เจ้าชายกัยฟาห์กังวลพระทัยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาสามทิวาราตรี ครั้นถึงวันประลองพระองค์ก็บ่นดัง ๆ ว่าจะทำยังไงดีจึงจะเอาชัยในเวทีประลองได้
ฝ่ายพวกพ่อค้าจอมสมคบคิดทั้งหลาย ได้เอาชุดไฟและกำมะถันซ่อนไว้ในแขนเสื้อ บ้างก็นำสารเคมีแปลก ๆ ซึ่งมีเฉพาะในวงการนักเล่นแร่แปรธาตุชั้นสูงในหมู่ชาวอาหรับ เพื่อจัดเตรียมไว้สำหรับโกงการประลอง เมื่อพวกเขาเห็นเจ้าชายร้อนใจก็พากันกลั้นหัวร่อ และรอเวลามาถึงเพียงถ่ายเดียว
ชาวยุทธได้ข่าวการประลองก็มารวมตัวกันแน่นขนัด ทว่าผู้ที่ยืนอยู่บนเวทีประลองก็คือองค์หญิงเทียนมี่ผู้เลอโฉมในชุดนางระบำเปอร์เซีย นางป่าวประกาศแก่ชาวยุทธทั้งหลาย
“หากพวกท่านกล้าดีก็ขึ้นมาบนเวที ถ้าฝีมือต่ำต้อยอย่าได้โทษข้าว่าลงมือหนักไป”
มีพวกหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนกรูขึ้นไปทีละเจ็ดแปดคน ระหว่างปีนขึ้นเวทีประลองที่ทำจากไม้สนยาวมาพาดขวางขัดไปขัดมาเหมือนนั่งร้านหลายชั้นสำหรับก่อสร้างตึกใหญ่ ต่างก็ดึงทึ้งถีบหลังกลั่นแกล้งเพื่อนร่วมประลองกันไปมา
เจ้าหญิงถลึงตาใส่คนที่เข้ามาใกล้นางคนแรกแล้วฟาดแส้ ต่อไปนี้คือการบรรยายจากโฆษก
“องค์หญิงฟาดแส้ออกไปทางซ้ายนะครับ เฉียดคิ้วบัณฑิตพัดขาวไปนิดเดียว อะ..จอมพลังไท่ซานพุ่งเข้ามาแล้ว แต่กินตีนองค์หญิงเข้าไปเต็ม ๆ กลิ้งตกเวทีไป แส้องค์หญิงเหมือนมีตานะครับ พุ่งฉกอ้อมมากระแทกเฮียตี๋ตระกูลซ่งที่กำลังเชิดสิงโตประสานใจกระเด็นไปแล้ว โฮะ..แม้แต่กระบวนท่าโบตั๋นกลีบสุดท้ายของจอมยุทธครึ่งหญิงครึ่งชายก็ยังต้านไว้ไม่อยู่ โอ้โห แผล่บเดียวเวทีประลองเกลี้ยงแล้วครับท่านผู้ชม”
“เข้ามา” องค์หญิงเทียนมี่ร้องอย่างดุดัน
ลามะจักรกรดร่างสูงล่ำหนาท่าทีเยือกเย็นบอกว่าเป็นผู้มีพลังฝีมือสูงก็สะกิดเท้าปราดเดียวเหาะขึ้นเวทีไป
“อาตมามิอาจหักใจขยี้บุปผา หากองค์หญิงมิต้องการบาดเจ็บก็จงยอมแพ้แก่อาตมาแต่เนิ่น ๆ”
“เฮอะ ช่างเขื่องโขนัก” ผู้วิเศษไร้นามเจ้าของสำนักกระบี่สีรุ้งแค่นเสียงจากใต้เวทีพร้อมกับยิงปราณกระบี่ใส่กลางหลัง ทว่าลามะจักรกรดเหมือนมีตางอกเงย หันขวับไปคำรามหมายใช้เสียงต้านปราณกระบี่ องค์หญิงเทียนมี่เห็นเป็นจังหวะดี ลอบใช้ช่วงที่เขาเสียสมาธิ ซัดแส้ออกไปอย่างดุร้าย
