ตอนที่ 23หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรสำคัญอีกนอกจากเดินทางอย่างเดียว อ้อ แต่มีเหตุการณ์หนึ่งครับ ผมต้องจำใจอยู่ห่างไอ้กล้วยที่พยายามจะเข้ามาใกล้ผมเพราะกลัวผมเป็นลม เป็นอย่างที่คังยูพูดไม่ผิดเพี้ยน เขาสั่งให้ซองชิลมาอยู่ใกล้ๆ ผมและก็จับตาดูผม ได้ยินแว่วๆ จากปากของขงเบ้งว่าคังยูสั่งว่าถ้าไอ้กล้วยเข้ามาใกล้รัศมีเกินสองเมตร ใช้ดาบชี้หน้าขู่ได้เลย
ประเด็นคือซองชิลมันก็เสือกจะเชื่อ! เกือบทำเขาวุ่นวายไปทั้งขบวนแล้วมั้ยล่ะ ทหารรวมไปถึงพวกฝ่ายผู้ตรวจการต่างก็พากันคิดว่าพวกเราจะหลบหนี มาล้อมหน้าล้อมหลังพวกเราเอาไว้เพียงแค่ซองชิลใช้ดาบขู่ไอ้กล้วย
กูล่ะจะบ้า...ดีนะที่คังยูเคลียร์กับพี่มันอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็ล่าช้าไปกว่านี้แน่ๆ
พวกเราเดินทางกันทั้งวันทั้งคืนตามปกติวิสัยขององค์ชายใหญ่ของโชซอน ผมยอมรับนะครับว่าผมเหนื่อยมาก แต่ผมก็ฝืนตัวเองให้เดินทางไปจนถึงเมืองหลวงจนได้ เนื่องจากพวกเราเร่ง เวลาตอนขากลับจึงเร็วกว่าขาไปมาก (ไม่มีพวกชุดดำไหนมาคอยขัดขวางด้วย)
ตอนที่เราเข้ามาในเมือง สภาพของผมเหมือนนักโทษที่ถูกเนรเทศไปเกาะเชจูแบบไร้น้ำไร้ข้าวแล้วก็กลับมาเมืองหลวง พวกชาวบ้านชาวช่องต่างก็ให้ความสนอกสนใจเป็นอย่างมาก ทุกคนหลีกทางให้ขบวนและก็ชี้ไม้ชี้มือมาที่ผมกับสหายเรากับพวกเราเป็นลิงในกรงของสวนสัตว์
อย่างไรก็ตาม คนที่โดนชาวบ้านชาวช่องให้ความสนอกสนใจมากที่สุดก็คือคังยู ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วแล้วว่าเขาคือองค์ชายที่หนีการอภิเษก นอกจากเขาจะโดนชาวบ้านซุบซิบแบบที่ก้มหัวให้แล้ว(ถึงอย่างไรชาวบ้านก็ไม่กล้านินทาตรงๆ อยู่ดี) เขายังโดนชาวบ้านมองมากเป็นพิเศษ มากเสียยิ่งกว่าองค์ชายใหญ่
เหตุการณ์มันตึงเครียดกว่าที่ผมคิดมากกว่าร้อยเท่าถึงสองร้อยเท่า ยิ่งตอนที่พวกเราก้าวเท้าเข้าสู่วังหลวง ผมก็รู้สึกได้ถึงการขนลุกชูชันของตัวผมเอง
การลงโทษไม่ว่าจะหนักหรือเบายังไงมันก็รอผมอยู่...“พวกเจ้าทั้งหมดต้องไปทางด้านนี้” ไอ้กล้วยเอ่ยกับผมและก็สหายด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด “องค์ชายซองโจจะต้องไปเข้าเฝ้าพระราชาเพื่อรอรับโทษต่อไป”
ผมเหลือบมองไปที่ซองโจที่กำลังลงจากม้า สภาพเขาดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ามากมายเช่นเดียวกัน เขาหันมาสบตากับผมที่อยู่ห่างออกไป ในขณะที่ตัวผมเองกำลังถูกทหารของทางการดันตัวให้ไปอีกทางหนึ่ง
ผมตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ นี่คือของจริง นี่คือสิ่งที่ผมต้องเจอใช่มั้ย บรรยากาศที่น่าเกรงขามในวังหลวง อีกทั้งรอบตัวผมยังเต็มไปด้วยทหารที่ทำหน้าถมึงทึง มันทำให้ผมกลัวไปหมด โชคยังดีที่ข้างๆ ผมยังมีสหายที่ตามมาด้วยกัน และทุกคนก็ถูกกระทำเหมือนไม่ใช่คนใหญ่คนโตเหมือนกัน
เอาวะ...ก็อย่างที่ผมบอก ถึงผมตาย ผมก็กลายเป็นจูเนียร์ที่เป็นคนไทยและเรียนรัฐศาสตร์การทูต เอกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แถมชีวิตยังกินดีอยู่ดีเพราะเกิดมาอยู่ในครอบครัวของเศรษฐีจากภาคอีสานมาตั้งรกรากอยู่แถวๆ เยาวราช(เซ้งร้านทองต่อเขามา) เพราะฉะนั้นผมไม่ควรที่จะต้องกลัวอะไรทั้งนั้น
เว้นเสียแต่ว่าเกิดเหตุผิดพลาด...ผมอาจจะเกิดเป็นหนอนน้อยที่อยู่บนยอดใบชาเพื่อเอามาทำชาเขียว...
