ผมนั่งสัปหงกในคาบบ่าย อาจารย์วิทย์เห็นเข้าก็ถามทันที
“คุณไปทำอะไรมานี่ ดูง่วงเหงาหาวนอน”
ผมยืดตัวตรงลืมตาพรึ่บยังกะเปิดสวิตช์
“อ๋อ เปล่าๆ ไม่ได้ทำไรสักหน่อย”
“เพื่อนคุณบอกคุณชอบไปเล่นเกมโต้รุ่ง”
ผมหันขวับกลับไปทางข้างหลัง ไอ้พวกตัวกลั่นทั้งหลายหลบตากันเป็นทิวแถว ใครบังอาจหักหลังกูวะ
“ใครบอกจารย์ ผมทบทวนตำราเรียนจนเช้าต่างหาก” ผมเถียงข้าง ๆ คู ๆ
“วิชาอะไรล่ะ”
“เพศศึกษาภาคปฏิบัติคร้าบ”
เพื่อน ๆ หัวเราะครืน อาจารย์วิทย์รูปหล่อมองผมอย่างตำหนิ
“ปฏิบัติกับมือตัวเองเหรอพี่” ไอ้เกี๊ยงแซว
“โหย กูมีกิ๊กใหม่แล้วโว้ย ลีลาอย่างงี้เลย ไม่เหมือนไอ้กายหรอกนั่งโหลดคลิปซอยมือยิก ๆ ทั้งวัน” ผมยกนิ้วแล้วเหล่ตาย้ายเป้าหมาย
“ไฉนลากข้าน้อยเข้าปลักโคลนด้วยเล่าแทนตั่วเฮีย”
“นี่ชั่วโมงปรัชญานะ” อาจารย์แกพยายามห้ามทัพ
“จารย์ไม่รู้เหรอ เรากำลังทำกิจกรรมทางปรัชญาอยู่นะ หัวข้ออภิปรายว่าด้วยเรื่องเพศ”
อาจารย์วิทย์เคาะโต๊ะ ผมแอบมองแผงอกแน่น ๆ ของแกผ่านสาบเสื้อเชิ้ตสีขาวขอบดำพอดีตัว
“ถ้าคุณบอกว่านี่เป็นกิจกรรมทางปรัชญา คุณจะต้องเริ่มด้วยคำถามที่มีลักษณะวิพากษ์ความเชื่อและดูเหมือนว่าจะไม่สามารถตอบได้ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แล้วไหนล่ะคำถามของคุณ”
ไอ้ทีมหัวเราะหึหึ คนอื่นมองผมรอดูการแก้สถานการณ์
“อืม...การมีเซ็กส์กับเพศเดียวกันถือเป็นเรื่องผิดหรือถูก”
เพื่อน ๆ ฮือฮา ส่วนอาจารย์มองผมด้วยตาตี่ ๆ ของแกแล้วหันไปเขียนบนกระดานไวท์บอร์ดตามคำถามที่ผมตั้ง ก่อนจะหันกลับมา
“แล้วคุณคิดว่าอย่างไร”
“ผมไม่รู้ ถ้าผมรู้ผมจะถามมั้ยล่ะ”
“อย่างน้อยคุณต้องมีสมมุติฐาน มีแนวโน้มความเชื่อ คุณพูดอย่างที่คุณคิดว่าใช่ล่ะกัน ไม่มีถูกผิดหรอก”
“ผมว่าไม่น่าจะผิดนะ เพราะอย่างในสมัยกรีกและโรมัน ผู้ชายนิยมมีเพศสัมพันธ์กันเพื่อเรียนรู้” ผมยิ้มนิดหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “พลาโต้เองก็ได้กล่าวถึง พลาโตนิคเลิฟ ที่หมายถึงความรักที่ไม่จำกัดเพศอันจะส่งเสริมให้ทั้งคู่ไปสู่จุดสุดยอด”
“คุณนี่สุด ๆ” อาจารย์แกชมผมหรือเปล่าวะ “อุตส่าห์แปลงสารจนได้ พลาโตนิคเลิฟหมายถึงความรักที่ไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ใคร่และช่วยให้ทั้งคู่สู่จุดยอดของการเรียนรู้ต่างหากเล่า”
“มันก็คือ ๆ กันนั่นล่ะจารย์ เพราะมนุษย์จำเป็นต้องเรียนรู้ความสามารถมาตรฐานสี่อย่าง กินขี้ปี้นอน ต้องเรียนรู้ให้ครบ”
