❤ ถ้ากรี้ดกร้าดในทวิต ฝากติดแทค #ยิ้มหวานของหมอ ด้วยน้า จะเข้าไปส่อง : )
❤ ใครเล่น ask fm ไปคุยกับยิ้มหวาน&หมอได้น้า ยูสนี้ค่ะ sweetysmileanddoctor- 11 -
รู้จัก dream catcher ไหมครับ?
ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟในพารากอน ตรงหน้ามีพลางติกเป็นห่วงรูปวงกลม เชือกหนัง ขนนก ลูกปัด ไหมพรม คนที่เพิ่งหันไปคุยกับเพื่อนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะบอกกับผมว่า ของพวกนี้สามารถนำมาประกอบกัน ได้เป็น dream catcher
ยิ้มหวานบอกผมตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อน หลังจากเจ้าตัวกลับมาจากเขาใหญ่แล้วครับ ว่าวันพรุ่งนี้กับมะรืนนี้ ที่หน้าคณะของเขาจะมีตลาดนัดขายของแฮนเมด ซึ่งเป็นงานที่จัดร่วมกันระหว่างเด็กสถาปัตย์กับศิลปกรรม
พอรู้ข่าวว่าจะมีงาน พวกเพื่อนๆของเขาก็เกิดนึกอยากทำของขายกันขึ้นมา เลยไปจองบู้ทเอาไว้ แล้วก็ตกลงกันได้ว่าจะทำ Dream Catcher มาขายกัน ยิ้มหวานบอกกับผมว่า dream catcher ที่จะเอาไปวางขายที่งานนั้น มีทั้งแบบที่ประดิษฐ์เป็นชิ้นออกมาให้เรียบร้อยแล้ว กับแบบที่คนซื้อจะได้อุปกรณ์ไปเป็นชิ้นๆเพื่อจะเอาไปทำด้วยตัวเองที่บ้าน
วันนี้พวกเขาก็เลยพากันมานั่งเตรียมอุปกรณ์ที่พอจะเตรียมได้กันไว้ก่อน ส่วนผมที่เพิ่งออกจากฟิตเนสพอดีก็เลยถือโอกาสแวะมาหากัน แล้วก็ต้องมาทำความรู้จักกันตั้งแต่เริ่ม ว่าไอ้เจ้า dream catcher ที่พอจะเคยเห็นผ่านตามาบ้างแล้วนั้น มันคืออะไร เอาไว้ทำอะไรกันแน่
“มึงอ่ะอธิบายให้หมอมันฟังเลย"
เสียงของเพื่อนยิ้มหวานดังข้ามโต๊ะมา ทำเอาคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมต้องทำหน้ามุ่ย เขาสบตาผมเงียบๆ แต่หรี่ตาย่นจมูกใส่กัน ดูน่าเอ็นดูไม่เบา ก่อนจะเริ่มอธิบายให้ผมฟังตามที่โดนสั่งมา
“ก็ Dream Catcher เนี่ย มันเป็นเครืี่องรางของเผ่าอินเดียแดง หน้าตาแบบนี้" พูดจบเค้าก็หยิบไอ้ห่วงกลมๆที่มีของห้อยลงมาเยอะแยะเต็มไปหมด แล้วชูขึ้นมาให้ผมดู
"ความเชื่อก็คือ ถ้าเอาเครื่องรางอันนี้ไปแขวนเอาไว้บนที่นอน จะทำให้ฝันดีอยู่กับตัว และฝันร้ายจะหายไป"
“อ๋อ...” ผมฟังความรู้ใหม่แล้วพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนที่เขาจะอธิบายต่อ
“ลายของเชือกที่ถักอยู่ตรงกลางอ่ะ เค้าเอามาจากลายของใยแมงมุม ที่คอยดักจับแมลงเอามาเป็นอาหาร เชื่อกันว่าเจ้าเส้นใยที่ถักกันอยู่ตรงนี้นี่แหละ เป็นสิ่งที่คอยดักจับฝันร้ายของเราเอาไว้"
ผมพยักหน้ารับคำพูดของเขาไปด้วย พร้อมกับความคิดที่ปรากฎขึ้นมาในใจ
...หน้าตาเวลาเจ้าตัวตั้งใจอธิบายอะไรให้คนอื่นฟังนี่ น่ามองชะมัดดวงตากลมๆของเขาจะโตขึ้นนิดหน่อย...
