ตอนที่ 37
ผลสรุปออกมาว่า ป้าสร้อยข้อเท้าพลิกจริงๆ นั่นแหละเพียงแต่ไม่ได้ถึงขั้นร้ายแรงมีเพียงอาการเส้นเอ็นฉีกขาดเล็กน้อย ไม่ถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล แต่คุณหมอบอกว่าเพราะป้าสร้อยอายุมากแล้ว ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็ลดน้อยลงไปด้วย กระดูก กล้ามเนื้อ เอ็นอะไรก็เปราะบางไม่เหมือนเก่าจึงงดการเดินทุกกรณี นอกจากได้ยามาแล้ว ก็ได้เครื่องพยุงข้อเท้ากับวีลแชร์กลับบ้านมาหนึ่งคัน
ตอนที่ฟังผมก็ทั้งโล่งใจและก็กังวลด้วย คือป้าสร้อยเขาอยู่กับสามีเขาอะครับ แก่ไม่ต่างกัน ผมก็กลัวว่าตอนที่คุณลุงเขาต้องอุ้มป้าสร้อยอะไรแบบเนี่ย จะล้มข้อเท้าพลิกไปอีกคนหรือเปล่า แต่จะให้ผมโดดเรียนไปดูแลจนหายดีก็ไม่ได้
“ลำบากเลยแหะ พี่โทรไปบอกลูกป้าเขาแล้วใช่ไหมอะ?” ผมพูดขึ้นพลางทิ้งตัวลงบนโซฟ้าหน้าทีวี
“โทรบอกไปแล้ว เขาบอกว่าเขาจะมาพรุ่งนี้”
“มาสินะ เฮ้อ ค่อยโล่งหน่อย ผมละกลัวว่าลูกแกจะไม่ว่างมาไม่ได้อะดิ”
“ฉันว่านายมาคิดเรื่องของทางเราดีกว่า”
“หื้ม?” ผมเลิกคิ้วมองพี่ตุลย์ที่กำลังยืนอุ้มตอนต้นอยู่ตรงหน้าบังทีวีผม “อะไร?”
“เนี่ย”
หะ อะไรวะ ผมไม่เห็นภาษากายประกอบคำว่า ‘เนี่ย’ ของพี่ตุลย์สักกะแอะนอกจากแขนที่กระตุกอยู่นิดเดียว
“อะไรของพี่วะ ผมดูไม่ออกอะ”
“ตอนต้น!”
“ทำไมอะ?”
“...” พี่ตุลย์ทำหน้าเซ็ง เฮ้ย อะไร! นี่งงจริงๆ ไม่อิงนิยาย พูดมาแค่ ‘ตอนต้น’ แล้วผมควรจะนึกเหี้ยอะไรออกคร๊าบบบบบ “นี่เอาสมองลืมไว้ที่โรงพยาบาลหรือเปล่า?”
“โอ้โหหห พูดงี้ก็สวยสิครับ วางตอนต้นลงเลย แล้วไปต่อยกับผมหน้าห้อง!” ผมนี่ถลกแขนเสื้อรอเลย ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้นะครับ!
“แล้วจะให้พูดยังไงละ นี่ยังคิดไม่ออกอีกหรอ” พี่ตุลย์ทำหน้าแบบเหลือเชื่อมากว่าผมคิดไม่ออก
อะไรวะ ใช้สมองแป๊บ อันดับแรกป้าสร้อยข้อเท้าพลิก เดินไม่ได้ ต้องนั่งวีลแชร์ อื้ม...แล้วก็ตอนต้น อื้ม...
“เฮ้ย! เออ แล้วตอนที่พี่ไปทำงานกับตอนที่ผมไปเรียนใครจะดูแลตอนต้นอะ!”
“ก็นั่นแหละ หมอบอกว่าสองอาทิตย์ถึงจะอนุญาตให้เดินได้ จะให้นั่งวีลแชร์เลี้ยงเด็กวัยหัดเดินก็ไม่ได้ด้วย”
“ก็ฉิบหายอะดิ เอ่อ เอางี้ โทรขอความช่วยเหลือจากแม่พี่ได้ไหมละ”
“ไม่ได้ คุยโทรศัพท์เมื่อวันก่อนก็ดูเหมือนจะยุ่งมากเหมือนที่บ้านแม่จะเกิดอะไรขึ้นสักอย่าง โทรไปเดี๋ยวนี้ก็บอกแต่ว่าเดี๋ยวโทรกลับๆ ยุ่งอยู่ตลอดเลย”
“เอ้า งั้นทำไงดีอะ พี่พลอยไพลินละ!”
