นางแย้มยิ้มอย่างเฉิดฉันท์อีกครั้งแล้วเริ่มขับร้องบทเพลงอีกบท
ดุจประทีบส่องสร้าน มรรคา
คมยิ่งคมศาสตรา ดาบมีด
หากสมิงซ่อนพนา ชาญป่า จริงแล
เสาะที่ตามสังคีต ปราชญ์ใช้ซุ่มตัว” “ปริศนาอีกแล้วเหรอ” ผมถามเมื่อไอ้แสบท่องโคลงจบ
ไอ้ทีมถามทันที “สังคีตคืออะไรอ่ะพี่”
“แปลว่าเพลงไง ในเนื้อเรื่องว่ายัยดอกบัวร้องเป็นเพลง แต่แค่ท่องกูว่ายังยากเลย มันจะร้องอีท่าไหนวะ” ผมบ่นอย่างไม่จริงจัง
“เอาเถอะพี่ อย่าเสียเวลาเลยรีบ ๆ ไขปริศนาเถอะ”
ผมโบกไม้โบกมือ “เฮ้ย..ไม่ต้อง ๆ พวกมึงรีบไสตูดไปขึ้นจักรยานแล้วเตรียมตัวตามกูมาได้เลย”
“ไปไหนอ่ะพี่”
“หอสมุดไง” ผมตอบอย่างมั่นใจ
พวกเรามาถึงหน้าหอสมุด และสังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าหอสมุด สาวสวยแห่งแกงค์นางฟ้า
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่สนามประลองสุดท้าย” ลูฟี่ทักทายพวกเราด้วยน้ำเสียงแจ่มใสและรอยยิ้มเป็นมิตร
“พวกมึงจับไอ้กายไปไว้ที่ไหน”
“อย่ารีบร้อนนักสิคะคุณ เกมเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง และดิฉันขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ดิฉันชื่อลูฟี่เป็นผู้พิทักษ์ประตูและเป็นผู้อธิบายกฎการเล่นให้ท่านได้รับทราบ ต่อไปนี้จะเป็นการไขปริศนาในห้องสมุดโดยท่านจะต้องค้นหาหนังสือที่ระบุไว้ตามปริศนา และคำใบ้ต่อไปจะซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มนั้น ไม่ทราบว่าต้องการให้ดิฉันทวนอีกรอบไหมคะ”
“ต่อเลย” ผมบอก
“อย่างไรก็ตามด่านนี้มีข้อจำกัดอยู่ค่ะ เนื่องจากเราไม่ต้องการให้อึกทึกเกินไปนัก จึงขอความกรุณาให้แต่ละทีมส่งตัวแทนเข้าไปเพียงคนเดียว และเราจะมีเวลาในการไขปริศนาให้ท่านอีกเพียงสองชั่วโมง อ๊ะ ๆ ไม่ใช่ความใจร้ายของเราที่กำหนดเวลาแค่นั้นนะคะ แต่เนื่องจากว่าห้องสมุดจะปิดทำการพอดี ซึ่งหากท่านชักช้าเจ้าชายกัยฟาร์ก็จะตกเป็นของสุลตาน่าเจสิกาสรัญจิสไปตามระเบียบ จะให้ดิฉันทวนอีกครั้งไหมคะ”
“ไม่ต้อง” ผมหันไปหาเหล่าลูกสมุน “กูจะเข้าไปนะ พวกมึงรอข้างนอกได้ป่าว”
“ทีมเข้าไปไม่ได้เหรอพี่ ทีมก็ห่วงไอ้กายเหมือนกัน”
“มันไม่ใช่เรื่องว่าใครห่วงใครมากหรือน้อยกว่ากันนะทีม แต่มึงต้องยอมรับสิว่าใครที่มีโอกาสในการแก้ปริศนามากกว่ากัน”
“ให้ผมไปดิ” ไอ้แสบประท้วง “ผมแก้ปริศนาได้ตั้งสองครั้งนะเออ”
“มึงน่ะฉลาดแต่ไม่เฉลียว กูไม่ไว้ใจเว้ย ไม่รู้ล่ะยังไงกูก็ต้องเป็นตัวแทนไป”
