Yours and Mine EP.10 :: Extended. (ขยาย) [50%] ผมค่อยๆ กะพริบเปิดเปลือกตา แสงแดดลอดผ้าม่านเข้ามาจางๆ ผมสลึมสลืออยู่พักหนึ่งแล้วก็ตื่นลืมตาเต็มที่ นอนนิ่งอีกสักพักเพื่อให้สติประกอบตัวเป็นรูปเป็นร่างในหัว สายตาเหลือบไปเห็นซองเงินสีน้ำตาลวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ผมมองมันนิ่งสักพักก่อนจะสะดุ้งเด้งตัวขึ้นมา หันซ้ายหันขวาเพื่อหาโทรศัพท์มือถือแต่ก็หาไม่เจอ ผมเลยลุกออกจากเตียง เดินไปดูนาฬิกาดิจิตอลบนตู้เก็บของความทรงจำต่างๆ ของวิคเตอร์ นาฬิกาบอกเวลาว่าอีกสิบกว่านาทีจะเก้าโมงเช้า ผมอ้าปากค้างด้วยความตกใจและใจหล่นตุ้บ ผมหันกลับไปมองบนเตียงที่ไม่ได้สังเกตเมื่อกี้ บนเตียงว่างเปล่า ไม่มีร่างของวิคเตอร์ แต่ผมตัดประเด็นนั้นทิ้ง รีบวิ่งไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีก่อนที่จะโดนด่าอะไรไปมากกว่านี้ เพราะผมสายมาจะครบหนึ่งชั่วโมงแล้ว
ผมจัดการตัวเองเสร็จภายในสิบนาที อาบน้ำเหมือนอาบให้สดชื่นเฉยๆ แล้วรีบเช็ดตัวให้แห้ง เช็ดหัวหมาดๆ ผมยังคงไม่เจอโทรศัพท์มือถือ ค้นในกระเป๋าสะพายข้างส่วนตัวก็ไม่มี แต่คิดว่าพลิกหาในห้องนอนจนทั่วแล้วเลยรีบวิ่งลงไปข้างล่าง พอโผล่มาที่ครัวก็เจอออสตินนั่งกินอาหารเช้าสบายใจเฉิบ
“ออสติน ไปส่งที” ออสตินพยักหน้า วางขนมปังปิ้งลงในจานแล้วเอาจานไปเก็บไว้ในตู้ไม้ ผมรีบเดินนำออกไปก่อน วันนี้มีถ่ายที่ทางตอนใต้ของริมแม่น้ำฮัดสัน จากบ้านไปก็ยี่สิบนาที ถ้าออสตินเหยียบหนักๆ หน่อยก็อาจจะสิบนาทีติ่งๆ
“เหยียบเต็มที่…” ผมชะงักเมื่อเดินลงมาจากบันไดขึ้นหน้าบ้านแล้วไม่เจอเจ้ากระทิงดุสีเทามันวาว ผมหันไปมองออสตินที่ยังทำหน้านิ่ง
“…รถไปไหน” ในขณะที่ผมร้อนรนแทบตาย แต่ออสตินกลับนิ่งสงบ
“คุณเรย์มอนด์เอาไปครับ” ผมจะโกรธไอ้ยักษ์ก็ไม่ได้ นั่นมันรถเขา แต่ก็หงุดหงิดนิดหน่อยที่เขาไม่คิดแม้แต่จะปลุกผมให้ออกไปพร้อมกัน
“แล้วก็ไม่บอกนะ” ผมจิกตาใส่ออสติน แหม บอกให้ไปส่งมีการพยักหน้าด้วย ผมพุ่งตัวไปยืนริมถนนชะเง้อหาแท็กซี่สีเหลือง แต่ตรงนี้ก็นานน้านทีจะมีผ่านมา ใจผมร้อนรุ่ม มือถือก็หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าตอนนี้มีใครโทรหาผมไปแล้วบ้าง
“มันคงแปลกที่จะถาม แต่ว่าคุณเห็นโทรศัพท์ผมมั้ย”
