❤ กรี้ดกร้าดในทวิตฝากติดแทค #ยิ้มหวานของหมอ นะคะ[15]
ยังครับ...เทศกาลสอบมหาโหดโคตรมหาประลัยมันยังไม่จบลง ถึงแม้ตอนนี้มหาลัยที่ผมเรียนอยู่จะแปรสภาพไปเป็นมหาลัยร้างเรียบร้อยแล้ว เพราะคณะอื่นๆเค้าสอบเสร็จกลับบ้านนอน หนีเที่ยวออกนอกประเทศกันหมด
ยกเว้นพวกผม นักศึกษาแพทย์ผู้อดทน สิบช้อชนสิบล้อตาย -_-
และคณะอื่นๆในสายเดียวกันอีกนิดหน่อย
สองวันสุดท้ายของการสอบ เป็น 2 วันที่ผมมีสอบติดกัน
พวกผมสอบเสร็จตอนเที่ยงของวันแรก และพุ่งตัวไปอ่านหนังสือกันอยู่ที่หอสมุดจนเย็น พอตอนเย็นก็ย้ายกันไปที่ร้านกาแฟต่อ
ผมหยิบมือถือขึ้นเล่นดูตอนสี่ทุ่มกว่าๆ ก่อนจะเห็นยิ้มหวานอัพรูปลงอินสตาแกรม ว่าเจ้าตัวไปส่งเพื่อนที่สนามบินผมกดไลค์รูปภาพ ไม่ได้คอมเม้นอะไร แต่กลับเปิดไลน์แล้วทักเขาไปแทน
*อยากไปเที่ยวมั้ย?กลับไปอ่านหนังสือได้สักพักเขาก็ตอบกลับมา
*รู้ทันอีก
*มากโคตร
*ตอนเห็นเพื่อนเดินเข้าเกท
*งงเลยว่าทำไมเราถึงไม่ได้ไปกับพวกนั้นด้วย
*ว่าแล้ว
*อยู่ไหนเนี่ย
*สนามบิน
*กำลังจะกลับละ
*มาหามั้ย?
*หมอเปลี่ยนเรื่องเร็วอีกละอ่านข้อความที่เขาส่งมาปุ๊บผมก็หลุดยิ้ม
รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเจ้าตัวลอยมาเลยครับ
*มาเหอะ
*เดี๋ยวเลี้ยงหนม
*น่าสนเลย
*ถ้าจะออกไปเดี๋ยวบอกแล้วกัน
* ^ ^
*โอเค
*ถ้ามานั่งแท็กซี่มานะ
*ทำไมอ่ะ?
*เราเอารถมา
*ตอนกลับเดี๋ยวขับไปส่ง
*อือ ยังไม่ชัวร์นะว่าจะไปมั้ย
*เดี๋ยวบอกอีกที ผมส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับไป แล้วเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะก็ลุกขึ้นไปซื้อน้ำเปล่าที่เค้าน์เตอร์
ผม ไอ้เบอร์ 1 กับไอ้โคนันนั่งคุยเรื่องสอบกันไปเรื่อยเปื่อย ส่วนไอ้เบอร์ 2 ที่พอเห็นว่าพวกผมเริ่มเข้าสู่โหมดพักเบรคปุ๊บ มันก็ขอตัวออกไปโทรหาแฟนมันทันที
พอเริ่มรู้สึกหายเหนื่อยขึ้นมานิดหน่อยก็ติวกันต่อ บทนี้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผมที่ต้องติวให้เพื่อนๆพอดี มากันครบ 4 คน ผมก็เริ่มอธิบายไปเรื่อยโดยไม่ได้สนใจบรรยากาศโดยรอบอีก เวลาผ่านไปนานเหมือนกัน ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่ามีคนมาสะกิดเข้าที่ไหล่
ผมหยุดพูด พอมองไปยังไอ้สองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน ก็เห็นว่ามันทำหน้าอึ้งแล้วส่งสายตาข้ามหัวผมไป เห็นอย่างนั้นผมเลยหันไปด้านหลัง...แล้วหน้าตาตอนตกใจของไอ้สองคนนั้นก็เป็นเรื่องเล็กไปเลย
เพราะยิ้มหวานยืนอยู่ตรงนี้รอยยิ้มน่ามองของเขาปรากฎเด่นชัดอยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะตามมาด้วยน้ำเสียงที่ผมคุ้นเคย
“หวัดดี นั่งด้วยดิ"
ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่าง และพบว่ามันยากมากที่ต้องพยายามเก็กหน้านิ่งในเหตุการณ์แบบนี้
แอบมาเงียบๆ โคตรน่ารักเลยเว้ย! ไอ้โคนันที่นั่งอยู่ข้างผมดีดตัวลุกขึ้นทันทีเหมือนโดนใครถีบตูด แล้วบอกให้ยิ้มหวานนั่งที่ของมันแทน
ก่อนที่จะเดินไปขอเก้าอี้ที่เหลือจากโต๊ะข้างๆมานั่งลงตรงหัวโต๊ะที่ยังว่าง
เขานั่งลง ท่าทางอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย ตอนที่ส่งยิ้มทักทายเพื่อนๆของผมทุกคน
...ซึ่งทำให้ไอ้พวกเพื่อนชั่วมันทำเป็นยิ้มตาลอยกันใหญ่ เดี๋ยวกุตีปากแตกเลย!
