นนี้ว่างเปล่า” มันถามขึ้นมาทันทีที่ผมหย่อนก้นนั่ง ผมพยักหน้า
“มีอะไร”ผมถาม
“กูมีนัดเล่นบาสกับพวกไอ้เถา กะว่าจะไปอุดหนุนซอยโลกีย์ซะหน่อย วันเกิดเพื่อนมัน”
“อื้อหือ จัดตั้งแต่วันแรกของเทอมเลยนะ” ผมยิ้มก่อนจะหยิบหมูปิ้งมากินบ้าง กลิ่นหอมยั่วยวนเหลือเกิน
“ก็เบื่อๆ ไง อยากหาอะไรทำ” มันบ่นงึมงำท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองไปรอบๆ บริเวณอย่างใจลอย
“อือ ก็ดีเหมือนกัน เบื่อๆ” ผมมองหน้ามันก่อนจะหัวเราะไปพลางเหมือนคนรู้กัน ไอ้สองยื่นเท้ามาเตะขาผมอยู่ใต้โต๊ะ
“มึงนี่น้า...เหลือเชื่อ” มันส่ายหน้า ผมรู้ว่ามันจะแพล่มเรื่องอะไรออกมา เลยดักไว้ก่อน
“เออน่า มึงก็รู้ว่ากูเป็นคนยังไง” ผมพูดไปตามตรง ไหนๆ ก็ไม่มีทางหลุดพ้นไปจากเรื่องไอ้ยิมได้ เพราะตั้งแต่เช้ามามีแต่มันวนเวียนเหมือนแมลงหวี่แมลงวันมากวนหวี่ๆ อยู่ข้างหู แค่เอามือปัดก็ไม่หายไปไหนง่ายๆ
“อือฮึ เรื่องของมึง” ไอ้สองทำหน้าบูดก่อนจะเก็บขยะใส่ถุงพลาสติกแล้วเอาไปทิ้งลงถังขยะที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะของพวกเรานัก ผมหยิบโทรศัพท์ออกมากดดูเล่นอย่างเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรอัพเดตสักอย่าง ผมเข้าไปส่องอินสตาแกรมไอ้ยิมไปพลางๆ ก็เห็นว่ามันลงรูปที่เกาลูนอย่างสนุกสนานเหมือนเยาะเย้ยผมกลายๆ ว่ามันอยู่เป็นสุขดี เฮ้อ
เปิดภาคเรียนที่สองในวันแรก นอกจากมีเล็คเชอร์ระเบียบวิธีวิจัยฯ นิดหน่อย นอกนั้นก็มีวิชาเลือกสองสามตัวที่วันแรกไม่มีอะไรมาก หลังจากที่ผ่านช่วงเช้าไปแล้วแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปเรียนตามที่ตัวเองเลือก ผมลงมาสิงสถิตอยู่ที่ห้องปั้นชั้นล่างกับไอ้สองเพราะเลือกเรียนเหมือนกัน เจอกับพวกรุ่นพี่สองสามคนที่กำลังเก็บของออกจากห้อง ผมเดินไปหามุมถนัดของตัวเองจองพื้นที่สำหรับเรียนปั้น เทอมที่แล้วก็เรียนเรื่องประติมากรรมพื้นฐานไป

ระหว่างนั้นโทรศัพท์ก็สั่น พอหยิบออกมาดูปรากฏว่าเฟซบุ๊กมันแจ้งเตือนวันนี้ในอดีต เป็นเหตุการณ์ที่ผมอัพรูปสีฝุ่นอิมพอร์ตจากจีนลงเฟซบุ๊ก อืม ผ่านมาปีกว่าๆ แล้วนี่หว่า
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ ในบางครั้งผมก็ไม่ค่อยอยากจะหาเหตุผลมารองรับไปซะหมดหรอก ไม่อย่างนั้นผมคงตัดสินใจอะไรไม่ได้ นึกย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา... ผมยังจำคำพูดของไอ้ยิมในตอนที่เราไปเที่ยวฮ่องกงด้วยกันได้อยู่เลย
“เฮ้ย ไอ้ผิง...” เสียงเรียกจากเพื่อนก๊วนเดียวกัน ไอ้โก๋มันเดินมาสะกิดไหล่ผมสองสามจึก
“มีอะไร”
“อาจารย์กานต์เรียกบอกว่ามีเรื่องจะคุย” มันบอก ผมพยักหน้างงๆ อาจารย์กานต์สอนรายวิชาเพ้นท์ ผมเดินออกไปหาอาจารย์ที่ด้านนอก เห็นว่าอาจารย์กำลังนั่งอยู่ตรงระเบียงยาว ขณะนั้นอาจารย์ก็เงยหน้าขึ้นมาพอดิบพอดี
“สวัสดีครับอาจารย์” ผมทักทายตามมารยาท อาจารย์กานต์ยิ้ม
“มานั่งนี่มีข่าวดีมาบอก” อาจารย์บอกก่อนจะขยับที่ให้ผมนั่ง 
“ครับ” ผมรับคำ อาจารย์หยิบแผ่นโบรชัวร์ออกมา ผมมองอย่างสงสัย
“เผื่อว่าจะสนใจ” อาจารย์บอก ผมก้มลงอ่านข้อความภาษาอังกฤษที่ไม่เข้าใจเป็นบางคำ คร่าวๆ คืองานแสดงนิทรรศการศิลปะภาพหมึกจีน
“อาจารย์จะให้ผมไปเหรอครับ”
“ใช่ พอดีว่ามีงานแสดงภาพ มันจะมีลานแสดงของนักศึกษาหรือคนทั่วไปด้วยเลยอยากให้คุณลองส่งไปเผื่อว่าผ่านการคัดเลือก ถ้าคุณสนใจน่ะนะ ผมไม่บังคับหรอก” อาจารย์อธิบาย ผมเปิดไปดูหน้าอื่นเพิ่มเติมแต่ก็ไม่เข้าใจอะไรมากนัก
“ครับ ผมว่าน่าสนใจเพราะช่วงนี้ก็เพิ่งเรียนไม่ได้มีงานเข้ามาเยอะเท่าไหร่ครับ”
“อือ ลองไปเช็ครายละเอียดในเว็บไซต์ดูนะ ผมไม่ได้โพสต์ลงในกลุ่มเพราะมันเป็นงานเฉพาะทาง มีไม่กี่คนที่เรียนแขนงจีน ยังไงลองไปคุยกับพวกที่เหลือดูนะ ถ้าสนใจมาติดต่อได้ที่ผมเดี๋ยวผมจะทำเรื่องส่งผลงานไปให้เอง ถ้ามีอะไรก็ติดต่อได้ ในเฟซบุ๊กหรือโทรมาหาผมได้เลย” อาจารย์กานต์บอกก่อนจะยื่นนิตยสารภาพผลงานภาพหมึกจีนมาให้ผมดู
“ครับอาจารย์ เดี๋ยวผมบอกเพื่อนๆ ให้อีกทีครับ”

  หลังจากที่อาจารย์กลับไปแล้วผมก็อ่านรายละเอียดอีกรอบเลยโพสต์ลงกลุ่มทัศนศิลป์ อย่างที่อาจารย์บอกภาพหมึกจีนไม่ได้มีสอนในหลักสูตร ส่วนมากจะเป็นวิชาเลือกที่ต้องรวบรวมคนไปขอเปิดรายวิชาเอง มันไม่แมสต่อคนกลุ่มใหญ่ เผื่อว่ามีคนสนใจ ในสาขาผมเท่าที่รู้มีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ผมลงเรียนเพราะความชอบส่วนตัว วิชาเอกเลือกของผมคือประติมากรรม
ผมกลับมาที่โต๊ะของตัวเองเลยลองหาไอเดียร่างงานไว้คร่าวๆ เพราะต้องเจียดเวลาส่งงานไปร่วมนิทรรศการอีก ระหว่างที่ร่างงานบนกระดาษสเก็ตช์ ไอ้โก๋ก็สไลด์เก้าอี้มาหาจากด้านข้าง
“ฮั่นแน่”
“อะไร”
“รับงานเหมือนบ้านมีหนี้” มันคงเห็นโพสต์ผมแล้วนั่นแหละ ผมไหวไหล่ไม่สนใจ ก็เป็นเรื่องปกติเห็นกันจนเจนตา บางคนเป็นสายขยันรับงานนอกอยู่ตลอด ดูอยากไอ้เชี่ยวเห็นแบบนั้นมันยังแอบลักงานที่เพื่อนส่งอาจารย์ไปขายเอาเงินได้เลย จึงไม่แปลกหรอกถ้าจะมีเด็กบางส่วนกระตือรือร้นทำกิจกรรมอยู่เรื่อยๆ ผมถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ สนุกจะตายไป แต่ต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองด้วยว่าไหวหรือเปล่าเพื่อไม่กระทบกับการเรียน
“หึหึ มึงน่าจะชินนะ”
“แต่คราวนี้มาแปลกไง ไม่ค่อยเห็นมึงรับงานจีนแบบนี้”
“อือ ช่วงนี้อยากลองอะไรใหม่ๆ” จริงอย่างที่มันบอก มันก็มีงานภาพจีนอยู่บ้างแต่ผมไม่ได้ส่งไปเข้าร่วมสักปี เผอิญอาจารย์กานต์อุตส่าห์มาบอกทั้งทีคงอยากให้มีเด็กมอเราส่งไปบ้างเผื่อจะได้ไปแสดงผลงาน
“อ๋อ นึกว่ามีแรงจูงใจอย่างอื่น” ว่าแล้วมันต้องแพล่มเรื่องนี้ออกมา ผมเบ้ปากไม่สนใจมันเหมือนเคย
“ถ้ามึงว่างก็ไปทำงานต่อไป กูใช้สมาธิอยู่”
“โอเค เพื่อนมาคุยก็ไล่ ว่าแต่มึงจะเอายังไงเรื่องซัมเมอร์” มันวกกลับมาเรื่องนี้จนได้ สำหรับผมยังไงประสบการณ์ถือเป็นกำไรชีวิตเลยล่ะ
“อือ มึงไปกูก็ไปแหละ” ผมบอก ไอ้โก๋พยักหน้าหงึกหงัก
“เยี่ยม กูจะได้ไปบอกไอ้เชี่ยว ยังไงก็ไว้คุยกันอีกทีละกัน” ไอ้โก๋ยิ้มก่อนจะขยับเก้าอี้ไปตามทางกลับเข้าช่องของตัวเอง ผมเปลี่ยนใจยกเลิกนัดกับพวกไอ้สองไป มันเหมือนจะไม่พอใจผมเท่าไหร่ เข้าใจเพราะมันคงเหงา ยังดีที่มีโอ้โก๋ไปแทนผมเลยรอดตัว
ช่วงหลังๆ ไอ้ยิมแค่ไลน์มาหาผมเท่านั้น ผมมีโอกาสแวะไปหาพ่อที่ร้านในตัวเมืองบ้าง ทั้งสองคนไม่ได้ถามอะไรผมเรื่องไอ้ยิมเลย ไม่แน่ใจว่ารู้หรือแค่ไม่อยากมายุ่งกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของวัยรุ่น แต่ก็ดีที่พ่อแม่ให้พื้นที่แก่ผมพอสมควร ผมเอารูปมาติดในห้องอาหาร บางครั้งรูปสเก็ตช์รูปเพ้นท์ก็ขายได้ประปราย ส่วนมากคนที่ซื้อจะเป็นคนวัยทำงาน

สองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ผมกับเพื่อนอีกสองคนส่งผลงานไปร่วมแสดงกับนิทรรศการภาพหมึกจีนเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนนี้ผลงานของผมกับเพื่อนผ่านเข้ารอบไปได้ ทำให้อาจารย์กานต์ทำเรื่องกับคณะว่าจะนำชั้นปีของผมไปดูงานนิทรรศการยกเซคชั่นไปเลย ถือเป็นกิจกรรมนอกห้องเรียน และนอกจากเรื่องเรียนที่มารุมมาตุ้มแล้วยังมีไอ้โยที่มาวนเวียนใกล้ๆ มหาลัย ประมาณว่าบังเอิญเจอที่ร้านบุฟเฟ่ต์บ้าง ตามคณะบ้าง มันมาเกาะแกะผมบ่อยๆ
วันนี้ก็เช่นกัน ผมมานั่งทำงานที่ลานหญ้าแถวคณะวิทยาศาสตร์ บริเวณนี้ร่มรื่นมีศาลาไม้ไว้นั่งเล่นแถมยังใกล้โรงอาหารใหม่กับหอสมุดของมหาลัยอีกด้วย ผมเลยถือโอกาสมานั่งเพ้นท์งานฆ่าเวลา ดันเจอไอ้โย มันบอกว่ามาดูงานที่คณะวิทยาศาสตร์ ไม่ยักรู้ว่าคณะนั้นมีงานอะไร

“ทำไมล่ะ ไม่อยากเจอหน้าโยเหรอ แหงล่ะ คนมีความผิดเหมือนวัวสันหลังหวะ” ไอ้โยมันพูด เดี๋ยวนี้ปากมันร้ายกาจกว่าเดิม เวรกรรมของผมแท้ๆ มันคงตั้งใจมาป่วนผมเพราะเรื่องไอ้ยิมแน่นอน
“มึงนี่นะ... ว่างนักเหรอวะ” ผมส่ายหน้า ไอ้โยมันเดินมานั่งข้างๆ ผม
“เฮ้อ รู้แบบนี้หาแฟนใหม่ให้เฮียไปเลยก็ดี” มันบ่นเบาๆ แต่ผมได้ยินชัดเจน
“ไอ้ยิมให้มึงมาหรือไง”
“เปล่า โยแค่แวะมาหาพี่เท่านั้น มาดูหน้าซะหน่อย”
“แล้วเป็นไงวะ” ไอ้โยมันส่อแววกวนทีนขึ้นมาทีละน้อย ผมเลยจ้องหน้ามันเงียบๆ ข่มมันให้กลัวบ้าง
“ไม่แกล้งก็ได้ ...เดี๋ยวนี้ไม่เห็นไปที่ร้านอาหารเลย ป๊ากับม้าไปมาสองรอบยังไม่เจอพี่ผิงเลย” ผมสะดุ้ง เพิ่งรู้ว่าปะป๊ามาม้าไอ้ยิมโอ้โยไปทานข้าวที่ร้านพ่อผมด้วย
“จริงเหรอ”
“อือ ถามหาพี่อยู่ คงจะมาคุยด้วยล่ะมั้ง แต่โยบอกว่าจะเอาเบอร์พี่ผิงหรือเปล่า ป๊าก็บอกว่าไม่เอา” มันบอก ผมนิ่งคิด
“ป๊ามึงพูดอะไรถึงกูบ้างวะ” ผมถาม ไอ้โยหันมามองหน้าผม มันยิ้ม
“เปล่าหรอก แค่ถามว่าเดี๋ยวนี้ยังดีกับเฮียหรือเปล่า ได้คุยกันอยู่ไหมอะไรทำนองนี้ โยก็ตอบไปตามตรงนั่นแหละ” มันเล่า
“เหรอวะ...” ผมเงียบ ป๊ามันดูเหมือนไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่ตั้งแต่คราวก่อนนู่นที่ไปบ้านช่วงตรุษจีน ไอ้โยเหมือนเดาความคิดผมออก
“อย่าคิดมากน่าพี่ ป๊าก็ดุเป็นเรื่องปกติ ใจดีสิแปลก” มันว่าแล้วหัวเราะเบาๆ ผมเลยเก็บของใส่กระเป๋ากะว่าจะกลับไปนอนพักสมองที่ห้องดีกว่า ไอ้โยทำหน้าหงอย “จะกลับแล้วเหรอ”
“อือ มึงล่ะ ให้กูไปส่งหรือเปล่า” ผมถามอย่างมีน้ำใจ
“ไม่ล่ะ โยกลับกับคุณครูน่ะ แล้วนี่จะไม่คืนดีกลับเฮียจริงๆ เหรอ” ผมกับไอ้ยิมไม่ได้โกรธอะไรกันซะหน่อย เสียงสั่นเตือนข้อความเข้า ผมหยิบมาเปิดดูเป็นไลน์จากไอ้ยิมนั่นเอง ผมเปิดอ่าน มันส่งรูปพู่กันจีนอันใหญ่มีด้ามลวดลายสลักสวยงามมาให้ผม
Yim : ของฝากจากเซี่ยงไฮ้ ถูกใจไหม
มันถามมา ผมสงสัยว่ามันไปเซี่ยงไฮ้มาจริงๆ น่ะเหรอ
Phing : อือ สวยมาก จะให้กูเหรอ
Yim :  เออ ซื้อให้เป็นของขวัญ 
Phing :  ไม่ต้องหรอก มึงให้ของฝากกูเยอะล่ะ 
Yim : เออ มันคนละส่วน อันนั้นไม่ใช่ของฝากเป็นของที่กูอยากให้มึงเก็บดีๆ ของๆ กูอะ

ไอ้ยิมอธิบาย นึกภาพตามมันจะต้องขมวดคิ้วหน้าบึ้งแหงๆ ผมเลยเออออห่อหมกขอบคุณมันไป ผมว่ามันคงหาเรื่องมาคุยกับผมมากกว่า ส่วนมากจะไลน์คุยกัน นานๆ จะไลน์มาหาผมเหมือนมันพยายามอยู่กับตัวเองมากขึ้น
เมื่อถึงวันงานนิทรรศการแสดงผลงานภาพหมึกจีน อาจารย์ก็นำทัพพานักศึกษาไปที่หอศิลป์ประจำจังหวัดที่อยู่ในตัวเมือง งานที่ได้รับเลือกจะจัดแสดงอยู่ชั้นล่าง ผมเลยต้องอยู่ประจำที่งานของตัวเองเพื่อคอยอธิบายงานให้ผู้ที่สนใจฟังอยู่เรื่อยๆ แต่ช่วงสำคัญจะอยู่ตรงที่คณะศิลปินกับอาจารย์ศาสตร์ต่างๆ แวะมาชมงาน ถือเป็นไฮไลท์เช่นกัน
ผ่านไปไม่นานนักเหมือนผมหูแว่วไปเอง ได้ยินเสียงคับคล้ายคับคลาเสียงเจื้อยแจ้วอย่างกับไอ้โยมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ ผมเลยสอดส่องมองหาต้นตอของเสียง เหมือนมีลางสังหรณ์ ทางซ้ายมือของผมเป็นทางเชื่อมต่อจากชั้นบน ผมเห็นเครื่องแบบนักเรียนเอกชนกำลังเดินมาทางผมอย่างรวดเร็ว ผมเบ้หน้ากะว่าจะเผ่นแต่ไม่ทันการณ์

“พี่ผิง!” ไอ้โยคว้าหมับเข้าที่ลำแขนของผมพอดี มันดึงรั้งผมไว้อย่างแรงผมเลยไม่อยากผลักให้มันล้ม ยืนนิ่งปล่อยให้มันเขย่าแขนไปมา
“มาได้ยังไงเนี่ย” ผมถามมัน ไอ้โยมองหน้าผมเหมือนโกรธเคืองสักสิบชาติได้ มันกอดอกจ้องหน้าผม
“มากับป๊าน่ะสิ” ผมสะดุ้งเหมือนเจอของร้อน ซวยล่ะ ไม่อยากเจอป๊ามันเลยแฮะ
“ทำไม กลัวล่ะสิ แหงแหละ มาหลอกลูกชายป๊าก็ต้องโดนดีซะบ้าง”
“หลอกอะไรของมึงวะ พูดไปเรื่อย” ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะมองไปทั่วบริเวณเผื่อเจอป๊าของมัน ไอ้โยจิ๊ปากไม่พอใจก่อนจะเดินมาดูรูปของผมแล้วทำหน้าย่น มันทำปากขมุบขมิบทำนองว่า ‘ไม่เห็นจะสวยเลย’ ผมล่ะอยากทุบมันสักอั้ก
“เฮ้อ อยากมาคุยกับพี่ให้รู้เรื่องไง” มันเดินวนกลับมาตรงหน้าผม
“คุยเรื่อง?” ผมตีมึนแกล้งมันเพื่อความสะใจส่วนตัว
“เอ้า ก็เรื่องเฮียไง น่าสงสารจะตาย ทำดีแทบตายสุดท้ายก็แห้ว” มันบ่น ผมถอนหายใจ จับไหล่เล็กๆ ของมันไว้
“นี่ไอ้โย บางเรื่องมันไม่ใช่แค่ทำดีหรอกนะเว้ย มึงยังเด็ก”
“แล้วพี่โตแค่ไหนกันเชียว” มันย้อนซะผมจุกเลยล่ะ ผมหน้าบึ้ง
“กูไม่คุยด้วยละ” ผมบอกมันก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดเล่นไม่สนใจมันอีก แต่เห็นจากหางตาว่ากางเกงสีน้ำเงินยังคงยืนอยู่ จากนั้นมันก็โบกมือร้องเรียก
“ป๊า โยอยู่ตรงนี้ไง พี่ผิงก็อยู่” มันเรียก ผมเงยหน้าไปตามทิศทางที่มันโบกไม้โบกมือ ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะรู้สึกเหมือนอากาศตรงนี้ร้อนอบอ้าวซะเหลือเกิน ไม่ทันไรร่างท้วมของชายวัยกลางคนก็เดินมาหาไอ้โย ผมยกไหว้ด้วยความเกร็งนิดหน่อย
“สวัสดีครับ”
“อ้อ เห็นว่าได้แสดงผลงานด้วย เก่งนะเรา” ป๊าแกบอก ไอ้โยยืนเรียบร้อยอยู่ข้างๆ ผม ในสายตาผมป๊าไอ้ยิมยังคงดุอยู่เหมือนเดิม ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยชอบใจผม ซึ่งผมไม่ได้รู้สึกหรือคิดไปเองจริงๆ
“ขอบคุณครับ”
“แล้วได้คุยกับยิมมันบ้างหรือเปล่า” อยู่ๆ ป๊าก็ถามถึงไอ้ยิมซะอย่างนั้น ทำเอาผมยิ้มค้างไปวูบนึง
“มีติดต่อกันบ้างครับ นานๆ ที” ผมบอกไปตามความจริง ป๊าพยักหน้าเข้าใจไม่ได้ยิ้มแย้ม ผมเหลือบมองไอ้โยที่มองหน้าผมนิ่งๆ เหมือนกัน เอ้า คนบ้านนี้มาโกรธผมด้วยหรือไง
“เฮ้อ เรื่องหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่เข้าใจจริงๆ รักๆ เลิกๆ ยังไงก็โชคดีนะ อะ เป็นธุระให้ป๊าหน่อย” ป๊าไอ้ยิมพูดกับผมเสร็จก็หันไปคุยกับไอ้โย ในมือยืนถุงกระดาษสีขาวไปให้ไอ้โยแทนก่อนจะเดินไปดูผลงานทางอื่นต่อ ผมมองตามอย่างไม่เข้าใจ
“พี่ผิง อะ มีคนฝากมาให้”
“หืม ไอ้ยิมเหรอ” ผมรับถุงมางงๆ ไอ้โยย่นหน้า
“อือ นั่นแหละ ป๊าโกรธแทบตายเลย” ไอ้โยยิ้มให้นิดนึง มันกวักมือให้ผมฟังมันเม้าธ์
“อือว่า”
“เฮียรู้ว่าพี่มานิทรรศการไง เลยส่งของมาให้โยเอามาให้พี่ แต่เผอิญป๊าดันเป็นคนรับของน่ะเลยรู้ว่าเฮียยังคุยกับพี่อยู่ คงโกรธไง”
“อืม โกรธมันหรือโกรธกู”
“โอ้ย สองคนเลยแหละ...น่าโกรธอยู่ ก็เล่นไม่บอกไม่กล่าวว่าไม่ได้คุยกันแล้ว คือพี่ต้องเข้าใจป๊าหน่อยนะ กว่าจะให้เฮียมีแฟนเป็นผู้ชายก็ว่ายากแล้ว ตอนที่พาพี่มาที่บ้านคราวนั้นถือว่าป๊าเปิดใจมากๆ เลยแหละ ป๊าคงไม่เข้าใจวัยรุ่นไงว่าทำไมนึกจะเลิกก็เลิก”
“กูยังไม่ได้คบกับไอ้ยิมเลยนะ... แต่ก็เข้าใจป๊ามึง”
“อือ แล้วเมื่อไหร่จะคบกันจริงๆ สักทีล่ะเนี่ย”
“...ไม่รู้สิ ถึงเวลามันใช่ก็คงใช่เอง”
“โอ้ย รอเวลาก็ไม่ทันกินหรอก” ไอ้โยพูดเสียงสูง มันทำหน้าบูด
“เออน่า มึงไม่ต้องเข้าใจหรอก” อย่างน้อยๆ ไอ้ยิมมันก็เข้าใจผม ไอ้โยมองค้อน
“โอเค ก็เข้าใจอยู่หรอก ไม่งั้นป่านนี้โยคบพี่สองไปนานแล้ว” มันพูดถึงเรื่องเก่าๆ จากนั้นมันก็หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปผมแบบไม่บอกไม่กล่าว
“เฮ้ยอะไร”
“มิชชั่นคอมพลีส” มันว่าก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ผมมองตามหลังมันไปแบบงงๆ พี่น้องคู่นี้เหมือนกันเลยแฮะ ผมยืนนิ่งในมือถือถุงของขวัญอย่างหนักใจ ไอ้ยิมมันก็แค่จะป่วนผม

หลังจากที่ใช้เวลาอยู่กับนิทรรศการศิลปะอยู่สองวันเต็มๆ พวกผมพร้อมกับอาจารย์ก็ยกขบวนกันกลับมหาลัยตามกำหนดการ แต่ผมกลับรู้สึกไม่ปลอดโปรงเหมือนมีเมฆดำๆ ลอยอยู่เหนือศีรษะตลอดเวลา ผมส่งไลน์ไปหาไอ้ยิม
Phing : คืนนี้ว่างไหม
 Yim : ทำไม?
Phing : คอลกันหน่อย
Yim : ได้สิ
           好想你 
ผมมองภาษาจีนที่มันส่งมาอย่างไม่เข้าใจ
Phing : แปลด่วน 
อีกฝ่ายไม่ตอบมันแค่ส่งสติ๊กเกอร์หน้าโกรธมาให้
Yim:เออ เพลงนี้เพราะ อยากให้มึงฟังจริงๆ 我们的歌 -王力宏 ลองไปฟังนะ 
Phing: ไม่ฟังเพลงน้ำเน่านะเว้ย
ผมดักมันไว้ก่อน 
Yim:เออ กูชอบไงเลยอยากให้ฟังบ้าง
 Phing:โอเคๆ 
Yim:เดี๋ยวสองทุ่มคอลไปนะ 
ไอ้ยิมบอก สุดท้ายมันก็ต้องคอลมาหาผม ทั้งๆ ที่ตอนแรกผมกะจะคอลไปหามันแท้ๆ แต่ช่างเถอะ ผมกลับมาที่หอพักก่อนสองทุ่ม อาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น ลองฟังเพลงจีนที่มันแนะนำ ผมเข้ายูทูปฟังไปสองรอบ เพลงก็ติดหูดี ไอ้ยิมมันเป็นคนโรแมนติกนะ
เมื่อเวลาเดินมาถึงสองทุ่มเป๊ะๆ อีกฝ่ายก็คอลมมาแบบตรงต่อเวลา ผมกดรับ หน้าจอสมาร์ทโฟนปรากฎใบหน้าของไอ้ยิมขึ้นมา ผมแปลกใจวูบนึง มันไม่สวมแว่น ตัดผมสั้นเหมือนมีหน้าม้า ทำให้หน้ามันดูเด็กลง มันยิ้มโบกมือมาให้ผมท่าทางตื่นเต้น
“ไง ไม่เห็นหน้านาน มึงตัดผมอีกแล้วเหรอ” ผมทักทายมัน ไอ้ยิมยกมือลูบเส้นผมไปมา
[เป็นไง ดูดีป่ะวะ]
“เออ ก็ดี ดูเด็กลงนะ” ผมบอก เห็นมันยิ้มแก้มตุ่ย
[อาบน้ำแล้วเหรอ]
ผมพยักหน้า “อือ เพิ่งอาบเสร็จล่ะ แล้วมึงนึกเพี้ยนอะไรหามาทำเป็นส่งเพลงสื่อรักเหรอ” ผมแกล้งแซวมัน ผมยังไม่ได้กูเกิ้ลหาความหมายของเพลง แต่ดูๆ แล้วน่าจะเป็นเพลงรักนั่นแหละ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า our song
[เปล่า แค่ให้ฟัง มึงไม่ฟังเพลงจีนนี่หว่า อีกอย่างส่งให้มึงฟังก็เหมือนขว้างก้อนหินใส่กำแพง] สำบัดสำนวน ขว้างก้อนหินใส่กำแพงมันก็จะกระเด็นกลับใส่ตัวน่ะสิ ผมมองไอ้ยิม สีหน้ามันดูสดชื่นดี ด้านหลังมีตุ๊กตาหมีแพนด้าอยู่สองสามตัว
อ้อ อีกเรื่องนึง ผมเพิ่งเห็นว่าช่วงนี้มันบ้าหมีแพนด้า
“ไปเซี่ยงไฮ้มาเหรอ ขอบคุณเรื่องของฝากด้วยนะ ที่จริงไม่เห็นต้องให้เลย” นี่มันกะจะให้ผมติดค้างมันไปเรื่อยๆ สินะไอ้ยิม
[อืม กูอยากให้ มึงก็แค่รับไปเท่านั้นแหละ พอดีกูไปธุระที่เซี่ยงไฮ้กับน้าสุเลยแวะเที่ยวเฉิงตูมา] ผมพยักหน้า ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่ก็เคยได้ยินว่าที่เฉิงตูที่มีแพนด้า
“ได้ไปดูหมีแพนด้ามาป่ะ น่ารักไหม” ผมถามไปแบบนั้นแหละ ไอ้ยิมแค่ยิ้ม ชักยิ้มบ่อยเกินไปล่ะนะ แดกเนื้อมาเหรอไอ้นี่
[เออ แวะไปดูมาแหละ ...น่ารักไหม มึงอยากได้หรือเปล่าเดี๋ยวกูส่งไปให้] มันหยิบตุ๊กตามาใกล้ๆ 
“ฮึ ไม่เอา อย่าเปลืองค่าส่งเลยดีกว่า” ผมบอก ถ้าจะให้ตุ๊กตาผมขอบาย ผมไม่ชอบตุ๊กตาเท่าไหร่ “...กูอยากถามเรื่องป๊ามึงหน่อย”
[ได้สิ จะถามเรื่องอะไร] มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“เขาโกรธอะไรกูหรือเปล่าวะ กูเจอป๊ามึงที่งานนิทรรศการน่ะ”ผมพูด รู้สึกกังวลใจขึ้นมา หากป๊าของอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าผมขึ้นมา 
[อืม รู้แล้วล่ะ... จริงๆ ไม่โกรธมึงหรอก ป๊าเขาโกรธกูมากกว่า]
“ทำไมวะ” ผมถาม รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
[ก็...เรื่องที่กูเป็นเกย์ไง กูพยายามยืนหยัดเรื่องนี้กับครอบครัวมาตลอด เขาคงโมโหที่ว่ากูอุตส่าห์ยอมแตกหักแต่สุดท้ายก็ลงเอยแบบนี้ไง] มันอธิบาย เรื่องเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ ดูเหมือนไอ้ยิมคงอยากให้ผมรู้สึกไม่ดีบ้างล่ะมั้ง
“...” ผมพูดไม่ออก
[ไม่เกี่ยวอะไรกับมึงหรอกผิง เป็นเรื่องระหว่างกูกับป๊าน่ะ] เป็นผมเองที่เข้าไปเสือกสินะ
“อ๋อ กูนี่เจ๋อไปเองงั้นสิ”
[ฮ่าๆ กูพูดแบบนั้นเหรอ ไม่ใช่น่าไอ้ผิง คิดเยอะจัง] มันทำเสียงเหมือนสุขใจซะเต็มปะดา ผมถอนหายใจ
“มึงไม่เป็นอะไรแน่นะ” ผมเป็นห่วงมันเรื่องป๊ามันล้วนๆ
[อื้อ สบายมาก ถึงป๊ากูจะดูเหมือนดุ ใจร้าย แต่ยังไงเขาก็เป็นพ่อกู ถ้ากูมีเหตุผลเขาก็รับฟัง โตๆ กันแล้วนี่หว่า จะใจร้อนไม่ฟังกันได้ยังไง... ไม่ต้องห่วงหรอก เชื่อกู]
หืม ดูไอ้ยิมมันพูดเข้า น่าหงุดหงิดจริงๆ
“อือ กูแค่ไม่อยากเป็นสาเหตุให้ใครต้องบาดหมางกันหรอก ถ้ามึงโอเคก็ไม่มีปัญหาหรอก”ผมพูดอย่างจริงจัง เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ ในวีดีโอคอลไอ้ยิมเผยยิ้มออกมา 
[ที่อยากคุยเพราะเรื่องนี้น่ะเหรอ...ใจดีจังนะ] มันพูดน้ำเสียงอบอุ่น ผมเงียบกริบ
“มึงเห็นกูเป็นคนจิตใจดำมืดขนาดนั้นหรือไง” ผมพูด ทำหน้าหน่ายๆ
[ก็นิดหน่อยนะ]
“ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย ไอ้ยิมยิ้ม
[อือ อีกเดือนเดียวกูก็กลับแล้ว] มันบอก 
“อีกนิดเดียวเอง ตั้งใจเข้าล่ะ” ผมนึกอะไรไม่ออกเลยเงียบ ไอ้ยิมยื่นหน้ามาใกล้ๆ จอ ผมอดไม่ได้ที่จะเลื่อนโทรศัพท์ออกไปห่างๆ ตัว
[หว่อหาวเสี่ยงหนี่] ไอ้ยิมพูดให้ผมได้ยิน มันชอบพ่นจีนมาให้ผมฟัง มันบอกว่าไม่ค่อยได้ใช้นานไปจะลืม
“ไอ้ยิม—มึง” มันวางสายไปแล้ว ผมนั่งอึ้งๆ มองหน้าจอโทรศัพท์นิ่งๆ ผมไม่อยากไปเสาะหาคำแปลหรอกนะ เดี๋ยวรู้แล้วจะโลเล ผมเบ้ปาก ปล่อยให้มันทำไปเถอะ ถ้ามันชอบน่ะนะ
เฮ้อ ว่าแต่เฉิงตูมันอยู่ที่ไหน ผมเข้ากูเกิ้ลค้นหาดูไปพลาง แก้เบื่อ “ฮื่อ คงสนุกล่ะสิ” ผมพึมพำก่อนจะเอนตัวลงไปนอนเล่นบนเตียง ในหัวโลดแล่นไปด้วยความคิดบางอย่าง บางทีนะ ผมอาจจะ... ผมหลับตาปล่อยให้เรื่องวุ่นๆ ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมเข้าสู่ห้วงนิทราไปเอง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # ผิง [ความสัมพันธ์] 16.08.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-08-2017 05:16:52

ผิง ใจอ่อนกับยิมได้แล้ว
ยิม มั่นคง โรแมนติค ให้เกียรติผิงจริงๆ
ถ้าเทียบยิมกับคนอื่น พวกนั้นไวไฟกว่าเยอะ
ยิม ผิง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # ผิง [ความสัมพันธ์] 16.08.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 16-08-2017 06:57:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Deen diary บทที่ 8
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 17-08-2017 09:09:21
Deen Diary
บทที่ 8 การเริ่มใหม่ กับคนที่เคยเกลียด (ต่อ)

ไอ้แกนพาผมไปสนามกีฬาด้วยรถ เคเอสอาร์คันโปรดของมัน ผมงง.... มันพาผมไปค่ายมวยจะพาไปชกหรือพาไปดูใครหรือยังไง ผมไม่ชอบดูมวยเลยสักนิด
“มาที่นี่ทำไม” ผมถามหลังจากไอ้แกนหาที่จอดรถได้แล้วเพราะลานจอดรถแน่นเอี๊ยด
“มาดูเพื่อนชกน่ะ มาเหอะ” มันบอก คิ้วขมวดเข้าหากันเหมือนรำคาญใจที่ผมถามมากมาย ผมย่นคิ้วตามมันแต่ก็เดินตามมันเข้าไปด้านใน
เสียงเชียร์ดังพร้อมๆ กับเสียงพากย์มวยคู่เอกบนเวทีกำลังแลกหมัดกันอย่างไม่ลดละ ไอ้แกนกับผมแทรกตัวไปดูฝั่งมุมน้ำเงินที่คาดว่าเป็นเพื่อนมัน ไอ้แกนเอนตัวมาใกล้เพื่อคุยกับผม จังหวะนั้นผมต้องเบนตัวหนีมันเล็กน้อย
“น้ำเงินนั่นเพื่อนกูเอง หวังว่ามันจะชนะนะเพราะเป็นสังเวียนสุดท้ายของมันแล้ว” ผมเลื่อนสายตาจากใบหน้าของไอ้แกนไปมองกางเกงน้ำเงินที่ท่าทางเหมือนจะจนมุม หน่วยก้านคู่ต่อสู้ดูจะแกร่งกว่าแต่เพื่อนไอ้แกนดูจะได้เปรียบเพราะสูงกว่านิดหน่อย ผมเบ้หน้าเมื่อเข่าซ้ายของกางเกงแดงคู่ต่อสู้กระแทกเข้าที่หน้าท้องของอีกฝ่ายแดงเป็นทางเลย
“ไม่ชอบเหรอ” มันถามโง่ๆ มันน่าจะรู้ว่าผมไม่นิยมความรุนแรงหรอก ถึงจะจัดว่าเป็นกีฬาก็เถอะแต่มันน่าหวาดเสียว คงจะเจ็บมากด้วย
“ฮึ เพื่อนมึงจะแพ้ไหม” ผมพูดลอยๆ แต่ดูรูปเกมแล้วถ้าไม่พลิกกลับมาน็อกคู่แข่ง เพื่อนมันอาจแพ้ด้วยคะแนนก็ได้ ไอ้แกนส่ายหน้า
“มันน่ะมีลูกเด็ดแต่จะดึงมาใช้ไหวหรือเปล่าก็อีกเรื่อง” ไอ้แกนว่า มันกอดอกมองเพื่อนตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ ผมมองไปรอบๆ ตัว คนที่กำลังดูสนุกกันมากแต่ผมไม่อยู่ในอารมณ์นั้น
คนดูเมามันส่งเสียงเชียร์เฮลั่น จนกระทั่งยกสุดท้ายอยู่ๆ ไอ้แกนก็เดินไปหาพี่เลี้ยงที่มุมพักที่ตอนนี้กำลังบีบนวดให้เพื่อนมันอยู่ มันพูดอะไรสักอย่างกับเพื่อนมัน ไอ้แกนมันคงจะชอบชกมวย เพื่อนมันพยักหน้าหงึกหงักก่อนที่เสียงระฆังจะดังและเสียงคนพากย์เริ่มพูดออกไมค์ ไอ้แกนเดินกลับมาหาผม
“ต้องไปกระตุ้นมันหน่อย” มันพึมพำ ผมมองหน้ามันอย่างฉงน เพื่อนที่มันว่าดูไอ้แกนจะเป็นห่วงมากกว่าไอ้จิวหรือเพื่อนๆ มันที่คณะ ไอ้แกนก็มีมิตรแท้เหมือนกันแฮะ
บนเวทีกำลังดุเดือดจนผมเองก็พลอยเอาใจช่วยฝ่ายน้ำเงินไปด้วย เสียงเชียร์ฝ่ายน้ำเงินดังกระหึ่มทำให้เจ้าตัวดึงจังหวะหลอกล่อคู่แข่งให้ถอยไปติดมุมเชือกก่อนจะปล่อย ‘หมัดฮุกขวา’ ข้างถนัดไปแบบเต็มแรง ปะทะเข้ากับบริเวณกรามซ้ายของอีกฝ่ายจนร่วงลงไปกองกับพื้น เสียงพากย์อันตื่นเต้นทำให้ผมละสายตาจากเวทีมวยหันไปมองคนข้างๆ ผมอย่างอดไม่ได้
ผมใจหล่นวูบพบว่าไอ้แกนมันมองมาที่ผมเช่นกัน
‘ทำไมกัน’ แทบทุกครั้งเลยด้วยซ้ำ
ผมเบนหน้าไปมองบนเวทีต่อด้วยใจไม่สงบ เหมือนคนโดนจับได้ บนเวทีฝ่ายน้ำเงินกระโดดไปยืนบนเชือกเส้นล่างสุดกู่ร้องอย่างดีใจกับชัยชนะ
“ไปกันเถอะ มันชนะแล้ว” ผมถูกสะกิดที่แขน ผมเลิกคิ้วมองมัน แค่มาดูแล้วก็กลับงั้นเหรอ
“แค่มาดูเพื่อนมึงน่ะเหรอ” ผมถาม ไอ้แกนเหลียวหน้ามาหา มันกลอกตาเหมือนคนกำลังคิด
“เปล่า... กูพามึงไปตลาดไงแค่แวะมาดูเพื่อนก่อนน่ะ” มันยิ้มบอกให้ผมรอที่ทางออกของสนามกีฬาเพราะมันไปเอารถ คนเริ่มทยอยกลับเพราะเป็นคู่สุดท้ายแล้ว
ผมกดปลายเท้าลงไปที่ก้อนหินก้อนใหญ่ ไอ้แกนมันจงใจพาผมออกมาเพื่ออะไรกัน ผมว่ามันมีจุดประสงค์หรืออาจจะแค่อยากให้ผมออกมากับมันเท่านั้น เสียงรถ KSR คู่ใจไอ้แกนดังมาใกล้ๆ ผมจำเสียงได้

ผมซ้อนท้ายมัน ไอ้แกนพาผมลัดเลาะไปตามซอยเพื่อไปโผล่ที่หัวมุมถนนเลี่ยงไฟแดง มันขี่รถไปจอดใกล้ๆ กับป้ายไวนิลขนาดใหญ่ที่เขียนไว้ว่า ‘ศูนย์รวมปลากัดทุกชนิด’
“เนี่ยนะ?” ผมงง ไม่ยักรู้ว่ามันเลี้ยงปลากัด ไอ้แกนทำหน้าเหมือนขบขันที่เห็นผมไปไม่เป็น
“กูชอบมาดูน่ะ สวยดี ก็อยากจะซื้อไปเลี้ยงสักตัวสองตัว” มันบอก สายตาเหมือนมีเลศนัยอะไรบางอย่าง ผมถอนหายใจแรงๆ เพราะความอ้อยอิ่งของมัน ดูท่ามันจะรู้จักเจ้าของร้านที่ชื่อว่าบาสเพราะเห็นทักทายกันปกติ
ผมเข้าไปด้านใน ร้านถูกแบ่งโซนเป็นสองส่วนคือส่วนของตู้ปลากัดกับส่วนรับลูกค้า มีเก้าอี้นั่งพร้อมอัลบั้มรูปปลากัดของร้าน ผมว่ามันก็สวยดี ไอ้แกนหันมาหาผม “มาช่วยเลือกหน่อย” ผมตกใจเพราะไม่ได้ตั้งตัวอะไร พูดเหมือนสนิทกันด้วย ช่วยเลือก ราวกับว่าผมเป็นส่วนนึงของการตัดสินใจของมัน ผมเบะปาก
“กูเลือกไม่เป็นหรอก” ผมบอก ปลากัดต่างสายพันธุ์ในขวดแก้วสวยๆ ทั้งนั้น โดยเฉพาะประเภทที่หางยาวๆ สวยงามและราคาน่าจะสูงทีเดียว
“เลือกมาตัวนึง” ไอ้แกนหันมาพูดกับผมน้ำเสียงดูอ่อนกว่าที่เคยมันใช้ เป็นน้ำเสียงอีกแบบนึง ปกติคุยกับผมมันก็เสียงห้าวๆ ทุ้มๆ หน่อยแต่โทนเสียงนี้มันเพิ่งมาใช้กับผม
“เอ่อ” ผมอึกอัก บาสเจ้าของร้านกำลังกดดันด้วยสายตา ผมเหลือบไปเห็นปลากัดพันธุ์อะไรไม่รู้สีขาวสวยครีบกับหางแผ่เหมือนพัด “พันธุ์อะไร” ผมถามชี้ไปที่ตู้ปลาตัวนั้น
“อ๋อ นั่นคราวเทล สวยนะ” บาสบอกก่อนจะตวัดสายตามองผมที ไอ้แกนที
“กูซื้อให้” มันบอก ผมนิ่งเพราะไม่อยากเลี้ยงปลากัด จะไปหักหน้ามันตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง มันคงโกรธผมแน่ๆ
“เออ ตัวนี้ก็ได้” ผมบอกเสียงราบเรียบเหมือนโดนมัดมือชกยังไงชอบกล “มึงจะให้กูเลี้ยงเหรอ” ผมหันไปพูดกับไอ้แกนเบาๆ รู้สึกเครียดนิดหน่อยเหมือนโดนไอ้แกนปั่นหัวและผมเองก็ทำตัวไม่ถูก ถ้าให้เลี้ยงอย่างอื่นยังเข้าท่ากว่า
อย่างอื่น..... ผมตกใจกับความคิดของตัวเอง
“กูเลี้ยงเองก็ได้ถ้ามึงเลี้ยงไม่เป็น” ผมมองหน้ามันอึ้งๆ อีกฝ่ายไม่บอกว่าทำไมต้องซื้อปลากัดและทำไมต้องพาผมมาด้วย ผมไม่เข้าใจมันจริงๆ
“เฮ้ย ทำไมมึง—” มันไม่ฟังผมพูดให้จบแต่เดินไปหาบาสแทนเพื่อคุยกันตกลงกันเรื่องราคาเพราะมันซื้อปลากัดเพิ่มอีกหนึ่งตัว ฮาร์ฟมูน หางกุหลาบสีน้ำเงินสวยเชียว แต่ก็นั่นล่ะ... ผมมีคำถามว่ามันซื้อไปเพื่ออะไร เลี้ยงปลามันไม่ง่าย ต้องให้อาหารเปลี่ยนน้ำ มันติดโรคหรือเปล่า ผมถึงไม่ค่อยชอบเลี้ยงสิ่งมีชีวิต

สรุปแล้วมันได้ปลากัดมาสองตัว “ถือไว้ดีๆ” มันบอกราวกับว่าผมโง่ดักดาน
“มีโหลไว้เลี้ยงมันเหรอ” ผมไม่ใส่ใจคำพูดของมัน
“มีสิวะ กูเลี้ยงปลาหางนกยูง” มันบอก สายตาอ้อยอิ่งอยู่ที่หน้าผม
‘มองห่าอะไรวะ’ ผมขมวดคิ้วเพ่งมองโหลปลากัดอย่างสนอกสนใจซะเต็มประดา แต่เรื่องที่มันเลี้ยงปลาผมก็ไม่รู้เลยแฮะ ไม่เคยเข้าไปในห้องของมันด้วย มีแต่มันนั่นแหละที่ชอบมาวุ่นวายในห้องของผม
“เหรอ ไม่เห็นรู้” ผมพึมพำ
“มึงไม่สนใจนี่หว่า” มันแสดงสีหน้าไม่ถือสาเอาความอะไร ผมถือขวดแก้วสองใบที่มีปลากัดสวยงามอย่างระมัดระวัง กลัวมันจะตายก่อนได้ที่อยู่ใหม่น่ะสิ
ระหว่างทางกลับไปอพาร์ทเม้นท์ผมเองก็ได้แต่คิดว่านานแค่ไหนที่ไม่ได้ออกมาเที่ยวในเวลาพลบค่ำแบบนี้ ส่วนมากผมจะอยู่ในแต่ห้อง ถ้าไม่ออกไปนั่งร้านเหล้าชิลๆ บางครั้งผมไปนั่งคนเดียว บางคราวก็มีไอ้แกนไปเกะกะอยู่ข้างๆ
ผมและเจ้าปลากัดสองตัวกลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์อย่างปลอดภัย ไอ้แกนเดินไปที่ห้องของมัน ไขกุญแจไม่นานก็เปิดประตูให้ผมเข้าไป ห้องของมันกว้างเพราะไม่ได้วางของไว้รกหูรกตา เป็นระเบียบ สะอาด ห้องครัวแยกไปอีกประตูนึง ไอ้แกนมีโซนเลี้ยงปลาของมันเองอยู่ริมห้องตรงข้ามกับปลายเตียง แต่มีพื้นที่ว่างพอสมควรเพราะปกติจะต้องมีชั้นวางโทรทัศน์ กลายเป็นเปลี่ยนเป็นตู้ปลานาโนทรงสี่เหลี่ยมขนาดสิบสองนิ้ว มีปลาหางนกยูงสี่ตัว จัดตู้เรียบง่ายแค่หินสีดำกับหินกรวดสีน้ำตาลกับขาวคละกัน ไอ้แกนเดินไปยกตู้ปลามาสองใบ กะจากสายตากว้างพอสมควร น่าจะสักไม่เกินสิบนิ้วมั้ง
ไอ้แกนเดินหายไปในห้องน้ำจากนั้นเดินกลับมาพร้อมน้ำหนึ่งถัง มันค่อยๆ เทน้ำลงไป ผมมองมันจัดการอยู่คนเดียว ผมไม่เข้าใจการเลี้ยงปลากัด
“ช่วยเอาต้นไม้ใส่ให้หน่อย” มันหันมาพูดกับผม สายตาสีนิลคู่นั้นจ้องมองผมปราศจากความอึดอัด เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่ผมเห็นว่าแววตานั้นมีชีวิตชีวา
“อืม” ผมหยิบพรรณไม้น้ำที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“สาหร่ายหางกระรอก” ไอ้แกนบอกขณะที่เดินผ่านผมไป ผมใส่ลงไปในตู้ทั้งสองใบ รวมไปถึงอนูเบียสแคระพันขอนไม้ขนาดเล็กๆ เผื่อว่ามันจะเอาไว้นอน อย่างน้อยๆ ปลาจะได้ไม่เครียด ก่อนจะเทกรวดลงไปพอประมาณ
“ไม่ต้องใช้ออกซิเจนเหรอวะ”
“ไม่หรอกมันอยู่ได้” ไอ้แกนค่อยๆ ปล่อยปลากัดลงทีละด้านของตู้ปลา ปลาสองตัวกับบ้านใหม่มีที่กว้างพอให้มันว่ายสำรวจ ปลากัดมันไม่ถูกกันพอมันเห็นหน้ากันต่างฝ่ายก็สำแดงฤทธิ์ นั่นก็คือทั้งสองตัวกางครีบกางหางท่าทางคึกคัก ไอ้แกนรีบไปหยิบกระดาษมากั้นมันสองตัวไว้ ไม่นานมันก็สงบ ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจปกติก็ไม่เคยสนใจปลากัดพวกนี้
ผมกวาดตามองไปที่โต๊ะเลี้ยงปลามีอาหารปลากัดกับอาหารปลาทั่วไปวางอยู่
“ท่าจะเลี้ยงยาก” ผมพูดเหมือนคุยกับตัวเอง ไอ้แกนส่ายศีรษะไปมากอดอกมองผม
“ไม่หรอก แค่มั่นเปลี่ยนน้ำแล้วก็ไม่ให้พวกพืชมันเน่าแค่นั้นเอง” มันพูดอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร ก่อนจะหยิบอาหารปลาคิงส์ฟิชออกมาเทใส่ไปทีละนิดในตู้ปลา
“เหรอ” ผมไม่คิดว่ามันง่ายเลย ต้องใส่ใจพอสมควร ผมมองปลาฮาร์ฟมูนสีน้ำเงินตัวนั้นอ้าปากกินเม็ดอาหารทีละเม็ด
“ดีน ถ้ามึงอยากดูมันก็มาที่นี่ได้นะ” มันบอก ผมนิ่งชาดิกทั้งตัว บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่มันซื้อปลากัดมาเลี้ยง ผมคิดในแง่ร้าย
“หึ มึงฝันไปเหอะ” ผมเอ่ยขึ้น
“นั่นสินะ” ไอ้แกนงึมงำเบาๆ
“มึงคงว่างเลี้ยงมันอยู่แล้วล่ะ” ผมบอกก่อนจะถอนหายใจเฮือก
“อือ แค่เลี้ยงปลาเองถ้าเลี้ยงไม่ได้ก็ไม่ต้องไปดูแลใครหรอก” เสียงของไอ้แกนพลุ่งพล่านด้วยอารมณ์
ผมนิ่งไป... มันว่าผมหรือเปล่า
“หมายถึงอะไร” ผมอดไม่ได้ที่จะถามอีกฝ่าย
“ก็มึงไง กูเลี้ยงเองดีกว่า” มันพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง “แต่กูพูดจริงๆ นะเว้ย ถ้าอยากมาดูมันก็มาได้ไม่เห็นต้องคิดมาก เดี๋ยวกูให้กุญแจสำรองมึงไว้เผื่อว่ากูไม่อยู่ห้องจะได้ให้อาหารมันด้วย” ไอ้แกนบอกอย่างไม่แน่ใจ ผมเงียบ... มันพูดเองเออเองหมดทั้งนั้น
“กูต้องทำงาน” ผมพูด
“อืม โทษที” มันว่าไหวไหล่เบาๆ ก่อนจะเดินหายไปในห้องน้ำ มีเสียงปึงปังให้ได้ยิน ผมจ้องปลากัดสีขาวที่ว่ายผลุบๆ โผล่ๆ ไปตามรากไม้ที่ใส่ไว้ ผมกัดกระพุ้งแก้มพยายามหาทางออกจากสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป ไอ้แกนเดินโผล่ออกมาจากห้องน้ำ มันพยายามไม่มองมาที่ผม
“เอากุญแจมา” ผมบอกไป ไอ้แกนกำลังจะเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ชะงักค้างมีแววแปลกใจปรากฏพาดผ่านใบหน้าของมัน มันยืดตัวก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบกุญแจดอกเล็กๆ มีเชือกสีแดงถักห้อยไว้ อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาผม
“มาตอนไหนก็ได้” ไอ้แกนพูดและยื่นกุญแจมาให้ ผมยื่นมือออกไปรับมาถือไว้ก่อนจะหมุนเล่นในมือ
“อือ” ผมบอกก่อนจะยัดกุญแจใส่กระเป๋ากางเกง
“ขอบใจที่ออกไปด้วยกัน” มันเอ่ยห้วนๆ แต่ออกมาจากใจ ผมเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายแต่จ้องได้ไม่นานก็เบนหน้าหนี
“อืม... งั้นกูไปนะ” ผมบอกแล้วเดินผ่านไอ้แกนไป ผมกัดปากอย่างพิจารณา นึกถึงเสื้อเชิ้ตที่ผมซื้อมาแล้วก้เกิดความลังเลใจ
“เออกู…” ผมพยายามจะพูดแต่ก็ต้องกล้ำกลืนถ้อยคำลงไปในที่สุด... ผมไม่กล้า ไอ้แกนหรี่ตามองผม มันยังคงเปิดประตูห้องค้างไว้เพื่อรอฟังผมพูดให้จบ
“พูดมา กูไม่รีบหรอก” มันยกมุมปากเหมือนจะขบขัน ผมหายใจเฮือกใหญ่อย่างหงุดหงิด
“กูอยากขอบใจมึง รอตรงนี้ก่อน” ผมบอกไม่ได้รอฟังความเห็นจากมัน
ผมรีบกลับเข้าไปในห้องของตนเองเอื้อมไปคว้าถุงเสื้อออกมา ผมหลับตารวบรวมความกล้า เรื่องแค่นี้เองทำไมมันยากเย็นนักวะ ผมเปิดประตูออกไปก่อนจะเดินไปหาไอ้แกนที่ยังคงยืนรอผมอยู่ห้องถัดไป มันจ้องมองถุงในมือผมไม่วางตา เหมือนว่าแววตาของมันมีประกายขึ้นมาเล็กน้อย
“กูให้” ผมยื่นออกไปให้ ไอ้แกนรับของไปเงียบๆ มันเปิดถุงดูของด้านใน มันกระตุกยิ้มมุมปากแกมหัวเราะเบาๆ ให้ได้ยิน ผมนิ่งงัน
“ขอบคุณ” มันเงยหน้าจากถุงในมือมาสบตาผม
“เออ” ผมพยักหน้าก่อนจะเดินกลับเข้าห้อง รู้สึกว่าร่างกายหนักไปหมดทุกอย่าง ดูเหมือนก้าวผ่านช้าๆ มือผมแตะสัมผัสลูกบิดเย็น
“ดีน” มันเรียก ผมสูดลมหายใจ
“มีอะไร” ผมไม่ได้เอี้ยวตัวไปหามัน
“ไม่มีอะไร” มันบอกทำให้ผมหันไปมองทางมัน ไอ้แกนยืนพิงขอบประตูจ้องมองมาที่ผม
“อะไรของมึง” ผมบ่นพึมพำ
“ฮึๆ กูดีใจนะที่มึงเปลี่ยน” ไอ้แกนเอ่ยขึ้น มันยิ้มให้ผม คำพูดของมันทำให้ผมยืนนิ่งไปอยู่นาน ผมกลืนน้ำลาย
“มันก็ผ่านมาแล้ว” ผมบอก
“เก็บกุญแจของกูไว้ให้ดีๆ นะ ดอกสุดท้ายแล้ว” ไอ้แกนพูดก่อนจะยิ้มแล้วขยับตัวเดินเข้าห้องไปก่อนจะปิดประตูตามหลัง ผมอดไม่ได้ที่จะล้วงกระเป๋ากางเกงเอากุญแจห้องของมันออกมาดู
มันให้กุญแจห้องตัวเองกับผม
ไอ้แกนมันจะบอกอะไรผมหรือเปล่าวะ ทั้งปลากัดนั่นด้วย จะเลี้ยงปลาต้องเอาใจใส่สม่ำเสมอ มันคล้ายกับการดูแลคน นั่นไม่สำคัญหรอกมันจะคิดอะไรอยู่ สำคัญที่ว่าตอนนี้ในหัวผมมีแต่เรื่องของมัน ผมคิดวกวนเรื่องไอ้แกนอยู่ตลอด
นั่นมันส่งสัญญาณอะไรหรือเปล่านะ
ให้ตายเหอะ โลกนี้มันเพี้ยนไปแล้วจริงๆ ถึงต่อให้มันพูดออกมาจริงๆ ผมจะทำยังไง จนตอนนี้ผมเจอ Comfort zone ของตัวเองแล้วและก็ไม่อยากเจอกับการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ด้วย
หึ.... ยังทำอะไรตามใจตัวเองเหมือนเดิม ไอ้แกนมันไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary 17.08.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-08-2017 13:41:21
ดีน คงรู้คำตอบในใจแล้วว่าแกนชอบตัวเอง
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary 17.08.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-08-2017 15:08:29
เอิ่มจะรักกันได้เหรอเนี่ยคู่นี้
เอาเป็นว่าเอาใจช่วยละกัน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # Deen Diary 17.08.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-08-2017 19:13:32
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # บทส่งท้าย#ผิง 18.08.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 18-08-2017 12:39:39
แกนดีน
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # บทส่งท้าย#ผิง 18.08.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 18-08-2017 13:28:50
 นี่ลุ้นคู่ยิมผิงมากอะ สงสารพี่ยิมนิดๆพี่ผิงก็ใจแข็งน่าดูเลย ส่วยคู่แกนดีนนี่อ่านไปก็อึดอัดใจหน่อยๆ คือไม่รู้เฮียแกนแกจะเอาไงกันแน่ จะจีบก็ให้ชัดๆหน่อยสิคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง 8
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 18-08-2017 14:19:12
ผิง -
ตอนที่ 8  เรื่องดีๆ

บรรยากาศในมหาลัยเต็มได้ด้วยมวลของความสดใสจากการตกแต่งพืชพรรณยินดีกับบัณฑิตจบใหม่ ใช่แล้วล่ะ ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่เทศกาลฉลองของเหล่าปีสี่ที่สำเร็จการศึกษา บางคนได้งานทำเป็นที่เรียบร้อย ถนนซอกซอยรอบๆ รั้วมหาลัยเริ่มคึกคักมากกว่าปกติ แน่ๆ คือรถเริ่มติดเป็นบางเส้นทาง

วันนี้ผมส่งเล่มวิจัยไปให้อาจารย์เสร็จแล้วเลยเข้ามาในเมืองเพื่อมารับของที่สั่งทำไว้ให้ไอ้ยิม มันเรียนจบทั้งทีมีของขวัญให้หน่อย มันคงดีใจจนแว่นหล่นแน่ๆ ยังไงก็ต้องหาของขวัญไปให้ไอ้ยิม อย่างน้อยๆ เพื่อตอบแทนน้ำใจของมันกับเรื่องที่ผ่านมา

ผมสั่งทำแหวนนิลดำ นิลที่ได้มาจากฮ่องกงนั่นแหละ ไอ้ยิมซื้อให้ผม มันเป็นของผม แต่ตอนนี้ผมจะทำให้มันเป็นของขวัญให้ไอ้ยิม ผมซื้อสร้อยเชือกเทียนสีดำมาด้วยเผื่อว่าไอ้ยิมไม่อยากใส่แหวน จะได้เอามาร้อยกับสร้อยได้
ในวันสำเร็จการศึกษาของยิม ผมไปรอไอ้ยิมที่คณะวิศวะ คนเยอะจนผมเกือบหาไอ้ยิมไม่เจอ จนกระทั่งผมเจอป๊ากับม้าของมัน ปกติป๊าของอีกฝ่ายก็ไม่ค่อยพูดกับผมอยู่แล้ว มาคราวนี้หน้าผมท่านยังไม่มองเลยด้วยซ้ำ ยกเว้นมาม้าผู้ใจดีของมัน ท่านคุยกับผมหลายเรื่อง ส่วนมากก็เรื่องไอ้ยิม แต่ไม่มีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ของผมกับยิม ส่วนไอ้โยก็มา กลายเป็นว่ามันโกรธผมซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนยังดีๆ อยู่เลย มันไม่คุยกับผมแม้แต่คำเดียว


ผมยื่นช่อดอกไม้ให้มัน ไอ้ยิมยิ้มกว้าง “ยินดีด้วยนะ บัณฑิตใหม่” ผมบอกมันท่ามกลางสายตาของคนในครอบครัวของยิม เลยทำให้ผมไม่กล้ายื่นของขวัญให้มัน พอได้ถ่ายรูปคู่กันไม่นานไอ้ยิมก็ถูกดึงตัวไปถ่ายกับคนนั้นคนนี้ ผมเองอยู่คณะวิศวะมาหลายชั่วโมงแล้วจึงขอตัวกลับก่อน ที่จริงครอบครัวไอ้ยิมจะไปฉลองกันต่อแต่ผมไม่ได้รับเชิญ ก่อนจะกลับผมเลยถือโอกาสให้ของขวัญที่เตรียมมาอย่างดี

“ของขวัญจากกู” ผมยื่นให้ยิมก่อนที่มันก่อนจะขึ้นรถตู้ ไอ้ยิมเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจจากนั้นก็กลับมาอยู่ในท่าทีปกติ รักษามาดตามเดิม
“ขอบคุณนะ ที่จริงไม่ต้องให้ก็ได้ คือกูดีใจนะที่มึงมา” มันยิ้มกว้างที่สุดของวันนี้ แม้จะมีความเหนื่อยล้าแต่แววตาผ่านกรอบแว่นคู่นั้น ผมไม่ลืมเลย
“ได้ไงวะ นี่งานของบัณฑิตใหม่ทั้งที ยังไงก็เก็บไว้ดีๆ นะ” ผมบอก ไอ้ยิมก้มมองกล่องเล็กๆ กะทัดรัดในมือ มันยิ้ม
“แกะเลยได้ไหม” มันเงยมาสบตาผมพอดี
“ตามใจ” ผมบอกก่อนจะยืนกอดอกมอง คนตัวสูงกว่ากำลังแกะกล่องสี่เหลี่ยมอย่างรวดเร็ว ผมแอบตื่นเต้น ขณะที่ไอ้ยิมเปิดกล่องออกผมเห็นสีหน้าแปลกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนในแววตาของมัน มันยิ้มกว้างแก้มแทบปริก่อนจะมองหน้าผมอยู่นาน ผมพยายามจะไม่ยิ้ม
“ที่ให้มีความหมายอะไรหรือเปล่า” มันถามก่อนจะหยิบสร้อยสีดำออกมาดู มันลูบแหวนนิลวงนั้นไปมา
“ของมีค่านี่หว่า แพงนะเว้ยจะกระจอกได้ยังไง” ผมบอกมันก่อนจะบุ้ยใบไปที่รถตู้สีดำของครอบครัวมันที่จอดแช่อยู่นานแล้ว ไอ้ยิมมองผมด้วยแววตาสดใส
“อืม จะเก็บไว้อย่างดี” ไอ้ยิมบอกกับผม มันยิ้มดีใจ ผมโบกมือให้มันขึ้นรถได้แล้ว ไอ้ยิมโบกมือลาผมก่อนจะเดินขึ้นรถตู้ไป ผมยืนมองรถตู้สีดำคันนั้นขับออกไปก่อนจะกลับคณะตัวเอง


   ในวันนั้นผมคิดว่าไอ้ยิมมันเข้าใจความรู้สึกของผมที่มีต่อมันแล้วนะ อย่างน้อยยิมมันจะได้เลิกคิดมากเสียที ไอ้ความคิดที่ว่าผมจะมีแฟนไปซะก่อน ไม่มีทางซะล่ะ




    หลังจากที่เปิดภาคเรียนใหม่ ไอ้โก๋มันเขามาถามผมทันทีว่า “ตกลงกลับไปจู๋จี๋ดู๋ดี๋กันเหมือนเดิมแล้วเหรอ”
“เปล่าหรอก”
“ทำไมวะในเมื่อใจตรงกันจะลีลาไปทำไม” ไอ้โก๋พูดอย่างไม่เข้าใจ
“ยังไม่อยากมีภาระในเวลาที่กูไม่พร้อมหรอก” ผมบอก ตอนนี้ผมขอโฟกัสเรื่องเรียนเพราะปีสุดท้ายแล้ว อีกอย่างไอ้ยิมมันเริ่มหางานทำแถวในเมือง มันเลือกที่จะไม่เข้าไปเมืองกรุง มันพอใจกับงานในบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นบริษัทย่อยประจำจังหวัด รายได้เหมาะสมกับโปรไฟล์ของมันดี คงไม่มีเวลามาดูแลกันหรอก
“อืม ก็จริง เกิดทะเลาะกันขึ้นมาไม่รู้ว่าใครจะสติแตกกว่ากัน” ผมคิดตามไอ้โก๋ ผมยังไม่เคยเห็นมันโกรธแบบสุดเหวี่ยงมาก่อน
ผมก็เหมือนกัน ยังไม่อีกตั้งมากมายให้เราได้ศึกษากัน ผมอายุยี่สิบสองจะรีบไปทำไม มีเวลาอีกตั้งเยอะแยะ อีกเรื่องหนึ่งคือมีเพื่อนผมหลายคนวางแผนจะเรียนต่อโท จำได้ว่ามีรุ่นพี่สองสามคนไปต่อโทที่ต่างประเทศ อย่างจีนหรืออินเดีย ซึ่งน่าสนใจมาก ผมค้นคว้าข้อมูลไปพอสมควร ถ้าจะให้เลือกไปจริงๆ ผมคงเลือกอินเดีย


................