ลามะจักรกรดรับศึกสองด้านพร้อมกัน ก็เบ่งพลังจนเสื้อผ้าปริขาด เนื้อตัวเปลี่ยนเป็นสีเขียว เสียงจากโฆษกแว่ว ๆ ว่า
“โอ้โห ที่แท้เดอะ ฮัลค์ก็มาด้วยนะครับ น่าตื่นตาจริง ๆ อ๊ะ!ผู้วิเศษไร้นามเหาะขึ้นไปแล้วครับ ไม่ทันเห็นว่าเปลี่ยนเอากางเกงในมาไว้ข้างนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ จั๊กแหล่ว”
ผู้วิเศษไร้นามเหยียบกระบี่เหินขึ้นไป แล้วยิงปราณกระบี่จากสองตาเป็นแสงเลเซอร์สีแดงพุ่งเข้าโจมตีลามะจักรกรดซึ่งตอนนี้กลายเป็นไอ้ตัวเขียวไปเรียบร้อยแล้ว องค์หญิงเทียนมี่เห็นแล้วเอามั่ง ลอยตัวขึ้นไปบนอากาศแล้วกรีดร้องพร้อมกับปลดปล่อยคลื่นพายุพลังจิตถล่มลานประลองราบเป็นหน้ากลอง
“โอ..ท่านเทพมาสด้า นี่มันเชี่ยอะไรนี่!” เจ้าชายกัยฟาห์สบถเมื่อเห็นการต่อสู้ของพวกยอดมนุษย์ทั้งหลาย
พ่อค้าเปอร์เซียไปซุบซิบกันก่อนได้ข้อสรุปว่า “อย่างนี้ต้องใช้แผน B” ว่าแล้วก็ไปช่วยกันชักลากหีบหนักอึ้งลงมาจากเกวียนสินค้าที่เอามาด้วย แล้วช่วยกันแบกมาวางไว้ตรงหน้าเจ้าชาย
“นี่มัน” เจ้าชายอุทานอย่างตื่นเต้น ที่นอนนิ่งอยู่ในหีบตรงหน้าเขาคือชุดเกราะโลหะสีแดงกับสีทอง ติดอาวุธครบครัน
“พระองค์อยู่นิ่ง ๆ เดี๋ยวพวกข้าพระองค์จะใส่เกราะให้”
พวกพ่อค้าช่วยกันประกอบเกราะให้แก่เจ้าชายกัยฟาห์
ซู่ม! บรึ้ม!! “โอโห ผมไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเลยครับ ไอร่อนแมนเข้าแจมอีกรายแล้ว ยิงขีปนาวุธใส่ลามะจักรกรดเดี้ยงไปรายนึง อู้ฮุ..สะท้อนปราณกระบี่เลเซอร์ของผู้วิเศษไร้นามได้ด้วย ตอนนี้ไอร่อนแมนของเราประจันหน้ากับองค์หญิงแล้ว”
“ประกาศนามของเจ้ามา” องค์หญิงเทียนมี่ร้อง เจ้าชายจึงเปิดหน้ากากครอบ
“เป็นข้าพเจ้าเอง เรามาร่วมมือกันกำจัดหมอนั่นเถอะ” เขาชี้ไปทางผู้วิเศษไร้นามซึ่งเหาะไปมาดูเหตุการณ์ห่าง ๆ
“คนที่น่าชัง ข้ามิได้ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าสักหน่อย”
ว่าแล้วองค์หญิงก็ฟาดแส้อัดพลังจิตใส่เจ้าชาย กัยฟาห์ติดเครื่องเชื้อเพลิงกลางหลังให้แรงขึ้นอีก เหาะหลบการโจมตีของนาง
แส้นั้นทรงพลังมหาศาล ฟาดไปโดนตึกรามบ้านช่องพังระเนระนาด เจ้ากรุงจีนซึ่งส่องกล้องส่องทางไกลแอบมองจากหอคอยในพระราชฐานถึงกับร้องเสียงหลง
