ตอนที่ 33
ท่าเดิม เตียงเดิม...และเจ็บตูดเหมือนเดิม เฮ้อ นี่ผมมาถึงจุดๆ นี้ได้ไง จุดที่ตัวเองโดนเสียบ! แต่ก็ยังดีนะที่ผมกับพี่ตุลย์มีประสบการณ์ (ครั้งนึง) มาก่อนแล้ว เมื่อคืนก็เลยไม่ได้โดนทะลวงจ้วงเอาๆ ความเจ็บก็เลยทะลุมาได้ตี๊ดดดดดนึง
“ไม่มีเรียนหรอไง?” พี่ตุลย์ที่กำลังติดกระดุมข้อมือเอ่ยถามผมที่นอนคว่ำกดโทรศัพท์ส่งข้อความหาเพื่อน อะ! อย่าคิดว่าได้แฟนเฒ่าแล้วจะได้ไอโฟน เครื่องที่ผมจิ้มๆ อยู่นี่ก็เครื่องเดิมแหละครับ 1,990 บาทนั่นแหละครับ ข้อความที่ส่งตอบกลับเพื่อนก็ข้อความที่เสียครั้งละ 3 บาทนั่นแหละ ไลน์เลยอะไรผมก็ไม่มีกับเขาหรอก
...นี่ทันยุค ข้อความ 3 บาทกันปะ
“เพื่อนบอกว่าวันนี้งดเซคอะ โชคดีแหะ นี่ก็คิดว่าจะโดดอยู่”
“ใครจะอนุญาตให้โดดกัน” พี่ตุลย์ตวัดสายตามาหาผม นี่ขนาดนอนคว่ำหันหลังให้นะเนี่ยยังรับรู้ถึงสายตาของไอ้พี่ตุลย์
โดดเรียนนิด โดดเรียนหน่อยไม่ได้ ทำดุตลอด โด่ว ผมนี่ชักเริ่มงงแล้ววะ ตัวผมนี่มาจากเสปิร์มไอ้พี่ตุลย์ปะ?
“สงสารผมเหอะ พี่จะให้ผมถ่อสังขารสภาพนี้ไปมหา’ลัยหรอไงเล่า ไม่เห็นแก่หน้าผมก็เห็นแก่ตูดผมบ้าง”
เท่านั้นแหละครับ พี่ตุลย์เงียบกริบไม่มีเสียงตอบกลับมาสักแอะ ไม่รู้เดินออกจากห้องนอนไปแล้ว กำลังรู้สึกผิด หรือขี้เกียจจะเสวนากับผมกันแน่
สวบ...
“ก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นเช้าไม่ไหว ก็ยังจะดื้อ” พี่ตุลย์พูดเสียงอ่อนหลังจากที่นั่งลงข้างเตียง
“ก็ถ้าไม่ใช่เพราะใครบางคนทำหน้าเหมือน ‘ปลอบหน่อย’ ผมก็คงหลับตาแล้วหลับไปเลย”
“ฉันผิด?”
“ใช่ดิ นี่ผมเจ็บตัว แล้วผมยังผิดอีก มันก็ไม่แฟร์ปะครับ” ผมยักคิ้ว กวนประสาทคนที่อายุมากกว่าพอให้ได้เรียกความครื้นเครงในยามเช้า
แหม เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นแฟนที่ควรค่าแก่การมีไว้ก็ช่วงนี้แหละ คนอะไร หน้าตาก็ดี คารมก็เจ๋ง ความขยันหมั่นเพียรเป็นที่หนึ่ง แถมยังมีอารมณ์ขันอีก อิอิ
“เฮ้อ ช่างเถอะ ขี้เกียจจะเถียงด้วย” พี่ตุลย์ถอนหายใจ ไม่ไหลกับความเฮฮายามเช้าของผมเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในเมื่อลูกตลกใช้ไม่ได้ ก็ต้องใช้ลูกเลื้อย ว่าแล้วผมก็เลื้อยตัวเองพันเอวพี่ตุลย์ไว้ประหนึ่งงูเขียว “เอส ผมเริ่มยาวแล้วนะ”
“อือ ไม่ว่างไปตัดอะ นี่ตั้งใจว่าจะปล่อยเซอร์ละ มีพี่อยู่แล้ว ไม่รู้จะหล่อไปทำไม ปล่อยตัวดีกว่า” ผมพูดเสียงอู้อี้ซูกหน้าอยู่กับเอวพี่ตุลย์ นี่ถ้ามีเนื้อนิ่มๆ แบบผู้หญิงสักหน่อยนะ ฟิน หลับแม่ง แต่บังเอิญว่าคนที่ผมกอดอยู่มีแต่กระดูกกับเส้นเลือด ซูกแป๊บเดียวนี่เริ่มเจ็บดั้งละ
“หึ ก็เห็นบ่อยๆ ไม่ใช่หรอไง? ปล่อยตัว ก็มักจะตามมาโดยโดนทิ้ง”
“โหย! พูดงี้จะแฝงความนัยอะไรปะครับ!”
