ตอน 5ใกล้วันสอบไล่ขึ้นมาทุกที ฤดูกาลปิดเทอมเล็กกำลังคืบคลานเข้ามาถึง เหล่านักศึกษาจึงได้แต่สุมหัวกันติวอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะเด็กวิทย์อย่างผม ที่วัดเกรดจากการสอบแทบจะ 100 เปอเซนต์
“อ่ะ ไอ้กัส กินปะ”
ผมกำลังง่วนอยู่กับการถอดค่าสสารที่ปันเคยสอนมา พอลองมาทำเอง เจอโจทย์แปลกๆเข้าหน่อยก็ไปไม่เป็นทุกที
“กินไรอะ”
“ซูกัส”ตุบ...
ฉ่า...
ปากกาในมือหล่นโดยอัตโนมัติ ผิวหน้าร้อนจนคิดว่าอากาศร้อน หรือ กูรับแสงแดดมาสังเคราะห์แสงวะ ภาพเมื่อวันก่อนเด้งกลับมาในหัวเหมือนหนังฉายซ้ำ ชัดเจน ทุกถ้อยคำ ทุกการกระทำจากน้องปอนด์
ปันส่งสายตาแกมสงสัยมาให้ “มึงเป็นอะไร ข้าวไม่ได้แดกหรือไง มือไม้อ่อนแรง”
“กูเปล่า”
ผมรีบก้มหน้าเก็บปากกามาขีดๆเขียนๆต่อ พูดแล้วยังเขินไม่หาย น้องปอนด์แม่งเต๊าะพี่ซะหมดท่า บางทีพี่ก็สับสนว่าพี่ไปจีบน้อง หรือยังไงกันแน่ ทำไมพี่เป็นผู้พ่ายแพ้ตลอด
“แล้วจะกินไหมซูกัสเนี่ย”
“ไม่เอา ไม่กินแล้วปัน เลิกกินไปเลยนะ ไอ้ซูกัสอะไรเนี่ย”
ผมปัดๆมือปันออก ไม่อยากได้ยินคำว่าซูกัสอีกแล้ว ได้ยินทีไรเลือดลมเดินทะลุขึ้นลิ้นปี่ สิ้นสุดที่ใบหน้ากูทุกที ฮ่อยยยย
“เอ้า อะไรของมึงวะ เห็นเมื่อก่อนก็ชอบแดกอยู่ดีๆ” ปันพึมพำ
“ปัน กัส เราขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”
ผมเงยหน้าขึ้นไปก็เจอเจ้าของเสียงหวาน ลูกปัด เธอเป็นเพื่อนในภาคครับ คุยกันบ้าง แต่ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่หนัก
“ว่ามาสิปัด” ปันตอบ
“คือ ขอโทษที่รบกวนตอนใกล้จะสอบนะ แต่เราต้องรีบรวบรวมคนจริงๆอะ คืออาจารย์ให้เราจัดทำโครงการออกค่ายเพื่อส่งเสริมความรู้ด้านวิทยาศาตร์เพื่อน้องๆตอนปิดเทอมหน่ะ เราก็จัดหาสถานที่ ดำเนินเรื่องมาสักพักแล้ว แต่ตอนนี้ยังขาดวิทยากรเก่งๆอยู่เลยอะจ๊ะ กัส กับ ปัน พอจะสะดวกไปออกค่ายบ้างไหม”
ลูกปัดส่งยิ้มหวานมาให้ ไอ้ออกค่ายอะไรเนี่ย ผมเคยได้ยินมาอยู่ว่าเป็นโครงการของปี3 แต่ไอ้เด็กเรียนก็ห่วยแตก กิจกรรมก็ส่ายหน้าอย่างผม ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเค้าเท่าไหร่
“เอาปันไปสิลูกปัด ปันเก่ง เนาะๆ”
ผมเชียร์ไอ้เพื่อนข้างตัว ไอ้ปันหันมาถลึงตาใส่ ลูกปัดมองแทบจะอ้อนไอ้ปัน หวั่นไหวสิมึง ปู้หญิงสวยๆอยู่ตรงหน้า
“ปัน...สะดวกไหมจ๊ะ”
ปันดูจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หันมากระซิบใส่ผม “ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน อย่ามาโบ้ยกูคนเดียวสิวะ”
“ก็ปันเก่ง กูไม่เก่ง ไปเป็นภาระเค้าเปล่าๆ ปันไปเต๊อะ อิอิ”
ผมเห็นปันทำปากขมุบขมิบได้ยินแว่วๆว่า เล่นละครเก่งนักนะมึง โถ่ ปันใส่ร้าย นี่มาจากจิตใจเก๊าล้วนๆนะ
“ช่วยหน่อยเถอะน่า พวกสถาปัตย์เค้าหอบกันไปทั้งรุ่นเลย ไปสร้างห้องเรียนให้น้อง
แต่คณะวิทย์เราปัดหาคนไปไม่ค่อยได้เลย อาจารย์ก็ติงมาแล้วอ่ะ”
ลูกปัดเธอตัดพ้อน้อยใจตามประสาเด็กกิจกรรมตัวยง แต่อะไรก็ไม่สะดุดน้ำในหูของผมเท่าคำว่า
สถาปัตย์“ลูกปัดๆ ที่บอกว่าสถาปัตย์ไปด้วยนี่ปีอะไรหรอ”
“อ่อได้ยินมาว่าปี1 กับ ปี2 อะจ๊ะ พวกรุ่นพี่เค้าถือโอกาสเอาน้องไปรับน้องนอกสถานที่ด้วยเลย”
บิงโก!
