ตอนที่ 21 หลังจากที่พวกเราทุกคนได้อาบน้ำกันอย่างสดชื่นและชุ่มฉ่ำกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็พากันเดินชมนกชมไม้พร้อมทั้งกระโดดโลดเต้นกันอย่างอารมณ์ดีราวกับพวกเราเป็นสโนไวท์ในดินแดนมหัศจรรย์(?)
ใช่ซะที่ไหนล่ะ...หลังจากที่พวกเราทุกคนได้อาบน้ำกันหมดแล้ว องครักษ์สุดโหดดันหูดีไปได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งเข้ามาหาพวกเราเข้า พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นพวกไหน แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่พวกเราทุกคนทำมันต่างจากสิ่งที่สโนไวท์ทำมากเลยแหละ
พวกเราวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนกันอีกรอบ
กูว่ามีบ้านคุ้มกะลาหัวยังจะดีซะกว่ามีชีวิตที่ต้องวิ่งตลอดเวลาแบบนี้ คนนะเว้ยไม่ใช่พิธีกรรายการรันนิ่งแมน
บ่นไปก็เท่านั้นแหละครับ ในเมื่อผมเลือกแล้วว่าจะเดินทางสายนี้ผมก็ต้องยอมรับมัน แม้ว่าร่างกายของผม(และยองวอน...เอาเป็นว่าจะใครก็ช่างเถอะ) มันจะรับไม่ค่อยได้ก็ตามที
“แฮ่ก แฮ่ก...พัก พักก่อน” พยองอันเอื้อมมือมาแตะบ่าของผม ท่าทางเพื่อนตัวเล็กคนนี้จะไม่ไหวแล้ว ทุกคนหยุดฝีเท้า หันหน้ามาดูพยองอันพร้อมกัน หลายคนตกอกตกใจกับหน้าซีดๆ ที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของพยองอัน
ผมหันหน้าไปถามคังยูว่าเขาจะอนุญาตมั้ย คังยูพยักหน้าครั้งเดียว เป็นอันว่าทุกคนต้องหยุดพักจากการหนีก่อน
ผมรีบหาน้ำหาท่ามาให้เพื่อนตัวเล็กมันกิน มันนั่งลงบนก้อนหินขนาดใหญ่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยเอามากๆ ผมกำลังจะยื่นน้ำไปให้มันแล้วล่ะครับ แต่ซองชิลดันยื่นให้ซะก่อน
แหม คนใบ้ก็มีน้ำใจด้วย... #แซว
“ตอนนี้เราอยู่กันที่ไหน” ผมหันไปถามขงเบ้งของกลุ่ม
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเท่าใดนัก” ขงเบ้งตอบ “เนื่องจากตอนที่พวกเราหนีพวกเราก็เอาแต่วิ่งไปข้างหน้า ไม่ได้รู้นักหรอกนะว่าทางไหนไปหมู่บ้านไหน”
เฮ้อ...อนาคตช่างสดใสเสียจริงๆ
“แต่ข้าจำได้ ตอนที่ข้าดูแผนที่ อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามน่าจะมีหมู่บ้านของชนเผ่าหนึ่ง คงจะอาศัยหาอาหารและที่พักได้”
“จะหยุดเดินทางได้หรือ ไม่อันตรายไปหน่อยหรือ” ผมถามอีกครั้ง ในเมื่อไอ้ซองชิลมันได้ยินเสียงฝีเท้า แสดงว่ายังไงก็ต้องเข้ามาใกล้แล้วสิ
“ซองชิลสัญชาตญาณดียิ่งนัก ดีไม่ดีหูของเขาอาจจะได้ยินเสียงศัตรูไกลเป็นพันลี้หมื่นลี้”
เชี่ยอะไรวะ...มีคนหูดีขนาดนั้นด้วยเหรอเนี่ย ผมกระพริบตาปริบๆ แม้จะไม่เชื่อมากแต่เชื่อมันไว้หน่อยก็ดี อย่างน้องซองชิลมันก็มีดาบ และก็สู้เก่งที่สุดในนี้แล้วด้วย
หลังจากที่ให้พยองอันได้พัก พวกเราก็เดินทางไปยังหมู่บ้านชนเผ่าแห่งหนึ่งที่เป็นชนเผ่าพ่อค้าแม่ค้าขนาดเล็ก (มีสมาชิกโดยรวมไม่น่าจะถึงหนึ่งร้อยคน) ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการขายเกลือและก็สิ่งทอ หัวหน้าเผ่าเป็นคนใจดีมากๆ ยิ่งเห็นท่าทางของคังยูเป็นคนที่บุญญาธิการสูงเขาก็ยิ่งต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี
ดีจนผมรู้สึกขนลุกขนพอง...
