^
^
^
^
^
จิ้มพี่แทน
“กูไม่รู้น่ะ ว่ากูชอบมันหรือเปล่า แต่กูทนเห็นตอนที่มันแสร้งยิ้ม แสร้งวางอำนาจ แสร้งทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่ใช่ตัวมันไม่ได้ กูไม่รู้ว่านั่นเรียกว่าชอบได้หรือเปล่า หรือมึงคิดว่าไงล่ะ”ในที่สุด ก็ยอมเปิดเผยความคิดที่ไม่เคยแม้แต่จะกล้าคิด(หลอกตัวเองโดยความคิดอื่น)กับแบดซักทีนะครับ

“กายต้องเข้าใจนะครับ
คนเราไม่เหมือนกัน และแทบทุกคนก็ล้วนมีบาดแผล ลึกตื้นหนาบางยังไงต้องใช้เวลาศึกษาและยอมรับ แทนที่จะโกรธหรือจะเกลียด ลองทำความเข้าใจกับเขาดูสิ บางทีถ้ากายเข้าใจเขาแล้วอาจจะรู้สึกเสียใจแทนก็เป็นได้นะ”หรืออาจจะหลงรัก..ผมต่อในใจ
มุมอัปลักษณ์ของมนุษย์คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์งดงาม คนเรามักจะคาดหวังถึงสิ่งที่สมบูรณ์พร้อม แต่ความสมบูรณ์พร้อมก็หมายถึงความแปลกแยกที่ไม่อาจดำรงอยู่ได้ในโลกใบนี้ผมยิ้มให้เขาแล้วพูดต่อ “กายจำได้ไหมครับ ประโยคที่โด่งดังของฟอยบาซที่ว่า ‘God is man self-alienated.’ มันหมายความว่ายังไง”
หนุ่มน้อยส่ายหน้า
“มันหมายความว่า พระเจ้าก็คือมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ที่แปลกแยกในตนเอง เพราะพระเจ้าเป็นสิ่งที่สมบูรณ์พร้อม เต็มไปด้วยความดี ความเมตตา อำนาจ และคุณลักษณะอื่น ๆ เท่าที่มนุษย์จะจินตนาการออก ซึ่งมนุษย์คิดถึงสิ่งสมบูรณ์เหล่านี้ในฐานะเครื่องปลอบใจจากความเจ็บปวด ทุกข์ทน ขัดสน ขาดแคลนที่ดำเนินอยู่ในโลกและตัวของเขา ความคิดถึงสิ่งสมบูรณ์ช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของมนุษย์ลงได้บ้าง และนำมาซึ่งคำกล่าวของคาร์ล มาร์กซว่า ศาสนาคือยาฝิ่น”ศาสนาคือยาฝิ่น : เราอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า 'ศาสนาคือยาเสพติด' ที่กองทัพแดงเคยใช้เมื่อสมัยคอมมิวนิสต์เฟื่องฟู (นายแกว่น แก่นกำจร แห่ง 'ไผ่แดง' ก็เคยใช้ประโยคนี้) ซึ่งมีนัยทางลบค่อนข้างมากเพราะเหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้หลงมัวเมา แต่ต้นฉบับของคำพูดมาร์กซ์ใช้คำว่า 'ยาฝิ่น'
ในความหมายที่เป็นเครื่องระงับความเจ็บปวดชั่วคราว และหากใช้มากไปย่อมหลงมัวเมาได้ ผมคิดว่าความหมายเดิมน่าจะลุ่มลึกกว่าผมชอบสิ่งที่ได้วันนี้จังครับ มันสร้างความคิดใหม่ ๆ ขึ้นมามากเลยสำหรับผม
ช่วงนี้พี่แทนก็คงเสพ ฝิ่น ของ คาร์ล มาร์กซ อยู่ อย่าเสพให้เยอะมากนะครับ คิดถึงตัวเองด้วยนะ เดวจะโทรม+บ้าเอา

แล้วดูแลตัวเองด้วยนะครับ ( ที่โทรม ๆ จะได้ ดูดีขึ้น ) เครียดจากอ่านหนังสือก็เข้ามาเขียนเรื่องต่อน๊า
:
