ตอนที่ 39
หลังจากวันนั้นโมเม้นแบบนี้ไม่เคยเกิดกับผมอีกเลยครับ ทุกวันนี้เข้าถึงชีวิตวัยรุ่นท้องในวัยเรียนแล้วยังกำลังสอบไฟนอลได้โคตรจะท่องแท้ เลี้ยงตอนต้นจนหัวหมุน แล้วยังต้องแบ่งเวลาหลังจากที่ทุกคนเข้านอนหมดแล้วมาอ่านหนังสือสอบ เวลานอนถดถอย ใต้ตาก็เริ่มถามหา บางทีหนวดเคราก็ไม่มีเวลาจะโกน ปล่อยเซอร์ถือว่าเป็นฮิปเตอร์ไปช่วงนี้
“ฮ้าววว” ผมหาวปากกว้าง อยากจะฟุบหลับให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดที่ว่าครั้งนี้เป็นคาบเรียนสุดท้าย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเนื้อหาของการสรุปการเรียน เผื่อบางทีอาจารย์ใจดีหน่อยก็บอกแนวข้อสอบ ถ้าหลับไปก็จะพลาดทันที เลคเชอร์ของผมก็ไม่ดีเดอะไร แต่ก็รู้สึกสบายใจมากกว่าถ้าฟังเองจดเอง
“มึงจะหาวก็ช่วยให้เกียรติอาจารย์หน่อยเถอะ แล้วยังเสือกมานั่งหน้าอีก” ไอ้ธันเพื่อนมหา’ลัยที่สนิทที่สุดพูดเอ็ดแต่ตัวเองก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์แชทหาสาวชมรมการแสดงที่ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้วเรียบร้อย
“นอนก็ไม่ได้นอน แค่หาวก็ให้กูเถอะ” ว่าแล้วผมก็หาวอีกรอบแต่คราวนี้ให้เกียรติเพิ่มเติมโดยการปิดปากด้วย
“ทำอะไรอยู่วะ? เล่นเกม? คุยกับสาว?”
“อ่านหนังสือเหอะ เห็นกูอย่างนี้ก็เป็นคนหวัง ‘ดี’ อยู่” ผมหัวเราะ ถึงวันนี้ความง่วงจะถาโถมเข้ามาเป็นพิเศษเนื่องจากเลี้ยงตอนต้นมาอาทิตย์นิดๆ แต่รู้สึกสบายตัวกว่าเยอะครับ วันพุธผมมีเรียนก็เลยไม่ต้องมาทำหน้าที่นักศึกษาปล่อยให้คนเป็นพ่อเขากระเตงลูกไปทำงานด้วยไป
“ไม่อยากเชื่อ” ไอ้ธันทำเสียงเหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์ แต่ผมก็เพียงแค่ยักไหล่กวนๆ ตอบกลับไป พอดีกับเป็นจังหวะที่อาจารย์กำลังจะบอกแนวข้อสอบผมกับไอ้ธันก็เป็นอันแยกย้ายกันไป
“แนวก็มีเท่านี้นะครับ ตั้งใจอ่านกันมาให้ดีๆ ผมไม่อยากจะเจอพวกคุณอีกในเทอมหน้า” อาจารย์วันกลางคนพูดด้วยท่าทางอารมณ์ดี “วันนี้ก็จบเพียงเท่านี้ครับ กับไฟนอลก็พยายามเข้านะครับ ขอบคุณครับ” อาจารย์โค้งให้เล็กน้อยก่อนที่คนในคราส ผมแล้วก็ไอ้ธันจะพูดขอบคุณขึ้นพร้อมกัน มีการให้ของเล็กๆ น้อยๆ อย่างแบรน์รังนกจากประธานรุ่นเป็นการขอบคุณที่สอนพวกผมกันมาทั้งเทอม แม้จะหลับกันทั้งห้องตั้งแต่ชั่วโมงแรกก็ยังไม่ย่อท้อต่อการพูดให้ซึมเข้ามาในฝันของพวกเราทุกคน
หลังจากที่อาจารย์เดินออกไปแล้ว ต่างก็เก็บข้าวของเสียงดังพรึ่บพรั่บๆ ไปทั่วห้องพร้อมกับเสียงดังเซ็งแซ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นไอ้ธันที่ชวนผมไปห้างฯ เพราะว่าคราสจบวันนี้อาจารย์ปล่อยเร็วกว่ากำหนดเกือบสองชั่วโมง
“หนังใหม่พึ่งเข้าโรงพอดีด้วยนะมึง!”