    วันเวลาในรั้วมหาลัยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดผมก็จบอย่างเป็นทางการ งานวันรับปริญญาของเหล่าบัณฑิต วันนี้เป็นวันแห่งความวุ่นวาย (โคตรๆ เลยล่ะ) ผมกำลังยืนท่ามกลางแสงแดดเรืองรองเป็นนายแบบให้ช่างภาพถ่ายรูป วันนี้เป็นวันแห่งความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ และบลาๆ พ่อแม่ยืนข้างๆ ผม มีรอยยิ้มแห่งความปลื้มปิติยินดีอยู่ตลอด ผมมองไปรอบๆ บริเวณ เจอเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันเกาะกลุ่มถ่ายรูปกับครอบครัว แต่สายตาผมกำลังเสาะหาหนุ่มแว่นที่รับปากว่าจะมางานผม กลัวว่ามันจะเบี้ยวน่ะสิ

“ฮั่นแน่ มองหาใคร” น้ำเสียงสดใสดังมาจากด้านหลังพร้อมกับน้ำหนักมือแปะมาที่กลางหลังของผม ไอ้โยนั่นเอง เห็นมันแล้วก็โล่งอก ไอ้โยมันยกมือไหว้ทักทายพ่อแม่ผมอย่างไม่มีติดขัด
“มึงมาได้ไงวะ” ผมถาม ไอ้โยย่นจมูก
“ไม่ได้มาหาพี่หรอกนะ มาหาพี่สองต่างหาก” มันว่า ผมไหวไหล่ ไอ้โยชะเง้อมองไปทางด้านหลังทางเดียวกับที่มันเดินมาหาผม
“ไอ้ยิมล่ะ”
“คงจะมาหรอก ไปหักอกอาเฮียแล้วคิดว่าจะมาเหรอ” ไอ้โยทำเสียงงอน ผมส่ายหน้า ใครว่าผมไปหักอกไอ้ยิมกันล่ะ
“ใช่ที่ไหน” ผมบอกไม่ทันขาดคำยิมก็เดินมาหาผมพร้อมกับดอกไม้ช่อโต มันแต่งตัวโทนสดใส เชิ้ตสีฟ้าทะเลกับกางเกงยีนลีวายสีดำ มันยื่นช่อดอกไม้ให้ผม
“ยินดีด้วยนะ” มันส่งยิ้มให้ผม
“นึกว่าจะไม่มาซะละ” ผมพึมพำก่อนจะรับช่อดอกไม้ไว้ ยิมหันไปสวัสดีพ่อกับแม่ที่ไม่ได้สนใจผมสักเท่าไหร่นอกจากกำลังดูรูปในกล้องของช่างภาพ
“อ้อ หวัดดีจ้ะยิม”
“รับปากแล้วนี่หว่า” มันขมวดคิ้วระหว่างที่พูด ผมเม้มปากมองมันหัวจรดเท้า มันไม่ได้สวมแว่นนี่นา ถึงว่ามันดูสดใสและแปลกตาไปกว่าทุกครั้ง
“อือ ขอบใจนะที่มา” ผมบอก ไอ้โยยืนแกว่งมือไปมามองคนนั้นทีคนนี้ที
“โย ไปหาพี่สองดีกว่า” มันบอกก่อนจะวิ่งหายไปทางซุ้มดอกไม้หน้าป้ายคณะ

พ่อกับแม่ชวนยิมมาเข้าเฟรมด้วย แน่นอนว่ากว่าจะปล่อยตัวยิมให้เป็นอิสระก็กินเวลาไปเกือบยี่สิบนาที เมื่อเสร็จสิ้นพิธี ครอบครัวผมกลับไปนอนโรงแรมเพราะผมย้ายออกจากหอพักแล้ว พ่อกับแม่อยู่ห้องติดกัน ผมเปิดประตูเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหลับเป็นตาย ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ปาไปสี่ทุ่มแล้ว

ผมหยิบโทรศัพท์มาดู ยิมโทรมาหาสองครั้ง ผมเลยโทรกลับไปหามัน รอสายไม่กี่อึดใจ ก็รับสาย

[เพิ่งตื่นเหรอ] เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยถามทันที
“ฮื่อ โคตรเพลีย เนี่ยเพิ่งตื่น” ผมรายงาน อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ
[กินอะไรหรือยัง ให้ไปรับไหม]
“อืม ก็ดีนะ อีกสิบนาทีค่อยมานะขออาบน้ำก่อน”
ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ยิมเรียกได้ว่าอยู่ในสถานะเพื่อนที่ดีต่อกัน ผมขอยืนยันด้วยความสัตย์จริงว่าเรายังคง ‘ดี’ ต่อกันไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไหร่นัก ผมชอบความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้มากกว่า มันไม่ผูกมัดและไม่ทำให้ผมอึดอัด ผมมีอิสระ รู้สึกหัวสมองปลอดโปร่งไม่ต้องคิดสะระตะอะไรให้วุ่นวายเหมือนแต่ก่อน ไม่ใช่ว่าแต่ก่อนความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ยิมมันไม่ดี แต่ผมไม่อยากให้เรามองหน้ากันไม่ติดหลังจากที่จบกันน่ะสิ โลกยังไม่แตกเสียหน่อย ผมยังไม่ตาย ไอ้ยิมยังไม่ตายและยังสามารถคุยกันได้
ย้อนกลับไปสมัยที่ผมกับยิมยังคงอยู่สถานะดูใจ ทดลองใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมเหมือนรู้สึกมีห่วงคอยดึงรัดบีบคั้นจนผมหายใจไม่ค่อยออก อย่างเช่นว่า เมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันซะที มันเหมือนผมโดนกดดัน ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเป็นแฟนมันหรอก ผมก็เป็นผู้ชายคนนึง การเป็นแฟนหมายความว่าเราต้องรู้สึกกับคนคนนั้นมากกว่าเพื่อน เป็นคนพิเศษ คนที่ชอบ
ผมยอมรับว่าชอบยิม เป็นห่วงถ้าหากมันไม่สบายหรือทำงานหนักๆ ไม่ดูแลตัวเอง ผมยังไม่สามารถจับมือมันได้แบบที่คนเป็นแฟนควรจะทำ หรือสัมผัสที่มากกว่านั้น ผมทำไม่ได้ ผมแทบไม่คิดเลยด้วยซ้ำ ผมก็ไม่ใช่เด็กๆ ไร้เดียงสา ในตอนแรกผมคิดว่าปล่อยไปตามธรรมชาติ (แน่นอนว่ามันจะไม่เกิดขึ้น) เพราะผมไม่มีความต้องการแบบนั้นด้วยซ้ำ ผมเปิดใจตัวเองไม่คิดเรื่องเพศสภาพ ผมรับได้ แต่เอาเข้าจริงๆ มันยากมากที่ร่างกายจะตอบสนองต่ออีกฝ่ายหรือผู้ชายด้วยกัน
ผมไม่เป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่กับไอ้ยิมและมันไม่ใช่เพราะผมหวั่นไหวหรือกำลังตกหลุมรักมัน ผมยังไม่ได้ไปถึงขั้นนั้นเลย ผมยังไม่ได้รักมันหรอกนะ ออกจะดูใจร้ายไปบ้างแต่นั่นคือความจริง และผมก็ค้นพบว่าอยากให้เวลาตนเองมากกว่านี้ แต่ก็ไม่อยากให้มันหายไปจากชีวิตของผมหรอก ฟังดูเห็นแก่ตัว
หลังจากกลับจากฮ่องกงผมคิดทบทวนแบบมีสติ ไม่ได้ว้าวุ่น ผมทำความเข้าใจตัวเองต่างหาก ผมต้องการอะไรกันแน่ เราต่างรับรู้ว่าทุกอย่างดูเปลี่ยนไป ไอ้ยิมมีเวลาทำความเข้าใจผมตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ผมกลัวว่ามันจะเจ็บหนักจากผม เพราะมันคาดหวังว่าจะได้รับการรักตอบ มันคงเหนื่อยกับการไล่ตามอีก 
“แล้วกูจะกลับมา ใช้เวลาไม่นานหรอก” ไอ้ยิมเป็นคนเข้มแข็ง มันอยู่กับตัวเองได้ ช่วงที่มันหายไปผมก็กลับมาสนใจเรื่องฝึกงาน แต่ลึกๆ ยังคงกังวลเรื่องของมันอยู่ ยังมีไอ้โยโทรมาโวยวายกับผมยกใหญ่เรื่องอาเฮียของมัน
หลังจากจบซัมเมอร์ฝึกงานเสร็จสิ้น ผมได้รับข่าวคราวจากไอ้ยิม มันเริ่มเดินสายหางานทำ มันโทรมา ผมแปลกใจมาก ตอนแรกคิดว่ามันแกล้งทำเป็นสดใสร่าเริงกลบเกลื่อน แต่มันบอกว่ามันเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการ เท่าที่คุยกันมันสงบลงมาก บางทีอาจได้คนคุยด้วย คงเป็นที่บ้านล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นไอ้โยคงไม่โทรมาจวกผมซะเละ

หลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงไปรอไอ้ยิมมารับที่หน้าโรงแรม ผมเห็นรถโฟลคสีเหลืองคันเดิมของมันชะลอมาจอด แถมยังบีบแตรอีก ผมเดินไปหาอีกฝ่าย
“ให้ไปส่งที่ไหนดีครับ” พอเข้าไปนั่งเบาะข้างๆ ได้ ไอ้ยิมมันมาแปลก ทำเป็นเล่นมุกแบบนี้ ผมเบ้ปาก
“ตามใจมึงเลย”
“โอ้ พอดีมีร้านที่น่าสนใจอยู่” มันพูดเหมือนกำลังท่องบทละคร ผมส่ายหน้าพยายามหาถ้อยคำมาต่อล้อต่อเถียงกับมันแต่นึกไม่ออก ผมสังเกตว่ามือที่จับพวงมาลัยรถ มือซ้ายมีแหวนนิลสีดำปรากฏเด่นชัดอยู่ ไอ้ยิมเหลียวมองผมไม่นาน มุมปากยกขึ้นเหมือนจะหลุดยิ้ม มันจงใจให้ผมเห็น
“ไม่ต้องหรูมากนะ” ผมส่งเสียงประท้วง ไอ้ยิมยิ้มแกมหัวเราะ มีอยู่ครั้งหนึงไอ้ยิมมันพาผมไปเข้าร้านอาหารฝรั่งเศส ซึ่งไอ้ผมก็พอจะได้ยินอาหารชื่อดังอย่าง ฟัวกราซึ่งผมไม่อยากกิน (ตับห่าน) ต่อให้น่ากินแค่ไหนก็เถอะ ผมเคยได้ยินที่มาของมันเหมือนกันเลยไม่ชอบกินนัก
“วันของบัณฑิตใหม่ทั้งที” มันหันมาพูด ผมย่นหน้า มันใช้คำพูดของผมเมื่อปีก่อนนี่นา ไอ้ยิมพาผมไปร้านเกี๊ยวธรรมดา ค่อยโล่งหน่อย ผมสั่งติ่มซำกับบะมี่เกี๊ยวกุ้ง ไอ้ยิมสั่งแค่เกี๊ยวหมูแดงกับเกี๊ยวทอด นั่งรอออเดอร์มาเสิร์ฟไม่นานนักก็ได้เวลาจัดการหลังจากที่ท้องว่างมาหลายชั่วโมง
เราต่างกินเงียบๆ
“ที่จริงกูมีของมาให้ด้วยนะ” มันบอก
“อะไรเหรอ” ผมย่นคิ้ว อย่าบอกนะว่าแหวนเหมือนกัน ไอ้ยิมยักไหล่
“เดี๋ยวก็รู้” มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะสนใจแต่อาหารตรงหน้าอย่างเดียว
“หึหึ ลีลา” ผมพึมพำ ถึงได้แห้วไง ไม่วายที่จะจ้องผมด้วยสายตาเชือดเฉือน
หลังจากทานเสร็จมันพาผมไปย่อยด้วยการเดินสะพานรับลมเล่น เสียงรถแล่นผ่านดังก้องพร้อมกับลมที่ปะทะกลับมา เราหยุดตรงกลางสะพานจ้องมองแม่น้ำที่มืดสนิท มองจากยามค่ำคืนแล้วน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก แสงจันทร์และดวงดาวกระทบผิวน้ำระยิบระยับแต่น่าสะพรึง
“ได้ยินว่าอยากเรียนต่อเหรอ” ยิมเอ่ยขึ้นในที่สุด ผมแปลกใจว่ามันไปเอาข่าวมาจากไหน หรือเป็นไอ้โก๋?
“อือ ก็แค่ลองเช็คดูเฉยๆ” ผมบอก
“ชักจะห่างกันไปทุกที” มันว่า
“แค่อยู่ไกลกันเฉยๆ ไปมาหาสู่กันได้นี่หว่า”
“อินเดียนะเว้ย” มันพูด ปล่อยให้ประโยคนี้กลืนหายไปตามแรงลม
เรื่องเรียนต่อโทผมได้คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา ท่านแนะนำว่าที่อินเดียก็น่าสนใจ ศิลปะที่นั่นขึ้นชื่อแต่ผมยังไม่ได้มีรายละเอียดเรื่องของมหาลัย หรือด้านที่สนใจ ที่จริงผมสนใจที่จีนมากกว่าเพราะขึ้นชื่อด้านดรออิ้งกับเพ้นท์ แต่ผมยังกังวลเรื่องการปรับตัว ส่วนใหญ่รุ่นพี่ผมไปอินเดียกันทั้งนั้น 
“อืม กูก็กังวลอยู่...”
“แน่ล่ะสิ แต่มึงคงปรับตัวได้อยู่แล้ว”
“ฮื่อ... ไหนล่ะของขวัญน่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง ยิมเหลียวมามอง
“หลับตาสิ” มันบอก
“หลับตา?” มันจะทำอะไร ผมยังไม่เห็นว่ามันซ่อนของขวัญไว้ตรงไหน ผมลังเลแต่ก็ยอมหลับตา อยากจะแอบมองแต่ก็ไม่อยากเสียเวลา ช่วงที่ผมหลับตา อาจจะประมาณสักสิบวิให้หลัง ผมสัมผัสถึงลมหายใจ ทำให้ผมลืมตา
ไอ้ยิม
ผมตกใจชะงักกึกอยู่กับที่ อดไม่ได้ที่จะใจเต้นรัว
“ทำไม ตกใจหรือว่าเสียดาย” มันไม่ได้จูบผมแค่มาอยู่ในระยะประชิด ใบหน้าห่างกันไม่กี่นิ้ว ไอ้ยิมยืดตัวกลับไปตามเดิม ผมค่อยหายใจคล่องขึ้นมาบ้าง
“ตกใจสิ ไหนล่ะของขวัญอะ” ผมทวงต่อ
“ไม่มี” มันพูดหน้าตาเฉยไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
“อ้าว” ผมไหล่ตก หลอกให้ดีใจเล่นนี่หว่า
“แค่อยากมาเดินเล่นด้วย” ไอ้ยิมก้มมองมือของตัวเอง
“ชวนมาก็ได้นี่” ผมพูดก่อนจะจ้องมองมันนิ่งๆ ผมปล่อยให้มันทำอย่างที่มันอยากทำ
“เดี๋ยวไม่ประทับใจ” ไอ้ยิมเอ่ยก่อนจะยิ้ม ผมหัวเราะกับคำตอบของมัน จะบ้าหรือไง
“ได้ผลนะ ใช้ได้นะมึง” ผมผลักมันเบาๆ ยิ่งโตยิ่งเล่ห์เหลี่ยมเยอะนะไอ้ยิม ผมยังไม่ได้ตัดสินใจจริงจังว่าจะไปเรียนต่อที่อินเดีย ไอ้ยิมมันรู้ข่าวรวดเร็วมาก
“งั้นกูตามมึงไปอินเดียดีไหมวะ”
“มันไม่มีข้อห้ามนี่หว่า อยากทำอะไรก็ทำสิ” ผมบอก ไอ้ยิมแค่ยิ้มไม่รู้ว่าพูดเล่นพูดจริง
“เออ อย่ามาบ่นว่ากูตื๊อล่ะกัน” ไอ้ยิมพูด

ผมกับยิมเดินกลับไปที่รถ อย่างที่ผมบอก ชีวิตมันไม่แน่นอนมีอะไรเกิดขึ้นอยู่ตลอด ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเรียนต่อโทที่อินเดีย ในอนาคตอาจเกิดเรื่องต่างๆ อีกมาก การจะมายึดติดกับความรักแบบหนุ่มสาวครองคู่ไปจนตายมันไม่ใช่สิ่งที่ผมหวังหรอก แต่ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าอยู่กับไอ้ยิมแล้วสบายใจ เหมือนได้เจอกับคนที่คุยกันได้อย่างไม่เขินอาย อาจไม่ใช่เพื่อนไม่ใช่แฟน แต่มันก็สำคัญต่อผมมากๆ ด้วยเช่นกัน ผมจะไม่พูดอะไรให้มันสวยหรู ยังไงสุดท้ายแล้วผมกับไอ้ยิมก็ยังคงอยู่ตรงนี้ มันยังไม่ได้ไปไหนซะหน่อยและมันก็ยังไม่ใช่จุดจบของความสัมพันธ์ของเรา

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # "บทส่งท้าย"(ผิง) 18.08.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 18-08-2017 17:40:46
สองของเราค่าตัวแพงมากเลยมาแต่ชื่อ 555 คิดถึงท็อปสองแล้วจะมีคู่นี้อีกมั้ยคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # "บทส่งท้าย"(ผิง) 18.08.60 P.25
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-08-2017 19:48:03
เหมือนจะเข้าใจผิง
แต่ยังสงสัยความสัมพันธ์แบบนี้ ว่าเมื่อไหร่จะหวานๆกัน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # "บทส่งท้าย"(ท็อปสอง) 19.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 19-08-2017 22:44:31
บทส่งท้าย 


ปี 3 เทอม 2 

เริ่มเข้าเทอมใหม่ แน่นอนว่าเด็กศิลป์อย่างพวกผมต้องมาพบเจอกับระเบียบฯวิจัยซึ่งไม่ใช่ทางถนัดเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ถือเป็นบททดสอบก็แล้วกัน ไอ้ผิง ไอ้โก๋ ไอ้เชี่ยว นัดรวมตัวกันที่หลังห้องปั้น ปรึกษาหารือเรื่องฝึกงานช่วงซัมเมอร์ ไอ้เชี่ยวจะหาแนวร่วม

“เออ มึงสนใจกันไหมวะ อย่างน้อยๆก็ได้ประสบการณ์ พอเราขึ้นปีสี่ก็ลุยเรื่องศิลปะนิพนธ์อย่างเดียวเลย”ไอ้เชี่ยวพูดจบมันคอยมองสีหน้าท่าทางของพวกผมที่เหลืออย่างมีความหวัง ผมก็ว่าน่าสนใจ มีรุ่นพี่หลายคนไปหาประสบการณ์ช่วงซัมเมอร์ถึงจะไม่ใช่การฝึกงานจริงๆเพราะช่วงเวลาของซัมเมอร์มันสั้นๆเอง ไอ้โก๋มุ่นคิ้วท่าทางลังเล ผมคิดว่ามันสนใจแต่อาจยังไม่แน่ใจ ส่วนไอ้ผิงมันไม่ไปหรอกมีงานต้องช่วยที่บ้าน ไม่ก็งานของมันเอง

“กูว่าก็น่าสนใจดี”ผมบอกมัน  แต่ถ้าหากผมไปซัมเมอร์ พี่ท็อปก็คงกลับจากฝึกสหกิจพอดี ไอ้เชี่ยวพูดขึ้นมาเหมือนอ่านใจออก

“ลังเลเพราะแฟนเหรอไง”มันส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบาๆทำนองว่าหมดหวัง

“ถ้ามึงอยากไป ไม่ต้องหาข้ออ้างหรอก”ไอ้ผิงออกโรงด้วยอีกคน ผมนิ่งคิดอย่างลังเล ปรึกษาพี่ท็อป เจ้าตัวคงบอกให้ผมคิดเอง “กูไป”ไอ้โก๋พูดเสียงดังฟังชัด มันตัดสินใจได้แล้ว มันยิ้มกับผม ไอ้เชี่ยวตบมือเข้าหากัน สีหน้าสดชื่นขึ้นกว่าหลายนาทีที่ผ่านมา ไอ้โก๋มันรู้ใจผมพอสมควร มันรู้ว่ากำลังลังเลอะไร เรื่องอะไร

พี่ท็อปไปฝึกงานแล้ว  ความรู้สึกแรกหลังจากที่พี่ท็อปไปฝึกงานเเล้วคือ เงียบเหงา ผมเป็นคนขี้เหงา และขี้เบื่อ ผมคิดว่าข้อนี้มันไม่เปลี่ยน ผมฆ่าเวลาด้วยการไปสตูฯกับเพื่อนๆ ใช้เวลากับคนอื่นๆทำให้ผมไม่คิดฟุ้งซ่านมากนัก

ตั้งแต่เปิดเทอมสองมาพอมีเวลาว่าง ผมก็เลยมีโอกาสไปตลาดนัดมอแล้วเจอเจ้าแคคตัสเลยตัดสินใจซื้อมาเลี้ยง ตอนนี้ผมก็ซื้อกระถางดินเผารูปแบบต่างๆมาใส่แคคตัส ให้ดูสวยงาม ผมเลี้ยงเจ้าแคคตัสมารวมๆแล้ว 10 กระถาง เป็นอิชินอปซิส ดอกสีขาว คอนโดนางฟ้า ดิสโก้ แมมขนนก และนูดัมปนๆกันไป ผมเลี้ยงดูปูเสื่อพวกมันอย่างดี ดูๆไปมันก็สวยดี เพลินตาดี ผมเลยไปซื้อหนังสือแคคตัสมาอ่านบ้างเพราะสนใจพวกมัน เดี๋ยวนี้คนก็นิยมเพาะ นิยมเลี้ยงแคคตัสพืชต้นเล็กๆแบบนี้ 

ส่วนพี่ท็อปพอเห็นว่าผมเลี้ยงแคคตัสเจ้าตัวเลยซื้อมาเลี้ยงไว้บ้าง แต่แค่สามต้น ซึ่งหน้าตาออกจะดุดัน ทั้งยิมโนหัวสี กับแอสโตร แคปริคอน อันกลมๆขนาดใหญ่กว่าไอ้พวกเด็กๆที่ผมเลี้ยงอีก เจ้าตัวไม่สนใจความสวยงามเลยแฮะ “น่ารักสมเป็นมึง”พี่ท็อปแอบเหน็บเมื่อเห็นหน้าตาแคคตัสของผม

..............

ผมมาทำงานที่คณะตามปกติ นั่งสิงสถิตที่ห้องปั้น มีไอ้โก๋อยู่เป็นเพื่อนเพราะมันกำลังทำงานปั้นกับรุ่นน้องมัน
“ว่างๆก็ช่วยกูหน่อยก็ได้นะเว้ย จะได้มีอะไรทำไงวะ”มันเงยหน้าจากงานปั้น ที่ขึ้นเป็นรูปเป็นร่างบ้างเเล้ว มีรุ่นน้องมันยืนมองตาปริบๆอย่างไม่ช่วยอะไร

“แล้วจะให้กูเสือกแทรกอยู่ตรงไหนของงานมันวะ”ผมบ่น ก่อนจะมองไอ้โก๋ที่ขูดดินส่วนเกินออกจากแผ่นปั้นไป มันสอนงานรุ่นน้องมันสองสามนาทีแล้วล้างมือ ก่อนจะเดินมาหาผมด้วยสีหน้าประหลาดๆ

“มีอะไร”ผมเอ่ยถาม

“มีเรื่องอะไรจะขอร้องหน่อย”

“อย่ามาสลิด”

“เออ ไปช่วยกูทำซุ้มหน่อย ไอ้ผิงก็ไม่ว่าง”

“โอเค”

“ดี”ไอ้โก๋มองผมด้วยรอยยิ้มประหลาด
   
ช่วงเย็นที่คณะครึกครื้นไปด้วยเหล่าปีหนึ่ง และปีสอง เป็นส่วนใหญ่ พวกเด็กๆมาช่วยงานของแต่ละสาขา ผมกับไอ้โก๋ช่วยกันจัดซุ้มขายของ ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมายเพราะจัดแค่สองวัน ส่วนมากก็หาของเหลือใช้จากห้องเพ้นท์ มีพวกกระดาษสเก็ตแผ่นใหญ่ เอามาตั้งเป็นฉากได้ โซนที่ผมได้มันก็แค่บล็อกสี่เหลี่ยมผืนผ้านาดเท่าๆกัน Background ด้านหลัง
จึงใช้เป็นผ้าสีดำ ประดับด้วยหลอดไฟ ห้อยลงมาสี่ห้าดวงสลับสั้นยาวกันไป แสงไฟถูกปรับไส้ให้เป็นสีโทนเย็น พวกสีฟ้า สีเหลืองนวล สีส้ม พอจะตัดกันได้ ส่วนด้านข้าง ก็ขึงด้วยด้ายเส้นใหญ่ มีไม้หนีบ สำหรับโชว์กระเป๋าผ้าต่างขนาด มีพวกสร้อยข้อมือ แหวน Hand makes ตั้งอยู่ตรงกลางเป็นโซนเล็กๆของผมเอง มีกระจกทรงกลมขนาดเล็ก

   หลังจากที่จัดของเสร็จ ไอ้ผิงก็โผล่หัวมาพอดี ไอ้โก๋พ่นไฟใส่มันไม่ยั้งโทษฐานอู้ไม่มาช่วยกัน มันแค่ยักไหล่ ทำหน้าตากวนประสาท

“นึกว่าจะมีอะไรให้ช่วย”มันว่า

“พูดแบบนี้กูรื้อของออกให้หมดดีกว่า”ไอ้โก๋สวน

“เออ ที่กูมากะจะมาให้กำลังใจเพื่อนๆ แล้วก็...”มันทำเป็นพูดกระแดะ ก่อนจะหันมาทำหน้าตามีลับลมคมในกับผม ไอ้โก๋มองหน้ามันก่อนจะเลิกคิ้วสงสัย “อะไร”

“กูไม่อยากให้มึงคิดมากนะสอง”มันเริ่มแบบนี้ มันคงยิ่งกว่าต้องการให้ผมคิดมากน่ะสิ ร้ายกาจจริงๆ ผมเดินไปหามัน “ว่ามาสิ เรื่องอะไร”ผมถาม แน่นอนว่า ชื่อพี่ท็อปโผล่มาในใจ ไอ้ผิงมองหน้าผมด้วยสายตานิ่งสงบท่าทางจริงจังกว่าปกติ

“คือ มึงว่าพี่แกไปฝึกงาน อาทิตย์นี้ยังไม่กลับมาบ้านใช่ป่ะ”

“เออ เห็นว่าต้องอยู่กับแม่”

“เหรอ แต่กูเจอพี่แกที่เซ็นทรัลในเมือง”ไอ้ผิงพูด ผมชะงักไป ไม่อยากเชื่อที่มันพูดด้วย

“จริงเหรอ”ผมถามมันด้วยน้ำเสียงสูงกว่าปกติ เหมือนไม่ใช่เสียงตัวเอง

“เออ กูไม่ได้พูดอำ กูเห็นจริงๆ นั่งอยู่ร้านเชสเตอร์กริล เหมือนรอใคร เพราะกูเห็นมีแก้วน้ำสองใบ”ไอ้ผิงเล่า ผมเหลือบมองไอ้โก๋ที่ทำหน้าจริงจัง ผมขมวดคิ้ว รู้สึกใจหายแบบแปลกๆ พี่ท็อปไม่มีทางนอกใจผมแน่ๆ เพราะเจ้าตัวเกลียดเรื่องแบบนี้และไม่มีทางทำแน่ๆ ขนาดแม่พี่ท็อปยังเคยพูดกับผม แต่ไอ้เรื่องปกปิดมกเม็ดจากผม อันนั้นผมไม่รับประกัน ผมไม่เคยก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวของพี่ท็อปเลย ถึงจะไม่ได้ชอบใจที่อีกฝ่ายมีความลับก็เถอะ

“มึงเห็นหรือไงว่ามากับคนอื่นจริงๆ”ผมย้ำ

“ไม่รู้ดิ มีแก้วน้ำอีกใบ คงมากับใครสักคนแน่ๆ ไม่ได้ใส่ไฟ แต่กูเดินวนสองสามรอบ ไม่เห็นใครนอกจากพี่ท็อป แต่มีแก้วน้ำฝั่งตรงข้ามแสดงว่ามีคนนั่ง...ใช่ไหมล่ะ”ไอ้ผิงหันไปหาไอ้โก๋ที่ฟังเงียบๆ ผมรู้สึก...ไม่อยากเชื่อมากกว่า พี่ท็อปอาจมีนัดสำคัญจริงๆ แต่ทำไมต้องมาที่เซ็นทรัลฯแถวนี้ ไม่ใช่ที่ชลฯล่ะ

“อืม...มึงคิดว่าไง”ผมไม่อยากคิดเป็นตุเป็นตะ ไม่อยากมานั่งคิดมากให้ปวดหัว ผมเกลียดความรู้สึกระแวงไม่ไว้ใจที่จะเกิดกับพี่ท็อป

“คิดว่าคงมากับใครสักคน อาจเป็นเพื่อนก็ได้ แต่ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ ไม่บอกมึงด้วย นี่คือประเด็น”เพราะไม่อยากให้ผมรู้ไง แค่นั้น

“อือ แต่ก็ฟันธงอะไรไม่ได้ว่าพี่แกจะมากับคนอื่น อาจเป็นธุระสำคัญมากๆก็ได้นะเว้ย”ไอ้โก๋พูดต่อเหมือนไม่อยากให้ผมคิดมาก ผมไหวไหล่ ปกติ ผมไม่ใช่พวกใจร้อน คงต้องรอดูต่อไป...

“ยังไงก็ต้องดูต่อไปเรื่อยๆ กูก็ไม่ได้ตัวติดกับพี่ท็อปนี่”

“หาใครไปช่วยดูก็ไม่ได้ แล้วพี่ธามล่ะ แกฝึกงานที่ไหน”

“แถวในเมืองนี่แหละ จะมีก็พี่อิฐล่ะมั้งไปฝึกที่ชลฯเหมือนกัน”แต่ผมคงไม่อยากให้ไปสืบอะไรหรอก แอบกลัวนิดหน่อยเพราะผมมั่นใจว่าพี่ท็อปจะไม่นอกใจ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ สิ่งเร้ารอบตัวมันก็เยอะ ยิ่งไปอยู่ในสังคมใหม่ เจอคนหลายประเภท จะเจอประเภทที่พี่ท็อปชอบหรือเปล่านะ จะว่าไปผมก็ไม่เคยถามว่าสเป็คของพี่ท็อปเป็นแบบไหนเหมือนกัน 
   
“อือ กูทำให้มึงเครียดใช่ป่ะวะ”

“นิดหน่อย”ผมบอก แต่ไม่อยากเก็บมาใส่ใจ

“เอาน่า นี่แค่ข้อเท็จจริง ออกได้สองหน้า”ไอ้โก๋ว่า มันพยายามทำให้ผมรีแลกซ์ ผมถอนหายใจ ผมไม่เคยคิดว่าพี่ท็อปจะทิ้งผมไปหรือไปคบกับคนอื่น ผมไม่ได้มองไปจุดนั้นเลย แค่มองเห็นแต่เรื่องราวปัจจุบันสิ่งที่กำลังจะเกิดมากกว่า หรือพี่ท็อปจะคิดแบบนั้น เรื่องของอนาคต

พี่ท็อปเป็นพวกจอมวางแผน แต่อีกฝ่ายเคยพูดว่าอนาคตที่มีผมอยู่ด้วยคงดีไม่ใช่เหรอ

ผมสบายใจขึ้นมาบ้าง ไม่ได้เก็บเอามาคิดเกิน 40% ของเรื่องที่วนเวียนอยู่ในหัว ผมแยกตัวจากไอ้โก๋ ไอ้ผิงกลับไปที่ห้องเพ้นท์ ไปเก็บของใส่กระเป๋า

เวลาแบบนี้ ผมอยากโทรหาพี่ท็อป อยากได้ยินเสียง อยากเห็นหน้าด้วย ผมลองโทรไปหาพี่ท็อป แต่เจ้าตัวไม่รับ ผมมองโทรศัพท์ที่เด้งประวัติการโทรออกมาด้วยใจลอย มีไลน์เด้งมาหาจากพี่ท็อป

‘ตอนนี้ยังคุยไม่ได้ ไว้โทรกลับนะ’ ผมมองข้อความที่เด้งมาอย่างครุ่นคิด ทำไมกันนะ? ผมสงสัยเหลือเกิน

 ผมกลับหอพัก ด้วยอารมณ์หมองหม่นเหมือนฟ้าในวันฝนตก

....
   เข้าสัปดาห์ที่ 2 ผมกับพี่ท็อปก็ยังคงคุยกันปกติ เหมือนทุกครั้ง บางทีไอ้ผิงมันคงคิดมากไปเอง อาจจะมีธุระกับใครก็ได้ งาน street art เริ่มตั้งแต่วันนี้ ผมอยู่ซุ้มกับไอ้โก๋ ไอ้ผิงไปช่วยพวกไอ้เชี่ยวอีกซุ้มนึงแทน กระจายตัวกันไป เด็กปีหนึ่งในมอมาเลือกซื้อของกันเยอะเพราะ ก็อยู่หอในกัน กระเป๋าผ้าขายออกได้เยอะกว่าที่คิด คงเพราะราคาถูกกว่าตลาดนัดมอด้วย ต้นทุนของพวกผมก็ไม่สูงนัก เกรดผ้าไม่ได้ระดับพรีเมี่ยม

งาน Street art เริ่มเปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็น ล่วงเลยมาถึงเวลา 3 ทุ่มครึ่ง คนเริ่มน้อยลง พวกผมเริ่มเก็บของใส่กล่อง ขณะนั้นเองเสียงคุ้นหูดังขึ้น 

“ขายดีไหมจ๊ะ”พี่ธามนั่นเอง ผมหันไปมอง มีพี่แบม กับใครอีกคนที่ผมไม่เคยเห็นหน้า “ถ้าไม่ซื้อก็ออกไปเลยครับ”ผมบอก พี่ธามหัวเราะ “พ่อค้าปากแบบนี้นี่ น่ากระทืบจริงๆ”พี่แบมแทรกตัวเข้ามาหาผม ก่อนจะทำเป็นหยิบกระเป๋าใบหนึ่งมาดู

“นี่พี่จะมาซื้อจริงๆหรือแค่กวนประสาทเนี่ย”

“เปล่า แค่แวะมาดูน้องหน่อย”พี่ธามว่า ผมเหลือบมองไอ้โก๋ที่กำลังเก็บของอยู่อีกฝ่าย มันหูผึ่งแน่นอน

“ก็สบายดีนี่ครับ แล้วพี่ๆล่ะ ฝึกงานเป็นไงบ้าง”

“ก็เรื่อยๆแหละ เด็กฝึกงาน ใครใช้ทำอะไรก็ทำไป”พี่ธามพูด ก่อนจะเดินมากอดคอผม ส่งยิ้มหวานมาให้ ดูท่าทางจะมาปั่นหัวผมเล่นล่ะมั้ง

“พี่ท็อปล่ะ เป็นไงบ้าง”ผมถาม ยังไงซะพี่ธามต้องพูดถึงอยู่แล้ว

“ก็ยุ่งบ้างแหละนะ อยู่ฝั่งนู้นยังไงก็มีงานทำล้นมืออยู่แล้ว...”ผมเงียบ รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรอีก

“แน่นอนว่าไม่มีเวลาไปกิ๊กกับใครหรอก”พี่ธามบีบไหล่ผมแน่น

“ใครคิดกันล่ะ”ผมทำหน้าตาย

“หึหึ เออ ถ้ามีอะไรก็โทรมาหาพี่ได้นะเว้ย”พี่ธามว่า ก่อนจะผิวปากมองไปรอบๆร้านที่ไม่มีของขายแล้ว พี่แบมเกาจมูกเหลือบมองผมยิ้มๆ

“ที่มาถึงนี่เรื่องแค่นี้เหรอ”

“ก็ส่วนนึงแหละ เออ ไอ้อิฐก็ฝึกใกล้ๆไอ้ท็อป อยากได้เบอร์มันป่ะ”

“เอาไปทำไม”

“อย่ามาไขสือ เอาเป็นสปายไง มีไว้หน่อยก็ดีนะเว้ย”พี่ธามว่า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา ขยั้นขยอให้ผมเมมเบอร์พี่อิฐให้ได้

“โอเคๆ ...พี่ท็อปได้ฝากอะไรมาบอกผมไหม”

“จะฝากกูมาทำไม ก็โทรหากันตลอดไม่ใช่เหรอ”

“มันก็ใช่...แล้วที่พี่มาวนเวียนแถวนี้ เพราะพี่ท็อปสั่งไว้หรือไง”

“ก็ส่วนนึงด้วยแหละ แต่กูก็แค่อยากแวะมาที่มอบ้างไง”พี่ธามบอก คุยกันไม่นาน สามคนนั้นก็กลับ ผมถอนหายใจ ยังไงซะ พี่ท็อปก็ไม่ให้ผมห่างหูห่างตาหรอก ไอ้โก๋เดินมาหา

“เออ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะ”มันว่า มองผมอยู่นาน “กูไม่ได้คิดมาก มีแต่พวกมึงนี่แหละมายุกู”ผมส่ายหน้าอย่างนึกขำ ถ้าพี่ท็อปรู้คงหัวเราะลั่น


   ผมได้รับข่าวดีจากพี่ท็อปว่าเสาร์อาทิตย์นี้เจ้าตัวว่าง เลยนัดชวนผมมาหา ส่วนการเดินทางไปพร้อมกับแม่พี่ท็อปเพราะแม่พี่ท็อปก็ตั้งใจว่าจะลงไปหาลูกชายพอดิบพอดี ผมเลยรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ได้ถามว่าพี่ท็อปมาทำอะไรแถวเซ็นทรัลฯ และผมก็ยุ่งจนกว่าจะเก็บมานั่งคิดอีก แต่ไอ้พวกที่เดือดร้อนดันเป็นไอ้เพื่อนๆผมน่ะสิ มันทำตัวเป็นนักสืบ เฮ้อ อยากจะขำให้ฟันร่วงหมดปาก วันศุกร์ผมเก็บกระเป๋าไปหาแม่ที่บ้าน จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้พูดคุยกับแม่พี่ท็อปบ่อยมากนัก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรสำคัญหรือเร่งด่วนผมก็ไม่ได้แวะไปที่บ้านหรือโทรหาท่าน

วันนี้ไอ้ทูอยู่บ้านแสดงว่าแม่พี่ท็อปก็อยู่ ผมกดออด ผมเองก็ไม่อยากเสียมารยาทเปิดประตูเข้าไปเอง ถึงพี่ท็อปจะทิ้งกุญแจไว้ให้ผมชุดหนึ่งก็ตาม แม่เดินออกมา สีหน้าดีใจที่เห็นผม

“เอ้าสอง เข้ามาสิจ๊ะ”แม่เปิดประตูให้ ผมยกมือสวัสดีแม่ ไอ้ทูเห่าเสียงดังท่าทางดีใจที่เห็นผม

“ไง...อ้วนปุ๊กเชียว”มันอ้วนมากกว่าเดิมด้วย สงสัยแม่เลี้ยงดี ผมกับแม่เดินเข้าไปข้างในบ้าน

 “แม่ไปหาพี่ท็อปทุกอาทิตย์เลยเหรอครับ”ผมลองถามดู แม่พาผมไปนั่งก่อนจะรินน้ำให้ผม

“ไม่หรอกจ๊ะ พอดีเสาร์อาทิตย์นี้ก็ว่างๆพอดีเลยแวะไปหาท็อปมันซะหน่อย เพราะช่วงหลังๆแม่คงไม่ได้บินไปหาแล้วล่ะ งานล้นมือเลย”

“อ๋อ งั้นเหรอครับ”ผมพึมพำ ไม่ได้ติดใจอะไร

คืนนี้ผมมาค้างที่บ้านพี่ท็อป เพราะต้องออกเดินทางช่วงเช้าตรู่ ผมเดินไปที่ห้องพี่ท็อป เห็นแบบนี้ก็ยิ่งคิดถึงเจ้าของห้องจริงๆ ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ในลิ้นชักมีสมุดสเก็ตของผมเก็บไว้ ผมหยิบออกมาดู ด้านในมีรูปที่ผมเคยวาดไว้นานมาแล้ว ในหน้าหลังก็มีภาพร่างของผมบ้างประปราย ฝีมือพี่ท็อปก็ไม่เลวหรอก

ก่อนเข้านอนผมอาบน้ำอีกรอบเพื่อความสดชื่น ใช้ครีมอาบน้ำของพี่ท็อปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึง ผมต้องเป็นบ้าเพราะความคิดถึงแหงๆ

ผมกลับมาที่เตียงนอน แล้วล้มตัวลงนอนเหมือนคนหมดแรง คิดถึงมากกว่าเดิมอีก ผมพลิกตัวนอนหงาย นอนมองอากาศที่ว่างเปล่า อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้ใจจะขาดแล้ว ผมเอื้อมหยิบมือถือ พี่ท็อปจะนอนหรือยัง ลองเช็คในไลน์ ปรากฏว่าพี่ท็อปคอลมาหา

[นอนที่ห้องเหรอ]พี่ท็อปถาม ผมลุกขึ้นนั่งพิงหมอนก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้ส่งจุ๊บไปหา

“อือ ใช่ คิดถึงเลยแฮะ”

[ก็เห็นหน้าแล้วนี่ หายคิดถึงยัง]เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ ผมเห็นว่าเส้นผมของพี่ท็อปเปียกคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

“ก็นิดนึงนะ...”

[พรุ่งนี้ก็เจอแล้ว กูยอมให้ฟัดเลยเอ้า]

“จะเหลือเหรอ”ผมก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องเซ็กส์อย่างเดียวหรอกนะ แต่เชื่อเถอะ เป็นคู่ไหนๆก็ต้องโหยหากันบ้างแหละ

[หึหึ ว่าแต่เป็นยังไงบ้าง งานเยอะหรือเปล่า]

“ก็ไม่เท่าไหร่ครับ งานน้อยแต่ต้องละเอียดกว่าเดิมน่ะครับ”ผมบอก

[อื้ม แล้วแม่ว่ายังไงบ้าง]พี่ท็อปถาม ผมมุ่นคิ้วงง

“แม่ก็ไม่ได้พูดอะไรนี่ ทำไมเหรอ มีอะไรหรือเปล่า”

[ฮื่อ เปล่าหรอก แม่ได้บอกหรือเปล่าว่าจองโรงแรมไว้ ไม่ได้มาพักที่หอกูนะ]

“เหรอพี่ ก็ดีนะ เป็นส่วนตัวดีออกนะ”ผมบอก นอนโรงแรมก็สะดวกดี

[อยากไปเที่ยวที่ไหนไหม จะได้แพลนไว้]

“ไม่ล่ะ อยากอยู่กับพี่มากกว่า มีเวลาเที่ยวแป๊บเดียวเอง”ผมบอก ช่วงเสาร์อาทิตย์ สองวันเท่านั้น ไปเที่ยวก็เหมือนไม่คุ้ม อีกอย่างผมไม่ได้วางแผนอะไร แค่อยากไปหาพี่ท็อปเท่านั้นเอง

[เข้าใจล่ะ]พี่ท็อปยิ้ม

หลังจากนั้นก็คุยกันอีกไม่นาน ผมชักง่วงเลยขอนอนก่อน พี่ท็อปเองก็เพลียๆเลยวางสายไป ผมล้มตัวลงนอน หลับตาแล้วก็ยังหลับไม่สนิท ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับพี่ท็อปว่าจะทำอะไรกันดีจนเผลอหลับไปเอง

ผมตื่นอีกทีก็เมื่อนาฬิกาปลุก ผมจัดแจงธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วลงไปหาแม่ที่ชั้นล่าง ท่านกำลังเทอาหารให้ไอ้ทู คงต้องฝากป้าแม่บ้านเลี้ยง เมื่อได้เวลาเดินทาง ผมยกของขึ้นรถ แม่เอาของว่างไปฝากพี่ท็อป เพราะเจ้าตัวบ่นอยากกินอาหารฝีมือของแม่

...

..

โรงแรมที่จองไว้ใกล้ๆกับอมตะนคร ทำเลดีใกล้เมือง แหล่งช็อปปิ้งอย่างเซนทรัล ใกล้หาดบางแสนด้วย ไม่อยากจะคิดถึงราคาต่อคืน

“แม่ไม่พักที่โรงแรมเหรอครับ”ผมถามงงๆเมื่อเห็นว่าท่านไม่ได้ลงมา

“อ้าว ท็อปไม่ได้บอกเหรอลูกว่าแม่พักกับเพื่อนน่ะ”แม่บอกด้วยรอยยิ้ม พี่ท็อปนะพี่ท็อป ผมเลยบอกลาแม่ ก่อนจะโทรหาพี่ท็อป เจ้าตัวน่าจะอยู่ที่โรงแรมแล้ว ผมเดินเข้าไปด้านในโรงแรม บรรยากาศดูหรูหราดี ผมเจอพี่ท็อปนั่งอยู่ที่โซฟารับรองพอดี พี่ท็อปดูคล้ำลงนิดหน่อย เจ้าตัวยิ้มหน้าบานเดินมาหาผมทันที

“นึกว่าแม่จะมาหาพี่ซะอีก”ผมพูด จริงๆแล้วแม่มาทำธุระแถวๆอมตะนครนี่แหละ พี่ท็อปเลยถือโอกาสชวนผมมา

“ฮ่ะๆ เถอะน่า...อุตส่าห์อยากเจอ”พี่ท็อปยิ้ม ก่อนจะยื้อแย่งกระเป๋าเดินทางของผมไปสะพายเอง ผมเลยถือแค่กระเป๋าใส่อาหารว่างเท่านั้น

“เจ้าแผนการจริงๆ นี่ผมคบอยู่กับจิ้งจอกร้ายใช่ใหมเนี่ย”ผมบ่นงึมงำระหว่างทางที่เดินไปขึ้นลิฟต์ พี่ท็อปไหวไหล่พร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้ๆ

“ไหนว่าคิดถึง แทนที่จะดีใจ อย่าพึ่งบ่นเลยน่า”พี่ท็อปหัวเราะอารมณ์ดี ผมเลยไม่ได้พูดอะไร ไอ้ดีใจก็ดีใจอยู่แล้ว แต่ลงเอยอีหรอบนี้ ผมตกเบี้ยล่างอีกแล้วสิเนี่ย

จนกระทั่งมาถึงห้องพัก เปิดประตูเข้าไป ก็พบว่าห้องกว้าง มีโซฟาหนึ่งตัวกับโต๊ะรับแขก ห้องเป็นสัดส่วนดี ผมวางกระเป๋าลงกับโต๊ะ พี่ท็อปเข้ามากอดผม

“อืม นี่มึงใช้ครีมอาบน้ำของกูด้วยเหรอเนี่ย”พี่ท็อปทำจมูกฟุดฟิดใกล้บริเวณต้นคอผม

“อื้อ หอมป่ะ”

“หอมสิ ถามได้”พี่ท็อปหัวเราะ ยิ้มแยกเขี้ยวเหมือนปีศาจร้าย ผมเลยดันพี่ท็อปออกห่างก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวไปมากกว่านี้

“ไม่ต้องมาทำหน้าระรื่น ไหนลองสารภาพมาสิ ว่าไปทำอะไรแถวๆเซนทรัล”ผมนึกถึงเรื่องที่ไอ้ผิงเล่าให้ฟัง ในเมื่อมันอุตส่าห์ใส่ไฟพี่ท็อปขนาดนั้น เลยถามไปตรงๆ พี่ท็อปทำหน้าเหมือนกลั้นขำ

“เอาจริงดิ ฮ่าๆ นี่ไม่มีใครบอกอะไรมึงเลยเหรอเนี่ย น่าสงสารจังเลย”พี่ท็อปนั่งลงบนเตียงก่อนจะกวักมือเรียกผมให้ไปหา

“หมายความว่าไงอ่ะ”ผมงงๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาพี่ท็อป ผมนั่งลงข้างอีกฝ่าย

“คิดว่ากูมาหาใครกันหืม”พี่ท็อปมองหน้าผม มุมปากมีรอยยิ้มเผยให้เห็นนิดนึง ผมเริ่มไม่แน่ใจว่ากำลังถูกใครต้มอยู่หรือเปล่า

“เปล่านะ ไม่รู้สิ เพื่อนเล่าให้ฟัง ผมก็แค่ตามน้ำไปงั้นเอง”

“หึหึ เห็นนี่ป่ะ ของใครกัน”พี่ท็อปหยิบสร้อยออกมา ผมเห็นเป็นตะกรุดเงินรูปร่างเหมือนเคยเห็นที่ไหน


“เอ่อ...นั่นใช่ของพ่อผมหรือเปล่า”ผมเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ นั่นมันตะกรุดสาลิกาของพ่อผม ซึ่งเก่ามากแล้ว ทำไมต้องเอามาให้พี่ท็อปด้วยล่ะ

“อือ พอดีว่าพ่อโทรมากูน่ะ บอกว่าอยากเจอ ตอนนั้นกะจะให้พ่อมาหาที่ชลฯก็ไกลไป กูเลยกลับไปที่บ้านดีกว่า แล้วพ่อก็ให้ตะกรุดนี่มา รู้ป่ะความหมายว่าไง”พี่ท็อปยิ้มกว้าง ผมมองอย่างไม่ไว้ใจ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแหง

“ไม่อยากรู้แล้ว พอๆ”ผมบอกห้าม พี่ท็อปหัวเราะ

“คราวหลังอย่าไปฟังเพื่อนมึงเลย สงสัยมันคงแกล้งมึงนะ”พี่ท็อปบอก ก่อนจะเก็บตะกรุดไว้ที่อื่นแทน พ่อลงทุนมาหาพี่ท็อปคงมาคุยอะไรด้วยน่ะสิ

“คุยเรื่องอะไรกันเหรอพี่”ผมถาม

“ก็เรื่องของเรานั่นแหละ จำได้ป่ะ ที่กูบอกว่าอยากไปอยู่ที่บ้านมึง กูก็กำลังคิดปรึกษากับแม่ดู ...ก็แค่ความคิดน่ะ”พี่ท็อปเอ่ยก่อนจะมองหน้าผมไปด้วย พี่ท็อปอยากไปอยู่บ้านผมจริงๆน่ะเหรอ ผมยิ้ม

“จริงดิ คงเป็นเรื่องอีกไกลเลยเนอะ”ผมพึมพำ

“เออ กูเห็นมึงชอบ เลยเอามาให้ดู”พี่ท็อปเดินไปที่ด้านนอกระเบียง ผมเดินตามออกไปดู ที่ริมระเบียงมีแคคตัสยิมโนหัวสี หนึ่งกระถางกำลังโตเลย ดอกสีชมพูสวย พี่ท็อปเลี้ยงจนออกดอกหรือไปซื้อมากันนะ

“ของพี่เหรอ”

“ให้มึงต่างหาก”พี่ท็อปบอก ผมมองหน้าอีกฝ่าย

“ขอบคุณครับ”ผมบอก ก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มพี่ท็อปซะเลย ทำตัวน่ารัก

“จะได้คิดถึงกูไง ป่ะ เข้าไปด้านในดีกว่า นี่กูอุตส่าห์ทำโรแมนซ์จองโรงแรมไว้เลยนะ ไหนอ่ะ กำไรของกู”พี่ท็อปพูด นี่คือตัวอย่างของการทำบุญหวังผลสินะ ผมยิ้ม

“ยังเช้าอยู่เลย พี่นี่หื่นทุกเวลา”ผมบอก ก่อนจะเดินสำรวจห้อง แวะไปดูห้องน้ำ มีอ่างให้ลงไปแช่ด้วย อืม แบบนี้ค่อยน่าสนุกขึ้นมาหน่อย แต่แคบไปหน่อย ผมเดินออกมา เห็นพี่ท็อปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าของผมอยู่ เจ้าตัวหยิบเสื้อยืดออกมาดม ทำอะไรโรคจิตจริงๆ

“ทำอะไรพี่”

“แค่ดมว่ากลิ่นเดียวกันหรือเปล่า”พี่ท็อปหัวเราะ ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าตามเดิม แล้วเปิดกระเป๋าอาหารของแม่ออกมาดู แล้วทำหน้าพอใจ

“เยี่ยมไปเลย”เจ้าตัวพูด

ระหว่างนั้นผมขอนอนพักผ่อนสักชั่วโมงสองชั่วโมงเพราะว่าเพลียจากการเดินทาง ก่อนจะหลับผมเห็นพี่ท็อปก็มานอนข้างๆเหมือนกัน เจ้าตัวพูดอะไรสักอย่างที่ผมได้ยินไม่ชัด

...

..

.

[...สองมันหลับอยู่ครับ...ฮ่ะๆ พ่อก็น่าจะบอกมันสักหน่อย...] ผมตื่นเมื่อได้ยินเสียงของพี่ท็อป ฟังแล้วคงคุยโทรศัพท์กับพ่ออยู่สินะ หึ พ่อนี่ก็ใช่ย่อยเลยนะ มาทำเป็นลับลมคมในกับลูกชาย

[ครับ จะดูแลอย่างดีครับ]

ผมลืมตา เห็นพี่ท็อปนั่งคุยอยู่ตรงโซฟา เจ้าตัวเหลียวหน้ามามองผมแล้วยิ้มให้ คุยกับพ่อไม่นานก็วางสายไป

“พ่อโทรมาหามึง แต่กูรับแทนน่ะ แค่โทรมาถามว่าถึงโรงแรมหรือยัง”พี่ท็อปเดินมาหาผมที่เตียง พ่อก็รู้ด้วยเหรอเนี่ย ผมบิดขี้เกียจ ก่อนจะเข้าไปออเซาะแฟนซะหน่อย

“ใจร้ายจังน้า สนุกล่ะสิได้แกล้งผมน่ะ”ผมบ่น ก่อนจะดึงแขนพี่ท็อปให้ลงมานอนข้างๆผม เจ้าตัวก็ไม่ขัดล้มตัวลงนอนกับผม

“กูไม่รู้นะว่ามึงคิดแบบนั้น ทำไมไม่โทรถามเลยล่ะ”

“ฮึ มันไร้สาระ เรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ไง”ผมบอก พี่ท็อปจ้องผมตาใส

“ฮึๆ ตลกน่ะมึง ก็คิดมากเหมือนกันไม่ใช่เหรอไง ปากแข็ง”พี่ท็อปดีดหน้าผากผมเบาๆ

“ฮ่ะๆ อือตลกจริงๆนั่นแหละ”ผมว่า แล้วเห็นว่าเจ้าตัวดูแข็งแรงดี อีกอย่างเหมือนว่าหุ่นจะกลับมาฟิตแล้วล่ะ

“เราจะทำอะไรต่อกันดีล่ะ พรุ่งนี้ด้วย”พี่ท็อปเอ่ยขึ้น ขยับมานอนตะแคงมองผมด้วยสายตาละมุนละไม ผมยิ้ม

“ก็...พักผ่อนตามอัธยาศัย อย่างที่บอก เหมือนมาหาพี่แล้วก็พักกายพักใจให้หายคิดถึง”ผมบอก พี่ท็อปมองหน้าผมอยู่เงียบๆ

“สอง มึงจำวันนั้นได้ไหม”

“วันไหน?”ผมถาม พี่ท็อปดูจริงจัง

“วันที่เรา make love กันไง”ผมฟังแล้วนิ่งไป พี่ท็อปเปิดประเด็นมาแบบนี้ กำลังจะสื่ออะไรหรือเปล่า

“อื้ม ครับ พี่อยากจะทำอีกเหรอ”ผมจำได้ว่าวันนั้นพี่ท็อปเป็นคนขับเคลื่อนทุกอย่าง คุมเกมส์แบบเบ็ดเสร็จเลยล่ะ ผมก็ไม่ได้ขัดอะไรหรอก ธรรมชาติมันเป็นแบบนั้น

“กูกำลังคิดว่า อยากได้ห้องสไตล์แบบนั้นบ้าง”ผมคิดตาม ไอ้ห้องไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่มีห้องแบบนั้นไว้ภารกิจโดยเฉพาะแบบนั้นมัน...โคตรแปลก พี่ท็อปดีดนิ้วดังเป๊าะตรงระดับสายตาผมพอดีเหมือนให้ผมกลับมาสนใจอีกฝ่ายต่อ

“ก็ได้ล่ะนะพี่ แต่นั่นไม่ใช่ห้องนอนสินะ”

“มึงจะนอนหลับไหมวะ ถ้าตกแต่งแบบนั้น”พี่ท็อปหัวเราะ ผมก็ไม่คิดว่ามันเสียหายอะไรหรอก

“ฮ่ะๆ ก็ดีนะพี่ พอเห็นห้องแบบนั้นแล้วมันก็ได้ฟีลลิ่งมาเองล่ะมั้ง”ผมพูด เพราะเมคเลิฟครั้งนั้นผมก็ลืมไม่ลง พอได้เห็นอะไรที่มันไปกระตุ้นความคิด ความทรงจำเก่าๆมันก็จะนึกถึงโดยอัตโนมัติ ก็ถือเป็นไอเดียที่ดีสำหรับเอาไว้รื้อฟื้นความจำกันน่ะนะ 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # "บทส่งท้าย"(ท็อปสอง) 19.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 19-08-2017 22:47:13

“แค่คิดน่ะ...แต่จริงๆก็ห้องไหนก็เหมือนกันนั่นแหละเนอะ”พี่ท็อปพูด ผมมองหน้าอีกฝ่าย พยายามหาอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ ดูเหมือนอีกฝ่ายก็จุดติดง่ายจังนะ

“พี่เข้าฟิตเนสมาเหรอ”ผมถาม

“อืม สังเกตด้วยเหรอ ฮั่นแหน่ะ คิดอะไรทะลึ่งๆอยู่ล่ะสิ”พี่ท็อปยิ้ม แหม ถ้าอีกฝ่ายล่วงรู้ความคิดผมล่ะก็ คงไม่แซวผมแบบนี้แน่ๆ

“รู้เหรอว่าผมคิดอะไร”ผมพูด จ้องตาพี่ท็อปนิ่งๆ อีกฝ่ายแค่ยิ้ม ก่อนจะมองผมแล้วลุกขึ้นนั่งทันที ผมมองดูนาฬิกาที่ผนังห้อง นี่ก็เพิ่งสิบโมงเช้าเองด้วย

“ก็ไม่ขัดศรัทธาหรอกนะ”พี่ท็อปบอก ไหวไหล่ไม่ซีเรียสอะไร ผมเลยดึงแขนอีกฝ่ายเข้าหาตัวเอง พี่ท็อปเลยนั่งคร่อมผมไปโดยปริยาย เอาจริงๆแล้วผมก็จุดติดง่ายพอๆกับพี่ท็อปนั่นแหละ  ห่างหายไปนานก็ต้องทบทวนความจำบ้าง ไม่งั้นก็เสียราคาหมด นานๆทีผมคิดจะเปลี่ยนสถานะบ้าง 
   
พี่ท็อปโน้มหน้าลงมาดมดอมบริเวณซอกคอของผมไม่นานนัก “มีอะไรเหรอพี่”ผมถาม ท่าทางจะติดใจกลิ่นผมนะ

“เปล่า แค่อยากได้กลิ่นมึงเฉยๆ ถึงมึงจะใช้ครีมอาบน้ำของกู แต่ยังไงกลิ่นก็ไม่เหมือนกันนะ”พี่ท็อปยิ้มกริ่ม ผม
มองอีกฝ่าย พูดจาน่าขนลุกอีกแล้ว พี่ท็อปเลิกเล่นก่อนจะถอดเสื้อออก สีผิวพี่ท็อปไม่เท่ากันโดยเฉพาะตรงท่อนแขนกับลำตัว แต่ก็ไม่ต่างมากนัก ที่สำคัญพี่ท็อปผู้มีซิกแพคน่าหลงใหลก็กลับมาแล้ว อย่างน้อยๆก็ดูน่าลูบอยู่หรอก ไม่ได้มีกล้ามเนื้อเยอะเกินไป เพราะพี่ท็อปแค่ฟิตหุ่นให้เฟิร์มเฉยๆเท่านั้น ไม่ได้เล่นเอาเป็นเอาตาย

“มองจังเลย”พี่ท็อปหัวเราะเบาๆชวนให้ใจหวิว อีกฝ่ายโน้มลงมาประกบจูบผมแบบนิ่มๆ ริมฝีปากอุ่นกำลังปลุกเร้าอย่างเนิบนาบ ผมขยับตัวดันพี่ท็อปออกแล้วพลิกกลับไปคร่อมอีกฝ่ายไว้แทน ริมฝีปากยังคงไม่แยกจากกัน ร่างกายพี่ท็อปเริ่มตอบสนองต่อสัมผัสของผมขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายดึงเสื้อผมออกอย่างช้าๆ ตอนแรกผมรู้สึกหนาวเพราะแอร์เย็น แต่ไม่นานนักก็กลายเป็นร้อนรุ่มแทน

พี่ท็อปกอดผมไว้ ผมเลื่อนลงมาจูบไหปลาร้าอีกฝ่าย สองมือไม่อยู่นิ่ง เพิ่มความปรารถนาของเจ้าตัวมากขึ้นไปอีก ได้ยินพี่ท็อปครางเบาๆ ผมเลื่อนมือลงไปถอดกางเกงอีกฝ่ายจนหมด ผมเองก็ปลดเปลื้องทุกอย่างออกจนหมด

“ผอมลงนะ”พี่ท็อปเอ่ยเบาๆก่อนจะขยับตัวมาซุกไซร้ลำคอ และลำตัวของผมอย่างชำนาญ ก่อนจะผลักร่างของผมให้นอนราบ ก่อนจะขยับกายมาคร่อมผมไว้ นี่ก็ถือเป็นซิกเนเจอร์ของพี่ท็อปล่ะนะ จากนั้นก็จัดการทำให้ส่วนนั้นไม่เป็นอุปสรรคแก่ตัวเอง และของผมด้วย

“อะ...”พี่ท็อปหลับตาลง เมื่อกดตัวลงมากับสิ่งนั้นของผมที่พร้อมรบเต็มที่ แม้ไม่ได้ไปสัมผัสอะไรมากมาย ผมจับเอวอีกไว้ กลัวว่าจะเจ็บเพราะก็ไม่ได้ชำนาญด้านนี้ กว่าจะกดตัวลงมาได้หมดก็เล่นเอาเกร็งไปทั้งตัว เมื่อร่างกายปรับตัวเข้าหากันได้เรียบร้อย พี่ท็อปก็เป็นฝ่ายจัดการเอง
    
ผมเพิ่มความเร่งเร้าให้กับพี่ท็อปอีกสักหน่อยด้วยการจัดการกับส่วนนั้นของพี่ท็อปไปด้วย
    
“อืม...อะ...อา...”เราสองคนแทบจะหลอมละลาย พี่ท็อปยิ่งเกร็งมากขึ้น หน้าท้องอันเซ็กซี่หดเกร็งชัดเจนขึ้น คนด้านบนใกล้ถึงจุดหมาย ผมโน้มลำคออีกฝ่ายลงมา ก่อนจะจูบดูดกลืนความกระหายของเราทั้งคู่ ผมเปลี่ยนมาคุมเกมส์อีกครั้ง เปลี่ยนโพสิชั่น
    
ริมฝีปากคลอเคลียไม่ห่าง เมื่อร่างกายต่างกอดเกี่ยวกระหวัดกันแนบแน่นและสัมผัสกันและกันอย่างเร่าร้อน แต่ไม่หื่นกระหาย ไม่นานนักเค้าโครงที่เราทั้งสองปรารถนานั้นยิ่งขยับใกล้ละมีชีวิตชีวามากขึ้น มันค่อยๆแพร่กระจายอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของผมกับพี่ท็อป เพราะเริ่มด้วยรัก มันก็จบลงด้วยรักตอบ จนกระทั่งผมกับพี่ท็อปต่างก็ไปจนถึงความปรารถนาของกันและกันได้

   ผมกับพี่ท็อปกลับมาสงบเงียบอยู่บนเตียงอันยุ่งเหยิง อีกฝ่ายนอนซบในอ้อมอกของผมอย่างเหนื่อยล้า ผมพ่นลมหายใจออกมา

“พี่โอเคไหม”ผมถาม เพราะพี่ท็อปนอนนิ่ง ยื่นหน้าไปใกล้อีกฝ่ายจนกระทั่งลืมตาขึ้นมา

“อือ ไม่เป็นไรหรอก หายห่วง”พี่ท็อปยิ้มก่อนจะเปลี่ยนท่านอน ขยับดึงผมเข้าไปกอดแทน ผมปล่อยให้พี่ท็อปเล่นลูบศีรษะผมไปมาอย่างเบามือ

“ผมรักพี่นะ”ผมกระซิบบอก อยู่ๆก็อยากพูดออกมา พี่ท็อปหยุดมือที่เล่นเส้นผม

“ฮึๆ เด็กน้อยจริงๆ มึงยังเป็นคนเปิดเผยตลอดเลยนะ กูชอบ”พี่ท็อปเอื้อมมาจับใบหน้าของผม ผมกำลังคิดว่าเจ้าตัวจะทำอะไร เพราะสายตาดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

“ก็มันอดไม่ได้นี่หว่า”ผมบอก พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบ “งั้นพรุ่งนี้กูจะบอกรักมึงบ้างล่ะกัน แฟร์ๆดีเนอะ”พี่ท็อปบอกก่อนจะปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมขยับไปนอนหมอนของตัวเอง หมายความว่าไง

  “พี่คิดจะซั่มผมเหรอ”ผมหันไปถาม

“เอ้า มีอาหารอันโอชะมาวางอยู่ตรงหน้า ใครจะไม่กินวะหืม? กูอ่ะเป็นแค่ออเดิร์ฟ ส่วนมึงน่ะจานหลักเลยล่ะ”พี่ท็อปเปรียบเปรยให้ฟัง ผมนิ่วหน้าแต่ก็ไม่ขัดข้องอะไร ยังไงก็ต้องวินๆแฟร์ๆกันอยู่ดี

“หึ พี่นี่นะ ลีลาดี คำพูดยังโดนใจอีก”ผมหัวเราะเบาๆไม่วายเข้าไปกกกอดพี่ท็อปต่อ

“แหม คนเราไม่ควรครึ่งๆกลางๆนะสอง กูว่ามึงอ่ะ ให้ 7/10ล่ะกัน”พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะผลักผมออก แล้วเดินตรงไปเข้าห้องน้ำ ผมส่ายหน้า อีหรอบนี้ก็กลางวันแสกๆเหมือนเคย ผมลุกออกจากเตียงไปล้างเนื้อล้างตัวกับพี่ท็อปในห้องน้ำ

“ไหนๆก็ไหนบริการอาบน้ำให้เลยแล้วกัน”พี่ท็อปพูด
   
ผมกับพี่ท็อปใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนัก เพราะไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือไปจากการขัดตัวให้กัน มือกลางวันเป็นบริการจากโรงแรม มีของว่างฝีมือแม่ตบท้าย พี่ท็อปเลยมีความสุขมากขึ้นไปอีก การอยู่ห่างบ้านได้กินข้าวฝีมือแม่มันช่างดีจริงๆนั่นแหละ

   “เทอมหน้าฝึกงานที่ไหนเหรอ”พี่ท็อปถาม

“ที่ศูนย์แสดงศิลปะของจ.นั่นแหละ ว่าจะไปกับพวกไอ้โก๋”ผมบอก ไม่อยากไปไหนไกล อีกอย่างที่ศูนย์แสดงงานศิลปะฯรุ่นพี่ปีก่อนๆก็ไปฝึกกันมาแล้ว ก็ได้ประสบการณ์ดีๆมาเหมือนกัน พี่ท็อปพยักหน้า

“ก็ดีนะ กูคงหางานทำในเมืองไปก่อน ไม่อยากทำที่นี่เท่าไหร่ มันไกลบ้าน คงกลับมาอยู่กับแม่ถาวร ตอนนั้นมึงจะพักที่ไหน ถ้าไม่เช่าหอมาอยู่ด้วยกันก็ได้นะ”พี่ท็อปชวน

“อื้อ ก็น่าสนใจ ลองไปคุยกับพวกไอ้โก๋ก่อนว่าจะเอายังไงกัน”ผมบอก ยังไม่แน่ใจเรื่องที่พัก ที่แน่ๆเพื่อนๆผมก็เช่าหอพักกันทั้งนั้น อีกอย่างบ้านพี่ท็อปกลับที่ฝึกงานมันก็ห่างกันเยอะอยู่ มันอยู่นอกชานเมืองเลย

“ยังไงก็บอกด้วยล่ะกัน”

“ครับ”

หลังจากทานอิ่ม หนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อน พี่ท็อปเลยชวนผมไปเดินย่อยที่สระน้ำของโรงแรม ที่นี่บรรยากาศร่มรื่น สบายตา ที่สระน้ำกว้างสีครามสวย มีแขกฝรั่งสองสามคน มานั่งพักผ่อน แต่ยังไม่มีใครลงน้ำ พี่ท็อปจับมือผมไปนั่งที่ม้านั่งตัวริมสุด
   
“นึกถึงแคคตัสน่ารักๆของมึงแล้ว ก็เหมาะกับมึงดีนะแบบนั้น”พี่ท็อปหันมาพูด ผมไหวไหล่ “ผมเน้นความสวยงาม”

“หน่อมแน้มจริงๆ ผู้ชายมันต้องดุดันแข็งแกร่ง”พี่ท็อปหัวเราะเบาๆกวนประสาทผมเล่นๆ ผมส่งเสียงอืมตอบรับ ขำตายล่ะ

“จะว่าไปพอมานั่งชิลล์ๆแบบนี้ ก็นึกถึงตอนเราไปออกทริปกันเนอะ น่าจะมีโอกาสไปเที่ยวกันอีก”ผมพูดขึ้นมา

“อืม สองเราเคยไปเดทกันหรือยังวะ”

“ก็ตอนไปที่บ้านพี่ไง พี่บอกว่าเดท”อาบน้ำให้ไอ้ทู กับความโรแมนซ์ของพี่ท็อปนั่นไง

“ก็ยังไม่ใช่เดทแบบสมบูรณ์แบบล่ะนะ”พี่ท็อปพึมพำก่อนจะดึงมือผมไปจับเล่น นิ้วมือหยาบกระด้างของอีกฝ่ายให้ความรู้สึกอบอุ่น มือนั้นกำลังคลึงเล่นอยู่กับกระดูกนิ้วมือของผมอยู่เงียบๆ ผมเหลียวมองพี่ท็อปนิ่งๆ เจ้าตัวกำลังมองมือของผมอยู่

“มึงอาจจะไม่รู้นะ...ว่าจริงๆแล้วกูน่ะหลงมึงแค่ไหน”อีกฝ่ายพูด ทำให้หัวใจของผมเหมือนมีดอกไม้ผลิบานออกมา พี่ท็อปเงยหน้ามาสบตาผมก่อนจะจูจู๊บลงกับมือข้างซ้ายของผมเบาๆ สายตาของผมเหล่มองรอบกาย ไม่มีใครสนใจ ส่วนมากก็อ่านหนังสือ สนใจแต่เรื่องของตัวเอง

“ทีนี้ก็มั่นใจได้แล้วนะว่ากูไม่มองใครอื่นหรอก แค่มึงคนเดียว”พี่ท็อปหันมาพูดกับผมนิ่งๆ สายตาคู่นั้นสะกดผมได้อยู่หมัด ผมพยักหน้า “ครับ ผมเข้าใจ”

“เฮ้อ กูไม่น่าพูดอะไรแบบนี้เลย ได้ใจไปหมดแล้ว”พี่ท็อปพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าเผยรอยยิ้มไม่ปกปิด อีกฝ่ายกำลังเขินอยู่สินะ ผมกับพี่ท็อปนั่งชิลล์ๆกันอยู่สักพักก่อนจะกลับเข้าไปขลุกอยู่ในห้องจนกระทั่งถึงยามค่ำ

เหมือนผมกับพี่ท็อปคุยกันมากขึ้น เรามีโอกาสพูดคุยกันหลายเรื่อง คงเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันเลยทำให้มีเรื่องพูดคุยมากกว่าปกติ

ก่อนนอน พี่ท็อปถามผม “สอง ถ้าหากว่าไม่สามารถนอนหลับลงได้ มึงมีวิธีอะไรจะเสนอไหม”

“อืม...พี่นอนไม่หลับเหรอครับ”ผมถามกลับ พี่ท็อปหันมามอง “เปล่าหรอก แค่อยากรู้ว่าถ้าเป็นมึงจะทำยังไง”พี่ท็อปบอก ผมนิ่งคิด ผมไม่เคยมีปัญหาเรื่องการหลับยากหรือการนอนไม่หลับแบบจริงๆจังๆ

“นอนดูดาวไปจนหลับล่ะมั้ง ก็เหมือนนับแกะไหมพี่ แต่เปลี่ยนเป็นดาวแทน ไม่รู้สิ สำหรับผมมันก็เป็นวิธีที่น่าลอง”

“อืม คิดดีๆ”

“เป็นอะไรหรือเปล่าพี่”ผมเป็นห่วงอีกฝ่ายนิดหน่อย พี่ท็อปหันมากอดผม เหมือนเจ้าตัวดูอ้อนๆแปลกๆ

“ก็แค่รู้สึกใจหายน่ะ พรุ่งนี้ก็เป็นสุดท้ายแล้วที่จะได้กอดมึงอ่ะ ถึงจะแค่สามสี่เดือนก็เถอะ แต่มันก็คิดถึงอย่างบอกไม่ถูกนะ เฮ้อ สงสัยสาวแตกล่ะมั้งกู”พี่ท็อปพูดติดตลก ผมก็ไม่ได้คิดในมุมของพี่ท็อป เจ้าตัวเองก็ไม่ต่างจากผมหรอก อยู่ในที่แปลกถิ่น คนแปลกหน้า ก็คงมีอาการโฮมซิกขึ้นมา แบบนี้ไปอยู่ต่างประเทศไม่ได้แหงๆเลย

“นอนหลับนะพี่ เดี๋ยวผมกล่อมเอง”ที่พี่ท็อปถามขึ้นมาเพราะเจ้าตัวนอนไม่หลับสินะ พี่ท็อปขยับตัวมานอนใกล้ๆบนหมอนใบเดียวกัน ผมคุ้นชินกับการสัมผัสใกล้ชิดของอีกฝ่าย แขนข้างที่โอบกอดเจ้าตัวไว้ลูบหลังเบาๆเป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าแบบนี้ช่วยอะไรไหม แต่เจ้าตัวไม่ได้ประท้วงอะไรแค่หลับตานอนเงียบๆอย่างสงบ

เหมือนเด็กน้อยเลยแฮะ

ผมนึกในใจ

พี่ท็อป ผมก็หลงรักพี่เหมือนกันนั่นแหละ คืนนี้เป็นค่ำคืนที่หลับไม่ลงจริงๆ

...

..