“งั้นเราไป ! ลูกปัดใส่ชื่อเราเลยนะ ไอ้ปันด้วย ไอ้ปันก็ไปจ๊ะลูกปัด”
ผมฉีกยิ้มกว้างให้เธอ ไอ้ปันเสตามองผมอย่างรู้ทัน พึมพำคำด่าแบบไม่มีเสียงออกมาอีกระลอก ปันแม่งเก่งจังนะ
ไอ้เรื่องหลอกด่ากูเนี่ย
ลูกปัดเธอดีใจมาก รีบเอากระดาษมาให้ผมกับปันเซ็นชื่อใหญ่ เหนือสิ่งอื่นใดคือผมได้ไปทำประโยชน์ให้กับน้องๆ ผมจะได้ไปเผยแพร่วิทยาศาสตร์ ทุกองค์ความรู้ที่ผมเรียนมาสามปี พี่สัญญาจะให้น้องซึมซับไปเต็มๆ แต่ผลพลอยได้พี่บอกเลย ว่าพี่ได้ไปเต๊าะน้องปอนด์เต็มๆๆ ฮ่อยยยย โชคสองเด้งอะไรขนาดเน้ พี่อยากจะว๊ากกกกก
“มึงเลิกทำหน้าแบบเด็กบ้ากามแบบนั้นได้ไหมวะไอ้กัส”
ผมมองค้อนปันขวับ “กูรู้เลยในหัวมึงคิดอะไรอยู่”
ผมเบะปากให้มัน ส่ายหน้าไปมาให้ดูวอนส้นตีน “คิดอะไรๆ อย่ามาใส่ร้ายกูนะปัน กูออกจะใส”
ไอ้ปันจัดปากกามาบนหัวหนึ่งที “โอ้ยปัน”
“ใสมากก หน้ามึงพร้อมจะเต๊าะน้องกูตลอดเวลา 4วัน 3 คืน มึงไม่กลับไปทำแพลนล่อลวงน้องกูเลยละ”
ปันแม่งความคิดดีวะ เอ้ยยย ปันแม่งคิดชั่วๆวะ ปันไม่เคยรู้หรอกว่าสุดท้ายต่อให้วางแพลนไปเต๊าะยังไง กูก็พ่ายแพ้แก่บลานุภาพของน้องปอนด์อยู่ดี ฮืออออออออ
วันนี้อยู่บ้านปันครับ
“กัสมึงดูตรงนี้ มึงทำผิด”
ซึ่งบ้านปันก็แปลว่าอะไรรู้ไหมครับ
“กัส...”
ก็แปลว่า..บ้านน้องปอนด์ด้วยยังไงละ ฮ่อยยยย
“ไอ้กัส !!”
