50%
*ตัวอักษรเกิน
ในช่วงบ่าย ลานใต้อาคารก็คราคร่ำไปด้วยเด็กชั้นป.4-ป.6 ที่กำลังทำกิจกรรมวันแม่โดยมีผู้ปกครองวัยกลางคนถึงวัยแก่มากอยู่รอบนอกรอช่วงเข้าไปร่วมงานกับลูกรักในช่วงในการไหว้ โชคดีที่งานครั้งนี้ ยังไม่มีใครได้ยินเสียงของผมที่ไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นเสียงของผู้ชายเพราะคุณแม่ทั้งหลายต่างฝ่ายต่างก็จับจ้องไปที่ลูกของตัวเองไม่สนใจใคร่ที่จะชวนใครอื่นคุยทั้งสิ้น หรือถ้าจะเข้ามาคุยก็ต้องขอบคุณพี่ตุลย์ที่เข้ามาช่วยเหลือรับหน้าแทนตลอด
“ตอนนี้ผมโคตรกังวล มือเย็นหมดแล้วเนี่ย”
“อื้ม”
“...”
ผมหันมองคนที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะระบายยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ฉายออกมาอย่างอบอุ่น เขาเองก็เหมือนกับพ่อแม่คนอื่นๆ ไม่มีอะไรที่อยู่ในความสนใจไปมากกว่าลูกชายของตนที่กำลังยืนร้องเพลงอยู่ในแถวร่วมกับเพื่อนๆ
พอเห็นภาพนี้ผมก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงพ่อของตัวเองที่เสียไปเมื่อหลายปีก่อน
ผมเองก็เป็นเด็กที่ไม่อยากจะมาร่วมกิจกรรมงานวันแม่เหมือนๆ กันแต่พ่อก็จะลากผมไปจนได้ แถมยังยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูโรงเรียนกันผมหนีออกมาอีกต่างหาก ตอนนั้นผมร้องไห้นะครับ งอแงโวยวาย แต่พ่อก็ไม่ยอม สุดท้ายผมก็เลยต้องไปร่วมกิจกรรมทั้งน้ำตานั้นแหละ วันนั้นพ่อยิ้มตลอด โบกไม้โบกมือไม่รู้จะเยาะเย้ยผมหรืออะไรเล่นเอาโมโหจนถึงวันแม่ปีต่อมาเลยครับ ถึงปีต่อมาผมจะเข้ากิจกรรมด้วยตนเองแต่ก็ไม่วายมีพ่อมาเฝ้าอยู่หน้าประตูโรงเรียนเหมือนเดิม แล้วก็เป็นอย่างนั้นอีกหลายปีจนผมเรียนจบ
“ต่อไปนะคะ ให้เด็กๆ พาคุณแม่มานั่งที่เก้าอี้ที่จัดไว้ให้ ใครเตรียมพวงมาลัยหรือดอกไม้มาก็เอามาไหว้แม่ตอนนี้เลยนะจ๊ะ” สิ้นคำพูดของอาจารย์สาวหน้าเวที เด็กที่เข้าแถวอย่างเป็นระเบียบก็แตกหือหาแม่ของตัวเองกันจ้าละหวั่น
“พ่อ” ผมกับพี่ตุลย์หันขวับไปตามเสียงก่อนจะเห็นที่หนึ่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินตรงมาเราทั้งคู่ “ทำไมพ่อมาด้วยละ?”
“เกิดเรื่องกับป้าสร้อยนิดหน่อย พ่อก็หาคนมาแทนให้ แต่พ่อกังวลก็เลยมาด้วย”
“คนมาแทน?”
“หวัดดี” ผมร้องทักทายทันทีที่ที่หนึ่งเบือนหน้ามาทางผม เด็กนั่นดูงงเล็กน้อยก่อนตั้งท่าจะโวยวายแต่ผมก็ตะครุบตัวปิดปากเอาไว้เสียก่อน “คือมันเป็นเหตุสุวิสัย ป้าสร้อยมาไม่ได้จริงๆ ใครๆ ก็มาไม่ได้ทั้งนั้น พี่ก็เลยเป็นซุปเปอร์แมนมาช่วยเนี่ย อย่าโวยวาย”
“อืออื้อ!” แต่ดูเหมือนไอ้เด็กนี่จะไม่พอใจเท่าไหร่ ทั้งดิ้นทั้งโวยวายจนแขนผมที่ล็อคตัวมันอยู่ถึงกับเส้นเลือดขึ้น
“ที่หนึ่งฟังนะลูก พ่อขอโทษที่ผิดสัญญาพาป้าสร้อยมาร่วมงานไม่ได้ มาถึงตรงนี้แล้วพ่อไม่ฝืน ถ้าลูกรับไม่ได้ พ่อจะพากลับเลยก็ได้”
ผมก้มมองเด็กที่ผมกำลังล็อคตัวอยู่พอเห็นว่าที่หนึ่งเลิกดิ้นแล้วก็ค่อยๆ คลายอ้อมแขนออก
“...”
