ผีเสื้อ - ระยะไข่ -ในทีแรกผีเสื้อจะเป็นเพียงไข่ โดยปกติไข่ของมันจะมีรูปร่าง ขนาด สีสันและลวดลายแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิดซึ่งไข่ของผีเสื้อใช้เวลาเฉลี่ยราวสามถึงห้าวันจึงจะฟักเป็นตัวหนอนหรือตัวแก้ว
“แล้วไง”
“บางครั้งพวกมันจะวางไข่เป็นกลุ่มๆหรือบางทีก็วางไว้แค่ฟองเดียว” เขาอธิบายต่อตามหนังสือที่กำลังเปิดอ่าน
วงจรชีวิตของผีเสื้อ
เล่มไม่ใหญ่ไม่หนาจนเกินไป แต่กำลังพอดีกับสายตา เขาจำได้ว่ามันวางอยู่บนชั้นหนังสือนานแล้ว ถ้าย้อนไปไม่ผิดนักคงอาจเป็นเล่มเดียวกันกับสมัยที่เขาใช้เรียนอยู่ หรือถ้าไม่นับเวลานี้ก่อนหน้ามันแทบจะไม่ได้ถูกเปิดอ่านเลยแม้แต่น้อย
“ตัวมันคงเล็กน่าดู”
น้ำเสียงอีกฝ่ายเอ่ยถามแกมเบื่อหน่าย
“ใช่”
“เล็กถึงขนาดที่ตาเปล่ามองไม่เห็นเลยเหรอ”
บทสนทนาทำให้เขาใจชื้นขึ้นบ้างราวกับว่าอย่างน้อยก็ได้รับการโต้ตอบ แม้อีกฝ่ายจะไม่ค่อยเต็มใจจวนไปถึงกึ่งรำคาญ
“ก็อาจเห็น แต่ถ้าไม่สังเกตดีๆคงยากหน่อยจำเป็นต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องถึงจะมองเห็นลายมันได้ชัดเจน” เขาหันไปตอบอีกคนในห้องด้วยท่าทีเดิม
ภายในห้องมีเพียงคนสองคน กลิ่นยาและสายน้ำเกลือโยงอยู่กับตัวผู้ถาม โยงอยู่กับคนข้างกาย
ใช่...ข้างกายเขา
อาจเป็นภาพที่ดูน่าสงสาร เด็กหนุ่มคนหนึ่งควรจะได้รับชีวิตที่ดีกว่านี้ เรียนหนังสือ สนุกสนาน อยู่กับเพื่อน มีชีวิตที่สดใสสมวัย
แน่นอนว่าโรคร้ายไม่เคยรับรู้แม้แต่นิดเดียวว่ามันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครบ้าง
หากรู้ โลกนี้คงไม่มีใครต้องเจ็บปวด
ภาพใบไม้และจุดเล็กกลมๆของไข่ผีเสื้อ
เขามองคนอายุน้อยกว่าตน
ร่างกายเมื่อก่อนเคยแข็งแรงกลับซีดขาวและซูบผอม แต่ข้อมือซึ่งถูกสายน้ำเกลือเจาะอยู่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการห้ามที่เด็กคนนั้นจะไม่มีสิทธิ์สัมผัสภาพในหนังสือเล่มนี้
ฝ่ามือลูบวนราวกับต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับภาพ เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ทุกอย่างกลับดูมีชีวิตชีวา
เขาจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งก่อนโรคร้ายจะเข้ามาช่วงชิงบางอย่างไป ความร่าเริงเคยปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าอีกของฝ่าย
ขอคิดไปเองว่าเด็กน้อยคงเพลิดเพลินกับภาพในหนังสือและเขาเองอาจกำลังเพลิดเพลินกับภาพที่สามารถเอื้อมสัมผัสได้จริงตรงหน้า
