ครั้นเจ้าหญิงเทียนมี่พลิกร่างของกัยฟาห์ดูก็ตะลึงแลด้วยความหลากพระทัย ด้วยมิคิดว่าจะมีชายใดพิลาศล้ำปานนี้เจียวหนอ
“เจ้าช่างใจร้ายจริง ๆ โบยตีบุตรชายข้าทำไม” พ่อค้าเจ้าของรูปยังคงเล่นละครต่อไป ทหารรักษาประตูที่ช่วยจับโจรเมื่อครู่รีบมาผลักเขาออกมา
“เฮ้ย ไอ้พวกหนวดแดง เจ้าไม่รู้หรือไรว่ากำลังอยู่ต่อหน้าองค์หญิงของเรา”
“จะองค์หญิงหรืออะไรก็เถอะ ทำบุตรชายข้าเจ็บถึงปานนี้จะให้ข้าเฉยได้อย่างไร”
องค์หญิงเทียนมี่ยกหัตถ์ขาวผ่องขึ้นห้าม
“ช้าก่อน เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร ฝีมือแส้ของข้าฝึกถึงขั้นใช้ออกรั้งเข้าได้ตามสำนึก ทั้งชีพจรของเขาก็บอกว่าเขามิได้สลบอยู่ เจ้าจะแกล้งสลบต่อหรือจะให้ข้าตบเรียก” วรรคท้ายนางหันไปกล่าวกับกัยฟาห์ซึ่งบัดนี้ลืมตาบ๊องแบ๊ว
“แม่นางใจร้ายยิ่งนัก ข้าพเจ้าสลบไปชั่วครู่ก็เพราะความงามของแม่นาง ไยจะตบซ้ำให้ข้าพเจ้าต้องแทบกระอักเลือดตายเพราะแก้มอันมีวาสนาของข้าพเจ้าจะได้สัมผัสมืออันอ่อนนุ่มของแม่นางอีกอย่างนั้นหรือ”
“ดีมากบุตรเรา นางถูกเจ้าเกี้ยวจนแก้มแดงดั่งลูกท้อแล้ว” พ่อค้าจอมบงการเชียร์ใส่
“เจ้า!” องค์หญิงเทียนมี่ตวาด “บุตรประเสริฐมิอาจเกิดจากบิดาสุนัขจริง ๆ”
เจ้าชายกัยฟาห์ทำหน้าปูเลี่ยน ๆ แล้วหันไปคารวะแก่พ่อค้า “ท่านพ่อ โปรดอย่าต่อล้อต่อเถียงกับนางอีกเลย ใครใช้ให้ผู้บุตรเอาหลังไปขวางแส้นางไว้เล่า”
“เจ้าจะบอกว่าข้าผิดใช่หรือไม่” องค์หญิงกล่าวเสียงเย็น
“นั่นเป็นวาจาที่ท่านกล่าวเอง” ลูกชายกำมะลอของพ่อค้ากล่าวเสียงนุ่ม ก่อนประสานมือคารวะองค์หญิงตามธรรมเนียมตงง้วน “โบราณว่าวิกาลยาวนานฝันยุ่งเหยิง พวกของข้าพเจ้ามิต้องการตอแยหาเภทภัยใส่ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเภทภัยที่มาจากองค์หญิงดุร้าย ก็ขอลาองค์หญิงด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง”
ว่าแล้วเจ้าชายก็นำพวกพ่อค้าเปอร์เซียเดินจากไปจากตรงนั้น ทิ้งให้องค์หญิงแสนสะคราญขยี้เท้าด้วยความหงุดหงิด
ครั้งนั้นเจ้าหญิงเทียนมี่กลับมาที่ราชวังก็ถูกเจ้ากรุงจีนเรียกตัวไปดุด่าว่ากล่าว
“งามหน้านัก ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองต่างก็โจษจันว่าเราอบรมธิดาไม่ดี ปล่อยให้ออกไปหัวหกก้นขวิดดั่งเด็กไร้พ่อไร้แม่”
“แล้วท่านพ่อจะให้หม่อมฉันนิ่งดูดายหรืออย่างไร เมื่อเห็นโจรผู้ร้ายลงมืออย่างอุกอาจ หม่อมฉันจึงยื่นมือเข้าช่วยด้วยหมายแบ่งเบาราชกิจของท่านพ่ออีกแรง” นางโต้แย้งอย่างไม่กลัวอาญา
“คุกเข่า!” ฮ่องเต้ตวาด นางกระแทกตัวลงพื้นดังโครมด้วยความเกรงในพระราชอำนาจ “ผู้ใดสั่งสอนเจ้าให้กระด้างกระเดื่องเช่นนี้ ข้าอบรมเจ้าอยู่ เจ้ามาสอดปากมันใช้ได้ที่ไหนกัน”
“ท่านพ่อ..”