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกที ก็ตอนตี5 แสงไฟจากด้านนอกระเบียงทำให้ผมต้องย่นหน้า มองดูอีกครั้งชัดๆผมเห็นพี่ท็อปยืนอยู่ด้านนอกระเบียง ผมลุกขึ้นมานั่ง เหมือนเจ้าตัวเพิ่งอาบน้ำเสร็จเพราะใส่ชุดคลุมอาบน้ำอยู่

“ทำไมตื่นเร็วจังล่ะครับ”ผมเดินออกไปหาอีกฝ่าย พี่ท็อปหันหน้ามามอง “มันชินไปแล้วน่ะ กูทำมึงตื่นหรือเปล่า”

“อือ แต่ไม่เป็นไรหรอก”

“ไม่ไปอาบน้ำหน่อยเหรอ จะได้สดชื่น”พี่ท็อปเอ่ยเสียงนุ่ม ก่อนจะยืดแขนออกมาโอบไหล่ผมไว้ เจ้าตัวยิ้ม ผมเหลือบมองพี่ท็อปก่อนจะทบทวนว่าผมกำลังตกหลุมพรางอะไรหรือเปล่า แต่ต่อให้ตกจริงๆก็ไม่เสียหายหรอก

“โอเค รอผมแป๊บนึงนะ”ผมบอก ลูบแก้มพี่ท็อปอย่างจงใจ ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง หยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำ ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำอยู่นาน ต้องเช็คความเรียบร้อยนิดนึง ผมมั่นใจว่าพี่ท็อปไม่น่าปล่อยให้ผมรอดตัวอยู่แล้ว ผมส่องกระจก จากนั้นเดินออกจากห้องน้ำ เพิ่งเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว พี่ท็อปนั่งเอนหลังพิงกับหมอนอย่างสบายใจ

“มานี่มา”พี่ท็อปตบที่ว่างบนเตียง สายตาจับจ้องผมเหมือนมองเหยื่อ ผมส่ายหน้าก่อนจะเดินไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าบนโต๊ะ ผมแค่อ้อยอิ่งอยู่หน้ากระจกเพื่อเช็ดผมให้แห้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปหาพี่ท็อปที่เตียง ปล่อยให้รอนานเดี๋ยวก็หงุดหงิดพอดี พี่ท็อปยิ้มแล้วฝ่ามือข้างถนัดก็เอื้อมมาคว้าสะโพกของผมทันที ไม่มีพิธีรีตองอะไร พี่ท็อปดึงผมให้ล้มลงเตียงได้ง่ายๆ แผ่นหลังของผมสัมผัสเตียงนุ่ม พี่ท็อปคร่อมทับลงทันที ดึงแถบผ้าเช็ดตัวออกอย่างง่ายดาย

วินาทีต่อมา ปลายลิ้นนุ่มครอบครองริมฝีปากของผมไปหมด เรือนร่างถูกสองมือของพี่ท็อปลูบไล้ไปทั่ว ผมตอบสนองต่อรักอันร้อนฉ่าของพี่ท็อปช่วยปลดสายเสื้อคลุมอาบน้ำออกก่อนจะดึงออกจากแขนเจ้าตัวไปด้านหลัง

“มองอีกแล้ว มึงนี่ติดใจซิกแพคกูเหรอ”พี่ท็อปพูด ก่อนใช้วนเวียนอยู่กับหน้าอกแบนราบของผมเหมือนหยอกล้อ ลิ้นนุ่มสัมผัสกับส่วนปลายยอดสีเนื้อ ผมส่งเสียงอืมเบาไปให้ เลยลูบไล้กล้ามเนื้อน่ากัดไปด้วย

 แล้วนิ้วมือของพี่ท็อปก็มาอยู่ที่ต้นขาของผม อีกฝ่ายใจเย็นช่วยทำให้ส่วนนั้นของผมชุ่มชื้นและเปิดทางให้เจ้าตัวได้ ผมเลยนอนอย่างจดจ่อเห็นท่อนล่างของพี่ท็อปกำลังคึกคะนอง ปลายนิ้วของเจ้าตัวสอดลึกขยับไปมาจนรู้สึกเกร็งขึ้นมาพี่ท็อปลุกขึ้นชั่วขณะเพื่อเตรียมการป้องกัน ผมโน้มคอพี่ท็อปมาจูบ ไม่ทันไรพี่ท็อปแยกขาผมออกแล้วสอดแทรกส่วนนั้นเข้ามาอย่างช้าๆ

ผมอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาเบาๆ ร่างกายเกร็งขึ้นมาโดยทันที พี่ท็อปโน้มลงมาจูบผมต่อ ปลายลิ้นนั้นเหมือนมีความเร่าร้อนส่งมาให้ไม่หยุด ผมโอบกอดพี่ท็อปไว้ ร่างกายตอบสนองต่อแรงปรารถนาที่ส่งเข้ามา พี่ท็อปออกแรงขึ้นอีก

“อืม”ผมหลับตา รับการบุกเข้ามาอย่างแข็งแกร่ง บางจังหวะที่ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าพี่ท็อปจ้องผมไม่วางตา

“อะ”คนด้านบนครางเสียงต่ำพลางซุกหน้าไว้ที่ซอกคอผม

“อ๊ะ...”ผมหัวสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ การจู่โจมอันต่อเนื่องนั้นทำให้ผมขยับไปใกล้จุดหมาย พี่ท็อปเลื่อนมาจูบผมต่อ ดูเหมือนว่าอีกไม่นานเจ้าตัวก็คงจะเสร็จสมไปพร้อมกันนี่แหละ

อารมณ์พลุ่งพล่านหยุดลง บรรยากาศเงียบสงบกลับคืนมา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พี่ท็อปยังไม่ขยับไปไหน ผมเลยได้แต่กอดอีกฝ่ายไว้เงียบๆ “ถึงตาพี่บ้าง พี่รักสองนะ...”พี่ท็อปพูดจริงๆด้วยแฮะ ผมมองหน้าเจ้าตัวที่กลับมาสงบ เราสองคนจูบนัวเนียกันอีกรอบ แล้วพี่ท็อปก็ถอนตัวออกไปจนได้ ผมเหลือบมองนาฬิกา

นี่หกโมงเช้าแล้วเหรอเนี่ย

“มอนิ่งครับพี่”ผมบอก ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวที่ตกอยู่ที่พื้นมาพันเอวอีกรอบ ต้องอาบน้ำอีกรอบแล้วสิเนี่ย พี่ท็อปเปิดประตูห้องน้ำรอ แค่อาบน้ำเท่านั้นเอง

ผมรู้กระปี้กระเปร่าต้อนรับเช้าวันอาทิตย์  พี่ท็อปก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ สีหน้าสดชื่นขึ้นเยอะ พอเจ็ดโมงเช้าแม่พี่ท็อปก็มาหาพร้อมอาหารเช้า

“ไงล่ะเรา สีหน้าสดชื่นเชียว”แม่พูดกับลูกชายสุดรัก ผมยิ้มนิดๆ เจ้าตัวไหวไหล่

“เห็นไหมแม่ ท็อปบอกแล้วว่ามันอ่ะเป็นยาดีๆนี่เอง”พี่ท็อปพูด คงหมายถึงผม ฮึ ไอ้คนเจ้าแผนการ แม่หันมายิ้มให้ผม “สองรู้แล้วสินะ ว่าใครอยู่เบื้องหลังแผนการนี้ แม่ก็นึกว่าจะคิดถึงกัน ที่ไหนได้ กลับเป็นสองไปซะได้”

“โธ่แม่ครับ ท็อปเจอแม่เดือนนึงตั้งหลายครั้งแล้วนี่นา ก็อยากเจอหน้าแฟนบ้างนี่ ถ้าจะรอให้มันมาหาก็คงรอจนฝึกเสร็จนู่นล่ะมั้ง”พี่ท็อปทำเป็นบ่น แม่ส่ายหน้าอย่างจนใจ

“แต่ก็จริงอย่างที่ว่า ดูสิ พอเจอสองปุ๊บ หน้าตาสดใสเชียว ตอนทำงานล่ะหน้าหม่นหมองเชียว”

“ยาดีครับยาดี”พี่ท็อปพูดย้ำ ส่งสายตากระลิ้มกะเหลี่ยมาให้ ผมแอบยักไหล่ หลังทานข้าวเช้าเสร็จ แม่อยู่คุยกับพี่ท็อปอยู่ครึ่งชั่วโมงก่อนจะกำชับผมว่าจะมารับตอนสองทุ่ม

“ตกลงพี่นอนไม่หลับจริงๆน่ะเหรอ”ผมชวนคุย ก่อนจะเดินมาเปิดทีวีดู นั่งโซฟาพร้อมกับปอกเปลือกแอปเปิ้ลไปพลาง พี่ท็อปถือน้ำองุ่นมาสองแก้ว ก่อนจะวางให้ผมแล้วนั่งลงข้างๆ

“ก็มีบ้างนะ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาหรอก สบายใจได้นะเว้ย”พี่ท็อปบอกโอบไหล่ผมอย่างปลอบประโลมเกินกว่าเหตุ แค่หาเรื่องจับเนื้อจับตัวผมมากกว่า

ผมหั่นแอปเปิ้ลใส่จานจนเสร็จ แล้วจิ้มป้อนพี่ท็อป “อ้า”ผมบอก พี่ท็อปอ้าปากงับชิ้นแอปเปิ้ลไปช้าๆ

“ทำตัวน่ารัก อยากได้อะไรหรอ”พี่ท็อปถาม

“เปล่าหรอก แค่อยากเอาใจ”ผมบอก

“หึหึ สกิลเอาใจสามีใช่ย่อยนะมึง”พี่ท็อปผลักหัวผมเบาๆแล้วโยกเล่นราวกับเป็นลูกบอล

“อ่ะอ่ะ ได้ทีก็เอาใหญ่”ผมส่ายหน้า ไม่สะทกสะท้านต่อการหยอกล้อของพี่ท็อป

“กลับไปประจำตำแหน่งเดิมได้ล่ะนะสอง ไม่ต้องเทรนมาก”พี่ท็อปพูด ผมกรอกตาอย่างสุดทน สกิลปากพี่แกกลับมาแล้ว ไอ้ที่อ้อนเมื่อวานนี่หมดโปรแล้วสินะ

“ก็ไม่ขัดข้องหรอกนะครับ”ผมบอก ไม่มีความเอียงอาย พี่ท็อปผิวปากเบาๆ  เฮ้อ กวนประสาทแต่เช้าเลยว่ะ
   วันทั้งวันพี่ท็อปชวนผมคุยไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะชวนผมไปเดินเล่นที่สระว่ายน้ำ เจ้าตัวบอกอย่างลงน้ำ ผมได้แต่มองพี่ท็อปดำผุดดำว่ายอย่างสบายใจ ผมไม่อยากลงไปแช่น้ำหรอก ที่จริงแล้วพี่ท็อปทิ้งรอยจางๆเอาไว้ ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้ไปดูดไปกัดอะไรพี่ท็อปซะหน่อย
   
การมาหาพี่ท็อปครั้งนี้ถือว่าคุ้มกันทั้งสองฝ่าย ที่จริงผมก็ไม่ได้กะว่าจะมีเซ็กส์กับแฟนอย่างเดียว ก็ตั้งใจว่าจะมาอยู่เพื่อให้หายคิดถึง แน่นอนว่าไอ้ที่คิดถึงไม่ได้ถึงเซ็กส์ มันก็หลายๆอย่าง ผมก็ไม่ได้มีอารมณ์งุ่นง่านขนาดนั้น ก็แค่เซอร์วิสให้พี่ท็อปนิดๆหน่อยๆ

   ถือว่าเป็นการวางแผนที่คุ้มค่ามากๆ ยังไงผมก็ขอซูฮกพี่ท็อปจริงๆ

   ก่อนกลับ พี่ท็อปบอกผมว่า “กูกลับไปอยู่บ้านเมื่อไหร่ ไปเดทกันอีกรอบนะสอง”เจ้าตัวกอดผม ไม่ลืมที่จะเอาแคคตัสน่ารักๆนั่นมาส่งมอบให้ผม

“อื้ม ตั้งใจทำงานนะครับ”ผมบอก อารมณ์เหมือนส่งสามีไปทำงานยังไงยังงั้น

หลังจากที่กลับมาชลบุรี ผมก็ขอซัดไอ้เพื่อนช่างยุทั้งสองตัวอย่างไอ้ผิงและไอ้โก๋ มันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แถมแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่า “ก็กูเป็นห่วงมึงนี่หว่า ไม่อยากให้เพื่อนเสียใจ”

“หึ เชื่อมึงเลย”ผมไม่ถือสาหาความอะไรมันสองคน
สุดท้ายเทอมสุดท้ายของปีสามของผมก็จบลงด้วยประการฉะนี้ล่ะครับ



........................TBC
ตอนนี้เซอร์วิสซะหน่อย สำหรับท็อปสอง
ส่วนตอนเดทขอเก็บไว้ในตอนพิเศษเเล้วกันนะคะ
ตอนหน้าจะเป็นบทส่งท้ายของดีนไดอารี่ต่อค่ะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # "บทส่งท้าย"(ท็อปสอง) 19.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 20-08-2017 11:30:02
สองยังได้รุกกับเขาบ้าง นึกว่าจะเสียตำแหน่งไปตลอดกาลซะแล้ว 5555555555
ตอนนี้หวานจนมดขึ้นเลย เหม็นความรัก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # "บทส่งท้าย"(ท็อปสอง) 19.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 20-08-2017 11:52:57
พี่ท็อปใจดีจังให้สองได้รุกบ้าง อิอิ คู่นี้เขาหวานเขาน่ารักมากกกก
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # "บทส่งท้าย"(ท็อปสอง) 19.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-08-2017 14:27:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # "บทส่งท้าย"(ท็อปสอง) 19.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-08-2017 15:08:06
เหมือนพี่ท๊อปจะทำให้สองระแวงเล็กๆ
แต่จริงๆไม่มีอะไรน่ากลัว
ที่แท้พ่อสองมาเจอพี่ท๊อปนี่เอง

พี่ท๊อป สอง มีเวลาโรแมนติคกันและ
เหมือนแผนแม่ แต่เป็นแผนพี่ทอปเอง
เติมความหวานให้กันและกัน กระชุ่มกระชวยเลย
ที่แท้สอง เป็นยาของพี่ท๊อป
พี่ท๊อปหลงสองแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' # "บทส่งท้าย"(ท็อปสอง) 19.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 20-08-2017 15:15:10
นานๆคู่หลักจะโชว์หวานสักที ถ้าถามเราเราชอบพี่ท็อปรุกมากกว่านะเราว่าแกเหมาะกับสายนี้มากกว่าอะ ฮ่าๆ ตอนหน้าดีนไดอารี่คู่นั้นก็จะมีอะไรคืบหน้ารึเปล่านะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Deen Diary บทที่ 9 บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 20-08-2017 18:28:08

Deen Diary
บทส่งท้าย

‘จะทำยังไงดีวะ’
ผมกำลังนอนคิดมากเรื่องของไอ้แกน ถ้าหากว่ามันสภาพรักกับผมขึ้นมาจะทำยังไง ขนาดเรื่องอพาร์ทเม้นท์มันยังจัดการเองเสร็จสรรพ ผมพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างนอนไม่หลับ ระหว่างนั้นผมเอื้อมไปหยิบกุญแจห้องของไอ้แกนที่วางอยู่บนโต๊ะลิ้นชักข้างเตียง
เฮ้อ..... ไม่เคยรู้สึกหนักใจแบบนี้มาก่อน
รุ่งเช้าผมตื่นมาแบบไม่สดชื่นนัก ผมแต่งตัวเตรียมไปทำงานเหมือนอย่างที่เคย ระหว่างทางที่ไปทำงานผมไม่เจอไอ้แกน ก็ดี.... ผมคิดในใจก่อนจะเดินไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ไว้เป็นอาหารเช้า ผมยังคงใช้รถมอเตอร์ไซด์ไปทำงาน
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริษัท ผมเข้ามาที่สตูทักทายคนในห้องอย่างคุ้นเคย ตอนนี้ทางทีมของผมกำลังทำโปรเจกต์ของคอนโดใจกลางเมือง นับวันคอนโดก็ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ผมนั่งลงที่โต๊ะเพื่อเริ่มงาน ปกติตอนเรียนส่วนใหญ่ก็เน้นงานที่ไม่ได้ใช้คอมเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่เคยลงเรียนคอมออกแบบ ส่วนมากงานที่ได้รับมอบหมายจะเป็นพวกงานศิลป์ ภาพวอลเปเปอร์ ศิลปะสื่อผสม ไอ้พวกออกแบบจัดวางเป็นหน้าที่ของอินทีเรีย กว่าจะได้งานออกมาก็ต้องประชุมแล้วประชุมอีก
“เออดีน แบบที่มึงส่งมากูชอบอันที่สองที่สุดล่ะ มึงลุยงานนั้นเลย” พี่สรหัวหน้าทีมเดินมาที่โต๊ะบอกผม เจ้าตัวจบสายสถาปัตย์มา เก่งมาก งานขายต้องยกให้พี่เขาเลย พี่สรลักษณะเหมือนเด็กสายอาร์ตตามปกติ ดูมีชาติตระกูลใช้ของมียี่ห้อหน้าตาตี๋ๆ
“ได้เลยครับ แล้วพี่เสนองานของเฮียพัฒน์ผ่านไหมครับ” ผมค่อนข้างสนิทกับพี่สรพอตัวเพราะความคิดไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกันเลยคุยกันไม่ยาก แถมยังไม่มาวางอีโก้ใส่ผม อย่างที่เขาว่าต่อให้งานจะแย่แค่ไหนแค่มีหัวหน้าดีๆ ก็วินแล้ว โชคดีที่เพื่อนร่วมงานของผมค่อนข้างดี ไม่ค่อยมาชิงดีชิงเด่นอะไร
“อ้อ สบายมาก เสนอไปล้านแปดไอเดียแม่งมาถูกใจกับไอ้แค่แบบง่ายๆ เปลืองน้ำลายสุดๆ” พี่สรส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะพร้อมกับเหล่ตามามองงานในจอคอมของผมอย่างสนใจ
“มึงนี่ก็พัฒนาขึ้นเยอะ นึกว่าจะเอ๋อไปสักสองสามเดือน ฮ่าๆ” พี่แกพูดติดตลก
“ได้พี่ๆ ช่วยนั่นแหละครับ ดีที่ไม่โหดใส่ผมไม่งั้นตายแน่” ผมพูดซึ่งก็จริงนั่นแหละครับ ถ้าโหดจริงๆ ผมคงไม่ผ่านช่วงทดลองงานแน่ๆ พี่สรมาแก้งานผมอยู่หลายนาทีก่อนจะเดินไปทำงานที่โต๊ะประจำของตัวเอง
ตลอดทั้งวันทีมของผมทำงานกันจนเสร็จ มาประชุมกันรอบสุดท้ายเพื่อที่พี่สรจะไปเสนองานกับบอสอีกที ก่อนที่จะไปขายงานให้ลูกค้า
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เลิกดึก สองทุ่มแล้ว ผมเก็บของใส่กระเป๋า พวกพี่สรพาไปเลี้ยงข้าวมื้อดึกฉลองที่เคลียร์โปรเจกต์เสร็จแล้ว แน่นอนว่าไม่พ้นร้านอาหารกึ่งร้านเหล้า
ไอ้แกนมันไลน์มาหาผม
Gan : เลิกงานดึกอีกแล้ว กูซื้อโจ๊กไว้ให้ถุงนึงแขวนไว้หน้าห้องนั่นแหละ
Gan : สัปดาห์นี้กูไปสัมมนากับบริษัทไม่อยู่สักพักนะ ฝากให้อาหารปลาแล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนน้ำให้ปลากัดนะเว้ย ถ้างงก็โทรหานะ
ผมมองข้อความอย่างจนใจ มันเผด็จการอีกแล้ว ผมไม่ได้ตอบกลับไป เพราะส่วนมากไอ้แกนมันก็เป็นฝ่ายพล่ามอยู่แล้ว
“เฮ้ย ดีนกินเยอะๆ นะ เห็นมึงเงียบๆ มีใครดูแลยังวะ” อยู่ๆ พี่สรแกก็เอ่ยขึ้นมาแบบนี้พี่ๆ บนโต๊ะขำกันเหมือนเห็นเป็นโจ๊กสนุกๆ ผมแค่ยิ้ม
“ขอบคุณครับพี่” ผมรับแก้วเหล้ามาจากพี่สรที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะรับถ้วยยำทะเลมาจากพี่ๆ ที่คอยเติมอาหารให้ ผมยังไม่อยากเมาเท่าไหร่
“เฮ้ย นี่ถามจริงๆ นะ” พี่สรเอนมากระซิบ ผมหัวเราะ
“มีแต่ภาระแหละพี่” ผมนึกถึงไอ้แกน พี่สรทำหน้าย่น
“แน่ะ ข้ออ้างล่ะสิ มึงก็ดูเหงาๆ นะ” พี่สรแกพูดให้ผมได้ยินคนเดียว ผมเหลือบมองอีกฝ่ายที่เริ่มกรึ่มๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์
“ไม่หรอกพี่” ผมไม่อยากหาเรื่องให้ตัวเอง พี่สรแกชอบทำตัวเป็นป๋าเอ่ยปากเลี้ยงเด็กคนนั้นคนนี้ บางทีก็พูดจริงบางครั้งก็แค่แซวสนุกปาก ผมไม่ชอบเป็นหัวข้อเม้าธ์ของพี่ๆ ในที่ทำงานหรอก
“ฮึ จะแซะมึงนี่ยากนะ” พี่สรหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ผมเลยค่อยหายใจคล่องหน่อย เข้าใจว่าพี่เขาคงแกล้งไปแบบนั้น

หลังจากที่ดื่มกันพอประมาณ พี่ๆ เป็นฝ่ายเลี้ยงผมก็ปฏิเสธไม่ได้เลยแยกย้ายกันกลับ พี่สรไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมแล้ว ผมกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์เห็นถุงโจ๊กแขวนไว้ตรงลูกบิด ผมจับดูยังอุ่นๆ อยู่แต่ก็คงนานแล้วล่ะ นี่ก็เพิ่งห้าทุ่มนิดๆ เท่านั้นเอง ผมลองไปเคาะประตูห้องไอ้แกนแต่ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา สงสัยว่ามันไปสัมมนาแล้วหรือเปล่า
Deen : ไม่อยู่ห้องเหรอ
Gan : อือ ออกเดินทางกับรถของบ ทำไมเหรอ มึงไปหากู?
Deen : เปล่า เห็นห้องเงียบๆ
Gan : อือ อย่าลืมนะ ไม่เข้าใจโทรหาได้
ผมอ่านข้อความของไอ้แกนแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง เอาโจ๊กไปอุ่นให้ร้อนก่อนจะเดินไปดูปลาของไอ้แกนซะหน่อย ไม่รู้ว่ามันให้อาหารทิ้งไว้หรือเปล่า ผมไขกุญแจเข้าไปในห้องของมันก่อนจะเปิดไฟ ภายในห้องเงียบกริบ ผมเดินไปดูที่ตู้ปลาเห็นว่าพวกมันสบายดี มีร่องรอยการให้อาหารไว้ทั้งสามตู้ ผมก้มไปดูปลากัดมันเหมือนนอนมากกว่า ผมเห็นกระดาษที่แปะไว้ข้างๆ ตู้
'ถ้าเปลี่ยนน้ำให้ปลากัดแล้ว อย่าลืมเอาไรแดงในห้องน้ำให้มันกินด้วยนะ'
ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่เลยเดินไปดูในห้องน้ำ เห็นว่ามีถังน้ำขุ่นๆ ที่เหมือนมีตัวอะไรเล็กๆ เหมือนฝุ่นลอยเต็ม ไรแดงสินะ ผมถอนหายใจ เลี้ยงปลาพวกนี้ก็ลำบากไม่รู้มันจะหางานให้ตัวเองทำไม
ผมเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง รู้เหนื่อยล้าขึ้นมา ผมอาบน้ำก่อนจะจัดการกับโจ๊กนั่นจนหมด มาคิดดูอีกทีเหมือนไอ้แกนมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้วจริงๆ
เฮ้อ... เวลาแบบนี้มีพี่กัสอยู่ด้วยก็น่าจะดี ‘ก็ดีแล้วนี่จะได้ไม่เหงา’ พี่กัสต้องตอบผมมาแบบนี้แน่ๆ พอนึกแบบนี้ได้ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ นานแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงพี่กัส เจ้าตัวใจแข็งจริงๆ ไม่ยอมบอกอะไร แค่บอกว่าอยู่เมืองเบงเกวตแค่นั้น
ผมไม่สามารถติดต่อพี่กัสได้ มีแค่อีเมลเท่านั้นแหละ เวลาที่ฟิลิปปินส์น่าจะเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง ผมส่งอีเมลไปหาพี่กัส ‘ตอนนี้พี่ทำอะไรอยู่ พี่ตองก็ไม่ยอมบอกอะไรแค่บอกว่าพี่สบายดี น่าจะติดต่อหาผมบ้างนะ’ ผมเขียนข้อความไปไม่ยาวมาก ส่วนใหญ่ก็เล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายได้อ่าน ไม่รู้จะเปิดอ่านหรือเปล่า ผมกดส่งเมลไปจนได้ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว พี่กัสคงหลับ นั่นสิต้องเลี้ยงลูกคงเหนื่อย
ผมนอนไม่หลับ
Gan : กลับถึงห้องหรือยัง?
ไอ้แกนส่งไลน์มาหา ผมมองข้อความนั้นก่อนจะถอนหายใจ
Deen : อืม กำลังนอน
ผมพิมพ์ตอบกลับไปก่อนจะหลับตาลง เสียงเตือนข้อความดังขึ้นอีก
Gan : ฝันดีนะ
ผมจ้องข้อความนั้นอย่างใจลอย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอย่างมันถึงต้องมาอดทนกับผมมากขนาดนี้ จะตอบว่าชอบก็เกินไปหน่อย ‘แย่ล่ะ คิดเรื่องของมันอีกแล้ว’ พอกันทีผมจะเลิกคิดเรื่องของไอ้แกนดีกว่า

หนึ่งสัปดาห์ที่ไอ้แกนไปสัมมนากับบริษัท ผมรู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูกเพราะต้องมาดูแลปลากัดของมันน่ะสิ ไอ้ปลาหางนกยูกน่ะเลี้ยงง่ายแค่ให้อาหาร แต่ปลากัดต้องดูแลมันหน่อย เปลี่ยนน้ำเปลี่ยนต้นไม้เพราะไม่งั้นมันจะเน่า จนกระทั่งครบหนึ่งอาทิตย์ที่ไอ้แกนหายหัวไป ผมกลับมาอยู่ที่ห้องเพราะมันบอกจะกลับมาวันอาทิตย์ ผมเลยใช้เวลาช่วงเช้าลองทำเครปเค้กชาเขียวดู เปิดขั้นตอนในเนตเอา เพราะผมเองก็อยากกิน ระหว่างที่เตรียมส่วนผสมโทรศัพท์ก็สั่นเพราะมีสายเข้า ผมหยิบออกมาดูแล้วก็ต้องแปลกใจปนตื่นเต้นเพราะเป็นเบอร์โทรจากต่างประเทศ มีคนอยู่คนเดียวนี่แหละ
“สวัสดีครับดีนพูด” ผมรับสาย ในใจขอให้เป็นพี่กัส
[หวัดดีเว้ยนี่พี่กัสเองนะ ดีใจล่ะสิ] ปลายสายเป็นเสียงของพี่กัสจริงๆ ด้วยล่ะ ผมวางของในมือลงก่อนจะเดินไปนั่งคุยแทน รู้สึกหลากหลาย ทั้งดีใจ โกรธ ปนกันไปหมด
“พี่นี่ใจร้ายจริงๆ เงียบหายไปนานมากๆ ถ้าผมไม่บ่นพี่ก็จะไม่ติดต่อมาเลยสินะ”
[โทษทีๆ อย่าโกรธกันน่า ฮ่าๆ มึงโกรธพี่จริงเหรอดีน]
“ก็นิดหน่อย พี่หายไปเลยนี่” แล้วมาบอกผมว่าติดต่อมาได้ตลอดแต่เจ้าตัวก็หายไปเข้ากลีบเมฆ
[พอดียุ่งๆ น่ะ พี่ยุ่งจริงๆ นะ]
“ครับ เข้าใจนั่นแหละ แต่ก็น่าจะบอกกันหน่อย ผมไม่ไปรบกวนพี่แน่ๆ”
[น้อยใจเหรอ ขอโทษเว้ย พอดีช่วงนี้กูกำลังเรียน BFA ที่เกซอนซิตี้อยู่น่ะ] ผมฟังแล้วก็ดีใจกับอีกฝ่ายที่กลับไปเรียนแถมยังเรียนอินเตอร์อีกต่างหาก
“จริงเหรอ ก็ดีเลยสิพี่”
[อืม จะว่าดีก็ดีแต่เหนื่อยมากเพราะมันอยู่คนละเมืองกันก็เลยลำบากกันนิดนึง แล้วมึงโอเคนะ] เหมือนพี่กัสไม่อยากพูดเรื่องตัวเองเท่าไหร่เลยเบนมาที่ผมแทน
“ก็สบายดีแหละ พี่ทำงานก็เหนื่อยเป็นธรรมดา”
[เออ มีเรื่องอะไรก็เขียนมาเล่าให้รู้บ้างนะ กูก็เปิดอ่านตลอดนั่นแหละ ถ้างั้นก็วางสายก่อนนะไว้ว่างๆ จะโทรหาใหม่ แต่ไม่ต้องรอนะเว้ย คงอีกนาน]
“โอเคครับ” คุยกันไม่นานพี่กัสก็วางสายไป ในเมื่อเจ้าตัวได้เริ่มต้นใหม่ก็ถือเป็นเรื่องดี
ผมเดินกลับมาทำเครปเค้กต่อ มันจะยากก็เวลาที่ทอดแผ่นเครปนั่นแหละ หน้าตาออกมาไม่น่ากินเท่าไหร่ ผมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่าง พอหันครึ่งซีกแล้วก็หน้าตาใช้ได้อยู่ ยังไม่ได้ลองชิมเลยด้วย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมเดินไปเปิดประตูก็เจอไอ้แกนยืนอยู่ ในมือมันถือของฝากจากเมืองเหนือ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ
“ของฝากไง” มันยื่นให้ผมถือแต่ตัวมันกลับเบียดเข้ามาด้านใน ผมชะงักเมื่อเห็นมันเดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะ แต่ที่ตกใจกว่านั้นคือรอยสักบริเวณท้ายทอยของมัน ผมเห็นไม่ชัดเท่าไหร่แต่ผมรู้สึกได้ถึงลางไม่ดี ผมปิดประตูก่อนรีบเอาถุงของฝากทั้งอาหารแห้งและของที่ระลึกไปวางไว้ที่โต๊ะ
“มึงทำอะไร” ผมถามมันเสียงดัง ไอ้แกนแค่ไหวไหล่ก่อนจะยืมกอดอกมองผมด้วยสายตานิ่งๆ
“ทำอะไรล่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้าน มันแกล้งตีมึน
“มึงสักเหรอ” ผมถามมัน รู้สึกตกใจอยู่มาก ที่มันไปสักมา
“เออ สักชื่อมึงไง” มันตอบอย่างชัดเจนทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ไอ้แกนเดินเข้ามาใกล้ผม
“เพื่ออะไรวะ” ผมอยากถามว่ามันต้องการอะไรต่างหาก ไอ้แกนแค่แค่นเสียงอยู่ในลำคอมันเหลือบมองมาที่ผม จ้องมองอยู่นานจนผมเริ่มอึดอัดเลยเสไปมองทางอื่นแทน
“มึงดูแลปลาของกูดีหรือเปล่า” มันเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ทำตามที่มึงบอกนั่นแหละ” ผมตอบมันห้วนๆ
“มึงสักชื่อกูได้ ไม่ถามกูสักคำ แล้วทำไมกูถึงจะสักชื่อมึงบ้างไม่ได้ล่ะ” ไอ้แกนวกกลับเข้าเรื่องเดิม คำตอบของมันทำให้ผมอึ้งไป มันคิดบ้าอะไรของมัน
“มันไม่เหมือนกัน มึงก็น่าจะเข้าใจ”
“อืม ก็เข้าใจแต่กูต้องขออนุญาตมึงก่อนเหรอไง” มันถามอย่างท้าทายก่อนจะก้าวมาหาผม ผมผงะออกตามสัญชาติญาณ ไอ้แกนแค่ยักยิ้มออกมา
“มึงออกไปได้แล้ว” ผมไล่มันไปเพราะไม่อยากเห็นหน้ามันอีก
“อืม กูไปอยู่แล้วแต่มึงเอานี่ไปใช้ด้วย” ไอ้แกนมันหยิบซองสีน้ำตาลที่ดูนูนๆ เหมือนมีของอยู่ด้านใน ผมมองอย่างไม่วางใจ ผมไม่รับของจากมัน “เอาไปเถอะน่า” มันหัวเราะเยาะ ผมรับมาถือสัมผัสน้ำหนักเหมือนมีหลอดครีมหรืออะไรสักอย่างอยู่ด้านใน ผมเหลือบไปมองมัน
“ลองเปิดดูก็ได้จะได้ด่ากูตอนนี้เลยเป็นไง” ไอ้แกนทำท่ากวนประสาท มันกอดอกมองผมด้วยท่าทีสบายใจ ผมเม้มปากข่มอารมณ์หงุดหงิดไว้ก่อนจะแกะซองสีน้ำตาลออก พอเปิดออกมาเป็นหลอดครีม Extreme Tattoo Care ผมนิ่งงัน
“เพื่ออะไร”
“กูเพิ่งสังเกตว่ารอยสักมึงมันเริ่มจาง กูไม่อยากให้มึงต้องไปย้ำสีอีกตรงๆ แต่ก็ไม่อยากให้ชื่อกูจางลงไปเรื่อยๆ หรอกว่ะ” คำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกแปลกประหลาด ไม่ได้ตกใจแต่วิธีการที่มันแสดงออกทำให้ผมทึ่งอยู่เสมอ
“มึงต้องการอะไรจากกูกันแน่ มึงสนุกรึไงวะ” ผมมองหน้ามัน
“ไม่นี่ กูแค่เป็นห่วงมึงเท่านั้นเอง มาตอนนี้แล้วมึงยังตะขิดตะขวงใจอะไรอีกทำไม มึงไม่ทำตัวเหมือนปกติ มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นนี่หว่า” ไอ้แกนพูด แววตาดุดันคู่นั้นสะท้อนประกายความรู้สึกบางอย่าง
โกรธผมที่ไม่เข้าใจตัวมันงั้นเหรอ
“มึงก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก” คงไม่มีทางที่ผมจะเป็นแบบนั้นกับมันได้แน่ๆ การเป็นเพื่อนมันง่ายกว่าเยอะ
“กูไม่ได้ขอซะหน่อย มึงอย่าคิดไปเองสิ กูพูดเหรอ” ไอ้แกนพูด ผมมองหน้ามัน ใช่... มันไม่เคยพูดออกมาอยู่แล้วแต่มันหน้าด้านที่จะแสดงออกมาในทำนองนั้น
“เออ ช่างเถอะมึงกลับไปได้แล้ว” ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วย
“กูสักชื่อมึงไว้ไม่ใช่เพราะกูอยากจดจำมึงหรอก กูแค่อยากให้มึงเห็นก็เท่านั้นแหละ มึงรู้สึกยังไงบ้างล่ะที่เห็นชื่อตัวเองบนตัวคนอื่น” ไอ้แกนพูดอย่างไม่ลดละ ผมไม่รู้หรอกว่ามันกำลังพูดด้วยอารมณ์ไหน ที่มันพูดผมก็ไม่เคยเก็บเอามาคิดจริงๆ จังๆ ในมุมของมันหรอกว่ามันรู้สึกยังไงเวลาเห็นชื่อตัวเองบนตัวผมน่ะ
“มึงเลิกกดดันกูได้ไหม”
“ช่างเถอะ กูก็คิดอยู่แล้วไม่มีทางได้คำตอบจากมึงแน่ๆ” มันพูดก่อนจะเดินออกจากห้องของผมไป
ผมถอนหายใจอย่างโล่งออกก่อนจะมองครีมในมือ ความหมายก็ตรงตามชื่อนั่นแหละ ไว้สำหรับดูแลบำรุงเพื่อให้รอยสักสีสดและใหม่ ตั้งแต่ผมสักชื่อมันผมก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่เพราะผมไม่ได้ต้องการความสวยงามนี่ มาตอนนี้ก็จางลงกว่าเดิมแล้ว
ผมเก็บของในครัวรู้สึกไม่อยากอาหารอีกต่อไปแล้ว มันรู้สึกยังไงกันล่ะ? มันเองก็ไม่เคยบอกผมสักครั้ง

ตั้งแต่วันนั้นไอ้แกนก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมอีก ตอนเช้าแค่เจอกันหน้าอพาร์ทเม้นท์ มันไม่ได้คุยกับผม มันโกรธงั้นสิ ผมนึกย้อนดูแล้วมีตรงไหนที่ผมไปทำให้มันโกรธ อีกอย่างก็ไม่ใช่กงการอะไรของผมด้วย
ช่วงที่ผมอยู่ที่บริษัทพี่สรก็เหมือนคนละคนกับเวลาเหล้าเข้าปาก พี่แกก็สุภาพตามปกติผมไม่เก็บมาใส่ใจ บางวันทีมของผมก็ออกไปเก็บงานข้างนอก เหมือนได้ออกไปเปิดหูเปิดตา
ดูเหมือนว่าไอ้แกนจะหายหน้าไปจากผม รู้สึกเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นไปแล้วนั่นก็คือช่วงที่ฝึกสหกิจตอนปีสี่ มันก็หายไปสักพักพอกลับมาก็มาวุ่นวายกับผมต่อ ผมเดาอารมณ์มันไม่ถูกหรอก
“ดีนๆ ลองไปดูไอ้แกนหน่อยสิมันดีขึ้นหรือยัง” ลุงเปาเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้หน้าปากซอยอพาร์ทเม้นท์พูดขึ้นมาเมื่อผมออกมาซื้อน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องกับขนมปังสังขยา
“ทำไมเหรอครับ” ผมแปลกใจ
“ก็เมื่อสองสามวันก่อนไอ้แกนมันดูหงอยเป็นหมาป่วยเลย มันมาซื้อน้ำเต้าหู้ท่าทางคงป่วยมั้ง”
“มันป่วยเหรอครับลุง” ผมถามงงๆ ไม่คิดว่ามันจะป่วยจริงๆ
“คงอย่างนั้นแหละ สีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ แกก็อยู่ชั้นเดียวกับมันลองไปดูมันหน่อยสิ ไม่ใช่ว่านอนขึ้นอืดอยู่ในห้องนะ ฮ่าๆ” ลุงเปาพูดติดตลก ผมจ่ายเงินเสร็จแล้วก็กลับเข้าอพาร์ทเม้นท์ ผมรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่เลยลองไลน์ไปหามันดู
Deen : ไม่สบายหรือไง
มันไม่อ่าน จนผ่านไปสิบนาทีก็ยังไม่อ่าน ผมเองยังไม่ได้ไปเคาะห้องมันดูเผื่อว่ามันจะป่วยขึ้นมาจริงๆ ผมหยิบกุญแจห้องของมันพร้อมกับน้ำเต้าหู้ไปด้วย ผมเคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะไขกุญแจเข้าไปด้านในห้อง พอเปิดประตูเข้ามาภายในห้องมืดเพราะยังไม่ได้เปิดไฟบวกกับเป็นเวลาพลบค่ำตะวันตกดินแล้ว
“ไอ้แกน” ผมลองเรียกดู มันอยู่ห้องแน่เหรอทำไมเงียบ ผมเดินเข้าไปที่ห้องนอนของมัน บนเตียงปรากฏรอยยับย่นมีร่องรอยการนอนของเจ้าของเตียง ผมเดินไปเปิดไฟ ในห้องสว่างวาบ เดินไปดูที่ห้องครัวห้องน้ำก็ไม่มี ผมกะว่าจะโทรหาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ของมันวางอยู่บนโต๊ะ
‘คงไม่อยู่ห้อง’ ผมคิดแบบนั้น ตั้งใจจะกลับแต่สายตาดันไปสะดุดกับกลุ่มควันบางเบาที่ด้านนอกระเบียง เพราะเป็นกระจกสีดำ ตอนแรกจึงไม่เห็นว่ามีคนนั่งอยู่ตรงนั้น ผมถอนหายใจแรง ไอ้แกนนั่นเอง มันนั่งสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก ผมเลื่อนประตูกระจกออกก่อนจะก้าวออกมานอกระเบียง ไอ้แกนนั่งอยู่บนพื้น ข้างๆ กายมันมีกระป๋องเบียร์ 4 - 5 กระป๋อง สภาพเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีดำ
“กูนึกว่ามึงตายหรือป่วยซะอีก” ผมพูด
“แล้วมึงแคร์ด้วยหรือไง” มันย้อนผมกลับมา เพิ่งเห็นว่ามันเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำมากกว่าเพราะมันไม่ได้โกนหนวดเลยด้วยซ้ำ
“อย่ามาเล่นลิ้น กูนึกว่ามึงป่วยเลยซื้อน้ำเต้าหู้มาให้ มึงแดกอะไรหรือยัง” ผมถามแต่ไม่ได้รับคำตอบกลับมาทำให้อารมณ์พุ่งปรี๊ด “มึงได้ยินหรือเปล่า เรื่องของมึงเถอะกูกลับล่ะ” ผมบอกทิ้งท้ายก่อนจะจับประตูเลื่อนออก
“ดีน” มันเรียกชื่อ ผมไม่เคยชินที่ไอ้แกนเรียกแบบนี้สักครั้ง
“มีอะไร” ผมหันกลับมามองมัน ไอ้แกนดับบุหรี่ขยี้มันลงกับพื้นห้องจนมอดดับไป มันเงยหน้ามองผมนิ่งๆ
“ที่จริงกูก็เหมือนคนป่วยนั่นแหละ” มันพูด
“งั้นก็ลุกไปอาบน้ำกินยาสิวะ” ผมบอกห้วน ๆ อีกฝ่ายยังคงเงียบ ก่อนจะหันมองผม
“ทำไมวะ มึงเป็นห่วงกูจริงๆ เหรอวะ หรือแค่ได้ยินลุงเปาพูดถึง” มันพูดเหมือนรู้ดี
“แล้วไง” ผมตอบอย่างไม่สนใจเท่าไหร่
“ตอบมาสิ” ไอ้แกนคาดคั้น
“กูก็นึกว่ามึงจะตายซะก่อน เห็นหายหน้าหายตาไปหลายวัน ตกลงมึงแค่อยากประชดชีวิตใช่ไหมวะ” อยู่ๆ ผมก็เหมือนเห็นภาพตัวเองซ้อนทับช่วงที่ผมเมานั่นแหละ อนาถพอกัน
“งั้นเหรอวะ”
“มึงไปอาบน้ำดีกว่างั้นเดี๋ยวกูไปซื้ออะไรให้มึงกินเอง” ผมลองทำใจดีดูบ้างเผื่อมันจะลุกจากสภาพเน่าๆ นี่เสียที
“เหลือเชื่อแฮะ ไอ้ดีนจะเป็นห่วงกู”
“เออ กูเป็นห่วง ถ้าเกิดมึงตายกูคงรู้สึกผิด” ผมบอกมัน ไอ้แกนแค่เงียบไป ผมเดินกลับเข้าไปด้านในห้องก่อนจะเดินออกจากห้องของมันด้วยอารมณ์ขุ่นมัว มันเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ

เมื่อบอกว่าจะซื้อข้าวให้มันกิน ผมจำต้องไปซื้อข้าวต้มทรงเครื่องจากร้านข้างๆ อพาร์ทเม้นท์มาสองถุงเผื่อว่าตัวผมอาจจะหิวขึ้นมากลางดึก และแวะซื้อยาพารามาหนึ่งแผง ไม่รู้ว่ามันป่วยจริงหรือป่วยปลอม
ผมกลับมาที่ห้องของไอ้แกนได้ยินเสียงอาบน้ำมาจากห้องน้ำ ผมถอนหายใจก่อนจะจัดการเทข้าวต้มใส่ถ้วยให้มัน เพิ่งนึกขึ้นได้ผมเดินไปดูที่ตู้ปลากัดเห็นว่ายังอยู่ดีเลยหย่อนอาหารปลาไปให้พวกมัน ขนาดท่าทางเหมือนคนไร้วิญญาณมันก็ยังอุตส่าห์ดูแลปลาพวกนี้อยู่
ไอ้แกนอาบน้ำเสร็จ มันมองผมแวบเดียวก่อนจะเดินไปแต่งตัว ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะกลับห้องตัวเองดีไหมในเมื่อมันก็กลับเข้าสู่โหมดปกติแล้ว
“อยู่ด้วยกันสิ มึงซื้อมาสองถุงไม่ใช่เหรอ ก็กินมันด้วยกันนั่นแหละ”
ผมนิ่งกำลังประมวลผลแต่ไอ้แกนถอนหายใจเฮือกใหญ่ผมเลยเซ็งๆ ตาม คงไม่เสียหายอะไร ผมเดินไปหยิบถ้วยมาแกะถุงข้าวต้ม สายตาดันไปเห็นไอ้แกนกำลังสวมเสื้อยืด ผมเห็นรอยสักตัวอักษร DEEN ที่ท้ายทอยเริ่มชัดเจนขึ้นเยอะ มันหยิบครีมมาทาบริเวณรอยสัก ปกติเวลาสักใหม่ต้องบำรุงอยู่แล้วเพราะมันจะตึงและแห้ง ลดอาการคันได้มาก
ไอ้แกนเดินมาหาผมที่โต๊ะกินข้าว ผมเงียบทำเป็นไม่สนใจมัน
“ขนาดรอยสักมึงกูยังดูแลดี” มันพึมพำ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ
“หายบ้าแล้วเหรอวะ”
“หึ เลิกพูดเถอะ” มันไม่เถียงแค่ก้มหน้าก้มตากินข้าวต้ม ผมไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่
“ตกลงมึงป่วยหรือเปล่า” ผมถามอีกครั้ง มองอีกฝ่ายแล้วยังดูซีดเซียวให้เห็น
“ป่วย แต่หายแล้ว” มันตอบเสียงแข็ง
“จริงเหรอ”
“เออ ถ้ากูรอมึงจริงๆ ก็คงได้เน่าคาห้องไปแล้วนั่นแหละ” มันพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ผมรีบจัดการข้าวต้มจนหมด เห็นไอ้แกนหยิบยาในลิ้นชักออกมากิน มันป่วยจริงๆ นั่นแหละยังจะมาทำปากแข็ง ผมมองเวลาตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว สี่ทุ่มนิดๆ
“งั้นกูกลับล่ะนะ หัดดูแลตัวเองบ้าง” มัวแต่ดูแลปลาอยู่ได้ ผมมองไอ้แกนค่อยๆ ล้มตัวนอนบนเตียง มันมองหน้าผมก่อนจะเรียกให้เข้าไปหา ผมลังเล
“มาเถอะน่า ไม่ทำอะไรหรอก” มันบอกผมเลยเดินไปหาไอ้แกนที่นอนอยู่บนเตียง
“อืม ว่ามาสิ” ผมรอให้มันพูด
“มึงจะใจดีกับกูบ้างไม่ได้เหรอดีน” อีกฝ่ายเอ่ยออกมา แววตาของมันทำให้ผมเลื่อนไปจ้องส่วนอื่นบนหน้ามันแทน
“นี่กูก็ใจดีแล้วไง” ผมบอกน้ำเสียงอ่อนลง
“มึงยังชอบพี่กัสอะไรนั่นอยู่เหรอ” อยู่ๆ ไอ้แกนก็พูดถึงพี่กัสขึ้นมา ผมมองมันแล้วส่ายหน้า กับพี่กัสผมแค่หวังให้เจ้าตัวมีความสุขก็เท่านั้น ผมยังเคารพพี่แกเสมอไม่เปลี่ยน
“เปล่า ไม่ได้ชอบก็แค่เป็นพี่” ผมบอกมัน ไอ้แกนเงียบไป
“งั้นเหรอ แต่คนๆ นี้มีอิทธิพลต่อมึงมากนะรู้ตัวหรือเปล่า”
“อืม แต่ตอนนี้ไม่แล้วนี่ พี่แกก็ไปอยู่กับครอบครัวแล้ว” ผมบอกมันเพื่ออะไรก็ไม่เข้าใจ ไอ้แกนกัดปากเหมือนคิดอะไรอยู่
“กูจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะดีน” ผมไม่คิดว่ามันจะทำแบบนี้ มันคว้าแขนผมให้นั่งลงบนเตียงแถมยังไม่ปล่อยมืออีกด้วย ผมจ้องมันเขม็งรับรู้ถึงแรงที่กำรอบข้อมือของผม มือของมันหยาบตามปกติของผู้ชายที่ทำงานหนัก
“ว่ามาสิ”
“ให้กูอยู่ข้างๆ มึงไม่ได้เหรอวะ” ผมนิ่งงันไม่ได้ตกใจเพราะผมคิดว่าสักวันมันต้องทำตัวบ้าๆ แบบนี้ แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันกำลังเรียกร้องอะไรในเมื่อครั้งสุดท้ายมันเคยพูด 'กูไม่ได้ขอซะหน่อยมึงอย่าคิดไปเองสิ กูพูดเหรอ' ตอนนี้มันพูดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกมาแล้ว
“เพื่ออะไร” ผมถามเหมือนทุกครั้งว่าเพื่ออะไร?
“เพื่อตัวกูเองแหละมึงก็รู้ว่ากูมันคนเห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอวะ กูหน้าด้านใช่ไหมล่ะ”
“เออ”
“มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นกูแค่... ให้กูได้อยู่ข้างๆ มึงแบบนี้ไง มึงไม่ต้องเปลี่ยนอะไรหรอก” ไอ้แกนพูดสีหน้าดูสับสน ผมยังเคยคิดว่ามันกำลังสับสนมากกว่าเพราะหลายปีที่ผ่านมามันคอยตามผม ที่จริงผมกับมันก็เป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆ เท่านั้น
“มึงแน่ใจแล้วเหรอว่าคิดแบบนี้จริงๆ น่ะ”
“กูไม่ได้โง่นะเว้ยแล้วก็ไม่ใช่เด็กๆ ที่แยกไม่ออกว่ากูรู้สึกยังไงกันแน่” มันยังคงดึงดัน
“มึงรู้สึกยังไงเหรอที่เห็นกูสักชื่อมึงน่ะ” ผมถามเพราะยังไม่เคยได้คำตอบ เผื่อว่าอะไรๆ จะดีขึ้น ผมเองก็ไม่รู้หรอกกว่ามันจะไปในทิศทางไหน ผมไม่เคยคิดว่าไอ้แกนกับผมจะเป็นแบบไหน จะเดินหน้าไปยังไง ผมแค่เห็นว่ามันเป็นตัวอันตรายก็แค่นั้น ไอ้แกนดูแปลกใจที่ผมถามแบบนี้ แน่ล่ะสิ....
“ก็บอกไม่ถูกหรอก ลึกๆ แล้วก็ควรจะรู้สึกไม่ใช่เหรอ คงแปลกๆ มั้ง มึงเกลียดกูแต่สักชื่อกูไว้ หึ กูควรรู้สึกยังไงเหรอ”
“...” ผมเงียบปล่อยให้มันพูดไป
“กูเสียใจมากกว่าที่มึงเกลียดกูขนาดถึงกับสักชื่อกูไว้” มันพึมพำเบนหน้าไปทางอื่นแทน มือที่จับแขนผมไว้คลายออก ผมนั่งนิ่งมันก็ถูก
“อือ ก็เคยเกลียด” ไอ้แกนหันกลับมามองผมอีกครั้ง ถ้าตาไม่ฝาดนั่นน้ำตาหรือเหงื่อกันล่ะ
“ทำไมมึงใจร้ายจังวะ” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมา อาจจะหมายถึงผมพูดไม่ดีกับมันสินะ ผมไม่ได้เกลียดมันเท่าเมื่อก่อน ก็แค่เฉยๆ มันคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก
“กูว่ากูใจดีกับมึงแล้วนะ” ผมตอบ ถ้าเกลียดผมไม่มีทางมานั่งกับมันแบบนี้แน่นอน
“ขอบคุณ” ไอ้แกนพูดช้าๆ ยังคงมองผมอยู่ไม่ละสายตาไปไหน
“อือ” ผมรับคำในลำคอ
“กูพูดจริงๆ นะ” มันบอก ผมพยักหน้ารับรู้ “เออกูเข้าใจ”
“แล้วเรื่องที่ขออยู่ข้างๆ มึง” ไอ้แกนจ้องผม
“อืม” ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
“มึงรู้สึกยังไงล่ะ” มันถามเสียงห้วนในแบบของมัน
“ไม่รู้ กูควรรู้สึกยังไงดีล่ะ” ผมพูด ไหวไหล่อย่างไม่รู้สึกอะไรนัก
“กูถึงได้บอกว่ามึงใจร้ายไอ้ดีน” ไอ้แกนยิ้มเจื่อนๆ
“กูกลับห้องดีกว่ามึงเริ่มเพ้อแล้ว” ผมลุกขึ้นยืนมองไอ้แกนที่นอนนิ่งสายตาจับจ้องมาที่ผม ‘เมื่อไหร่จะเลิกจ้องซะที’ ผมคิดในใจ ถ้าเป็นปลากัดคงออกลูกเป็นพรวนแล้วล่ะมั้ง ชักเพี้ยนล่ะ ปลากัดตัวผู้ก็ต้องกัดกันสิวะ
“ตอนเช้าให้กูไปส่งนะ” มันบอก
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะว่ะ”
“เออ กูหายแน่ รับปากมาสิ” มันสั่งสินะ ให้ตาย มันกำลังขอให้ผมไปกับมันแต่ดูรูปประโยคสิ
“อือ กูไปได้หรือยัง” ผมหันหลังเดินออกจากห้องของมันน่าจะดีที่สุด
“ขอบใจนะเว้ยดีน” ไอ้แกนตะโกนไล่หลัง
ผมปิดประตูห้องไอ้แกนลงก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ‘เฮ้อ อึดอัดเป็นบ้า’ ผมทุบที่หน้าอกสองสามที พอคิดไปคิดมาลุงเปาร้านน้ำเต้าหู้ต้องโดนไอ้แกนติดสินบนแน่ๆ ไอ้แกนมันไม่ได้ป่วยมากมายอะไร แค่ทำสำออยเพื่อให้ผมเข้าไปหานั่นแหละ อืม..... แต่มันอยู่ที่ผลลัพธ์มากกว่า ในเมื่อรู้อยู่แล้วก็ยังไปหา
“น่ากลัวจริงๆ นะ” ไอ้แกนน่ะ ..รวมไปถึงสิ่งที่เรียกว่าหัวใจ มันคาดเดาอะไรไม่ได้เลย ผมสร้างกำแพงไว้ในใจเพื่อให้ใครสักคนพังมันลงมา ...กลับกลายไอ้แกนที่ข้ามกำแพงนั้นมาได้สำเร็จ


(จบ)


หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' **THE END บทส่งท้าย_ดีน 20.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 20-08-2017 19:16:08
โอ้ยยยยใจบางมากทำไมเขินพี่แกนก็ไม่รู้ อยากเห็นมุมหวานของคู่นี้บ้างจะมีโอกาสไหมนะ ฮ่าๆๆ ตอนสรุปนอกจากคู่หลักแล้วขอคู่ยิมผิงด้วยจะขอบคุณมากเลยค่ะ

คำผิด คาดสายตา ต้องเป็น คลาดสายตา นะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' **THE END บทส่งท้าย_ดีน 20.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-08-2017 19:57:17
จบแล้ว แต่ละคู่ก็มีแนวทางเป็นของตัวเอง มีการพัฒนาไปในทางที่ดี เปิดใจให้กันมากขึ้น 
ชอบคู่ท๊อป-สอง เป็นการรักกันแบบไม่มีเงื่อนไข รักกันแบบเข้าใจซึ่งกันและกัน

ขอบคุณมากนะคะสำหรับนิยายดีๆ   :L2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' **THE END บทส่งท้าย_ดีน 20.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-08-2017 20:48:21
อยากอ่านบทสรุปของ แกน ดีน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

แกน เปิดเผยออกชัดเจน บอกเลยว่าเลี้ยงดีนได้
ที่ผ่านมาแกนคงรู้ใจตัวเองมานานนนนนน แล้ว
ดีน ปล่อยวาง ปล่อยใจอีกหน่อย ก็เจอกัน
ขอบคุณไรท์มากกกกก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' **THE END บทส่งท้าย_ดีน 20.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 23-08-2017 17:12:04
ชอบคู่ของท๊อป สองที่สุด และเกลียดคนนิสัยแบบผิงที่สุดเหมือนกัน ไม่คบแต่กั๊ก ถ้าเราเป็นยิมจะไม่เสียเวลากับคนประเภทนี้เลย ขอบคุณคับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' **THE END บทส่งท้าย_ดีน 20.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: ชมพูพาล ที่ 23-08-2017 21:21:23
ขอบคุณค่ะ ปกติไม่ค่อยอ่านแนวสลับกัน แต่เรื่องนี้ชอบ ถือว่าเปิดโลกเราเลย 555
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' **THE END บทส่งท้าย_ดีน 20.08.60 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 24-08-2017 13:06:30
จบซะแล้ว อ่านมาตั้งแต่เริ่มเรื่องใหม่ๆ คู่ท็อปสองรักกัน ก็หวานไป ส่วนอีก 2 คู่ ยิม-ผิง แกน-ดีน สุดท้ายก็ไม่แน่ใจว่าจะ Happy Ending หรือเปล่า แต่เวลาน่าจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้

สนใจหนังสือค่ะ แต่รบกวนขอให้ช่วยดูเรื่องการสะกดคำให้ถูกต้องอย่างละเอียดก่อนสั่งพิมพ์ด้วยนะคะ อย่างตอนสุดท้ายของแกนดีน เท่าที่จำได้ก็มีคำว่า "ปรายเท้า" กับ "ปรายเตียง" ที่ต้องเป็น "ปลายเท้า" กับ "ปลายเตียง" ค่ะ
  :3123:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Love of a lifetime บทสรุป 27.8.16 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 27-08-2017 02:32:05

  *บทสรุปสุดท้าย*
Finally found the love of a lifetime



-สอง-
 



ชีวิตนักศึกษาของผมและเหล่าผองเพื่อนคณะศิลปกรรมฯได้สิ้นสุดลงตั้งแต่งานเปิดแสดงงานศิลปะนิพนธ์
เทอมที่ผ่านมา ผมไปฝึกสหกิจที่ศูนย์แสดงงานศิลปะประจำจังหวัด ไปที่เดียวกับไอ้โก๋และไอ้เชี่ยว จนมาตอนนี้ผมก็ถือว่าเรียนจบอย่างเป็นทางการ ถึงตอนนี้จะว่างงานอยู่ก็เถอะ แม้ว่าส่งเรซูเม่หางานประมาณสองเดือนกว่าๆ ผมรู้สึกเคว้งคว้างนิดหน่อย เพื่อนๆของผมหลายคนก็มีอาการแบบเดียวกันแต่ผมก็ไม่ได้ทำตัวไร้ประโยชน์ เนื่องจากผมหันมารับงานฟรีแลนซ์ เดือนนึงก็พอจะมีงานเข้ามาสองสามงาน รายได้ก็พอต่อชีวิตได้บ้าง ส่วนคนที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย พี่ท็อป ตอนนี้เจ้าตัวได้งานอยู่ในฝ่ายวิศวกรส่วนงานพัฒนาเครื่องจักร

วันหยุดเสาร์ อาทิตย์พี่ท็อปชวนผมไปเดินเล่นที่เดอะ ปาร์ค สวนสาธารณะในย่านทาวน์เฮาส์แห่งนี้ ซึ่งผมใช้เวลาช่วงเช้าหมดไปกับการนอนชาร์จแบตฯพลังชีวิต โทษใครไม่ได้ต้องโทษเจ้าตัวนั่นแหละที่หาเรื่องชวนผมเดทอีกครั้ง แถมยังเอาเปรียบด้วยการต้อนรับวันเดทด้วยการสู้รบบนสังเวียนเตียงนอนนั่นแหละ

ยานพาหนะที่ใช้ในวันนี้ก็คือไอ้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันเดิม ผมยังสงสัยว่าใต้เบาะรถมีอะไรหรือเปล่า เพราะผมนึกถึงเรื่องครั้งก่อนที่พี่ท็อปชอบทำเซอร์ไพรส์ผม หลังจากที่ได้ทำเลในการนั่งปิกนิกริมสระบัว   

“อุตสาห์ตื่นเช้ามาทำกับข้าวให้ ดันหลับอย่างกับตาย”พี่ท็อปเหลือบตามามองอย่างเคืองๆ ระหว่างที่กำลังจัดแจงกล่องข้าวออกมาวางเรียง เท่าที่ประเมินด้วยสายตามีต้มจืดเต้าหู้หมูสับสาหร่ายอาหารเบสิคเลย ไข่ดาว2ฟอง กระเพราหมูสับไม่ละเอียดสีสันดูจืดไปนิด แถมด้วยหมูทอดกระเทียมที่เกรียมหน่อยๆกับข้าวหอมมะลิหน้าตาดูดีใช้ได้

“รสชาติไม่ได้วัดกันที่รูปลักษณ์หรอกเว้ย”พี่ท็อปรีบแก้ตัว ก่อนจะยื่นช้อนมาให้ผม

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับแหม ร้อนตัว”ผมหัวเราะ ก่อนจะรอบมองไปทั่วบริเวณ มีคนประมาณห้าหกคนได้ ส่วนมากพาหมามาเดินเล่น ไม่ก็นั่งพักผ่อนหย่อนใจ เหมือนผมกับพี่ท็อป จะว่าไปแล้วพอมานั่งที่นี่ ที่เดิมกับครั้งก่อน จำได้ว่าตอนนั้นค่อนข้างจะดราม่าพอสมควร แต่ผมถือว่าเป็นความทรงจำที่แสบๆคันๆ

“ยิ้มแปลกๆ คิดอะไรอยู่”พี่ท็อปเอ่ยทัก ก่อนจะจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่วางตา

“อ๋อ นึกถึงเรื่องเก่าๆไง พี่จำไม่ได้เหรอ”ผมแกล้งไปสะกิดแผลพี่ท็อปเล่น เจ้าตัวทำหน้ามืดมนแค่พริบตาเดียวจากนั้นก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“หึๆ ทำมาเป็นตอกย้ำ เออซี่ กูมันไม่ดี”เจ้าตัวทำปากยื่นปากยาว เข้าใจว่าต้องงอนผมนิดหน่อย

“ชีวิตมันก็แบบนี้แหละครับ มีแผลถลอกบ้าง”ผมพูดเสียงเรียบเฉยทำนองว่าเป็นสัจธรรมชีวิตที่พบเจอได้ปกติทั่วไป เมื่อผมพูดจบ อีกฝ่ายเงยหน้าจากกล่องข้าวมองมาที่ผมด้วยสายตาเฉียบแหลม

“แหม คมคายเสียจริง น่าจะละทางโลกได้แล้วนะมึง”พี่ท็อปไม่วายมาเหน็บผม

“โห ไม่ได้หรอก กิเลสหนา”ผมบอก ทำให้พี่ท็อปหัวเราะออกมา

“อือ จริงของมึง คงอาบัติตั้งแต่คืนแรก”พี่ท็อปแซว ผมกลั้นยิ้มไว้ มองอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาทานข้าวด้วยรอยยิ้ม ผมลองชิมอาหารฝีมือพี่ท็อปแบบเต็มคำ รสชาติก็พอใช้ได้ ไม่ได้ย่ำแย่อะไร ผมกับพี่ท็อปทานข้าวจนอิ่มก่อนจะเก็บกวาดเคลียร์พื้นที่ให้สะอาด เผื่อว่าจะนอนหลับเอนหลังสักหน่อย ผมมองไปที่สระน้ำ มีนกสองสามตัวบินโฉบลงมาเกาะวัชพืชกลางน้ำเพื่อหาสัตว์เล็กกิน

“คิดอะไรอยู่ล่ะ”พี่ท็อปพูด

“คิดอะไรเพลินๆน่ะครับ ว่าแต่พี่ชอบแคคตัสหรือเปล่า พอดีผมเจอเพื่อนที่เพาะเมล็ดแคคตัสน่ะพี่”การเพาะเมล็ดก็เหมือนการปลูกต้นใหม่ ใช้เวลานานเป็นปีๆเลย ถึงต้องใช้ความอดทนแต่ก็เป็นงานที่น่าสนุกดี

พี่ท็อปเลิกคิ้วสูง “อืม กูก็ชอบนะ เวลามันออกดอกก็สวยดี เผื่อว่าเพาะได้หลายพันธ์ เอาไปปล่อยตลาดก็ได้ หรือไม่ก็...หรือไม่ก็เอามาแต่งในบ้านเราก็ได้”พี่ท็อปพูดประโยคหลังช้าๆจงใจให้ผมได้ยินชัดเจน ผมหูผึ่ง ‘บ้านเรา’ ผมยิ้ม มันก็เป็นความคิดที่ดี พวกแคคตัสเลี้ยงไม่ยากก็จริงแต่ก็ต้องหมั่นดูแลหน่อย ถ้าอยากได้ดอกสวยๆ

พี่ท็อปขยับตัวเข้ามานั่งใกล้ๆกับผม สปริงเกอร์น้ำหมุนเบาๆเป็นจุดๆ ทำให้อากาศรอบๆตัวไม่ร้อนอบอ้าวออกจะเย็นชุ่ม พี่ท็อปยื่นมือมาจับมือผมแล้วลูบเล่นไปมาเหมือนเด็กวัยซน

ผมเพ่งมองในสระน้ำอย่างสบายใจ พี่ท็อปหันมามองหน้าผมเหมือนจะทำให้ผมสึกหรอให้ได้ เราต่างเงียบ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ แน่นอนว่าความรู้สึกต่างจากครั้งก่อน ตอนนี้เราไม่ได้คิดอะไรร้อยเล่ห์พันกล เหมือนเราได้มาพักผ่อนจริงๆ

“ดีเนอะ เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงบ้านมึงเลยสอง”พี่ท็อปเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะเอนตัวลงนอนราบกับเสื่อ ไม่ได้หันมามองทางผม

“อืม นั่นสิ ผมก็คิดนะ หางานเก็บเงินได้สักก้อน ผมจะย้ายกลับไปทำงานที่บ้านดีไหม มันคงเป็นชีวิตที่ดีอีกแบบหนึ่ง”ผมเคยคิดเล่นๆหลายครั้ง บางครั้งผมก็เบื่อเมืองใหญ่ที่วุ่นวาย อยากหาความสงบให้ชีวิตบ้าง เชื่อว่าถ้าเราอยู่ถูกที่ถูกทาง ปัญหาไม่มากร่ำกรายเราบ่อยแน่ๆ อย่างน้อยที่อโคจรก็ลดลง

 พี่ท็อปบีบมือผมไม่แน่น ไม่คลายมากเกินไป เจ้าตัวเองก็เคยเอ่ยถึงบ้านพ่อขึ้นมาหลายครั้ง เหมือนเรื่องนี้ติดอยู่ในใจพี่ท็อป ผมว่า อีกฝ่ายคงมีความคิดคล้ายๆผมล่ะมั้ง

“มันต้องดีแน่ๆ”พี่ท็อปหันมาสบตาผมอยู่นาน จนผมคิดว่าพี่ท็อปคงตั้ง Goal อะไรไว้แล้วแน่ๆ จะเกี่ยวกับเรื่องที่เคยคุยกับพ่อผมเมื่อคราวก่อนไหมนะ ถือเป็นสัญญาณดี

“เห็นด้วยครับท่าน”พี่ท็อปนี่ก็เป็นช้างเท้าหน้าจริงๆนะ ฮ่าๆ ผมแอบขำในใจ ก้มมองพี่ท็อปก่อนจะดึงมืออีกฝ่ายมากัดแรงๆอย่างรู้สึกหมั่นไส้ยังไงชอบกล ชอบถือไพ่เหนือกว่าผมไง มันน่านักเชียว พี่ท็อปไม่ได้โวยวาย แค่ยิ้มแก้มปริ

“หึหึ เบามือหน่อย”เจ้าตัวว่า ผมปล่อย ก่อนจะเหลียวหลังมองรอบกาย ไม่มีใครสนใจผมกับพี่ท็อป

“เฮ้อ น่าจะเอาไอ้ทูมาด้วยเนอะ”ผมแอบมองหมาพันธุ์ปั๊กที่เดินเฉียดมาบริเวณนี้ มันเดินมาเล่นน้ำตรงสปริงเกอร์

“อือ อาบน้ำให้มันแล้วน่ะสิ เดี๋ยวได้เลอะอีก”พี่ท็อปตีขาผม “ทำไม คิดถึงเพื่อนเหรอ”ไม่วายแซวผมต่อ ไอ้ทูเอ้ย เป็นหมาหัวเน่าแล้วไง

“อือฮึ...”

“กูเลยพามึงมาเดินเล่นแทนไง”ผมหันมามองพี่ท็อป นั่นไงโดนอีกหนึ่งดอก เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมาจับสร้อยนาฬิกาของผมเพื่อดูเวลา “มีอะไรเหรอ”

“ไปเอาของที่รถดิ”

“ห๊ะ”ผมงง ไม่คิดว่าพี่ท็อปจะเอาอะไรใส่ไว้ใต้เบาะอีก คงไม่ดอกไม้แน่ เพราะคงเฉาแน่นอน

“เลิกเหว๋อ แล้วไปที่รถน่า อ่ะ”พี่ท็อปยื่นกุญแจรถให้ ผมมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะลุกเดินไปอย่างว่าง่าย พี่ท็อปหัวเราะไล่หลังมาให้ได้ยิน นี่ผมโดนหลอกอะไรหรือเปล่าวะ เมื่อมาถึงรถ ผมเปิดเบาะรถ ปรากฏว่าไม่มีอะไร ผมล่ะอยากจะปากุญแจทิ้ง ตอนนี้เจ้าตัวคงหัวเราะผมแน่ๆ ผมเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงกลับไปหาพี่ท็อป อย่างน้อยๆเจ้าตัวต้องโดนซะบ้าง

“วิ้ว หลอกง่ายจังวะ”พี่ท็อปหัวเราะ ผมแอบเสียเซลฟ์นิดหน่อย “โธ่พี่ เหนื่อยเปล่าเลย”ผมต่อยเข้าที่ไหล่พี่ท็อปไม่แรงมากนักแก้อาการอาย

“หึหึ คงฝังใจจริงๆ กูไม่ใช้มุขเก่าหรอก เออ มึงลืมจริงๆเหรอว่าวันนี้วันอะไร”

“ห๊ะ วันอะไร...”ผมชะงัก อ้าปากค้างก่อนจะเริ่มตระหนักทีละนิดว่าทำไมวันนี้ยังคงเป็นวันพิเศษ ที่เจ้าตัวขยันหาเรื่องเซอร์ไพรส์ผมเรื่อยๆ แถมก่อนหน้านั้นเจ้าตัวบอกว่าวันเดทครั้งนี้สำคัญ

“ลืมไปแล้วเหรอ วันนี้ครบรอบหนึ่งปีแล้วนะ ที่เราเป็นแฟนกัน”ผมอึ้งนิดหน่อย ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

“จริงเหรอ ผมไม่ได้นับ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ใส่ใจนะพี่”ผมพูดเสียงแผ่ว พี่ท็อปยิ้ม

“อือรู้ กูเกือบลืมๆ ถ้าเพื่อนกูไม่เตือน กูก็ลืม”

“เป็นแฟนกันหนึ่งปีแล้วนะ”ผมเอ่ยและยิ้ม

“ขอบคุณนะที่ให้โอกาสอีกครั้ง”พี่ท็อปพูด เห็นแววตาของอีกฝ่ายดูเป็นประกาย มีน้ำตาคลอนิดหน่อย ผมคงตาไม่ฝาดไป ผมยิ้ม

“ครับ ผมก็ดีใจที่ให้โอกาสตัวเอง”ผมบอก จริงๆที่ผมเลือกที่จะตัดใจ ผมก็ทำได้อาจจะไปคบใครสักคน แต่ตอนนั้นพี่ท็อปยังคงวนเวียนอยู่ และมีหนทางที่จะคบกันได้ผมก็ไม่อยากให้เสียโอกาสไป

“ดูนั่น...เพื่อนมึง”พี่ท็อปสะกิด ผมหันไปมองทางด้านหลัง คำว่าเพื่อน ก็คือไอ้ทูแน่ๆ แต่ผมประหลาดใจ ตกใจและสุดท้ายแล้วผมดีใจ ที่เห็นไอ้ทูกำลังวิ่งด็อกแด๊ก ใส่เสื้อมาตัวหนึ่งเพื่อที่ลูกโป่งจะได้มีที่ยึดติด ลูกโป่งมีอักษรแปะว่า ท็อป สอง ตัวใหญ่ สีชมพูเชียว ในปากมันคาบอะไรสักอย่างมาด้วยเหมือนการ์ด หวังว่าไม่เปียกน้ำลายนะ ผมสงสัยว่าไอ้ทูอาจมีใครสักคนพามาปล่อยที่เดอะ ปาร์คแน่ๆ ผมหันไปมองพี่ท็อป เจ้าตัวยังคงยิ้ม

“มานี่มาลูกป๊า”พี่ท็อปร้องเรียก ทำสัญญาณมือให้มันวิ่งตรงมาหา มันใช้เวลาไม่นาน มันหอบแฮ่ก พี่ท็อปหยิบการ์ดออกมาก่อนยื่นมาให้ ผมรับมา อดไม่ได้ที่จะมองไอ้ทูอีกรอบ เสื้อของมันยังมีชื่อผมติดอยู่ด้วย ท่าจะเอาไปปักเพิ่ม

“แหม เสื้อไอ้ทูทำไมชื่อสอง”ผมว่า

“ก็สองไหมล่ะ”พี่ท็อปว่า

“ไหนว่ามาจากทูน่า”ผมทวนความจำพี่ท็อป

“ตอนนี้มันชื่อ two โอเค ก็สองใช่ไหมล่ะ”อีกฝ่ายตอกกลับอย่างไม่ยอม ผมหัวเราะ ก่อนจะเอื้อมไปลูบหับไอ้ทูผู้น่าสงสาร นอกจากหมาหัวเน่าแล้วยังเป็นเบ๊อีก

“ใครพามันมา”

“อ้อ ไอ้แบม มันมาเอาของที่บ้านกูเลยคิดแผนใช้งานมันหน่อย”พี่ท็อปอธิบาย ผมก้มมองการ์ดในมือ ใส่ซองพลาสติกไว้คงกันน้ำลายไอ้ทูจริงๆ ผมยังไม่เห็นหน้าตาของการ์ดเพราะมันอยู่ในซองน้ำตาลอีกที “พี่ทำเองเหรอ”ผมชวนคุย

“อือ มึงก็ด้วยนะ วันครบรอบของเรานี่”พี่ท็อปทำให้ผมงง เจ้าตัวอุ้มไอ้ทูมานั่งตักได้สำเร็จ กำลังแกะเชือกลูกโป่งมามัดกับแขนตัวเองอย่างทุลักทุเล ผมยังคงพุ่งความสนใจมาที่การ์ดนี่ พอดึงออกมา ผมก็อึ้ง ไม่คิดว่าพี่ท็อปจะคิดได้ ครั้งนึง พี่ท็อปเคยขอสมุดสเก็ตภาพจากผมไป หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ถามว่าเจ้าตัวเอาไปทำอะไร

การ์ดครบรอบ เป็นรูปสเก็ตดินสอรูปผมและรูปพี่ท็อป ผมมั่นใจว่าไม่ได้สเก็ตรูปตัวเองแน่นอน แต่เป็นพี่ท็อปวาด พูดง่ายๆคือ รูปพี่ท็อปในกระดาษสเก็ต จะมีรูปสเก็ตของผมเพิ่มเข้ามาด้วย และที่สำคัญคือพี่ท็อปลงสีน้ำด้วย ทำให้ภาพออกมามีสีสัน มองเผินๆราวมาจากรูปเดียวกัน ริมขอบกระดาษมีดอกไม้แห้งแปะอยู่

“ผมชอบครับ พี่คิดได้ไง”ผมถาม ในการ์ดไม่ได้มีคำบรรยายอะไร เป็นแค่รูปที่ติดดอกไม้แห้งๆ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไรด้วยซ้ำ แต่นั่นไม่สำคัญ

“อือ ก็คิดเรื่อยเปื่อย เห็นว่าสมุดสเก็ตมึงมีรูปกูตั้งเยอะ ก็อยากสเก็ตมึงบ้าง ในเฟรมเดียวกัน หึหึ เป็นไงบ้าง”พี่ท็อปตอบ มือหมุนเล่นเชือกลูกโป่งไปมา

“เพอร์เฟ็ค ผมประทับใจมากนะ”ผมยิ้ม

“ที่จริงกูกะจะยื่นให้มึงเลยโต้งๆ แต่ก็นะ กูมันไม่ชอบอะไรเรียบง่าย เดี๋ยวมึงไม่จำ อีกอย่างไอ้ทูกูก็รักนะเลยพามาด้วย เป็นสักขีพยาน”พี่ท็อปจูบลงที่หัวไอ้ทู มันทำหน้าเหมือนโดนบังคับ ซึ่งมันก็หน้ามึนแบบนั้นแหละ ผมยิ้มเข้าไปจุ๊บหัวไอ้ทูบ้าง ก่อนจะทำท่าจะจุ๊บพี่ท็อป

“แหนะ จูบหมามาแล้วยังจะมาจูบปากกู”พี่ท็อปรีบยกมือมาดันไหล่ของผมออก ซึ่งผมก็ล้อเล่นไปแบบนั้น พี่ท็อปปล่อยให้ไอ้ทูเป็นอิสระ มันวิ่งไปเล่นน้ำที่สปริงเกอร์อย่างรื่นเริง

“ลูกโป่งนี่...”ผมสงสัยพี่ท็อปละเอียดขนาดนี้เลยเหรอ

“อ๋อ ไอ้แบมทำให้น่ะ ฮ่ะๆ ไอเดียมันเลย”พี่ท็อปบอก ก่อนจะสบตาผมไม่นานนักก็เสไปมองทางอื่นแทน เจ้าตัวคงเขิน “ขอบคุณนะครับ ผมจะไม่ลืมวันครบรอบปีแรกของเราเลย”ผมบอกจากใจจริง พี่ท็อปพยักหน้า

“ลิเกชิบเป๋ง”เจ้าตัวสบถแล้วส่ายหน้า

“หึหึ ยิ่งกว่าผมอีกด้วย”ผมสำทับ พี่ท็อปยักไหล่ก่อนจะปล่อยลูกโป่งที่มีชื่อเรา มันลอยไปติดต้นไม้ข้างๆไม่ไปไหน ตอนแรกผมคิดว่ามันจะแตกซะอีก

“นั่นดิ กลายเป็นกูที่โคตรเซอร์ไพรส์”พี่ท็อปพูดงึมงำ ก้มหน้ามองลายเสื่ออย่างสนอกสนใจ บรรยากาศความเขินอายเริ่มเข้ามาแผ่เหมือนเป็นละอองที่ฟุ้งไปทั่ว บ่อยครั้งที่เราตกหลุมรักแฟนตัวเองซ้ำๆอยู่อย่างนั้น ให้ตายความรู้สึกแบบนี้ช่างทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ ผมหัวเราะอย่างสุขใจ

วันเดทของเราสองคนถือว่าสมบูรณ์แบบ โดยรวมแล้วผมคงไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน 


...
 