ไม่นาน เหลือเพียงความเงียบ เขาจึงได้สติและรู้ว่าถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวขณะที่อีกคนหนีหลับลงไปด้วยความอ่อนเพลียจากการอ่านหนังสือเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
- ระยะตัวหนอน - ไม่นานไข่จะฟักออกมาเป็นตัวหนอนหรือตัวแก้ว พวกมันจะเริ่มกินเปลือกไข่ของตัวเองก่อนเริ่มกินใบพืช การกินนั้นจะอยู่ในปริมาณที่มากเพื่อขยายขนาด
สีสันของตัวหนอนหรือตัวแก้วโดยปกติจะเข้ากับสภาพแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่ส่งผลให้สามารถอำพรางอันตรายจากศัตรูได้เป็นอย่างดี
บางชนิดหากสัมผัสเข้าอาจเกิดอาการผื่นคัน จึงอาจพูดได้ว่าเมื่อเจริญเติบโตขึ้นสีของมันนี่เองที่กลายเป็นสีเตือนภัย
เพื่อบอกว่าพวกมันเองก็มีอันตรายแก่ศัตรู
“วันนี้จะมาอะไรอีก”
ใบหน้าบูดบึ้งพร้อมน้ำเสียงไม่เป็นมิตรส่งตรงมาทันทีที่เขาเปิดประตูเข้ามาในห้อง เขาไม่ได้ถือสาแต่กลับรู้สึกขบขันกับปฏิกิริยานั้นมากกว่าจะโกรธ
“แค่มาเช็คว่ากินยาแล้วหรือยัง” เขาเดินเข้าไปข้างเตียง มองอาหารที่จำได้ว่าถูกนำมาวางตั้งแต่เช้าทว่าบัดนี้ตะวันขึ้นตรงกลางศีรษะ อาหารในถ้วยยังไม่พร่องลงเลย
“ผมกินแล้ว”
ร้อยทั้งร้อยเชื่อว่านั่นคือคำโกหกและปัดไปให้พ้นๆอย่างรำคาญ เขาลอบถอนหายใจ นึกดุเจ้าเด็กดื้อที่ชอบโกหกผู้ใหญ่เสียจริงๆ
“ผมไม่หิว” อีกฝ่ายปฏิเสธเสียงแข็งเมื่อเขาหยิบช้อนตักข้าวคำเล็กๆก่อนยื่นให้
วันนี้ดูอารมณ์รุนแรงกว่าปกติ ถ้าให้เดาสาเหตุน่าจะเป็นเพราะไปได้ยินอะไรมาไม่ดีสักอย่าง
ไม่ดีแน่ๆ
“ทานหน่อยเดี๋ยวไม่มีแรง”
เขาไม่อยากให้เด็กคนนี้ทำร้ายตัวเอง
ไม่ว่าอย่างไร ร่างกายที่เจ็บป่วยจากโรคร้ายส่งผลถึงจิตใจให้บอบช้ำ
และหากยังฝืนอยู่แบบนี้ อะไรสักอย่างที่ว่าซึ่งอาจเป็นทั้งร่างกายทั้งจิตใจ คงยากที่จะพากันดึงกลับขึ้นมา
“จะมายุ่งกับผมทำไมนักหนา”
“เดี๋ยวปวดท้องนะมันไม่ดีต่อสุขภาพ”
เขาเลือกที่จะทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนั้น ไม่ยอมแพ้ต่อการปฏิเสธของเด็กน้อยตรงหน้า แม้ตัวจะไม่น้อยเท่าไหร่แล้วถ้านับดูจากอายุแต่พฤติกรรมกลับไม่ต่างจากเด็กราวกับย้อนวัย
บางอย่างอาจไม่ใช่บางอย่างที่พึงใจต่อความต้องการในมุมมองของผู้รับ
เสียงแก้วแตกซึ่งถูกปัดไปพร้อมๆกับความหวังดี คนป่วยของเขาดื้อกว่าที่คิด
เขานิ่งไปสักพักก่อนก้มมองเศษอาหารและเศษถ้วยชามที่เลอะพื้น
ถ้าถามว่าโกรธไหม
แน่นอนว่าเขาโกรธ
โกรธที่เจ้าเด็กคนนี้ยังดึงดันที่จะทำร้ายตัวเอง
อีกฝ่ายสะบัดหน้าหนีโดยไม่รู้สึกผิด เจ้าตัวนอนลงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวจนมิดศีรษะ
เขาส่ายหน้า ไม่ได้ต่อว่ากับอาการก้าวร้าว เขาเพียงเดินไปจัดการทำความสะอาดพื้นที่เลอะเทอะ