“ใครไปบ้าง กูกับมึง?”
“มีแฟนกูไปด้วย”
“แล้วมึงจะพากูไปเป็นก้างเพื่อ?” ผมยกเป้ขึ้นมาสะพายก่อนจะเดินออกจากห้องโดยมีไอ้ธันเดินตามๆ กันมา
“เอ้า คือกูก็ไม่อยากให้มึงน้อยใจแบบมีแฟนแล้วทิ้งเพื่อนอะไรแบบนั้นไง”
“กูไม่คิดมากหรอกเรื่องนั้นอะ มึงไปอยู่กับแฟนมึงให้เต็มที่เถอะ กูรู้ว่าต่อให้กูไปด้วยมึงก็สวีทกับแฟนมึงมากกว่า”
“นี่งอนใช่ไหมเนี่ย”
“งอน พ่อง” ผมด่ามันไปที “เอาเป็นว่า กูไม่ไปต่อให้มึงจะสนใจกูมากกว่าแฟนมึง มีธุระแล้ว”
“โหย ธุระอะไรของมึงวะ? มึงอ้างกับกูแบบนี้มาสองครั้งและ กูอุตสาห์ตั้งใจว่าจะเที่ยวให้เต็มแม็กก่อนที่กูจะต้องไปตายกับกองหนังสือ” ไอ้ธันเริ่มโอดครวญ แต่ก็จริงอย่างที่มันว่าอาทิตย์ที่แล้ววันไหนที่มีเรียนแม่งก็ชวนผมไปเที่ยวตลอด แต่ผมไม่ไปครับ หยิ่ง ฮ่าๆ ไม่หรอก จริงๆ คือผมรีบไปหาพี่ตุลย์อะ ไปช่วยดูตอนต้นที่พี่เขาต้องกระเตงไปทำงานด้วยอะ
“เออหน่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูว่างเมื่อไหร่จะชวนมึงเองโอเคไหม?” ผมบอกปัดๆ ไป
“หรือจะมีเมียแล้วไม่บอกกูวะ” มันหรี่ตามอง แต่ผมก็ไม่ตอบอะไร จนมันต้องถามจิกๆ จนออกมาถึงหน้าคณะ
“นี่เป็นเมียกูอะไรหรือเปล่า? หรือแอบชอบกูอยู่? สนใจกูจังเลย ป่านนี้แฟนมึงน้อยใจตายห่า แยกย้ายๆ มึงไปดูหนัง กูไปธุระของกู เคไหม? หรือต้องให้แจกนิ้วกลางก่อน”
“เฮ้ยๆ กูรักเดียวใจเดียวเว้ย ถามนิดถามหน่อยมาทำ...”
Rrrrrrrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ ผมเห็นไอ้ธันหยิบขึ้นมาดูชื่อคนโทรเล็กน้อยก่อนจะเริ่มออกอาการลุกลี้ลุกลนประมาณว่าอยากไปหาอีกคน แต่ผมเสือกยื้อเอาไว้อะไรประมาณนั้น
“เมียโทรตาม?”