“ฮ่ะ? ว่าไงปัน” ผมหลุดออกจากภวังค์แล้วหันไปมองหน้าปัน
ปันถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือมาผลักหัวผม
“สติมาหน่อยมึง สติ เหม่อตั้งแต่มา ไหนบอกจะให้กูช่วยติวเข้มให้ แต่มึงก็ไม่เห็นจะสนใจ”
ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะญี่ปุ่นในห้องปันก่อนจะตอบ “ปันตั้งแต่มายังไม่เจอน้องปอนด์เลย”
“ก็กูบอกตั้งแต่ก่อนมึงจะมาแล้วว่าไอ้ปอนด์ไม่อยู่”
“ก็นึกว่าจะกลับเร็วนี่นา นี่จะเย็นแล้วยังไม่เห็นกลับมาเลย”
ผมชะโงกหน้ามองที่หน้าต่างก็ยังไม่เห็นรถของน้องปอนด์เข้ามาจอดซักที พี่จะลงแดงตายอยู่แล้วนะครับ
ไม่เจอหนูมาหลายวันแล้วอะ ฮืออ
“เฮ้อ”
ปันถอนหายใจ ผมหันไปมองหน้าปันอย่างหงอยๆ ขาดน้องปอนด์พี่รู้สึกเหมือนผักใบเขียวที่ขาดน้ำเลย ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนที่ไปเจอกันที่คณะ น้องปอนด์ก็ไม่ได้ทักมาอีก พี่ก็ไม่กล้าทักไปเลยย เฮ้ออออ
“ถ้ามึงไม่อยากติวแล้ว กูขอออกไปข้างนอกหน่อยละกัน”
นานพอที่ผมเหม่อมองหน้าต่างต่ออีกพักนึง ปันถึงพูดออกมา ผมถึงหลุดจากภวังค์
“อ้าว ปันจะไปไหน”
“ดูดบุหรี่”
ผมขมวดคิ้ว “แต่ปันเลิกดูดนานแล้วนิ”
“ก็แค่อยาก เดี๋ยวกูมานะ” ปันไม่พูดเปล่า ลุกขึ้นไปทันที ผมงงกับพฤติกรรมของปันมากๆช่วงนี้
บางทีปันก็ปกติ บางทีปันก็แปลกๆไป เหมือนจะมีอะไรไม่สบายใจ แต่ก็ไม่พูดออกมา
“ปัน...เดี๋ยวดิ” ผมรีบลุกขึ้น ดึงมือมันไว้ก่อนมันจะเปิดประตูออกจากห้องไป
“ว่าไงอีก”
“แล้วจะทิ้งกูไว้คนเดียวเนี่ยนะ”
“แล้วยังไง”
“....”
“ในเมื่อคนที่มึงอยากจะเห็นหน้ามันไม่ใช่กูอยู่แล้ว ถ้าไม่มีกูอยู่ตรงนี้มันคงไม่เป็นอะไรหรอก”
ปัง...
ผมยืนนิ่งค้าง
ทั้งงง ทั้งสับสนในคราวเดียวกัน
ผมพยายามตีความหมายในสิ่งที่ปันพยายามจะสื่อ ผมบอกเลยก็ได้ว่าผมมันโง่จริงๆ จะให้เข้าใจอะไรกับเค้าง่ายๆเหมือนคนอื่นคงเป็นไปได้ยาก แต่ปันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ถ้าจะให้ผมเดา รูปประโยคแบบนี้ผมตีความได้ว่า
ปันน้อยใจหรอ?แล้วปันน้อยใจอะไร ปันน้อยใจที่ไม่สนใจติวหนังสือหรอ ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะทั้งๆที่ผมขอร้องให้ปันติวเข้มให้คนโง่ๆอย่างผมแบบหนักๆแล้ว แต่ผมกลับไม่สนใจสิ่งที่ปันกำลังจะสอนเลย ไม่เหม่อ ก็ นั่งคิดถึงแต่น้องปอนด์ คงทำให้ปันหงุดหงิดแน่ๆ
โอ้ยยย ต้องใช้แน่แน่ ปันต้องน้อยใจเรื่องนี้แน่แน่
คิดได้ก็หงอยเป็นลูกหมาเลยกู...
อยากขอโทษปันอ่า...
ผมเปิดประตูห้องปันออกไป จะลองออกไปเดินหาปันดู ถ้าไปสูบบุหรี่คงไปไม่ไกลจากบ้านมากนัก ที่ผ่านมาปันไม่เคยจะโกรธ จะน้อยใจอะไรเท่าไหร่ พอเจอปันในรูปแบบนี้บอกได้เลยว่าผมไปต่อไม่เป็น
“อ้าว กัสจะไปไหนลูก” เดินมาถึงหน้าบ้านก็เจอคุณป้ามาดารดน้ำต้นไม้ตรงสวนหย่อมเล็กๆในบ้าน
“ป้าดาเห็นปันไหมครับ”
“เห็นเดินไปข้างนอกแหนะๆ แต่ถามก็ไม่ยักกะบอกนะว่าจะออกไปไหน ป้าก็นึกว่าไปซื้ออะไรให้กัสกิน”
ป้าดายิ้มหวานให้ผม เธอเป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ ดูยังไงก็ยังไม่แก่ถึงขนาดจะมีลูกโตขนาดนี้ได้
ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบให้ป้าดา สีหน้าดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัด มือถือปันก็ไม่ได้เอาไป จะโทรไปขอโทษก็ไม่ได้อีก เฮ้อออ
“งั้นกัสลองเดินออกไปข้างนอกดูก่อนนะครับ เผื่อปันอยู่แถวๆนี้”
ป้าดาพยักหน้าและยิ้มรับ หมู่บ้านปันเป็นหมู่บ้านจัดสรร ที่เป็นบ้านเดี่ยวมีบริเวณเล็กๆไม่ใหญ่มาก
ภายในหมู่บ้านมีสวนสาธารณะรวม และ สระว่ายน้ำรวมอยู่ที่สโมสร
ปกติถ้ามาที่บ้านปัน เวลาเบื่อๆเซงๆปันมักจะชอบพาไปดูเด็กๆเล่นของเล่นกันที่สวนสาธารณะ
มันจึงเป็นที่แรกที่ผมคิดว่าปันจะเดินไป
ปิ้น ปิ้น
เหวออ..
ผมรีบหลบรถโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงบีบแตรไล่ ผมก็ไม่ได้เดินขวางทางรถซะหน่อยนี่ว้า
“มาบ้านผมหรอ”
ชัดเจนเลยกู แบบ FULL HD
น้องปอนด์บีบแตรฮอนด้าแจ๊ซสีเหลืองของตัวเองก่อนจะตีรถมาขนาบข้างตัวผม ที่ตอนแรกแนบตัวจะชิดรวมตัวกับเสาไฟจนจะเป็นสสารเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว
สันดารเสียสุดๆ พอเจอน้องปอนด์พี่ก็แทบลืมไปเลยว่ามาทำอะไรตรงเน้ ฮือออ
“อ่าชะใช่”
“แล้วทำไมมาเดินอยู่แถวนี้”
“เอ่อ...พี่มาตามหาปัน”
ผมยิ้มแหยๆตอบน้องปอนด์ไป โคนอารายยย แค่นั่งอยู่ในรถ เอามือข้างนึงท้าวไว้ที่กระจกยังหล่อเลยยย ตูจะบ้า
น้องปอนด์ขมวดคิ้วหลังผมตอบไป “ทำไมต้องตามหา”
“ก็ปันหายไป ไม่บอกพี่ว่าจะไปไหน”
“ดูเป็นห่วงกันจัง น่าอิจฉา”
น้องปอนด์ยิ้มมุมปากเล็กๆ แต่สีหน้าดูเจ้าเล่ห์ชะมัดเลย ผมไม่รู้น้องปอนด์คิดอะไรอยู่กันแน่ แต่อยากจะบอกว่าสาเหตุจริงๆที่ทำให้พี่ต้องมาตามหาไอ้ปัน ก็เพราะพี่มัวแต่คิดอกุศลถึงหนูนั้นและ ไอ้น้องปอนด์ ทำพี่เสียความเป็นตัวเองจนปันน้อยใจเลย
“ขึ้นรถสิ”
“หือ”
“ไปกินข้าวกัน”
“ตะแต่..”
ในใจพี่เนื้อนี่เต้นระบำหึ่งๆแล้วที่น้องปอนด์ชวนพี่กินข้าว แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีพี่ก็มาวะ เป็นห่วงเพื่อนตะหงิดๆอะ
“ไอ้ปันมันไม่เป็นไรหรอกน่า”
ผมรู้สึกเหมือนมีคิวปิดสีขาว กับ สีดำ ลอยละล่องอยู่ข้างๆ ไอฝั่งข้างดี มันตะโกนบอกผมว่า
‘นายควรจะไปตามหาปันนะ เพราะปันคือเพื่อนสนิทของนาย ปล่อยให้น้อยใจนานๆมันไม่ดีหรอกนะ’
แต่อีกทางคิวปีดสีดำหน้าตาเจ้าเล่ห์กลับบอกว่า
‘โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อยนะเว้ย กินข้าวกับน้องปอนด์เชียวนะ ประเด็นเลยคือ สอง ต่อ สองด้วยนะ นายจะปล่อยโอกาสแบบนี้หลุดลอยไปหรือไง โง่สิ้นดี’
โอ้ยยยยยย พี่ขัดแย้งในใจจจจจจ
ผมส่ายหัวไปมาไล่ความคิดบ้าๆ เงยหน้าขึ้นมาน้องปอนด์ก็ยังจ้องมองผมอยู่ ใบหน้าติดจะอมยิ้มเล็กๆ
“ผมถามจริง พี่เต็มหรือเปล่าเนี่ย อยู่ดีๆก็สะบัดหัวไปมาเฉยเลย”
“เต็มสิ พี่ไม่ใช่เด็กเอ๋อนะ” ผมตอบกลับไป ในใจนี่คิดว่าเต็มเลยครับ ความรักที่มีให้หนูอะ พี่มีเต็ม ฮิฮิครุคริ
“เร็วๆสิ ผมรอพี่นานแล้วนะ จะขึ้นหรือไม่ขึ้นมา ผมหิวมากกกเลยตอนนี้”
น้องปอนด์ทำเป็นเอามือลูบท้องไปมา เอาหน้าท้าวกับขอบประตูกระจกเหมือนรอคำตอบ โอ้ยยยย
มองมุมนี้ยิ่งน่ารักพี่กัสอยากจิบ้า
ปัน...