คืองี้ครับ ตั้งแต่ตอนที่พวกเราเดินเข้าไปหาพวกเขา (สภาพดูไม่จืด ทั้งเลอะเทอะและก็เละเทะ) ทุกคนในชนเผ่าก็ดูเหมือนจะปูพรมแดงให้เราเดินเข้าไปอย่างแกรนด์โอเพนนิ่งสินค้าอะไรสักอย่าง ราวกับพวกเขารอคอยจังหวะนี้กันอยู่แล้ว จริงๆ นะครับ ขนาดโง่ๆ อย่างผมยังรู้สึกว่ามันแปลกๆ เลย
หัวหน้าเผ่านอกจากจะทำการจับมือทำความรู้จักเราแล้ว ยังพาเราไปยังเพิงที่พักของท่านหัวหน้าอย่างไม่ใช่คนแล้งน้ำใจอีกต่างหาก...แม้จะรู้สึกแปลกประหลาดใจ แต่ก็ยังดีกว่าพวกนี้เอาดาบมาขู่พวกเราก็แล้วกัน
“พวกท่านคงจะเดินทางมาเหนื่อย” หัวหน้าเผ่ายิ้มโชว์ฟันที่มีทั้งสีเหลืองสีดำ เสิร์ฟน้ำชาให้คังยูและพวกเราทุกคนทีละคนๆ อย่างใจดี ข้างๆ เขาคือภรรยาของเขา เป็นคุณป้าที่ดูท่าทางใจดีไม่น้อย เพราะเอาแต่ยิ้มอย่างเดียวและสายตาของเธอมักจะจับจ้องไปที่พ่อหน้าละอ่อนคังยู “อย่างน้อยก็พักที่เผ่าของเราสักคืนสองคืนก็ยังดี”
“พวกท่านใจดีเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าต้องการสิ่งใดเป็นการตอบแทน” คังยูถามตรงๆ
“พวกข้ามิเห็นต้องการสิ่งใด ภรรยาของข้า...” หัวหน้าเผ่าผายมือไปที่อาจุมม่าผู้บ้าคังยู “...ไม่สามารถมีบุตรได้ หากเรามีบุตรหลังจากที่แต่งงานกัน ก็คงจะมีอายุอานามพอๆ กับพวกเจ้า”
ท่าทางป้าเขาคงอยากจะมีลูกหน้าตาเหมือนคนที่ป้าแกจ้องอยู่สินะ
คังยูไม่ได้ตอบอะไร เขาเอาแต่มองคนในทีมของเขาอย่างขอความเห็น แน่นอนว่าทุกคนก็รู้สึกแปลกๆ แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไปตรงๆ
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว...พวกข้าขอเวลาพักผ่อนสักครู่จะได้หรือไม่”
“เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มีหรือที่ข้าจะขัด เชิญคุณชายกับสหายพักผ่อนตามอัธยาศัยที่เรือนเล็กทางด้านข้าง ข้าให้คนจัดเตรียมเสื้อผ้าสะอาดไว้ให้พวกท่านทุกคนแล้ว”
พวกเรารอจนคังยูเดินออกไปก่อนแล้วจึงตามไป...
เรือนเล็กในชนเผ่า
หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จแล้ว ทุกคนต่างก็มานั่งรวมกันที่โต๊ะราวกับกำลังจะหารือกันเรื่องสงคราม จริงๆ นะครับ ฟีลมันเหมือนผมดูซีรี่ส์เรื่องจูมงยังไงยังงั้นแน่ะ
แต่เรื่องของเรามันเบาก็เยอะ...นี่เป็นแค่เรื่องที่องค์ชายคนหนึ่งหนีการอภิเษกสมรส
แม้จะเบา แต่ก็ทำผู้คนวุ่นวายนับร้อย นี่ยังไม่นับรวมพวกที่วิ่งวุ่นในการตามหาเลือดเนื้อเชื้อไขโอรสสวรรค์ที่สุดจะอินดี้ผู้นี้...
