ตอนที่ 9
เช้าวันสอบ
ผมเก็บเอาขีดต่าง ๆ ของภาษาจีนไปฝันเลยครับคิดดูแล้วกัน ขนาดอยู่ในฝันก็ยังเขียนผิด และคนที่ตามเข้าไปด่าผมในฝันก็คือเจ้าซองโจ ไม่สิ ตอนนี้ผมควรเรียกมันว่าคังยูได้แล้วใช่มั้ยครับ เจ้านั่นตามเข้าไปด่าไม่พอยังเพิ่มดีกรีความโหดด้วยการเอาไม้เรียวเข้าไปด้วย ในฝันผมนี่แสบก้นระบม เพราะผิดหนึ่งครั้งแม่งตีสามครั้ง อยากตายจริง ๆ
“เป็นอย่างไรบ้าง” พยองอันทักทันทีเมื่อเห็นผม “ข้าไม่ได้นอนเลยทั้งคืน” ขนาดมันไม่ได้นอนนะเนี่ย หน้าตาเพื่อนผมยังดูสดใสอยู่เลย สงสัยเป็นคนที่ผิวพรรณดีมากล่ะมั้งครับ
“ข้าได้นอน แต่เหมือนไม่ได้นอน” ผมพูด “ข้าต้องตายแน่ ๆ เลย ซองกยุนกวานมีบทลงโทษอย่างไรบ้างสำหรับคนสอบตก”
“จริง ๆ แล้วนี่มันเป็นแค่การทดสอบหลังบทเรียนเรื่องแรก” เรียนเรื่องแรกจบภายในหนึ่งอาทิตย์ นี่มันไม่ได้แตกต่างจากมหาวิทยาลัยที่ไทยเลยนะครับนี่ “แต่เขาก็คงจะไม่ให้พวกเราตกได้บ่อยนักหรอก”
“ข้าจะบอกให้นะ” ยังจำไอ้ขี้แซวตอนแรก ๆ ได้มั้ยครับ นึกว่าแม่งจะหนีมันพ้นแล้วเพราะต่างคนต่างเรียน จู่ ๆ มันก็เดินเข้ามากอดคอผมกับพยองอันและก็พูดจายียวน “ใครสอบตกที่ซองกยุนกวานโดยเฉพาะสอบครั้งแรก มันผู้นั้นจะได้รับแต่ความอับอายขายขี้หน้า เป็นที่แปดเปื้อนของวงศ์ตระกูล และจะโดนล้อเลียนยันลูกหลานของมันผู้นั้นออกบวชเลยทีเดียว”
แม่งช็อค
ใครเสี่ยงสอบตกที่สุดรู้ไหมครับ...ผมนี่แหละ...ผมเลย...เครียดชิบหาย
“ปล่อย” พยองอันขยับตัว เออว่ะ ลืมไปว่าโดนกอดไหล่อยู่ ผมดิ้นพล่านในขณะที่ไอ้ขี้แซวที่ตัวใหญ่กว่ายิ่งโอบรัดผมกับพยองอันแน่นขึ้น ขนาดมีสองคนยังแพ้มันซึ่งมีแค่ตัวคนเดียวเลยครับ คิดดูแล้วกันว่าผมกับพยองอันตัวเล็กกระจ้อยร่อยแค่ไหน “ปล่อยข้านะ”
“พวกเจ้าสองคนคิดจริง ๆ เหรอว่าจะหนีคนอยากข้าพ้น”
“พวกข้าไม่ได้หนี และพวกข้าไม่ได้ติดค้างอะไรกับคนอย่างเจ้า” ผมพูด แม่งตัวเล็กทำไมไม่มุดหนีมันไปวะ อ๋อ จะมุดแล้วครับ แต่แม่งรัดแน่นเลย ไอ้เชี่ยนี่ก็นะ...ตัวมันเหมือนยักษ์เหมือนไอ้สามหล่อทีมคังยู ดีไม่ดีหนากว่าด้วย(เพราะมันดูอ้วน ๆ ตัวใหญ่ ๆ) “ปล่อยข้าได้แล้ว”
“ไม่อยากได้คนดูแลอย่างนั้นหรือ”
ผมกับพยองอันนิ่ง
“คนดูแลอะไรกัน”
“นี่พวกเจ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นหรือ” ไอ้ขี้แซวเอ่ย “ลับหลังพวกเจ้า...ดูเหมือนจะมีแต่คนแย่งพวกเจ้ามาเลี้ยงเป็นคนที่อยู่ภายใต้อาณัติ”
คือเชี่ยอะไรฟะ...