“ตกใจปะ?”
“โคตรมาก มาไม่บอก"
“ถ้าบอกก็ไม่ตกใจดิ"
เขาพูดแล้วหลุดขำ ก่อนจะละสายตาจากผมแล้วไปหันหน้าเขากำแพงเพื่อมองหาปลั๊กไฟ ปล่อยให้ผมชวนคุยทั้งๆที่อีกฝ่ายยังก้มหน้าอยู่อย่างนั้น
"หาแท็กซี่ยากป่ะ"
"ไม่นะ"
เขาพูดพลางก้มลงไปเสียบปลั๊ก ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมพร้อมยิ้มให้กันนิดหน่อย แล้วหยิบกระเป๋าตังค์เตรียมจะลุกขึ้น แต่ผมกลับรู้ทัน เอากระเป๋าตัวเองยื่นไปให้เขาก่อน
"บอกแล้วไงว่าจะเลี้ยง"
คำพูดของผมทำให้เขาหยุดชะงัก ก่อนจะส่ายหน้ามาให้แทนคำตอบ ในขณะที่ผมก็ขมวดคิ้วมองหน้าเหมือนจะบังคับให้เขารับกระเป๋าไปให้ได้
"ไม่เอา~"
“เอาไป"
ผมพูดพร้อมกับยัดกระเป๋าตังค์ใส่มือเขา ก่อนจะทำเป็นกลับมาติวให้ไอ้พวกนี้ต่อ โดยที่ปลายสายตาเห็นอยู่ว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้ามุ่ย
แทนที่จะเดินตรงไปสั่งเครื่องดื่ม เขาดันมาหยุดอยู่ตรงไอ้โคนันที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ แล้วยื่นกระเป๋าผมให้มันหน้าตาเฉย
"อ่ะ เราฝากคืนเพื่อนหน่อยดิ"
แสบมั้ยล่ะคนเรา -_-
ผมมองตามคนที่เดินไปหยุดสั่งเครื่องดื่นที่บาร์แล้วได้แต่นึกคาดโทษในใจ พร้อมกับที่ ไอ้โคนันโยนกระเป๋าสตางค์ลอยมาเพื่อให้ผมยกมือขึ้นไปรับ แล้วเอามาวางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม
สักพักยิ้มหวานก็กลับมาพร้อมกับชาร้อนและน้ำเปล่า พออีกฝ่ายเห็นว่ากระเป๋าสตางค์ผมวางอยู่ใกล้ๆก็แอบขำนิดหน่อย ก่อนจะเปิดแม็คบุ๊กที่ดูเหมือนวันนี้จะต้องใช้เจ้าเครื่องใหญ่ในการทำงาน
"ฝากตัววันนึงนะ เราโดนเพื่อนทิ้งอ่ะ"
เขาพูดพลางหันมาส่งยิ่มให้เพื่อนๆของผม พอเห็นว่าพวกนั้นพยักหน้ารับและส่งยิ้มกลับไปเขาก็หยิบหูฟังขึ้นมาใส่แล้วนั่งทำงานต่อไปเงียบๆ โดยไม่สนใจพวกผมอีก
เวลาผ่านไปสักพัก ก่อนที่พวกผมจะพักกันอีกรอบตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปตามสบาย ไอ้เบอร์ 1ลุกไปสูบบุหรี่จนได้ หลังจากบ่นว่าอยากอยู่พักใหญ่ ไอ้เบอร์2ไปโทรหาแฟนมันเหมือนเดิม ไอ้โคนันไปสั่งอะไรมากินเพิ่ม แล้วเดินเลยไปเข้าห้องน้ำ ส่วนยังคงผมนั่งอยู่ที่โต๊ะ
...เพราะว่ายิ้มหวานของผมอยู่ที่นี่ทั้งคนพอหันมามองคนข้างๆที่ยังคงนั่งทำงานอยู่เงียบๆแล้วก็นึกอยากจะหาเรื่องกวนเขาขึ้นมาเล่นๆซะอย่างนั้น