ขึ้นเลยขึ้น!
ลุกขึ้นยืนบนเตียงเลยงานนี้!
“ก็แค่พูดให้ฟัตามที่เคยเห็นมาบ่อยๆ” พี่ตุลย์พูดประหนึ่งเป็นเรื่องเล่าธรรมดาๆ ประมาณว่า เออ แมวกูคลอดลูกแล้วนะ แต่รู้ไหมครับ? ผมเห็นไอ้พี่ตุลย์แม่งยิ้มด้วยครับ ยิ้มไม่พอมีเสียงหัวเราะในลำคอดังแว่วๆ มาด้วย เอ้า นี่มันกวนประสาท
“เอาตังมาสองร้อยเดี๋ยวจะไปตัดผมเลย! จัดไปแบบหล่อๆ ถ้ามีสาวติดก็ระวังเถอะ รู้ตัวอีกทีโสดไม่รู้ด้วยนะ” ผมหัวเราะเสียงดังลั่นห้องด้วยความสะใจ นอกจากจะยืนเหนือกว่าแล้วยังรู้สึกเหนือขึ้นมาบอกไม่ถูก
“หึ ฉันน่ะมีลูกสองคนอยู่แล้ว ไม่ได้เหงาอะไรหรอก แต่นายต่างหากอยากกลับไปอยู่คนเดียวหรอไง?” พี่ตุลย์ถาม รอยยิ้มที่มุมปากทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก
ผมหยิบบ็อกเซอร์ที่อยู่ถอดเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาสวมใส่ เดินลงจากเตียงตรงไปหาพี่ตุลย์ที่กำลังเลือกเนคไทอยู่บริเวณตู้เสื้อผ้า แต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อมีมือของผมไปดันให้ลิ้นชักปิดลงอย่างหาเรื่องจนพี่ตุลย์ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
“นี่จริงจังกับผมปะ?” พูดถามอย่างไม่สบอารมณ์
ผมบอกตรงนี้เลยนะ จริงอยู่ที่ทุกครั้งผมพูด หรือทำอะไรอย่างที่คนรักเขาทำกัน ก็รู้สึกแปลกๆ ทุกทีเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย แต่เพราะว่าคนตรงหน้าผมคือ ‘พี่ตุลย์’ เหตุผลเดียวเลยที่ทำให้ผมยังพูด ยังทำ ยังใจเต้นทุกครั้งถึงแม้เราจะเป็นผู้ชายเหมือนๆ กัน!
ไม่ว่าผมจะแสดงออกแบบไหน แต่กับเขา ผมจริงจัง
“อ้าปาก”
“หะ?” ผมร้องเสียงหลง ไม่ทันที่จะได้ถามอะไร พี่ตุลย์ก็คว้าหน้าของผมเข้าไปจูบ! ไม่เบา ไม่อ้อยอิ่ง เป็นจูบที่มีรสชาติของความรู้สึกที่รุนแรงราวกับต้องการให้มันเป็นคำตอบในคำถามของผม
“ฉันดูเหมือนพวกเล่นไปทั่วหรือไง? บอกแล้วใช่ไหม ว่าฉันมีลูก มันไม่เหงา ไม่ได้ต้องการใค แต่ลองคิดดูว่าทำไมนายถึงอยู่กับฉันตรงนี้ ไม่ใช่เพราะว่าฉันจริงจังเรื่องของนายหรอไง”
“...”
ฉิบหาย เขินแต่เช้าเลยกู
เมื่อกี้โมโหจนลืมความเจ็บช่วงล่างไปเลย พอมาเจอบทนี้เขา ผมนี่ถึงกับขาอ่อนขอเจ็บปวดขึ้นมาอีกรอบ
“ชัดเจนหรือยัง?”