ส่วนริมฝีปากที่ดูนุ่มนิ่มก็ขยับบอกเล่าเรื่องราวไปพร้อมๆกับรอยยิ้ม
พูดจบหนึ่งเรื่อง เขาก็จะหยุด มองสบตากับผมแล้วถามทางสายตาว่า
เข้าใจใช่ไหม? นึกออกรึเปล่า? พอผมพยักหน้ารับเบาๆ เขาก็เริ่มอธิบายต่อ
“ซึ่งในความเป็นจริงอ่ะ เจ้าเครื่องรางอันเนี้ยเป็นเครื่องรางสำหรับเด็ก ต่อให้เราเอามาแขวนที่เตียงผู้ใหญ่ มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก เหตุผลเพราะว่า จิตใจของผู้ใหญ่ไม่บริสุทธิ์เหมือนของเด็ก แต่คนก็ยังนิยมเอามาใช้เป็นเครื่องประดับกันอยู่ดี เพื่อนเราบอกว่าที่ฮิตกันมากๆก็เพราะมันอยู่ในซีรี่ย์เกาหลีมั้ง คือเราก็ไม่เคยดูเหมือนกัน ประมาณนี้แหละ"
พูดจบเขาก็ยกยิ้มให้ผมจนตาเป็นขีดสระอิ ก่อนจะพูดต่อสั้นๆ
“ฟังจบแล้วซื้อด้วย!”
อันนี้ไม่เรียกขายแล้วครับ เรียกยัดใส่มือแล้วบังคับให้จ่ายตังค์มากกว่า
แต่ผมก็ยังตอบรับไปด้วยความเต็มใจ
“เอาดิ"
ได้ยินอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยิ้มถูกใจ ก่อนจะหันไปบอกเพื่อน
“มึงๆ หมอซื้อแล้วอันนึง เอามาเร็ว -- หมอเอาสีอะไร?”
“สีอะไรก็ได้ -- แต่จะเอาอันที่พ่อค้าคนนี้เป็นคนทำให้"
พูดจบผมส่งสายตาไปให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าแล้วยักคิ้ว พร้อมกับได้ยินเสียงโห่แซวดังมาจากเพื่อนๆของเขา
ก่อนที่กล่องพลาสติกขนาดไม่ใหญ่มากจะถูกส่งต่อเรื่อยๆมาตรงหน้าเราสองคน
“อ่ะ...เอากล่องอุปกรณ์ไป เดี๋ยวกูให้สิบบาทแล้วมึงไปนั่งจีบกันตรงโน้นนะ"
เพื่อนผู้ชายคนนึงในกลุ่มของเขาพูดติดตลก แต่ก็ทำให้ยิ้มหวานหันไปค้อนเข้าวงโต พร้อมด่าเบาๆผ่านริมฝีปากว่า
'เสือก' ก่อนที่เขาจะหันกลับมา แล้วหยิบมัดเชือกหนังขึ้นมาโยนใส่ผมเต็มๆ
ผมโยกหัวหลบมัดเชือกอันนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นมารับไว้ได้อย่างหวุดหวิด แล้วตอบสั้นๆ
“ทำร้ายลูกค้าว่ะ"
“สม!” เขาตอบผมแล้วยักไหล่ ก่อนจะถามต่อ "เอาแบบไหน สีอะไร? เลือกมาเร็ว”
เจ้าตัวพูดพลางยื่นกระดาษแข็งที่มีรูป dream catcher แปะอยู่หลายแบบมาให้ผมเลือก
“ไงก็ได้ ตามใจเลย"
“ดี -- เราจะได้ใส่พร็อพเยอะๆ จะได้แพงๆ"
เขาพูดพลางยิ้มกริ่ม ก่อนจะเริ่มเอาเชือกพันรอบวงกลมพลาสติกขนาดประมาณฝ่ามืออย่างช้าๆ