“เหลวใหล” พยองอันดูจะโกรธมากกว่าผม เพราะผมดูไม่ค่อยเข้าใจอะไรเลย
“ข้าขอโทษที่เราอาจจะเริ่มความสัมพันธ์ไม่ดีสักเท่าไหร่” ขี้แซวตวัดสายตามาที่ผม “แต่ข้าพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ”
ฟิ้ววว
รองเท้า...ขอย้ำรองเท้าลอยผ่านหน้าผมไป
ผมหันขวับไปมองเห็นสามยักษ์ทีมคังยูกำลังทำท่าเล่นเกมส์อะไรกันอยู่ก็ไม่รู้อยู่หน้าหอพัก ดูเหมือนพวกนั้นจะใส่รองเท้ากันอยู่
“เจ้าพลาดเป้าไปนะซองชิล” คังยูเอ่ยกับบริวารของเขาที่น้อมตัวลงรับคำที่คังยูวิจารณ์อย่างเชื่อฟัง “ข้าขอลองหน่อย”
มึงเล่นอะไรของมึงฟะ รองเท้าข้างที่คังยูเตะลอยขึ้นมาแถวพวกผมและหลังจากนั้นก็...
แปะ...เข้ากลางหัวไอ้ขี้แซวเต็ม ๆ
มันปล่อยผมกับพยองอันทันที
“อ๊าก” มันร้อง “เจ้า” ชี้มือไปที่คังยูอย่างคาดโทษ ในขณะที่คังยูกอดอกและจ้องมองเขม็ง แม้แต่ชี้หน้านายบ่าวอย่างซองชิลยังไม่ยอมเลยครับ ทำท่าจะย่างสามขุนมาเฉือนเจี๊ยวไอ้ขี้แซวแล้ว แต่ขงเบ้งดึงตัวเอาไว้เสียก่อน
โหดยิ่งกว่าหมาอีกครับ...ซองชิลคนนี้อ่ะ
ขี้แซวไม่พูดอะไรต่อ ดูเหมือนเขาจะเห็นพรรคพวกของคังยูยากเกินกว่าจะต้านทานก็เลยเดินหนีไป
พวกนี้ช่างเล่นเกมส์โยนรองเท้ากันได้เหมาะช่วงเวลาดีจริง ๆ น่าอับอายที่ผมกับพยองอันมีสองคนแต่ก็สู้แรงไอ้ขี้แซวตัวบิ๊กนั่นไม่ไหว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ รอดไปอีกคราก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“ข้าจะโยนไปคืนก็แล้วกันนะ”
ผมร้องบอกพวกคังยู และก็โยนรองเท้าของคังยูให้เขาคืน เกือบโดนหัวเขาแน่ะครับ ซองชิลทำท่าจะมาเฉือนเจี๊ยวอีกรอบ ทีนี้เป็นเจี๊ยวของผม มึงนี่ก็ดุจังวะ
คราวนี้เป็นคังยูที่ห้ามซองชิลซะเอง...
ผมไม่ได้ยินเสียงที่เขาบ่นเบา ๆ
“ข้าช่วยเจ้าแท้ ๆ ยังไม่รู้ตัวอีก”
หน้าห้องสอบ
ตื่นเต้นยิ่งกว่าสอบแกทแพท ผมนี่ยกมือไหว้พร้อมกับสวดอิติปิโสไปด้วย ใครจะมองว่าประหลาดก็ช่างหัวมันแล้วครับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ช่วยผมได้ในตอนนี้
และอยากจะบอกว่า...ที่อ่านมาเมื่อคืน ผมลืมหมดเลย!