“มันแปลกไปหมด” ขงเบ้งเปิดประเด็น “พวกเขาทำเหมือนรอคอยพวกเราอยู่ก่อนแล้ว”
“หาไม่เห็นต่างจากจีซู” พยองอันร่วมสนทนาบ้าง “ข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ”
“แบบนี้แสดงว่าหัวหน้าเผ่าต้องมีแผน เราต้องระวังตัวตลอดเวลา” ขงเบ้งหันไปหาผู้ที่มีวรยุทธ์มากที่สุดใน ที่แห่งนี้ นั่นก็คือซองชิล ผู้ที่ทำหน้านิ่งแต่ได้ยินชัดเจนทุกคำ “นายน้อย เราควรทำเช่นไรดี จะอยู่ต่อหรือว่าจะขอตัวออกไป...”
“...”
“นายน้อย”
“...”
“นายน้อยขอรับ”
ผมที่เอาแต่สนใจจอกน้ำชาอยู่ข้างหน้าเงยหน้าขึ้นมองคังยูเพราะไม่เห็นมันตอบสักที ตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นมามันกำลังสบตาผมอยู่พอดี
เชี่ย...กูโดนแอบมองเหรอเนี่ย
แล้วทำไมต้องเขินนนนนนนนน... เพราะสายตาที่ดูแน่วแน่และซื่อตรงของมันนี่แหละที่ทำให้ผมเขิน ปกติผมไม่เขินคนอย่างมันหรอกครับ แหะ
“เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า” แทนที่คังยูจะตอบขงเบ้งกับเพื่อนไป แต่ดันมาถามผมแทนซะนี่
“ข้าเหรอ...” กูมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยเหรอ
“ใช่”
“ก็...” จากใจเลยนะครับ ผมไม่ใช่คนที่แข็งแรงอะไรอยู่แล้ว ยิ่งมาผนึกกำลังกับคนที่อ่อนแอยิ่งกว่าทิชชูเปียกอย่างยองวอน บอกตามตรงว่าการวิ่งหนีไม่หยุดไม่หย่อนแบบนั้นมันทำเอาแรงแทบไม่มีเหลือ ที่ไม่บ่นก็เพราะเกรงใจเหล่าบรรดาชายชาติทหารทั้งหลายที่อ้อมหน้าอ้อมหลังผมและไม่มีปริปากบ่นออกมาสักแอะ ผมก็เป็นคนแมนๆ คนหนึ่งนะครับ
“ว่าอย่างไร...”
“ก็...เหนื่อย แต่ข้าไหว ไม่ว่าเจ้าจะสั่งว่ายังไง ข้าก็พร้อม”
“ถ้าอย่างนั้นก็พัก” คังยูกล่าวสรุปในที่สุด ผมนี่ถึงกับทำหน้าเอ๋อแดกไปเลย “ไม่ว่าหัวหน้าเผ่านั้นจะมีแผนยังไง ข้าก็พร้อมจะรับมือ”
“ถ้าอย่างนั้นก็...ตามนั้นขอรับ” ขงเบ้งทำหน้าเหมือนกลั้นยิ้ม พยองอันกับซองชิลต่างฝ่ายต่างก็พากันลุกจากโต๊ะ ส่วนขงเบ้งนั้นเอียงคอมากระซิบกับผม “หากเจ้าปรารถนาฟ้าปรารถนาดิน...ข้าเชื่อว่านายน้อยจะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะหามาให้เจ้า”
ผมทำหน้าไม่เข้าใจ ก่อนที่จะขงเบ้งมันจะพูดอะไรขึ้นมาอีก มันก็โดนด้ามดาบของคังยูมากั้นระหว่างผมกับขงเบ้งเอาไว้เสียก่อน...