ผมมองฝ่ามือที่ดูนุ่มนิ่มกับนิ้วมือเรียวขนาดกะทัดรัดของเขาแล้วลอบยิ้มออกมา
มือน่ารักว่ะ...รออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง เครื่องรางดักฝันที่ยิ้มหวานทำอยู่ก็เสร็จเรียบร้อย เขายื่นมันมาให้ผมดู แล้วบอกกันว่า
“หมอถ่ายรูปแล้วอัพไอจีโปรโมทร้านให้เราด้วย วันจริงคนจะได้มาซื้อเยอะๆ"
ผมมองคนที่มีแววว่าจะเห่อเล่นขายของอย่างหนัก ก่อนจะวางของที่เพิ่งได้มาลงไปบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่วางหงายอยู่ แล้วส่งไปให้เขาทั้งคู่
“อ่ะ ถ่ายเองอัพเองเลย"
“โอเค"
เขารับคำสั้นๆ หยิบโทรศัพม์มือถือของผมไปปลดล็อค และกำลังจะถ่ายรูป
ในตอนที่ยิ้มหวานเงยหน้าขึ้นมาหามุมที่วิวสวยๆเพื่อจัดมุมถ่ายรูป เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเพื่อนๆทุกคนกำลังจับตาดูตัวเองอยู่เป็นตาเดียว
ผมสัมผัสความรู้สึกนี้ได้ตอนที่ยื่นมือถือไปให้
แต่เขาก็ดูจะความรู้สึกช้าซะเหลือเกิน...
“มองไร?”
ใบหน้าน่ารักของเขาส่งสายตามองไปทางเพื่อนๆ ก่อนจะทำปากยื่นอย่างเอาเรื่อง ในขณะเดียวกัน ผิวแก้มขาวๆก็เรื่อสีชมพูขึ้นมาให้เห็น
ผมว่าเขาคงพอจะเดาได้ว่าที่โดนจับตามองอยู่นั้น ก็เพราะเจ้าตัวเอาโทรศัพท์มือถือของผมไปเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“สนิทกันดีเนอะ"ยังคงเป็นเพื่อนสาวตัวแสบคนเดิมที่พูดออกมา ริมฝีเคลือบลิปสติกสีส้มเบะคว่ำลงนิดหน่อย ก่อนที่เจ้าตัวจะกลับไปทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยิ้มหวานดึงสายตากลับมาจากทุกคน ก่อนจะมองตรงมายังผมที่นั่งอยู่ตรงข้าม
ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ นอกจากยิ้มมุมปากไปให้นิดหน่อย แล้วยักไหล่เหมือนคนไม่ได้ทำอะไรผิด
พอเห็นท่าทางของผม คนตรงหน้าก็ทำท่าจะโยนไอโฟนในมือเขามาใส่กัน จนผมต้องรีบยกมือขึ้นห้ามอย่างรวดเร็ว
พอเห็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็หลุดขำ แล้วก็กลับไปถ่ายรูปของเขาไปเงียบๆ ก่อนจะอัพรูปโปรโมทให้ตัวเองเรียบร้อย
เย็นวันนั้นผมกลับบ้านไปโดยทีี่มี Dream Catcher อยู่ในมือ 1 อัน
จำได้ว่าตอนที่ยิ้มหวานเล่าเรื่องของเจ้าเครื่องรางอันนี้ให้ฟัง
เขาบอกผมว่า -- ในความเป็นจริงแล้วมันจะช่วยดักจับฝันร้ายได้เฉพาะในเด็กทารก