“ลินกับตอนต้นเนี่ยนะ แค่นายคิดถึงผู้หญิงก็ผิดแล้ว”
เออก็จริง อีกอย่างเหมือนพี่ตุลย์กับเจ๊พลอยไพลินสาวโกงนมจะมีเรื่องอะไรกันอยู่ด้วย พูดชื่อปุ๊บ ชักสีหน้าปั๊บ เฮ้อ จะเรียกพี่ทอฟ้านางฟ้าคนสวยของผมมาก็ไม่ได้ซะด้วย
“พาไปโรงเรียนกับที่หนึ่งไหม? โรงเรียนของที่หนึ่งมีแผนกเด็กอนุบาลด้วยนะ” ที่หนึ่งกระโดดยกมือหยอยๆ แสดงความคิดเห็นของตัวเองบ้าง
“ไม่ได้หรอก ลูกจะให้น้องอยู่คนเดียวที่ฝั่งอนุบาลหรอ เขาไม่รู้จักใครเลยนะ” พี่ตุลย์อธิบายอย่างใจเย็นไม่หงุดหงิดกับการที่ยังหาทางออกไม่ได้
“ผมว่าสงสัยต้องพึ่งตัวเองแล้วแหละ ช่วงนี้ใกล้สอบไฟนอลแล้ว อาจารย์ก็ปิดครอสไปหลายวิชาแล้ว เพราะงั้นจันทร์ อังคาร แล้วก็พฤหัสผมไม่มีเรียนอยู่เลี้ยงตอนต้นได้อยู่ ส่วนวันอื่นพี่ก็เอาไปที่ทำงานด้วยแล้วผมเลิกเรียนเมื่อไหร่จะรีบไปช่วย โอเคไหม”
“...” พี่ตุลย์ถอนหายใจแรง “ก็คงต้องเป็นอย่างงั้น จริงๆ ฉันไม่อยากพาไปที่ทำงานเท่าไหร่เลย กลัวจะวุ่นวายซะเปล่าๆ ช่วงนี้ฉันงานเยอะออกนอกพื้นที่บ่อยซะด้วย”
“นั่นแหละกระเตงลูกไปเลย ให้เห็นว่าพี่มีครอบครัวต้องดูแล ชีวิตขัดสนต้องหอบลูกมาทำงานด้วย เอาให้น่าสงสาร รับรองลูกค้าพรึ่บ!”
“จะบ้าหรอ”
“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะ “แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะเพราะว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นผมจะไปอ่านกับเพื่อนก็ไม่ได้ ฉะนั้นวันจันทร์ อังคารแล้วก็พฤหัสพี่กลับมาปุ๊บ ผมจะอ่านหนังสือบ้างแล้วห้ามเข้ามากวนเด็ดขาด”
“ได้ งั้นฉันขอถามอะไรนายอย่างหนึ่ง”
“หื้ม?”
“นายเลี้ยงตอนต้นเป็นหรือเปล่า เพราะว่าตอนนี้ไม่มีป้าสร้อยมาคอยมาช่วยเป็นตัวหลักให้แล้วนะ”
“อะ”
เออว่ะ...
ฉิบหายแล้วววว! กูก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กแบบจริงจังเหมือนกันนี่หว่าา!!
“ทำหน้าแบบนี้ไม่เคยลองเลี้ยงตอนต้นแบบเต็มๆ สินะ” ผมส่ายหัว “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้วันอาทิตย์เดี๋ยวฉันจะสอนให้เอง เตรียมบอกลาวันพักผ่อนได้เลย” ยิ้มให้ด้วยนะ แล้วรอยยิ้มแม่งอย่างเหี้ยม
“อึก” ผมกลืนน้ำลายลงคอ ขอสละสิทธิเลี้ยงเด็กตอนนี้ทันไหมเนี่ย!!