“คุณเรย์มอนด์ยึดไปครับ เขาไม่อยากให้คุณโดนกองถ่ายโทรตาม เขาอยากให้คุณพักผ่อนให้เต็มที่” ผมอ้าปากหวอ กะพริบตาปริบๆ ด้วยความทึ่งเล็กๆ
“อะ… ฮะ” ผมไม่รู้จะต้องทำหน้ายังไงดีให้สาสมกับความมึนของไอ้ยักษ์นี้
“แล้วตอนนี้เขาไปไหน” ออสตินเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งพร้อมกับทำหน้าประหลาดใจ
“ไปทำงานสิครับ” ผมย่นคิ้ว วิคเตอร์ไปทำงานอะไร หนังหรือซีรีส์ของเขาละมั้ง แต่ซีรีส์เพิ่งออกอากาศไปนี่ อ้อ สงสัยจะเป็นหนังแล้วละอย่างงั้น เอ๊ะ หรืองานพรีเซ็นเตอร์ ถ่ายแบบอะไรรึเปล่า เออ ช่างก่อนเถอะ
“ออสติน เรียกอูเบอร์ให้หน่อย หาแท็กซี่ไม่ได้เลยเนี่ย” ผมว่าด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ ออสตินยืนเฉย ผมกำลังจะชักสีหน้า แต่รถตู้สีขาวคันหนึ่งก็มาจอดตรงหน้าผมกับออสติน ผมขมวดคิ้วงงๆ พอกระจกรถลดลงผมก็ต้องทำหน้าประหลาดใจ
“สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักทายคนขับรถตู้ของกองถ่าย เขาเป็นคุณลุงผมขาว รูปร่างสูงยาว เป็นคนขับรถตู้คอยบริการทีมงานและนักแสดง
ทีมงาน… ใช่ ทีมงาน ผมเป็นทีมงาน
“ขึ้นมาเลยไอ้หนุ่ม” เหมือนผมเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ในขณะที่เดินล่องลอยไปขึ้นรถโดยมีออสตินตามมาด้วย
“ออสติน ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวผมไปกับลุงเขาเอง”
“ถ้าไม่ต้องไปกับคุณแมท ผมคงไปอยู่กับคุณเรย์มอนด์แล้วครับตอนนี้” ผมพ่นลมหายใจ ตอนนี้ขี้เกียจเปิดปากเถียงกับเขา ออสตินเลื่อนปิดประตูรถ ลุงคนขับออกรถไปตามถนน
ผมไม่เคยได้นั่งรถที่มีไว้บริการทีมงานแบบนี้เลย พีทสั่งให้ผมไปนั่นไปนี่ แต่ไม่เคยให้ผมเอารถไปใช้ พูดตรงๆ ว่าผมลืม แรกๆ มีคิด แต่หลังๆ ผมคิดว่าก็ถ่ายในนิวยอร์กเอง คุ้นเคยอยู่แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก เดินทางเองได้ เลยไม่ได้เรียกร้อง แต่ตอนนี้ผมงงว่าลุงเขามาถึงที่นี่ได้ยังไง
“ทำไมคุณลุงมารับผมได้ละครับ”
“พีทบอกให้มารับ” คุณลุงตอบอย่างเป็นมิตร ผมย่นคิ้ว รู้สึกประหลาดใจและโคตรแปลกใจ กำลังทบทวนกับตัวเองว่าชื่อที่ได้ยินจากปากลุงนั้นคือชื่อพีทจริงๆ ใช่มั้ย ไม่ใช่คิดไปเองใช่หรือเปล่า