ผมยกห่วงกลมๆที่มีเชือกถักล้อมรอบและประดับด้วยขนนกขึ้นมาดูตอนที่ยืนอยู่กลางรถไฟฟ้าบีทีเอส แล้วยิ้มออกมา
ถึงแม้ตอนนี้ผมจะอายุเลยวัยของการเป็นเด็กทารกมาหลายปีแล้ว
แต่เครื่องรางอันนี้มันก็น่าจะยังช่วยสร้างฝันดีให้กับผมได้อยู่แหละ
เพราะคนที่ทำมันขึ้นมา
....เป็นยิ่งกว่าฝันดีของผมซะอีก- - -
วันต่อมา หลังจากเรียนเสร็จตอนเกือบๆ 5 โมง ผมกับเพื่อนๆรวมแล้วประมาณสิบกว่าคนก็พากันมาที่หน้าคณะสถาปัตกรรมศาสตร์
มาถึงปุ๊บผมก็ไปเดินเล่นรอบงานกับพวกมันก่อนรอบนึงครับ เพราะผมเห็นแล้วว่าร้านของยิ้มหวานคนรุมเยอะสุดๆ จะเบียดเข้าไปก็คงจะยุ่งวุ่นวายน่าดู
พอเดินกลับมาอีกรอบแล้วพบว่าคนไม่แน่นหน้าร้านเขาเท่ากับตอนที่เพิ่งมาถึง ผมก็เลยขอแยกตัวจากทุกคนมา พร้อมกับฝ่ามือของเพื่อนๆที่รุมโบกกบาลผมตามหลังมาเต็มๆ
มาถึงโต๊ะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดปานกลางdream catcher วางขายอยู่เต็มไปหมด ผมก็ยกมือขึ้นโบกทักทายทุกคน แล้วถามออกไปแบบไม่เจาะจง
“ขายดีป่ะ?”
“ดีดิ พ่อค้าแซ่บขนาดนี้"
เพื่อนสาวตัวแสบตอบกลับมา ก่อนจะชี้นิ้วหัวแม่มือไปทางคนที่กำลังเอาของใส่ถุงให้ลูกค้าอยู่
วันนี้เขาใส่หมวกแก็บสีอ่อนแบบที่หันปีกหมวกไปด้านหลัง นั่นทำให้ใบหน้าได้รูปและเครื่องหน้าอันลงตัวของเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากกกว่าเดิม ยิ้มทีนึงนี่ โน่นครับ –
สว่างไปถึงประตูทางออกเขาคงหันมาแล้วเห็นว่าผมกำลังยกยิ้มอยู่พอดี เจ้าตัวถึงได้ขมวดคิ้วเข้า แล้วถามผมสั้นๆ
“ขำอะไรหมอ?”
“หัวเหม่ง!”
ผมพูดสั้นๆแล้วยื่นมือไปดีดหน้าผากเขาเบาๆ ก่อนจะโดนแก๊งเพื่อนเขาโห่แซวมาอีกยก
ผมยิ้มแล้วยักคิ้วไม่สะทกสะท้านกับคำแซว ก่อนจะเดินหน้าถามยิ้มหวานต่อไป
“จะกินไรมั้ย? เดี๋ยวไปซื้อให้"
“ยังไม่หิวเลย"
คนที่นั่งขายของอยู่เงยหน้ามาสบตาผม ก่อนจะส่ายหน้าให้พร้อมรอยยิ้มแล้วตอบ
พอดีกับที่มีคนเดินเข้ามาซื้อของ เขาก็เลยผละไปคุยกับลูกค้า
ผมมองเลยมายังกลุ่มเพื่อนๆของยิ้มหวานที่คุ้นเคยกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเห็น 1 ในนั้น ชี้ไปที่ถุงกระดาษมากมายที่วางอยู่ด้านหลัง
ผมมองแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะถามออกมา
“อะไรวะ?”