ผมฟุบตัวลงกับโต๊ะโดยหันหน้าไปทางเขา และมองคนที่มีสีหน้าจริงจังอย่างไม่รู้จักเบื่อ จนเจ้าตัวต้องส่งสายตากลับมาจนได้ แววตาคู่นั้นเหมือนจะถามผมว่า
'มองอะไร?' ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้น แล้วผลักหน้าผากผมเบาๆ พร้อมกับบ่น แล้วดึงหูฟังออกข้างนึง
“จ้องหน้ากันทำไมเนี่ย"
ผมไม่ตอบไม่สิ่งที่เขาถาม แต่กลับพูดในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ออกไป
นั่นทำให้ยิ้มหวานขมวดคิ้วเข้าด้วยความสงสัย
"ยืมมือหน่อย"
ผมยื่นไปเอื้อมมือไปจับข้อมือข้างซ้ายที่ว่างอยู่ของเขา แล้วดึงมาตรงหน้าตัวเอง ระหว่างนั้น ยิ้มหวานก็ตอบกลับมา
"มือถืออ่ะนะ?"
“มือที่จับอยู่เนี่ย"
ผมพูดพร้อมกับสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายไปด้วย และเห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้มีท่าที่ปฏิเสธตอนที่ผมจับมือ เขาทำเพียงแค่ส่งสายตามองมายังฝ่ามือที่โดนขโมยไป แล้วทำหน้าเหมือนเพิ่งจะเข้าใจในคำพูดของผมก็ตอนนั้น
พอรู้ว่าผมจะจับมือ เจ้าตัวก็ส่งสายตามองไปรอบๆ พอเห็นว่าไม่มีใครสนใจเราอยู่ เขาก็ปล่อยให้ผมทำตามใจ
“แปลกนะเนี่ย ยอมให้จับด้วย"
คำพูดของผมทำให้ริมฝีปากคู่นั้นเชิดขึ้น จนดูเป็นคุณหนูหยิ่งๆขึ้นมาทันตาเห็น พร้อมกับตอบกลับ
“ก็เห็นท่าทางเหนื่อยๆอ่ะ เราไม่อยากรังแกคนที่อ่อนแอกว่า
ถามจริง – ทำมาจากอะไรทำไมโคตรน่ารัก?
"5นาที เดี๋ยวคืน"
ผมพูดพร้อมกับกับก้มหน้าลง แล้วใช้มือของเขารองใบหน้าเอาไว้ก่อนจะนอนฟุบอยู่บนนั้น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยมาทั้งวันหรือว่าฝ่ามือที่ขโมยเจ้าของเค้ามามันนุ่มชวนเคลิ้มกันแน่ ผมถึงได้หลับไปอย่างรวดเร็ว
แต่ในช่วงที่กำลังจะหลับสนิท อีกฝ่ายก็ดันแกล้งขยับมือยุกยิก จนต้องฝืนลืมตาแล้วลุกขึ้นมามอง เห็นสีหน้าซนๆของคนตรงหน้าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งขู่เขาเล่นพร้อมกับแยกเขี้ยวใส่
“เดี๋ยวกัดมือเลย"
ได้ผล ได้ยินผมพูดปุ๊บเขาก็ทำหน้าตกใจ แล้วรีบเถียงกลับ
“กล้าเหรอ?”
“ลองมั้ยล่ะ?”
ผมพูดพลางทำท่าจะก้มลงไปกัดมือของเขาที่ยังคงถูกล็อคเอาไว้ตรงที่เดิม แต่แทนที่จะใช้ฟันงับลงไปบนเนื้อนุ่มๆ ผมกลับแตะริมฝีปากลงไปบนฝ่ามือของเขา ก่อนจะกลับไปฟุบหน้าอยู่ในท่าเดิมอีกครั้ง
“หมอ! เนียนไปแล้วนะ! รีบนอนเลย!"