“ก็ได้พี่ ตามใจพี่เถอะ” ไอ้ทีมว่าแล้วกอดอกทำท่างอน ๆ ไม่เข้ากับคนตัวโต ๆ อย่างมันเลยเว้ย
“สรุปว่าได้ตัวแทนแล้วใช่มั้ยคะ นี่เบาะแสแรกค่ะ” ลูฟี่ยิ้มให้พลางยื่นแผ่นกระดาษให้แก่ผม ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้และยื่นใบหน้ามากระซิบข้างหู “และสำหรับพี่แทนขวัญใจของเจ๊เจสซี่ ลูฟี่จะแนะนำให้พี่แทนลองใช้ระบบค้นหาผ่านเครือข่ายฐานข้อมูลของห้องสมุดดูนะคะ มันจะช่วยย่นเวลาให้พี่แทนได้มาก”
“ขอบใจ” ผมตอบเบา ๆ แล้วก้าวอาด ๆ เข้าไปในหอสมุดทันที
ผมรู้ดีว่าปริศนาจะอยู่ข้างท้ายของกระดาษ และถ้าผมต้องการทำเวลา ก็เพียงแค่เลื่อนไปดูช่วงสุดท้ายของคำใบ้ยาวเหยียดนั้นเลยก็ได้ แต่เรื่องราวของสุลต่านดาวูดกับแม่นางดอกบัวก็น่าสนใจไม่น้อย ผมจึงถูกล่อหลอกให้เสียเวลาอ่านเรื่องราวนั้นต่อไป
สุลต่านดาวูดคิดอยู่พักหนึ่งก็กล่าวว่า “เปลวไฟหมายถึงชีวิต แต่แสงสว่างหมายถึงความรู้แจ้ง และอาวุธที่คมที่สุดก็คือลิ้น ข้าไม่แน่ใจว่าสองวรรคแรกในเพลงของเจ้าหมายถึงอะไรกันแน่”
“ประทีปหมายถึงปัญญาเพคะ แต่ปัญญาก็เนื่องด้วยลิ้น เพราะลิ้นเป็นที่แสดงความชาญฉลาดและความโง่เขลาได้ดีที่สุด”
นางไขปัญหาถวายสุลต่านซึ่งสุลต่านก็ถามต่อ
“วรรคที่สามและสี่เจ้าเปรียบเทียบได้คมคายดี หากเสือซ่อนอยู่ในป่า แล้วปราชญ์จะซ่อนอยู่ในอะไร แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังไม่สามารถไขปริศนาข้อนี้ออกได้อยู่ดี”
นางยิ้มนิด ๆ ไม่ได้เย้ยหยัน เพียงทำให้คู่สนทนารู้สึกสบายใจ
“ธรรมดาปราชญ์มักอยู่กับตนเองเพื่อพิเคราะห์ความคิดของตน ปราชญ์เลี่ยงที่อึกทึกและคนหมู่มาก เนื่องหากปล่อยให้ความคิดของคนหมู่มากครอบงำเขาก็จะสูญเสียความเฉียบแหลม ปราชญ์พึงใจจะสนทนาวิสาสะกับปราชญ์ด้วยกันเพื่อประเทืองสติปัญญาให้เจริญยิ่งขึ้น แต่ตัวหม่อมฉันเองนั้นเมื่อยามอยู่ที่อียิปต์ก็เหมือนอยู่ต่างชาติต่างภาษา ยากจะหาผู้สนทนาวิสาสะได้ จึงได้แต่พูดคุยกับเมธีทั้งปวงผ่านห้วงเวลาและอักขระอันจารึกอยู่ในปูมบันทึกต่าง ๆ และสถานที่เก็บบันทึกทั้งหลายที่นั้นเรียกว่าห้องสมุด”
“อ้อ ที่แท้ลิ้นอันเฉียบคมของเจ้าก็ได้จากห้องสมุด”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ และหากพระองค์ยังไม่ทรงเบื่อหน่าย หม่อมฉันจะเล่าเรื่องของหม่อมฉันถวายต่อไป”
สุลต่านหนุ่มพยักหน้าเป็นทีว่าอนุญาต นางดอกบัวน้อยจึงเล่าเรื่องของนางต่อซึ่งมีเนื้อความดังนี้..