ตอนแรกผมคิดว่าการฝึกของผมจะเริ่มสักเก้าโมงเช้าวันอาทิตย์ไรงี้ แต่ไม่เว๊ย ผมโดยพี่ตุลย์ปลุกตั้งแต่ตีหนึ่ง! ผมถามว่าปลุกผมขึ้นมาทำไมเนี่ย พี่ตุลย์ก็บอกว่าตอนต้นชอบตื่นมาตอนกลางคืน เมื่อก่อนตื่นมาแทบจะทุกสิบห้านาที แต่ตอนนี้เริ่มโตก็จะตื่นขึ้นมาสักสามหรือสี่ครั้งต่อคืน พี่ตุลย์ให้ผมดูว่า ตอนต้นร้องทำไม ต้องการอะไร เล่นหรือเปล่า หิว หรืออาจจะอึใส่แพมเพิสก็ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยน ให้ผมนั่งดูเวลาพี่เขาจัดการกับตอนต้นที่ร้องตอนกลางคืนยังไง
แล้วเท่านั้นแหละครับ ผมเข้าใจว่าจะปลุกมาดูรอบเดียว ไม่! ปลุกแม่งทุกรอบ พี่ตุลย์บอกว่าร้องแค่สามสี่รอบ บัท! คืนนั้นตื่นไปหกรอบครับ น้ำตาจะไหล ฮืออ ตื่นมาดูพี่ตุลย์บ้าง ให้ผมทำเองบ้าง กว่าจะได้หลับจริงๆ อีกสองชั่วโมงฟ้าแจ้ง
ณ ปัจจุบัน 6 โมงเช้า
ผมนั่งตาปรืออยู่บนพื้นข้างเตียงแล้วก็คิด...
ตอนกลางคืนผมมีพี่ตุลย์ช่วยดูแลตอนต้นปะวะ แล้วนี่...กูตื่นขึ้นหกรอบเพื่อไร!
ปึง!
“ตรงเวลาเป๊ะ 6 โมงสิบนาที” พี่ตุลย์ร้องทักหลังจากเห็นผมที่มีตอนต้นขี่คออยู่เดินหน้าตึงออกมาจากห้องนอน สภาพนี่ไม่ต้องพูดถึง ถ้าเพื่อนที่มหา’ลัยเห็นก็คงประมาณร้องทัก ‘ไฟนอลนี้มึงเอแน่นอน’
“ตอนกลางคืนพี่อยู่ช่วยผมดูตอนต้นอยู่แล้ว เมื่อคืนปลุกผมทำไมเนี่ยยย ดูตาผมดิ โคตรแย่ แล้ววันนี้ผมจะกล้าออกไปสู่หน้าใครได้!”
“วันนี้ไม่ได้ออกไปไหนหรอก อยู่เลี้ยงตอนต้นทั้งวันนั้นแหละ”
“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ!”
“รู้ไว้เถอะหน่า เผื่อในอนาคตอาจต้องใช้”
ผมคอตก ช่างมันเถอะ โวยวายหาเรื่องไปผมก็ย้อนเวลากลับไปไม่ตื่นก็ไม่ได้
ว่าแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟันพร้อมหมูชัตเตอร์ที่ยังขี่อยู่บนคอ แต่ผมกลัวว่าตอนที่ผมก้มหน้าบ้วนปาก ตอนต้นจะตกลงมาคอหัก ผมเลยจับมันใส่อ่างล้างหน้าเอาไว้ แล้วไปล้างหน้าแปรงฟันตรงฝักบัวแทน
“เอานี่ ผ้า” ผมเหลียวมองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กที่ผมลืมหยิบเข้าห้องน้ำมาด้วย ผมบอกให้รอแป๊บ ก่อนจะแปรงฟันแบบติดสปีดจนหัวแปรงแทงเหงือกพอให้ได้แผลซิบๆ
ฉิบหาย วันอะไรของกูเนี่ยย! แต่บ่นก็ไม่ได้กำลังเจ็บ ทำได้แต่รีบแปรง รีบบ้วน รีบหันไปคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า เอาผ้าพาดบ่าแล้วอุ้มหมูที่อยู่ในอ่างล้างหน้าออกไปหาพี่ตุลย์ที่ตอนนี้กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ในครัว
“ทำอะไรอยู่อะ?”