“โอเคครับ 5 นาทีปลุกด้วยนะ"
“อืม"
ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองว่าอีกฝ่ายมีปฏิกริยาตอบกลับมาแบบไหน เพราะแค่รับมือกับตัวเองที่กำลังรู้สึกดีจนแทบบ้าผมก็ยังแย่ ปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพักผมก็หันไปมองยิ้มหวาน ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ด้วยมืออีกข้างที่ยังว่าง
พอเขาเห็นว่าผมหันมามองกัน เท้าที่อยู่ใต้โต๊ะก็ยกขึ้นมาเตะเข้าที่ขาผมเต็มๆ ริมฝีปากน่ารักของเขาคว่ำลงแถมยังปั้นหน้าดุใส่กัน ทั้งๆที่แก้มกำลังแดงจัด
วินาทีนั้น เมโลดี้อันเป็นเอกลักษณ์ของเพลงๆนึงก็ดังขึ้นมาในใจผม พร้อมเนื้อร้องท่อนแรก
ไม่แน่ใจกับท่าที แต่รู้ว่ามีความหมาย...- - -
พวกผมแยกย้ายกันกลับบ้านตอนตีสาม ระหว่างที่กำลังเดินกลับไปที่รถ อยู่ดีๆยิ้มหวานก็แบมือแล้วยื่นมาขวางกันซะอย่างนั้น ผมหันไปทำหน้าง่วงใส่คนที่ยังคงตาสว่างถึงแม้ว่าตอนนี้จะดึกมากแล้ว พร้อมกับเอ่ยถาม
“อะไร?”
“เราอยากขับเบ็นซ์อ่ะ"
ผมยิ้มรับก่อนจะยกมือไปขยี้หัวเขาเล่นด้วยความเคยชิน แล้วจะยื่นกุญแจให้
“ขับไปแค่คอนโดนะ เดี๋ยวเราขับกลับบ้านเอง"
คนฟังรับกุญแจรถไป ระหว่างที่กดรีโมทปลดล็อคแล้วขึ้นมานั่งบนรถ เขาก็ชวนผมคุยไปด้วย
“อ้าว! ตอนหมอขับรถเรายังไปส่งเราถึงที่เลย ทำไมเราขับรถหมอแล้วเราไม่ได้ไปส่งบ้างอ่ะ"
ผมขึ้นมานั่งที่ว่างข้างคนขับ รู้สึกไม่ค่อยคุ้นกับการนั่งรถให้คนอื่นขับให้สักเท่าไหร่
แต่ในใจก็รู้สึกดีอยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกัน
ก่อนจะส่งสายตาไปมองคนที่เอาของไปวางไว้ที่เบาะหลังรถ แล้วถามออกมา
“จีบเราเหรอ?”
ปฏิกริยาของเขาน่ารักดีครับ ยิ้มหวานหันมาทำตาโตใส่ผมพร้อมกับแก้มที่แดงขึ้นมานิดหน่อย พอตั้งตัวได้เขาก็โวยวายออกมาทันที
“จีบอีกแล้วนะ!”
“อ้าว เล่นทำเหมือนตอนเรามาตามจีบใหม่ๆทุกอย่าง ก็เลยนึกว่ากำลังจีบกันอยู่อ่ะดิ"
“ลืมตายังไม่ขึ้นอยู่แล้วยังจะมากวนประสาทกันอีก"
เขาเลิกสนใจผม แล้วพูดออกมาเหมือนกำลังบ่นกับตัวเอง ก่อนจะถอยรถออกจากที่จอด ส่วนผมที่นั่งมองท่าทางน่ารักๆตรงหน้าอยู่ก็ได้แต่ยิ้มออกมา
ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันไหม...