“อย่าเฉไฉ เข้าเรื่อง ๆ ตามคำถามนี้มีใครมีความคิดเห็นว่าการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันเป็นเรื่องผิดหรือถูก”
ไอ้เบ๊เตี้ยอ้วนดำยกมือ มันทำหน้ากวนตีนก่อนดันแว่นทำเท่ห์ “ถ้าตามหลักความเป็นสากลของอิมมานูเอล ค้านท์ ผมว่าผิดนะอาจารย์ เพราะว่าถ้าทุกคนบนโลกทำแบบเดียวกันคือมีอะไรกับเพศเดียวกัน จะทำให้เกิดเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้คือมนุษย์จะสูญพันธุ์”
ผมเขม่นมันแล้วโต้กลับ “ถ้าตามหลักสุขนิยมของเอพิคิวเรี่ยนถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้เพราะได้เสียวกันทั้งคู่ว่ะ”
“นั่นมันรูขี้นะเพ่ จะเสียวได้ไง” ไอ้เกี๊ยงเถียงทันที
“โห มึงนี่มองข้ามชอตไปถึงนั่นเลยเหรอวะ รูขี้ก็เสียวได้เว้ยขอบอก”
สาว ๆ ในห้องร้องกรี๊ด อาจารย์วิทย์กุมขมับ
“นี่พวกคุณไปกันไกลเกินไปหรือเปล่า”
“ไม่ไกลหรอกครับจารย์ เนี่ยเรื่องนี้ต้องอธิบายแบบสสารนิยม ว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักจะกระตุ้นจุดจีสปอตที่เป็นมัดเส้นประสาทอันรวมมาจากอัณฑะและองคชาติ เข้าใจ๋?”
กายยกนิ้วให้ “เอ็กซเปิร์ตมากพี่”
“เกย์เฒ่าก็เงี้ยแหละ เชี่ยวไปหมด” ไอ้เบ๊ตัวแสบแอบกัดอีกรอบ
“เป็นองค์ความรู้ที่น่าสนใจ แต่ไม่เหมาะกับวิชานี้หรือเปล่าฮึ” จารย์แกบ่น
“โหย จารย์นี่ไม่รู้อะไร เนี่ยเป็นโคตรอภิมหาปัญหาทางปรัชญาของวงการเกย์เมืองไทยเลยนะ”
“คุณนี่รู้ดีจริง ไหนว่ามาซิปัญหาอะไร”
ผมกอดอกยิ้ม “ก็ปัญหาที่ว่า ทำไมเกย์รับถึงมีมากกว่าเกย์รุกไงล่ะ”
“โอ้มายก้อด” เสียงสาว ๆ ข้างหลังอุทาน ส่วนไอ้ทีมปรบมือเพราะหัวข้อถูกใจ
“แล้วคุณไปรู้ได้ไงว่าเกย์รับอะไรนั่นมีมากกว่าเกย์รุก”
“เพราะผมเป็นเกย์รับไง และจนป่านนี้ผมยังหาเกย์รุกแท้ ๆ ไม่ได้เล้ย”
สาว ๆ กรี๊ดกันอีกรอบ ใช่สิคนมันดัง(และหน้าด้าน) อาจารย์วิทย์ฟังแล้วหันกลับเอาหัวไปโขกกระดานไวท์บอร์ดสองสามทีเพื่อระงับสติอารมณ์ไม่ให้ยกโปรเจคเตอร์เขวี้ยงใส่ผม

“อ้าวแล้วทำไมเกย์รับถึงมากกว่าเกย์รุกล่ะพี่”
“มึงนี่ถามอะไรโง่ ๆ นะไอ้กาย เดี๋ยวปั๊ดไซ้ซอกหู เมื่อกี้เพิ่งพูดไปหยก ๆ ว่านอนเฉย ๆ ก็เสียวได้ ใครจะเหนื่อยให้โง่ จริงมั้ยวะทีม”
ไอ้ทีมยกมือแบยักไหล่เป็นทำนองว่าไม่เกี่ยวกับมัน ตอนนี้ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่ของการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นร้อนที่ผมเพิ่งวางระเบิดไปหยก ๆ
