50%
่ต่อจาก 32-50%
“อะ อ้าว รู้จักกันอยู่แล้วหรอ?” ศิลา หัวหน้าแผนกฝ่ายขายเอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“เป็นรุ่นน้องตอนมัธยมน่ะครับ”
“อ๋ออ เก่ามากเลยนะเนี่ย ฮ่าๆ” ศิลาหัวเราะ “ถ้าไหนๆ ก็รู้จักกันหมด คุณทอฟ้าก็มานั่งคุยกับเราสักพักสิครับ”
“ขอโทษนะคะ แต่ฟ้าว่าไม่...”
“เถอะนะครับคุณทอฟ้า ผมมาร้านนี้บ่อยๆ แต่ไม่เจอคุณทอฟ้าสักที วันนี้ได้เจอแล้วก็คุยกันแป๊บนึงสิครับ”
คนทำงานฝ่ายขายต้องมีคารมที่ดีเพราะต้องติดต่อประชาสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกอยู่ตลอดเวลา และการที่ทอฟ้ายอมเปลี่ยนใจมานั่งร่วมโต๊ะคุยกันอย่างที่ศิลาขอนั้นก็ทำให้ไม่เห็นข้อกังขาเลยว่า ทำไมผู้ชายที่ดูไม่จริงจังกับอะไรเลยคนนี้ถึงได้เข้ามาขึ้นแท่นเป็นหัวหน้าฝ่ายขาย
ในโต๊ะที่มีคนนั่งอยู่สามคน ศิลาเป็นคนที่ชวนทอฟ้าคุยเป็นเสียส่วนใหญ่ ส่วนมากก็จะเป็นการคุยเรื่องธุระร้านเครื่องดื่มของทอฟ้าเอง นานๆ ทีถึงจะชวนคุยในเรื่องของเขาที่นั่งเงียบๆ ทำเป็นสนใจงานที่ติดมือมาด้วย
Rrrrrrrr
“อะ ขอโทษที ลูกน้องโทรมาตามนะ คงเห็นว่าหายไปนาน” ศิลายกมือปรกๆ บอกกับคนที่นั่งร่วมโต๊ะทั้งสอง “ผมขอออกไปคุยโทรศัพท์หน่อยนะครับ...ตุลย์ดูแลคุณทอฟ้าดีๆ ละ!” ประโยคหลังหันมากำชับกับลูกน้องที่เข้าร้านมาด้วยกัน
“ครับ”
แต่ถึงตุลย์จะอยู่อย่างนั้นแต่ทันทีที่ศิลาพ้นประตูออกไป บรรยากาศภายในโต๊ะก็อึดอัดขึ้นมาทันทีด้วยความเงียบและความกดดัน แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองกลับไม่มีใครที่ลุกออกไปจากโต๊ะ ราวกับมีอะไรบางอย่างดึงพวกเขาไม่ให้ลุกออกไป
“...”
“...”
“ฟ้า...ไม่คิดว่าพี่ยังทำงานอยู่ที่นี่”
“พี่ก็ทำงานที่นี่ตลอด แล้วทำไมฟ้าคิดว่าพี่ไม่ได้ทำงานอยู่ที่นี่ละ?”
หญิงสาวที่มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนล้อมกรอบใบหน้าสวยตามวัยที่ถูกแต่งแต้มสีไว้เข้มพอประมาณ เธออยู่ในชุดทำงานที่มีรสนิยมและราคาสูงแสดงออกถึงตัวตนของคนที่มีระดับ ไม่ใช่คนอ่อนแอ และไม่ใช่คนยอมใคร
แม้กระทั้งตอนนี้เธออยู่ต่อหน้าผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่า ‘เคยเป็นคนรัก’ เธอก็ยังไร้ซึ่งความหวั่นไหวใดๆ สามารถที่จะไขว้ห้าง กอดอกมองผู้ชายตรงหน้าได้ราวกับเขาเป็นเพียงผู้ชายหน้าไม่อายที่เข้ามาตามตื้อเธอ
“ก็ก่อนหน้าที่มาเปิดร้านนี้ แวะไปถามหาพี่ที่สำนักพิมพ์แล้วแต่คนที่อยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์บอกว่าพี่ ไม่ได้ทำงานอยู่ที่นั่นแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์...พลอยไพลินสินะ
เขาไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่พลอยไพลินจะเป็นคนบอกทอฟ้าว่าอย่างนั้น พลอยไพลินก็คงจำได้ว่าผู้หญิงท้องที่อยู่กับเขาก่อนที่ตนเองจะย้ายไปสาขาอื่น ก็คือ ผู้หญิงคนนี้...ทอฟ้า
“แล้วฟ้าไปถามหาพี่ทำไม?”