“ไอ๊หยา ไอ้พวกนี้มังนึกว่าแสดงเรื่องก๊อกซิงล่าอยู่หรืองายฟะ เล่งกังแบกนี้เดี๋ยวอั๊วก็แปลงร่างเปงอุงตร้าแมงออกไปฆ่าล้างโครตหรอก”
เอาเป็นว่าเราจะละสายตาจากการประลองยุทธที่นับวันยิ่งเพี้ยนเข้าไปทุกที ไปยังกลุ่มอำนาจใหม่อันกำลังเดินทางไปยังลานประลอง
ครั้งนั้นยังมีราชินีแห่งเหล่าญินผู้ชั่วร้าย (Gins, Ginnies) นามว่าสุลตาน่าเจสิกาสรัญจิส แต่กาลก่อนนั้นเจ้าชายกัยฟาห์ได้สวดมนตร์อ้อนวอนให้เทพอาหุระ มาสด้ามาปกปักษ์คุ้มครองตนอยู่เสมอ แต่ในสามวันนี้เจ้าชายรู้สึกว้าวุ่นเกินกว่าจะท่องบทโคลงและบูชาไฟศักดิ์สิทธิ์ ราชินียักษีจึงจำแลงกายเป็นสตรีสะคราญ นับว่างามเลิศล้ำในแหล่งหล้า แล้วแต่งเหล่าบริวารให้กลายเป็นขบวนทูตแห่แหนอย่างยิ่งใหญ่เข้ากรุงจีนมา
ขบวนทูตของสุลตาน่าเดินทางมาถึงบริเวณลานประลอง ก็ถามแก่คนหมู่นั้นว่าเกิดอะไรขึ้น พวกพ่อค้าเปอร์เซียเห็นว่าเป็นชาวอาหรับเหมือนกันก็เข้าไปสนทนา
“แม่นางมาช่วยลุ้นให้เจ้าชายของเราชนะการประลองเถิด”
“เจ้าชายของท่าน เจ้าชายกัยฟาห์ผู้ลือเลื่องแห่งเปอร์เซียหรอกรึ” นางกล่าวเชิงถามจากภายใต้ผ้าคลุมหน้าบางเบาอันพรางความงามหยุดโลกของนางไว้
“ถูกแล้วแม่นาง ว่าแต่แม่นางเป็นขุนนางหรือธิดาเสนาบดีที่ใดเหตุไฉนจึงมีขบวนแห่แหนยิ่งใหญ่นัก”
“ฮ่าๆๆ พวกเจ้าอย่ารู้เลย จะตกใจไปเสียเปล่า ๆ” สุลตาน่าหัวเราะเสียงใส แล้วสั่งให้เหล่าญินบริวารไปร่วมการต่อสู้ด้วย
พวกญินทั้งหลายเป็นพลังธรรมชาติอันเข้มข้นที่ก่อตัวกันเป็นรูปร่าง ยิ่งบริวารชั้นสูงของสุลตาน่าแล้วก็นับว่าพลังน่าสะพรึงกลัว พวกมันสามารถพลิกฟ้าคว่ำดิน เปลี่ยนกลางวันให้เป็นกลางคืน เรียกเมฆหมอกพายุแลสายฟ้า ทั้งเรียกภูตรับใช้ที่น่าสะพรึงกลัวได้มากมาย
พวกญินซึ่งจำแลงกายเป็นมนุษย์เหล่านั้น เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าและประกบคู่กับผู้เข้าร่วมประลองแต่ละคน รวมทั้งองค์หญิงเทียนมี่ด้วย
“เจ้าเป็นใคร” องค์หญิงถามเสียงกระด้าง เมื่อเห็นว่ามีสตรีร่างอ้อนแอ้น สวยงามไม่ผิดกับตนเหาะขึ้นมาเบื้องหน้า
“ข้าคือเงาของท่าน แต่เป็นด้านที่งามกว่า เลิศเลอกว่า แลทรงพลังกว่า”
“ข้าไม่เชื่อ ผู้ใดจะงามไปกว่าข้า! เริ่ดกว่าข้า!! ทรงพลังกว่าข้า!!!” นางตะโกนเสียงดังขึ้นในทุกประโยคและรวบรวมพลังจิตเป็นคลื่นพายุลูกหนึ่งที่ซัดวนรอบตัวดั่งกระแสน้ำเชี่ยว
ญินสตรีผู้นั้นยิ้มเยาะ แล้วสลายเป็นหมอกควัน ก่อนปรากฏในอีกทีหนึ่ง
“ข้าอยู่นี่”
องค์หญิงเทียนมี่กัดฟันกรอด สะบัดแส้ฟาดใส่ แต่นางก็กลายเป็นหมอกหายไปอีก ยิ่งจู่โจมมากเท่าไหร่ ญินนางนั้นก็แยกร่างเงามากขึ้นทุกที พวกนางหัวเราะพร้อมกันฟังน่าขนลุก
“ฮ่าๆๆๆ ท่านจงยอมแพ้เสียเถิด ข้าไม่ชอบฟังเสียงร้องโหยหวนของสตรีด้วยกัน”
องค์หญิงเทียนมี่ฟังแล้วก็สะกิดใจ ก็ยกมือห้าม “ช้าก่อน เจ้าไม่ชอบฟังเสียงร้องของสตรี ฤาจะชอบฟังเสียงครวญครางด้วยความทรมานของบุรุษ”
ญินสาวนางนั้นได้ยินแล้วก็เผยร่างจริงแล้วเหาะเข้าไปใกล้ในระยะสนทนา
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
“เอสเอ็มด้วยกันดมกลิ่นกันออกย่ะ” องค์หญิงเทียนมี่บอก พลางกอดอกเหน็บแส้ “แล้วเจ้ามีวิธีการทรมานผู้ชายยังไงบ้างล่ะ ข้าจะได้เอาไปใช้มั่ง”
ว่าแล้วสตรีสองนางก็พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ประหนึ่งสหายที่จากกันไปนานอยู่ครึ่งค่อนวัน
ฝ่ายเจ้าชายกัยฟาห์นับว่ารับศึกหนักที่สุด
“ว้าย..ตัวเอง ถอดเกราะออกมาสู้กับเค้าสิฮ้า ได้ยินว่าตัวเองเนื้อแน้นแน่นไม่ใช่เหรอ”
“บรึ๋ย” เจ้าชายกัยฟาห์ร้องอย่างสยองขวัญ แล้วพยายามเหาะหนีญินกะเทยที่ไล่ตามมาพยายามจะปลดเปลื้องเกราะของเขาออก สรุปว่าสองรายนี้ก็ไม่ได้สู้กันแต่เหมือนเล่นไล่จับกันมากกว่า
แต่ที่อลังการที่สุดก็คงเป็นคู่ของผู้วิเศษไร้นามกระบี่รุ้งกับญินสมุนมือหนึ่งของสุลตาน่า
“พสุธา พสุธา เตโช เตโช ดาวตกถล่มฟ้า”
ญินร่ายเวทด้วยลูกแก้วธาตุอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าพลันกลายเป็นแน่นขนัดด้วยเมฆสีดำครึ้ม ก่อนจะคายก้อนอุกกาบาตมหึมาสีแดงฉานพุ่งถล่มใส่ผู้วิเศษไร้นาม
“ปราณกระบี่แยกธาตุ” ผู้วิเศษตวาดเสียงกังวานซัดกระบี่ในมือพุ่งชนดาวตกนั้น มันระเบิดดังกัมปนาท พร้อมทั้งสะเก็ดเพลิงปลิวว่อน
ฝ่ายสุลตาร่าเจสิกาสรัญจิสเกิดความเบื่อหน่ายก็เลยบันดาลให้มีพายุทรายมาหอบใหญ่แล้วลอบจับเอาตัวเจ้าชายกัยฟาห์ไปขังไว้ที่ดินแดนของนาง
“อาหุระ มาสด้าทรงโปรด เจ้าชายของเราหายไปไหนแล้ว” พ่อค้าเปอร์เซียทั้งหลายส่องกล้องหากันวุ่น แต่ไม่เห็นหุ่นรบไอร่อนแมนตรงสถานที่ใดแม้แต่น้อย ส่วนองค์หญิงเทียนมี่ก็ประกาศยุติการประลองเมื่อเห็นว่าเมืองเกือบราบเป็นหน้ากลอง พลางเตรียมพระทัยถูกเจ้ากรุงจีนก่นด่าไปอีกสามเดือนครึ่ง