อี๋...สยอง
“พวกเราอาจจะถูกสอบสวนจากขุนนางใหญ่โต” จีซูกระซิบกระซาบให้พวกเราได้ยินกันทุกคน “พยายามทำหน้าให้น่าสงสารเข้าไว้”
“ทำไมต้องทำเช่นนั้น” พยองอันสงสัยจึงถามออกไป ผมเองก็สงสัยมากมายเหมือนกัน
“ลียองวอน เจ้าคือบุตรชายของเสนาบดีคนสำคัญอีกทั้งเจ้ายังสอบเข้าไปเรียนในซองกยุนกวานได้เป็นอันดับหนึ่ง พยองอัน เจ้าก็คือบุตรขุนนางคนสำคัญของวังหลวง ซองชิลคือองครักษ์มากฝีมือที่พระราชาถึงกับตรัสชมและก็ยังวางใจให้ดูแลองค์ชายคนโปรด และก็ข้า...” จีซูยืดตัวเล็กน้อย “บุตรชายนักปราชญ์ที่ได้ขึ้นชื่อว่าฉลาดที่สุดในโชซอน”
แม้จะฟังดูน่าหมั่นไส้แต่ก็จริงอย่างที่จีซูพูด พวกเราไม่ใช่ลูกตาสีตาสาลูกอีแก้วอีคำนี่หว่า...
“อีกอย่างหนึ่งราชสำนักให้ความสำคัญกับนักเรียนของซองกยุนกวานมาก ถือเป็นบุคลากรที่จะกลายเป็นแนวหน้าในการพัฒนาประเทศ พวกเขาคงไม่ประหารพวกเราง่ายๆ หรอก ข้าเชื่อเช่นนั้น”
พูดง่ายๆ ก็คือพวกเราคือเยาวชนของที่นี่ใช่มั้ย แม้จีซูจะเอ่ยปากให้พวกเราเลิกกังวลเรื่องบทลงโทษ แต่ท้ายที่สุดก็น่ากังวลอยู่ดี เพราะคนที่จะมาไต่สวนพวกเราคือเสนาบดียุน พ่อของคุณหนูยุนนารา คู่หมั้นของซองโจ
ไอ้เช็ดเป็ด
ผมกับเพื่อนที่ถูกจับมัดมือมัดเท้าต้องนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเสนาบดียุนที่มีพร็อบมาเต็ม (ไม่ว่าจะเป็นทหารที่อยู่เบื้องหลังหรือเก้าอี้สูงสำหรับพิจารณาโทษ) ยังมีทหารล้อมรอบเราทั้งสี่ทิศราวกับศาลไคฟงของเปาบุ้นจิ้น ผมกลืนน้ำลาย มองไปทางขวามือของตัวเอง ซึ่งมีพยองอัน จีซู และก็ซองชิลนั่งเรียงกันตามลำดับ
“ข้าเสนาบดียุน เสนาบดีฝั่งขวาแห่งราชสำนัก วันนี้รับหน้าที่พิจารณาความผิดของลียองวอน คิมพยองอัน เชวจีซู และมุนซองชิล”
เสียงที่น่าเกรงขามของเสนาบดียุนทำเอาร่างเล็กๆ ของพยองอันสั่นงันงก ผมเอาแต่ก้มหน้าอย่างเดียว
“ในความผิดสมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายรองซองโจ หนีการอภิเษกสมรสกับยุนนารา บุตรสาวของข้า”
ปึง!
ม้วนกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าพ่อหนูยุน (ขอเรียกอย่างคิขุเพื่อให้เหตุการณ์ตึงเครียดนี้มีความซอฟต์ลงมาหน่อย) หล่นกระจายเกลื่อนหลังจากที่เขาวางม้วนกระดาษที่อยู่ในมือลง เขาโมโหอย่างมากและหน้าแดงก่ำ
“ไม่รู้ว่าความคิดในหัวของพวกเจ้ามีอะไรบ้าง ทำไมถึงพากันทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้!”