ตายแน่ ๆ ตายหยังเขียดแน่นอนงานนี้
“เจ้า”
คังยูมายืนขนาบข้างผมตอนที่ผมหลับตาปี๋สวดมนต์อยู่
“เจ้าเป็นพวกที่มีมนตร์ดำใช่หรือไม่ เมื่อคืนเจ้าก็พูดภาษาประหลาด ๆ”
อย่ามาทำลายสมาธิกูนะ...
“อย่าเครียดนักสิ”
คำพูดของมันทำเอาผมลืมตา เงยหน้ามองคนพูด
“ทำใจให้สบาย ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้”
มันทำผมใจเต้นแรงอีกแล้ว
คำพูดเรียบง่ายของมัน ประกอบกับน้ำเสียงเบาน่าฟังนั่น...ทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำ
กูยิ่งจะลืมที่อ่านมาทั้งหมดก็เพราะมึงเนี่ยยยยย
“เจ้า...คิดอย่างน้ันจริง ๆ หรือ” ผมค่อย ๆ ถาม มองหน้าหล่อ ๆ ของคังยูเพื่อเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง
“เจ้าก็ไม่ใช่คนโง่อะไร” ช่วยกูได้เยอะ ขอบใจมาก
คังยูคงจะเห็นผมทำหน้าเครียดหนักกว่าเดิม ก็เลยค่อย ๆ พูดเสริมออกมาเรื่อย ๆ
“ต้องมีอะไรมาล่อตาล่อใจเจ้าสินะ สติของเจ้าถึงจะกลับมาแล้วจะตั้งใจทำข้อสอบมากขึ้น...”
อะไรของมันหว่า...
คังยูเหลือบมามองหน้าผม ทำหน้ายิ้มนิดหน่อย (ไม่สังเกตก็คงไม่เห็น) พร้อมกับบอกว่า
“ถ้าเจ้าสอบผ่าน...ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวในวัง”
วังเชียวนะครับ พระราชวังในยุคโชซอนเชียวนะ...
มันช่วยผมได้มากจริง ๆ ช่วยให้เครียดกว่าเดิมน่ะสิ!
ทำแบบนี้ยิ่งกดดันให้สอบผ่านมากยิ่งขึ้น ผมนั่งสงบจิตสงบใจตัวเองตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าให้ผู้ช่วยแจกกระดาษคำตอบ ผมเหลือบไปมองปากกาขนนกที่ท่านย่าของคังยูมอบไว้ให้ หวังว่าปากกาจะช่วย เพราะตอนนี้ผมไม่น่าจะช่วยตัวเองได้แล้ว
มองไปที่พยองอัน เขากำลังฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ท่องอย่างบ้าคลั่ง
มองไปที่คังยู หมอนั่นกำลังทำหน้าชิว ๆ และเมื่อเห็นผมมองไปเขาก็ชักสีหน้าและก็ไล่ให้ผมหันไปสนใจกับการสอบ...
…นี่น่ะเหรอการให้กำลังใจของมึง ผมจ้องหน้ามันเขม็ง จ้องจนอาจารย์เคาะโต๊ะ ชิบหาย มีผมคนเดียวที่มองไปทางด้านหลัง ผมโค้งขอโทษอาจารย์
ข้อสอบเหมือนจะง่ายนะครับ มีข้อเดียวถ้วน ให้เวลาทำหนึ่งชั่วยาม หรือสองชั่วโมง คำถามเป็นคล้าย ๆ บทกลอนภาษาจีนหลังจากนั้นก็ให้ตอบว่ามันคืออะไร เป็นคล้าย ๆ ปริศนาที่ค่อนข้างซับซ้อน ให้คิดหลาย ๆ ชั้นน่ะครับ
ทันทีที่อาจารย์เปิดข้อสอบ คว่ำนาฬิกาทราย ผมถึงกับกลืนน้ำลาย
คำแรกก็แปลไม่ออกแล้วโว้ยยยยยยยยยยย...