แต่ผมว่า พรุ่งนี้ผมทำข้อสอบได้ชัวร์ๆ
- - -
ในเช้าวันสอบ...พวกผมทั้ง 4 คนก็เลยเดินเรียงกันไปในสภาพของซอมบี้ที่ใฝ่เรียนรู้คู่คุณธรรมนำสังคมหลุดพ้นจากยาเสพติด และนั่งทำข้อสอบเหมือนสมองโดนกินไปเรียบร้อยแล้ว
พอหลุดพ้นจากขุมนรกที่คนทั่วไปเรียกกันว่าห้องสอบ พวกผมก็มายืนมองหน้ากัน ส่งสัญญานเป็นอันเข้าใจว่าลา! แล้วก็แยกย้ายกันทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ตอนแรกผมตั้งใจจะกลับบ้าน แต่พอเปิดไลน์เข้าไปดูก็เห็นว่ามีข้อความมาพิมพ์ทิ้งเอาไว้ในกรุ๊ปครอบครัวจากแม่ของผม
เหมือนวันนี้คุณนายเค้าจะมีนัดทานข้าวพูดคุยกับเพื่อนสมัยเรียน แล้วก็รู้ว่าผมน่าจะสอบเสร็จช่วงเที่ยงเลยมาแวะบอกกันว่าให้ผมหาข้าวกินเองให้เรียบร้อยจากนอกบ้าน
นาทีนี้สถานการณ์เข้าทางโจรเต็มๆครับบอกเลย อ่านไลน์ของแม่จบปุ๊บ ผมก็แสดงบทบาทลูกที่ดีด้วยการพิมพ์บอกแม่ไปว่าปาร์ตี้ให้สนุกนะครับ ไม่ต้องห่วงผม ก่อนจะรีบถามยิ้มหวานต่อทันทีว่าวันนี้อยู่ห้องไหม จะออกไป
พออีกฝ่ายตอบกลับมาว่าคงอยู่ห้องทั้งวัน ผมก็เลยบอกไปว่าเดี๋ยวจะแวะเข้าไปหา เพราะโดนแม่ทิ้ง ไม่มีที่ไป
ไหน...รางวัลลูกดีเด่นประจำปีอยู่ไหน รีบเอามาให้ผมเหอะ -_-
ไปถึงปุ๊บก็โทรเรียกเจ้าของห้องให้ลงมารับ ก่อนที่สภาพของผมจะทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมา แล้วถามต่อ
“หมอ...ไปโดนใครยิงถล่มมาเหรอ?”
ผมยักคิ้ว แต่ไม่ตอบ ก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีมืออุ่นวางลงบนหัวของตัวเองแล้วขยี้เบาๆ พร้อมกับเสียงพูดของคนตรงหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม
“เมื่อวานก็ว่าแย่แล้วนะ วันนี้หนักกว่าอีกอ่ะ น่าสงสารคุณหมอจังเลย~"
เจ้าตัวบอกว่าน่าสงสาร แต่ผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นสักนิด จังหวะการหัวเราะที่แฝงอยู่ในคำพูดก็บอกอยู่ชัดๆว่าเขากำลังขำที่ผมมีสภาพย่ำแย่ขนาดนี้
ก่อนที่ผมจะจับมือที่ขยี้หัวผมเล่นไม่ต่างกับเวลาลูบขนหมา แล้วถือโอกาสจูงมือเขาเอาไว้พร้อมกับลากให้เดินไปหน้าลิฟต์ด้วยกัน สภาพง่วงจัดทำให้ผมต้องคอยบิดคอบิดตัวเพื่อคลายความรู้สึกเมื่อยๆหนักๆอยู่หลายครั้ง
ระหว่างที่ลิฟต์กำลังขึ้นสูงไปเรื่อยๆ ผมก็รู้สึกได้ถึงแรงบีบเบาๆที่เกิดขึ้นบนไหล่ทั้งสองข้าง พอสังเกตดูถึงได้เห็นว่าคนที่เคยยืนข้างๆกันตอนนี้ขยับไปยืนอยู่ทางด้านหลัง และกำลังใช้มือทั้ง 2 ข้างจับไหล่ของผมไว้ แล้วออกแรงบีบนวดลงมา
“รู้สึกดีขึ้นมั้ย?”
ถึงแม้ร่ายกายจะย่ำแย่จนแทบร่วง
แต่ความห่วงใยเล็กๆของเขาก็ทำให้หัวใจมันแข็งแรงขึ้นมาทันตาเห็น
“ดีโคตร"
“จริงเหรอ? เรานวดมั่วๆอ่ะ"
“ก็ไม่ได้ดีเพราะนวด"
“...”
“ดีเพราะมีคนมาเป็นห่วง"
แค่นั้น...แรงบีบเบาๆที่ชวนสบายก็ได้เปลี่ยนเป็นแรงฟาดจากฝ่ามือแบบเต็มแรง พร้อมกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก คนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมก้าวขึ้นมาแซงกัน ก่อนจะหันมาทำหน้ายู่ใส่ผม แล้วเดินนำออกไป
ก้าวเข้ามาในห้องยิ้มหวานปุ๊บ สิ่งแรกที่สายตาของผมจับจ้องไปคือโซฟาตัวใหญ่...