เมื่อหม่อมฉันขึ้นไปนั่งบนพรมและถูกชาวอาหรับเหล่านั้นจับโยนลงไป ก็ปรากฏว่าตกละลิ่วลงสู่เบื้องล่างด้วยความเร็วน่าหวาดเสียว ในชั่วเสี้ยววินาทีที่หม่อมฉันนึกเสียใจว่าไว้ใจคนผิดและคิดว่าจะต้องตายเป็นแน่แท้แล้ว ก็มีแหใหญ่แหหนึ่งอุปมาเหมือนข่ายฟ้าดินอันโอบอุ้มร่างของหม่อมฉันก่อนจะตกกระทบแง่หินจนร่างแหลกเหลว หม่อมฉันพยายามดิ้นรนขึ้นคืบคลานอยู่บนข่ายและได้ยินเสียงผู้คนคุยกันเบื้องล่าง
“พ่อค้าอาหรับเหล่านั้นว่าจะเอาหญิงงามมาให้พวกเรา แล้วให้เรากางข่ายดักรอไว้ที่นี้ ทีแรกนึกว่าเป็นเรื่องเหลวใหล แต่สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเรื่องจริง มีนางหญิงผู้นี้หล่นจากฟากฟ้าจริง ๆ เสียด้วย”
“เจ้าดู นางก็มิใช่ขี้ริ้วอะไร คงจะขายได้สักร้อยเหรียญทอง”
หม่อมฉันได้ยินดังนั้นก็ตกใจมาก รีบส่องลอดข่ายมองลงมาเบื้องล่าง เห็นโจรสลัดตัวดำผมเผ้ารกรุงรังส่งยิ้มยิงฟันอันมีคราบเหลืองประดุจหินเพรียงมาให้ ก็ตระหนกปิ้มว่าจะสิ้นสติสมประดี อนิจจา..นี่หม่อมฉันหนีเสือชีต้าร์มาปะกับฮิปโปโปเตมัสหรือนี่
หม่อมฉันถูกปลดมาจากข่าย และถูกลากลู่ถูกังขึ้นไปยังเรือโจรสลัดซึ่งพาหม่อมฉันไปขายให้กับกษัตริย์นอกศาสนาในอีกฟากของทะเลแดง ซึ่งหม่อมฉันจะเล่าเรื่องของการพบกับกษัตริย์องค์นี้ต่อไป
เรื่องของกษัตริย์บาลูตากา..
กษัตริย์บาลูตากาปกครองแคว้นบาบาติในริมขอบของทะเลทรายซาฮาร่า ดินแดนของพระองค์มั่งคั่งด้วยทองคำและเงิน ทั่วทุกมุมเมืองประดับเทวรูปหน้าตาแปลกประหลาดอันทำด้วยโลหะมีค่าเหล่านั้น เมื่อพวกโจรสลัดที่จับตัวหม่อมฉันไปเข้าสู่แคว้นนั้น ก็เกิดโลภในสมบัติและพยายามขโมยเทวรูป แต่ไม่สำเร็จและถูกจับได้ พวกมันจึงถูกกษัตริย์บาลูตากาสั่งประหารด้วยการมัดไว้กลางแดดจนแห้งตายไปเอง หม่อมฉันซึ่งถือเป็นทรัพย์สมบัติของโจรสลัดต่างชาติก็ถูกริบเข้าเป็นของกษัตริย์ และที่นั้นลิ้นของหม่อมฉันก็ได้ช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้อีกครา
กษัตริย์บาลูตากามีล่ามที่สามารถพูดภาษาอียิปต์ได้ และได้มาสนทนากับหม่อมฉัน หม่อมฉันเล่าเรื่องให้พระองค์ฟังถึงความเป็นมาและเหตุใดจึงมาอยู่ที่บาบาติอย่างพิสดารและยาวเหยียด เพราะอันที่จริงในระหว่างการเดินทางในทะเลก็มีเรื่องน่ามหัศจรรย์จนไม่อาจจะเชื่อได้หากเพียงได้ยินกับหูมากมาย ซึ่งหม่อมฉันยังไม่ได้เล่าให้พระองค์(สุลต่านดาวูด)ฟังในบัดนี้เพราะจะมากเรื่องไป
ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันเริ่มร่ำเรียนภาษาบาบาติได้ดี กษัตริย์บาลูตากาก็ได้แต่งตั้งให้หม่อมฉันเป็นคนเล่าเรื่องหลวง คอยเล่าเรื่องราวตำนานต่าง ๆ ที่น่าสนใจให้แก่ราชวงศ์และแขกบ้านแขกเมืองซึ่งก็ได้แต่พระสหายของกษัตริย์ในแคว้นใกล้เคียงกันนั้น หม่อมฉันเล่าเรื่องของเทพเจ้าในอียิปต์ที่มีตัวเป็นคนและหัวเป็นสัตว์ประเภทต่าง ๆ หนึ่งในนั้นมีตำนานของเทพเสกเมขที่หม่อมฉันชื่นชอบที่สุดอยู่ด้วย
สุลต่านดาวูดยืนยันว่านางควรจะเล่าตำนานของเทพเสกเมขให้พระองค์ฟัง ซึ่งนางก็ไม่สามารถขัดพระประสงค์ได้
ตำนานของเทพเสกเมข..