ผมได้ยินเสียงคนพลิกกระดาษกันพรึ่บพรั่บ เสียงปากกาจุ่มกับน้ำหมึก ทุกคนรอบข้างผมขยับตัวและก็เริ่มทำ ในขณะที่ตัวผมนั้นนิ่งอย่างกับหุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่
เด็ดสุดไม่ใช่ข้อสอบนะครับ มีเด็ดกว่านั้นอีกครับ...
คังยูทำเสร็จเป็นคนแรก โดยใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีในการทำ...
กูยอมมมมม กูยอมใจอ่ะ กูยอมมึงจริง ๆ มึงคนเห็นข้อสอบปุ๊บ อ่านเป็นภาษาพ่อแม่มึงและก็เขียนตอบเลย แม่งเทพอ่ะ
ผมมองตามหลังสูง ๆ ที่เดินไปข้างหน้าส่งกระดาษคำตอบให้อาจารย์ผู้เฒ่า อาจารย์พยักหน้าและก็บอกมันว่ามันสอบผ่าน ทุกคนถึงกับปรบมือให้กับความเมพขิง ๆ ของมันเลยทีเดียว
แม่งทำข้อสอบเสร็จก็เดินออกไปรับลมชิว ๆ ทางด้านนอก
ผมก้มหน้าทำข้อสอบอีกครั้ง พยายามหนักมากกว่าเดิม ครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็มีคนเริ่มทะยอยออกกัน มีคนเดินผ่านหน้าผมไปหลายคนมาก ทุกคนผ่านกันหมด แม้จะใช้เวลามากกว่าไอ้คนเก่งอย่างคังยูมากก็ตาม
ผมกลืนน้ำลาย ต้องสู้สิวะหนุ่มไทย มึงต้องสู้สิ สำแดงให้ชาวโคเรียนรู้กันไปเลยว่าไทยก็ทำได้ เอ้า สู้เขา!
กัดเล็บอย่างเคร่งเครียด มองไปที่ข้อสอบอีกครั้ง ค่อย ๆ แปลอย่างใจเย็น แม้จะมีคนเอากระดาษคำตอบไปส่งผมก็ยังพยายามจดจ่อกับการหาคำตอบกับคำถามภาษาจีนข้อนี้ให้ได้
เวลาผ่านไป...เหลือผมเป็นคนสุดท้ายในห้องสอบ
หันซ้ายหันขวาอีกทีแม่งมีแต่โต๊ะตัวเตี้ยกับเบาะของคนอื่น ๆ เป็นเพื่อน อาจารย์กับผู้ช่วยจ้องผมเขม็ง เวลาที่ผมมีอยู่เหลือน้อยลงแล้ว
ผมมองไปอย่างเครียด ๆ และก็เพิ่งรู้ว่ามีคนกำลังเครียดกับผมเหมือนกัน
คังยูอยู่นอกห้องสอบพร้อมสองบริวารและก็มีพยองอันมองมาที่ผมอย่างเป็นห่วงอยู่ด้วย ทุกคนมองมาที่ผมหมดเลย อาจารย์ที่ติวผมเมื่อคืนดูเหมือนจะลุ้นที่สุดเพราะมองผมราวกับต้องการให้ผมตอบและก็ออกมาสักที ผู้ช่วยเห็นผมมองออกไป ก็เลยปิดประตูรอบ ๆ ห้องจนหมด
เห็นหน้าอาจารย์คังยู...ผมเริ่มนึกอะไรออก
ก่อนที่จะเขียนหวัด ๆ ลงไปในโค้งสุดท้ายของการสอบ