จริงอย่างที่ขงเบ้งมันพูดจริงๆ ว่ะ อยู่ที่นี่เราคือเยาวชนของเขาจริงๆ ด้วย ที่พ่อหนูยุนกำลังด่าอยู่เหมือนสั่งสอนเด็กที่ทำความผิดมายังไงชอบกล
“สารภาพมา...ใครเป็นคนนำพาความคิดเรื่องที่จะให้องค์ชายซองโจหลบหนีการอภิเษกสมรส”
ทุกคนมองหน้ากัน...ไม่มีใครเป็นต้นเหตุความคิดนี้ทั้งนั้น องค์ชายซองโจหรือคังยูคิดเอาเองและก็พาหนีเอง แต่ใครเล่าจะกล้าทำร้ายสหายผู้สูงศักดิ์ พวกเราได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่มีใครตอบ
“ในเมื่อไม่มีใครยอมรับความผิด เห็นทีว่าข้าจะต้องใช้วิธีรุนแรงจัดการกับพวกเจ้าซะแล้ว”
“ช้าก่อน” เสียงหนึ่งดังขึ้น ผมมองไปเห็นอาจารย์จากซองกยุนกวานเดินเข้ามาประมาณสามสี่คน มีอาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนภาษาจีนด้วย น้ำตาจะไหล...
“ที่นี่อาจารย์จากซองกยุนกวานไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทหาร พาพวกเขาออกไปให้หมด!”
“ฟังข้าก่อนท่านเสนาบดี” อาจารย์ผู้เฒ่าโค้งให้พ่อหนูยุนเก้าสิบองศา นี่ผมน้ำตาจะไหลจริงๆ นะครับ ดูเหมือนอาจารย์เหล่านี้จะมาช่วยให้ผมกับเพื่อนของผมมีโทษเบาลง “พวกข้ามีเรื่องจะขอร้อง เด็กพวกนี้ยังเยาว์วัย เช่นเดียวกันกับองค์ชายซองโจ การกระทำที่เกิดขึ้นอาจจะทำโดยพลการ หุนหันพลันแล่น ไม่คิดหน้าคิดหลัง ได้โปรด ปล่อยเด็กพวกนี้ให้ข้ากับเหล่าคณาจารย์หลายที่นี้จัดการกับพวกเขาเถอะ”
พ่อหนูยุนดูเหมือนจะเกรงใจท่านผู้เฒ่าอยู่มากโขเหมือนกัน เขาถอนหายใจ ก่อนที่จะมองหน้าพวกผมทีละคนอย่างเหน็ดเหนื่อยใจ
“ท่านเองก็บุตรสาวที่อยู่ในวัยแรกรุ่นเช่นเดียวกับเด็กพวกนี้ ได้โปรด เห็นใจข้าสักครั้ง ปล่อยให้พวกเขาถูกลงโทษตามกฎของซองกยุนกวานเถอะ”
ท่านผู้เฒ่าเปิดการ์ดพูดถึงลูกสาวพ่อหนูยุน...การ์ดอันนี้น่าจะช่วยได้และมีประสิทธิภาพเหมือนการ์ดนางฟ้าในเกมส์เศรษฐีเลยทีเดียว
“บุตรสาวของข้าเสียใจมาก นางไม่ยอมกินไม่ยอมนอนมานานหลายวันแล้ว...”
“ข้าจักลงโทษนักเรียนที่กระทำผิดให้สาสม ให้สมกับความเสียใจของบุตรสาวของท่าน”
“ข้าไว้ใจท่านมากนะ”
จีซูมองสบตาผมและส่งยิ้ม ผมผู้ที่ไม่รู้ว่านี่คือหนทางรอดจริงหรือเปล่าจริงไม่กล้าทำหน้าอะไรที่ชัดเจนออกไป
“ถ้าเช่นนั้น...ข้าขอให้ท่านจับพวกเขาขังไว้ในคุกใต้ดินของที่นี่สักสามวันก่อนจะได้หรือไม่”
จีซูหุบยิ้ม...เขาเงยหน้ามองหน้าพ่อหนูยุนอย่างตื่นตระหนก พยองอันเหงื่อไหลจนตกลงบนพื้นเป็นเม็ดๆ ทั้งๆ ที่อากาศเย็นมาก ในขณะที่ซองชิลผู้กล้าได้แต่นั่งนิ่งๆ น้อมรับการลงโทษไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม
“แต่ท่าน...”
“พวกเขาทำผิดกฎอย่างร้ายแรง ทำให้ราชสำนักเสียหาย ทำให้ราชสำนักอับอายต่อแขกเหรื่อที่พระราชาทรงเชิญให้พวกเขามางานอภิเษกสมรส...”
ไม่ว่าทางไหนก็ต้องลงโทษแรงๆ จริงๆ ว่ะ...
“แต่สามวันนั้น...”