ขงเบ้งโค้งลาคังยู ในขณะที่ผมทำท่างกๆ เงิ่นๆ ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปอยู่ไหน (จริงๆ อยากไปงีบบนเตียงมากบอกตรงๆ เลย แต่ไม่กล้า เพราะไร้ซึ่งอำนาจอันใด)
“เจ้าจะไปไหน”
นั่นไง ไม่ทันขาดคำ...ผมบอกแล้วใช่มั้ยครับว่าผมไม่มีอำนาจ และผู้ที่มีอำนาจมันก็นั่งทำหน้าโหดอยู่ใกล้ๆ นี้
“พักผ่อน” ผมตอบสั้นๆ
“ไม่อยากพักผ่อนกับข้าหรือ”
อยู่กับมันแล้วจะเรียกว่าพักผ่อนมั้ยน่ะ... “ไม่ล่ะ เชิญเจ้าตามสบาย”
ผมเดินหันหลังกลับไป แต่แล้วมือยาวๆ ของคังยูก็คว้าแขนผมเอาไว้ ดูก็รู้ว่ามันอยากให้ผมอยู่ในห้องนี้กับมันด้วยยามที่คนอื่นออกไปด้านนอกกันหมด
ผมมองมือที่มันจับแขนผม เมื่อเห็นว่าผมมอง มันก็เลยปล่อยออก
อุ้ย...สายตาผมเอาชนะผู้สูงศักดิ์ได้ด้วยเหรอนี่
คังยูจับมือผมอีกครั้งหลังจากนั้นมันก็พาผมไปยังห้องนอนซึ่งยังไม่มีใครมาปูที่นอนอะไรเอาไว้ มันก็ง่วงเหมือนกันเหรอนี่ ผมผู้ที่รู้หน้าที่ดีจึงอาสาปูที่นอนให้สองที่โดยปูให้มันอยู่ห่างๆ กัน
“ห้องก็เล็กแค่นี้ ยังจะนอนห่างกันอีกหรือ”
เดี๋ยวนะ...แล้วทำไมต้องนอนชิดวะ “ข้าไม่อยากรบกวนเจ้า”
“ปูให้ชิดกัน”
“แต่...”
“ปู ให้ ชิด กัน”
ผมพ่นลมเสียงดังเพราะตัวเองไม่สามารถที่จะขัดใจอะไรคังยูได้ ผมทำตามความต้องการของคังยูหลังจากนั้นผมก็ยืนนิ่งๆ อยู่ริมห้อง
“เจ้านอนได้แล้ว”
“หา” ผมอ้าปากค้าง
“ตอนที่นั่งคุยกันข้าเห็นเจ้านั่งสัปหงก”
ผมจำได้ว่าผมเล่นแก้วบนโต๊ะอยู่นี่ ผมไม่ได้สัปหงกสักหน่อย...แต่ก็ไม่อยากจะเถียงเท่าไหร่ครับ ผมเหนื่อยจนผมไม่รู้เนื้อรู้ตัวอะไรเท่าไหร่เลย
เห็นที่นอนแล้วอยากจะถลาลงไปนอนตั้งแต่ปูเสร็จ แต่ด้วยความเกรงใจคังยูก็เลยไม่ได้ทำอย่างนั้นลงไป
“ตกลงข้านอนได้ใช่มั้ย”
“ตามสบาย”
สิ้นเสียงของคังยู ผมก็ทิ้งตัวลงไปนอนทันที ขยับตัวหาที่ของตัวเองและก็ดึงผ้าห่มมาห่ม รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งผ่านการวิ่งมาราธอนมาหลายสิบกิโลเมตรและก็เพิ่งได้พัก มันฟินยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก
คังยูยืนขำผม หลังจากนั้นเขาก็ทิ้งตัวนอนลงข้างๆ แน่นอนว่าท่านอนของเขาสง่างามกว่าผมเยอะ ผมมองหน้าคังยู ส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนที่จะหลับตา...