เก๊าขอโทษษษนะ
“ปะ ไปครับ”
POND’PARTนี่เค้าจะรู้ตัวปะวะ ว่าตัวเองทำตัวได้น่าเอ็นดูขนาดไหน..
“กินเลอะแล้ว” ผมเอานิ้วชี้ไปที่ปากตัวเอง เป็นการบ่งบอกถึงอีกคนที่กินมักกะโรนีจนซอนมะเขือเทศติดที่มุมปาก
พี่กัสสะดุ้งนิดนึงก่อนจะเอานิ้วเกลี่ยๆออก แต่ก็ไม่ตรงจุดที่เลอะซักที จนผมอดไม่ได้ที่จะเอามือไปปาดออกให้เอง
นิ่มวะ...
ความรู้สึกแรก...
ปากผู้ชายเดี๋ยวนี้มันนิ่มกันขนาดนี้เลยหรอวะ แต่แน่นอนว่าปากไอ้ตูน และ ไอ้ต้าร์ ไม่น่านุ่มขนาดนี้แน่นอนอะ คงแข็งเหมือนผ้าเช็ดตีน แต่ทำไมกับพี่กัสมันถึงดูนุ่มนิ่มไปหมดเลยวะ
ปากแม่งโครตชมพู..
ความรู้สึกที่สอง...
ริมฝีปากไอ้พี่กัสดูชมพูแบบเป็นธรรมชาติโครตๆ มันดูทั้งสวย ทั้งนิ่ม จนอยากจะสัมผัสอีก และ อีก...
“เอ่อ..มะ มันยังออกไม่หมดหรอครับน้องปอนด์”
กึก
ผมชะงักนิ้วโป้งที่ปาดไปมาอยู่ตรงริมฝีปากของไอ้พี่ตัวเล็กข้างหน้าทันที นี่กูกำลังคิดอะไรอยู่วะ ปาดปากไอ้พี่กัสไปมาจนริมฝีปากมันแดงเจ่อขึ้นมาเลย
มองใบหน้าไอ้คนถูกกระทำ แดงซ่านไปทั้งหน้า
ผมแยกไม่ออกจริงๆว่าพี่เค้าเจ็บ
หรือว่า เขิน กันแน่?
“มันเลอะเยอะหน่ะ กินต่อสิ”
ผมตอบพี่กัสไปนิ่งๆอย่างพยายามไม่แสดงพิรุจออกไปว่าในโมเม้นนึงของผมเมื่อกี้กำลังนั่งชื่นชมริมฝีปากคนตัวเล็กข้างหน้าอยู่
พี่กัสพยักหน้ารัวๆอย่างกับตุ๊กตาล้มลุก แล้วก้มลงกินต่อ ผมรู้สึกเหมือนพาเด็กตัวเล็กๆมากินข้าว มันทั้งน่าเอ็นดูและน่ารักไปในคราวเดียวกัน อย่างบอกไม่ถูก..
“นี่..พี่คุยกับผมบ้างก็ได้ ผมไม่กัดหรอก” ผมมองหน้าพี่กัสที่ก้มหน้างุดๆก่อนจะเงยขึ้นมาหา
“พี่ไม่รู้จะคุยอะไรนี่นา”
“ก็คุยอะไรก็ได้”
พี่กัสทำท่าคิด และ กำลังจะพูด แต่ก็ไม่พูด
“คุยเหมือนที่พี่คุยกับไอ้ปันไง” ผมบอกไป พี่กัสทำเหมือนคิดอีกแล้ว แต่พอคิดเสร็จก็ส่ายหน้าช้าๆก่อนจะบอก
“มันไม่เหมือนกัน”
“ยังไงที่ไม่เหมือน”
“ก็ปันเป็นเพื่อน”
“แล้วผมละ?”
ผมยิ้มมุมปากแล้วไล่ต้อนถามคนตัวเล็กกลับไป พี่กัสหน้าเหวออย่างเห็นได้ชัด แก้มใสขึ้นสีแดงระเรื่อ
จนน่าจับมาบิดนัก
“ผมเป็นอะไร หืมม..”
ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆพี่กัส ด้วยความห่างระหว่างโต๊ะกินข้าวเล็กๆที่พอนั่งกันสองคนนั้นมันไม่ได้มาก
ยื่นหน้าไปนิดเดียวก็แทบจะชิดหน้าคนตรงข้ามอยู่แล้ว
ผมยอมรับว่าผมชอบแกล้ง ชอบเห็นพี่กัสตัวเล็กที่ถูกต้อนจนจนมุมไปไหนไม่ถูก แต่ก็ยังปากแข็ง และ เถียงไปมาข้างๆคูๆ ทั้งๆที่ตัวเองแสดงทุกอย่างออกมาทางสีหน้าและการกระทำแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ปริปากบอกสิ่งเหล่านั้นออกมาซักที ครั้งนี้ก็เหมือนกัน
“นะ น้องปอนด์ก็ ปะ เป็น น้องเพื่อนพี่ยังไงละ”
คนตัวเล็กตอบมาก็ทำส่ายตาหลุกหลิกไม่หยุด เหมือนพยายามจะหาทางหนีทีไล่ออกจากสถานการณ์ตรงนี้ที่ตัวเองถูกต้อนอยู่
“หรอ...” ผมหรี่ตาถาม
“อื้ออ ก็ใช่นะสิ”
“แค่นั้นจริงๆอะ”
“จะ จริง สิ”
ผมยกมือพยักหน้าแบบบอกว่ายอมแพ้และเชื่อพี่เค้า พี่กัสแอบลอดถอนหายใจออกมา ผมอยากจะหลุดขำแต่ก็ทำไม่ได้ ชอบเก๊กมาดนี้ใส่พี่กัสสนุกดี
ผมและพี่กัสกินข้าวกันไปต่อเงียบๆ ร้านที่มาก็ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก เป็นร้านอาหารตามสั่งร้านโปรดของผมเลย คนตรงข้ามเหลือบตาขึ้นมามองผมเป็นระยะๆ โดยที่คิดว่าผมกินข้าวอยู่คงมองไม่เห็น เหมือนตอนที่มากินข้าวที่บ้านครั้งที่แล้ว จ้องผมจนแบบว่าถ้าผมเป็นปลากัดเผลอสบตากับพี่กัสแปบเดียว พี่กัสคงท้องลูกได้เป็นโขยงแน่ๆ
พอกินเสร็จ ผมก็พาไอ้เพื่อนพี่ชายตัวเล็กขึ้นรถเพื่อจะพากลับมาส่งที่บ้านผม ส่งคืนไอ้ปันที่ผมขโมยเพื่อนมันไปเป็นเพื่อนนั่งกินข้าวของตัวเอง รถจอดยังไม่ทันสนิทดี สายตาผมก็เหลือบไปเห็นไอ้พี่ชายร่วมสายเลือด เดินไปมาอยู่ที่หน้าบ้านท่าทางดูร้อนใจ ปันหันมามองทันทีที่รถจอดสนิทลง ฟิล์มที่ไม่หนามากนัก คงทำให้เห็นตุ๊กตาตัวกระเปี๊ยกข้างๆผม
“ไปไหนทำไมไม่บอก !” ปันกระชากประตูเปิดออก มันตะโกนใส่พี่กัสทันที เสียงดูหอบเหนื่อยเหมือนคนพึ่งผ่านการวิ่งมา
“เอ่อ ปะ ปัน”
พี่กัสดูงุนงง อย่าว่าแต่พี่กัสเลย ผมก็ยังงง ว่าไอ้ปันมันเป็นอะไรของมัน สายตามันเบือนมามองที่ผม ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองมีแว่บนึงที่มัน
แข็งกร้าว...
แค่แว่บเดียวเท่านั้น ก่อนจะเป็นปกติ..
“พี่ใจเย็นก็ได้ ผมเจอพี่กัสที่แถวสวน เลยชวนไปกินข้าวเฉยๆ”
ผมบอกมันไป พี่กัสยังนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆ ปันมันยังหอบเหนื่อย มันยังกำประตูไว้แน่น
ไอ้พี่กัสมันก็ทำอะไรไม่ถูก ดูกลัวๆลนลานไปหมด
“มีอะไรก็ไปคุยกันข้างในไปพี่”
ผมปลดเบลท์ออก และปลดให้คนข้างตัว พี่กัสสะดุ้งนิดๆ ไอ้ปันเหมือนสติเริ่มจะกลับมา มันคลายมือที่ค้างอยู่ที่ประตูออก มือหนาลูบหน้าไปมา ผมไม่เคยเจอไอ้ปันเวอชั่นนี้เลยวะ มันเป็นคนใจเย็น เรื่องอะไรก็ตามมันมักจะครองสติได้ดีอยู่เสมอ