“หรือจะให้ข้าเพิ่มเป็นเจ็ดวันล่ะ ท่านผู้เฒ่า”
เสนาบดียุนคงโกรธแค้นมากเลยสินะ ผมกับเพื่อนมองสบตาอาจารย์อย่างขอโทษขอโพย ซึ่งท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้จะเมตตาเราเท่าไหร่หรอกมั้ง เห็นมองมาที่พวกเราอย่างถมึงทึงเชียว
คุกใต้ดิน...สามวันก็สามวัน...ก็แค่ขังเองคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง
“อา...ข้าจะบ้าตายเสียให้ได้” พยองอันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หลังจากตอนที่พวกเขาสรุปให้พวกเราไปเข้าคุกใต้ดินของศาลไต่สวนก่อน และก็จับพวกเราเดินไปยังคุกอย่างรวดเร็ว
“คุกใต้ดินมีอะไรให้น่ากลัวหรือ”
“ความมืด...กลิ่นอับ...ไร้ซึ่งอาหาร มีเพียงแต่น้ำดื่ม”
กูเครียดเลย “จริงหรือ”
“จริงอย่างที่พยองอันเอ่ย” จีซูถอนหายใจ “พวกข้าไหว ข้ากับซองชิลโดนลงโทษจากท่านเสนาบดียุนบ่อยครั้งเมื่อยามเป็นเด็ก แค่นี้ทำอะไรเราสองคนไม่ได้...แม้จะหิวไปหน่อย” เขาทำหน้าเศร้า พวกเราเดินทางกันมาทั้งคืนไม่ได้กิน ไม่ได้นอน แถมยังต้องมาโดนลงโทษอะไรแบบนี้อีก
“แต่ก็ยังดี นี่ถือว่าเป็นโทษสถานเบาที่สุดแล้ว”
“ข้าบอกแล้ว ให้ทำหน้าน่าสงสารเข้าไว้จะเป็นการดี”
ด่านต่อไปที่จะมาทดสอบผมก็คือความมืดของคุกใต้ดินและความหิวจากท้องของผมเอง
คุกใต้ดินศาลไต่สวน
ในตอนแรกผมคิดว่าสามวันที่ไม่ได้กินข้าวของผมนั้นมันคงจะเล็กจิ๊บจ๊อยพอทนไหว แต่ที่ไหนได้ที่นี่มันทรมานมากกว่าที่คิดไว้
เคยอยู่ในที่ๆ มีความมืดมากที่สุดในโลกมั้ยครับ มองอะไรไม่เห็นทั้งสิ้น ผมต้องทำให้สายตาของผมปรับตัวอยู่นานมาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทรมานมากจนเกินไปอยู่ดี เหมือนเป็นคุกที่จะต้องต่อสู้กับความคิดของตัวเอง นอกจากจะโดนกักขังแล้ว ยังจะต้องควบคุมไม่ให้ตัวเองกลายเป็นบ้าอีกต่างหาก
นอกจากจะมืดสุดติ่งกระดิ่งแมวแล้ว ผมกับเพื่อนยังถูกจับขังแยกไปคนละทิศคนละทาง ข้างๆ ผมเป็นคุณลุงคนหนึ่งที่ได้ข่าวว่าจับสาวชาวบ้านไปฆ่าข่มขืน ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นคุณน้าที่แต่ละวินาทีของชีวิตไม่ได้ทำอะไรนอกจากส่งเสียงเป็นระยะๆ ว่า...
”อา”
มันจะโอเคมากเลยครับ ถ้าน้าแกยอมหยุดพูดสักห้านาทีสิบนาทีบ้าง นี่เล่นพูดทุกสิบห้ายี่สิบวินาทีแบบนี้ ผมก็แทบจะอยากเป็นบ้าเหมือนกันนะ
แต่ไม่กล้าด่า กลัวด่าไปแล้วแม่งพังคุกมาเล่นงานผม...
ผมเอาแต่นั่งอยู่ในสุดของคุก บนพื้นมีเพียงฟางแห้งๆ สีเหลืองวางอยู่อย่างกระจัดกระจาย ตั้งแต่ที่เข้ามาผมนอนไม่หลับ ผมเอาแต่นั่งนิ่งๆ อยู่แบบนั้น และก็ดื่มน้ำที่ทหารคอยส่งมาให้ทุกหนึ่งชั่วยาม เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ นี่อาจจะเป็นแค่ตอนกลางคืนของวันแรกเท่านั้น
ช่างเป็นคุกที่ดัดนิสัยเด็กดื้ออย่างพวกผมได้ชะงัดนักแล...
“อา ไอ้เวรนั่น!”