“ปิดทำไมไม่ทราบ” ขงเบ้งทำเป็นร้องโอดโอย “นายน้อยของข้าเลยไม่ได้แอบมองยองวอนเลย”
ซองชิลยกปลายด้ามกระบี่ขึ้นขู่ ราวกับต้องการบอกว่าให้ขงเบ้งเลิกพูด ก่อนที่จะหันไปหาคังยู “ตรงนี้แดดค่อนข้างร้อน นายน้อยยืนอยู่นานเกือบสองชั่วยามแล้วนะขอรับ”
“พยองอัน” คังยูไม่ได้สนใจคำพูดของบริวารเลย “เพื่อนของเจ้าแค่นั้นก็นึกไม่ออกจริง ๆ หรือ”
คนตัวเล็กตวัดสายตามองหน้าคนเก่งที่คิดว่าคนอื่นจะเก่งเหมือนเขาทุกคน
“เขาคงเครียดมาก”
“…”
“เจ้านั่นแหละกดดันเขา”
คำพูดของพยองอันทำเอาคังยูหันขวับ เขาไม่ได้ไปกดดันยองวอนเลยแม้แต่นิดเดียว ที่เขาพูดไปและก็นำรางวัลล่อตาล่อใจไปให้ ก็เพียงแต่หวังให้คังยูสอบผ่านเท่านั้น
“ข้าไม่ได้กดดันเขา”
“เจ้ากดดันเขาเห็น ๆ” พยองอันต่อปากต่อคำ “เขาคงคิดว่าเพราะเจ้าเป็นคนสอน ก็เลยไม่อยากทำให้เจ้าผิดหวัง”
ซองชิลมองหน้าพยองอันอย่างคาดโทษ...
“ทำไมบ่าวของเจ้าต้องมองหน้าข้าแบบนั้น”
“ไม่มีอะไรหรอก จริง ๆ แล้วไม่มีใครควรเถียงข้า” คังยูพูดผ่าน ๆ หันไปมองบานประตูที่ปิดสนิท
“เจ้าควรบอกเขาด้วยนะ ว่าจะใช้การกระทำสื่อแทนคำพูดทั้งหมดไม่ได้ บางคนไม่เข้าใจ” พยองอันมองหน้าซองชิลก่อนที่จะหันไปมองคังยู “ข้ารู้ว่าเจ้าสั่งให้เขาพูดได้”
“เจ้าอยากพูดกับเขาหรืออย่างไร”
“ก็ข้ากับเขาเป็นรูมเมททึกัน...” สิ้นเสียงพยองอัน ทุกคนหันมามองที่เขากันหมด “ข้าหมายถึง...เพื่อนร่วมห้อง อย่างน้อยเขาก็ควรพูดกับข้าบ้าง”
“เจ้ากับเพื่อนเหมือนกันไม่มีผิด มีภาษาแปลก ๆ เหมือนกัน น่าจะเก่งใช้มนตร์ดำเช่นเดียวกัน” คังยูส่ายหน้าเบา ๆ หันไปหาซองชิลแล้วสั่งเขา “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดกับข้าคนเดียวก็ได้ เพื่อนร่วมห้องของเจ้า ท่าทางอยากจะเสวนากับเจ้าน่าดู”
ซองชิลน้อมรับคำสั่ง...เป็นเวลาเดียวกันกับที่ประตูเปิดพอดี...
ลียองวอนเดินออกมา...แสดงว่าสอบผ่าน...ไร้ข้อกังขาใด ๆ
ทันทีที่เห็นหน้ายองวอน คังยูถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็ก้าวนำหน้าคนอื่นเพื่อไปเรียนวิชาต่อไป เล่นเอาคนอื่นแทบเดินตามไปไม่ทัน...