“ว่าไง? กลับกับพ่อเลยไหม?”
“...ไม่เป็นไรครับ จะป้าสร้อยหรือพี่เอสก็ไม่ใช่แม่ที่หนึ่งเหมือนกันทั้งคู่ จะไหว้ใครก็คงเหมือนกัน”
“...” มือใหญ่ของพี่ตุลย์วางลงบนหัวของที่หนึ่ง ใบหน้าที่มักจะเรียบนิ่งใส่ผมกลับแสดงออกมากมายกลับคนที่เป็นลูกชายเสมอ “พ่อขอโทษนะ”
ผมไม่รู้ว่าพี่ตุลย์ขอโทษอะไร อาจจะขอโทษที่พาป้าสร้อยมาไม่ได้ หรือ...อาจจะขอโทษที่ไม่สามารถให้ที่หนึ่งมีแม่เหมือนคนอื่นๆ ได้
“ไปเถอะ ครูเขาเรียกรวมแล้วอะ” ที่หนึ่งหันมาคว้ามือ แต่ผมกลับยื้อตัวเอาไว้ มองหน้าของพี่ตุลย์ที่ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลัง
“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้นก็ได้”
ใครกันแน่ที่ทำหน้าเศร้า
ผมเดินตามแรงดึงของที่หนึ่งไปถึงเก้าอี้ตัวยาว ที่มีคุณแม่มากมายนั่งอยู่ก่อนแล้ว ส่วนผู้เป็นลูกนั่งอยู่ด้านล่างซึ่งบางคนก็มีพวงมาลัยมาพร้อมกราบ เป็นบรรยากาศที่ผมเองก็เคยเจอมาเมื่อตอนเด็กๆ
“นักเรียนคะ เราจะร้องเพลงค่าน้ำนมกันก่อน พอจบแล้วจึงค่อยกราบแม่ของเรานะคะ”
สิ้นคำพูดเสียงดนตรีเพลงค่าน้ำนมก็ดังขึ้นและตามด้วยเสียงร้องดังกึ่งก้องของพวกเด็กนักเรียน ที่หนึ่งเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมเลือกที่จะไม่ก้มมองที่หนึ่งเพราะความรู้สึกกระดากอายแปลกๆ ที่อยู่ในใจเลือกที่จะมองเวทีด้านหน้าที่มีคุณครูสาวร้องนำอยู่แทน
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะก้มมองดูที่หนึ่งที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“...ที่หนึ่ง”
ผมเรียกเสียงเบา แต่คนเป็นเจ้าของชื่อก็ไม่สนใจเสียงของผมเลย ยังคงเอาแต่จับจ้องพ่อของตนเองที่กำลังส่งยิ้มและโบกไม้โบกมือมาให้อยู่ด้านข้างห่างออกไปไม่ไกล และผมจะไม่ตกใจเลยถ้าไม่ได้เห็นภาพพ่อของผมซ้อนทับขึ้นมา! พ่อที่ส่งยิ้มให้ผม พ่อที่โบกมือให้ผมเหมือนกัน...แต่สิ่งที่ต่างกันกับภาพในครั้งนั้น คือสิ่งที่อยู่ในดวงตา เพราะครั้งนี้พี่ตุลย์อยู่ใกล้กว่า ใกล้พอที่จะมองเห็นสิ่งนั้นที่ผมไม่สังเกตเห็นจากพ่อของผมเอง
สายตาที่เต็มไปด้วยคำขอโทษ
พรึ่บ!
“อะ คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ!” สิ้นคำพูดของคุณครูที่ยืนอยู่หน้าเวที ทุกคนพร้อมใจกันหันพรึ่บมาทางผมที่ลุกพรวดพราดขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สน ไม่คิดแม้แต่จะอธิบายอะไรให้ใครหรือแม้กระทั้งที่หนึ่งเองให้เข้าใจ เดินแน่วแน่ไปหาพี่ตุลย์ แล้วคว้าแขนอีกฝ่ายตรงมายังเก้าอี้ที่ผมเคยนั่งแล้วกดให้เขานั่งลง!
“เอส!”