“เอาล่ะ ผมว่าพวกคุณไปเบรกกันก่อนดีกว่านะ แล้วค่อยมาเรียนต่อ”
เพื่อน ๆ ร้องเฮแทบจะกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ วิชานี้เรียนสามชั่วโมงยาวอิ๋บอ๋าย ผมกำลังจะลุกไปยืดเส้นยืดสายบ้างอาจารย์วิทย์ก็กระดิกนิ้วเรียก
“คุณมานี่”
“อะไรอีกจารย์” ผมว่าด้วยน้ำเสียงเบื่อ ๆ ก่อนจะลากเก้าอี้ไปนั่งตรงหน้าโต๊ะสอนของแก “จะเทศน์ผมเรื่องพาออกนอกเรื่องใช่ม้า รู้หรอก”
“เปล่า จะพูดเรื่องนายแบด”
ผมแทบตกเก้าอี้ “มันมาเกี่ยวไรด้วยล่ะ”
“คุณไม่รู้หรือว่าผมเป็นน้าของนายแบด”
“ห๊ะ” ผมทำหน้าหมาเซ่อต่อข้อมูลใหม่ที่เพิ่งรับทราบ
“อันที่จริงผมเป็นผู้ปกครองกลาย ๆ ของเขาที่นี่ แล้วผมได้ยินว่าคุณมีเรื่องกับเขาบ่อยนี่”
ผมฟังแล้วก็เหลียวมองข้างหลังไม่มีคนอื่นอยู่ในห้อง ผมถอนใจยาว
“เขาหาเรื่องผมตลอด”
“ผมก็เดาว่างั้น” อาจารย์วิทย์ตอบ “เพราะคุณเป็นคนที่น่าหาเรื่องด้วยมาก ๆ ต่อให้ทำหน้าเฉยผมก็ยังอยากตั๊นหน้าคุณเลย”
“นั่นจารย์พูดกับนิสิตเหรอนั่น”
“ฮ่าๆ” หนุ่มหล่อน่ารักตรงหน้าผมหัวเราะ “ผมล้อเล่นน่า ถึงเมื่อกี้ผมอยากจะเตะคุณสักทีแต่ผมก็ไม่ทำหรอก”
“ฮีโด่ กวนนิด ๆ หน่อย ๆ ทำเป็นซีเรียส”
พอดีกับประตูห้องถูกเปิดเข้ามา เพื่อน ๆ ที่ไปห้องน้ำกลับกันมาแล้ว อาจารย์วิทย์มองหน้าผม
“เดี๋ยวจบคาบนี้แล้วค่อยคุยกันต่อ คุณมีเวลาว่างใช่ไหม”
ผมยักคิ้วให้ “สำหรับจารย์ผมว่างเสมอ”
อาจารย์วิทย์หัวเราะหึหึต่อการปีนเกลียว ผมลากเก้าอี้กลับเข้าซองแล้วไปนั่งที่เก่า
“ผมว่าจารย์ต้องสั่งสอนหลานให้ดี ๆ หน่อย มีอย่างที่ไหนกัดไปทั่วยังกับหมาบ้า”
ผมบอกแกตอนจบคาบ หลังจากที่คนอื่น ๆ กลับหอกันไปหมดแล้ว หนุ่มร่างเล็กรวบรวมเอกสารเข้ากระเป๋าเอกสารใบเหมาะมือแล้วถึงเงยหน้ามองผม
“คุณคิดว่าเขาก้าวร้าวเกินไปใช่ไหม”
“รู้ดีนี่จารย์”
“ผมเชื่อใจคุณได้หรือเปล่า” เขาถามพร้อมสายตาเพ่งพินิจ
ผมยักไหล่ “แล้วแต่”
“คุณเป็นอะไรกับเขาล่ะ”
“ศัตรูอ่ะดิ” ผมตอบอย่างไม่ลังเล
อาจารย์วิทย์ยิ้มเล็กน้อย “แต่ผมไม่คิดว่าแบดคิดแบบนั้น เขาชอบถามถึงคุณบ่อย ๆ เขาถามผมว่าคุณในชั่วโมงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง เขาถามว่าคุณมีปัญหากับเพื่อนไหม มาเรียนทันหรือเปล่า หรือแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นวันนี้สีหน้าของคุณเป็นยังไงดีหรือไม่ดี”