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' เรื่องของผิง บทส่งท้าย (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 27-08-2017 02:34:05
เรื่องของผิง บทส่งท้าย (จบ)


ตั้งแต่วันที่ไอ้ยิมกลับไปทำงาน ผมก็กลับมาช่วยงานที่ร้านอาหารของพ่อก่อน มีเวลาว่างก็หาข้อมูลเรื่องเรียนต่อ ส่วนมากที่อินเดียจะศึกษาเกี่ยวกับศิลปะกับศาสนาดูจะขึ้นชื่อ แต่ด้านอื่นๆ ก็ไม่น้อยหน้าหรอก ส่วนมากรุ่นพี่ผมจะเข้า Visual Arts มหาลัยพาราณสี ที่ผมเล็งๆ ไว้เป็นวิทยาลัยเกี่ยวกับศิลปะโดยเฉพาะ ที่ Delhi Collage of art
เย็นวันนี้ผมมาช่วยที่ร้านตามปกติ
“ผิง ไปรับออเดอร์ที่โต๊ะสิบทีจ้ะ” พี่ฝนบอกขณะที่กำลังวุ่นวายอยู่หลังเคาน์เตอร์ ผมเดินไปหยิบเมนูกับกระดาษจดก่อนจะเดินออกไปที่โซนด้านนอก พอเห็นว่าเป็นใครผมก็โบกมือทักทาย
“ไงยิม วันนี้ว่างเหรอไง” ผมยิ้มก่อนจะยื่นเมนูไปให้อีกฝ่าย ไอ้ยิมไหวไหล่
“เออ เลิกเร็วน่ะเลยแวะมาหา” มันเหลือบมองหน้าผม แว่นกรอบสีฟ้า กับเชิ้ตสีขาวกางเกงสแล็คเหมือนมองไอ้ยิมในวัยนักศึกษามากกว่าอีก
“จะรับอะไรดีครับ” ผมถาม รอจดออเดอร์ ไอ้ยิมขำ
“มานั่งก่อนสิ อยากคุยด้วย”
“เป็นยังไงบ้างล่ะ เหนื่อยไหม”
“ก็ปกติแหละ แต่วันนี้ไปประชุมเฉยๆ เลยไม่ได้ทำอะไรมากหรอก” มันเล่าให้ฟังเหมือนที่เคยเป็น ถ้าหากว่าวันไหนเลิกงานเวลาปกติและมันไม่เหนื่อยจนเกินไปมันจะแวะมาหาผมที่ร้าน
“จะกินอะไรไหมเดี๋ยวกูไปเอาให้” ผมบอก ส่วนมากผมจะไปหยิบในครัวมาให้ไอ้ยิมเอง ของฟรีนั่นแหละ ไอ้ยิมกินไม่จุหรอกส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องดื่มมากกว่า ไอ้ยิมนั่งอยู่ที่ร้านจนกระทั่งร้านปิด มันคงตั้งใจจะชวนผมไปเดินตลาด
ผมเหลือบมองคนตัวสูงกว่าที่กำลังเลือกดูกระเป๋าอย่างพิจารณา นึกถึงคำพูดไอ้สองที่เหน็บแนบผมเมื่อตอนนั้น
‘มึงก็รู้ว่าไอ้ยิมมันโคตรพระเอก มึงยังจะไปทำดีกับมัน ตอนนั้นถ้ามึงมาปรึกษากูตั้งแต่แรกกูไม่ให้มึงไปฮ่องกงกับมันหรอก เลิกกั๊กความสัมพันธ์แบบนี้ซะทีเถอะว่ะ’
วันนั้นมันเหมือนจะเคืองผม หลังจากที่ผมกลับจากฮ่องกงผมมาคุยกับไอ้สองแบบเปิดอก แน่นอนว่ามันด่าผมยกใหญ่โทษฐานที่ไม่ยอมให้มันเผือกเรื่องไอ้ยิม ที่จริงผมโสดมาจนป่านนี้เพราะผมไม่เคยสานต่อความสัมพันธ์ โดนคนอย่างไอ้สองด่านี่คงสุดทนแล้วจริงๆ
‘จะบอกว่ากูแย่ใช่ไหม’
‘ยังไม่รู้ตัวอีก ตัวเหี้..ยต่างหาก เพื่อนเวร’
‘เออน่า งั้นมึงก็รู้สันดานกูดีที่สุดล่ะ’
‘ก็นะ...น่าจะรู้ให้เร็วกว่านี้’
‘มึงกับกูไม่เหมือนกันไงกับความสัมพันธ์พวกนี้’
‘กูเห็นเป้าหมายก็พุ่งชนเลย ไม่มีอ้อมค้อม แวะเติมนั่นเติมนี่ก่อนแน่ๆ ล่ะ เสียเวลา’
เฮ้อ ตั้งแต่นั้นมาไอ้สองก็ไม่ได้มาถามไถ่เรื่องของผมกับไอ้ยิมอีก
“มึงอยากได้อะไรหรือเปล่า” ไอ้ยิมหันมาถาม ทำไมมันชอบทำตัวป๋าๆ ก็ไม่รู้
“ไม่ล่ะ ซื้อของกินดีกว่า” ผมบอก ไอ้ยิมไหวไหล่ก่อนจะดึงแขนผมให้ฝ่าฝูงชนคนเดินตลาดไปหยุดอยู่ที่ร้านไอศกรีมกะทิสด ผมเลยซื้อมาคนละถ้วย

คืนนั้นจบลงที่น้ำเต้าหู้คนละถุง ไอ้ยิมขับรถมาส่งผมที่บ้าน หลังจากเรียนจบผมย้ายมาอยู่กับครอบครัว ซึ่งบ้านผมกับบ้านไอ้ยิมอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ แต่ใช้เวลาในการเดินทางประมาณสิบห้านาทีถ้ารถไม่ติด บ้านของผมไม่ได้ใหญ่โตเพราะเป็นทาวน์เฮ้าส์ มีพื้นที่จำกัด บ้านของผมอยู่หลังแรกเลยติดกับต้นไม้ มีสองชั้น สองห้องนอน ที่ผมไม่ค่อยกลับมาบ้านเพราะมันไม่ค่อยเป็นส่วนตัวรั้วก็ไม่มี
ผมเห็นว่าที่บ้านยังไม่มีใครกลับมาเพราะรถยนต์ของพ่อแม่ยังไม่จอดอยู่หน้าบ้าน ในใจผมกำลังลังเล ถ้าชวนมันเข้าบ้านคงไม่น่าเกียจอะไร เพราะวันนี้มันดูเหนื่อย อย่างน้อยหาน้ำให้มันดื่มก่อนน่าจะดีกว่า ไอ้ยิมจอดรถที่หน้าบ้าน
“อย่าคิดลึกนะถ้ากูจะชวนมึงเข้าบ้าน” ผมบอก ไอ้ยิมหันขวับมามอง
“พูดจริงเหรอ” มันเลิกคิ้วสูงดูแปลกใจ
“จริงสิ อีกตั้งหลายวันกว่าจะได้เจอ อยู่คุยกันก่อนก็ดีนะ” ผมบอก
“ตามใจ” ไอ้ยิมไม่ปฏิเสธ แน่ล่ะ มันได้กำไรนี่
ผมกับมันกลับไปในบ้านก่อนจะเปิดไฟที่ห้องโถงไว้ ผมเดินไปที่ห้องครัวรินน้ำเย็นๆ มาให้ไอ้ยิม ถือเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่มันมีโอกาสมานั่งเล่นด้านในบ้าน เพราะส่วนมากแค่มาส่งเท่านั้นเอง
“สงสัยพ่อกับแม่แวะไปที่อื่นต่อ” ผมบอกก่อนจะเปิดทีวีแล้วนั่งลงข้างๆ มัน ไอ้ยิมหยิบโทรศัพท์ออกมาจิ้มเล่น ผมไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่ ตามองแต่รายการทีวีตรงหน้า
“คืนนี้กูขอค้างนะ” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมา ผมหันไปมองหนุ่มแว่นที่จ้องมาที่ผมด้วยสายตานิ่งๆ ผมคิดไต่ตรอง คงไม่มีอะไรเสียหาย ผมมองนาฬิกา นี่ก็สามทุ่มครึ่งแล้ว
“แล้วแต่ พรุ่งนี้ไปทำงานไม่ใช่เหรอ” ผมถามมัน
“อือ กลับบ้านไปตอนเช้าๆ ก็ได้นี่หว่า เผื่อว่าจะมีโอกาสกินมื้อเช้ากับที่บ้านมึง” มันพูดทีเล่นทีจริง ผมมองหน้ามันนิ่งๆ
“ดูแลตัวเองก็แล้วกัน” ผมบอก ไอ้ยิมแค่ยิ้มเท่านั้น

เวลาล่วงเลยมาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว พ่อกับแม่ผมกลับมา ผมกับไอ้ยิมขึ้นไปชั้นสองแทน มีโอกาสทักทายนิดหน่อย ผมอาบน้ำก่อนเพราะใช้เวลาไม่นาน ไม่ได้เจ้าสำอางอย่างที่รู้ๆ กัน ส่วนไอ้ยิม มีปัญหาแค่ชุดนอนของมันนั่นแหละจะเอายังไง สรุปมันใส่แค่บ็อกเซอร์ของผมแทน เพราะยังไงมันก็ไม่ยอมใส่ของเก่า ส่วนเสื้อเป็นของผมเหมือนกัน ยังดีที่ผมใส่เสื้อฟรีไซต์เป็นโหลเอาไว้เวลาทำงาน
ผมเข้านอนก่อนไอ้ยิมเพราะมันทำอะไรยืดยาดกว่าที่คิด มันเดินไปปิดไฟเหลือแค่ไฟดวงเล็กๆ ที่โต๊ะกระจก ไอ้ยิมเข้ามานอนบนเตียง ผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ชินแล้วล่ะกับการนอนกับคนอื่น ไม่สิ เพราะมันคือไอ้ยิม อีกฝ่ายถอดแว่นตาออก หน้าตาดูแปลกไปนิดหน่อย ผมเริ่มง่วงขึ้นมา สักพักไอ้ยิมชวนคุยต่อ
“ตกลงจะไปอินเดียจริงๆ เหรอ” ไอ้ยิมนอนอยู่ข้างๆ เอ่ยถาม
“อื้อ จริง แต่ไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก” ผมบอกเพื่อให้มันสบายใจ ในเวลานี้ผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“กูคงคิดถึงมึงนะ” มันพูด ผมจับได้ถึงหางเสียงของความเศร้า ผมกะพริบตาในความมืด ทำไมนะผมถึงเจ็บที่ใจแบบนี้ ผมไม่อยากให้มันเศร้าหรอกนะ
“ยิม...” ผมเรียก รวบรวมความกล้า
“หืม...” มันส่งเสียงในลำคอ
“รอกูได้ไหมล่ะ อาจจะใช้เวลาหน่อยแต่กูรับปากนะว่ากูมีคำตอบให้มึงแน่” ผมได้ยินตัวเองพูดไปแบบนั้น ยังคงเห็นแก่ตัวเช่นเคย เอาแต่ได้จริงๆ เลยไอ้ผิง
“นานแค่ไหนล่ะ สำหรับการรอน่ะ” น้ำเสียงของคนข้างๆ ดูไม่สบอารมณ์
“...ไม่รู้” คำตอบของผมทำให้มันพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“มึงมันก็เป็นแบบนี้ ไม่นึกถึงจิตใจกูบ้าง” ไอ้ยิมพูด เสียงของมันสะท้อนอยู่ในความมืดไม่จางหายไปจากใจผมด้วย ผมเม้มปากเหลียวมองไปทางอีกฝ่าย มันนอนหงายไม่ได้หันมาพูดกับผม
“ขอโทษ” ผมพึมพำ รู้สึกเสียใจจริงๆ
“ไม่ต้องหรอก” มันบอก น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย
“บางทีมึงเป็นคนดีเกินไป มึงควรทำตัวโฉดๆ บ้าง” ผมบอกมันก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ถ้ามันโวยวายหรือแสดงท่าทีที่ดุดันกว่านี้ผมอาจจะพิจารณาก็ได้ แต่มันถอยไปเงียบๆ โคตรพระรอง
“หึ ยังจะพูดอีก” มันฟาดมือมาที่ลำตัวผมหนึ่งที
“มึงมันป๊อด” ผมว่ามัน ไอ้ยิมเงียบ
ผมนึกถึงเรื่องที่สะพานเมื่อวันรับปริญญาของผม ตอนแรกนึกว่ามันจะจูบผมซะอีก ผมไม่ได้เสียดายอะไรแต่มันเป็นคนไม่กล้าได้กล้าเสีย ถ้ามันจูบมันอาจได้ใจผมไปแล้ว ผ่านมาหลายเดือนแล้วที่ผมใช้เวลาอยู่กับตัวเอง มันเงียบไปนาน คงแทงใจดำมันมากสินะ
“กอดกูสักครั้งสิ” ผมพูดกับไอ้ยิม มันไม่เคยกล้ากอดผมสักที หรือต้องรอให้ผมอนุญาต ไอ้ยิมขยับตัว มันหันมามอง
“ทำไม” มันถามโง่ๆ
“ไม่กอดก็ตามใจ” ผมบอก เตรียมจะหันหลังให้มันแล้วแต่มือหนาคว้ามือผมไว้ คราวนี้มันจับมือผมแบบสัมผัสจริงๆ ฝ่ามืออุ่นๆ ของมันลูบไปตามอุ้งมือของผม ก่อนจะจับมือไว้ไม่ปล่อย
“เฮ้อ มึงก็เป็นแบบนี้” ไอ้ยิมพึมพำก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ผม ดึงแขนผมให้เข้าไปในอ้อมกอดของมัน ผมกำลังประมวลความรู้สึกนึกคิด อ้อมกอดอุ่นๆ ผมไม่รู้ว่ามันแตกต่างกับการกอดกับพ่อยังไง แน่นอนล่ะ นั่นพ่อผมไง มันอบอุ่นปลอดภัย มันกอดผมแน่นราวกับว่ากลัวผมจะหนีหายไปตลอดกาล ในเวลานั้นผมเองก็มีคำตอบในใจชัดเจนขึ้น ‘เลิกเห็นแก่ตัวได้แล้ว ไอ้ยิมอยู่ตรงหน้านี่แล้วไง พุ่งชนมันซะก็สิ้นเรื่อง’ อยู่ๆ เสียงไอ้สองก็ดังมาในความคิด
“ยิม” ผมเรียก
“หืม...” มันขยับตัวออกก้มมองมาใกล้กับใบหน้าของผมเพื่อจะได้ยินคำพูดของผม
“เรามาคบกันเถอะ” ผมพูดหันไปสบตามันท่ามกลางความมืด
แววตาสีดำสนิทที่ปราศจากแว่นสายตาสะท้อนกลับมาให้เห็น ผมตัดสินใจแล้วล่ะ ไม่อยากพลาดโอกาสดีๆ ถึงการคบกันของผมกับมันอาจไม่ทำให้เราสองคนเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้ แต่อย่างน้อยสถานะของเราก็ชัดเจนขึ้น ไอ้ยิมเองคงจะกล้าที่จะปฏิบัติในเชิงนั้นกับผมมากขึ้นล่ะมั้ง ผมเองไม่อยากเห็นไอ้ยิมเสียใจอีก ตาเศร้าๆ ของมันทำให้ผมหวั่นในใจ กลัวว่ามันจะท้อและจากผมไปจริงๆ แบบนั้นคงแย่กว่าอีก
“คบแบบไหนล่ะ” มันกระชับกอด
“แบบไหนก็ได้ กูแค่... อยากให้มึงรู้ว่ากูก็รู้สึกกับมึงในฐานะผู้ชายคนนึง” ผมหลับตาพูดกัดปากแน่น รู้สึกประหม่าขึ้นมา ความรู้สึกหวั่นไหวกับผู้ชาย
“อืม” มันตอบสั้นๆ ผมขมวดคิ้ว
“กูชอบมึง... มากกว่าเมื่อก่อนอีก รู้รึเปล่า” ผมบอก รู้สึกว่ามือเย็นเฉียบใจเต้นรัว ถ้าวัดความดันได้ความดันผมคงขึ้นเร็วน่าดู
“...” มันเงียบแต่รู้สึกว่ามันหายใจแรงขึ้น
“ได้ยินไหม” ผมถาม
“...แล้วก็จะหนีกูไปเรียนต่อ แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” มันพึมพำมือข้างนึงตบลงมาที่ศีรษะผมเบาๆ ถ้าทำได้มันคงอยากตบกะโหลกผมแรงๆ
“ยังหรอก ไม่แน่อาจเปลี่ยนใจทีหลัง” ผมบอกเบาๆ เสียงดังอู้อี้เพราะไอ้ยิมไม่ยอมคลายกอดผมเสียที ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ด้วย
“...กูสามารถทำให้มึงเปลี่ยนใจได้ไหม” มันเอ่ยขึ้น
“มึงจะทำยังไงล่ะ”
“ทางเดียวคือลักพาตัวไง” ผมอดหัวเราะไม่ได้
“หึหึ ตลกนะมึง”
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ....” มันทำเสียงตัดพ้อเปิดเผยความรู้สึกมากขึ้น ผมเองเพิ่งรู้สึกและสังเกตได้
“...” ผมเงียบ
“กูคิดว่ากูรักมึง” ไอ้ยิมบอกผมเป็นครั้งแรก
ผมเงียบนานกว่าเดิม ในหัวมันตื้อตัน ผมควรจะพูดอะไรดี ผมรู้ว่ามันชอบผมมากกว่าที่ผมชอบมัน แต่ไม่คิดว่าจะได้ยินมันบอกรักผมในเวลานี้ ตอนที่ผมกำลังตัดสินใจอะไรอยู่ ที่แน่ๆ มันพยายามดึงรั้งผมอยู่ ไอ้ความรู้สึกที่กำลังบีบคั้น แต่คราวนี้ผมไม่รู้แบบนั้นเลย ผมแค่ลังเล...
“กูรักมึงจริงๆ นะ... กูถึงไม่พยายามที่จะทำอะไรมากไปกว่าที่มึงขอ” ผมรู้ แน่ล่ะ มันกลัวเกินกว่าที่จะทำอะไรล้ำเส้น มันอาจจะเสียผมไปตลอดกาล
“......”
“กูยังคิดว่าทำไมกูต้องทำขนาดนี้ด้วยวะ หึ แต่กูก็ยังทำต่อไป”
“ไอ้ยิม” ผมตบหลังมัน ชักจะดราม่าเข้าไปใหญ่ มันพูดแบบนี้ผมยิ่งลำบากใจ ผมดันไหล่มันออกอย่างนุ่มนวลก่อนจะขยับตัวมานอนหงาย รู้สึกเหน็บกินขาไปหนึ่งข้าง
“กูพอจะห้ามมึงได้ไหม” มันพึมพำ
“ขอเวลาสองปี” ผมบอก ผมอยากเรียนต่อ เหมือนมีไฟอยู่ในตัวตามประสาคนรุ่นใหม่ ผมยังคงมีไอเดียอยู่ตลอดจนไม่สามารถปล่อยไว้เฉยๆ ที่อินเดียมีรุ่นพี่ผมหลายคนไปเรียนและประสบความสำเร็จในแบบของตัวเอง ‘การชนะตัวเอง’ ดูเป็นเรื่องที่ท้าทายผมอยู่
“หลังจากนั้นล่ะ?” ไอ้ยิมถาม
“กูยอมมึงทุกอย่างเลย เอ้า” ผมพูด ไม่ใช่แค่พูดไม่คิด ผมยอมมันจริงๆ ถ้ามันอยากให้ผมทำอะไรก็ตาม คนข้างกายผมขยับตัวเมื่อเห็นว่ามันเงยหน้ามองผมก่อนจะล้มตัวลงไปนอนต่อ
“จริงเหรอ แล้วระหว่างสองปีนั้นล่ะ” มันกล่าวเรื่อยๆ เหมือนรอคอยให้ผมต่อให้จบ
“มาหากูสิ” ผมบอกสั้นๆ
“ตกลงมึงเป็นแฟนกูนะ” มันตอบไม่ตรงคำถาม อันที่จริงมันไม่เพิกเฉยต่อคำพูดของผมก่อนหน้านั้นที่ขอคบกับมัน
“กูพูดเหรอ” ผมหันหน้าไปมองมัน จงใจแกล้งมันเล่นเพื่อความสนุกส่วนตัว
“มึงบอกว่าคบกันนี่” เสียงของมันดูเป็นกังวล
“...อืม โอเค เราเป็นแฟนกัน” ผมยิ้มขยับตัวไปหาไอ้ยิม
“สั้นๆ แบบนี้เลยเหรอ” มันถามเหมือนแปลกใจ
“แล้วจะให้พูดยังไงเหรอ” ผมรู้สึกจนมุมกับเรื่องแบบนี้ การพูดหวานๆ อย่างไม่รู้สึกเก้อเขิน 
“พูดดีๆ สิ” มันทำเสียงเข้ม
“เราเป็นแฟนกันนะ...” ผมทำเสียงอ่อนลง ตั้งใจพูดกับไอ้ยิมแม้ว่าจะมืดก็เถอะแต่ผมเห็นเงาร่างของมันชัดเจน
“มึงพูดประโยคเดิม” ไม่รู้ว่ามันคิดแบบนี้จริงๆ หรือแค่ตั้งใจทำมึนเพื่อกวนประสาทผมเท่านั้น แต่มันได้ผลนะเพราะผมเล่นตามมัน
“เอ้า ไอ้นี่ กวนตีนเรอะ” ผมลุกขึ้นนั่งหมดอารมณ์โรแมนติก ไอ้ยิมฉวยแขนผมให้ลงมานอนเหมือนเดิม ผมไม่ขืนตัวเอนตัวลงตามแรงดึงของมัน
“เปล่า มึงนี่มันกระดาษทรายเบอร์ 60 ชัดๆ” ไอ้ยิมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่มันด่าผมเหรอ กระดาษทรายเบอร์ 60 นี่คือหยาบสุดเลยนะเว้ย
“งั้นมึงล่ะ เบอร์ละเอียดว่างั้น” ผมว่าไอ้ยิมมันละเอียดอ่อน พอๆ กับกระดาษทรายเบอร์ 600
“เกี่ยวอะไรวะ” มันทำเสียงยียวนอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร
“ราตรีสวัสดิ์” ผมเลยนอนหันหลังให้มัน ในใจเดือดปุดกับความต่อปากต่อคำของไอ้ยิม พอเปิดโอกาสก็ทำเป็นได้ใจ 
“หึหึ ไอ้ผิง หันมานี่” ไอ้ยิมเรียก ฝ่ามือหนาอุ่นของมันเอื้อมมาจับแขนผมไว้ก่อนจะออกแรงดึงเบาๆ
“อะไร” ผมพึมพำแต่ก็ยอมหันไปหามันจะได้จบๆ เรื่องไป ให้ผมเดาว่าตอนนี้มันกำลังยิ้มแก้มปริ
ขณะนั้นผมชะล่าใจไปมาก ไม่ทันรู้ตัวว่าอีกฝ่ายขยับมาใกล้แค่ไหน ไอ้ยิมทำตัวโฉดๆ แบบที่ผมบอก มันยื่นหน้ามาใกล้จนลมหายใจรดแก้ม ผมชะงักเหมือนโดนอะไรตรึงร่างไว้ 
“First kiss” มันพูดกระซิบไม่ให้ผมได้ทำใจนานนัก เจ้าตัวโน้มหน้าลงมาประกบจูบเบาๆ ไม่ได้ละลาบละล้วง เหมือนเป็นจูบอันอบอุ่น ผมนิ่งอึ้งในสมองว่างเปล่า ยิมผละออกจากผมไปเงียบๆ มันไม่พูดอะไรแค่นอนนิ่งอย่างนั้น
“ไม่น่าชวนมึงมาบ้านเลย” ผมบ่นก่อนจะขยับไปนอนชิดติดขอบเตียงให้ห่างจากไอ้ยิม ได้ยินเสียงมันหัวเราะในความมืด เสียงหัวเราะมีชีวิตชีวา 
นั่นล่ะ ผมตัดสินใจถูกแล้ว 
“ฝันดีนะผิง” ไอ้ยิมกระซิบบอกผ่านความมืด ผมส่งเสียงตอบหลับตานอนอย่างสงบใจกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ใช่ ผมหลับฝันดีแน่ รู้ตัวอีกทีผมกำลังยิ้มเหมือนคนบ้า
คำกล่าวที่ว่าหนีอะไรก็หนีได้แต่หนีความจริงไม่ได้ ไม่สิ เราหลีกหนีความจริงได้แต่เราหนีผลลัพธ์จากการหนีความจริงไม่ได้ ทุกอย่างมันมีเวลาของมัน บางทีชาติที่แล้วผมอาจเป็นลูกหนี้ไอ้ยิมมาก่อนก็เป็นได้ ถึงหนีมันไม่เคยพ้นเลย

(จบ)
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Love of a lifetime บทสรุป 27.8.16 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 27-08-2017 02:48:29
-ดีน- 
   
‘จะทำยังไงดีวะ’

   ผมกำลังนอนคิดมากเรื่องของไอ้แกน ถ้าหากว่ามันสภาพรักกับผมขึ้นมาจะทำยังไง ขนาดเรื่องอพาร์ทเม้นท์มันยังจัดการเองเสร็จสรรพ ผมพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างนอนไม่หลับ ระหว่างนั้นผมเอื้อมไปหยิบกุญแจห้องของไอ้แกนที่วางอยู่บนโต๊ะลิ้นชักข้างเตียง เฮ้อ... ไม่เคยรู้สึกหนักใจแบบนี้มาก่อน

   รุ่งเช้าผมตื่นมาแบบไม่สดชื่นนัก ผมแต่งตัวเตรียมไปทำงานเหมือนอย่างที่เคย ระหว่างทางที่ไปทำงานผมไม่เจอไอ้แกน ก็ดี ผมคิดในใจ ก่อนจะเดินไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ไว้เป็นอาหารเช้า ผมยังคงใช้รถมอเตอร์ไซด์ไปทำงาน ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริษัท

   พอมาถึงออฟฟิศ ผมเข้ามาที่สตูฯ ทักทายคนในห้องอย่างคุ้นเคย ตอนนี้ทางทีมของผมกำลังทำโปรเจ็คของคอนโดในใจกลางเมือง นับวันคอนโดก็ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ผมนั่งลงที่โต๊ะเพื่อเริ่มงาน ปกติตอนเรียนส่วนใหญ่ก็เน้นงานที่ไม่ได้ใช้คอมฯเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่เคยลงเรียนคอมฯออกแบบ ส่วนมากงานที่ได้รับมอบหมายจะเป็นพวกงานศิลป์ภาพวอลเปเปอร์ ศิลปะสื่อผสม ไอ้พวกออกแบบจัดวางเป็นหน้าที่ของอินทีเรีย กว่าจะได้งานออกมาก็ต้องประชุมแล้วประชุมอีก

“เออ ดีน แบบที่มึงส่งมากูชอบทั้งอันที่สองที่สุดล่ะ มึงลุยงานนั้นเลย”พี่สรหัวหน้าทีมเดินมาที่โต๊ะบอกผม เจ้าตัวจบสายสถาปัตย์มา เก่งมาก งานขายต้องยกให้พี่เขาเลย พี่สรลักษณะเหมือนเด็กสายอาร์ตตามปกติ ดูมีชาติตระกูล ใช้ของมียี่ห้อ หน้าตาตี๋ๆ

“ได้เลยครับ แล้วพี่เสนองานของเฮียพัฒน์ผ่านไหมครับ”ผมค่อนข้างสนิทกับพี่สรพอตัว เพราะความคิด ไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกันเลยคุยกันไม่ยาก แถมยังไม่มาวางอีโก้ใส่ผม อย่างที่เขาว่าต่อให้งานจะแย่แค่ไหนแค่มีหัวหน้าดีๆก็วินแล้ว โชคดีที่เพื่อนร่วมงานของผม ค่อนข้างดี ไม่ค่อยมาชิงดีชิงเด่นอะไร

“อ้อ สบายมาก เสนอไปล้านแปดไอเดียแม่งมาถูกใจกับไอ้แค่แบบง่ายๆ เปลืองน้ำลายสุดๆ”พี่สรส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะ พร้อมกับเหล่ตามามองงานในจอคอมฯของผมอย่างสนใจ

“มึงนี่ก็พัฒนาขึ้นเยอะนึกว่าจะเอ๋อไปสักสองสามเดือน ฮ่ะๆ”พี่แกพูดติดตลก

“ได้พี่ๆช่วยนั่นแหละครับ ดีที่ไม่โหดใส่ผมไม่งั้นตายแน่”ผมพูด ซึ่งก็จริงนั่นแหละครับถ้าโหดจริงๆผมคงไม่ผ่านช่วงทดลองงานแน่ๆ พี่สรมาแก้งานผมอยู่หลายนาทีก่อนจะเดินไปทำงานที่โต๊ะประจำของตัวเอง

ตลอดทั้งวัน ทีมของผมก็ทำงานกันจนเสร็จ มาประชุมกันรอบสุดท้ายเพื่อที่พี่สรจะไปเสนองานกับบอสอีกทีหนึ่งก่อนที่จะไปขายงานให้ลูกค้า วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เลิกดึก 2 ทุ่มแล้วผมเก็บของใส่กระเป๋า พวกพี่สรพาไปเลี้ยงข้าวมื้อดึกฉลองที่เคลียร์โปรเจ็คเสร็จแล้ว แน่นอนว่าไม่พ้นร้านอาหารกึ่งร้านเหล้า

ไอ้แกนมันไลน์มาหาผม

-เลิกงานดึกอีกแล้ว กูซื้อโจ๊กไว้ให้ถุงนึงแขวนไว้หน้าห้องนั่นแหละ
-สัปดาห์นี้กูไปสัมมนากับบริษัท ไม่อยู่สักพักนะ ฝากให้อาหารปลา แล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนน้ำให้ปลากัดนะเว้ย ถ้างงก็โทรหานะ

ผมมองข้อความอย่างจนใจ มันเผด็จการอีกแล้ว

“เฮ้ย ดีน กินเยอะๆนะ เห็นมึงเงียบๆ มีใครดูแลยังวะ”อยู่พี่สรแกก็เอ่ยขึ้นมาแบบนี้ พี่ๆบนโต๊ะก็ขำกันเหมือนเห็นเป็นโจ้กสนุกๆ ผมแค่ยิ้ม

“ขอบคุณครับพี่”ผมรับแก้วเหล้ามาจากพี่สรที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะรับถ้วยยำทะเลมาจากพี่ๆที่คอยเติมอาหารให้ ผมยังไม่อยากเมาเท่าไหร่

“เฮ้ยนี่ถามจริงๆนะ”พี่สรเอนมากระซิบ ผมหัวเราะ

“มีแต่ภาระแหละพี่”ผมนึกถึงไอ้แกน พี่สรทำหน้าย่น

“แหนะ ข้ออ้างล่ะสิ มึงก็ดูเหงาๆนะ”พี่สรแกพูดให้ผมได้ยินคนเดียว ผมเหลือบมองอีกฝ่ายที่เริ่มกรึ่มๆเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์

“ไม่หรอกพี่”ผมไม่อยากหาเรื่องให้ตัวเอง พี่สรแกชอบทำตัวเป็นป๋าเอ่ยปากเลี้ยงเด็กคนนั้นคนนี้ บางทีก็พูดจริง บางครั้งก็แค่แซวสนุกปาก ผมไม่ชอบเป็นหัวข้อเมาท์ของพี่ๆในที่ทำงานหรอก

“ฮึ จะแซะมึงนี่ยากนะ”พี่สรหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ผมเลยค่อยหายใจคล่องหน่อย เข้าใจว่าพี่เขาคงแกล้งไปแบบนั้น ผมไม่ได้ตอบกลับไอ้แกน ส่วนมากมันก็เป็นฝ่ายพล่ามอยู่แล้ว

หลังจากที่ดื่มกันพอประมาณ พี่ๆเป็นฝ่ายเลี้ยงผมก็ปฏิเสธไม่ได้ เลยแยกย้ายกันกลับ พี่สรก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมแล้ว ผมกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ เห็นถุงโจ๊กแขวนไว้ตรงลูกบิด ผมจับดูยังอุ่นๆอยู่ แต่ก็คงนานแล้วล่ะ นี่ก็เพิ่ง5ทุ่มนิดๆเท่านั้นเอง ผมลองไปเคาะประตูห้องไอ้แกน แต่ไม่มีเสียงตอบกลับอะไรมา

สงสัยว่ามันไปสัมมนาแล้วหรือเปล่า
-ไม่อยู่ห้องเหรอ
-อือ ออกเดินทางกับรถของบ. ทำไมเหรอมึงไปหากู?
-เปล่า เห็นห้องเงียบๆ
-อือ อย่าลืมนะ ไม่เข้าใจโทรหาได้

ผมอ่านข้อความของไอ้แกนแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง เอาโจ๊กไปอุ่นให้ร้อน ก่อนจะเดินไปดูปลาของไอ้แกนซะหน่อยไม่รู้ว่ามันให้อาหารทิ้งไว้หรือเปล่า ผมไขกุญแจเข้าไปในห้องของมัน ก่อนจะเปิดไฟ ภายในห้องเงียบกริบ ผมเดินไปดูที่ตู้ปลา เห็นว่าพวกมันสบายดี มีร่องรอยการให้อาหารไว้ ทั้งสามตู้ ผมก้มไปดูปลากัด มันเหมือนนอนมากกว่า ผมเห็นกระดาษที่แปะไว้ข้างๆตู้

-ถ้าเปลี่ยนน้ำให้ปลากัดแล้ว อย่าลืมเอาไรแดงในห้องน้ำให้มันกินด้วยนะ

ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่ เลยเดินไปดูในห้องน้ำ เห็นว่ามีถังน้ำขุ่นๆที่เหมือนมีตัวอะไรเล็กๆเหมือนฝุ่นลอยเต็ม ไรแดงสินะ ผมถอนหายใจ เลี้ยงปลาพวกนี้ก็ลำบาก ไม่รู้มันจะหางานให้ตัวเองทำไม

ผมเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง รู้เหนื่อยล้าขึ้นมา ผมอาบน้ำก่อนจะจัดการกับโจ๊กนั่นจนหมด มาคิดดูอีกที เหมือนไอ้แกนมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้วจริงๆ

เฮ้อ เวลาแบบนี้มีพี่กัสอยู่ด้วยก็น่าจะดี ‘ก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่เหงา’ พี่กัสต้องตอบผมมาแบบนี้แน่ๆ พอนึกแบบนี้ได้ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ นานแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงพี่กัส เจ้าตัวใจแข็งจริงๆไม่ยอมบอกอะไร แค่บอกว่าอยู่เมืองเบงเกวตแค่นั้น

ผมไม่สามารถติดต่อพี่กัสได้ มีแค่อีเมล์เท่านั้นแหละ เวลาที่ฟิลิปปินส์น่าจะเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง ผมส่งอีเมล์ไปหาพี่กัส ‘ตอนนี้พี่ทำอะไรอยู่ พี่ตองก็ไม่ยอมบอกอะไรแค่บอกว่าพี่สบายดี น่าจะติดต่อหาผมบ้างนะ...’ผมเขียนข้อความไปไม่ยาวมาก ส่วนใหญ่ก็เล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายได้อ่าน ไม่รู้จะเปิดอ่านหรือเปล่า ผมกดส่งเมล์ไปจนได้ ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว พี่กัสคงหลับ นั่นสิ ต้องเลี้ยงลูกคงเหนื่อย

ผมนอนไม่หลับ

-กลับถึงห้องหรือยัง?
ไอ้แกนส่งไลน์มาหา ผมมองข้อความนั้นก่อนจะถอนหายใจ

-อืม กำลังนอน
ผมพิมพ์ตอบกลับไป ก่อนจะหลับตาลง เสียงเตือนข้อความดังขึ้นอีก

-ฝันดีนะ
ผมจ้องข้อความนั้นอย่างใจลอย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอย่างมันถึงต้องมาอดทนกับผมมากขนาดนี้ จะตอบว่าชอบก็เกินไปหน่อย ‘แย่ล่ะ คิดเรื่องของมันอีกแล้ว’

พอกันที ผมจะเลิกคิดเรื่องของไอ้แกนดีกว่า

...


หนึ่งสัปดาห์ที่ไอ้แกนไปสัมมนากับบริษัท ผมรู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูก เพราะต้องมาดูแลปลากัดของมันน่ะสิ ไอ้ปลาหางนกยูกน่ะเลี้ยงง่าย แค่ให้อาหาร แต่ปลากัดต้องดูแลมันหน่อย เปลี่ยนน้ำ เปลี่ยนต้นไม้เพราะไม่งั้นมันจะเน่า

จนกระทั่งครบหนึ่งอาทิตย์ที่ไอ้แกนหายหัวไป ผมกลับมาอยู่ที่ห้อง เพราะมันบอกจะกลับมาวันอาทิตย์

ผมเลยใช้เวลาช่วงเช้าลองทำเครปเค้กชาเขียวดู เปิดขั้นตอนในเน็ตเอาเพราะผมเองก็อยากกิน ระหว่างที่เตรียมส่วนผสม โทรศัพท์ก็สั่นเพราะมีสายเข้า ผมหยิบออกมาดู แล้วก็ต้องแปลกใจปนตื่นเต้นเพราะเป็นเบอร์โทรจากต่างประเทศ มีคนอยู่คนเดียวนี่แหละ

“สวัสดีครับ ดีนพูด”ผมรับสาย ในใจขอให้เป็นพี่กัส

[หวัดดีเว้ย นี่พี่กัสเองนะ ดีใจล่ะสิ] ปลายสายเป็นเสียงของพี่กัสจริงๆด้วยล่ะ ผมวางของในมือลงก่อนจะเดินไปนั่งคุยแทน รู้สึกหลากหลายทั้งดีใจ โกรธ ปนกันไปหมด

“พี่นี่ใจร้ายจริงๆ เงียบหายไปนานมากๆ ถ้าผมไม่บ่น พี่ก็จะไม่ติดต่อมาเลยสินะ”

[โทษทีๆ อย่าโกรธกันน่า ฮ่ะๆ มึงโกรธพี่จริงเหรอดีน ]

“ก็นิดหน่อย ก็พี่หายไปเลยนี่”แล้วมาบอกผมว่าติดต่อมาได้ตลอด แต่เจ้าตัวก็หายไปเข้ากลีบเมฆ
   
[พอดียุ่งๆน่ะ พี่ยุ่งจริงๆนะ]

“ครับ เข้าใจนั่นแหละ แต่ก็น่าจะบอกกันหน่อย ผมไม่ไปรบกวนพี่แน่ๆ”
   
[น้อยใจเหรอ ขอโทษเว้ย พอดีช่วงนี้กูกำลังเรียน BFA (Fine Art) ที่เกซอนซิตี้อยู่น่ะ] ผมฟังแล้วก็ดีใจกับอีกฝ่ายที่กลับไปเรียน แถมยังเรียนอินเตอร์อีกต่างหาก

“จริงเหรอ ก็ดีเลยสิพี่”

[อืม จะว่าดีก็ดี แต่เหนื่อยมาก เพราะมันอยู่คนละเมืองกัน ก็เลยลำบากกันนิดนึง แล้วมึงโอเคนะเว้ย] เหมือนพี่กัสไม่อยากพูดเรื่องตัวเองเท่าไหร่ เลยเบนมาที่ผมแทน

“ก็สบายดีแหละพี่ ทำงานก็เหนื่อยเป็นธรรมดา”
   
[เออ มีเรื่องอะไรก็เขียนมาเล่าให้รู้บ้างนะ กูก็เปิดอ่านตลอดนั่นแหละ ถ้างั้นก็วางสายก่อนนะ...ไว้ว่างๆจะโทรหาใหม่ แต่ไม่ต้องรอนะเว้ย คงอีกนาน]

“โอเคครับ”คุยกันไม่นาน พี่กัสก็วางสายไป ในเมื่อเจ้าตัวได้เริ่มต้นใหม่ก็ถือเป็นเรื่องดี ผมเดินกลับมาทำเครปเค้กต่อ มันจะยากก็เวลาที่ทอดแผ่นเครปนั่นแหละ หน้าตาออกมาไม่น่ากินเท่าไหร่ ผมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่าง พอหันครึ่งซีกแล้วก็หน้าตาใช้ได้อยู่ ยังไม่ได้ลองชิมเลยด้วย


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเดินไปเปิดประตู ก็เจอไอ้แกนยืนอยู่ ในมือมันถือของฝากจากเมืองเหนือ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ

“ของฝากไง”มันยื่นให้ผมถือ แต่ตัวมันกลับเบียดเข้ามาด้านใน ผมชะงักเมื่อเห็นมันเดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะ แต่ที่ตกใจกว่านั้นคือ รอยสักบริเวณท้ายทอยของมัน ผมเห็นไม่ชัดเท่าไหร่แต่ผมรู้สึกได้ถึงลางไม่ดี ผมปิดประตู ก่อนรีบเอาถุงของฝากทั้งอาหารแห้งและของที่ระลึกไปวางไว้ที่โต๊ะ

“มึงทำอะไร”ผมถามมันเสียงดัง ไอ้แกนแค่ไหวไหล่ ก่อนจะยืมกอดอกมองผมด้วยสายตานิ่งๆ

“ทำอะไรล่ะ”

“มึงสักเหรอ”

“เออ สักชื่อมึงไง”มันตอบอย่างชัดเจนทำให้ผมรู้สึกแปลกๆขึ้นมา ไอ้แกนเดินเข้ามาใกล้ผม

“เพื่ออะไรวะ”ผมอยากถามว่ามันต้องการอะไรต่างหาก ไอ้แกนแค่แค่นเสียงอยู่ในลำคอ มันเหลือบมองมาที่ผม จ้องมองอยู่นาน จนผมเริ่มอึดอัดเลยเสไปมองทางอื่นแทน

“มึงดูแลปลาของกูดีหรือเปล่า”มันเปลี่ยนเรื่อง

“ก็ทำตามที่มึงบอกนั่นแหละ”ผมตอบมันห้วนๆ

“...มึงสักชื่อกูได้ ไม่ถามกูสักคำ แล้วทำไมกูถึงจะสักชื่อมึงบ้างไม่ได้ล่ะ”ไอ้แกนวกกลับเข้าเรื่องตามเดิม คำตอบของมันทำให้ผมอึ้งไป มันคิดบ้าอะไรของมัน

“มันไม่เหมือนกัน มึงก็น่าจะเข้าใจ”

“อืม ก็เข้าใจ แต่กูต้องขออนุญาตมึงก่อนเหรอไง”มันถามอย่างท้าทาย ก่อนจะก้าวมาหาผม ผมผงะออกตามสัญชาติญาณ ไอ้แกนแค่หยักยิ้มออกมา

“มึงออกไปได้แล้ว”ผมไล่มันไปเพราะไม่อยากเห็นหน้ามันอีก

“อืม กูไปอยู่แล้ว แต่มึงเอานี่ไปใช้ด้วย”ไอ้แกนมันหยิบซองสีน้ำตาลที่ดูนูนๆเหมือนมีของอยู่ด้านใน ผมมองอย่างไม่วางใจ ผมไม่รับของจากมัน

“เอาไปเถอะน่า”มันหัวเราะเยาะ ผมรับมาถือสัมผัสน้ำหนักเหมือนมีหลอดครีมหรืออะไรสักอย่างอยู่ด้านใน ผมเหลือบไปมองมัน

“ลองเปิดดูก็ได้ จะได้ด่ากูตอนนี้เลยเป็นไง”ไอ้แกนทำท่ากวนประสาท มันกอดอกมองผมด้วยท่าทีสบายใจ ผมเม้มปากข่มอารมณ์หงุดหงิดไว้ก่อนจะแกะซองสีน้ำตาลออก พอเปิดออกมา เป็นหลอดครีม Extreme Tattoo Care ผมนิ่งงัน

“เพื่ออะไร”

“กูเพิ่งสังเกตุว่ารอยสักมึงมันเริ่มจาง กูไม่อยากให้มึงต้องไปย้ำสีอีก ตรงๆก็ไม่อยากให้ชื่อกูจางลงไปเรื่อยๆหรอกว่ะ”คำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกแปลกประหลาด ไม่ได้ตกใจ แต่วิธีการที่มันแสดงออกทำให้ผมทึ่งอยู่เสมอ

“มึงต้องการอะไรจากกูกันแน่ มึงสนุกรึไงวะ”ผมมองหน้ามัน

“ไม่นี่ กูแค่เป็นห่วงมึงเท่านั้นเอง มาตอนนี้แล้วมึงยังตะขิดตะขวงใจอะไรอีก ทำไมมึงไม่ทำตัวเหมือนปกติ มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นนี่หว่า”ไอ้แกนพูด แววตาดุดันคู่นั้นสะท้อนประกายความรู้สึกบางอย่าง โกรธผมที่ไม่เข้าใจตัวมันงั้นเหรอ

“มึงก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก”ผมพูด คงไม่มีทางที่ผมจะเป็นแบบนั้นกับมันได้แน่ๆ การเป็นเพื่อนมันง่ายกว่าเยอะ

“กูไม่ได้ขอซะหน่อย มึงอย่าคิดไปเองสิ กูพูดเหรอ”ไอ้แกนพูด ผมมองหน้ามัน ใช่ มันไม่เคยพูดออกมาอยู่แล้ว แต่มันหน้าด้านที่จะแสดงออกมาในทำนองนั้น

“เออ ช่างเถอะ มึงกลับไปได้แล้ว”ผมบอก ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วย

“กูสักชื่อมึงไว้ไม่ใช่เพราะกูอยากจดจำมึงหรอก... กูแค่อยากให้มึงเห็นก็เท่านั้นแหละ มึงรู้สึกยังไงบ้างล่ะ ที่เห็นชื่อตัวเองบนตัวคนอื่น”ไอ้แกนพูดอย่างไม่ลดละ ผมไม่รู้หรอกว่ามันกำลังพูดด้วยอารมณ์ไหน ที่มันพูดผมก็ไม่เคยเก็บเอามาคิดจริงๆจังๆในมุมของมันหรอก ว่ามันรู้สึกยังไงเวลาเห็นชื่อตัวเองบนตัวผมน่ะ...

“มึงเลิกกดดันกูได้ไหม”

“ช่างเถอะ กูก็คิดอยู่แล้วไม่มีทางได้คำตอบจากมึงแน่ๆ”มันพูด ก่อนจะเดินออกจากห้องของผมไป ผมถอนหายใจอย่างโล่งออก ก่อนจะมองครีมในมือ ความหมายก็ตรงตามชื่อนั่นแหละ ไว้สำหรับดูแลบำรุงเพื่อให้รอยสักสีสดและใหม่ ตั้งแต่ผมสักชื่อมัน ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะผมไม่ได้ต้องการความสวยงามนี่ มาตอนนี้ก็จางลงกว่าเดิมแล้ว

ผมเก็บของในครัว รู้สึกไม่อยากอาหารอีกต่อไป

แล้วมันรู้สึกยังไงกันล่ะ? มันเองก็ไม่เคยบอกผมสักครั้ง

...
   

ตั้งแต่วันนั้น ไอ้แกนก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมอีก ตอนเช้าแค่เจอกันหน้าอพาร์ทเม้นท์มันไม่ได้คุยกับผม มันโกรธงั้นสิ ผมนึกย้อนดูแล้วมีตรงไหนที่ผมไปทำให้มันโกรธ อีกอย่างก็ไม่ใช่กงการอะไรของผมด้วย ช่วงที่ผมอยู่ที่บริษัท พี่สรก็เหมือนคนละคนกับเวลาเหล้าเข้าปาก พี่แกก็สุภาพตามปกติ ผมไม่เก็บมาใส่ใจ บางวันทีมของผมก็ออกไปเก็บงานข้างนอก ก็เหมือนได้ออกไปเปิดหูเปิดตา
   
ดูเหมือนว่าไอ้แกนจะหายหน้าไปจากผม รู้สึกเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นไปแล้วนั่นก็คือช่วงที่ฝึกสหกิจตอนปี4 มันก็หายไปสักพัก พอกลับมาก็มาวุ่นวายกับผมต่อ ผมเดาอารมณ์มันไม่ถูกหรอก
   
“ดีนๆ ลองไปดูไอ้แกนหน่อยสิ มันดีขึ้นหรือยัง”ลุงเปาเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้หน้าปากซอยอพาร์ทเม้นท์พูดขึ้นมา เมื่อผมออกมาซื้อน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องกับขนมปังสังขยา

“ทำไมหรอครับ”ผมแปลกใจ

“ก็เมื่อสองสามวันก่อน ไอ้แกมมันดูหงอยเป็นหมาป่วยเลย มันมาซื้อน้ำเต้าหู้ ท่าทางคงป่วยมั้ง”

“มันป่วยเหรอครับลุง”ผมถามงงๆ ไม่คิดว่ามันจะป่วยจริงๆ

“คงอย่างนั้นแหละ สีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ แกก็อยู่ชั้นเดียวกับมัน ลองไปดูมันหน่อยสิ ไม่ใช่ว่านอนขึ้นอืดอยู่ในห้องนะ ฮ่ะๆ”ลุงเปาพูดติดตลก ผมจ่ายเงินเสร็จแล้วก็กลับเข้าอพาร์ทเม้นท์ ผมรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ เลยลองไลน์ไปหามันดู

-ไม่สบายหรือไง

มันไม่อ่าน จนผ่านไป10 นาทีก็ยังไม่อ่าน ผมเองก็ยังไม่ได้ไปเคาะห้องมันดูเผื่อว่ามันจะป่วยขึ้นมาจริงๆ ผมหยิบกุญแจห้องของมันพร้อมกับน้ำเต้าหู้ไปด้วย ผมเคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะไขกุญแจเข้าไปด้านในห้อง พอเปิดประตูเข้ามา ภายในห้องมืดเพราะยังไม่ได้เปิดไฟบวกกับเป็นเวลาพลบค่ำตะวันตกดินแล้ว

“ไอ้แกน”ผมลองเรียกดู มันอยู่ห้องแน่เหรอ ทำไมเงียบ ผมเดินเข้าไปที่ห้องนอนของมัน บนเตียงปรากฏรอยยับย่นมีร่องรอยการนอนของเจ้าของเตียง ผมเดินไปเปิดไฟ ในห้องสว่างวาบ เดินไปดูที่ห้องครัว ห้องน้ำก็ไม่มี ผมกะว่าจะโทรหาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ของมันวางอยู่บนโต๊ะ

‘คงไม่อยู่ห้อง’ผมคิดแบบนั้น ตั้งใจจะกลับ แต่สายตาดันไปสะดุดกับกลุ่มควันบางเบาที่ด้านนอกระเบียง เพราะเป็นกระจกสีดำ ตอนแรกจึงไม่เห็นว่ามีคนนั่งอยู่ตรงนั้น ผมถอนหายใจแรง ไอ้แกนนั่นเอง มันนั่นสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก

ผมเลื่อนประตูกระจกออก ก่อนจะก้าวออกมานอกระเบียง ไอ้แกนนั่งอยู่บนพื้น ข้างๆกายมันมีกระป๋องเบียร์4-5กระป๋อง สภาพก็เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีดำ

“กูนึกว่ามึงตายหรือป่วยซะอีก”ผมพูด

“แล้วมึงแคร์ด้วยหรือไง”มันย้อนผมกลับมา เพิ่งเห็นว่ามันเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำมากกว่าเพราะมันไม่ได้โกนหนวดเลยด้วยซ้ำ

“อย่ามาเล่นลิ้น กูนึกว่ามึงป่วยเลยซื้อน้ำเต้าหู้มาให้ มึงแดกอะไรหรือยัง”ผมถาม แต่ไม่ได้รับคำตอบกลับมา ทำให้อารมณ์พุ่งปรี๊ด

“มึงได้ยินหรือเปล่า...เรื่องของมึงเถอะ กูกลับล่ะ”ผมบอกทิ้งท้ายก่อนจะจับประตูเลื่อนออก

“ดีน...”มันเรียกชื่อผม ไม่เคยชินที่ไอ้แกนเรียกแบบนี้สักครั้ง

“มีอะไร”ผมหันกลับมามองมัน ไอ้แกนดับบุหรี่ขยี้มันลงกับพื้นห้องจนมอดดับไป มันเงยหน้ามองผมนิ่งๆ

“ที่จริงกูก็เหมือนคนป่วยนั่นแหละ”มันพูด

“งั้นก็ลุกไปอาบน้ำกินยาสิวะ”

“ทำไมวะ มึงเป็นห่วงกูจริงๆเหรอวะ หรือแค่ได้ยินลุงเปาพูดถึง”มันพูดเหมือนรู้ดี

“แล้วไง”

“ตอบมาสิ”

“กูก็นึกว่ามึงจะตายซะก่อน เห็นหายหน้าหายตาไปหลายวัน ตกลงมึงแค่อยากประชดชีวิตใช่ไหมวะ”อยู่ผมก็เหมือนเห็นภาพตัวเองซ้อนทับ ช่วงที่ผมเมานั่นแหละ อนาถพอกัน

“งั้นเหรอวะ”

“มึงไปอาบน้ำดีกว่า งั้น—เดี๋ยวกูไปซื้ออะไรให้มึงกินเอง”ผมลองทำใจดีดูบ้าง เผื่อมันจะลุกจากสภาพเน่าๆนี่เสียที

“เหลือเชื่อแฮะ ไอ้ดีนจะเป็นห่วงกู”

“เออ กูเป็นห่วง ถ้าเกิดมึงตายกูคงรู้สึกผิด”ผมบอกมัน ไอ้แกนแค่เงียบไป ผมเดินกลับเข้าไปด้านในห้อง ก่อนจะเดินออกจากห้องของมันด้วยอารมณ์ขุ่นมัว มันเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ

เมื่อบอกว่าจะซื้อข้าวให้มันกิน ผมจำต้องไปซื้อข้าวต้มทรงเครื่องจากร้านข้างๆอพาร์ทเม้นท์มาสองถุง เผื่อว่าตัวผมอาจจะหิวขึ้นมากลางดึก และแวะซื้อยาพารามาหนึ่งแผง ไม่รู้ว่ามันป่วยจริงหรือป่วยปลอม ผมกลับมาที่ห้องของไอ้แกน ได้ยินเสียงอาบน้ำมาจากห้องน้ำ ผมถอนหายใจ ก่อนจะจัดการเทข้าวต้มใส่ถ้วยให้มัน เพิ่งนึกขึ้นได้ ผมเดินไปดูที่ตู้ปลากัด เห็นว่ายังอยู่ดี เลยหย่อนอาหารปลาไปให้พวกมัน ขนาดท่าทางเหมือนคนไร้วิณญาณมันก็ยังอุตส่าห์ดูแลปลาพวกนี้อยู่

ไอ้แกนอาบน้ำเสร็จ มันมองผมแวบเดียวก่อนจะเดินไปแต่งตัว ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะกลับห้องตัวเองดีไหม ในเมื่อมันก็กลับเข้าสู่โหมดปกติแล้ว

“อยู่ด้วยกันสิ มึงซื้อมาสองถุงไม่ใช่เหรอ ก็กินมันด้วยกันนั่นแหละ”มันบอก ผมนิ่ง กำลังประมวลผล แต่ไอ้แกนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมเลยเซ็งๆตาม คงไม่เสียหายอะไร ผมเดินไปหยิบถ้วยมาแกะถุงข้าวต้ม สายตาดันไปเห็นไอ้แกนกำลังสวมเสื้อยืด ผมเห็นรอยสักตัวอักษร DEEN ที่ท้ายทอยเริ่มชัดเจนขึ้นเยอะ มันหยิบครีมมาทาบริเวณรอยสัก ปกติเวลาสักใหม่ก็ต้องบำรุงอยู่แล้ว เพราะมันจะตึงและแห้ง ลดอาการคันได้มาก
   
ไอ้แกนเดินมาหาผมที่โต๊ะกินข้าว ผมเงียบ ทำเป็นไม่สนใจมัน

“ขนาดรอยสักมึงกูยังดูแลดี”มันพึมพำ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ

“หายบ้าแล้วเหรอวะ”

“หึ เลิกพูดเถอะ”มันไม่เถียง แค่ก้มหน้าก้มตากินข้าวต้ม ผมไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่

“ตกลงมึงป่วยหรือเปล่า”

“ป่วย...แต่หายแล้ว”

“จริงเหรอ”

“เออ หึ ถ้ากูรอมึงจริงๆก็คงได้เน่าคาห้องไปแล้วนั่นแหละ”มันพูดอย่างไม่ใส่ใจ

ผมรีบจัดการข้าวต้มจนหมด เห็นไอ้แกนหยิบยาในลิ้นชักออกมากิน มันป่วยจริงๆนั่นแหละ ยังจะมาทำปากแข็ง ผมมองเวลาตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว 4 ทุ่มนิดๆ

“งั้นกูกลับล่ะนะ หัดดูแลตัวเองบ้าง”มัวแต่ดูแลปลาอยู่ได้ ผมมองไอ้แกนค่อยล้มตัวนอนบนเตียง มันมองหน้าผม ก่อนจะเรียกให้เข้าไปหา ผมลังเล

“มาเถอะน่า ไม่ทำอะไรหรอก”มันบอก ผมเลยเดินไปหาไอ้แกนที่นอนอยู่บนเตียง

“อืม ว่ามาสิ”ผมรอให้มันพูด

“มึงจะใจดีกับกูบ้างไม่ได้หรอดีน”

“นี่กูก็ใจดีแล้วไง”

“มึงยังชอบพี่กัสอะไรนั่นอยู่เหรอ”อยู่ๆไอ้แกนก็พูดถึงพี่กัสขึ้นมา ผมมองมันแล้วส่ายหน้า กับพี่กัส ผมแค่หวังให้เจ้าตัวมีความสุขก็เท่านั้น ผมยังเคารพพี่แกเสมอไม่เปลี่ยน

“เปล่า ไม่ได้ชอบ ก็แค่เป็นพี่”ผมบอกมัน ไอ้แกนเงียบไป

“งั้นเหรอ...แต่คนๆนี้มีอิทธิพลต่อมึงมากนะ รู้ตัวหรือเปล่า”

“อืม แต่ตอนนี้ไม่แล้วนี่ พี่แกก็ไปอยู่กับครอบครัวแล้ว”ผมบอกมัน เพื่ออะไรก็ไม่เข้าใจ ไอ้แกนกัดปากเหมือนคิดอะไรอยู่

“กูจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะดีน...”ผมไม่คิดว่ามันจะทำแบบนี้ มันคว้าแขนผมให้นั่งลงบนเตียง แถมยังไม่ปล่อยมืออีกด้วย ผมจ้องมันเขม็ง รับรู้ถึงแรงที่กำรอบข้อมือของผม มือของมันหยาบตามปกติของผู้ชายที่ทำงานหนัก

“ว่ามาสิ”

“ให้กูอยู่ข้างๆมึงไม่ได้เหรอวะ...”

ผมนิ่งงัน ไม่ได้ตกใจ เพราะผมคิดว่าสักวันมันต้องทำตัวบ้าๆแบบนี้ แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันกำลังเรียกร้องอะไร ในเมื่อครั้งสุดท้ายมันเคยพูด “กูไม่ได้ขอซะหน่อย มึงอย่าคิดไปเองสิ กูพูดเหรอ” ตอนนี้มันพูดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกมาแล้ว

“เพื่ออะไร”ผมถาม เหมือนทุกครั้ง ว่าเพื่ออะไร?

“เพื่อตัวกูเองแหละ มึงก็รู้ว่ากูมันคนเห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอวะ กูหน้าด้านใช่ไหมล่ะ”

“เออ”

“มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น กูแค่—ให้กูได้อยู่ข้างๆมึงแบบนี้ไง มึงไม่ต้องเปลี่ยนอะไรหรอก”ไอ้แกนพูด สีหน้าดูสับสน ผมยังเคยคิดว่ามันกำลังสับสนมากกว่า เพราะหลายปีที่ผ่านมามันคอยตามผม ที่จริงผมกับมันก็เป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆเท่านั้น

“มึงแน่ใจแล้วเหรอว่าคิดแบบนี้จริงๆน่ะ”

“กูไม่ได้โง่นะเว้ย แล้วก็ไม่ใช่เด็กๆที่แยกไม่ออกว่ากูรู้สึกยังไงกันแน่”มันยังคงดึงดัน

“...มึงรู้สึกยังไงเหรอ ที่เห็นกูสักชื่อมึงน่ะ”ผมถาม เพราะยังไม่เคยได้คำตอบเผื่อว่าอะไรๆจะดีขึ้น ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะไปในทิศทางไหน ผมไม่เคยคิดว่าไอ้แกนกับผมจะเป็นแบบไหน จะเดินหน้าไปยังไง ผมแค่เห็นว่ามันเป็นตัวอันตราย ก็แค่นั้น

ไอ้แกนดูแปลกใจที่ผมถามแบบนี้ แน่ล่ะสิ

“...ก็...บอกไม่ถูกหรอก ลึกๆแล้วก็ควรจะรู้สึกไม่ใช่เหรอ ก็คงแปลกๆมั้ง มึงเกลียดกู แต่สักชื่อกูไว้ หึ กูควรรู้สึกยังไงเหรอ...”

“...”ผมเงียบ ปล่อยให้มันพูดไป

“กูเสียใจมากกว่า ที่มึงเกลียดกูขนาดนั้น ถึงกับสักชื่อกูไว้”มันพึมพำ เบนหน้าไปทางอื่นแทน มือที่จับแขนผมไว้คลายออก ผมนั่งนิ่ง มันก็ถูก

“อือ ก็เคยเกลียด”

ไอ้แกนหันกลับมามองผมอีกครั้ง ถ้าตาไม่ฝาดเหมือนว่ามันจะ...นั่นน้ำตาหรือเหงื่อกันล่ะ

“ทำไมมึงใจร้ายจังวะ”อยู่ๆมันก็พูดขึ้นมา อาจจะหมายถึงผมพูดไม่ดีกับมันสินะ ผมไม่ได้เกลียดมันเท่าเมื่อก่อน ก็แค่เฉยๆ มันคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก

“กูว่ากูใจดีกับมึงแล้วนะ”ผมบอก ถ้าเกลียด ผมไม่มีทางมานั่งกับมันแบบนี้แน่นอน

“ขอบคุณ”

“อือ”

“กูพูดจริงๆนะ”มันบอก ผมพยักหน้า “เออ กูเข้าใจ”

“เรื่องที่ขออยู่ข้างๆมึง”ไอ้แกนจ้องผม

“อืม”

“มึงรู้สึกยังไงล่ะ”มันถามเสียงห้วนในแบบของมัน

“ไม่รู้...กูควรรู้สึกยังไงดีล่ะ”ผมพูด

“กูถึงได้บอกว่ามึงใจร้าย ไอ้ดีน”

“กูกลับห้องดีกว่า มึงเริ่มเพ้อแล้ว”ผมลุกขึ้นยืน มองไอ้แกนที่นอนนิ่ง สายตาจับจ้องมาที่ผม ‘เมื่อไหร่จะเลิกจ้องซะที’ผมคิดในใจ ถ้าเป็นปลากัดคงออกลูกเป็นพรวนแล้วล่ะมั้ง ชักเพี้ยนล่ะ ปลากัดตัวผู้ก็ต้องกัดกันสิวะ

“ตอนเช้าให้กูไปส่งนะ”มันบอก

“เอาตัวเองให้รอดก่อนเหอะว่ะ”

“เออ กูหายแน่ รับปากมาสิ”มันสั่งสินะ ให้ตาย มันกำลังขอให้ผมไปกับมันแต่ดูรูปประโยคสิ

“อือ กูไปได้หรือยัง”ผมหันหลังเดินออกจากห้องของมันน่าจะดีที่สุด

“ขอบใจนะเว้ย ดีน”ไอ้แกนตะโกนไล่หลัง

ผมปิดประตูห้องไอ้แกนลง ก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ‘เฮ้อ อึดอัดเป็นบ้า’ ผมทุบที่หน้าอกสองสามที พอคิดไปคิดมา ลุงเปาร้านน้ำเต้าหู้ต้องโดนไอ้แกนติดสินบนแน่ๆ ไอ้แกนมันก็ไม่ได้ป่วยมากมายอะไร แค่ทำสำออยเพื่อให้ผมเข้าไปหานั่นแหละ

อืม...แต่มันอยู่ที่ผลลัพธ์มากกว่า ในเมื่อรู้อยู่แล้วก็ยังไปหา

“น่ากลัวจริงๆนะ”

ไอ้แกนน่ะ 







------------ The End ------------

มาแล้วจ้า สำหรับบทสรุปของทุกคู่
คู่หลักอย่างท็อปสองก็ปล่อยให้หวานกันไป
ส่วนอีกสองคู่ถือว่าเป็นไปตามนั้นล่ะกันเนอะ
สำหรับนิยายเรื่องนี้ถือว่าจบอย่างเป็นทางการแล้วนะคะ เราจะไม่มาอัพต่อล่ะค่ะ
ยังไงก็ขอบคุณเพื่อนนักอ่านทุกๆคนทั้งหน้าเก่า เราจำได้หมดเลยนะ
รวมถึงหน้าใหม่ที่เข้ามาอ่าน หรือทิ้งคอมเม้นไว้ สำหรับนักเขียนแน่นอนแหละว่ามันถือเป็น
กำลังใจเล็กๆน้อยๆให้เรามีแรงผลักดันในการปั่นนิยาย


สุดท้ายนี้สามารถติดตาม ข่าวสารการรวมเล่มได้ที่แฟนเพจของ สนพ. ได้เลยค่ะ
 >>> Rainynightpublishing<<<  (https://www.facebook.com/rainynightpublishing/) 

 >>> คลิ๊กแฟนเพจของเราเองค่ะ RindadaRin <<<  (https://www.facebook.com/RindadaRinY/)
ไม่แน่ว่าอาจได้เจอกันในเรื่องถัดไป แต่ยังไม่ใช่เร็วๆนี้เน้อ
ขอบคุณทุกคนมากๆค่ะ รักนะ

 


หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Love of a lifetime บทสรุป 27.8.16 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 27-08-2017 11:57:33
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับบทสรุปของแต่ละคู่    :กอด1:

ดูเหมือนคู่สุดท้าย แกน-ดีนเป็นคู่ที่น่าจะมีเรื่องราวต่อจากนี้อีกเยอะกว่าจะลงตัว
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Love of a lifetime บทสรุป 27.8.16 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-08-2017 13:16:33
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Love of a lifetime บทสรุป 27.8.16 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-08-2017 00:18:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Love of a lifetime บทสรุป 27.8.16 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 29-08-2017 10:43:13
ฮือ ดีนจ๋า หวานได้แค่นี้เองเนอะ 55555

เราชอบเรื่องนี้มากเลย ทั้งที่เราก็ว่านิยายเรื่องนี้ไม่ได้หวือหวาอะไร
แต่ไม่รู้ทำไมเรารักนิยายเรื่องนี้มาก จะรอเก็บเล่มนะคะ พรีแน่นอน  o13
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Love of a lifetime บทสรุป 27.8.16 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-08-2017 19:50:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Love of a lifetime บทสรุป 27.8.16 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 03-09-2017 23:20:28
โอ้ยยย ลุ้นคู่แกนดีนมากอะพี่แกนนี่ไม่คิดว่าจะชัดเจนขนาดนี้ คืองงกับพี่แกแหละว่าทำไมมาชอบพี่ดีนได้ ส่วนพี่ดีนนี่ก็ยังไม่เปิดใจเท่าไหร่คงต้องใช้เวลากันไปสักพักนึง

สุดท้ายขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' Love of a lifetime บทสรุป 27.8.16 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: @Sister ที่ 16-09-2017 11:43:09
หลังจากที่ตามอ่านมาตั้งตอนที่หนึ่ง สิ่งที่ชอบในเรื่องนี้คือพี่ท็อปอ่ะ 555
ดูเป็นคนที่เท่ๆดี มีความคิดชอบทำให้สองมันคิดมากจริงๆเลย
ถึงตอนแรกๆพี่ท็อปจะเข้าหาสองแบบมีเป้าหมาย มาหลอกสองก็เถอะ แต่พี่ท็อปก็ได้บทเรียนนะเราว่า
ตัวนายสองเองก็ดูจะขี้อ้อนพี่ท็อปจริงๆ อย่างที่พี่ท็อปบอกสองชอบใจอ่อน ใจดีกับคนอื่นๆดีนะที่เรื่องนี้ไม่ค่อยมีประเด็นเรื่อง
ความขี้หึง เรื่องมีที่สามซึ่งเราไม่ชอบอ่านคนโลเลอ่ะ จริงๆ เรื่องนี้ค่อนข้างเรียลนะ
ทั้งนิสัยแบบพี่ท็อป คนแบบในเรื่องก็มี  :katai2-1:

เรื่องผัวเมียๆก็ไม่ซีนะ เหมือนที่สองว่าแหละ มันก็แค่ส่วนหนึ่งของการเป็นคนรักป่ะ แต่ที่บอกว่าเมคเลิฟไม่ไม่ใช่แฮฟเซ็กส์ก็่าคิดนะว่า
คนเราสมัยนี้ส่วนมากก็แฮฟเซ็กส์กัน น้อยครังนะที่จะคิดว่าเมคเลิฟไรงี้

ชอบพี่ดีนอ่ะ ดูเท่ชอบกล แต่เป็นคนมืดมนเกินไป แต่ก็เพราะเฮียแกนเลย พี่ดีนเลยกลายเป็นคนมีปม
เราว่าจบแบบนี้กน่ารักดี เหมือนว่าแกนจะรู้ใจตัวเอง คิดว่าแกนน่าจะชอบดีนมานานแล้วรึเปล่า
แต่ชอบอ้างว่าที่มาวุ่นวายเพราะต้องการขอโทษไรงี้ อยากอ่นพาร์ทต่อนะ ท่าจะหนุก  :hao6:

คู่ผิงหรอ เรื่อยๆแบบแมนๆเตะบอลไง 555 ก็เข้าใจผิงนะ เป็นคนชิลๆไม่คิดไรมาก
แต่ยิมจะคนละทางกับผิงเลยอ่ะ ดูไม่เข้ากัน แต่พออยู่ด้วยกันมันก็ดูลงตัวนะ ไม่งุ้งงิ้งหวานอะไร
อารมณ์แบบเรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไป
ยังไงก็ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆให้อ่านนะคะ ชอบมากเลย
รอติดตามผลงานต่อไปนะ อิอิ  :mew1:

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง 'วิศวะ' The End บทสรุป 27.8.16 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: กาลครั้งหนึ่ง. ที่ 07-10-2017 22:14:39
อ่านจบจนได้ เราชอบความสัมพันธ์ของพี่ท็อปกับสองมาก
ดูหนักแน่นและมั่นคงดี คู่อื่นก็น่าสนใจนะมาคอนเซปข้างห้องเหมือนเดิม555


ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆระคะ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ'(End) Spe;วันว่างๆของท็อปสอง 19.10.17 P.26
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 19-10-2017 06:46:31
Special >>> วันว่างๆของท็อปสอง



“นี่ สอง แหกตาดูหน่อยว่ามึงนวดแม่งอยู่ที่เดิมเนี่ย เจ็บ”ผมออกปากด่าไอ้สองอย่างอดทนไม่ได้ อากาศเช้าวันเสาร์เย็นสบายเพราะเมื่อคืนมีฝนตกจึงเป็นเวลาดีๆที่จะพักผ่อนอยู่บนศาลายกพื้นในสวน

ตอนนี้อีกฝ่ายย้ายมาอยู่บ้านกับผมตั้งแต่เรียนจบ แม่ก็ย้ายงานไปประจำอยู่ที่เชียงใหม่ บ้านหลังนี้เลยกลายเป็นรังรักของผมกับมันไปแล้ว อ้อ ลืม ไอ้ทูด้วยอีกหนึ่งตัว โดยไอ้สองแฟนสุดรักของผมอาสาขอนวดให้ผมอย่างกระตือรือร้น ไอ้สองหยุดมือที่บีบลงบนต้นขาแล้วหันมามองเหมือนคนเพิ่งได้สติ มันเหม่ออะไรของมัน


“โทษทีพี่ พอดีคิดอะไรเพลินๆ”มันหัวเราะเบาๆเหลือบมองผมด้วยสายตาที่มีความมาดหมายบางอย่าง ผมจ้องหน้ามันเขม็ง


“คิดอะไรลามกแน่ๆเลยมึง พอล่ะ ไม่ต้องนวดล่ะ”ผมบอกก่อนจะปัดมือของอีกฝ่ายออก ไอ้สองยิ้มกริ่ม


“แค่คิดเรื่องที่พี่เคยพูดถึงไง”


“หืม เรื่องอะไรล่ะ”ผมมองไอ้สองที่ขยับลงมานอนข้างๆ เอาแขนรองศีรษะไว้หันหน้ามาทางผม


“ก็เรื่อง Texture พิเศษไง”ไอ้สองพูดก่อนจะเลียปากอมยิ้ม ผมพ่นหัวเราะออกมา


“ทำไมวะ ยังติดใจอะไรอีกเหรอ กูแค่หว่านแหไปเรื่อยๆเท่านั้นแหละ เหยื่อจะติดไม่ติดไม่รู้เหมือนกัน”ผมพูด นึกถึงเรื่องเมื่อสี่ห้าเดือนก่อนที่เคยบอกกับมัน มันก็ผ่านมานานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่ช่วงที่ผมต้องไปฝึกสหกิจ


“อ้อ คิดแบบนี้นี่เอง”


“ทำไมล่ะ นี่มึงเหม่อๆนี่คือกำลังจินตนาการอะไรหรือเปล่า”ผมเอ่ยแซวเล่น อีกฝ่ายหัวเราะ


“ที่คิดน่ะไม่ใช่เรื่องพิเรณท์ๆนะ แต่แค่เรื่องงี่เง่าๆนิดหน่อย”


“อะไรเหรอ คิดมากอะไรหรือเปล่า”


“ก็ถึงได้บอกว่ามันงี่เง่า”มันไม่ยอมพูด ผมทำหน้าเซ็ง ในเมื่อมันแง้มออกมาก่อนจะมาปกปิดแบบนี้ได้ยังไง ผมมองหน้ามัน


“คิดจะทำให้อยาก...แล้วจากไปง่ายๆแบบนี้เลย?”