หลังจากถอดรองเท้าเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินตรงไปยังเบาะหนังนุ่มๆกลางห้องแล้วทิ้งตัวนอนลงทันที พร้อมกับส่งเสียงบอกเจ้าของห้องที่เดินตามมา
“นอนก่อนนะ"
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ผมได้ยินเสียงยิ้มหวานทำอะไรสักอย่างอยู่ที่อีกฝั่งนึงของห้อง แต่ก็ไม่ได้ลืมตาดู จนกระทั่งรู้สึกได้ว่ามีแรงเขย่าเบาๆพร้อมกับเสียงที่ดังอยู่ใกล้ๆเรียกกันเอาไว้ก่อนที่จะหลับไป
“หมอ~~”
“ฮึ?”
"อย่าเพิ่งนอนดิ! ตั้งแต่เช้ากินอะไรรึยัง"
“ยัง ไอ้หมอบอกยังไม่หิว"
“นี่~ กวนตีนอีกทีเราโยนลงระเบียงเลยนะ คุยกันก่อน!"
“ยังไม่กินครับ ยังไม่กิน"
“งั้นก็กินซะ"
ทันทีที่เขาพูดจบ กลิ่นหอมหวานของน้ำตาลก็ลอยใกล้เข้ามา...
ก่อนผมจะรู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มๆเหมือนขนมปัง กับรสชาติหวานๆของเกล็ดน้ำตาลที่ถูกจิ้มลงมาบนริมฝีปากซ้ำๆ
การรบกวนเล็กๆทำให้ผมลืมตาขึ้นมาครึ่งนึง เพื่อหรี่ตามอง
โดนัท... สีชมพูหวานแหววสิ้นดี - _ -
"ต้องกินเหรอ?”
ผมถามงัวเงีย ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจดึงกลับมา
"โดนัทมันใช้หยอดตาได้มั้ยล่ะ ของกินก็ต้องเอาไว้กินดิ!”
“ชิ้นใหญ่ กินไม่ได้"
“หมอก็กัดดิวะ ฟันน้ำนมยังไม่ขึ้นเหรอ?”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็ส่งสายตาไปมองคนที่นั่งดูอาการผมอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเพลียๆ ก่อนจะยื่นมือไปจับต้นแขนเขา ดึงเบาๆสองสามทีแล้วพูดต่อ
“ป้อนหน่อยดิ"
ได้ยินปุ๊บ ยิ้มหวานก็ตอบกลับมาแบบไม่ต้องคิดเลยครับ
“กินเองไม่ได้ก็อดตายไปเลย"
เขาพูดพลางทำท่าจะลุกขึ้นจริงๆ จนผมต้องรั้งไว้
“เหอะน่า ป้อนหน่อยดิ ขยับแขนไม่ไหวแล้ว"
คนฟังเหมือนจะชั่งใจอยู่นิดหน่อย ก่อนเสียงถอนหายใจหนักๆจะดังตามมา พร้อมกับที่เขาทรุดตัวนั่งลงที่เดิมแล้วบ่น
“เพลียขนาดนี้ทำไมไม่กลับบ้านเนี่ย"
เขาพูดพลางดึงโดนัทไปจากมือผมแล้วฉีกออกเป็นชิ้นเล็กๆ ระหว่างนั้นผมก็ตอบกลับไป
“ที่บ้านไม่มีใครเลย พ่อทำงาน แม่ไม่อยู่ น้องไปเข้าค่าย วันนี้แม่บ้านไม่มา..."
ยังไม่ทันได้บรรยายความน่าสงสารของชีวิตนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งจนครบ โดนัทชิ้นเล็กๆก็ถูกยัดเข้าปากผมในทันที...เป็นอันจบบทสนทนา
“บางทีเราก็สงสัยว่านี่หมอเหนื่อยจริงๆ หรือหมอกำลังหาเรื่องให้เราป้อนขนมอยู่กันแน่ว่ะ"
“อันหลังอยู่แล้ว"
ผมนอนเคี้ยวโดนัทรสชาติหวานจัดแล้วยักคิ้วให้เขาด้วยสภาพร่อแร่ ก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ
“หวานโคตร" หมายถึงเขาอ่ะ...
“ทนๆกินไปเถอะน่า กินน้ำตาลเยอะๆจะได้สดชื่น"
“ครับผม"
ผมนอนกินโดนัทหวานจ๋อยที่อีกคนป้อนให้จนหมด รู้สึกว่าน้ำตาลที่หวานบาดคอในตอนแรกก็ให้พลังงานดีเหมือนกัน พอยิ้มหวานลุกกลับไปทำงานสักพัก ผมก็หลับไปจริงๆ
[มีต่อค่ะ]