ร้องเป็นครั้งที่หนึ่งพันแปดสิบสี่ของน้าแก...ผมพ่นลมออกมาอย่างเบื่อๆ ขณะที่คิดว่าควรจะนั่งวิปัสสนาในนี้ดีมั้ย เ ผื่อจะช่วยให้จิตใจผ่องใสมากยิ่งขึ้น ความมืดแม่งไม่น่าใช่สิ่งที่จะเอามาเล่น มันทำร้ายและบั่นทอนจิตใจลงไปทีละนิดๆ จริงๆ ครับ
“เจ้าได้ข่าวหรือเปล่า” ทหารเวรที่เดินผ่านไปมากระซิบกระซาบกัน “ข่าวเรื่ององค์ชายซองโจน่ะ”
ผมหูผึ่งทันที เดินเข้าไปใกล้ประตูและก็พยายามที่จะแอบฟัง
“พระราชาทรงกริ้วมาก...พระองค์สั่งให้ทหารโบยองค์ชายตั้งหลายสิบที”
“จริงหรือ”
“แต่องค์ชายไม่ร้องเจ็บเลยสักแอะ”
หัวใจของผมหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม...ถูกโบยเลยเหรอ...ไม่ใช่ป่านนี้หลังเป็นแผลเหวอะหวะแล้วเหรอ
“แล้วเรื่องการแต่งงานล่ะจะยังดำเนินต่อไปหรือไม่ เห็นว่าทางคุณหนูยุนนาราก็ยังคงรอองค์ชายอยู่นี่นา”
“เรื่องนี้ได้ยินข่าวมาว่าองค์ชายน่ะยืนยันอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่อภิเษกสมรสกับคุณหนูยุนอย่างแน่นอน”
“พระราชาต้องทรงกริ้วมากแน่ๆ”
“ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ในเมื่อพระราชาโปรดองค์ชายซองโจมากกว่าองค์ชายแทจง ถึงขนาดสั่งเร่งงานอภิเษกสมรสขององค์ชายซองโจเพื่อเข้ารับตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทอย่างเต็มภาคภูมิ”
“เรื่องนี้ต้องมีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วยแน่ๆ องค์ชายแทจงมีเลือดเนื้อเชื้อไขของพระมเหสีโดยตรง...”
“เพราะวิสัยขององค์ชายใหญ่ไม่เหมาะกับการเป็นพระราชาน่ะสิ”
ฟังแล้วยิ่งเครียดยิ่งปวดหัวจี๊ด ที่แท้พระราชาก็อยากให้คังยูเป็นองค์ชายรัชทายาทมากกว่าองค์ชายใหญ่นี่เอง การถูกข้ามหน้าข้ามตาแบบนี้องค์ชายใหญ่คงต้องเก็บกดกับเรื่องนี้มากแน่ๆ นี่เป็นเรื่องใหม่ที่ผมเองก็เพิ่งจะทราบ
คังยูเคยบอกผมว่าเขาไม่สนใจเรื่องตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทเลยสักนิด นั่นหมายความว่าความคิดของเขาสวนทางกับพระราชาโดยตรง
นี่มันเรื่องใหญ่ไปเรื่อยๆ แล้ว...ผมรู้สึกว่าตัวของผมหดเล็กลงอีกหลายต่อหลายเซนต์(ทั้งๆ ที่มันก็เล็กอยู่แล้วอ่ะนะ)
ความรักของผมในยุคนี้ แม่งไม่ใช่แบบที่ว่าสารภาพรักแล้วได้คบกันเป็นแฟน จบแฮปปี้เอนดิ้งจริงๆ ว่ะ
ผมตัวสั่นเกินกว่าจะควบคุม เมื่อยิ่งได้รู้ว่าคังยูกำลังตกที่นั่งลำบากผมยิ่งกลัวไปหมด เขาต้องเผชิญความตึงเครียดต่อหน้าพระพักตร์ของพระราชาอีกทั้งยังต้องเผชิญหน้าต่อขุนนางทั้งราชสำนักที่ตอนนี้คงแทบจะไม่มีใครสนับสนุนเขา เพราะเขาคือองค์ชายที่หนีการแต่งงาน
คังยูทำให้ผมรู้สึกว่าความมืดที่ผมเจอนั้นกลับกลายเป็นเรื่องเล็กแทบจะในทันที
“พวกเจ้าสองคน มาทางนี้!”
เสียงเหี้ยมของใครสักคนเรียกทหารเวรยามสองคนนั่นให้ออกไปหา หลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงล้มตึง ดีที่ส่วนใหญ่นักโทษกำลังหลับ ไม่อย่างนั้นล่ะก็คนที่มาเยือนอาจจะได้รับความสนใจจากนักโทษในความมืดเหล่านี้
ผมที่ยืนอยู่ใกล้ประตูได้ยินเสียงก้าวย่างอยู่ทางเดินหน้าประตูห้องขัง ผมตกใจผงะถอยหลัง ล้มก้นจ้ำเบ้า
คนๆ นั้นกำลังเปิดประตูห้องขังผมอย่างแผ่วเบา จากนั้นเขาก็ปิดประตู...