“เตรียมอาหารเช้าไง”
“อ๋อ ให้ผมช่วยอะไรไหมอะ? หรือว่าให้ผมไปปลุกที่หนึ่งไหม?”
“ไม่ต้องอะ ยังเช้าอยู่เลย สักเจ็ดโมงครึ่งค่อยไปปลุก วันหยุดก็ให้เขานอนสบายๆ” ผมพยักหน้ารับคำ ขณะที่กำลังจะพาตอนต้นไปหน้าทีวี พี่ตุลย์ก็เกี่ยวคอเสื้อรั้งผมเอาไว้เสียก่อน
“อะไร?”
“ตอนต้นกินข้าวมื้อแรกตอนหกโมงครึ่ง นายก็ต้องดูไว้สิ วิธีชงนมน่ะ”
“เอ้า ไม่ใช่ตอนที่ป้าสร้อยมาหรอ?”
“ไม่ นั่นก็ครั้งที่สอง ตอนต้นยังตัวแค่นี้ ไม่ทำอะไรมาก นอนจาก กิน นอน เล่น เวลาของเขาไม่ได้ตรงกับอย่างเราๆ เขานอนบ่อย เขาก็กินบ่อยเหมือนกัน” ผมร้องอ๋อพร้อมพยักหน้าหงึกๆ “ถ้านายชงกาแฟได้ นมเด็กก็ไม่ได้ต่างกัน แค่เปลี่ยนจากแก้วเป็นขวด ปริมาณนมที่ต้องใส่ต่อน้ำเขาก็เขียนเอาไว้ที่ข้างกระปุกอยู่แล้ว อ่านได้ใช่ไหม?”
“อ่านได้ เรียน ป.4 มาอยู่”
“ก็ตามนั้น แต่ต้องระวังเรื่องความร้อนให้ดี เด็กไม่กินนมที่ร้อนเกินไปแล้วก็เย็นเกินไป ต้องอุ่นๆ ประมาณอุณหภูมิห้องก็กำลังดี” พี่ตุลย์พลิกตัวมาพร้อมกับขวดนมที่ชงเสร็จแล้วหนึ่งขวด ไม่พูดพร่ำทำเพลงคว้ามือไปอย่างวิสาสะก่อนจะบีบนมหนึ่งหยดลงบนหลังมือของผ...!!
“โอ๊ย! ร้อน!” ผมร้องลั่น ชักมือกลับมาเป่าอย่างรวดเร็ว น้ำตาแทบจะไหล มันไม่ร้อนธรรมดานะ ร้อนมาก! ประหนึ่งอยู่ในปาร์ตี้ร้อนดังกับไฟเออร์!!
“ถ้านายรู้สึกว่าร้อน ลิ้นลูกฉันก็รับไม่ได้หรอก แต่มันก็คงต้องร้อนละนะ เพิ่งกดน้ำร้อนเมื่อกี้นี่หน่า” พี่ตุลย์หัวเราะ ดูชอบอกชอบใจไม่น้อยกับการที่ได้แกล้งผม
“ขอบคุณนะครับ ซึ้งใจมากที่ถนอมผมขนาดนี้” กัดฟันกรอดกันเลยทีเดียว แต่ไอ้พี่ตุลย์ก็ไม่สำนึกอะไรทั้งนั้นอะ หัวเราะหึหึตามสไตล์ลูกเดียว
ฟิลลิ่งอยากชูนิ้วกลางให้สักร้อยที จริงๆ แอบยกให้ในใจไปแล้วด้วย
“เอาใหม่ๆ เอามือมา”
“ไม่ เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงสองนาทีได้มั้ง น้ำมันคงจะอุ้มให้อยู่หรอก ตอนนี้มันก็ยังต้องร้อนเส้!” ผมโวยวายเสียงดัง ซ่อนมือไว้ด้านหลังไม่ให้พี่ตุลย์คว้าออกไปได้ พี่ตุลย์มองผมแบบข่มขู่ผมมากอะ ประมาณว่า จะเอามือออกมาดีๆ หรือจะเอาออกมาทั้งน้ำตา แต่ผมก็ทนไง สกิลแน่น เลเวลสูง จ้องมาจ้องกลับไม่โกง ดื้อด้วยงานเนี่ย!