“ถ้าที่หนึ่งควรจะกราบใครสักคนที่ไม่ใช่แม่ของเขาแล้วละก็ ผมว่าพี่ที่เป็นพ่อสมควรที่จะนั่งอยู่ตรงนี้ที่สุดแล้ว”
“แต่นี่มันงานวันแม่นะ จะให้พ่ออย่างฉันมานั่งได้ไง!” พี่ตุลย์พูดเข่นเขี้ยวตั้งท่าจะลุกขึ้นเดินออกไปแต่ผมก็กดไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ให้อยู่ที่เดิม
“ที่หนึ่งมีพี่คนเดียว พี่เลี้ยงที่หนึ่งมาคนเดียวมันไม่ได้แปลว่าพี่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับที่หนึ่งหรอไง?” “…”
“พี่นั่งไปเถอะ เพลงค่าน้ำนมจะจบแล้ว ถ้าที่หนึ่งไม่กราบพ่อในวันแม่ก็ช่าง จบกิจกรรมเราก็แค่กลับบ้านเท่านั้นเอง” ผมยักไหล่พูดด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก่อนจะเดินออกมาจากบริเวณตรงนั้นไปยืนอยู่ข้างๆ แทนที่ที่พี่ตุลย์เคยยืนดูอยู่
หลังจากที่ผมออกมาแล้ว เห็นพี่ตุลย์กับที่หนึ่งมีท่าทีกระอักกระอวนตามภาษาพ่อกับลูกชายก็รู้สึกอดขำไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัวที่อยู่ตรงหน้า แม้จะเต็มไปด้วยความเคอะเขินแต่เมื่อจบเพลงค่าน้ำนมลง ที่หนึ่งก็ไม่ลังเลที่จะก้มกราบพ่อของตนเองที่ทำหน้าที่แทนแม่เสมอมา เลือกอย่างชาญฉลาดที่จะไม่สนใจสายตาของคนที่มองอยู่ด้านนอก
มันมีนะครับ คนที่ไม่รู้ตัว จนไม่เคยได้กราบใครเลยในวันแม่อย่างผมนี่ไง
“กราบคุณแม่กันแล้วอย่าลืมกอดคุณแม่ด้วยนะคะ...ส่วนใครที่มากับคุณพ่อวันนี้ก็กอดคุณพ่อได้นะคะ”
ผมหัวเราะกับคำพูดของคุณครูสาวที่อยู่หน้าเวที มองที่หนึ่งกับพี่ตุลย์ที่กำลังกอดกันอย่างเก้อเขิน คุยอะไรกันบางอย่างที่มีเพียงแค่เขาสองคนได้ยิน และไม่เกี่ยวข้องกับคนนอกอย่างผม ผมเบือนหน้าหนีจากสิ่งที่ผมไม่มีตรงหน้า วางสายตาที่ภาพของผู้คนที่กำลังทยอยออกมาจากิจกรรม
เอาจริงๆ ไหม? ก็จริงอยู่ที่ผมโตแล้ว โตพอที่ควรจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องครอบครัวแล้ว แต่วันนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กเลย กลับไปเป็นเด็กที่อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์...
“กอดไหม?”
“หะ?” ผมหันขวับมาตามเสียงก่อนจะเห็นพี่ตุลย์ที่กำลังเดินมาพร้อมกับที่หนึ่ง “อะไร?”
“กอดไหม?”
“กอดใคร?”
“กอดฉัน”
“กอดทำไม?”
“เห็นทำหน้าว่าอยากกอดบ้าง”
“ตอนไหน?”
“ตอนที่ฉันกอดอยู่กับที่หนึ่ง”
“ไม่ได้อยากกอดสักหน่อย”
“ไม่ได้หมายถึงอยากกอดฉัน แต่หมายถึงอยากกอด ‘พ่อ’”
ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยด้วยความลืมตัว “ผมทำหน้าแบบนั้นหรอ?”
“อื้ม แล้ว...จะกอดไหม?”
“ไม่อะ” ผมยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแส “ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อีกอย่างพี่ก็ไม่ใช่...”
หมับ!
“...ผมเพิ่งบอกพี่ไปว่าไม่กอด”
“แต่ฉันรู้ว่าอยากให้กอด ฉันไม่ใช่พ่อนายก็จริง แต่ฉันก็เป็นพ่อคนเหมือนกัน คงแทนกันได้อยู่มั้ง”
“หะ” ผมหัวเราะออกมากับตระกะบ้าบอที่ผมไม่เคยได้ยิน ทั้งๆ ที่ผมไม่อยากกอดพี่ตุลย์เลยแต่ไม่รู้ทำไมผมกลับยืนอยู่นิ่งๆ ซุกหน้าลงกับไหล่แกร่งอย่างไม่ขัดขืนแม้ผมจะไม่กอดเขาตอบกลับ
“นายเองก็มีครอบครัวเหมือนกัน ไม่ต้องทำหน้าเศร้าหรอกรู้ไหม” เสียงทุ้มนุ่มนั่นและลมหายใจรดอยู่ข้างหู แต่ผมก็ไม่สนใจมันไปมากกว่าสิ่งที่พี่ตุลย์พูด ทำหน้าเศร้าหรอ? ผมทำหน้าเศร้างั้นหรอ? ผมทำตอนไหนกัน...