“ชัดแล้วๆ” ผมตอบพยายามทำน้ำเสียงเหมือนคนที่ไม่ได้ใจเต้นกับประโยคนั้นสักเท่าไหร่ “ไปแต่งตัวต่อเถอะ เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก ผมจะกลับไปนอนแล้ว บาย ฝันดี” พูดจบไม่ต้องรอให้พี่ตุลย์ขานอนุญาตผมก็เดินดุ่มๆ กลับไปนอนคว่ำหน้าบนเตียงตามเดิมโดยมีเสียงหัวเราะ ‘หึหึ’ ดังเป็นซาวด์ประกอบตามมา พอสิ้นเสียงหัวเราะนั่น ผมก็รับรู้ได้ว่าอีกคนกำลังเดินตรงมาหาผมที่เตียง จูบผมเบาๆ ที่ข้างขมับก่อนที่จะหันหลังกลับไปแต่งตัวเตรียมไปทำงานอีกครั้ง
ผมเคยบอกยัง? ว่าอยู่แบบนี้ ผมโคตรมีความสุขเลย กลับไปอยู่คนเดียวอะไรนั่นไม่เอาแล้วนะ
ผมขออยู่แบบนี้ตลอดไปนะ
30%
“ตุลย์ก่อนหน้านี้มีใบอะไรสักอย่างส่งมาที่ห้องด้วยนะ พี่ก็มัวแต่ยุ่งๆ ไม่ได้เช็คให้ แต่บอกเขาแล้วละให้วางบนโต๊ะ” ชาติ หนึ่งในพนักงานแผนกฝ่ายขายบอกกับตุลย์ขณะที่เดินสวนกันหน้าสำนักพิมพ์ โดยที่เขากำลังเตรียมตัวออกไปลงพื้นที่ และตุลย์เป็นฝ่ายที่กลับมา
“อ๋อ ครับ เดี๋ยวผมจะไปรีบเช็คเลยครับ”
“ช่วงนี้คนในแผนกไม่ค่อยอยู่ในสำนักพิมพ์นะ พี่ฝากนายช่วยดูเอกสารอะไรที่ฝ่ายอื่นเอามาติดต่อด้วยละ”
“ได้ครับ” ตุลย์ผงกหัวรับคำของผู้ร่วมงาน “ตอนนี้มีนโยบายให้หาพื้นที่ขายมากขึ้น เหนื่อยหน่อยนะครับ”
“กำลังจะตายแล้วเนี่ย” ชาติพูดทีเล่นทีจริง พอให้ได้เรียกเสียงหัวเราะคลายความเครียดจากงาน ก่อนที่เขาจะขอตัวกับตุลย์แล้วรีบตรงไปยังลานจอดรถของสำนักพิมพ์
หลังจากที่แยกกับ ‘ชาติ’ เพื่อนร่วมงาน ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็คลายเนคไทออกเล็กน้อยเดินอย่างเร่งรีบเข้าไปในสำนักพิมพ์เพื่อทำงานต่อ อย่างที่เคยบอกหลังช่วงเวลานรกปิดต้นฉบับของฝ่ายบรรณาธิการเสร็จ ก็จะมาเป็นช่วงนรกของฝ่ายขาย อีกทั้งยังซ้อนทับกับช่วงเวลาที่ประธานมีคำสั่งให้หาพื้นที่ลงหนังสือเพิ่ม ยิ่งทำให้พนักงานทุกคนในแผนกฝ่ายขายหัวหมุนจนแทบจะไม่ได้นั่งติดเก้าอี้เลยแม้แต่น้อย
“ตุลา!”
“ครับ?” เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกหันกลับมาหาพนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่เรียกตัวเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไปหาเธอที่เหมือนกับต้องการหยิบอะไรให้
“คือว่าประมาณยี่สิบนาทีก่อนมีผู้หญิงต้องการขอพบน่ะค่ะ เขาบอกว่าจะรออยู่ที่ร้านด้านนู่น...แล้วเขาก็ทิ้งนามบัตรไว้ด้วยค่ะ” พนักงานสาวยื่นกระดาษแข็งเล็กๆ ทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้ายื่นให้กับผู้ชายร่างสูง ตุลย์มีสีหน้าสงสัยเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นนามบัตรของทอฟ้า ซึ่งเขารู้จักดีอยู่แล้วไม่จำต้องฝากนามบัตรไว้เลยสักนิด
“ขอบคุณมากนะครับ” เสียงทุ้มนั่นบอกกล่าวก่อนจะส่งยิ้มให้กับพนักงานสาว เขาเหลือบเห็นพลอยไพลินที่นั่งทำงานอยู่ห่างออกไปหนึ่งเก้าอี้ แม้จะเห็นเพียงด้านข้างก็รู้ว่าเธออักอวนไม่น้อยที่เห็นเขายืนอยู่ตรงนี้ห่างเธอไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงอาจจะเข้าไปทัก หรือผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นคนเดินเข้ามาทักเขาเอง แต่ทุกอย่างมันจบลงไปตั้งแต่คืนนั้นแล้ว!