คำตอบของข้อสอบคือคำที่คังยูจับมือผมเขียน
แม้ว่าคำถามที่เก็งมาอาจจะไม่เหมือนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ท้ายที่สุดคำนั้นมันก็คือคำตอบ ถ้าเขาไม่ยืนหน้าสลอนโผล่มาให้ผมเห็น ผมก็คงจะไม่ทันได้นึกถึงว่าคำตอบนั้นมันอยู่ใกล้ตัวผมมากขนาดไหน
ตอนที่เขียนคำตอบ รู้สึกเหมือนเขาจับมือผมเขียนอยู่ยังไงยังงั้นแหละ
ต่อไปเป็นวิชาฝึกยิงธนู คนอย่างผมก็สบายแล้วครับ รอเป็นลูกมือหยิบลูกธนูให้เจ้าคังยูอย่างเดียว จะว่าไปผมก็ยังไม่ได้ไปขอบคุณมันเลยแฮะ เดี๋ยวค่อยขอบคุณมันอีกทีก็ได้
หรือจะขอบคุณมันตอนนี้ดี
ผมกำลังคอยจับลูกธนูส่งให้คังยูอยู่ครับ อีกฝ่ายก็มัวแต่กำลังตั้งใจเล็งธนูเข้าเป้าอย่างเดียว ไม่สนใจคนข้าง ๆ อย่างผมเลย(ผมแลเห็นความไม่จำเป็นที่มันต้องเรียนวิชานี้ครับ คนบ้าอะไรเก่งชิบหาย เข้ากลางเป้าตลอด)
ผมทำท่าอ้ำอึ้ง อยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดสักที อย่างน้อยคำขอบใจก็ควรจะออกมาจากปากผมบ้าง แต่พอเห็นหน้าหล่อ ๆ ของมันทีไรแล้วผมรู้สึกอยากด่าแทนที่จะอยากพูดดี ๆ ด้วย ไม่รู้ทำไมไม่เหมือนกันครับ
“ยองวอน”
“…”
“ลียองวอน!”
คังยูเสียงดังขึ้นเพราะผมมัวแต่เหม่อ ผมสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงที่จ้องมองผมเขม็ง
“อะไรหรือ”
“ลูกธนู”
“อ้อ”
จริง ๆ ผมควรฉวยโอกาสนี้ในการเอ่ยขอบคุณมันซะ แต่แล้วปากหนัก ๆ ของผมก็ไม่ยอมทำงาน ผมหยิบลูกธนูให้มัน จากนั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้น
มือของผมไปโดยปลายแหลมของลูกธนูด้วยความประมาทเลินเล่อ
“อ๊ะ” เลือดไหลซิบ ๆ ออกมาจากข้างฝ่ามือของผมทันที ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่ว ทั้งเจ็บทั้งแสบ
“เป็นอะไรมากหรือไม่” คังยูทิ้งธนูลงกับพื้น(เสียงดังสนั่นหวั่นไหว) พร้อม ๆ กับเข้ามาจับไม้จับมือของผมทันทีอย่างสำรวจ ผมส่ายหน้าดิก ในขณะที่มือใหญ่ ๆ ของเขาพยายามพลิกดูฝ่ามือของผม “ท่านอาจารย์ สหายของข้าได้รับบาดเจ็บขอรับ!”
“ช้าอยู่ใย เจ้ารีบพาสหายของเจ้าไปที่โรงหมอบัดเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!”
พยองอันช้ากว่าฝีเท้าของคังยู เขามาดูผมไม่ทันตอนที่คังยูพยุงผมไปที่โรงหมอ พระเจ้าช่วย รู้สึกตกใจกับเลือดมากกว่าความเจ็บปวดของมันอีกครับ เลือดผมสีมันแดงขนาดนี้เลยเหรอ
“เจ้ามัวแต่ใจลอย เพราะเหตุนี้ถึงทำให้ตัวของเจ้าเองเจ็บตัว” คังยูเสียงเข้ม “มีอะไรให้เจ้าคิดถึงมันนักหนา ถึงได้ตกอยู่ในภวังค์ขนาดนั้น”
เรื่องของมึงล้วน ๆ เลยครับ...
“ไม่มีอะไรหรอก”
“การสอบก็ผ่านไปแล้ว ไม่มีอะไรให้เจ้าคิดหนักถึงขนาดนั้น”
“เจ้ายังจะพาข้าไปเที่ยววังหลวงอยู่ใช่หรือไม่”
“นี่เจ้า...เจ็บขนาดนี้ยังจะห่วงเที่ยวอีก!”