ความมืดนี้ทำเอาผมจินตนาการไปต่างๆ นานาว่าผีหรือปีศาจร้ายกันแน่ที่เป็นผู้มาเยือน แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าคนที่เข้ามานั้นมีกลิ่นและการขยับร่างกายที่เป็นเอกลักษณ์ ผมก็พอจะเดาออกทันทีว่าเป็นใคร
องค์ชายซองโจหรือว่าคังยูของผม...
เขาเดินสะดุดขาผม ผมถอยหลังจนชิดกำแพง ควานหาไปทั่วว่าเขาอยู่ไหน ในที่สุดผมก็จับเจอขาของเขา(ซึ่งยาวมากๆ เลยแม่เจ้าโว้ย) ผมดึงให้เขาลงมานั่งข้างๆ ผม เขาน่าจะนั่งข้างๆ ผมแล้วล่ะตอนนี้
“เป็นอย่างไรบ้าง” ผมกระซิบ
ปุก
คอยาวๆ ของคังยูเอนตัวลงมาซบกับไหล่ของผมอย่างเหนื่อยล้า ใจผมเต้นโครมคราม มือไม้ของผมเอื้อมไปจับใบหน้าของเขาอย่างห่วงใย
“เจ็บ...”
คังยูกล่าวสั้นๆ ง่ายๆ แต่นั่นเป็นเหมือนถ้อยคำที่เสียดแทงเข้าไปในหัวใจของผม
“ตรงไหน หลังเหรอ...”
“เจ็บไปหมดทุกส่วนเลย”
เขากางขายาวๆ ของเขาออกและก็ดึงร่างผมเข้าไปกอดแทน ตอนนี้ผมรู้สึกตื่นเต้นจนตัวสั่น พวกเราไม่เคยแสดงออกกันมากขนาดนี้ แม้ว่าจะตื่นเต้นแต่ด้วยเหตุการณ์ที่เราประสบพบเจอมันยากลำบากเกินกว่าที่จะมาโฟกัสเรื่องตื่นเต้น ผมก็เลยกอดเขาตอบ และมือของผมนั้นก็ได้สัมผัสกับแผ่นหลังของเขา...
...มันเต็มไปด้วยร่องรอยที่ผ่านการโบยมาจริงๆ ด้วย บางส่วนยังมีเลือดติดอยู่...ผมอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเขาจะโดนหนักขนาดนี้
“ทำไมเจ้ายอมข้าง่ายๆ” เขากระซิบข้างหูผม เอาศีรษะของเขาซบเข้ากับไหล่ของผม “หากเป็นเวลาปกติ เจ้าคงจะโวยวายหรือไม่ก็เดินหนีข้าไปแล้ว...”
“เจ้าจะยอมให้ข้าหนีมั้ยล่ะ”
“เรื่องอะไรที่ข้าจะยอม...” เขากระชับอ้อมกอดของเขาแน่นขึ้นและพยายามไม่ส่งเสียงดัง
“เจ็บมากหรือไม่” มือของผมไล้ไปตามรอยแผลที่อยู่ด้านหลังของคังยู
“ดีขึ้นแล้วล่ะ”
“...มือข้าไม่ใช่มือวิเศษนะ”
“ข้ารู้สึกว่าข้าดีขึ้นมากจริงๆ” คังยูไม่ยอมเอาหน้าของตัวเองขึ้นมาจากไหล่ของผมเลย “อา...จู๋...เนียร์”
จูเนียร์ที่ผมเคยสอนเขาไว้ไม่ได้หมายถึงชื่อของผม...แต่หมายถึงที่รัก อันนี้เขาจำไปเอง
นั่นทำให้ผมหน้าแดงก่ำแม้เราจะอยู่ในคุกที่โคตรจะอับนี่ก็ตาม
“ข้ายอมทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่อคนที่ตัวเล็กเท่านี้” มือของคังยูกำลังจับตัวผมอยู่ “บอกข้ามาซิยองวอน”
“หืม?”
“เจ้ารู้สึกเหมือนกันกับข้าหรือเปล่า”
ผมกลืนน้ำลาย...มันใช่เวลาที่มาถามเหรอวะ
“ตอบข้ามา...คำตอบของเจ้าคือกำลังใจชิ้นดีของข้า”
ดีนะที่แม่งมืด...ผมค่อยๆ ผละออกมาจากตัวมัน ถึงอย่างนั้นก็ตามคังยูก็ไม่ยอมให้ผมอยู่ห่างมันไปไหน มันจับผมให้นั่งลงบนตักที่กำลังขัดสมาธิของมัน เฮ้อ กูยอมใจในความตัวเล็กของกูจริงๆ...