เกิดอะไรขึ้นกับพีท ทำไมถึงใจดีส่งคนขับรถมารับ ผมหันไปมองออสตินราวกับจะหาคำตอบจากเขา แต่ออสตินก็หน้านิ่งตอบกลับมา ซึ่งนั่นแหละคือคำตอบแล้ว และเป็นการบอกผมกลายๆ ด้วยว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก
“ที่กองถ่ายเป็นไงบ้างครับ” ผมถามด้วยความรู้สึกแปลกๆ ผมเป็นทีมงาน และเป็นทีมงานที่ไปทำงานสายด้วย แต่มีรถมารับถึงที่ ราวกับรู้เวลาว่าต้องมารับผมตอนนี้ การถามแบบนี้เหมือนผมกำลังทำตัวเป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของกองถ่ายเลย ซึ่งผมไม่ค่อยชอบความรู้สึกนี้เท่าไหร่
“ก็ถ่ายทำกันอยู่นั่นแหละนะ” ผมพยักหน้า นั่นสิ จะให้กองถ่ายเป็นอะไรไปได้อีกล่ะนอกจากกองถ่ายทำภาพยนตร์ ในเมื่อมันมีไว้สำหรับถ่ายหนัง มันคงไม่ได้มีไว้แอโรบิคหรอกนะ
แต่ผมกำลังจิตตก มือถือไม่มี ผมไม่สามารถโทรหาใครได้ และไม่มีใครสามารถโทรหาผมได้เช่นกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้พีทกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าเป็นปกติอย่างน้อยยังรู้ว่าเขาจะโทรมาด่าและตามจิกไปทำงานแน่ๆ แต่นี่คือไร้สัญญาณใดๆ ผมเริ่มกลัวว่าจะต้องทำตัวยังไงกับการไปสายหลังจากเมื่อวานนี้เพิ่งได้รับค่าตัวครึ่งแรก
คิดแล้วก็อยากจะทุบหน้าไอ้ยักษ์แรงๆ ที่หยิบมือถือผมไป แถมไม่มีน้ำใจปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาทำงานด้วย เมื่อไหร่เขาจะคิดได้สักทีนะว่าผมเป็นแค่ทีมงานเล็กๆ คนนึงที่แม้เขาจะฝากงานให้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าผมจะทำอะไรตามใจได้อย่างที่เขาชอบทำ ผมไม่ได้อยู่ในสถานะที่ทำได้ ถ้าผมทำแบบนั้น เขาก็ไม่จ้างผมแล้วหาคนใหม่มาทำงานแทนแค่นั้นเอง ผมพยายามไม่ขมวดคิ้ว ไม่เครียดให้รู้สึกตึงหัวคิ้วกับใบหน้า แต่ก็ทำไม่ได้เลย
ตอนที่รถจอดหน้ากองถ่าย ผมพ่นลมหายใจสักแปบแล้วเดินลงไป ทีมงานก็เดินกันขวักไขว่ตามปกติ ตอนนี้เหมือนกำลังเซ็ทฉากใหม่อยู่ ผมมองไปรอบๆ ด้วยความระแวงเล็กๆ ทุกคนดูปกติใช่มั้ยนะ ผมเดินผ่านทีมงานผู้ชายผมสีน้ำตาลแก่ที่เป็นทีมตากล้องคนหนึ่งแล้วยกยิ้มให้ เขาก็ยิ้มตอบกลับมาและทักทายผมปกติดี ผมสลัดความกังวลออกแล้วรีบเดินไปหน้าจอมอนิเตอร์ ผู้กำกับหัวสีขาวนั่งอ่านบทเงียบๆ อยู่คนเดียว