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีก ดีล่ะ..ในเมื่อข้าควบคุมบังคับเจ้าไม่ได้ ข้าก็จะแต่งเจ้าออกไปให้พ้น ๆ เสีย ไปอยู่กับอ๋องเผ่าซงหนูหรือพวกธิเบตเจ้าน่าจะพอละพยศลงบ้าง”
“ไม่นะ..ข้าไม่แต่งงานเป็นอันขาด” องค์หญิงเทียนมี่ร่ำร้องเสียงหลง ฮองเฮาซึ่งขึ้นมาแทนที่มารดาผู้ล่วงลับขององค์หญิงยิ้มเยาะมุมปาก ก่อนจะตีบทงิ้วหน้าขาว
“พระองค์อย่าได้บังคับจิตใจของนางเลย แม้นางไม่อยากแต่งก็อย่าให้นางแต่งเถิด”
ฮ่องเต้ตบโต๊ะดังปัง “เจ้าอย่าได้ตามใจนาง เพราะนางไม่มีผู้ควบคุมจึงพยศอยู่อย่างนี้”
“กระนั้นก็อย่าได้ฝืนใจบุตรสาวของท่าน นางอาจจะมีชายในดวงใจอยู่แล้ว ท่านลองค่อย ๆ ไถ่ถามนางดูเถิด”
ฮ่องเต้ฟังแล้วก็ถลึงตา “ที่ฮองเฮาพูดน่ะจริงมั้ย เจ้าออกไปคบหากับพวกชาวยุทธข้างนอกหรือจะพาพวกไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาเป็นราชบุตรเขย ห๊ะ!”
“หม่อมฉันมิกล้า” องค์หญิงเทียนมี่กล่าวไป ในห้วงหทัยก็ปรากฏภาพหนุ่มตาคมชวนฝันที่นางเจอหน้ากำแพงเมืองเมื่อเช้าขึ้นมา
“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องทำตามคำสั่งของข้า ข้าจะแต่งทูตออกไปตามอาณาจักรต่าง ๆ เพื่อหาราชบุตรเขยที่ป่าเถื่อนดุร้ายพอ ๆ กับเจ้า ดีไหมล่ะ”
เจ้าหญิงเทียนมี่ลุกขึ้นมาว้ากเพ้ยทันที “ถ้าท่านพ่ออยากได้ลูกเขยป่าเถื่อนจริง ๆ หม่อมฉันก็จะหาให้ท่านคนหนึ่ง และขบวนทูตก็อย่าจัดเลยมันสิ้นเปลืองนัก แลทำให้โลกร้อนอีกประการ อย่ากระนั้นเลยท่านพ่อโปรดทรงให้มีการจัดเวทีประลองเลือกคู่ ส่งเทียบเชิญชาวยุทธทั้งแผ่นดิน ดูว่าใครฝีมือเลิศล้ำที่สุดก็ได้หม่อมฉันไป เช่นนั้นจึงจะป่าเถื่อนสมใจท่าน”
“ประเสริฐ..ประเสริฐ..ประเสริฐนัก” เจ้ากรุงจีนร้องอย่างขุ่นแค้น ก่อนสะบัดหน้ากลับเข้าห้องไป
เจ้าชายกัยฟาห์เป็นคนแรก ๆ ที่ได้ข่าวประลองเลือกคู่ เพราะพ่อค้าเจ้าของรูปผู้เป็นโต้โผใหญ่หรืออีกนัยลุงหนวดแห่งราชอาณาจักรเปอร์เซีย ได้ฉีกใบประกาศมาถวายเจ้าชาย
“พระองค์โปรดดู พระผู้เป็นเจ้าได้ชักนำพวกเรามาในจังหวะเหมาะยิ่งนัก นางถึงกับจัดงานประลองเลือกคู่ในอีกสามวันข้างหน้าพอดี”
“โอ..เป็นดังที่ท่านกล่าว นับว่าน่าปลาบปลื้มใจ” เจ้าชายนิ่งไปครู่อย่างใคร่ครวญ “แต่ข้าพเจ้ามิมีวรยุทธแม้เพียงน้อย จะสู้กับเหล่านักบู๊ตงง้วนได้อย่างไร”
พ่อค้าฟังแล้วก็ทูลต่อว่า “ข้าพระองค์ได้ยินมาว่าในราชสำนักเปอร์เซียมีเคล็ดวิชายูนิเวิร์ส-แกรนด์ชิพท์อันลือเลื่อง ไฉนจะต่อกรกับเหล่าวิชาของชาวจีนมิได้”
เจ้าชายกัยฟาห์แลบลิ้นอย่างลำบากใจ “เรียนตามตรง ตัวข้าพเจ้ายิ่งมานับว่ายิ่งเกียจคร้าน เคล็ดวิชาอันใดข้าพเจ้ามิได้ฝึกทั้งสิ้น มีก็แต่ฝีมือวายุเปิดกระโปรงอันท่านปรมาจารย์โคทาโร่แห่งเกาะพู้ซึ้งได้ถ่ายทอดไว้”
“ดีล่ะ เพียงท่านั้นประการเดียวข้าพระองค์ก็เห็นทางเอาชัยได้แล้ว ขอพระองค์โปรดอย่าทรงกังวล ทุกอย่างจะเรียบร้อย” ว่าแล้วพ่อค้าตัวการก็รีบออกไปจากห้องพักของเจ้าชายโดยพลัน
พ่อค้าเจ้าปัญญาออกมาแล้วก็ไปสั่งคนของตัวให้ค้นเอาชุดนางระบำเปอร์เซียอันถักทออย่างประณีตจากด้ายทองคำบริสุทธิ์ แลล้วนด้วยอัญมณีเม็ดเล็ก ๆ ทว่าล้วนน้ำงามอย่างเอกอุ ประดับพราวทั่วประหนึ่งน้ำค้างยามอรุณ (ชุดลิเกป่าววะ -*-) แล้วจึงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณอย่างดี เรียกตัวทาสผิวดำคุนลุ้นให้ช่วยกันแบกหีบเครื่องหอมแลเครื่องเทศแล้วเข้าไปขอพบองค์หญิงเทียนมี่ที่วัง
“เป็นเจ้าอีกแล้วเหรอ” นางร้องด้วยท่าทีขุ่นเคือง ทว่าลอบยินดีที่ได้พบกับบิดาของบุรุษที่ตนแอบชอบอยู่
“ช้าก่อนองค์หญิง ข้าพระองค์มาอย่างทูตในฐานะเอกอัครราชทูตลับแห่งราชอาณาจักรเปอร์เซีย”
นางทวนด้วยน้ำเสียงสงสัย “ทูตลับ..เจ้ามีธุระอันใดกับข้า”
"ข้าพระองค์ฝากความปรารถนาดีให้องค์หญิงแทนเจ้าชายกัยฟาห์ ด้วยชุดงดงามจากห้องเสื้อนำสมัยของเปอร์เซียเรา และเครื่องหอมอันเราได้นำเข้ามาจากปารีสโดยตรง”