“อ่ะๆ ก็ได้ ผมแค่คิดว่า...พี่จะเบื่อผมหรือเปล่า ก็เท่านั้นเอง”ฟังมันพูดแล้วผมก็อดขำไม่ได้ รู้แบบนี้ไม่น่าไปแหย่มันเลย กลายเป็นมันเก็บเอามาคิดเป็นตุเป็นตะไปหมด


“หึหึ นี่มึงก็คิดได้นะ จะเบื่อไปทำไม ไม่มีมึงนี่สิถึงน่าเบื่อ”พอเห็นว่าไอ้สองมันกำลังมองเหมือนลูกหมาที่มองเจ้าของ ก็อดไม่ไหวอยากแกล้งมันบ้าง


“ไม่ใช่แบบนั้น...หมายถึงเรื่องบนเตียงไง”มันพูด ผมมองมันอยู่นาน


“กูไม่ใช่คนเสพติดเซ็กส์ซะหน่อย จะได้ต้องการความแปลกใหม่อยู่ตลอด แต่นานๆทีก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”ผมบอกมันให้เข้าใจ


“นึกว่าเบื่อ แบบอยากเปลี่ยนรสชาติอะไรแบบนี้”มันเหลือบมองผมอีกรอบ


“ก็ถูกไง เซ็กส์สำหรับกูมันก็เหมือนอาหาร แค่เปลี่ยนรสชาติบ้าง ไม่ใช่เปลี่ยนเมนู ของเดิมก็ออกจะอร่อย ถ้าแค่เพิ่มเติมอะไรไปบ้างก็ไม่น่ามีปัญหานะ”ผมบอกเหลือบมองไปทั่วใบหน้าของมันบ้าง เห็นว่ามันดูพอใจกับคำตอบของผม


“โอเค ไม่มีอะไรล่ะครับ”ไอ้สองยิ้ม


“อยากนวดต่อป่ะ”ผมถาม


“หึหึ คิดไม่ดีอยู่ล่ะสิท่า”ไอ้สองยื่นมือมาตีหน้าท้องของผมเบาๆ แต่ไม่ได้ละมือออกไปไหน เห็นมันลูบไล้อยู่นอกเสื้ออย่างเดียว


“กูแค่คิด แต่มึงนี่ลงมือทำเลยนะ”ผมมอง ไอ้สองละมือออกจากตัวผมแล้วหัวเราะก่อนจะเปลี่ยนมานอนหงาย “แกล้งเล่นน่า...”มันบอก ผมแค่ยิ้ม ในวันที่ท้องฟ้ายามเช้ามืดหม่นครึ้มฝนแบบนี้ มีคนนอนอยู่ข้างๆแค่นี้ก็เกินพอจนไม่อยากออกไปเที่ยวที่ไหน


“พี่ท็อป”


“หืม...”ผมหันไปหาคนข้างๆตัว ไอ้สองเหลียวมามองผมแววตาใสแจ๋วเหมือนลูกหมาที่น่ารัก อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปเขี่ยแก้มมันเล่น


“รักผมมากป่ะ”ผมทำตาวาว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามแบบนี้เพราะมันก็ไม่เห็นต้องเอ่ยถามเลยด้วยซ้ำ ผมยิ้ม


“ไม่รู้สิ วัดได้ป่ะล่ะ ถ้ามีอะไรมาวัดได้ก็ลองมาวัดดูสิเผื่อจะได้คำตอบ”ผมกลั้วหัวเราะในลำคอแค่อยากกวนอารมณ์มันเล่นก็เท่านั้นเอง ไอ้สองหัวเราะฮึกฮักทางจมูก


“ชอบอ้อมโลกจังนะพี่”ตอนนี้มันยิ้มขำกับความอ้อมค้อมของผมไปแล้ว


“ก็รักไง”ผมเลยหันไปตอบตรงๆ ไอ้สองกระตุกมุมปากเหมือนจะกลั้นรอยยิ้ม


“อืม”มันส่งเสียงตอบรับมาสั้นๆ คงตั้งใจจะกวนอารมณ์ผมเล่น


“พอใจป่ะ”


“อืม”


“’งั้นขอTexture พิเศษนะ”ผมเลยแกล้งพูออกไปแบบนี้ ได้ผลด้วยสิ


“อื...เฮ้ยไร”มันรีบพูดทันทีหลังจากเบรกตัวเองพ้นจากการอือออแบบลืมตัว


“ก็นะ...ผลัดมานานจนลืม”ผมบอก


“อืม ไม่น่าพูดถึง”อีกฝ่ายส่ายหน้า


“แต่มึงมีดีอยู่แล้วล่ะ”


“ก็แหงล่ะสิ”ไอ้สองพูดด้วยใบหน้าระรื่น


“เป็นเมียที่ดีจริงๆ”ผมบอกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ อีกฝ่ายจะได้จำให้ขึ้นใจ


“อืม เป็นผัวก็ดีด้วย”ไอ้สองหันมามองแล้วพูดต่อ ผมหลุดยิ้ม


“เหรอ เคยเป็นซะนาน จนลืม”ผมพูด อีกฝ่ายหันมาจดจ้องเหมือนเด็กอดได้ของเล่น


“หุ้ว คนอุตส่าห์จะผ่อนคลายเลย”ไอ้สองย่นคิ้วเข้ากัน ก่อนจะขยับตัวออกห่างผม


“ถึงได้ถามไง ว่าจะนวดกันดีไหม”ผมพูดยิ้มๆ ไอ้สองที่นอนเกลือกกลิ้งไปอีกทางเหลียวมามอง “ให้ผมนวดดีกว่า คราวนี้ไม่ใจลอยล่ะกัน”มันรีบบอกก่อนจะพยุงตัวลุกมานั่งแทน


“หึหึ มาใกล้ๆนี่”ผมกระดิกนิ้วเรียก


“มีอะไร พูดมาเลย”มันไม่ยอมมาใกล้ๆ ผมเอาแขนหนุนศีรษะมองอีกฝ่ายเงียบๆ


“มานวดสิ นวดจริงๆนะเว้ย ไม่ใช่ให้มานวดตูดกู”ผมบอกมัน อีกฝ่ายขยับมาหาด้วยท่าทีกระตือรือร้น ผมวางขาลงบนตักมัน อันที่จริงก็ไม่ได้เมื่อยหรือปวดอะไรหรอก แค่อยากหาเรื่องแกล้งมัน วันหยุดของเราจะได้มีสีสัน


ไอ้สองถอนหายใจ “เดี๋ยวรู้เลยว่าจะนวดขาหรือนวดตูด”มันเหลือบมองผมด้วยแววตาขบขัน ก่อนจะบีบๆกดๆลงที่ท่อนขา
ถึงจะบอกไม่ซีเรียสกับบทบาทบนเตียงก็เถอะ แต่ถ้ามีโอกาสล่ะก็ไอ้สองมันไม่พลาดหรอกนะ...ไม่เคยพลาด




-จบจ้า-


ตอนพิเศษนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหรือว่ารวมเล่ม เเต่งแยกออกมาอีกทีจ้า คิดถึงท็อปสองเลยแวะมาแต่งตอนสั้นๆแทน
ตอนหน้าจะลงตอนสั้นๆของยิมผิงบ้าง ไม่ก็ดีนไดอารี่ด้วย


ขอบคุณค่ะ


ป.ล ใครอยากไปพูดคุยกับเราหรือนิยายก็ไปฟอลโล่ทวิตเรากันได้เลย  @RindadaRinY
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ'(End) สั้นๆกับท็อปสอง 19.10.17 p.26
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-10-2017 09:56:38
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ'(End) สั้นๆกับท็อปสอง 19.10.17 p.26
เริ่มหัวข้อโดย: Sriwanan ที่ 22-10-2017 02:17:56
กว่าจะอ่านจบไม่ได้หลับได้นอน ชอบมากเลย ขอบคุณนะ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ'(End) สั้นๆกับท็อปสอง 19.10.17 p.26
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 28-10-2017 14:00:37
ขอบคุณครับ เนื้อเรื่องสนุกดีครับ
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ'(End) สั้นๆกับท็อปสอง 19.10.17 p.26
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 04-11-2017 11:07:56
Special >>>> สั้นๆกับยิม


หลายปีที่ผ่านมาผมเฝ้าตามผู้ชายคนนึงที่เป็นเหมือนทั้งเพื่อนและคนรู้ใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมเปิดใจรับผมเข้าจนได้ ผมไม่รู้หรอกว่าที่มันยอมใจอ่อนเป็นแฟนกับผมเพราะความเสมอต้นเสมอปลายของผมหรือว่าเพราะมันชอบผมจริงๆ
อันที่จริงผมก็สงสัยกับคำว่าชอบของไอ้ผิงอยู่เหมือนกันนะ มันเคยบอกว่าชอบผมไปแล้วครั้งหนึ่งแต่หลังจากนั้นมันดันเบรกความสัมพันธ์ของเราไว้ที่คนสนิท คนพิเศษที่ยังไม่ใช่แฟน คิดไปแล้วก็เจ็บใจเหมือนกัน ผมไม่ได้อยากทำตัวเป็นพระเอกเลยสักนิด ผมมันไม่ใช่พระเอกหรอก(ก็แหงล่ะ)


มาพูดถึงคนที่ผมเคยชอบมากๆ ไอ้สอง มันโทรมาหาผม ผมแปลกใจเพราะตั้งแต่กลับจากค่ายตอนปีสาม ผมกับมันก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ผมเป็นฝ่ายเลี่ยงเอง ไม่อยากเห็นหรือได้ยินเรื่องของมันกับท็อปเลย แต่มันก็ผ่านมาได้นั่นล่ะ ต้องขอบคุณไอ้ผิงที่อยู่เป็นเพื่อน(ซึ่งก็เป็นเพื่อนจริงๆนั่นแหละ)ในช่วงนั้น


“ว่าไง คิดยังไงถึงโทรมาวะ”ผมถามกับคนปลายสาย


“ก็อยากรู้ความเป็นไปไง มึงกับไอ้ผิงโอเคนะ”ผมคิดอยู่แล้วเชียวว่ามันต้องถามประเด็นนี้ มันอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ ตอนนี้มันคงมั่นใจแล้วว่าคุยกับผมในเวลานี้ได้


“ก็ดี ไม่มีอะไรมากหรอก เรื่อยๆ”ผมบอก ใช่...เรื่อยๆแบบโคตรเอื่อย ผมยังคิดหาวิธีให้ไอ้ผิงมันยอมแสดงออกมากกว่าที่เป็นอยู่ พอเป็นแฟนกันปุ๊บ ความที่มันเป็นผู้ชายแบบหยาบกร้าน แมนๆเตะบอล(ตามที่มันบอก)


วันๆวุ่นอยู่กับงานที่ร้านอาหารของครอบครัว บางวันก็หมกอยู่ในบ้านวาดรูปส่งขาย เลยไม่มีเวลามาทำตัวเหมือนแฟน ยกเว้นผมจะไปรอมันที่ร้านหลังเลิกงานแล้วไปค้างที่บ้านของผิง ก็แค่นอนด้วยกันเท่านั้น ทำได้แค่จับมือ อย่างอื่นเหมือนเป็นของต้องห้าม แน่นอนว่าผมต้องรู้สึกมากกว่าที่ไอ้ผิงรู้สึก มันคงรู้สึกเหมือนนอนกับหมอนข้างที่ไร้ตัวตน คิดแบบนี้ก็ออกจะตลก แต่มันก็จริง ช่วงที่ไปค้างบ้านไอ้ผิง ก็ได้แค่นั้น


“เหรอ น่าสงสารนะ อยากให้กูช่วยไหม”


“พูดเล่นหรือขำๆ”

“เอาจริงสิ กูหมั่นไส้มัน ทำเป็นเล่นตัว มีของดีอยู่แท้ๆนะ”ไอ้สองทำเสียงหงุดหงิดจนผมขำออกมา


“ถ้าจะช่วย ขอมันจริงเถอะ”


“เออสิ เรามาเจอกันหน่อยก็ดีนะ ไอ้ผิงไปร้านกาแฟที่ไหนบ่อยๆ เดี๋ยวกูไปรอที่นั่น”


“จะคุยที่นั่นเหรอ”


“อืม อยากเจอมึงด้วยนั่นแหละ เดี๋ยวไอ้ผิงมันก็เดินมาเห็นเองแหละ”


“มันจะได้ผลเหรอ แค่ให้มันมาเห็น”


“เอาน่า มาเจอกันก่อนแล้วจะบอกให้ฟัง...”ผมเลยตอบตกลง และบอกร้านกาแฟร้านโปรดของไอ้ผิงไป ร้านนี้กอยู่ละแวกเดียวกับร้านอาหารของที่บ้านผิงนั่นแหละ


@ร้านกาแฟ


หลังเลิกงานผมมาที่ร้านตามนัดของไอ้สอง เห็นว่าอีกฝ่ายมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ตอนแรกนึกว่าท็อปจะมาด้วยซะอีก มันโบกมือเรียกทันทีเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาร้าน


“ไง ไม่เจอตั้งนานดูดีขึ้นเยอะ”ไอ้สองทักก่อน แล้วมองหน้าผมด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนั้นพนักงานก็มารับออเดอร์ ไอ้สองมันสั่งขนมเค้กมาเพิ่ม ส่วนผมดื่มแค่ชาเย็นก็พอ


“หึ ทำเป็นพูดดี เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ตกลงนัดมาแค่นี้สินะ”ผมมองอีกฝ่ายที่กำลังก้มหน้ามองโทรศัพท์อยู่ มันเงยหน้าขึ้นมอง


“อืม ก็มาคุยกันธรรมดาๆนี่แหละน่า...มึงไม่รู้อะไร ไอ้ผิงมันก็มีแม่งๆในใจเรื่องของกูเหมือนกัน”มันพูดต่อทันทีไม่มีอ้อมค้อม


“อืม มันไม่เห็นเคยบอก”ผมพูด ตั้งแต่ตกลงเป็นแฟนกัน ไอ้ผิงก็ไม่เคยพูดหรือแสดงท่าทีว่าหึงหวงผมเท่าไหร่ โดยเฉพาะเรื่องไอ้สองมันผ่านมานานก็จริงแต่ไอ้ผิงไม่เคยพูดถึง


“มึงคิดว่ามันจะยอมบอกเหรอ ดูงี่เง่าไปอีกสิ”ผมผงกหัวเห็นด้วยแล้วเอ่ยถามมันต่อ “แล้วมึงเป็นยังไงบ้าง...”


“ก็ดีเหมือนเดิม แค่เพิ่มเติมมีงานทำแล้ว”ไอ้สองบอกสีหน้าผ่อนคลายขึ้น


“อืม”ผมตอบสั้นๆ อีกฝ่ายมองผมอยู่นานก่อนจะถอนหายใจ


“แล้วมึงไม่คิดจะทำแต้มอะไรให้มันบ้างเหรอ ถึงไอ้ผิงมันจะเป็นคนหยาบๆไม่อ่อนโยนแต่มันไม่เคยโดนจีบนะเว้ย มึงลองแหย็บๆมันสิวะ แบบพูดหวานๆเดี๋ยวมันก็เขินเอง”


“เหรอ...”ผมเลิกคิ้วอย่างไม่ปักใจเชื่อ ไอ้ผิงนอกจากจะไม่หวานแล้วมันยังปากแข็งอีกด้วย


“เคยลองหรือยัง มึงจะมาชักช้าไม่ได้นะ เดี๋ยวมันก็เผ่นไปอินเดียแล้ว ต้องตักตวงเยอะๆ เข้าใจไหม”ผมมองไอ้สองที่พูดอย่างจริงจัง จนสงสัยว่าไอ้สองมันคงอยากแกล้งเพื่อนมันมากกว่า


“พูดเหมือนทำง่าย”


“ก็กล้าๆหน่อยสิ ไม่ต้องทำเป็นเจนเทิลแมน อย่างไอ้ผิงมึงถ่อยใส่มัน มันอาจจะชอบก็ได้นะ แบบว่าเร้าใจดี”


“หึหึ มึงนี่ตลกเหมือนเดิม”ผมหัวเราะ จากนั้นไอ้สองก็เลื่อนสายตาไปทางด้านหลังผม


“นั่นไง มันมาแล้ว...ทำท่าปกติ”ไอ้สองกระซิบเสียงตื่นเต้น มันยิ้มก่อนจะหันไปโบกมือให้ไอ้ผิงที่เดินมาสั่งกาแฟที่เคาร์เตอร์ และต้องผ่านโต๊ะผมไปด้วย มันมองไอ้สองงงๆก่อนจะหันมาหาผม


“มาทำอะไรแถวนี้”ไอ้ผิงถามเสียงแคลงใจ


“กูแวะมาซื้อกาแฟ เจอไอ้สองพอดี”ผมบอกอีกฝ่าย ไอ้ผิงเหลือบมองไอ้สองแล้วพยักหน้าหงึกหงัก


“เออ เลยลากมันมาคุยด้วยก่อนนี่ไง ไม่ได้เจอนาน”ไอ้สองพูดกับผิงด้วยน้ำเสียงมีเลศนัยเพื่อยียวนมัน เจ้าตัวมองหน้าผมด้วยความสับสน ไอ้ผิงเกาจมูก


“มึงมาแถวนี้ด้วยเหรอ ที่ทำงานมึงอยู่อีกทางเลยนี่หว่า”ไอ้ผิงถามไอ้สองมันยังคงยืนจังก้าอยู่ข้างๆโต๊ะ


“อืม แวะมาตรวจงานแถวนี้น่ะ ...งั้นกูไปก่อนนะ มื้อนี้กูเลี้ยงนะ ยิม”ไอ้สองหันมาพดกับผม มันเก็บบิลไปจ่ายเงินเองจริงๆด้วย พอไอ้สองกลับไปแล้ว ไอ้ผิงเดินมานั่งข้างๆผม มันทำหน้าไม่เข้าใจ คิ้วขมวดเข้าหากันจนจะผูกโบว์ได้


“จะมาแถวนี้ก็ไม่เห็นบอก”ไอ้ผิงหันมาพูดกับผมนิ่งๆ ปกติผมจะไลน์บอกมันตลอดถ้าหากว่ามาแถวร้านอาหารของครอบครัวมัน ผมไหวไหล่


“ก็แค่แวะมาซื้อกาแฟแก้วเดียว แล้วไปหามึงต่อไง”ผมบอกก่อนจะยิ้มให้มัน ไอ้ผิงมองหน้าผมนิ่งๆก่อนจะย่นคิ้ว


“เหรอ...”มันพึมพำไม่เต็มเสียงเท่าไหร่


“คนเยอะหรือเปล่า”ผมถามถึงที่ร้านอาหาร ไอ้ผิงไหวไหล่ มันนั่งรอกาแฟที่สั่งแต่สายตามองเค้กที่ยังไม่แตะของไอ้สอง มันเอื้อมไปหยิบมาวางตรงหน้า


“ไม่เยอะ แน่นๆช่วงเย็นนู่น”มันบอก


“อืม”ผมส่งเสียงตอบรับสั้นๆเหมมือนเคย จากนั้นก็สอดส่องคนข้างๆที่ดูจะเงียบกว่าปกติ “ปิดร้านแล้วไปที่ไหนต่อไหมวะ”ผมชวนคุย ไอ้ผิงทำท่าคิดหนักก่อนจะหันมาจ้องหน้าผมแทน


“ไว้คิดดูอีกที”มันบอกก่อนจะตักเค้กใส่ปากอย่างไม่คิดอะไร


ผมกับไอ้ผิงนั่งเล่นที่ร้านกาแฟอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะกลับไปที่ร้านอาหารที่อยู่ในซอยถัดไป เพราะช่วงนี้ไอ้ผิงไม่ได้หางานทำเลยต้องมาช่วยงานพ่อแม่อยู่เป็นประจำ และก็เตรียมตัวไปเรียนต่อ ส่วนมากมันจะหาข้อมูลเรียนต่อ มันเปลี่ยนใจจากกรุงนิวเดลีเป็นเมืองพาราณาสีแทน มันเปรยๆว่ากรุงนิวเดลีค่าครองชีพสูง เลยเปลี่ยนใจ และกำลังหาเพื่อนเช่าหอด้วย


หลังจากช่วยพ่อแม่ไอ้ผิงเก็บร้านอาหารคนละนิดคนละหน่อย พ่อกับแม่ก็ให้ผมกับไอ้ผิงกลับบ้านได้เพราะไม่อยากรบกวน เย็นนี้
ผมยังคงไปทานข้าวบ้านไอ้ผิงตามเดิม ผมเลยชวนไอ้ผิงกลับด้วยกันเพราะพ่อกับแม่ยังต้องไปที่อื่นต่อ


“ตกลงว่าจะไปไหนกันดี”ผมเอ่ยถาม คนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ ไอ้ผิงที่กำลังสนใจโทรศัพท์ในมือ มันเงยหน้ามองผม


“อืม...ไปนั่งเล่นที่ริมสะพานดีไหม ตรงนั้นวิวดีนะ”ไอ้ผิงบอก ผมพยักหน้าก่อนจะขับรถไปยังสถานที่นั้น ริมแม่น้ำใต้สะพานเป็นสถานที่พักผ่อน สำหรับเดินเล่นหรือนักวิ่งก็ได้ อาจจะมีของกินเล็กน้อยๆมาเปิดขาย พอมาถึงที่ริมแม่น้ำในเวลานี้ผู้คนเริ่มบางตาเพราะว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว


“อยากกินไอติมแถวนี้พอดี”มันบอก ผมเดินตามหลังมันไป ไอติมที่ไอ้ผิงชอบเป็น ไอศกรีมกะทิธรรมดา ใส่ข้าวเหนียวกะทิกับถั่วเยอะๆมันยิ่งชอบ


จากนั้นก็ไปเดินเลนริมแม่น้ำ ฟ้าครึ้มฝนบรรยากาศอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า
“เหมือนฝนจะตกเลย”ไอ้ผิงหันมาพูด ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้เหล็กที่ตั้งไว้ข้างทางมีสนิมเกาะและสีลอกไปจนหมดแล้ว ผมนั่งลงข้างๆมัน


“นั่นสิ...ไม่ชอบหน้าฝนเลยว่ะ”ผมบอก เพราะมันเปียกเฉอะแฉะ เป็นบรรยากาศที่ไม่สงบสำหรับผม


“ปลายฝนต้นหนาว... อากาศแบบนี้ไปเที่ยวคงจะดี”


“อยากไปเหรอ”ผมถาม


“ถ้ามึงชวนกูก็ไปอยู่แล้ว”มันหันมายิ้ม


“อืม ไว้คิดดูอีกทีนะ”ผมบอก เพราะช่วงนี้ก็ไม่ว่างแถมพอกลับจากงานมาก็เหนื่อยไปหมด เลยพลอยไม่อยากออกไปไหนไกลๆด้วยเลย ไอ้ผิงพยักหน้ามันกินไอศกรีมกะทิหมดแล้ว


“นี่ยิม...”


“หืม...”

“มึงน้อยใจกูป่ะ”


“น้อยใจอะไร?”


“ที่กูไม่ค่อยหวานกับมึง เหมือนคนเป็นแฟนกันน่ะ”ไอ้ผิงพูด สายตามันจับจ้องอยู่ที่ผิวน้ำเบื้องหน้าอย่างจดจ่อ


“จะน้อยใจไปทำไม...กูรู้น่าว่ามึงเป็นคนยังไง”ผมบอก


“เหรอ กูรู้สึกผิดเหมือนกันนะ ไม่ค่อยดูแลมึงเท่าที่ควร”


“ดูแล?”ผมหันไปถามมันอย่างงงๆ มันหันมาจ้องหน้าผมด้วยความขัดใจ


“ก็ใช่ไง กูควรจะดูแลมึงบ้าง แบบไม่รู้สิ...ไอ้โยมันมาบ่นเรื่องมึงให้กูฟังด้วย”


“มึงก็ไปฟังมัน”ผมหัวเราะ ไอ้โยมันชอบมาวุ่นวายกับไอ้ผิงบ่อยๆ มันชอบมาสาธยายถึงการทำตัวเป็นแฟนที่ดีกับไอ้ผิง ผมคิดว่ามันแกล้งไอ้ผิงมากกว่า


“ก็มีส่วนถูกนะ...แต่กูก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงเหมือนกัน...มึงอยากได้อะไรหรือเปล่า”มันหันมาถามผม แววตาที่เคยแข็งกระด้างไม่อ่อนโยนตอนนี้มีความสั่นไหวขึ้นมา


“อืม ไม่ได้อยากได้อะไรหรอก...”


“อยากจับมือ กอด หรือจูบ เลือกเอา”ไอ้ผิงพูด ผมมองมันอย่างตั้งใจ สงสัยว่าใครไปดลใจให้มันฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้


“ไม่เลือกได้ไหมวะ กูก็อยากหมดแหละ”สิ้นคำพูดของผม ไอ้ผิงมันเงียบกริบก่อนจะมองผมด้วยสายตาคมกริบ


“มีช้อยส์แค่นั้นนะ ห้ามเกินเลยไปกว่านั้น”มันย้ำด้วยท่าทีประหม่า


“หึหึ มึงนี่ก็ตลกดีนะ”ผมยิ้มกับมัน เอื้อมไปดึงแขนให้มันขยับมานั่งใกล้ชิดมากขึ้น มันไม่ขัดขืน


“ก็น่าจะรู้ว่ากูทำแบบนี้แค่คนเดียวนะ โธ่เอ้ย”มันบ่นงึมงำให้ได้ยิน ก่อนจะเอื้อมมาจับมือข้างขวาที่อยู่ใกล้มือของมันที่สุด ผมมองอย่างแปลกใจ


“จำไว้นะ ที่กูยอมเป็นแฟนมึง ก็เพราะว่ากู...ชอบมึงจริงๆ ไม่ใช่เพราะสงสารหรืออะไร...กูเป็นคนแข็งๆ เหมือนกระดาษทรายหยาบๆแบบที่มึงว่านั่นแหละ”ไอ้ผิงพูดยังคงจับมือผมไม่ปล่อย สงสัยการเจอไอ้สองวันนี้ก็เข้าท่าดี


“อืม กูก็ไม่ได้หวังอะไรหรอก...แต่แสดงออกบ้างก็ดีนะ จะได้รู้ว่ารัก”ผมบอก ไอ้ผิงพยักหน้า


“ไอ้สองมันมากวนประสาทกู...แต่ก็ดี กูถึงคิดได้ตอนมันด่ากูนี่แหละ”มันพึมพำบอก ผมมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่สะอาดเกลี้ยงเกลา พักหลังๆมันหันมาดูแลตัวเองขึ้นเยอะ ก็เลยมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง


“ช่างเถอะ”ผมบอก อย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่ามันคิดยังไงบ้าง ไอ้ผิงปล่อยมือผมก่อนจะเหลียวมองรอบๆตัวท่าทางเลิ่กลั่ก ผมขำท่าทางของมัน เจ้าตัวยื่นหน้ามาใกล้ก่อนจะดึงผมเข้าไปจูบเบาๆเหมือนแมวดม


“อะไร...”ผมมองอีกฝ่ายที่รีบผละออกไปนั่งเหมือนเดิม


“เอ้า จูบไง...กูไม่ได้อ่อนนะ แต่กลัวมีคนมอง เลยเอาแบบใสๆไปก่อน”มันพูดเสียงดังกลบเกลื่อนความเขินอาย ผมยิ้มก่อนจะเหลียวมองรอบตัว แถวนี้ยังมีคนมาเดินเล่นอยู่


“งั้นถ้ากลับไปบ้าน มึงจะเอาแบบแอดวานซ์เลยใช่ไหม”ผมแกล้งแหย่มันไป ไอ้ผิงหันมามองตาเขม็ง “กูรู้มึงดีใจ หนอย คงได้ใจล่ะสิท่า”มันพูดงึมงำไม่กล้าสบตาผมเท่าไหร่ ผมเลยเข้าไปมองใกล้ๆให้ถนัดตา


“เออ ดีใจสิ”ผมบอก ไอ้ผิงเหลียวหน้ามาหา ก่อนจะยิ้มให้ผมบางๆแล้วก็ทำเป็นสนใจโทรศัพท์ในมือแทน จะว่าไปตอนไอ้ผิงเขินมันก็ดูตลกดี คนอย่างมันต้องเดินหน้าเข้าใส่จริงๆ

.
.


คืนนี้ผมก็มาค้างที่บ้านไอ้ผิงเหมือนเดิม การนอนเตียงเดียวกันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร มันกลับทำให้ผมเคยชินมากกว่า การมีคนนอนข้างๆ ตื่นเช้ามาเจอหน้ากันไอ้ผิง หลังจากอาบน้ำเสร็จเจ้าของเตียงก็เข้ามานอนด้วย คราวนี้มันต่างไปจากปกติเพราะไอ้ผิงมันดูเกร็งขึ้นมาเพราะผมดึงมันให้มานอนใกล้ๆ


“เป็นอะไร”ผมถามคนที่นอนอยู่ข้างๆ ไอ้ผิงหันมามองผมนิ่งๆ


“ปกติไม่ได้นอนใกล้ขนาดนี้”มันว่า ทุกทีจะนอนใครนอนมันมากกว่า ไม่ได้มานอนกอดหรือทำตัวสวีทอะไรแบบนั้น มันบอกไม่ชิน


“อืม ก็จะได้ชินไงวะ ทำบ่อยๆเดี๋ยวก็ชินไปเอง”ผมบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะถอนแว่นตาออก ในระยะแบบนี้ผมยังคงมองเห็นใบหน้าของคนข้างๆได้ชัด ไอ้ผิงเม้มปากก่อนจะรับแว่นตาไปวางไว้ที่โต๊ะตั้งโคมไฟ


“อย่าลามปามนะ”มันบอกก่อนจะขยับมานอนแนบชิดกับผมมากขึ้น ผมหัวเราะชอบใจ


“รู้น่า ผิง”ผมบอก แล้วมองอีกฝ่ายที่กำลังหลับตาลง ผมเอาแขนเข้าไปพาดเอวมันไว้ คอยสังเกตท่าทีของมัน ไอ้ผิงทำคิ้วย่น มันลืมตามองผม “กอดแฟนไม่ได้เหรอ”


“ก็...ไม่ได้ว่าอะไรนี่”มันพึมพำ มองผมไม่ละสายตาไปไหน จนเป็นผมซะอีกที่ทำตัวไม่ถูก อยู่ๆก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา


“อยากกู๊ดไนท์คิสเหรอ”พอพูดจบไอ้ผิงก็ชกใส่ไหล่ผมเบาๆซะอย่างนั้น “มึงมาแปลกนะวันนี้”


“ทำไมล่ะ กูก็ต้องขอเก็บเกี่ยวไว้บ้าง เดี๋ยวก็จะหนีกูไปแล้วนี่”ผมพูด ไอ้ผิงมองผมตาค้าง มันย่นจมูก


“เหอะ อ่ะๆ วันนี้กูใจดี จัดให้คืนหนึ่ง”มันทำเป็นปากดีก่อนจะเลื่อนหน้ามาใกล้ๆจนสัมผัสไดถึงลมหายใจอุ่นๆ แต่มันดูเหมือนลังเลไม่กล้าจูบจริงๆจังๆ ผมเลยยื่นหน้าไปจูบมันเอง ต่างจากที่มันจูบผมเมื่อเย็นหรือแม้แต่ตอนจูบแรกของมันในตอนนั้น ผมเลื่อนมือไปตามลำคอและกลุ่มเส้นผมนุ่มๆนั่น พยายามเกาะเกี่ยวลิ้นของอีกฝ่าย ไอ้ผิงมันก็ไม่ได้ไก่อ่อนอะไร มันจูบตอบผมแบบไม่ได้เร่งเร้าอะไร


“เฮือก พอล่ะ”ไอ้ผิงมันถอนปากออกไปก่อน แล้วหายใจแรงๆกอบโกยอากาศหายใจ มันนอนนิ่งก่อนจะขยับเข้ามานอนหนุนแขนผมต่อ


“กูชอบมึงนะ...”


“อือ กูรู้ กูก็รู้สึกเหมือนกันแหละ”


“อาจจะกลายเป็นรักไปแล้วก็ได้”ผมบอกความในใจไปอีกรอบ ไอ้ผิงผงกศีรษะ คราวนี้มันกัดเข้าที่เสื้อของผม มันพอดีกับบริเวณหน้าอกผมเต็มๆ “โอ้ย เจ็บนะผิง”


“เออ เกลียดมึงจริงๆ ไม่ต้องพูดแล้ว จะหลับ”ไอ้ผิงย่นคิ้ว โวยวายกลบเกลื่อน เห็นว่ามันหูแดงไปด้วยเลือดสูบฉีด ผมยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ


“งั้น...เกลียดกูไปเยอะๆเลย”ผมบอก ไอ้ผิงเหลือบมอง “อย่าคิดมากล่ะ มึงเป็นนัมเบอร์วันของกูอยู่แล้ว”ไอ้ผิงพูดอีกรอบ มันย้ำจนผมยิ้มกริ่ม “อืม เข้าใจน่า”ผมบอก


“กู๊ดไนท์นะ”ไอ้ผิงพูดแล้วรีบหลับตาลง “อืม กู๊ดไนท์”ผมบอกกลับไป นี่ก็กลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำเป็นประจำไปแล้ว


-จบ-

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ'(End) สั้นๆกับยิม 4.11.17 p.26
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 06-11-2017 09:13:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' (End) p.26
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 20-11-2017 17:52:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' (End) p.26
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 31-12-2017 21:41:25
+++ Happy New Year 2018

Special: Deen diary

.

.


Gan-ปีใหม่นี้ทำอะไร


ผมมองข้อความนี้ด้วยใจว่างเปล่า นึกถึงคนเป็นแม่ที่ตอนนี้กำลังไปเที่ยวอยู่ที่นอร์เวย์ แต่ผมเลือกที่จะไม่ไปกับแม่เพราะไม่อยากไปเจอกับคนนอกที่ไปกับแม่ มันนานมากแล้วที่ครอบครัวของผมไม่ได้ใส่ใจกัน ผมนั่งดื่มเบียร์กระป๋องอยู่ที่นอกระเบียงห้อง เตรียมไฟเย็นไว้ให้ตัวเองแล้ว อยู่คนเดียวทำให้ผมสงบ

Deen-ไม่ได้ทำอะไร อยู่ห้อง


ผมตอบกลับไปตามปกติ แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของเดือนธันวาคมก็ตาม แต่ผมก็ไม่ได้ออกไปรื่นเริงกับเพื่อนๆ หรือแม้แต่พี่ๆที่ทำงาน ผมแค่ไม่อยากออกไปไหน อยากอยู่ในห้องเงียบๆคนเดียวก็เท่านั้น


Gan- ดีน ไปเคาท์ดาวน์ด้วยกันไหม?


ผมชะงักไปเมื่อเห็นข้อความนี้ของอีกฝ่าย ผมเงียบ จ้องมองข้อความด้วยใจลังเล ในหัวคิดหาข้ออ้างมากมายอย่างที่เคยเป็น พี่สรเองก็ชวนผมไปเคาท์ดาวน์ด้วยเช่นกัน รายนั้นผมปฏิเสธไปแล้ว


Deen-ที่ไหนล่ะ


Gan-งานในเมืองไง มีคอนเสิร์ต

Deen-มึงไม่กลับบ้านเหรอ?


ผมพิมพ์ตอบกลับไป เพราะช่วงนี้มันกลับไปอยู่กับครอบครัวในย่านตัวเมือง ที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงกิโลฯ ทำให้ผมเหมือนได้กลับมาสู่โลกส่วนตัวอีกครั้ง

Gan-กลับดิ แต่ไม่ใช่ตอนนี้

Deen-เหรอ

Gan-ไปด้วยกันดิ


ผมจ้องข้อความเชิญชวนนั้น ยกเบียร์ขึ้นดื่มไปหลายอึกก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปไม่นานนัก


Deen-...อืม มึงอยู่ไหน

Gan-บ้าน

Deen-อ้อ


ผมหมดเรื่องคุย เลยเข้าไปส่องหน้าฟีดเฟซบุคของตัวเองไปเรื่อยๆ ส่วนมากเจอแต่สเตตัสสนุกสนานนับถอยหลังปี 2018

Gan-ทำไร

Deen-เมา

Gan-ตลกล่ะ

Deen-กินเบียร์

Gan-คนเดียว?

Deen-เออจะให้ดื่มกับใคร

Gan-ไม่ชวนกู ตลอดเลยนะ ไงก็ดูปลาให้กูด้วยนะ


ผมนิ่ง วางกระป๋องเบียร์ลงกับพื้น นั่นน่ะสิ หนึ่งภารกิจของผมไง คอยดูแลปลาให้ไอ้แกนเวลาที่มันไม่อยู่ห้องหลายวันติดต่อกัน จะว่าภาระก็ไม่เชิง เพราะผมรับกุญแจมันมาแล้ว แต่นอกจากอาหารปลาผมไม่ได้อยู่ในห้องของมันนานนักหรอก

Deen-....เออ

Gan- ห้าทุ่มไปรับนะ รออยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์เลย เดี๋ยวกูรีบไป


ผมอ่านข้อความ ก่อนจะจรดนิ้วเตรียมพิมพ์ตอบกลับไปสั้นๆว่า ไม่ต้องรีบหรอก แต่ก็ต้องหยุดไป...เรื่องของไอ้แกนเถอะ
ผมลุกขึ้นยืน เปิดประตูระเบียงแล้วเดินเข้ามาในห้อง อาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่น ในใจก็กำลังชั่งระหว่างจะออกไปกับมันดีหรือไม่ ‘ไหนๆก็ไหนๆ’ผมคิด


จากนั้นก็แต่งตัวในชุดลำลองง่ายๆ กางเกงยีนส์กับเสื้อแขนยาว อากาศหนาวไม่เบาสำหรับปีใหม่นี้ ผมชอบฤดูหนาว แม้ว่าระยะเวลาจะสั้นลงไปเรื่อยๆ


ผ่านไปไม่นาน ไอ้แกนก็มารับผม ครั้งนี้มันขับรถมอเตอร์ไซด์เช่นเดิม ผมรับหมวกกันน็อกมาจากอีกฝ่าย ไอ้แกนก็ยังคงรวบผมไว้ มันรักษาให้ผมไม่ยาวเกินไหล่


“รอนานไหม”มันถาม ขณะที่ผมขึ้นไปซ้อนหลังอีกฝ่าย ผมส่งเสียงอือไปเบาๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร มันเหลียวมองผมก่อนจะยกยิ้มอยู่คนเดียว


ไอ้แกนพาผมไปงานคอนเสิร์ตในเมือง ในงานมีทั้งโซนของกินและร้านค้า มีคอนเสิร์ตเวทีใหญ่ไว้สำหรับนับถอยหลังเคาท์ดาวน์ มีโชว์แสงสีเสียงด้วย คล้ายกับปีที่ผ่านมา


มาคิดดูอีกทีผมกำลังจะเคาท์ดาวน์กับไอ้แกนเนี่ยนะ ตลกเป็นบ้า ผมไม่ได้ถามเพื่อนคนอื่นๆว่าไปฉลองกันที่ไหนบ้าง ขึ้นเหนือไปซะส่วนใหญ่


“อยากกินไรบอกได้นะ เดี๋ยวเลี้ยง”ไอ้แกนบอกหลังจากที่หาที่จอดรถได้แล้ว ผมมองมันก่อนไหวไหล่ อากาศหนาวเย็นพอสมควร ท้องฟ้าก็ดูอึมครึมมีเมฆก้อนโตเหมือนฝนจะตกลงมา


“กูเอาเงินมาน่า”ผมบอกปัด ไอ้แกนหัวเราะเดินตีคู่มาหาผม มันยิ้ม เดี๋ยวชักเห็นมันยิ้มบ่อยกว่าตัวผมอีก ทั้งๆที่เมื่อก่อนไอ้แกนก็ไม่ใช่พวกยิ้มเรี่ยราดแบบนี้ ออกจะขรึมๆ


“อยากเลี้ยงไง...ปีใหม่ทั้งที”มันบอก


“อือ เรื่องของมึงเถอะ แวะซื้อของกิน แล้วไปดูคอนเสิร์ตไหม”ผมชวนคุย อีกฝ่ายพยักหน้าหยุดอยู่ที่ร้านขนมเบื้อง ผมคิดว่ามันชอบกินอะไรแบบนี้เสมอ เวลาไปงานเทศกาล ถ้าไม่ใช่สายไหม ขนมถังแตก ก็เป็นขนมเบื้อง หวานๆเลี่ยนๆ


“ชอบเหรอ”ผมถามไปแบบนั้นฆ่าเวลาที่ยืนรอมันจ่ายเงิน ไอ้แกนมองผมก่อนจะพยักหน้า จ่ายเงินเสร็จมันก็เดินมาใกล้ “เออ ชอบ”มันว่า ผมมองมันอีกครั้ง เพราะมันทำสายตาแปลกๆมองผม


“ปีที่แล้วเคาท์ดาวน์ที่ไหน”ผมเปลี่ยนเรื่องบ้าง


“ก็เหมือนเดิม อยู่กับที่บ้าน ไปเที่ยวที่เลย”ไอ้แกนเล่า ผมผงกหัวรับรู้ไปด้วย มันยื่นขนมมาแบ่งผม


“เหรอ ทำไมปีนี้ไม่ไปที่อื่นล่ะ”


“ไม่อยากไปรถติด กูก็ไม่อยากไปไหนด้วย อยู่บ้านก็สะดวกดี ใช่ว่าจะไม่มีที่ให้เที่ยว”มันพูด


“อืม”


“แล้วมึงล่ะ อย่าบอกนะปีก่อนๆก็อยู่คนเดียวแบบนี้”มันทำเสียงเหลือเชื่อ ผมหัวเราะในใจ


“เปล่า เพื่อนบ้าง คนอื่นบ้าง”


“คนอื่น? เมื่อก่อนมึงมีคนคุยเยอะนี่หว่า หายไปไหนหมดแล้ว”


“...ถ้ามันไม่ใช่ ก็แยกย้าย ทางใครทางมัน”ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจอะไร ไอ้แกนส่งเสียงหึหะมาให้


“มีคนบอกว่ามึงเจ้าชู้ แต่ก็ว่าไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย เหมือนคนเหงาๆมากกว่านะ”มันทำเป็นรู้ดีเรื่องของผมอีกแล้ว อีกฝ่ายเหลียวมองผมอยู่ตลอด


“ก็ทำนองนั้น แต่กูไม่คิดว่าตัวเองเจ้าชู้หรอก ไม่เคยคบซ้อน”ผมบอกไปตามตรง ตราบใดที่ยังไม่ใช่สถานะแฟน ผมก็ไม่คุยกับคนอื่นหรอก


หลังจากนั้นผมกับไอ้แกนก็เดินซื้อของจนทั่วงาน ผมกับมันจึงมาหยุดอยู่ที่คอนเสิร์ตใหญ่ของงานแทน ตอนนี้คนเริ่มเข้ามาเยอะขึ้นเรื่อยๆเพราะเวลาเริ่มขยับใกล้เที่ยงคืนเข้าไปทุกทีแล้ว

ผมฟังพิธีกรบนเวทีไปอย่างไม่เข้าหู แต่มองเห็นนาฬิกาดิจิตอลจากทางด้านหลังเวทีกำลังเริ่มขยับไปเรื่อยๆ  ตอนนี้ 23:40 นาทีแล้ว ไอ้แกนอยู่ข้างๆผม

สิ้นปีแล้ว ผมมีเวลาคิดย้อนเรื่องของตัวเองอยู่ตลอด ทำให้ผมคิดอยู่เสมอว่า ไอ้แกนมันกำลังจะก้าวข้ามอะไรบางอย่าง แต่ผมก็ไม่อยากยอมรับซะทีเดียวหรอก


“ไม่มีคนให้มาด้วยเหรอ”ผมถามมันออกไป อยากรู้ว่ามันมีแฟนแล้วเหรอยัง เห็นว่าทำตัวว่างเปล่า คอยตามติดผมซะส่วนมาก ผมไม่รู้ว่ามันคบผู้หญิงหรือผู้ชายมาก่อน แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดให้ถูกน่ะ...


“...ไม่มีหรอก ชวนมึงมาไม่ได้หรือไง”ไอ้แกนหันมาพูดกับผม นัยน์ตาสีดำวาวขึ้นเหมือนจะโกรธ ผมไม่สนใจ
ตอนนี้ฝูงชนที่อยู่ในลานคอนเสิร์ตส่วนมากมาเป็นคู่ ไม่ก็เป็นกลุ่มแต่ก็ยังมีคู่ของตัวเองซะส่วนใหญ่ ไม่ก็มากันเป็นครอบครัว ไอ้แกนตีมึน มันมองไปรอบๆตัว ก่อนจะหันมายิ้มกับผม ทำไขสือ


เหมือนรอคอยเวลามานาน ช่วงเวลาที่เริ่มนับถอยหลังเคาท์ดาวน์ ไอ้แกนมันสะกิดแขนผม เสียงพิธีกรบนเวทีกำลังประกาศก้อง รับกับปีใหม่

5

4

ผมมองมัน เสียงคนรอบข้างพูดคุยกันเสียงดังปนเปไปหมดแต่ไม่มีใครว่ากล่าว ในเวลานี้ทุกคนกำลังมีความสุข สนุกสนานกับวินาทีต่อไปนี้

3

2

1

!!


มันเหมือนทุกอย่างตกอยู่ในภาพสโลโมชั่น เหมือนหูผมไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีกต่อไปเมื่อผมเห็นว่าไอ้แกนมันกำลังขยับปากพูดอะไร ทันทีที่สิ้นเสียงของการนับถอยหลัง เสียงพลุปะทุดังขึ้นติดต่อกัน พร้อมกับบนท้องฟ้าสีดำสลับฟ้าสว่างวาบไปด้วยไฟสีแดง สีเงิน สีเหลือง เป็นแสงสีบนท้องฟ้า พลุรูปร่างต่างๆกำลังแตกตัวอย่างอลังการ หลายคนยกโทรศัพท์เก็บโมเม้นต์บนท้องฟ้ากัน

“มึงพูดอะไรนะ”ผมถามออกไปแบบนั้น แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไรบ้าง ผมอ่านปากของมันได้ทัน ไอ้แกนยิ้ม มันไม่ตอบคำถามผม แต่แค่กางแขนออกมากอดคอผมกระโดดโลกเต้นไปกับจังหวะเพลงที่กำลังกระหน่ำรับปีใหม่ หมดการจุดพลุไปแล้ว ทำให้บนเวทีกลับมาครื้นเครงอีกครั้ง วงดนตรีกำลังเล่นเพลงจังหวะสนุก


‘อย่าหายไปไหนนะ’ไอ้แกนมันพูดประโยคนี้ ...พูดกับผม...


ค่ำคืนที่ควรจะอยู่อย่างเหงาหงอยเหมือนอย่างเคย แต่กลับมีสีสันขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยผมก็ดีใจที่ไอ้แกนเอ่ยปากชวนผมออกมาข้างนอกแบบนี้ ผมควรจะตอบกลับไปว่าอะไร ควรตอบไปดีไหม?


“ขอบคุณนะเว้ย”ผมหันไปพูดกับมัน ไอ้แกนที่โยกหัวตามจังหวะเพลงหันมาหาผม แววตาสีดำของมันดูประหลาดใจ จากนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นยินดี ประกายของความดีใจ อาจเป็นความหวัง?ของคนอย่างมัน


“มึงว่าอะไรนะ ไม่ได้ยิน”ไอ้แกนยื่นหน้ามาถาม ผมถอนหายใจพรืดใหญ่ มันกำลังกวนประสาทผมอยู่สินะ ผมไม่ตอบอะไร ไอ้แกนก็ย้ำวนถามซ้ำๆอยู่ได้


“บอกว่าขอบคุณไง ได้ยินชัดยัง”ผมตะโกนใส่หูมันห้วนๆ ไอ้แกนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม มันชวนผมเต้นไปกับเพลง แต่ผมก็แค่โยกศีรษะตามก็เท่านั้น

.

.
.

วันต่อมา


ผมยังคงนอนอยู่บนเตียง เมื่อคืนวานผมไปสนุกสนานกับไอ้แกน ทุกครั้งที่ผมไม่สบายใจ ผมจะเมลล์ไปหาพี่กัส บอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รู้ นานๆครั้งที่เจ้าตัวจะโทรมาหาผมเอง ส่วนมากจะติดต่อผ่านเมลล์เท่านั้น ส่วนเฟซบุคหรือไลน์ พี่กัสไม่มี ไม่ก็เพราะไม่สะดวกจะให้คนนอกแบบผม แต่ผมก็ไม่เคยก้าวก่ายอะไรพี่กัส


‘พี่กัสครับ ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง แต่ที่รู้ๆคือผมกับไอ้แกนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ผมแค่อยากแกล้งโง่ต่อไป พี่ก็รู้ใช่ไหมว่ามันรู้สึกยังไง เฮ้อ นี่ถ้าพี่อยู่ด้วยล่ะก็ ผมคงชวนพี่ออกไปเมาด้วยกันแล้ว’ พิมพ์จบก็กดส่งเมลล์ออกไป
จากนั้นก็นอนแผ่บนเตียง จ้องมองเพดานที่ว่างเปล่า ส่วนไอ้แกนกลับไปอยู่กับที่บ้านของมัน ผมก็แค่ดูแลปลาอยู่ที่ห้องเช่นเคย และแล้วผมก็นึกถึงคำพูดของมัน ‘อย่าหายไปไหน’ เพราะว่าเมื่อเดือนที่แล้วพี่สรผู้ชื่นชอบงานสังสรรค์ออกปากแนะนำงานใหม่ให้ผม แต่ว่าผมต้องย้ายหอพักใหม่


ติดอยู่อย่างเดียวผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงซักเท่าไหร่ ผมขอเวลาคิดและเอาไปปรึกษากับไอ้แกน ซึ่งมันก็แนะนำผมแบบเป็นกลาง มันขึ้นอยู่กับผมที่เป็นคนตัดสินใจ

Gan-ทำไรอยู่

Deen -นอน

Gan-ออกไปข้างนอกบ้างสิ

Deen-ก็ออกไง แต่นี่มืดแล้ว

Gan-ปีใหม่แล้วนะเว้ย ไปทำอะไรใหม่ๆบ้างสิ

Deen-อือ

Gan-นี่พูดจริงนะ

Deen-ทำอะไรล่ะ

Gan-ถ้าเสนอ จะไปไหม


ผมมองข้อความนี้อยู่นาน พลางคิดทบทวนไปด้วย ไอ้แกนมันจะชวนผมออกไปไหนอีก

Deen-ลองบอกมาดิ

มันไม่พิมพ์ตอบกลับมา แต่กลับโทรผ่านไลน์มาแทน ผมกดรับสาย

“ไปลานศิลปินกัน”คนปลายสายเปิดการสนทนาทันที ผมขมวดคิ้วแปลกใจเพราะไม่เคยได้ยินชื่องานเลย

“มีงานเหรอ”


“อือ เดี๋ยวกูเข้าไปรับนะ”ไอ้แกนบอก ได้ยินเสียงกุกกักอยู่ในสายตลอด

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ”ผมตกใจ ไม่คิดว่ามันจะตกลงโดยไม่คิดแบบนี้


“ทำไมวะ แค่ไปกับกู”


“เออๆ สองทุ่มค่อยมานะ”ผมตอบตกลงไปจนได้ เอาเถอะ มีไอ้แกนอยู่ในชีวิตไม่ถือว่าเลวร้ายนักหรอก


........................................................@ลานศิลป์


ที่นี่มีงานจัดแสดงประยุกต์ศิลป์ พวกงานฝีมือ คล้ายกับเป็นลานสำหรับออกร้านขายของเป็นบู้ท บริเวณใจกลางสวนจะมีลานสำหรับเพ้นท์รูปสด ลานนี้ก่อนหน้านั้นยังเป็นลานเล่นสเก็ตบอร์ด


ไอ้แกนมันพาผมมาที่ลานเพ้นท์ เราต้องซื้อเฟรมผ้าใบ ขนาด 50x70 cm เป็นขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป เหมาะสำหรับนำไปแขวนบนผนังบ้านได้ จากนั้นก็ลงชื่อเข้าร่วมโครงการ เมื่อเพ้นท์รูปเสร็จก็จะนำไปประมูลต่อเงินที่ได้จะนำไปบริจาคให้แก่มูลนิธิเพื่อเด็กพิการในจังหวัดต่อไป


“วาดด้วยกัน”ไอ้แกนชวน หลังจากที่ซื้อเฟรมผ้าใบมาแล้ว ผมพยักหน้าไม่ปฏิเสธ เพราะวาดคนเดียวคงใช้เวลานานเกินไป ดูเหมือนว่ามันจะเตรียมตัวมาดีเพราะมันเอาพู่กันและสีโปสเตอร์มาเองเลย ลานเพ้นท์มีไฟสีสว่างไม่เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น


“วาดอะไรดี”ผมถาม


“ง่ายๆ ภาพทิวทัศน์ไง”ไอ้แกนหันมาพูด ระหว่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าเฟรมบนขาตั้งไม้ มันกำลังลงพื้นหลังอยู่ ระหว่างนั้นมันก็เอ่ยขึ้นมาเหมือนชวนคุยเรื่อยๆ


“เราไม่เคยทำงานด้วยกันเลยนะ”


“หึ ตอนนี้ก็มีโอกาสแล้วนี่ไง”ผมบอก ตามองข้อมือของมันที่กำลังสะบัดพลิ้วไล่แปรงพู่กันไปตามแผ่นผ้าใบ


“เออ ดีใจนะที่มา”มันหันมายิ้ม


“ก็ถือว่ามาเปิดหูเปิดตานั่นแหละ”ผมไหวไหล่ เหลียวมองคนอื่นๆที่เดินวนเวียนมาใกล้ๆเพื่อถ่ายรูปและยืนมองพวกผู้เข้าร่วมกิจกรรมลงสีบนเฟรมอย่างสนใจ เมื่อพื้นหลังแห้ง ผมก็มาลงรายละเอียดต่อ มันยืนมองผมจากด้านหลัง


“มาช่วยกูลงสีก็ได้นะ จะได้เสร็จไวๆ”ผมบอก ไอ้แกนขยับมาใกล้ๆ พยายามมองภาพที่ผมเพิ่งลงสีไป ภาพวิวที่ผมเลือกใช้คือทุ่งหญ้าสีส้มปนเขียวกับเทือกเขาสีฟ้า งานนี้เน้นที่รายละเอียดของดอกหญ้าและทิวเขามากกว่าจะเป็นทิวทัศน์แบบมุมกว้าง ไอ้แกนหยิบพู่กัน และผสมสีในถาดเอง มันเหมือนจะยิ้มอยู่ตลอดเวลาจนผมหงุดหงิดในใจ การลงสีใช้เวลาเกือบ20นาทีกว่าภาพจะออกมาเสร็จสมบูรณ์ ในภาพผมกับไอ้แกนเซ็นชื่อกำกับลงไปด้วยเพื่อเป็นเครดิต ผมกับมันเก็บของจนเสร็จและไปเซ็นชื่อส่งผลงานจนเสร็จสิ้นกระบวนการ


ไอ้แกนเดินไปดูของแฮนด์เมดในลานข้างๆ ส่วนมากเป็นของที่สามารถใช้ได้จริง โคมไฟดวงเล็ก ถุงผ้า ของที่ระลึกต่างๆ ระหว่างนั้นมีเสียงเรียกดังขึ้น


“ดีน”เป็นเสียงเรียกที่ผมจำได้ดีและไม่มีวันลืม


“พี่กัส”ผมหันไปมองยังต้นเสียงด้วยความตกใจ ไม่คิดว่ามาเจอกับเจ้าตัวในเวลานี้ ตอนนี้เลย ผมงง เดินไปหาพี่กัสที่ยืนอยู่ในบู้ทขายของคาดว่าคงเป็นของจากแกลลอลี่ที่หุ้นกับเพื่อน เอามาออกขายในงานนี้ ที่ด้านในร้านมีพี่ตองยืนอยู่อีกคนด้วย


“ไง...”พี่กัสยิ้ม โบกมือเรียก ผมกับไอ้แกนเดินเข้าไปหาที่ด้านในร้าน


“มาไทยแล้วทำไมไม่บอกกันบ้าง”ผมถาม รู้สึกเหมือนไม่มีความสำคัญขึ้นมาทันที พี่กัสมองผม “ก็กะมาเซอร์ไพร์ไง”


“ใจร้ายจริงๆ”ผมว่า พี่กัสยิ้มขำก่อนจะเหลือบมองไปที่ไอ้แกนบ้าง ผมเลยได้โอกาสแนะนำมันกับพี่กัส รู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าตัวก็รู้จักมันอยู่แล้ว


“หวัดดีครับ ได้เจอตัวเป็นๆซะที”ไอ้แกนเอ่ยกับพี่กัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ผมเหลือบมองมันนิ่งๆ ไม่คิดว่ามันจะกล้าพูดกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกแบบนี้


“อืม พี่ได้ยินเรื่องมาบ้างนะ แล้วสบายนะ”พี่กัสเหมือนไม่ใส่ใจไอ้แกน


“ก็สบายดีครับ”มันตอบ ผมหันไปมองพี่ตองบ้าง อีกฝ่ายแค่ไหวไหล่


“พี่มานานแล้วหรือยัง”ผมถาม พี่กัสมอง “เมื่อสองวันที่แล้วเอง มีธุระที่ไทยพอดีเลยได้ที เอาของมาลงที่งานนี้เลย”พี่กัสบอก แล้วชวนให้ผมกับไอ้แกนไปนั่งเก้าอี้ที่หลังร้านแทน ส่วนเจ้าตัวกับพี่ตองก็คอยอธิบายสินค้าให้ลูกค้าที่เข้ามาถามพอดี ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นไปแบบนั้นเหมือนคนไม่มีอะไรทำ


“เป็นอะไร”ไอ้แกนถาม มันนั่งอยู่ทางซ้ายมือของผม


“เปล่า แค่เบื่อๆ”ผมบอก ไม่ได้มองมัน มองพี่กัสที่กำลังหยิบโคมไฟแบบตั้งโต๊ะ คล้ายกับไข่ขนาดใหญ่ ถูกแกะสลักลายไว้เป็นสีขาว


“นึกว่าจะดีใจซะอีกที่เจอพี่กัสของมึง”ไอ้แกนพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนแดกดัน


“อืม ก็ดีใจ แต่มันก็เท่านั้นแหละ มึงดูสิ กูก็นั่งอยู่ตรงนี้”ผมพึมพำ เข้าใจเรื่องทุกอย่าง ผมเคยคาดหวังแต่พอมาทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง ผมก็เป็นแค่คนๆหนึ่งของพี่กัสเท่านั้น


“เลิกทำหน้าซักกะตายเหอะ ขัดลูกตา”ไอ้แกนบ่น ก่อนจะกระแทกหมัดลงมาที่ไหล่ของผมแบบไม่เต็มแรง ผมไม่เจ็บอะไรมาก แต่มันทำให้ผมได้สติ


“หึ”ผมยิ้ม แค่นั่งมองคนที่เดินผ่านไปมา “ปีใหม่แล้ว เริ่มอะไรใหม่ๆดีกว่า”ไอ้แกนพูด ผมฟังและคิดตาม

ก็ใช่...ตอนนี้ปีใหม่แล้ว เข้าสู่ปี 2018 แล้ว ตอนนี้ผมก็เริ่มต้นใหม่แล้ว


“อือ ก็ไม่ใช่ว่ากูไม่เริ่มต้นใหม่ไม่ใช่เหรอ”ผมพูด มองไอ้แกนที่ไร้รอยยิ้มแต่แววตาของมันเป็นประกาย


“แล้ว...”


“กู....คงไม่ย้ายไปไหนหรอก ถึงงานจะไม่ใช่ของถนัด แต่ก็เรียนรู้อะไรใหม่ๆเยอะเลย แล้วกูเคยชินบรรยากาศเดิมๆไปแล้ว”ผมบอกมัน


“อือ เข้าใจแล้ว”ไอ้แกนตอบกลับมา ผมนิ่ง ไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามัน ‘เข้าใจ’สำหรับเรื่องใด แต่ก็ยิ้มออก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงช่วงเรียนด้วยกัน มาจนตอนนี้ ผมรู้สึกขอบคุณไอ้แกน ถ้าหากว่ามันไม่คิดจะตามมาขอโทษผมล่ะก็ ผมจะเป็นยังไง เป็นไอ้ดีนที่จมปลักไม่ยอมก้าวเดินต่อไปได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็คงไม่ใช่ไอ้ดีนคนปัจจุบันนี้แน่ๆ


“ไปที่อื่นกันไหม”ผมชวน


“เออ ไปไหนล่ะ”ไอ้แกนถาม ผมมองมันอย่างเต็มตา ไม่รู้เหมือนกัน


“เดี๋ยวก็คิดออก”ผมบอก แล้วลุกขึ้นยืน เดินไปหาพี่กัสที่กำลังจัดของในบู้ทเพิ่ม


ผมบอกลาเจ้าตัวอีกครั้ง อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะเข้ามากอดผมแน่นๆ “เมลล์มาได้เสมอนะ... พี่อ่านตลอด อ้อ แล้วเมลล์ล่าสุดนั่น...ดีนมีคำตอบหรือยัง”พี่กัสพูดขึ้นมา ผมนิ่งไป เหลือบมองไอ้แกนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ท่าทางเหมือนสนใจเรื่องที่กำลังคุย


“...พี่ก็ถามแปลกๆ ผมไม่รู้อนาคตหรอก”ผมบอกยิ้มๆ พี่กัสผงกหัวตาม “อย่าคิดมากเรื่องพี่นะ มึงยังเป็นน้องของกูเสมอ”พี่กัสบอก ผมพยักหน้าก่อนจะโบกมือลาพี่กัสและพี่ตอง ไอ้แกนเดินตามหลังผมมาช้าๆ มันเหลียวมองพี่กัสด้วยสายตางงๆ


“ดูเป็นพี่ที่ดีนะ”ไอ้แกนพูดกับผม

“แหงล่ะ”


“แล้ว...ไปไหนต่อดี”ไอ้แกนเดินตีคู่มาก่อนจะยกแขนกอดคอผม มันกล้ามาตั้งแต่งานเคาท์ดาวน์แล้ว คงเห็นผมไม่ว่าก็ยิ่งได้ใจล่ะมั้ง ผมตีหน้านิ่ง


“มึงนี่ ชักจะลามปามนะ”ผมว่า เอี้ยวตัวหลบออกจากท่อนแขนของมัน แต่ไอ้แกนกลับรัดคอผมแน่นเข้าไปอีก


“น่า ดีกันทั้งที แค่นี้ไม่ได้หรือไง”ไอ้แกนหัวเราะเบาๆ ผมจ้องหน้ามันที่อยู่ไม่ห่าง ไม่รู้คิดถูกคิดผิดที่ลดระยะห่างลงมา


“...มึงอยากไปไหน”ผมถาม ไอ้แกนยกยิ้ม


“ไปดูมวยกันไหม”มันเสนอทันที ได้ยินว่ามีมวยคาดเชือกใกล้ๆกับงานคอนเสิร์ตเมื่อคืนวานด้วย


“อีกแล้วเหรอ ชอบอะไรนักหนาวะ”ผมไม่เข้าใจมัน ไอ้แกนหัวเราะ


“ก็ไม่ทำไมนะ อยากไปดูสนุกๆ”มันบอก ผมส่ายหน้า ผมไม่ชอบดูมวยเลย ไม่ว่าจะมวยสากลก็ตาม “เหรอ ตามใจ”ผมพูดห้วนๆ อยากทำอะไรก็ทำ ถึงไม่ไปดูมวย ผมก็ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน


“ไว้เราไปกินเหล้าด้วยกันไหม”มันชวน


“...ตามใจ”ผมบอก


“ดี”ไอ้แกนพยักหน้าอย่างพอใจ มันยิ้ม


จากนั้นไอ้แกนก็ขี่มอเตอร์ไซด์คันเดิมพาผมไปดูมวยคาดเชือกจริงๆด้วย ผมไม่รู้ว่ามันมีเป้าหมายอะไรกับการพาผมมาดูมวยในทุกครั้งที่เราออกมาข้างนอก หรือผมจะคิดมากไปเอง บางทีมันไม่ได้มีจุดประสงค์แอบแฝง


“บางครั้ง เวลาเราเผชิญกับสถานการร์กดดันอะไร ก็เหมือนเรายืนอยู่บนสังเวียนต่อสู้นะ เราต้องคิดกลยุทธ์ หาทางปล่อยหมัดฮุกฝ่ายตรงข้ามให้ได้ จะดาหน้าเข้าไปตรงๆก้คงไม่ได้หรอก อาจโดนสวนจนน็อก... ก็ต้องมีหนทางที่จะเข้าไปใกล้อีกฝ่าย หลอกให้หมดแรง ต้อนไปจนมุม ทำให้ลดการ์ด แล้วก็ปล่อยหมัดฮุกไป จอดไม่จอดก็รู้เอง...”ไอ้แกนพูดขึ้นระหว่างที่จ้องนักมวยบนสังเวียนที่ปล่อยหมัดใส่กัน


ผมฟังแล้วย่นหน้า มันกำลังหมายถึงสถานการณ์แบบไหนกันล่ะ


"ยกตัวอย่างหน่อย"ผมบอก ไอ้แกนยิ้มมุมปาก มันยกแขนกอดอก


"อย่างเช่น...เวลาเราจะเข้าหาใครสักคน ต้องใช้วิธีไหนดี ดาหน้าเข้าไปเลย หรือจะค่อยๆเข้าไปประชิด แต่มันก็จะเหนื่อยหน่อย เพราะลองเชิงกันนาน"


ผมหัวเราะ ถ้ามันหมายถึงเรื่องความรัก ความชอบอะไรพรรคนั้น ผมคงไม่ใช่ฝ่ายเหนื่อยหรอก อาจไม่ใช่คู่ชกของใครด้วยซ้ำ ก็ไม่เห็นต้องเอาตัวเองไปยืนบนสังเวียนเลยนี่


"มึงคงเป็นประเภท...ลองเชิงนานไปหน่อยล่ะมั้ง"


"ถ้าเป็นสังเวียนจริงๆ กูก็เปิดแลกเลย แต่พอมาเทียบกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว คงต้องเป็นแบบนั้น..."

ผมควรทำยังไงดีล่ะ 'ชอบกูงั้นเหรอ?' 'เพราะอะไร' ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ผมและมันก็รู้อยู่แล้ว มันชัดเจนพอสมควร


"การสานความสัมพันธ์เป็นเรื่องยาก"


"กูกำลังคิดว่า ขอ..."มันเงียบไป ผมกลั้นใจฟัง


"ว่า...."


"กูมีโอกาสหรือเปล่าล่ะ"ไอ้แกนหันมาถาม ผมขมวดคิ้ว ถ้าให้แจกแจงความรู้สึก ผมไม่ได้ชอบมันในเชิงรักใคร่แบบนั้นแน่ๆ อาจจะเป็นเพื่อนที่ต่างไปจากไอ้ติเพื่อนผม


"...กูไม่รู้อนาคตหรอก แต่อย่างไหนดีกว่ากันเหรอวะ ไม่คิดว่าเรามันต่อกันไม่ติดเหรอ กูกับมึงเนี่ยนะ แค่คิดก็บรรยายไม่ถูก อย่างที่บอก กูไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน"ผมบอก ไ่ได้ปิดโอกาส แต่ก็ไมม่ใช่เร็วๆนี้ แล้วไอ้ที่เป็นอยู่ัมันไม่ดีหรือไงกัน

ไอ้แกนถอนหายใจ "นี่คือคำตอบงั้นสิ"


"เป็นแบบนี้ไม่ได้เหรอวะ กูสนุกในความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่เปลี่ยน แต่กูไม่พร้อม"ผมบอก ยังไม่พร้อมรับฟังจากปากมันแน่ๆ ไม่ใช่ว่าผมมีอคติต่อมัน แต่เอาจริงๆ ผมยังชอบมันในระดับนี้


"แล้วไง..."


"อย่าอารมณ์บูดดิ กูก็ไม่ได้ไปไหนหรอก"ผมบอก ไม่รู้ว่าไอ้แกนมันรู้สึกยังไง มันไม่เคยเผยให้รู้


"สงสัยจะต้องเหนื่อยแหงๆ แต่ช่างเถอะ กูก็ไม่ได้แคร์กฏเกณฑ์อะไรอยู่เเล้ว ระวังตัวไว้เหอะมึง"มันหันมาพูดเสียงแข็งๆ แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกน่ากลัวอะไร ผมยิ้มขำ บนเวที นักมวยฝ่ายน้ำเงินแพ้ไปแล้ว นอนจุกอยู่กับพื้น


"หึ ทำอะไรคิดถึงผลที่ตามมาด้วยล่ะ"ผมบอกอย่างไม่สะทกสะท้าน คิดว่าไอ้แกนไม่โง่
แต่ผมไม่รู้อนาคต ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับสรรพสิ่งบนโลก ล้วนไม่จีรังนักหรอก โดยเฉพาะไอ้คำว่ารักว่าชอบน่ะ แต่ผมก็ไม่ได้ปิดตายความรู้สึกของตัวเอง


"ยังไงก็ขอบคุณนะที่ชวนออกมา"ผมบอก มันไหวไหล่


"อือ ชวนมา มึงก็มาอยู่เเล้วนี่"ไอ้แกนบอก


นั่นสิ ถึงผมจะอิดออด แต่ก็ไปกับมันอยู่ดี


"มึงชอบคนแบบพี่กัสหรือไง จะว่าไปกูไม่เหมือนใครที่มึงเคยชอบเลยนะ"ไอ้แกนพูดแล้วถอนหายใจ ผมไม่คิดว่ามันจะพูดกับผมตรงๆแบบนี้นะ ผมย่นหน้า


"ใช่"ผมตอบ แบบไอ้แกนไม่มีทางเป็นแบบที่ผมชอบหรอก แต่ของแบบนี้ไม่ตายตัวหรอก ถ้าได้ชอบแล้ว มันก็ห้ามไม่ได้หรอก เหมือนที่มันชอบผมเนี่ยแหละ



.................................จบ...................................

(เนื้อเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับตอนอื่นๆ)
แต่ก็สมหวังทุกคู่ แกนดีนอาจจะติดๆขัดๆไปบ้างเนอะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีปีใหม่ นักอ่านทุกคนนะคะ ขอให้มีความสุขค่ะ


หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' (End) l ตอนพิเศษปีใหม่กับดีน p.27
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 31-12-2017 22:09:44
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
 :mew1: :mew1:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' (End) l ตอนพิเศษปีใหม่กับดีน p.27
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-01-2018 00:53:32
 :pig4: :pig4: :กอด1: :กอด1: :mc2: :mc2:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' (End) l ตอนพิเศษปีใหม่กับดีน p.27
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 01-01-2018 01:21:41
Special: Phing


เคาท์ดาวน์ปีนี้โคตรต่างจากครั้งก่อน แน่นอนว่าปีนี้เป็นปีแรกที่ได้นับถอยหลังเข้าปีใหม่ 2018 พร้อมๆกับไอ้ยิม เพราะปีก่อนเราสองคนห่างๆกันไป ปีนี้ไอ้ยิมเลยชวนผมไปรับลมหนาวอยู่ที่...คอนโดของมัน... เพื่อฉลองคอนโดใหม่น่ะสิ เห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ามันอยากให้ผมมาอยู่ด้วยกันหรือเปล่า


ผมไม่ลืมว่าวันที่ 1 มกราคมเป็นวันเกิดของยิม ผมคงไม่มีอะไรเซอร์ไพร์มัน นอกจากเค้กรสโปรดของอีกฝ่าย และการ์ดอวยพรหนึ่งใบ แค่นี้ไอ้ยิมก็ดีใจจะแย่แล้ว ผมเขียนการ์ดไม่ยืดยาวมาก เป็นความในใจมากกว่า ที่ขาดไม่ได้เลยไอ้โยดูท่าจะเป็นห่วงพี่ชายซะเหลือเกิน มันพยายามคิดแผนเวอร์ไพร์ไอ้ยิมให้ผมด้วย ดูกระตือรือร้นกว่าปกติ ผมรับไอเดียลูกโป่ง LED มา ปิดไฟแล้วคงสวยน่าดู


ที่ไอ้ยิมมันถอยคอนโดใหม่เพราะบอกว่าอยู่ใกล้บริษัท และ “อยากมีพื้นที่ส่วนตัว” ก็พอจะเดาออกเลยล่ะว่า มันหมายความว่ายังไง นอกจากนั้นแล้วไอ้โยก็แอบไปจิ๊กคีย์การ์ดสำรองคอนโดที่อยู่ตรงมาม๊ามาอีก เพื่อให้ไปแต่งระเบียงห้องให้ผม ลงทุนจริงๆ


“อยากให้เฮียมีความสุขไง พี่นี่ไม่โรแมนติกเอาซะเลย อะไรๆมันก็ต้องมีครั้งแรกทั้งนั้นแหละ”มันโทรมาหาผม หลังจากที่แอบไปแต่งระเบียงมาให้ แถมถ่ายรูปส่งมาให้ผมดูเรียบร้อย มันมั่นใจว่าเฮียของมันจะไปโผล่ที่คอนโดก่อนแน่ๆ เพราะจัดของมาไว้ที่คอนโดหมดแล้ว


“พูดซะกูรู้สึกผิดเลย โอเคๆ ขอบใจมาก”ผมแดกดันมันกลับไป ไอ้โยหัวเราะเบาๆ


“...แล้ว พี่ไม่คิดจะ—”


“รู้นะมึงจะพูดอะไร อย่าเลยน่า”ผมพึมพำ ไม่พร้อมเจออะไรที่เหนือความคาดหมายแบบนั้น อีกอย่างไอ้ยิมคงไม่คิดจะทำอะไรผมหรอกมั้ง...


“หึหึ พี่นี่รู้อะไร คนเป็นแฟนกัน นอนด้วยกันบ่อยๆ ไม่คิดก็บ้าแล้ว...พี่ก็น่าจะทำใจไว้บ้าง ยืดอกแมนๆไปเลยดิ”ไอ้โยพูดเสียงดังใส่ท่าทางตื่นเต้น ผมล่ะเหลือเชื่อเลย ไอ้เด็กนี่ จ้องแต่จะยุยงส่งเสริมเฮียของมันจริงๆ พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็น่าอายจะตายไป


“พอๆ เลิกพูด แล้วไอ้ยิมจะมาเมื่อไหร่ รอจนรากงอกแล้วเนี่ย”


“เอ้า รีบเรอะ เฮียเพิ่งออกจากบ้านไปเอง ระวังตัวด้วยล่ะ”ผมยังไม่ทันออกปากด่าไอ้โยมัน มันก็ชิงตัดสายไปก่อน กวนประสาทจริงๆไอ้นี่ ผมขำมากกว่า คืนนี้ไอ้ยิมมันอยากฉลองปีใหม่กับผม พ่อเลยทำอาหารใส่กล่องไว้ แถมยังมีเบียร์หนึ่งลัง แต่คงดื่มไม่หมดอยู่แล้ว


ยิม-ออกมารอหน้าบ้านเลยก็ได้ กำลังจะถึงแล้ว


ผมอ่านไลน์ของยิม แล้วก็ยกของออกไปไว้ด้านนอกบ้าน จริงๆผมก็ตื่นเต้นอยู่เหมือนกันนะ ถ้าหากว่าบรรยากาศเป็นใจขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น ยิ่งอยู่กันสองคน ท่ามกลางอากาศหนาวๆแบบนี้อีก ก็นะ.....