“ช่วงนี้ฟ้าต้องกลับมาอยู่บ้านพ่อแม่ เพราะว่าเปิดร้านอยู่ที่นี่ ก็เลยอยากเจอหน้าลูกขึ้นมา ที่หนึ่งอาจจะไม่เปลี่ยนอะไรมาก แต่ตอนต้นคงเปลี่ยนไปเยอะน่าดู” ทอฟ้ายิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงลูกชายทั้งสองของเธอที่จากมา “อะ พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ฟ้าไม่ได้ถามหาพี่ เพราะว่าอยากจะสานสัมพันธ์อะไรกับพี่หรอก”
“หึ แล้วจะมาสานสัมพันธ์อะไรกับลูกตอนนี้ ก็เป็นคนทิ้งเขามาเองนี่หน่า ตอนต้นน่ะยังไม่รู้อะไร แต่ที่หนึ่งโดนฟ้าทิ้งมาสองครั้งแล้ว จะไปทำให้มีครั้งที่สามอีกหรอไง?”
“ตอนนี้ที่หนึ่งโตพอแล้ว ที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าฟ้าอธิบายลูกก็ต้องเข้าใจว่า
พี่กับฟ้าไม่มีทางกลับไปเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกอะไรแบบนั้นได้อีกแล้ว”
“...”
“แล้วอีกอย่าง ฟ้าก็มีร้านที่นี่แล้ว ต่อให้ไม่ได้ย้ายมาอยู่ถาวร ยังไงก็ต้องมาที่นี่บ่อย มาหาที่หนึ่งมาหาตอนต้นได้บ่อยๆ แล้ว เขาเองก็เป็นลูกฟ้าทั้งสองคน ฟ้าก็อยากจะสนิทกับลูก”
ชายหนุ่มเผลอกำมือเข้าหากันแน่น เขาเข้าใจดีว่าเหตุผลเดียวที่ผู้หญิงคนนี้ทิ้งลูกไป ก็เพราะว่าถ้าอยากอยู่กับลูกก็ต้องอยู่กับเขาด้วย...ต้องมาอยู่ด้วยกัน
และนั่นคือสิ่งที่เธอไม่อยาก...
“แล้วกับคนนั้นยังดีอยู่ไหม?”
“คนนั้น?”
“คนที่ฟ้าทิ้งพี่ไปหาเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าน่ะ”
“อะ อ๋อ...พี่วี” พอพูดถึงบุคคลที่สามที่ชื่อ ‘วี’ สีหน้าของทอฟ้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจก็ฉายความรู้สึกผิดขึ้นมาจนเธอต้องเผลอเบือนหน้าหนีไป “กับพี่วีก็ยังดีอยู่ อื้ม...เราแต่งงานกันได้...อื้ม เดือนหน้าก็ครบปีแล้ว”
“หรอ ยินดีด้วยนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว พอคลอดตอนต้นเสร็จก็กลับไปแต่งงานกับเขาเลยนะ มันดูตลกๆ นะฟ้า ที่คลอดลูกของผู้ชายคนนึงเสร็จ ก็กลับไปแต่งงานกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง”
“!”
“โทษทีนะ พี่ต้องกลับไปทำงานแล้ว อยากจะไปหาลูกเมื่อไหร่ก็ติดต่อมาแล้วกัน ถ้าลบเบอร์พี่ไปแล้วก็ไปหาที่สำนักพิมพ์ก็ได้ พี่อยู่ทำงานอยู่ที่เดิมนั่นแหละ” ตุลย์พูดเสียงเรียบ เก็บเอกสารทุกอย่างเข้ากระเป๋าทำงานของตน ไร้ซึ่งกาแฟที่ยังมีอยู่เต็มแก้วเช่นเดียวกับหญิงสาวที่นั่งเม้มปากอยู่ที่เดิม
เธออาจจะเสียหน้า รู้สึกผิด หรือโมโหอะไรก็แล้วแต่ ยังไงซะ ก็ไม่ใช่เรื่องของเขาอีกแล้ว
“ไม่ใช่แค่รุ่นน้องตอนมัธยมสินะ”
“หัวหน้า” ตุลย์หันขวับไปทางศิลที่สูบบุหรี่รออยู่ข้างทางระหว่างกลับสำนักพิมพ์
“คุยธุระเสร็จตั้งนานแล้วแหละ แต่เห็นพวกนายคุยกันหน้าดำคร่ำเครียดก็เลยเลือกเดินมารอหน้าสำนักพิมพ์แทน”
“อ๋อครับ”
“พอเห็นนายกับคุณทอฟ้าคุยกันเครียดๆ แบบนั้นแล้วฉันก็นึกถึงสาวท้องโตที่มาหาที่สำนักพิมพ์เมื่อก่อนได้ขึ้นมา แต่เพราะว่าเธอคนนั้นมาแค่ครั้งสองครั้ง แล้วก็รออยู่ด้านล่างตลอดเลยจำหน้าไม่ได้ทันที แค่นั่นน่ะ...คุณทอฟ้าสินะ”
“...ครับ” ตุลย์ยอมรับเสียงเรียบ ทั้งสีหน้าและท่าทางเหมือนกับว่าเขาไม่แยแสสิ่งใด
“เขาเป็น...แม่ของลูกผมครับ” “อื้ม...แล้วเขากลับมาตื้อนายหรือไง?”