“ของที่คนเค้าซื้อมาให้ไอ้นี่อ่ะดิ"
ผู้หญิงตัวเล็กๆตาชั้นเดียวบอกเชื้อชาติ พูดพลางส่งสายตาไปให้คนที่กำลังขายของอย่างจริงจังจนไม่สนใจว่าจะมีใครนินทา
ผมมองไปยังถุงกระดาษของคาเฟ่เจ้าดังหลายร้าน รวมไปถึงคอฟฟี่ช็อปและร้านอาหาร ที่วางอยู่ข้างหลังแล้วอดไม่ได้ที่จะสอบถอนหายใจ...
นึกถึงประโยคที่ไอ้เบอร์ 1 ชอบพูดเวลาที่มันเห็นสาวน่ารักถูกสเป็คเดินมาคู่กันกับแฟนขึ้นมาทันที
จีบคนโสด คู่แข่งเป็นแสน
จีบคนมีแฟน คู่แข่งแค่คนเดียเองนะเว้ย! เข้าถึงคำว่า
'คู่แข่งเป็นแสน' ในวาทะเด็ดของไอ้เพื่อนเวรแม่งก็วันนี้
ผมส่งสายตาไปยังถุงกระดาษที่วางเรียงอยู่อย่างมากมาย อย่างน้อยก็มากกว่า 10 ใบแน่ๆอ่ะ ถ้ามาจากพวกแฟนคลับเด็กๆของเขานี่ผมไม่มีปัญหาหรอกครับ
แต่พวกที่มาเนียนจีบนี่สิ... เห็นถุงแต่ละใบแล้วรู้สึกหมั่นไส้อยากหอบมาเผาทิ้งแม่งให้หมด
คิดไปคิดมาผมก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะสุดท้ายตัวเองก็ยังอยู่ในสถานะเดียวกันกับคนเหล่านั้นอยู่ดี
ที่มากันเยอะขนาดนี้เพราะเจ้าตัวอัพเดทลงอินสตาแกรมไปเมื่อคืนด้วยล่ะครับ ว่าวันนี้จะมาขายของที่นี่ และน่าจะอยู่ที่งานทั้งวัน พอเห็นแบบนั้น คนที่แอบปลื้มเขาอยู่คงตั้งใจจะมาเจอเจ้าตัวจริงๆ
สักพักผมก็ได้ยินเพื่อนของเขาพูดออกมา หลังจากที่ยิ้มหวานขายส่งของให้ลูกค้าคนล่าสุดเสร็จเรียบร้อย
“มึงไปพักก่อนมั้ย พ่อมารับแล้วเนี่ย"
“พ่อบ้านมึงสิ! เดี๋ยวรอไอ้สองคนนั้นกลับมาก่อน"
ผมฟังบทสนทนาของเขากับเพื่อนแล้วแอบขำอยู่ในใจ
ตอนอยู่กับเพื่อนเขาก็พูดจาไม่ต่างจากกลุ่มผมเวลาอยู่ด้วยกันเท่าไหร่หรอก
แต่นิสัยที่ชอบหันไปทำหน้าดุแยกเขี้ยวใส่เพื่อนเวลาโดนแซวเรื่องผมนี่สิ -
น่ารักดี เพราะยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์ แถมยังบังหน้าร้านเค้าอีก ผมเลยบอกเขาว่าจะไปรออยู่ตรงด้านข้างของตึกที่อยู่เยื้องกับมุมที่เขาขายของอยู่ไปทางด้านหลังแล้วก็แยกจากเขามา เพราะบังเอิญมองไปแล้วเจอคนรู้จักยืนอยู่ตรงมุมสำหรับสูบบุหรี่พอดี
ผมเดินไปหาเพื่อนต่างคณะที่รู้จักกันช่วงแข่งบาสมหาลัย ทักมัน แล้วก็นั่งยองๆคุยกับไอ้คนที่กำลังอัดนิโคตินเข้าปอดอย่างไม่กลัวตาย แถมยังหันมาเสนอตัวแบ่งเชื้อมะเร็งให้ผมอย่างใจดี ก่อนจะเก็บกลับไป เมื่อผมเอ่ยปฏิเสธ
ผมคุยกับมันไปเรื่อยเปื่อยเรื่องการซ้อมบาสที่ส่วนใหญ่จะชอบนัดกันช่วงปิดเทอม เพราะเปิดเทอมได้ไม่นานการแข่งบาสของมหาลัยก็จะเริ่มต้นขึ้น