“ก็เอออะดิ”
“แล้วมึงจะยืนหมุนเป็นหมามึนอยู่เพื่อ? ก็ไปสิวะสัสนี่ก็” ไอ้ธันมองหน้าเหมือนอยากบอกความนัยผ่านสายตาว่าอยากเสือกต่อ แต่เมื่อเมียโทรตามจะช้าก็ไม่ได้ สุดท้ายมันเลยบอกลาผมแบบลวกๆ ก่อนจะรีบวิ่งไปหากวางน้อยตามนิสัยพ่อบ้านใจกล้าไป ส่วนผมก็เดินต่อไปยังป้ายรถเมล์ไปยังที่ทำงานของพี่ตุลย์เป็นสถานีต่อไป
วันพุธผมมีเรียนก็จริง แต่ผมมีเรียนแค่ช่วงเช้าครับ ช่วงบ่ายก็ว่างแผนเดิมคือมารับตอนต้นไปดูแลต่อตั้งแต่บ่ายเป็นต้นไป แต่พอเอาเข้าจริงพี่ตุลย์เขาบอกว่าเดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงเขาก็เลิกงานแล้ว เลยกลายเป็นว่า แค่ให้ผมดูตอนต้นอยู่ที่ทำงานเขาเนี่ยแหละจะพาไปที่ไหนก็ไป แต่อย่าสร้างความเดือดร้อนแล้วก็กลับบ้านพร้อมกัน ถือว่าเป็นการประหยัดเงินค่ารถของผมไปด้วย
แต่ผมก็ไม่รู้นะ...อาทิตย์ที่แล้วเป็นอย่างนั้น แต่วันนี้อาจารย์ปล่อยเร็วกว่าเดิมเกือบสองชั่วโมงตอนนี้เพิ่งจะเกือบสิบโมงครึ่งเท่านั้นเองพี่ตุลย์อาจจะให้ผมเอาตอนต้นกลับไปเลี้ยงที่คอนโดฯ ก็ได้
...บอกตรงว่ายังไม่อยากเลี้ยงอ่ะ ฮ่าๆ ให้ผมพักบ้างเถ๊อะ นี่เหนื่อยจนน้ำตาจะไหล
ว่าแล้วผมที่ยืนหยุดนิ่งลังเลที่จะตรงไปยังตึกสำนักพิมพ์ก็เปลี่ยนใจเลี้ยวเข้าซอยทางซ้ายมือหาร้านข้าวกินไปด้วยแล้วก็ถือว่านั่งยาวแล้วบ่ายโมงค่อยเข้าสำนักพิมพ์แล้วกัน
ผมเดินเข้าไปในซอยได้ไม่เท่าไหร่ ก็เจอร้านกาแฟที่ดูท่าทางสบายๆ อยู่ร้านนึง แม้กระจกใสที่ถูกใช้เป็นกำแพงนั้นจะถูกเขียนโปรโมชั่นไว้ขนาดใหญ่แต่ก็ยังทำให้ร้านดูโปร่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ...แต่จะว่าไปเหมือนคุ้นๆ ว่าพี่ตุลย์บอกว่าพี่ทอฟ้ามีร้านกาแฟอยู่ใกล้ๆ สำนักพิมพ์...หรือว่านี่จะเป็นร้านพี่ทอฟ้าวะ?