ยังดีที่อาหารเย็นชืดจากระยะเวลาที่ทิ้งไว้นาน เพราะไม่อย่างนั้น ไม่มือเขาก็คงเป็นมืออีกฝ่ายที่ตกเป็นเหยื่อกับความร้อนเข้าให้จริงๆ
หลังจากเก็บเศษอาหารและเศษชามที่แตก เขาเดินมานั่งข้างเตียง คนป่วยที่แกล้งหลับก็ยังคงไม่ยอมโผล่หน้ามาคุยกับเขาดีๆ
“อยากออกไปเดินเล่นไหม”
“ไม่ไป”
เสียงตอบอู้อี้เล็ดลอดจากผ้าห่มทำเอาเขาอมยิ้ม
“ป่านนี้คงกลายเป็นตัวแก้วแล้ว” เขาทำเป็นหูทวนลมคำปฏิเสธอันไร้เยื่อใย พูดเสียงเนิบนาบแต่แฝงไปด้วยความเอ็นดู
“ตัวบ้าอะไร”
“ตัวที่ชอบกินใบไม้”
“อ๋อ” เด็กหนุ่มลากเสียงประชด “แถมยังหน้าตาน่าเกลียด”
“คิดอย่างนั้นเหรอ”
“มันตะกละและทำร้ายต้นไม้บ้านผมอยู่บ่อยๆ” เขาฟังแล้วหลุดหัวเราะเพราะดูท่าแล้วอีกฝ่ายจะเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เบา
“วันนี้อากาศดี”
“ผมไม่ได้ถาม”
“ไปเดินเล่นด้วยกันไหม”
“คุณนี่มันเซ้าซี้อยู่ได้ น่ารำคาญ” อีกฝ่ายโผล่จากกำบัง ผ้าห่มเคลื่อนลงพร้อมน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด
ความสัมพันธ์เหรอ
ไม่
ไม่เห็นจำเป็นต้องรู้เลย
อากาศดีจริงๆและเขาไม่ได้โกหก
สวนดอกไม้และบรรยากาศสวยเสียจนคนที่ทำหน้าบึ้งตึงมาตลอดทางเริ่มคลายหัวคิ้วลงบ้าง เขาเข็นรถวิวแชร์ไปตรงทางโต๊ะหินอ่อนซึ่งอยู่ใต้ร่มไม้
เด็กคนนี้ในอดีตเคยเดินได้คล่องแคล่ว แต่ด้วยร่างกายที่ทรุดโทรมลงแถมเจ้าตัวยังไม่คิดจะถนอมหรือฟื้นฟูมันส่งผลให้เรี่ยวแรงหดหายลงไปมาก
“หิวหรือยัง”
แต่แล้วเขาก็ไม่คิดจะถามหรือพูดขัดอะไรต่อเมื่อพบว่าสายตาอีกคู่กำลังคู่ทอดมองไปไกล
อาจเป็นต้นไม้ต้นนั้น ดอกไม้ ท้องฟ้า เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กคนนี้กำลังมองสิ่งใด เขาแค่เดาไปเรื่อยแต่อย่างน้อยมันอาจจะมีถูกสักข้อ
“แล้วสรุปคุณว่ามันน่าเกลียดไหม”
เขาไม่แน่ใจว่า‘มัน’ที่เด็กคนนี้ถามหมายถึงคืออะไร
อาจเป็นตัวแก้ว ตัวหนอน หรืออะไรก็ได้
และเขาไม่รู้ว่าคำถามนั้นครอบคลุมแค่ไหน หน้าตา รูปลักษณ์ เปลือกนอก กริยา พฤติกรรมหรือจิตใจ
“ไม่”
เขาไม่รู้หรอก
เด็กน้อยพยักหน้า
ความทุกข์กำลังกลืนกินหรือเป็นความสุขกันแน่นะ ที่กำลังถูกกลืนหายไป
แต่เขารู้อย่างหนึ่งว่า ตลอดเวลา ไม่ได้มีคำนั้นอยู่ในสายตาของเขาแม้แต่น้อย
ฝ่ามือขาวซีดของอีกฝ่ายจิกลงบนกางเกง เขาเดินอ้อมไปนั่งลงข้างหน้าเพื่อดึงมือนั้นให้คลายออกจากการทำร้ายตัวเอง
การระบายออกมาบ้างเป็นเรื่องที่อาจส่งผลดี
แต่บางครั้งหรืออย่างครั้งนี้ อีกฝ่ายกำลังทำให้ตัวเองเจ็บ แน่นอนว่ามันไม่ดี ไม่ดีเลย
ไม่ว่าจะทางไหนก็ไม่ดีทั้งกับตัวเด็กคนนั้นและอาการปวดร้าวในใจลึกๆ...ของเขา