‘คิดไปไกลแล้วไอ้ผิง’ ผมลูบแขนตัวเองไปมา ไม่นานก็เห็นรถโฟลคของไอ้ยิมกำลังขับใกล้เข้ามาก่อนจะชะลอจอดช้าๆ ไอ้ยิมเปิดประตูลงมาจากรถ


“พร้อมยัง”มันถามน้ำเสียงเหมือนกำลังคิดไม่ดีอยู่ ผมย่นคิ้ว “อือ”ตอบไปสั้นๆแบบเพลเซฟ เผื่อมันคิดอะไรไปไกล ไอ้ยิมเข้ามาช่วยยกของใส่หลังรถจนครบหมด


“ไอ้โยมาพูดอะไรกับมึงล่ะสิ ทำท่าตลก”ไอ้ยิมหันมาพูด ระหว่างที่เข้ามานั่งในรถแล้ว ผมหัวเราะกลบเกลื่อน “น้องมึงนี่จริงๆเลย”ผมส่ายหน้า ไอ้ยิมยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูขัดหูขัดตาพิกล แถมวันนี้อีกฝ่ายไม่ได้สวมแว่นตาเหมือยอย่างเคยกลับใส่คอนแทคเลนส์แทน ท่าทางดูคล้ายเตรียมพร้อมยังไงชอบกล ผมนั่งมองไปนอกหน้าต่างรถอย่างเหม่อลอย ไม่อยากสนใจคนข้างๆอีก


“คิดอะไรอยู่ล่ะสิ”ไอ้ยิมไม่วายหันมาพูดแหย่ผมต่อ


“ยิม ตอนนี้กูกำลังอารมณ์ดีๆอยู่นะ เดี๋ยวก็หมดมู้ดหรอก”ผมย่นคิ้วกลบเกลื่อนความกังวลใจ เรื่องนี้ต้องโทษน้องของมัน การเดินทางไปยังคอนโดใหม่ของไอ้ยิมใช้เวลาประมาณสิบห้านาที เราต่างช่วยกันขนของขึ้นลิฟต์


ระยะทางตั้งแต่ประตูลิฟต์เรื่อยไปจนถึงหมายเลขห้องของไอ้ยิม ทำให้ผมใจเต้นตุบตับอยู่ในอก ผมตื่นเต้น อยากเห็นอากัปกิริยาของแฟนเหลือเกินว่ามันจะทำหน้ายังไง หวังว่าไอ้โยจะจัดการพวกโคมไฟ ลูกโป่งแฟนซีในห้องให้ออกมาตามแผน ผมมองนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้สองทุ่มกว่าๆแล้ว เมื่อเดินมาจนถึงหน้าห้อง ไอ้ยิมสแกนคีย์การ์ดเข้าไป เสียงเตือนดังขึ้นก็จะตามมาด้วยเสียงปลดล็อก


คนตัวสูงกว่าเปิดประตูเข้าไป ไม่ทันได้มอง มันหันมายกลังเบียร์เข้าไปแทน เป็นอันว่าไอ้ยิมกำลังเข้าไปในห้องที่สว่างไปด้วยหลอดไฟแฟนซีที่ติดยาวไปตามผนังห้องไปจนถึงประตูระเบียงที่เป็นกระจก จากบริเวณหน้าประตูสามารถมองยาวทะลุไปถึงนอกระเบียงได้ ผมเห็นแสงไฟจากลูกโป่งLED ที่วางเสียบอยู่ในขวดเบียร์สีเขียวจากมุมของสองฝั่งระเบียง มันสวยงามตามที่นึกภาพไว้


ไอ้ยิมยืนอยู่กับที่ มันเหมือนคนวิญญาณหลุดไปแล้ว ผมวางของลงกับพื้นปิดประตูห้อง “รอฉลองวันเกิดมึงไงยิม...”ผมเข้าไปรับลังเบียร์ที่หนักอึ้งจนแทบถือไม่ไหว แต่ผมพยายามยกไปวางที่กลางห้อง ใกล้กับโซฟามีเซทลูกโป่งพร้อมตัวอักษร HBD สีส้มทอง ผมมองไอ้ยิมด้วยรอยยิ้ม รู้สึกปลื้มปริ่มที่เห็นว่ามันดูพูดไม่ออก


“เป็นไงบ้าง สวยไหมวะ”ผมเดินเข้าไปหามัน ร่างสูงเบนสายตามองผมอยู่เงียบๆ นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นมีประกายสะท้อนของแสงไฟจากทั้งสองด้านของผนัง อยู่ๆก็รู้สึกว่าเริ่มร้อนขึ้นมา คงเพราะหลอดไฟเยอะๆแบบนี้หรือเปล่า ไอ้ยิมผุดยิ้มออกมา มันยกมือเกาต้นคอด้วยท่าทางเหมือนกับกลบเกลื่อนอาการเขิน


“ว่าไง ยิม มึงช่วยมีรีแอคชั่นหน่อย”ผมยืนอยู่ตรงหน้ามัน ไล่สายตามองผู้ชายผิวขาว ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ที่มุมปากมีรอยยิ้มปรากฏอยู่นิดๆ


“ตกใจนะเนี่ย นึกว่ามาผิดห้องซะแล้ว”มันเปิดปากพูดออกมา ผมหัวเราะ “ไอ้โยเป็นคนช่วย ไม่งั้นเราจะไม่ได้อยู่ในดงหลอดไฟแบบนี้แน่ๆ”ผมยิ้ม ไม่มองหน้าไอ้ยิมอีกต่อไป ผมหันไปสนใจกับกล่องอาหารที่พ่อเตรียมมาให้


“ออกไปนั่งด้านนอกกันดีกว่า...”ผมบอก แล้วยกกล่องอาหารขึ้นมา ไอ้ยิมเดินเข้ามาหาผมในระยะประชิด แต่พักหลังผมชักจะชินกับการถึงเนื้อถึงตัวมากขึ้น


“เฮ้ย”ผมร้องตกใจ เมื่อไอ้ยิมอยู่ๆก็เข้ามากอดผมซะอย่างนั้น ยังดีที่มีสติไม่ปล่อยให้กล่องอาหารล่วงพื้น อีกฝ่ายกอดผมไม่ถนัดนัก

“นึกว่าลืม”มันพึมพำ ก่อนจะผละออกจากกันมันยังไม่วายมาลูบศีรษะผมราวกับเด็กน้อย ผมส่ายหน้ากับความอ่อนไหวของมัน แต่ผมชอบนะ อย่างน้อย ท่าทีของมันก็คุ้มกับสิ่งที่ผมทำ


“อย่าซึ้งนาน ช่วยยกของเหอะ”ผมรีบบอก แล้วเดินออกไปทางระเบียงด้านนอก ผมเลื่อนประตูออก พอเดินออกมาด้านนอกก็สัมผัสกับบรรยากาศหนาวพร้อมกับลมเย็นที่ทำให้ทั้งร่างสั่นขึ้นมาได้ แต่ริอาจจะทำโรแมนติกก็ต้องทนได้น่า ผมวางกล่องอาหารลงบนพื้น ที่ด้านนอกมีเบาะรองนั่งอยู่ ไอ้ยิมเปิดลังเบียร์ออก หยิบออกมาสามขวดพร้อมกับเทน้ำแข็งใส่กระติก


ผมนั่งลง เปิดของทอดกินลองท้องไปก่อน ไอ้ยิมเดินเข้ามานั่งพร้อมกับเบียร์ มันรินเบียร์ให้ผมจนเต็มแก้ว


“วันนี้ดูท่าจะคุ้มนะ”ไอ้ยิมพูด ผมแทบสำลักเบียร์ เหลือบมองคนข้างๆอย่างระแวง


“แหงล่ะ เคาท์ดาวน์รับปีใหม่พร้อมกับฉลองวันเกิดไปด้วยเลย”ผมยิ้ม


“ไหนเค้ก”มันรีบทวง


“ในตู้เย็น ดึกๆค่อยเอาออกมากินก็ได้นะ”


“ของขวัญล่ะ”มันยิ้มกว้าง ผมมองเขม็ง “ปีนี้ปีแรกที่ฉลองด้วยกัน กูไม่มีอะไรให้หรอก นอกจากการ์ดอวยพร”ผมบอกมัน ไอ้ยิมไหวไหล่ แต่ยังจ้องผมไม่เลิก


“แค่นี้ก็ดีใจแล้ว เออ แล้วเข้ามาในห้องได้ยังไง”


“ไอ้โยมันแอบจิ๊กคีย์การ์ดที่ม๊ามามั้ง ร้ายจริงๆ”ผมใส่อารมณ์เล็กน้อย แต่ไอ้ยิมขำออกมาเบาๆ “ก็ว่าอยู่...ก็แอบคิดนะว่าจะมีอะไรซ่อนไว้หรือเปล่า แต่ไม่คิดว่าจะแต่งห้องแบบนี้”มันพูด


“อืม ขอบใจน้องมึงนู่น กูก็แค่อยากเอาเค้กมาให้มึงเป่าเท่านั้นแหละ”ผมบอก จ้องมองแสงสีจากตึกที่อยู่ห่างออกไปอย่างสนใจ เห็นจากทางหางตาว่าไอ้ยิมมันจ้องอยู่


“ในห้องนอนแต่งด้วยไหม”ไอ้ยิมด้วยความอยากรู้ ผมทำหน้าเข้ม “ไม่มีหรอก จะแต่งทำไม”ผมพูดเสียงดังกว่าปกติ แล้วยกเบียร์มาดื่มหลายอึก


“คิดลึกอีกแล้ว มึงนี่พิลึกคนจริงๆ”ไอ้ยิมส่ายหน้า แล้วหันไปจิบเบียร์แทน ผมคว้าดอกไม้ไฟเย็นมาจุดเล่น เหมือนได้ย้อนไปตอนเด็กๆที่เคยตื่นเต้นกับไฟเย็นแบบนี้ ระหว่างนั้นผมดื่มเบียร์เร็วกว่าไอ้ยิม คงเพราะมันกำลังกินแต่ของทอด พวกต้มยำแทนเบียร์ ต่างจากผมที่ซัดเบียร์ไปหลายแก้วจนจะหมดขวดแล้ว มองเวลาอีกทีก็ปาไปสามทุ่มแล้ว


“นี่ยิม ขอถามอะไรหน่อยสิ”ผมขยับไปใกล้ๆมัน ไอ้ยิมขมวดคิ้วมองผมด้วยสายตางงๆ


“หืม”


“ที่ชวนมาคอนโด อยากให้กูมาอยู่ด้วยว่างั้นเหอะ”ผมได้ทีทำใจกล้าถามมันไปตรงๆ พอผมพูดจบ สีหน้าของไอ้ยิมดูจะตกใจที่ผมถามออกมา เจ้าตัวเกาจมูกไปพลาง “ใช่ อยากให้มึงมาอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่ว่าอยู่บ้านมันไม่ดีนะ แต่มันไม่สะดวก”ไอ้ยิมพูด ผมฟังแล้วแปลกในใจ


“ไม่สะดวกเหรอ”


“ก็แบบ มันไม่เป็นส่วนตัวไง ฮ่ะๆ มึงนี่คิดไปไกลกว่ากูอีก”ไอ้ยิมหัวเราะเสียงสดใส ผมเอนตัวออกก่อนจะยิ้มกับตัวเอง ใช่สิ ผมคิดไปไกลกว่าไอ้ยิม เพราะไอ้โยแท้ๆ


“อืม ก็ถูกนะ พออยู่ที่บ้าน เกรงใจพ่อแม่”ผมบอก เวลาไอ้ยิมมาหาผมที่บ้าน ถึงเราจะไม่รู้สึกเกร็งต่อกัน พูดกันได้เหมือนคนในครอบครัว แต่จริงๆมันก็ยังมีช่องว่างอยู่ เช่น พฤติกรรมการแสดงออกของผมกับมันยังคงอยู่ในสายตาของพ่อแม่ ถึงครอบครัวจะไฟเขียวแต่จะมาออกนอกหน้าก็ไม่ได้ มันคงสะกิดใจแม่ผมไม่เบา


“เอาเก็บไปคิดก่อนก็ได้นะ ไม่ได้เร่งรีบอะไร”มันบอก ผมรับปากมัน ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูข้อความที่เพื่อนๆทยอยส่งกันมา HNY กัน ยังไม่ทันจะเคาท์ดาวน์เลยด้วยซ้ำ “ปีที่แล้วมึงเคาท์ดาวน์กับใคร”ผมถามมันบ้าง อยากรู้เรื่องแฟนเก่ามันเหมือกัน ไอ้ยิมนิ่วหน้า


“อยู่กับที่บ้าน”มันตอบสั้นๆ


“ไม่มีแฟนเหรอ”


“ก็มีแค่คุยๆ ไม่ใช่แฟนหรอก”ไอ้ยิมพูด ผมมองมัน หน้าตาแบบมันน่าจะหาแฟนได้ง่ายๆ แต่ไอ้ยิมไม่ใช่คนที่จะข้ามขั้น ก่อนจะคบเป็นแฟนก็ต้องคุยๆกันไปก่อน


ผมกลับเข้าไปด้านในไปหยิบเค้กออกมา เพราะอยากทานของหวานมากกว่า ผมหยิบกล่องเค้กกับจานมาด้วย ส่วนการ์ดอวยพร ผมเก็บไว้ในกระเป๋าเลยหยิบติดมาด้วยเลย ขนาดเท่าซองจดหมาย ผมเขียนข้อความไม่ยาว


“หนาวไหมวะ”ผมเดินไปถาม เผื่อว่าจะเอาผ้าห่มมาเพิ่ม ไอ้ยิมโบกมือ ได้แอลกอฮอล์เข้าไปร่างกายก็เริ่มร้อนนิดๆหน่อยๆ ผมถือกล่องเค้กกับจานออกไปด้านนอก นอกจากจะไม่เซอร์ไพรส์แล้ว ผมอาจจะไม่ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์ไอ้ยิม ร้องคนเดียวมันแปลก


“ทำเองสินะ”ไอ้ยิมรับกล่องเค้กไป แล้วค่อยๆเปิดกล่องออก ผมนั่งลงข้างๆมันช่วยคลายหนาวได้ด้วย ไอ้ยิมมองหน้าเค้กที่เขียนชื่อมันเต็มหน้า “รสชาติไม่ต้องห่วง แม้ว่าหน้าตามันจะไม่สวยงามนะเว้ย”ผมบอก ก่อนจะจิ้มวิปครีมมากิน ไอ้ยิมหยิบมีดมาแบ่งเค้กออกเป็นหลายส่วนเท่าๆกัน ผมมองนาฬิกา ตอนนี้เพิ่งสี่ทุ่มเอง กว่าจะเริ่มวันใหม่ ปีใหม่อีกหลายชั่วโมงเลย


“ฉลองก่อนเลยได้ไหมเนี่ย สุขสันต์วันเกิดนะยิม”ผมบอกมัน แล้วหยิบแก้วเบียร์มาชนแก้วกัน ไอ้ยิมไม่ค่อยอยากจะเมาสักเท่าไหร่ มันแค่จิบๆเท่านั้น ผมเล่นดื่มเป็นน้ำ ตอนนี้เปิดขวดที่สามแล้ว ผมแค่มึนๆนิดหน่อย ยังไม่เมาแน่นอน

“หึหึ ขอบคุณนะผิง”มันบอก สายตาเป็นประกาย มันยิ้ม ผมยังไม่ให้การ์ดมัน รอให้ถึงวันใหม่ก่อนถึงจะเป็นฤกษ์งามยามดี


“อือ มีอะไรอยากบอกกูเปล่า”ผมถามมันดูบ้าง พอเอ่ยไป คนข้างๆก็นิ่งไปสักพัก สีหน้าเรียบเฉย


“ก็...”ไอ้ยิมอิดออดไม่ยอมพูด ผมเลยหัวเราะชอบใจ สงสัยมันคงเขินแน่ๆ “งั้น...ขอถามนะ ทำไมถึงชอบกูเหรอยิม”ผมถาม อาจเป็นคำถามที่เคยถามไปแล้ว แต่ในเวลานี้ผมอยากได้ยินอีกครั้ง ไอ้ยิมมองผมนิ่งๆ แววตาคู่นี้ดูสอดส่องหาความจริงจากผม คงคิดว่าผมล้อมันเล่น


“...คงเพราะหลังๆเราสนิทกัน ไม่รู้เมื่อไหร่ที่กูแคร์มึง มันก็แค่นั้น ตอบยากนะ กูรู้ตัวได้เร็วมากกว่า ว่ากำลังชอบมึงอยู่ แล้วมันก็พัฒนาไปง่ายๆไม่ใช่เหรอ”ไอ้ยิมพูด ผมจับใจความอยู่นาน รู้สึกเบลอเพราะเบียร์ แต่ก็ยิ้มรับ


“แล้วตอนเราเป็นแฟนกันล่ะ ชอบกูที่ตรงไหน”ไอ้ยิมเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ มันจ้องผม


“ไม่น่าเมาเร็วนะ... แต่ถ้าอยากได้คำตอบ...รอผ่านคืนนี้ไปก่อนสิ”คำตอบของไอ้ยิมทำให้ผมตาสว่าง หายจากอาการเบลอไปได้ ผมทำตาโต จ้องมองมันเขม็ง


“...มีต่อรองนี่หว่า โอเค้”ผมพูด “กลับกันมึงต้องตอบคำถามนี้ด้วยเหมือนกัน”ไอ้ยิมพูดต่อ ผมยิ้มค้าง ใช่สิ...ผมไม่เคยบอกความรู้สึกของตัวเองแบบตรงไปตรงมาหรือในระยะตัวต่อตัวแบบนี้ แต่ไอ้ยิมยังคงมองอยู่


“ได้ ไม่ปอดแหกหรอก”ผมบอก ขณะเดียวกันไอ้ยิมก็ยื่นจานเค้กไส้บลูเบอรี่แต่แต่งด้วยสตอร์เบอรี่มาให้ผมหนึ่งชิ้น ผมรับมากินเงียบๆ


เวลาค่อยๆขยับผ่านไปทีละน้อย ไอ้ยิมขยับมานั่งใกล้ชิดกับผมมากขึ้น มันหยิบไฟเย็นออกมาจุดใส่กระถางต้นไม้ ปักลงไปหลายอัน ขณะเดียวกัน เสียงพลุกเริ่มดังต่อเนื่องกันเป็นสัญญาณเตือนว่า ตอนนี้เข้าสู่วันใหม่ ปีใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มองออกไปที่วิวด้านนอก พอดีกับพลุหลากสีกำลังปะทุกระจายอยู่บนค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง ผมยิ้มกว้างหันไปหาไอ้ยิม รวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยออกไป


“สุขสันต์วันเกิดนะยิม แล้วก็ขอบคุณช่วงเวลาที่ผ่านมานะเว้ย ปีใหม่แล้วขอให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ เท่าที่จะทำได้นะ”ผมบอกรู้สึกว่าไม่เป็นตัวเองเอาซะเลย ผมมองไอ้ยิมอย่างตั้งใจ ผมเอื้อมหยิบการ์ดอวยพรให้มัน ไอ้ยิมรับไป มันยิ้มมีความสุข ไม่ได้พูดอะไรออกมา มันเปิดอ่านข้อความสั้นๆนั้น ก่อนจะเงยหน้ามองผม แววตาคู่นี้สะท้อนภาพผม


“เหมือนกันนะ กูรักมึงนะผิง แค่ไม่กี่ปี แต่กูก็รู้สึกยินดีที่ได้รู้จักกัน”มันพึมพำ


‘ขอให้มีความสุข ดีใจที่ได้รู้จักกัน กอดกัน และรักกัน จากผิง’ ก็แค่ข้อความสั้นๆ แต่ผมคิดอยู่นานว่าจะเขียนอะไร จนออกมาเป็นข้อความนี้ ผมพูดไม่เก่ง แต่ที่เขียนออกไปผมจริงใจ


“เออ”ผมตอบสั้นๆ หลบตาของอีกฝ่ายทันที ไม่อยากมองนานเดี๋ยวเผลอตัวขึ้นคงแย่เลย แต่ทว่าคงสายไปแล้วล่ะ รู้ตัวอีกที มืออุ่นของไอ้ยิมก็เข้ามาจับต้นคอของผมไว้ ก่อนที่จะเห็นว่าใบหน้าของมันอยู่ใกล้แค่เอื้อมเอง เหมือนรู้จักหวะ ผมแค่หลับตาและเราก็จูบกัน หัวใจแทบกระเด็นกระดอนออกมาจากอก ครั้งนี้ผมไม่ได้ตกใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจูบนี้ต้องเกิดขึ้น


เป็นครั้งแรกที่มันราบรื่น ไม่มีการชี้แนะจากใคร ผมก็แค่จูบมัน จริงๆแล้วไอ้ยิมเป็นผู้ชายที่อ่อนโยน จูบของมันก็เป็นแบบนั้น เหมือนจะหลอมละลายผมจากข้างในมากกว่า ไอ้ยิมถอนจูบออกไป


“Happy new year”ไอ้ยิมพูด ผมไม่ทันจะอ้าปากตอบ มันก็เข้ามาจุ๊บปากผมซ้ำแต่ไม่ได้ล้ำลึกอะไรแค่ใช้ปากสัมผัสกันแค่นั้น ผมร้อนไปถึงหูแต่ไม่แสดงอาการออกไปแค่นิ่งๆไว้เดี๋ยวก็ดีเอง


“งั้น...”ไอ้ยิมเริ่มพูด ผมกลั้นใจฟัง หวังว่าจะไม่พูดอะไรทำลายบรรยากาศนะ ผมเลยหยิบแก้วเบียร์มาดื่มดับความร้อนรุ่มในใจ


“ง่วงหรือยัง”


“เพิ่งจูบไปเมื่อกี้ กูง่วงก็แปลกแล้ว”ผมหัวเราะออกมา ไอ้ยิมยิ้มขำตาม ก่อนจะดึงมือผมไปจับเบาๆ


“กูไม่ทำอะไรมึงหรอกน่า...คิดไปนู่นเชียวนะ”ไอ้ยิมส่ายหน้า มันเริ่มถึงเนื้อถึงตัวผมมากกว่าเดิมอีก ทำท่าเหมือนจะกอด ผมมองนิ่งๆ


“ก็แหม บรรยากาศกำลังได้ ไปนั่งห่างๆเลย”ผมบอก ขยับตัวออกห่างมัน ผมไม่ไร้เดียงสาแน่นอน ถึงไอ้ยิมจะเป็นคนอ่อนโยน แต่ก็ใช่ว่ามันไม่เคยผ่านเรื่องทำนองนั้นมา



“อะไร อยู่ด้วยกันแท้ๆ จะให้อยู่ห่างๆอีก”มันพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย มันไม่สนใจ โทรศัพท์ของผมสั่นเตือนทั้งจากเฟซบุคและไลน์ ข้อความสวัสดีปีใหม่ส่งมาจากเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องอยู่เรื่อยๆ ผมไม่ได้เปิดอ่าน ไอ้ยิมนั่งอยู่ข้างๆมองมาที่หน้าจอโทรศัพท์ผมเหมือนกัน ไอ้ยิมเอาผ้าห่มมาคลี่ออกก่อนจะเอนตัวลงนอนบนตักผมเฉยเลย


“อ้าว ง่วงเหรอ ไปนอนดีๆสิ”ผมบอก สะกิดไหล่มัน แต่ไอ้ยิมหลับตา นอนหนุนตักผมอย่างสบายใจ ผมไม่คิดว่ามันเมาหรอก คงแกล้งตีมึนมากกว่า


“เฮ้อ มีแฟนทำตัวเป็นเด็กก็แบบนี้”ผมพูดลอยๆ ไอ้ยิมลืมตาทันที มันจ้องผมอยู่นานจนเป็นผมซะเองที่ต้องละสายตาไปมองอย่างอื่นแทน


“แค่นอนตักแฟน”มันพูด เสียงทุ้มๆของมันดังขึ้น ผมไหวไหล่ ก่อนจะมองมันพยายามชักมือหลบมัน เพราะมันดื้อดึงคว้ามือผมไว้ ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องมาทำเป็นปลาหมึกคอยมาหนุบหนับไปซะทุกอย่าง แล้วก็ไม่ได้เมาด้วย มันคอแข็งกว่าผมอีก


“มีอะไรหรือเปล่า”ผมถาม ปกติไอ้ยิมไม่ทำตัวแบบนี้ มันแค่ยิ้ม


“ลืมอะไรไปหรือเปล่า...ชอบกูที่ตรงไหน”มันถาม ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ มันบอกให้ผ่านคืนนี้ไป หมายถึงให้เข้าวันใหม่ก่อนงั้นสิ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น


“...เพราะมึงคือไอ้ยิมไง กูชอบมึงเพราะความใส่ใจ แล้วก็คอยอยู่ข้างๆกูเสมอเลย จนหลังเรียนจบไป มึงก็ยังเหมือนเดิมไง กูมาคิดดูแล้วกูไม่ควรปล่อยมึงไปง่ายๆ ไม่งั้นกูคงโดนด่าว่าโง่แน่ๆ”ผมพูดยิ้มๆ คนฟังถึงกับยิ้มกริ่ม แววตามีประกาย


“ตากูบ้าง—”


“ไม่ต้องหรอก กูรู้แล้วน่า ไม่ได้โง่นี่หว่า”ผมบอก ไอ้ยิมนิ่งไป ก่อนที่จะยื่นแขนมารั้งลำคอผมไว้จนได้ ผมเลยปล่อยเลยตามเลยก้มลงไปจูบมันที่นอนหนุนตักอยู่ การนั่งตากอากาศด้านนอกระเบียงทำให้เนื้อตัวเย็นไปหมด ปลายนิ้วของไอ้ยิมยังเย็นเลย


“เข้าไปด้านในเหอะ หนาวแล้ว”ผมบอกหลังจากที่ผละออกจากไอ้ยิม มันว่าง่ายลุกขึ้นนั่งก่อนจะยืน ผมกลับเข้าไปด้านใน ไฟแฟนซีรอบห้องยังคงสว่างในความมืด “เปิดไฟปกติไหม”ผมถาม


“อืม ในห้องก็ไม่มี ปิดเลยก็ได้ มันสวยดี แต่ไม่ได้มองเห็นมันนี่”ไอ้ยิมว่า ก่อนจะเดินไปเปิดไฟในห้อง จากนั้นทั้งห้องก็สว่างจ้าเป็นสีขาว ผมแสบตาเล็กน้อย ไอ้ยิมเดินไปถอดปลั๊กไฟของสายไฟแฟนซีออก ผมเดินเข้าไปด้านในห้องนอนแทน ภายในห้องนอนเป็นสไตล์น้ำเงินขาว ในห้องกว้างขวางมีเตียงใหญ่ มีตู้เสื้อผ้าทางฝั่งซ้ายมือและเยื้องออกไปคือห้องน้ำ ผมเดินไปนอนบนเตียงอย่างอ่อนเพลีย รู้สึกเหมือนโดนสูบพลังไปเลย


“เป็นไง”ไอ้ยิมถาม แล้วกระโจนลงเตียง มันคลานไปนอนบนหมอนใบใหญ่ ท่าทางมันคงจะเพลียเหมือนผม


“ไม่อาบน้ำเหรอ”


“ไม่ได้เปื้อนไม่ใช่เหรอ”ไอ้ยิมตอบงึมงำ มันหลับตา ผมเลยนอนมองมันแทน กลายเป็นว่าไอ้ยิมดันนอนไปทั้งแบบนั้นแทน ผมยิ้มกริ่ม นึกว่ามันจะคิดไม่ดีซะอีก ที่ไหนได้แม่งง่วงจริงๆ ผมส่านศีรษะก่อนจะลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สดชื่น พอเสร็จธุระ ผมเอาผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำไปเช็ดหน้าให้ไอ้ยิม อย่างน้อยหน้าก็ควรจะสะอาด ผมค่อยๆเช็ดใบหน้าและลำคอของไอ้ยิม


“กู๊ดไนท์”ผมก้มไปบอกมัน มันหลับไปแล้วจริงๆ ไม่หือไม่อือ ผมย่นหน้ารู้สึกกลายเป็นคนโง่ซะเอง


‘ผิงมึงคิดลึกเกินไปจริงๆด้วย’ ผมเอนตัวนอนดึงผ้าห่มผืนหนานุ่มให้ไอ้ยิมด้วย ก่อนจะนอนข้างกายไอ้ยิมแล้วนอนหลับไปแบบนั้น




-จบ-

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' (End) l ตอนพิเศษปีใหม่กับดีน l ผิง p.27
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 05-01-2018 23:44:38
สวัสดีปีใหม่ค่ะ

บทสรุปแต่ละคู่ ละมุนแตกต่างกันไป แต่ก็เป็นไปตามคาแรคเตอร์แต่ละคนล่ะนะ

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: + ReWrite +เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' (End) p.27
เริ่มหัวข้อโดย: ชานมเย็น ที่ 08-02-2018 16:50:30

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' x จบแล้ว l ตอนพิเศษ 14.ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 14-02-2018 11:11:35
Valentine's Day
สอง

 วันนี้คือวันแห่งความรัก ผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก เพราะพี่ท็อป แฟนของผมบอกกระซิบบอกว่าไม่ต้องสรรหาเรื่องมาเซอร์ไพรส์ ผมก็เลยตามนั้น ไม่ได้ซื้อดอกกุหลาบ แต่ก็อดซื้อช็อกโกแลตมาไม่ได้อยู่ดี อย่างน้อยก็มีของหวานให้ชุ่มชื่นหัวใจ หลังเลิกงาน ผมกลับมาบ้านได้ เจ้าทูก็ถลาวิ่งสี่ขาเข้ามาพันแข้งพันขาไม่หยุด ผมยิ้ม ก่อนจะอดเข้ามาลูบหัวตุบหลังมันตุบๆไม่ได้ เดินไปเทอาหารไว้ให้นิดหน่อย มันวิ่งมากินเสียงดังกุบกับ ผมเข้าไปในบ้าน เอาช็อกโกแลตไปแช่ตู้เย็น

Ontop : วันนี้กลับบ้านค่ำหน่อยนะ กินข้าวก่อนเลยไม่ต้องรอพี่

ผมอ่านไลน์ของแฟน แล้วขมวดคิ้ว เหลือบมองนาฬิกาไปด้วย นี่ก็ห้าโมงครึ่งแล้ว ทำไมยังทำงานอยู่อีก วันวาเลนไทน์แท้ๆ เจ้านายหรือเพื่อนไม่น่าจะรั้งตัวไว้นาน ผมแอบคิดเรื่อยเปื่อย

2 : โอเคครับ

ผมตอบแล้ว เดินเข้าไปในครัว ปกติเรื่องคนทำครัวจะเป็นของพี่ท็อป ผมไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่ ทำได้แค่หุงข้าว ทอดไข่ ผัดผัก เมนูง่ายๆ ไม่พลิกแพลงอะไรมาก ผมหุงข้าว ทำผัดบ็อกโคลี่ใส่หมูกับไข่ต้มไว้ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ไม่เห็นวี่แววของพี่ท็อป เลยขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าที่ชั้นบน

ผมอาบน้ำอย่างใจลอย คิดเรื่องที่จะทำกับพี่ท็อปไปพลางๆ ไอ้เรื่องบนเตียงก็แวบเข้ามาในหัว ยิ่งเป็นวันวาเลนไทน์แบบนี้ ก็ยิ่งพลาดไม่ได้ ผมผิวปากหยิบแชมพูมาสระผม ตั้งแต่ทำงาน ผมก็ไม่ค่อยได้เข้าร้านตัดผมเปลี่ยนทรงบ่อย ก็ไว้ทรงเดิม แต่ไม่ให้ยาวจนระบ่า เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นว่ามีผู้มาเยือน นั่งรออยู่ที่โซฟา เอนหลังเอกเขนกด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ

“อ้าว มาเงียบจังนะพี่”ผมเอ่ย มองเจ้าตัวด้วยความงง พี่ท็อปยิ้ม

“อาบน้ำรอพี่ซะด้วย”ยังมีหน้ามาแซวอีกนะ ผมยิ้มเดินไปแต่งตัว ให้อีกฝ่ายแทะโลมไปเรื่อยๆ

“เพิ่งทำกับข้าวเสร็จ เลยขึ้นมาอาบน้ำน่ะพี่ ว่าแต่ก็ไม่เห็นว่าเลิกมืดค่ำตรงไหนเลย”

“ตอนแรกโดนเจ้านายกักตัวไว้ แต่แปบเดียวก็ปล่อย เห็นลูกน้องหลายคนอยากจะกลับบ้านจะแย่”พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ ผมจ้องมองอีกฝ่ายผ่านกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง

“เหรอ ผมซื้อช็อกโกแลตมาด้วยนะ อยู่ในตู้เย็น”ผมบอก

“จริงเหรอ พี่ก็เอามาเหมือนกัน”พี่ท็อปบอก ผมแต่งตัวเสร็จเดินไปนั่งที่โซฟา เหลือบมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เห็นยิ้ม สายตาวิบวับ

“อารมณ์ดีอะไร”

“ก็แค่วันแห่งความรัก”พี่ท็อปเอ่ย ทำเอาผมจ้องอย่างจับผิด หรือว่าพี่ท็อปมีเซอร์ไพรส์ อีกฝ่ายเห็นผมมองไม่วางตา เลยหัวเราะในลำคอ ปลดกระดุมที่คอออกให้ผ่อนคลาย

“เหรอ ไปอาบน้ำเถอะน่า จะได้ไปกินข้าว”ผมบอก พี่ท็อปมองผมอยู่นาน “สอง”

“ครับพี่”ผมเงยมอง ขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ มองแววตาอีกฝ่ายที่ดูหมดประกายความล้อเล่นแล้วก็ไม่อยากกวนประสาท เลยกลืนคำว่า ‘จะสารภาพรักกับผมอีกเหรอ’ลงคอไป

“พี่...”พี่ท็อปมีท่าทีอึกอักขึ้นมา

“อะไรอย่ามาอ้ำอึ้งดิ อย่าบอกนะว่ามีกิ๊ก”ผมเอ่ย เมื่ออีกฝ่ายยังลีลาไม่เลิก พี่ท็อปหัวเราะลั่น “เลอะเทอะ แค่อยากบอกว่าวันนี้ สองไม่ต้องรุกพี่”

“ห๊ะ”ผมแปลกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยปากออกมา ปกติเรื่องทำนองนี้ ไม่เคยที่จะตกลงกันมาก่อน อีกอย่างใช่ว่าผมจะได้เชยชมพี่ท็อปบ่อยนักหรอก ผมเลยทำหน้าไม่ถูก เพราะวันวาเลนไทน์ปีที่แล้วผมได้ของขวัญจากพี่ท็อป

“อ้าว ทำไมล่ะ”ผมถาม เพราะวันนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดีเช่นเคย

“คือพรุ่งนี้พี่ต้องไปตรวจไซต์งานกับหัวหน้า เลยไม่อยากใช้กำลังเยอะ”พี่ท็อปเอ่ย ผมเลิกคิ้ว มันเกี่ยวกันด้วยเหรอ เพราะไม่เคยถูกขออะไรแบบนี้มานานแล้ว ไอ้สโกแกนที่ว่ายังไงก็ได้ หรือ วินๆทั้งสองฝ่าย มันห่างหายไปจากคู่ของผมอยู่นาน

“อ่า มีข้ออ้างแบบนี้ ผมก็แห้วอ่ะดิ”ผมบอก ใจเหี่ยวเฉาลงไปเยอะ ที่จริงเมื่อครู่ก่อนผมอุตส่าห์คิดอะไรเพลินๆตั้งหลายอย่าง ไม่คิดว่าจะโดนตัดจินตนาการแบบนี้ พอมองสำรวจอีกฝ่ายที่ดูจริงจัง อย่างกับคุยเรื่องงาน ผมอดขำไม่ได้ เลยนึกหาเรื่องแกล้งพี่ท็อปดีกว่า

“ทำหน้าแบบนี้ เซ็งอ่ะดิ”พี่ท็อปมองผม เอ่ยพูดอย่างกังวลใจ ผมทำเป็นถอนหายใจยาวราวกับเบื่อหน่ายในชีวิต

“อือ นานทีปีหน ผมก็ไม่ได้เฉียดมือไปจับตูดพี่บ้าง”ผมแกล้งเอ่ยไป เห็นพี่ท็อปคิ้วขมวด

“เหอะๆ อย่าพูดทะลึ่ง พรุ่งนี้คงต้องเหนื่อยหน่อย”

“พี่เป็นฝ่ายอยู่เฉยๆน่าจะสบายกว่าไม่ใช่เหรอ เกิดไปแข้งขาอ่อนสะดุดล้มขึ้นมาจะแย่เอา”ผมบอก แต่ก็ไม่คิดว่าไอ้การโดนเสียบจะดีไปกว่ากัน คงหนักกว่าเก่าล่ะมั้ง

“โธ่ คงหนักกว่าเดิมล่ะสิ”ไม่คิดว่าพี่ท็อปจะมาต่อรองกับผมด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ ผมไหวไหล่

“ไม่รู้ ไปข้างล่างดีกว่า หิวแล้ว”ผมตัดบท ลุกขึ้นยืนแล้วรีบออกจากห้องทันที ในใจที่ห่อเหี่ยว มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง ผมเดินลงมาชั้นล่าง จัดโต๊ะอาหาร แอบไปเห็นดอกกุหลายสามดอกที่โต๊ะบริเวณโซฟาแล้วก็ยิ้มออก แล้วบอกผมไม่ให้ซื้อดอกไม้ ผมเดินไปหยิบดอกกุหลาบมาใส่แจกันที่โต๊ะอาหารแทน ไม่นานก็เห็นว่าพี่ท็อปเดินเข้ามาหา ด้วยชุดสบายๆเสื้อยืดกางเกงขาสั้น สีหน้าเคร่งเครียดกว่าที่ควรจะเป็น ผมยิ่งอารมณ์ดี

“เป็นอะไรหน้าเครียด”

“เปล่า”มีตึงๆด้วยแฮะ ผมแอบยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เลยเลื่อนเก้าอี้นั่งลง

“เสียดายน่าจะซื้อไวน์ไม่ก็สปายมานะพี่ ดื่มเบาๆพอ”ผมชวนคุย

“อือ ตุ๊ดฉิบ”พี่ท็อปแอบแขวะเรื่องเครื่องดื่ม ผมหัวเราะออกมา “หุ้ว คิดมากอะไร พรุ่งนี้ยังต้องทำงานนะพี่ เดี๋ยวแฮงค์เอา”ผมบอก ไม่อยากทำอะไรเกินตัว

“ออกไปซื้อที่หน้าปากซอยสิ”พี่ท็อปบอก ก้มหน้าก้มตากินข้าว ผมเหลือบมองอย่างพอใจ นานๆทีจะเห็นเจ้าตัวคิดเล็กคิดน้อย ผมนั่งทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยกว่าปกติ ทั้งๆที่อาหารไม่ได้เลิศรสนัก

“อืม เอาเกลือใส่ไปหรือไงวะ”พี่ท็อปบ่นพึมพำ ไอ้เรื่องเสน่ห์ปรายจวักพี่ท็อปน่าจะนำหน้าผมไปแล้ว พ่อก็ชอบส่งสูตรอาหารมาให้อยู่ตลอด

“ฮ่ะๆ หนักมือไปหน่อย”ผมยิ้ม เจ้าตัวเงยมองด้วยใบหน้าเรียบเฉยกับเสียงหัวเราะที่คงไปสะกิดต่อมอีกฝ่าย ผมกลั้นยิ้ม หลังจากที่ทานมื้อเย็นอิ่มหนำ ผมเดินออกไปซื้อน้ำแข็งกับสปายมาหนึ่งแพ็ค ไม่วายหยิบถุงยางติดมาด้วย เพราะมีหลายแบบ ชนิดที่มีกลิ่น ลังเลอยู่บ้างเพราะไอ้กลิ่นพวกนี้มันเป็นตัวเสริมให้เกิดอารมณ์พอสมควร ผมเลือกอยู่นานจนพนักงานมอง ทำอย่างกับว่าเป็นวัยละอ่อนที่ยังเวอร์จิ้น ผมหยิบติดมาด้วย เผื่อได้ใช้ ไม่ใช่ไซต์ผมหรอก ทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่านานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ซื้อถุงยางให้ตัวเองใช้

ตั้งแต่คบกับพี่ท็อปมาสามปีกว่าๆ ครั้งล่าสุดที่ได้กดอีกฝ่าย เหมือนจะเนิ่นนานจนผมลืมไปแล้ว ถึงจะไม่คิดมากกับเรื่องนี้ แต่ก็อดไม่มั่นใจในตัวเองอยู่เหมือนกัน คนมันเสียเซลฟ์มานาน แต่ก็ใช่ว่าจะโหยหาอะไรมาก พี่ท็อปก็ไม่ใช่ไร้น้ำยา เราไม่ได้มีบทบาทที่ตายตัวหนัก พี่ท็อปไม่เคยเอ่ยบอกว่าห้ามพลิก ก็คงแล้วแต่อารมณ์ผมในตอนนั้นด้วยล่ะว่าอยากจะเป็นฝ่ายทำหรือไม่ แต่สุดท้าย ปีที่ผ่านๆมาก็แทบไม่ได้พลิกบ่อยนัก ค่อนข้างจะร้างลาไปนาน  ถ้าไม่มีเทศกาลหรือวันสำคัญๆผมก็ไม่ค่อยฮึดอยากจะเปลี่ยนบทบาทนักหรอก วาเลนไทน์ปีก่อนยังได้ลิ้มรสอยู่เลย มาหักหน้ากันซะดื้อๆ

ผมเดินใจลอยกลับเข้าบ้านช้าๆ มองนาฬิกาแล้วเห็นว่าตัวเองใช้เวลาไปประมาณสิบนาที ผมล็อกประตูเดินไปนั่งเล่นที่ศาลาในสวน ไอ้ทูเดินมาหา ลิ้นห้อยหอบแฮ่กๆมาให้ ผมเรียกมันให้มาใกล้ๆ อดใจไม่ไหวบีบหูของมันเล่นจนมันมือ มันร้องเอ๋งๆเพราะผมเล่นแรงไปหน่อย เลยแกะขนมยื่นไปให้มันกินเล่น

“มานั่งอะไรตรงนี้ เดี๋ยวยุงกัด”พี่ท็อปเดินออกมาจากด้านในบ้าน เอ่ยบอกเสียงดังความมึนตึงในน้ำเสียงหายไปแล้ว ผมไหวไหล่ นั่งพิงเสาไม้อย่างเหม่อลอย

“โกรธเหรอ”อีกฝ่ายเดินมานั่งข้างๆ เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบ

“เปล่านี่ โกรธไปทำไม”ผมบอก พี่ท็อปยื่นหน้ามามอง คิ้วขมวด แววตาสีดำไม่ขยับไหว จ้องมองมาเหมือนค้นหาความจริง

“ก็โกรธพี่ไง”เจ้าตัวพึมพำเสียงแผ่ว

“เรื่องแค่นี้ พี่อ่ะคิดมาก”

“เหรอวะ”พี่ท็อปหัวเราะ หันมองถุงเซเว่นแล้วแหวกถุงพลาสติกมองเข้าไปด้านในแทน เห็นสปายกับน้ำแข็ง ผมจ้องปฏิกิริยาอีกฝ่ายที่สอดส่องมองของในถึงจนครบ เห็นว่าหัวคิ้วคลายความกังวลออกไป เจ้าตัวเงยหน้า “สอง”

“หืม”

“เอาตรงๆนะ โกรธพี่ไหม”

“...ไม่โกรธหรอก แต่แค่...ไม่รู้สิ ผมว่าพี่แคร์เรื่องนี้มากเกินไป น่าจะปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องตามราวไป”ผมบอก

“อืม เหมือนซื้อมาประชดพี่”พี่ท็อปบอก เอียงตัวมาใกล้ ศีรษะซบลงกับไหล่ของผมไปด้วย ทำให้ผมยิ้มออก

“หึหึ คิดงั้นเหรอ เอามาให้เลือกไง อยากได้แบบไหนก็ตามใจ”

“เหรอ”พี่ท็อปพึมพำ ก่อนจะยื่นมือซ้ายมาบีบแก้มผมจนเจ็บนิดหน่อย

“เฮ้อ รักไปแล้วนี่หว่า ทำไงได้”ผมเอ่ยเสียงอ่อนลง

“อ่า พี่กลายเป็นคนใจแคบไปซะได้”

“พอๆ อย่ามาดราม่า”ผมหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นยืน พี่ท็อปหยิบถุงใส่ของเดินตามผมเข้าบ้าน ด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ก่อน ผมกับพี่ท็อปขึ้นไปยังชั้นสอง เปิดทีวีดูแก้เบื่อ ยังไม่มีอารมณ์จะไปจ้ำจี้กับอีกฝ่ายนัก

“กินช็อกโกแลตป่ะ”พี่ท็อปถาม ระหว่างที่เอาถุงน้ำแข็งเทใส่กระติกขนาดเล็ก รินสปายใส่แก้วให้ผมท่าทางเอาใจ ผมเหลือบมอง “ยังอ่ะ อยากกินเหล้ามากกว่า”ผมบอก ยกแก้วมาดื่ม กลิ่นของมันแตะจมูกแรงขึ้น

“จะย้อมใจเหรอ”พี่ท็อปเอ่ยทีเล่นทีจริง

“แค่บิ้วตัวเองนิดหน่อย”ผมบอก ยังหัวค่ำอยู่เลย

“ให้นวดให้ไหม”อยู่ๆพี่ท็อปก็ถาม ผมมอง นึกในใจว่าคงเป็นวิธีเอาใจผมมากกว่า “ตรงนี้น่ะเหรอ”ผมถาม

“ที่เตียงสิ”พี่ท็อปบอก

“หึหึ ตลอดนะ”ผมส่ายหน้า ก่อนจะเข้าไปล้างเนื้อล้างตัวอีกรอบให้สดชื่น ผมมานึกทบทวน เมื่อปีที่แล้ววันวาเลนไทน์ผมกับพี่ท็อปก็ไม่ได้มีอะไรหวานแหววมาก แค่ให้ดอกไม้ ไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนที่ร้านอาหารของไอ้ผิง แล้วก็จบลงที่เตียง

ผมออกมาจากห้องน้ำ เห็นพี่ท็อปกำลังแกะช็อกโกแลตเข้าปากไปด้วย ผมเดินไปที่เตียงล้มตัวลงนอนอย่างผ่อนคลาย พี่ท็อปเดินไปเปิดลิ้นชัก หยิบกล่องสีน้ำตาลออกมา แล้วยื่นให้ผม

...กลิ่นช็อกโกแลตเนี่ยนะ ผมเลิกคิ้วมอง เคยได้ยินแต่ไม่เคยใช้

“ซื้อมาจากไหน”

“ในเว็บไง”พี่ท็อปบอกยิ้มๆ เข้ามากอดผมไว้หลอมๆ “วางแผนมาซะดิบดี”ผมพูดอย่างไม่คิดอะไร หันมองใบหน้าของคนที่กอดผมอยู่ อีกฝ่ายยังคงมองผมด้วยสายตาเช่นเดิม สายตาที่มีความรักมอบให้ แต่วันนี้ออกจะหยาดเยิ้มไปหน่อยไม่รู้เพราะฤทธิ์เหล้าหรือฤทธิ์คนหื่น

ผมเปิดกล่อง ดึงซองถุงยางออกมาอย่างสงสัยใครรู้ ก่อนจะฉีกซองออกอย่างไม่กลัวเสียของ กลิ่นช็อกโกแลตลอยออกมา ก็หอมดี แต่แอบเห็นข้างกล่องว่ามีสามกลิ่นพอดี  เหมาะกับวันวาเลนไทน์ ที่จริงเพราะวัน 14 ก.พ นั่นแหละ ถึงได้มีกลิ่นนี้ออกมา ผมโยนทิ้งลงถัง หยิบทิชชูมาเช็ดมือ

“เสียไปอันหนึงเลย”พี่ท็อปบอก “ระวังขาอ่อนนะพี่”ผมหัวเราะ ขยับไปนอนบนหมอนหลับตาลง เตียงอ่อนยวบเมื่อคนข้างกายขยับมานอนด้วย มือข้างถนัดลูบไล้ผ่านใต้เสื้อบริเวณหน้าท้อง ผมลืมตามอง

“ไหนว่าจะนวดไง”ผมถาม

“เอาจริงๆไหมล่ะ”พี่ท็อปทำเสียงจริงจัง ผมยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนท่านอน “ปวดไหล่พอดี”ผมบอก ก่อนจะนอนคว่ำ ขยับหมอนมาไว้ใต้คาง พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ “เอายานวดไหม”

“หึ เหม็น เอากลิ่นอโรม่าดิ ได้มาก็ไม่ได้ใช้เลย”ผมหลับตาบอก ตั้งแต่ไปร้านสปานวดคราวก่อน ผมได้น้ำมันนวดอโรมามาจากแม่พี่ท็อปเป็นของฝากจากเชียงใหม่

“เออว่ะ”เจ้าตัวพึมพำ ลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปเปิดลิ้นชักข้างเตียง หยิบขวดขนาดไม่ถึงสองนิ้วออกมาด้วย อีกฝ่ายเปิดฝาขวด ก่อนจะยกขึ้นดมแล้วย่นจมูก

“กลิ่นจะติดไหมเนี่ย”

“เดี๋ยวก็หายน่า”ผมบอก มองเจ้าตัวนั่งลงบนเตียง อีกฝ่ายบุ้ยใบ้ให้ผมถอดเสื้อออก ผมทำตามอย่างว่าง่าย กำลังคิดอยู่ว่าจะหาทางแกล้งอีกฝ่ายแบบไหนดี ผมโยนเสื้อไปข้างๆอย่างเกียจคร้านแล้วล้มตัวนอนต่อ

“นวดดีๆนะ”ผมบอก เห็นว่าพี่ท็อปไม่ได้ถอดเสื้อผ้าตาม สงสัยคงกลัวผมงอนเรื่องก่อนหน้านั้นเลยอยากเอาใจ พี่ท็อปขยับมาใกล้ก่อนจะลากมือเย็นๆไปที่หัวไหล่ รับรู้ถึงน้ำมันที่หยดลงไปตามหัวไหล่และบ่า ผมย่นคิ้วเพราะน้ำหนักมือแรงจนกลายเป็นเจ็บ “โห จะหักกระดูกผมเหรอ”ผมบ่นพึมพำ พี่ท็อปยื่นหน้ามามองใกล้ๆ มีรอยยิ้มปรากฏอยู่ เจ้าตัวไม่วายขยับมาจุ๊บแก้มผมเป็นของแถมก่อนจะกลับไปประจำการ ทำหน้าที่เป็นมือนวดต่อ อีกฝ่ายผ่อนน้ำหนักมือ กดลงที่หัวไหล่ ถึงจะไม่ถูกวิธีหนักแต่ก็ทำให้คลายความปวดเมื่อยที่บ่าลงไปได้บ้าง จนผมเกือบเผลอหลับไป

“ง่วงเหรอ”พี่ท็อปถาม หยุดมือลง เอนหน้ามาถาม ผมส่งเสียงอือออกลับไป ก็เล่นนวดเพื่อคลายเส้น ไม่ได้นวดแบบหยอกเย้า ผมปรือตามองอีกฝ่าย กำลังเห็นว่าเจ้าตัวเก็บขวดน้ำมันหอมไปวางที่โต๊ะ พี่ท็อปเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาเช็ดที่แผ่นหลัง ผมขี้เกียจลุกไปล้างตัวอีกรอบเลยปล่อยให้อีกฝ่ายเช็ดตัวไปแทน ผมพลิกตัวนอนหงาย มองพี่ท็อปที่อมยิ้มบนใบหน้า เห็นแววตาของเจ้าตัวแล้วผมก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ เลยยกขายันเข้าที่เอวอีกฝ่ายไปเต็มแรง

พี่ท็อปหัวเราะ จับขาของผมไว้แทน จากนั้นก็โยนผ้าเช็ดตัวในมือลงพื้นไปแบบส่งเดช แล้วหันมาจัดการกับปราการที่ขวางกั้นผมกับเจ้าตัวแทน

“นอกจากจะไม่หวานแล้ว พี่กะจะหื่นอย่างเดียวเลยหรอเนี่ย”ผมแกล้งพูด พี่ท็อปตวัดตามอง ก่อนจะก้มมาหยอกเอินกับริมฝีปากของผมอยู่นานสองนาน ลมหายใจร้อนๆเป่ารดข้างแก้มจนรู้สึกว่าตนเองอ่อนแรงไปด้วย

“ไม่หื่นกับแฟนจะไปหื่นกับหมาที่ไหนกัน หืม”พี่ท็อปยืดตัวมอง ส่งยิ้มหวานมาให้ก่อนจะปลดกางเกงออกจากร่าง ทั้งเนื้อตัวเปล่าเปลือยด้วยกันทั้งคู่  จะว่าไปต้องขอบคุณรสนิยมของอีกฝ่าย ผมยังไม่ลืมเซ็กส์ในคราวนั้นของเราเลย ไอ้จิบไวน์นอนเปลือยที่กลางบ้านกับการตกแต่งแปลกๆนั่น ผมลบออกจากความทรงจำไม่ได้เลย เหมือนเป็นตัวกระตุ้นใหพึงระลึกอยู่เสมอว่าอย่าผลีผลามตะกุมตะกรามมากไป

“แน่ะ ใจลอยอีกไปถึงไหน”คนด้านบนหัวเราะเสียงนุ่ม เอื้อมมือมาจับส่วนกลางลำตัวของผมอย่างพอดิบพอดี เราสองคนกำลังตื่นตัวกันทั้งคู่ พี่ท็อปโน้มตัวลงมากอดผมไว้อย่างนิ่มนวล ร่างกายอุ่นร้อนสัมผัสกันและกันจนรู้สึกเตลิดไปไกล อีกฝ่ายก้มลงจูบที่ลำคอ ลากลิ้นเลียขึ้นไปถึงใต้กกหู ผมยกแขนโอบกอดคนด้านบนไว้แน่น จากนั้นเราก็จูบกันอีกครั้ง ยาวนานจนกว่าผมจะหอบแฮ่ก

ร่างกายที่คุ้นเคยกันมาตลอดสามปี ไม่ว่าจูบ ดอมดมส่วนไหนก็ร้อนเป็นไฟ จุดติดได้ง่ายไปหมด กลิ่นช็อกโกแลตหอมหวานติดจมูกทำให้เคลิ้มไปอย่างง่ายดาย ว่ากันว่ากลิ่นสามารถช่วยกระตุ้นอารมณ์ได้ดี กลิ่นหอมหวาน ร่างกายที่คุ้นเคย ความอบอุ่นของคนรัก และสุดท้ายคำบอกรักกันและกันจึงแผดเผาให้ทั้งร่างแทบหลอมละลายไปด้วยกัน

กว่าจะผ่านสมรภูมิรบไปได้ พี่ท็อปก็ไม่ปล่อยให้ของที่ซื้อมาเสียเปล่า หยิบมาใช้ทีละนิด ก็เล่นเอาหมดเรี่ยวหมดแรงไปทั้งคู่

  ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ภายในห้องก็มืดสนิท คนข้างกายยังกอดผมไม่ปล่อย หายใจสม่ำเสมอ หลับเป็นตายไปแล้ว ผมยิ้มกับตัวเอง ยื่นหน้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายฟอดใหญ่ หยิบนาฬิกามาดู อีกไม่กี่ชั่วโมงแสงสว่างก็จะพ้นขอบฟ้าแล้ว

ผมค่อยๆขยับตัวลุกออกจากเตียง พอยืนกับพื้นก็รู้สึกว่าสองขาอ่อนเปลี้ยไปบ้าง เดินขัดๆพิกล ผมย่องไปเข้าห้องน้ำ ตอนนี้ตื่นเต็มตา ไม่รู้สึกเพลียเท่าไหร่ ผมอาบน้ำสำรวจร่างกายว่าสึกหรอตรงไหนบ้าง หยิบสบู่เหลวมาชำระร่างกายให้กลิ่นช็อกโกแลตมันหายไปจากตัว

ออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าภายในห้องสว่าง พี่ท็อปยังคงนอนอยู่ ทว่าลืมตามองผม กวักมือเรียกให้ไปหา ผมเช็ดตัวให้แห้งรีบคว้าเสื้อกับกางเกงมาใส่ลวกๆ แล้วเดินไปหาพี่ท็อปที่เตียง นั่งลงข้างๆอีกฝ่าย

“อรุณสวัสดิ์ครับ”ผมบอก ยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มอีกฝ่าย คนที่ยังงัวเงียย่นคิ้ว แต่กลับรั้งลำคอของผมไปกอดจูบอยู่พักนึง ผมหัวเราะเบาๆ หยิบผ้าเช็ดตัวบนเก้าอี้มาเช็ดผมให้แห้ง หยดน้ำกระเซ็นใส่คนที่นอนอยู่ไปด้วย

“ตื่นเช้าจัง”

“ต้องไปหุงข้าวอีก”

“ทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่องจริงๆเลย”อีกฝ่ายเอ่ยแซวใบหน้ายิ้มแย้ม อีกฝ่ายขยี้ตาไปมา ก่อนจะขยับอย่างเกียจคร้าน คลานมานอนบนตักของผมอย่างออดอ้อน แหงล่ะ ก็ต้องเอาใจผมหน่อย

“วันเสาร์ก็ชดเชยให้ผมด้วยแล้วกัน จะได้ไม่มีข้ออ้างว่าไม่อยากใช้กำลังเยอะ”ผมก้มมองคนบนตักด้วยรอยยิ้ม พี่ท็อปจ้องผมด้วยแววตาวิบวับ

“...รู้ไหมทำไมพี่ถึงเอาจริงเอาจริงเรื่องนี้”พี่ท็อปไม่ตอบคำถาม แต่ดันยกประเด็นเรื่องเก่าขึ้นมาแทน ผมผงกหัวอย่างเห็นด้วย

“ทำไมล่ะ”

“ก็ไอ้เพื่อนเวรน่ะสิ มันดันกวนตีน แอบซุบซิบกันว่า....”พี่ท็อปขมวดคิ้ว บ่นเป็นหมีกินผึ้ง สีหน้าดูไม่สบอารมณ์จริงจัง ผมมองอย่างนึกสนุก “ว่า”

“ว่าพี่ต้องโดนมึงอัดแน่นอน วันนี้ต้องออกไปไซต์งานกับพวกมันด้วยพอดี มันก็เลยวอนตีนจัด อยากจะขอพิสูจน์ สองก็น่าจะรู้นะว่ามันกวนตันกันแค่ไหน”พี่ท็อปหัวเราะออกมา ผมนิ่งไป ต่อให้พี่อิฐล้อพี่ท็อปจริง อีกฝ่ายไม่หน้าบางปานนั้นหรอกมั้ง แต่ก็นะ พี่ท็อปก็ใช่ว่าจะยอมผมบ่อยๆ ถ้าได้โอกาสผมก็จัดการให้อ่วมไปเลย โทษฐานที่ร้างลามานาน

“ฮ่าๆ พี่อิฐน่ะนะ ยังแซวพี่ไม่เลิกอีกเหรอเนี่ย”ผมขำออกมา กี่ปีกี่ชาติ พี่แกก็ยังชอบโดนตีนพี่ท็อปอยู่เสมอ คนอะไรอยากโดนพี่ท็อปเตะ

“เออดิ แม่งพนันกันด้วยนะ”พี่ท็อปส่ายหน้ายิ้มๆ แต่ผมไม่คิดว่าพี่ท็อปจะมาเอาจริงจังเพราะโดนเพื่อนแซวหรอก หาเรื่องบ่ายเบี่ยงผมซะมากกว่า

“แล้วพี่อิฐแกหาทางพิสูจน์ยังไงล่ะ ถึงจะได้เงินพนัน”ผมถามต่อ พี่ท็อปจ้องหน้าผมเขม็ง ไม่ยอมตอบอะไรออกมา ผมมองนิ่งๆ แกล้งกดดันต่อไป “ว่าไงล่ะ”

“ไม่บอก...”พี่ท็อปบอกเสียงเรียบ ยื่นหน้ามากัดหน้าท้องผมแรงๆ ถึงจะใส่เสื้อแต่อีกฝ่ายไม่ออมแรงเลย

“อ้าว ทำเป็นเขินอีกคนเรา”ผมหัวเราะ

“เออ กูอายมากกว่า เสียหน้านะโว้ย”พี่ท็อปเงยมอง

“ที่จริง ไม่เห็นต้องมาจริงจัง”ผมส่ายหน้า “ฮ่ะๆ แต่ก็นะ เป็นผัวมาตั้งนานจะให้กลายมาเป็นเมียมันก็ทำใจยากหน่อย”พี่ท็อปไม่วายเอ่ยถ้อยคำทำรายจิตใจของไอ้สองคนนี้เช่นเคย ผมยิ้ม เอื้อมไปชกไหล่อีกฝ่ายให้หายหมั่นไส้ ผมจะปล่อยเบลอมองผ่านไปก็แล้วกัน ชกไปหลายทีเข้า คนบนตักคงเจ็บเลยยกมือมาคว้ากำปั้นผมไว้แทน ก่อนจะจ้องตาผมไม่กระพริบ

“ฟังนะ เพราะสองเป็นแบบนี้ไง พี่ถึงรักไปเปลี่ยน”อยู่ๆพี่ท็อปก็เปลี่ยนอารมณ์มาบอกรักผมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ก็ทำให้ผมยิ้มออก ก้มมองคนบนตัก เอื้อมไปเขี่ยแก้มเจ้าตัวเล่น พลางสบตากันไม่ห่าง

“ไม่รักก็บ้าแล้วครับ”ผมเอ่ยออกมา คนบนตักค่อยๆปรากฏรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟัน นัยน์ตาสีดำเปล่งประกายความสุขใจออกมาอย่างปิดไม่มิด

“อือ สงสัยวันนี้ต้องโด๊ปสักขวด เออ ฝากทำไข่ลวกให้หน่อยนะ”พี่ท็อปบอก ก่อนจะผุดลุกออกจากตักของผม ยื่นหน้ามาหอมแก้มกันอีกฟอด

บางทีก็ไม่เข้าใจแฟน ทำไมต้องมาดับอารมณ์โรแมนซ์ด้วยก็ไม่รู้นะ

ผมนั่งมองร่างของคนที่อ่อนเพลียเดินเซเข้าห้องน้ำไปแล้วถอนหายใจ ลุกออกจากเตียง ลงไปเตรียมอาหารเช้ากับเมนูโด๊ปให้ทั้งตัวเองทั้งพี่ท็อปนั่นแหละ ไอ้สองนี่มันกลายเป็นเมียของพี่ท็อปไปแล้วจริงๆสิเนี่ย


.
.
.
.
ตอนพิเศษสั้นๆไม่มีไรมากแค่คิดถึงท็อปสองจ้า

 :L1:
หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' x จบแล้ว l ตอนพิเศษ 14.ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 14-02-2018 15:07:24
ตอนพิเศษ : Valentine’s day
Deen Diary ** เหตุการณ์ไม่อิงเรื่องราวในเล่ม

-12 ก.พ.

ผมยังคงเป็นมนุษย์ห้อง ชอบสิงสถิตอยู่ภายในโลกของตัวเอง ยกเว้น บางวันที่มีคนพาออกไปข้างนอกบ้าง คงไม่ใช่ใครนอกจากไอ้แกนนั่นแหละ มาจนตอนนี้ ผมเรียนจบมา4 ปีแล้ว หากจะนับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้แกนล่ะก็ การการเป็นเพื่อนที่ดีระหว่างกันเข้าสู่ปีที่ 5 แล้วนับตั้งแต่ที่ผมยกโทษให้อีกฝ่าย นานพอควรสำหรับการที่จะปล่อยให้ความรู้สึก ‘บางอย่าง’ ตกตะกอนสู่ก้นบึ้งในใจ

ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ผมยังมีไอ้แกนไม่ห่างไปไหน มันยังคงแสดงตัวตนให้ผมได้รับรู้ จนทำให้ผมได้เข้าใจตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะเราต่างก็รับรู้ว่าตนเองกำลังรู้สึกบางอย่างต่ออีกฝ่าย เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมา

ช่วงสองทุ่มของวันจันทร์ 12 ก.พ ผมควรจะนอนอยู่ที่ห้อง ดูหนังอย่างเคย แต่ไอ้แกนดันบอกว่าจะพามาดูมวย ผมถึงถอนหายใจเซ็ง ชกมวยอีกแล้วหรือไง ผมเดินเข้าไปในลานเวทีมวย พยายามมองหาไอ้แกน แต่ไม่เห็นเลยโทรหามันอีกครั้ง รอสายอยู่นาน

“เออ กูมาแล้วนะ มึงอยู่ตรงไหน”ผมถามทันที แต่เสียงในสายดูวุ่นวายและมีเสียงคนพูดคุยแทรกออกมา มันคงอยู่ในงานเช่นกัน

“ผมเพื่อนแกนครับ ตอนนี้แกนมันกำลังขึ้นชก เนี่ยเวทีกลางเลยครับ”ทันทีที่มีเสียงพูด ผมถึงกับอึ้ง ไอ้แกนมันขึ้นชกมวยงั้นเหรอ ผมหันไปมองตามทิศทางของเวทีกลางซึ่งอยู่ตรงหน้าผม ตอนนี้มีเสียงพากย์กำลังบรรยายถึงมวยคู่นี้ ไม่ใช่คู่เอก ประกาศชื่อไอ้แกนออกมา ผมตกใจที่เห็นมันปีนข้ามเชือกไปยืนกลางเวที พร้อมกับคู่ต่อสู้ ผมวางสาย รีบเดินผ่านกลุ่มคนที่เริ่มเข้ามานั่งดู

ไอ้แกนมันดูดุดันเวลาสวมนวมและกางเกงมวย ตอนนี้มันกำลังคุยกับพี่เลี้ยง นวดน้ำมัน ใส่ฟันยางเรียบร้อย ผมกังวลใจเพราะไม่เคยเห็นมันชกมวยจริงๆจังแบบนี้มาก่อน ไอ้แกนกวาดสายตามองลงไปยังกลุ่มคนดู มันหยุดมองมาที่ผม เหมือนเลือดกายเย็นเฉียบ ผมใจหยุดเต้นไป บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง

ผมเป็นห่วงมัน กลัวมันจะเจ็บ

คนบนเวทีสวมกางเกงสีแสง ส่งสายตาเหมือนกำลังบอกผมว่ามันไม่เป็นอะไร ผมไม่เข้าใจว่ามันกลับไปชกมวยอีกทำไม

ไม่นานมีเสียงปี่เสียงกลองเพื่อรำไหว้ครูมวย ผมกอดอกมองกางเกงสีน้ำเงินที่กำลังนั่งคุกเข่าถวายบังคม รำมวยท่าพรมสี่หน้า ผมมองคนบนเวทีมวยด้วยใจที่แปลกไป ผมไม่เคยเห็นมุมนี้ของไอ้แกนมาก่อน ท่วงท่าตั้งใจ และดูแข็งแรงมาก ไม่ว่าจะกล้ามเนื้อขา แขนและลำตัว ผมมองคู่ต่อสู้ของมันก็สมน้ำสมเนื้อ ดูจะล่ำกว่าไอ้แกนด้วย

“มาดูเหมือนกันเหรอ”เสียงของคนรู้จักทำให้ผมหันไปมอง “ไอ้ตั้ม”ผมมองมันอย่างแปลกใจ ไอ้ตั้มเดินมายืนข้างๆโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว “ไม่ได้เจอนานเลย”มันยังคงยิ้ม ท่าทางเป็นห่วงผมเช่นเคย ผมพยักหน้า ไอ้ตั้มเป็นเพื่อนของแกนนี่นะ ทั้งๆที่มันอายุมากกว่าไอ้แกนซะอีก มากกว่าผมด้วย แต่มันกลับไม่ถือเรื่องอายุ เพราะห่างกันสองสามปี อาจเพราะมันเป็นเพื่อนไอ้แกน เลยทำให้ผมไม่มองมันเป็นพี่เท่าไหร่

“อือ ก็ไม่ค่อยว่างกลับไปแถวมอ”ผมบอก

“ว่างๆมาเยี่ยมกันบ้างก็ได้”

“ไว้จะไป”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้แกนร้างไปนาน แต่ก็ใช่ว่าสนิมจะเกาะ”ไอ้ตั้มบอก ผมหันไปมองอย่างเรียบเฉย ในใจนึกกระตุกอยู่บ้างที่มันเหมือนจะรู้เรื่องของผมมาก่อน

“เหรอ ทำไมมันถึงกลับมาชก”

“มันบอกแค่ว่ากำลังทบทวนอะไรบางอย่าง มันเลยอย่างทิ้งทวนความรู้สึก”

“บ้า”ผมบอก คนข้างๆหัวเราะออกมาทันที

เสียงกระดิ่งดังขึ้นเป็นสัญญาณว่ากำลังเริ่มการชก การชกมวยไทย ยกละสามนาที ห้ายก แค่คิดก็หมดแรงแทนแล้ว ได้ยินว่าการฝึกซ้อมและการขึ้นชกมันเหนื่อยโหดมาก ผมไม่รู้ว่าไอ้แกนมันต้องการอะไร เพียงแค่มองมันออกอาวุธ ยกแรกเหมือนแค่ลองเชิงกันไปก่อน ไอ้แกนยังไม่ออกศอกออกแข้งอะไรมาก พอเข้ายกที่สอง เหมือนว่าไอ้แกนเลิกลองเชิงแล้ว จะขยับเข้าไล่ใส่ฝ่ายตรงข้าม แต่การ์ดไม่ตกเลย เสียงนวมปะทะกับร่างกายเสียงดัง ต่อให้มีการ์ดหลบหลีก กอดรัดป้องกันแค่ไหนก็ไม่อาจหลบหมัดของคู่ต่อสู้ได้ ถ้าเปิดหน้าแลกก็ต้องมีเจ็บตัว

“มันจะเป็นอะไรมากไหมนั่น”

“มึงใจไม่แข็งพอเหรอวะเนี่ย ไม่ยักรู้”ไอ้ตั้งถึงกับหัวเราะ ผมแปลกใจที่มันเอ่ยออกมาแบบนี้ ผมมองมันงงๆ

“อือ กูไม่ชอบกีฬาแบบนี้หรอก”ผมบอก ก่อนหันไปสนใจบนเวทีต่อ เข้ายกที่สามคู่ต่อสู้เหมือนเก็บแรงไว้ปล่อยใส่ไอ้แกนตอนท้ายยก ผมเห็นว่าลำตัวมันแดงเถือก ใบหน้าบวมช้ำ ยิ่งมองก็ไม่เข้าใจ

“มึงคงไม่แช่งมันให้แพ้นะ”

“ทำไมต้องแช่งด้วยล่ะ”ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก เสียงรอบตัวดังเฮเพื่อเชียร์ฝั่งของตนเอง ฝ่ายสีแดงอย่างไอ้แกนมีทีท่าเริ่มออกอาวุธน้อยลง คงเป็นกลยุทธของมันล่ะมั้ง ตอนนี้ก็เข้ายกสุดท้ายแล้ว ถ้าน็อกไม่ได้ ก็ต้องออกอาวุธเรียกคะแนนให้มากที่สุด ก่อนจะหมดยกสุดท้าย ไอ้แกนฝากหมัดซ้ายไปที่ปรายคางของคู่ต่อสู้ เรียกเสียเฮได้ไม่น้อย อีกฝ่ายปากแตก ท่าทางมึนๆก่อนจะจบยกไป ผมรอลุ้นคะแนน กรรมการจับแขนของนักมวยไว้ เตรียมชูมือฝ่ายที่ชนะ ผมเองก็เห็นว่าคู่นี้สูสี แต่พอกรรมการชูแขนของไอ้แกนขึ้นเสียงเฮรอบด้านก็ดังกลบเสียงคนพากย์ ได้ยินว่าคู่ต่อไปเป็นคู่เอก ไอ้ตั้มดึงผมให้เดินไปหาไอ้แกนที่ข้างเวที พอเดินเข้าไปใกล้ ยิ่งเห็นว่ามันบอบช้ำแค่ไหน ผมนิ่งไป

“ดีใจนะที่มา”มันหันมาพูดกับผม ข้างตัวมันมีพี่เลี้ยงและหน่วยแพทย์อยู่ มาเช็กอาการของมัน ต้องไปเอกซเรย์ดูว่ามีส่วนไหนฟกช้ำหรือเปล่า เพราะภายนอกมันไม่มีเลือดออก แต่อวัยวะภายในอาจได้รับความเสียหาย

“นึกว่าจะหมดแรงข้าวต้มก่อนซะแล้ว”ไอ้ตั้มบอก ผมอึดอัดกับสายตาของไอ้แกน เลยเลือกเดินกลับไปที่รถ ไม่รู้ว่ามันไปตรวจที่โรงพยาบาลไหน แต่เห็นว่าไอ้ตั้มวิ่งตามหลังผมมาด้วย “เฮ้ย จะไปด้วยกันไหม ไอ้แกนไปโรงพยาบาล###”มันอุตสาห์ตามมาบอกผม

“เออๆ เดี๋ยวตามไป”ผมบอก ไอ้ตั้มยิ้ม ก่อนจะโบกมือให้ผม อันที่จริงผมกำลังลังเล เพราะไม่รู้เป้าหมายของไอ้แกน ผมสะบัดศีรษะไปมาไล่ความคิดวุ่นวายออกจากหัว ผมเดินไปที่มอเตอร์ไซด์ ระหว่างทางไปโรงพยาบาลดังกล่าว ผมแวะซื้อน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องกับปาท่องโก๋ติดไป ไม่รู้ว่าไอ้แกนจะกินได้ไหม แต่ผมไม่อยากไปมือเปล่า

พอขี่รถมาถึงโรงพยาบาล ไอ้ตั้มมันไลน์มาบอกว่าไอ้แกนตรวจอยู่ บอกว่าไม่ต้องรีบมา ผมเลยนั่งรับลมอยู่ที่ด้านนอก อยู่ๆก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ภาพสุดท้ายที่เห็นคือไอ้แกนร่างกายฟกช้ำไม่น้อยเลย ผมเป็นห่วงมัน กลัวจะช้ำในตาย จากนั้นก็ถอนหายใจยาวๆ ยังคงไม่กล้าเข้าไปที่โรงพยาบาล ผมเดินไปหาที่นั่งที่หน้าตึกผู้ป่วย นึกถึงคำปรึกษาของพี่กัสขึ้นมาอีกครั้ง ผมสับสนอยู่ พอมองไปรอบตัว ก็เห็นว่ามีคนเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น

ตืด ตืด ตืด

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เห็นว่าเป็นไอ้แกน ผมมองอย่างลังเลใจ

“ฮัลโหล”

“อยู่ไหนเหรอ”อีกฝ่ายถาม น้ำเสียงไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก

“อยู่ด้านนอก แล้วเป็นไงบ้าง”   

“อือ ก็ไม่ได้ตรวจอะไรมากหรอกแค่มาเช็คมาร่างกายปกติไหม กูอยู่ห้อง ### มาหาได้นะ”ไอ้แกนบอก ผมเงียบไป

 “อือ เดี๋ยวไปแล้วกัน”ผมบอกก่อนจะวางสาย ผมหยิบถุงน้ำเต้าหู้ติดมือมาด้วย ก่อนจะเดินเข้าไปในอาคารใหญ่ ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นห้า ไอ้แกนมันอยู่ห้องพิเศษคงเพื่อความเป็นส่วนตัว ประตูลิฟต์เปิดออก ผมเดินไล่หาห้อง จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ห้องของไอ้แกน เห็นมีชื่อมันติดอยู่ ผมเคาะห้องสามครั้ง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องกว้าง เดินเข้าไปก็เจอกับเตียงผู้ป่วย มีไอ้แกนนั่งอยู่ มีสายน้ำเกลือห้อยไว้ ไอ้ตั้มนั่งอยู่ข้างเตียง คนอื่นๆก่อนหน้านั้นหายไปหมดแล้ว ไอ้แกนยิ้มให้ผม

ตอนนี้ใบหน้าของมันเริ่มปรากฏรอยฟกช้ำมากขึ้น และบวมจนเห็นได้ชัด ผมเดินเอาถุงของหวานไปวางที่ชั้นวางของ ก่อนจะเดินไปดูอาการของมัน

“เป็นไงบ้าง”

“ปกติดี แค่นอนพักวันสองวันก็พอ อันที่จริงจะกลับเลยก็ได้ แต่แม่ก็ให้นอนพักก่อน”ไอ้แกนบอก ผมพยักหน้า เหลือบมองไอ้ตั้มเงียบๆ ที่จริงผมมีเรื่องจะคุยกับไอ้แกนเหมือนกัน แต่มีไอ้ตั้มอยู่จึงไม่สะดวก

“เออ ยังไงก็แวะมาหากูที่ร้านได้เสมอนะ มึงก็ด้วยนะดีน งั้นกูไปล่ะ”ไอ้ตั้มผุดลุกจากเก้าอี้ มันหันมายิ้มให้ผมเช่นเคย อีกฝ่ายเดินออกจากห้องไป ผมหันไปมองคนเจ็บด้วยสายตามีคำถาม

“คิดยังไงไปชกมวยวะ ไม่เห็นบอกบ้าง”

“ก็ชกเป็นครั้งสุดท้าย”

“ทำไมวะ”ผมถามอย่างไม่เข้าใจ ไอ้แกนมองผมด้วยสายตาเรียบเฉย มันไม่ยิ้ม แต่ผมเห็นว่าที่ริมฝีปากของมันมีรอยแตกด้วย

“กูก็แค่พนันกับตัวเองน่ะ...กูอยากลองชกสักตั้ง”

“ไม่กลัวเจ็บเหรอ”

“หึ แค่คิดจะชกมันก็ต้องไม่กลัวเจ็บสิวะ จะมาป๊อดก็เลิกคิดไปตั้งแต่จะจับนวมแล้วสิ”ไอ้แกนเอ่ย มันเอนตัวลงกับหมอน ส่งสัญญาณให้ผมไปนั่งที่เก้าอี้ มันชี้นิ้วนั่นแหละ ผมถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมที่ไอ้ตั้มเคยนั่ง

“เหรอวะ ได้เงินเท่าไหร่กันเชียว”ผมพึมพำ เคยได้ยินมาว่าเงินที่ชกแต่ละไฟท์ก็ไม่สูงมาก ไม่รู้ว่าคุ้มกับค่าพักฟื้นไหม

“เป็นห่วงเหรอ”ไอ้แกนหันมาถาม ผมนิ่งไป จ้องหน้ามันไม่หลบสายตา

“อืม ก็ต้องห่วง ไม่ใจจืดใจดำขนาดนั้นหรอก”ผมบอกไปตามตรง เห็นว่าอีกฝ่ายมีรอยยิ้ม “แล้วคนอื่นไปไหนหมด”ผมถาม ไอ้แกนไหวไหล่ “กลับบ้านสิ กูไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ไม่มีอะไรแตกหัก เลือดออกภายใน”มันเอ่ยบอก ผมพยักหน้ารับรู้

“คืนนี้อยู่เป็นเพื่อนกูนะ”

“เอางั้นเหรอ”ผมถามอย่างไม่แน่ใจ ไม่ได้เตรียมอะไรมาด้วยเลย ไอ้แกนพยักหน้า “เอาน่า ค้างคืนเดียวเอง พรุ่งนี้กูก็ออกแล้ว คืนนี้มาเปลี่ยนที่นอนเท่านั้นเอง”เจ้าตัวพูดติดตลก มันหัวเราะ แต่ผมไม่นึกขำ เลยลุกจากเก้าอี้ไปนอนบนโซฟาริมห้องแทน

“ให้มานอนเฝ้ากู ไม่ใช่ให้มึงไปนอนคนเดียวแบบนั้น”

“แล้วจะให้ทำยังไง ไหนว่าไม่เป็นอะไรมากไง”ผมหันไปคุย ไอ้แกนขมวดคิ้ว ท่าทางไม่สบอารมณ์

“ปรับเตียงให้หน่อย”มันบอก ผมไหวไหล่ ตีหน้านิ่งเดินไปที่ปรายเตียงก่อนจะปรับเตียงให้กลับมานอนราบดังเดิม ผมดินไปเช็คน้ำเปล่าให้มัน

“หิวอะไรไหม”ผมถาม ไอ้แกนมองหน้าผมอยู่นานเหมือนกำลังจ้องจับสังเกตอะไรบางอย่าง

“ขอน้ำหน่อย”มันบอก ผมถอนหายใจ รินน้ำใส่ให้อีกฝ่าย ใส่หลอดไปให้ก่อนจะยื่นให้ไอ้แกน มันเงยมองผม มุมปากมีรอยยิ้มอยู่เสมอ มันรับแก้วน้ำไปดื่มเงียบๆจนหมดแก้ว ก่อนจะยื่นให้ผม

“ถ้าปวดฉี่จะเรียกนะ”มันบอก

“ทำไมล่ะ เดินไหวไม่ใช่เหรอ”

“เฮ้อ... ถึงจะไม่มีอะไรเสียหาย แต่แข้งขากูก็ระบมไปหมดแล้วเหมือนกัน”มันบอกอย่างเอาแต่ใจ ไอ้แกนนี่มันไม่เปลี่ยนไปจากเดิมจริงๆ ยังไม่ฟังคนอื่นอยู่เรื่อยๆ ผมไม่ตอบอะไร แค่ไปเปิดลิ้นชัก เห็นว่ามีแปรงสีฟัน ยาสีฟันของมันครบแล้ว

“ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม”ผมถาม ไอ้แกนพยักหน้า ผมเลยเดินไปเปิดไฟที่นอกระเบียง แล้วก็เดินไปปิดไฟ เดินไปทิ้งตัวลงนอนที่โซฟา ในใจตีกันให้วุ่น ไอ้แกนก็ใช่จะเจ็บป่วยหนักที่ไหน แต่มันก็ยังอุตส่าห์จะนอนห้องพิเศษอีก

ผมเหลียวมองไปทางเตียงของมัน ไอ้แกนมันยังคงลืมตามองมาทางผมอยู่ ผมใจหายวาบ ก่อนจะนอนหันหลังให้มันแทน ‘กูต้องประสาทแดกไปแล้วแน่ๆ’ ผมคิดวนไปมา ผมยอมรับว่าเป็นห่วงมัน เลยนอนเฝ้ามันที่นี่ ทั้งๆที่อยู่ในมือหมอก็น่าจะปลอดภัยแล้ว ผมหลับตาลง รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป

ใจของผมด้วยหรือเปล่านะ?