คือถ้าเป็นร้านของพี่ทอฟ้า...ก็ดีอะดิ! เผื่อผมจะได้ส่วนลดไม่ต้องเสียเงินเยอะ อิอิ
ไม่ต้องคิดให้มากความผมเดินเข้าไปในร้านแล้วถามพนักงานที่ใกล้ตัวที่สุด พอได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นร้านของพี่ทอฟ้าแน่นอนผมก็ตัดสินใจที่จะเข้ามานั่งร้านนี้ (เพราะอาจจะได้ส่วนลดหรือฟรี) แต่...เพราะว่าข้างในเต็มซะแล้วผมเลยต้องระเห็จมานั่งข้างนอกอย่างช่วยไม่ได้
“อากาศก็เย็นสบายอยู่ ช่างแม่ง” ผมพูดกับตัวเอง เลือกนั่งหันหน้าเข้าหาร้าน เผื่อพี่ทอฟ้าจะได้เห็นว่าผมมาใช้บริการหรือไม่ก็ถ้าผมเห็นจะได้รีบปรี่เข้าทักได้ทันท่วงที
“นี่เมนูค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ผมส่งยิ้มก่อนก้มหน้าดูรายการเมนู โชคดีแหะที่นี่ขายข้าวด้วยถึงราคาจะแพงกว่าพวกร้านอาหารตามสั่งอยู่หน่อยๆ ก็เถอะ “ผมขอโกโก้เย็นกับข้าวหน้าไก่เทอริยากิครับ”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” พี่พนักงานจดยิกๆ รับเมนูคืนจากผมก่อนจะหายเข้าไปในร้าน เหลือผมลูกค้าจนๆ นั่งโด่เด่คนเดียวอยู่ข้างนอกไป
อากาศเย็นดีแหะ...แต่สำหรับสิบโมงครึ่งนี่แดดแม่งไม่แรงไปหน่อยหรอวะ
ในขณะที่ผมกำลังละเลียดกินซึมซาบความยากลำบากของชาวนา ผมก็ได้ยินเสียงทุ้มๆ ของเครื่องรถยนต์ดังเข้ามาใกล้จนจอดสนิททางด้านหลังในที่สุด ผมไม่ได้สนใจกับรถปริศนาที่ผมกำลังหันหลังให้ไปมากกว่าอาหารตรงหน้า แต่พอได้ยินเสียงของพี่ทอฟ้าที่มากับรถคันนั้นก็ทำให้ผมตื่นตัว
“ขอบคุณนะคะพี่วี ขนาดกำลังยุ่งก็ยังพาฟ้ามาส่ง” ผมเอี้ยวตัวหันไปตามเสียงตั้งท่าจะลุกเดินเข้าไปหา แต่ก็ต้องหยุดชะงักตามมารยาทพอเห็นว่าพี่ทอฟ้ากำลังคุยกับผู้ชายในชุดภูมิฐานที่กำลังเท้าแขนกับหลังคารถคนหนึ่ง
“ไม่เป็นไร ภรรยาทั้งคนทำไมจะมาส่งไม่ได้”
อา...ผมก็พอรู้อยู่ว่าพี่ทอฟ้าแต่งงานแล้ว คนนี้สินะสามี
ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังเขาคุยกันนะครับ แต่หูผมมันได้ยินเองอะ! อาจเพราะว่าส่วนด้านนอกมีผมเป็นลูกค้านั่งอยู่คนเดียวก็เลยไม่มีเสียงคนอื่นมากลบมันละมั้ง
“แต่วันนี้พี่คงมารับฟ้าไม่ได้พี่มีงาน แต่ถ้าฟ้าอยากกลับพร้อมกันพี่ก็จะพยายามรีบมาให้เร็วที่สุด แต่มันกอาจจะเลทมาก จะรอไหม?”
“แล้วแต่พี่วีเลยค่ะ ถ้าจะมารับฟ้าก็จะรอ ถ้าไม่ว่างจริงๆ เดี๋ยวฟ้ากลับเองก็ได้”
สิ้นคำพูดของพี่ทอฟ้าผมเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูหงุดหงิดเล็กน้อย “พี่ไม่ให้ฟ้ากลับเองหรอกนะ” เสียงนั่นดูห้วนจนผมเผลอคิ้วกระตุก “ยิ่งวันนี้พี่ต้องกลับดึกด้วยแล้ว โอกาสดีที่ฟ้าจะไปหามันเลยละ”
หาใคร...?
“ฟ้าไม่ไปหรอกค่ะไม่ต้องห่วง ก็พี่เป็นคนบอกฟ้าเองว่าไม่อยากให้ไปหาลูก ฟ้าก็จะไม่ไปค่ะ” พี่ทอฟ้าเอื้อมไปจับมือของคนที่ชื่อ ‘วี’ สามีที่ทำหน้าเครียดอยู่อีกฝั่งของตัวรถ พอได้ยินคำรับปากจากภรรยาใบหน้านั่นก็ดูชื้นขึ้นมาบ้าง
ตรงข้ามกับผม...
นี่มัน...อะไรกัน? ไม่ไปหาลูก...เพราะผู้ชายขอไว้? อะไรวะ!