“เอ่อ สวัสดีครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมองผมแล้วก็ยกยิ้มให้นิดหนึ่ง
“มาแล้วเหรอ ตามสบายนะ” พูดจบก็ก้มหน้าอ่านบทต่อ ผมรู้สึกโหวงๆ กับประโยคนั้น การบอกให้ผมทำตัวตามสบายคืออะไรกัน ผมรู้สึกเหมือนโดนทิ้งไว้กลางความเวิ้งว้าง
“ขอโทษนะครับที่มาสาย ผมไม่ได้ตั้งปลุก ผมไม่รอบคอบเอง”
“คนเรามันก็พลาดกันได้ ฉันเองก็เคยลืมตั้งปลุกบ่อยๆ” ถึงเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้มีทีท่าไม่พอใจหรือโกรธอะไร แต่ทำไมผมกลับรู้สึกไม่ดี
“มีอะไรให้ผมทำมั้ยครับ” ผู้กำกับสูงวัยมองไปรอบกองสักแปบ ก่อนชี้ไปที่เต็นท์สีขาวที่มีพวกพีทนั่งอยู่ในนั้น
“ลองไปถามหางานจากพีทดู” ผมพยักหน้า เดินไปทางเต็นท์สีขาวที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ริมแม่น้ำ มีทีมงานนั่งกันอยู่สามสี่คน ทุกคนกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดีเลยเดินเข้าไปหาพีทก่อน โชคดีที่เขาเงยหน้ามองผมพอดี ผมเลยไม่ต้องเอ่ยปากพูดอะไร
“โอ้ว มีบอดี้การ์ดมาด้วยเหรอเนี่ย” เขาพูดด้วยท่าทีประหลาดใจพอๆ กับน้ำเสียงที่ผมรู้สึกว่ามันฟังประดิษฐ์ซะเหลือเกินแต่ก็เลือกจะเมินผ่านไป ผมหันไปมองออสติน ผมส่งสายตาขอร้องให้เขาออกไป ออสตินยอมเดินออกไปจากเต็นท์ ผมหันกลับมาหาพีทที่ทำหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาสีดำเข้มมองผมอย่างนิ่งเฉย
“ขอโทษที่มาสายครับ” พีทยักไหล่ ยกมุมปากเล็กน้อย ผมรู้สึกว่ามันเป็นยิ้มเยาะซะมากกว่า
“รับเงินไปแล้วนี่ จะมาสายสักวันจะเป็นไรไป” ผมรู้สึกสะอึกไปนิดหนึ่ง เหตุการณ์มันช่างเหมาะเจาะดีจริงเชียว
“มันไม่ใช่ว่าผมรับเงินไปแล้ว…” ผมหยุดพูดเพราะพีทยกมือซ้ายขึ้นห้ามไม่ให้พูด ทีมงานชายหญิงคนอื่นที่ทำงานอยู่เงยหน้าขึ้นมองแว้บหนึ่งแล้วกลับไปก้มหน้าทำงานกันต่อ
“…นายอาจจะผิด แต่สำหรับ
พวกฉัน นายต้องถูกเสมอ” ผมย่นคิ้ว พีทยิ้มหึอย่างดูถูก
“อะไรนะ” พีทยิ้มหยันเล็กๆ ผมไม่ค่อยชอบรอยยิ้มนั้นเท่าไหร่ แต่ก็ข่มใจไม่ให้ตัวเองหงุดหงิดหรือโมโหไปมากกว่าที่เป็นอยู่
“ฉันนี่มัน…” เขาทำสีหน้าครุ่นคิดผสมกับทีท่าลำบากใจปลอมๆ นั่นสักแปบ “…ช่างไม่เจียมเนื้อเจียมตัว”
ผมนึกถึงภาพพีทที่ยิ้มให้ผมเมื่อวานหลังจากจ่ายเงินให้ผม ภาพนั้นถูกทดแทนด้วยลักษณะนิสัยเดิมๆ ของเขาที่มีต่อผมคนเดียว