ผมฟังไอ้คนข้างๆบ่นเรื่องการหาสปอนเซอร์ให้ทีม โดยที่สายตายังคงมองคนที่เชียร์ให้ลูกค้าซื้อของพร้อมกับยกยิ้มสดใสอย่างไม่รู้จักเหนื่อย
ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับผู้ชายคนนึงที่เดินผ่านผมไปพร้อมกับดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ ทั้งคนที่เดินมาและดอกกุหลาบที่เจ้าตัวถืออยู่นั้นเด่นสะดุดตามาก จนคนที่เดินอยู่รอบๆยังต้องหยุดแล้วมองเจ้าตัวเป็นตาเดียว
ไม่ทันได้ถามอะไรออกมา ไอ้คนที่อยู่ข้างๆกันก็บ่นออกมาเบาๆ พร้อมปล่อยควันบุหรี่ออกมาทางลมหายใจ
“เล่นใหญ่ว่ะเฮ้ย"
“ใครวะ?”
“คุณชายคณะกูเอง เด็กปีหนึ่งว่ะ"
เด็กวิดวะนี่เอง...
ผมคิดพลางมองตามไอ้คนตัวสูงๆกับดอกกุหลาบของมันไปเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มรู้สึกตงิดๆขึ้นมาตอนที่ไอ้หมอนั่นไปหยุดอยู่หน้าร้านที่ผมเพิ่งเดินผละออกมา
ก่อนที่ผมจะได้คาดเดาอะไร ไอ้เด็กนั่นก็ยื่นดอกกุหลาบช่อใหญ่ตรงไปให้คนที่ผมตามจีบอยู่เช่นกัน ภาพตรงหน้าทำเอาผมตัวเกร็งขึ้นมาทันทีทันใด ก่อนจะจิ๊ปากออกมาด้วยความขัดใจ
แม่งเอ้ย! กูว่าแล้วไง!ผมมองสถานการณ์ตรงหน้าแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว รู้สึกอยากแย่งบุหรี่ที่ปล่อยควันสีขุ่นอยู่ระหว่างข้อนิ้วไอ้คนข้างๆมาอัดเข้าปอดขึ้นมาทันที
แว้บนึงผมเห็นว่ายิ้มหวานเหลือบมองมาทางนี้ ก่อนจะดึงสายตากลับไป
จากมุมที่ผมมองอยู่ คนที่มีสีหน้าหลากหลายอยู่เสมอกำลังปั้นหน้านิ่ง ใบหน้าที่มักจะประดับไปด้วยรอยยิ้มสดใส ยกยิ้มบางๆที่มุมปาก ก่อนจะฟังในสิ่งที่คนตรงหน้าพูดนิ่งๆ
พอมองเลยมาก็เห็นว่าคนที่อยู่รอบๆกำลังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายทั้งรูปทั้งคลิปจากทุกมุม
ส่วนผม – ยอมรับเลยว่าความรู้สึกที่มีในใจตอนนี้คือ
'หวง' ผมหวงคนที่นั่งห่างออกไปมากจนกระทั่งอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
แต่ที่ยังนิ่งอยู่ในตอนนี้ก็เพราะผมรู้สถานะตัวเองดี --
มันยังไม่ถึงเวลา ก็เคยคิดอยู่หรอกครับว่าเขาน่าจะมีเข้าหาไม่น้อยอยู่แล้ว
แต่พอได้มาเห็นกับตาแบบนี้ พูดตรงๆเลยว่าภาพตรงหน้ามันสั่นคลอนความรู้สึกผมได้จริงๆ
ยิ้มหวานยังคงนิ่งฟังใครคนนั้นพูดอะไรก็ไม่รู้ ผมเองก็อยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยินเสียง
ในขณะเดียวกัน คนก็เริ่มเข้ามามุงมากขึ้นเรื่อยๆจนผมต้องยืนขึ้น
“เสือกว่ะหมอ"
คำพูดของคนที่ยังเอาแต่สูบบุหรี่ไม่สนใจโลกทำเอาผมต้องยิ้มรับด้วยมุมปากแทนคำตอบ
ผมอาศัยความสูงที่มากกว่า แถมยังยืนอยู่บนพื้นที่ยกขึ้นมาเล็กน้อย มองฝ่าผู้คนเข้าไป ก่อนจะทันเห็นยิ้มหวานส่ายหน้าน้อยๆ แล้วดันช่อดอกไม้ที่ยื่นเข้ามา ให้ห่างออกจากตัวไป
พอเขาทำท่าทีอย่างนั้น คนที่มาด้วยความหวังเต็มเปี่ยมก็แสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เด็กชะมัด...ดูจากท่าทางแล้ว เดาว่าไอ้คนที่มาพร้อมช่อดอกไม้แดงๆนั่นกำลังคะยั้นคะยอให้ยิ้มหวานรับดอกไม้ในมือตัวเองไปให้ได้
ในขณะที่คนรับก็ยังคงยืนยันที่จะปฏิเสธ
ผมเดาเอาว่าน่าจะต้องมีอะไรมากกว่าดอกไม้แน่ๆ สถานการณ์มันถึงได้น่าอึดอัดขนาดนี้ ปกติยิ้มหวานใจดีมากเหอะ เวลาคนมาขอถ่ายรูปนี่ จะขอกอดขอจับมืออะไรเจ้าตัวก็ไม่มีปัญหา ไปโอบไหล่เขาก่อนยังมีเลย
ยื้อกันอยู่สักพัก ในที่สุดเรื่องมันก็จบลงที่ดอกไม้ช่อใหญ่นั่นถูกเขวี้ยงลงที่พื้นหน้าโต๊ะขายของ
และทันทีที่กุหลาบแดงช่อใหญ่กระแทกลงกับพื้น เพื่อนสาวตัวแสบที่สุดของยิ้มหวานก็กระโดดเข้ามาร่วมวง แล้วเรียกไอ้หมอนั่นให้มาเก็บดอกไม้กลับไป เดาไม่ยากเลยว่าเขาต้องยอมแพ้ เดินกลับมาเก็บกุหลาบเยินๆช่อนั้นแล้วเดินคอตกกลับไป
ผมมองความวุ่นวายที่ไม่ต่างกับฉากหนึ่งในละครตรงหน้าแล้วถอนหายใจ
ขนาดมาจีบผู้ชายแม่งยังมีผู้ชายมาเป็นคู่แข่งอีกเหรอวะเนี่ย?
แล้วแม่งก็ออกตัวแรงมากไง....
ตอนนี้สายตาของผมเอาแต่จับจ้องไปยังคนที่มีสีหน้าอึดอัดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากความวุ่นวายจบลง เขาหันไปขอโทษเพื่อนๆทุกคน ก่อนที่เพื่อนๆของเขาจะมารุมปลอบเขาแทน
เห็นอย่่างนั้นผมก็ย่อตัวนั่งลงข้างๆไอ้คนที่ยังคงเอาแต่สูบบุหรี่ไม่สนใจโลก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความไปหาเขาสั้นๆ
*โอเคมั้ย? [/i]เหมือนเพื่อนๆของยิ้มหวานจะบอกให้เขาออกมาพักหาอะไรกิน เจ้าตัวเลยลุกขึ้น พร้อมกับที่เพิ่งรู้ตัวว่ามีข้อความเข้าใหม่ เขากดอ่าน ก่อนจะหันมายังทิศที่ผมนั่งอยู่ เห็นผมปุ๊บเขาก็เดินตรงมาทางนี้และหยุดลงตรงหน้า
“กินข้าวกัน หิวว่ะ"
ระหว่างนั้นผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาจากคนข้างๆ
ผมเองก็มองกลับ ก่อนจะเห็นรอยยิ้มกวนตีนปรากฎขึ้นใบหน้าของมัน
“กูไปดีกว่า ปิดเทอมเล่นบาสกันเว้ย!"