“โอเค ถ้างั้นถ้าฟ้าไม่อยากรอพี่จะกลับก่อนเลยก็ไม่เป็นไร อย่าไปหามันก็แล้วกัน ตอนนี้ครอบครัวของฟ้าคือตรงนี้ กับพี่”
“ฟ้ารู้แล้วหน่า พี่ย้ำมากจนอยากจะขัดขืนซะแล้วสิ”
“ฟ้า” พี่ทอฟ้าหัวเราะเสียงเล็กหลังจากได้ยินเสียงเอ็ดของอีกฝ่าย
“ถ้าพี่ไม่อยากให้ฟ้าไปหาลูก เสาร์นี้เตรียมเงินไว้ให้พร้อมด้วยนะคะ เพราะฟ้ารู้สึกว่าในตู้เสื้อผ้าฟ้าเริ่มไม่มีอะไรใส่ซะแล้ว~”
!!
ผมได้ยินเสียงส้นรองเท้าแหลมดังเป็นจังหวะขณะก้าวขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นหน้าร้านและก่อนที่จะถึงประตู เขาก็ต้องหยุดชะงักกับขาที่ผมจงใจยื่นเหยียดออกไปขวางทางแต่พอเห็นว่เจ้าของขาเป็นผมเอง สีหน้าที่ทำท่าจะเอาเรื่องก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานอย่างที่ผมชอบ
อ่า...ไม่สิ ถ้าตอนนี้ผมไม่ได้กำลังรู้สึกโกรธขนาดนี้ รอยยิ้มนั้นก็เป็นรอยยิ้มที่ผมชอบไป
“อ้าว เอส! บังเอิญจังเลย มาอยู่ที่ร้านพี่ได้ไงเนี่ย?”
“...สวัสดีครับ พอดีมาหาพี่ตุลย์น่ะครับ” ผมเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะยกยิ้มขึ้นให้ไปในที่สุด
ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากถามเข้ามากเลย สรุปที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าพ่อแม่รักลูกที่สุด...นี่ผิดใช่ไหม?
“ไม่แน่หรอก! ตอนนั้นที่แม่หายไป พ่อก็มาบอกว่าแม่แค่จะไม่มาหาสักพักเหมือนกันนี่! ก็มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว มันผิดตรงไหนที่ที่หนึ่งจะคิดมากอะ!”
“คราวนี้มันจะไม่เป็นอย่างนั้น เชื่อสิ แม่ของที่หนึ่งจะต้องรีบทำงานให้เสร็จ ตรงกลับมาหาที่หนึ่งไม่หนีหายไปไหน” ผมโคตรจะผิดหวังในตัวเขาเลย...แต่โกรธตัวเองมากกว่าที่บอกที่หนึ่งแบบนั้น
โกรธตัวเองที่ ‘เชื่อว่า’ จะเป็นแบบนั้น
เรานั่งคุยกันไปตามภาษาเสมือนว่าสิ่งที่เขาตกลงกับสามีก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ไม่เห็น แม้ในใจคุกกรุ่นแต่ความไม่มีสิทธิก็ทำให้ผมทำได้เพียงแค่ยกโกโก้เย็นขึ้นดื่มเพื่อดับมัน รู้สึกเจ็บใจนักกับการต้องมารู้ว่าที่ผู้หญิงคนนี้ไม่ไปหาลูกเพราะอะไร!
“อะ โทษทีนะคุยเพลินเลย แต่พี่ต้องเข้าร้านไปทำงานแล้วละ นี่ก็เลทมากแล้วไม่รู้พวกพนักงานทำร้านพี่พังหรือยัง” พี่ทอฟ้าพูดขึ้นขณะที่กำลังลุกยืน ผมกับเขาจบการสนทนากันอย่างสั้นๆ แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะก้าวตรงไปยังประตู ผมกลับคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ในวินาทีสุดท้าย
“...ตอนนี้ป้าสร้อยข้อเท้าพลิกทำให้ไม่มีใครดูแลตอนต้นตอนนี้ครับ”
“เอ๋! แล้วตอนนี้ตอนต้นอยู่ไหน! ทำไมพี่ตุลย์ไม่เห็นโทรบอกอะไรพี่เลย!”