ผมไม่รู้ตัวว่าหลับไปเมื่อไหร่และก็หลับไปนานแค่ไหน ตอนที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมา ผมก็ยังเห็นว่าคังยูกำลังนอนมองมาที่ผมอยู่
เห้ยยย ผมนอนอ้าปากมั้ยวะ ฉิบหายละ
“นี่เจ้า...” ผมพูดไม่ออก “เจ้ายังไม่ได้พักผ่อนเลยรึ”
“ใช่” คังยูตอบ
“เจ้านอนนิ่งๆ นอนจ้องข้าเนี่ยนะ”
“ใช่”
เพื่ออะไรวะแม่งงงงงงงง...ผมคงหลุดออกไปเยอะเลยอ่ะดิ ตอนที่ผมนอนเวลาที่เหนื่อยมากๆ ผมไม่รู้หรอกครับว่าสภาพผมจะเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆ ผมโดนไอ้คังยูจ้องมานานจนสามารถบอกได้เลยว่ามันคงเห็นการนอนของผมในทุกอิริยาบถ
“มองเจ้านอนแล้วข้าไม่ต้องนอนก็ได้”
“หมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าดูหลับสบายเหลือเกิน สบายจนเหมือนนอนเผื่อข้าไปแล้ว”
ผมหน้าบึ้ง
“แปลกเสียยิ่งกว่าแปลก ข้านอนจ้องเจ้าได้ตลอดทั้งวันไม่เบื่อเลย แม้กระทั่งตอนที่เจ้าหลับตานิ่งๆ ข้าก็ยังมองเจ้าได้”
ผมหลุบตาลงต่ำเพราะไม่กล้าจ้องตาของคังยู ดวงตาของมันในตอนนี้ดูไม่ใช่คนที่หยิ่งในอำนาจและก็ศักดิ์ศรีอีกต่อไป มันอ่อนโยนมากเกินไปจนผมใจสั่น
ผมมาจากยุคสมัยที่คนรักกันสามารถพูดสื่อสารกันได้อย่างตรงๆ ไม่ว่าจะเป็น ‘เป็นแฟนกันนะ’ ‘ฉันรักเธอ’ ‘ฉันคิดถึงเธอ’ ความรู้สึกในใจของผมอยากที่จะพูดกับเหล่านั้นกับคังยูแต่ว่ามันกลับพูดออกไปตรงๆ ไม่ได้ และวิธีการที่คังยูสื่อสารกับผมนั้นมันช่างลึกซึ้งเกินกว่าคำตรงๆ เหล่านั้นเสียอีก
มันทำผมเขินไปกี่รอบแล้วนะในวันนี้...
“เจ้าก็ลองหลับดูสิ” ผมพูด
“หืม?”
“ข้าจะได้จ้องเจ้าบ้าง”
“จ้องข้านอนรึ” คังยูเริ่มทำหน้าไม่ถูก เขามองไปทางอื่นและก็กลับมาวางมาดอีกครั้ง “ข้ามิเห็นสมควรที่จะต้องทำเช่นนั้น...”
“เจ้าต้องเขินอายข้าแน่ๆ”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร”
“เจ้ารู้มั้ย ในยุคสมัยของข้า...” ผมเริ่มพูดตามประสาคนพูดมาก เมื่อเห็นหน้าเหวอๆ ของคังยูผมก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “ใน เอ่อ ในแถวบ้านของข้า...คนที่ปากตรงกับใจน่ะมักจะตามมาด้วยเรื่องดีๆ เสมอนะ”
“แล้วเจ้าเป็นคนที่ปากตรงกับใจหรือ”
ผมกระพริบตาปริบๆ “กำลังฝึกอยู่” ผ่านเหตุการณ์ใกล้ตายอย่างเช่นตอนจมน้ำ ผมรู้สึกว่าชีวิตนี้มันสั้นมากเลยครับ รักใครชอบใครแสดงออกไปตรงๆ เลยจะดีกว่า นี่คือสิ่งที่เหตุการณ์นั้นสั่งสอนผม
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี...” คังยูพ่นลมหายใจออกมาแล้วก็หลับตาลง “...ข้านึกว่าข้ารู้สึกไปคนเดียว”
“...”
“และก็เป็นบ้าอยู่คนเดียว”
ผมขมวดคิ้ว มองดูใบหน้าของอีกฝ่ายกำลังหลับตาพริ้ม สิ่งที่เขาพูดนั้นความหมายแม่งลึกซึ้งกว่านั้นมาก มันไม่ใช่แค่ใจตรงกัน แต่เป็น ‘เพศ’ เดียวกันที่ใจตรงกันในยุคสมัยนี้ต่างหาก
แม้แต่เขาก็ยังมองว่าตัวเองบ้า
“ไม่ได้เรียกว่าบ้าหรอกเว้ย” ผมบ่นงึมงำเป็นภาษาบ้านเกิดตัวเองแล้วนอนหันหลังให้คังยู
“...”
“เขาเรียกว่า ‘ความรัก’”TBC*
หายไปซุ่มแต่งมาได้เยอะเลยยยย
ใจเย็นๆ นะคะ ให้เวลาคนหนุ่มในยุคก่อนเขาเรียนรู้ที่จะรัก
เชื่อว่าตอนต่อๆ ไปทุกอย่างไม่ว่าจะการกระทำและก็คำพูดจะชัดเจนกว่านี้น้าาา
คนเขียนยังรู้สึกเลยว่าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ 5555
ขอบคุณที่รอเรื่องนี้ค่ะ เลิฟฟฟฟ