“แต่ผมว่ามันน่าเกลียดนะ”
อ่อนแอและเป็นเหยื่อได้ง่าย
ฉะนั้นบางครั้งพิษสงของมันอาจไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร
แต่เพียงแค่ต้องการปกป้องตัวมันเอง
- ระยะดักแด้ -เมื่อตัวหนอนหรือตัวแก้วโตเต็มที่มันจะเปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นดักแด้ ซึ่งมีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับระยะก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงเพราะดักแด้จะอยู่นิ่งกับที่และไม่กินสิ่งใดเลย
ครั้นเมื่อลอกคราบมาเป็นดักแด้ใหม่ๆ มันจะมีผิวหนังอ่อนนิ่ม
หากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงผิวหนังของมันจะแข็งขึ้นและเริ่มมีรูปร่างสีสันที่ชัดเจนตามแต่ชนิดของมัน
จวบจนเป็นดักแด้ที่สมบูรณ์
“หนาวหรือเปล่า”
แม้เขาจะถามแต่อย่างไรเขาคงต้องลดความเย็นของอุณหภูมิในห้องลงมาหน่อย เพราะสำหรับอีกคนในห้องคงไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพแน่ๆ ขนาดเขาเองยังแข็งแรงดียังรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น...ที่เกินไป
โทรทัศน์ถูกเปลี่ยนช่องโดยที่คนดูดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจกับการดูจริงๆจังๆ
เขาเดินเข้าไปดึงผ้าขึ้นมาห่มให้เด็กขี้รำคาญ เจ้าตัวดีทำเป็นไม่สนใจแต่ก็ไม่ได้ปัดผ้านั้นลง เขาไม่ได้ซักถาม ต่างฝ่ายต่างเงียบ เพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆ
“ดึกแล้วนะ”
จวบจนเวลาผ่านไปสักพัก เมื่ออีกฝ่ายยังดื้อเงียบไม่พูดไม่จา เขาถึงได้เอ่ยขึ้นด้วยความอ่อนใจ
“ผมยังไม่ง่วง”
“แต่ก็ไม่ควรนอนดึก”
เป็นความเงียบครั้งที่สอง
คนป่วยเม้มปากแน่น คิ้วหงิกหงอ นิ้วเรียวกดปุ่มรีโมตเปลี่ยนช่องไปมาตามใจตนจนดูเหมือนไม่ได้กำลังดูโทรทัศน์แต่เป็นการประชดเขา
เขาเงียบ มองดูหน้าจอสีเหลี่ยมที่มีสีสันหลากหลายวูบวาบผ่านไปมาแต่จับใจความแทบไม่ได้
“ดื้อ”
อีกครั้งที่คิ้วเข้มของอีกฝ่ายขมวดลง
“แล้วจะนั่งมองผมไปถึงเมื่อไหร่”
เมื่อคนดื้อแพ่งเป็นฝ่ายหมดความอดทน อีกฝ่ายถามคำถามเชิงไล่แก่เขาด้วยน้ำเสียงงอแง
“จนกว่าจะนอน”
“ก็ได้ ผมนอนก็ได้ ถ้าผมนอนคุณจะออกไปไหม?”
“งั้นนอนสิ”
เขายกมือลูบผมนุ่ม แม้เจ้าตัวทำเบี่ยงหลบซึ่งก็ไม่พ้น เขาหัวเราะในใจกับท่าทางเด็กๆก่อนที่จะลุกไปปิดไฟเพื่อให้คนในห้องได้นอนเสียที
“เดี๋ยว”
ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกเขาหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงรั้งเอาไว้
“เปล่า ช่างเถอะ” เด็กน้อยงึมงำ
“เปล่าได้ยังไง?”