“ตอนนี้พี่ตุลย์ดูแลตอนต้นอยู่ครับ ก็ต้องพามาทำงานด้วย วันนี้ผมช่วยเลี้ยงไม่ได้เพราะว่ามีเรียนน่ะครับ”
“หมายความว่า ตอนนี้ถ้าเอสไม่มีเรียนก็เลี้ยงน้องแทนป้าสร้อยอยู่หรอ?”
“ประมาณนั้นครับ”
“อ๋อ...ถ้างั้นก็แล้วไป พี่ก็ตกใจหมด ถ้าตอนต้นมีคนดูแลอยู่พี่ก็หมดห่วง” พี่ทอฟ้ายิ้มเหมือนเรื่องที่ผมเล่าเมื่อครู่ไม่ได้มีปัญหาอะไรนักหนา ทั้งๆ ที่ผมคิดว่า ในความคิดของคนเป็นแม่นี่ควรจะเป็นปัญหา! ในเมื่อคนที่เลี้ยงเด็กได้ ดูแลตอนต้นมาตลอดขาเจ็บ ตอนต้นต้องอยู่ในความดูแลของพี่ตุลย์ที่ต้องทำงานไปด้วย บางทีก็เป็นผมที่ต้องเลี้ยงเขา ซึ่งแล้วพี่ทอฟ้ามั่นใจได้ยังไงว่าผมเลี้ยงลูกเขาได้! เอาอะไรมามั่นใจว่าผมจะไม่ทำอะไรให้มันเกิดขึ้น ตอนต้นเพิ่งอายุขวบเดียวเท่านั้นเอง เด็กเกินไปที่จะเอาคนสุ่มสี่สุ่มหกมาเลี้ยงด้วยซ้ำ จะบอกว่า ก็ไว้ใจไง แต่มันใช่แล้วหรอกับความนึกห่วงใยของคนที่เป็นแม่คน!
“...จะไม่มาเลี้ยงตอนต้นหน่อยหรอครับ”
“คงไม่ได้หรอก” พี่ทอฟ้ายิ้มแห้งๆ “พี่เองก็ต้องทำงานเหมือนกันจะไปอยู่เลี้ยงเด็กเล็กแบบนั้นพี่ก็ทำไม่ได้ พี่คงต้องฝากเอสนั่นแหละ อีกอย่างพี่ตุลย์ก็คงเลี้ยงได้ ถ้าไม่ไหวก็จ้างพี่เลี้ยงเอาก็ได้”
“...” ผมกำหมัดแน่น มองเข้าในแววตาของอีกฝ่าย
มันจะไม่มีเลยหรอ สิ่งที่เรียกว่า จิตสำนึกน่ะ
“พี่ต้องไปทำงานแล้วนะ เอสจะจับพี่ไปถึงไหนกันครับ” พี่ทอฟ้ายังคงยิ้มราวกับว่าไม่ได้รู้สึก ไม่ได้เอะใจในความคิดหรือคำพูดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าแค่ไปเยี่ยมละครับ?”
“ช่วงนี้คงไม่ได้หรอก พี่ยุ่งจริงๆ ถ้าพี่ว่าง...”
“พี่รู้ไหมครับ ที่หนึ่งอยากเจอพี่มากเลยนะ ตั้งตารอพี่ทุกวัน” ผมปล่อยมือที่จับข้อมือเขาออกก่อนจะหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นพาดไหล่
“เอาเป็นว่าถ้าเห็นลูกดีกว่าผู้ชายเมื่อไหร่ ก็รีบมาหาที่หนึ่งแล้วกันนะครับ ก่อนที่เขาโตจนไม่อยากจะเห็นหน้าแล้ว” “!!”