เสกเมขเป็นเทพผู้ปกครองนครเมมฟิสอันศักดิ์สิทธิ์ พระองค์มีเศียรเป็นสิงโตอันหมายถึงความกล้าหาญและความรุ่งโรจน์แห่งอาณาจักร พระองค์มีชายานามว่าเฮทเฮิร์ต และทรงรักชายาของพระองค์มาก
กาลครั้งนั้นเทพเซ็ทจ้าวแห่งความมืดได้ลอบเข้าสู่นครเมมฟิสและลักพาตัวเฮทเฮิร์ทกับสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจของเสกเมขไป ซึ่งนั่นก็คือดวงตาแห่งรา โดยปราศจากดวงตาแห่งรา เสกเมขไม่มีพลังเพียงพอที่จะติดตามเอาตัวชายาของตนกลับมาได้ พระองค์จึงไปหานับบวชที่วิหารแห่งดวงอาทิตย์
พระองค์ถามนักบวชว่า จะสามารถฟื้นฟูพละกำลังได้อย่างไร แต่นักบวชกลับตอบว่าเทพราทรงกริ้วที่เสกเมขทำสัญลักษณ์ของพระองค์หายไป และช่วงใช้ให้เขาเดินทางไปตามทิศตะวันออกจนกว่าจะพบกับต้นกำเนิดแห่งดวงอาทิตย์ เสกเมขจึงจำใจละทิ้งเมืองเมมฟิสอันเป็นที่รักของตนรองจากเฮทเฮิร์ตและเริ่มต้นภารกิจอันยากลำบากนี้
ที่แท้แล้วนักบวชผู้นั้นก็คือเทพเซ็ทปลอมตัวมา และหลอกลวงให้เสกเมขละทิ้งเมืองเมมฟิสได้สำเร็จ เขาประกาศความเกรียงไกรของตนออกไปทั้งสิบทิศ แต่เสกเมขกลับไม่ได้รับรู้เรื่องราวนี้และยังตั้งต้นเดินไปตามทิศตะวันออกเรื่อย ๆ
เทพเสกเมขเดินทางผ่านทะเลทรายอันร้อนระอุ ความไร้อำนาจของพระองค์ทำให้เท้าของพระองค์พุพอง เสกเมขทนทรมานกับความหิวกระหายและไม่สามารถหาอาหารอะไรได้นอกจากเนื้อและน้ำในลำต้นกระบองเพชร พระองค์เดินทางจนถึงเขตทุ่งสะวันน่าอันร้อนแล้ง ฝูงสิงโตในบริเวณนั้นจำพระองค์ได้จึงนำเนื้อมาถวาย และพาพระองค์ไปที่ลำธารพอให้ได้แก้กระหายและชำระล้างตัว
ด้วยหทัยแน่วแน่ที่จะแก้ไขความผิดต่อเทพราและช่วยเหลือเฮทเฮิร์ตอันเป็นยอดดวงใจ เทพเสกเมขเดินทางมาจนถึงสุดของชายฝั่งอันมีแต่ทะเลเวิ้งว้าง พระองค์รู้ดีว่าที่นั้นยังไม่ใช่ต้นกำเนิดแห่งดวงอาทิตย์ จึงพยายามบุกฝ่าน้ำไปแม้ว่าจะเกลียดน้ำสักเพียงใด
ขณะนั้นเทพเซ็ทซึ่งอาศัยอำนาจดวงตาแห่งราล่องหนติดตามมาดูการเดินทางของเสกเมขผู้โง่เขลา และแอบมองจากหลังก้อนเมฆฝนอันทะมึน ก็บันดาลให้เกิดคลื่นยักษ์ซัดกลืนเทพเสกเมขหายลงไปใต้ท้องทะเล จากนั้นก็หัวเราะร่าด้วยความปีติที่ต่อไปนี้เขาจะได้ปกครองนครเมมฟิสและครอบครองเฮทเฮิร์ตไปชั่วนิรันดร