ตุลย์หัวเราะเสียงแห้ง “ไม่ใช่หรอกครับ เขากับสามีเขารักกันจะตาย เขาไม่มาตามง้อผมหรอกครับ ก็แค่คุยกันเรื่องเขาอยากเจอลูกบ้างก็แค่นั้น”
“หรอ เอ๋! คุณทอฟ้ามีสามีแล้วหรอ!? แต่ว่า ลูกคนเล็กของนายเพิ่งจะหนึ่งขวบเองนี่”
“เขากับสามีเขารักกันมาตั้งนานแล้วครับ อาจจะตั้งแต่ที่ที่หนึ่งยังไม่เกิด...”
“...”
หมับ!
ศิลาบีบไหล่ของลูกน้องคนสนิทของตัวเองอย่างให้กำลังใจ ตุลย์ไม่ใช่คนพูดเรื่องของตัวเองมากนัก แต่แค่นั้นเขาก็เดาได้มากพอแล้วว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเจอมันซับซ้อนและคงเจ็บปวดมากเต็มที ซึ่งคนนอกอย่างเขาสอดรู้ไปคงช่วยอะไรไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่ให้กำลังใจไม่ว่าเรื่องในอดีต หรือเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
“ที่ฉันบอกให้อย่าเพิ่งเข้าไปในสำนักพิมพ์ก็เพื่อจะพักผ่อน เราก็ต้องพักผ่อน อย่าเอาเรื่องเครียดมาปวดหัว! ลืมไปซะ ปะๆ กลับเข้าไปทำงานกันดีกว่า ให้งานมันโถมเราจนตายกันไปข้างเลย!”
“...” ตุลย์มองหัวหน้าของตน อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอย่างระอา แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มน้อยๆ ก็ประดับอยู่บนใบหน้านั่นอย่างเงียบๆ
“ใกล้สอบแล้วหรอ?”
“ครับ”
“สอบกลางหรือปลาย?”
“ปลายแล้ว ตอนกลางภาคผมอ่านกับเพื่อนอยู่ที่มหา’ลัยแป๊บๆ แบบว่ายังเหลิงอยู่ คะแนนออกมาเกือบตกมีน เพราะงั้นปลายภาคผมต้องตั้งใจละ ไม่งั้นเอฟแดกแน่เลย”
“แปลว่าจะจบเทอมหนึ่งแล้วสินะ เวลาผ่านไปเร็วจัง”
“นั่นดิ ทำไมผมรู้สึกว่าเทอมนี้ผมใช้ชีวิตแบบไม่วัยรุ่นเลยหว่า” ผมใช้ปลายปากกาเคาะปากตัวเองเบาๆ เหลือบมองพี่ตุลย์ที่กำลังเดินเข้าห้องนอนมาพร้อมกับผ้าขนหนูพันเอว
“ใช้ชีวิตวัยรุ่นนี่คืออะไร?”
“ก็...แบบ ไปร้านเหล้า แซวสาวไรงี้ละมั้ง”
“ไม่ไปเองอะ ฉันก็ไม่ได้ห้ามอะไรสักหน่อย”
ผมวางปากกาที่ถืออยู่คั้นหนังสือเอาไว้ก่อนจะหมนุตัวกลับมาหาพี่ตุลย์ที่กำลังใส่ชุดเตรียมนอน
“ไปแล้วไม่ว่าจริงดิ?”