เป็นอีกครั้งที่อยากจะพูดว่าดีนะที่แม่งมืด ผมถึงกล้าพูดอะไรที่น่าเขินอายม้วนต้วนนี้ออกไป
“เจ้าถามว่าข้ารู้สึกเหมือนเจ้าหรือเปล่า แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไรกับข้าล่ะ”
ไม่รู้ล่ะ เกมส์นี้กูต้องพลิกมาชนะมึงก่อน ก่อนที่มึงจะชนะกู...
“หืม?” คังยูเหมือนตอบไม่ถูก โอ้ย อยากเห็นหน้ามันตอนนี้มากๆ เลยครับ “ข้าน่ะหรือ...”
“...”
“อา ยองวอน จะให้ข้าพูดตรงๆ หรือ ถ้าหากว่าใจข้าต้องแป้วเพราะเจ้าไม่ได้คิดเหมือนข้าล่ะ ความรู้สึกของข้ามันไม่ใช่สิ่งที่จะพูดออกมาตรงๆ ได้นะ เพราะ...”
“ข้ารักเจ้า” ผมพูดตัดบทเขาด้วยหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรง หลับหูหลับตาพูดแม่งไปแล้ว
สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายตัวแข็งไปแล้วครับ เขาไม่ขยับเลยแม้กระทั่งหายใจ
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
ทำไมหูต้องมีปัญหาทุกทีเวลาแบบนี้นะ... “ข้า...”
“เจ้าบอกว่า...เจ้ารักข้าหรือ ยองวอน” มือเรียวยาวของคังยูดึงตัวให้ผมเข้าไปแนบชิดติดกับตัวของมัน “บอกมาให้ข้าได้ยินชัดๆ ดังๆ”
“พูดดังไม่ได้ บ้าหรือ” ชาวคุกตื่นกันหมดพอดี
“ข้ารักเจ้า...คังยู” คังยูนิ่งไปสักพัก ก่อนที่จะใช้มือเรียวยาวของเขามากุมมือผมเอาไว้...
“นี่ถ้าไม่มืด เจ้าก็คงไม่พูดสินะ”
“...”
“ข้าดีใจมากเลย จูเนียร์” คำนี้ของมันเหมือนจะชัดขึ้นไปเรื่อยๆ จนผมนึกว่าคนไทยกำลังเรียกผมอยู่
“อย่าปล่อยให้ข้าต้องพูดคนเดียวสิ” ผมอายจนต้องเอาหน้าไปซบกับไหล่มัน แม้จะรู้ว่ามันมองไม่เห็นหน้าผมก็เถอะ ตอนนี้คังยูเหมือนกำลังอุ้มเด็กวัยกำลังโต เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะกอดผมแน่นขึ้น
“มันอาจจะแปลกไปสักหน่อยนะ ข้าเองก็ไม่คิดว่าข้าจะรู้สึกแบบนี้กับบุรุษเพศเดียวกัน...” คังยูกระซิบ “...แต่เจ้าคือคนที่ข้าสามารถสละทุกอย่างได้ ลาภยศ ทรัพย์สิน เงินทอง ข้าสามารถทิ้งมันทั้งหมดได้ หากได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเจ้า...”
ปลายจมูกโด่งของเขาฝังเข้าที่แก้มซ้ายของผม
“...ได้แต่งงานกับเจ้า”
เหมือนผมได้ขึ้นสวรรค์ไปแล้วทั้งๆ ที่ตอนนี้อยู่บนโลก มันซาบซึ้งกินใจมากสำหรับคำพูดของคังยู
“ข้าดีใจที่เจ้าคิดเหมือนข้า มองความรู้สึกข้าไม่ใช่เรื่องแปลก หลายครั้งหลายคราที่ข้าเองอยากจะกระโดดน้ำตายไปเสียเพื่อให้ข้าลืมความรู้สึกที่มีต่อเจ้า แต่ข้าทำไม่ได้...”
หากเป็นยุคสมัย 2015 ป่านนี้คังยูคงจะสามารถพูดมันออกมาตรงๆ และไม่มีความรู้สึกที่อยากจะกระโดดน้ำตาย...
ผมกำเสื้อเขาแน่น ขณะที่ผละใบหน้าออกไปจากไหล่ของเขา
ขออนุญาตใช้สิทธิ์คนรุ่นใหม่สั่งสอนคนรุ่นเก่า
“ความรักก็คือความรัก ในยามที่เจ้ารู้สึกรักใครสักคนก็ตาม เจ้าห้ามไม่ได้หรอก มันไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่มันคือสิ่งที่สวยงาม เพราะหลายครั้งที่ความรักนำพาความสุขมาให้...”
“...”