“ทำไมมันต้องจุ้นไม่เข้าเรื่องด้วย”
“อาจจะเพราะว่าเขาเห็นคุณเป็นคนสำคัญสำหรับเขา”
ผมขบฟันโดยไม่รู้ตัว แรงต้านที่เกิดบนกรามทำให้ผมรู้สึกตัวและคลายรอยสันบนข้างแก้มออก
“แต่ก่อนแบดเป็นเด็กดีนะ”
“เชื่อตายล่ะ”
“แต่พอเข้าม.ปลายเขาก็เริ่มทำตัวแปลกแยก และก้าวร้าวมากขึ้น ช่วงนั้นผมไม่ได้เจอเขาหรอกเพราะผมก็กำลังเรียนอยู่ ผมจึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น”
“จารย์บอกผมทำไม”
ดร.วิทย์ถอนหายใจเบา ๆ “ผมคิดว่าคุณอาจจะช่วยหาสาเหตุได้ คุณเป็นคนฉลาด..อืม..แล้วก็มีหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกับเขา”
คนตรงหน้ามองผมด้วยสายตาคมกริบ ราวจะทะลุเข้ามาในความคิด ผมหลบสายตาด้วยการหาว
“เด็กจารย์มีปัญหา ก็จัดการเองเด้ มาเกี่ยวไรกะผมล่ะ”
อีกฝ่ายยิ้มเล็กน้อย “ขอบใจมากที่รับฟัง คุณกลับไปได้ล่ะ”
ผมเก็บกระเป๋าอย่างไม่ลังเล แล้วออกไปจากห้อง
ทีมรออยู่ข้างนอก เขาถามผมทันที
“อาจารย์เรียกพี่ไปคุยเรื่องอะไร”
“หืม อ๋อ ไม่มีอะไรเรื่องสัพเพเหระน่ะ มึงยังไม่กลับหออีกเหรอวะ”
คนตัวโตส่ายหน้าเถื่อน ๆ ของมัน หนวดเคราเฟิ้มเชียวนะมึง สงสัยช่วงนี้ไม่ค่อยได้โกน
“ไม่รู้จะกลับไปทำไม ไม่มีอะไรทำ”
“อืม กี่โมงแล้วหว่า” ผมค้นมือถือจากกระเป๋าเรียน มันเปิดระบบสั่นไว้อยู่ หน้าจอโชว์ห้าสายที่ไม่ได้รับ ผมยังไม่ทันจะกดดูเบอร์ที่ไม่ได้รับโทรศัพท์ก็สั่นอยู่ในมือ ผมดูชื่อเจ้าของเบอร์แล้วก็มองหน้าทีม
“มึงกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวกูตามไป”
ทีมเหลือบมองเครื่องมือสื่อสารในมือผมแวบหนึ่ง ก่อนจะแบกเป้พาดบ่าเดินสวนกับผมไป ผมเดินไปอีกทางของระเบียงตึกและกดรับสาย
“มึงอยากตายเหรอถึงไม่รับโทรศัพท์” เสียงถ่อย ๆ ของไอ้แบดพ่นมาตามสาย
“กูจะรับหรือไม่รับมันเรื่องของกู มึงมีสิทธิ์อะไรมาสั่งกูล่ะ”
“สิทธิ์ของความเป็นผัว”
“ไอ้ห่า” ผมด่ามัน แต่ก็อึ้งนิด ๆ ที่ไอ้แบดพูดเต็มปากเต็มคำขนาดนี้
“มึงเรียนคาบบ่ายเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอวะ รีบไสหัวลงมาสิ กูอุตส่าห์มารอหน้าตึก”
“แล้วจะรอทำพ่อเหรอ”
ไอ้แบดกัดฟันกรอดจนได้ยินมาตามสาย “กูแค่อยากเห็นหนังหน้ามึงเท่านั้นแหละ อย่าเสือกคิดเข้าข้างตัวเองล่ะว่ากูชอบมึง”
“ฮึๆ” ผมหัวเราะกวน ๆ แต่ก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงติ๊งฟังดูคุ้น ๆ “นั่นเสียงอะไรน่ะ”