เขาเลิกคิ้วขึ้น จากที่กำลังเดินออกจากห้องจึงเปลี่ยนเป็นเดินเข้าไปหาเจ้าของเสียงแทน
“ไม่มีอะไรแล้ว คุณไปสิ ผมจะได้นอน” เด็กจอมเอาแต่ใจซ้ำยังปากแข็ง เขาอมยิ้มเมื่อร่างในเงามืดดึงผ้าห่มมาคลุมกายแล้วหันหลังให้ เขานั่งลงที่ขอบเตียงก่อนโน้มตัวกระซิบถาม
“มีอะไร”
“ไม่มี”
เสียงตอบอู้อี้ใต้ผ้าห่ม กลิ่นหอมอ่อนๆที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวลอยแตะปลายจมูก
เขาอมยิ้มแล้วโน้มโอบอีกฝ่ายผ่านผ้าห่มผืนนุ่ม สักพักร่างนั้นเมื่อรู้ตัวว่ากำลังตกสู่อ้อมแขนก็แข็งค้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“อยากให้อยู่ด้วยก็บอกดีๆ เขินทำไม” เขาพูดเสียงทุ้มเจือแววอ่อนโยน
“เขินบ้าอะไร” ร่างใต้ผ้าห่มดิ้นขลุกขลัก “กอดทำไม ร้อน อึดอัด”
“ที่ร้อนที่อึดอัดเพราะตัวเองไปอุดอู้อยู่แต่ในผ้าห่มต่างหาก เดี๋ยวหายใจไม่ออกหรอก”
เขาแกล้งกระตุกผ้าห่มเบาๆที่อีกฝ่ายยื้อไว้แน่น ท่าทางน่าเอ็นดูเหมือนเด็กที่ชอบเรียกร้องความสนใจอย่างน่ารักๆ ผู้ใหญ่อย่างเขาจะไม่อดแกล้งได้ยังไงกัน?
ไม่รู้ว่าเด็กที่คลุมโปงกำลังมีสีหน้าเช่นไร
เขาก้มลงแตะริมฝีปากบนผ้าห่มนั้นเบาๆ
ก่อนกระซิบบอกฝันดี
เช้านี้ใครบางคนตื่นง่ายกว่าปกติโดยที่เขาไม่ต้องเข้าไปปลุก
“คุณไปไหนมา”
“มีงานนิดหน่อย”
ก่อนหน้านี้เขาต้องไปที่ที่หนึ่งนั่นทำให้กลับมาช้ากว่าที่เคยเป็น
“แต่ตอนนี้อยู่นี่แล้วไง” เขาระบายยิ้ม เด็กน้อยทำเหมือนไม่อยากรับรู้ทั้งที่ความจริงช่างตรงข้าม หลังจากกลับมาเขาทำอาหารให้อีกฝ่ายพร้อมกับทานยาตามปกติ
อีกฝ่ายมองเขาจนรู้สึกได้เมื่อเงยสบตาดวงตาอีกคู่ก็หันเหหนีไปเฉยๆ
“เคยรู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่นั้นน่าเบื่อหน่ายไหม”
“เคย”
แปลกนักที่เขาจะได้อยู่ในตำแหน่งคนตอบคำถาม แต่คำถามนั้นกลับชวนให้หดหู่ใจเสียจริงๆ
“รู้ไหม บางครั้งก็ชีวิตเลือกไม่ได้และมันก็ไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับอะไรหรือใคร เพียงแค่เคารพตัวเอง ไม่ดูถูกตัวเอง”
“แล้วตอนนี้คุณเบื่อไหม”
“เบื่อ”
เขาสังเกตเห็นดวงตาสองคู่ที่สลดลง แต่ก็ถูกกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว เขาจึงค่อยๆคลายยิ้ม
“เบื่อเวลาเด็กคนหนึ่งชอบทำหน้าเหมือนกับว่าไม่ได้กินข้าวมาทั้งวัน”
ซึ่งก็จริง แต่พักหลังๆเด็กดื้อคนนั้นอาจเห็นใจเขาล่ะมั้งเลยยอมลดอาการต่อต้านลงมาบ้าง
“นั่นว่าผมหรือไง”
“ใช่” เขายิ้มทันทีเมื่อใบหน้าหงิกงอเบาๆถูกส่งมา “อยากเดินเล่นไหม”
“อือ”
เขาลุกประคองอีกฝ่าย เด็กน้อยร่างกายสั่นเบาๆจากการพยายามเพื่อจะไปนั่งที่รถเข็นด้วยตัวเองมากกว่าจะให้เขาพาไป เขาจึงทำได้แค่คอยช่วยพยุง
“มือคุณอุ่นชะมัด”