“ถ้าไม่ทดสอบดูจะรู้ได้ไงว่าอุ่นขนาดไหนถึงจะพอดี”
“ผมรู้ว่าไม่ใช่ตอนนี้แน่นอนอะ” ผมส่ายหัว ยังไงๆ ก็ไม่ยอมเอามือออกไปให้ทดสอบเด็ดขาด
พี่ตุลย์ถอนหายใจใส่หน้าผมหนึ่งทีก่อนจะเอาขวดนมของตอนต้นแนบแก้ม “อุ่นแล้ว”
“...” ผมมองอย่างลังเล
“อุ่นแล้วจริงๆ ขนาดโดนแก้มยังไม่เป็นไร โดนหลังมือมันจะร้อนได้ไงละ”
“...” ผมยื่นหลังมือให้ โห นี่เพิ่งเห็นนะว่ารอยที่โดนนมลวกเมื่อกี้แม่งแดงเลย แต่ก็อย่างว่าน้ำร้อนอะ กระติกยังไม่ถอดปลั๊กด้วยซ้ำ
แหมะ
“โอ๊ย! นี่ไม่ร้อนหรอ! ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ไม่หลังมือผมบาง ก็หน้าพี่หนาเนี่ยแหละ!” ผมชักมือกลับมาลูบๆ ระบายความแสบ แต่ไอ้ที่แสบกว่าคืออะไรรู้ไหมครับ? คือพี่ตุลย์ครับ หน้านี่แบบ... “จงใจหรอ? นี่มันแสบนะ! เกิดมาจากไข่สายพันธุ์ซาดิสหรอไง ถามจริง!”
คราวนี้ผมไม่เล่นด้วยครับ ชักหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ โดนปลุกตั้งไม่รู้กี่รอบ นอนได้สองสามชั่วโมง แปรงสีฟันก็แทงเหงือก ยังมาโดนไอ้คุณพ่อโรคจิตแม่งหยดนมร้อนใส่หลังมืออีก!
แล้วก็ต้องขอบคุณผมด้วยนะครับ เพราะตอนนี้เด็กก็อยู่ แถมอีกฝ่ายยังอายุมากกว่าพยายามด่าให้ซอฟต์ได้แค่นี้แหละ นี่ถ้าเป็นเพื่อนนะ ขุดคำด่ามาตั้งแต่สมัยก่อนสุโขทัย ใช้คำด่าตั้งแต่อังกฤษจนถึงภาษาใต้แล้ว! แบบเปรตนิ!
“โกรธหรอ?”
“ไม่โกรธมั้ง ดูหน้าดิ พี่ไม่ได้โกรธเล่นๆ นะครับ พี่โกรธจริง!” อันนี้ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ผมไม่ใช่พวกโกรธแล้วเดินหนี ผมอยู่แม่งที่นี่แหละ โกรธจ้องหน้าจนกว่าจะขอโทษอะ วิถีคนจริ...
จุ๊บ
“เฮ้ย!” ผมร้องลั่นด้วยความตกใจ ชักมือตัวเองที่ไอ้พี่ตุลย์คว้าไปจูบหลังมือกลับมาแทบไม่ทัน “ทำอะไร?”