ไอ้แบดเงียบไป มันวางสายไปแล้ว ผมใจหายวาบเมื่อจำได้ว่านั่นเป็นเสียงลิฟต์ แต่ดูเหมือนจะช้าไป
“ต้องให้กูขึ้นมาตามอีก” มันดักผมไว้ที่มุมก่อนจะลงบันได ไอ้แบดหน้าตาน่ากลัวมากเลยครับตอนนี้ แบบตาวาว ๆ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทำหน้าถมึงทึง
ผมถอยกรูด แต่มันย่างสามขุมเข้ามาจนคว้าตัวผมไว้ได้ “จะหนีไปไหนวะ”
“มึงยุ่งไรกับกูเล่า”
ผมพยายามดิ้นตะกาย ๆ แต่แขนมันรัดเอวผมไว้ราวกับคีม เดินพลางลากพลางจนเข้าไปในลิฟต์
“อยู่นิ่ง ๆ” คนหน้าดุบอกผมที่ข้างหู เขาเลื่อนแขนขึ้นมากอดผมตรงช่วงอก ลมหายใจอุ่นคลอเคลียอยู่ตรงซอกคอ ผมยืนตัวแข็งเหมือนถูกลมหายใจงูเห่าเป่ารดต้นคอ โดยไม่รู้ว่ามันจะแว้งฉกเอาเมื่อไหร่
แบดกดลิฟต์ลงชั้นหนึ่ง ผมใจเต้นระทึก ร่างด้านหลังแนบชิดกับทุกสัดส่วนของเขา ก้อนหยุ่น ๆ ใหญ่ ๆ ในกางเกงของแบดชนกับสะโพกผมพอดี
ประตูลิฟต์เปิดออก ไอ้แบดผลักผมออกไปข้างนอก แล้วถีบเข้าไปที่กลางหลัง
ผมเซถลาไปสองสามก้าวก็หันกลับมามองหน้ามัน “ไอ้สัด มึงทำเหี้ยไรอีก”
“คิดบัญชีกับมึงไง” ไอ้จอมโหดหักนิ้ว แล้วย่างสามขุมเข้ามา ผมยกมือตั้งการ์ดรอ
“เมื่อเช้ามึงไปบอกไรกับนังเจสซี่ มึงจงใจกวนตีนกูใช่มั้ย”
นิสิตคนอื่น ๆ ที่เดินอยู่ในชั้นหนึ่งของอาคารเรียนรวมเริ่มให้ความสนใจกับพวกผมสองคน ผมถอยไปเรื่อย ๆ
“แล้วมึงเสือกไรด้วยล่ะ กูจะบอกใครมันก็เรื่องของกู”
“อ๋อ นี่มึงไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาใช่ไหมวะ” มันพูดแล้วก็พุ่งตัวเข้ามา ผมชกหมัดออกไปเพื่อป้องกันตัว แต่ไอ้แบดย่อตัวหลบวูบ พร้อมกับกระแทกฮุคเข้าไปที่หน้าท้องผมดังตึบ
ผมเจ็บโคตร เจ็บจนร้องไม่ออก ตัวงอลงมือกุมท้อง ไอ้แบดคว้าตัวผมไว้ แล้วร้องบอก
“เพื่อนผมเป็นลมครับ ช่วยหน่อย”
พลเมืองดี(แต่ตาถั่ว)คนหนึ่งรีบเข้ามาช่วยไอ้แบดพยุงร่างผม ผมอ้าปากจะร้องแรกแหกกระเชอ ไอ้แบดก็เอาผ้าเช็ดหน้าของมันยัดเข้ามาในปาก
“เป็นลมชักซะด้วย ต้องกันไว้ไม่ให้กัดลิ้น”
ผมโคตรจะแค้นแต่สองแขนสู้สี่มือไม่ได้ ก็เลยถูกลากลู่ถูกังไปยังรถยุโรปคันสวยของไอ้แบดที่จอดไว้หน้าอาคาร
“กูจะโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิดด้วยมั้ยวะเนี่ย” พลเมืองดี(?)บ่นออด หลังจากจับผมยัดเข้ามาในรถและคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ไอ้ห่าเติร์กนี่!