“คุณสื่อมาตรงๆ เลยดีกว่า” ผมเริ่มเสียงแข็ง มองเขาด้วยความไม่พอใจ พีททำตาโตเล็กน้อยก่อนยกสองมือขึ้นข้างลำตัว
“อุ อู้ว ฉันเผลอเล่นคนเส้นใหญ่ซะแล้วสิเนี่ย” ผมกัดฟันแน่น มองใบหน้าขาวคมของพีทด้วยความอดทนอดกลั้น ผมละเกลียดท่าทีนี้ของเขาจริงๆ
“มีงานอะไรให้ผมทำบ้าง” ผมตัดสินใจปัดเรื่องที่เขากระแนะกระแหนทิ้ง คิดซะว่ามันคือปกติของเขา แค่อาจจะเพิ่มเลเวลขึ้นมาเท่านั้นเอง
“เลือกเอาตามสบายเลยว่าอยากทำอะไร ฉันไม่กล้าใช่นายแล้วละ” ผมอ้าปากขึ้นนิด ยิ้มขัดเล็กน้อย กะพริบตาสองสามทีมองหน้าคนพูด
“หลังจากที่ใช้ผมเหมือนว่าผมเป็นทีมงานในกองคนเดียวมาตลอดน่ะเหรอ” ผมไม่ได้เหวี่ยง แต่น้ำเสียงก็ไม่ดี คนที่อยู่ในเต็นท์หยุดทำงานแล้วเงยหน้าขึ้นมองผมที่กำลังมองหน้าพีทด้วยสายตาหมั่นไส้กับท่าทีของเขา
“ขอโทษก็แล้วกันนะ…”
“…ไม่ต้องมาขอโทษ ผมมาทำงาน คุณมีสิทธิ์สั่งผมอยู่แล้ว วันนี้ผมผิดที่มาสาย ผมยอมรับ แต่มารยาทที่คุณแสดงต่อผมมันแย่มาก ทั้งๆ ที่ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณชอบแสดงนิสัยแย่ๆ กับผม แต่ไม่คิดว่ามันจะแย่ได้อีก” ผมพยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นน้ำเสียงเรียบๆ นิ่งๆ ไม่อยากอาละวาดวีนแตก ตะโกนเสียงดังใส่หน้าเขา เพราะจะทำให้เราเป็นจุดเด่นมากกว่าเดิม
“ถ้างั้นก็ไปบอกแฟนนายผู้ยิ่งใหญ่ด้วยนะว่านายเต็มใจทำ ไม่ใช่เพราะฉันบังคับ” พีทเถียงกลับเสียงแข็งตาแข็ง ท่าทางเขาดูเบื่อหน่ายและสุดจะทน ผมย่นคิ้วเล็กน้อยแต่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว
“เขาเกี่ยวอะไรด้วย” ผมเลือกจะไม่พูดชื่อวิคเตอร์ เพราะไม่ใช่เธอหรือเขาทุกคนที่รู้เรื่องของผมกับพ่อพระเอกหนวดเครารุงรัง รู้อยู่ไม่กี่คน และผมขอบคุณมากที่คนที่รู้ไม่พูดหรือเม้าท์ต่อ
หนึ่งในนั้นก็คือพีท เห็นแบบนี้แต่เขาไม่เคยพูดหรือนินทาเรื่องผมกับวิคเตอร์เลย หรืออาจจะเคยแต่ผมไม่รู้ก็ได้มั้ง
“He is such a good boyfriend, doesn’t he? (เขาเป็นแฟนที่โคตรดีเลยว่ามั้ย)” พีทยิ้มเยาะอีกทีแล้วเดินจากไป ทิ้งความไม่เข้าใจและความไม่พอใจไว้ให้กับผม ที่ไม่พอใจมากๆ คือการทิ้งปริศนาบ้าบออะไรไว้แบบนี้ มันทำให้คนขี้เผือกอย่างผมอึดอัดโว้ย!
ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ตรงนั้นสักพัก หันไปมองออสตินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พลางก้มกดมือถือด้วยสายตาหงุดหงิด คือปกติพีทก็ไม่ได้ดีอะไรกับผมนักหรอก มีเมื่อวานนั่นแหละที่ดูเหมือนระว่างเราสองคนดูจะเข้าใกล้คำว่าเพื่อนร่วมงานกันมากที่สุดจากคำว่านายกับทาส แต่วันนี้มันกระเถิบออกห่างเหมือนเดิมอีกละ ไม่รู้ไปโดนตัวไหนมาถึงได้ออกอาการแขวะอีกรอบ
“มีอะไรให้ทำมั้ย” เมื่อไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรต่อ ผมเลยเดินกลับเข้าไปในเต็นท์และถามพวกทีมงานคนอื่น ทุกคนส่ายหน้าพร้อมกัน
“พีทบอกว่านายไม่ต้องทำอะไร” ผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลที่มีตำแหน่งเป็นการเงินของกองถ่ายเอ่ยบอก จังหวะนั้นมีทีมงานผู้ชายหัวหยิกตัวผอมคนหนึ่งลุกขึ้นเดินออกไปจากเต็นท์
“อ้าว ผมไม่ต้องทำอะไร คือยังไงเหรอ” เธอทำตาโตแล้วยักไหล่สองข้างประมาณว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมมองทีมงานอีกสองคนที่เป็นผู้หญิงกับผู้ชาย สองคนนั้นมองหน้าผมแล้วยิ้มแกนๆ กลับมาให้ก่อนก้มลงไปทำงานต่อ ผมขบกรามแน่น หมุนตัวเดินออกจากเต็นท์ เดินกลับไปหาผู้กำกับที่กำลังจะลุกเดินไปทางอื่น
“เจมส์…” ชื่อผู้กำกับที่ผมเรียกเขาอยู่ไม่กี่ครั้งหรอก
“…พีทเป็นอะไรรึเปล่า และคุณเองก็เป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำไมผมถึงไม่ต้องทำงานอะไรและทำไมถึงสามารถทำตัวตามสบายได้” ผมถามอย่างอดทนไม่ให้ตัวเองปล่อยอารมณ์พุ่งปรี๊ด เจมส์เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง
“นายทำงานหนักเกินไป และฉันต้องขออภัยด้วยที่ไม่ระบุตำแหน่งงานของนายให้ชัดเจน”
“ถ้าจะบอกว่าผมเป็นคนเขียนบท ก็ไม่ใช่แล้วครับ เพราะผมแค่เอาไปแก้ ไม่ได้เขียนเปลี่ยนใหม่อะไรเลย” ผู้กำกับมองหน้าผมนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วเขาก็ถามกลับมาให้ผมคิด แต่เป็นการให้คิดที่ตลกมาก
“แล้วตอนนี้เธออยากทำหน้าที่อะไรในกองถ่ายล่ะ” ผมอ้าปากหวอ ถามแบบนี้หมายความว่าไงกัน เขาถามเหมือนผมมาสมัครงานใหม่ในกองถ่ายงงั้นแหละ ผมอยู่กับเขามาครึ่งทางแล้วนะ อีกเดือนกว่าๆ หนังก็จะถ่ายจบแล้ว
“แล้วทุกวันนี้ผมทำอะไรล่ะครับ”
“ฉันว่าตำแหน่งเธอมันยังไม่ชัดเจน เธออยากเป็นตำแหน่งไหนล่ะ บอกมาเลย” ผมเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจ ถึงเขาจะไม่มีท่าทีประชดหรือกระแนะกระแหน แต่เขาก็แอบกวนตีนเล็กๆ
“วันนี้มันอะไรกัน บอกผมหน่อยได้มั้ย มีใครมาพูดอะไรงั้นเหรอ” มันต้องมีซัมติงสิ ไม่มีไม่ทำตัวประหลาดกันขนาดนี้หรอก