ดักแด้จะต้องมีการเกาะยึดวัตถุอื่นหรือซ่อนตัวจากศัตรูและทนต่อสภาพอากาศที่ผันแปรรวมไปถึงอุณหภูมิต่างๆ
เพื่อความอยู่รอดของมันเอง
เด็กดื้อของเขาเริ่มจะกลายเป็นเด็กดี
อีกฝ่ายมักเริ่มเป็นฝ่ายพาเขาไปเดินเล่นเองบ้างโดยไม่ต้องเอ่ยถาม
ใบหน้านั้นดูมีความสุขขึ้น
เด็กหนุ่มผู้เคยเฝ้าว่าตนเองว่าไม่ดีเริ่มหายไปแล้ว
“ไหนบอกจะพาผมไปดูดักแด้”
“ก็ถ้ามันหาได้ง่ายๆขนาดนั้นก็ดีสิ”
เขาตอบ นับวันกลับกลายเป็นเด็กเจ้าคำถาม ซึ่งยิ่งสร้างความเอ็นดูให้เขามากกว่าเก่าไป
สำหรับเขา แม้ปากอาจพูดว่าไม่อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ลับหลังไม่ว่าอีกฝ่ายอยากได้อะไรกลายเป็นว่าสุดท้ายเขาก็ต้องแอบไปหามาให้ทุกครั้งครา
“อยากเห็นจริงๆเหรอ”
สวนหลังบ้านอาจไม่ใช่ที่ที่หาได้ง่ายแต่คงไม่ยากเกินความพยายามของเขาเสียแล้ว เขามองใบหน้าที่เริ่มงอเพราะผิดหวังก่อนก้มกระซิบ
“เป็นเด็กดีก่อนสิ”
อีกไม่นานเด็กน้อยของเขาจะต้องเข้ารับการผ่าตัด เพื่อให้มีชีวิตอยู่ เพื่อให้ได้อยู่ อยู่กับเขา
แก้มทั้งสองแดงก่ำ เขาหัวเราะเบาๆ แขนที่ถูกมืออีกฝ่ายตีนั้นไม่เจ็บเท่าไหร่เลย
“คุณอยู่กับผม ดูแลผมทั้งวันแบบนี้ ม ไม่ รู้สึก รำคาญบ้างเหรอ” ประโยคท้ายๆเบาลงแทบเป็นกระซิบ
“ไม่”
แน่วแน่ทั้งน้ำเสียงและความรู้สึก แววตาอีกฝ่ายไหววูบไปชั่วครู่
“ผม...ผม ไม่รู้สิ ผม”
“อะไรทำให้คิดว่าจะต้องรำคาญ?”
“เพราะผมนิสัยไม่ดี แล้วก็...เอาแต่ใจ”
เด็กน้อยของเขาไม่สบตาซ้ำน้ำเสียงยังสั่นเครือ เขาไม่รู้ว่าควรจะยินดีหรือปวดใจที่อีกฝ่ายห่วงใยความรู้สึกเขาแต่น้ำตานั่นก็สร้างความรวดเร้าในอกเขาเช่นเดียวกัน
“ก็จริง” พอเขาขานรับในลำคอ อีกฝ่ายขมวดคิ้วแทบจะทันที เขาหัวเราะก่อนรีบพูดต่อไม่อย่างนั้นคิ้วนั่นคงผูกกันเป็นปมมากกว่าเดิม “แล้วไง แค่นั้นเหรอ”
เต็มใจ
ทุกๆอย่างที่ทำให้ ไม่เคยสักครั้งที่ต้องฝืนทำ
“เป็นเด็กขี้แยตั้งแต่เมื่อไหร่?” เขาหยอกเย้าอย่างเอ็นดู
“ผ ผมไม่ใช่เด็กแล้ว มีแต่คุณนั่นแหละที่ทำเหมือนผมอายุสามขวบ” ฝ่ามือขาวยกเช็ดน้ำตาลวกๆด้วยความเร่งรีบเพราะไม่อยากให้เขาเห็น
“ก็เด็กจริงๆ”
“ผมสูงกว่าคุณก็แล้วกัน”
สรรหาวิธีต่างๆที่บ่งบอกว่าตัวเองก็เป็นผู้ใหญ่ ใบหน้าขึ้นสีเลือดฝาดและปฏิกิริยาที่เด็กออกอย่างนั้นทำให้เขาอดหัวเราะได้ยาก
“ผู้ใหญ่เขาไม่ขี้แยกันหรอก” เขาแกล้งหยิกแก้มอีกฝ่ายๆเบา “แน่จริง เป็นผู้ใหญ่เมื่อไหร่ค่อยมาพูดกัน”
“ได้ ห้ามลืมก็แล้วกัน”
เด็กขี้ชนะพูดเสียงมั่นเหมาะ
“ผมจะมาหาคุณคนแรกเลยคอยดู” อีกฝ่ายจับมือเขาที่กำลังแตะแก้มตัวเอง ความอุ่นซ่านผ่านทางฝ่ามือของกันและกัน
เขามอง
ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่ก็ใช่ว่าจะต้องกลัว