“องค์หญิงโปรดช่วยด้วยเถิด เจ้าชายของพวกเราหายไป” พ่อค้าตัวการซบหน้าลงกับพื้นแล้วเอาผงคลีโรยหัว มีท่าทีทุกข์ร้อนน่าเวทนา
“เอ๊ะ! เมื่อครู่เขาก็ยังสู้กับข้าอยู่เลยมิใช่หรือ”
“แต่เพลานี้หายไปแล้วพระเจ้าข้า”
ทันใดก็มีกระดาษปลิวลงมาจากบนท้องฟ้า เห็นแล้วเขียนด้วยลายมือของสตรีงดงาม ทั้งลงชื่อของสุลตาน่าเจสิกาสรัญจิสไว้
หนึ่งเทพแบ่งเป็นสอง
หนึ่งถือครองซึ่งเปลวไฟ
หนึ่งเร้นร่างหลบใน
รัตติแลอันธการ
หอคอยแห่งความเงียบ
เย็นยะเยียบเปรียบสุสาน
จากชีพข้ามสะพาน
สู่นิรันดร์และอัคคีหากปริศนาสุดท้ายนี้บ่งถึงสถานที่ซึ่งเจ้าชายกัยฟาห์ถูกคุมขังไว้ ท่านคิดว่าท่านจะตามหาเจ้าชายกัยฟาห์พบได้ที่ใด?
ผมถอนใจเฮือกใหญ่เมื่ออ่านจบ จบซะที อยากจะตะบันหน้าไอ้คนเขียนเรื่องนี้จังวะ แม่ง..นับวันยิ่งบ้าบอเข้าทุกที ผมอ่านปริศนาอีกครั้ง อืม..ระบุด้วยว่าเป็นปริศนาสุดท้าย และน่าจะยากที่สุด แต่จากที่ผมเรียนศาสนาเปรียบเทียบมา ข้อนี้โคตรง่ายเลยว่ะ
ผมเข้ากูเกิ้ลอีกครั้ง และค้นหารายละเอียดของคำว่า ‘โซโรอัสเตอร์‘
‘ศาสนาโซโรอัสเตอร์เป็นหนึ่งในศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและยังมีผู้นับถืออยู่ในปัจจุบันนี้ ต้นกำเนิดของศาสนามาจากเปอร์เซียซึ่งเป็นประเทศอิหร่านในปัจจุบัน ชื่อของศาสนามาจากชื่อของศาสดาในภาษากรีกคือท่านโซโรอัสเตอร์ (Zoroaster) และในภาษาเปอร์เซียเรียกว่า ซาราธุสตรา (Zarathustra) หรือหมายความว่า “ผู้เป็นเจ้าของอูฐ”
ความเชื่อหลักของศาสนาโซโรอัสเตอร์คือเชื่อว่ามีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งเดียวคือเทพอาหุระ มาสด้า (Ahura Mazda) ซึ่งเทพอาหุระ มาสด้าได้แบ่งภาคออกเป็นสองคือภาคแห่งความดีและแสงสว่างนามว่าสเปนตา มันยุ (Spenta Mainyu) และเทพแห่งความชั่วร้ายและความมืดนามว่าอังกรา มันยุ (Angra Mainyu)’
วรรคแรกของปริศนากระจ่างแล้วว่าปริศนานี้เกี่ยวข้องกับศาสนาโซโรอัสเตอร์ ผมเลื่อนลงไปดูล่าง ๆ ด้วยรู้สึกว่าหอคอยในปริศนามันดูคุ้น ๆ