-14 ก.พ.

หลังจากที่ไอ้แกนออกจากโรงพยาบาลไปเมื่อวันอังคาร มันกลับไปทำงานตามเดิม ส่วนผมก็วนเข้าวัฏจักรเดิม ไปทำงาน กลับห้อง อยู่เท่านี้ เหมือนอย่างเช่นเคย ช่วงเช้าผมตื่นไปใส่บาตรที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ ก่อนจะขี่มอเตอร์ไซด์ไปทำงาน วันทั้งวันผมไม่มีสมาธินัก เปิดคอมฯทำงานไปอย่างเลื่อนลอย คนในออฟฟิศคุยฟุ้งเรื่องวันวาเลนไทน์ สาวๆตื่นเต้น แต่หนุ่มในออฟฟิศไม่ได้กระตือรือร้นอะไร เนื่องด้วยเป็นหนุ่มโสดและครองคู่แต่งงานมานาน ก็คงไม่มีอารมณ์มาโชว์หวานเหมือนคนหนุ่มสาว ผมได้ดอกกุหลาบมาหลายช่อ ก็เป็นเพื่อนๆพี่ๆในออฟฟิศด้วยกัน ก็ถือว่าเป็นโมเมนต์น่ารัก มีโพสท์อิทสีชมพูทวงงานกันแบบขำๆ วันนี้จึงผ่อนคลายไม่เครียดเท่าวันอื่น

ผมเช็คข้อความที่ว่างเปล่าทั้งในเฟซและในไลน์ ผมส่งข้อความทักทายไปหาแม่ตามปกติ อีกฝ่ายตอบบ้างไม่ตอบบ้างจนผมไม่อยากนึกเก็บเอามาใส่ใจ

หลังเลิกงาน ผมกลับมาที่ห้อง รู้สึกอ่อนเพลีย เข้าไปนอนที่เตียงแก้ง่วง จนตื่นมาอีกครั้งภายในห้องก็มืดไปหมด ผมหยิบโทรศัพท์ออมาดูเวลา ก็เห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับ เป็นไอ้แกนทั้งนั้น

ผมเปิดไลน์ เห็นมันทิ้งข้อความไว้ว่าให้โทรหา ผมพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงก่อนจะกดโทรออก

“ยังไม่ออกจากห้องอีก”ไม่ทันได้เอ่ยอะไรอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นมา

“ยัง เดี๋ยวจะออกไปหาอะไรกิน”ผมตอบกลับไป

“นอนอยู่เหรอเนี่ย ป่านนี้แล้วไอ้ดีน”มันโวยวายกลับมา ผมนิ่วหน้าทันที

“ งั้นเดี๋ยวไปรับนะ”ไอ้แกนบอกต่อ เพราะเห็นว่าผมเงียบไป ผมเม้มปาก นอนมองความมืดในห้องอย่างพิจารณา

 “...อือ”

ผมลุกออกจากเตียง อาบน้ำอยู่นาน ในหัวคิดเรื่องของไอ้แกนไปหลายนาที ผมออกมาแต่งตัว จากที่คิดจะใส่แค่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นธรรมดา แต่เปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นเท่าเข่ามาแทน ผมลงไปยังชั้นล่าง เดินออกไปหน้าอพาร์ทเม้น เห็นรถมอเตอร์ไซด์ที่จอดรอกับร่างของไอ้แกนที่นั่งอยู่บนเบาะมองจอโทรศัพท์อยู่ พอเห็นผมลงมามันก็โบกมือเก็บโทรศัพท์ อีกฝ่ายแต่งตัวสุภาพ ไม่เชิงว่าพร้อมเที่ยว ผมรู้สึกไม่กล้ามองหน้าไอ้แกนมากนัก

“ไปกินร้านไหนดี”ผมถาม

“สุกี้ดีไหม ไม่ได้กินนานแล้ว”ไอ้แกนตอบ ก่อนจะสตาร์ทรถเสียงดัง ยื่นหมวกกันน็อกให้ตามความเคยชิน ผมรับมา

“อือ ก็ดี”ผมตอบตกลง ผมขึ้นไปซ้อนท้ายอีกฝ่ายด้วยใจไม่ปกติ

ไอ้แกนมันพาผมมากินสุกี้ในห้างฯ คนเยอะเป็นปกติ ยิ่งเป็นวันวาเลนไทน์อีก เจอแต่หนุ่มสาวเดินมาเป็นคู่ ผมกับมันจึงไม่ถูกมองว่าแปลก ไอ้แกนเดินไปสั่งสุกี้ให้ มันบริการดีทุกอย่าง แม้ว่าผมจะบอกว่าไม่ได้เป็นง่อย แต่มันก็ยังจะดื้อหยิบนู่นหยิบนี่ให้

“เออ เดี๋ยวเดินดูอะไรก่อนไหม จะได้ไม่เสียเที่ยว”

“อืม ตามใจสิ ไม่รีบอยู่แล้ว”ผมบอก ก่อนจะก้มหน้าสนใจถ้วยสุกี้ต่อ พยายามไม่มองหน้าไอ้แกนมากนัก ผมทำตัวไม่ถูก กับการถูกจับจ้องด้วยสายตาคมกริบของมันนัก

“ตอนแรกนึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”

“เอ้า ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ อยากไปไหนก็ชวน”ผมบอกเบาๆ ไม่ได้มองหน้ามันแต่รับรู้ได้ว่ามันกำลังยิ้มกว้างอยู่

“งั้นไปดูหนังไหม”ผมชะงักไปทันที ก่อนจะหาทางหลบหลีก อีกฝ่ายยังคงจ้องผมไม่ละไปไหน เพิ่งรู้ว่าไอ้แกนมันตาคม ขนตาหนาดี แต่ไม่ยาว ผมมองคิ้วเข้มของมันแทน

“คนคงเยอะน่าดู”ผมบอก ตอนนี้ไม่มีหนังที่สนใจเท่าไหร่ ไอ้แกนพยักหน้า “อือ นั่นสิ ไม่รู้จะดูเรื่องอะไรด้วย งั้นเอาไว้วันหลังแล้วกัน”

“อือ”ผมตอบ

หลังจากที่มื้ออาหารเย็น ผ่านไปอย่างเชื่องช้าและอึดอัด ผมกับไอ้แกนก็เดินไปดูร้านรองเท้า ไอ้แกนมันเลือกรองเท้าอยู่นาน สองจิตสองใจ เลือกไม่ได้สักที ผมยืนมองอย่างไม่ออกความเห็นอะไร แต่ไม่วายจะมาสะกิดให้ช่วยเลือกอีก ระหว่างดำกับสีน้ำเงิน ผมมองหน้าไอ้แกน เลือกสีดำให้มันไป

พอไอ้แกนได้รองเท้ามันก็แวะไปดูของเล่นอย่างพวกฟิกเกอร์ของเล่น ผมไม่มีความสนใจที่ใกล้เคียงกับมันเลยสักนิด

“อยากได้อะไรไหม กูซื้อให้”มันหันมาถาม เดินมาใกล้ผมเกินกว่าที่ควรเป็น ผมเอนตัวหนี “ไม่ล่ะ”

“เอ้า อยากได้อะไร กูเลี้ยงเอง”ไอ้แกนบอกเสียงอ่อนลง ไม่ได้บังคับอะไร ผมเม้มปาก ไม่อยากได้ของพวกนี้เท่าไหร่ ผมเลยไปเดินดูของโซนอื่นแทน ผมอยากได้พวกโมเดลจำลองมากกว่า เอาไว้ต่อเล่นเวลาที่ฟุ้งซ่าน ผมเดินเลือกโมเดลตัวต่อโลหะ เหมือนพวกจวนบ้านจีนโบราณ ไอ้แกนมันจะจ่ายให้แต่ผมไม่ยอม

“มึงนี่ไม่คิดจะออกจากห้องจริงๆสินะ”มันหันมาบอกหลังจากที่เถียงกันอยู่นาน สรุปว่าออกคนละครึ่ง คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ผมนิ่งไป “กูแค่เก็บสะสม”ผมบอก

“อย่าลืมล่ะ ว่ามึงมีกูเป็นเพื่อน”ไอ้แกนหันมาพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย ผมมองมันอีกครั้ง เห็นว่าแววตาของมันเป็นประกาย ผมเลยยิ้มให้มันไปบ้าง อย่างน้อยก็ผูกมิตรไป

“แวะกินไอศกรีมกัน”ไอ้แกนดึงแขนผมเข้าไปที่ร้านไอศกรีม ผมพยายามขืนตัวเอาไว้เพราะตอนนี้พวกร้านไอศกรีม ของหวานต่างๆมันมีโปรโมชั่นคู่ ผมไม่อยากเข้าไปนั่งกับมัน

“น่า มาเถอะ”ไอ้แกนหันมาทำตาดุ มันไม่สนใจฟังคำท้วงของผม กึ่งลากกึ่งจูงไปนั่งโต๊ะแคบๆริมสุด ผมนั่งนิ่งงัน เหลียวมองไปรอบตัว ส่วนมากก็มาเป็นคู่ ผมหลบสายตาของอีกฝ่าย

“กินไร”มันเอ่ย วางเมนูลง เลื่อนมาให้ดูพร้อมกัน ผมเหลือบมองอีกฝ่าย ทำท่าตีซี้เกินกว่าเหตุ พนักงานเดินมารอออร์เดอร์ ผมเห็นว่ามันมีแต่โปรโมชั่นคู่ สตอร์เบอรี่ ของหวานที่คงเลี่ยนน่าดู ผมพยักหน้าส่งๆไปให้ไอ้แกน ผมอยากกินไอศกรีม

“ถือว่ามาเป็นเพื่อนกูสิ”ไอ้แกนบอก นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผม ใบหน้าฉาบรอยยิ้ม ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาไถเฟซบุคไปเรื่อยๆอย่างหมดความสนใจ

“ดีน”

“อะไร”

“ที่กูขึ้นชก เพราะกูเดิมพันกับตัวเองไว้”คำพูดของไอ้แกนดึงความสนใจผมกลับไปหามันได้สำเร็จ ผมเงยมองคนตรงข้ามอย่างหวั่นในใจ ผมอาจจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันจะเอ่ยอะไรออกมา

 “เดิมพัน... ถ้ามันเกี่ยวกับกู ทำไมมึงไม่คิดจะถามกูล่ะ”

“มันก็ไม่เชิงหรอก ที่กูเดิมพันกับตัวเองเหมือนว่ากูกำลังหาทางเลือกให้ตัวเอง ... การแพ้ชนะ มันหมายถึงการยอมแพ้กับความคาดหวังของตัวกูเอง”ไอ้แกนเอ่ย แววตาคมกล้ายังคงจดจ้องผมอยู่เสมอ ผมไม่อาจหลบตามันได้อีก

“ความคาดหวัง?”

“ใช่....ถ้ากูแพ้ กูจะเลิกยุ่งกับมึง...อย่างเด็ดขาด”คำพูดของมันทำให้ผมหยุดหายใจไปชั่วขณะ แต่เมื่อวันก่อนมันชนะ..... หมายความว่ามันจะเดินหน้าต่องั้นสิ ผมมองมันอย่างตั้งใจ

“อืม มึงมีเป้าหมายเสมอนี่”ผมบอก ก่อนจะหัวเราะอย่างไม่นึกขำ ผมกำลังกลัวมัน ไม่ใช่กลัวการถูกคุกคามแบบเมื่อก่อน แต่เป็นการคุกคามความรู้สึก ผมรู้ตัวดีว่าใจอ่อนไปให้ไอ้แกนเยอะมาก มากจนกำแพงในใจผมกำลังจะพังทลายลง

“มึงกลัวอะไรเหรอดีน”คำถามของไอ้แกนทำให้ผมถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ผมนิ่งงัน ผมสูญเสียความมั่นใจไปเยอะ

ผมคงกลัวความรัก...ล่ะมั้ง ผมไม่กล้ามีความรัก

เหมือนว่าคำตอบมันอยู่บนหน้าของผมแล้ว ไอ้แกนยิ้ม ก่อนจะพึมพำเสียงเบาไม่ต่างจากกระซิบ แต่ผมได้ยินอยู่ดี “...กูไม่เร่งหรอกนะ”

ระหว่างนั้นไอศกรีมสตอเบอร์รี่ก็มาเสิร์ฟ ไม่รู้ว่ามันสั่งอะไรมา แต่มันเป็นถ้วยสูงมีหลายสี ท่าทางก็น่าทานดีอยู่หรอก อีกฝ่ายส่งช้อนมาให้ ผมรับมา ไอ้แกนรอให้ผมตักก่อน ผมย่นหน้า แต่ก็หยิบเชอรรี่มาเข้าปาก

“หวานดีเหมือนกันนะ”ไอ้แกนพึมพำ หลังจากที่ตักไอศกรีมเข้าปากไปแล้ว ผมเงียบ ไม่ตอบโต้อะไร แค่นั่งมองหน้ากันไปมาก็เหลือทนแล้ว

“เออ ปลาหางนกยูงกูออกลูกอีกแล้วนะ อยากได้ไปเลี้ยงบ้างไหม”มันชวนคุย ผมคิดตาม

“ไม่รู้ดิ ไม่ชอบเลี้ยงสิ่งมีชีวิต”

“เหรอ แม้กระทั่งคนว่างั้น”ไม่รู้ว่าไอ้แกนมันนึกพูดออกมาทำไม ผมทำเป็นนิ่ง “คนก็ส่วนคน สัตว์ก็ส่วนสัตว์สิ”

“คนก็ถือเป็นสัตว์นะ มันไม่ต่างกันหรอก”ไอ้แกนพูด ผมเลยไม่เถียงมันต่อ จนกระทั่งสองทุ่มครึ่ง ไอ้แกนถึงพาผมกลับอพาร์ทเม้นท์ ตลอดทางมันก็พูดอยู่ฝ่ายเดียวนั่นแหละ ไม่รู้ว่าจะฝอยเยอะทำไม

พอมาถึงอพาร์ทเม้นท์ ผมไขกุญแจเสร็จ ไอ้แกนก็รั้งไว้ “มีของจะให้”ไอ้แกนเปิดกระเป๋าสะพาย มันหยิบกล่องของขวัญขนาดเล็กเท่าครึ่งเอสี่ออกมา แล้วยื่นให้ผม

“อืม ขอบใจ”

“วันวาเลนไทน์ กูซื้อมาให้มึง ปีแรกเลยนะเนี่ย”ไอ้แกนบอก ผมทำหน้าไม่ถูก เห็นมันหัวเราะ กล่องในมือเบา ไม่หนัก คงเป็นอะไรสักอย่าง ผมมองมันอีกครั้ง ไอ้แกนมีรอยยิ้ม ผมรู้สึกว่าจังหวะการเต้นของหัวใจเหมือนจะเร็วขึ้น ผมพยักหน้ารับรู้

“กูไม่มีอะไรให้...”

“ไม่คิดมากหรอก... แค่วันนี้มึงออกไปกับกูก็ดีใจแล้ว ขอบคุณนะ”ไอ้แกนเอ่ยออกมา ผมกระพริบตา รู้สึกดีกับคำขอบคุณของมันขึ้นมา ผมหันกลับมามองกล่องของขวัญในมือ

“เออ ขอบใจเหมือนกัน”ผมบอก ก่อนจะหมุนลูกบิดเข้ามาในห้อง เพราะเหมือนว่าอากาศที่ด้านหลังจะหายไปหมด ผมถอนหายใจออกมา รับรู้ว่าหัวใจยังคงเต้นแรง ผมแกะกล่องของขวัญสีชมพูอ่อนออกมาดู พอเปิดออกมา ด้านในเป็นแผ่นกระดาษเคลือบมัน เป็นการ์ดที่ถูกลงสีน้ำไว้ มันถูกพับครึ่ง เหมือนของเด็กเล่น เป็นการ์ดที่มีช่องทรงกลมทำให้มองเห็นรูปปลากัดสีแดงอยู่ตัวเดียว แต่พอเปิดการ์ดเข้าไปดู มันมีปลากัดสีน้ำเงินว่ายอยู่ในน้ำด้วย มันหันหน้าเข้าหากัน

มีข้อความเขียนไว้ว่า ‘ไม่อยากให้เราเป็นเหมือนปลากัดหรอก ที่อยู่ร่วมกันไม่ได้... (แกน)’

ผมนิ่งไป ก่อนจะเดินไปนั่งคิดอะไรอยู่สักพัก ผมเข้าใจเจตนามันดี เอาเข้าจริงๆ แกนก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร ผมลุกเดินไปหยิบเบียร์มาเปิดดื่มดับความว้าวุ่น ก่อนจะก้มมองกระป๋องเบียร์ในมือความเย็นแล่นผ่านฝ่ามือจนชา ผมเอื้อมไปหยิบเบียร์มาอีกหนึ่งกระป๋อง ก่อนจะเดินออกจากห้อง แล้วก้าวเท้าไปยังห้องของไอ้แกน

ผมถอนหายใจ

ผมจะเคาะประตู แต่ก็ชะงัก ล้วงหยิบกุญแจห้องของมันออกมา ก่อนจะไขประตูเข้าไป ผมเดินเข้าไปในห้องของมัน ด้านในสว่าง เห็นไอ้แกนนั่งอยู่ที่นอกระเบียง ผมเดินเข้าไปหาเลื่อนบานประตูออก ไอ้แกนสะดุ้ง มันออกมานั่งฟังเพลงอยู่ด้านนอก มันตกใจที่เห็นผม

“ดื่มเป็นเพื่อนหน่อยสิ”ผมบอก ยื่นกระป๋องเบียร์ไปให้มัน ไอ้แกนรับไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ ผมทำเป็นไม่สนใจ นั่งลงข้างๆมัน มองท้องฟ้าสีมืด ไร้เมฆ มีแสงดาวให้มองอยู่บ้าง

“มึง...มีอะไรเหรอ”มันถาม

“กูอ่านการ์ดแล้ว...”

“อือ กูคิดแบบนั้นนะ”ไอ้แกนเหลียวมอง ผมเบนสายตาออกจากหน้าของมันก้มมองเบียร์ในมืออย่างเคร่งเครียด นี่อยากกว่าตอนสอบมิดเทอม หรือคิดงานไม่ออกอีก

“แต่เราไม่ใช่ปลากัดนี่หว่า...เราเป็นสัตว์สังคม”ผมบอก ก่อนจะกระดกเบียร์ดื่มอีกรอบ ความเย็นของมันทำให้กระเพาะวูบวาบ รสขมของเบียร์เป็นที่ชื่นชอบสำหรับผม

“อือ...”

“กูคิดว่ามีมึงอยู่ใกล้ๆก็ดี ชวนกูออกไปไหนมาไหนบ่อยๆ”ผมยิ้มขำ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งที่ติดอยู่ในใจ ไอ้แกนบีบกระป๋องเบียร์ในมือ ผมเงียบไป

“เหรอ บอกแล้วไงว่ากูก็อยู่ข้างๆ มึงมันชอบสร้างกำแพงมาขวางกู ตอนเรียนด้วยกัน มึงเกลียดกู กูตามไปขอโทษมึงเสมอ แต่กูไม่ได้คิดโกรธอะไรมึงหรอก กูพอใจแบบนั้นเอง พอมึงยกโทษให้กู มึงก็ยังมีกำแพงในใจอีกระลอก จนชักท้อๆ แต่กูก็ยังตอบตัวเองได้เสมอนะ ว่าต้องการอะไร...แล้วมึงล่ะ มึงต้องการอะไรกันแน่”ไอ้แกนเอ่ยออกมา ผมคิดอะไรไม่ออก แสดงว่าการขึ้นชกของมัน หมายถึงมันกำลังท้องั้นเหรอ ผมต้องการอะไรงั้นเหรอ....


หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' x จบแล้ว l ตอนพิเศษ 14.ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 14-02-2018 15:08:56
“กูไม่กล้ามีความรัก...ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก”ผมบอก

“ทำไมล่ะ”

“คงเพราะกูไม่เคยรักใครจริงๆล่ะมั้ง ตอนเรื่องพี่กัส กูคิดว่ากูชอบพี่เขา แต่มันไม่ใช่ กูกลับขวนขวายหาความรักมาตลอด...กูไม่ชินกับการถูกไล่ตามขนาดนี้...จากมึงไง”ผมหันไปมองมัน ไอ้แกนดูแปลกใจ ก่อนจะกลับมาสงบตามเดิม มันยิ้ม

“แล้วไงล่ะ”

“กูกลัวความผิดหวัง กูรับมือกับมันไม่ได้ ไม่เห็นเหรอว่าที่ผ่านมากูเป็นยังไง”ผมบอก ผมไม่อยากเสียการควบคุมอีก มันยากที่จะกลับมารู้สึกเหมือนที่เคยรู้สึก ถึงผมจะดีขึ้น แต่ในตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม ผมกลายเป็นคนไม่กล้าเปลี่ยนแปลง อยู่กับสิ่งเดิมๆที่ทำให้ผมสบายใจ

 “อืม กูเข้าใจ”

ผมเงียบ ดื่มเบียร์จนหมดกระป๋อง ผมกลิ้งมันไปมาอย่างหมดคำพูด “แล้วมึงคิดยังไงกับกู...”คำถามของอีกฝ่ายทำให้ผมหายใจลำบาก ผมเกร็งขึ้นมา

“ก็บอกไม่ถูก...แต่ถ้าเราใจเต้นกับใครสักคนได้นี่หมายความว่าไง”ผมบอกความจริงออกไป อยากเลิกโกหกตัวเอง ผมไม่ได้มองหน้ามัน ไอ้แกนวางกระป๋องเบียร์ลงพื้น มือที่กลิ้งกระป๋องเบียร์เล่นชะงักไป เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาจับมือผมเอาไว้ ฝ่ามือเย็นๆจากเบียร์ที่เพิ่งวางลงไปเมื่อครู่ก่อน ผมนิ่งไปหลายอึดใจ

“ให้กูอยู่ข้างๆมึงนะดีน กูไม่คิดถึงอนาคตหรอก แค่ ณ ปัจจุบันก็พอ”ไอ้แกนเอ่ยเบาๆ มันขยับมานั่งใกล้ผมมากขึ้นจนแขนของมันสัมผัสกับเนื้อตัวของผม ชั่วขณะเดียวเหมือนผ่านไปหลายนาที ผมเม้มปากไม่ได้ดึงมือออกจากฝ่ามือของอีกฝ่าย

“...ปัจจุบันงั้นเหรอ...”

“อือ คนละครึ่งทาง กูก็เป็นแค่ไอ้แกนคนเดิมนั่นแหละ...เพียงแค่มึงไม่ต้องไปมองใครที่ไหนอีก”คำพูดของมันทำให้ผมแทบกลั้นหายใจ ผมเหลียวมองมันนิ่งๆ รับรู้ความหมายของอีกฝ่ายดี

“...มึงคิดว่ากูเป็นคนเจ้าชู้เหรอ”ผมพึมพำ ขยับนิ้วรับสัมผัสจากฝ่ามือที่กุมแน่นขึ้น ฝ่ามือที่เริ่มอุ่นขึ้นมาแล้ว ผมหันไปยิ้มให้มัน เหมือนความหนักอึ้งในใจหายไปเป็นปลิดทิ้ง ไอ้แกนมองผม มันยิ้มมีความสุข แบบที่ผมไม่เห็นไม่บ่อยนัก

“ขอบคุณนะ”ไอ้แกนเอ่ย จับมือผมไว้แน่น ผมมองมือของมัน

อย่างน้อยก็มีคนอยู่ข้างๆ จะว่าไปไอ้แกนมันก็อยู่ข้างๆผมมาหลายปี ผมคิดว่าไอ้แกนเป็นคนที่หนักแน่นกว่าที่คิด ลูกตื้อของมันใช้ได้ผลกับผม

ผมใจอ่อนจนได้นะ

ไอ้แกนมันเป็นตัวอันตรายอย่างที่คิดไว้นั่นแหละ



.
.
.
น่าจะถูกใจคนที่ชอบแกนดีนนะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' x จบแล้ว l ตอนพิเศษ 14.ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: Tangerine ที่ 14-02-2018 15:54:09
สนุกจัง  ดีจังที่ได้มาเปิดเจอแบบนี้ ขอติดตามนะค่ะ. userไหนโชว์ข้อความนี้แจ้ง admin แบนเลยเวปไวรัส (http://www.ufa007.com)
หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' x จบแล้ว l ตอนพิเศษ 14.ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 15-02-2018 10:15:52
กรี๊ด เพิ่งเห็นแกนดีน ดีใจมาก ฮือ ในที่สุด ในที่สุด  :katai1:
อยากให้เปิดพรีไว้ ๆ จัง เราชอบเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะคู่แกนดีน ยิ่งอ่านยิ่งใช่  :กอด1:
หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' x จบแล้ว l ตอนพิเศษ 14.ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-02-2018 12:05:20
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' x จบแล้ว l ตอนพิเศษ 14.ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 15-02-2018 13:13:07
งือออ ชอบพี่แกนมากอะ พี่แกมีวิธีเข้าหาแบบที่ถึงจะทำให้รู้สึกเหมือนโดนรุกหนักแต่มันก็ทำให้ใจเต้นแรงมากจริงๆ รอวันพี่ดีนเปิดใจแบบเต็มๆนะ
หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' x จบแล้ว l ตอนพิเศษ 14.ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-02-2018 22:11:49
ปรบมือให้ความพยายามของเฮียแกนนะ ขยันรุกแต่ก็ไม่ได้มากเกินพอดี อดทนดีมาก ขนาดดีนยังค่อยๆ เปิดใจ

คู่ท๊อป-สองก็ยังรักกันดี ชอบที่ความรักทั้งคู่เป็นไปแบบยอมรับในกันและกัน ไม่หวือหวาแต่ก็มั่นคง   :katai2-1:

ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษยาวๆ ค่ะ.  :L2:
หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' x จบแล้ว l ตอนพิเศษ 14.ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-02-2018 23:53:50
ดีใจ  ยินดีกับแกน  :mew1: :mew1: :mew1:
ในที่สุดแกนก็ทำให้ดีนใจเต้นได้ซักที
จะได้อ่าน nc ของคู่นี้มั้ยนะ  :ling1: :ling1: :ling1:
แกน ดีน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ยิม ผิง ก็อบอุ่น ผิงก็ผ่อนคลาย วางใจกับยิมได้ซะที
ยิม ผิง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

พูี่ท๊อป  สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
กืจกรรมวาเลนไทน์  เหมือนจะล่ม แต่ก็แล่นฉิวเหมือนติดเทอร์โบ  :z3: :z3: :z3:
พี่ท๊อป ไม่น่าจะกลัวคำเย้าแหย่ของเพื่อนนะ
ก็ถ้ากลัวล้า ขาถ่าง พี่ก็เป็นฝ่ายรุกสิ วิน-วิน
สองใจเย็นดี รับสภาพเป็นรับ ได้แบบขำๆตัวเองด้วย  เป็นแม่บ้านได้ไม่เลวซะด้วย   :katai3:
ขอบคุณไรท์ มาต่อให้ยาวๆเลย ครบทุกคู่  :mew1: :mew1: :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' จบแล้ว l ตอนพิเศษตรุษจีน 16 ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 16-02-2018 03:40:27
ตอนพิเศษ ตรุษจีน 16.2.2561

ผิง



วันวาเลนไทน์ ไอ้ยิมแค่เอาดอกกุหลาบมาให้ผมแค่นั้น ไอ้ผมก็ไม่ได้คาดหวังความหวานจากหนุ่มแว่นอยู่แล้ว ช่วงเช้าตรู่ผมมาช่วยร้านอาหารของครอบครัว ไอ้ยิมให้ความสำคัญกับวันตรุษจีนมากกว่าวันวาเลนไทน์ ไม่ใช่เพราะป๊าม๊ามันหรอก แต่มันทิ้งท้ายไว้ว่าจะพาผมไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ของมัน ผมแอบกลัว ถ้าแค่พ่อแม่ของมันก็ยังพอทำเนา แต่นี่....

“ผิง ไม่ไปเที่ยวงานตรุษจีนเหรอ”พี่ฝนเอ่ยถาม เงยหน้ามองผม

“ยังครับ รอไอ้ยิมมารับ”ผมตอบ ไม่ได้มองหน้าพี่ฝน ตอนนี้ผมเปิดไลน์มาดู ไอ้ยิมส่งมาว่าจะมารับไปหาป๊า ผมมองนาฬิกา ตอนนี้เก้าโมงเช้าอยู่เลย

“ดีเนอะ เดี๋ยวก็ได้อั่งเปาอีก”พี่ฝนพูดยิ้มๆ ทำให้ผมยิ้มกริ่ม ปีที่แล้วก็ได้มาหลายซองอยู่ ระหว่างที่ไปเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะด้านนอก ก็เห็นว่ามีรถคุ้นหน้าคุ้นตาขับมาจอดที่ลานจอดรถด้านหน้าร้าน ไอ้ยิมมารอรับผมตามปกติ

“งั้นผมไปก่อนนะพี่ฝน”ผมยกมือไหว้ พี่ฝนเงยหน้ายิ้ม “จ้า” ผมหยิบกระเป๋าสะพาย หยิบถุงสีแดงสำหรับใส่ส้มสี่ผลออกมาด้วย แล้วออกจากร้าน เดินไปหาชายหนุ่มสวมแว่นที่นั่งรออยู่ในรถ เปิดกระจกฟังเพลงสบายใจเฉิบ ผมเดินเข้าไปร้องแฮร่ใส่ ไอ้ยิมหันมองด้วยสายตาเอือมระอา สวมใส่เสื้อผ้าสีสดใส เชิ้ตสีแดงของมันทำเอาผมแสบตา ผมเลยยื่นหน้าผ่านกระจกรถที่เปิดไว้ แล้วถามเบาๆ  “รอนานไหม”

“ไม่ กะเวลามาถูกนี่”มันตอบ หดหน้าไปจนติดกับเบาะรถ เพราะผมเข้ามาใกล้มันเกินไป ผมยิ้มกริ่ม เมื่อเห็นท่าทีประหม่า เลยขยับตัวออกจากหน้าต่าง แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่งแทน

“ทำไมต้องให้กูไปด้วยอ่ะ กูไม่ชินเลย”ผมบอก เมื่อเข้ามานั่งบนเบาะ ปิดเพลงในรถ ไอ้ยิมสตาร์ทรถ ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้

“ก็อยากให้ไปด้วยกัน ป๊าม๊าก็ชวนมาด้วย อย่าไปเกร็งสิ น่าจะชินแล้วนี่”มันเอ่ย ผมย่นคิ้ว ถึงจะเป็นนั้นก็เถอะ แต่บางครั้งก็ไม่ค่อยอยากจะไปรวมญาติกับคนในบ้านของไอ้ยิมเท่าไหร่ เพราะนอกจากอาอี๊แล้ว ผมก็แทบไม่รู้จักใครเลย

“แวะซื้อขนมหน่อยไหม ได้ยินว่าคนจีนจะชอบคนที่รู้จักไปมาลาไหว้”ผมเอ่ยขึ้น ไอ้ยิมถึงกับหัวเราะออกมา

“อ๋อ อยากทำตัวเป็นสะใภ้ที่ดีว่างั้น”คำตอบของมันทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมาทันที ผมหันไปง้างมือเตรียมต่อยอีกฝ่าย ไอ้ยิมหันมอง ยื่นมือไปลูบศีรษะผมแทน ทำเอาผมนิ่งงันไป เลยยอมอ่อนข้อให้ไปก่อน เดี๋ยวจะหาว่าไม่ทำตัวเหมือนแฟน

“ก็แค่เอาใจป๊ามึงไง เขาจะได้เอ็นดูกูเยอะๆ”ผมบอกยิ้มๆ ไอ้ยิมไม่ได้ตอบอะไรแต่เห็นว่ามันยิ้มแย้มมากขึ้น

“วันนี้วันตรุษจีน คงไม่มีอะไรมากหรอก แค่ไปไหว้ แล้วก็ไปเที่ยวกัน”ไอ้ยิมบอก ผมพยักหน้า

“จะไปไหนกันเหรอ”ผมถาม

“ไปเดินตลาดแหละ ในเมืองเขามีงานตรุษจีนอยู่ มีงานแสดงหลายอย่าง”ไอ้ยิมบอก ผมพยักหน้ารับรู้ ผมเองก็ดีใจนะที่ครอบครัวอีกฝ่ายยอมรับว่าผมเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว อย่างน้อยก็เปิดใจรับ อาจมีคนก่นด่าอยู่ แต่ไอ้ยิมบอกว่าตราบใดที่ไม่ใช่ป๊าม๊า มันก็ไม่สนใจหรอก ก่อนจะถึงบ้าน ไอ้ยิมจอดแวะร้านขนมหวาน ผมลงไปเลือกซื้อมาสองสามอย่างที่เป็นมงคล ไม่ได้ซื้อเยอะ เพราะเมื่อวานก็ยังเหลืออยู่เยอะเช่นกัน จากนั้นไอ้ยิมก็ขับรถพาผมไปบ้านของอากง ผมเริ่มออกอาการมือไม้สั่น หัวใจเต้นรัว

“กลัวเหรอ”

“อือ ลองเป็นกูแล้วจะรู้”

“หึหึ ไปถึงบ้าน แล้วอย่าลืมเรียกกูเพราะๆนะ จะพูดมึงๆกูๆไม่ได้”

“ให้เรียกอะไร พี่ เหรอ”ผมถาม ไอ้ยิมยิ้มกว้าง “ลองเรียกเฮียสิ”

“อ้าว ไม่ใช่ไอ้โยนี่หว่า เรียกทำไม”ผมบ่ายเบี่ยง ทำไมจะไม่รู้ทันไอ้ยิมมัน อีกฝ่ายหัวเราะอารมณ์ดี “เปล่า อยากมีคนเรียกบ้างไง ไม่ใช่จากไอ้โย”มันหันมองผม

“บ้า เรียกพี่ก็พอแล้ว”ผมบอก ไม่ชินที่จะเรียกว่าเฮีย ถึงจะเคยเรียกเฮียแกนมาก่อน แต่มันคนละอารมณ์กันเลย ระหว่างนั้นมันก็เลี้ยวเข้าไปในซอย ผมเหลียวมองไปนอกหน้าต่าง ไอ้ยิมขับรถมาจอดที่ริมถนนหน้าอาคารพาณิชย์หลังใหญ่ บ้านอากงมีสองชั้น ชั้นล่างเปิดโล่งมีเก้าอี้ไม้ตัวยาวติดผนังห้อง ผมเห็นว่ามีอากงกับอาม่านั่งคุยกับญาติพี่น้องอยู่ แต่ละคนไม่คุ้นหน้ากันเลย แต่เห็นว่าป๊าม๊าของไอ้ยิมก็อยู่ด้วย ไอ้ยิมเดินคู่กับผมเข้าไปด้านในบ้าน ผมถือถุงขนมหวานกับถุงผ้าสีแดงมาด้วย ในใจเต้นตุ้มๆต่อมๆอย่างประหม่า

“อ้าว มากันแล้วเหรอ มานั่งใกล้ๆอั๊วนี่”อากงหันมองผู้มาเยือนเช่นผมกับไอ้ยิม อากงกวักมือเรียกผม ที่จริงผมเคยแวะมาหาอากงกับอาม่าแล้ว แต่นานๆที เพราะไอ้ยิมก็ไม่ค่อยว่าง ผมเดินตัวลีบ ยกมือไหว้สวัสดีทั้งอากง อาม่า อาแปะ ป๊าม๊า อาเจ๊กอาซิ้ม อาอี๊ ส่วนไอ้โยก็นั่งอยู่กับลูกใครสักคน

“ผมเอาขนมหวานมาฝากอากงกับอาม่าด้วยครับ”ผมถือโอกาสบอก ไอ้ยิมดันไหล่ผมนั่งลงข้างๆอากง ส่วนอาม่ายังแข็งแรงดีส่งยิ้มมาให้ผมกับไอ้ยิม

“ไม่เห็นต้องซื้อมาเลยเปลืองตังเปล่าๆ เนี่ย ยังมีของกินเยอะแยะ เมื่อวานลื้อก็น่าจะพาอาผิงมาคุยกับพวกอั๊วหน่อย”อากงพูด ผมเพียงแค่หันไปมองไอ้ยิมอย่างหมดคำพูด

“ผิงต้องช่วยงานร้านอาหารน่ะกง”ไอ้ยิมเอ่ยแทน

“อืม ดีแล้วๆ แล้วลื้อสองคนได้ให้อั่งเปาอาผิงไปหรือยังล่ะ”อากงถามป๊าม๊าของยิม สองท่านจึงยิ้ม ตอบอากงว่าให้ผมมาแล้ว อาม่าเลยเรียกอาแปะให้ไปเอาซองแดงมาให้ ผมจึงต้องเก็บอาการสักหน่อย

ถึงเวลาป้ายเจียไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ ไอ้ยิมนำถุงใส่ส้มไปมอบให้อากงอาม่า ท่านหยิบส้มออกไปและนำกลับมาคืนสองผลดังเดิม 

“อากงอาม่าครับ ขอให้สองท่านแข็งแรงๆ ซื่อจี้ผิงอัน ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้”ผมบอกหลังจากที่ท่องมาหลายหนต่อวัน

ไอ้ยิมเลยอวยพรไหว้อากงอาม่าตามหลัง พูดสิ่งดีๆให้ทั้งสองท่านคงอวยพรให้สุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาวทำนองนั้น อากงอาม่าก็ยิ้มกว้าง อวยพรพวกผมสองคนไม่รู้วาแปลว่าอะไร เพราะท่านพูดจีนสลับคำไทย ไอ้ยิมหันมายิ้มกว้าง อากงอาม่าให้อั่งเปาผมมาคนละซอง ส่วนไอ้ยิมได้มาเมื่อวาน ส่วนคนอื่นๆ ผมก็เข้าไปไหว้ตามลำดับ ด้วยความมึนงง ส่วนไอ้โยมันแอบยิ้มยิงฟันล้อเลียนผมประจำ

“แน่ะ ได้อั่งเปาอีกแล้ว ไหนล่ะ ของผมอ่ะ”ไอ้โยยื่นหน้ามาถาม

“เรื่องไร มึง เอ้ย ตี๋ได้ไปเยอะแล้วนี่”ผมแกล้งพูด ไอ้โยตาโต ก่อนจะหยิกแขนผมซะเจ็บ “ทำเป็นพูดเพราะ จะปรับตัวเข้ากับบ้านเราเหรอ งั้นโยเรียกพี่ว่าผิงเอ๋อร์ดีไหม”

“เอาดีๆสิ ไอ้นี่”ผมทำหน้าบอกบุญไม่รับ เรียกซะผมเป็นคนน่ารักไปซะได้ “ผิงอันดีไหม”ไอ้โยกระซิบบอก ผมกำมือแน่น ไอ้ยิมมันเคยบอกว่าป๊ามันจะเรียกผมแบบนี้ด้วย โคตรแต๋วอ่ะ มันชื่อเด็กผู้หญิงนี่นา

“อาผิงมานี่มา”ป๊าเรียกผม ไอ้ยิมที่นั่งคุยอยู่กับอาม่าหันมามองป๊ามันเงียบๆ ผมค่อยๆเดินเข้าไปหา ยังมีหลายคนที่ไม่ได้เห็นดีเห็นงามเรื่องไอ้ยิมกับผม เช่น อาเจ๊ก อาแปะ แต่ด้วยความที่อากงอาม่าไม่ได้ต่อว่ารุนแรง ก็ไม่มีใครมาด่าผมกับไอ้ยิมลับหลังให้แคลงใจกัน

“ครับป๊า”เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ผมนั่งลงข้างๆป๊า ม๊าหยิบถุงสีแดงขนาดเล็กเหมือนเอาไว้ใส่สร้อย ผมถึงกับอ้าปากค้าง จนต้องเก็บอาการ เหลือบมองไอ้ยิมที่กำลังประจบอาม่าอยู่ เห็นมันบีบนวดขาให้อาม่า ท่านป่วยบ่อย เลยไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหน

“ป๊าเห็นว่าฤกษ์งามยามดี เลยหุ้นกับม๊าซื้อสร้อยให้ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก ถือว่าเป็นญาติพี่น้องกันนี่แหละ ว่างๆก็แวะมาเยี่ยมอากงอาม่าได้ตลอดนะ บ้านเราต้อนรับอาผิงเสมอ”ป๊าบอก หยิบถุงสร้อยจากม๊ามายื่นให้ผม ทำเอาผมพูดไม่ถูก ไม่คิดว่าสองท่านจะดีขนาดนี้ ผมเลยรับไหว้ “ขอบคุณมากครับ”

“จ๊ะ ยังไงก็ฝากดูแลยิมมันด้วยนะ มีอะไรก็พูดจากันดีๆ”ม๊าบอก ฟังไปฟังมาเหมือนว่าจะอวยพรให้คู่บ่าวสาวเลยแฮะ ผมยิ้ม ป๊าตบไหล่ผมเบาๆ

 หลังจากนั้นผมกับไอ้ยิมก็อยู่คุยกับพวกญาติผู้ใหญ่ ก่อนจะตกลงกันได้ว่าจะไปเดินงานตรุษจีนกัน ป๊าอยากพาอากงอาม่าไปดูงานแสดงกังฟูจากจีน เลยตกลงกันว่าไปดูงานแสดงก่อนค่อยแยกย้ายกันไป

“ไหนดูสิ ยังไม่ทันแต่งได้สร้อยทองมาแล้ว”ไอ้ยิมได้โอกาสแซวเมื่อเข้ามาอยู่ในรถ ไอ้โยนั่งอยู่ด้านหลัง มันขยับมาเกาะเบาะรถ “ไหนๆ ได้มากี่บาท”

ผมกะถุงสร้อยออก พอหยิบออกมาดูเป็นสร้อยข้อมือลายสี่เสามีจี้หัวใจเล็กๆห้อยใกล้ตะขอ ผมไม่รู้ว่าหนักกี่บาท ไอ้โยส่งเสียงตื่นเต้น

“ป๊าใจป้ำจริงๆเลย”ไอ้โยส่งเสียงฮือฮา มันขอดู ผมยื่นให้มันอย่างขบขัน ไอ้ยิมยิ้ม “เกรงใจยังไงไม่รู้”ผมบอก

“อย่าเลย ป๊าคิดดีแล้วล่ะเฮีย”ไอ้โยคืนสร้อยข้อมือกลับ ผมเก็บใส่ถุง เอาเข้ากระเป๋า

“อืม ป๊ากูให้ แสดงว่าเขายอมรับมึงเป็นสะใภ้แล้วล่ะ”ไอ้ยิมไม่วายหัวเราะชอบใจ

“อ้าว โยมีอาซ้อแล้วสิเนี่ย”ไอ้โยยังไปรับมุกพี่มันอีกนะ ผมหันไปเขกศีรษะมันเบาๆอย่างหมั่นไส้ ชี้หน้าคาดโทษมันไว้ มีหรือมันจะสลดหดหู่ ผมได้แต่เอือม แต่มีไอ้โยก็ดี เป็นสีสัน

พอมาถึงตลาดในตัวเมือง วนหาที่จอดรถได้แล้วจึงออกเดินพร้อมๆกับป๊าม๊า ส่วนอากงอาม่า มีอาแปะเป็นคนจูงเดิน ยิ่งอาม่าต้องนั่งรถเข็นเลยไม่ค่อยอยากให้ลูกหลานพาเที่ยวนัก จึงขอดูแค่งานแสดงกังฟู งานฟ้อนรำชุดชนเผ่าของจีนที่หอแสดงดนตรี ผมมองไปรอบๆตลาด คาดว่าน่าจะมีพาเหรดเชิดสิงโตกันไปแล้ว คนเยอะจึงเป็นพิเศษ

พอเข้ามาในหอดนตรี งานแสดงก็เริ่มไปบ้างแล้ว ผมกับไอ้ยิมจึงต้องนั่งกับพวกผู้ใหญ่ อากงอาม่าดูจะชอบการแสดงเป็นพิเศษ หลังจากนั้นป๊าม๊าจึงอนุญาตให้ผมกับไอ้ยิมแยกกันได้ เพราะท่านเองก็ไม่ได้อยากไปเดินเบียดเสียด เราสองคนเลยลาไหว้ผู้ใหญ่กันตรงนี้ ไอ้ยิมเข้าไปหอมแก้มอาม่า กอดอากงเป็นการประเหลาะส่งท้าย

“ป่ะ ไปทำอย่างอื่นดีกว่า”

“อย่างอื่น?”ผมงง ไอ้ยิมจับมือผมเดินไปตามถนน ผู้คนเยอะแยะจนต้องเดินระวังกันหน่อย

“อือ ไปไหว้พระกันไหม”อีกฝ่ายชวน เมื่อเดินมาถึงหน้าศาลเจ้า ที่ตอนนี้เปิดให้ทานอาหารฟรี ผมเลยไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมกับไอ้ยิม กะว่าจะอยู่กินอาหารซะหน่อย แต่ไอ้ยิมดึงแขนให้ออกมา

“กลับคอนโดของเราดีไหม เผื่อเหนื่อย”ไอ้ยิมหันมาคุย

“ก็ดีนะ นี่ก็เพลียมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”ผมบอก ก่อนจะนวดไหล่ตัวเองไปพลางๆ ไอ้ยิมจึงโทรไปบอกป๊าของมันก่อนว่าจะกลับไปนอนที่คอนโด


...............



พอมาถึงที่คอนโด ผมเดินตรงไปนอนแผ่ที่โซฟารู้สึกเมื่อยขาขึ้นมาทันที ผมนอนหลับตา ได้ยินเสียงไอ้ยิมเดินไปเดินมา สักพักก็ได้กลิ่นหอมหวานของสตอร์เบอร์รี่ พอลืมตาก็เห็นเค้กไอศกรีมสีชมพูสดใส ผมตาโต ผุดลุกจากโซฟาทันที มองไอ้ยิมที่ขยับมานั่งข้างๆผม

“ซื้อมาเก็บไว้เหรอเนี่ย”ผมยิ้มกว้าง ตอนนี้ร่างกายต้องการน้ำตาลพอดี ผมหยิบช้อนมาตักเค้กเย็นเข้าปาก รสชาติหวานอมเปรี้ยว ไอ้ยิมหัวเราะกับท่าทีของผม

“อือ เห็นมันมีโปรโมชั่นคู่รักเลยซื้อมา”มันบอก ก่อนจะตักเค้กไอศกรีมเข้าปาก ผมชะงักไป เมื่อวันวาเลนไทน์ผมแค่รับดอกไม้จากมันแล้วก็ขอบคุณมันไปเท่านั้นเอง ไม่ได้เอ่ยบอกรักอะไรสักอย่าง แต่ตอนแรกผมตั้งใจจะให้ของขวัญมันเหมือนกันแต่เปลี่ยนใจ เห็นไอ้ยิมไม่ค่อยจะสนใจวันแห่งความรักเท่าไหร่ เพราะมันตรงกับวันจ่ายพอดี มันเลยกลับไปอยู่บ้าน ผมตักไอศกรีมก่อนจะยื่นไปจ่อหน้ามัน ไอ้ยิมทำหน้าแปลกใจ มองมือของผมอยู่นาน

“อ้าปากสิเฮีย”ผมบอก รู้สึกว่าเลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน ไอ้ยิมผุดยิ้มออกมาจนได้ มันอ้าปากเหมือนเด็ก ผมป้อนเค้กให้มัน อยู่ก็ไม่กล้าสบตามันไปได้ ผมก้มไปตักไอศกรีมต่อ รู้สึกถึงสายตาที่เพ่งมา ยิ่งได้อานุภาพจากแว่นด้วยแล้วทำให้ผมรู้สึกโดนจับจ้องมากเป็นพิเศษ

“หวานดีนะ”ไอ้ยิมเอ่ย ขยับเข้ามาใกล้ผมซะจนนั่งแนบชิด ผมหันไปมองมันด้วยสายตาดุดัน

“ทำเป็นได้ใจนะ”ผมเอ่ย พยายามกลั้นยิ้ม ยื่นช้อนเค้กไปหาคนข้างกายอีกรอบ ไอ้ยิมยิ้มอย่างพอใจ มันงับช้อน ระหว่างนั้นก็ปรายตามองผมไปด้วย เล่นเอาผมร้อนไปทั้งหน้า อยู่ๆก็มือไม้สั่น หัวใจทำงานหนักอีกแล้ว

“หึหึ ยังมาทำเขินอีก”คนตัวสูงกว่าเอ่ยด้วยความขบขัน มันตักเค้กไอศกรีมที่เริ่มละลายไปบ้าง คราวนี้มันยื่นทำท่าจะป้อนผม

“อย่าน่า กินเองดีกว่า”ผมบอกปัด เพราะเขินมันจะตาย อีกฝ่ายไม่ยอม ดึงดันไม่ยอมวางช้อนลง มันยื่นมาใกล้ๆปากของผม  ไอ้ยิมจ้องมองอย่างไม่วางตา ถึงจะใส่แว่นแต่สายตาก็พิฆาตได้ไม่น้อย ผมอ้าปากกลืนเนื้อเค้กเย็นๆเข้าปาก ไม่ได้สัมผัสกับช้อนของเจ้าตัวมากนัก ผลคือเค้กบางส่วนมันร่วงพื้นซะอย่างนั้น ไอ้ยิมหัวเราะในลำคอ

“เอ้า ทำเซ่อซ่านะผิง”มันว่า เอื้อมไปหยิบทิชชูมาเช็ดให้ผม

“อย่าบ่นได้ป่ะ แดกๆไปเลย”ผมบอก ก่อนจะตักเค้กเข้าปากตัวเอง ไม่สนใจอีกฝ่ายต่อไป ผมไม่กล้าคิดถึงความสัมพันธ์ที่ลึกไปกว่านั้น มันทำให้ผมอายมากกว่า แต่ผมคิดว่ามันต้องมีสักวัน เพราะเราเป็นแฟนกันมาเกือบสองปีแล้ว เรื่องเรียนต่อผมเลื่อนไปหลายครั้ง แต่คาดว่าต้องไปเรียนช่วงเมษาฯ ผมเลยอยากใช้เวลาอยู่กับมันเยอะๆหน่อย เดี๋ยวจะน้อยใจอีก

“นี่ยิม...กูมีของขวัญวันวาเลนไทน์ย้อนหลังด้วยนะ อยากได้ไหม”ผมถาม พอนึกถึงของขวัญที่เตรียมไว้เมื่อวันพุธก็ทำเอาหน้าร้อน เพราะไอ้ยิมยุ่งๆอยู่เลยไม่ได้ให้ คนข้างๆหันมองด้วยแววตาสุกใส มันยิ้ม

“ให้ก็เอาทั้งนั้นแหละ”มันบอก ผมเลยตัดสินใจเอื้อมไปหยิบกระเป๋าสะพายออกมา ถึงไม่ได้เอาให้วันนั้น แต่ผมตั้งใจจะยื่นให้มันวันอื่นอยู่แล้ว ผมเปิดกระเป๋าหยิบกล่องของขวัญขนาดเล็ก ประมาณซองจดหมาย ผมยื่นออกไปให้มัน แล้วรีบเผ่นหนีด้วยความอับอาย ผมเดินไปที่ครัว ก่อนจะหยิบสปายออกมาเปิด แล้วยกดื่มดับความอายของตัวเอง ผมไม่กล้ามองว่าไอ้ยิมมันเปิดอ่านไปหรือยัง

รู้ตัวอีกที เห็นไอ้ยิมเดินมายืนอยู่ข้างๆ ผมเงียบ

“...แน่ใจเหรอวะ”มันถาม

“งั้นกูเปลี่ยนใจล่ะ”ผมหันไปมองมัน ยื่นมือไปเอาของขวัญคือ แต่ไอ้ยิมมันไวกว่ามันเอาหลบไปด้านหลัง สีหน้าไม่ปิดบังความยินดี มันเก็บซองจดหมายพับใส่กระเป๋าเสื้อแทน

“หึหึ จะคืนคำได้ยังไง ...”ไอ้ยิมเอ่ย เข้ามาดึงไหล่ผมไว้แน่น ไม่ให้ผมหลบเลี่ยงไปจากอีกฝ่ายได้ ผมสบตาอีกฝ่าย เห็นว่าแววตาคู่นี้ของเจ้าตัวสะท้อนภาพผมออกมา แล้วรู้สึกบอกไม่ถูก มันวูบวาบแปลกๆ ผมก้มหน้าหลบ มองพื้น

“ผิง กูรักมึงนะ กูยอมมึงทุกอย่าง ป่านนี้แล้วมึงน่าจะมั่นใจได้แล้วนะว่ากูไม่ทำร้ายมึงแน่ๆ”ผมได้ยินเสียงของไอ้ยิมเอ่ยบอก ผมยิ่งไม่กล้ามองหน้ามัน แต่แรงที่บีบลงหัวไหล่ทำให้ผมนิ่วหน้า เงยมองคนตรงหน้าอีกครั้ง ผมเม้มปาก พยักหน้า เรียกความมั่นใจให้ตัวเอง

“เออ กูรู้...ขอโทษนะที่ทำหน้าที่แฟนไม่ค่อยดี...”

“อย่ามาทำดราม่าน่า”ไอ้ยิมเอ็ด ไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยค ผมยิ้มให้มัน

“ฟังก่อนสิ กูก็รู้ตัวนั่นแหละ ไม่ใช่ว่ากูไม่แคร์นะ แต่...กูเขินอ่ะ ไม่กล้าทำหวานๆใส่ แต่มึงรู้ใช่ไหมว่ากูรู้สึกยังไง”ผมบอก มองอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง ไอ้ยิมจ้องผม ริมฝีปากกระตุกยิ้มเหมือนจะนึกสนุก ผมรู้ได้ทันทีว่ามันคงหาทางแกล้งผมแน่ๆ

“รู้เหรอ รู้ว่าอะไร”ไอ้ยิมก้มหน้ามาถาม ผมหดคอหนีใบหน้าที่เฉียดมาใกล้ อีกนิดเดียวก็จะจูบผมอยู่แล้ว ผมย่นคิ้ว

“ไอ้นี่นิ... เออ กูรักมึงเหมือนกันแหละ ไม่งั้นจะทำขนาดนี้ไหมล่ะ”ผมบอกอย่างรวดเร็ว หากทำได้ผมจะโดดหนีไอ้ยิมไปห่างๆเพราะดูท่าทางมันจะเมาเนื้อ ยิ้มอะไรมากมาย คนตัวสูงกว่าหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ คนบ้าอะไร นี่แฟนบอกรักนะ ยังมีหน้ามาขำอีก

“ดีใจจริงๆ ที่ได้ยินไอ้ผิงบอกรักขนาดนี้...ขอบใจนะ”ไอ้ยิมเอ่ย ผมพยักหน้า อีกฝ่ายเลยดึงผมเข้าไปกอดแน่นๆ ผมไม่ได้เตี้ยไปกว่าไอ้ยิมนัก แต่เทียบกันแล้วผมสูงประมาณคางของมัน พอกอดก็สามารถเทินคางบนไหล่ของอีกฝ่ายได้พอดี ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะขยับหน้าลงไปหอมท้ายทอยของมันแทน อีกฝ่ายยิ่งกอดผมแน่นไปใหญ่ ผมเลยตบหลังมันเบาๆให้ปล่อย

“ยิม ปล่อยเว้ย นานไปแล้ว”ผมบอก พยายามดึงตัวออกแต่มันไม่ยอมปล่อย

“อ้าว ได้ไง มีโอกาสกอดทั้งที ขอเต็มที่หน่อย”มันว่า ไม่กอดอย่างเดียวแต่เสือกลูบมือไปทั่วแผ่นหลังแบบนี้ก็ไม่ไหว ผมดิ้นพอเป็นพิธี รู้สึกว่าร่างกายมันอ่อนแรงยังไงชอบกล รู้ตัวอีกทีไอ้ยิมมันเลื่อนหน้ามาหอมแก้มผมแทน ผมนิ่ง ไม่ตกใจ แต่แค่ทำอะไรไม่ถูก ไอ้ยิมมองก่อนจะยิ้ม มันโน้มมาใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจของกันและกัน

ไอ้ยิมจูบผมจนได้ ริมฝีปากอุ่นชื้นเข้ามาครอบครองผมได้ง่ายดาย ผมยอมโอนอ่อนตามอีกฝ่าย ปล่อยให้ลิ้นของเจ้าตัวเข้ามาสำรวจด้านในอย่างพอใจ ผมไล่ตามมันอยู่นาน จนหายใจแรง อีกฝ่ายผละออกมา ไม่วายเข้ามาจูบต่อสั้นๆ

“งั้น...ใช้ของขวัญหน่อยดีไหม รับรองจะทำตามที่มึงต้องการ”อีกฝ่ายเอ่ยอย่างหนักแน่น ทำให้ผมคลายใจไปได้ ผมนิ่ง พยายามใจกล้าบ้าบิ่น เลยเข้าไปกอดมันอีกรอบสร้างความมั่นใจ

“อือ กูดีใจนะที่ป๊ากับม๊ายอมรับกูขนาดนี้”ผมบอกด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจ ตอนแรกป๊ายังคงพูดน้อยกับผม แต่ไอ้ยิมชวนผมไปบ้านมันบ่อยๆ ไปสร้างความสัมพันธ์ของผมกับป๊าให้ดีขึ้นแล้วมันก็สำเร็จ อีกอย่างผมเองก็รู้สึกผิดที่ทำหน้าที่แฟนได้ไม่เต็มที่ ใครๆก็ต่างต้องการแสดงความรักต่อกัน แต่ผมกลับแสดงออกน้อยมาก ถ้าไม่ใช่ไอ้ยิมก็คงไม่มีใครทนได้แน่นอน

“มึงวางใจได้แล้วนะ มาถึงขนาดนี้กูไม่ทิ้งไปไหนหรอก มีแต่จะเลี้ยงตลอดชีพ”ไอ้ยิมเอ่ย ผมถึงกับหัวเราะออกมา ขยับออกจากอ้อมกอดอุ่นๆของมัน ผมยื่นมือไปหยิบซองจดหมายออกมา ก่อนจะจับไปมาในมือ

“โอเคก็ไม่เล่นตัวล่ะ”ผมบอก ไอ้ยิมยิ้มออกมา มันเข้ามาหิ้วตัวผมทันที ผมตกใจไม่คิดว่ามันจะมาอุ้มผมแบบนี้

“เฮ้ย หนักนะเว้ย”ผมโวยวาย แต่ไอ้ยิมแค่หัวเราะ มันออกแรงกึ่งลากกึ่งหิ้วปีกซะมากกว่าการอุ้ม เล่นเอาผมเจ็บไหล่ไปเลย

จุดหมายปรายทางของเราคือที่ไหนถ้าไม่ใช่ห้องนอน!

ในจดหมายที่แนบไว้ผมเขียนไว้ว่า ‘ยังไงก็ใช้อย่างถนุถนอมกูหน่อยนะยิม (ผิง)’ ตอนที่เขียนผมยังอายตัวเองเลยล่ะ ไหนจะแนบถุงยางหนึ่งกล่องไว้เป็นที่ระลึก ที่แน่ๆไม่ใช่ไซต์ผม เพราะมาวิเคราะห์อย่างจริงจัง ผมคงไม่รอดมือมันแหง

เฮ้อ ตอนแรกกะว่าจะเสียตัวตอนวันวาเลนไทน์ แต่ดันมาลงเอยวันตรุษจีนซะนี่ แต่ก็เอาเถอะ มีค่าเท่ากัน ยังไงซะ ผมก็เสียซิงให้ไอ้ยิมมันอยู่ดีนั่นแหละ เห็นเป็นหนุ่มแว่นก็ใช่ว่าจะปราณีผมนะ

.

.

.

ไม่กล้าเขียน nc ของยิมผิงจริงๆ  :ling1: คือ เขินมากกว่า เข้าใจอารมณ์ของผิงจริงๆ
ไม่แน่อาจจะมีมาเพิ่มทีหลัง 5555

หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' จบแล้ว l ตอนพิเศษตรุษจีน 16 ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 16-02-2018 14:01:27
ชอบคู่ยิมผิงมากๆๆๆๆๆ ทำไมฉากในห้องนอนถึงไม่มีละคะ งือออ นี่นับวันรอเขาสวีทหวานกันเลยนะคะ  :z3: :ling1:
หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' จบแล้ว l ตอนพิเศษตรุษจีน 16 ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: IamPobPobPob ที่ 20-02-2018 09:37:43
ชอบมากเลยครับ สนุกดี  :3123:
หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' จบแล้ว l ตอนพิเศษตรุษจีน 16 ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: Quill ที่ 25-02-2018 20:20:40
แล้วผิงรู้ขนาดของยิมได้ยังไง ทำไมถงเลือกไซส์ถุงยางถูก
หัวข้อ: Re: รีไรท์ x เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' จบแล้ว l ตอนพิเศษวันแม่ 12.8
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 12-08-2018 18:10:40
ตอนพิเศษวันแม่ 12.8.61 

วันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นวันแม่ด้วย ผมกับน้องสองเตรียมหาดอกไม้มาไหว้แม่ เธอกลับมาหาผมที่บ้านเพื่อมาเยี่ยมลูกรักกับไอ้ทู หมาหัวเน่าที่แม่ทิ้งหัวไป ท่าทางมันดีอกดีใจเข้าไปโถมตระกายล้อมหน้าล้อมหลังแม่อยู่นานจน ไอ้สองต้องเข้าไปลากคอมันออกมา

“คิดถึงแม่จังมากอดหน่อย”ผมเข้าไปอ้อเซาะอีกฝ่ายทันที  เธอหัวเราะก่อนจะตบหลังผมดังปึก จากนั้นเราสามคนจึงเดินเข้าไปในห้องรับแขก “เป็นไงบ้างจ๊ะสอง ท็อปมันทำตัวดีหรือเปล่า”แทนที่แม่จะถามไถ่ลูกรัก แต่กลับหันไปหาไอ้สองที่กำลังยกน้ำมาเสิร์ฟให้แม่ เจ้าตัวหน้าระรื่นปรายตามองผมก่อนจะนั่งลงที่โซฟาตัวเล็ก

“ไม่กล้าทำตัวแย่หรอกครับ ไม่งั้นได้เป็นหมาหัวเน่าแน่”ไอ้สองมันพูด จนแม่หัวเราะชอบใจ ผมเลยอดไม่ไหวแกล้งมันต่อ

“หึ ใครจะกล้าล่ะ ไม่เห็นเหรอแม่มันทำตัวเป็นศรีสะใภ้ที่ดีแค่ไหน งานบ้านงานเรือนไม่ขาดตกบกพร่องเลย ท็อปแค่กลับมาบ้านแค่รอกินข้าว”

ไม่ทันพูดจบ แม่ประเคนฝ่ามือใส่หลังผมอีกตุ้บ

“เรานี่อย่าบอกนะให้สองทำงานบ้านคนเดียว”

“โหแม่ ล้อเล่นครับ ก็ช่วยๆกันแต่ยังไงสองมันก็ทำหน้าที่ของมันดีจะตาย...ใช่ไหมน้อง”ผมหันไปหาไอ้สอง เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเขินกับคำว่าน้องจากปากของผม เจ้าตัวทำหน้าเก็บอารมณ์แต่ว่าหูกับลำคอแดงก่ำ มันหันไปยิ้มกับแม่

“ก็ปกติล่ะครับ ถ้าใครเลิกงานก่อนก็หุงข้าวทำอาหาร ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แล้วทานอะไรมายังครับ จะได้ไปจัดโต๊ะเลย”

“เรียบร้อยแล้วจ้ะ”


“งั้นท็อปไม่กวนแม่แล้ว”ผมบอกก่อนจะเดินไปนั่งข้างไอ้สองแทน แม่แค่เหลือบมองยิ้มๆจากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นสอง เพราะคงเพลีย ส่วนกระเป๋าไอ้สองทำท่าจะลุกยกขึ้นไปให้แต่แม่โบกมือห้าม “ของไม่เยอะลูก ไม่หนักหรอก แม่ไปนอนสักงีบก่อนดีกว่า”

ผมมองแม่จนลับสายตาจากนั้นก็หันไปมองคนข้างๆที่เขยิบตัวหนี

“อะไร แค่นี้ทำงอน”

“เปล่าใครงอนวะ”มันทำหน้ากวนประสาทมาให้ ยักไหล่ไปด้วยยิ่งเพิ่มดีกรีความกวนเข้าไปอีก ผมคันมือยิบ จ้องมองหน้ามู่ทู่ของมันอย่างสุขใจ ที่จริงผมมีเซอรไพรซ์รอมันอยู่ อดใจไม่ไหวที่จะเห็นปฏิกิริยาของมันบ้าง

 พรุ่งนี้เป็นวันแม่ ผมเองก็ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีเท่าไรนัก พอมีไอ้สองที่คอยจะคะยั้นคะยอให้ผมเอาใจแม่บ้าง ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกมันอยู่บ้างเพราะไอ้สองมันมีแค่พ่อ มันเลยรักแม่ผมมาก วันแม่ทีไรมันโทรไปคุยกับพ่อทุกที มันคงชินกับการทำแบบนั้นไปแล้ว

ดังนั้นวันแม่ปีนี้ ผมเลยปรึกษากับแม่ รวมถึงพ่อของสองแล้วเหมือนกันว่าจะผูกข้อไม้ข้อมือกัน คล้ายกับการสู่ขอกันนั่นล่ะ ในฐานะที่เป็นผมอายุมากกว่าก็อยากจะทำหน้าที่เป็นผู้นำ แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวว่าใครจะเป็นหัวหน้าครอบครัว เพราะเราต่างก็เป็นผู้ชาย การไปยึดว่าผมต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวเพราะบทบาทบทเตียงมันก็ไม่ใช่เรื่อง ผมรู้ว่าไอ้สองก็คงไม่ชอบใจนักแม้ว่ามันจะยิ้มแย้ม แต่ใจเขาใจเรา ผมไม่อยากให้ความรักของเราสมีรอยร้าว ให้ใครอื่นมาแทรกแซงได้อีก
 
ส่วนเรื่องพวงมาลัยไอ้สองจัดการไว้ให้แล้ว มันมีฝีมือด้านนี้ด้วย ซึ่งพวงมาลัยไม่ได้ยากมาก แค่ใช้ดอกพุดกับดอกมะลิธรรมดาร้อยจากนั้นก็ใช้อุบะที่ทำจากดอกกุหลาบมาร้อยเป็นเส้นเท่านั้นเอง มาลัยสองพวงนี้จึงหน้าตาน่ารักๆกลมๆไม่ใหญ่มาก

 “คิดอะไรอยู่ครับ ทำหน้าซีเรียส”

“คิดอยู่ว่าจะได้รางวัลลูกดีเด่นยังไงดี”

“หา จากแม่น่ะเหรอ”

“ไอ้สองมึงทำซื่อเหรอ ก็ต้องจากที่รักสิ”พอผมพูดจบ มันทำหน้าเหมือนขี้ไม่ออกมาหลายวัน ก่อนจะขยับมาต่อยผมทีหนึ่ง

“ตลกเรื่อย เกี่ยวอะไรกัน”

“เกี่ยวสิ สองก็เป็นแม่นะ....”ไม่ทันจะพูดจบ ไอ้สองเข้ามาฟัดผมแทน เพื่อหยุดไม่ให้ผมพูดต่อ การแกล้งเล็กๆน้อยๆพอให้ชุ่มชื่นหัวใจ ระหว่างนั้นผมกับไอ้สองออกไปเล่นไอ้ทู มันยังดีใจไม่หาย ส่งเสียงแหลมเข้ามาฟัดกับผมไปด้วย จะว่าไปแล้วชีวิตของผมกับไอ้สองก็ไม่ได้มีอะไรให้ตื่นเต้นมานาน ยิ่งเรื่องบนเตียงก็ไม่ใช่ว่าจืดชืด เพียงแต่มันก็แค่เซ็กส์ปกติธรรมดา พอมีโอกาสได้เปิดหูเปิดตาจากไอ้อิฐ เพื่อนเวรนี่คอยส่งหนังโป๊มาให้อยู่เรื่อย จำได้เลยว่าไอ้สองมันโวยวายแค่ไหน

“เฮ้ย พี่ซื้อมาดูเหรอ”มันทำหน้าตกใจ หนังโป๊น่ะไม่ใช่เรื่องที่ควรตกใจ แต่ที่มันทำตาโตก็เพราะไอ้หน้าปกอร่างฉาง อุปกรณ์มาครบครัน ปกติผมกับไอ้สองไม่เคยใช้อะไรพวกนี้มาเสริมสร้างในการร่วมรักกันหรอก พอไอ้สองเห็นมันหน้าแดง
“ไอ้อิฐส่งมาให้ ทำไม จะดูด้วยกันเหรอ”
“บ้าเหรอ พี่ชอบอะไรแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”ผมทำหน้าแปลกใจ ผมส่ายหน้า ก็แค่หนังโป๊
“เปล่า ก็แค่ดูเฉยๆ”
“หวังว่าจะไม่พิสดารอีกนะ”ไอ้สองพึมพำ ผมไม่ค่อยหาอะไรแปลกๆมาให้ไอ้สองทำหรอก ออกจะสงสารมันมากกว่าถ้าเกิดให้เล่นอะไรแผลงๆ
“เหรอ...สองไม่ชอบเหรอ”เลยแกล้งมันอีก ไอ้สองมองหน้าเหมือนว่ากำลังใตร่ตรองว่าผมพูดเล่นหรือจริง
“หา เอาจริงดิ”มันเหลือกตา ท่าทางคิดหนัก ถ้าผมรุกเร้ามันคงยอมให้ผมอยู่แล้ว
“ก็น่าสนนะ เราไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยไม่ใช่หรอ”ผมบอกเสียงเบาหวิว พอเอ่ยปากไป มโนภาพในหัวก็มาชัดเจน ผมกลืนน้ำลาย ผมเคยจินตนาการถึงความบิดเบี้ยวในใจของตัวเอง เซ็กส์แปลกๆที่อยากทดลองกับสอง แฟนสุดรักของผม ไม่อยากจะคิดพิสดารอะไรมาก แต่สันดานดิบมันก็มีในตัวทุกคนอยู่แล้ว
“ก็ใช่...ไม่คิดนะเนี่ยว่าพี่จะชอบอะไรทำนองนี้”มันวางแผ่นหนังลงก่อนจะเดินหนีลงไปชั้นล่างทันที ผมหัวเราะในใจ ไอ้สองเป็นเกย์แต่ก็ไม่ชินหากว่าจะเจออะไรแปลกๆเหมือนกัน ผมเดินไปหยิบแผ่นมาดูก่อนจะเคาะมือไปมา คิดอะไรอยู่นานสองนาน ขนาดเมคเลิฟคราวนั้นผมยังทำได้ นับประสาอะไรถ้าผมจะ......Role play กับมันสักหน่อย

“เหม่ออะไรพี่”ไอ้สองยื่นหน้ามามอง ก่อนจะโบกมือผ่านหน้าไป

“คิดอะไรนิดหน่อย”ผมบอก ไอ้สองมองอย่างจับสังเกต ก่อนจะปล่อยมือที่จับไอ้ทุไว้ มันวิ่งไปเล่นกับน้ำสปริงเกออร์ที่หมุนไปมาอย่างสนุกสนาน ผมจูงมือมันไปนั่งที่ศาลาไม้ 

“เป็นอะไร สีหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่”ไอ้สองถาม ยื่นหน้าเข้าหา ผมเหลือบมองริมฝีปากของมันไปพลาง นึกภาพเวลามันดีใจน้ำตาไหล ไอ้สองของผมมันเป็นคนอ่อนไหว

“เปล่า แค่คิดว่าพรุ่งนี้ทำอะไรให้แม่ดี”

“นึกว่าแค่ไหว้แม่ก็พอแล้ว หรือจะไปปิกนิกที่เดอะปาร์ค”อีกฝ่ายเสนอ ผมพยักหน้า ยื่นมือไปลูบศีรษะมัน แม้ว่ารู้ว่าเจ้าตัวจะไม่ชอบที่ผมทำแบบนี้ก็ตาม แต่เห็นว่าไอ้สองมันยิ้มมุมปากไม่ว่าอะไร ยิ่งทำให้ผมได้ใจ ยื่นไปจูบแก้มมันแทน

“กินยาผิดเหรอ”มันว่า

“ฮ่ะๆ ปกติพี่ก็เป็นแบบนี้”ผมบอก

“ไม่อะ ดูเอาใจกว่าปกติ”มันบอก ผมเลิกสูงเชิงถาม

“จริง ปกติพี่ก็ไม่ค่อยจะหวานเท่าไร ส่วนมากชอบแกล้งผมมากกว่า”อีกฝ่ายบอก ผมเลยนึกทบทวนตัวเอง ผมไม่ใช่คนอ่อนหวาน ทำอะไรจ๊ะจ๋านัก ถ้าให้ปากหวานแซวเล่นนะพอไหว แต่จะให้ทำซึ้งหวานแหววก็ไม่ใช่ทางผมอีก

“อยากเพิ่มความหวานเหรอ”

“เปล๊า”

“แน่ะๆ อยากได้อะไรบอกพี่มา”ผมกระเซ้า เบียดตัวเข้าหาอีกฝ่ายขมวดคิ้ว

“ไม่อยากได้อะไรหรอก”

“ตามใจ อุตส่าห์ให้ขอแล้ว มาโวยทีหลังไม่ได้นะ”ผมยิ้มกรุ้มกริ่ม ไอ้สองหันมองทันที มันหรี่ตาจับผิด แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

หลังจากที่แม่พักผ่อนจนเต็มอิ่มไปแล้ว ไอ้สองกับผมก็ช่วยกันจัดโต๊ะมื้อเย็น ส่วนมากก็เป็นอาหารทำเอง ฝีมือของไอ้สองเจ้าเดิม อย่างที่บอกหน้าที่พ่อครัวจะเป็นมันซะส่วนใหญ่ ตอนนี้รสมือของมันพัฒนาขึ้นมา เรียกได้ว่าทำอะไรก็อร่อยกินได้ไม่ท้องเสีย แม่ลงมาที่โต๊ะอาหารก่อนจะมีรอยยิ้ม ผมนั่งข้างแม่ ส่วนไอ้สองนั่งอีกฝากของโต๊ะ แม่คอยชวนไอ้สองคุยมากกว่า เป็นเรื่องงานของมัน แล้วก็พฤติกรรมของลูกชายอย่างผม

“ท็อปไม่เกเรใช่ไหมลูก”

“ไม่มีครับ กลับบ้านตรงเวลา”ไอ้สองหัวเราะไปด้วย ผมกระตุกยิ้มตาม

“ต้องคอยดูมันนะ ถึงจะไม่ใช่พวกเจ้าชู้แต่ไอ้นี่ชอบทำอะไรแผลงๆตลอด”แม่เอ่ยเสียงเข้ม ทำเอาผมย่นคิ้ว แผลงๆเรอะ...หมายถึงอะไร

“โธ่แม่ครับ ท็อปทำอะไรแผลงๆที่ไหน ถามสองสิ”ผมยิ้มกว้างออกมา ไอ้สองดูมึนงงไปชั่วขณะ จากนั้นแววตาเหมือนรู้ตัวดี มันทำเมิน หันไปคุยกับแม่แทน

“เยอะครับ ไม่อยากจะเอามาพูด เดี๋ยวกินข้าวไม่อร่อย”สิ้นคำของมัน แม่หัวเราะทันที ผมเงียบ รู้สึกว่าไอ้สองจะชักตลกใหญ่ มีแม่เป็นแบล็กดีก็แบบนี้ ทำเอาผมมีไฟปะทุนึกอยากจะจับมันมา...ทำให้ร้องไห้ซะให้เข็ด จะว่าไปไอ้สองไม่เคยร้องไห้งอแงอะไรสักอย่าง สงสัยจะจริงอย่างที่แม่ว่าผมชอบทำอะไรแผลงๆ

“แล้วพวงมาลัยเราซื้อหรือว่าทำเองล่ะ”

“ผมทำเองครับ ร้อยมาสองพวง หน้าตาธรรมดาแหละครับ”เสียงของไอ้สองปลุกผมจากความคิดอันตราย เรื่องร้อยมาลัยนั่นทำให้ผมเลิกหมกมุ่นไปได้ชั่วขณะ วันแม่แท้ๆยังจะมาคิดเรื่องใต้สะดือเอาได้นะไอ้ท็อป นึกด่าตัวเองในใจ ตลอดมื้ออาหารเหลือบมองไอ้สองไปตลอด คิดว่ามันคงรู้ตัวเหมือนกัน

พอขึ้นห้อง ใช้เวลาส่วนตัว ผมดันไอ้สองไปชิดผนังห้องแทน ไอ้สองยิ้มกวน

“อะไร”

“ยังอีก ชักเหิมเกริมนะเรา”ผมแกล้งทำตาดุ ไอ้สองย่นคิ้วโอบเอวผมไว้ ไม่วายแอบมาบีบก้นผมอีก

“เดี๋ยว...ไอ้นี่”ผมยกขากดไปที่เข่ามันแทน ไอ้สองนิ่วหน้า แต่ไม่ได้โวยวายอะไร ผมเลยยืนกอดมันไปเรื่อยๆ

“พรุ่งนี้ตื่นเช้า”มันบอก ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก้มไปจูบต้นคอของอีกฝ่ายแทนกลิ่นหอมของโลชั่นทาผิวจางๆผสานกับกลิ่นกับข้าวเมื่อเย็นมาด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ผมลดลงเท่าไร ไอ้สองคงรู้สึกได้

“พักนี้ทำไมหมกมุ่นจังพี่”มันส่งเสียงงึมงำกับลำคอของผม สองมือสอดเข้ามาเคล้นคลึงเส้นผมไปด้วย

“เปล่านี่”

“คิดว่าผมไม่รู้เหรอ มองตาก็เห็นแล้วว่ากำลังคิดอะไร”

“เห็นได้ไงล่ะ”ผมแกล้ง ผละออกมาจ้องมองคนตรงหน้า ร่างกายแนบชิดมากขึ้น

“ก็ตาหื่นๆไง”มันยิ้ม ผมอดไม่ไหวยื่นหน้าไปกัดแก้มมันจนมันร้องโอ้ยออกมา

“เล่นแรงอยู่เรื่อย”มันผลักผมออก ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมา ผมเดินตามเข้าไปแต่ไม่ได้สานต่อ เพราะรู้ว่าไอ้สองอาจอารมณ์เสีย ยังไงซะพรุ่งนี้ก็ต้องตื่นเช้าจริงๆ แม่ก็อยู่ด้วยทำให้เราสองคนต้องเกรงใจกันบ้าง ไม่แน่อาจโดนปลุกไปใส่บาตรแต่เช้า

.
.