“หรือเจ้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้”
สิ้นสุดคำพูดของผม ริมฝีปากของคังยูก็เข้ามาประกบแลกจูบดูดดื่มกับริมฝีปากของผม ในความมืดมิดนั้นคังยูส่งผ่านความรักความรู้สึกที่มีให้ผมผ่านจูบร้อนแรงและมือที่ไม่ยอมปล่อยผมให้ห่างไปไหน
อย่างที่ผมบอก...นี่มันเหมือนขึ้นสวรรค์...
“ข้าสามารถพูดคำนี้ได้เต็มปากแล้วใช่หรือไม่...” ผมรอคอยคำพูดต่อไปของคังยู “เจ้าคือของๆ ข้า...”
ก็นึกว่าจะได้ยินคำนี้ซะอีก... เป็น แฟน กัน นะ
ผมหัวเราะกับความคิดของตัวเองก่อนที่จะตอบคังยูไปด้วยน้ำเสียงกระซิบตามเดิม
“เจ้าก็คือของๆ ข้าเช่นเดียวกัน...”
“อา...ข้าถูกใจเจ้าจริงๆ” คังยูเอาหน้ามาซุกไซร้ลำคอผมไม่เลิก
“นี่เจ้าไม่เจ็บแล้วหรือ”
“ความเจ็บน่ะ...ข้าลืมไปหมดแล้วล่ะ”
ผมยิ้มก่อนที่จะอยู่นิ่งๆ ให้คังยูฟัดได้อย่างตามใจชอบ...ยอมรับครับว่าผมน่ะปล่อยเนื้อปล่อยตัว...แต่เชื่อดิเป็นคุณคุณก็ทำจริงมั้ย #ยิ้มอ่อน
คังยูมันงานดีเกรดพรีเมี่ยมนะ...เขาติดกับผมแล้ว ผมก็ต้องทำให้เขารักเขาหลงผมสิ ใครเบะปากอยู่ผมเห็นนะ
เฮ้ย แล้วใครโยนรองเท้ามาใส่ผมครับ!!!!!! #กระโดดหลบ
“แล้วแอบออกมาเช่นนี่ หมั่นโถวไม่ว่าหรือ” จำพี่เลี้ยงร่างอ้วนของคังยูได้มั้ยครับ คนนั้นนั่นแหละ
“หมั่นโถวเฝ้าอยู่ทางเข้าคุกใต้ดินด้านนอก”
กูว่าแล้ว...มีหรือที่องค์ชายรองผู้อยู่ในกระแสจะเดินเพ่นพ่านในวังหลวงได้ตามใจชอบถ้าไม่มีคนช่วย
“อีกสักหน่อยข้าก็คงต้องไปแล้ว...”
อ้าวมึง...กูอุตส่าห์ปล่อยให้แต๊ะอั๋งจนพอใจแล้วจะทิ้งกูไปอย่างงี้น่ะเหรอออออ
ผมอ้าปากค้าง อดยอมรับไม่ได้ว่ารู้สึกผิดหวัง คืองี้ครับมันไม่ใช่เรื่องของการแต๊ะอั๋งอะไรใดๆ เลย แต่การที่คังยูอยู่ห่างจากผมไปแบบนี้ผมไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดคังยูในแบบนี้อีกมั้ย และเขาจะได้กลับไปเรียนซองกยุนกวานเหมือนพวกเราหรือเปล่า ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ครับ
มือเล็กๆ ของผมจับเสื้อของคังยูเอาไว้ราวกับต้องการเหนี่ยวรั้ง...
“กระต่ายน้อย ข้าเองก็อยากอยู่นี่เช่นเดียวกัน เมื่อสักครู่ข้าคิดว่าข้ายังได้ความหวานจากริมฝีปากของเจ้าอย่างไม่สาแก่ใจข้า...” มือของคังยูแตะริมฝีปากผม “...แต่ข้าหายไปจากตำหนักได้ไม่นาน เพราะเสด็จพ่อกำลังจับตาดูพฤติกรรมของข้าอยู่...”
ผมพยักหน้าเข้าใจเขา แม้จะผิดหวัง แต่คำว่ารักที่เพิ่งได้ยินก็ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะอยู่ลำพังต่อ เพื่อรอเขา
“ข้าจะทำทุกอย่างให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกัน”คังยูจูบผมอีกครั้งหนึ่ง และก็จูบย้ำๆ หลายครั้งราวกับไม่ต้องการห่างไปไหน เขาเอาหน้าผากของเขามาชนกับหน้าผากของผมอยู่นานสองนานกว่าที่เขาจะลุกขึ้นและก็ออกจากห้องขังของผมไปอย่างเงียบเชียบ
TBC*
ขอโทษที่ย่อหน้าอาจจะแปลกๆ นะคะ
พอดีก็อปมาจากเวิร์ดของคอมใหม่แล้วมันไม่ยอมย่อหน้าให้
ต้องเคาะมือเอา กลัวจะบิดๆ เบี้ยวๆ เอียงๆ เหมือนสายตาคนเขียนค่ะ