‘ชาวโซโรอัสเตอร์ให้ความสำคัญกับธรรมชาติมาก ศพของผู้ตายจะไม่ฝังหรือเผา แต่จะถูกนำไปยังสถานที่ซึ่งเป็นลานโล่ง พื้นที่เป็นรูปวงกลม และมีกองหินล้อมรอบบอกอาณาเขต จากนั้นจะปล่อยให้นกแร้งจิกกินศพเป็นอาหาร ซึ่งสถานที่นี้เรียกว่า หอคอยแห่งความสงบ (Tower of Silence)’
บิงโก..ชัวร์สุด ๆ แล้วว่าใช่ แต่ว่าข้อความวรรคต่อมาทำให้ผมลังเล
‘ชาวโซโรอัสเตอร์มีความเชื่อว่าเมื่อมนุษย์สิ้นชีพ จะต้องเดินข้ามสะพานชินวัตร (Chinvat) หากว่าดวงวิญญาณนั้นกระทำดีมา สะพานก็จะมีพื้นอันอ่อนนุ่มและเต็มไปด้วยกลิ่นหอมพร้อมกับแสงสีที่สวยงาม แต่หากวิญญาณนั้นเป็นวิญญาณที่ชั่วช้าก็จะมีหอกดาบแทงให้ตกลงไปยังนรกใต้สะพาน’
ผมจดรายชื่อหนังสือที่จะค้นหา ‘รู้ทันทักษิณ’ ไว้ในใจ ใครจะรู้ได้ไอ้คนเขียนนิทานนี้ยิ่งเพี้ยน ๆ อยู่ด้วย อาจจะจับโยงกันก็ได้
จากการค้นหาหนังสือผ่านฐานข้อมูล ผมพบหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาโซโรอัสเตอร์สามเล่ม ศาสนาเปรียบเทียบ, ศาสนาทั่วไป และ Religions of the World แต่ว่า ‘รู้ทันทักษิณ’ ไม่ยักกะมีเก็บไว้ในห้องสมุด
แต่มันตงิดใจยังไงก็ไม่รู้ ปริศนาก่อนหน้าก็หลอกให้หลงมาแล้วรอบหนึ่ง ทำท่าว่าจะเป็นหนังสือศาสนาดันกลายเป็นหนังสือปรัชญา ผมลองอ่านเรื่องของโซโรอัสเตอร์เท่าที่มีอยู่บนเว็บอยู่ครู่หนึ่ง
‘ชื่อของศาสนามาจากชื่อของศาสดาในภาษากรีกคือท่านโซโรอัสเตอร์ (Zoroaster) และในภาษาเปอร์เซียเรียกว่า ซาราธุสตรา (Zarathustra)’
“ซาราธุสตรา..ซาราธุสตรา” ผมทวนชื่อของศาสดาในภาษาถิ่นของเขาอย่างครุ่นคิด เคยได้ยินจากที่ไหนน้อ..
ผมลองใช้คำนี้เป็นคีย์เวิร์ดค้นหาในฐานข้อมูลห้องสมุด
พบ 2 รายการ :
คือพจนาซาราธุสตรา
Thus Spoken Zarathustra
ผมถอนใจอย่างโล่งอก ดีนะที่คิดออก ต้องเป็นเล่มนี้แน่ ๆ ที่ผสานปรัชญาและศาสนาไว้ด้วยกัน เพราะถูกเขียนโดยเฟรดดริช นิตซ์เช่ นักปรัชญาชื่อดังชาวเยอรมัน ผมจดที่อยู่ทั้งฉบับภาษาอังกฤษและฉบับแปลไทยเอาไว้ ก่อนหมุนตัวจะเดินไปจากหน้าคอม
..แต่ว่า ผมยังรู้สึกอยู่ดีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผมเคาะหน้าผากตนเองพลางใคร่ครวญว่ามีอะไรทำให้ผมคิดเช่นนั้น นาฬิกาบนผนังกำลังเดินและมันบอกว่าเหลือเวลาไม่ถึงสิบนาทีนาทีก่อนห้องสมุดจะปิดอย่างเป็นทางการ หมายความว่าผมมีโอกาสเพียงครั้งเดียว และผมต้องใช้มันอย่างแม่นยำที่สุด