“...พี่หมายถึงป้าผมอะหรอ ผมว่าคงไม่ใช่มั้ง ป้าเขาก็มีครอบครัวของป้า ถึงผมจะเป็นหลานแต่ก็คงไม่ใช่ครอบครัวเขาหรอก”
“ฉันหมายถึงครอบครัวฉันต่างหาก
นายอยู่กับฉัน นายก็ต้องเป็นคนของครอบครัวฉันสิ”
“!”
เกลียดว่ะ...พี่ตุลย์กำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอฉิบหาย แม่งเอ๊ย! ผมเนี่ยนะ ผมที่อยู่คนเดียวมาหลายปี ผมที่ต้องดิ้นรนด้วยตัวเองมาตลอด ไม่เคยที่จะร้องไห้งอแงเลยสักครั้ง แต่กลับน้ำตารื้อเพราะคำพูดสั้นๆ แค่นี้อะนะ!
“เงียบเลย ไม่อยากเป็นครอบครัวฉันไง?”
“ยังไม่ได้พูดสักหน่อย ให้ผมเป็นครอบครัวด้วยเนี่ย ถามที่หนึ่งกับตอนต้นก่อนไหม” ผมพูดเสียงอู้อี้ ยิ่งซุกหน้ากับไหล่ของอีกฝ่ายมากขึ้นซ่อนใบหน้าอีกด้านของตัวเองไม่ให้ใครได้มองเห็นทั้งสิ้น
“ลูกฉันคงไม่ว่าอะหรอกมั้ง”
“ก็ไม่แน่นะ” ผมหัวเราะ “ปล่อยผมได้แล้วหน่า อึดอัด”
“ไม่เป็นไร ให้ยืมกอดฟรีหนึ่งวันไม่คิดเงิน” พี่ตุลย์กอดรัดแน่นขึ้นจนแทบขยับแขนไม่ได้ ผมเลยทำได้เพีนงถอนหายใจออกมาแล้วยอมอยู่ในอ้อมแขนนั้นต่อไป
ผมจำความรู้สึกที่กอดพ่อไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่คิดว่าก็คงจะเป็นความรู้สึกแบบนี้ละมั้ง
แข็งแกร่ง อบอุ่น พึ่งพาได้
ผมกลับคอนโดฯ พร้อมกับพี่ตุลย์และที่หนึ่ง หลังจากที่ช่วงเวลาของครอบครัวจบลงความกวนตีนก็เข้ามาทันที ตั้งแต่ขึ้นรถยันถึงหน้าคอนโดฯ ไอ้เด็กที่หนึ่งยังไม่หยุดล้อผมเรื่องแต่งหญิงเลยนี่พูด! บอกว่าอุบาทว์บ้างละ บอกว่าน่ากลัวบ้างละ บอกว่าผมฝักใฝ่บ้างละ นี่ขนาดผมบอกไปแล้วว่าเพราะแกนั่นแหละที่ทำให้ต้องตกอยู่ในสภาพนี้แต่มันก็ยังไม่ยอมหยุดครับ นี่ถ้าไม่ติดว่าจะอนาจารแล้วจะเข้าเรทอาร์นะ ผมนี่อยากจะเอากระโปรงครอบหัวมันมากเลยครับ หมั่นไส้
“เออ พี่ตุลย์ ป้าสร้อยไม่อยู่ ผมไม่อยู่ พี่ไม่อยู่ แล้วใครดูแลตอนต้นอะ?” ผมถามขณะที่เราทั้งสามคนกำลังเดินออกจากลิฟท์ตรงไปยังห้อง B8002
“ฉันโทรเรียกคนมาช่วยอะ” พี่ตุลย์ว่าพลางไขกุญแจห้อง “พี่พลอยไพลินหรอ?”
“เปล่า ถ้าฉันเรียกลินมา สู้ให้ลินไปที่โรงเรียนแทนนายไม่ดีกว่าหรอเอส”
“เอ้า ก็ไม่รู้” ผมยักไหล่ “สรุปพี่เรียกใครมา”
แล้วทันทีที่ประตูไม้อัดสีขาวถูกเปิดออก
“หล่อนเป็นใคร! มากับลูกชายฉันได้ยังไง!”
คุณป้าฮาร์ดคอร์นี่อีกแล้ว!
TBCถึงเอสจะเป็นกระเทยเสาไฟฟ้าอยู่ แต่ฟิลลิ่งครอบครัวได้นะ 5555555555555555
หยุดยาวสิ้นเดือนไปเที่ยวระวังกันด้วยนะ นี่ก็ไปเหมือนกัน เจอกันวันมะรืนครัชชช