เทพเซ็ทกลับไปหาเฮทเฮิร์ตและแจ้งข่าวการสิ้นชีวิตของสามีนาง เฮทเฮิร์ตตกใจและสิ้นหวังจนแทบดับชีวิตตนเอง แต่ด้วยรู้ว่าตนตั้งครรภ์อ่อน ๆ ครรภ์ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเสกเมข นางจึงยอมสยุมพรกับเทพเซ็ทเพื่อรักษาเมืองเมมฟิสและบุตรที่ยังไม่เกิดขึ้นมา
ขณะนั้นเทพเสกเมขซึ่งถูกเกลียวคลื่นซัดหายไป ก็ถูกนำตัวไปพบกับเทพโอสิริสผู้ดูแลดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ เทพโอสิริสได้ซักถามเรื่องราวของเทพเสกเมข และเมื่อกระจ่างว่าทั้งหมดเป็นแผนการร้ายของเทพเซ็ท ก็ส่งเทพเสกเมขกลับไปยังเมืองเมมฟิส
เทพเสกเมขกลับมายังเมืองเมมฟิสด้วยความหวังสุดท้าย คือนางเฮทเฮิร์ตอันเป็นแสงสว่างในหัวใจของเขา แต่ความจริงที่ได้รับรู้ว่าบัดนี้นางกลายเป็นชายาของเทพเซ็ทโดยเต็มใจทำให้เขาหัวใจสลาย พระองค์ทรุดตัวลงร่ำไห้คร่ำครวญอยู่ที่ประตูเมืองเมมฟิส
ในขณะนั้นมีหญิงชราชาวเมืองผู้หนึ่งทูนหม้อน้ำผ่านมา นางรู้สึกสงสารเทพเสกเมข จึงนำนำในหม้อมาล้างใบหน้า มือ และเท้าให้แก่พระองค์ เทพเสกเมขกล่าวแก่นางว่า
‘อย่าเลยแม่เฒ่า อย่าได้เสียน้ำจืดอันมีค่าให้แก่ผู้ที่สิ้นไร้แล้วซึ่งทุกสิ่งเยี่ยงข้า อย่าได้ใกล้ตัวข้า อย่าให้ความทุกข์และความโชคร้ายของข้าแพร่แก่ท่าน ข้าคือผู้ที่ว่างเปล่า หัวใจของข้าสลายสิ้น และข้าก็ทุกข์เทวษยิ่งนัก’
‘ลูกเอย’ นางกล่าวอย่างนุ่มนวลราวกับเทพเจ้าผู้มีเศียรเป็นสิงโตนั้นคือเด็กทารกที่นางสามารถโอบอุ้มขึ้นมาได้ ‘อย่าท้อแท้ใจไปเลย สิ่งของซึ่งเป็นของเจ้าโดยชอบธรรมอย่างไรก็เป็นของเจ้า หาเป็นอื่นไปได้ไม่’
‘แต่หัวใจของนางเป็นอื่นไปเสียแล้ว ข้าจะไว้ใจใครได้อีกเล่าในเมื่อผู้ที่ข้ารักและไว้ใจที่สุดก็กลับหักหลังข้าอย่างเลือดเย็นเช่นนี้’
‘ลูกเอ๋ย เจ้าเป็นทุกข์เพราะเจ้ารักนางมากเกินไป รักจนไม่เหลือที่ว่างให้กับความไว้วางใจ ในภ่าษิตกรีกก็มีกล่าวไว้ว่า เมื่อความระแวงเข้ามาทางประตู ความรักก็บินออกไปทางหน้าต่าง เจ้าเคยได้ยินหรือไม่’ หญิงชรากล่าวต่อไปอีกยืดยาว แต่เทพเสกเมขไม่ได้ฟัง เขาโศกเศร้าเสียใจจนกระทั่งนางลากลับไป
ปรากฏเดี๋ยวนั้นเองว่าหญิงชราที่มาปลอบประโลมเทพเสกเมข ก็คือเทพีไอซิสผู้เป็นมารดาของเฮทเฮิร์ต นางไปวิงวอนเทพเจ้าแห่งความฝันให้ชักนำเสกเมขและเฮทเฮิร์ตมาพบกันในสุบินนิมิตแห่งราตรีนี้