“อะ ตุลา! ลืมบอกไปอีกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าอยากคุยเรื่องที่ได้คุยในร้านกาแฟน่ะค่ะ”
“ครับ ขอบคุณนะครับ” ตุลย์ส่งยิ้มจางๆ ให้กับหญิงสาวฝ่ายประชาสัมพันธ์ ทั้งๆ ที่อยากจะรีบไปทำงานให้มันจบไปแท้ๆ แต่เพราะประโยคสุดท้ายที่ถูกฝากบอกเอาไว้ มันติดอยู่ในหัวสมองจนต้องเปลี่ยนเส้นทางตรงเข้าไปในร้านสตาร์บั๊คที่พนักงานสาวฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้แจ้งไว้ว่าทอฟ้ารออยู่
เขารู้ว่าเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นจะพูดก็คงเป็นเรื่องของที่หนึ่งและตอนต้นนั่นแหละ
และเขาก็รู้ใจของตัวเองด้วย ว่าจริงๆ แล้ว เขาไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นได้เจอกับลูกเลยแม้แต่วินาทีเดียว...โดยเฉพาะที่หนึ่ง
เขาไม่อยากให้เด็กคนนั้นได้รู้...
“จะไปหาลูกสินะ” เสียงทุ้มพูดใส่ผู้หญิงคนหนึ่งที่หันหลังนั่งรอเขาอยู่
เธอหันมา ก่อนจะส่งยิ้มหวานขับใบหน้าให้ยิ่งสวยสะดุดตา “พูดกันง่ายดีนี่”
“ทั้งๆ ที่ทิ้งที่หนึ่งกับตอนต้นไปเองแท้ๆ” ตุลย์พูดเสียงเรียบ จ้องเขม็งตรงไปยังผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเดียดฉันท์ “แต่คำว่า ‘แม่’ มันค้ำคอ จะไม่ให้เจอก็คงจะไม่ได้สินะ”
“...” ใบหน้าสวยถมึงทึงขึ้นมาทันทีกับคำค่อนแคะ “พี่อยากพูดอะไรก็พูด...แต่ฟ้าคิดถึงลูก ฟ้าอยากเจอลูกนี่”
“...”
“วันนี้ฟ้าไม่เข้าร้านอยู่แล้ว จะรอพี่ที่นี่แหละ เลิกงานเมื่อไหร่ก็พาฟ้าไปหาลูกด้วยก็แล้วกัน”
“...ได้ ก็รอไปเจอลูกอยู่ที่นี่แหละ อย่าเผลอเดินตามผู้ชายไปก็แล้วกัน” ตุลย์ทิ้งคำพูดเจ็บแสบไร้ความเป็นสุภาพบุรุษให้กับอดีตคนรักและแม่ของลูกตน
เขาไม่อยากให้ที่หนึ่งได้รู้...
ว่าเราไม่มีวันกลับไปเป็น ‘ครอบครัว’ อย่างที่ที่หนึ่งรอมาตลอดได้อีกเลย50%มาน้อยๆ ดีกว่าไม่มาใช่เปล่า~มีใครคิดถึงเค้า กับ เอสบ้างไหมมมม เข้าสู่ช่วงเวลาของสอบมิดเทอมมาเกือบเดือน ได้แล้ว แล้วจะ
สิ้นสุดในวันที่ 5 แต่ก็พยายามหาเวลาว่างอย่างที่สุด แต่งานก็เดินหน้าค่อนข้างช้ามากจริงๆ
เพราะเหตุผลดั่งที่แจ้งไป อาจทำให้อัพช้าผิดปกติ (มาก)
รอเค้าหน่อยนะ
ถ้าถามว่าทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้ คือเพราะรู้สึกว่าตอนนี้หายไปนานมากจริงๆ แล้วก็ไม่อยากให้คิดว่าเค้าหายหัวไปเฉยๆ
ฮืออออออ
ป.ล. ในฉากอัศจรรย์ของตอนที่ 32 ขอเก็บไว้ลงในหนังสือนะ อิอิสปอย
' เขาเป็นแม่ของที่หนึ่งและตอนต้น '
' ผมว่าพี่ควรเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟังได้แล้วละ '