ซึมซับช่วงเวลานี้
ใบหน้านี้ ดวงตานี้ ร่างกายนี้ ลมหายใจนี้
ความรู้สึกที่ยากจะละทิ้ง
ยิ่งสุขมากความเจ็บปวดย่อมทวีคูณเป็นธรรมดา
ความรู้สึกมากมายถาโถม เมื่อแววตาตรงหน้าจ้องลึกราวกับต้องการให้ประสานเป็นหนึ่งเดียว
อยากหยุด อยากยื้อ อยากเสียทุกอย่าง แต่อย่างไรเวลาก็ยังเดินต่อ
ก่อนอะไรบางอย่างที่ว่านั่นหมดลง เขายังจำได้สัมผัสที่จับมือนั้น ตราตรึงพอๆกับใจที่ย้ำเตือน
“เดี๋ยวถ้าผ่านช่วงนี้ไปแล้ว ดักแด้น่าจะตื่นพอดีครั้งนี้สัญญาหน่อยสิ ว่าจะไปดูด้วยกัน” เขานั่งลง กอบกุมมือนั้นไว้อย่างหวงแหน
รอยยิ้มถูกฝืนขึ้นจนเริ่มลำบาก
ไม่รู้ว่าดักแด้ที่ว่าจะมีจริงไหม หรืออย่างอื่นกันแน่
จะมีจริงไหม
“อือ สัญญา”
แต่เด็กน้อยก็สัญญา
ถึงอย่างนั้นเมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน
ไม่อาจยอมรับแต่คงหลีกหนีไม่ได้
แม้ยากจะยอมรับ
มีคนผิดสัญญา
- ระยะตัวเต็มวัย -ดักแด้หลังลอกคราบมันจะขับของเหลวสีชมพูออกมา ปีกยังกางไม่เต็มที่และยับยู่ยี่
ฉะนั้นมันจำเป็นต้องเกาะไปตามวัตถุใดๆก็ตามที่สะดวกต่อการกางปีกและยังต้องอยู่นิ่งนานเป็นชั่วโมงโดยมีการผลักดันโลหิตเข้าไปล่อเลี้ยงภายในปีกของมัน
“เขาหายไปไหน”
เด็กขี้โวยวายเริ่มกลับมา คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเขาเอง
หลังจากเขาหายไปและมีคนมาดูแลเด็กคนนี้แทน แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอม ทำลายข้าวของ อาละวาดไม่หยุด
อากาศดีแต่อารมณ์อาจไม่
หลายครั้งหากเขาอยู่ก็คงอยากเข้าไปตีมือเด็กตรงหน้าที่ปากบอกว่าจะไม่เอาแต่ใจแล้วแต่พอรู้ว่าเขาไม่อยู่ก็งอแงออกมา แต่สักพักเมื่อเหนื่อยเด็กน้อยจะหยุดและนั่งลงจมอยู่กับตัวเอง
ก่อนเริ่มร้องไห้เงียบๆ
ความรู้สึกเปราะบางนัก
จะไปบังคับไม่ให้ใครรู้สึกอย่างไรหรือต้องรู้สึกอย่างไรนั่นคงเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ
คำถามมากมายผุดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า
เด็กคนนั้นสงสัย สับสนไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงหนีหายตัวเองไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้
ไม่ได้อยากจากไปเลย
ความจำเป็นนี้เกินกว่าจะใช้เล่ห์กลใดๆเพื่อบิดเบือนหรือหลีกหนี
ไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีการรับฟังคำวิงวอนร้องขอ จะว่าเลือดเย็นเกินไปก็คงได้
ความลังเล เศร้าโศก การลาจากโดยเกือบไม่ทันตั้งตัว แม้จะเกือบสาย แต่ก็ยากจะทำใจยอมรับได้ง่ายๆ
เวลาผ่านไปราวกับพายุคลื่นใหญ่เริ่มเผยตัว
แค่อะไรบางอย่างที่แกล้งหลอกให้หลงอยู่กับความสุขชั่วครั้งคราว จะว่าใจร้ายก็ใช่ เวลาชอบผ่านไปเร็วเมื่อเรายังมีความต้องการ