พูดจบมันก็ลุกขึ้น ยื่นมือมาตบไหล่ผมหนักๆ ก่อนจะโบกมือลา พร้อมกับที่ผมโบกกลับไป
ยิ้มหวานยังคงยืนอยู่ตรงหน้า ดูจากสีหน้าแล้วเขากำลังสงสัยว่าทำไมผมไม่ยอมลุกขึ้นสักที
ในขณะเดียวกัน ปมขมวดยุ่งๆตรงหัวคิ้วก็เหมือนเป็นสัญญานเตือนว่าผมยังไม่ควรถามถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในตอนนี้
“หมอ ลุกดิ~”
“เมื่อยว่ะ"
“ขาชาเหรอ?”
“เปล่า...” ผมตอบพลางยื่นมือไปให้เขา แล้วพูดต่อสั้น "ขอจับมือได้ไหม?”
เราเคยเดินจูงมือกันไปแล้ว แต่ไม่ใช่ในสถานการณ์ที่มีคนเดินผ่านไปมาพลุกพล่านอย่างในตอนนี้
วันนั้นมันมืดมาก และตรงทางที่เราเดินกันไปนั้น ก็มีแค่ผมกับเขาอยู่ด้วยกันสองคน
“ฮี?”
“จับมือกัน จะได้ไม่หลงไง"
เหตุผลของผมทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาจนได้
“หลงบ้าอะไรล่ะ นี่คณะเราเว่ย!”
“งั้นจูงมือเรา แล้วพาเดินเที่ยวงานหน่อยดิ
นศพ.ไม่รู้ทางครับ"
“มันก็แค่เดินตรงไปตามทางเท้าไม่ใช่รึไง?”
เจ้าตัวยังคงกลั้นขำ แล้วต่อล้อต่อเถียงกับผมต่อ
ยอมรับว่าที่ถ่วงเวลาอยู่อย่างนี้เพราะอยากให้คนตรงหน้าปรับความรู้สึกด้วยส่วนนึง
อารมณ์ขุ่นๆมาแล้วไปเดินเบียดกับคนในงานอีกนี่ไม่สนุกแน่ๆ
“เหอะน่า...”
“...”
คนตรงหน้ายังคงนิ่ง แต่แววสดใสเริ่มกลับมาสู่นัยน์ตาของเจ้าตัวทีละนิด เพราะเห็นผมนั่งยองๆเงยหน้าขึ้นมองเขา ใช้สายตาแทนคำขอร้องเหมือนคนไม่มีที่ไปอยู่ตรงนี้
“นะ...”
“....”
“นะครับ...” ผมเห็นเขาถอนหายใจออกมานิดๆ ก่อนจะยกมือขึ้น แล้วยื่นนิ้วชี้ออกมาให้ผมเพียงเท่านั้น
“ให้นิ้วนึง"
"....”
"เร็วๆหิวจะแย่แล้วเนี่ย! นับหนึ่งถึงสามไม่ลุกขึ้นมาเราไม่รอแล้วนะ!"
เขาพูดจบปุ๊บ ผมก็ยื่นมือออกมาแล้วเกี่ยวนิ้วมือเข้ากับปลายนิ้วเขาในทันที ก่อนจะลุกขึ้น แล้วเดินไปข้างๆกัน
ไหล่ของเรากระทบกัน ตอนที่ผมกระซิบบอกกับเขาแผ่วเบา
“ขอบคุณครับ"
,
[มีต่อข้างล่างนะคะ]