เช้าตรู่วันต่อมา วันนี้เป็นวันแม่ อากาศยามเช้าสดใส แม่เข้ามาปลุกบอกว่าให้ลงไปใส่บาตรที่หน้าบ้าน ผมกับไอ้สองจึงต้องลุกลงไปเตรียมอาหารกับดอกไม้สำหรับการทำบุญตอนเช้า ส่วนเรื่องที่จะเซอร์ไพรซ์ แม่แอบกระซิบว่าพ่อของสองเดินทางมาถึงแล้วเหมือนกัน แต่ออกไปทำธุระในตัวเมือง

วันแม่ปีนี้ผมกับสองไม่ได้ลงมือทำอะไรมาก แค่จัดบ้านให้สะอาด เตรียมห้องสำรับไหว้ขอขมาพ่อแม่ ผมเตรียมพานธูปเทียนแพเอาไว้แล้ว เราไม่ได้มากพิธีรีตองแค่อยากขอขมาพ่อแม่ด้วยใจจริง ไอ้สองดูไม่ได้สงสัยอะไร เพราะของพวกนี้ก็ใช้ในการขอขมาอยู่แล้ว

ระหว่างนั้นมีเสียงรถยนต์ขับเข้ามา ไอ้สองขมวดคิ้วทันที ผมเลยละมือออกไปรับพ่อสันติของไอ้สอง

“สวัสดีครับพ่อ เดินทางเหนื่อยไหมครับ”ผมเอ่ยทักทาย เพราะพ่อกับผมสนิทกันมากขึ้น พ่อของไอ้สองเดินลงมาจากรถแต่งตัวลำลองสีสันสดใส ใบหน้ายิ้มแย้ม

“สบายมาก ว่าแต่เตรียมของพร้อมแล้วนะ”พ่อถาม

“เรียบร้อยครับ”

ระหว่างนั้นไอ้สองโผล่หน้าออกมาจากประตูในบ้าน สีหน้าดูประหลาดใจมาก

“อ้าวพ่อ มาได้ไงครับเนี่ย”

“ทำไมวะ ข้าจะแวะมาเยี่ยมเอ็งไม่ได้เหรอ”พ่อยิ้มกว้างเดินเข้าไปกอดลูกชาย ผมยกกระเป๋าเข้าในบ้าน ไอ้สองยังคงมึน มันหันมองผมก่อนจะกลับไปสนใจพ่อของตัวเอง

“มาก็ไม่บอกกัน ผมจะได้ไปรับไง”อีกฝ่ายบอก

จากนั้นพ่อกับแม่ก็ทักทายกันตามปกติ ไอ้สองขยับมาหา “ยังไงกันแน่”

“อีกเดี๋ยวก็รู้”ผมยิ้มกริ่ม เจ้าตัวย่นคิ้ว ก่อนจะทำหน้าสงสัย ไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไรอีก ที่จริงผมก็เรียกท่านว่าลุงตามปกติ แต่ว่าอีกฝ่ายบอกให้เรียกพ่อได้ ผมจึงเรียกมาจนชินปาก

ผมยกพานธูปเทียนแพออกมา พร้อมกับของรับไหว้ด้วยสองชุด เป็นไม้มงคล ไอ้สองคงงงเข้ามาช่วยผมถือ จากนั้นก็นั่งลงที่ตรงหน้าทั้งสองท่าน หัวใจเต้นระส่ำ เอาเข้าจริงๆพอทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ผมก็มือเย็นไปหมด พ่อจึงเริ่มเอ่ยขึ้นมา

“วันนี้วันดี พ่อกับคุณพรปรึกษากันแล้ว เอ็งสองคนก็อยู่ด้วยกันมาหลายปี ข้ามีลูกคนเดียวยังไงซะก็ต้องทำให้มันถูกต้อง ข้าไม่ต้องการสินสอดอะไรหรอก ข้าแค่ทำพิธีเล็กๆน้อยๆเพื่อเป็นสิริมงคล”วิธีรับไหว้นั้นก็เหมือนการเคารพผู้ใหญ่ ฝากเนื้อฝากตัวเข้าครอบครัวอีกฝ่าย แสดงความขอบคุณและขอขมาที่ทำให้ผู้ใหญ่ไม่สบายใจ

ฟังพ่อพูดแล้วใจสงบลง ไอ้สองนิ่งไป ก่อนจะหันมองหน้าผมจากนั้นก็มองไปที่พ่อของตัวเอง

“พ่อ...นี่...”

“โทษทีจ้ะ ที่เราไม่ได้บอกสองไว้ก่อน ก็ตามที่ท็อปมันบอกไว้อยากให้เราประทับใจ...แม่ก็คิดเหมือนกัน การรับไหว้ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือเรื่องน่าละอาย ดีเสียอีกที่คิดแบบนี้ได้ ถือว่าเป็นเกียรติของเราสองคนนะ ของพ่อแม่ด้วย”แม่เอ่ย ทำให้ผมยิ้มออกมา ก่อนจะจับมือไอ้สอง ยื่นพานธูปเทียนแพขอขมาให้ทั้งคู่ สองยังคงมึนทำตามที่ผมบอกอย่างเดียว ทั้งสองท่านให้คำอวยพรเราสองคน จากนั้นก็มอบของรับไหว้ให้แก่ผู้ใหญ่สองท่าน จากนั้นก็มอบพวงมาลัยให้อีกที เพราะทำร่วมกัน ระหว่างนั้นผมกับไอ้สองก็เอ่ยขอขมาแม่ รวมถึงพ่อสันติด้วย เพราะพิธีนี้ถือว่าทำร่วมกัน

“เอาล่ะ ข้าดีใจกับเอ็งสองคนนะที่ยังอยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้ ...ข้ายังจำได้ว่าเอ็งสองคนยังอารมณ์ร้อนกันอยู่เลย ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบห้าปีได้แล้วนะที่คบหากันมา ข้าอวยพรให้ท็อปกับสองอยู่ด้วยกันยืนยาวนะ ดูแลกันดีๆ”พ่อเอ่ยบอก ขณะที่หยิบสายสิญจ์สำหรับการผูกข้อมือออกมาถือ ผมสะกิดไอ้สองที่ดูจะทำอะไรไม่ถูก เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วผมจึงยิ้ม เข้าไปจับมือคนข้างๆยื่นไปให้พ่อผูกด้าย

“พ่อ...ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ”มันส่งเสียงเบาๆ มีเสียงสูดจมูกตามมาด้วย แม่ยิ้มเอ็นดู

“น่าๆ คนต้นคิดน่ะแฟนเอ็ง ...รู้ใช่ไหมว่ามันหมายถึงอะไร ด้ายห้าเส้นนี้ถือเป็นการเรียกขวัญมาไว้ที่แขน แล้วก็เหมือนการที่เราผูกแขนหมั้นหมายกัน การรับไหว้ก็เหมือนพิธีสูขอลูกชายเขาน่ะ มาขมาขอที่ล่วงเกินลูก สมัยนี้ต่อให้ไม่ถือเรื่องอยู่ก่อนแต่ง หรือแม้แต่เราเป็นผู้ชาย แต่มันก็เหมือนการให้เกียรติกันและกันไง พิธีนี้ข้าก็ไม่ได้คิดไว้หรอก แฟนเอ็งมาขอร้องข้าน่ะ...”พ่อบอก

ระหว่างที่มัดสายสิญจน์ให้ไอ้สอง จากนั้นก็เปลี่ยนมามัดให้ผมบ้าง แล้วเอ่ยถ้อยคำอวยพรที่ไม่ต่างกันให้ผมด้วย จากนั้นก็กราบท่าน ไอ้สองหันมองผมด้วยแววตาลึกซึ้ง ผมได้แต่ยิ้ม บางครั้งผมไม่อ่อนหวาน แต่พิธีวันนี้คงเป็นคำบอกรักที่มีพลังมากกว่าการเปล่งจากปาก

เราสองคนเปลี่ยนมาที่แม่ เธอหยิบสายสิญจน์ออกมาผูกให้สองก่อน จากนั้นก็อวยพร

“แม่รู้จักลูกชายตัวเองดี อยากให้สองเข้าใจท็อปมันมากๆ ถึงมันจะชอบกวนใจเราบ่อยๆแต่อย่าไปถือสาท็อปเลยนะลูก มันก็เป็นแบบนั้นแหละ อีกอย่าง แม่ก็เห็นเรามาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ตอนนั้นลูกแม่ทำให้เราเสียใจใช่ไหม แม่เองก็ไม่อยากพูดถึงนักเพราะเรื่องเก่าๆ เป็นแผลในใจมากกว่า...แต่ก็ถือเป็นบทเรียนของกันนะสอง...ขอให้พูดคุยกันมากๆ ต่อให้รักกันมากแค่ไหน รู้จักการมากแค่ไหน สุดท้ายแล้ว เวลามีเรื่องอะไรก็ต้องคุยกันตรงๆ ชีวิตจะได้ราบรื่น แม่ก็พูดแค่นี้ ดูแลท็อปดีๆนะ แม่ไม่ห่วงอะไรแล้วล่ะจ้ะ”เธอเอ่ยถ้อยคำยาว ไอ้สองขานรับ ยกมือไหว้แม่อีกครั้ง  ส่วนผมแม่อวยพรให้คล้ายกัน แต่จะมีเพิ่มเติมมาบ้าง

“เรื่องความรัก ความรู้สึก ไม่ใช่การเอาชนะ ไม่ใช่ว่าเราต้องถูกต้องอยู่เหนือกัน อยู่ด้วยกันแล้วเราต่างเท่าเทียมกันนะท็อป อย่าเอาคำว่าผัวเมียมาตัดสินกันดีกว่า”แม่เอ่ยบอก ไอ้สองได้แต่ปรายตามอง จากนั้นก็กราบแม่อีกครั้ง จากนั้นทั้งสองท่านก็เอ่ยถึงคำสอนคล้ายการถือครองชีวิตคู่ การครองเรือน ทำเหมือนว่าเราแต่งงานกันแล้ว ผมยิ้มเขินเมื่อพูดถึงเรื่องในมุ้ง ไอ้สองบีบมือผมแน่น บอกไม่ถูกว่าอีกฝ่ายรู้สึกเช่นไร

พอจบพิธีรับไหว้ ไอ้สองก็เข้าไปกอดพ่อของตัวเองแน่น

“โดนต้มอีกแล้ว ผมรู้ช้าตลอด”มันเอ่ยอย่างน้อยใจ ผมเลยเข้าไปกอดมันอีกต่อ

“อะไร อยากให้ซึ้งใจไงครับ”พูดจาเพราะๆ รู้ว่าไอ้สองพ่ายแพ้เวลาผมพูดแบบนี้ เจ้าตัวหันมองยื่นมือมาดึงแก้มผมอย่างมันมือ

“อย่ามาทำปากหวานว่ะ อายพ่อแม่บ้าง”มันพึมพำ เหลือบมองไปที่แม่

ตลอดทั้งวันเราพาแม่กับพ่อไปไหว้พระเก้าวัด ตะลอนไปทั่ว ได้ของกินมาเต็มไม้เต็มมือ ส่วนมากผมจะอยู่กับแม่ ไอ้สองก็เกาะติดพ่อไปแทน ถือว่าวันแม่ปีนี้ให้เวลากับครอบครัว ใช่แล้วล่ะ เราก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว ยิ่งก้มมองที่แขนซ้ายด้ายสีขาวยังพันรอบข้อมือ ยิ่งทำให้ผมยินดี ผมคิดว่าไอ้สองก็คิดแบบเดียวกัน

.
.
หลังจากที่ผ่านการผูกข้อไม้ข้อมือจากผู้ใหญ่ทำให้ผมเหมือนมีสิทธิ์ขาดในตัว แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกประเภทหนึ่ง คืนนี้แม่ไม่อยู่บ้าน ไปหาเพื่อน ส่วนพ่อไอ้สองกลับไปแล้ว ทั้งๆที่ลูกชายเอยขอให้ค้างสักคืนแต่คนเป็นพ่อบอกว่าไม่อยากขัดเวลาส่งตัวของเรา เล่นทำไอ้สองเงียบกริบ

คืนนี้เรานอนกันเร็วเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ผมเหลือบมองรูปร่างของไอ้สองอยู่นาน ช่วงที่อีกฝ่ายเดินออกจากห้องน้ำ หยดน้ำเกาะพราว เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีจากอีกฝ่าย ช่วงที่ผ่านมาไอ้สองหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ไม่แปลกใจที่ร่างกายของอีกฝ่ายเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง หน้าท้องเริ่มเห็นกล้ามเนื้อ ผมมองอยู่นานจนเจ้าตัวสังเกตเห็นจึงผุดยิ้มก่อนจะเดินมาหาทั้งที่สวมแค่บ็อกเซอร์โล่ง

“มองแบบนี้คิดอะไรอยู่ครับ”มันถาม ขณะที่กำลังสวมบ็อกเซอร์ตัวเดียว ปราศจากสิ่งขวางกั้นใด

“เปล่า แค่เห็นว่ามึงหุ่นดีขึ้น”ผมชม ยกนิ้วโป้งให้

“แหมทำอย่างกับว่าไม่เคยเห็น”สองพูด ได้กลิ่นสบู่เหลวที่อีกฝ่ายใช้ กลิ่นหอมจากคนเพิ่งอาบน้ำนั้นเย้ายวนใจผมมาก จนอยากจับอีกฝ่ายมานัวเนีย

“ยังอีกๆ ทำหน้ามีแผนการ”เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ ทำให้ผมคันยิบในใจ อยากกอดมันมากขึ้น

“อยากให้ทำอะไรไหม”ผมถาม มองตาอีกฝ่ายอย่างเอาจริงเอาจัง สองทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะกัดปากไปด้วย แววตาที่เหมือนคิดอะไรอยู่ เห็นว่าหูแดงก่ำ “ไม่มีนะครับ”

“เหรอ นึกว่าอยากจะฉลองเรื่องของเรา”ผมบอกยื่นหน้าไปใกล้ ก่อนจะเข้าไปรวบตัวมันมากอดไว้

“หึหึ...ไม่ทันไรเลยนะครับ”เจ้าตัวส่ายหน้ายิ้ม จ้องมองไม่หลบไปไหน ผมแค่ยื่นมือไปจับใบหน้าเย็นๆของอีกฝ่าย เลื่อนไปจับสันกราม นานแล้วที่ไม่ได้ลูบไล้แบบนี้

“เมาเหรอ”

“อือ สงสัยเมามึง”ผมตอบ ไอ้สองเบ้ปาก

“แหวะ เพ้อฉิบ”ไอ้สองขำ งับมือผมไว้ทัน ก่อนจะยื่นหน้ามาหา จูบผมแผ่วเบาแค่ให้ปากสัมผัสกันธรรมดา ผมยิ้ม โน้มไปไล้จมูกข้างแก้ม ก้มหอมที่ลำคอก่อนจะอดใจไม่ไหวขบฟันลงฝากรอยเอาไว้ อีกฝ่ายสะดุ้งแต่ไม่ได้ห้ามปรามยิ่งทำให้ผมได้ใจ ผละมองหน้าของอีกฝ่าย ยื่นไปจูบซ้ำที่ริมฝีปาก เจ้าตัวไม่ยอมให้ผมเข้าไปสำรวจด้านใน แค่ไล่งับผมคืน หยอกเย้าแบบนี้อยู่นาน ผมจึงขยับไปคร่อมอีกฝ่ายไว้ โอบกอดไปทั้งตัว

“เป็นอะไร”อีกฝ่ายถามเสียงหอบ มองอย่างแปลกใจเพราะความหื่นกระหายของผม

“เปล่าก็แค่อยากฟัด”ผมกระซิบ ไอ้สองมีสีหน้าเหมือนรู้ทัน

“เว่อร์”

“จริง...เราลองทำอะไรใหม่ๆดูดีไหม”ผมเสนอความคิดแปลกๆปรากฏขึ้น ไอ้สองหน้าแดง มันต่อยแขนผมอีกทีจนต้องนิ่วหน้า ผมคว้ามือมันไว้ 

“อะไรล่ะ”มันถามทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ เพราะเรื่องที่เคยคุยกันมันไม่น่าจะลืม แววตามันเหมือนจะท้าทายขึ้นมา

ผมเลื่อนไปกระซิบข้างหู “อยากเห็นมึง xxx”

“หา...ไม่ไหวมั้งพี่”ทันที่ฟังจบ ไอ้สองแทบผลักผมออก แต่ผมยันร่างไว้ก่อน

“ไม่ได้เลยเหรอ ขอแค่สักคืน”ผมถาม รู้สึกยังติดอยู่กับเรื่องคราวก่อนอยู่ ไอ้สองถอนหายใจ มองตาผมอยู่นาน

“มันแปลกนี่”

“โอเค...”ผมไม่เซ้าซี้ ไม่ก็คือไม่ แต่ในใจเหมือนดอกไม้เฉาไปแล้ว ไอ้สองเลิกคิ้ว ก่อนจะรั้งลำคอผมลงต่ำ

“...ให้เวลาทำใจหน่อยเล่นมาบอกโต้งๆแบบนี้ใครตั้งตัวทัน”

“สรุปว่าได้ใช่ไหม...งั้นพี่ให้สองก่อน วันอื่นสองต้องทำตามที่พี่ขอนะ”ผมเอ่ย ก้มลงคลอเคลียกับจมูกของอีกฝ่าย

ไอ้สองกระพริบตา ก่อนจะเกาศีรษะเขินๆ“...รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น”

“เราสองคนไงใครจะรู้”ผมกระซิบ ยังคงคลอเคลียที่ใบหูของอีกฝ่ายอยู่ เจ้าตัวเอื้อมมือมาจับสะโพกของผมไปด้วยออกแรงบีบเหมือนว่ามันเขี้ยว ผมหัวเราะก่อนจะถอดกางเกงออก ไอ้สองพลิกขึ้นมาอยู่ด้านบนระหว่างนั้นก็ถอดเสื้อผ้าไปด้วย

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' จบแล้ว l ตอนพิเศษวันแม่ 12.8.61 p.27
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 12-08-2018 18:12:27
“แบบนี้ต้องเอาให้คุ้ม”มันว่า สีหน้าหื่นกระหาย ดวงตาประกายวิบวับ เจ้าตัวดึงขาของผมขึ้นมาจูบ ลากลิ้นเลียตั้งแต่ขาอ่อนมาจนถึงข้อพับ ผมมองตามความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะสอดมือเข้าหากลุ่มผมอ่อนนุ่มแล้วออกแรงดึงเล็กน้อย เจ้าตัวผงกหัวมองจากนั้นก็ทาบทับลงมา บดเบียดส่วนร้อนรุ่มตรงกลางเข้ากับช่องทางที่ห่างการรุกรานมานาน

ผมยิ้ม ไอ้สองจึงยื่นหน้ามาจูบแผ่วเบาก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเร่งเร้ามากขึ้น สอดลิ้นเข้ามาหาหยอกเย้ากันโรมรันกันอยู่นาน รู้ตัวอีกทีไอ้สองก็สอดมือเข้ามาจับกึ่งกลางลำตัวของผมไปด้วย ออกแรงรูดรั้งเนิบๆให้ผมได้ทรมานเล่น ผมเกี่ยวขารอบเอวอีกฝ่าย

ผมมีคติของผม หากจะรับให้อีกฝ่าย ผมก็เต็มที่เต็มใจอยู่แล้ว อาจจะอิดออดแกล้งมันเล่น แต่สุดท้ายผมก็ยอมให้อีกฝ่ายเชยชม เพราะเข้าใจว่าไอ้สองก็คงอยากจะเปลี่ยนบทบาทบนเตียงบ้าง

“อืม กูก็ยิ่งได้กำไรมากกว่า ทบต้นทบดอกนะ”ผมเตือน แต่ไอ้สองทำหน้ากวนประสาท ขบกัดลงมาที่ริมฝีปากล่างอย่างเอาใจ ยังคงไม่รุกร้ำเข้ามา ผมปล่อยให้อีกฝ่ายเล่นสนุกไปก่อน ไอ้สองเปลี่ยนมาไซ้ต้นคอแทน กดปรายจมูกพร้อมกับลากลิ้นขบกัดไปด้วย สงสัยว่าต้องเป็นรอยแหง

“วันนี้พี่ทำผมเหมือนเป็นสาวๆไปได้”อีกฝ่ายกัดที่ไหล่ เลื่อนศีรษะต่ำลงเลื่อนๆจนมาถึงหน้าอก

“จำคำแม่บอกได้หรือเปล่า ประมาณนั้นแหละ”ผมพึมพำ จ้องมองเรือนผมสีดำที่คลอเคลีออยู่ เรียวลิ้นตวัดลงที่ยอดอกเบาๆจากนั้นก็เพิ่มน้ำหนักจนเกร็งไปทั้งตัว หายใจแรงขึ้นตามร่างกายที่ตอบสนองต่อการเล้าโลม

มืออีกข้างของไอ้สองลูบวนเวียนอยู่บริเวณขาอ่อน ลูบมือผ่านส่วนร้อนที่ตื่นตัว เข้ามาจับที่ร่องสะโพกที่ปิดสนิท ผมเกร็งอยู่บ้าง แต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามา

“เบาๆหน่อย”ผมบอก อีกฝ่ายถึงได้ยื่นมาจูบ มืออีกข้างควานหาเจลสักหลอด พอเจอก็สาละวนกับการชโลมของเหลวลงกับนิ้วมือป้ายลงกับร่องสะโพก อีกฝ่ายยันตัวขึ้นมา ซุกไซ้กับหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อให้เห็น ผมสอดมือเข้าไปขยำเรือนผมของมัน เมื่ออีกฝ่ายใช้ลิ้นเลียที่ส่วนปลายของแท่งร้อน อีกฝ่ายไม่รอช้าครอบปากลงไป ค่อยๆขยับศีรษะขึ้นลงตามความยาว ผมผ่อนลมหายใจช้าๆ มืออีกข้างยังคงสอดแทรกผ่านความคับแคบมาได้

ความรู้สึกตึงอึดอัดไม่คลายไปไหน รับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา จนไอ้สองเริ่มขยับนิ้วเข้าออก เพิ่มจำนวนเป็นสอง หมุนวนเพื่อขยายช่องทางให้มากขึ้น  ด้านหน้าก็รับสัมผัสวาบหวิว อีกฝ่ายดูดดึงเหมือนกับว่าจะเอาจิตวิญญาณของผมไปด้วย กระพุ้งแก้มอุ่นนุ่มเสียดสีเข้ากับแท่งร้อนอยู่เนืองๆ เรียวลิ้นที่คอยตวัดเข้าหาส่วนปลายของมันจนผมส่งเสียงครางออกมา ขยับขาออกกว้างให้อีกฝ่ายทำได้ถนัดมากขึ้น

“พี่พร้อมแล้ว”ผมกระซิบบอก เมื่อข้างหลังร้อนรุ่ม รู้สึกอ่อนนุ่มชุ่มชื้นขึ้นมา นิ้วของอีกฝ่ายยังคงเดินหน้าทะลวงเข้ามาไม่หยุด ผมดึงศีรษะไอ้สองออก

“พอก่อน...”เดี๋ยวได้ปล่อยออกมาก่อนที่จะได้กินอาหารจานหลัก อีกฝ่ายถอนปากออกจากของผม ดึงนิ้วออก จากนั้นก็ดันขาออกกว้าง ของของมันบดเบียดอยู่ที่ร่องสะโพกเจ้าตัวแกล้งเอามาถูไถเล็กน้อย ผมเลยตวัดขาเกี่ยวมันเข้าให้

“หึ เดี๋ยวจะเอาให้จุกเลย”ไอ้สองโน้มลงมาจูบบดเบียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า สองมือเคล้นคลึงไปทั่งหน้าอก มันยังคงเล่นอยู่กับยอดอกสองข้างไม่ไปไหน จนผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา มันต้องจงใจแน่ๆ เพราะไอ้แท่งร้อนของมันยังบดเบียดช่องทางผมอยู่เรื่อยๆ

“อืม มึงจะเอาไม่เอา”

“ฮ่าๆ ใจร้อนจัง”มันหัวเราะกวนประสาท

จากนั้นก็ยัดกาย ยื่นมือมาสัมผัสเร่งเร้าที่แก่นกายของผมบ้าง ท้องน้อยเสียววาบ ผมกัดฟันแน่น อุตส่าห์อ้าขารออยู่นาน เหมือนโดนมันแกล้ง เอาเถอะ ผมปล่อยให้มันได้ใจไปก่อน ผมเอื้อมไปบีบแก้มก้มสองข้างของมันบ้าง มันไม่ได้ว่าอะไรเลยลองสอดนิ้วเข้าไป ไอ้สองฟาดมือมาก่อนจะรวบแขนผมไว้ด้านบนแทน

 ผมยิ้ม ไอ้สองดูหงุดหงิดขึ้นมา มันดันข้าผมออกกว้าง จากนั้นก็เร่งเร้าที่แก่นกายของผมไปพลางนิ้วมือของมันผุดเข้าผุดออกที่พื้นที่ส่วนเล็กตรงนั้น ก่อนจะเร่งจังหวะถี่ขึ้น สอดเสียดซ้ำไปมา จนผมเกร็งขึ้นมาอีกระลอก ผ่อนคลายที่พื้นที่ส่วนนั้นตามจังหวะของไอ้สอง

“ไอ้สองมึง...”ไม่ทันพูดจบ ริมฝีปากก็ตระโบมเข้าที่ช่องทางนั้น โลมเลียจนผมทนไม่ไหว มือของมันยังกำรอบท่อนล่างของผมไว้ กระตุกมือตามด้วย จากนั้นไม่รอช้า ไอ้สองหยัดกายขึ้น จ่อแก่นกายเข้าหา ค่อยดันเข้ามาที่ละน้อย อีกฝ่ายโน้มลงมาจูบเนิบนาบ ขณะที่ท่อนล่างยังคงสอดแทรกสุดทน ผมอัดอัดไปหมด แต่ไม่ถึงกับเจ็บ ไอ้สองรูดรั้งของผมไปด้วยทำให้ความรุ่มร้อนเกิดขึ้นอย่างน่าประหลาด แม้จะชาไปทั้งร่าง

ไอ้สองเริ่มโยกตัวเข้าออก จ้วงโจนเข้าหา ผมกอดอีกฝ่ายไว้แน่น เลื่อนมือไปจับสะโพกของมันออกแรงบีบไปด้วย คนด้านบนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร สอดแทรกเข้ามาอย่างมุทะลุ ในหัวดังวิ้ง ผมยื่นหน้าไปจูบมันสอดลิ้นโลมเลียเพื่อคลายความกระสั่น อีกฝ่ายฝ่ายครางอยู่ในลำคอ กระแทกสะโพกลงมาไม่ยั้ง สองมือโอบทั่วลำตัวของผมไว้

“ผมรักพี่นะ”อีกฝ่ายกระซิบเมื่อคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปาก ผมมองหน้าคนด้านบน แววตาดำสนิทเป็นประกาย จึงเข้าไปจูบที่คาง ขยับสะโพกตอบสนองอีกฝ่ายไปด้วย ยิ่งเพิ่มอารมณ์มากขึ้น

“อืม...คราวหน้ากูจะรักมึงให้มากกว่านี้อีก”ผมกระซิบไปแบบนั้น ได้ยินเสียงหัวเราะจากอีกฝ่าย ก่อนที่มันจะยันตัวขึ้น จับข้อพับผมไว้แล้วสวนเอวเข้าหาเต็มแรงจนจุก ผมเบ้หน้า

 กูคาดโทษมึงไว้ไอ้สอง เตรียมตัวเป็นทาสกูได้เลย!


เมื่อจบกิจกรรมบนเตียง ผมแทบลุกไม่ขึ้น อาจจะด้วยไม่ได้เป็นฝ่ายรับมานานเลยเข่าอ่อนไปบ้าง ไอ้ตัวแสบเดินผิวปากออกมาจากห้องน้ำ พันผ้าขนหนูไว้รอบเอว มันยิ้ม มองมาที่ผมเหมือนสุขใจนักหนา

“ให้ผมอุ้มไปไหมครับพี่”มันทำสุภาพ เข้ามาเช็ดตัวให้ผม มือของมันซุกซนเข้ามาจับหน้าอกแรงๆ

“หึ ไอ้สอง พี่ยอมให้เพราะวันนี้วันดี จำคำแม่ไว้ดีๆ”ผมเตือนมัน เจ้าตัวไหวไหล่ ยื่นหน้ามาจูบแผ่วเบา ทำเอาปรับอารมณ์ไม่ถูก

“ผมรักพี่ ผมยอมได้หมด”มันบอกด้วยเสียงเอาใจ ดวงตาสีดำสะท้อนความรักใคร่ ผมยิ้ม ดึงตัวมันลงมาหา อีกฝ่ายทับอยู่บนตัวผมไปโดยปริยาย

“อืม พี่ก็ยอมได้หมดแหละ”ผมบอก ยื่นไปจูบปากมันเบาๆ ไม่ได้เล้าโลม เลื่อนไปมือไปไปสัมผัสแผ่นหลังเนียน อดไม่ได้ไปบีบเนื้อแน่นๆของมัน

“อย่า นอนดีๆสักวันเถอะ”มันบอกแล้วหัวเราะ ทิ้งตัวนอนข้างกายผมทั้งอย่างนั้น

“ได้ แต่อย่าลืมที่สัญญาไว้ล่ะ”ผมหันไปยิ้มกริ่ม ไอ้สองทำหน้าใคร่ครวญ จากนั้นก็ผุดยิ้ม ยื่นหน้ามากระซิบ

“ก็ยอมให้ตลอดนี่ครับ”

คำตอบของมันทำให้ผมยินดี ทั้งอบอุ่นในใจ จับมือมันมากุมไว้ เห็นด้ายสีขาวแล้วก็อดนึกถึงคำพูดของพ่อมันไม่ได้ เลยหันไปมอง

“สอง ถือว่าเราหมั้นหมายกันแล้วเนอะ”ผมบอก

“ขอบคุณที่จัดงานขึ้นมานะครับ ผมดีใจมาก”ไอ้สองขยับตัวมาซุกไหล่ส่งเสียงอือออกลับมา ผมกอดมันไว้ เอาเถอะ ถือว่าฉลองให้มันแล้วกัน



[Talk]
มาแล้ววว
ส่วนคำขอของพี่ท็อปนั้นไปตอนหน้าจะอัปลง(ยังปั่นไม่เสร็จ) เร็วๆนี้จ้า ยิมผิงมาต่อคิวรอแล้วเลยเอา คู่รองให้ครบก่อน คาดว่าน่าจะมาเลทแน่นอน
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' จบแล้ว l ตอนพิเศษวันแม่ 12.8.61 p.27
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 12-08-2018 23:23:04
โห.... พี่ท๊อปใจสุดๆ ยอมให้สองกดทั้งที่ไม่ได้ขอ   :katai2-1:

ถึงไม่ได้จัดพิธีแต่งงาน แต่แค่พ่อ-แม่รับรู้ ยอมรับในความรักของทั้งคู่ก็ถือว่าเป็นคู่ครองกันจริงๆ แล้ว ยินดีด้วยจ้า 
หัวข้อ: Re: #รีเวิร์ส# เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียง'วิศวะ' จบแล้ว l อัปเดทหน้าปกค่ะ 22.7
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 22-07-2019 12:03:06
สวัสดีค่ะ รินดาดารินเองงง

(https://sv1.picz.in.th/images/2019/07/22/K5FsK0.jpg)


วันนี้มาแปะปกเล่ม 1 ให้ได้ยลโฉมกัน รายละเอียดยังไม่ออก แต่คาดว่าน่าจะเร็วๆนี้นะคะ ยังไงก็ฝากติดตามกันเน้อ

หากว่าสนใจสามารถคอยติดตามจากเพจของเรา ไม่ก็ตามจากเพจสนพ.ได้ค่ะ

จิ้ม  เพจรินดาราริน  (https://www.facebook.com/RindadaRinY/)  /   เพจของสนพ.Rainny Night  (https://www.facebook.com/rainynightpublishing/)


 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 14-11-2019 14:00:18
ตอนพิเศษ : ว่าด้วยเรื่องบนเตียง [ท็อป]

หลังจากที่ผมกับไอ้สองเรียนจบ นี่ก็ล่วงเลยมาเกือบ 2 ปีแล้ว ผมได้งานทำที่ดี มีเจ้านายที่พอใช้ได้ เพื่อนร่วมงานก็มีทั้งดีกับร้ายปะปนกันไป มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ผมกับไอ้สองยังคงรักกันดี สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือเราย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้านแบบถาวรเลยล่ะ อย่างน้อยก็ได้เจอหน้ากันทุกวัน แต่ก็ไม่เบื่อเลยเพราะผมกับมันมีเรื่องให้ได้สนุกไปด้วยกันบ่อยๆ

ผมกลับมาจากบริษัทตอนค่ำ เพราะมีงานเลี้ยงภายในวันเกิดเจ้านาย ผมเห็นว่าในบ้านเปิดไฟสว่างไว้ แต่วันนี้ไอ้สองไม่อยู่ เพราะว่ามันกลับไปหาพ่อที่บ้านเกิดตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ส่วนผมลางานไม่ได้เลย พอไม่เห็นมันอยู่ด้วยก็เกิดอาการคิดถึงขึ้นมา มีแต่ไอ้ทูที่วิ่งมาต้อนรับอยู่ทุกครั้ง

 “ไง หิวแล้วล่ะสิ”ผมคุยกับมันอย่างเคยชิน บางครั้งผมเองก็เผลอพูดคนเดียว ก่อนจะเดินไปหยิบอาหารสุนัขมาเทให้ไอ้ทูตรงหน้ารังนอนของมัน ผมเช็คว่ามันยังมีน้ำกินอยู่ จากนั้นก็เดินเข้าบ้าน ผมเดินไปเปิดเหล้าแจ็คแดเนียล ก่อนจะหยิบน้ำแข็งในตู้มาสองสามก้อนใส่แก้ว อยู่ๆก็อยากดื่มขึ้นมา ก่อนจะหยิบช็อกโกแลตไส้เชอรี่มาทั้งกล่อง

ผมเดินขึ้นไปที่ห้องนอน อาบน้ำให้สบายตัว เปิดทีวีไว้เพื่อไม่ให้บ้านเงียบเกินไป ไอ้สองมันไม่ค่อยโทรหาผมเลยแฮะ ไลน์ก็นานๆจะตอบที เข้าใจอยู่ว่ามันคงไม่ได้เติมโปรเล่นเน็ต อย่าหวังเลยว่าผมจะโทรไปนะ ไม่มีทาง มันคงแกล้งผมแน่ๆ

ผมรินเหล้าบนน้ำแข็งในแก้ว ดื่มเองที่บ้านชิลล์ๆไม่ต้องดื่มแบบถูกวิธี ผมยกแก้วเหล้ามาจิบ พอได้ผ่อนคลายผมก็ฟุ้งซ่านนึกทบทวนว่าตัวเองทำงานมาได้หนึ่งปีกว่าๆแล้ว ส่วนไอ้สอง มันทำฟรีแลนซ์กับรุ่นพี่ที่รู้จักในสายงานของมัน ออฟฟิศอยู่ในตัวเมือง ส่วนมากงานของมันก็รับเป็นจ็อบๆ ซึ่งก็ไม่ใช่งานไก่กาอะไร ทำงานเป็นทีม ซึ่งผมก็ไม่ได้ไปรู้จักมักจี่มากเท่าไหร่

ยกเว้น ไอ้คนชื่อไผ่ที่สะกิดใจผมนิดหน่อย รุ่นพี่คนนี้ก็ดีนะ ดูแลมันดี คอยแนะนำทริคแปลกๆดีๆให้ไอ้สองบ่อยๆ เวลาที่มันเครียด ผมเคยเห็นหน้าอยู่สองสามครั้งในเฟสบุ๊ค แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรเพราะผมกับมันไม่เอาเรื่องงานมาพูดที่บ้าน

ส่วนแม่ก็ยังคงอยู่บ้านเป็นครั้งคราวส่วนมากไปนอนที่ห้องพักของบริษัทมากกว่าเพราะความสะดวก ผมก็เลยกลายเป็นหมาหัวเน่ากับไอ้ทูสองคนไงล่ะ ผมกดโทรหาไอ้สองอย่างลืมตัว นึกขึ้นได้ก็โทรออกไปแล้ว

[ครับผม] คนปลายสายตอบรับด้วยน้ำเสียงระรื่นท่าทางคงแฮปปี้ดี

“สบายดีเหรอ ไม่โทรหาบ้างเลยนะ”ผมบ่นพึมพำ ตอนนี้ก็ไม่ได้เมาซะหน่อย แค่ดื่มไปแก้วเดียวกำลังจะต่อแก้วที่สอง ได้ยินปลายสายหัวเราะเบาๆ

[อีกวันสองวันผมก็กลับแล้ว นี่พี่กินเหล้าเหรอเสียงดูตึงๆนะ]

“อ้อ ก็แจ็คที่ลุงกูซื้อมาให้คราวนั้นไง อยู่คนเดียวก็แบบนี้ กินคนเดียว”ผมหัวเราะหึๆ ก่อนจะแกะห่อช็อกโกแลตออกแล้วเอาเข้าปาก รู้สึกร้อนท้องขึ้นมานิดหน่อย วิสกี้นี่แรงจริง ผมเองก็อยากจะลองดูเหมือนกันนะว่าจะแค่ไหนกันเชียว

[โห จะซัดคนเดียวเหรอไง เหลือให้บ้างดิ] มันโวยวายกลับมา ทำให้ผมยิ้มอารมณ์ดี

“ทำอะไร อยู่กับใคร รายงานมา”

[อยู่บ้าน กำลังย่างปลาอยู่กับพ่อเนี่ย จะคุยไหมครับ]

“บ้าเหรอ ไม่เอา จะคุยกับมึงไง พี่คิดถึงจะตาย”ผมแกล้งหยอดมันไป ไอ้สองหัวเราะ ได้ยินเสียงกุกกักเสียงลมปะทะเข้ากับโทรศัพท์สงสัยว่ามันเปลี่ยนที่คุยโทรศัพท์

[ครับ ผมคิดถึงเหมือนกันแหละ เมาแล้วปากหวานนะ] คนปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย เดาได้จากน้ำเสียงของอีกฝ่ายคงกำลังยิ้มแก้มปริอยู่แน่ๆ ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังคิดถึงมันอยู่ตลอด

“เหรอ แกล้งไปแบบนั้นแหละ พี่ยังไม่เมานะ”ผมบอก

[อาบน้ำแล้วใช่เปล่า ระวังโลกมืดไม่รู้ตัวนะพี่] อีกฝ่ายพูดแซ็วผม

“นั่นสิ นี่ก็จะลองของซะหน่อย พรุ่งนี้วันเสาร์ เมาได้”ผมบอก ที่สำคัญคือดื่มคนเดียว เมาคนเดียวแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะน็อกหรอกมั้ง แต่เหล้าที่ดื่มได้เพลินๆเรื่อยๆนี่ก็น่ากลัวนะเพราะหวิดร่วงไม่รู้ตัว ดื่มนิ่มๆแต่เมาสลบก็มีให้เห็นหลายชนิด

[อืม อยากกินด้วยเลยเนี่ย อยู่บ้านกับพ่อดื่มแค่น้ำเต้าหู้]

“ดีแล้วน่า ลด ละ เลิก บ้างนะ”

[พี่อยากกินอะไรไหมครับ จะได้ซื้อไปฝากให้] ไอ้สองถามเสียงใส ผมคิดอยู่อึดใจเดียวก่อนจะบอกกับมัน

“อืม ซื้อหมูบดมาให้หน่อย อ้อ แล้วก็ไอ้เรื่องTexture พิเศษ เรายังไปไม่ถึงไหนเลยนะ”ผมวกเข้าเรื่องเก่า จำได้ว่าคุยกับมันไว้นานแล้ว แต่มันก็บ่ายเบี่ยง ผมก็แค่แกล้งหยอดไป เผื่อฟลุคได้ขึ้นมาก็อยากจะลองดูหน่อย แต่ก็นะ...ไม่อยากจะพิสดารมาก

“งั้นกูวางก่อนนะ กู๊ดไนท์ จุ๊บ”ผมบอก ไอ้สองจุ๊บกลับมาก่อนจะวางสายไป


ผมดื่มต่อเพลินๆ เปลี่ยนเป็นเปิดเพลงฟังแทนแล้วปิดทีวี ผมนอนเอนตัวลงกับโซฟา ฟังดนตรีเพลินๆ แล้วจิบเหล้าไปด้วย ไม่รู้เนื้อรู้ตัวผมก็เผลอหลับไปซะได้จนมาสะดุ้งตื่นที่กลางดึก เสียงดนตรีเงียบลงไปแล้ว

ภายในห้องมืดสลัวลงไปบ้างมีเพียงแสงไฟสีส้มนวลตาที่หน้าประตูห้องเปิดไว้ ไม่ทันที่จะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สัมผัสอุ่นของกายเนื้อ ผมผงะไปมองทางสัมผัสนั้น

“ไอ้สอง...”ผมอึ้ง ในหัวยังคงมึนงงคล้ายกับยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ ผมมองไปที่ไอ้สองมันกำลังก้มอยู่เหนือหว่างขาของผม ไม่ต้องบอกว่ามันกำลังลักลอบทำอะไรกับเจ้าสิ่งนั้นของผม

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะพี่”มันหัวเราะเบาๆท่าทางเหมือนกำลังเมา ผมเหลือบไปมองขวดเหล้าที่พร่องลงไปมากจนเหลือค่อนขวดแล้ว

“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”ผมถาม มองอีกฝ่ายที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสามสี่เม็ดจนเห็นหน้าอกที่แดงเพราะฤทธิ์เหล้า ไม่ก็เพราะอุณหภูมิของร่างกาย

    “นึกว่าพี่จะชอบซะอีก ไหนว่าอยากได้ texture พิเศษไง ก็นี่ไง เซอร์ไพรส์ไหมล่ะ”มันบอก ก่อนจะขยับโน้มตัวเข้ามาหาผมช้า ผมสบตาที่ดูร้อนรุ่มคู่นั้นของมันก่อนจะเปิดปากรับจูบรสเหล้าจากอีกฝ่าย

“น่าจะบอกก่อนนะว่ากลับมาแล้ว ดูสิ กูไม่ได้เตรียมตัวเลย”ผมบอกหลังจากที่จูบอีกฝ่ายจนหนำใจแล้ว เพราะผมยังไม่ได้อาบน้ำก่อน ทั้งยังนอนที่โซฟาเลยรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่

“ไม่เป็นไรน่า”ไอ้สองยิ้ม ก่อนจะผลักให้ผมนอนลงไปตามเดิม อีกฝ่ายปลดถอดเสื้อออกเหมือนเร่งรีบ ผมขมวดคิ้ว มองๆไปมันเหมือนสัตว์ที่หิวกระหายยังไงชอบกล อ้อ ก็นะ ไอ้สองมันเป็นหมาตัวน้อยๆของผม จำได้ว่ามันสถาปนาตัวเองไปเป็นซี้กับไอ้ทูไปแล้ว

“ตกลงมึงอยากทำเพราะกูอยากหรือเปล่า ไม่ได้บังคับหรอกนะ”ผมพูด เหมือนมันจะตามใจผมไปซะทุกอย่าง ไอ้สองที่กำลังสู้รบกับท่อนล่างของผมอยู่หยุดชะงัก

“เปล่านี่พี่ ของแบบนี้มันก็วินๆทั้งสองฝ่าย”มันยังคงคอนเซ็ปเดิม ผมแค่ยิ้ม เอื้อมมือไปจับเส้นผมของมันไว้ก่อนจะลูบไล้ไปที่ใบหน้าของเจ้าตัวที่ดูจะยั่วยวนเป็นพิเศษ มันบอกไม่ชอบเป็นเมียแต่มันก็ทำหน้าที่เมียซะเต็มที่เชียว

“อืม...”

ไอ้สองเล่นอยู่กับส่วนนั้นของผมไม่นานนักก่อนจะลุกขึ้นมาถอดกางเกงท่อนล่างออก มันหยิบคอนดอมอกมา ไม่ธรรมดาซะด้วย แบบ Texture พิเศษ พื้นผิวไม่เรียบ ผมกลืนน้ำลาย

“แน่ใจนะว่าไหว”ผมยิ้มแซวอีกฝ่ายที่กำลังจัดการใส่คอนดอมให้ผมอย่างถนอม ผมดึงมันมาจูบอีกครั้งก่อนจะไซร้ไปตามลำคอ ใบหูที่แดงก่ำ

“น่า...มาถึงขั้นนี้แล้วนี่”มันว่าก่อนจะเริ่มเปิดทางให้ตัวเองง่ายๆ ผมกึ่งนั่งกึ่งนอน จับจองอิริยาบถของอีกฝ่ายอย่างไม่ว่างตา บางครั้งมันก็ส่งสายตาเร่าร้อนมาให้ จนผมสั่นสะท้านไปบ้าง

เฮ้อ จะหลงมันมากไปแล้วเรา

ไม่นานอีกฝ่ายก็ตั้งท่ากดลงมาอย่างช้าๆ ผมปล่อยให้มันทำไปอย่างที่ต้องการ เอื้อมไปจัดการส่วนอ่อนไหวของเจ้าตัวที่กำลังตื่นตัวอยู่เหมือนกัน ไอ้สองหลับตาซี้ดปากไปด้วย ก่อนจะเริ่มขยับเป็นจังหวะ ผมมองกล้ามเนื้อหน้าท้องที่หดเกร็งไปตามจังหวะการขยับขึ้นลง คงเพราะสัมผัสจากคอนดอมแน่ๆ

“ฮื่ม พี่ว่ามันต่างกันยังไง”มันพึมพำ ลืมตามองผมไปด้วย

 “อะ...ต่างสิ ถามมาได้”ผมบอก ก่อนจะจับท่อนขาของอีกฝ่ายไว้แล้วเริ่มขยับตอบโต้อีกฝ่ายจากด้านบน แน่นอนว่าการตอบสนองของเจ้าตัวคงรู้ซึ้งถึงรสความต่างแบบธรรมดาๆกับแบบพิเศษๆแน่นอน

“ อือ...”ไอ้สองขยับตัวโน้มลงมาหาผมก่อนจะประกบจูบไม่ห่าง แขนทั้งสองข้างคล้องคอผมไว้ ยิ่งผมส่งไปแรงเท่าไหร่มันก็รับได้ทุกกระบวน แถมด้วยรอยเล็บที่แผ่นหลังด้วย รู้สึกแสบจนเลือดซิบ ไม่นานผมกับมันก็ทะลักทลายออกมาด้วยกันทั้งคู่ ไอ้สองหอบแฮ่ก ซบหน้าลงกับไหล่ของผม

“หนักว่ะ ไปอาบน้ำเหอะ”ผมบอก กอดมันไว้ในอ้อมแขน รู้สึกว่ามันใจเต้นตุบๆไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ ผมเอื้อมไปหยิบทิชชูมาทำความสะอาดของเหลวที่เปรอะเปื้อน ไอ้สองค่อยๆลุกออกจากตัวผม ก่อนจะรูดเอาคอนดอมออกมาทิ้ง มันนั่งพิงโซฟาท่าทางเหนื่อย

“ขนาดนั้นเลยเหรอ”ผมสะกิดขำๆก่อนจะเข้าไปหอมแก้มมันอีกด้วยอาการหมั่นเขี้ยว หากว่ามันเป็นลูกหมา ก็คงเปรียบเหมือนไซบีเรียน ท่าทางดูดุดัน แต่จริงๆดันขี้เล่นใจดีติดจะเอ๋อนิดๆด้วยซ้ำ

“อืม ใช้พลังงานเยอะ ฮ่ะๆ ป่ะ ผมช่วย”มันหันมายิ้มแยกเขี้ยวก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วดึงแขนผมให้ลุกขึ้นแล้วพากันไปอาบน้ำขัดเนื้อขัดตัว ไอ้สองเปิดน้ำในอ่างจากุชชี่ทรงสามเหลี่ยมอ่างเดิมติดกระจกบริเวณมุมห้อง ผมเปิดผักบัวด้านนอกเพราะต้องล้างเนื้อตัวก่อนจะไปนั่งแช่น้ำอุ่นในอ่าง ไอ้สองมันผสมน้ำยาหอมๆลงไปในน้ำด้วย

“กลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยให้ผ่อนคลายเยอะเลย”ไอ้สองบอก ผมอาบน้ำเสร็จแล้วเดินไปนั่งแช่ในอ่างกับไอ้สอง

“ทำไมวันนี้มาแปลกวะ”

“หืม ทำไมเหรอ”

“ก็ดูมึงเอาใจกูไง”ผมบอก ปกติมันก็เอาใจนั่นแหละ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ผมมองหน้าไอ้สองที่กำลังยิ้มอยู่มันยื่นหน้ามาใกล้

“ก็เห็นว่าพี่ดูเหนื่อยๆ เลยอยากชดใช้ให้ไงครับ ไม่ดีหรือไง”ไอ้สองพูด ผมเลยหัวใจพองโต ดอกไม้ในใจผลิบานทันที รู้สึกดีจริงๆ ผมดึงมันมาจูบช้าๆราวกับกำลังละเลียดของหวานอยู่

“พูดจาน่ารักนะเรา”ผมหัวเราะ ก่อนจะดึงตัวให้อีกฝ่ายเข้ามานั่งคร่อมตักผมไว้ ท่าทางล่อแหลมแต่ก็ท่าถนัดนั่นแหละ ไอ้สองมองหน้าผม

“แหนะๆ ยังไม่พออีกเรอะ”

“หึหึ มึงถามตัวเองก่อนเหอะ”ผมพูดก่อนจะเอื้อมไปจับไอ้สองน้อยใต้น้ำที่กำลังกรึ่มๆใกล้ตื่นอีกรอบ

“โถ่ ก็แค่ปฏิกิริยาของร่างกายเท่านั้นแหละ ผมไม่ได้อยากต่อนะพี่”มันบ่น ทำหน้าย่นคิ้วขมวด จนอดไม่ได้ที่จะต้องฉกเข้าไปหอมแก้มมันอีกรอบ

“ทำตัวน่าฟัด เดี๋ยวก็จัดอีกรอบหรอก”

“ไหวเหรอ”มันถาม มองหน้าผมด้วยสีหน้าแววตากวนส้นนิดๆ มันลุกออกจากตักผมแล้วนั่งอยู่ริมขอบอ่าง มันหยิบขวดสบู่เหลวออกมาเทราดลำตัวช้าๆ เหมือนกำลังเล่นละครโชว์ผมยังไงยังงั้น มันกำลังท้าทายผมหรือเปล่านะ?
ไม่ต้องมากความ ผมลุกเข้าไปหามันแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เห็นมันยิ้ม ผมเลยไปยืนค้ำหน้ามัน ไอ้สองเงยหน้ามองผมตาปริบ ก่อนจะเทสบู่เหลวใส่หน้าท้องของผมด้วยจากนั้นก็ลูบไล้เบาๆจนเป็นฟองเรื่อยลงมาจนถึงจุดสำคัญที่กำลังตอบสนองต่อมือของอีกฝ่าย

“ทำให้หน่อย”ผมบอก ไอ้สองมองเงียบๆ มันรูดเอาฟองสบู่ออกจนหมด ก่อนจะทำออรัล ทำเอาผมตกใจนิดหน่อย

“เฮ้ยสอง ล้างก่อนๆ”ผมบอกแทบไม่ทัน มันเบ้หน้าก่อนจะวักน้ำจากอ่างมาล้างเอาสบู่ออกให้หมด ทำแบบนี้ก็ยิ่งช่วยให้ผมตื่นตัวได้ดี

“แหยะ รสชาติไม่ได้เรื่องเลย”มันพูดขำๆ ผมเลยตบกะโหลกมันไปแรงๆ ไอ้สองไม่พูดมากค่อยๆปนเปรอผมด้วยริมฝีปาก ทั้งดูดทั้งเลียจนผมเกือบยืนไม่อยู่ อดใจไม่ให้ไปกดมัน ทำแบบนั้นเป็นการบังคับมากไป จนกระทั่งใกล้จุดไคลแม็กซ์เข้าไปทุกที ผมจับศีรษะอีกฝ่ายไว้ก่อนจะขยับเอวรับไปตามจังหวะการออรัลของอีกฝ่าย

“อะ สอง...”เหมือนใกล้จะระเบิด ผมแทบลืมหายใจ


พรึ่บ...

แสงสว่างจ้าภายในห้องทำให้ผมต้องหรี่ตา เสียงฝีเท้าหนักๆเดินเข้ามาหา ผมค่อยๆลืมตามองก่อนจะเห็นว่าผมกำลังนอนจ้องมองเพดานห้อง เบนสายตาไปข้างๆก็เห็นร่างสูง ในชุดเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีน้ำตาลยืนอยู่ปลายโซฟาตรงข้ามผม


ห๊ะ....


นี่ผมฝันไปงั้นสิ...อา...ไม่จริงน่า....

“สอง...”ผมเรียกมัน ไอ้สองที่กอดอกยืนมองผมด้วยสีหน้าเหมือนจะหลุดขำ มันบุ้ยใบ้มาที่ท่อนล่างของผมที่กำลังปวดหนึบๆ

“อรุณสวัสดิ์ครับ”ไอ้สองบอกก่อนจะเดินไปเปิดม่าน ฟ้ายังมืดอยู่ผมมองนาฬิกาบนผนังห้อง ปรากฏว่าตีสามครึ่ง

“มานานหรือยัง”ผมถามก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง ไอ้สองเดินมานั่งที่โซฟาตัวเล็กข้างๆผมทางขวามือ ผมเหลือบไปมองเหล้าบนโต๊ะเห็นว่าหมดไปกว่าครึ่ง นี่ผมดื่มไปคนเดียวเหรอเนี่ย สงสัยจะเพลินมากไปหน่อย....

“สักพักแล้วครับ เห็นว่าพี่กำลังนอนเลยไม่ได้เข้ามาปลุก...ว่าแต่ฝันไปถึงไหนล่ะนั่น”ไอ้สองยิ้มทะลึ่ง มันยื่นหน้ามาจุ๊บแก้มผมเบาๆ

“อืม แหม ไม่น่ามาทำให้ตื่นซะก่อน ไม่งั้นกูเสร็จไปแล้ว”ผมหัวเราะเบาๆ รู้สึกอายนิดหน่อย แต่กลบเกลื่อนไว้ ไอ้สองหยิบชอกโกแลตมากิน เหลือชิ้นสุดท้ายแล้วด้วย

“คิดถึงผมล่ะสิ”มันหัวเราะหึๆ มองผมอย่างรู้ทัน

“อือ คิดถึงจนเก็บมาฝันนี่ไง สงสัยเมาแหง”ผมพูด ไอ้สองพยักหน้าสายตามันเลื่อนลงมาจับจ้องที่ใต้เข็มขัดของผมอย่างไม่ปิดบัง

“งั้นก็ฝันดีน่ะสิ”

“เออ ถามมากเดี๋ยวก็จัดการแม่งตรงนี้แหละ”ผมบอก ก่อนจะลุกยืนเพราะอยากอาบน้ำเต็มทน ไอ้สองลุกตาม “จะอาบน้ำเหรอ อาบด้วยสิ อยากนอนสบายๆแล้ว”มันบอกก่อนจะเดินนำหน้าผมไปหยิบผ้าเช็ดตัว

“เฮ้อ มึงนี่ชอบอ่อยนะ”ผมหัวเราะกับท่าทีของมัน ไอ้สองไหวไหล่ กวักมือให้ผมเข้าไปด้านในห้องน้ำ ผมตามเข้าไป หรือว่าจะจบลงแบบในฝันกันนะ...

“อาบฝักบัวน่าจะเร็วกว่านะ”ไอ้สองพูด ก่อนจะเปิดน้ำ มันถอดเสื้อผ้าออกโดยไม่สนใจผม คิดว่ามันกำลังทดสอบผมอยู่แน่ๆ เหอะ ไอ้นี่หนิ ผมถอดตามมันบ้าง ที่จริงก็อยากอาบน้ำอย่างเดียว แต่ก็นะ ร่างกายที่เพิ่งตื่นมันก็ต้องเอาออกเป็นธรรมดา ไม่สนใจดีนัก ผมก็เลยจัดการช่วยตัวเองใต้ผักบัวก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ได้ยินไอ้สองหัวเราะจากด้านหลัง มันเข้ามากอดผม

“อะไร อาบน้ำโว้ย จะได้นอน”ผมบอก

“โอเคๆ ก็อาบน้ำนี่ไง”มันพึมพำก่อนจะไซร้หูผมไปด้วย สุดท้ายไอ้สองมันก็ช่วยผมให้ตัวเบาสบายด้วยมือมันนั่นแหละ เพราะผมก็สั่งสมอารมณ์มาเต็มเปี่ยมโดนกระตุ้นนิดหน่อยก็ปลดปล่อยได้ง่าย หลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ผมกับไอ้สองก็เข้านอน เมื่อหัวถึงหมอนไอ้สองก็หันมาถามด้วยสายตาซื่อๆแบบจอมปลอม

“ตกลงเล่าให้ฟังได้ป่ะว่าฝันว่าอะไร”

“หึหึ ไม่อยากนอนหรอวะสอง”ผมบอก ไอ้สองหัวเราะ ก่อนจะขยับมานอนหนุนแขนผมตามเคยชิน

“กู๊ดไนท์ครับ”มันบอก ก่อนจะหลับตานอน ริมฝีปากมีรอยยิ้มบุ๋มเล็กๆ ผมนอนจ้องมันอยู่สักพักก่อนจะเอื้อมมือไปจับแก้ม ริมฝีปาก จมูก เรื่อยไปจนหน้าผากของมัน นอกจากจะรักไอ้สอง ผมยังคงหลงใหลร่างกายของมันด้วย ไม่ได้หมายความในเชิงเรื่องเซ็กส์ แต่ผมชอบโครงหน้าของมันนะ มองได้ไม่เบื่อ มันคงนอนไม่หลับถ้าหากรู้ว่าผมชอบนอนจ้องหน้ามันอยู่เรื่อย

“ฝันดีที่รัก”ผมบอกแล้วยื่นหน้าไปจุ๊บปากมันเบาๆ ก่อนจะค่อยๆหลับตา ปล่อยให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อน

*
*
รุ่งเช้า หลังจากที่ใส่บาตรเสร็จเรียบร้อย ผมชวนไอ้สองพาไอ้ทูไปเดินเล่น ไอ้ทูมันก็ร่าเริงตามปกติ แวะไปทักทายเพื่อนบ้านเป็นมารยาท

“อยากทำอะไร บอกมา”

“ไม่ล่ะ ขี้เกียจ ขอนอนอย่างเดียวได้ป่ะล่ะ”ไอ้สองตอบกลับมา ผมไหวไหล่

“แล้วพ่อว่ายังไงบ้างล่ะ”ผมถามถึงพ่อไอ้สอง ที่มันกลับไปบ้านเพราะเรื่องไร่เรื่องสวนของที่บ้าน

“ก็คุยเรื่องรายได้จากไร่นี่แหละพี่ เหมือนจะลดลงทุกปีๆเลย เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เหมือนพ่ออยากลดต้นทุน เลยเลิกปลูกผักบางอย่างที่ไม่ค่อยทำกำไรไปบ้าง”

“เหรอ มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะ”ผมบอกมันแล้วเอื้อมไปจับมือมัน อย่างน้อยผมก็พร้อมจะให้คำปรึกษา ไม่ก็เป็นที่ระบายให้มันได้บ้าง ไอ้สองหันมายิ้ม

“ครับ สถานการณ์ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ แค่เตรียมตัวไว้น่ะพี่”ไอ้สองไหวไหล่ ท่าทางดูไม่ได้หนักหนาเท่าไหร่ ผมกับไอ้สองพาไอ้ทูเดินเล่นจนสุดซอย ก่อนจะแวะเซเว่นซื้อน้ำเปล่ากับขนมมากินเล่น ระหว่างทางไอ้สองเอาสายจูงไปถือ มันฮัมเพลงเบาๆ
เมื่อถึงบ้าน ไอ้สองมันก็เดินไปหยิบกล่องแพ็กเกจสปา มีแก้วเทียนหอมประมาณหนึ่งโหล มันเอาออกมาโชว์ให้ผมดูท่าทางอารมณ์ดี

“เห็นว่าน่าสนใจดี เลยซื้อมาลอง พี่ว่ามันช่วยได้จริงป่ะ”ไอ้สองยื่นเทียนหอมมาให้ผมลองดม ขนาดยังไม่จุดก็พอมีกลิ่นอ่อนๆออกมาไม่แรงมาก

“สรรพคุณว่าไงล่ะ”ผมถาม เหลือบมองอีกฝ่ายที่ดูสนุกสนาน

“มันเขียนว่า แพ็กเกจ Aroma surprise”ไอ้สองอ่านให้ฟัง ผมก็พอจะรู้นะว่ามันจะเล่นอะไร เลยปล่อยให้มันพูดต่อไป

“แล้วไง”ผมเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย เจ้าตัวเดินมานั่งข้างๆผมก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ “ไปลองtextureพิเศษกันไหมพี่”มันกระซิบ แววตาเป็นประกาย ผมมองหน้ามันแบบเต็มตา แล้วเห็นว่าในมือมันถือคอนดอมสีส้มชมพูอยู่ในมือโบกไปมาให้ผมเห็น

“คิดไว้แล้วนะสิ”ผมว่า

“เอ้า ใครกันที่งอแงจนเก็บเอาไปฝันล่ะนั่น เอ๊ะ เปลี่ยนใจดีไหมน้า”ไอ้สองหัวเราะทำเป็นลังเล ผมส่ายหน้า ไม่ได้อยากจะมีเซ็กส์ในเวลาแบบนี้ ไอ้สองมันแค่แหย่ผมเล่น ที่จริงผมกับมันก็มีลิมิตของตัวเองน่ะ

“ไปพักผ่อนที่สวนดีกว่า เอาเทียนหอมไปจุดด้วยนะ”ผมบอก ไอ้สองทำหน้าผิดหวังก่อนจะโยนซองคอนดอมไปที่โต๊ะตัวเตี้ยก่อนจะหยิบเทียวหอมมาหนึ่งอัน

“เอาฟูลมูนด้วยก็ดีนะพี่”ไอ้สองแนะนำ

“ก็ดีนะ กรึ่มๆเหมาะกับวันหยุด”ผมบอกก่อนจะตบก้นมันระหว่างที่เจ้าตัวกำลังลุกขึ้นยืน มันยิ้มยื่นมือมาเขี่ยแก้มผมไปมา

“หึหึ รู้แบบนี้ไปหาพ่อบ่อยๆก็ดี”มันบอกเสียงระรื่นก่อนจะเดินหายไปในครัว ทิ้งให้ผมนั่งเงียบๆ มันพูดถูกนะ ผมไม่ค่อยไปลวนลามมันเท่าไหร่ ถึงจะคอยแซะอยากลองของใหม่ก็เถอะ ผมย้ายตัวเองออกไปที่สวน หยิบเทียนหอมกับหนังสือการ์ตูนติดมาด้วย ผมไปนั่งเล่นอยู่ที่ศาลายกพื้น ก่อนจะให้อาหารปลาคาร์ฟในบ่อข้างๆกัน

ไม่นานไอ้สองก็ถือขวดฟลูมูนมาสองขวด มีกลับแกล้มมาด้วยสองสามอย่างวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็ฉวยโอกาสมานอนตักผมซะอย่างนั้น ผมยิ้ม อย่างมากช่วงหยุดเสาร์อาทิตย์ผมกับไอ้สองแค่พักผ่อนอยู่ด้วยกันเท่านั้น ไม่ได้ไปเที่ยวตะลอนไปไหนไกลๆ ทั้งสัปดาห์ก็ทำงานไม่ได้เจอกัน ยกเว้นตอนกลับบ้าน เพราะมีกฎห้ามทำงานนอกเวลา เอางานมาทำที่บ้านแบบไร้เหตุผล แต่ไอ้สองก็ชอบแหกกฎบ้างนานๆครั้ง

เมื่อมีเวลาว่าง ผมกับไอ้สองเลยใช้เวลาอยู่ด้วยกันซะมากกว่า จะได้ไม่บ่นว่าไม่มีเวลาให้กันยังไงล่ะครับ แค่นี้ก็มีความสุขแล้วล่ะ ‘แค่มีวันดีๆด้วยกันก็พอ’



***************

ตอนพิเศามาพร้อมกับงานขายจ้าาา  :mc4:


ภาพ SUKI ZWEET*SM

ราคา 1370 บาท ไม่รวมค่าส่ง

ของแถมรอบจอง

- ที่คั่นหนังสือ
- สมุดโน้ต
- ที่รองแก้ว
- เล่มตอนพิเศษ



  กดสั่งจอง **คลิกเลย**   (https://bit.ly/2mlk44A)


เรื่องย่อเล่ม 1

คุณว่ามันแปลกไหมครับ
ที่จู่ๆ รุ่นพี่วิศวะข้างห้องก็ 'เข้าหา'
ผมด้วยวิธีประหลาดสุดๆ ผมตื่นขึ้นมาและพบว่า...นั่นล่ะ
จินตนาการกันไปก่อนก็แล้วกัน แบบว่านอนเตียงเดียวกัน
อาจฟังดูประหลาด แต่นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น
เพราะคนอย่างไอ้สองยินดีจะ ‘เสี่ยง’ กับคนที่ถูกใจเสมอ
ก็นะ...ใครๆ ก็ชอบความท้าทายกันทั้งนั้น จริงไหมล่ะ
แต่ใครมันจะไปรู้ว่าเรื่องทั้งหมดมีใครสักคนลิขิตไว้แล้ว
พอมารู้ตัวอีกทีก็ถอนตัวไม่ขึ้น


เรื่องย่อเล่ม 2

'อย่าเล่นกับไฟ'
เป็นวลีที่ผมได้ยินมาบ่อยเหลือเกินแต่สุดท้ายก็ห้ามใจไว้ไม่อยู่
เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ รู้ว่าจะต้องตายแต่ก็ยอม
ฟังดูเจ็บปวด แต่ทุกอย่างมันเกินกว่าจะควบคุม
โดยเฉพาะ เรื่องความรู้สึก
และข้อสำคัญก็ยังคงเป็นสุดหล่อจากห้องข้างเคียงอยู่ดี 'พี่ท็อป'
คนๆ นี้ รักไปแล้วแถมถอนตัวไม่ขึ้นอีกต่างหาก !
นั่นไง เจ็บแล้วไม่จำ


เรื่องย่อเล่ม 3

จากจุดเริ่มต้นของการเอาคืนแบบเจ็บแสบ
มาสู่การเริ่มต้นของคำว่าแฟนอีกครั้ง
ฟังดูจั๊กจี้ชอบกล ความสัมพันธ์ดีขึ้น จะว่าไปนี่มันเป็นบุพเพชัดๆ
คู่แท้ ยังไงซะก็หนีกันไม่พ้นหรอก โดยเฉพาะกับหัวใจตัวเอง
กลับกันเรื่อง'ผิงและยิม' แน่นอนว่าความแตกต่างของคนทั้งคู่
จะสามารถปรับเข้าหากันได้หรือไม่ อีกคนก็บ้าอีกคนก็ใบ้ซะขนาดนั้น!
'ดีน'ชื่อนี้เหมือนมีอาถรรพ์
เจ้าตัวจะสามารถก้าวผ่านความรู้สึกของตนเองหรือว่าอริเก่าได้หรือไม่นะ...!

หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-11-2019 20:13:12
 :กอด1: :กอด1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:49:55
 :pig4: