อะหมัดอาศัยความเฉลียวฉลาดของตน ลอบเข้าไปจนถึงตำหนักของพระชายา และมองหาสตรีที่งามที่สุดในตำหนัก เขาพบเห็นแล้วจึงเข้าไปจู่จับตัวไว้ และกระซิบถามนางเบา ๆ
“ท่านใช่ไหมที่เป็นชายาของสุลต่านดาวูด”
นางผู้นี้เป็นนักขับร้อง มีความถือดีว่ารูปงามเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินจึงหน้าบึ้งตึงใส่ชายหนุ่มแปลกหน้า
“ข้ามินึกว่านอกจากองค์สุลต่านที่มีพระเนตรมืดบอด เจ้าเองก็มืดบอด หามองออกไม่ว่าสตรีงามคืออะไร ชายาของสุลต่านเมื่อเทียบกับเราก็คือกองผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ กองหนึ่ง ถ้าเจ้าอยากพบนางนักล่ะก็ลองมองหาผู้ที่อัปลักษณ์ที่สุดในตำหนักดูสิ”
ว่าแล้วนางนักร้องผู้นั้นก็ผลักอะหมัดออกและวิ่งหนีไป พอดีกับที่แม่นางดอกบัวน้อยเดินออกมา อะหมัดเห็นเข้าก็เข้าไปถามด้วยคำถามเดิม แม่นางดอกบัวน้อยยอมรับว่าใช่ และถามเขาว่าเข้ามาได้อย่างไรและเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง อะหมัดประทับใจในตัวของพระชายาที่ไม่ถือพระองค์และดูไม่หัวกลวงเหมือนแม่สาวนักขับร้องเมื่อครู่ เขาจึงเล่าเรื่องราวให้ฟังจนหมดเปลือกว่าตนเป็นใครมาจากที่ไหน และเมื่อเล่าถึงเรื่องที่เพิ่งเจอกับนางนักขับร้องรูปงามเมื่อครู่ แม่นางดอกบัวน้อยก็ก็อุทานอย่างตกใจ
“อนิจจา เจ้านำพาภัยพิบัติกรายมาถึงศีรษะของตนแล้ว นางเนริชาห์ผู้นั้นริษยาในตัวเราอยู่ที่ได้เป็นชายาของสุลต่าน เห็นทีเรื่องที่เจ้าเข้ามาคงจะไม่อาจปิดบังได้ เจ้าจงรีบไปจากที่นี่เสียเถิด ก่อนที่สุลต่านจะทรงมาพบเห็นเจ้า”
ทว่าอะหมัดไม่ทันลุกขึ้น นางกำนัลคนสนิทของแม่นางดอกบัวน้อยก็รีบมาแจ้งโดยพลันว่าสุลต่านกำลังเสด็จมาที่ตำหนัก นางจึงลุกขึ้นไปที่หีบเสื้อผ้าและเอาเสื้อผ้าออกไป จากนั้นบอกอะหมัดให้เข้าไปซ่อนตัวในนั้น ก่อนจะเอาเสื้อผ้าเหล่านั้นให้นางกำนัลคนสนิทแบกไป
“โสฟี เจ้าจงหอบผ้าเหล่านี้ไป แม้นใครถามก็บอกว่าพระชายาให้เจ้านำไปซักเพราะเปื้อนฝุ่นราเหม็นอับ ยามเมื่อผ่านสุลต่านจงอย่าได้มีพิรุธ แลอย่ารีบร้อนอันใด แล้วพวกเราจะปลอดภัย”
โสฟีรับบัญชาของพระนางและหอบเสื้อผ้าของนางออกจากห้อง นางดอกบัวน้อยหับหีบไว้ตามเดิม จากนั้นจัดแจงห้องให้เรียบร้อยรอต้อนรับสวามี