“อื้ม แค่โทรมาบอกก่อนว่าจะกลับดึก ไปอะไรกับเพื่อนก็ว่าไป ตอนที่นายลาออกจากงานพิเศษแล้วไปฉลองอะไรกันฉันยังไม่ห้ามเลย”
“ก็จริง ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมไปกับเพื่อนหลังเรียนได้ปะ แบบ ไปกินเหล้า~ เคล้านารี~” ผมจงใจใช้เสียงกวนประสาทกับคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงของตนเอง
ไอ้พี่ตุลย์ปรายตามองผมเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนี “จะไปก็ไป”
เท่านั้นแหละ ผมนี่หัวเราะก๊ากเลย ปิดหนังสือเก็บเครื่องเขียนทุกอย่างแล้วลุกไปหาพี่ตุลย์ที่อยู่บนเตียง จิ้มแก้มจึ๊กๆ อย่างหมั่นไส้ ถึงพี่ตุลย์จะปัดมือผมออกหลายต่อหลายครั้ง ผมก็ไม่แคร์จิ้มจนนิ้วแทบจะทะลุแก้มพี่แกออกไปอีกด้าน
“ทำท่าแบบนี้ ไม่อยากให้ไปก็บอกมาเถอะ หวงเขาใช่ไหมละตัวเอง~”
“...” พี่ตุลย์ไม่ตอบ มีเพียงสายตาขี้รำคาญที่จ้องผมนิ่ง
คึคึ ผมชินแล้วครับ บอกตรงโดนตรงแบบนี้ หลงเข้าข้างตัวเองก็ยังได้อะ! รู้หรอกว่าเขินเขาใช่เปล่าตัว~ ตอนเช้าก็เหมือนกัน ทำเป็นเฉยๆ แตจริงๆ ก็ห่วงผมไม่น้อยนั่นแหละ
รู้สึกดีว่ะ~
พรึ่บ!
“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลง เมื่อไอ้คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนเมื่อกี้กระชากแขนผมให้ขึ้นมาบนเตียงด้วยกัน ไม่พอเสือกขึ้นไปอยู่บนตัวอีก
...โอ้โห จะบอกว่าโรแมนติกประหนึ่งฉากมในละครมันก็นะ... ผมขอย้ำอีกทีว่าถึงแม้ว่าผมตัวจะผอมกว่า แต่ส่วนสูงเราเท่ากันครับ ต่างกันเซนสองเซนเท่านั้นแหละ แล้วตัวคือไม่เบานะครับ หนัก ดูจากหน้าไอ้พี่ตุลย์ตอนนี้ยังรู้เลยว่าจุก
หัวเราะใส่หน้าแม่ง สมน้ำหน้า ทำอะไรไม่ดูขนาดตัวผมเอง
“ขึ้นมาทำไมบนตัวเนี่ย” พี่ตุลย์นิ่วหน้า พูดด้วยน้ำเสียงประมาณว่าพูดออกมายากมาก
“ไม่ได้ขึ้นมาเลย ก็พี่กระชากขึ้นมาเองอะ”
ปึก!
ทุบไปทึนึง
“ไม่ได้ดึงขึ้นมาถึงบนนี้เลย แค่จะให้มานอนเตียงด้วยกันเฉยๆ ลงไปเลยไป หนัก”
“ชิ” ผมจิ๊ปาก แต่ก็ยอมกรนะดึบๆ ลงจากตัวพี่ตุลย์มาอยู่ที่เตียง และกำลังกลิ้งต่อให้ตัวเองตกลงไปที่พื้น ที่นอนประจำของผม อ้อมแขนของพี่ตุลย์กลับตวัดกอดเอาไว้ซะอย่างนั้น “อะไรเนี่ย ปล่อยดู๊ว! ผมก็จะไปนอนแล้ว”
“นอนข้างล่าง?”
“เออดิ”
“ไปนอนทำไม นอนบนเตียงสิ”
“แล้วทำไมต้องนอนบนเตียงด้วยอะ ไม่เอาไม่นอน ไม่ชิน”
“เมื่อวานก็นอนมาแล้ว” แล้วพี่ตุลย์ก็รัดผมแนน่ขึ้นจนเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก ดิ้นๆ ให้ตัวเองหลุดตกตุ๊บลงไปที่ด้านล่าง แต่ทำยังไงพี่ตุลย์ก็ไม่ยอมปล่อยเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะคลายออกด้วยซ้ำ
เออ ใช่สิ เมื่อวานนอนเตียงมาแล้ว แต่พอมันมาอยู่บนเตียงอีกรอบแล้วมันก็ทำให้คิดไงว่าเมื่อวาน กูเสียประตูให้ผู้ชายไปแล้ววววววว!