เจมส์ยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบ “ฉันกับพีทโดนวิคเตอร์จวกเละเลยละ”
คิ้วผมย่นเข้าหากันนิดๆ ริมฝีปากอ้าค้างหน่อยๆ มองชายสูงวัยร่างผอมท่าทางกระฉับกระเฉงด้วยความรู้สึกงุนงงปนใจหวิวแปลกๆ
“วะ… วิคเตอร์มาที่นี่เหรอ” ผมถามเสียงแผ่ว รู้สึกถึงความกลัวในอก ขนผมตั้งชันจนนึกว่ามีผีมาวนเวียนอยู่แถวนี้
“ใช่ เขาก็… ไม่ได้อาละวาดอะไรนักหนาหรอก แต่ก็ทำเอาทีมงานสองสามคนที่บังเอิญอยู่กับฉันและพีทช็อคไปพักใหญ่” ผมรู้สึกเหนื่อยใจเหนื่อยกายขึ้นมาทันทีทั้งที่ยังไม่รู้ว่าวิคเตอร์พูดอะไรไปบ้าง แต่ผมพอจะนึกถึงสีหน้าและบรรยากาศในตอนที่เขาพูดได้ แค่ไม่รู้ว่าเลเวลไหน
“ผมขอโทษแทนเขาด้วยครับ คือ… เขาพูดอะไรก็ตาม แต่ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่ที่ผม” เจมส์ยิ้มเยาะ คราวนี้เขาเยาะจริงๆ แบบไม่มีปิดบัง
“ฉันว่าไม่ใช่” เขายกมือขึ้นตบบ่าผมแล้วเดินจากไป ทิ้งความหนักอึ้ง ความไม่สบายใจให้ผมไว้เต็มอก หัวสมองผมตื้อ ไม่รู้จะสั่งการตัวเองยังไงดี และไม่รู้แล้วว่าจะต้องรู้สึกเบื่อกับเอือมพฤติกรรมวางอำนาจของวิคเตอร์ได้อีกเท่าไหร่
เม้าท์เม้าท์เม้าท์กะขุ่นเจ้
อะ อีพี่ยักษ์ Make a trouble (เมคอะทรบเบิล) สร้างปัญหาให้น้องอีกแล้วค่ะ
เหมือนตอนนี้ทั้งสองคนหันหลังคุยกัน แล้วเล่าสิ่งที่ตัวเองเห็นในฝั่งตัวเองให้อีกคนฟัง อีผัวก็หวังดี อีเมียก็อยากให้เข้าใจ ตอนนี้มันไม่ไปด้วยกัน เหมือนสะกัดขากันอยู่อะเนาะ ทุกปัญหามีทางออกและทุกทางออกก็มีปัญหานะคะทั้งสองคน
มาสั้นๆ หน่อยเน้อ แต่ก็เน้นๆ เนื้อหาโนะ (เหรอยะ?) พาร์ทสามเนี่ย เท่าที่สังเกตการเขียนของตัวเอง แต่ละตอนเนื้อหาจะไม่ได้ยาวเฟื้อยแบบแต่ก่อนแล้ว แต่ก็ฟันธงไม่ได้ ต้นฉบับยังไม่จบ ตอนต่อๆ ไปอาจยาว 555555
ก็ยังขาดหวาน เติมน้ำตาลกันสักช้อนสองช้อนมั้ยคะสองสามีภรรยาคู่นี้ คนอ่านอิฉันจะเป็นโรคขาดน้ำตาลแล้ว / เสียงตะโกนมาว่ามันขึ้นอยู่กับมึงแหละอีคนเขียนนนน
ใครที่รอพี่แซ็คอยู่ ตอนแรกของพี่แซ็คจะลงหลังจากอัพตอนที่ 12 ของเรื่องนี้จบแล้วค่ะ แต่ตอมเปิดลิงก์เรื่องไว้แล้ว ยังไม่มีเนื้อหาอะไรค่ะ เป็นลิงก์สำหรับลงเรื่องเฉยๆ แต่ก็ตกแต่งไปแล้วนิดหน่อยยย
เจอกับอีกครึ่งที่เหลือนะคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นเลยนะคะ ทุกวันนี้ได้เห็นคอมเม้นทุกครั้งที่อัพก็ดีใจมากๆ แล้วค่ะ จำนวนมันอาจไม่ได้ไหลหลั่ง แต่ก็ยังมีคนเม้นให้ ขอบคุณจริงๆ นะคะ มันเป็นกำลังใจดีๆ ของคนเขียนเลยละค่ะ ส่วนใครที่ซุ่มติดตามเงียบๆ อ่านแล้วจากไป ฮ่าๆๆๆ ก็ขอบคุณเช่นกันค่าาา อย่างน้อยก็มาเพิ่มวิวให้ อุๆ
แท็กเรื่องนี้ #LoveNoBoundaries