ไม่นานสุลต่านดาวูดก็เข้ามาถึงห้องของพระชายา พระองค์มีพระพักตร์ถมึงทึง และเมื่อเข้ามาก็เดินไปก้มทอดพระเนตรใต้ที่บรรทม หลังม่าน ไม่เว้นแต่ในห้องสรงส่วนตัวของชายา
“พระองค์กำลังทรงค้นหาสิ่งใดหรือเพคะ” แม่นางดอกบัวน้อยถามหน้าซื่อ
“ฮึ ข้าค้นหาสิ่งใดเจ้าก็รู้อยู่กับอก ชายชู้ที่ลักลอบเข้ามาของเจ้าตอนนี้อยู่ที่ใดแล้ว จงรีบตอบมาก่อนที่ข้าจะใช้ทัณฑ์ทรมานให้เจ้ารับสารภาพ”
นางยิ้มสู้เสือและใช้น้ำเสียงปลอบประโลมกล่าวแก่สุลต่าน “หญิงที่มีชู้ธรรมดาแล้วก็เพราะสามีมีที่บกพร่อง และเฟ้นหาชายชู้ที่ยอดเยี่ยมกว่าในทางใดก็ทางหนึ่ง”
สุลต่านหนุ่มพิโรธมากขึ้นแต่ไม่ทันที่พระองค์จะกล่าวอันใด แม่นางดอกบัวน้อยก็กล่าวต่อ
“แต่หม่อมฉันมิเห็นว่าพระองค์จะบกพร่องอันใด ทั้งชายในใต้หล้านี้ที่จะประเสริบกว่าพระองค์ก็หามีไม่ การมีชู้ในสายตาของหม่อมฉันจึงเป็นกิจอันว่างเปล่าไร้สาระ ควรหรือที่พระองค์จะต้องทรงหนักพระทัยกับเรื่องที่ถูกสตรีอื่นเป่าหูมาเช่นนี้”
“เจ้ารู้ได้ไงว่ามีสตรีฟ้องข้าเช่นนี้”
นางสรวลเสียงใสกังวาน “อันสตรีย่อมรู้จักสตรีชัดแจ้ง พระองค์จำมิได้หรือว่าข้าพเจ้าเคยอยู่ในสถานที่อันคับแคบแลเต็มไปด้วยความริษยาเช่นคฤหาสน์ของปอเชียร์รองแห่งอียิปต์มาก่อน”
สุลต่านดาวูดคิดได้ก็ถอนหายใจ
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ก็ควรอยู่ ข้าวู่วามไปเอง” เขาเข้าไปตระกองกอดชายาของตนไว้แนบอก “ที่ข้าอารมณ์ร้อนเช่นนี้ก็เพราะข้ารักเจ้ามาก จนมิอาจทนคิดได้ถึงการที่เจ้าจะถูกต้องสัมผัสกับชายอื่น ข้าหวงเจ้านัก หากเป็นไปได้ข้าจะพาเจ้าหลบไปอยู่ในตำหนักบนยอดเขาที่มีแต่สองเราเคียงคู่”
“แต่กระนั้นญินและมลาอิกะห์ทั้งหลายก็ยังเห็นหม่อมฉันนี่เพคะ”
“เฮ้อ..เจ้านี่ช่างฉลาดพูดนัก” สุลต่านลูบเรือนผมดำขลับของนางอย่างทะนุถนอม เขากล่าวต่ออย่างใจลอย “แต่บางครั้งข้าก็ระแวงเจ้า เจ้าครองคู่กับข้าเพราะตัวข้าจริง ๆ หรือเป็นเพียงเพราะสิ่งที่ข้าเป็นกันนะ”
ทันใดนั้นอะหมัดซึ่งอยู่ในหีบเกิดคัดจมูกกะทันหัน เขาพยายามปิดปากไว้ไม่ให้จาม แต่ก็ปิดไม่อยู่ สุลต่านสะดุ้งด้วยความตกใจ และรีบรี่เข้าไปที่หีบเสื้อผ้า พระองค์เปิดหีบออกมา..
อะหมัดตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อสุลต่านผู้โกรธเกรี้ยวชักพระแสงดาบโค้งออกมาแล้วเงื้อง่าจะฟันเขา นางดอกบัวน้อยเห็นแล้วรีบไปยื้อยุดพระพาหาของพระองค์ไว้
“ทรงกรุณาด้วย ชายหนุ่มผู้นี้มิได้มีความผิดอันใด เขาหลงเข้ามาในราชฐานด้วยความเข้าใจผิด หม่อมฉันจึงให้ที่ซ่อนตัวแก่เขาชั่วคราว”
สุลต่านกระชากแขนแล้วตบหน้านางจนลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น
“เจ้าอย่าคิดว่าข้าโง่นัก จับชายชู้ของเจ้าได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ยังมีหน้ามาโป้ปดอีก”
“หม่อมฉันพูดความจริงทุกประการ พระองค์โปรดเชื่อหม่อมฉันเถิด”
“ข้าไม่อยากฟังลิ้นสองแฉกของเจ้าอีกต่อไป ทหาร! มาลากไอ้อีสองตัวนี้ออกไปกุดหัวเสียให้สิ้น”
ทหารรักษาพระองค์วิ่งเหยาะ ๆ เข้ามา เขารู้ว่าสุลต่านรักนางผู้นี้มากจึงยังลังเลมิกล้าจับตัวนางขึ้นมา ได้แต่ยืนล้อมนางไว้เท่านั้น
“ข้าสั่งพวกเจ้าว่าอะไร จงปฏิบัติตามคำสั่งข้า ถ้าใครขัดขืนข้าจะประหารให้สิ้น”
อะหมัดได้ยินดังนั้นก็ก้าวออกมาจากหีบ แล้วซบหน้าอยู่กับพระบาทของสุลต่าน “พระองค์ได้โปรดเถิด หากพระองค์อยากประหารข้าพเจ้าก็ประหารไปเพราะข้าพเจ้ารู้ตัวดีว่าการบุกรุกในเขตราชฐานมีโทษถึงตาย แต่อย่าได้ทำร้ายชายาของพระองค์ นางเป็นผู้บริสุทธิ์และทรงคุณค่าอย่างยิ่ง แม้หม่อมฉันได้สนทนาพูดคุยกับนางไม่กี่คำก็ชื่นชมยิ่งนัก มิอาจหักใจเห็นพระองค์ทำลายนางให้แหลกลาญไปได้”
สุลต่านดาวูดง้างพระบาทเตะอะหมัดจนกลิ้งไปอีกทางแล้วชี้หน้าบริภาษ “ชายชู้อย่างเจ้าแม้แต่ตัวยังจะเอาไม่รอดยังมีหน้ามาปกป้องหญิงแพศยานางนี้อีก เหอะ..เห็นแก่ที่พวกเจ้ามีน้ำใจรักมั่นต่อกัน ข้าจะให้พวกเจ้าผลัดกันเชือดเนื้อเถือหนังกันเองจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง”
“ท่านสุลต่าน” นางดอกบัวน้อยลุกขึ้นจากพื้นเชิดหน้ากล่าวกับเขาอย่างแข็งกร้าว “หม่อมฉันรู้ดีว่าวันนี้หม่อมฉันคงมิอาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้เพราะพระองค์พระทัยร้ายยิ่งนัก แต่หม่อมฉันขอประท้วงในการที่พระองค์จะประหัตประหารอย่างทรมาน เพราะแม้แต่แพะและแกะก็ยังต้องเชือดคอโดยกล่าวนามของพระผู้เป็นเจ้า แล้วหม่อมฉันเป็นอะไรพระองค์จึงจะลงโทษด้วยวิธีการของไซตอนเช่นนี้”
“ถ้าเจ้าอยากไปสบาย ข้าก็จะประทานให้เจ้าสมดังคำขอ”
“นี่เป็นสิทธิของข้าพระองค์ในฐานะชีวิตที่ได้รับจากองค์พระอัลเลาะห์ แต่สิ่งที่หม่อมฉันร้องขอคือหม่อมฉันต้องการเล่านิทานให้พระองค์ฟังเป็นครั้งสุดท้าย ” นางพูดแล้วก็น้ำตาไหล “เพื่อในยามที่หม่อมฉันจากไปจะได้สามารถปลอบประโลมตนเองด้วยความทรงจำถึงดวงพักตร์ของพระองค์ยามที่รับฟังเรื่องราวของหม่อมฉัน”
สุลต่านดาวูดฟังแล้วก็สะท้อนในหัวอก หทัยอ่อนยวบขึ้นมาเมื่อนึกถึงแต่ละราตรีที่นางเล่าเรื่องราวมากหลายให้พระองค์ฟัง พระองค์จึงโบกพระหัตถ์ให้ทหารถอยไป แล้วแม่นางดอกบัวน้อยก็เล่าเรื่องถวายสุลต่านอีกเรื่องอันปรากฏว่าเป็นเรื่องของเจ้าชายกัยฟาร์กับเจ้าหญิงเทียนมี่

ไปนอนล่ะ นิทานคืนนี้จบแค่นี้ครับ