แบดยักคิ้วกวน แล้วเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ เข้าเกียร์พรืด เลี้ยวรถออกไปจากลานจอดด้วยความเร็ว ผมดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากปาก หันไปถลึงตาใส่คนที่อารมณ์ดีจนผิวปาก
“แม่ง ไอ้เหี้ยแบด ไอ้เลว ไอ้นรกส่งมาเกิด มึงทำกูแบบนี้ทำไมอีก”
“ตื่นเต้นดีไม่ใช่เหรอ”
“กูไม่ใช่มนุษย์ยุคหินนะ ที่มึงนึกอยากจะพาไปไหนก็เอาไม้ฟาดหัวลากเข้าถ้ำ”
“ไม่เอาน่าแทน กูรู้ว่ามึงชอบ มึงมันโรคจิต กูก็โรคจิต สมกันดีออก”
ผมกัดฟันกรอด แต่จริง ๆ แล้วก็ชอบ เอ๊ะยังไง ผมหันกลับไปหาลู่ทางหลบหนี พยายามจะปลดเข็มขัดนิรภัย แต่มันดึงไม่ออก สงสัยไอ้ห่าแบดเล่นกลอีกแล้ว รถจอดเสียบพรืดเข้าร่มไม้ข้างทางเปลี่ยวที่จะนำไปยังหลังมอ แบดหันมามองผมหื่น ๆ แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้
ผมหลับตาปี๋
“มองกูหน่อยสิวะ” มันพูด มือข้างขวาเอื้อมมาจับปลายคางผมให้หันไปหา ผมลืมตาตามคำสั่งเพราะกลัวมันเล่นอะไรพิเรนทร์อีก “แล้วลองถามตัวมึงดู ว่ามึงปฏิเสธกูได้ไหม”
ดวงตาสีเหล็ก เฉียบ คม มีทั้งความกร้าวและความอ่อนโยนที่แฝงเร้นอยู่ภายใน กำลังสะกดผมให้มองแต่ดวงตาของเขา ผมเลียริมฝีปากเล็กน้อย แล้วชะโงกหน้าเข้าไป กลิ่นกายของเขาทำให้ผมรู้สึกอึดอัดคับข้องในเป้ากางเกง
แบดจูบผม..หรือผมจูบแบด ผมไม่แน่ใจว่าใครเริ่มก่อน แต่เราก็ควานเคล้นลิ้นชิมรสชาติอันร้อนแรงของจุมพิตอย่างไม่ยอมแพ้กัน ผมสูดปากนิด ๆ เพราะถูกขบกัดที่ริมฝีปาก มันเจ็บแต่ก็เสียวดี มือขวาของเขาที่จับคางผมอยู่ เลื่อนไปที่กางเกงแสลค และรูดซิบมันออก ผมพยายามใช้มือปิดป้อง แต่เขาก็ล้วงเข้าไปจนได้และปลดปล่อยแทนน้อยของผมออกมาดูโลก
เขาไม่ปล่อยให้ผมได้พักหายใจ ทั้งจูบ ทั้งใช้มือช่วย เขาแกล้งกำแล้วกระแทกแรง ๆ จนผมเจ็บ ผมพยายามดิ้นหนีแต่เขาก็ไม่ปล่อย
ไอ้หน้าหล่อปล่อยมือจากเกียร์ของผม ปลดเข็มขัดนิรภัยให้ กดปุ่มปรับเบาะผมเอนลง แล้วข้ามเกียร์รถมาคร่อมผมไว้ ซิบของเขาก็ถูกรูดไว้อยู่แล้ว และเอาท่อนใหญ่ยาวมาถูเบียดเสียดสีกับของผม