“ข้าไม่รู้จักเจ้าชายกัยฟาห์”
“บุรุษใดที่ท่านโบยด้วยแส้เมื่อเช้า ผู้นั้นแลคือเจ้าชายของอาณาจักรเรา”
“เจ้าจะบอกว่าโจรลักล้วงเคราดกเมื่อเช้าคือเจ้าชายกัยฟาห์ของเจ้าน่ะรึ” องค์หญิงแกล้งทำไก๋ แต่ใจก็ลอบเต้นระทึก เหมือนกับนางเอกนิยายน้ำเน่ายามที่พบว่าพระเอกคือลูกชายมหาเศรษฐีปลอมตัวมาลองใจเธอ
“องค์หญิงอย่าได้ล้อเล่น เจ้าชายของเรารูปงามยิ่งนัก กริยาวาจาผึ่งผาย ใบหน้าคมสัน ซ้ำยังโออ่าอัครฐาน ไหนเลยจะต่ำช้าดังโจรลักล้วงที่องค์หญิงเอ่ยอ้างไม่”
“ข้าเพิ่งรู้ว่าลิ้นของพวกเคราแดงนี่น่ากลัวนัก ถึงกับเติมปีกวาดขาให้กับงูดิน ถ้าเจ้าชายของเจ้าคือบุรุษหนุ่มที่แกล้งสลบเยี่ยงสตรีขวัญอ่อนเมื่อเช้า ก็นับว่าโอ้อวดเกินไปแล้ว”
พ่อค้าหัวเราะเบา ๆ ในคอ “ต่อให้ผู้กล้าจากดินแดนไหนเมื่ออยู่ต่อหน้าวีรสตรีเช่นองค์หญิงก็มีแต่ต้องสยบแทบชายกระโปรงของท่าน”
“เพ้ย อย่าได้พูดจาเหลวไหลเลอะเทอะ” นางด่าอย่างไม่จริงจัง ทั้งลอบอมยิ้มที่ถูกยกยอ
พ่อค้าตัวดีเห็นว่าตีถูกจุดก็กล่าวต่อไป “เช่นนั้นเจ้าชายของเราจึงมีรับสั่งให้ข้าพระองค์นำชุดงดงามชุดนี้มาเพื่อแสดงความเคารพยกย่องในความกล้าหาญและวรยุทธอันสูงเยี่ยมของท่าน”
เขาโบกมือเรียก ทาสผิวดำก็หยิบชุดออกมาแสดงให้องค์หญิงดู
“แต่ว่ามัน..” องค์หญิงอึกอักใบหน้าแดงฉาน “มันค่อนข้างจะโป๊”
“สตรีในเปอร์เซียก็ล้วนแต่สวมใส่เช่นนี้ พวกนางมิขวัญอ่อนเช่นสตรีในตงง้วนดอก”
องค์หญิงฟังแล้วก็สะบัดแส้เฆี่ยนม้าที่เหน็บเอวอยู่ ตวัดเอาชุดนางระบำสุดสยิวไปไว้ในมือในพริบตา
“ข้าจะพิสูจน์ให้ดูว่าสตรีตงง้วนหาใช่ขวัญอ่อนดังที่เจ้ากล่าว”
พ่อค้าตัวแสบยิ้มน้อย ๆ แล้วประสานมือกล่าวลา “เจ้าชายของเราจะมายลพระสิริโฉมขององค์หญิงอีกครั้งในงานประลองเลือกคู่อีกสามวันข้างหน้า บัดนี้ข้าพระองค์ขออำลา”
--ปล. เรื่องนี้เรื่องสุดท้ายกับปริศนาสุดท้ายแล้วครับ