ผมมองหน้าของอีกฝ่ายที่ดูตกใจไม่น้อยกับพูดไม่ไหวหน้าก่อนจะทิ้งเขาไว้แล้วเดินเข้าร้านไปจ่ายเงิน
ตอนนี้ผมเหมือนผู้ชายปากหมาแล้วก็คงเป็นหน้าตัวเมียขึ้นทุกที ก่อนหน้านี้ก็พี่พลอยไพลิน วันนี้ผมก็ยังทำกับพี่ทอฟ้าอีก แต่ถ้าได้เห็นหน้าเด็กนั่นตอนนั้น เวลาที่พี่ตุลย์กลับห้องมาโดยที่ไม่มีแม่ของเขามาด้วยก็คงจะทำไม่ต่างกันหรอก เด็กนั่นน่ะ!...ที่หนึ่งน่ะรอแม่เขามากเลยนะครับ…
หมับ
ผมหันมองพี่ทอฟ้าที่เข้ามาคว้าแขนผมเอาไว้ขณะที่กำลังจะเดินออกจากร้าน
“เอสกำลังว่าพี่ไม่รักลูกงั้นหรอ?” น้ำเสียงเข่นเขี้ยวด้วยความหงุดหงิด ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนอีกฝ่ายเผลอผงะออก
“แล้วมันไม่ใช่หรอครับ?”
“ชีวิตคนเรามันมีอะไรมากมาย ผู้ชายที่เอสบอกว่าเห็นว่าสำคัญกว่าลูกนั่นก็สามีพี่ เขาก็สำคัญกับพี่พอๆ กับลูกนั่นแหละ แล้วในเวลาที่เขาต้องการความมั่นใจให้ครอบครัวของเรา แล้วพี่ก็ให้เขามันผิดอะไรตรงไหน ตรงไหนหรอที่มันแปลว่าพี่ไม่รักลูก!”
“ตรงที่ในเวลาเดียวกัน ลูกที่พี่บอกว่าก็สำคัญเขาก็เรียงร้องอยากเจอพี่ไงครับ” ผมกดมือเขาออกจากแขน “พี่บอกว่าอะไรนะ สำคัญพอๆ กัน? แต่ในเวลาที่เขาเรียกร้องพร้อมๆ กันพี่กลับทำให้สามีมากกว่าลูกในใส่ของตัวเอง นี่หรอครับที่บอกว่าสำคัญพอๆ กัน”
“...”
ผมถอนหายใจ “จริงๆ ผมอาจจะผิดเองก็ได้ ที่เข้าใจมาตลอดว่าสำหรับคนเป็นพ่อคนเป็นแม่แล้ว ‘ลูก’ น่ะ เป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง ไม่ได้เทียบเท่าหรือรั้งท้ายใคร...รีบไปทำงานไม่ใช่หรอครับ? ผมเองก็ต้องรีบไปแล้วเหมือนกัน”
พี่ทอฟ้าเงียบไม่ตอบอะไรนอกจากค่อยๆ ปล่อยมือออกแล้วเป็นฝ่ายที่เดินผละออกไปก่อน ผมมองตามหลังจนเขาหายเข้าไปในห้องเฉพาะพนักงานผมถึงค่อยเดินออกมาจากร้านกระชับกระเป๋าเป้เมื่อคิดว่าวันนี้พอเจอที่หนึ่งผมควรทำยังไงดี ควรจะบอกความจริงไหม หรือจะปล่อยไว้เฉยๆ
...แต่ถ้าถามในใจผมลึกๆ สุดท้ายแล้วผมอยากให้เป็นยังไง ผมก็ยังอยากให้พี่ทอฟ้าไปหาที่หนึ่งกับตอนต้นอยู่ดีไม่ว่ายังไง
ไม่ว่าตั้งใจหรือจำใจต้องมา...
รถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลตสีเทาสว่างจอดนิ่งอยู่หน้าคอนโดฯ ที่คุ้นตาร่วมสิบห้านาทีจนยามที่เฝ้าอยู่ด้านล่างเริ่มจับตาดูแต่ก็ยังคงไม่มีใครเข้ามาไปถามเจ้าของรถคันนั้น
ทอฟ้าฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยรถ นึกประหลาดใจตัวเองที่เลี้ยวเข้ามาที่นี่ไม่มีปี่มีขลุ่ยเพียงแค่นึกได้ว่าวันนี้วันอาทิตย์ซึ่งลูกชายทั้งสองของเธอน่าจะอยู่ที่นี่ แต่เธอก็ยังลังเลเกินกว่าจะก้าวลงไป แม้จะยังคงยึดมั่นในความคิดของตัวเองว่าการที่ทำให้สามีเป็นที่พอใจเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรในฐานะภรรยา และไม่ได้ทำผิดต่อลูกตรงไหนในเมื่อผู้เป็นพ่อของเด็กสองคนนั้นก็คอยอยู่ดูแล แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดของเด็กอวดดีที่กล้ามาตัดสินความรักของเธอเมื่อสี่วันก่อนก็รบกวนใจของเธอมาก มากจนเกือบจะเข้าไปคุยกับวี สามีของเธอเรื่องที่จะมาหาลูกใหม่
“จริงๆ ผมอาจจะผิดเองก็ได้ ที่เข้าใจมาตลอดว่าสำหรับคนเป็นพ่อคนเป็นแม่แล้ว ‘ลูก’ น่ะ เป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง ไม่ได้เทียบเท่าหรือรั้งท้ายใคร”
“รีบมาหาที่หนึ่งแล้วกันนะครับ ก่อนที่เขาโตจนไม่อยากจะเห็นหน้าแล้ว”
หญิงสาวเม้มปากแน่นอย่างชั่งใจก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในคอนโดฯ เดินเข้าไปในตัวอาคารผ่านหน้าเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ไปถึงที่ลิฟต์ ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจแน่วแน่ แต่...คนเราก็มักจะลังเลในวินาทีสุดท้าย
ทอฟ้ามาถึงชั้นที่ต้องการ เธอเดินออกมา แต่กลับไม่ก้าวเดินต่อไปยังห้องที่อยู่ไม่ใกล้ ความลังเลที่ยังเหนียวรั้งขาเธอไว้คือการที่ไม่อยากจะทำผิดกับพูดกับสามีของเธอ...หรือจะกลับไปคุยกับเขาดีๆ ถ้าไปคุยตอนที่อารมณ์ดีละก็เขาอาจจะอนุญาตก็ได้ ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้จะน้อยมากก็ตาม...
“เอสกำลังว่าพี่ไม่รักลูกงั้นหรอ?”
“แล้วมันไม่ใช่หรอครับ?” ไม่สิ ถ้าไปขออนุญาตก็คงจะไม่ได้แล้วเธอก็จะไม่อยากให้ใครมาว่าเธอในฐานะแม่อีก จะพิสูจน์ให้ดูว่าคนอย่างเธอไม่ใช่แม่ที่ไม่ได้เรื่อง!
“ช่างมัน แค่อย่าให้พี่วีรู้ก็จบ”
เธอสูดลมหายใจเขาจนเต็มปอด เดินตรงไปยังห้อง B8002 ด้วยหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกับเสียงของส้นรองเท้า
ก๊อกๆๆ...
เมื่อเคาะประตูออกไปแปลว่าเธอหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว
“ครับ?”
“ไงเอส”
“...ที่หนึ่ง แม่มาหาแหนะ”
TBCสุขสันต์วันปีใหม่ย้อนหลังนะคะ ปีนี้ขอให้เป็นปีที่ดีของนักอ่านทุกคน สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีความสุขและรอยยิ้มไปตลอดทั้งปี ขอบคุณทุกคนสำหรับการติดตามและสนับสนุน Daddy be lover มาตลอด ปีนี้ก็ยังต้องเจอกันต่อไป ยังไม่จบ 5555555555
(แต่ใกล้จะจบล้าวว)
สุขสันต์วันปีใหม่ แฮปปี้นิวเยียร์อีกทีค่ะ <3