‘ภัสดาของข้า’ เฮทเฮิร์ตร้องเรียกเสกเมขอย่างดีใจเมื่อได้พบกัน
เสกเมขก็แย้มยิ้มอย่างไม่อาจควบคุมแต่เมื่อระลึกได้ก็ผลักนางออกไป ‘ภัสดาของเจ้าหาใช่ข้าไม่ แต่เป็นเทพเซ็ทมิใช่หรือที่เจ้าเต็มใจครองคู่’
เฮทเฮิร์ตได้ฟังก็ไม่อาจข่มกลั้นอารมณ์น้อยใจไว้ได้ ธรรมดาสตรีมีครรภ์อารมณ์อ่อนไหวอยู่แล้ว ยิ่งนางต้องแบกรับความกดดันและความโศกาอาดูรจากเรื่องที่รับรู้มาว่าสามีได้สิ้นชีพไปเสียแล้ว เฮทเฮิร์ตจึงร่ำไห้น้ำตานองหน้า และทรุดตัวลงสะอึกสะอื้นอยู่ที่นั้น
เสกเมขเกิดสงสารนางจุกอก พระองค์จึงย่อตัวลงโอบร่างของนางขึ้นมาปลอบ
‘ชายาของข้า ข้ามิได้ต้องการว่าเจ้ารุนแรงเช่นนี้ ก็ควรอยู่ที่เจ้าจะทิ้งคนอารมณ์รุนแรงร้ายกาจเช่นข้าไป’
‘ข้ามิได้ทิ้งท่าน เป็นท่านต่างหากที่ทิ้งข้า’ เฮทเฮิร์ตตัดพ้อพลางปาดป้ายน้ำตาบนวงพักตร์ ‘เทพเซ็ทบอกว่าท่านได้ถึงแก่อาสัญไปในทะเลแล้ว เพื่อรักษาชีวิตลูกของข้าและเมืองเมมฟิสของท่านข้าจึงจำใจครองคู่กับเทพเซ็ท’
‘อะไรกัน เราไม่เคยมีลูก..หรือว่า’ เสกเมขจับบ่าของนางเขย่าอย่างยินดี ‘เจ้าตั้งครรภ์หรือ ลูกของข้า โอ..ลูกของข้า นี่เจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่ไหม’
นางยิ้มทั้งน้ำตาแทนคำตอบ และปล่อยกายให้อยู่ให้อ้อมกอดอันแข็งแกร่งของเสกเมข ก่อนที่ความฝันจะจางหายไปและเสกเมขก็ตกใจตื่นขึ้นมาที่หน้าประตูเมืองเมมฟิส
เทพเสกเมขพร้อมด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยม จึงหาทางแก้แค้นเอาคืนเทพเซ็ท พระองค์สืบรู้มาว่าดวงตาแห่งรานั้นถูกเก็บไว้ในทางวงกตใต้ดินของวิหารแห่งดวงอาทิตย์ใจกลางเมืองเมมฟิสนั่นเอง ในคืนหนึ่งพระองค์จึงลอบเข้าไป และฟันฝ่าอันตรายทั้งจากคำสาปและกับดักอันเทพเซ็ทได้วางไว้ขัดขวางผู้บุกรุก
ในที่สุด พระองค์ก็มาถึงปราการด่านสุดท้าย คือสฟิงส์ดุร้ายผู้ทำหน้าที่เฝ้าทางเข้าไปสู่สถานเก็บรักษาดวงตาแห่งรา สฟิงส์กล่าวว่าจะถามปัญหาเทพเสกเมขหนึ่งข้อ หากว่าตอบถูกมันจะเปิดทางให้ แต่หากตอบผิดมันจะกินเสกเมขเข้าไปในคำเดียว
ปริศนาของสฟิงส์ถามว่า..
คือท่านร่างเทพนารี กรงเล็บยังมี
หากปราศจากแผงคอ
นางเนาว์เพอร์-บาสต์รั้งรอ สืบเชื้อเหล่ากอ
จากเหล่าวิฬาร์เริงไพร
เสกเมขท่านโปรดขานไข นางนั้นคือใคร
อยู่ใดในปัจจุบันกาล ค้างได้อีก...