“ก็ข้ากลัวเจ้าไม่ทำตามสัญญา”
“อย่าบอกข้านะว่าเจ้ากังวลเรื่องนี้จนไม่เป็นอันอยู่กับเวลาปัจจุบัน”
“เอ่อ...ประมาณนั้นมั้งนะ”
มันทำหน้าทำตาปวดหัวกับผมมาก อะไรกัน ผมก็คนซื่อ ๆ นะ มีอะไรบอกหมดแหละ(ไม่จริง) คังยูไม่พูดอะไรกับผมอีก เอาแต่ทำหน้าบึ้งและก็ส่งตัวผมเข้าหมอ หมอทำแผลให้ผมและก็พันผ้าพันแผลให้ผมด้วยวิถีแผนโบราณล้วน ๆ จนกระทั่งผมออกมา คังยูมันก็ยังยืนอยู่
แถมอารมณ์เดือดทะลุจุดศูนย์
“คิดว่าข้าเป็นคนไม่รักษาสัญญาขนาดนั้นเลยงั้นหรือ”
มึงคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย
“ข้าพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว มันเป็นคุณสมบัติของคนประจำตระกูลข้า”
อลังการงานสร้าง...ตระกูลมึงของจะสูงส่งน่าดูเลยสินะ...
“ข้าก็แค่...” ไม่กล้าเอ่ยคำว่าขอบคุณเฉย ๆ
“เจ้ากล้าหรือเปล่าล่ะ”
“หือ”
“ไปเที่ยวในวังหลวงกับข้า”
“ข้ากล้าอยู่แล้ว” มึงถามผิดคนแล้ว กูกล้าทุกเรื่องอยู่แล้วเหอะ(?)
“เพราะเจ้าคงเกรงว่าข้าจะไม่รักษาสัญญา...”
“…”
“ข้าจะพาเจ้าไปวังหลวงตอนนี้”
ตอนนี้ ?
ตอนนี้เนี่ยนะ
ตอนบ่ายนิด ๆ ตะวันกำลังส่องกลางหัวเนี่ยนะ
ถ้าโดนจับได้คงไม่ได้มีเรื่องแค่กับโรงเรียนแล้วครับ มีเรื่องกับวังหลวงด้วยแน่ ๆ
คังยูจ้องผมเขม็งด้วยสีหน้าท้าทาย ในขณะที่ผมอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะปฏิเสธมันต้องแอบด่าพ่อผมในใจแน่ ๆ ว่าป๊อด(ประมาณว่าหยามยิ่งกว่าหยาม) เอาไงดีวะ ไม่นึกว่าการเงียบไปของผมจะทำให้มันคิดไปเองจนเลยเถิดขนาดนี้
แต่วังหลวงเชียวนะ วังหลวงเลยนะเห้ย ต้องไปสิ อีกอย่างตอนกลางวันมันเห็นทุกอย่างชัดกว่าตอนกลางคืนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...
“ข้าตกลง”
คังยูมองผมด้วยสีหน้าทึ่งนิด ๆ
“พาข้าไปเดี๋ยวนี้”
เขากระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนที่จะพยักเพยิดให้ผมเดินตามหลังของเขาไป
“อีกอย่างหนึ่ง...”
“…”
“ข้าขอบใจมากนะที่เจ้าช่วยข้า”
คังยูคงได้ยินแน่ ๆ แต่เขาไม่ยอมหันกลับมา
ทำให้ผมไม่ได้ยิน ในสิ่งที่เขางึมงำ ๆ อยู่ฝ่ายเดียว
“ไม่ว่าเรื่องไหน ๆ ข้าก็จะช่วยเจ้า...”
TBC*
Talk : ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปเนอะ ค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์
ยากหน่อยนะนายน้อยคัง นังน้องจูดูซื่อบื้อไปนิดนึง 555
หนึ่งคอมเม้นท์ หนึ่งกำลังใจ...จริง ๆ นะคะ