“ปันเป็นอะไรหรือเปล่า”
เมื่อลงจากรถกันได้เรียบร้อย พี่กัสก็ปรี่เข้าไปหาไอ้ปัน เพราะไอ้ปันมันไม่ปกติแบบนี้หรือเปล่าวะ พี่กัสถึงออกไปตามหามัน
“เปล่า..วันนี้กูเหนื่อยแล้ววะ ไว้ติวต่อวันหลังนะ”
“เฮ้ย..ปันเดี๋ยวก่อน เป็นอะไร น้อยใจใช่ไหมที่กูไม่สนใจเรื่องติว ขอโทษจริงๆ ต่อไปนี้จะสนใจให้มากขึ้น ปันอย่าโกรธเลยนะ”
ผมยืนมองสองคนนั้นคุยกันไปมา เหมือนตัวเองไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนี้ แค่ยืนพิงรถอยู่เงียบๆ พยายามจับใจความว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พี่กัสเกาะแขนไอ้ปันอยู่ ช้อนสายตาขึ้นมองคล้ายเหมือนจะอ้อนให้หายโกรธ
ถ้าเป็นพวกไอ้ตูนมาทำอะไรแบบนี้ใส่ผมคงอ๊วกแตก แต่พอมาเป็นไอ้พี่กัสมันดู...ยังไงดีละ
ใครเจอแบบนี้เข้าไปโกรธพี่มันลงก็โครตที่จะเก่งเลยละ
“นะ...ปัน..นะ...จะไม่สนใจ เอ่ออ อย่างอื่น ระหว่างปันสอนแล้วนะ”
พี่กัสยังพูดไปเรื่อย ทั้งๆที่ไอ้ปันยังเงียบ ตอนนึงของประโยคคนตัวเล็กหันมามองหน้าผมแว่บนึงก่อนจะเบือนสายตากลับไป
“เฮ้อ..กูยอมแพ้ เลิกเกาะได้แล้ว โตแล้วนะมึง” ไอ้ปันยิ้มออกมา ใบหน้าดูคลายความกังวลขึ้น เป็นเหมือนไอ้ปันคนเก่า พี่กัสยิ้มร่าอย่างดีใจ เข้าไปคลอเคลียไอ้ปันเข้าไปใหญ่
...ทำไมในอกมันเริ่มจะกระตุกๆวะ..
...สงสัยคิดไปเอง..
“ต่อไปจะไปไหนให้บอกกู อย่าเดินสุ่มสี่สุ่มห้า มันมืดแล้ว ต่อให้เป็นในหมู่บ้านมันก็อันตราย”
ไอ้ปันว่า ให้คนตัวเล็กพยักหน้างึกงัก
“มือถือมีก็หัดพกซะบ้าง จะได้รู้ว่าอยู่ที่ไหน”
“ทีปันยังไม่พกเลย”
“ยังจะเถียง !”
พี่กัสแก้มป่องหน้าหดเหลือสองนิ้ว เมื่อถูกไอ้ปันท้าวสะเอวสั่งสอนราวกับเป็นลูกก็ไม่ปาน ผมยืนมองภาพนั้นเงียบๆต่อไป ไม่ได้เข้าแทรกว่ามีตัวตน และ เหมือนสองคนนั้นเค้าก็อยู่ในโลกของตัวเอง คล้ายกับไม่เห็นผมด้วยเหมือนกัน
..แว่บเดียวในใจที่คิดว่า นี่พี่ชอบผมจริงหรือเปล่าวะ...
ภาพคนตัวเล็กที่เดี๋ยวก็ยิ้มร่า เดี๋ยวก็หน้าเสีย เดี๋ยวก็หัวเราะ
กับพี่ชายแท้ๆ ที่เดี๋ยวก็ตีหน้าเข้ม เดี๋ยวก็ยิ้มเมื่อถูกอ้อนเข้าให้ ทำไมเหมาะสมกันจังวะ?
พี่กัสเป็นตัวของตัวเองมากๆเมื่ออยู่กับไอ้ปัน...ไม่ใช่ผม? ทั้งๆที่พี่ชอบผมเนี่ยนะ
มันทำให้รู้สึกแบบ..สูญเสียความมั่นใจวะ
ในหัวอยากจะสะบัดไล่ความคิดพวกนี้ออกไป ถ้าถามว่าผมชอบพี่กัสหรอ ผมขอตอบว่ายังลังเล ผมไม่เคยชอบผู้ชาย ไม่เคยแม้แต่จะคิด แต่กับพี่กัส ผมขอยกเว้นไว้ เวลาอยู่กับพี่แกแล้วไม่เหมือนคนอื่น ความเป็นธรรมชาติของเค้า ทำให้ผมไม่อึดอัด ไม่ต้องปั้นแต่ง ได้เห็นใบหน้าขาวเวลาถูกผมแกล้ง มันดูน่าเอ็นดูกว่าใครคนอื่นเป็นไหนๆ เปรียบคล้ายกับสิ่งที่ไม่เคยลิ้มลอง พอมาอยู่ใกล้ๆมันยิ่งเร้าให้อยากจะจับต้องว่าของเล่นใหม่สิ่งนั้นมันจะน่าตื่นเต้นขนาดไหน