เบื่อหรือ รำคาญหรือ อย่างที่บอกว่าไม่
ไม่เลยสักครั้ง
ยังจำได้ว่าเขาเคยได้รับคำถามจากอีกฝ่ายว่าใครกัน…
ที่ยอมมอบหัวใจเพื่อต่อชีวิตให้
เขาเพียงยิ้มแล้วตอบว่าคงเป็นคนที่ใจดี
ความจริงแล้วเขาเองก็อยู่ได้ไม่นาน จากโรคร้ายที่กัดกินอยู่ในร่างนี้
แต่หัวใจเขาแข็งแรง แข็งแรงพอที่จะเป็นของใครอีกคน
ก่อนหลับตาตลอดกาลเขานึกถึงใบหน้าที่เขาคอยเฝ้ามอง เด็กขี้รำคาญคงไม่เหงามากใช่ไหมต่อจากนี้
เขาไม่เคยบอกใคร ไม่เคยมีใครรู้เพราะเขาดูเหมือนคนแข็งแรงดีทุกประการ
แต่หลังจากอาการล้มป่วยของเขาเริ่มแสดงออกมาให้เห็นหนักขึ้นทุกวัน
เขาไม่อาจมาพบหน้าเด็กน้อยของเขาได้อีกแล้ว
เขาหวาดกลัวเกินไปอ่อนแอเกินไป รอยยิ้มที่ประดับประดาไม่อาจสร้างขึ้นได้ง่ายเหมือนเมื่อก่อน
เขานึกภาพต่อว่าคงโดนบ่นน่าดูถ้าหากรู้ว่าเขาเป็นพวกขี้ขลาดหลีกหนีปัญหาแบบนี้
เด็กน้อยของเขาฟื้นขึ้นหลังจากนั้นไม่นานเมื่อพ้นจากห้องผ่าตัด การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจผ่านไปได้ด้วยดี
เด็กน้อยในวันนั้นเติบโตขึ้น
สวนที่ชอบไปเดินเล่นด้วยกันยังคงอยู่ ดูท่าเจ้าตัวดีจะชื่นชอบมากเป็นพิเศษถึงแม้ปากจะไม่ค่อยยอมรับออกมาง่ายๆ
ลมพัดมาส่งผลกิ่งไม้ไหวติง ใบไม้ปลิวแผ่วเบา การย่างก้าวเรียบเรื่อยทว่ามั่นคง
วันนี้อากาศดี
รวมไปถึงความรู้สึกที่แจ่มชัดในบางสิ่ง
อีกฝ่ายนั่งลงเพ่งมองใบไม้สีเขียว เด็กน้อยของเขามาช้าไปหรือ ไม่หรอก แม้ไม่มีดักแด้อีกแล้ว แต่ยังคงเหลือเพียงเปลือกที่ทิ้งไว้เป็นร่องรอยของอดีต
นั่งมองอยู่นานราวกับพูดคุยผ่านเสียงข้างใน กระทั่งผ่านไปสักพัก อีกฝ่ายจึงค่อยๆลุกขึ้นก่อนหลับตาซึมซับสายลมที่คล้ายเสียงกระซิบ
“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
หยาดน้ำแค่เพียงน้อยนิดถูกหลังมือปัดออก ก่อนรอยยิ้มจะผุดขึ้นแทนคล้ายกับว่ากำลังส่งยิ้มให้ทุกสิ่ง
ไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกแต่คงต้องบอกว่าหลังจากที่รู้ว่าใครเป็นผู้เปลี่ยนหัวใจให้ เด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่ร้องไห้ไม่มีชิ้นดี
อยากเข้าไปปลอบ อยากเข้าไปกอด อยากเข้าไปบอกว่าไม่เป็นไรนะ แต่คงไม่ได้
การแยกจากแท้จริงคืออะไร
ในเมื่อเราต่างมีกันและกันอยู่ในความทรงจำ
เขาไม่ได้หายไปไหนเสียหน่อย
มีความสุข มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะและชีวิตผ่านหัวใจดวงนี้
จากไข่ ตัวแก้ว ดักแด้กระทั่งเปลี่ยนเป็นผีเสื้อ
ไม่ใช่แค่งดงาม
ปีกนั้นจะค่อยๆมีความบางลงทว่าแข็งแกร่งพอและแผ่ขยายออกได้เต็มที่
แน่นอน
เพื่อโบยบิน
> ผีเสื้อ -
ผู้ซึ่งหลงรักหญิงสาวในภาพวาด