ผมส่งเสียงร้องแบบสำลักอากาศ เมื่อแทนน้อยถูกรวบเข้ากับแบดยักษ์ด้วยมือแกร่ง เขาขยับมือรูดขึ้นรูดลงพร้อม ๆ กัน เสียงครางกระเส่าและหอบหายใจของเราดังประสานกันในรถ
ไม่นาน..ผมก็ทนไม่ไหว ผมแอ่นกายขึ้นเกร็งกล้ามเนื้อส่วนล่างฉีดพุ่งน้ำหนุ่มออกมา แบดจับท่อนผมบังคับให้มันฉีดใส่อกเสื้อของผม ผมกระตุกอีกสองสามครั้งปล่อยน้ำเยิ้มเป็นสายอีกระลอก คนข้างบนยกเอวขึ้น แล้วรวบกำท่อนของเขาเพียงท่อนเดียวรัวมือเร่งตามมาติด ๆ
แบดหน้าแดงก่ำ เขากัดฟันแยกเขี้ยว ตรงหน้าผากมีเส้นเลือดโปนขึ้นมาในขณะที่ความใคร่ของเขาก็พลันกลั่นตัวออกเป็นเมือกขาวมากมายที่ทะลักล้นฉีดเข้าไปตรงหน้าขาผมเปรอะไปทั้งสแลค
เขาข้ามกลับไปนั่งฝั่งเดิมทันที เอนตัวหอบหายใจอยู่กับเบาะ ผมชันคอขึ้นเหลียวมองรอบ ๆ อย่างระแวง ดีที่ไม่มีใครมาเห็น แบดดึงขอบกางเกงในขึ้นรูดซิบกางเกงแล้วบอกกับผม
“มึงลงไปได้แล้ว”
“หา?”
“กูบอกให้มึงลงไป!” มันตวาดใส่
“มึงเป็นเหี้ยอะไรอีก ให้กูลงที่นี่ ทั้งสภาพนี้เนี่ยนะ”
มันแสยะยิ้ม “ใช่ รีบไสหัวไปจากรถกูได้แล้ว”
ผมสูดลมหายใจลึกเพื่อสะกดกลั้นความปวดที่หัวตา ผมเหนี่ยวที่เปิดประตูดึงมันให้เปิดออก แล้วหันมามองคนที่ใช้สายตาเฉยชาไล่ผม
..นี่มึงเห็นกูเป็นอะไรกันแน่..ผมลงมายืนที่ถนน เก๋งคันงามวิ่งฝุ่นตลบไปอย่างรวดเร็ว ผมย่อตัวลงนั่งชันเข่าอย่างหมดแรง หัวซบลงไประหว่างเข่า กลิ่นคาวคลุ้งทำให้ผมยิ่งเกลียดตัวเองเข้าไปใหญ่
เสียงล้อเล็ก ๆ บดถนนมาก่อนจะเป็นเสียงเบรกดังเอี๊ยดเบา ๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ลงจากจักรยานมายืนบังแสงอาทิตย์
“พี่แทน! พี่แทนเป็นอะไร ไอ้หมอนั่นมันทำอะไรพี่”
ผมยิ้มฝืน ๆ เขาฉุดดึงผมขึ้นมาแล้วอุทานเมื่อเห็นรอยอันประจานความร่านบนตัวผม เขาถอดเสื้อเชิ้ตของตนออก แล้วเอามันมาเช็ดคราบเหล่านั้นออกจากเสื้อผ้าผม เขายัดเสื้อของเขาไว้ในตะกร้าจักรยาน และบอกให้ผมซ้อนท้าย ผมกอดเอวและสัมผัสความอบอุ่นของเขาผ่านเสื้อกล้ามบาง จักรยานค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างเอื่อย ๆ จากที่นั้น