“ขอบคุณนะเว้ย ที่พามันกลับมาส่ง”
ไม่รู้ว่าผมหลุดอยู่ในภวังค์นานแค่ไหน สองคนนั้นคงปรับความเข้าใจกันเสร็จแล้ว ไอ้ปันถึงได้หันหน้ามาคุยกับผม
“ไม่เป็นไร ผมผิดเองพาเพื่อนพี่ไปเถลไถล”
ผมยืนพิงประตูตอบ ในหัวยังมีความรู้สึกหลายๆอย่างวิ่งวนไปมา สับสนกระสับกระส่าย อารมณ์ไม่คงที่และไม่แน่นอน
“มึงเข้าบ้านไปเถอะ เดี๋ยวกูพาไอ้กัสไปส่งที่หอก่อน”
“ผมไปให้เอง”
ไม่รู้อะไรดลใจให้พูดไปแบบนั้น ไอ้พี่กัสสะดุ้ง เหลือบตามามองผม ปันขมวดคิ้วเป็นปม เราจ้องตากันสักพักเหมือนจะสื่อสารอะไรกันบางอย่าง โดยที่ผมก็ไม่เข้าใจ
ผมไม่รอให้ใครตอบรับอะไร มือก็ฉุดพี่กัสให้กลับมายืนเคียงข้างรถตัวเอง นี่ก็ใจง่ายชะมัด ใครจะลากไป ลากมาไม่มีขัดขืนสักนิด
“ผมส่งเพื่อนพี่ถึงที่แน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง”
พูดจบก็เปิดประตูยัดคนตัวเล็กเข้าไป ไม่ถามไถ่ความสมัครใจหรอกครับ พี่มันชอบผม รู้ๆกันอยู่ อะไรมันก็คงยอมทั้งนั้นแหละมั้ง
“อืม” ปันมันมองอยู่สักพักก่อนจะตอบสั้นๆ และเดินเข้าบ้านไป
ผมจึงเดินข้ามมาอีกฝั่งเพื่อเปิดประตูรถเข้าไปประจันหน้ากับคนที่นั่งคอยอยู่แล้วข้างใน
เข้ามาปุ้ปเจ้าตัวก็เอ่ยปากพูดทันที
“จะ จริงๆน้องปอนด์ไม่ต้องลำบากก็ได้ เพิ่งกลับมาจากมหาลัยไม่ใช่หรอ พี่ว่าน้องปอนด์จะเหนื่อยเปล่-”
“พี่ชอบผมใช่ไหม”
ผมหันไปถามเค้า ในหัวคิดอะไรไม่รู้ แต่อยากรู้คำตอบให้แน่ชัด ที่ผ่านมาพี่กัสไม่เคยจะพูดออกมา นอกจากแสดงท่าทีที่ทำให้ผมคิดไปเองเสมอ เหมือนจะแสดงออกว่าชอบผมแต่บางทีก็ปล่อยปละละเลยไม่สนใจกัน คนที่มีความมั่นใจมาตลอดอย่างผมรู้สึกเหมือนเสียความควบคุมอย่างสิ้นเชิง
พี่กัสอ้าปากค้าง คงช๊อคที่โดนถามตรงๆแบบนี้
“ว่าไงชอบหรือเปล่า”
“พะ พี่..” ใบหน้าขาวเปลื่ยนสีไปแล้ว หันรีหันขวาง จนต้องเอื้อมมือจับใบหน้าให้หันมามองกัน
“ถ้าพี่ชอบผม ผมจะยอมให้พี่จีบ” TBC..กลับมาแล้วววววววววววว เก๊าออกจากโรงบาลแล้ว เบื่อมากเลยโรงบาลไม่มีเน็ตให้อัพนิยายเลย 
ได้แต่แต่งตุนไว้ กลับมามาลงปั่นทั้งที่ยังเดี้ยงๆ วันนี้อัพให้สองตอนเลยนะคะ ตุนไว้มีเท่าไหร่เอาให้หมด
เพราะให้รอนานมากกก
ตอนนี้พาร์ทปอนด์ จะดูเจาะลึกไปในความรู้สึกของฮีหน่อย ว่าฮีคิดอะไรอยู่กันแน่ แล้วจริงๆคือฮีจะเปลื่ยนใจง่ายๆมาชอบผู้ชายหรอ มันต้องไม่ง่ายสิ ดูชื่อเรื่องเรา เปลื่ยนแมนๆเชียวนะ ใครอ่านแล้วคิดว่าง่ายต้องรอชมไปเรื่อยๆค่ะ
เรื่องนี้มาม่ามี แต่ไม่หนักนะคะ เน้นใสๆวัยกรุ้งกริ้ง
ขอบพระคุณที่ยังติดตามนะคะ ขอคอมเม้นเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยนะ ขานี่ยังใส่เฝือกอยู่เลย TT'
ีรักคนอ่านนนน