“นอนนิ่งๆ เถอะหน่า”
“หมอนข้างก็มี ไปกอดหมอนข้างนู่นไป”
“ถ้างั้นแล้วฉันจะมีแฟนไว้ทำไมละ”
ฉึก!
ดอกนี้ครับ เข้าไปเต็มๆ ตรงหัวใจ อุตสาห์ไม่ย้ำบ่อย เพราะมันรู้สึกเขินๆ ไม่ค่อยชิน แต่ไอ้พี่ตุลย์กลับมาย้ำให้ฟังซะงั้น
“เออๆ รู้แล้วหน่า นอนแบบนี้แล้วสบายก็ตามใจ ดีซะอีก ผมจะได้ไม่ต้องนอนอะไรแข็งๆ!”
“เสียงดังแก้เขิน?”
รู้อีก
“นอนไปเถอะหน่า”
ผมพูดเสียงเบา พอสิ้นคำของผมพี่ตุลย์ก็ไม่ตอบอะไรมา มีเพียงแต่อ้อมกอดที่รัดผมไว้และลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดอยู่บนต้นคอ อ่าไม่สิ...ปาก จมูกของคนที่อยู่ด้านหลังก็แนบชิดอยู่กับคอของผมเช่นกัน
ตอนที่ยังไม่มีอะไรกัน ทำแบบนี้ก็แค่หวั่นไหว ใจเต้นเป็นความรักเด็กอนุบาล แต่พอมันได้ทำไอ้นั่นไปแล้ว...ความรู้สึกมึงก็โดนขึ้นมาเป็นความรักวัยมหา’ลัยเลยนะสัส! มึงจะตื่นขึ้นมาทำไมเนี่ยย
“...”
“...”
เอาเถอะ...ถ้าไอ้พี่ตุลย์อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวสักพักก็คงสงบ
...
“โอ๊ย! พี่จะกอดผมให้ตัวขาดเป็นสองท่อนเลยหรอไง!” ผมร้องโวยวาย พลิกตัวควับเตรียมจะไปหาเรื่องเต็มที่ แต่คนที่ผมคิดว่าน่าจะนอนไปแล้วกลับลืมตาแป๋วมองผมอยู่ ก็เลยกลายเป็นว่า พอพลิกกลับมาปุ๊บก็จ้องตากันปั๊บ คำที่จะด่าเมื่อครู่ก็ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ เหลือแต่ความอ้างว้างอันไกลโพ้น
“ขอกอดหน่อย”
“ก็...ก็กอดอยู่ไม่ใช่ไง?”
“แล้วเสียงดังทำไม?”
“ก็พี่กอดผมแน่นไปอะ ขอพื้นที่ว่างให้ท้องผมได้ขยายตอนหายใจเข้าด้วย”
“โทษที” พี่ตุลย์พูดมาแค่นั้นก็หลับตาลง “จะนอนกอดดีๆ แล้ว”
“...”
อื้ม...คิดว่าวันนี้พี่ตุลย์ดูอ้อนๆ ปะครับ?
“นอนได้แล้วหน่า” พี่ตุลย์ลืมตาขึ้นมาเห็นผมที่ยังนอนมองหน้าเขาอยู่ พี่ตุลย์ก็ใช้มือกดลงหัวผม ถ้าผมตัวเตี้ยกว่านี้ก็คงซุกอก แต่เพราะความสูงของเราแทบไม่ต่างกัน เลยกลายเป็นว่าหน้าผากของเราชนกันก็เท่านั้นเอง
“...พี่จะนอนจริงๆ อะ?”
“หืม? อืม”
พรึ่บ!
ผมยันตัวเองออกจากอ้อมกอดของพี่ตุลย์ แล้วขึ้นไปคุกเข่าคร่อมตัวคนที่ขึ้นชื่อว่า ‘คนรัก’ เอาไว้ ผมเดาว่าพี่ตุลย์ก็คงจะตกใจนั่นแหละถึงแม้จะแสดงท่าทางออกมาไม่มาก แต่ก็ลืมตาขึ้นมองผมไม่ละเหมือนกับกำลังดูว่าผมกำลังทำอะไร
แล้วแน่นอนกับผมไม่มีผิดหวังอยู่แล้วครับ
ทำอะไรละ?
ก็ถอดเสื้อเลยอะดิ!
“ทำไหม?”
TBCตัดฉับเก็บไว้ในรูปเล่ม 55555555555555
ช่วงนี้มาแบบ 150 ตลอดเป็นการขอโทษที่มาช้า งื้อออ ~
#daddybelover