“หายแสบหรือยังไง? ขอโทษนะ”
“!” ผมอ้าปาก อยากจะโกรธให้นานกว่านี้อยู่แต่พอเห็นท่าทางรู้สึกผิดจริงๆ ก็โกรธไม่ลง
ช่วยไม่ได้ มันก็ต้องมีบ้าง
คนสองคนในชีวิตที่ยังไงก็ต้องยอมให้อยู่ดี “ก็...ไม่แสบแล้ว” แค่รู้สึกว่าตรงที่ถูกจูบมันร้อนมากกว่า
“ขอโทษทีนะ ตอนแรกก็ไม่ได้จะแกล้งหรอก ก็แค่อยากให้รู้ว่าร้อนขนาดเท่านี้ห้ามให้เด็ก แต่พอเห็นหน้าที่เหมือนอยากจะด่าแต่ด่าไม่ได้แล้วมันก็รู้สึกอยากแกล้งขึ้นมา” อารมณ์ซึ้งเมื่อกี้ผมดิ่งวูบ ส่งหน้า ‘อยากด่าแต่ด่าไม่ได้’ ออกไป สุดท้ายก็เลือกที่จะยักไหล่ แล้วก็ปล่อยๆ ให้มันผ่าน
“พอๆ เลิกเล่น นมกินได้ยัง? ตอนต้นรอจนจะเข้ามหา’ลัยได้แล้วเนี่ย”
พี่ตุลย์หยดนมลงหลังมือตัวเอง แล้วมาหยดใส่หลังมือผม ซึ่งคราวนี้มันอุ่นกำลังดี แถมเพิ่งรู้ว่ากลิ่นหอมมากจนอยากจะเอาไปนอนดูดเอง ตอนต้นก็ดูดีใจไม่น้อยที่ตัวเองจะได้กินนมสักที หลังจากที่นั่งนิ่งรออยู่บนแขนผมอย่างใจจดใจจ่อ
“ตอนที่ตอนต้นกินนม ก็จะได้พักเก็บแรง เพราะหลังจากกินเสร็จจะครื้นเครงมากๆ แต่ก็แป๊บเดียว เดี๋ยวก็จะง่วง ตื่นมาอีกทีก็เกือบเวลาเดียวกับนายตื่นประจำนั่นแหละเอส”
“แต่ยังไงเวลานี้พี่ก็ช่วยผมอยู่ดี ไม่ต้องเปลี่ยนเวลานอน อิอิ” ผมจงใจหัวเราะให้น่าหมั่นไส้ที่สุด
“ก็ไม่แน่ ฉันอาจจะปลุกให้มาช่วยดู หรือไม่ก็สลับทำหน้าที่กับฉันก็ได้”
“โอ้โนวววว” ถึงกับต้องร้องโหยหวน หนีจากโชคชะตาเลวร้ายไปหน้าทีวีพร้อมกับหมูหนึ่งตัวที่เงยหน้ากินนมสุดฤทธิ์จนแทบจะหงายหลังตกไปจากแขน “กินดีๆ สิ อะไรมันจะต้องกระดกขึ้นขนาดนั้น” ผมพูดบ่นนั่งลงบนโซฟาพลางจับท่าตอนต้นให้มานอนอยู่บนตักผมแทนแล้วใช้แขนตัวเองเป็นหมอนหนุนไม่ให้หัวเงิบลงไป
“มองหน้าตอนต้นไว้ด้วยนะ”
“หะ? มองทำไมอะ?”
“เขาว่ามันดี เหมือนประมาณช่วยเรื่องความสัมพันธ์ละมั้ง แล้วก็เป็นการพัฒนาสมอง” พี่ตุลย์ว่าพร้อมกับนั่งลงข้างๆ ผม
“ความสัมพันธ์?”
“อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ตอนที่ไปซื้อเลี้ยงเด็กก่อนหน้านู่นจำได้ไหม? ไปอ่านเจอเขาว่าเวลาให้นมลูก แม่ควรจะสบตากับลูกให้มากๆ ยิ้มให้ พูดคุย เหมือนเป็นการโยงความสัมพันธ์ ให้เขารู้สึกอ้อมแขนเราน่ะปลอดภัยอะไรแบบนั้น เมื่อก่อนฉันก็ไม่ทำ ตอนต้นกินนม ฉันก็ดูทีวี แต่พอลองทำดูมันก็ดีนะ ลองทำดู”
“ผมไม่ใช่แม่มันสักหน่อย”
“ถ้าไม่เห็นว่าตอนต้นกำลังดูดขวดนมอยู่ อุ้มท่านี้ฉันก็นึกว่าให้นมลูกชายฉันแล้ว”
“หะ ไม่ อะไร? มองยังไงเนี่ย” ผมเบือนหน้าหนี รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะ รู้สึกตัวเลยว่าหัวใจข้างในมันเต้นแรงกว่าปกติ แล้วพอก้มมองตอนต้นที่นอนดูดขวดนมอยู่ในแขนผมก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
โอ๊ย มันไม่ใช่ คือ...ยังไงดี ผมอธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูก จะปฏิเสธเพราะเลือดลูกผู้ชายก็ทำได้ไม่เต็มปาก จะเผลอคิดตามว่านี่คือลูกของตัวเองก็ไม่กล้า ความรู้สึกนี้ อื้ม...ทำตัวยากจัง
“ลองสบตาตอนต้นดู ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก ตอนนี้เขายังไร้เดียงสา นายอาจจะรู้สึกดีก็ได้กลับการมองความจริงใจใสซื่อของใครสักคน” ผมมองรอยยิ้มของพี่ตุลย์ที่มีให้กับลูกชาย ภาพลักษณ์นิ่งๆ เหมือนไม่แคร์ใครไม่เคยปรากฎขึ้นเลยยามที่เขาเล่นกับลูกของตัวเอง ไม่มีเสือยิ้มยาก ไม่มีคนที่ขี้รำคาญ มีแต่คุณพ่อที่รักลูกชายของเขามากๆ คนนึง “เอา มองตอนต้นสิ”
“...รู้แล้วหน่า” ผมพูดเสียงเบา กระแอมเรียกขวัญกำลังใจ แม้จะเขินอายแต่ก็ตัดสินใจที่จะก้มลงสบตาสีดำกลมของลูกหมูที่อยู่ในอ้อมกอด
‘ตอนนี้เขายังไร้เดียงสา นายอาจจะรู้สึกดีก็ได้’
แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนผมได้เห็นลูกแก้วสีดำแวววาว เป็นดวงตาของคนที่ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรให้ต้องระแวดระวัง คงเป็นความรู้สึกผ่อนคลายอย่างนี้ละมั้งที่พี่ตุลย์อยากให้ผมได้ดู
แต่ผมกับเขาชอบไม่เหมือนกันหรอก เพราะเหนือกว่านั้น ผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่ผมชอบ...ชอบที่มองเห็นภาพของตัวเองที่ชัดขนาดนี้อยู่ในสายตานั้น
“พ่อ ทำอะไรอยู่อะ?” ผมกับพี่ตุลย์เงยหน้าตามเสียงของที่หนึ่งที่เดินหาวออกมาจากห้องนอน
“พาน้องกินนมอยู่ครับ” พี่ตุลย์ว่ายื่นแขนไปข้างหน้าเรียกให้ที่หนึ่งเข้ามาร่วมกลุ่มด้วยกัน “ที่จริงลูกก็น่ามามองน้องบ้างเหมือนกันนะ น้องจะได้รู้ว่ามีลูกเป็นพี่ มีกันสองคนพี่น้องจะได้รักกันมากๆ”
“ได้เลยยย หลบๆ เดี๋ยวที่หนึ่งจะมองตอนต้นเอง” แล้วหัวกลมๆ นั่นก็บังวิสัยทัศน์ผมมิด
ช็อก
ได้แค่อ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะด่ามันหรือด่าพ่อมันดี orz
“พ่อ เมื่อกี้น้องทำตาเหล่ด้วยอะ!”
“ก็ลูกมองน้องใกล้ไปน่ะสิ เอาหัวออกมาห่างๆ ให้พ่อกับพี่เอสเห็นน้องด้วยสิ”
“ก็ดูกันไปเยอะแล้วอะ ที่หนึ่งเพิ่งมาดูเองนี่หน่า”
ผมหัวเราะ
เอาเถอะอยู่อัดๆ มันก็อุ่นดีนั่นแหละ
TBCมหาลัยอื่นใกล้จะสอบกันเสร็จแล้ว
วันที่ 30 นี่สอบตัวแรกจ่ะ หรือก็คือพรุ่งนี้ 555555555555 (เห็นน้ำตาในเลขห้านั่นไหม)
เลยมาอัพส่งท้ายก่อนไปสอบ
แจกันอีกที 25 ธันวานะครัชช มาพร้อมกับ คุณแม่ดีเด่น หึหึหึหึหึหึหึ ขาดนางได้ไง~~~